Memorize เล่ม 16 ตอน 2-8

เล่มที่ 16 ตอนที่ 2

 

หลังจากทุกคนนั่งลงในที่ของตัวเอง บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความเงียบสงบแทนที่  


 


 


มีบางช่วงที่อันซลรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่ทุกคนรอบข้างไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ส่วนผมนั่งเอามือเท้าคาง เหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่ง 


 


 


‘ทำไมเราไม่ไปทางตะวันตกก่อนนะ ทำไมต้องมาทางเหนือก่อนด้วยจำนวนคนของเราก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย…อืม’ 


 


 


เป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งที่ผมตกอยู่ในห้วงคำถามที่อัดอั้นมาตั้งแต่ตอนอยู่ในเมือง แล้วผมก็สบตากับคิมฮันบยอลเข้า หล่อนอยู่ไม่สุขเสียเลย เหมือนกับว่าจะทำอะไรสักอย่าง หลังจากที่สบตากัน หล่อนก็ผุดลุกผุดนั่ง ทำหน้าท่าทางเหมือนตัดสินใจเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง แล้วเริ่มสาวเท้าเข้ามาหาผม หลังจากนั้นก็มานั่งลงคุกเข่าอยู่ข้างๆ ผม 


 


 


“มีอะไรเหรอ” 


 


 


“ขอรบกวนพี่สักครู่นะคะ” 


 


 


พอผมถามกลับไป คิมฮันบยอลก็ตอบกลับมาโดยการยกมือขึ้นให้ผมดูแขนเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่แขนขวาของหล่อน แล้วหลังจากนั้นผมรู้สึกเหมือนกับมีผ้าบางๆ มาสัมผัสเข้าที่ใบหน้า สัมผัสนั้นทั้งอ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับกำลังล้างหน้าให้เด็กน้อยคนหนึ่งอย่างระมัดระวัง ชั่ววูบหนึ่งจึงพลันเกิดความคิดที่ว่าดวงหน้าของคิมฮันบยอลที่อาบย้อมไปด้วยแสงจันทร์นั้นช่างงดงามหาสิ่งใดเทียบ  


 


 


และแล้วชายแขนเสื้อที่เคยเป็นสีน้ำเงินสว่าง ก็กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นแสงสีเข้มไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งใบหน้าและศีรษะเหมือนโดนเช็ดด้วยอะไรบางอย่าง แต่กลับมีกลิ่นเลือดลอยเข้าเตะจมูก ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ เหล่าสัตว์ประหลาดอาจมาทำร้ายเข้าได้ ดังนั้นผมจึงคว้ามือบางที่กำลังสัมผัสใบหน้าของผมเอาไว้ จากนั้นค่อยๆ ปล่อยมือที่กำลังสั่นเทาลง ถอดเข็มขัดออก แล้วปลดเปลื้องเกียรติยศแห่งสวรรค์ 


 


 


“พอแล้ว ขอบใจนะ” 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ” 


 


 


“เดี๋ยวจะไปซักเสื้อเปื้อนเลือดนี้ก่อนแล้วกัน รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวเดียว” 


 


 


“เดี๋ยวฉันเอาไปซักให้เอง ส่งมาเลยค่ะ” 


 


 


ก่อนผมจะเอ่ยปาก คิมฮันบยอลก็รีบปรี่มารับชุดไปแล้ว หลังจากนั้นผมก็มองไล่หลังฮันบยอลที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปทางแม่น้ำ ไหล่ของผมเกิดสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงเกิดเรื่องราวเช่นนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่เลวร้ายอะไรนัก วินาทีที่ผมเห็นคิมฮันบยอลนั่งอยู่หน้าสายน้ำไหลเอื่อย ก็เกิดเสียงอันแสนอ่อนโยนดังแว่วเข้ามาในหู 


 


 


“หน็อย! ชิงมาก่อนเลยนะ เจ้าเล่ห์ไม่ใช่เล่นนะเนี่ย” 


 


 


“ครับ?” 


 


 


“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” 


 


 


โกยอนจูโผล่มาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ กำลังนั่งมองไปยังแม่น้ำอยู่เช่นเดียวกัน หล่อนเอาแต่พยักหน้าเอออออยู่ฝ่ายเดียว แล้วมานั่งลงข้างกายผม 


 


 


“ซูฮยอน คุณจะทำยังไงต่อไปคะ จะกลับไปที่เมืองหรือเปล่า” 


 


 


“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิครับ ผมคิดว่าจะไปเอเดนหรือไม่ก็พาเมล่าเสียก่อน” 


 


 


“ทางที่ว่านั่นไม่ใช่เล่นๆ เลยนะคะ คิดแล้วเครียดขึ้นมาเลยค่ะ” 


 


 


“ยังไงก็ต้องไปให้ได้ครับ ถ้าไม่เจออุปสรรคอะไร แล้วสามารถเดินมุ่งหน้าไปได้เรื่อๆ ล่ะก็…สักสามสัปดาห์ก็น่าจะถึงแล้วมั้งครับ” 


 


 


“มันจะไม่มีอุปสรรคอะไรมาขัดขวางจริงๆ น่ะเหรอคะ” 


 


 


โกยอนจูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วค่อนข้างขมขื่น ตัวผมเองก็ได้แต่นั่งกลืนน้ำลาย ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าจะสถานการณ์ในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่สามสัปดาห์แน่นอน ควรจะใช้ระยะนานกว่าสี่สัปดาห์เสียมากกว่าจึงจะถูกต้อง 


 


 


จ๋อม จ๋อม เสียงเสื้อที่กำลังแช่อยู่ในน้ำดังขึ้น ความมืดมิดและความเงียบสงัดกลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เป็นเช่นนั้นอยู่ได้สิบนาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่กำลังเดินขึ้นมาจากสายน้ำ  


 


 


ทันทีที่ผมหันกลับไปมองก็เจอเข้ากับคิมฮันบยอลที่กำลังถือชุดของผมอยู่ ขณะนี้สีของมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว คราบเลือดที่เคยเปรอะเปื้อนหายไปจนหมด และแทบจะไม่มีความชื้นหลงเหลืออยู่ในเนื้อผ้า ผมจึงรู้ทันทีเลยว่าหล่อนทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเพียงใด 


 


 


ผมเอ่ยขอบคุณคิมฮันบยอล หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นมาสวมใส่เกียรติยศแห่งสวรรค์อีกครั้ง ด้วยความที่เปียกน้ำมา อาจทำให้รู้สึกชื้นไปเสียบ้าง แต่ทว่ากลิ่นคาวเลือดนั้นไม่ได้ส่งกลิ่นรุนแรงเหมือนเมื่อกี้ หลังจากที่ผูกเกียรติยศแห่งตะวันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ผมจึงจ้องมองไปยังอันซล หล่อนดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด แต่เสี้ยวหนึ่งของใบหน้านั้นดูเหมือนกำลังหักห้ามอะไรบางอย่างไว้ 


 


 


“เอาล่ะ จะเริ่มออกเดินทางแล้วนะครับ” 


 


 


โกยอนจูและท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของผม อันซลมองกลับไปด้านหลังด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่สุดท้ายก็ลุกตามขึ้นมา อาจจะดูลำบากไปบ้าง แต่ผมสังเกตได้ถึงความปราถนาที่ต้องการจะมุ่งสู่เส้นทางนี้ได้โดยเร็ว  


 


 


“ตอนนี้อาจเป็นช่วงกลางคืนก็จริง แต่หากเราออกแรงขยันเดินไปจนสามารถออกจากที่แห่งนี้ได้คงจะดีไม่น้อย เพราะฉะนั้นเราเริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ” 


 


 


และตอนนั้นเอง ขณะที่กำลังจะเริ่มออกเดินทาง ผมกลับรับรู้ได้ถึงสัญญาณบางอย่างจากทิศที่เราได้ผ่านมาแล้ว 


 


 


สัญญาณที่ว่านั้นคือ การเคลื่อนไหวของคนจำนวนมากนั่นเอง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“…ก็เลยออกไปนอกประตูปราสาท ทั้งที่เราบุกโจมตีกันอยู่เนี่ยนะ” 


 


 


“เขาว่ากันว่าท่านจองคยูกังกับกระสุนปีศาจโดนฆ่าตายไปแล้วเรียบร้อย ท่านแพคซอยอนเองก็ยืนยันศพแล้วด้วย กำลังจะเคลื่อนศพอยู่แล้วตอนนี้ บางทีตอนนี้อาจจะกำลังนำทางกำลังพลอยู่ก็ได้ครับ” 


 


 


“กำลังพลงั้นเหรอ พามากี่คนกันล่ะ” 


 


 


“น่าจะห้าสิบคนเห็นจะได้…เห็นว่าจะรีบมาให้ถึงโดยเร็ววันนี้ครับ” 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


นัมซองที่กำลังแจ้งข่าวนั้นหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง ฮยอนแกว่งแขนไปมาเล็กน้อย เพราะมีผู้เล่นคนหนึ่งถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เลือดสีแดงเข้มพุ่งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ นัมซองจดจ้องไปที่ศีรษะที่กลิ้งวนไปมาอยู่ในห้อง แล้วจึงค่อยๆ เริ่มเปิดปากพูด 


 


 


“ใครกัน ใช่แคลนลอร์ดของเผ่าสวรรค์บนดินหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่ใช่ เหมือนเป็นแค่สมาชิกเผ่าธรรมดาๆ คนหนึ่งดันโง่มาซุ่มอยู่ตรงนี้น่ะ” 


 


 


“แล้วแคลนลอร์ดล่ะ…” 


 


 


“อันดับแรกเราต้องทำให้พวกมันสลบก่อน พอโจมตีเสร็จแล้ว ฉันมีอะไรอยากจะถามดูสักหน่อย ส่วนชื่อเสียงเรียงนาม ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นพวกเผ่าตัวแทน” 


 


 


ฮยอนตอบด้วยน้ำเสียงอันแสนเย็นชา แล้วจึงค่อยๆ หันกายกลับไป วินาทีที่นัมซองประสานสายตากับฮยอน เขาก็รู้สึกขนลุกขนพองไปทั่วร่าง อาจมองได้ว่าฮยอนมีท่าทีนิ่งเฉยตลอดเวลา แต่ลึกๆ แล้วเขาไม่พอใจกับข่าวที่ได้รับมาเสียเท่าไหร่นัก ตัวนัมซองเองก็ทราบในจุดนี้ดี 


 


 


ฮยอนสั่งการกำลังพลมาประมาณหนึ่งพันสองร้อยคนและบุกเข้าโจมตีประตูทางเหนือ โดยสถานที่ที่ฮยอนเพ่งเล็งไว้ไม่ใช่ทั้งที่จัตุรัสหรือวาร์ปเกตแต่อย่างใด ทันทีที่ฮยอนสามารถบุกเข้าไปในประตูทางเหนือได้ เขาก็นำกำลังพลบุกโจมตีแคลนเฮาส์เผ่าสวรรค์บนดินโดยทันที ซึ่งห้องบัญชาการได้ถูกทำลายจนพังพินาศก่อนที่เหล่าผู้เล่นจะรวบรวมสติหรือทำการต่อต้านเสียอีก และตอนนี้ความสำเร็จก็อยู่ตรงหน้าไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว 


 


 


แต่แล้วในพริบตาเดียวก็เกิดข่าวร้ายเสียอย่างนั้น การบุกเข้าประตูทางตะวันออกเห็นทีจะไม่ทันการณ์ ผู้บัญชาการที่จำเป็นจะต้องจัดการ ณ ที่แห่งนี้กลับถอนตัวออกไป และยิ่งไปกว่านั้นยังนำพวกเร่ร่อนจำนวนห้าสิบคนเดินทางไปด้วย ในขณะที่กำลังพลของเขามีจำนวนน้อยมาก จากสถานการณ์ที่เคยคาดไว้ว่าจะสามารถผ่านไปได้อย่างฉลุย กลับกลายมาเป็นหยุดชะงักที่พวกเขาล้วนไม่อยากจะให้เกิดขึ้น 


 


 


“จิ๊! เป็นแบบนี้ไปซะได้ ฉันไม่อยากจะเป็นผู้บัญชาการแล้ว ความผิดครั้งนี้ใหญ่เกินจะรับผิดชอบ” 


 


 


“ตอนนี้ผมเองก็กังวลเหมือนกันครับ จากที่ได้ลองเข้าไปดู เหมือนเป็นผู้เล่นที่มีทักษะความสามารถอยู่พอสมควร หากเป็นเช่นนี้ ท่านแพคซอยอนเองก็คง…” 


 


 


“งั้นหรือ แต่ฉันไม่คิดว่าแพคซอยอนจะแพ้เอาง่าย ๆ หรอกนะ ลองเข้าไปดูโหมดของนังผู้หญิงคนนี้ดูซิ ฉันเองยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เลย เห็นว่าจะยกพรรคพวกไปประมาณห้าสิบคน สถานการณ์ตอนนี้พวกเรารู้กันดีอยู่แล้ว หากทะเล่อทะล่าออกไปก็ทำอะไรไม่ได้ และต้องมารับผิดชอบกับความผิดที่ตัวเองก่อไว้อีกด้วย คนที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ต่างก็กำลังใจจดใจจ่อกับการเข้ายึดของมิวล์อยู่”  


 


 


“ครับ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น จะทำยังไงล่ะครับ ทางฝั่งประตูตะวันออกก็ช้าลง ส่วนประตูทางใต้ก็มีเหล่าผู้เล่นมารวมตัวกันเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้เสียอีก” 


 


 


คำพูดของนัมซองทำให้ฮยอนเกิดฉุกคิดขึ้นมา เขาหักคอตัวเองซ้ายทีขวาที เสียงกระดูกดัง กร๊อบแกร๊บเป็นจังหวะ แล้วจึงส่งสายตาไปยังข้อมือของนัมซอง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า 


 


 


“….ก็จะให้ทำยังไงได้ คงต้องเปลี่ยนแผนสักหน่อยแล้วละ ฉันจะไปประตูทางตะวันออกเอง ส่วนประตูทางใต้ต้องพังให้ไวกว่าที่เราวางแผนกันไว้” 


 


 


“รับทราบครับ” 


 


 


“ฉันจะบัญชาการประตูทางเหนือ ส่วนนายไปจัดการประตูทางตะวันออก หลังจากนั้นค่อยมุ่งมาประตูทางใต้ คงต้องปรับเรื่องเวลากันสักหน่อย หากฉันติดต่อนายไป นายต้องรีบมาทันที” 


 


 


“ระวังตัวด้วยนะครับ เขาว่ากันว่าไซม่อนเป็นผู้เล่นมือหนึ่งของทวีปตะวันตก ผมเคยเห็นกับตาครั้งหนึ่งเมื่อคราวก่อน พลังระเบิดของเขามันมหาศาลเลยครับ” 


 


 


ฮยอนพยักหน้าช้าๆ ให้กับคำพูดที่แสดงถึงความกังวลของนัมซอง เขาเตะศพที่นอนอยู่กับพื้นเบาๆ แล้วหมุนกายไปยังประตู 


 


 


“อืม งั้นฝากที่นี่ด้วยนะ” 


 


 


“ผมจะออกไปด้วยครับ” 


 


 


นัมซองหมุนตัวตามฮยอนไป หลังจากนั้น ‘อะไรบางอย่าง’ ที่อยู่ในมือเขาก็ส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมา ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเหมือนมีของลากครืดไปกับพื้น 


 


 


ฮยอนจึงแค่นยิ้มและถามถึงสิ่งนั้นก่อนจะออกไป 


 


 


“ว่าแต่นั่นมันอะไรน่ะ” 


 


 


“อ้า ขอโทษครับ จริงๆ แล้วผมนึกว่าเป็นแคลนลอร์ดเลยจับมา แล้วจึงได้รู้ว่าเป็นอดีตตัวแทนแคลนลอร์ดของมิวล์ ไม่รู้ว่า…” 


 


 


“…” 


 


 


“ขอโทษครับ จะปล่อยให้โดนฆ่ามันก็น่าเสียดายอยู่ไม่ใช่เหรอครับ มันอาจจะรู้อะไรอยู่ก็ได้ แล้วก็…” 


 


 


นัมซองเกาหัวแก้เขิน ส่วนฮยอนก็เปล่งคำพูดออกมาด้วยเสียงขึ้นจมูกเบาๆ  


 


 


“ฉันไม่มีมานั่งขบคิดหรอกว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร ยังไงตอนนี้รีบเอาไปซ่อนเสียเถอะ ทำให้มันสลบ แล้วเอาไปโยนไว้สักมุม ถ้าการโจมตีครั้งนี้จบลง ฉันจะให้นายเล่นสนุกเท่าที่นายต้องการเลย”  


 


 


“ขอบคุณครับ!” 


 


 


นัมซองตะโกนออกมาด้วยความดีใจพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากนั้นจึงจับต้นคอที่เขากำอยู่ในมือข้างขวาชูขึ้นมา ในมือของเขามีผู้เล่นหญิงคนหนึ่งกำลังมีสีหน้าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย 


 


 


“หลับพักผ่อนสักงีบก่อนนะ ถ้าเสร็จงานนี้ฉันจะตอบแทนให้อย่างงามเลย” 


 


 


“มะ…ไม่เอา…ชะ…ช่วยด้วย…” 


 


 


พลั่ก! 


 


 


“อึก!” 


 


 


หญิงสาวที่เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากนั้นโดนนัมซองชกเข้าที่ท้องอย่างแรง จึงร้องดังลั่นออกมาทันที 


 


 


พลั่ก! พลั่ก! 


 


 


นัมซองต่อยท้องหล่อนนับครั้งไม่ถ้วน ร่างของหล่อนสั่นระริก ไม่รู้ว่ายังหายใจได้อยู่อีกหรือเปล่า แล้วจึงสลบไปในที่สุด หลังจากนั้นก็เกิดเส้นขนสีน้ำตาลผุดขึ้นมาบริเวณหน้าอกของหล่อน นัมซองเห็นดังนั้นจึงยกยิ้มมุมปาก 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 3

 

มีพลังอำนาจบางอย่างพุ่งขึ้นสูงมากจนสามารถรู้สึกได้ สัญญาณบ่งบอกว่ากำลังมีบางอย่างเข้ามาใกล้ยิ่งชัดเจนมากขึ้น สัญญาณนั้นบ่งบอกว่ามีคนอยู่ราวๆ สิบกว่าคน หากอิงตามความรู้สึก ก็จะมีคนทั้งหมดสิบเอ็ดคนอย่างแน่นอน แต่มีอะไรที่ออกจะแปลกไปสักน้อย สิบเอ็ดคนนี้กำลังมุ่งหน้ามายังสถานที่ที่พวกเราอยู่ แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นพวกเร่ร่อนแต่อย่างใด เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้รู้สึกได้ถึงความเงอะๆ เงิ่นๆ จำนวนคนก็ไม่ได้มากมายอะไรอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราไม่รับรู้ถึงความกระหายเลือดเลยสักนิด ดูแล้วเหมือนค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวังเสียมากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังร้อนอกร้อนใจหาใครบางคนอยู่อย่างนั้นเลย 


 


 


‘หรือว่า…’ 


 


 


“ซูฮยอน ข้างหน้าห้าสิบเมตรค่ะ” 


 


 


“รับทราบครับ” 


 


 


เสียงที่เรียกผมเมื่อครู่นี้คือเสียงโกยอนจู ไม่มีทางที่หล่อนจะไม่รู้สึกถึงสิ่งเดียวกับที่ผมสัมผัสได้ ผมพยักหน้ารับ แล้วจึงกลั้นลมหายใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วโกยอนจูจึงเริ่มพูดต่อ 


 


 


“มีกลิ่นเลือดด้วยนะคะ มาจากมิวล์แน่นอน เอาล่ะ พร้อมรบหรือยังคะ” 


 


 


“เหมือนไม่ใช่พวกเร่ร่อนเลยนะ แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าพวกไหน เอาเป็นว่าเตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า” 


 


 


สมาชิกเผ่าต่างมีท่าทีสงสัยเล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่จบ ก็พลันบังเกิดเงาดำพาดผ่านบนใบหน้า หลังจากนั้นโกยอนจูก็คว้าไทร์ฟิงค์ ส่วนคิมฮันบยอล, อันซล และท่านผู้เฒ่าเองก็นำไม้เท้าออกมา แล้วจึงเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ความกังวลเริ่มก่อตัวช้าๆ และแล้วผมก็รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาบางอย่าง 


 


 


สวบ! 


 


 


เสียงเหยียบพงหญ้าดังขึ้น อีกทั้งในพงหญ้าอันเขียวชอุ่มก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังสั่นไหวอยู่ด้านใน แล้วแรงสั่นไหวที่ว่านั้นก็ค่อยๆ สั่นแรงมากยิ่งขึ้น เหมือนรับรู้ว่าเรากำลังเข้ามาใกล้ๆ  


 


 


เป็นแบบนั้นอยู่ได้สักสิบวินาทีเห็นจะได้ และในตอนที่ไม้เท้าของพวกเรากำลังหันไปทางทิศที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง พงไม้กลับแยกออกจากกัน แล้วจึงบังเกิดเป็นช่องแคบเล็กๆ ช่องหนึ่ง และในขณะนั้นเอง มีศีรษะน้อยๆ โผล่พรวดออกมาจากช่อง 


 


 


“ฮึบ” 


 


 


“…” 


 


 


และแล้วความเงียบก็กลับเข้ามาปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สิ่งที่โผล่พรวดออกมาจากช่องนั้นคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเด็กมากๆ เหมือนเด็กม.ปลาย หรือไม่ก็แค่เด็กม.ต้นเท่านั้น เป็นเด็กสาวแก้มกลมจ้ำม่ำ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเลยก็ว่าได้  


 


 


เด็กหญิงคนนั้นเอียงคอไปมา พลางมองไปที่ไม้เท้าที่ตนเพ่งเล็งมาแต่แรก เธอกะพริบตาซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง แล้วเริ่มใช้สายตากวาดมองพวกเราอย่างช้าๆ ทำทีเหมือนกับว่าไม้เท้านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาอีกต่อไปแล้ว 


 


 


ผมสบตากับเธอเข้า ในขณะที่สมาชิกเผ่าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป จึงได้แต่มองหน้ากันไปมาอยู่อย่างนั้น และวินาทีนั้นเอง ใบหน้าของเธอที่เอาแต่หมุนไปหมุนมาก็หยุดชะงักลง แล้วเริ่มจ้องเขม็งมาทางผม ผมจึงเปิดประเด็นคำถามไปว่า 


 


 


“เธอเป็นใครเหรอ” 


 


 


“…” 


 


 


ถึงผมจะใช้เสียงโทนต่ำในการถามเธอ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา และแล้วสัญญาณของคนสิบเอ็ดคนที่เรารับรู้ก่อนหน้านี้ก็ได้หยุดลงอยู่ที่ด้านหลังของเด็กหญิงผู้นี้ 


 


 


พวกเราไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อกันอีก ทำได้แต่จ้องมองอยู่อย่างนั้น จนรู้สึกอึดอัดใจไปชั่วขณะหนึ่ง และในตอนนั้นเอง เด็กหญิงคนนั้นค่อยๆ เผยริมฝีปาก ส่งเสียงออกมาว่า 


 


 


“ฟู่ว” 


 


 


เธอถอนหายใจออกมาสั้นๆ พร้อมเอนศีรษะไปข้างหลังอย่างโล่งใจ หลังจากนั้นพวกเราจึงได้ยินเสียงเล็กๆ ของเธอเหมือนกับพูดกับใครบางคนว่า 


 


 


“เจอแล้ว” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พรินซิก้า คือเมืองทั่วไปทางตะวันออกของทวีปเหนือ  


 


 


หลังจากคิมซูฮยอนไปเยี่ยมเยือนเผ่าแฮมิล เขาก็ได้พูดคุยกับเหล่าพี่ๆ ที่พบกันโดยบังเอิญ และวันนี้นับเป็นวันที่ห้าแล้วที่เขาได้ออกเดินทางจากพรินซิก้ามา ในระยะเวลาห้าวันที่ผ่านมานั้น ทวีปเหนือกำลังอยู่ในช่วงดุเดือด มีแต่พวกจ้องจะทำลายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 


 


 


ในวันที่คิมซูฮยอนออกจากพรินซิก้ามานั้น เหล่าพวกเร่ร่อนฉวยโอกาสบุกเข้าโจมตีมิวล์ในเวลากลางคืน จนวาร์ปเกตถูกทำลายเสียหาย จากสาเหตุนี้จึงทำให้เส้นทางที่ใช้สัญจรผ่านทุกเมืองเองก็ถูกตัดขาดเช่นกัน 


 


 


ในตอนแรกบรรดาผู้เล่นก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไรมากมาย เพียงแค่ไม่พอใจที่ช่วงนี้เส้นทางที่ใช้สัญจรโดนตัดขาดบ่อยๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าพวกเร่ร่อนจะเข้ามาบุกโจมตีแต่อย่างใดเลย  


 


 


แต่ทว่าพอผ่านพ้นวันแรกไป จนล่วงเลยมาเป็นสองวันติดต่อกัน เหล่าผู้เล่นจึงเริ่มคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อช่วงที่ทั้งศูนย์กลางและทิศตะวันตก รวมไปถึงทั้งสองเมืองทางทิศเหนือทราบข่าวเรื่องเส้นทางไปยังมิวล์ถูกตัดขาด จากเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จากความไม่พอใจที่มีมากขึ้นทุกวัน ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายในที่สุด 


 


 


ถึงอย่างนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เส้นทางที่ถูกตัดขาดอย่างเดียวเท่านั้น การติดต่อสื่อสารเองเช่นกัน ปกติแล้วถึงจะไม่สามารถไปมาหาสู่กันระหว่างเมืองได้ แต่อย่างน้อยก็ยังติดต่อกันได้ ซึ่งผู้เล่นบางส่วนที่เคลือบแคลงในจุดนี้ จึงลองใช้คริสตัลสื่อสารกับคนรู้จัก แต่ทว่ากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากมีพลังอำนาจบางอย่างคอยขวางกั้นอยู่ ด้วย  


 


 


สาเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้เล่นเริ่มกระวนกระวายใจ จากความสงสัยเคลือบแคลงที่เคยถูกมองข้ามเมื่อครู่ ก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่งในขณะนี้ 


 


 


แต่ว่ามันไม่ได้จบลงแค่ที่นี่ หลังจากเวลาผ่านไปสองวัน คราวนี้เส้นทางของทั้งโดโรธี(เมืองเล็กทางตะวันตกเฉียงเหนือ)และเบธ(เมืองเล็กทางตะวันตกเฉียงใต้)เองก็ถูกตัดขาดด้วยเช่นกัน ซึ่งล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันราวกับนัดแนะไว้ไม่มีผิด  


 


 


ทั้งโดโรธีและเบธต่างก็ไม่ได้เตรียมมาตรการในการรับมือใดๆ ในครั้งนี้ ช่วงที่ทั้งสองเมืองยืนยันมาว่าต้องการความช่วยเหลือนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ข่าวลือเรื่องการบุกโจมตีที่เคยแพร่สะพัดกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมา  


 


 


จากการบุกโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนเช่นนี้ จึงทำให้ทุกเมืองต่างตกอยู่ในสภาวะความวุ่นวายพร้อมๆ กัน  


 


 


ไม่เว้นแม้แต่พรินซิก้า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้ง 


 


 


“แฮ่ก! แฮ่ก!” 


 


 


ชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในตึก เขาคือ อีจุนซอง หนึ่งในผู้เล่นที่คิมซูฮยอนเคยแวะมาเยี่ยมเยียนเมื่อคราวก่อน โดยปกติแล้วเป็นคนที่ออกจะเย็นชา ดูแล้งน้ำใจ แต่มาคราวนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไร เขาถึงได้ดูร้อนรนวิ่งหน้าแดงก่ำมาขนาดนี้  


 


 


หลังจากนั้นเมื่ออีจุนซองวิ่งขึ้นมาถึงชั้นสี่ เป็นช่วงเดียวกันที่ซอกาฮีก็เปิดประตูห้องออกมาพอดี เขาหันไปหาหล่อนแล้วพูดเสียงดังว่า 


 


 


“แฮ่ก เปิด…แฮ่ก เปิดประตู!” 


 


 


“พี่จุนซอง? พี่ยูฮยอน…!” 


 


 


“ฉันได้รับการติดต่อแล้ว ก็เลยมานี่ไง!” 


 


 


อีจุนซองตอบออกไปสั้นๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย และเมื่อตอนเขาพูดว่า ‘มานี่ไง!’ เขาก็วิ่งมาอยู่หน้าประตูเป็นที่เรียบร้อย เขาพูดเสียงดังทั้งๆ ที่ยังไม่จบคำดี พร้อมกับถีบประตูเข้ามา 


 


 


เสียงประตูเปิดดังปัง! 


 


 


“อยู่นี่เอง! แฮ่ก! แฮ่ก” 


 


 


“แม่จ๋า! โอ๊ย! นี่! ตกใจหมดเลย เจ้าบ้านี่!” 


 


 


ภายในห้องมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งพิงพนักเตียงอยู่ และเมื่ออีจุนซองถีบประตูเข้ามา หญิงสาวผู้นั้นก็ตะโกนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะดูเป็นผู้ใหญ่และเย็นชาไปเสียบ้าง แต่เสียงของหล่อนกลับแหลมปรี๊ดเหมือนกับเด็กไม่มีผิด 


 


 


“แฮ่ก! แฮ่ก! ทะ…ท่านพี่ฮโย, ท่านพี่ฮโยอึล! แฮ่ก! แฮ่ก! กะ…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…! มะ ไม่สิ ในที่สุดก็…! แฮ่ก! แฮ่ก!”ี 


 


 


“แฮ่กๆ อะไรของนาย ชักจะอารมณ์เสียแล้วเนี่ย! หยุดพักหายใจเสียก่อนสิ เจ้าโง่!” 


 


 


อีฮโยอึลตะโกนบอกเขาด้วยเสียงแหลมปรี๊ด พร้อมปาขวดน้ำไป อีจุนซองรับขวดน้ำนั้นมาไว้ในมือได้ แล้วดื่มน้ำแก้กระหายเข้าไปอึกใหญ่ หล่อนจิ๊ปากด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นัก แล้วส่ายหัวไปมา  


 


 


“อะไรกันเนี่ย ผู้ชายที่ฉันตื่นมาเจอเลยดันเป็นนายหรอเนี่ย น่ารำคาญชะมัด” 


 


 


“เฮ้อ ทะ…ท่านพี่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ…ต้องเริ่มพูดอะไรก่อนดีล่ะเนี่ย…ยังไงก็ดีใจด้วยนะครับที่ฟื้นแล้ว…” 


 


 


อีฮโยอึลโบกมือพร้อมขำแห้งๆ ให้กับคำพูดของอีจุนซอง  


 


 


“พอเหอะ ไหนบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ไง อย่ามัวพูดอึกๆ อักๆ อยู่ พูดออกมาตรงๆ เลย” 


 


 


อีจุนซองกลืนน้ำลาย สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ แล้วจึงเริ่มจ้องอีฮโยอึล หล่อนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเองก็จ้องเขากลับด้วยใบหน้าที่เย่อหยิ่งเช่นเดียวกัน  


 


 


“ตอนนี้เมืองในทวีปเหนือกำลังถูกโจมตีอยู่ครับ เจ้าพวกเร่ร่อนมันร่วมมือกับไอ้พวกทวีปตะวันตกแล้ว!” 


 


 


“แม่งเอ๊ย” 


 


 


“ท่านพี่! ไม่ได้โกหกนะครับ!” 


 


 


“เออ รู้แล้ว อยู่เงียบๆ หน่อยได้ไหม” 


 


 


อีจุนซองมองอีฮโยอึลด้วยใบหน้าที่กำลังตกตะลึง ชัดเจนแล้วว่าข่าวนี้เป็นข่าวสำคัญมาก หล่อนไม่กะพริบตาเลยสักครั้งเดียว ผู้เล่นที่ได้รับรู้ข่าวนี้เป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เชื่อกันทั้งนั้น แม้แต่อีฮโยอึลเองยังคาดไม่ถึง 


 


 


“เฮ้อ ในที่สุดยัยหนูลอว์เรนซ์ก็แพ้แล้วสินะ ว่าแต่ที่ไหนโดนโจมตีล่ะ” 


 


 


“มิวล์ โดโรธีและเบธครับ มิวล์โดนบุกเข้าไปก่อน ส่วนโดโรธีกับเบธโดนบุกเข้าพร้อมกัน” 


 


 


“มิวล์งั้นเหรอ…” 


 


 


อีฮโยอึลเกาหัวยิ้มออกมาอย่างขมขื่น สีหน้าหล่อนราวกับคนปวดหัวมิปาน หลังจากนั้นหล่อนจึงยื่นฝ่ามือไปหาอีจุนซองเพื่อแสดงความมุ่งมั่น เขามองมือเรียวอันขาวใสของหล่อนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย แล้วจึงเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ  


 


 


“ท่านพี่…ฟื้นขึ้นมา ร่างกายไม่ใช่ว่าจะดีพร้อมเลยนะครับ…” 


 


 


“…” 


 


 


“อ้า…รับทราบครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” 


 


 


อีฮโยอึลมองเขาด้วยหางตาทันที อีจุนซองจึงรีบส่งเหล้าให้หล่อนหนึ่งขวด อีฮโยอึลดื่มเข้าไปอึกหนึ่งด้วยสีหน้าพึงพอใจ 


 


 


“อ้า~ ต้องแบบนี้ถึงจะต่อชีวิตฉันได้ แล้วไง เรื่องใหญ่ที่ว่าน่ะ เรื่องนี้น่ะเหรอ” 


 


 


“ครับ? ก็ใช่ครับ แต่ว่า…ความจริงมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกครับ ท่านพี่เองก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว”  


 


 


อีฮโยอึลพยักหน้าให้พูด อีจุนซองจึงรีบเผยความไม่ยุติธรรมที่ตนได้รับ ราวกับต้องการฟ้องหล่อน 


 


 


“คือ…ตอนนี้แคลนลอร์ดกำลังจะมุ่งหน้าไปมิวล์ครับ ทั้งที่มิวล์กำลังเกิดสงคราม…!” 


 


 


อาจเพราะข่าวนี้น่าตกใจสุดขีด ทันทีที่เขาพูดประโยคจบ อีฮโยอึลถึงกับไออย่างหนัก 


 


 


“แค่กๆ! อะ…อะไรนะ” 


 


 


“สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่เล่น ๆ แล้วนะครับ มีน้องคนสนิทอยู่ที่มิวล์ด้วย…!” 


 


 


“เดี๋ยว น้องคนสนิท? ของคิมยูฮยอนน่ะเหรอ พูดเพ้อเจ้ออะไรอีกล่ะ” 


 


 


“เพ้อเจอตรงไหน อีฮโยอึล” 


 


 


และในตอนนั้นเอง มีเสียงอันแสนเย็นยะเยือกดังขึ้นจากมาหลังอีจุนซอง เสียงนั้นเปรียบได้กับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางห้อง 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 4

 

พรึ่บ พรึ่บ! 


 


 


กองไฟกำลังลุกโชติช่วง ณ จุดกึ่งกลางของค่ายพักแรมในค่ำคืนนี้ ผมวางใบไม้แห้งลง แล้วนั่งจ้องกองเพลิงตรงหน้า ในขณะที่ผมกำลังมองกองไฟอยู่อย่างเงียบๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครบางคนกำลังเดินเข้ามาจากด้านหลัง 


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ คงเหนื่อยแย่เลยนะครับ เปลี่ยนเวรกันหน่อยดีไหม” 


 


 


เสียงที่ดังเข้าหูมาโดยบังเอิญ ทำให้ผมต้องค่อยๆ หันหน้าไปมอง มีผู้ชายท่าทางดูสะอาดสะอ้านกำลังส่งยิ้มมาให้ ชื่อของเขาคือโจซึงอู เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ได้มาร่วมทีมกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมพยักหน้าตอบอย่างใจเย็น แล้วตอบกลับไปว่า 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนเวรเลย” 


 


 


“ฮ่าๆ วันนี้ผมนอนไม่หลับน่ะ แปลกๆ ยังไงไม่รู้” 


 


 


โจซึงอูหัวเราะร่วน แล้วหลังจากนั้นก็มานั่งลงข้างผม ผมจึงเขยิบตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ความเงียบเข้ามาปกคลุมไปชั่วขณะ มีเพียงแค่เสียงจากกองไฟที่กำลังลุกซู่ รวมไปถึงประกายไฟจากกองเพลิง เป็นอยู่แบบนั้นได้สักพักหนึ่ง โจซึงอูที่ดูอยากจะนั่งชมกองไฟเงียบๆ จึงค่อยเริ่มเปิดปากพูด 


 


 


“ผมกำลังนึกขอบคุณที่คุณเข้ามาช่วยเหลือพวกเราไว้” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็ไม่ถึงกับช่วยอะไรคุณไว้มากมายหรอก เพียงแค่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันเท่านั้น…” 


 


 


“ไม่ครับ ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องการเข้ามาร่วมทีมเฉยๆ นะ ผมกำลังนึกขอบคุณที่คุณมาช่วยพวกเราที่จัตุรัส ช่วยพาให้เรารอดตายมาได้ ไหนจะรับพวกเราที่มีคนเจ็บเข้าร่วมทีมอีก” 


 


 


“ฮ่าๆ ถ้าผมได้ยินคุณพูดแบบนี้อีกละก็หูผมคงชาแน่ๆ ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ไม่ต้องขอบคุณผมแล้ว” 


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่นี่เป็นคนนอบน้อมจริงๆ เลยนะ น่านับถือจริงๆ ครับ” 


 


 


‘เจ้านี่นี่ไหวพริบใช้ได้เลยแฮะ’ 


 


 


ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรมา ผมก็ตีความได้แต่ว่าเขาชื่นชมผมอยู่ตลอด ผมจึงได้แต่ถอนหายใจออกไปยาวๆ  


 


 


โจซึงอูเป็นหนึ่งในผู้เล่นทั้งหมดสิบคนที่ตามผมมาตั้งแต่อยู่ในจัตุรัส และเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดคนที่โชคดี ที่สามารถหนีเอาตัวรอดจากพวกเร่ร่อนมาได้  


 


 


คำพูดของโจซึงอูเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผิดไปหมดเสียทีเดียว แต่คำพูดเขากำลังทำให้ตอนนี้ผมแทบจะอดขำกับตัวเองไม่ได้เสียแล้วสิ 


 


 


เป้าหมายหลักข้อเดียวของผมคือพาสมาชิกเผ่าจากเมืองหนึ่งไปสู่สถานที่อื่นๆ ต่อไปในอนาคต ส่วนเป้าหมายอื่นๆ นั้นไม่จำเป็นจะต้องจำให้ขึ้นใจอะไรเลย จริงๆ แล้วพอเราออกมาจากมิวล์ได้ เราก็ต้องสนใจ รับผิดชอบแต่กับสมาชิกเผ่าของเราเท่านั้น ผู้เล่นคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยสักนิด  


 


 


แต่โจซึงอูก็ตามผมมา ในขณะที่ผมเองก็พาเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ผ่านไปผ่านมาเข้าร่วมทีมด้วยเท่านั้น ในความจริงแล้วผู้เล่นที่สมควรจะได้รับคำชมนั้น ควรจะเป็นโจซึงอูเสียมากกว่า 


 


 


ไม่ใช่เรื่องที่มีเจตนาดีคอยช่วยเหลือรับคนเจ็บเข้าทีม เพราะถึงแม้จะมีคนเจ็บเข้ามาอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ขาแต่อย่างใด การรักษาเองก็คืบหน้าไปประมาณหนึ่งแล้ว อีกทั้งความเร็วในการเดินทางก็ไม่มีอุปสรรคอะไรอีกด้วย เหมือนกับมีนักเวทสามคนเข้ามาร่วมทีมอย่างไรอย่างงั้น นอกจากนี้เมื่อเกิดเรื่องโชคไม่ดีขึ้นมา ยังสามารถใช้โล่กำบังของเหล่าผู้ร่วมทีมคนอื่นๆ ได้อีกด้วย 


 


 


ไม่ว่าจะมองอย่างไร การเดินทางไปด้วยกันในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ถือเป็นผลดีทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงเห็นด้วยที่มีการรวมกลุ่มเกิดขึ้น และแน่นอนว่าพอมีจำนวนคนเพิ่มขึ้น เรื่องอาหารกับน้ำดื่มจึงกลายมาเป็นปัญหา แต่ทว่า ณ ตอนนี้ พวกเรากำลังเดินเลียบตามแม่น้ำอยู่ จึงทำให้สามารถลำเลียงอาหารและน้ำดื่มได้สะดวก หากไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็ยังสามารถแก้ไขได้ด้วยการจับสัตว์ที่สามารถกินได้มาทำเป็นอาหารเสียก็หมดเรื่อง  


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ยังมีสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอยู่สองสิ่ง นั่นก็คือสัตว์ประหลาดกับพวกสะกดรอยตาม เดินป่าฝ่าดงทีไร ก็ต้องปะทะกับพวกสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว แต่การจัดการกับพวกมันก็ไม่ได้ยากอะไรมากมายนัก  


 


 


และอีกหนึ่งสิ่งที่ว่านั้นก็คือ พวกสะกดรอยตาม แม้พวกมันจะมีมุมที่แสนจะซื่อบื้อแฝงอยู่ด้วยก็ตาม 


 


 


ส่วนตัวแล้วผมมองว่าศักยภาพในการรับมือของพวกสะกดรอยของพวกเร่ร่อนนั้นยังต่ำอยู่ พวกนั้นมีทักษะพิเศษก็จริง แต่ว่าพวกมันก็ไม่ใช่ระดับผู้บังคับบัญชาอยู่ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถส่งพวกสะกดรอยมาจับตัวผู้เล่นที่หนีรอดไปได้อยู่วันยังค่ำ 


 


 


แต่ผมก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ตอนนี้ก็กำลังเตรียมรับมือพวกสะกดรอยตามอยู่ ผมจึงได้มอบหน้าที่ให้โกยอนจูดูแลสั่งการเรื่องเส้นทางที่เราใช้สัญจร อีกทั้งยังตั้งให้มีเวรยามคอยเฝ้าตอนกลางคืนอีกด้วย 


 


 


การที่ไม่มีสิ่งใดเข้ามาตอนนี้ก็นับว่าเป็นโชคดีของทุกคน แต่ทว่าลึกๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากให้คนมาร่วมทีมถึงสิบคนหรอก เพราะใจจริงแล้วผมสงสัยมากว่าอะไรคือสาเหตุที่ไปบุกมิวล์ก่อนเป็นที่แรก และหากคนของเราโดนพวกเร่ร่อนจับไป มันอาจจะล้วงข้อมูลเราไปได้ 


 


 


“คิดอะไรอยู่ครับ” 


 


 


ในช่วงที่ผมตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงของโจซึงอูก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ เขากำลังมองมาที่ผมอยู่ 


 


 


“ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” 


 


 


“ฮ่าๆ เห็นคุณหลับตา ผมเลยนึกว่าหลับไปแล้วเสียอีก ตอนนี้ได้เวลาเปลี่ยนเวรกันแล้วครับ เข้าไปพักผ่อนเถอะ” 


 


 


ผมพยักหน้าตอบคำชักชวนของโจซึงอู 


 


 


“ทราบแล้วครับ งั้นฝากด้วยนะ ถ้าคุณเฝ้าเวรกลางคืนอยู่เงียบๆ คนเดียวและไม่ได้ปลุกให้ใครมาเฝ้าเวรต่อ ผมจะเว้นไม่ให้คุณต้องมาเฝ้าอีกสองวันไปเลยครับ” 


 


 


“งั้นคืนนี้ผมต้องโต้รุ่งเพื่อสองคืนในอนาคตสิเนอะ” 


 


 


“งั้นผมขอถอนคำพูดละกันครับ” 


 


 


“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะครับ” 


 


 


หลังจากพูดอะไรหาสาระไม่ได้กับโจซึงอูเสร็จ ผมก็เอามือสองข้างยันไว้กับพื้นดิน แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังมีใจที่คิดอยากจะทำอย่างที่ว่า เลยคิดว่าอยากจะลองไปดูสักครั้ง มือขวาของผมตอนนี้รู้สึกได้ถึงใบไม้ที่ทั้งแห้งและสาก แต่มือซ้ายของผมกลับรู้สึกได้ถึงดินอันแสนนุ่มเสียอย่างนั้น ผมค่อยๆ เพิ่มพลังเวทและลุกขึ้น ไม่ใช่สิ ตอนที่กำลังจะลุกขึ้นต่างหาก 


 


 


และในตอนนั้นเอง 


 


 


“หืม? ไม่เข้าไปเหรอครับ” 


 


 


“…” 


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ?” 


 


 


พลังของมือผมที่กำลังค้ำพื้นดินอยู่ตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงเพียงพลังคลื่นบางๆ เท่านั้น หากมือผมไม่ได้ยันอยู่กับพื้นดินแบบนี้ ตัวผมคงสั่นจนไม่สามารถรับรู้ได้แน่นอน และแล้วอาการสั่นนั้นก็ค่อยๆ ทวีคูณมากยิ่งขึ้น 


 


 


“อะไรกันเนี่ย พวกนายดูสิ” 


 


 


โกยอนจูที่วางมือเท้าลงกับดิน เริ่มออกอาการมือสั่น หลังจากที่หล่อนลุกขึ้นยืน ทุกสายตาก็ล้วนจับจ้องไปที่หล่อน 


 


 


โกยอนจูยิ้มออกมาอย่างขมขื่น พร้อมเปิดปากพูดออกมาว่า 


 


 


“นี่พวกเธอ ดูสิ เขามันงอกขึ้นมาซะแน่นเลยนี่ แถมยังเหนียวเกาะแน่นด้วย…เรื่องพวกสะกดรอยตามท่าจะจริงซะแล้ว ไม่สิๆ ขอฟันธงเลยว่าใช่แน่นอน” 


 


 


ทุกคนล้วนใช้ความคิดหนักทันทีหลังจากโกยอนจูให้คำยืนยันมาเช่นนั้น หากอิงตามที่หล่อนพูด และตามที่ผมสัมผัสได้ แสดงว่ามีนักสะกดรอยตามของเจ้าพวกเร่ร่อนอยู่จริงๆ อารมณ์ของผมตอนนี้ตีกันมั่วไปหมด ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี ความในใจที่ผมคิดไว้เมื่อตอนนั่งดูกองไฟก่อนหน้านี้ดูท่าจะเป็นความจริงเสียแล้ว 


 


 


“งั้น…เราจะทำยังไงกันดี เราต้องรีบหนีไปให้เร็วที่สุดเลยใช่ไหม” 


 


 


“ใช่แล้ว! รีบหนีก่อนที่พวกเร่ร่อนจะบุกเข้ามากันเถอะ! นะ…นะครับ” 


 


 


หลังจากนั้นเริ่มมีเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ความน่ากลัวของพวกมันได้ซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก ถึงขนาดเปรียบได้กับว่าพวกเราเป็นคนที่เกือบจะโดนพวกมันฆ่าอย่างโหดเ**้ยมเมื่อครั้งอยู่มิวล์ ความน่ากลัวของพวกมันนี้ยากที่จะลืมเลือนกันเลยทีเดียว แต่ทว่าโกยอนจูกับส่ายหน้าไปมาแรงๆ กับคำตะโกนของเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ  


 


 


“หนีไปก็เท่านั้น เจ้าพวกนี้มันรู้แล้วว่าตอนนี้เราอยู่กันที่นี่” 


 


 


“แต่ว่า…” 


 


 


“ความตายมันกำลังคืบคลานเข้ามาใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้ต่อให้เราจะหนีไปยังไง สุดท้ายก็จะโดนมันจับอยู่ดี” 


 


 


การตัดสินใจในครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจจากใครอื่นใด แต่เป็นการตัดสินใจของราชินีแห่งเงามืดผู้นี้ ผู้เล่นหญิงคนหนึ่งที่เปิดประเด็นให้หนีไปในตอนแรกค่อยๆ แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา 


 


 


สิ่งที่โกยอนจูพูดน่ะถูกต้องแล้ว หากลองสมมติว่าพวกเร่ร่อนสามารถคุมพวกสะกดรอยได้สำเร็จ แต่พวกเรากลับไม่โดนจับตัวไป อีกทั้งยังหนีรอดมาได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมแล้ว แม้เราจะหันหน้าไปมองข้างหลัง แล้วปากบอกให้รีบหนีไปอย่างไร สุดท้ายแล้วเหล่าผู้เล่นบางส่วนที่วิ่งช้า ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงมากอยู่ดีที่จะถูกพวกมันจับตัวไป สุดท้ายคือปัญหาอยู่ที่เวลา  


 


 


แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือ ในตอนนี้ผมไม่มีความคิดที่จะหนีเลย ยิ่งไปกว่านั้นผมยังอยากรู้ข้อมูลของพวกมันด้วย ผมอยากจะอยู่ที่นี่ พุ่งไปหาพวกมันแล้วบอกว่า ‘ช่วยจับผมไปด้วย’ ให้พวกมันลากมือทั้งสองข้างของผมไป จะถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเลยละ 


 


 


“งั้นพวกเรา…จะตายกันอยู่ที่นี่เหรอ” 


 


 


เสียงเศร้าสร้อยของใครหนึ่งคนดังขึ้นมาจากทางไหนสักที่ ฟังดูแล้วช่างน่าสะเทือนใจในระดับหนึ่ง ถึงการมีชีวิตอยู่รอดในครั้งนี้จะยากลำบากไปเสียบ้าง แต่ผมก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ทว่าพอคิดถึงความตายที่กำลังใกล้เข้ามา ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกไร้ความสามารถ นึกแล้วก็ช่างน่าละอาย หลังจากสิ้นเสียงอันแสนเศร้า บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มหดหู่มากยิ่งขึ้น ตอนนั้นเองผมจึงก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า  


 


 


“ผู้เล่นโกยอนจู คุณทราบเส้นทางและจำนวนของพวกสะกดรอยตามไหมครับ” 


 


 


“ตอนที่สัมผัสได้ครั้งแรกน่าจะประมาณแปดร้อยเมตรนะ… อ้า แต่ตอนนี้ก็ลดลงมามากแล้วละ ส่วนจำนวนคน ฉันบอกแม่นๆ ไม่ได้หรอกค่ะ แต่น่าจะอยู่ที่ประมาณสี่สิบคนเห็นจะได้” 


 


 


‘สี่สิบคนงั้นเหรอ…’ 


 


 


“หากมีประมาณสี่สิบคนจริง ก็นับเป็นจำนวนที่น้อยกว่าตอนอยู่ในสนามเสียอีก พวกมันน่าจะจัดการได้ง่ายกว่าที่ผมคิดนะ” 


 


 


“จำนวน…นั่นสินะคะ คราวนี้ละพวกเร่ร่อนจะได้รู้จักชื่อเสียงของราชินีแห่งเงามืดผู้นี้สักที โฮะๆ” 


 


 


โกยอนจูตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่หล่อนกลับเปลี่ยนคำพูดทันทีหลังจากที่ผมส่งสัญญาณไปให้ หลังจากนั้นเหล่าผู้เล่นที่เคยมีสีหน้าอมทุกข์ ต่างก็แปรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่มีความหวังเอ่อล้นอยู่เต็มเปี่ยมในเวลาต่อมา ผมยังจำได้ดี เหล่าผู้เล่นที่อยู่กับผม ณ ตอนนี้ ผมเฝ้ามองดูเขาตั้งแต่คราวอยู่ที่จัตุรัสแล้ว มองอย่างไรพวกเขาก็เหนือกว่าพวกเร่ร่อนหลายสิบคนนั้นอยู่ดี  


 


 


และยิ่งไปว่านั้น เรายังมีราชินีแห่งเงามืดอยู่ทั้งคน จึงทำให้สามารถเปลี่ยนความคิดจากที่คิดว่า ‘ตายแน่’ มาเป็น ‘อ้อ อย่างนั้นเองหรอกหรือ งั้นเรามาลองกันสักตั้งดีไหม’ ได้อีกด้วย และสิ่งที่ผมคาดหวังและมองไว้แต่แรกก็ได้เปลี่ยนมาเป็นความคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน 


 


 


กำลังใจในช่วงสงคราม ไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ต่างก็ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก ถึงผมจะไม่ได้ยินคำพูดที่โกยอนจูตั้งใจจะพูดในตอนแรก แต่ก็ยังสามารถเดาได้อยู่ดีว่าหล่อนจะพูดอะไร   

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 5

 

นับว่ายากพอสมควรกับการที่เราจะมานั่งขบคิดว่าเจ้าพวกเร่ร่อนจะคัดเลือกกำลังพลมาอย่างไร ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้ให้มาเป็นนักสะกดรอยแทน ทั้งที่เป็นอย่างนั้นการที่ส่งมาถึงหกสิบคนนั้นหมายถึงมาตรฐานของพวกนักสะกดรอยนั้นคงจะไม่ใช่เล่นๆ ถ้าไม่อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีคนที่มีความสามารถสูงรวมอยู่ในนั้นด้วย 


 


 


“ถูกต้องแล้วครับ คราวนี้แหละ ผมจะทำให้เจ้าพวกเร่ร่อนรู้เสียบ้างว่าการสูญเสียสหายคนสำคัญมันเป็นยังไง หากจะให้ตายอยู่เงียบๆ ที่นี่ก็คงเศร้าน่าดูนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงภายนอกพวกเราจะดูเป็นคนเรียบร้อย ไม่สุงสิง ยุ่มย่ามกับใคร แต่พอถึงเวลาสู้ ผมก็สู้สุดใจขาดดิ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจะลองท้าชนกับพวกมันสักตั้งครับ” 


 


 


“พูดอะไรออกมา ไอ้เจ้าพวกบ้า! อวดเก่งนักนะ ตอนนี้ถึงฉันจะเสียแขนซ้ายไปแล้ว แต่ฉันก็ยังเหลือแขนขวาอยู่ดี และเมื่อถึงคราวที่ฉันจะต้องตาย ต่อให้ฉันตายหรือไม่ตายยังไง ฉันก็จะพาเพื่อนไปด้วยอยู่ดี” 


 


 


โจซึงอูพูดเสริมมาทันทีทันใด หลังจากผมได้ขยิบตาไปให้ เหมือนเขาจะรู้จุดประสงค์ของผมดี ว่าผมอยากจะให้กำลังใจพวกเราในการต่อสู้ครั้งนี้ คุณลุงที่อยู่ข้างๆ เองก็ดูจะไม่พอใจเรื่องแขนที่สูญเสียไปสักเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรก็ตามก็ดูท่าว่าจะได้ผลดีจากการใช้วิธีนี้ 


 


 


ผมค่อยๆ มองเหล่าผู้เล่นที่อยู่รอบกายผมอย่างช้าๆ ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ที่มีผม รวมไปถึงเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาร่วมทีมกันใหม่ มีอยู่ทั้งหมดสิบห้าคน หากลองแบ่งตามคลาส ก็จะแบ่งได้เป็นนักสู้ระยะประชิดหกคน, นักธนูสองคน, นักเวทห้าคนและนักบวชอีกสองคน ซึ่งผู้ร่วมทีมคนเก่าๆ ล้วนเป็นนักสู้ในสงครามทั้งนั้น ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วก็ถือว่าโชคดีมาก แต่ทว่าผมกลับมองไม่เห็นถึงความอยากเอาชนะในตัวพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


หากจะให้พูดอย่างละเอียดถึงระดับความสามารถของผู้ร่วมทีมคนเก่า ยกเว้นผมกับโกยอนจู ก็ขอบอกได้เลยว่าระดับของพวกเขาคนละชั้นกับพวกเร่ร่อนที่ไปบุกมิวล์แน่นอน พวกเขาถือว่าเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ ถึงจะมีอยู่เพียงหกถึงเจ็ดคน อีกทั้งในจำนวนนี้ยังรวมคนเจ็บเข้าไปอีกด้วย  


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรเลย ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดความจริงในจุดนี้ออกไปตรงๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เป็นส่วนช่วยสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถเป็นโล่กำบังได้เช่นกัน 


 


 


‘แล้วต้องทำยังไงล่ะเนี่ย…’ 


 


 


ในระหว่างที่ผมกำลังคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่ใบหน้า ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้กำลังส่งสายตาคาดหวังอะไรบางอย่างในตัวผม แม้ผมจะบอกว่าศักยภาพในการต่อสู้ของพวกเรามันคล้ายๆ กัน แต่พอเห็นว่าระดับความสามารถที่มีแต่แรกเริ่มได้ตกต่ำลงไป จึงทำให้ขอบเขตที่เราสามารถคัดเลือกผู้เล่นที่มีศักยภาพมากพอต่อการสู้รบในครั้งนี้แคบลงมากกว่าที่คิด จนผมแอบมาคิดเองว่าอย่างน้อยก็ตั้งให้โกยอนจูเป็นคีปเปอร์ไป ส่วนผมจะสู้เองอยู่คนเดียว เห็นทีจะเข้าท่ามากกว่าเสียด้วยซ้ำ  


 


 


หลังจากที่สามารถจัดการกับความคิดและสรุปออกมาได้คร่าวๆ แล้ว ผมจึงเปิดปากพูดอย่างเงียบๆ โดยพูดออกไปว่า 


 


 


“ก่อนอื่น เราจะต้องย้ายออกไปจากที่นี่กันก่อนครับ” 


 


 


* * * 


 


 


หลังจากน้ำเสียงอันแสนเย็นชาของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาในห้อง อีจุนซองจึงหันหลังกลับไปมองต้นเสียงนั้นด้วยใบหน้าตกใจสุดขีด ประตูห้องเปิดกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เงาสีดำทะมึนพาดผ่านบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ลักษณะท่าทีดูจะเย็นชาไม่น้อย  


 


 


“โอ๊ะ คิมยูฮยอน ไม่เจอกันนานเลยนะ เอ้า อีจุนซอง? ออกไปซะสิ” 


 


 


“อีฮโยอึล ดีใจด้วยนะที่เธอฟื้นขึ้นมาได้สักที น้องชายของฉันนี่เก่งจริงๆ ส่วนอีจุนซอง นายน่ะออกไปได้แล้ว” 


 


 


จากคำพูดที่ฟังดูแล้วช่างจะขับไสไล่ส่งเสียเหลือเกิน อีจุนซองจึงได้แต่หันรีหันขวาง ทำหน้าทำตาไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่ทว่าหลังจากนั้นไหล่ของเขาก็สั่นขึ้นมาดื้อๆ แล้วเริ่มเดินออกจากห้องไปอย่างหมดแรง 


 


 


หลังจากประตูปิดสนิท คิมยูฮยอนจึงเดินเข้ามาทางเตียงช้าๆ แล้วก้มมองอีฮโยอึล หล่อนประสานสายตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่งเสียง ‘ชิ’ อย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นจึงพูดออกมาว่า 


 


 


“ที่นายพูดออกมาเมื่อกี้คืออะไร มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ คนเขาเพิ่งเจอความเป็นความตายมาหยกๆ ถ้าฉันฟื้นขึ้นมา นายต้องดูดีใจกว่านี้หน่อยสิ” 


 


 


“งั้นดีใจด้วยอีกครั้งแล้วกันนะที่ฟื้นขึ้นมาได้เนี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายฉัน เธอคงลุกขึ้นมาแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ แล้วก็เธอควรไปขอบคุณซูฮยอนเขาด้วยนะ” 


 


 


คำพูดที่คิมยูฮยอนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ทำเอาอีฮโยอึลมีสีหน้างุนงงไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน หล่อนก็สามารถเก็บสีหน้าไว้ได้ แล้วพูดออกมาว่า 


 


 


“งั้นหรอ นี่ฉันกำลังหวังอะไรจากนายอยู่เนี่ย แล้วจู่ๆ ทำไมถึงได้พูดเรื่องน้องขึ้นมา แล้วมิวล์มันทำไมอีกล่ะ” 


 


 


“ผู้เล่นที่ช่วยรักษาเธอจากคำสาปของพวกแบนชี ตอนที่เธอไม่ได้สติน่ะ คือคิมซูฮยอน น้องชายของฉันเอง ซูฮยอนเขาช่วยรักษาเธอแล้วเดินทางต่อไปยังมิวล์ แต่หลังจากนั้นมาฉันยังติดต่อกับเขาไม่ได้เลย” 


 


 


คำตอบที่เขาพูดออกมาชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว อีฮโยอึลได้แต่เอียงหัวไปมา หล่อนกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดออกมาว่า 


 


 


“การบุกโจมตีของพวกเร่ร่อนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และหนึ่งในที่ที่พวกมันบุกไปก็คือมิวล์ คนที่ช่วยรักษาฉันก็คือ เจ้าคนที่ชื่อคิมซูฮยอน ซึ่งเป็นน้องชายของนาย และหลังจากนั้นน้องของนายก็เดินทางต่อไปยังมิวล์ แล้วก็ติดต่อกันไม่ได้เลยหลังจากนั้น ถ้าฉันพูดอะไรผิดไป ก็ช่วยแก้ให้ด้วยแล้วกัน” 


 


 


“ไม่มี” 


 


 


“เป็นน้องชายจริงๆ สินะ โอเคๆ งั้นฉันจะเดินทางไปที่มิวล์เพื่อไปตามหาน้องชายของนายก็แล้วกัน นี่พูดจริงนะ แต่ถ้าการติดต่อถูกตัดสัญญาณไป แสดงว่าวาร์ปเกตก็ถูกปิดไปด้วย ถ้ายังงั้นจะทำไงล่ะ” 


 


 


“ยังมีวาร์ปเกตของเอเดนอยู่ ฉันคิดว่าจะไปที่นั่นก่อน” 


 


 


“งั้นนายจะเดินไปเอเดนงั้นน่ะเหรอ” 


 


 


คิมยูฮยอนพยักหน้ารับอย่างช้าๆ อีฮโยอึลที่เห็นปฏิกิริยาของเขาเป็นเช่นนี้ จึงได้จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาอันแสนดุร้าย ลองคิดดูสิ หากเดินไปโดยใช้ความเร็วตามปกติ และไร้ซึ่งสิ่งขีดกวางใดๆ เส้นทางของเอเดนกับมิวล์ก็กินเวลาไปกว่าสามสัปดาห์แล้ว หากมองในมุมทั่วไปก็ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว  


 


 


อีฮโยอึลกัดปากใช้ความคิด แล้วถอนหายใจออกมาเต็มแรง หากเป็นคนอื่น คงด่าไล่ส่งไปแล้ว แต่คนที่อยู่ตรงหน้า ณ ขณะนี้คือคิมยูฮยอน หล่อนรู้นิสัยและการกระทำในยามปกติของเขาดี เพราะฉะนั้นข้ามเรื่องคำพูดติดตลกไปได้เลย เพราะลักษณะการพูดของคิมยูฮยอนน่ะ ล้วนแฝงไปด้วยความจริงจังทั้งสิ้น 


 


 


“คิมยูฮยอน เพราะเป็นนาย ฉันเลยจะไม่พูดอะไรออกไปนะ แต่จะทิ้งคำพูดไว้ให้คิดสักสองคำนะ ตั้งใจฟังให้ดีละ” 


 


 


“…” 


 


 


“ต่อให้นายมาบอกว่านายจะไปเอเดน แต่กว่าจะไปถึงมิวล์น่ะ ไม่ว่านายจะไปช้าไปเร็วยังไง ก็ใช้เวลาไปตั้งสามอาทิตย์แล้ว ส่วนเรื่องบุกโจมตีนั่นน่ะเต็มที่ก็สองวัน สงครามมันก็จบแล้ว เข้าใจใช่ไหมว่าฉันจะสื่ออะไร” 


 


 


“คำพูดของเธอน่ะเหมือนจะบอกว่ามีโอกาสสูงที่ซูฮยอนอาจตายไปแล้วยังไงไม่รู้เนอะ” 


 


 


“ฉันกำลังบอกว่าตอนที่นายไปถึงที่นู่นแล้วน่ะ มันมีโอกาสสูงมากที่สถานการณ์ทุกอย่างมันได้จบลงแล้ว เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วหนีออกไปแล้วก็ได้ เรื่องของน้องนายน่ะมันก็น่าสงสารอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา ลองคิดโดยใช้เหตุผลเป็นหลักบ้างสิ” 


 


 


คำพูดโน้มน้าวของอีฮโยอึลถูกต้องที่สุดก็จริง แต่หล่อนกำลังมองข้ามสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งไป สิ่งนั้นก็คือคิมยูฮยอนมองว่าแท้จริงแล้วคิมซูฮยอนเป็นเด็กซื่อบื้อ ในหัวของคิมยูฮยอนมีแต่ภาพคิมซูฮยอนที่กำลังน้ำตาคลอหน่วย ริมฝีปากสั่นเทิ้ม เรียกร้องหาพี่ไปมาไม่หยุดหย่อน 


 


 


“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าคำที่เธอว่ามามันจะถูกจริงหรือเปล่า” 


 


 


“ชิ รู้แล้วก็จบๆ ไป ตกใจมากเลยละพอมาดูสถานการณ์ตอนนี้ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ใช่คิมยูฮยอนจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย” 


 


 


“อีฮโยอึล” 


 


 


“…?” 


 


 


คิมยูฮยอนโน้มตัวลงมาช้าๆ ลดระยะห่างระหว่างเขากับอีฮโยอึล ในช่วงที่คนทั้งคู่ต่างช้อนสายตาประสานกัน หน้าของหล่อนขึ้นสีระเรื่อ หลังจากนั้นหล่อนจึงหลบสายตาเขาไปก่อน แล้วคิมยูฮยอนจึงเปิดปากพูดออกมาว่า 


 


 


“ฉันหมายถึงว่า สถานการณ์ในตอนนี้น่ะมันจะเป็นไปในทิศทางไหนก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าจะให้ถูกต้องเลยก็คือเธอน่ะไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ” 


 


 


“หา นายว่าอะไรนะ” 


 


 


“อย่างน้อยพูดมาว่าเขายังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่น่าจะดีกว่านะ สำหรับฉันนะ การพาตัวคิมซูฮยอนกลับมาคือสิ่งที่ฉันจะทำเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องคิดโดยใช้เหตุผลที่เธอว่า หรือจะให้มองตามสภาพการณ์ปัจจุบันน่ะ มันเป็นเรื่องที่จะต้องคิดหลังจากนั้นต่างหาก” 


 


 


“นาย…!” 


 


 


“ฟังให้ดีนะ ฉันจะไปหาน้องของฉัน ไม่ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว หรือโดนจับตัวไปอะไรก็แล้วแต่ แต่การตัดสินใจในครั้งนี้ของฉันก็จะยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน ถึงแม้จะต้องไปดึงพลังของท่านเทพผู้ประทานให้เกิดฟ้าร้องมาก็ตาม และไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ฉันก็คิดจะไปตามหาน้องฉันอยู่แล้ว รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีเถอะ ฉันไม่มีความคิดที่จะไปส่งสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ไปหรอก” 


 


 


คิมยูฮยอนกลับมายืนตัวตรงดั่งเดิมหลังจากพูดประโยคเหล่านั้นจบ อีฮโยอึลมองเขาด้วยสายตางุนงง หลังจากนั้นหน้าหล่อนก็เริ่มบูดเบี้ยวไม่พอใจ แล้วตะโกนออกมาว่า 


 


 


“นาย คำพูดของนายนี่นะ! พูดอะไรออกมา…! ไอ้เจ้าโง่!  


 


 


“ก็มีเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือไง จงคิดภูมิใจกับการเป็นตัวของตัวเองเสียเถอะ”  


 


 


“หนวกหู! นายน่ะคิดจะทำอะไรอยู่ตัวคนเดียวตลอด! แล้วก็อะไรนะ ท่านเทพผู้ประทานให้เกิดฟ้าร้องงั้นเหรอ นายจะใช้พลังของท่านน่ะเหรอ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือนายนั่นแหละที่จะต้องตายนะ!” 


 


 


“ถ้าหากซูฮยอนตายไปแล้ว ฉันเองก็คงทรมานเหมือนตายไปด้วยเหมือนกัน ถ้าฉันต้องอยู่ในสภาพนั้น จะตายไปก็ไม่เลวนี่” 


 


 


“แล้วพวกสมาชิกเผ่าที่ตามนายมาตลอดล่ะ จะทำยังไง! ทำเท่าที่ทำได้ก็พอแล้ว เอ๊ะ ไอ้เจ้านี่! เดี๋ยวสิ? ยะ อย่าไป นี่! นาย!” 


 


 


และในตอนนั้นเอง ในช่วงที่คิมยูฮยอนเมินเฉยต่อคำพูดของคิมฮโยอึลแล้วเดินออกไปจากห้อง ประตูห้องก็เปิดกว้างออกมา 


 


 


“ขออนุญาตค่ะ…” 


 


 


หลังจากนั้นเสียงเล็กๆ ก็ดังลอดออกมาผ่านช่องประตู พร้อมกับซอกาฮีที่ค่อยๆ ยื่นหน้ามาอย่างระมัดระวัง หล่อนสอดส่องมองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าที่ดูแล้วช่างอึดอัดเสียเหลือเกิน หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมาว่า 


 


 


“มีคนจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มาหาค่ะ” 


 


 


* * *  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 6

 

พวกเราออกแรงวิ่งกันสุดแรงเกิด ซึ่งตอนนี้กำลังวิ่งผ่านป่าที่อยู่บริเวณรอบๆ นี้แล้ว ไม่รู้ว่าโชคดีของผมด้วยหรือเปล่า ที่ไม่มีผู้เล่นคนไหนที่เร็วไปมากกว่าผม เพราะหลังจากเกิดการจู่โจมอย่างกะทันหันเมื่อครู่ ผมก็สามารถแทรกตัวเข้ามาอยู่ในเขตที่กำหนดไว้ได้ อีกทั้งระยะทางยังไกลออกไปประมาณหนึ่งด้วย แต่ทว่าระยะทางที่ว่านั้น ห่างกันไม่ถึงสามสิบเมตร ผมรู้สึกได้ถึงเสียงตะโกนที่แฝงไปด้วยความโกรธแค้นภายในนั้น อีกทั้งยังสังหรณ์ใจว่ามีคนจำนวนมากกำลังวิ่งตามไล่หลังผมมาอยู่ 


 


 


สวบ! สวบ! 


 


 


“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! ให้ตายเถอะ วอนซะแล้ว!” 


 


 


“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย! ระวังกับดักก็แล้วกัน!” 


 


 


‘รู้แล้วน่า’ 


 


 


เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังผมมีเสียงขำเล็กๆ ปนอยู่ในนั้นด้วย แต่ไม่เป็นไร แค่ในช่วงเพิ่งเริ่มต้นนี้ ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าพวกนั้นมีอยู่ประมาณเท่าไหร่ และแผนของผมคือ แผนที่คิดมาเพื่อคอยคำนึงถึงจุดนั้น ผมวางไว้ว่าในช่วงแรกผมจะจัดการกับพวกมันชุดใหญ่ โดยจะต้องไม่ใช้เวลานานจนเกินไป  


 


 


ผมวิ่งหนีอยู่เช่นนั้นได้ประมาณสิบนาที แล้วหลังจากนั้นก็มีกลุ่มก้อนเงาดำก้อนใหญ่บังเกิดอยู่ตรงหน้า หากมองเผินๆ คงเป็นเพียงความมืดมิดที่กระจายอยู่รอบๆ บริเวณป่าแห่งนี้ แต่ทว่าผมรู้ดีว่าความมืดมิดนี้คืออะไร ความมืดมิดที่ว่านี้ หากจะให้เรียกให้ถูกต้องคือ ‘ม่านดำ’ ที่พวกเงาทั้งหลายรวมตัวกันสรรสร้างนั่นเอง  


 


 


หลังจากนั้นในช่วงที่ผมอยากจะลากพวกมันเข้ามาอยู่ข้างใน ผมจึงรีบหมุนตัว และทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นเจ้าพวกเร่ร่อนที่กำลังวิ่งไล่ตามและเล็งดาบมาที่ผมเกิดสะดุ้งตกใจ เกียรติยศแห่งวิคตอเรียที่อยู่ในมือ ณ ขณะนี้กำลังส่งแสงรางๆ ออกมา 


 


 


“หยุด! ทุกคนหยุด!” 


 


 


“ระวังดาบแห่งแสง!” 


 


 


และในตอนนั้นเอง พวกเร่ร่อนจึงหยุดวิ่ง พร้อมกันกับกลุ่มก้อนเงาดำที่มลายหายไปในพริบตาเดียว และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง พอกลุ่มเงาที่ว่านั้นเลือนหายไป เหล่าผู้เล่นที่คอยซุ่มอยู่ข้างในก็แสดงตัวออกมา พวกเขาปล่อยพลังเวทและยิงธนูอย่างไม่รีรอ อาจเป็นเพราะพวกเขาจำคำที่ผมบอกไว้ว่าอย่าปล่อยให้มีช่องว่าง ให้รีบลงมือทันทีนั่นเอง 


 


 


ฉึก! ฉึก! 


 


 


ฟึ่บ! ฟึ่บ! 


 


 


ทั้งเวทมนตร์ ทั้งลูกธนู รวมไปถึงกลุ่มเงามากมายหลั่งไหลเข้ามาออกันอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าพวกเร่ร่อนเองก็ไม่นิ่งเฉย พวกมันลงมือสร้างม่านดำกึ่งโปร่งแสงให้มีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวในชั่วพริบตา ดูจากท่าทีแล้ว เหมือนสร้างม่านขึ้นมาให้คลุมกลุ่มคนที่หนีออกไปก่อน ซึ่งดูเหมือนวางแผนเตรียมการณ์มาล่วงหน้าอย่างดีแล้ว 


 


 


ผมเห็นดังนั้นจึงปลุกพลังดาบแห่งแสงและทักษะแฝงในเกียรติยศแห่งชัยชนะที่ได้เตรียมเมื่อก่อนหน้านี้ 


 


 


และในวินาทีนั้นเอง ดาบแห่งแสงก็ได้ลุกโชนส่องแสงสว่างออกมา 


 


 


[เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย : ดาบแห่งแสง] 


 


 


เกียรติยศแห่งวิคตอเรียนี้จะมีพลังสีขาวประกายเงินไหลวนเวียนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งธาตุแท้ของพลังนี้คือส่วนหนึ่งในอำนาจและศักยภาพของเทวดาผู้คุ้มครองรักษากษัตริย์ในสมัยโบราณของวิคตอเรีย ที่ชื่อว่า ‘ไดอาน่า’ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือดาบแห่งแสงนั่นเอง หากจะเริ่มลงมือใช้พลังที่ว่านี้ แสงที่ไหลวนเวียนอยู่บริเวณคมมีดจะส่องประกายลุกโชนออกมา และยังสามารถใช้เป็นพลังในการบังคับหรือพลังอำนาจต่างๆ ได้อีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว พลังดาบแห่งแสงนี้ไม่ได้มีมากมายเท่าใดนัก แต่สามารถเพิ่มพละกำลัง หรือตัวเลขให้สูงเท่าไหร่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ใช้งานด้วย ซึ่งพลังดาบแห่งแสงนี้สามารถใช้ได้เพียงสามครั้งต่อวันเท่านั้น หากพ้นหนึ่งวันไปแล้ว จำนวนการใช้งานพลังดาบแห่งแสงนี้ก็จะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง 


 


 


ในช่วงแรกผมคิดจะใช้ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ตั้ง แผนของผมคือจะเข้าไปบุกตีก่อนแล้วจึงค่อยหาทางรอดกลับมา แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นมันไร้ประโยชน์มากเพียงใด เพราะเหล่าผู้เล่นที่ผมจะนำทางเขาไปนั้น ทุกคนล้วนยังขาดประสบการณ์ในการรบแบบซุ่มโจมตี รวมไปถึงยังขาดศักยภาพในการต่อสู้และความเร็วอีกด้วย 


 


 


ผมเองยังมองว่าควรจะเข้าไปจู่โจมพวกมันแบบฉับพลันตัวคนเดียวไปเลยเสียยังดีกว่า แต่หลังจากนั้นผมก็ทำได้แต่ส่ายหัวไปมา เพราะถึงแม้จะบอกว่ายังมีราชินีแห่งเงามืดอยู่ แต่ในวินาทีที่ผมไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สิ่งนั้นจะทำให้ศักยภาพในการต่อสู้ยิ่งถดถอยลงไป ดังนั้นความกังวลของผมที่หลงเหลืออยู่ข้างใน จึงได้กลายมาเป็นความวางใจให้กับผมแทน  


 


 


และแล้ววิธีที่ผมเลือกมาก็คือการซุ่มโจมตี ผมไม่ใช่กลยุทธ์โจมตีซึ่งหน้าแน่นอน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมตั้งใจว่าจะต้องทำสำเร็จให้ได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่พวกเร่ร่อนจะมาถึง พวกเราจะต้องบุกไปโจมตีพวกมันก่อน ซึ่งหนทางที่ว่านี้ดีกว่าการยืนรออยู่เฉยๆ เป็นร้อยเท่าพันเท่า ดังนั้นแล้วผมและเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ จึงย้ายไปยังเขตพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการประจันหน้าต่อสู้กับพวกมัน หลังจากนั้นพอผมสามารถรอดพ้นอันตรายมาได้แล้ว ผมจะทำให้เจ้าพวกเร่ร่อนที่ไล่ล่าผมเกิดความสับสนสักเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็คือในช่วงที่เหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ กำลังรอจังหวะเตรียมวิ่งไปยังสถานที่อื่น ผมก็จะคอยเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมันเอาไว้นั่นเอง 


 


 


และแผนการณ์ ณ ขณะนี้เริ่มเห็นผลก่อนที่จะได้ลงมือจริงๆ เสียแล้ว 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เหล่าพวกเร่ร่อนที่ไล่ตามคิมซูฮยอนมานั้นล้วนเป็นกลุ่มที่มีทักษะในระดับหนึ่ง แสงสว่างที่ยิงพุ่งออกมาจากคมมีดทำให้ในช่วงแรกๆ ของการบุกโจมตีนั้น พวกเร่ร่อนต้องสูญเสียสหายร่วมรบไป แต่ทว่าในครั้งนี้เป็นการจู่โจมที่อยู่เหนือการคาดการณ์ทั้งปวง จะไม่ตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน ดังนั้นในช่วงที่ตามไล่ล่าคิมซูฮยอน พวกมันจึงเตรียมพร้อมรับมือ และในคราวที่ถูกเพ่งเล็งด้วยดาบที่กำลังส่องแสงสีเงินออกมา ยังสามารถรับมือและตอบโต้ได้อีกด้วย 


 


 


การเปล่งประกายของลำแสงจำนวนมาก, สายฝนแห่งความมืดสลัว, ลูกธนูและมนตร์ต่างๆ กำลังร่วงหล่นลงมาราวกับห่าฝน และในตอนนั้นเองพวกเร่ร่อนจึงผสานม่านกึ่งโปร่งแสงขึ้นมาอีกหลายๆ ชั้นเพื่อป้องกันส่วนบนของพวกมัน โดยพวกเร่ร่อนเหล่านี้เชื่อว่าม่านกำบังที่ตนเนรมิตขึ้นมาหลายๆ ชั้นนี้จะสามารถป้องกันการจู่โจมที่อยู่ตรงหน้าได้ หรือไม่เช่นนั้นก็อย่างน้อยก็คงช่วยบรรเทาพวกมันได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งพวกมันเองก็ไม่ได้เคลือบแคลงใจอะไรในจุดนี้ หลังจากนั้นพวกมันก็คาดหวังที่จะทำอะไรสนุกๆ อย่างการฆ่าทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ อีกทั้งยังปลุกพลังอำนาจให้ลุกโชนออกมาอย่างเต็มที่  


 


 


แต่ทว่าความคิดเช่นนั้นกลับต้องแปรเปลี่ยนมาเป็นความตะลึงงันในชั่วพริบตา เมื่อแสงจากคมมีดได้ทะลุผ่านเข้ามายังม่านกำบังชั้นแรกสุด 


 


 


ชิ้ง! 


 


 


เพล้ง! เพล้ง! 


 


 


แสงสีเงินเรืองรองที่พุ่งออกมาจากคมมีดนั้นมีพลังคล้ายคลึงกับมีดจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงทำให้ม่านกำบังของพวกเร่ร่อนแตกกระจายและมลายหายไปจนหมดสิ้น เสียงโอดครวญที่อัดแน่นไปด้วยความเศร้าเสียใจเริ่มดังชัดเจนขึ้น ส่วนพวกเร่ร่อนที่ร่ายมนต์นั้น เนื่องจากเกิดการปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จึงทำให้พวกมันมีอาการโซซัดโซเซ และในจังหวะที่ม่านกำบังได้แตกสลายไปแล้วนั่นเอง การบุกจู่โจมของเหล่าผู้เล่นก็ได้เริ่มต้นขึ้น  


 


 


ฉึก! ฉึก! ปัง! ปัง ปัง ปัง! 


 


 


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ปัง! ปัง ปัปัง! 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


“อึก…อ๊าก!” 


 


 


สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้คือ มีสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับลูกคลื่นพลังมหาศาลพัดพาเข้ามาดูดร่าง กลืนกินพวกเร่ร่อนที่อยู่ตรงหน้าจนราบเป็นหน้ากลอง ม่านกำบังก็ถูกทำลายไปแล้ว อีกทั้งดาบแห่งแสงที่อาจยังมีพลังหลงเหลืออยู่ เริ่มจะกระจายพลังแสงอันน่าหวาดเสียวไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้พวกเร่ร่อนที่อยู่ ณ บริเวณโดนหั่นร่างออกเป็นชิ้นๆ อย่างน่าสยดสยอง พลังเงาดำเริ่มโหมกระหน่ำเข้ามาอีกครั้ง ร่างกายของพวกมันโดนเสียบโดยลูกธนูและมนตร์ต่างๆ จนพรุนไปหมด ณ ที่แห่งนี้กำลังเต็มไปด้วยเสียงระเบิดและเสียงร้องครวญครางดังไม่ขาดสาย พวกเร่ร่อนที่หลงเหลืออยู่บางส่วนนั้นก็ไม่เพียงพอสำหรับการสู้ต่อ และแล้วหลังจากนั้นพวกมันจึงพบกับมวลฝุ่นดินเม็ดหยาบจำนวนมากที่ลมพัดปลิวมา จนสุดท้ายแล้วพวกมันก็ลื่นไถลเข้าไปกับมวลพลังมหาศาลนั้น 


 


 


“ให้ตายเถอะ! ทุกคนหลบ!” 


 


 


เวลานี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง และยิ่งไปกว่านั้นคือมวลฝุ่นดินอันแสนหนาทึบกำลังเริ่มก่อตัวแล้ว แต่ทว่าหากคืนสภาพให้กลับมาอยู่ในระดับที่ดีมากพอ อุปสรรคชนิดนี้ที่กำลังเผชิญก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป 


 


 


เสียงแหลมปรี๊ดดังขึ้นมาสอดแทรกมวลฝุ่นอันขุ่นมัว และแล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดรัดรูปสีดำกระเด็นออกมาจากในนั้น ผมของหล่อนเป็นสีดำเสียส่วนใหญ่ก็จริง แต่ทว่ายังมีสีแดงเพลิงแซมเข้าไปอยู่ในนั้นบ้าง ทุกครั้งที่ร่างกายของหล่อนสั่นไหว เส้นผมที่เป็นสีแดงบางส่วนก็จะค่อยๆ เผยโฉมออกมาราวกับว่ากำลังโบกสะพัดพลิ้วอยู่บนฟากฟ้า นัยน์ตาของหล่อนเองก็ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเช่นกัน อาจเป็นเพราะหล่อนได้รับผลกระทบมาจากมวลฝุ่นดินที่ว่าก็เป็นได้ 


 


 


ไม่เพียงเท่านั้น มีดสั้นที่อยู่ในมือทั้งสองข้างของหล่อนเองก็กำลังค่อยๆ ส่งพลังสีแดงออกมา เหมือนกับว่ากำลังส่งพลังเข้าไปในมีดสั้นเล่มนั้นอย่างเต็มที่ 


 


 


“ฮึบ!” 


 


 


แพคซอยอน หญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำเริ่มรวมพลังทั้งแรงกายและแรงใจเข้าด้วยกัน พร้อมกันนั้นก็นำมีดสั้นชี้ไปที่ด้านหน้าแล้ววาดลวดลายออกมาเป็นรูปตัวเอ็กซ์ หลังจากนั้นพลังอำนาจที่ได้ห่อหุ้มมีดสั้นเมื่อครู่นี้ได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น อีกทั้งความยาวของมีดเล่มนั้นยังเพิ่มขึ้นในพริบตาอย่างน่าตกใจ 


 


 


ทันทีที่เธอออกแรงที่มือ เส้นโค้งอันเกิดจากรอยคมมีดก็ยิ่งลึกเข้ามากขึ้น กลุ่มพลังอำนาจจำนวนมหาศาลที่กำลังผลักเข้าผลักออกนั้นเริ่มโอบล้อมรอบทิศทาง 


 


 


ตูม! 


 


 


“อึก!” 


 


 


และทันใดจึงเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทุกสารทิศ แพคซอยอนครวญครางออกมาสั้นๆ พร้อมกับสะดุ้งเฮือก ทั้งๆ ที่พลังนั้นได้ไหลซึมเข้ามาแล้ว แต่เนื่องจากเกิดการกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง จึงทำให้พลังนั้นเข้าครอบงำไปทั่วร่างของหล่อน 


 


 


แพคซอยอนกัดฟันสู้ แต่แล้วก็บังเกิดสีหน้าสงสัยขึ้นมา จึงได้เลิกคิ้วขึ้น ในวินาทีที่กลุ่มเงามืดกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า เหมือนกับประทัดระเบิดก็เกิดแสงวูบวาบพุ่งเฉียดผ่านดวงตาหล่อน  


 


 


“อย่างนี้นี่เอง ฉันเข้าใจหมดแล้วตอนนี้ ราชินีแห่งเงามืดน่ะ…เอ๊ะ?” 


 


 


อาจเป็นเพราะตอนนี้อาการเริ่มทุเลาลงไปมาก แพคซอยอนส่งเสียงบ่นงึมงำออกมาพอพูดคำสุดท้ายจบ หล่อนก็เงยหน้าขึ้น 


 


 


ฟิ้ว! 


 


 


เสียงลมอันแสนแหลมคมเหมือนกับฟ้าจะแยกออกจากกันดังขึ้น อารมณ์คลุ้มคลั่งในหัวของแพคซอยอนค่อยๆ ทุเลาลง จากที่ก่อนหน้านี้เสียงของหล่อนช่างแสนจะเย็นชา  


 


 


หล่อนได้แต่คิดไปมาว่าจะต้องจับพวกมันมาให้หมด อย่างน้อยที่สุดตอนนี้คือจะต้องทำให้พวกมันกลัวให้ได้ แล้วจึงค่อยหลงเหลือไว้เพียงร่องรอยของการล่าสัตว์อันแสนโหดเ**้ยมเท่านั้นก็เพียงพอ แต่ทว่าความจริงกลับไม่เป็นดั่งที่หล่อนคิด การเข้าจู่โจมของคิมซูฮยอนทำเอาหล่อนจนตรอกเหมือนโดนมรสุม อีกทั้งยังไม่เว้นช่องว่างให้หล่อนพักหายใจเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงทำเอาหล่อนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วร่าง 


 


 


แพคซอยอนมองร่องรอยของแสงสีเงินที่พุ่งออกมาเฉือนร่างพรรคพวกราวกับผีพุ่งใต้ หล่อนควักมีดสั้นออกมา แล้วโน้มตัวลง และแล้วพลังสีแดงเมื่อครู่นี้ก็เริ่มออกฤทธิ์อีกครั้งหนึ่ง 


 


 


ฉับ! 


 


 


เสียงมีดดังก้องไปทั่วทั้งผืนป่า วินาทีที่พลังสีแดงเพลิงปะทะเข้ากับพลังสีเงิน จึงบังเกิดประกายแสงอันแสนรุ่งโรจน์ปะทุออกมาราวกับระเบิด 


 


 


ในที่สุดการต่อสู้แบบตัวของตัวครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นลงโดยเหล่าผู้เล่นช่วงชิงโอกาสไว้ได้เกือบหมด 


 


 


และคลื่นพลังเวทมนตร์ก็ได้ไหลวนรวมตัวกัน ซึ่งเป็นสัญญาญหนึ่งที่บ่งบอกว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงการต่อสู้กันอย่างจริงจังแล้ว 


 


 


* * *  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 7

 

ยังมีพวกเร่ร่อนหลงเหลืออยู่ประมาณสี่สิบกว่าคน ถ้าเป็นจำนวนที่แน่นอนก็จะมีสี่สิบเอ็ดคน ซึ่งโกยอนจูได้คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะมีประมาณสี่สิบคน ส่วนตัวผมเอง ตอนที่เห็นพวกมันครั้งแรก ก็คาดไว้ว่าน่าจะมีประมาณห้าสิบคน  


 


 


การคาดเดาของหล่อนในครั้งนี้ผิดพลาดไปก็จริง แต่ทว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ตัวเลขออกมาคลาดเคลื่อน เหตุผลที่ว่าก็คือ ในจำนวนห้าสิบคนเหล่านั้น มีอยู่สิบคนที่เป็นนักเวทกับนักบวช ซึ่งทั้งนักเวทกับนักบวชต่างก็ขี่หลังพวกเร่ร่อนที่เป็นนักสู้ระยะประชิดในช่วงที่กำลังเดินทางมานั่นเอง 


 


 


ตอนที่ผมเห็นภาพเหล่านั้นเป็นครั้งแรกก็นึกขำไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามนับว่าก็ดีแล้ว ทั้งการบุกโจมตี และการต่อสู้อย่างจริงจังในครั้งนี้ ล้วนเป็นครั้งแรกของพวกเรา ซึ่งตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มต่อสู้กันมา ได้มีคนบาดเจ็บและล้มตายไปแล้วทั้งสิ้นเก้าคน เพียงเท่านี้ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างมากมาย และสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ ณ ตอนนี้คือ เพียงแค่ทำให้พวกมันสับสนเท่านั้น 


 


 


เคร้ง! 


 


 


พลังที่แทรกซึมอยู่ในเกียรติยศแห่งวิคตอเรียและพลังในมีดสั้นได้เกิดการปะทะกัน วินาทีที่แรงกระทบกระเทือนอันแสนหนักหน่วงแล่นเข้ามา ผมรู้สึกเหมือนเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย จะว่ามีดสั้นมาปิดกั้นพลังและศักยภาพของผมก็เห็นทีจะไม่ใช่ 


 


 


หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมขณะนี้มีสีแดงเพลิงแต่งแต้มไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อครั้งที่บุกเข้าไปครั้งแรกนั้น ด้วยความที่ผมรีบร้อนออกมาก่อน ทำให้มองหล่อนได้ไม่ละเอียดเท่าใดนัก แต่พอได้มาเห็นใกล้ๆ เช่นนี้แล้ว ผมกลับรู้สึกเหมือนหล่อนกำลังมอบอารมณ์หรือความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี 


 


 


กึก กึก เพล้ง! 


 


 


ในตอนนั้นเอง มีเสียงใสแจ๋วราวกับเป็นเสียงกระจกแตกกระจายดังขึ้นมา ทันทีที่ผมหันไปมอง ก็พบเข้ากับมีดสั้นที่มีรอยแตกอยู่เหนือร่างคนคนหนึ่งในชุดรัดรูปสีดำที่ตัวสั่นไปมาไม่หยุด ผมเองก็อยากจะอดทนให้ได้ดีกว่านี้ แต่ทว่าก็ไม่สามารถเอาชนะอำนาจนั้นได้ จนถูกพังทลายไปในท้ายที่สุด  


 


 


“มะ ไม่น่าเชื่อ นั่นหมาป่าสีดำเหรอ” 


 


 


วินาทีที่ผมได้ยินเสียงอันแสนเย็นยะเยือกร้องตกใจกับภาพตรงหน้า ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนมีพลังอำนาจแล่นเข้ามาอยู่ในดวงตาผม เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสนั้น ผมจึงรีบคว้าดาบ แล้วแทงเข้าไปทันที  


 


 


“อึก!” 


 


 


ฉึก! 


 


 


หล่อนยืนโอนเอนอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อยๆ ก้าวถอยหลังไป ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีมากที่หล่อนเลือกก้มตัววางมีดสั้นลง เพราะดาบของผมที่เล็งไปที่หัวเธอนั้นเฉียดหัวไหล่ไปอย่างหวุดหวิด ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วมีดสั้นเล่มนั้นจะเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพเศษเล็กเศษน้อยก็ตาม  


 


 


หลังจากนั้นหล่อนก็ตีลังกา แล้วถอยกลับไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าผมไม่ได้ไล่ล่าตามหล่อนไป เพราะว่าผมมีบางสิ่งที่ผมยังอยากจะยืนยันดู อีกทั้งยังมีเหล่าพวกเร่ร่อนที่คอยบุกโจมตีและเฝ้าป้องกันระยะใกล้ๆ อยู่ ณ ที่ที่หล่อนเคลื่อนตัวกลับไปด้วย ซึ่งนี่คือกระบวนการรบในรูปแบบใหม่นั่นเอง  


 


 


แขนซ้ายของหล่อนมีเลือดไหลซึมออกมา ถึงหล่อนจะหลบหลีกไม่ให้ทะลุเข้ามาอย่างไรก็ตาม แต่ทว่าดูเหมือนเนื้อถูกเฉือนออกไปด้วยอำนาจที่โอบล้อมอยู่รอบคมมีดนั้น เหล่าพวกเร่ร่อนรีบมาประคองหล่อนโดยทันที พอหล่อนลุกขึ้นมาได้ ก็พ่นคำด่าออกมาไม่หยุด พร้อมกับความประทับใจของผมที่มีต่อหล่อนแตกกระจายไม่มีชิ้นดี  


 


 


ตอนนี้ผมจึงเปิดใช้ดวงตาที่สาม โดยผมคิดว่าจะต้องยืนยันข้อมูลสำคัญๆ ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก 


 


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status) 


 


 


1.ชื่อ (Name) : แพคซอยอน (ปีที่ 5) 


 


 


2.คลาส (Class) : มือสังหารผู้โหดเ**้ยม (Secret, Slayer Of Heatwave, Master) 


 


 


[พละกำลัง 90(+2)] [ความทนทาน 85] [ความคล่องแคล่ว 96(+1)] [ความแข็งแกร่ง 89] [พลังเวท 94] [โชค 67] 


 


 


“ให้ตายเถอะ!” 


 


 


‘นั่นแพคซอยอนนี่’ 


 


 


วินาทีที่ได้รับรู้ข้อมูลผู้เล่นพร้อมกับเสียงหล่อน ผมก็สามารถยืนยันได้เลยในทันที ว่าพวกเร่ร่อนที่ผลัดกันรุก ผลัดกันโจมตีเมื่อครู่นี้คือแพคซอยอนอย่างแน่นอน ซึ่งการที่หล่อนมาปรากฏกายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับผม ผมได้แต่ประหลาดใจไปอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แต่ในทางตรงกันข้ามก็รู้สึกพอใจเหมือนมีลาภลอยมากองอยู่ตรงหน้า ถึงผมจะไม่ได้รู้สึกดีใจสุดขีดเหมือนคราวที่ได้เจอกับเบลเฟกอร์ แต่ความรู้สึกในครั้งนี้ช่างน่าตื่นเต้น ถึงขนาดตัวผมเองยังไม่รู้ว่าทำไมเช่นเดียวกัน 


 


 


ผมเล็งเป้าหมายด้วยเกียรติยศแห่งวิคตอเรียที่ด้วยความยินดีปรีดา ไม่ว่าที่แห่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่แพคซอยอนจะต้องถูกฆ่าตาย ไม่ ไม่ใช่สิ การฆ่าหล่อนให้ตายเลย มันยังขาดอะไรไป วิธีที่ผมจะวางไว้เป็นข้อท้ายสุดคือ การฆ่าหล่อนในช่วงที่สภาพจิตใจยังไม่สู้ดีเท่าใดนักนั่นเอง และหากมีโอกาสเมื่อใด ผมก็จะทำให้หล่อนพิการไปเสีย  


 


 


‘พละกำลังสอง, ความคล่องแคล่วหนึ่ง อุปกรณ์ต่างๆ ก็ดี สุดยอดไปเลย’ 


 


 


ผมที่ได้ตัดสินใจออกไปเช่นนั้น ได้แต่ขำเล็กๆ กับตัวเอง ไม่รู้ว่าหล่อนอ่านสีหน้าของผมที่เป็นเช่นนั้นได้หรือไม่ เพราะในดวงตาของแพคซอยอนตอนนี้มีไฟลุกโชนอยู่ หล่อนมีสีหน้าโกรธมาก หลังจากนั้นจึงบ่นพึมพำอะไรบางอย่างออกมา  


 


 


“หน้า, หลัง พร้อม! คัต! ราชินีแห่งเงามืด, หลัง! สิบห้า! สิบหก! สิบ!” 


 


 


เหล่าพวกเร่ร่อนที่ติดตามมาปฏิบัติตามคำสั่งของแพคซอยอนอย่างรีบเร่ง ผมเห็นดังนั้นจึงรีบวิเคราะห์สถานการณ์โดยทันที มีเจ้าพวกนั้นทั้งหมดสิบห้าคนที่อยู่ตรงกลาง แล้วหลังจากนั้นก็แบ่งออกมาเป็นสามกลุ่ม อีกสิกหกคนแบ่งกลุ่มซ้ายและขวาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ พร้อมเดินผ่านหน้าผมไป บางทีพวกมันอาจจะกำลังเพ่งเล็งเหล่าผู้เล่นที่อยู่ด้านหลังก็เป็นได้ และพวกเร่ร่อนที่ถอยไปด้านหลัง มีอยู่ประมาณสิบ คน ส่วนใหญ่เป็นนักเวทกับนักบวช มีนักธนูเสียเป็นส่วนน้อย ส่วนสิบห้าคนที่อยู่ตรงกึ่งกลางนั้นผมเห็นว่าเป็นนักสู้ระยะประชิดและเหล่านักธนูทั้งหลาย 


 


 


ผมคว้าหมับเข้าที่ด้ามจับ แล้วตวัดฟาดไปตรงกึ่งกลางนั้นทันที มีบางส่วนในสิบห้าคนตรงกึ่งกลางนั้นวิ่งบุกเข้ามาทางด้านหน้า และอีกบางส่วนที่เริ่มกระจัดกระจายไปรอบทิศทาง 


 


 


‘นักธนูเยอะกว่าที่คิดไว้เยอะแฮะ’ 


 


 


ผมจดจำในจุดๆ นี้ให้ขึ้นใจ แล้วจึงเริ่มขยับเขยื้อนบ้าง โดยในบรรดาพวกเร่ร่อนที่วิ่งบุกมาด้านหน้านั้น มีไอ้เร่ร่อนคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าสุด กำลังถือมีดสั้นที่ยังเหลืออยู่อีกเล่ม และไอ้คนนั้นที่ว่าก็คือ แพคซอยอน  


 


 


และในช่วงที่ต่างคนต่างบุกเข้าไปในเขตของกันและกันนั้น ดาบของพวกเราทั้งสองคนก็เกิดปฏิกิริยาขัดต่อกันอีกครั้งหนึ่ง แพคซอยอนเปิดฉากโจมตีอย่างเนิบๆ ซึ่งต่างไปจากคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนหล่อนได้ตั้งจุดสำคัญในการป้องกันเอาไว้แล้ว เพื่อที่จะสามารถถอยทัพกลับไปได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าหล่อนรู้สึกไม่ชอบใจกับการที่ต้องสูญเสียมีดสั้นไปหรือไม่ เพราะเมื่อครั้งที่เข้ามาปะทะกับดาบของผม ท่าทางหล่อนดูสั่นสะท้าน ยืนโซเซผิดแปลกไป 


 


 


‘นี่แหละความสามารถพิเศษของฉัน’ 


 


 


ผมหัวเราะกับตัวเองอยู่ข้างใน แล้วปล่อยพลังออกไปชุดใหญ่ หลังจากนั้นจึงนำดาบมาทำความสะอาด ขัดถูอย่างเบามือ 


 


 


พลั่ก! 


 


 


“อ๊ะ…?” 


 


 


แพคซอยอนเบิกตากว้าง เพราะแขนขวาของหล่อนถูกจับไพล่ไปอยู่ข้างหลัง ซึ่งนี่เป็นผลที่ได้จากพลังที่ส่งกลับคืนไปนั่นเอง ช่างเป็นโอกาสที่เพอร์เฟกต์สุดๆ 


 


 


เอาเข้าจริงแล้ว แพคซอยอนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายสำหรับผม หล่อนมีความสามารถมากมาย ถึงขนาดเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ของฮอลล์เพลนเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการที่หล่อนถดถอยลงมาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่บอกว่าความสามารถผมอยู่เหนือแพคซอยอนมาก ตัวผม ผู้ซึ่งไม่รับรู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหล่อน, ไม่เคยต่อสู้กันมาก่อน และตัวผมที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้าการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งสามัญสานึกเช่นนี้เช่นกัน 


 


 


แน่นอนว่าในการต่อสู้กันเป็นครั้งแรกนี้ แพคซอยอนเองก็รับรู้ความแตกต่างระหว่างผมเช่นกัน อีกทั้งยังดูเหมือนได้เตรียมป้องกันอะไรไว้อีกด้วย หลักฐานก็คือผมรู้สึกเหมือนมีพวกเร่ร่อนจำนวนสิบสี่คนกำลังเพ่งเล็งมาทางผม วินาทีที่แขนของหล่อนถูกจับไพล่ไปด้านหลัง ผมก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามา ทั้งเสียงธนูจำนวนมาก อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนโดนจับจ้องไปทั่วทั้งตัว 


 


 


และในตอนนั้น ผมจึงเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ก็สามารถตัดสินใจได้ในที่สุด ที่ผมกังวลก็คือเรื่องคุณค่าของชีวิตคนคนหนึ่ง ซึ่งก็คือแพคซอยอน และพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ อีกสิบสี่ชีวิต คำตอบนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งสองสิ่งต่างก็มีความสำคัญ ผมที่ตัดสินใจออกไปดังนั้นจึงมองไปยังแพคซอยอนที่กำลังรีบเดินถอยไป ส่วนตัวผมก็หยุดเดินไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นผมจึงปลุกพลังอำนาจออกมาให้ลุกโชนเต็มที่ แล้วใช้พลังทั้งวิญญาณและร่างกายกระทืบเท้าลงไปบนพื้นดิน  


 


 


ตึง! 


 


 


ผมรู้สึกว่าพื้นดินที่เท้ากำลังเหยียบย่ำอยู่นี้มีหลุมลึกลงไป จนสุดท้ายแผ่นดินก็แยกขาดจากกันในที่สุด คลื่นที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินนั้นเข้าโอบล้อมเจ้าพวกที่มุ่งหน้ามาโจมตีผม  


 


 


ผลกระทบนั้นทำให้พวกมันหลุดจากวงโคจรไปช่วงหนึ่ง แต่พอกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง พวกมันก็จ้องมาทางผม แต่ทว่าที่กำลังเพ่งเล็งมาทางผมนั้นเป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาที เพราะตั้งแต่เท้าผมอยู่ติดพื้น ศักยภาพของดาบแห่งแสงจึงเริ่มแผลงฤทธิ์เดชของมันออกมา หลังจากนั้นพลังอำนาจก็สั่นสะท้านไปหมดด้วยพลังของเกียรติยศแห่งวิคตอเรียน ในขณะเดียวกันนั้นเองผมก็ลงมือฟาดดาบ 


 


 


ดาบแห่งแสงทั้งสิบได้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เสียงกรีดร้องดังโหยหวนไปทั่วทุกหนแห่ง อีกทั้งเลือดยังสาดกระเซ็นไปสุดลูกหูลูกตา ส่วนใหญ่จบสิ้นชีวิตเพราะดาบแห่งแสงนี้ แต่ก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง 


 


 


ด้านแพคซอยอนอยู่ในสภาพที่แขนที่เคยถูกจับมัดไว้ ได้กลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ผมจึงใช้ความสามารถในการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาทันที  


 


 


ฉึก! พลั่ก! พลั่ก! 


 


 


เสียงของอะไรบางอย่างที่ปักเข้ากับพื้นดิน พอผมหันไปมองก็พบเข้ากับพวกเร่ร่อนประมาณสามสี่คนล้มอยู่บนพื้น และตรงหน้านู้นผมเห็นตัวผมอีกหนึ่งร่างที่ค่อนข้างเลือนราง ในขณะที่ผมใช้สายตาจ้องไปยังด้านหน้าอยู่นั้น ผมก็เห็นแพคซอยอนอยู่เบื้องหน้า 


 


 


“อะไรน่ะ…?” 


 


 


พอเห็นดังนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าหล่อนรู้สึกถึงลางบอกเหตุอะไรแปลกๆ หรือไม่ หล่อนจึงได้หันกลับมา วินาทีที่เราได้สบตาซึ่งกันและกัน ผมก็ฟันดาบลงอย่างแรง 


 


 


และในตอนนั้นเอง ก่อนที่เกียรติยศแห่งวิคตอเรียจะได้ฟันลงตรงเป้าหมาย จู่ๆ กลับมีม่านหมอกปริศนารูปร่างคล้ายมนุษย์วิ่งเข้ามาคั่นกลางระหว่างผมกับแพคซอยอน ผมตกใจจนไม่สามารถทำอะไรได้ไปอยู่ชั่วขณะหนึ่ง 


 


 


‘การแปลงกายเป็นหมอกหรอกงั้นเหรอ’ 


 


 


หากผมจำไม่ผิด เจ้าสิ่งนี้คือความสามารถพิเศษที่ผู้เล่นสามารถแปลงกายเป็นหมอกได้พักหนึ่ง อาจมีข้อด้อยตรงที่ไม่สามารถทำต่อเนื่องได้นานเท่าใดนัก แต่หากมองข้ามข้อด้อยที่ว่านั้นไป ก็นับว่าเป็นความสามารถที่น่าใช้เลยทีเดียว ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวจะสูงขึ้น สามารถใช้พลังบังคับได้อย่างสะดวกสบาย ในด้านพลังอำนาจเองก็มีความทนทานสูงมากเช่นเดียวกัน หากละเว้นเรื่องมนตร์ที่ทำให้เราต้องละทิ้งคุณสมบัติเดิม แล้วพลิกมาเป็นคุณสมบัติใหม่แล้ว สำหรับการต่อสู้ที่จำต้องใช้วิธีตามปกตินั้น ก็นับว่าเป็นความสามารถที่ยุ่งยากกว่าที่คิด  


 


 


หลังจากนั้นม่านหมอกที่ว่าก็เริ่มฉายแสงขุ่นมัวออกมา แล้วพุ่งเข้ามามัดรอบดาบของผมราวกับน้ำที่ไหลเวียนวน 


 


 


‘เห็นแบบนี้แล้ว เจ้านี่ต้องดังขึ้นมากอีกแน่’ 


 


 


ผมจำได้ว่าเคยมีพวกเร่ร่อนใช้ความสามารถพิเศษในการแปลงกายเป็นหมอกนี้ อยู่ประมาณครั้งสองครั้ง หลังจากที่ผมแสดงความเศร้าภายในใจเล็กๆ ออกมา ผมจึงเริ่มวาดลวดลายลงดาบเป็นแนวตั้งอย่างรวดเร็ว 


 


 


ฉึก! 


 


 


“อ๊ากกกกก!” 


 


 


ความรู้สึกที่ได้ขาดหายไปกลับเข้ามาอีกครั้ง มันช่างเป็นความรู้สึกที่หลากหลายเสียเหลือเกิน ผมรู้สึกว่าพอได้หั่นเนื้อผลไม้นุ่มๆ ชุ่มน้ำชุ่มเนื้อแล้ว ท้องฟ้าจึงค่อยแยกออกจากกัน แล้วกลับมาเป็นความรู้สึกตอนที่ได้เฉือนเนื้อคนอีกครั้ง ได้แต่รู้สึกวนเวียนอยู่เช่นนั้น 


 


 


ผมลดตามองต่ำลง แล้วทันใดนั้นม่านหมอกที่เคยเป็นสีขาวเมื่อครู่ก็ขาดออกจากกัน หลังจากนั้นจึงเริ่มมีอะไรบางอย่างสีแดงเพลิงกำลังค่อยๆ ไล่ย้อมม่านสีขาว แพคซอยอนอยู่ในสภาพที่ร่างกายเอนเอียงไปทางซ้าย แล้วหลังจากนั้นผมกลับมองไม่เห็นแขนขวาของหล่อนเลย ไล่ตั้งแต่หัวไหล่ลงมา 


 


 


ฟึ่บ! ตุ้บ! 


 


 


หลังจากนั้นแผ่นดินที่เคยแยกออกจากกันกลับกลายมาเป็นพื้นดินราบเรียบดังเดิม ซึ่งอาจเป็นเพราะการแปลงกายเป็นหมอกนั้นได้เสร็จสิ้นไปแล้วหรือไม่อย่างไร ซากศพค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นช้าๆ และที่อยู่ข้างๆ กันนั้น ผมเห็นแขนเรียวบางที่ยังคงจับมีดสั้นเอาไว้แน่นอยู่ที่พื้น และเลือดก็กำลังพุ่งกระฉูดออกมาด้วย  

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 8

 

ใบหน้าของพวกเร่ร่อนทุกคนล้วนชาไปหมด หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตของพวกมันใกล้ถึงจุดจบแล้วนั่นเอง ในขณะที่แพคซอยอนที่เป็นทั้งผู้นำและผู้บังคับบัญชาของพวกมันตกอยู่ในสภาพที่แสนว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใด แต่แล้วก็มีพวกเร่ร่อนคนหนึ่งได้ออกมาแสดงไหวพริบในการแก้ปัญหาครั้งนี้ ซึ่งนั่นก็คือการใช้วิชาแปลงกายเป็นหมอก อันเป็นความสามารถเฉพาะในการขวางกั้นหนทางที่อยู่ตรงหน้า แต่ถึงกระนั้นก็โล่งใจไปได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น


 


 


ชัดเจนแล้วว่าพวกเร่ร่อนที่ใช้วิชาแปลงกายเป็นหมอกนี้กำลังแสดงความสามารถของตัวเองอยู่ แต่เขาไม่ได้ปลุกความสามารถข้อนี้ขึ้นมาเพื่อขวางกั้นแต่เพียงอย่างเดียว เขาทั้งแสดงความสามารถประเภทหนึ่งให้ทุกคนได้เห็น อีกทั้งยังได้ปิดกั้นเส้นทางที่ดาบจะเข้าถึงตัวแพคซอยอนอีกด้วย แต่ทว่าดาบที่กำลังส่องสว่างอยู่นั้นกลับฟาดฟันม่านหมอกนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แขนขวาของแพคซอยอนเองก็ถูกเฉือนขาดออกไป ณ วินาทีนั้นด้วยเช่นเดียวกัน


 


 


ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์อันเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด พวกเร่ร่อนที่ใช้วิชาแปลงกายเป็นหมอกคิดว่าคิมซูฮยอนจะใช้เวทตัดผ่านซึ่งเป็นเวทชั้นสูงตอบโต้ตนเอง แต่ถ้าหมอนั่นรู้ว่าคิมซูฮยอนเป็นคลาสลับผู้ชำนาญดาบล่ะก็ หมอนั่งคงไม่วิ่งเข้าใส่แบบนี้แน่


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเร่ร่อนที่ถูกฆ่าไปเมื่อครู่นั้น ล้วนตกอยู่ในสภาพที่ต้องจำยอมตายถวายชีวิตตัวเองทั้งสิ้น


 


 


แต่ทว่าพวกเร่ร่อนยังมีอะไรที่ไม่รู้อยู่อีกมาก เรื่องที่พวกเร่ร่อนยังไม่รู้เลยก็คือ คิมซูฮยอนตัดแขนของแพคซอยอนไปแล้วเรียบร้อย


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำและการปฏิบัติในสิ่งต่างๆ ของแพคซอยอนก็รวดเร็วเหมือนกัน ทั้งเรื่องแขนของตัวเองที่โดนศัตรูฟัน, อาวุธทุกอย่างสูญหายไปจนหมด ไหนจะม่านหมอกที่สร้างขึ้นมาขวางกั้นโดนทำลายไปเสียหมดสิ้น ในหัวของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะเพิ่มระยะห่างจากคิมซูฮยอนอย่างไรดี


 


 


หลังจากที่หล่อนโดนฟันแขนขวาจนขาดไปแล้ว หล่อนรู้สึกว่าความสมดุลของร่างกายแปลกไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ แพคซอยอนเชื่อสนิทใจว่าที่ตัวหล่อนสามารถรอดชีวิตมาได้ เพราะมีม่านหมอกนั้นมาช่วยไว้ หล่อนจึงจัดระเบียบร่างกายของตนให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้เตรียมหนีไปทางด้านหลังให้ได้เร็วที่สุด


 


 


พลั่ก!


 


 


เขารู้สึกได้ถึงลางบอกเหตุที่ว่าแพคซอยอนตั้งใจจะหนีไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นเขาจึงก้าวขาขวาเข้าไป แล้วชกเข้าที่ท้องของหล่อนทันที ทั้งๆ ที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คิมซูฮยอนจะเห็นความตั้งใจที่ว่าของหล่อน จริงๆ แล้วหล่อนอยากจะพาร่างโผขึ้นฟ้าไปเสียให้หมดเรื่อง แต่ทว่าหลังจากนั้นหล่อนก็ตกตุ้บลงมาที่พื้นอย่างเต็มแรง แล้วเริ่มเกลือกกลิ้งไปมาอยู่กับพื้น


 


 


จะว่าเขาชนะแล้วในศึกครั้งนี้ก็ย่อมได้ แต่ทว่าคิมซูฮยอนกลับไม่หยุดการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย


 


 


คิมซูฮยอนปรี่เข้าไปเพื่อลดระยะทางระหว่างเขากับแพคซอยอนด้วยความรวดเร็วอย่างทันท่วงที หลังจากนั้นจึงขึ้นคร่อมอยู่เหนือร่างของหล่อน แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของเหล่าพวกเร่ร่อน แต่ทว่าพวกมันกลับมีท่าทีที่ไม่อยากเข้ามาก้าวก่ายแต่อย่างใด คิมซูฮยอนสามารถขึ้นมาอยู่เหนือร่างหล่อนได้สำเร็จ ถึงแม้แพคซอยอนอยากจะมัดแขนซ้ายของคิมซูฮยอนเอาไว้ แต่แล้วคิมซูฮยอนกลับมือไวกว่า เขาจึงชกเข้าไปที่ใบหน้าของหล่อนอย่างเต็มแรง


 


 


พลั่ก!


 


 


“อ๊าก!”


 


 


ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด แพคซอยอนก็ไม่เคยส่งเสียงกรีดร้องออกมาเลย แม้กระทั่งตอนนี้ แต่แล้วหล่อนก็ได้ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาเป็นครั้งแรก ค่าความแข็งแรงของคิมซูฮยอนอยู่ที่เก้าสิบหกพอยต์ ซึ่งแรงนั้นไม่สามารถนำมาเทียบกับพลังหมัดที่กำลังไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ ในตอนนี้ได้เลย หากค่าความอดทนของแพคซอยอนไม่ได้อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมแล้วล่ะก็ บางทีหล่อนอาจจะหัวระเบิดหรือไม่ก็หน้าเละไม่มีชิ้นดีไปแล้วตั้งแต่ต่อสู้ครั้งแรก


 


 


และในวินาทีที่ได้ยินเสียงร้องของแพคซอยอน พวกเร่ร่อนต่างก็มีท่าทีสะดุ้งตกใจ ไม่รู้ว่า ณ วินาทีนั้นเองหรือไม่ ที่ร่างกายของพวกมันได้ถูกละลายน้ำแข็งไปจนหมดสิ้นแล้ว ในความเป็นจริงแล้วเวลาผ่านไปเพียงห้าหกวินาทีเท่านั้น แต่สถานการณ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังกันเลยทีเดียว


 


 


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


 


 


“อึก! อ๊าก! ยะ…หยุด อ๊าก!”


 


 


เสียงร้องอันแสนโหยหวนดังแว่วเข้ามาในหูอีกครั้ง พวกเร่ร่อนจึงรวบรวมสติแล้ววิ่งตรงมายังคิมซูฮยอน แต่ทว่าเขากลับไม่กระวนกระวายแต่อย่างใด คิมซูฮยอนยืนค้ำพื้นดินด้วยมือซ้ายที่ท่วมไปด้วยเลือด เขาใช้สายตานิ่งๆ กวาดมองบริเวณโดยรอบ แล้วจึงออกแรงโผขึ้นไปกลางอากาศ


 


 


ฉึก! ฉึก!


 


 


ร่างกายของคิมซูฮยอนหมุนอยู่กลางอากาศ ด้วยสรีระที่โค้งตัวอย่างสวยงาม และในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีแสงสีเหลืองอำพันทั้งหมดเจ็ดเส้นที่ยิงกระจายอยู่รอบทิศทางกำลังจ่อมาที่ตัวเขา


 


 


การคาดการณ์ของเหล่านักธนูนั้นถูกต้อง พวกเขาสามารถคาดการณ์จุดที่คิมซูฮยอนโผตัวขึ้นไปได้อย่างแม่นยำ


 


 


แต่ก็ได้เพียงเท่านั้น ถึงพวกนั้นจะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องเพียงใด แต่หากยิงรัศมีมาไม่โดนตัวเขา มันก็ไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ ลูกธนูที่ล้วนโอบอุ้มพลังอำนาจอยู่ในนั้น ได้วิ่งเฉียดร่างคิมซูฮยอนไป ลูกศรแต่ละอันต่างหายลับไปในยังทิศทางที่มันถูกยิงออกมา หลังจากนั้นร่างของเขาค่อยๆ จางหายไปในท้องฟ้า พริบตาเดียวก็เกิดเสียงร้องโอดครวญดังขึ้นมาอีกครั้งจากที่ไหนสักแห่ง


 


 


ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคิมซูฮยอนได้ใช้วิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตากลางอากาศหรือไม่ เพราะจู่ๆ เท้าของเขาก็ขึ้นมายืนเหยียบอยู่บนอกของใครคนหนึ่ง คนที่อยู่ข้างใต้นั้นคือนักบวชคนหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาพจมอยู่กับพื้น นักบวชผู้นั้นเห็นสภาพอันน่าเวทนาของแพคซอยอน จึงตั้งใจออกมาเพื่อจะช่วยรักษาหล่อน แต่คิมซูฮยอนเข้ามาขัดขวางเสียก่อน


 


 


ในบรรดาพวกสะกดรอยตามของพวกเร่ร่อนที่ไล่ล่าเหล่าผู้เล่นในการต่อสู้ครั้งนี้นั้น มีอยู่เพียงแค่สิบคนจากทั้งหมดห้าสิบคนที่เป็นนักเวทกับนักบวช แต่แล้วในการโจมตีเพียงครึ่งแรกเท่านั้น พวกมันกลับสูญเสียกำลังพลไปแล้วเกือบครึ่งหนึ่ง สถานการณ์ในขณะนี้คือเหลือนักบวชเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น มิหนำซ้ำนักบวชผู้นั้นยังถูกคิมซูฮยอนจับตัวเอาไว้ได้อีก คิมซูฮยอนที่ยืนเหยียบอยู่บนนักบวชผู้นั้น จึงเริ่มใช้เท้าค่อยๆ บดขยี้


 


 


“กรี๊ด!”


 


 


เหล่าพวกเร่ร่อนมองคิมซูฮยอนด้วยใบหน้าราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างงั้น ด้านคิมซูฮยอนก็มองสำรวจเหมือนกับสัตว์ที่เตรียมตัวออกล่าเหยื่อเช่นเดียวกัน


 


 


ในตอนนั้นเอง


 


 


“ทุกคน…ถอยไป…ข้างหลัง!”


 


 


มีเสียงหนึ่งเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ เสียงนั้นเปล่งออกมาราวกับได้ปล่อยพลังอย่างสุดความสามารถแล้ว และเสียงของคนๆ นั้นคือแพคซอยอนที่สามารถพยุงตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าตกตะลึง แม้หล่อนจะเสียแขนไปแล้วข้างหนึ่ง มิหนำซ้ำใบหน้ายังอาบย้อมไปด้วยเลือด แต่หล่อนก็สามารถกลับมายืนได้อีกครั้ง หล่อนยืนโซซัดโซเซเหมือนคนหมดสภาพ ดูเหมือนหล่อนจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อปรับสมดุลของร่างกายใหม่ แต่แล้วแพคซอยอนก็ต้องคุกเข่าซ้ายลง


 


 


ณ ตอนนั้น พลังเวทรุนแรงเริ่มโหมกระหน่ำอยู่ด้านหลังคิมซูฮยอน


 


 


ฟิ้ว!


 


 


ทันทีที่เสียงที่คล้ายกับเสียงร้องไห้ของแพคซอยอนดังขึ้น พลังเวทและลูกธนูจำนวนมากก็ถูกยิงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า


 


 


สิ่งเหล่านั้นได้ข้ามผ่านร่างคิมซูฮยอนไป แล้วได้พุ่งไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ และทิศทางที่ว่านั้นก็คือ สถานที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่นั่นเอง


 


 


* * *


 


 


‘อย่างนี้นี่เอง’


 


 


ผมเข้าใจในสิ่งที่แพคซอยอนพูดเมื่อครู่พร้อมกับมองบรรดาเวทและลูกธนูต่างๆ ที่ถูกยิงผ่านร่างของผมไป ผมนึกสงสัยว่าทำไมต้องให้สิบคนนั้นถอยหลังไปด้วย แต่ดูแล้วแพคซอยอนน่าจะออกมาถ่วงเวลาข้างหน้าไว้ ในขณะที่คนอื่นๆ คอยซุ่มเตรียมระดมยิงนั่นเอง ผมคิดว่าบางทีพวกมันอาจจะจัดการกับเหล่าผู้เล่นที่อยู่ด้านหลังเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยมาใช้กลยุทธ์ในการกำจัดผมเป็นรายต่อไป


 


 


เคร้ง!


 


 


ในขณะที่ผมกำลังสับสนว่าจะบุกเข้าไปฝั่งนั้นดีไหม แต่สุดท้ายแล้วผมก็ได้หยุดการกระทำไว้เพียงเท่านั้น เพราะว่าที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่นั้นมีเสียงอันน่าหวาดเสียวของไทร์ฟิงค์ดังขึ้น พร้อมกับเวทมนตร์ดำมืดอันแสนน่ากลัวกำลังแผลงอำนาจออกมา เงาสลัวค่อยๆ เข้ามาปกคลุมบริเวณโดยรอบ ผมค่อนข้างกังวลอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวโกยอนจูและผู้เล่นคนอื่นๆ


 


 


ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทางเลือกที่ยังคงหลงเหลืออยู่สำหรับตอนนี้ มีอยู่เพียงสองทาง ผมจ้องไปทางที่แพคซอยอนอยู่ หลังจากนั้นจึงกวาดตามองพวกเร่ร่อนที่เตรียมระดมยิง จริงๆ แล้วผมรู้สึกประหลาดใจมากที่แพคซอยอนสามารถพาตัวเองลุกขึ้นมาได้อยู่ เพราะสมองหล่อนได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงมาก ไหนจะแขนที่เสียไป กับท้องที่โดนต่อยรัวเข้ามาไม่ยั้ง แต่หล่อนก็ยังดื้อดึงจนสามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง


 


 


ถึงผมจะชื่นชมจิตใจที่ห้าวหาญของหล่อน แต่มันก็เพียงเท่านั้น หล่อนได้สูญเสียศักยภาพในการสู้รบไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย อาวุธที่ใช้ประจำก็สูญหาย มิหนำซ้ำยังเหลือแขนอยู่เพียงข้างเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่หล่อนจะสามารถกลับมาสู้ได้เหมือนเมื่อก่อน


 


 


ผมคิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจได้ สิ่งที่ต้องจัดการเป็นอันดับแรกคือทำลายพวกซุ่มระดมยิงให้สิ้นซาก ก่อนที่จะไปจัดการกับแพคซอยอนและพวกเร่ร่อนที่อยู่รอบๆ ดังนั้นผมจึงมุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้น แล้วบุกเข้าไปอย่างทันท่วงที


 


 


เป้าหมายแรกของผมคือเหล่านักเวท เดิมทีแล้วอาจเป็นเพราะพลังต้านทานเวทของผมก็คล้ายกับพวกสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพลังเวทของเหล่านักเวททั้งหลายที่ล้วนแล้วแต่มีความสามารถนั้น จะมาประมาทผมไม่ได้เลยละ สิ่งที่สำคัญคือผมจะต้องรีบจัดการพวกมันโดยเร็ว


 


 


พวกเร่ร่อนเริ่มจ้องมายังผม ไม่รู้ว่าเห็นผมที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้หรือไม่ เหล่านักเวทเชื่อฟังคำสั่งของแพคซอยอน โดยการถอยหลังเข้าไป ในขณะที่เหล่านักธนูกำลังเล็งเป้ามาทางผม


 


 


และในตอนนั้นเองผมรู้สึกว่าเหล่านักสู้ระยะประชิดกำลังเล็งและพุ่งตัวมาทางด้านหลัง คงคิดว่ามีผมเพียงแค่คนเดียว เลยจะใช้กลยุทธ์ในการล้อมกักตัวผมไว้อย่างแน่นอน กลยุทธ์นี้สามารถมองว่าเป็นการเฝ้าระดมยิงได้เช่นเดียวกัน


 


 


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


 


 


ผมกะเวลาให้เหมาะสมที่สุด แล้วจึงป้องปัดลูกธนูที่กำลังพุ่งเข้าใส่ เจ้าพวกที่อยู่ด้านหน้านี้ หากไม่ใช่นักธนูเก่าก็คงเป็นนักเวทแน่นอน พูดง่ายๆ ก็คือ หากลดระยะทางเข้าหาอีกฝ่ายได้ ทุกคนตรงนั้นก็เปรียบเสมือนเหยื่อที่ตกอยู่ในกำมือเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่ผมคิดว่าจะต้องเข้าไปจัดการพวกมันโดยเร็วที่สุด ผมจึงถนอมพลังเวทของผมไว้ในเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย แล้วจึงฟาดดาบลงไปด้านหน้าทันที


 


 


เคร้ง!


 


 


กระแสบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายใบพัดซึ่งผมเคยเห็นมาก่อนที่จัตุรัสเข้าโอบล้อมพวกเร่ร่อนที่อยู่ตรงนั้น คนที่อยู่ตรงท้ายสุดทั้งซ้ายและขวาหรือแม้กระทั่งพวกที่คอยซุ่มอยู่ด้านหลังต่างรีบหลบหลีกโดยทันที แต่พวกเร่ร่อนที่อยู่ตรงกลางกลับไม่ทำเช่นนั้น พวกมันรีบโผตัวทะยานขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงให้ไม่ตกอยู่ในกระแสเวทมนตร์เหล่านั้น


 


 


และ ณ วินาทีนั้น ผมจึงลงมือวาดดาบขึ้นไปข้างบน จึงทำให้กระแสเวทมนตร์นั้นเปลี่ยนทิศทางพุ่งทะยานขึ้นสู่ด้านบนทันทีทันใด


 


 


เฟี้ยว!


 


 


“อ๊าก!”


 


 


“อึก…อ๊าก!”


 


 


ในความวุ่นวายนั้นไม่รู้ว่าผมปลุกพลังเวทขึ้นมาต้านทานไว้หรือไม่ เพราะหลังจากนั้นก็เกิดดอกไม้ไฟปะทุออกมาชั่วครู่หนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กำลังพลที่โผตัวขึ้นมาถูกเฉือนอวัยวะบางส่วนของร่างกายออกไป ผมจัดการพวกมันไม่ให้มาเกะกะขวางทางได้สำเร็จ ผมจึงสามารถบุกเข้ามายังจุดศูนย์กลางของการระดมยิงในครั้งนี้ได้ 


 


 


ผมวาดดาบลงไปตรงพวกเร่ร่อนที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยทันที อาจเป็นเพราะพวกมันยังงงกับความเร็วที่ผมพุ่งเข้ามา เลยไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร จึงทำให้ดาบแห่งแสงส่องกะพริบอยู่บนใบหน้าของมัน หลังจากจึงบังเกิดรอยแผลสีแดงเข้มตรงกลางหน้า


 


 


หลังจากนั้นผมจึงไปกำจัดพวกเร่ร่อนที่มาเพิ่มอีกสองคน ซึ่งสองคนนี้อยู่ในระยะวิถีกระสุน แล้วจึงค่อยมุ่งหน้าไปหาเหล่านักเวทต่อทันที

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม