Memorize เล่มที่ 16 ตอนที่ 23-29

เล่มที่ 16 ตอนที่ 23

 

พอได้ยินคำว่าวันนี้ให้พักได้นั้น คงโล่งใจ สมาชิกเผ่าจึงทำสายตาประมาณว่ารอดตายแล้ว หลังจากนั้นจึงทยอยวางตัวพวกเร่ร่อนลง พวกมันโดนทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงแทบไม่แตกต่างอะไรกับมนุษย์ปกติ  


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่รู้แน่นอนอยู่ดี ผมจึงคิดว่าจะเตรียมมาตรการพื้นฐานบางอย่างไว้ แต่ทว่าเรื่องนั้นจะสามารถกระทำได้หลังจากที่โกยอนจูกลับมาเท่านั้น และผมจะต้องไม่ลืมเรื่องความสนใจในตัวท่านผู้เฒ่ากับชินแจรยงด้วย 


 


 


“แล้วท่านผู้เฒ่ากับคุณชินแจรยงล่ะครับ จะอย่างไรต่อไปดี ทานอะไรสักเล็กน้อยไหม หรือไม่ก็เที่ยวชมแคลนเฮาส์…” 


 


 


ทั้งสองคนพยักหน้าให้กับคำพูดของผมทันทีทันใด ผมเพียงแค่ถามออกไปพอเป็นมารยาทเท่านั้น จึงได้สั่งการให้อียูจองกับชินซังยงให้คำแนะนำเรื่องที่พักเป็นกรณีพิเศษ  


 


 


พอคำสั่งถูกประกาศออกไป สมาชิกเผ่าจึงเริ่มเคลื่อนไหว คงอยากจะเสร็จงานเร็วๆ แล้วไปพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ผมมองพวกเขาเหล่านั้น แล้วจึงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในล็อบบี้อย่างช้าๆ ทันใดนั้นร่างกายของผมก็เกิดความเหนื่อยล้าขึ้นมาทันทีอย่างไม่ทันตั้งตัว 


 


 


 


 


 


หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ไปได้หนึ่งวันเต็ม เช้าวันต่อมาผมจึงเข้าไปยังห้องทำงานแล้วเรียกวิเวียนพบโดยทันที  


 


 


งานที่จะต้องทำมีอยู่เป็นกองพะเนิน เพราะฉะนั้นผมจำเป็นที่จะต้องเรียงลำดับความสำคัญว่างานไหนมาก่อน งานไหนมาหลัง และแน่นอนว่าเรื่องที่จะต้องทำเป็นลำดับแรกสุดคือ เรื่องเกี่ยวกับพวกเร่ร่อน ระหว่างการเดินทางกลับมานั้น วิเวียนมีท่าทีเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมาก ผมจึงได้ลองมานั่งคิดดูบ้างว่าพวกเราจะใช้วิธีใด 


 


 


1.จัดการเรื่องแพคซอยอน และพวกเร่ร่อน (ข้อมูล, ตัดสินคดีความ) 


 


 


2.สร้างคุกที่ห้องซ้อมการต่อสู้ในชั้นใต้ดิน (สร้างแบบง่ายๆ ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็เอาอย่างที่สามารถทำลายได้โดยง่าย) 


 


 


3.สรุปผลเรื่องอุปกรณ์ของพวกเร่ร่อน (สรุปเสร็จแล้วค่อยแจกจ่ายอุปกรณ์ให้สมาชิกเผ่า) 


 


 


4.ท่านผู้เฒ่า, ชินแจรยง (ให้ท่านผู้เฒ่าเข้าพบ, หลังประชุมเสร็จค่อยชวนชินแจรยงให้เข้าร่วม) 


 


 


5.วิเคราะห์สถานการณ์ (อย่างต่อเนื่อง) 


 


 


ผมดูบันทึกบนโต๊ะ พลางหมุนปากกาขนนกในมือขวาไปมาอยู่อย่างนั้น เป็นนิสัยที่ผมทำอยู่ประจำเมื่อเกิดอาการหัวสมองตีกันจนยุ่งเหยิง ก่อนอื่นเราจะต้องจัดการงานเหล่านี้ให้เสร็จไปก่อนในระดับหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจว่าอย่างมากที่สุดแล้ว ในช่วงประชุมอยู่นั้น เราจะต้องจัดการงานให้ได้สำเร็จ หลังจากวิเวียนมาพบจึงจะสามารถตัดสินใจในเรื่องถัดไปได้  


 


 


ก๊อก ก๊อก! 


 


 


“คิมซูฮยอน เข้าไปนะ” 


 


 


เสียงดังกังวานอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดังขึ้นพร้อมเสียงประตูเปิด ผมละสายตาจากบันทึกนั้น และเงยหน้ามอง แล้วจึงได้พบกับวิเวียนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างสง่างาม สีหน้าของหล่อนล้วนอัดแน่นไปด้วยความหยิ่งยโสอยู่ในนั้น 


 


 


“วิเวียน ลา คลาดัส ผ่านไปสามสิบนาทีแล้วนะที่เรียกเธอมา ทำไมสายแบบนี้ล่ะ” 


 


 


“โอ๊ย เงียบหน่อยเถอะน่า คิมซูฮยอน ฉันรู้น่ะสิว่าทำไมนายถึงเรียกฉัน ก็เลยเตรียมตัวเตรียมไงเล่า” 


 


 


“เตรียมอะไร” 


 


 


“ฉันมีธุระที่ห้องเก็บอุปกรณ์ แต่ฉันเข้าไปไม่ได้ไม่ใช่หรือไง เลยมาสายนิดหน่อย เพราะมัวแต่วิ่งไปขอร้องโกยอนจูน่ะ” 


 


 


พอมาดูแล้วจึงเห็นว่าวิเวียนถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือทั้งสองข้าง ผมจึงได้พยักหน้าลง เพื่อเป็นการสั่งให้หล่อนนั่งลงตรงโซฟา ส่วนผมเองก็ลุกออกจากเก้าอี้ แล้วเคลื่อนตัวไปทางฝั่งนั้น พอเห็นว่าวิเวียนนั่งลงแล้ว ผมจึงเริ่มเปิดประเด็นออกไปทันที 


 


 


“งั้นพูดแบบสรุปๆ เลยนะ คราวก่อนเธอบอกว่ามีวิธีใช่ไหมล่ะ พูดละเอียดๆ หน่อยสิ” 


 


 


“หืม? รอเดี๋ยวสิ นายลองดูของพวกนี้ก่อน” 


 


 


วิเวียนเอียงคออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มนำสิ่งของที่นำมาวางลงทีละชิ้น ทีละชิ้น ผมไล่มองสิ่งของเหล่านั้นที่วางอยู่บนโต๊ะทีละอย่าง พลางขมวดคิ้วไปด้วย  


 


 


บันทึกของมาร์โวลโล แล้วก็ชุดยาน้ำของมาร์โวลโล, ผลไม้เน่าเสียของต้นอิกดราซิล ซึ่งสิ่งที่หล่อนนำมานั้น ล้วนแต่เป็นของที่ได้จากการเดินทางสำรวจในเมืองมาเจีย เมืองแห่งเวทมนตร์ในอดีตกาล  


 


 


และสิ่งสุดท้ายที่วิเวียนหยิบขึ้นมาคือ ออร์โดแห่งข้อบังคับ หลังจากนั้นหล่อนจึงใช้ปลายไม้เท้าเคาะที่บันทึกของมาร์โวลโล 


 


 


“คำตอบทุกอย่างอยู่ในนี้” 


 


 


“คำตอบของอะไรล่ะ อย่าทำให้ฉันร้อนใจ รีบพูดมาเร็ว” 


 


 


“หึๆ รีบอะไรขนาดนั้นล่ะ ก่อนอื่น ฉันมีอะไรบางอย่างเขียนสอดไว้ในหนังสือ นายลองอ่านดูก่อนสิ เอ้อ จริงด้วย นายเข้าใจภาษาของพวกเราใช่ไหม” 


 


 


วิเวียนเผยรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้า พร้อมพูดออกมายาวเหยียด ที่ผมคิดนะ บางทีหล่อนอาจจะชอบใจมากที่ได้ต่อรองกับผมแบบนี้ ผมเลียปากตัวเองแล้วจึงคว้าหนังสือเล่มนั้นมา วิเวียนดูลังเลทันทีหลังจากนั้น แล้วจึงรีบคว้ามุมหนังสืออีกด้านอย่างรวดเร็ว 


 


 


“อะ…อ่านได้เหรอ อ่านได้จริงเหรอ” 


 


 


“ไม่ อ่านไม่ออกทั้งหมดนั่นแหละ ยังไงก็เอามาก่อนเถอะน่า ถึงจะอ่านไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ขอดูอะไรสักนิดหน่อยเถอะ” 


 


 


หากจะพูดให้ถูกต้องคือไม่ใช่ ‘ทั้งหมด’ แต่เป็น ‘เกือบทั้งหมด’ เสียมากกว่า แต่ทว่าผมก็แอบโกหกไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ มีวิธีพอให้เข้าใจได้บ้าง หากผมอ่านในสิ่งที่หนังสือเล่มนี้เขียนเอาไว้ วิเวียนจึงปล่อยมือ พร้อมทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  


 


 


หล่อนบอกว่าคำตอบทุกอย่างอยู่ในนี้ ผมจึงพิจารณาหนังสือด้วยความรู้สึกตื่นเต้น มีส่วนที่วิเวียนพับไว้อยู่เยอะมาก แต่ส่วนที่สะดุดตาผมนั้น มีเพียงแค่เฉพาะครึ่งเล่มแรกเท่านั้น  


 


 


ทันทีที่ผมคลี่กระดาษออก ผมก็เห็นข้อความอะไรบางอย่างที่เขียนด้วยลายมือตัวกลมอยู่ในด้านที่ว่างเปล่าของกระดาษ ดูแล้วมีความแตกต่างไปจากบันทึกที่เขียนโดยมาร์โวลโลอย่างสิ้นเชิง แล้วพอเพ่งดูดีๆ ผมจึงรู้ได้ว่าวิเวียนเป็นคนเขียนข้อความนี้ขึ้นมาเอง 


 


 


‘หึๆ ตื่นเต้นจังเลยแฮะ’ 


 


 


ผมจึงข่มจิตข่มใจที่เอาแต่เต้นรัวนี้ แล้วเริ่มวิเคราะห์อย่างเงียบๆ ไล่ตั้งแต่ตัวที่อยู่บนสุดเป็นตัวแรก จากนั้นก็… 


 


 


[คิมซูฮยอน ♡ วิเวียน] 


 


 


‘…’ 


 


 


ผมปิดหนังสือลงในทันที ไม่กล้าอ่านอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  


 


 


ด้านวิเวียนก็กำลังกัดเล็บตัวเองด้วยสายตาที่แสดงถึงความวิตกกังวล ผมเองก็อยากจะฟาดสันหนังสือเคาะลงบนหัวหล่อนบ้างเหมือนกัน แต่ก็ข่มความรู้สึกเช่นนั้นไว้ แล้วพูดออกมาว่า 


 


 


“วิเวียน ขอถามอะไรหน่อยอย่างหนึ่ง” 


 


 


“อะ…เอ๋? อ้อ…ถะ…ถา…ถาม…ถามมาสิ” 


 


 


“ที่เธอเขียนมาน่ะ หรือว่า…” 


 


 


“อะ…อะ…อืม” 


 


 


“คงไม่ได้คิดจะใช้พวกนี้ไปสั่งสอนแพคซอยอนใช่ไหม” 


 


 


ณ วินาทีนั้น ผมเห็นอารมณ์และความรู้สึกหลากหลายรูปแบบแล่นผ่านใบหน้าของวิเวียนเต็มไปหมด หล่อนกะพริบตาปริบๆ สีหน้างุนงงเล็กน้อย แล้วจึงรวบรวมสีหน้าท่าทางใหม่ ตอบกลับมาว่า 


 


 


“เฮ้อ ไม่ใช่สักหน่อย ที่นายว่าน่ะมันก็พอเป็นวิธีหนึ่งได้เหมือนกัน แต่มันเป็นวิธีที่ยากเอาเรื่องน่ะสิ คิดถึงหนทางที่มันจะสามารถไปได้อย่างง่ายดายสิ” 


 


 


‘หนทางง่ายๆ งั้นเหรอ’ 


 


 


นาทีที่ผมได้ยินคำพูดเช่นนั้นของวิเวียน ผมก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างวิ่งแล่นเข้ามาในแววตาของผม หากลองมาคิดๆ ดูแล้ว หล่อนเป็นสมาชิกเผ่าที่คอยช่วยแบ่งเบางานในส่วนของผมอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยทรยศผมเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกได้ว่าความตื่นเต้นที่เคยแตกสลายไปปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงได้นั่งจ้องวิเวียนอยู่เฉยๆ  


 


 


“ถ้างั้นตอนนี้ก็เข้าเรื่องเสียทีเถอะ จริงๆ แล้วจะทำยังไงกันแน่” 


 


 


คงเป็นเพราะหล่อนสามารถอ่านความจริงใจที่แฝงอยู่ในคำพูดของผมได้ วิเวียนจึงกลืนน้ำลายเอื๊อกหนึ่ง แล้วค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมา 


 


 


“โอเค ก่อนอื่นฉันจะพูดตั้งแต่ข้อสรุปเลยนะ อย่างแรกนายจะต้องทำน้ำยาที่จะทำให้จิตใจของผู้หญิงที่ชื่อแพคซอยอนพังทลายไปให้ได้” 


 


 


“ยาน้ำเหรอ บอกให้ฉันทำยาน้ำที่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจยัยคนนั้นน่ะเหรอ” 


 


 


“ถูกต้อง แต่ว่าเดี๋ยวก่อน ฉันขอเตือนอะไรไว้ล่วงหน้า ขึ้นชื่อว่าพลังจิตของมนุษย์แล้วมันไม่ใช่แขนงที่ง่ายอะไรขนาดนั้นนะ แค่น้ำยาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทั้งหมดหรอก จำข้อนี้ไว้ให้ดี ถ้านายรับฟังคำที่ฉันพูดก็จะดีมาก” 


 


 


ในตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังถึงขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘หนทางง่ายๆ’ ไม่ได้เล็ดลอดออกมาจากปากเลย เพราะฉะนั้นผมจึงทำได้แต่นั่งตั้งใจฟังหล่อนเงียบๆ  


 


 


วิเวียนกระแอมอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วจึงเริ่มบทสนทนาเลยทันที และคำอธิบายต่อเนื่องของหล่อนนั้นทำเอาผมรู้สึกสนุกสนานขึ้นมา 


 


 


เมื่อสมมติค่าพลังจิตโดยเฉลี่ยที่มนุษย์ปกติทั่วไปมีกันจะอยู่ที่หนึ่งร้อย ซึ่งจุดวิกฤตที่สูงมากพอจะทลายพลังจิตได้นั้น ทุกคนล้วนมีเหมือนกันหมดทั้งสิ้น คนที่พลังจิตอ่อนแอนั้น เพียงแค่โดนกระแทกเข้าไปสักสิบที ก็สามารถทำลายพลังจิตได้แล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งนั้น ต่อให้จะโดนกระแทกเข้าไปสักห้าสิบที แต่เขาผู้นั้นก็ยังจะสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดได้  


 


 


จึงสามารถกล่าวสรุปได้ว่า ค่าพลังจิตที่มนุษย์ทุกคนมีนั้นล้วนแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล อีกทั้งจุดวิกฤตที่จะทำให้พลังจิตนั้นสามารถทลายลงไปได้ ล้วนมีความแตกต่างกันออกไปเช่นกัน  


 


 


“อย่างนั้นหรอกเหรอ ถ้างั้นมันก็เทียบเท่ากับเกมที่ฉันเปิดให้พวกเร่ร่อนต่อสู้กันเองเมื่อคราวก่อนนั้นน่ะสิ” 


 


 


“อืม ถ้าตามที่ฉันอธิบายไปก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ นอกจากนี้วิธีที่เราจะสามารถกระแทกพวกมันได้มีอยู่เยอะมาก เช่น วิธีของผู้ฝึกสอนที่นายได้พูดไป นายจำสมัยแมงมุมเมื่อก่อนนู้นได้ไหมล่ะ” 


 


 


“ได้สิ หรือว่าจะเธอจะพูดถึงเรื่องน้องของจองฮายอน?” 


 


 


“อืม เด็กนั่นน่ะอดทนดีมากๆ แต่เจ้าเด็กนั่นน่ะมาเสียสติไป เมื่อตอนที่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองตั้งท้องเป็นไข่แมงมุม” 


 


 


วิเวียนหันมองไปรอบๆ เพราะไม่รู้ว่าจองฮายอนอยู่ด้วยหรือไม่ หลังจากนั้นจึงพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง  


 


 


“แต่อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ สติของมนุษย์นั้นไม่พังทลายลงง่ายๆ หรอก เพราะมีสิ่งที่เรียกว่าความอดทนอดกลั้นอยู่น่ะ อย่างที่ฉันพูดไป แพคซอยอนน่ะเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก น่าจะอดทนได้ดีทีเดียว ถ้างั้นไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม, บีบบังคับให้ทำ หรือทรมานร่างกาย บางทีในตอนแรกๆ อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ และยิ่งเวลาผ่านไป ความเสียหายอาจจะเท่ากับศูนย์เลยก็ได้นะ” 


 


 


“เดี๋ยวนะ งั้นถ้าใช้น้ำยาอย่างที่เธอว่า ผลลัพธ์มันจะไม่เหมือนกันเหรอ” 


 


 


“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ฉันก็เลยต้องใช้กลยุทธ์การใช้ม่านควันล่วงหน้าไง” 


 


 


“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แฮะ” 


 


 


วิเวียนหยุดพูดไปชั่วครู่ แล้วจึงชี้ไปยังน้ำยาของมาร์โวลโลกับผลของอิกดราซิล ข้อมูลเมื่อสมัยก่อนนั้นถูกยืนยันมาแล้วเรียบร้อย พูดง่ายๆ ก็คือ น้ำยานี้มีสรรพคุณช่วยทำหน้าที่เป็นสารเร่งปฏิกิริยาการแปรธาตุ และหากทานผลไม้ชนิดนี้เข้าไป มันก็จะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้สติฟั่นเฟือนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้… 


 


 


“อ้า”  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 24

 

ในตอนนั้นเองผมสามารถคิดอะไรออกมาได้หนึ่งอย่าง วิเวียนบอกว่าให้ผมทำน้ำยานั้นขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้ว… 


 


 


“เธอกำลังบอกให้ฉันทำน้ำยาตามที่เธอว่า โดยใช้สองตัวนี้เป็นส่วนประกอบใช่ไหม” 


 


 


“ถ้าจะให้ถูกต้องที่สุด ผลของอิกดราซิลจะต้องเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ตอนนี้ผลเน่าเสียของอิกดราซิลน่ะ อยู่ในสภาพที่สูญเสียสรรพคุณดั้งเดิมไปจนหมดสิ้นแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะยังเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามแต่ มีวิธีการปรุงยาปรากฏอยู่ในหนังสือแล้วนะ อีกทั้งผลลัพธ์จากการใช้งานโดยตรงก็ออกมาแล้วด้วย” 


 


 


“แล้วไงต่อ?” 


 


 


“มาร์โวลโลใช้เพียงทั้งหมดสี่ชิ้นเล็ก จากทั้งหมดประมาณสิบสองชิ้นเท่านั้น แล้วก็เอาแต่ละชิ้นมาแบ่งครึ่ง ใช้ได้ไปแปดรอบ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ใช้วิธีนี้เพียงวิธีเดียว เขาใช้วิธีอื่นไปพร้อมกันด้วย แต่มันก็เป็นตัวช่วยส่วนหนึ่งที่สามารถทำลายพลังจิตของราชินีแห่งเอลฟ์ที่ยังคงรักษาความสง่างามและความบริสุทธิ์เอาไว้ตลอดเวลาหลายร้อยปีเชียวนะ” 


 


 


ผมค่อยๆ หยิบผลไม้นั่นขึ้นมาอย่างเบามือ หล่อนบอกว่าใช้เพียงสี่ชิ้นเล็กๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นส่วนที่เหลืออยู่จึงมีทั้งหมดแปดส่วนด้วยกัน ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง แต่แล้วเสียงของวิเวียนก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น 


 


 


“ฉันหมายถึงว่าถ้าแบ่งเจ้าแปดชิ้นนั้นออกเป็นครึ่งๆ แล้ว เราจะสามารถทำยาได้ถึงสิบหกขวดเลยนะ คิมซูฮยอน นายคิดว่าไง” 


 


 


“…” 


 


 


“นายไม่สงสัยหรือว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง ถ้านายป้อนยาน้ำสิบหกขวดนั่นให้แพคซอยอนดื่มรวดเดียว” 


 


 


ผมไม่ได้ตอบกลับไปในทันที แต่กลับจ้องไปที่วิเวียนอย่างเงียบๆ แทน ตอนนี้หล่อนกำลังแสดงความมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน  


 


 


พอมาคิดๆ ดูแล้ว วิเวียนไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว ปัญหาเรื่องความแข็งแกร่งของผมที่เรื้อรังมานานทุเลาลงไปได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะหล่อนด้วยไม่ใช่หรือไง  


 


 


ผมค่อยๆ ไล้มือสัมผัสผลของอิกดราซิล พลันเกิดความรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา พร้อมกับพูดออกไปว่า 


 


 


“ดีกว่าที่คิดนะเนี่ย แต่ว่าวิเวียน ตอนนี้เธอรู้จักการพูดเพื่อดึงดูดความสนใจคนอื่นเขาเหมือนกันนี่” 


 


 


“เอ๋? ดึงดูดอะไร ความสนใจงั้นเหรอ” 


 


 


“หมายความว่าฉันเกิดสนใจขึ้นมาแล้วน่ะสิ แต่ว่าเราจำเป็นจะต้องใช้น้ำยาถึงสิบหกขวดให้แพคซอยอนกินคนเดียวเลยเหรอ เห็นเธอบอกว่าราชินีแห่งเอลฟ์ใช้แค่แปดขวดก็เพียงพอแล้วนี่นา” 


 


 


“อ้อ ไม่ว่าจะดูยังไงน้ำยานี้ก็เปรียบเหมือนดาบสองคมนั่นแหละนะ มันเป็นกรณีหนึ่งเดียวก็จริง แต่ว่าหากแพคซอยอนดื่มยาน้ำนี้เข้าไป แล้วเกิดต่อต้านขึ้นมาล่ะก็ ในตอนนั้นละที่วิธีการทุบตีเพื่อทำลายเธอจะยิ่งยากมากขึ้นไปอีก เมื่อกี้ฉันก็พูดเรื่องความอดทนไปแล้วใช่ไหมล่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรอกเหรอ ถ้างั้นขอถามอีกคำถาม มีวิธีอื่นที่ไม่ใช่การใช้น้ำยากไหม วิธีที่จะสามารถส่งผลกระทบต่อพลังจิตของผู้หญิงคนนั้นได้น่ะ ก่อนหน้านี้เธอบอกว่ามีสองวิธีนี่นา อย่างเช่น ทำเหมือนกับมาร์โวลโลในตอนนั้น…” 


 


 


ผมค่อยๆ ใช้หางตาตวัดมองไปที่ออร์โด แล้วเริ่มพูดเปรยๆ ออกไป วิเวียนเห็นดังนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะอันแสนสดใสออกมาทันที 


 


 


“ฮ่าๆ! รู้แล้วว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ คิมซูฮยอน โทษทีนะ แต่ฉันใช้ความสามารถของตัวเองในตอนนี้จัดการกับพลังจิตของหล่อนไม่ได้หรอก ไม่สิ ต่อให้เป็นมาร์โวลโล จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม ยังไงก็ดูท่าจะล้มเหลว” 


 


 


“งั้นเหรอ น่าเสียดายจังเลยนะ” 


 


 


“ยังไงก็ตามแต่วิธีการมันก็ไม่ได้มีมากมายอะไรไม่ใช่หรือไง ถ้าใช้พลังที่หลับใหลอยู่ในไม้เท้าด้ามนี้ ก็จะสามารถเลียนแบบอะไรสนุกๆ ได้ตั้งหลายอย่างจากพลังที่ส่งออกมาเลยนะ วิธีมีเยอะแยะจะตายไป ฉันมีสถานะแค่คอยเสนอให้นายเลือกเท่านั้น การเลือกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายคนเดียว คิมซูฮยอน” 


 


 


นั่นสินะ ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่แต่กับผมเพียงผู้เดียว ผมพลันเกิดความคิดว่าวิเวียนเองก็พูดเก่งเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิทธิพลของหนังสือสัญญาหรือเพราะนิสัยแท้จริงของหล่อนกันแน่ แต่ดูเหมือนว่าหล่อนกำลังคิดจะช่วยทำลายจิตใจของแพคซอยอนให้ถึงที่สุดอยู่เช่นเดียวกัน 


 


 


อย่างไรก็ตาม คำพูดของวิเวียนนั้นยังคงอยู่เพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น ต้องลองเข้าไปลงมือกระทำจริงเสียก่อนจึงจะสามารถกำหนดออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ ผมที่สามารถตัดสินใจได้ดังนั้น จึงตั้งใจจะไปเข้าประชุมและจบการพูดคุยกับวิเวียนเพียงเท่านี้ 


 


 


“โอเค ฉันตัดสินใจได้แล้ว ฉันจะพยายามวางแผนตามที่เธอบอกแล้วกันนะ” 


 


 


“โอเค โอเค เป็นการเลือกที่ดีมาก” 


 


 


“ฉันคิดว่าเดี๋ยวจะสร้างคุกที่ห้องซ้อมการต่อสู้ชั้นใต้ดินน่ะ ยังไงฉันจะอนุญาตให้เธอเข้าออกได้ตามสบายเลยแล้วกัน ถ้าต้องการกำลังคนหรือวัสดุอุปกรณ์อะไรก็บอกได้เลย ฉันจะช่วยสนับสนุนให้อย่างเต็มกำลัง” 


 


 


“ฟู่ว ตอนนี้เหมือนคิมซูฮยอนรับรู้คุณค่าที่แท้จริงในตัวฉันแล้วยังไงไม่รู้สิ” 


 


 


วิเวียนกอดอก พยักหน้าขึ้นลงด้วยสีหน้าแสนอวดเก่งเสียเหลือเกิน ผมถึงกับพยายามข่มนิสัยชอบอยากแกล้งหล่อน แล้วจึงพูดต่อไปว่า 


 


 


“โอเค โอเค ฉันขอมอบหมายสิทธิทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ให้เธอ เพราะฉะนั้นก็ช่วยทำให้ดีด้วย” 


 


 


“สบายใจหายห่วงได้เลย มีสักครั้งไหมล่ะที่ฉันทำให้นายผิดหวัง” 


 


 


ไม่มีน่ะสิ ผมเองก็มองว่าวิเวียนเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเข้ามารับผิดชอบงานเกี่ยวกับพวกเร่ร่อน 


 


 


ผมลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้าให้ครั้งสองครั้ง ทันใดนั้นวิเวียนที่ฉายความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นจึงเบิกตาโพลง แล้วพูดออกมาว่า 


 


 


“ให้ฉันไปงั้นเหรอ” 


 


 


“อืม ดูเหมือนตอนนี้ฉันจะต้องไปเข้าประชุมแล้ว เธอไม่ต้องเข้าก็ได้ ไม่ต้องลงมาข้องแวะอะไรกับงานทุกอย่างไปสักระยะหนึ่งนะ ขอให้จดจ่ออยู่แต่กับงานนั้นก็พอ”  


 


 


“อ้า…” 


 


 


“ทำไมล่ะ” 


 


 


วินาทีนั้นใบหน้าอันแสนเย่อหยิ่งของวิเวียนที่เผยออกมาจนถึงเมื่อครู่ดูหงอยลงไปถนัดตา หล่อนทำปากขมุบขมิบไปมาราวกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วหล่อนก็ยันกายลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่ดูเศร้าสลด 


 


 


‘ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นงั้นไปล่ะเนี่ย’ 


 


 


“วิเวียน?” 


 


 


“เข้าใจแล้ว งั้น…” 


 


 


วิเวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วช่างอ่อนแรง พร้อมลงมือเก็บของทีละชิ้น ทีละชิ้น  


 


 


ผมเอียงคอ พลางสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดแปลกไปหรือไม่ แต่แล้วนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก หลังจากนั้นในช่วงที่ผมตั้งใจจะเปิดประตูออกไปข้างนอกเพื่อเข้าประชุม จึงได้ยินเสียงอันแผ่วเบาลอยแว่วเข้ามาในหู 


 


 


“ตาบื้อ แค่แตะสักนิดสักหน่อยก็พอแล้ว…” 


 


 


‘…’ 


 


 


จริงๆ แล้ว วิเวียนตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่นะ? 


 


 


 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ผมขอจบการประชุมไว้เพียงเท่านี้นะครับ” 


 


 


ผมจัดการกับบันทึกที่ได้เขียนไว้เมื่อครู่และแจ้งปิดการประชุม ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นการประชุม แต่ทว่ากลับไม่ได้มีเนื้อหาที่พิเศษแต่อย่างใด พอเราสามารถจัดการกับปัญหาของพวกเร่ร่อนซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดได้แล้ว ดังนั้นปัญหาอื่นที่ค้างคาอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องยากมากมายถึงเพียงนั้น 


 


 


“ทุกคนคงยังรู้สึกเหนื่อยอ่อนกันอยู่บ้าง แต่ทว่าสถานการณ์รอบข้างกำลังเกิดความวุ่นวายมากๆ เมอร์เซนต์นารี่เองก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องเตรียมการไว้ให้แน่นหนาครับ” 


 


 


ห้องประชุมชั้นสามในขณะนี้ เหล่าสมาชิกทุกคนล้วนนั่งประชุมกันอยู่ ยกเว้นเพียงแค่วิเวียนกับชินแจรยง ผมเห็นสมาชิกเผ่าพยักหน้าอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วจึงเบนสายตาไปหาอันฮยอนกับจองฮายอน  


 


 


“ผมมีงานให้สองคนรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวด้วยครับ แต่ละคนก็ขอให้ช่วยดูแลรับผิดชอบในงานเหล่านั้น และช่วยพูดรายละเอียดปลีกย่อยที่จะทำการปรับปรุงอย่างละเอียดภายในวันนี้ด้วยนะครับ” 


 


 


“ครับ แคลนลอร์ด ว่าแต่พวกรายละเอียดปลีกย่อยที่จะต้องปรับโดยละเอียดนั่นน่ะ หมายถึงสิ่งไหนบ้างเหรอครับ” 


 


 


“อันฮยอน นายสรุปผลเรื่องอุปกรณ์ใช่ไหม เรื่องนั้นน่ะทำคนเดียวไม่ไหวหรอก มันจำเป็นที่จะต้องมีทั้งการประเมินคุณค่าสิ่งของและคนที่จะมาช่วยนายอีกทีหนึ่ง สิ่งเหล่านั้นนี่แหละที่นายจะต้องพูดกับฉัน” 


 


 


“ฮะ” 


 


 


อันฮยอนพยักหน้าหงึกๆ ให้ทันที ไม่รู้ว่าเข้าใจแล้วจริงๆ หรือเปล่า และเขาได้หันไปมองโกยอนจูด้วยสายตาอันแสนเจ้าเล่ห์ แต่แล้วก็เบนสายตากลับมาด้วยสีหน้าอันตกตะลึง ไม่รู้ว่าไปเห็นอะไรเข้า 


 


 


“ถ้างั้นขอยุติการประชุมไว้เพียงเท่านี้ครับ เชิญทุกคนออกไปก่อน แล้วก็ท่านผู้เฒ่าครับ ขอเวลาสักครู่…” 


 


 


‘ให้ช่วยอยู่ตรงนี้ก่อนจะได้ไหมครับ’ ผมตั้งใจจะพูดต่อไปเช่นนั้น แต่กลับหยุด ไม่ได้พูดต่อในทันที เพราะแพคฮันกยอลที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะยกมือขึ้นมา เจ้านี่ยกมือขอใช้สิทธิ์ในการพูดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งผิดวิสัยอย่างมาก ผมเห็นดังนั้นจึงผายมือให้เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ผู้เล่นแพคฮันกยอล อยากจะพูดอะไรหรือครับ” 


 


 


“ทะ…ท่านแคลนลอร์ด ขะ…ขอโทษนะครับ” 


 


 


แพคฮันกยอลลุกขึ้นยืนตัวสั่นงกๆ อีกทั้งยังเปิดประเด็นด้วยการขอโทษขอโพยตั้งแต่เริ่มแรก ท่าทีที่ดูว่างเปล่าแบบนั้น จะให้มองว่าเขากำลังกังวลกับอะไรอยู่ก็คงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งผมเห็นว่าเขามีท่าทีกระสับกระส่าย นั่งอยู่ไม่สุขตลอดการประชุม จึงคิดว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกไปเล็กน้อย 


 


 


“พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไรถึงได้ยกมือล่ะ” 


 


 


“ผม…จริงๆ ต้องพูดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ว่า…ลืมไปเสียสนิท…ผมดีใจมากที่ได้เจอพี่ ก็เลย…” 


 


 


“แพคฮันกยอล สงบสติอารมณ์ ทำใจร่มๆ หน่อย” 


 


 


“คะ คือว่า…” 


 


 


เขาเอาแต่พูดวกไปวนมา สายตาของสมาชิกเผ่าล้วนจับจ้องไปยังแพคฮันกยอลเพียงผู้เดียว และนั่นทำให้เขามีทีท่าสับสนงุนงงมากกว่าเก่า คำพูดที่จับจุดสำคัญอะไรไม่ได้เลยของเขา ทำเอาผมได้แต่นั่งเคาะโต๊ะไปพลางๆ รอคำพูดต่อไปจะออกมาจากปาก ผมเคาะโต๊ะอยู่อย่างนั้นได้ประมาณสิบที เจ้านั่นจึงเริ่มพูดออกมาได้อีกครั้ง 


 


 


“ความจริงแล้ว ตอนที่สมาชิกเผ่าออกจากเมืองเพื่อไปตามหาพี่…เผ่าอีสตันเทลลอว์ได้ส่งความช่วยเหลือมาให้เล็กๆ น้อยๆ ด้วยน่ะครับ” 


 


 


“อืม งั้นเหรอ ผู้เล่นจองฮายอนคงขอความช่วยเหลือไป คงส่งกำลังพลมาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่มีใครล่วงรู้และปกป้องแคลนเฮาส์ล่ะสินะ” 


 


 


เรื่องนี้ผมได้รับทราบจากจองฮายอนแล้วเป็นที่เรียบร้อย ผมเองก็กำลังคิดว่าเร็วๆ นี้จะเข้าไปเยี่ยมเผ่าอีสตันเทลลอว์เพื่อแสดงความขอบคุณต่อเรื่องราวในครั้งนี้ 


 


 


“ครับ แต่ว่าหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่พี่จะกลับมานั้น ผมได้รับการติดต่อผ่านคริสตัลจากพี่ฮายอนน่ะครับ ว่าพี่ยังมีชีวิตรอด…” 


 


 


“แล้ว?” 


 


 


“ด้วยความดีใจ ผมจึงไปบอกคนที่มาเพื่อป้องกันในตอนนั้นครับ เป็นคนที่แคลนลอร์ดรู้จักเป็นอย่างดี…แต่วันต่อมา ท่านผู้นั้นก็มาอีก…คือ…” 


 


 


“แพคฮันกยอล อย่ามัวแต่พูดตะกุกตะกัก อย่าตื่นเต้น แล้วอะไรคือปัญหา พูดแต่เนื้อ ไม่เอาน้ำ” 


 


 


ในที่สุดผมก็ไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกรำคาญที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ผมเองก็ทราบดีว่าตัวเองมีนิสัยเช่นนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้ว่าจะแกล้งไปอย่างนั้น แต่การที่ได้พูดคุยกับวิเวียนที่พอฟังเข้าใจได้ แล้วต่อด้วยมานั่งฟังแพคฮันกยอลพูดเนี่ย ทำเอาผมรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างประหลาด  


 


 


แพคฮันกยอลเองก็คงรู้สึกถึงสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน เขาจึงพูดต่อทั้งที่ยังมีสีหน้าตกใจ 


 


 


“อีสตันเทลลอว์ได้ฝากคำพูดหนึ่งถึงแคลนลอร์ดน่ะครับ เขาบอกว่าหากพี่กลับมาแล้ว ให้พาพวกเร่ร่อนมาที่แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ เรื่องนี้จริงๆ ผมต้องแจ้งตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ว่า…กลับลืมไปเสียสนิท…ขอโทษจริงๆ ครับ”  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 25

 

วินาทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ความสงสัย หากฝากการติดต่อมาให้เมื่อ หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าแล้ว แสดงว่าตอนนั้นพวกเรากำลังอยู่ระหว่างเส้นทางขากลับ แต่ผมกลับไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ พวกอีสตันเทลลอว์ทราบได้อย่างไรว่าพวกเราจับตัวพวกเร่ร่อนมาได้นี่สิ 


 


 


“ถ้างั้นแสดงว่าเขาพูดกับนาย ก่อนที่พวกเราจะกลับมาถึงสินะ แล้วอีสตันเทลลอว์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ” 


 


 


“เรื่องนั้นก็อย่างที่ฮันกยอลเล่าให้ฟังค่ะ ฉันได้แจ้งเรื่องที่ได้พบกับแคลนลอร์ด พร้อมอธิบายสถานการณ์ในตอนนั้นให้รับทราบด้วย” 


 


 


“ผู้เล่นจองฮายอนเหรอครับ” 


 


 


“ค่ะ ฮันกยอลเขาอยากรู้แบบละเอียดๆ น่ะค่ะ ก็เลย…” 


 


 


คำตอบออกมาจากปากของจองฮายอน ผมเม้มริมฝีปากตัวเองในทันที 


 


 


“แพคฮันกยอล ถ้างั้นนายก็เลยบอกความจริงพวกนั้นออกไป พวกกำลังพลที่มาช่วยเฝ้าระวังก็เลยไปพูดต่อแบบนั้นใช่ไหม ฉันพูดอะไรผิดไปตรงไหนหรือเปล่า” 


 


 


“ครับ ‘นายช่วยไปบอกแคลนลอร์ดของนายว่าให้พาพวกเร่ร่อนมาที่แคลนเฮาส์ของพวกเราด้วย’ ท่านว่ามาแบบนี้ครับ อ้า! แล้วก็แผนเรื่องคำสั่งเกณฑ์พลด้วย เขาบอกให้เข้าร่วมด้วยน่ะครับ…” 


 


 


“คำสั่งเกณฑ์พลเหรอ แล้วคนที่พูดแบบนั้นคือใครกัน” 


 


 


“เห็นว่าชื่อ เจ้าหญิงแห่งการสำเร็จโทษ…” 


 


 


ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างคร่าวๆ แล้วละ 


 


 


ใช่แล้ว ฮันโซยองเองก็ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรผิดพลาด แล้วก็ไม่ใช่ผู้เล่นที่จะใช้คำพูดคำจาแบบนั้นด้วย แต่หากเป็นยอนฮเยริมล่ะก็อาจมีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก เพราะนิสัยที่ไม่มองหน้ามองหลังของหล่อน ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ แล้วจึงกวาดตามองไปรอบๆ 


 


 


คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเรื่องนี้ล้วนมีสีหน้าเหม่อลอย ได้แต่นั่งกลอกตาไปมา แต่ทว่าพวกสมาชิกเผ่าที่อยู่ด้วยกันมานานนั้นกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนๆ กันหมดทุกคน แม้กระทั่งคนดีๆ อย่างชินซังยงยังทำท่าทางห่อเ**่ยวเลย 


 


 


ก่อนอื่นเราจะต้องสืบค้นหาข้อมูลโดยละเอียด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเมอร์เซนต์นารี่กับอีสตันเทลลอว์ที่มีมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ด้วย คำพูดผิดพลาดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของยอนฮเยริมนั้น ทำให้สมาชิกเผ่าเกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่ออีสตัลเทลลอว์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด และในช่วงที่ผมกำลังกังวลว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะหาจุดจบของปัญหานี้ให้ได้อย่างสวยงามที่สุดอยู่นั้น 


 


 


ก๊อก ก๊อก 


 


 


“ขอโทษที่ขัดการประชุมค่ะ พอดีมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น ขออนุญาตเข้าไปสักครู่หนึ่งค่ะ” 


 


 


ผมได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมาในตอนนั้น พอจะหันไปมอง ประตูห้องก็เริ่มเปิดกว้างออก คนที่เปิดประตูเข้ามานั้นคือ พวกลูกจ้างที่มาพร้อมกับชุดเมดกับสายรัดถุงน่อง หล่อนถอยหลังหนีไปเล็กน้อย คงเพราะตกใจกับบรรยากาศในที่ประชุมอันแสนเย็นชาและมึนตึง แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากพูดออกมาอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ตอนนี้มีผู้เล่นหนึ่งคนเข้ามาเยี่ยมแคลนเฮาส์ค่ะ แล้วก็มีเรื่องขอร้องอะไรสักอย่างด้วย เขาขอเข้าพบท่านแคลนลอร์ดน่ะค่ะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ลั้ลลา ลั้ลลา~” 


 


 


ณ แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ 


 


 


พัคดายอนกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจ พร้อมฮัมเพลงเบาๆ ไปพลาง หลังจากนั้นจึงบิดเอี้ยวตัวไปมา สะบัดมือไล่ความเมื่อย แล้วจึงวางปากกาขนนกลงจนเกิดเสียงดังตึก หล่อนชูบันทึกนั้นขึ้นฟ้าแล้วมองตาม พร้อมพูดออกมาว่า 


 


 


“ดีมาก เท่านี้ก็เสร็จสมบูรณ์ หึๆ” 


 


 


“เสร็จสมบูรณ์อะไรของเธอ” 


 


 


พรึ่บ! 


 


 


“อะ…เอ๋?” 


 


 


ในตอนนั้นเอง พัคดายอนได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากด้านหลัง บันทึกที่หล่อนกำลังถืออยู่ก็ถูกใครบางคนช่วงชิงไปในชั่วพริบตา พัคดายอนยื่นมือเพื่อจะจับอีกฝั่งของบันทึกฉบับนั้น แต่แล้วอีกฝ่ายกลับยกบันทึกชูขึ้นสูง 


 


 


พัคดายอนได้แต่ยืนเขย่งเท้าอยู่เช่นนั้น จนในที่สุดคงยอมรับได้ว่าตัวเองไม่สามารถช่วงชิงมาจากอีกฝ่ายได้ หล่อนจึงได้แต่หายใจฟึดฟัด พร้อมทำปากยื่นปากยาว แล้วจึงใช้สายตาอันคมกริบจ้องมองไปยังยอนฮเยริมที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


“อะไรเล่า มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” 


 


 


“เมื่อกี้ แต่นี่อะไรล่ะเนี่ย ไม่เห็นจะมีเนื้อหาอะไรแปลกใหม่เลย เห็นเธอเอี้ยวตัวซ้ายที ขวาทีมากเสียจนฉันนึกว่าเธอเขียนจดหมายรักถึงท่านลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ที่เธอเคารพรักอีกแล้วเสียอีก เห็นแบบนี้แล้วฉันก็อุตส่าห์คาดหวังไว้ซะเต็มที่” 


 


 


“จดหมายรง จดหมายรักอะไรกันเล่า บัตรเชิญเกี่ยวกับคำสั่งเกณฑ์ที่จะจัดขึ้นต่างหาก เอามานี่เลยค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นเหรอ แต่มันไม่จำเป็นต้องส่งแล้วนี่” 


 


 


ยอนฮเยริมยักไหล่ แล้วร่อนบัตรเชิญแผ่นนั้นออกไป  


 


 


พัคดายอนเห็นดังนั้นจึงรีบเคลื่อนตัวไปยังจุดที่กระดาษแผ่นนั้นร่อนลง แล้วหันหน้าไปถามใหม่อีกครั้ง 


 


 


“ทำไมคะ เรื่องนี้พี่โซยองสั่งการเองโดยตรงเลยนะ มีคำสั่งให้ยกเลิกออกมาแล้วเหรอคะ” 


 


 


“ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอ ว่าฉันน่ะได้ไปคุยกับเมอร์เซนต์นารี่มาก่อนหน้านี้แล้ว” 


 


 


ในตอนนั้นเองพัคดายอนก็เบิกตากว้าง พร้อมมีสีหน้าสงสัยขึ้นมาราวกับว่าหล่อนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกๆ ไป  


 


 


“อ้อ ก็คราวก่อนนู้นฉันไปดูยูนิคอร์นที่แคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่ใช่ไหมล่ะ ตอนนั้นมีเด็กน้อยที่ชื่อโล่กำบังของพระเจ้าอะไรสักอย่างน่ะ ขอให้ฉันบอกข่าวคราวของท่านลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่บ้าง ฉันก็เลยบอกเขาไปน่ะ แล้วก็บอกอีกว่าถ้าคิมซูฮยอนกลับมา ให้พาพวกเร่ร่อนมาให้ดูและก็ให้มาเข้าร่วมตามคำสั่งเกณฑ์ด้วย” 


 


 


“วะ…ว่ายังไงนะคะ” 


 


 


“เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่จำเป็นจะต้องส่งบัตรเชิญที่ลงทุนนั่งเขียนหลังขดหลังแข็งแบบนั้นไปหรอก โฮะๆ ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ” 


 


 


ยอนฮเยริมยกยิ้มมุมปากพร้อมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนจะภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก 


 


 


และในตอนนั้นเอง พัคดายอนก็ขยับคิ้วขึ้นลงไปมา แล้วแหกปากร้องตะโกนเสียงดังว่า 


 


 


“โว้ย! ไอ้พวกปัญญาอ่อน!” 


 


 


“ตกใจหมดเลย! ทำไมจู่ๆ ตะโกนขึ้นมาแบบนี้ล่ะ!” 


 


 


“เธอ…เธอบ้าไปแล้วเหรอเนี่ย” 


 


 


“โอ๊ย? เธอ? บ้าไปแล้วเหรอ? คำพวกนี้เธอไปเอามาจากไหน…” 


 


 


ยอนฮเยริมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วจึงรีบปิดหูทันทีหลังจากพัคดายอนตะโกนเสียงดังลั่นออกมาอีกครั้ง อีกทั้งคำหยาบคายที่พูดออกมาต่อจากนั้น ทำเอาหล่อนยิ่งขมวดคิ้วพันกันยุ่งกว่าเดิม แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ทว่าหลังจากหล่อนได้เห็นสีหน้าของพัคดายอนแล้ว จึงได้ยอมหยุดพูดไป 


 


 


ขณะนี้ความสับสนกำลังปรากฏอยู่บนใบหน้าของพัคดายอนอย่างชัดเจน คงเป็นเพราะสถานการณ์อันแสนน่าอายเช่นนี้ จึงทำให้ยอนฮเยริมได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่สามสี่ครั้ง แล้วพูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ 


 


 


“ไม่…จริงๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรที่มันพิเศษออกไปหรอก แค่เคยสนิทสนมกันสมัยอยู่สถาบันผู้เล่นตอนก่อนนู้นน่ะ…” 


 


 


“…พูดออกมาให้ชัดๆ เลยค่ะ พูดชัดๆ เลย ขอชัดๆ” 


 


 


“ก็แค่ถ้ากลับเมืองมาแล้ว ให้พาพวกเร่ร่อนมาที่เผ่าของพวกเรา แล้วก็คำสั่งเกณฑ์ใกล้จะจัดขึ้นแล้ว เพราะงั้นก็เลยสั่งให้มาเข้าร่วมด้วยน่ะ…” 


 


 


คำตอบของยอนฮเยริมทำเอาพัคดายอนถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง แต่แล้วหล่อนจึงรีบเงยหน้าขึ้นราวกับว่าตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือแล้ว แล้วเริ่มวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงแค่ยอนฮเยริมคนเดียว หล่อนได้แต่มองพัคดายอนด้วยสีหน้าอันแสนหดหู่ หลังจากนั้นจึงค่อยเดินตามขึ้นไปอย่างช้าๆ  


 


 


สถานที่ที่พัคดายอนมานั้นคือ ห้องทำงานของฮันโซยอง หล่อนเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาทันที ไร้ซึ่งการเคาะใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจึงเริ่มบ่นงึมงำๆ ถึงการกระทำอันแสนป่าเถื่อนของยอนฮเยริมทันทีที่ได้เข้ามา 


 


 


ในตอนแรกฮันโซยองเองก็แสดงความอึดอัดใจออกมา อาจเป็นเพราะอารมณ์เสียที่อีกฝ่ายไม่ยอมเคาะประตูเข้ามาก็ได้ แต่ทว่าอารมณ์ของหล่อนก็ได้เปลี่ยนไปทีละน้อย ทีละน้อยตามการบ่นงึมงำออกมาอย่างต่อเนื่องของอีกฝ่าย จนตอนนี้ความงุนงงจึงได้ฉายขึ้นมาอยู่บนใบหน้าของหล่อนแทน ซึ่งอารมณ์ที่แสดงอยู่บนดวงหน้าของหล่อน ณ ขณะนี้ถือว่าหาดูได้ยากมาก หลังจากหล่อนได้สมญานามว่า ‘ราชินีแห่งเลือดและเหล็ก’ 


 


 


หลังจากฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ฮันโซยองจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมวางบันทึกที่ถืออยู่ลง แล้วจึงมองยอนฮเยริมที่เดินกระดากใจเข้ามาจากด้านนอกประตู พร้อมกับเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ยอนฮเยริม ที่ดายอนพูดออกมาตอนนี้น่ะเป็นความจริงหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่ค่ะ คือ…” 


 


 


“เป็นความจริงไหม” 


 


 


“…อืม” 


 


 


ฮันโซยองกุมหน้าผากด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้มือนวดหน้าผากตัวเองอยู่อย่างนั้นไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน 


 


 


“เธอนี่มัน…ทำไมถึงได้โง่แบบนี้ เรื่องที่จะต้องทำก็มีเยอะแยะเต็มไปหมดอยู่แล้ว ทำไมถึงเอาแต่สร้างเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาล่ะ ฮะ?” 


 


 


“ฉัน…ไม่มีความหมายประสงค์ร้ายอะไรแฝงอยู่เลยจริงๆ นะ…” 


 


 


ในตอนนั้น ยอนฮเยริมเองก็คงรู้สึกได้ว่าสถานการณ์มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หล่อนจึงจ้องไปยังบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะของฮันโซยอง พร้อมบ่นขมุบขมิบด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย  


 


 


หากจะให้ว่ากันโดยละเอียดแล้ว ความหมายที่มีอยู่ในการกระทำของยอนฮเยริมนั้นก็ไม่ได้ผิดแผกอะไร เดิมทีกฏระเบียบก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว การตัดสินคดีเกี่ยวกับพวกเร่ร่อนนั้น ตัวแทนเผ่าเป็นผู้รับผิดชอบส่วนนี้อยู่ และสถานการณ์ในขณะนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่แคลนเมอร์เซนต์นารี่มาเข้าร่วมด้วยก็คงจะเป็นเรื่องดี 


 


 


แต่ถึงแม้ข้อความที่ได้นั้นจะเหมือนกัน แต่ด้วยวิธีการสื่อสารต่างหากที่จะทำให้ผู้รับฟังเกิดความไม่เข้าใจในสาสน์นั้นๆ ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ปัญหาของกลวิธีนั่นเอง  


 


 


สิ่งที่จะต้องพึงรักษาไว้ระหว่างกันและกันนั้น อย่างน้อยก็จะต้องมีขั้น มีตอนไว้เสียบ้าง ซึ่งจากข้อนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่ใช่เผ่าที่อยู่ภายใต้สังกัดของอีสตันเทลลอว์ อีกทั้งยังเป็นเผ่าทหารรับจ้างอิสระอีกด้วย ไม่สิ ต่อให้เป็นเผ่าภายใต้อาณัติ ก็จะไม่ปฏิบัติเช่นนี้อย่างแน่นอน ถึงจะบอกว่ามีกฏระเบียบหรือมีสถานการณ์เป็นเช่นไรก็ตามแต่ ทั้งสิทธิ์แรกเกี่ยวกับพวกเร่ร่อนและการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ในครั้งนี้หรือไม่นั้น ล้วนเป็นสิทธิของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่โดยเฉพาะ ซึ่งจะไม่มีผู้ใดละเมิดสิทธิ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน  


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือ การกระทำของยอนฮเยริมนั้น ล้วนมีแต่ความเชื่อมั่นในความสนิทสนมอันหาสาระไม่ได้ เมื่อสมัยอยู่สถาบันผู้เล่น อีกทั้งหล่อนยังไม่ใส่ใจ ไม่สนใจขั้นตอนสำคัญใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวคือ การกระทำของหล่อนในครั้งนี้อาจทำให้ฝั่งเมอร์เซนต์นารี่รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง 


 


 


“ทำอย่างไรดีล่ะคะ” 


 


 


พัคดายอนเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันไร้ซึ่งแรง หลังจากนั้นยอนฮเยริมที่ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ จนถึงเมื่อครู่นี้จึงได้ตอบออกมาอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ฉันรู้ตัวดีว่าทำผิดพลาดไป ถ้างั้นเราแค่บอกขอโทษไปเฉยๆ ไม่ได้เหรอ เขาก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” 


 


 


“อีกแล้ว อีกแล้ว จะสร้างปัญหาอะไรอีกแล้ว ยังไงก็เถอะ หากใช้มันสมองได้สักครึ่งหนึ่งตอนไปรบได้ล่ะก็…ช่างเถอะ เรื่องขอโทษน่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว ยังไงก็ลองขอโทษเขาไปก่อนแล้วกัน” 


 


 


คำพูดทั้งหมดที่ว่ามานั้นล้วนสมเหตุสมผลดีหมดทุกประการ แต่ทว่าพัคดายอนนั้นกลับส่ายหน้าไปมา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ทั้งการกระทำและท่าทางการพูดเช่นนั้นล้วนกระทบใจยอนฮเยริม ทำเอาหล่อนรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก 


 


 


ความเงียบเข้ามาปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ฮันโซยองเอามือที่กุมขมับไว้ลง คงเป็นเพราะอาการปวดหัวตุบๆ เมื่อก่อนหน้านี้ทุเลาลงไปบ้างแล้ว แล้วจึงจ้องไปยังทั้งสองที่ยืนประหม่าอยู่ตรงหน้า พร้อมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา 

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 26

 

การที่มีผู้เล่นเข้ามาเยี่ยมเป็นครั้งแรกนั้น ไม่ได้ทำให้ผมตกใจเสียจนขนาดนั้น เพราะมีเหล่าผู้เล่นต่างสนอกสนใจในเมอร์เซนต์นารี่ที่กลับคืนมาอยู่ตลอด ดังนั้นผมจึงคิดว่าอาจจะโจซึงอูหรือไม่ก็คูเยจีก็ได้ที่เข้ามาหาพวกเรา 


 


 


แต่ลูกจ้างบอกว่าเป็นผู้มาร้องขอ การพึ่งพาอาศัยในสถานการณ์ที่โดนทวีปตะวันตกรุกรานอยู่ ในขณะนี้นั้น คือ สถานการณ์ที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ทั้งสิ้น แต่ทว่าผมกลับกระตือรือร้นขึ้นมาเสียแล้วสิ ดังนั้นผมจึงรีบปิดการประชุม แล้วขอข้อมูลจากลูกจ้าง  


 


 


หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากลูกจ้างแล้ว ผมจึงเข้ามายังห้องรับแขก ทันใดนั้นก็เห็นผู้เล่นหญิงคนหนึ่งที่ใส่เสื้อคลุมสะอาดสะอ้าน  


 


 


ในตอนที่ผู้เล่นหญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง ผมเกิดผงะไปชั่วครู่ 


 


 


“สวัสดีค่ะ!” 


 


 


“อ้า ครับ สวัสดีครับ” 


 


 


ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้เล่นที่ผมรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่จากรอบที่สอง แต่เป็นรอบแรก 


 


 


“ไม่ทราบว่าใช่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่หรือเปล่าคะ” 


 


 


“ครับ ผมคิมซูฮยอน ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ” 


 


 


“อ้า~ หนุ่มกว่าที่คิดนะคะเนี่ย ยินดีที่ได้พบค่ะ ฉันฮยอนซึงฮี ลอร์ดของเผ่าแสงดาวค่ะ” 


 


 


ฮยอนซึงฮียื่นมือเข้ามาหาพร้อมส่งมอบรอยยิ้มอันแสนมีชีวิตชีวามาให้ ผมเผลอตัวยื่นมือออกไปจับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าหล่อนมาหาผมทำไมกันแน่ แต่อย่างน้อยเผ่าแสงดาวนี้ก็ไม่ใช่เผ่าที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ทางทิศใต้ในปัจจุบัน 


 


 


ในพริบตาเดียว ความสงสัยใคร่รู้อันมากมายจึงก่อเกิดขึ้นมาภายในใจผม อย่างไรก็ตามหากลองฟังหล่อนพูดมาก่อน ก็คงจะรู้อะไรบ้าง ดังนั้นผมจึงเชิญให้ฮยอนซึงฮีนั่งลง 


 


 


“ได้ยินมาว่ามีเรื่องร้องขอเหรอครับ” 


 


 


“ใช่ค่ะ อ้า…ไม่ทราบว่าฉันเป็นคนมาร้องขอคนแรกเลยหรือเปล่าคะ” 


 


 


“ไม่นะครับ” 


 


 


“อ๊ะ น่าเสียดายจัง” 


 


 


ฮยอนซึงฮีแสดงสีหน้าเสียดายออกมาอย่างปิดไม่มิด แต่แล้วหล่อนก็บิดขาไปมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี และวางมือทั้งสองข้างลงบนเข่า หลังจากนั้นจึงพูดออกมาด้วยสีหน้าพริ้มเพรา  


 


 


“ไม่ทราบว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันหรือไม่คะ” 


 


 


“ครับ ก็พอประมาณ…ผมทราบว่าคุณเป็นผู้เล่นคนหนึ่งที่สามารถฝึกยูนิคอร์นให้เชื่องได้” 


 


 


“ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวแล้วเนอะ เพราะไม่นานมานี้มีผู้เล่นที่สามารถฝึกยูนิคอร์นให้เชื่องได้เพิ่มมาอีกหนึ่งคนน่ะค่ะ” 


 


 


คนที่ฮยอนซึงฮีพูดถึงอยู่นั้นคือผมอย่างแน่นอน ระยะเวลาที่ผมได้พาเจ้ายูนิคอร์นน้อยมาอยู่ด้วยนั้นได้ผ่านไปนานแล้วเหมือนกัน ดังนั้นข่าวลือคงแพร่สะพัดออกไปบ้าง ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้ายูนิคอร์นน้อย จึงได้พยักหน้าไปเพื่อสื่อความหมายว่าให้หล่อนพูดต่อได้ ฮยอนซึงฮีเห็นดังนั้นจึงส่งรอยยิ้มอันแสนดึงดูดใจออกมา แล้วเริ่มบทสนทนาไปอย่างช้าๆ  


 


 


เผ่าแสงดาวนั้น เดิมทีเป็นเผ่าในสังกัดที่เคยปฏิบัติภารกิจในเมืองทั่วไปทางตะวันตก อย่างเช่น ในเมืองฮาโล เป็นอีกหนึ่งเผ่าที่มีเผ่าจำนวนมากเข้าร่วมการเดินทางไกลไปในเทือกเขาเหล็กกล้า แต่ทว่าการเดินทางไกลในครั้งนั้นกลับล้มเหลว จึงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ฮยอนซึงฮีเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากยูนิคอร์น ทำให้หล่อนสามารถรอดชีวิตและหนีรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด  


 


 


หลังจากนั้นในขณะที่กำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อฟื้นฟูใหม่อีกครั้งนั้น การบุกโจมตีของทวีปตะวันตกก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยภายหลังที่เบธกับโดโรธีนั้นถูกเข้ายึดครองเสียจนหมดกำลังสู้ จึงทำให้หล่อนเกิดความคิดแน่วแน่ที่ว่าจะต้องออกไปจากฮาโลให้จงได้ 


 


 


“ถ้างั้น คุณก็ออกจากการเป็นเผ่าภายใต้ SSUN น่ะสิครับ” 


 


 


“ใช่แล้วค่ะ จริงๆ แล้วหลังจากพวกเราเดินทางไกลกลับมา เราไม่ได้มีความรู้สึกพึงพอใจกับอะไรสักอย่างเลยแม้แต่น้อย คราวก่อนนู้นก็บอกว่าจะนำแผนผู้เล่นใหม่ที่ชื่อว่าแผนพัฒนาผู้เล่นมาใช้ แต่แล้วกลับไม่ยอมมาจัดการรับผิดชอบงานที่เหลือเลย เบธกับโดโรธีก็ส่งคำร้องของกำลังพลแล้ว แต่วาร์ปเกตกลับถูกตัดไปเสียอย่างนั้น ตอนนี้เห็นว่ากำลังเข้ามาฮาโลแล้วด้วยนี่คะ ต่อให้ประชุมแผนนโยบายทุกวัน แต่แล้วมันก็พลิกหงายหลังกลับไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ฉันเลยทิ้งทั้งฐานะและอะไรอีกหลายๆ อย่าง แล้วหนีมาที่โมนิก้ายังไงละคะ ขืนอยู่ที่นั่นต่อไปเรื่อยๆ ฉันคงเหมือนตายทั้งเป็นแน่ๆ ค่ะ” 


 


 


ฮยอนซึงฮีบ่นออกมาเร็วปานจรวด คงเป็นความไม่พอใจที่เพิ่มพูนสะสมมาจนถึงตอนนี้ 


 


 


“อย่างไรก็ตาม คุณจะว่าฉันเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวก็ได้ แต่ยังไงก็ช่วยมองในแง่ดีด้วยนะคะ ตอนนี้มีผู้เล่นที่เป็นแบบนั้นอยู่เยอะมาก คงหมดหนทางแล้วเลยเป็นอย่างนั้นมั้งคะ” 


 


 


“ผมไม่คิดว่าเป็นการขี้ขลาดตาขาวอะไรหรอกครับ” 


 


 


ผมตอบออกไปอย่างชัดเจน และมองไปยังฮยอนซึงฮี ตอนนี้หากใจเราตรงกัน ผมเองก็อยากจะถามถึงสถานการณ์ของเมืองทางทิศตะวันตกหรือไม่ก็ถามนู่นถามนี่ไปเรื่อยเช่นเดียวกัน แต่ทว่ามองแล้วดูเหมือนคงไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ 


 


 


“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันจะพูดถึงเนื้อหาทั่วไปที่มาร้องขอเลยนะคะ ไม่มีที่ไหนที่ฉันจะไปขอร้องได้อีกแล้วค่ะ นอกจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่” 


 


 


“บางทีดูเหมือนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้ายูนิคอร์นน้อยนะครับเนี่ย” 


 


 


“ฉันละชอบคนรู้ทันจริงๆ ใช่แล้วค่ะ เมื่อครู่ฉันได้พูดไปแล้วใช่ไหมคะ ว่าฉันรอดชีวิตจากการเดินทางไกลในเทือกเขาเหล็กกล้าได้ก็เพราะมียูนิคอร์นช่วยไว้ ตอนนั้นยูนิคอร์นเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักเหมือนกัน แต่ก็ยังมาช่วยฉันไว้ โชคดีที่เราทั้งสองยังรอดชีวิตมาได้ อีกทั้งยังสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของยูนิคอร์นได้อีกด้วย แต่หลังจากนั้นมาเขาก็ดูอ่อนแรงไปเสียแล้ว” 


 


 


ไม่รู้ว่าฮยอนซึงฮีคิดอยากจะดูแลยูนิคอร์นด้วยน้ำใสใจจริงหรือไม่ เพราะใบหน้าที่เคยยิ้มแย้ม ส่องประกายสดใสจนกระทั่งถึงตอนนี้กลับกลายมามีความทุกข์เข้ามาฉาบไว้เป็นครั้งแรก 


 


 


“ไม่รู้ว่าคุณทราบอยู่แล้วหรือเปล่า ยูนิคอร์นน่ะเป็นสัตว์ที่ไวต่อความรู้สึกมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นเผ่าที่ตัวเองช่วยไว้ตายไป หรือไม่ก็ไม่สามารถลืมเลือนภาพอดีตเหล่านั้นไปได้กันแน่ ฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ถึงอาการบาดเจ็บทางร่ายกายจะสามารถรักษาให้หายได้ แต่การบาดเจ็บทางใจน่ะฉันยังหาทางแก้ไขไม่เจอเลย ดังนั้นช่วยให้ฉันพบกับยูนิคอร์นที่อยู่เมอร์เซนต์นารี่ทีเถอะค่ะ” 


 


 


“ให้พบเจ้ายูนิคอร์นน้อย เพื่อตั้งใจจะหาทางรักษาอย่างนั้นสินะครับ” 


 


 


“ค่ะ ยูนิคอร์นเนี่ยถ้าเป็นเผ่าเดียวกันแล้วเขาจะแข็งแรงมากใช่ไหมล่ะคะ บางทีหากทั้งสองได้เจอะเจอกันแล้ว ฉันคิดว่าอาจจะมีปฎิกิริยาตอบสนองอะไรใหม่ๆ ออกมาให้เห็นด้วยน่ะค่ะ” 


 


 


หล่อนพูดยืนยันออกมาเช่นนั้นแล้ว จึงทำให้ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับไป ไม่รู้ว่าหล่อนคิดว่าการกระทำของผมเช่นนั้นคือการตกลงยินยอมหรือไม่ ฮยอนซึงฮีจึงรีบเปลี่ยนอากัปกิริยาโดยทันที 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นแล้ว ฉันอยากจะขอร้องในฐานะที่เราต่างเป็นผู้เล่นที่ฝึกให้ยูนิคอร์นเชื่องเหมือนๆ กันค่ะ ขอให้ถือว่าเป็นการช่วยเด็กน่าสงสารคนหนึ่งให้อยู่รอดก็แล้วกันนะคะ ช่วยเราสักครั้งจะได้หรือไม่คะ” 


 


 


คำว่าคำร้องขอแปรเปลี่ยนไปเป็นการขอร้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ฮยอนซึงฮีพยายามปั้นหน้าให้ดูงดงามกว่าเดิม อีกทั้งยังทำท่าทีให้ร่างกายดูดีขึ้นอีกด้วย ฝีมือในการชักจูงใจผู้ชายก็อยู่ในระดับมาตรฐานเลยละ แต่ทว่าสำหรับผมนั้น มีสุดยอดฝีมือเกี่ยวกับเรื่องนี้(?)อยู่ทั้งคนแล้ว นั่นก็คือ โกยอนจูนั่นเอง ผมเห็นดังนั้นแล้วจึงตอบออกไปด้วยความสุขุม 


 


 


“ผมเองก็ทราบถึงความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันครับ ยิ่งไปกว่านั้น คุณตรงมาที่นี่เพื่อร้องขอโดยเฉพาะ ผมจึงไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธอะไรหรอกครับ หากค่าตอบแทบชัดเจน ผมก็พร้อมรับการร้องขอในครั้งนี้ด้วยความยินดีครับ” 


 


 


ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของฮยอนซึงฮีได้แปรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าเง้างอเสียแทน ผมเห็นดังนั้นจึงได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ 


 


 


 


 


 


หมู่นี้แคลนเฮาส์ของเรามีงานยุ่งให้จัดการอยู่ไม่ขาดสาย อาจเนื่องมาจากการประชุมเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เขาคงอ่านใจผมได้ว่า ผมอยากจะรีบเดินหน้าให้เร็วที่สุด สมาชิกเผ่าจึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็ว และรายการต่างๆ ที่ผมได้สั่งไปนั้นก็กำลังอยู่ในช่วงจัดการตามที่สั่งไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง  


 


 


แคลนเฮาส์ที่ผมกำลังดูอยู่ในตอนนี้ เห็นได้ว่าการเดินทางเข้าออกของเหล่าชาวเมืองกลับเบาบางลงไปถนัดตา จองฮายอนได้คัดเลือกใบเสนอราคามาให้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเอง หล่อนได้ไปหา รวมทั้งขอร้องเหล่าชาวเมืองที่จะมาช่วยสร้างแคลนเฮาส์ในครั้งนี้ด้วย และเมื่อไม่นานมานี้เอง หล่อนได้นำแผนผังกับงบประมาณสำหรับก่อสร้างมาให้ผมเซ็นอนุมัติ  


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การก่อสร้างสามารถเริ่มดำเนินงานได้ตั้งแต่เมื่อวาน สามารถพูดได้เลยว่าจองฮายอนจัดการงานได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมากจริงๆ  


 


 


ผมจ้องมองเหล่าชาวเมืองที่เดินไปล็อบบี้บ้าง ใต้ดินบ้างอย่างสุขุม แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปมองดาดฟ้าตึก ด้วยความที่อยู่ในช่วงก่อสร้าง จึงทำให้พวกเราไม่สามารถคุมขังตัวพวกเร่ร่อนได้ ดังนั้นจึงย้ายพวกนั้นขึ้นไปไว้บนดาดฟ้าตึกเป็นการชั่วคราว 


 


 


ผมสบตาเข้ากับโกยอนจูที่กำลังเฝ้าพวกเร่ร่อนอยู่ ไม่รู้ว่าหล่อนได้มองลงมาข้างล่างบ้างหรือไม่ ผมจึงโบกมือไปให้หล่อน หล่อนเห็นดังนั้นจึงโบกมือตอบกลับมาบ้าง หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปยังด้านในของแคลนเฮาส์ แล้วเคลื่อนตัวขึ้นไปยังชั้นสาม 


 


 


ทันทีที่เข้ามายังห้องเก็บอุปกรณ์ชั้นสาม ผมจึงได้พบกับใบประเมินคุณค่าสิ่งของแขวนอยู่ตามอุปกรณ์ต่างๆ ที่วางอยู่ แพคฮันกยอล, ชินซังยง, ท่านผู้เฒ่า รวมทั้งอันฮยอนต่างก็กำลังมุ่งมั่นจัดการกับอุปกรณ์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าผมเข้ามาหา  


 


 


ผมยืนมองภาพเหล่านั้นด้วยใจอันอิ่มเอิบ แล้วจึงค่อยพาตัวเองไปยังห้องทำงาน ช่วงนี้ผมไม่ค่อยเห็นวิเวียน เลยคิดว่าจะลองแวะไปดูบ้าง แต่แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าการที่เทียวไปเทียวมาอยู่เช่นนั้น อาจจะรบกวนการทำงานได้เช่นกัน 


 


 


เมื่อผมเดินทางมาถึงห้องทำงานชั้นสี่แล้ว จึงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จมอยู่ในห้วงความคิดอย่างเงียบๆ งานต่างๆ กำลังถูกจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางทีงานเหล่านั้นอาจจะเสร็จสมบูรณ์ได้ในช่วงเร็ววันนี้ จึงทำให้ผมคิดถึงงานที่จะสะสางต่อไปในอนาคต  


 


 


ในช่วงที่ผมหยิบบันทึกกับปากกาขนนกออกมาด้วยใจที่อยากจะจัดการเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปนั้น 


 


 


ก๊อก ก๊อก 


 


 


“พี่! อยู่ข้างในหรือเปล่า พี่!” 


 


 


ผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงอียูจองที่กำลังเรียกผมอย่างร้อนใจ 


 


 


“เข้ามา” 


 


 


ทันทีที่ผมบอกให้เข้ามาได้ ประตูก็เปิดออกในทันที แล้วจึงพบเข้ากับอียูจองที่มีสีหน้าร้อนใจกับอะไรสักอย่าง หล่อนรีบสาวเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้ว จึงเปิดปากพูดออกมาว่า 


 


 


“พี่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” 


 


 


ผมกำลังให้ความสนใจกับอียูจอง ผู้ติดตามของผมในช่วงนี้ ในช่วงแรกก็ให้เป็นผู้ติดตามไปก่อนเพื่อที่จะได้สังเกตหล่อนอย่างใกล้ชิด แต่ก็คิดว่ามีความสามารถมากกว่าที่คิดไม่ใช่เล่นๆ ทว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพียงแค่ข้อด้อยเพียงข้อเดียวเท่านั้น ข้อด้อยที่ว่าก็คือ หล่อนมักบอกว่า ‘เกิดเรื่องใหญ่แล้ว’ อยู่ทุกที ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรเลยด้วยซ้ำ 


 


 


“หืม? เรื่องอะไร” 


 


 


ผมวางบันทึกที่เพิ่งหยิบมาไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นถึงถามหล่อนกลับไป พลางหมุนปากกาขนนกในมือไปพลาง ทันใดนั้นอียูจองก็กลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า 


 


 


“เผ่าอีสตันเทลลอว์มาหา แคลนลอร์ดมาเองเลย” 

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 27

 

“ขอโทษนะคะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่” 


 


 


ผมได้บอกให้สมาชิกเผ่าของอีสตันเทลลอว์ที่มาเยือนเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไปที่ห้องรับแขกด้วยตัวเอง แล้วจึงเชิญให้เขานั่งลง ซึ่งในวินาทีผมนั่งลงบนเก้าอี้ไปด้วยนั่นเอง ยอนฮเยริมก็เริ่มต้นประโยคมาด้วยการขอโทษขอโพย จนทำให้ผมเกิดความรู้สึกลังเลอย่างไรชอบกล หลังจากนั้นผมจึงมองไปยังฮันโซยองที่นั่งลงกับที่อย่างสบายๆ ฮันโซยองกำลังจ้องยอนฮเยริมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


“คราวก่อนที่ได้มาเฝ้าระวังแคลนเฮาส์ ฉันเผลอพูดอะไรไม่ยั้งคิดให้สมาชิกเผ่าของคุณฟังน่ะค่ะ ฉันจะไม่แก้ตัวให้ตัวเองน่าละอายไปมากกว่านี้ ฉันคิดตื้นไปเองค่ะ ตอนนี้ฉันได้ทำเสียมารยาทไปแล้ว ขอความกรุณาให้คุณให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้งด้วยนะคะ”  


 


 


ยอนฮเยริมก้มหัวลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งน้ำเสียง ลักษณะการพูดต่างนอบน้อมเป็นอย่างมาก ผิดกับตัวจริงลิบลับ  


 


 


ความจริงแล้ว การที่ยอนฮเยริมจากอีสตันเทลลอว์เข้ามาหาเพื่อขอโทษในสิ่งที่พูดผิดไปเมื่อก่อนหน้านี้นั้น เป็นเรื่องที่ไกลเกินคิด ผมกำลังสันนิษฐานว่าคงมาเพื่อขอคืนดีเสียมากกว่า ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยว่ายอนฮเยริมจะบุกเข้ามาขอโทษเองขนาดนี้ แต่ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมาเสียแล้ว 


 


 


อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าเพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการขอโทษด้วยดีแล้ว อีกทั้งผมก็ไม่ได้คิดจะยืนกราน ดื้อด้านต่ออีสตันเทลลอว์แต่อย่างใด ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจัดการปัญหาที่ค้างคาอยู่ให้หมดสิ้น 


 


 


“ผมจะรับคำขอโทษไว้แล้วกันนะครับ ตอนแรกที่ได้ยินคุณมาว่าแบบนั้น ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรหรอกครับ เพียงแต่ถ้าเป็นราชินีแห่งการสำเร็จโทษที่ผมรู้จัก แม้ลักษณะการพูดจะเป็นเช่นนั้น แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกเช่นนั้นเหมือนอย่างที่พูดน่ะครับ” 


 


 


ผมจงใจยกประเด็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับยอนฮเยริมขึ้นมา เพราะผมรู้ดีว่านิสัยของหล่อนรุนแรง หยาบกระด้างและรักในศักดิ์ศรีตัวเองมากถึงเพียงใด ผมจึงคิดว่าคงจะดีเหมือนกันหากผมช่วยหยุดยั้งนิสัยเหล่านั้นได้ ทันใดนั้นผมจึงเห็นยอนฮเยริมที่เงยหน้าขึ้นมานั้น ดูมีท่าทีที่สดใสมากขึ้นสักเล็กน้อย 


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ ฉันเองก็อยากจะขอโทษที่ไม่สามารถดูแลสมาชิกเผ่าได้อย่างทั่วถึงเช่นกันค่ะ” 


 


 


ในตอนนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของฮันโซยองที่นั่งมองอยู่เฉยๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ดังขึ้นมา ผมส่ายหน้าให้ทันที มีคำพูดที่ว่า ‘การที่ได้ฟังเรื่องราวดีๆ ก็ถือว่าดีอยู่หรอก แต่หากฟังเรื่องดีเช่นนั้นเข้าบ่อยๆ ก็จะเกิดความรู้สึกเอียน ไม่ชอบเรื่องนั้นได้สักวันหนึ่ง’ ดังนั้นการที่ผมมานั่งฟังแต่คำขอโทษอยู่เช่นนี้ จึงทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างเสียมิได้  


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมจะชี้แจงให้สมาชิกเผ่ารับทราบเองครับ ไม่ต้องกังวลนะครับ“ 


 


 


“ค่ะ ถ้างั้นก็ขอความกรุณาด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้าใจพวกเราค่ะ” 


 


 


อีกฝ่ายคงรู้แล้วว่าผมพูดตัดบทออกมาแล้ว ฮันโซยองจึงพยักหน้าตอบรับกลับมา ในตอนนั้นเองยอนฮเยริมก็เงยหน้าขึ้นมาพอดิบพอดี กอปรกับเห็นแววตาของฮันโซยอง หล่อนจึงได้หย่อนกายนั่งลงในที่สุด 


 


 


ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบไปชั่วขณะ ตอนที่ยังขอโทษขอโพยกันก็ดีอยู่แท้ๆ แต่ทว่าหลังจากนั้นมา บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแทน ฮันโซยองเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม  


 


 


ผมจึงเห็นหล่อนเริ่มบทสนทนาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ 


 


 


“ฉันตกใจมากเลยค่ะที่ได้ทราบข่าวว่าคุณหายตัวไปจากมิวล์ อาจจะมาทักทายช้าไปสักนิด แต่การที่คุณสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย นับว่าเป็นโชคดีมากๆ ค่ะ” 


 


 


“ครับ ผมเองก็ไม่นึกว่าพวกเร่ร่อนจะบุกโจมตีแบบนั้น ในระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายเลยครับ แต่…อย่างที่พวกคุณเห็น ผมสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยดีครับ เห็นทีผมเองก็จะต้องขอบคุณที่มาช่วยดูแลป้องกันแคลนเฮาส์ของพวกเราด้วยนะครับ” 


 


 


“ขอบคุณอะไรกันคะ เราไม่ได้ตั้งหน่วยกู้ภัยอะไรขึ้นมาเลย ได้แต่รออยู่ท่าเดียวเท่านั้นเองค่ะ จริงๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลาเลยนะคะ…” 


 


 


“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นการเลือกที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดแล้วครับ” 


 


 


แม้ต่างคนจะต่างพูดออกมาตามมารยาท แต่บรรยากาศที่เดิมทีก็ไม่ชอบมาพากลอยู่แล้วกลับเพิ่มความเคอะเขินแปลกๆ มากขึ้นไปอีกจากการพูดรับส่งกันอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นแล้ว เห็นทีถึงคราวที่จะต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาสักหน่อยเสียแล้ว 


 


 


“อ๊ะ จริงสิครับ ผมได้ยินแว่วๆ เกี่ยวกับเรื่องคำสั่งเกณฑ์มาน่ะครับ ไม่ทราบคุณคิดจะเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ในครั้งนี้ด้วยหรือเปล่าครับ” 


 


 


ฮันโซยองเปิดปากเตรียมตอบคำถามผมในข้อนี้ แต่แล้วหล่อนกลับหันหน้าไปมองยอนฮเยริมแทน ยอนฮเยริมเห็นสายตาของหล่อนเช่นนั้น จึงค่อยๆ ลุกจากที่นั่ง ก้มหัวให้เล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินออกไป  


 


 


ผมเห็นยอนฮเยริมที่เดินออกไปนอกประตูแล้วก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเองอยู่ในใจ อาจจะเป็นการเดินออกไปเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญจริงๆ ก็เป็นได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับคิดว่าเป็นท่าทีแสดงการขอโทษอย่างหนึ่งเท่านั้น การกระทำของยอนฮเยริมเช่นนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าหล่อนมาที่นี่ก็เพื่อขอโทษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  


 


 


หลังจากเสียงปิดประตูดังขึ้น ฮันโซยองจึงมองผมตรงๆ ด้วยแววตาที่รู้สึกได้ถึงความสุขุมเยือกเย็น  หากก่อนหน้านี้หล่อนเป็นเพียง ‘ผู้หญิง’ คนหนึ่งที่ชื่อฮันโซยองเท่านั้น ทว่าตอนนี้หล่อนได้กลับมาเป็น ‘ราชินีแห่งเลือดและเหล็ก’ โดยสมบูรณ์แล้ว 


 


 


“ความจริงแล้วฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องต่อลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อยู่หนึ่งเรื่องค่ะ” 


 


 


“หากเป็นการขอร้องเกี่ยวกับการเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์นั้น ผมคิดว่าจะไปเข้าร่วมอยู่แล้วครับ” 


 


 


“คล้ายๆ กันค่ะ แต่ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อยน่ะค่ะ บทสนทนาของเราอาจจะยืดเยื้อไปสักหน่อย…” 


 


 


ฮันโซยองไม่ได้พูดต่อจนจบประโยค ผมจึงรีบตอบกลับไปในทันที 


 


 


“เชิญตามสบายเลยครับ ผมจะตั้งใจฟังอยู่ตรงนี้” 


 


 


ฮันโซยองจ้องกลับมาด้วยสายตาอันแน่วแน่อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากหล่อนลอบกลืนน้ำลายลงคอจึงเริ่มพูดต่อทันที 


 


 


“คือว่า เมื่อเร็วๆ นี้เรามีแผนที่จะส่งคำสั่งเกณฑ์ไปถึงเผ่าในสังกัดของเมืองโมนิก้าด้วยน่ะค่ะ การเตรียมการอะไรทุกอย่างก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ทว่าคำสั่งเกณฑ์ในคราวนี้ ดูเหมือนว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ไม่จำเป็นจะต้องไปเข้าร่วมก็ได้นะคะ” 


 


 


“ครับ? ทำไมล่ะครับ” 


 


 


“ไม่ถึงกับเป็นการเสียเวลาอะไรหรอกค่ะ แต่…มันก็ไม่ใช่คำสั่งเกณฑ์ที่มีความหมายมากมายขนาดนั้น แม้ว่าคุณจะตกลงเข้าร่วมก็ตาม” 


 


 


ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในคำพูดของฮันโซยองที่ฟังดูแล้วช่างไม่สอดคล้องกันเสียเลย แต่แล้วดูเหมือนหล่อนยังมีอะไรจะพูดต่อเนื่องออกมาอีก ผมจึงได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ  


 


 


“ตอนนี้คำสั่งเกณฑ์ของอีสตันเทอลอว์ถูกวางแผนออกมาได้ราวๆ สองรอบแล้วค่ะ ซึ่งในสองรอบนี้มีอยู่รอบหนึ่งที่พวกเราได้เป็นเจ้าภาพ แต่อีกรอบหนึ่งนั้นอยู่ในฐานะผู้รับคำสั่งเกณฑ์น่ะค่ะ” 


 


 


“รับ…คำสั่งเกณฑ์หรือครับ แคลนอีสตันเทลลอว์น่ะเหรอครับ” 


 


 


“ค่ะ คำสั่งเกณฑ์รอบที่สองนั้นเป็นคำสั่งเกณฑ์ที่มาจากการรวมกลุ่มกันของทิศตะวันออกกับทิศใต้น่ะค่ะ และแน่นอนว่าตัวตั้งตัวตีนั้นอยู่ฝั่งทิศตะวันออกค่ะ ท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฉันด้วยเช่นกัน แต่บางทีท่านนั้นก็อาจจะรู้ว่าฉันเองก็มีความสัมพันธ์ต่อลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เช่นกันค่ะ” 


 


 


ผมสามารถจับความรู้สึกอันแสนคลุมเครือนี้ไว้ได้แล้ว ว่าเจ้าภาพที่ฮันโซยองพูดถึงนั้นคือใคร ถึงแม้ผมจะยังไม่รู้ข้อมูลโดยละเอียด แต่รู้สึกได้ว่าภาพเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ กำลังถูกขึ้นเค้าโครงออกมาแล้วในระดับหนึ่ง 


 


 


“เดิมทีฉันคิดว่าจะเชิญเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ที่โมนิก้าได้จัดขึ้นน่ะค่ะ แต่ว่าเมื่อวานฉันได้รับการติดต่อมาจากท่านผู้นั้น เลยเปลี่ยนความคิดไปน่ะค่ะ แล้วก็อยากจะเรียนให้ทราบว่า ท่านผู้นั้นต้องการพบกับลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ด้วยค่ะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า จะพบผมและสั่งให้ผมเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์รอบที่สองใช่หรือไม่ครับ” 


 


 


ฮันโซยองส่ายหน้าซ้ายทีขวาทีอย่างช้าๆ ให้กับคำตอบที่ผมตอบออกไป ปฏิกิริยาของหล่อนเช่นนั้นทำเอาผมรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ปะทุอยู่ในแววตา หล่อนมีท่าทีลังเลใจครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ไม่ค่ะ เรื่องนั้นฉันก็ไม่ทราบ ท่านบอกแค่ว่าอยากจะพบกับลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ก่อนคำสั่งเกณฑ์รอบที่สองจะถูกจัดขึ้นน่ะค่ะ พบกันแค่สองคนเท่านั้นนะคะ” 


 


 


 


 


 


ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดพาทำให้อากาศอบอุ่น ผมกำลังนอนพิงหลังของยูนิคอร์นอยู่ที่ดาดฟ้าอาคาร พร้อมรู้สึกเพลิดเพลินใจไปกับช่วงเวลายามว่างที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน  


 


 


ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่อีสตันเทลลอว์ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่สิ ถ้าหากจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง เห็นทีจะเป็นข้อมูลภายในเผ่าเสียมากกว่า พวกเราได้พาพวกเร่ร่อนยัดเข้าคุกที่เพิ่งสร้างเสร็จสดๆ ร้อนๆ เรียบร้อยแล้ว สรุปผลอุปกรณ์ต่างๆ ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนงานวิจัยของวิเวียนเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการขั้นสุดท้าย หากจะมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงล่ะก็ คงจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวเท่านั้น 


 


 


ฮี้… 


 


 


ผมหันหน้าไปเมื่อได้ยินเสียงร้องดังแว่วเข้ามาในหู แล้วจึงพบเข้ากับยูนิคอร์นสองตัวที่กำลังนอนหลับพักผ่อนด้วยสีหน้าอันแสนสบายอุรา ส่วนเจ้ายูนิคอร์นน้อยนั้นกำลังนอนซุก ส่งเสียงลมหายใจดังครืดๆ อยู่ในอ้อมกอดของผม และยูนิคอร์นของฮยอนซึงฮีเองก็กำลังทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นหมอนให้ผมกับเจ้ายูนิคอร์นได้หนุนนอนอย่างเต็มที่ 


 


 


ในช่วงที่ผมกำลังจะเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ผมจึงหันหน้าไปยังประตูดาดฟ้า แล้วพบเข้ากับฮยอนซึงฮีที่วิ่งเข้ามาหา หล่อนค่อยๆ ย่องเข้ามาหาผมอย่างเงียบๆ คงเป็นเพราะเห็นยูนิคอร์นกำลังหลับอย่างเหนื่อยอ่อน 


 


 


“หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” 


 


 


“ก็พักหนึ่งครับ ประมาณครึ่งชั่วโมง?” 


 


 


ฮยอนซึงฮีดูโล่งอกมากขึ้น แล้วจึงค่อยหย่อนกายลงมานั่งข้างผมอย่างระมัดระวัง หล่อนเฝ้ามองเจ้ายูนิคอร์นน้อยด้วยใบหน้าที่งดงามจน แล้วจึงหันมาสบตาเข้ากับผม หล่อนเปิดปากพูดออกมาว่า 


 


 


“อ้า จริงด้วย ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ เมื่อวานทำไมไม่มาล่ะคะ” 


 


 


“เมื่อวานหรือครับ” 


 


 


“คำสั่งเกณฑ์ไงคะ เผ่าที่อยู่ในโมนิก้ามารวมตัวกันหมดเลยนี่นา ฉันก็เลยไปหา ว่าจะทักทายเสียหน่อย แต่กลับไม่เห็นคุณเลย” 


 


 


“อ๋อ พอดีเมอร์เซนต์นารี่ไม่ได้ถูกรับเชิญน่ะครับ เดิมทีพวกเราเป็นแค่ทหารรับจ้างอิสระด้วย เลยไม่มีเหตุผลที่จะไปเข้าร่วมน่ะครับ” 


 


 


ฮันโซยองได้อ้อนวอนขอให้เก็บคำขอร้องเมื่อวันนั้นไว้เป็นความลับ ผมจึงไม่สามารถพูดอะไรออกไปอย่างละเอียดได้ อย่างไรก็ดีผมเองก็ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ด้วยความที่ในคำพูดของผมไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปมากมายขนาดนั้น ฮยองซึงฮีจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย 


 


 


“แต่ว่าเผ่าแสงดาวเองก็มีคำสั่งเกณฑ์เข้ามาด้วยนี่ครับ ทั้งที่เพิ่งมาอยู่ในโมนิก้าได้ไม่นานเองไม่ใช่เหรอครับ” 


 


 


“อืม ใช่แล้วค่ะ แต่ว่าตอนนี้เราเป็นเผ่าในสังกัดอีสตันเทลลอว์แล้วนี่นา เพราะงั้นจึงมีคุณสมบัติพอที่จะได้เข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ใช่ไหมล่ะคะ”  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 28

 

ผมระเบิดเสียงหัวเราะให้กับคำตอบของฮยอนซึงฮี ไม่รู้ว่าด้วยความที่หล่อนเป็นฮันโซยอง หญิงสาวผู้มีความสามารถสูง มีใจโลภอันแรงกล้าหรือไม่ เพราะดูท่าฮยอนซึงฮีจะโดนโน้มน้าวให้มาเป็นเผ่าภายใต้อาณัติเข้าเสียแล้ว 


 


 


“ฮ่าๆ สมกับเป็นอีสตันเทลลอว์เลยนะครับ รีบร้อนสมชื่อจริงๆ” 


 


 


“คะ? สมกับเป็นอะไรหรือคะ” 


 


 


“คุณเองก็เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานไม่ใช่หรือครับ แต่ว่ามาชักจูง โน้มน้าวพวกเราให้ไปเป็นเผ่าภายใต้อาณัติเสียแล้ว…” 


 


 


ฮยอนซึงฮีขมวดคิ้วน้อยๆ ให้กับคำพูดของผม หลังจากนั้นจึงเอียงคอสงสัย 


 


 


“หมายความว่าไงคะ เป็นเผ่าภายใต้อาณัติตั้งแต่เข้ามาน่ะถูกต้องแล้วนี่คะ”  


 


 


“ครับ? แต่คุณบอกว่าเดิมทีอยู่ภายใต้อาณัติของ SSUN ไม่ใช่หรือครับ” 


 


 


“เรื่องนั้นน่ะ ฉันบอกแล้วไงคะว่าออกมาแล้ว…อ้อ ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องนั้นใช่ไหมคะ เรื่องที่ฉันไม่มีใจอยากจะอยู่กับ SSUN น่ะถูกต้องแล้วค่ะ แต่การที่ฉันสามารถตัดสินใจได้น่ะ ก็เพราะอีสตันเทลลอว์ ทางฝั่งนั้นเขาว่าอยากจะพาพวกเราไปเป็นเผ่าใต้อาณัติของเขาอีกทีพอดิบพอดีเลยล่ะค่ะ” 


 


 


“…ว่าไงนะครับ” 


 


 


“ดังนั้นฉันถึงบอกไงล่ะคะ ว่าอย่าด่าฉันว่าเป็นพวกขี้ขลาดเลย เผ่าที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนๆ กับเรามีอยู่เยอะมาก บางทีคานกับโครันเอง…ถ้าไม่อย่างนั้น ป่านนี้ก็คงหนีไปซบฝั่งตะวันออกแล้วก็ได้ค่ะ พอดีฉันทราบมาแบบนั้นน่ะ” 


 


 


วินาทีที่ผมได้ยินประโยคเหล่านั้น ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจได้หยุดเต้นไปชั่วขณะ ฮยอนซึงฮีเริ่มสาธยายเกี่ยวกับคำสั่งเกณฑ์จุกจิกอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ทว่าคำพูดเหล่านั้นกลับไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่ประโยคเดียว เพราะตอนนี้จากหัวสมองที่เคยปลอดโปร่งโล่งสบายนั้น กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นความสับสนยุ่งเหยิงในชั่วพริบตา  


 


 


และในความสับสนวุ่นวายนั่นเอง ผมไม่รู้ว่าอนาคตที่ผมจดจำได้นั้นจะคืบคลานเข้ามาอยู่ตรงหน้าหรือไม่  


 


 


 


 


 


กลางดึกที่มืดมิด หากเป็นผู้เล่นทั่วไป คงเป็นเวลาเข้านอน เตรียมตัวสำหรับวันต่อไป แต่ทว่าผมนั้นกลับออกมาจากแคลนเฮาส์โดยที่สมาชิกเผ่าไม่ทราบในเรื่องนี้ และตอนนี้ผมรอฮันโซยองอยู่ที่ประตูใหญ่ของแคลนเฮาส์อีสตันเทลลอว์ตามที่ได้รับการติดต่อมา 


 


 


อาจเนื่องด้วยเป็นช่วงกลางค่ำกลางคืน จึงทำให้ผมไม่ค่อยเห็นผู้คนเดินสัญจรไปมาสักเท่าใดนัก และในตอนนั้นเอง 


 


 


แอ๊ด 


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่” 


 


 


ผมได้ยินเสียงประตูเปิดออกมาอย่างแผ่วเบา และเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่ต่ำกว่าเวลาปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย จึงทำให้ผมหันหน้าไปตามเสียงนั้น โดยสถานที่ที่ผมได้ยินเสียงดังขึ้นมานั้น มีฮันโซยองที่ใช้เสื้อปกคลุมทั้งใบหน้าและร่างกายอย่างมิดชิดยืนรออยู่ 


 


 


“ทางนี้ค่ะ” 


 


 


เมื่อฮันโซยองเห็นแล้วว่าเป็นผมที่อยู่ที่นี่ หล่อนถึงโบกมือให้ หลังจากนั้นจึงค่อยหมุนกายไป หล่อนเป็นถึงคนใหญ่คนโตในเผ่า แต่ทำไมถึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย ผมได้แต่เดาเหตุผลอยู่ภายในใจ พร้อมเดินตามหลังหล่อนเข้าไปยังแคลนเฮาส์อย่างเงียบๆ  


 


 


ฮันโซยองไม่ได้เข้ามาด้านในอาคาร แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะเดินไปยังสถานที่อันแสนเงียบสงบ ที่อยู่ระหว่างอาคารสิ่งปลูกสร้างอันแสนมหึมา 


 


 


ผมเดินตามฮันโซยองไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกับสวนของแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมเองก็คิดว่าแคลนเฮาส์ของพวกเราสวยงามไม่ใช่น้อยแล้ว แต่ทว่าหากนำมาเปรียบเทียบกับเผ่าตัวแทนแล้วนั้น ทั้งขนาดและคุณภาพต่างๆ นั้นเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว 


 


 


“ท่านผู้นั้นอยู่ตรงโน้นค่ะ จากตรงนี้ไปคุณคงต้องเดินไปคนเดียวแล้วแหละค่ะ” 


 


 


ฮันโซยองหยุดการเคลื่อนไหวพลางพูดประโยคนั้นขึ้นมา พร้อมชี้ไปยังศาลาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในมุมหนึ่งของสวน ผมเดินขึ้นมาอยู่ข้างหล่อน แล้วพูดออกไปว่า 


 


 


“ลอร์ดอีสตันเทลลอว์ไม่ไปด้วยกันหรอกหรือครับ” 


 


 


“ค่ะ ฉันทราบดีว่าคุณอาจจะคิดว่ามันแปลกๆ อยู่นิดหน่อย แต่หากคุณได้เจอท่านผู้นั้น คุณก็จะเข้าใจได้เองค่ะว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้” 


 


 


“อืม…รับทราบครับ” 


 


 


“ค่ะ อ้า แล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะที่คอยรับฟังคำขอร้องของฉันในวันนี้” 


 


 


ผมเดินมุ่งหน้าไปยังศาลา พร้อมใช้สายตาไล่มองบริเวณรอบข้างอย่างช้าๆ ทว่าผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ชัดเจนแล้วว่ามีคนอยู่อย่างแน่นอนตามที่ฮันโซยองได้กล่าวไว้ ด้วยความสงสัยในเรื่องนี้ ผมจึงปลุกดวงตาที่สามขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผมสามารถยืนยันได้ถึงความขัดแย้งและเข้ากันไม่ได้ของอะไรบางอย่าง 


 


 


สี่ทิศรอบกายมีแต่ความเงียบสงัด ทว่าสถานที่แห่งนั้นเพียงที่เดียว บริเวณศาลาที่ฮันโซยองชี้ไปนั้น มีพลังบางอย่างที่ไม่สามารถพรรณนาได้ด้วยคำพูดกำลังแผ่ซ่านอยู่ เป็นพลังที่มาปิดกั้นสัญชาตญาณของผม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดศาลาไปอย่างสงบที่สุด เมื่อผมก้าวเข้ามาได้หนึ่งก้าว 


 


 


“โอ้ ท่านผู้มีพระคุณของฉันมาถึงแล้วหรือ” 


 


 


“…” 


 


 


“งั้นขอฉันดูหน้าค่าตาของท่านคนดัง ผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อน ณ ตอนนี้หน่อยสิ เอ้า ทำอะไรอยู่เล่า ไม่ได้ยินหรือไง” 


 


 


ตอนนั้นเองผมได้ยินน้ำเสียงมั่นใจในตอนเองซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและพลังเวทไม่คุ้นเคยซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แผ่ซ่านปกคลุมจิตวิญญาณของผม 


 


 


 


 


 


[การค้นหาความสามารถเฉพาะของผู้เล่นอีฮโยอึล – ยืนยันดวงตาแห่งการหยั่งรู้ (Discerning Eye, Rank : S) เริ่มทำงาน] 


 


 


[ตอบสนองดวงตาที่สาม (Rank : S) อันเป็นความสามารถเฉพาะ อยู่ในลำดับ (rank) เดียวกัน ไม่สามารถเทียบกับคุณสมบัติของดวงตาที่สามได้ การค้นหา – สามารถมองเห็นดวงตาแห่งการหยั่งรู้ (Discerning Eye, Rank : S) ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!] 


 


 


 


 


 


“อะ อะไรกัน มองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง? ความสามารถที่มิอาจล่วงรู้ได้งั้นหรือ?”  


 


 


อีฮโยอึลพูดตะกุกตะกักออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายกับเสียงหวีดร้องในชั่วพริบตา น้ำเสียงอันแสนมั่นอกมั่นใจเมื่อครู่ก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว ผมเดาะลิ้นอย่างชอบใจ แล้วในที่สุดจึงเข้ามาอยู่ในศาลาได้สำเร็จ 


 


 


แสงสว่างไสวจากจันทราเข้ามากระทบกับผิวขาวนวลละออราวกับน้ำนมอาบพรมทั่วร่าง ยิ่งแสงจันทร์ตกกระทบมากเพียงใด ผิวขาวๆ นั่นก็ยิ่งเปล่งปลั่ง ส่องประกายมากยิ่งขึ้น 


 


 


หญิงสาวในศาลากำลังใช้แววตาที่ย้อมไปด้วยแสงจันทราสีน้ำเงินเรืองรองจ้องมาทางผม ผมเองก็มองตรงไปที่หล่อนเช่นกัน หลังจากนั้นชั้นตาอันแสนงดงามของหล่อนก็ค่อยๆ กะพริบขึ้นลงอย่างรวดเร็วประมาณสามสี่ครั้งได้  


 


 


ต่างคนต่างจ้องมองกันอยู่เช่นนั้น จนความเงียบเข้ามาปกคลุมในที่สุด หลังจากนั้นผมจึงนั่งลงตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้นอย่างใจเย็น  


 


 


อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด หญิงสาวผู้นี้คือ อีฮโยอึลนั่นเอง หล่อนกำลังแสดงสีหน้าสับสน งุนงง ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเย็นชาลิบลับ ผมได้แต่จ้องดวงหน้าของหล่อนอย่างเงียบๆ เช่นนั้น ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบไปกับรัศมีอันแสนน่ากลัวบางอย่าง ผมแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ไม่แสดงอาการออกมาแต่อย่างใด ทว่าแววตาของผมนั้นกลับเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งเกาะติดอยู่ก็ไม่ปาน 


 


 


‘สนุกดีนี่ จะเป็นไปอย่างที่ฉันคิดไหมนะ’ 


 


 


จริงๆ แล้ว หากเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือล่ะก็ อย่างไรก็ต้องเป็นผู้เล่นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนแล้วแน่นอน 


 


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status) 


 


 


1.ชื่อ (Name) : อีฮโยอึล (ปีที่ 8) 


 


 


2.คลาส (Class) :  


 


 


① ผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ (Guardian of the Northern Continent) : เปิดใช้งาน 


 


 


② จอมเวททั่วไป (Normal, Mage, Master) : ไม่เปิดใช้งาน 


 


 


3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า  


 


 


4.ชนเผ่า(Clan) : แฮมิล (Clan Rank : B Plus) 


 


 


5.นามแท้ · สัญชาติ : ผู้นำพาแห่งแสง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้ 


 


 


6.เพศ (Sex) : หญิง (27) 


 


 


7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 168.7 ซม. · 49.3 กก.  


 


 


8.อุปนิสัย : เสมอภาค · เป็นกลาง (True · Neutral) 


 


 


[พละกำลัง 35(-12)] [ความทนทาน 50(-13)] [ความคล่องแคล่ว 58(-11)] [ความแข็งแกร่ง 28(-11)] [พลังเวท 92(-7)(+3)] [โชค 99] 


 


 


(คะแนนพลังเหลือ 0 พอยต์) 


 


 


 


 


 


‘ฟื้นมาแล้วนิดหน่อยนี่นา’ 


 


 


ผมหวนระลึกถึงข้อมูลผู้เล่นของอีฮโยอึล พลางควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้ประมาท 


 


 


“มะ ไม่น่าเชื่อ จริงๆ แล้ว นายคือ…” 


 


 


อีฮโยอึลยังคงพูดตะกุกตะกัก กอปรกับสีหน้าสับสนงุนงงที่ยังไม่เสื่อมคลาย 


 


 


“อื้ม ได้ยินว่าอยากคุยด้วยนี่นา ว่าแต่ลูกกระจ๊อกของเหล่าฑูตสวรรค์อย่างเธอ มีธุระอะไรกับฉันล่ะ” 


 


 


ทันใดนั้นอารมณ์สับสนงุนงงที่เข้าปกคลุมดวงหน้าของหล่อนจนกระทั่งเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ จึงได้มลายหายไป  


 


 


อีฮโยอึลอมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาของหล่อนวาดเป็นเส้นโค้งอันแสนอ่อนโยน อีกทั้งริมฝีปากสวยสดอมชมพูเองก็ยังยกยิ้มขึ้นมา 


 


 


“เรื่องนั้นน่ะ หมายความว่าอะไรล่ะ” 


 


 


อีฮโยอึลพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงโทนสูง น้ำเสียงของหล่อนกลับมาเข้าที่เข้าทางมากกว่าคราวก่อน และไม่พูดตะกุกตะกักอีกต่อไปแล้ว ผมกำลังสันนิษฐานถึงสาเหตุที่ทำให้หล่อนมาหาผม ต่างคนต่างอยากขจัดความเหนื่อยล้าที่สะสมมา ดังนั้นผมจึงตั้งใจเปิดประเด็นคำถามไปตั้งแต่แรกเริ่ม 


 


 


“ไม่เห็นจะต้องมาแกล้งทำเป็นตกใจ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เลยนี่นา ยัยลูกกระจ๊อก” 


 


 


“โฮะๆ กลัวไม่ได้เป็นน้องของคิมยูฮยอนเลยต้องพูดเย็นชาใส่กันขนาดนี้เลยหรือเนี่ย แล้วก็ที่พูดว่าลูกกระจ๊อกหรืออะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้น่ะ ช่วยเลิกพูดแบบนั้นสักทีจะได้ไหม ได้ยินคำว่าลูกกระจ๊อกแล้วอารมณ์เสีย” 


 


 


ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับคำตอบที่เต็มไปด้วยไหวพริบของอีฮโยอึล หล่อนใช้มือทั้งสองข้างรวบผมไปด้านหลัง หลังจากนั้นจึงถูท้ายทอยอย่างแรงจนบังเกิดเสียง พร้อมพูดออกมาว่า 


 


 


“ทำไมในหัวมันวุ่นวายไปหมดแบบนี้เนี่ย เฮ้อ ยังไงก็แล้วแต่ ก่อนอื่นฉันคงต้องขอบคุณนายที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้สักหน่อย ขอบใจนะ แต่การที่นายพูดไม่เพราะ แล้วเรียกฉันว่าลูกกระจ๊อกแบบนั้นน่ะ ฉันไม่พอใจแน่นอนอยู่แล้วแหละ แต่ยังไงก็จะมองข้ามไปก็แล้วกัน เพราะนายเป็นผู้มีพระคุณต่อฉันนี่เนอะ” 


 


 


“เรื่องพูดไม่เพราะน่ะ เธอเริ่มก่อนนะ ส่วนไอ้คำว่าลูกกระจ๊อกน่ะมันก็เรื่องจริงไม่ใช่หรือไง” 


 


 


หากจะให้ว่าโดยละเอียดแล้ว สามารถบอกได้ว่าเหล่าผู้เล่นทุกคน รวมทั้งอีฮโยอึลต่างเป็นลูกกระจ๊อกกันทั้งนั้น ทว่ามีความแตกต่างในเรื่องของระดับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรความจริงในข้อนี้ก็จะไม่มีทางหลุดออกจากปากผมไปได้อย่างแน่นอน ผมอยากจะเก็บคำพูดที่เกี่ยวกับในส่วนนี้เอาไว้ ผมเองก็รู้จักผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือในระดับหนึ่ง แต่ทว่าไม่รู้ขอบเขตอำนาจของหล่อนก็เท่านั้น 


 


 


“…นายพูดจาน่าเกลียดมาก” 


 


 


“ยังไงก็เถอะ เลิกคุยเรื่องไร้สาระพวกนี้สักที เข้าประเด็นสำคัญเลยดีกว่าไหมล่ะ ตอนนี้น่ะ”  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 29

 

อีฮโยอึลปรายตามองผมด้วยหางตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า คงเห็นด้วยกับการให้เริ่มเข้าประเด็นหลักสักที 


 


 


“งั้นขอถามอีกครั้งนะ ทำไมถึงบอกว่าอยากมาเจอฉันล่ะ” 


 


 


“เรื่องนั้นน่ะง่ายมาก ฉันสงสัยเลยเรียกหาไง ช่วงนี้ฉันได้ยินเรื่องของนายเยอะมาก ฉันก็เลยสงสัยจริง จริ๊ง ว่าเป็นใคร ไม่สิ ฉันคิดว่ามันแปลกๆ ตั้งแต่ได้เห็นข้อความประชาสัมพันธ์ของมิวล์ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วล่ะ ก็เลยเรียกนายมา แล้วก็อยากรู้ว่าจะพิจารณาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง…” 


 


 


“…” 


 


 


“อย่าดูอะไรให้มันมากนักนะ นายน่ะดูเหมือนจะรู้อะไรเกี่ยวกับฉันประมาณหนึ่งนี่นา แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ ที่นายจะไม่มาสงสัยเรื่องของฉันบ้าง ขุดซากโบราณสถานแทบจะทุกเดือน, สมาชิกเผ่ามีแต่คลาสลับกับคลาสหายาก, รู้ว่าฉันเป็นถึงผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ, ไม่เห็นจะมีความสามารถอะไรที่จะไม่สมกับเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์เลย ลองถามฑูตสวรรค์ ว่า Tanay เป็นอะไรยังไง ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ถึงขนาดนั้น ไม่ได้สนิทกับฉันแต่กลับมาช่วยเหลือกันขนาดนี้ สถานการณ์เป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ฉันสงสัยเลยเหรอ” 


 


 


ที่เธอพูดออกมามันถูกต้องทั้งหมด ชัดเจนแล้วว่ามีการสอบสวนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวผม อาจจะเนื่องด้วยความสามารถหรือไหวพริบของตัวผมที่เคยมีเมื่อก่อนหน้า  


 


 


“ขนาดฑูตสวรรค์ยังไม่บอกเลย แล้วคิดว่าฉันจะบอกเธอเหรอ” 


 


 


“ฉันคิดกลวิธีไว้หลายแบบเลยแหละ อย่างแรกก็วิเคราะห์เกี่ยวกับนายด้วยความสามารถเฉพาะตัว และค่อยเปิดเผยความจริงว่าเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ หลังจากนั้นจึงค่อยแกล้งเฉไฉว่าเห็นอะไรบางอย่างที่แปลกหูแปลกตาไปก็เท่านั้น และฉันตั้งใจว่าจะร้องเรียนด้วย… แต่ฉันกลับเห็นความสามารถเฉพาะตัวนั่นของนาย การมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อันเป็นความสามารถที่มิอาจล่วงรู้ได้ของนาย แล้วก็นายรู้แล้วสินะว่าความจริงแล้วฉันเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือน่ะ? ถ้างั้นความสามารถของนายน่ะ จริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ ป้องกันความสามารถพิเศษของผู้พิทักษ์ได้อย่างไรกัน” 


 


 


ช่างเป็นคุณผู้หญิงที่มีเรื่องสงสัยอยากรู้อยากเห็นมากมายเสียเหลือเกิน แน่นอนว่าความสงสัยใคร่รู้ที่อีฮโยอึลมีต่อผมนั้น เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่ผู้เล่นทั่วไปจะสงสัยกัน แต่เรื่องเหล่านั้นน่ะ มันเป็นข้อมูลในส่วนของหล่อน ดังนั้นผมจึงตอบกลับด้วยการหัวเราะเจื่อนๆ อีฮโยอึลจึงเบ้ปากในทันทีหลังจากนั้น 


 


 


“เฮ้อ งั้นช่วยบอกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหน่อยเถอะ จริงๆ แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือน่ะ เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญมากๆ เลยนะ ตอบหน่อยจะเป็นพระคุณมากเลย” 


 


 


“นั่นสิน้า” 


 


 


“ขอร้องล่ะ ถ้าหากนายให้คำตอบฉัน ฉันเองก็จะตอบในสิ่งที่นายต้องการถามเหมือนกัน” 


 


 


เป็นข้อเสนอที่ฟังดูแล้วน่าสนใจไม่น้อย ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับไป 


 


 


“ก็แค่รู้อยู่แล้วเท่านั้นแหละ แล้วก็เธอกลับมาจากการไปพบฑูตสวรรค์ที่ดูแลฉันแล้วไม่ใช่เหรอ หากมีปัญหาอะไร พวกฑูตสวรรค์ก็ต้องออกมาตรการมาสนับสนุนสิ พอดูแล้วอาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เขาเลยข้ามผ่านไปก็ได้ อาจจะเป็นงั้นก็ได้นี่” 


 


 


“…กาเบรียลเองก็ฝากขอร้องมา ว่าให้เก็บเป็นความลับ และบอกว่ากำลังรออยู่ด้วยอีกต่างหาก แล้วนี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่เนี่ย” 


 


 


“ตอนนี้ถึงตาฉันถามแล้วนะ” 


 


 


“โอ้ย จะบ้าตาย” 


 


 


อีฮโยอึลมีสีหน้าบูดเบี้ยวในช่วงแรก หลังจากนั้นหล่อนจึงเริ่มขบริมฝีปากตัวเอง ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จึงได้ถามออกไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย 


 


 


“เธอมีความสัมพันธ์อะไรกับพี่ชายฉัน” 


 


 


อีฮโยอึลไม่เคยแสดงสีหน้าราวกับเห็นความหายนะอะไรมาก่อนเลย แต่คราวนี้หล่อนจ้องมองมาทางผมด้วยท่าทีเหม่อลอยอยู่สักพัก  


 


 


หลังจากจึงค่อยระเบิดเสียงหัวเราะคิกคักออกมา ผมทราบดีว่าทำไมหล่อนถึงหัวเราะ แต่ทว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับผมในตอนนี้คือเรื่องนี้นี่แหละ ผมได้ช่วยชีวิตหล่อนเอาไว้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังต้องตัดสินใจว่าจะลงโทษหล่อนอย่างไรดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอีฮโยอึลคิดกับพี่ชายอย่างไรกันแน่ อย่างแรกเลยคือ จะช่วยหล่อนไว้ดีไหม, หรือจะรอโอกาสแล้วค่อยฆ่าเสีย ถ้าไม่อย่างนั้นก็ร่วมมือกันไปเลยเสียให้สิ้นเรื่อง  


 


 


“เฮ้อ ใครพี่ใครน้องกันแน่เนี่ย ยังไงก็เถอะ ถ้าจะให้ตอบคำถามข้อนี้ล่ะก็นะ…ปีนี้ฉันเป็นผู้พิทักษ์ปีที่เจ็ดแล้วนะ แล้วคนที่ผู้เล่นเลือกให้ขึ้นมาเป็นผู้นำเมื่อล่าสุดมานี้ ก็คือพี่ชายของนาย แต่ล่าสุดที่ฉันว่าน่ะ หมายถึงเมื่อสองปีก่อน” 


 


 


“…?” 


 


 


“เดิมทีแล้ว การที่ผู้พิทักษ์อยู่อาศัย ณ ที่แห่งหนึ่งเป็นระยะเวลาถึงสองปีเนี่ย นับว่าหาได้ยากแล้วนะ ถ้าจะนานจริงๆ ก็สักหนึ่งปีก็พอแล้วมั้ง? สำหรับคิมยูฮยอนแล้วยังไงก็ยังคงมีค่าอยู่เหมือนเดิม จึงทำให้ดูเหมือนว่าพวกฑูตสวรรค์ไม่ได้พูดอะไรถึงเป็นพิเศษน่ะ แต่…ตอนนี้มันจบไปแล้วเนอะ ยังไงก็ตามแต่ ความปราถนาส่วนตัวของฉันยังมีเหลืออยู่เยอะมาก แต่ฉันเองก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่บนสวรรค์คนหนึ่งนี่นา” 


 


 


“นั่นน่ะสิ” 


 


 


‘ตอนนี้มันจบไปแล้ว’ ผมค่อนข้างติดใจประโยคนี้อยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตอบกลับไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย 


 


 


“หากตอนนี้สามารถล้มเลิกอะไรไปได้ ฉันเองก็อยากจะเลิกมันทันทีเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ปัญหาคือทำแบบนั้นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ผู้สืบทอดก็ไม่มี เอ่อ ฉันหมายถึงทายาทน่ะ เฮ้อ ช่างเป็นยัยแก่ผู้น่าสังเวชจริงๆ” 


 


 


อีฮโยอึลกอดอก ถอนหายใจออกมาเต็มที่และพยักหน้าหงึกๆ ไปพลาง แต่ทว่าหลังจากนั้นหล่อนก็เริ่มส่งสายตาอันแสนแปลกประหลาดมาให้ 


 


 


“นั่นไง มีอยู่นี่นา ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสามีเป็นยังไง งั้นฉันขอถามอีกคำถามหนึ่งหน่อยจะได้ไหม แม้แต่นายก็ต้องชอบแน่นอน” 


 


 


“ประโยคแรกฉันทำใจยอมรับไม่ได้หรอกนะ แต่ประโยคถัดมาน่ะได้แน่นอนอยู่แล้ว” 


 


 


“โอเค ดูเหมือนนายจะไม่ชอบพูดยืดเยื้อเท่าไหร่ งั้นตอบแค่ ใช่ ไม่ใช่ ก็แล้วกันนะ นายใช่ผู้พิทักษ์คนใหม่หรือเปล่า” 


 


 


“ไม่ใช่” 


 


 


ผมตอบกลับไปในทันที อีฮโยอึลเบ้ปาก มีสีหน้าที่ดูผิดหวังอย่างรุนแรง ดูท่าแล้วหล่อนคงจะคาดหวังสิ่งนู้นสิ่งนี้ไว้อย่างแน่นอน 


 


 


“งั้นตาฉันอีกรอบ ฉันได้ยินมาว่าเธอจะเปิดคำสั่งเกณฑ์พลครั้งใหญ่” 


 


 


“เอ๋? อื้ม แต่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก ฉันจะเรียกมาเฉพาะคนที่รู้จักฉันน่ะ” 


 


 


“ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วสิ งั้นขอถามหน่อยเถอะ จริงๆ แล้ว การเจรจาของพวกเธอจะมีต่อไปจนถึงไหนกันแน่ แล้วอะไรคือวัตถุประสงค์” 


 


 


“…?” 


 


 


อีฮโยอึลเอียงคอสงสัยในคำถามของผม ดูเหมือนคำถามจะกว้างไปเสียหน่อย เห็นทีผมจะต้องสรุปสั้นๆ สักหน่อยเสียแล้ว 


 


 


“ก่อนหน้านี้เผ่าแสงแห่งดาวเข้ามาในโมนิก้า ซึ่งเดิมทีแล้ว เผ่านี้เคยปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ฮาโลมาก่อน แต่หลังจากนั้นเห็นว่าได้รับการเชิญชวนจากอีสตันเทลลอว์น่ะ” 


 


 


“เฮ้อ เรื่องบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย เรื่องนี้คุณโซยองเป็นคนทำพลาดเองนี่นา ไม่สิ ไม่ใช่ๆ จริงๆ ก็คือไปทำงานเขาพังกระเจิงเสียหมด เลยตั้งใจว่าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรอีกล่ะสินะ” 


 


 


หล่อนเบิกตาโพลงราวกับเป็นกระต่าย แต่หลังจากนั้นจึงรีบเผยรอยยิ้มออกมาในทันที คงเป็นเพราะควบคุมอารมณ์ให้เข้าที่ได้แล้ว พร้อมกับพูดรัวเป็นต่อยหอยออกมาจนฟังไม่รู้ความ ไม่สิ ไม่ได้พูดออกมาจนฟังไม่ได้ความหรอก เพราะมีคีย์เวิร์ดคำว่า ‘ความผิดพลาด’ กับ ‘ตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว’ ออกมาด้วย บางทีหล่อนอาจจะรู้ทันว่าผมยิงไปสองคำถามในคราวเดียวกันก็ได้ จึงให้คำตอบอ้อมๆ เช่นนี้มา  


 


 


ถ้าอย่างนั้นแล้วจึงหมายความว่า หล่อนได้ให้คำตอบมาครบแล้วทั้งสองคำถาม ผมจึงเกิดความคิดที่ว่าช่างเป็นผู้เล่นที่พูดอะไรจับใจความไม่ได้เอาเสียเลยจริงๆ  


 


 


“แล้วก็วัตถุประสงค์น่ะเหรอ เรื่องนี้ดูท่าจะต้องอธิบายกันยาว แต่…เอ้อ คำพูดจากพวกฑูตสวรรค์ก็มี เห็นว่านายเป็นน้องสามีน่ะเนี่ยถึงได้บริการให้เป็นพิเศษน่ะ ว่าแต่นายรู้เรื่องยัยแก่ขึ้นคาน…อะแฮ่ม รู้เรื่องแม่ทูนหัวที่โดนฆ่าตายไปอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” 


 


 


“รู้” 


 


 


“หน็อย ตอบห้วนจังเลยนะ ยังไงก็เถอะ ส่วนตัวฉันคิดว่าการตายของแม่ทูนหัวเนี่ยมีข้อสงสัยหลายข้อเลย เพราะงั้นฉันเลยออกมาเพื่อคลี่คลายเรื่องนั้นยังไงล่ะ นายเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าฉันตกอยู่ในสภาพใกล้ตาย แล้วที่ฉันรอดชีวิตกลับมาได้ก็เพราะพระคุณของนาย แต่ว่าพอฟื้นขึ้นมาแล้ว กลับบอกว่างานทุกอย่างพังเละเทะไปเสียอย่างนั้น เพราะงั้นคนที่กำลังเครียดๆ อยู่อย่างนายน่ะ จะต้องพาพวกเร่ร่อนมาแสดงตัวให้ได้ยังไงเล่า วัตถุประสงค์ของคำสั่งเกณฑ์ก็คือ พวกเร่ร่อนทั้งหลายนี่แหละ อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละนะ เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดไปเลย พวกเราไม่ได้จะมาช่วงชิงสิทธิอำนาจของนายอะไรหรอก พวกเราแค่ขอร้องนายก็เท่านั้น” 


 


 


‘ออกมาเพื่อคลี่คลายปัญหาน่าสงสัยงั้นเหรอ’ 


 


 


พี่ชายผมกลับอธิบายว่าไปสำรวจซากโบราณสถานมาถึงได้เผชิญเรื่องนั้น แต่คำพูดของอีฮโยอึลนั้นกลับต่างออกไป ถ้าอย่างนั้นแล้วหมายความว่าเราสามารถแบ่งกรณีนี้ออกได้เป็นสองทาง คือ หล่อนกำลังโกหกผมอยู่หรือไม่ก็มีข้อมูลบางส่วนที่ไม่สามารถบอกให้คนอื่นทราบได้ ผมพยายามที่จะไม่แสดงความคิดเหล่านั้นออกไปให้หล่อนเห็น จึงพูดออกไปอย่างแผ่วเบาว่า 


 


 


“ถ้างั้นก็หมายความว่าคนที่ฆ่าแม่ทูนหัวคือพวกเร่ร่อนงั้นเหรอ” 


 


 


“ชอบจังเลยคนฉลาดเนี่ย ใช่แล้ว มีอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยอยู่ หากลองปะติดปะต่อเหตุการณ์ตอนนี้เข้าด้วยกัน มันก็มีกลิ่นแปลกๆ โชยมาอยู่พอสมควรเลยแหละ มีพวกเร่ร่อนคนหนึ่งที่เป็นชนวนสำคัญ แล้วการที่นายสามารถจับพวกเร่ร่อนระดับแพคซอยอนมาได้เนี่ย ฉันขอขอบคุณนายมากจริงๆ ยัยนั่นอยู่ในระดับเกือบๆ แกนนำเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นคงรู้อะไรต่อมิอะไรอยู่พอสมควร บางทีหากสิ่งที่ฉันคิดถูกต้องล่ะก็นะ ยัยนั่นอาจจะมีส่วนร่วมในการฆ่าแม่ทูนหัวตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็ได้” 


 


 


อีฮโยอึลสงบปากสงบคำอยู่ครู่หนึ่ง คงเป็นเพราะพูดมานานจนปากชาไปแล้วก็ได้ หลังจากนั้นหล่อนจึงค่อยๆ ประสานมือทั้งสองข้าง พร้อมพูดต่อว่า 


 


 


“อ้า จริงๆ เล้ย ฉันเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว นายจะเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์พลครั้งที่สองนี้ด้วยใช่ไหม คิมยูฮยอนเองก็อยู่ในกลุ่มผู้เข้าร่วมด้วยเหมือนกันนะ ว่าไง?” 


 


 


ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรด้วย ผมจ้องอีฮโยอึลด้วยท่าทีสุขุม ความคิดของหล่อนและความคิดของผมนั้นคล้ายกัน ไม่สิ ต้องบอกว่าคล้ายกับที่ผมจำได้สิถึงจะถูกต้อง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่สามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจ ทว่าผมสามารถได้ข้อยืนยันมาหนึ่งประการจากการสนทนาในวันนี้ และสิ่งนั้นคือ ผมคิดถูกแล้วที่ช่วยรักษาชีวิตเธอเอาไว้  


 


 


เป็นเวลาครู่เดียวที่ผมจัดการกับความคิดของตัวเอง รอยยิ้มอันแสนพออกพอใจปรากฏอยู่ภายในหัวใจ แล้วจึงตัดสินใจออกมาได้ว่า 


 


 


จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้เสียก่อน 


 


 


อีฮโยอึลเอาแต่พูดเชิญชวนให้ผมเข้าร่วมอยู่อย่างต่อเนื่อง คงเป็นเพราะอยากจะได้คำตอบที่แน่นอนเสียกระมัง ผมจึงแสดงความคิดของตัวเองออกไปโดยการพยักหน้าตอบรับ เราแลกเปลี่ยนบทสนทนากันมาจนถึงระดับนี้แล้ว หากยังไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคำสั่งเกณฑ์แล้วล่ะก็รับรองได้เลยว่าพวกเราสองคนเป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญาอย่างแน่นอน  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม