Memorize เล่ม 16 ตอน 16-22

เล่มที่ 16 ตอนที่ 16

 

แก้มของอีกาอินเต็มไปด้วยรอยแดง ส่วนที่ปากนั้นมีเลือดกำลังไหลซึมออกมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ผมได้ยินเสียงตะโกนกรีดร้องเบาๆ ของแพคซอยอนอยู่แว่วๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลย และจึงหันหน้าไปหาโกยอนจู


 


 


“โกยอนจู ช่วยแก้มัดทีครับ”


 


 


“คะ? แพคซอยอนน่ะเหรอคะ”


 


 


“ครับ มัดขาไว้เหมือนเดิม แต่ช่วยแก้มัดตรงส่วนอื่นๆ ทั้งหมดเลยครับ”


 


 


“ซูฮยอนนี่น้า ใช้ได้เลยนะคะเนี่ย รับทราบค่า~”


 


 


โกยอนจูขำกิ๊กและปัดมือไปมาเบาๆ ทันใดนั้นกลุ่มเงาที่ยึดร่างของแพคซอยอนจึงค่อยๆ หายไป วินาทีนั้นร่างของหล่อนเกิดกระตุกขึ้นมาครั้งหนึ่ง


 


 


หลังจากนั้นแพคซอยอนจึงเริ่มตะเกียกตะกายมาตรงกึ่งกลางโดยทันที อาจเพราะรู้ตัวว่าตัวเองหลุดพ้นพันธะแห่งกลุ่มเงานั้นแล้ว


 


 


“กำลังทำบ้าอะไรกันอยู่! ไอ้โง่เอ๊ย!”


 


 


ไม่ว่าแพคซอยอนจะตะโกนอย่างไร แต่ทว่ามือของชินอายองก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด จนในท้ายที่สุด แพคซอยอนตะเกียกตะกายมาถึงตรงกลางได้สำเร็จ และผลักชินอายองออกไปอย่างเต็มแรง เกมการต่อสู้ของทั้งสองจึงเกิดการหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง


 


 


“ชินอายอง! แกบ้าไปแล้วหรือไง ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ากำลังหลงคำพูดไอ้หมอนั่นอยู่น่ะ”


 


 


แพคซอยอนถลึงตาใส่ ชินอายองจึงก้มหน้ามองหล่อนเล็กน้อย พอศีรษะของอีกฝ่ายโน้มลงมาจนถึงหัวไหล่ แพคซอยอนจึงโผจับเข้าที่ใบหน้าของชินอายอง


 


 


“ตั้งสติหน่อยสิ! เธอ…”


 


 


และในนาทีที่แพคซอยอนกำลังจะเปิดปากเพื่อพูดอีกครั้งหนึ่ง มีเสียงหนึ่งเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาผ่านดวงหน้าที่กำลังถูกปกคลุมไปด้วยเส้นผม


 


 


“…ถอยไป”


 


 


“วะ ว่าไงนะ”


 


 


“บอกให้ถอยไป อีสารเลว!”


 


 


“แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย…?”


 


 


“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นก็เพราะแกทั้งนั้น! ถึงแกจะไม่มาบังคับให้ฉันเป็นพวกสะกดรอยก็ตามเถอะ! แต่ที่ฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ทั้งหมดก็เพราะแก! แกคนเดียว!”


 


 


ชินอายองผลักแพคซอยอนที่กำลังคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงใกล้จะร้องไห้เต็มทีออกไปให้พ้นทางอย่างแรง แล้วเดินไปหาอีกาอินอีกครั้งหนึ่ง หล่อนมีสีหน้าเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงยื่นมือออกไป


 


 


ในวินาทีที่มือของชินอายองเอื้อมเข้าไปถึงตัวอีกาอินได้สำเร็จอีกครั้ง แพคซอยอนก็เข้ามาจับเปียยาวของชินอายอง ดวงหน้าของชินอายองไม่สามารถต้านทานกับพลังนั้นได้ จึงทำให้หน้าของหล่อนเงยขึ้นไปมองบนฟ้า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้อันบ้าระห่ำ


 


 


“ปล่อย! ไม่ปล่อยใช่ไหม! บอกให้ปล่อยไงวะ!”


 


 


“เธอ…หยุดซะทีเหอะ! ตั้งสติหน่อย ยัยบ้าเอ๊ย!”


 


 


“ยะ…หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”


 


 


ชินอายองส่ายหัวไปมา แล้วจึงค่อยหมุนกายหันไปประจันหน้ากับแพคซอยอน หล่อนดูทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อที่จะเอาชนะศึกในครั้งนี้ให้ได้ แต่แล้วในท้ายที่สุดเปียยาวของหล่อนก็ยังคงถูกจับตรึงไว้เช่นเดิม ต่างคนต่างขยุ้มหัวกัน เกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น ตบหน้ากัน และข่วนแก้มกันไปกันมาอยู่อย่างนั้น


 


 


“คิก”


 


 


ในตอนนั้นเองผมได้ยินเสียงขำน้อยๆ ดังขึ้นมาจากที่ใดสักที่ พอผมหันมองด้านข้างจึงพบเข้ากับนักบวชหญิงที่ผมรั้งไว้เมื่อครู่นี้ นักบวชหญิงกำลังมองดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้น พร้อมกับเอามือป้องปากกันเสียงหัวเราะ ไหล่สั่นตัวโยนเบาๆ


 


 


“สนุกหรือครับ”


 


 


นักบวชหญิงคนนั้นหยุดหัวเราะทันทีหลังจากที่ผมพูดออกไปอย่างเคร่งขรึม หล่อนลดมือลง แล้วจึงตอบคำถามกลับมาด้วยสายตาที่ผมรู้สึกได้ถึงความตรงไปตรงมาในแววตานั้น


 


 


“ค่ะ สนุกมาก ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ทั้งดีใจ หมดห่วง ในใจฉันรู้สึกสดชื่นมากๆ เลยแหละค่ะ จนถึงขนาดจะบ้าตายเลยก็ว่าได้”


 


 


“อย่างนั้นหรอกหรือครับ จะว่าไปก็แอบยากอยู่เหมือนกันนะครับ ดูยากเหมือนกันว่าใครจะชนะ”


 


 


“งั้นก็ฆ่าพวกมันทิ้งไปให้หมดๆ เลยไม่ได้หรือคะ”


 


 


“ไม่ได้น่ะสิครับ ผมให้สัญญาไว้แล้วนี่นาว่าจะไว้ชีวิตคนที่เอาชนะได้น่ะ”


 


 


“อ้าว น่าเสียดายแฮะ เอ๊ะ?”


 


 


นักบวชผู้นั้นอุทานออกมาเสียงใสแจ๋ว เหมือนกับค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่โตจนน่าตกใจ พอผมหันหน้ากลับไปมองตรงกลางอีกครั้งหนึ่ง จึงได้พบกับภาพเหตุการณ์ที่ตัวผมนั้นคาดไม่ถึง


 


 


“หยุด!”


 


 


สภาพของแพคซอยอนและชินอายองน่าขำกว่าที่คิด ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เลือดกำเดาไหลทะลัก มิหนำซ้ำปากยังเยิน มีเลือดไหลอาบ และแล้วอีกาอินจึงโผล่พรวดเข้ามาแทรกระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน ไม่รู้ว่าหล่อนไปฮึดสู้เอาพลังมาจากไหนกัน ในระหว่างที่ต่างคนต่างกำลังถอนหายใจทิ้งยาวๆ อยู่นั้น ผมจึงค่อยๆ ยันกายขึ้น และในตอนนั้นเอง


 


 


“ฮึก…ฮือ”


 


 


อีกาอินส่งเสียงร้องไห้ ไม่ก็เสียงสะอึกสะอื้นเล็กๆ ออกมา หล่อนเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจึงมองมาที่ผม


 


 


ใบหน้าของอีกาอินนั้นเหม่อลอยและดูว่างเปล่ามากกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ทว่าผมกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แตกต่างไป หล่อนกำลังจ้องผมด้วยแววตาที่มั่นคงและแน่วแน่ ซึ่งแววตาในครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่ก่อนโดยสิ้นเชิง


 


 


เราสองคนต่างคนต่างสบตามองกัน ต่อมาผมจึงก้าวย่างเข้าไปตรงกลางลานนั้น


 


 


อีกาอินหันหน้ากลับมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองไปยังทางที่อีแฮอินกำลังล้มพับอยู่


 


 


และแววตาที่หันกลับมามองผมอีกครั้งหนึ่งนั้น เหมือนมีประกายอะไรบางอย่างกำลังเปล่งออกมา ร่างกายของหล่อนเกิดอาการแข็งเกร็งครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นหล่อนจึงค่อยๆ อ้าริมฝีปากออกมาอย่างช้าๆ โดยที่ผมไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดอะไรแต่อย่างใดเลย สุดท้ายแล้วข้างในโพรงปากหล่อนนั้นมีของเหลวเหนียวข้นบางอย่างไหลพรวดออกมา


 


 


“กะ…กาอิน?”


 


 


“อ้า…”


 


 


“กาอิน! กาอิน!”


 


 


“หรือว่า…”


 


 


ไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้นักบวชกำลังอยู่รอดูภาพเหตุการณ์เหล่านี้หรือไม่อย่างไร เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดได้บังเอิญเกิดขึ้นมา ทำเอาผมรู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่แล้วผมก็ได้ตั้งสติ ควบคุมอารมณ์อย่างฉับไว แล้วจึงก้มมองสำรวจสภาพของอีกาอินอย่างรวดเร็ว


 


 


ผมบีบปากที่กำลังสั่นเทิ้มให้อ้าออกมา แล้วจึงสัมผัสเข้าที่ด้านใน ผมรู้สึกได้ว่าลิ้นของหล่อนถูกหั่นขาดไปเกือบครึ่ง พร้อมกับเลือดอุ่นๆ ในปาก หล่อนคงจะกัดลิ้นตัวเอง อาจเป็นเพราะไม่สามารถทนอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ผมได้แต่จิ๊ปากแล้วจึงค่อยยืดกายกลับมาตรงดั่งเดิม


 


 


“กัดลิ้นตัวเองเลยนะเนี่ย”


 


 


“กาอินน่ะเหรอ กาอิน! กาอิน!”


 


 


“โธ่เว้ย หนวกหูชะมัด”


 


 


พลั่ก!


 


 


“อึก!”


 


 


ทันทีที่เสียงโหวกเหวกโวยวายของแพคซอยอนดังขึ้น หล่อนก็โดนเตะเข้าที่ท้องอย่างจัง จากนั้นก็กลิ้งไปมาบนพื้น ผมถึงกับถอนหายใจพลางจ้องไปที่อีกาอิน ร่างกายของหล่อนยังคงสั่นอยู่เป็นระยะๆ แสดงให้เห็นว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่


 


 


ในกรณีที่กัดจนลิ้นขาดนั้น อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งในรูปแบบการช็อกตาย อาการเลือดไหลไม่หยุดและสิ้นใจจากการหายใจไม่ออก ถึงในตอนนี้หล่อนอาจจะยังไม่ตายก็จริง แต่หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้อย่างแน่นอน


 


 


รอบข้างเกิดความเงียบสนิท เสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหูนั้นมีเพียงแค่เสียงถอนหายใจติดต่อหลายครั้งเท่านั้น ผมได้แต่ยืนเกาหัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองแพคซอยอนกับชินอายองสลับกันไปมา หล่อนกำลังเจ็บปวด กุมท้องตัวเองไว้อยู่อย่างนั้น คงเป็นเพราะผลกระทบจากการโดนเตะยังคงหลงเหลืออยู่ ด้านชินอายองนั้นก็กำลังเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าแสนว่างเปล่า


 


 


ผมกำลังคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี และแล้วจึงบังเกิดความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว


 


 


‘ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดนี้มันจะโอเคไหม’


 


 


ผมรีบเรียบเรียงความคิดอย่างฉับไว แล้วจึงก้มหน้ามองชินอายอง ค่อยๆ เปิดปากพูดกับหล่อนว่า


 


 


“ทำไงได้เล่า เห็นทีเกมจะต้องจบแต่เพียงเท่านี้แหละ เนื่องจากแพคซอยอนบุกเข้ามา เพราะฉะนั้นผลในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นโมฆะ”


 


 


“งั้น…”


 


 


“ก็ตายไงล่ะ”


 


 


ใบหน้าของชินอายองฉาบย้อมไปด้วยความสิ้นหวัง ผมค่อยๆ หมุนกายอย่างใจเย็น แล้วจึงเดินไปหาโกยอนจู พูดกับหล่อนว่า


 


 


“บรรยากาศสนุกๆ ถูกทำลายซะเละเลยนะครับ โกยอนจู เดี๋ยวผมจะกลับไปดูที่ค่ายพักแรมนะครับ ช่วยจัดการให้อีกสี่คนที่เหลือรับทราบด้วย แล้วก็ช่วยจัดการที่นี่…”


 


 


วินาทีที่ผมตั้งใจจะหมุนตัวกลับนั้นเอง ผมรู้สึกได้ว่าใครบางคนเข้ามาจับข้อเท้าของผมเอาไว้


 


 


เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ผมเห็นแพคซอยอนที่ยังคงกุมท้องด้วยมือข้างเดียวอยู่ข้างใต้ หล่อนคืบคลานเข้ามาด้วยความตั้งใจอันแสนเด็ดเดี่ยว ผมได้แต่สะบัดเท้าเบาๆ


 


 


“งั้นใครล่ะที่บุกเข้ามา?”


 


 


“…”


 


 


แพคซอยอนปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาอีก ผมใช้เท้าบังคับให้หน้าของหล่อนหันไปอีกทางหนึ่ง ส่วนอีแฮยอนนั้นดูเหมือนคลานเข้ามาได้ประมาณหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในสภาพฟุบหน้าอยู่กับพื้น และดวงตาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่กำลังค่อยๆ เงยขึ้นมาอย่างยากลำบากนั้นก็อัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวต่อความตายอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“เธอคนนั้นต้องมาตายเพราะเธอ ไม่สิ จะคนนี้ คนนั้น หรือไม่ก็ผู้ชายคนโน้น ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหรือไม่ ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเธอไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย ฝ่าฝืนกฏกติกาเช่นนี้ สองคนนั้นคงได้มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วล่ะ ว่างั้นไหม”


 


 


“…ช่วยด้วย”


 


 


ในที่สุดแพคซอยอนจึงได้เอื้อนเอ่ยคำแรกออกมาจากริมฝีปากอันแสนสั่นเทา น้ำเสียงที่เคยแข็งกร้าว กระแทกแดกดันเมื่อครู่ก่อนหน้านี้นั้นได้แผ่วลงไป


 


 


ผมรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ธาตุแท้ในจิตใต้สำนึกของผมที่ค่อยๆ ปะทุออกมาอย่างน่าประหลาดนั้นคือ ความทรงจำเมื่อสมัยแรกๆ นั่นเอง ลักษณะท่าทางของใครบางคนได้เข้ามาซ้อนทับลักษณะของแพคซอยอนที่กำลังหมอบอยู่ตรงหน้าผม ผมค่อยๆ ยกเท้าออกจากศีรษะหล่อน ส่วนหล่อนก็ได้แต่ค้างอยู่อย่างนั้นเช่นเดิม


 


 


“มันจะอวดดีเกินไปหรือเปล่า มาขอร้องให้ช่วยชีวิตกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้น่ะ”


 


 


“งั้นฉันจะให้โอกาสแล้วกันนะ อุ๊ยตาย ไหนลองพูดอีกทีสิจ๊ะ เทลมี~เทลมี~ ฮ่าๆๆ”


 


 


“ลองพูดอีกครั้งซิ”


 


 


“ช่วย…พวกเราด้วย…ได้โปรด”


 


 


ผมแอบขำเล็กน้อย แล้วจึงค่อยเปลี่ยนทิศทางการเดิน ขณะที่ผมก้าวไปได้แค่เพียงสามสี่ก้าว


 


 


จึงเกิดเสียง ‘ตึก’ และได้ยินเสียงเหมือนหัวกระแทกลงกับพื้นดินดังขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงอันแสนสั่นเทาที่ดังแว่วเข้ามาในหู


 


 


“ฉัน…ขอโทษจริงๆ…ที่เข้าไปขวาง…ระหว่างที่กำลังเล่นเกมกันอยู่…ขอความกรุณาให้ท่านเห็นใจ…ช่วยเมตตารักษาเหล่าสหายของข้าด้วยเถอะ…”


 


 


“…”


 


 


“ได้โปรด…ขอร้องล่ะค่ะ หากท่านช่วยเหลือพวกเราสักครั้งหนึ่งในตอนนี้…”

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 17

 

น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยที่ได้ยินในตอนนี้ทำให้ผมหยุดการเคลื่อนไหวไป ผมจึงได้หันหลังกลับไปมอง แล้วจึงพบกับแพคซอยอนที่กำลังนั่งคุกเข่า ก้มหัวลงแนบกับพื้นดิน ผมกำลังรอคำพูดเหล่านี้อยู่พอดีเลย


 


 


“อืม…ก็นะ เธอเองก็ผิดที่เข้ามาขัดขวาง แต่ยังไงก็เถอะ เป็นการต่อสู้ที่สนุกมาก”


 


 


“…”


 


 


“ดีล่ะ นักบวชที่อยู่ข้างๆ ฉัน เขาบอกว่ามันสนุกมากกับการที่เธอบุกเข้าไปแบบนั้น เพราะฉะนั้นเห็นทีจะต้องมีเมตตาเอื้อเฟื้อให้เป็นพิเศษหน่อยเสียแล้วสิ ถ้างั้นเธอจะให้ฉันช่วยใครล่ะ”


 


 


“ว่า…ว่าอะไรนะ”


 


 


แพคซอยอนพูดไปตัวสั่นงกๆ ไป ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ หล่อนโดยไม่ได้พูดอะไรออกไปเพิ่มเติม หลังจากนั้นจึงควักสิ่งที่ผมได้เตรียมการรอไว้ล่วงหน้า นั่นก็คือยาน้ำสำหรับรักษาหนึ่งขวดที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในออกมา แล้วจึงพูดออกไปด้วยเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนได้ยินกันอย่างทั่วถึง


 


 


“ถึงจะมีแค่ขวดเดียว แต่สรรพคุณดีไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ ถ้าเธอใช้รักษาเพียงแค่คนๆ เดียว ยานี้จะช่วยรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บจากเกมในวันนี้ให้หายเป็นปลิดทิ้งได้”


 


 


“…”


 


 


“จะให้ช่วยถึงสองคนก็ยังพอไหวอยู่ แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงตามปริมาณนั่นแหละ สามคนยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย”


 


 


“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…”


 


 


“ยังไงก็ตาม เธอตัดสินเอาแล้วกันว่าจะให้ช่วยใคร”


 


 


ผมเคาะหัวหล่อนเล็กน้อย ก่อนจะยันกายลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงค่อยหันหลังกลับไป และในระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่นั่นเอง ผมได้สบตาเข้ากับโกยอนจู จนกระทั่งถึงตอนนี้หล่อนก็ยังได้แต่เฝ้าดูอย่างเงียบๆ หล่อนมองมาที่ผม แล้วเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา


 


 


“ขอบคุณนะคะ เพราะซูฮยอนแท้ๆ เลยได้เห็นอะไรดีๆ”


 


 


“ดีใจนะครับเนี่ยที่ทำสำเร็จได้ตามที่หวังน่ะ ยังไงก็เถอะ เดี๋ยวผมกับนักบวชจะกลับไปดูที่ค่ายพักแรม เพราะงั้นฝากที่นี่ด้วยนะครับ”


 


 


“โลกเรานี่น้า แพคซอยอนที่แสนจะดีเลิศที่สุดในปฐพีเป็นแบบนี้เองหรอกหรือเนี่ย ได้ค่ะ เข้าใจแล้วว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะคะ จัดการเพียงแค่สองคนเท่านั้นใช่ไหมคะ”


 


 


“ครับ หากแพคซอยอนตัดสินใจได้แล้ว ก็ช่วยทำตามที่เธอว่าได้เลยครับ ขอลำบากยืมแรงเพียงแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นครับ ถ้างั้นคุณนักบวช เราไปกันเถอะครับ”


 


 


ถึงแม้จะมีเพียงแค่โกยอนจูผู้เดียวที่คอยเฝ้าระวังพวกเร่ร่อน แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างกลับพอดีและลงตัวมาก เท่าๆ กับที่หล่อนสามารถเสกสรรค์ปั้นกลุ่มเงาขึ้นมาได้เช่นนั้นเลย ผมรีบคว้าแขนของนักบวชมาจับไว้เพื่อไม่ให้หล่อนได้เห็นอะไรไปมากกว่านี้


 


 


นักบวชหันไปมองพวกเร่ร่อนเหล่านั้นอีกครั้ง แล้วจึงปรากฏรอยยิ้มออกมา พร้อมกับเริ่มออกแรงเดินตามผมไป


 


 


“พอมาคิดๆ ดูแล้ว ผู้หญิงคนนั้นช่างน่าสงสารจริงๆ เลยนะคะ”


 


 


“ครับ?”


 


 


ในระหว่างที่กำลังเดินกลับค่ายพักแรมนั้น นักบวชที่กำลังย่ำเท้าเดินด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจึงได้พูดส่งเสียงดังกังวานออกมา


 


 


“พวกเร่ร่อนที่เริ่มสู้ก่อนคนแรกนั่นน่ะค่ะ อุตส่าห์ทุ่มเทตั้งใจสู้สุดฤทธิ์แล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับทำได้แค่รอให้เขาเลือกตัวเองก็เท่านั้น”


 


 


“อ๋อ”


 


 


“จงใจทำแบบนั้นใช่ไหมล่ะคะ”


 


 


ผมไม่ได้ตอบคำถามของนักบวชออกไปแต่อย่างใด ผมได้สั่งการกับโกยอนจูว่าให้ช่วยจัดการคนจำนวนสองคนเท่านั้น ในกรณีของชินอายองนั้น แม้หล่อนจะไม่ได้เจ็บจนถึงขั้นปางตาย แต่หากหล่อนไม่ได้ถูกรับเลือกให้รักษาตัว สุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องหยิบยื่นความตายให้แก่หล่อนอยู่ดี


 


 


ไม่ว่าจะมองอย่างไร สุดท้ายแล้วเราก็ได้แต่เห็นแค่ว่ามีคนหนึ่งถูกฆ่าตาย ส่วนอีกคนก็สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ หากมองในมุมของความจริง โดยไม่มีความรู้สึกสิ่งใดมาเจือปน จะเห็นได้ว่าถือเป็นจุดสูงสุดของการไม่ได้รับความยุติธรรมขนานแท้ ตัวผมเองก็ไม่ได้พึงพอใจในสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด แต่เพราะฝ่ายตรงข้ามคือพวกเร่ร่อนก็เลยต้องเป็นแบบนั้น


 


 


“อ้า สงสารไปเถอะ ว่าแต่ตอนนี้ในใจของเจ้าพวกนั้นจะรู้สึกร้อนรุ่มกันสักแค่ไหนนะ คิกๆ”


 


 


‘สงสารหรือ หึ ก็เป็นอย่างที่คาด’


 


 


คำว่าน่าสงสารจากปากนักบวช ทำเอาผมรู้สึกยิ้มย่องอยู่ในใจ บางทีการตายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ และ ณ ตอนนี้นั้น อาจจะยังถือว่าดีกว่าก่อนที่เราจะเดินทางไปถึงเมืองเสียอีก ไม่สิ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะดี ถึงจะบอกออกไปว่าจะช่วยชีวิต ฟังดูแล้วอาจจะสวยหรู แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ความคิดเหล่านั้นกลับมีแค่หนึ่งหยิบมือเท่านั้น


 


 


พวกเราพูดเรื่องนู้นนี้ไปเรื่อยเปื่อย และแล้วจึงเดินทางมาถึงค่ายพักแรม การเฝ้าเวรตอนกลางคืนจนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนเวรกันนั้น สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยที่ไม่มีสิ่งใดเสียหาย


 


 


เช้าวันต่อมา จำนวนพวกเร่ร่อนจากทั้งหมดเก้าคนลดลงเหลือเพียงเจ็ดคนตามที่ได้คาดการณ์ ผมลอบสังเกตดวงหน้าขาวซีดของอีกาอินกับอีแฮอิน หลังจากนั้นจึงค่อยแจ้งว่าพวกเรากำลังจะออกเดินทางไปยังเอเดนให้ผู้อื่นได้รับทราบ


 


 


ในขณะนี้ เมืองตรงหน้าอยู่แค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น


 


 


ผมกำลังไล่ไปตามเส้นทางเดิม พร้อมกับเช็คสถานการณ์ของพวกเร่ร่อนเป็นระยะๆ พลันเกิดบรรยากาศอันแสนมึนตัง ชวนน่าอึดอัดใจขึ้นมาในหมู่พวกเร่ร่อนที่เหลือเพียงเจ็ดคนเท่านั้น


 


 


น้ำยาที่ผมมอบให้แพคซอยอนนั้นแน่นอนแล้วว่าถูกนำไปช่วยรักษาคนไว้ถึงสองคนด้วยกัน โดยผู้เล่นที่แพคซอยอนได้เลือกนั้นก็คือ อีกาอินกับอีฮาอิน คนที่หล่อนให้ความไว้วางใจมากที่สุดนั่นเอง


 


 


ท้ายที่สุดแล้วจองฮยอนอูกับชินอายองต้องตายไป พวกเขาจะคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง อีกทั้งพวกเร่ร่อนที่อยู่เหลือ เฝ้ามองเหตุการณ์เช่นนั้นด้วยความรู้สึกอย่างไรเล่า


 


 


คำตอบที่ถูกต้องได้เฉลยออกมาแล้ว เพราะหลังจากผ่านคืนนั้นมา ทุกๆ คนล้วนเกิดการเปลี่ยนใจ เผยความปราถนาจนหมดสิ้น ยกเว้นเพียงแพคซอยอนกับอีกสองคนที่รอดชีวิตเท่านั้น แพคซอยอนเองก็ดูห่อเ**่ยวใจไปอย่างไรชอบกล แม้หล่อนจะเป็นหญิงใจดำอำมหิตถึงเพียงใดก็ตาม แต่ทว่าวันนี้ทั้งวันหล่อนเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเกมในคืนวันนั้นที่ยังคงค้างคาในใจหล่อน


 


 


เหล่าผู้เล่นในตอนแรกๆ เอง ดูเหมือนมีคิดบ้างว่าจำนวนพวกเร่ร่อนได้ลดลงอย่างแปลกหูแปลกตา แต่ทว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตัวตามที่ผมต้องการ


 


 


ซึ่งอาจเป็นเพราะนักบวชคงได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้ว หากจะมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากนั้นมา คงจะเป็นเรื่องที่เหล่าผู้เล่นเริ่มหันมาจ้องเล่นงานแพคซอยอนกับคนที่หล่อนไว้ใจนั่นเอง ส่วนอีกสี่คนที่เหลือนั้น คงเป็นเรื่องยากหากจะบอกว่าพวกเขาทำดีด้วย แต่ถึงกระนั้นการกลั่นแกล้งอย่างที่เคยแล้วๆ มาก็ได้ลดลงไปจากเมื่อก่อนพอสมควร อีกทั้งยังแจกจ่ายปริมาณอาหารและเครื่องดื่มให้พวกเร่ร่อนตามปริมาณปกติอีกด้วย


 


 


ขณะนี้พวกเรากำลังเดินไปตามเส้นทาง โดยป้องกันค่ายพักแรมไปด้วย เมื่อสามวันก่อน พวกเราสามารถหลุดพ้นออกมาจากทุ่งหญ้าที่อยู่ติดกับป่าไม้มาได้ ซึ่งพื้นที่ที่อยู่ถัดมาจากทุ่งหญ้าอันเต็มไปด้วยพืชพันธุ์แสนเขียวชอุ่มนั้นคือ ที่ราบอันแสนเวิ้งว้าง ทิวทัศน์ตรงหน้าผมมันทั้งโดดเดี่ยว อ้างว้าง แห้งกรังไปเสียหมด ไม่เห็นแม้แต่พุ่มหญ้าเลยสักพุ่มเมื่อเทียบกับทุ่งหญ้าก่อนหน้านี้


 


 


สี่ทิศรอบกาย ณ ขณะนี้เป็นเพียงพื้นที่โล่งโปร่ง ไม่มีอะไรเลยสักนิด แต่ทว่าหลังจากผมได้เข้ามายังทุ่งทรายแล้ว ผมจึงเกิดความรู้สึกเบาใจเล็กน้อย เนื่องจากว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ในความทรงจำของผมอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแน่นอน เพราะฉะนั้นผมจึงคุ้นเคย และสามารถจับทิศทางได้เหมือนอย่างแต่ก่อน


 


 


ผมผลักดันให้ทุกคนเดินขบวนเป็นแถว ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นจะต้องหยุดพักบางระยะเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการกระทำเช่นนี้คือ พวกเราสามารถมาถึงจุดกึ่งกลางของทุ่งทรายได้อย่างรวดเร็ว จุดนี้มีชื่อว่า ‘สุสานแห่งกษัตริย์’


 


 


“ว้าว”


 


 


“โอ้โฮ สุดยอด”


 


 


อันซลกับคูเยจี สาวน้อยนักฆ่าใช้สายตากวาดมองซากโบราณวัตถุที่ถูกขุดค้น พร้อมกับชื่นชมออกปากอย่างไม่ขาดสาย โดยสุสานแห่งกษัตริย์แห่งนี้มีโครงสร้างทั่วไปคล้ายกับเพนตาแกรม[1] ซึ่ง ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงใจกลางนี้มีแต่ความใหญ่โต โอ่อ่า ให้ความรู้สึกราวกับพีระมิด


 


 


อันซลกับคูเยจีกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกันอยู่สองคน หลังจากนั้นจึงเดินตรงดิ่งเข้ามาหาผม เครื่องหมายคำถามกระเด้งออกมาจากหัวของหล่อนอย่างเห็นได้ชัด แล้วจึงถามผมว่า


 


 


“ท่านพี่ขา ท่านพี่ มีเรื่องสงสัยค่ะ”


 


 


“หืม สงสัยอะไรล่ะ”


 


 


“ที่นี่คือสุสานแห่งกษัตริย์ที่พี่ชายค้นพบนี่นา แต่ว่านะ ทำไมถึงเพิ่งถูกค้นพบล่ะคะ ทั้งๆ ที่ออกจะใหญ่โตซะขนาดนี้”


 


 


“อ้อ อันนี้ง่ายมาก จำตอนที่เราค้นพบคุกใต้ดินของวิเวียนเมื่อคราวก่อนนู้นได้ไหมล่ะ”


 


 


พอผมยิงคำถามกลับไป อันซลก็ได้แต่กะพริบตาอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเครื่องหมายคำถามที่เคยมีอยู่แต่เดิม ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นเครื่องหมายตกใจแทน ดูเหมือนหล่อนจะค้นหาคำตอบได้แล้ว หล่อนตบมือดังฉาดพร้อมตอบกลับมาว่า


 


 


“อ๋อ! ม่านเวทนำทางนั่นเอง!”


 


 


“ใช่แล้ว ฉลาดจริงๆ เลยนะเนี่ย ว่าแต่รู้ได้ไงว่าพี่ชายเป็นคนค้นพบสุสานกษัตริย์น่ะ?”


 


 


ผมลูบหัวพลางถามหล่อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง อันซลจึงเอี้ยวตัวเข้ามา ตอบด้วยสีหน้าท่าทางทำเหมือนรู้ดี


 


 


“แหะ ๆ ฉล่งฉลาดอะไรกันเล่า คือว่าตอนนั้นฉันแอบย่องเข้าห้องท่านพี่ไป แล้วก็บังเอิ๊ญบังเอิญได้อ่านจากบันทึกน่ะค่ะ… แหะๆ”


 


 


“หา? ว่าไงนะ”


 


 


หูของผมเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที


 


 


พอมาคิดทบทวนดูแล้ว ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนเคยมีกรณีที่ข้าวของต่างๆ ในห้องทำงานค่อยๆ หายไปอย่างลึกลับทีละชิ้นๆ ข้าวของที่หายไปจะเป็นประมาณพวกถ้วยน้ำชาอะไรแบบนั้น ดังนั้นผมเลยคิดตีความไปว่าโกยอนจูอาจจะเก็บไว้ให้ก็ได้ จึงไม่นึกเอะใจอะไร


 


 


พอผมหันสายตากลับไปมองหล่อนอีกครั้ง คราวนี้อันซลยืนตัวแข็งทื่อเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว ที่หน้าของหล่อนนั้นมีแต่คำว่า ‘ซวยแล้ว’ เขียนแปะอยู่เต็มไปหมด


 


 


“อ้า เอิ่ม คือว่า”


 


 


“อันซล ยัยเด็กเจ้าปัญหา…”


 


 


ผมพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด อันซลเห็นดังนั้นจึงรีบเม้มปากปิดแน่นเหมือนกับคนแก่ที่มีแต่เหงือก การกระทำของหล่อนเช่นนี้ดูแล้วคงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะใช้วิธีนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบสิ่งใดออกมาแน่นอน อย่างไรก็ตามผมเองก็มีความคิดว่าจะใช้โอกาสในคราวนี้ แก้ไขนิสัยแบบนี้เสียที และในช่วงที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปนั้น


 


 


“ซูฮยอน”


 


 


ในตอนนั้นผมจึงได้ยินเสียงโกยอนจูกำลังเรียกผม หล่อนหยุดยืนยิ่ง หันหน้าไปทางนู้นที ทางนี้


 


 


“มีเรื่องอะไรหรือครับ”


 


 


“ขะ ขอเวลาเดี๋ยวค่ะ”


 


 


โกยอนจูกำลังทำหน้าที่อย่างจริงจัง ไม่ผิดแปลกไปจากยามปกติ หล่อนส่งสัญญาณในทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมกับจ้องมองไปยังทิศหนึ่ง ความตึงเครียดค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาอย่างชัดเจน ผมเห็นดังนั้นจึงรีบปลุกพลังเวทและดึงประสาทสัมผัสทั้งหมดออกมา พร้อมกันนั้นก็ใช้การรับรู้และการเข้ายึดครองในทิศทางที่โกยอนจูจ้องมองออกไป


 


 


‘เอ๊ะ?’


 


 


 


 


 


 


[1] เพนตาแกรม Pentagram มีลักษณะรูปร่างเป็นดาวห้าเหลี่ยม โดยเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ดีงาม

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 18

 

วินาทีนั้นผมรู้สึกถึงพลังเวทอันแข็งแกร่งวนเวียนอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่กว้างๆ แห่งนี้ ไม่รู้ว่าพลังที่ว่านี้มีกำลังมากขนาดระเบิดปรมาณูเลยหรือไม่ เพราะผมรู้สึกได้ถึงขนาดที่ว่าเส้นทาง ณ ตอนนี้ได้แยกออกจากกันเล็กน้อย อีกทั้งร่างกายยังเกิดอาการชาเล็กๆ อีกด้วย


 


 


“โกยอนจู ทิศทางและเส้นทางล่ะ”


 


 


“ทิศทางดูเหมือนกำลังเข้ามาทางทิศตะวันออกเล็กน้อยนะค่ะ ไม่สิ ทิศตะวันออกเลยล่ะ หากเราลองเดินตามทางไปเรื่อยๆ อาจประจันหน้ากันก็ได้ แต่ฉันก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่หรอกนะคะ ส่วนเส้นทางฉันคาดเดาให้แม่นๆ ไม่ได้หรอก แต่ว่าถ้าพลังเวทมันแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็ บางที…”


 


 


“…”


 


 


“จะทำยังไงดีล่ะ ความกระหายเลือดมันส่งกลิ่นชัดเจนมากๆ ในช่วงที่เราเอาแต่คิดสบายใจเฉิบอยู่แบบนี้น่ะค่ะ”


 


 


คำพูดของโกยอนจูทำเอาผมตกอยู่ในห้วงความคิดไปชั่วขณะ สาเหตุที่ผมเลือกเส้นทางนี้คือ เป็นเส้นทางที่สามารถมุ่งหน้าไปเอเดนได้เร็วที่สุด มิหนำซ้ำสุสานแห่งกษัตริย์นี้ยังถูกเข้ายึดครองไปแล้วเรียบร้อย เพราะฉะนั้นผมจึงทราบดีว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ดังนั้นผมจึงคาดการณ์ไว้ว่าเราคงจะไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงอะไรมากนัก แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิดไว้เลยสักนิด


 


 


แน่นอนว่าเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้เช่นกัน แต่ทว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย เราอาจคิดเพียงว่าอยากจะข้ามๆ ผ่านไป แต่ความกระหายเลือดที่รู้สึกได้นั้นก็ได้เริ่มชัดเจนมากขึ้น


 


 


‘ไม่นะ เดี๋ยวก่อน พลังเวทนี้มัน…’


 


 


ผมตั้งใจว่าจะสั่งการให้เตรียมพร้อมต่อสู้และรับมือกับสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้น แต่ทว่าผมก็ได้ลดมือลง เพราะผมรู้สึกคุ้นเคยกับพลังเวทที่ว่านี้อย่างน่าประหลาด ผมได้แต่ภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างที่คิดอยู่ภายในใจ หลังจากนั้นจึงเดินไปหาเหล่าผู้เล่น พร้อมพูดว่า


 


 


“เห็นทีเราจะต้องเคลื่อนตัวไปยังทิศทางที่รับรู้ได้ถึงพลังเวทกันเสียก่อนนะครับ ผมจะเดินนำเอง แต่ยังไงก็ขอให้ทุกคนช่วยดูแลตัวเองด้วยนะครับ เพราะมันอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึงขึ้นมาได้เช่นกันครับ”


 


 


ผมรีบก้าวเท้าเดินไปยังทิศทางที่รู้สึกได้ถึงพลังเวททันที หลังจากพูดประโยคเหล่านั้นจบ


 


 


“พี่คะ ขอบคุณนะคะ”


 


 


“หะ…หืม?”


 


 


ผมได้ยินเสียงอันซลถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ด้านหลัง


 


 


พวกเราใช้เวลาเดินไปได้น่าจะประมาณยี่สิบนาที ซึ่งเป็นช่วงที่ผิวหนังผมรับรู้ได้ถึงพลังเวท หรือระดับความกระหายเลือดที่พุ่งขึ้นทวีคูณ


 


 


ผมสามารถมองเห็นได้ด้วยตาตัวเองแล้วว่ามีพายุฝุ่นกำลังพัดกรรโชกแรงอยู่ตรงหน้าโน้น ซึ่งอาจเป็นเพราะมีใครบางคนใช้พลังเวทวายุพร้อมทั้งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้นั่นเอง ผมจึงตัดสินใจหยุดการเคลื่อนไหว แล้วยืนเฉยๆ เพื่อเฝ้าสังเกตจุดศูนย์กลางของพายุฝุ่นเหล่านั้น ทันใดนั้นผมจึงสามารถยืนยันกับตัวเองได้แล้วว่ากำลังมีใครบางคนมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความเร็วสูงอย่างแน่นอน


 


 


‘อยู่ไม่ได้แล้วละคราวนี้’


 


 


ผมปลุกพลังที่แฝงอยู่ภายใน พอยืนยันถึงรูปพรรณสันฐานของ ‘ใครบางคน’ ได้แล้วนั้น ผมจึงถอนหายใจออกมายาวๆ ผมได้แต่ภาวนาว่าขอให้ไม่ใช่อย่างที่คิดถึงด้วยเถอะ…


 


 


ในช่วงที่ตัวเอกคนสำคัญที่เสกพายุฝุ่นขึ้นมา สามารถเข้ามาจนถึงบริเวณนี้ได้นั้น ผมยกมือขึ้นมาอย่างเงียบๆ เขาคนนั้นมองผมอยู่แวบหนึ่ง แล้วจึงปล่อยให้ลมพายุเหล่านั้นพัดผ่านเลยไป และในช่วงเวลาที่นับได้เพียงแค่สามวินาทีเท่านั้น จึงบังเกิดเสียงพลังเวทจากด้านหลังพุ่งมาเสียดสีกับพื้นดิน ส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ


 


 


“ซะ ซูฮยอน?”


 


 


“…เฮ้อ”


 


 


วินาทีนั้น ความกระหายเลือดที่เคยเข้ามาเสียดสีกับผิวหนังอยู่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ค่อยๆ ทุเลาความเจ็บแสบลงไป


 


 


“ซูฮยอนเหรอ? ซูฮยอน!”


 


 


“…เออ”


 


 


ตัวเอกคนสำคัญของพายุฝุ่นที่ว่านั้นก็คือ คิมยูฮยอน พี่ชายของผม ถึงผมจะภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วพี่เขาก็ทำลายความปราถนาของผมไปอย่างไม่มีชิ้นดี


 


 


“ซูฮยอน!”


 


 


“พี่ เดี๋ยวก่อน”


 


 


พี่เขาเดินเข้ามาทันทีทันใด แล้วดูท่าเหมือนจะมากอดผมไว้ ผมเห็นดังนั้นจึงรีบปรามเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า


 


 


“ร่างกายผมโอเคดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่ก่อนอื่นนะ ช่วยเอาแขนลงก่อนได้ไหม”


 


 


“เอ๋? อ้อ โอเค”


 


 


มีสายตามากมายหลายคู่กับจับจ้องมา ผมแค่อยากจะกันไว้ เผื่อมีข่าวลือ ‘คิมยูฮยอนกับคิมซูฮยอนเป็นพี่น้องที่รักกันปานจะกลืนกิน’ อะไรประมาณนี้ออกไป พี่ยูฮยอนเองก็ดูหยุดชะงักไปในทันที แล้วจึงค่อยๆ ลดแขนซ้ายลงไป


 


 


“ข้างขวาด้วย”


 


 


“…”


 


 


‘แล้วนี่ไม่รู้ตัวหรือไงเนี่ย ว่ากำลังลูบหัวผมอยู่น่ะ’


 


 


พี่ยูฮยอนค่อยๆ ลดมือขวาลงช้าๆ อาจเป็นเพราะเริ่มกระดากใจจากการตอบสนองอันแสนเย็นชาจากผม แต่แล้วพี่เขาก็ยังใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้งจ้องมองมายังหัวผม ชักจะสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิ ว่าบนหัวผมมันมีน้ำผึ้งทาอยู่หรืออย่างไร ในระหว่างที่สายตาทุกคู่ล้วนกำลังจับจ้องอยู่นั้น ผมกับพี่ยูฮยอนยืนเข้าใกล้กันมากขึ้น


 


 


“ซูฮยอน ไม่บาดเจ็บอะไรตรงไหนใช่ไหม หือ?”


 


 


“อืม ถ้าตัดเรื่องความเหนื่อยนิดๆ หน่อยๆ ไป ก็โอเคดี”


 


 


“เฮ้อ โชคดีไป งั้นนายออกมาจากมิวล์ใช่ไหม”


 


 


“ใช่ ว่าแต่พี่มาทำอะไรที่นี่”


 


 


ผมไม่ได้คาดหวังให้พี่แกตอบกลับมาจริงๆ จังๆ หรอก เพราะผมเองก็คาดการณ์ไว้แล้วละว่าจะต้องเกิดเรื่องราวประมาณนี้ ดังนั้นผมจึงจ้องตาเขม็งกลับไป ซึ่งอาจเป็นเพราะคำพูดของผมได้ไปจี้ใจดำเขาก็ได้ เขาจึงรีบหลบสายตา กระแอมไอแล้วพูดออกมาว่า


 


 


“อะแฮ่ม ซูฮยอน พูดอะไรแบบนั้นเล่า พี่ก็เสียใจแย่เลยสิ ก็เห็นนายบอกจะไปมิวล์นี่นา แต่งานมันกลับพัง มั่วไปหมด ไหนจะกังวลเรื่องน้องชายอีก…”


 


 


“เฮ้อ…งั้นพี่ก็เก่งดีนี่ ลุยเองคนเดียวไม่มีกลยง กลยุทธ์อะไรกับเขาเลยแบบนี้น่ะ”


 


 


“ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้นหรอก…”


 


 


“ไม่ได้ทำอะไรเงียบๆ หรอกเหรอ”


 


 


ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ จึงใช้เสียงสูงในการพูด พี่ยูฮยอนเกาหัวด้วยสีหน้าเก้อเขิน


 


 


‘กำลังคิดบ้าบออะไรของเขาอยู่เนี่ย’


 


 


หากโกยอนจูไม่ไหวตัวต่อพลังเวทได้ล่ะ? หากพี่ยูฮยอนเดินทางไปมิวล์ทั้งอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ความจริงเลยว่าผมได้กลับออกมาแล้ว เราจึงสวนทางกันล่ะ?


 


 


แค่คิดผมก็กลัวขนลุกซู่แล้ว การกลับมาครั้งที่สองของผมคงไม่มีค่าอะไร หากต้องส่งพี่ชายไปตายทั้งแบบนั้นอีก


 


 


ผมมองพี่ยูฮยอนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ หลับตาพร้อมถอนหายใจออกไปแรงๆ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ที่กำลังเดือดอยู่ตอนนี้ ผมแค่คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของผมทั้งนั้น อย่างน้อยหากผมเตรียมคริสตัลสำหรับสื่อสารทางไกลไว้เสียหน่อย ก็คงจะไม่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น


 


 


“แล้วพี่ยังสติดีอยู่ไหม หรือไม่มีสติแล้วกันแน่? รู้หรือเปล่าว่าที่นั่นมันมีคนตั้งกี่พันคน ทะลึ่งมาตัวคนเดียวแบบนี้ จะไปทำอะไรได้…”


 


 


“ฮ่าๆ ซูฮยอน ฉันไม่ได้มาคนเดียวสักหน่อย”


 


 


ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมา เพราะอยากจะพูดอะไรบางอย่างกลับไป แต่แล้วกลับได้เห็นพี่ยูฮยอนกำลังยืนชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งอยู่ มีเหล่าผู้เล่นกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบจาก ณ จุดนั้น


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก!”


 


 


“เฮ้อ แฮ่ก แฮ่ก!”


 


 


เหล่าผู้เล่นที่สามารถผ่านพ้นออกมาได้สำเร็จกำลังมองเหล่าผู้เล่นบางส่วนที่กำลังล้มลง หายใจกระหืดกระหอบอยู่ที่พื้นด้วยสายตาแปลกๆ อาจเป็นเพราะวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วระดับหนึ่ง จึงทำให้ผู้เล่นบางส่วนมีอาการหน้าซีดอันเกิดจากความเหนื่อยล้า หากคนไม่รู้เรื่องราวมาก่อนเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้เข้า อาจจะดูเหมือนพวกเราเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาก็เป็นได้


 


 


ผมเองก็เกิดความสับสนงุนงงไม่แพ้กัน ที่พี่ยูฮยอนบอกว่าไม่ได้มาคนเดียวนั้นเป็นเรื่องจริงเสียแล้วสิ จำนวนคนที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้ เห็นทีจะเป็นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่เสียส่วนใหญ่ แล้วก็เผ่าแฮมิล แม้กระทั่งซองฮยองมินที่เป็นแคลนลอร์ดก็ยังเห็น


 


 


“พะ…พี่?”


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก! ซะ…ซล! พะ…พี่! แฮ่ก แฮ่ก!”


 


 


อันซลเบิกตาโพลง วิ่งเข้าไปหาโดยทันที ส่วนอันฮยอนได้แต่ตอบออกไปสั้นๆ อย่างลำบาก แล้วจึงเริ่มหายใจหอบอีกครั้ง ผมได้ถลึงตา หันกลับไปมองพี่ชายตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับเสมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลแทน


 


 


ผมจึงถอนหายใจออกมาอีกรอบของวัน แล้วเดินไปหาสมาชิกเผ่าที่กำลังหอบแฮกอยู่ที่พื้น มีเหล่าผู้เล่นอยู่หลายคนก็จริง แต่ทว่าคนที่อยู่ในสายตาของผมมากที่สุดรองจากพี่ชายก็คือสมาชิกเผ่าของผมนี่แหละ


 


 


ผมเดินไปหาหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีฟ้าอ่อน หล่อนกำลังบิดเอวไปมา พร้อมกับถ่มน้ำลายทิ้งอย่างสุภาพเรียบร้อย หลังจากนั้นเหมือนหล่อนจะรู้สึกตัวว่าผมเดินเข้ามาหา จึงรีบจัดการเช็ดขอบปากตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วเงยหน้าขึ้นมา หญิงสาวผู้นี้คือ จองฮายอน


 


 


“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก! มะ…ไม่เป็นไรค่ะ ฮะ…แฮ่ก!”


 


 


“…”


 


 


“แฮ่ก! ว่าแต่…ทำไม…ฉันถึงคิดว่า…คำถามมัน…กลับตาลปัตรกันแบบนี้เนี่ยคะ แฮ่ก!”


 


 


อาจเป็นเพราะได้ยินคำพูดของจองฮายอน จึงทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ในทั่วทุกสารทิศ แม้แต่คนที่ยังหอบหายใจอยู่ก็หัวเราะไปกับเขาด้วย


 


 


ผมรู้สึกเขินหน่อยๆ จึงหันกลับไปมองสมาชิกเผ่าอีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นหน้าค่าตาของทุกๆ คนเลย ยกเว้นแพคฮันกยอลกับเจ้ายูนิคอร์นน้อยเท่านั้น


 


 


ใบหน้าของทุกคนดูมีความเหนื่อยหน่ายเจือปนอยู่บ้าง แต่พอหันมามองผม พวกเขาจึงทำสีหน้าโล่งใจได้ในที่สุด โดยเฉพาะอียูจองที่ทำปากขมุบขมิบตลอดเวลา ดูเหมือนหล่อนอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่หล่อนก็กำลังเช็ดตาป้อยๆ ทำเสียงขึ้นจมูก เหมือนคนลำคอตีบตัน


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีบางมุมที่ยังไม่เข้าใจ พี่ชายของผมน่ะ เขาชื่นชอบผมก็จริง แต่ทว่าผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าคนอื่นๆ จะออกตามหาตัวผมเช่นนี้ด้วย


 


 


อย่างไรก็ตามแต่ การที่ผมได้เห็นท่าทีเหนื่อยขนาดนี้ของพวกเขานั้น อย่างน้อยก็ทำให้ผมสามารถผ่อนคลายความกังวลที่เคยอัดแน่นอยู่ข้างในมาเป็นระยะเวลานานได้ภายในครั้งเดียว ผมกังวลอยู่ว่าควรจะต้องพูดอะไรกับสมาชิกเผ่าของผมดี และในท้ายที่สุดผมจึงพูดออกไปอย่างสุขุมว่า


 


 


“ทุกคน…ทำไมถึงมากันได้ล่ะครับ คงลำบากแย่เลยนะครับ”


 


 


“ซูฮยอน พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ คุณเป็นแคลนลอร์ดนะคะ แล้วพวกเราก็เป็นสมาชิกเผ่าด้วย เราเป็นกังวลเลยมานี่ไงละคะ จะให้แค่นั่งรอเฉยๆ ยืนยันข่าวว่าคุณยังมีชีวิตอยู่อย่างเดียวไม่ได้หรอกนะคะ”


 


 


“…ยืนยันว่าผมยังมีชีวิตอยู่หรือครับ”


 


 


“ใช่ พวกเราทราบเรื่องนี้ได้เพราะคุณวิเวียนเลย”

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 19

 

อาจเป็นเพราะหล่อนควบคุมลมหายใจได้ดีแล้ว จึงทำให้จองฮายอนสามารถกลับมาพูดได้ด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเดิม หลังจากนั้นผมจึงหันไปเพื่อมองหาตัววิเวียน แต่แล้วกลับพบกับนักเล่นแร่แปรธาตุหญิงผู้หนึ่ง กำลังนอนราบอยู่บนพื้นดิน สงสัยเซลล์ที่ทำให้รู้สึกกระดากอายของหล่อนเ**่ยวเฉาไปแล้วมั้ง


 


 


เหมือนวิเวียนจะได้ยินเรื่องราวของตัวเอง จึงทำให้หันหน้ามองซ้าย มองขวาทั้งที่นอนอยู่อย่างนั้น และในวินาทีที่เราได้สบตากันนั้น หล่อนก็ผงกหัวอย่างคนอวดดี แล้วจึงหยิบบันทึกอะไรบางอย่าง ขนาดประมาณกระดาษเอสี่ที่อยู่ด้านในออกมา


 


 


และสิ่งนั้นคือสัญญาทาสของผมกับวิเวียนนั่นเอง


 


 


หลังจากที่ผมได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ที่แทบจะไม่มีความง่ายดายผสมอยู่ในนั้นกับสมาชิกเผ่าจากนั้นผมก็ต้องเข้าไปปลอบสมาชิกเผ่าที่ยืนน้ำตาคลอ แล้วผมจึงได้ยินข้อมูลบางอย่างคร่าวๆ จากพี่ชาย


 


 


ในตอนแรกนั้น พี่ยูฮยอนตั้งใจจะออกเดินทางตัวคนเดียว แม้ว่าจะโดนเผ่าแฮมิลคัดค้านอย่างหนักหน่วงก็ตาม แต่ทว่าในตอนนั้น สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ที่กำลังติดตามข้อมูลของผมอยู่นั้นได้บังเอิญเข้ามาเยี่ยมเยียนพอดิบพอดี เขาจึงได้ทราบความจริงจากสัญญาของวิเวียนว่าผมยังคงมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังบอกอีกว่ามีการรวมตัวกันเพื่อสวดอธิษฐาน และจัดตั้งหน่วยกู้ภัยเพื่อตามตัวผมกลับมาอีกด้วย


 


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายนัก แต่ผมก็นึกขอบคุณที่ช่วยตั้งหน่วยกู้ภัยนี้ขึ้นมา สาเหตุที่ตั้งนั้นไม่ว่าจะเนื่องด้วยเหตุผลใด แต่เหล่าผู้เล่นที่ผมเห็นตรงหน้านี้เป็นกลุ่มคนที่ยอมก้าวออกมาเข้าร่วม ทั้งๆ ที่ตัวเองอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งก็ได้


 


 


“ทั้งที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าคุณยังมีชีวิตอยู่…แต่พอได้มายืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้…พวกเรายังใจเต้นโครมครามอยู่ไม่หายเลยค่ะ”


 


 


จองฮายอนทาบมือทั้งสองข้างลงบนหน้าอก แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนกินใจ


 


 


“งือ แล้วรู้หรือเปล่าว่าฉันเองก็ตกใจมากแค่ไหน”


 


 


“ยะ ยูจอง เช็ดน้ำตาสักหน่อยเถอะนะ หัวหน้าของเราจะเหนื่อยแย่เอาเปล่าๆ นะ ฮ่าๆ”


 


 


ชินซังยงยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดประโยคนั้นออกไป อียูจองเห็นดังนั้นจึงรีบหันซ้าย หันขวามองรอบๆ ตัว แล้วจึงรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งไปทันที อันฮยอนเห็นจองฮายอนกับอียูจองเช่นนั้น จึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมกับเข้ามากระซิบกระซาบผม


 


 


“หึๆ พี่ๆ เป็นพี่นี่ดีจังเลยเนอะ”


 


 


“หืม? อะไรเหรอ”


 


 


“แหม ก็พอรู้ข่าวว่าพี่หายตัวไปปั๊บก็ชุลมุนวุ่นวายไปซะหมด โดยเฉพาะพี่ฮายอน ยูจอง แล้วก็คุณอิมฮันนา แค่น้ำตาของสามคนนี้รวมกันก็ได้ทะเลใหญ่ๆ มาได้เลยล่ะมั้งนั่น…เฮ้อ อิจฉาจริง จริ๊ง!”


 


 


“…?”


 


 


ผมฟังประโยคเหล่านั้นของอันฮยอน พร้อมเอียงคอสงสัย จองฮายอนกับอียูจองน่ะเป็นอย่างที่เขาว่านั่นแหละ แต่ที่เขาบอกว่าขนาดอิมฮันนายังร้องไห้ไปกับสองคนนั้นด้วย จุดนี้ผมไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก ผมจึงหันกลับไปมองหล่อน แล้วก็ค้นพบว่าหล่อนยืนกุมมือเรียบร้อยอยู่ด้านหลัง


 


 


และในวินาทีที่อิมฮันนาสบตาเข้ากับผม หล่อนจึงยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าให้ทันที ไม่รู้ว่าเป็นนักธนู แล้วจึงมีหูทิพย์ด้วยหรือไม่ เพราะดูท่าแล้วหล่อนคงได้ยินคำพูดกระซิบกระซาบของอันฮยอนเป็นแน่ ดังนั้นผมจึงเกิดความสงสัยเกี่ยวกับจิตใจข้างในของหล่อน


 


 


‘ถ้ามีโอกาสคราวหน้า สงสัยต้องลองเข้าไปถามแล้วสิ’


 


 


ผมตัดสินใจไว้เช่นนั้น แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างสุขุมว่า


 


 


“ยังไงก็ตาม ขอขอบคุณทุกๆ คนที่มามากๆ เลยนะครับ แล้วก็หากมีสมาชิกเผ่าคนไหนที่ตกใจ เพราะผมเป็นต้นเหตุ ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ”


 


 


“ไม่หรอกน่า พี่ล่ะก็ ผมน่ะเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าพี่จะต้องกลับมา แล้วก็เรื่องบุกโจมตีอะไรนั่นน่ะ ไม่มีใครเขาคาดคิดไปถึงขั้นนั้นเลยด้วยซ้ำ แค่ได้กลับมาพร้อมร่างกายที่แข็งแรง สุขภาพดีก็เพียงพอแล้วนี่ครับ ใช่ไหมล่ะ เจ้าพวกเด็กขี้แยทั้งหลาย? อั้ก!”


 


 


ในที่สุดอันฮยอนก็โดนจองฮายอนกับอียูจองเขกเข้าให้ ผมได้แต่ก้มมองเจ้าหมอนี่ที่ร้องโอดโอยอยู่กับพื้น แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันกลับไปมองด้านหลัง ข้างหลังผมนั้นมีคิมฮันบยอลกับท่านผู้เฒ่ายืนอยู่ ทั้งสองคนมีสีหน้าแปลกๆ อย่างไรชอบกล


 


 


โกยอนจูกับอันซลเดินเข้าหาสมาชิกเผ่า แล้วก็แชร์เรื่องราวต่างๆ กับสมาชิกเผ่า แต่ทว่าคิมฮันบยอลนั้นดูน่าสงสารแปลกๆ ก้มหน้าก้มตามองพื้นดินที่อยู่ข้างล่างตลอดเวลา


 


 


“อย่างไรก็ตาม อย่างที่อันฮยอนได้พูดนั่นแหละครับ ว่าผมกับสมาชิกเผ่าได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เพราะฉะนั้นคลายความกังวลได้แล้วนะครับ อ้า แล้วก็จะแนะนำตัวให้ช้าไปหรือเปล่าเนี่ย ท่านนี้คือ ท่านผู้เฒ่าครับ ท่านเพิ่งมาเข้าร่วมกับพวกเราตั้งแต่อยู่มิวล์ ผู้เล่นอีมันซองครับ คิมฮันบยอล ท่านผู้เฒ่าครับ เชิญทางนี้ครับ”


 


 


ท่านผู้เฒ่าอาจคิดว่าตัวเองอยู่แปลกที่แปลกทาง จึงได้แต่ยืนฟังคนอื่นๆ พูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่แล้วในที่สุดท่านผู้เฒ่าจึงทำสีหน้าสดใสมากยิ่งขึ้น แล้วเดินเข้ามาแนะนำตัว ทักทายทุกคน


 


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมอีมันซอง เพิ่งได้เข้าร่วมใหม่ในครั้งนี้ครับ”


 


 


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันจองฮายอนค่ะ ยินดีกับคุณอีมันซองด้วยนะคะ ที่ได้มาเข้าร่วมกับพวกเรา”


 


 


“ฮ่าๆ ขอบคุณครับ ตัวผมก็ไม่ใช่คนเก่าแก่ อยู่มาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะฉะนั้นอาจจะไปรบกวนอะไรแคลนลอร์ดบ้าง แต่ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะครับ”


 


 


“ต้องเป็นพวกเราสิที่ต้องฝากเนื้อฝากตัวน่ะค่ะ อ้า แล้วก็ดูเหมือนมีอายุมากกว่าพวกเราเล็กน้อย เพราะฉะนั้นพูดแบบสบายๆ ก็ได้นะคะ”


 


 


จองฮายอนเป็นตัวแทนของสมาชิกเผ่าที่คอยรับคำทักทายเหล่านั้น ท่านผู้เฒ่าดูประทับใจกับหล่อน จึงได้ส่งมอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น พร้อมก้มศีรษะให้


 


 


บรรยากาศชวนอึดอัดเมื่อก่อนหน้า สามารถข้ามผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งการแนะนำไปได้อย่างราบรื่น ผมเห็นดังนั้นจึงโล่งใจไปได้อย่างหวุดหวิด


 


 


ในตอนนั้นเอง


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


 


 


ผมได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นมา จึงหมุนกายกลับไปทันที และแล้วจึงได้พบกับบุคคลหนึ่งที่แม้แต่ตัวผมยังไม่คาดคิดมาก่อน ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน พร้อมส่งยิ้มเขินๆ มาให้ คนแรกคือ ซองฮยองมินที่เพิ่งได้พบกันเมื่อครู่ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น คือ…


 


 


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”


 


 


ชินแจรยง


 


 


“ลอร์ดเผ่าฮั่นกับคุณผู้เล่นชินแจรยงงั้นเหรอครับ?”


 


 


“จำได้ด้วยนะครับเนี่ย โชคดีมากครับที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วได้มาเจอกันแบบนี้”


 


 


“อ้อ ครับ แต่ทั้งสองคนมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร…แล้วก็เมื่อครู่นี้ ผมยังไม่เห็นคุณชินแจรยงเลย”


 


 


“ผมคิดว่าควรให้คุณไปแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ กับสมาชิกเผ่าของคุณก่อนเป็นอันดับแรก ผมจึงปลีกตัวออกมาน่ะครับ ฮ่าๆ แล้วก็…”


 


 


ซองฮยองมินกับชินแจรยงมองหน้ากันและกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชินแจรยงจึงเริ่มพูดออกมาก่อนว่า


 


 


“ความจริงแล้วผมได้มาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยนี้ด้วยความบังเอิญน่ะครับ”


 


 


“บังเอิญหรือครับ”


 


 


ผมถามกลับไปในทันที ชินแจรยงจึงตอบกลับมาด้วยท่าทีเก้อเขิน


 


 


“ครับ ตอนนั้นหลังจากที่ผมกลับมาจากการผจญภัย ผมก็มีงานมากมายหลายสิ่งที่จะต้องจัดการน่ะครับ แล้วในช่วงที่ได้วิ่งไปนู่นมานี่อยู่พักหนึ่ง งานที่ค้างคาไว้ก็จวนใกล้จะเสร็จเต็มที ผมก็คิดถึงลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ขึ้นมาครับ ผมตั้งใจว่าจะเข้าไปทักทายเสียหน่อย เพราะคุณเองก็เคยเป็นผู้มีพระคุณ เคยช่วยเหลือผมเอาไว้ แต่เผอิญได้ทราบว่าคุณหายตัวไปน่ะครับ”


 


 


“ถ้างั้น…ก็เลยมาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยเพื่อตามหาผมอย่างนั้นเหรอครับ”


 


 


วินาทีที่ผมได้ยินคำพูดของชินแจรยอง ผมจึงเกิดความคิดที่ว่า ‘มีคนแบบนี้กับเขาด้วยหรือเนี่ย’ ขึ้นมา เขาจึงพูดต่อมา พลางอมยิ้มเล็กน้อย


 


 


“ก็คุณช่วยชีวิตผมไว้นี่นา พอผมได้รู้ว่าเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่มีนักบวช ผมจึงได้เข้าร่วมด้วย ตั้งใจว่าจะมาช่วยเหลืออะไรกับเขาบ้างน่ะครับ อ้า ใช่ ไม่รู้สิ ถ้ารู้ว่าผู้มีพระคุณของเรากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่เรากลับแกล้งทำเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ ผมคิดว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย”


 


 


“…อย่างนั้นหรอครับ”


 


 


ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยขึ้นมาบ้าง จึงสงบสติอารมณ์ แล้วพยักหน้าตอบรับเขาไป


 


 


อย่างไรดีล่ะ…ผมแอบคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า ไม่ใช่ตัวผมเองหรอกหรือที่คิดว่าโลกใบนี้มันช่างอ้างว้าง เดียวดายมากเสียเหลือเกิน แต่แล้วผมจึงถอนหายใจ พร้อมสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป หลังจากจึงได้เบนสายตาไปมองซองฮยองมินบ้าง


 


 


ซองฮยองมินมองกลับด้วยสีหน้าที่ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความละอายใจอยู่เล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขัดเขิน


 


 


“อ้อ…จริงๆ แล้วผมได้รับคำขอร้องมาจากคนรู้จักน่ะครับ”


 


 


“คนรู้จักหรือครับ”


 


 


“ครับ อาจจะยิ่งกว่าคนรู้จักก็ได้ครับ เพราะถือว่าใกล้เคียงกับผู้มีพระคุณสำหรับผมเลย…แต่อย่างไรก็ตาม ผมเองก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับลอร์ดแฮมิลมาแต่ไหนแต่ไรแล้วละครับ เพราะฉะนั้นเพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องที่ไม่รู้ล่วงหน้า…ฮ่าๆ ขอโทษครับ ดูท่าว่าคุณจะรู้ทันนะครับเนี่ย ไม่รู้สิครับ ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เป็นน้องแท้ๆ ของลอร์ดแฮมิลน่ะครับ”


 


 


“ดูเหมือนผมจะพอรู้แล้วล่ะครับ ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร ไม่จำเป็นจะต้องขอโทษกันเลยครับ กลับต้องขอบคุณคุณเสียมากกว่า”


 


 


จากคำพูดของซองฮยองมินนั้นตีความได้อย่างเดียวเลยคือ การช่วยเหลือผมในคราวนี้ไม่ใช่เป้าหมายหลักแต่อย่างใด แต่ทว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกเขาเข้าร่วมเพื่อที่จะได้โน้มน้าวใจคิมยูฮยอน แต่การกระทำของชินแจรยงเนี่ยแหละที่แปลก ก่อนหน้านั้น เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอย่างนี้อย่างแน่นอน ผมจึงได้แต่พยักหน้าให้เขา


 


 


ซองฮยองมินดูเหมือนอยากจะลอบพิจารณาถึงสายตาของผม แต่แล้วเขากลับเริ่มจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ ทิศทางที่สายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่นั้น คือ ที่ที่พวกเร่ร่อนถูกจับกุมตัวไว้อยู่นั่นเอง


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ สิ่งที่ผมจะถามในคราวนี้ อาจจะเสียมารยาทไปสักเล็กน้อย แต่ว่าผมขออนุญาตถามอะไรสักอย่างจะได้หรือไม่ครับ”


 


 


“ครับ เกี่ยวกับพวกเร่ร่อนที่ถูกจับอยู่ตรงนู้นหรือเปล่าครับ”


 


 


วินาทีที่คำว่าพวกเร่ร่อนหลุดออกมาจากปากผมไป นัยน์ตาของซองฮยองมินก็มีประกายอะไรสักอย่างวาบขึ้นมา


 


 


 “กะแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นพวกเร่ร่อน ผมคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนน่ะครับ เลยอยากจะถามว่าใช่หรือเปล่า แต่ว่าคุณไปจับพวกมันมาได้อย่างไรครับเนี่ย”


 


 


“พวกเราได้เปิดฉากต่อสู้กับพวกมันเล็กๆ น้อยๆ ตอนออกมาจากมิวล์น่ะครับ แล้วก็มีพวกมันไล่ตามมาในฐานะเป็นพวกสะกดรอยด้วย ทีนี้พอถึงตาพวกเราโจมตีพวกมันกลับไปบ้าง ก็มีส่วนใหญ่ที่ถูกฆ่าตาย บางส่วนที่เหลืออยู่จึงถูกจับมาแบบนี้ครับ”


 


 


เป็นคำตอบที่ทั้งชัดเจนและสั้น กระชับเข้าใจง่ายมากๆ แต่ทว่าน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ในคำตอบนั้นกลับไม่เบาเอาเสียเลย ในระหว่างที่ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของซองฮยองมินกับชินแจรยงนั้น ผมจึงได้ลอบมองแพคซอยอน หนึ่งในพวกเร่ร่อนที่ผมพามา ไม่ว่ารอบกายจะเสียงดังเอะอะมากเพียงใด แต่ทว่าหล่อนก็มิได้เงยหน้าขึ้นมามอง เอาแต่ก้มหน้าลงมองพื้นดินอยู่อย่างนั้น


 


 


“ไม่ทราบว่ารู้จักพวกเร่ร่อนที่ชื่อแพคซอยอนหรือเปล่าครับ”


 


 


“แพคซอยอน? ตอนนี้ยัยผู้หญิงปีศาจนั่นอยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ”

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 20

 

 


 


ผมแค่ถามเพราะอยากรู้ว่ารู้จักไหม แต่แล้วกลับได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับบางอย่างที่ผมคาดไม่ถึงของซองฮยองมิน ใบหน้าของคนที่มีความประพฤติเรียบร้อยดีมาตลอด กลับมีสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดมากขึ้นในพริบตาเดียว ถึงขนาดที่ว่าผมมองผิดไปหรือเปล่า


 


 


‘ไม่สิ ก็ไม่ได้ถึงกับอยู่เหนือความคาดหมายอะไรนี่นา”


 


 


แม้จะบอกว่าหล่อนเป็นปีศาจในคราบคน แต่ทว่าแพคซอยอนก็ยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่พวกเร่ร่อนด้วยกันอยู่ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่อะไรมีผิดแปลกเลย หากคนอย่างซองฮยองมินจะรู้เรื่องเช่นนี้ด้วย


 


 


“รู้จักแพคซอยอนด้วยเหรอครับ”


 


 


“รู้สิครับ ปั๊ดโธ่เอ๊ย เพราะยัยผู้หญิงชาติชั่วคนนั้น…อ้า ขอโทษครับ”


 


 


“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ พอมาได้เห็นอะไรแบบนั้นแล้ว ดูท่าว่าพวกเร่ร่อนที่ชื่อแพคซอยอนนั่นคงจะมีชื่ออยู่บ้างไม่ใช่น้อยเลยนะครับเนี่ย”


 


 


“ไม่ถึงขนาดมีชื่อเสียงเรียงนามหรอกครับ แต่ยังไงก็เถอะ นั่นใช่แพคซอยอนจริงๆ ใช่ไหมครับ ผมมองไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไหร่…”


 


 


แม้จะพูดอยู่อย่างนั้น แต่เขาก็ยังเอี้ยวมองจนคอเป็นเอ็น มองอย่างไรก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างเข้าไปเจาะลึกจนเข้ากระดูกดำของเขาเลย แต่ทว่าอย่างน้อยสหายของเราก็เป็นศัตรูของศัตรูเราอีกทีหนึ่ง


 


 


เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรสำหรับผม


 


 


ซองฮยองมินพิจารณาตรงจุดนั้นอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนเขาอยากจะยืนยันว่าแพคซอยอนได้ถูกจับตัวมาแล้วจริงๆ หรือไม่ และแล้วเขาจึงเปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา


 


 


“หากพวกเร่ร่อนคนนั้นเป็นแพคซอยอนจริงๆ ล่ะก็…”


 


 


“…”


 


 


“ถือว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวงต่อทวีปเหนือเราเลยนะครับ โดยเฉพาะสถานการณ์ ณ ขณะนี้”


 


 


“ฮ่าๆ”


 


 


คำพูดของซองฮยองมินมีแต่ความบริสุทธิ์ ความจริงใจแผ่ซ่านอยู่เต็มไปหมด ผมได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ แทน


 


 


คงจะสิ้นสุดอยู่ที่การสร้างคุณงามความดีอย่างที่ว่าอยู่แล้วละ ถ้าไม่เช่นนั้นทวีปเหนือก็จะ ไม่สิ มันเป็นที่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงพลิกหน้าพลิกหลังได้ตลอด จนกว่าจะถึงอนาคตในภายภาคหน้า


 


 


พวกเราได้ยกประเด็นเรื่องเส้นทางหวนคืนสู่เอเดนมาคุย หลังจากคุยเรื่องหน่วยกู้ภัยและการร่วมมือกันราวกับในละครเช่นนั้นเสร็จสิ้น และผมยังได้ยินเรื่องราวข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในปัจจุบันโดยละเอียดในระหว่างที่กำลังเดินทางกลับเมืองอีกด้วย


 


 


ประเด็นแรกที่ผมอยากจะสอบถามคือ กองกำลังเสริมของเมืองฮาโล ว่าเป็นอะไรอย่างไรบ้าง ซึ่งซองฮยองมินไม่ได้พูดถึงส่วนนี้แต่อย่างใด เขาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนออกมาเลย บอกแค่ว่ายังไม่มีการร้องขอกองกำลังเสริมอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งยังพูดอีกว่าฝั่งตัวเองก็กำลังปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอยู่


 


 


เพียงแต่เขาพูดเสริมต่อมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า ‘แต่ก่อนนั้นวาร์ปเกตยังคงมีการบังคับ ควบคุมต่างๆ อยู่เลย แต่ทว่าจู่ๆ พอเกิดการบุกรุกขึ้นมา ผมจึงได้เห็นวาร์ปเกตกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งอย่างทันทีทันใด เห็นแล้วยังแอบขำอยู่หน่อยๆ เลยครับ’


 


 


หากยกเว้นพวกเมืองที่โดนบุกโจมตีไปแล้วนั้น ถือว่าวาร์ปเกตก็ยังไม่ได้ปิดตัวลงไปแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังให้ได้มากกว่านี้ บางทีช่วงเวลาที่จะได้พิจารณาความจริงต่างๆ นั้น อาจจะเกิดขึ้นได้ภายหลังเมืองทั่วไปทางตะวันตก อย่างเมืองฮาโลโดนเข้ายึดครองก่อนก็เป็นได้


 


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการตอนรอบแรกแล้วนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมีอยู่เพียงสิ่งเดียว สิ่งนั้นคือ พวกเร่ร่อนได้เข้าจู่โจมมิวล์ก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจึงค่อยไปบุกโจมตีเมืองทางตะวันตกเป็นลำดับถัดมา เมืองโดโรธีกับเมืองเบธนั้นตกอยู่ในเงื้อมมือของทวีปตะวันตกมาเป็นระยะเวลานานแล้ว และตอนนี้แม้กระทั่งเมืองฮาโลก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีเช่นเดียวกัน


 


 


โดยเฉพาะกำลังพลของศัตรูในปัจจุบันนี้อาจจะไม่ได้รู้แม่นยำ ชัดเจนอะไรนัก แต่ทว่าเผ่าที่สนิทชิดเชื้อกับเผ่าสิงโตทองนั้น กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความเสียหาย ซึ่งความเสียหายที่ว่านี้เกิดจากการออกเดินทางไกลไปเทือกเขาเหล็กกล้าไม่สำเร็จตามเป้านั่นเอง จึงทำให้ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นแล้วจึงทำให้ลำดับขั้นตอนในการเตรียมกำลังพลเกิดการติดขัด ไม่ราบรื่นไปตามๆ กัน ถึงขนาดที่บางคนพูดออกมาว่าทิ้งเมืองฮาโลไปเสียเถอะ


 


 


จึงมีคำพูดหนึ่งที่ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง


 


 


หากจะวางแผนรับมือก็ต้องรู้จักฝ่ายตรงข้ามให้ได้อย่างลึกซึ้งเสียก่อน แต่ทว่ามิวล์นั้นกลับโดนบุกโจมตี พร้อมทั้งโดนตัดขาดการติดต่อในเวลาเดียวกัน ส่วนโดโรธีกับเบธนั้น มีเพียงแค่ข่าวเรื่องการบุกโจมตีกับคำร้องขอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รายละเอียดข้อมูลปลีกย่อยต่างๆ ยังไม่ได้รับเข้ามาเลย


 


 


ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่ผมสามารถจับพวกเร่ร่อนที่บุกโจมตีเมืองต่างๆ ได้ด้วยตัวเองนั้น(?) ก็อย่างที่ว่าแหละครับ การกระทำเช่นนี้ถือว่ามีคุณค่ามากมายเกินกว่าเงินจำนวนมากโขเสียอีก โดยเฉพาะแพคซอยอน ด้วยความที่หล่อนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนระดับผู้นำแทบทั้งหมด ดังนั้นจึงทำให้มูลค่าของข้อมูลที่หล่อนจะยอมเผยออกมานั้น มีมูลค่าสูงมาก จนถึงขนาดไม่สามารถพูดได้เลย


 


 


ท้ายที่สุด กุญแจสำคัญที่จะไขทุกอย่างอยู่ที่เราจะทำลายจิตใจของแพคซอยอนได้เร็วสักเท่าไหร่กันนี่สิ และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นปัญหาที่ผมกังวลและคิดทบทวนตลอดการเดินทาง


 


 


พวกเราได้เริ่มต้นร่วมเดินทางกับคนรู้จักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการที่จะให้เล่นเกมอย่างคราวก่อนนู้นจึงค่อนข้างยากลำบากเสียแล้ว ตอนนี้ผมจึงคิดว่าวิธีที่ใช้แล้วเกิดผลไปแล้วครั้งหนึ่งนั้น ยังจะสามารถใช้ได้อีกครั้งในโอกาสหน้าๆ ได้อีกหรือไม่


 


 


‘อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราจะต้องกลับถึงเมืองให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกสิ’


 


 


ในพื้นที่ที่ถูกจำกัดเหมือนอย่างเช่นตอนนี้นั้น ทำให้วิธีที่เราจะสามารถคัดเลือกเองก็ถูกจำกัดตามไปด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากเรากลับไปยังเมืองหรือแคลนเฮาส์ได้สำเร็จ เหล่ากลวิธีต่างๆ ที่จะมาช่วยขยายโอกาสของเราก็จะพุ่งออกมาเอง


 


 


“…”


 


 


ผมค่อยๆ ออกจากความคิดอันแสนเพ้อฝันเหล่านั้นอย่างช้าๆ แล้วจึงมองไปยังด้านบนเพื่อชมท้องฟ้าสีครามสดใส ผมจึงรู้สึกได้ว่าหัวที่เคยเอาแต่คิดนู่นนี่อยู่เต็มไปหมด ได้อันตรธาน หายไปโดยสิ้นเชิง


 


 


ตลอดการเดินทางกลับ ผมก็ได้แต่โดนพี่ชายก่อกวนไม่หยุด จนทำเอาในหัวผมตีกันจนยุ่งเหยิง ดังนั้นผมจึงปลีกตัวออกมาเดินแยกอยู่ข้างๆ โดยมีข้อแก้ตัวว่ามีอะไรที่จะต้องคิดสักเล็กน้อย


 


 


“คิมซูฮยอน คิมซูฮยอน!”


 


 


ขณะผมกำลังเดินพลางเงยหน้าชมท้องฟ้าอันสวยงามอยู่ดีๆ แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังวิ่งเตาะแตะเข้ามาหา เสียงที่ดังขึ้นนั้นคือเสียงของวิเวียน ผมก้มหน้ามองลงด้านล่างเล็กน้อย แล้วจึงเห็นหล่อนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาพอดี ใบหน้าของหล่อนเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เต็มไปหมด ผมจึงพูดออกไปอย่างสุขุมว่า


 


 


“ทำไมเหรอ”


 


 


“พี่นายให้มาบอกว่าดูเหมือนเราจะต้องไปถึงเอเดนให้ได้น่ะ ว่าแต่ทำไมถึงเอาแต่เดินดูท้องฟ้าอยู่แบบนี้ล่ะ”


 


 


“มีอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ”


 


 


“คิดเรื่องอะไรเหรอ ใช่เรื่องนั้นที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือเปล่า”


 


 


ผมพยักหน้าหงึกๆ ให้หล่อน ความกังวลในช่วงเวลาเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผมเครียดอยู่เพียงคนเดียว เมื่อวานผมมีโอกาสได้ยืนเฝ้ายามตอนกลางคืนด้วยกัน จึงได้เผยความคิดของผมบางส่วนให้วิเวียนได้รับทราบไปบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความจริงที่สามารถพูดออกไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรเลย หากอีกฝ่ายที่อยู่ด้วยนั้นคือหล่อน และผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะคิดวิธีที่ดีเสียยิ่งกว่านี้ได้อีกไหม จริงๆ แล้ว เวลาที่ผมรู้สึกเบื่อๆ ขึ้นมา ผมก็มักไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรตามไปด้วย


 


 


“หึๆ อย่างนี้นี่เอง แล้วคิดอะไรดีๆ ออกไหมล่ะ”


 


 


“ก็มีเรื่องสองเรื่อง แล้วเธอล่ะ”


 


 


 “หึๆ จริงด้วยแฮะ ฉันเองก็พูดไปแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าเคยมีกังวลกับเขาบ้างเล็กน้อยน่ะ หึๆ”


 


 


“…?”


 


 


 หล่อนส่งเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจในอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ผมเห็นดังนั้นจึงจ้องไปที่วิเวียน ด้วยความสงสัยระคนคาดหวัง ด้วยสายตาของผมเช่นนั้น จึงทำให้หล่อนยกยิ้มขึ้นมาพลางควานหาอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านใน พร้อมพูดออกมาว่า


 


 


“ฉันคิดอะไรที่ดีมากๆ ออกแล้วแหละ มีอยู่ตั้งสองอย่างแน่ะ”


 


 


“อะไรล่ะ อย่าทำให้ฉันร้อนใจนะ ไหนลองพูดมา”


 


 


“หึๆ รอเดี๋ยวเดียวสิ ท่านพี่”


 


 


“เธอไปเรียนคำแบบนั้นมาจากไหนกันล่ะนั่น”


 


 


หล่อนตอบออกมาว่า ‘อันฮยอน’ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากนั้นจึงยื่นมือทั้งสองข้างออกมา บนฝ่ามือด้านขวาของหล่อนนั้นมีอะไรบางอย่างรูปร่างกลมๆ ส่องแสงสว่างสีขาว ส่วนมือด้านซ้ายกำลังถือหนังสือเล่มหนาอยู่ คงจะเป็นออร์โดแห่งข้อบังคับกับหนังสือของมาร์โวลโล


 


 


‘เดี๋ยวสิ ออร์โดนี่เข้าใจได้ แต่ว่าทำไมถึงแบกหนังสือไปมาด้วยแบบนี้ล่ะเนี่ย’


 


 


ผมเกิดความสงสัยอย่างมาก แต่คิดว่าควรจะลองฟังหล่อนดูก่อน จึงยอมเฝ้ารอคำพูดของวิเวียนอย่างใจเย็น ถึงแม้หล่อนจะส่งสายตายิ้มๆ อย่างไม่น่าไว้ใจมาให้ แต่สุดท้ายหล่อนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแสนดังกังวาน


 


 


“เมื่อก่อนก็มีนี่นา จำข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินคุณค่าสิ่งของที่เขียนอยู่ในออร์โดแห่งข้อบังคับนี้ได้ไหมล่ะ”


 


 


“ประเมินคุณค่าสิ่งของงั้นเหรอ”


 


 


ผมพอจำได้อยู่บ้างสองสามอย่าง แต่ก็ไม่ได้จำอย่างละเอียดมากอะไรนัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผมสามารถยืนยันได้ในตอนนี้เลย ดังนั้นผมจึงจ้องไปยังก้อนกลมสีขาว และในขณะที่กำลังจะปลุกพลังดวงตาที่สามขึ้นมาอยู่นั่นเอง


 


 


“เห็นเอเดนแล้วครับ!”


 


 


ผมจำต้องรีบหันหน้าไปทันที เพราะมีเสียงใครบางคนตะโกนเสียงดังออกมา


 


 


ทิศทางที่อยู่ตรงหน้านี้ เห็นเมืองเล็กทางทิศตะวันออกอย่างเอเดนอยู่ไกลๆ อย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมจึงหันไปหาวิเวียน แล้วพูดกับหล่อนว่า


 


 


“มีเรื่องที่จะพูดเยอะไหม”


 


 


“อืม ก็เยอะนิดหน่อย”


 


 


“งั้นเหรอ ถ้างั้นเดี๋ยวกลับเมืองไปค่อยมาคุยกันอีกทีก็แล้วกันนะ”


 


 


“หึๆ ได้สิ ถ้างั้นก็ช่วยรอหน่อยก็แล้วกันนะ ฉันจะไม่ทำให้นายเสียใจกับออร์โดแห่งข้อบังคับที่นายให้ฉันเลยละ แค่ช่วยคาดหวังสักหน่อยก็โอเคละ”


 


 


ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองตั้งใจจะพูดอะไรออกไปกันแน่ แต่หากได้ดูความมั่นใจในตัวเองของวิเวียนเช่นนั้นแล้วล่ะก็ เหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งออกมา


 


 


ผมมองวิเวียนที่ทำเสียงชิชะ เดินกลับไป หากหล่อนมัวแต่พูดเพ้อเจ้อ หาสาระไม่ได้เหมือนมาร์การิต้าล่ะก็ผมจะไม่ปล่อยไปเฉยๆ อย่างแน่นอน 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 21

 

“มะ เมืองนี่! เราเข้ามาในตัวเมืองกันแล้วจริงๆ!”


 


 


“รอดแล้ว! พวกเรารอดแล้ว! รอดแล้วแม่จ๋า ฮือ ฮือ…”


 


 


วินาทีที่พวกเราเข้าไปยังเอเดนได้สำเร็จ เมือง ณ ขณะนั้นราวกับมีเสียงอึกทึกครึกโครมไปทั่วบริเวณ เพราะเหล่าผู้เล่นต่างส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ มีบางคนทรุดตัวลงร้องไห้อยู่กับพื้นบ้าง แต่นั่นไม่ใช่น้ำตาที่หลั่งออกมาจากความเศร้าโศก แต่เป็นน้ำตาที่สื่อถึงความดีอกดีใจที่ได้มีชีวิตรอดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ในตอนแรกนั้น พวกเราคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณสามสี่วัน แต่จริงๆ กลับใช้เวลาถึงสามสี่สัปดาห์ ผมแทบจะไม่ได้คาดคิดคาดฝันมาก่อนเลยจะเรื่องราวทุกอย่างจะกลายมาเป็นเช่นนี้ และที่แห่งนี้คือเมืองที่ผมไม่ได้เห็นมานานมากแล้วจริงๆ จึงทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง…ไม่สิ เรามีเรื่องที่จะต้องทำทันทีเมื่อมาถึงที่นี่ ดังนั้นผมจึงเรียกโกยอนจูเบาๆ อย่างไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต


 


 


“โกยอนจู เรื่องนั้นเป็นอย่างไรแล้วบ้างครับ”


 


 


“คะ? เรื่องนั้นน่ะเหรอคะ”


 


 


โกยอนจูเบิกตาโพลงในตอนแรก แต่พอผมค่อยๆ ใช้สายตาจ้องมอง หล่อนจึงเริ่มอมยิ้ม


 


 


“อ้อ อุปกรณ์น่ะเหรอคะ ก็จัดการไว้ให้เรียบร้อยแล้วน่ะสิคะ~”


 


 


“ตอนเดินทางมา พวกผู้เล่นมีหิ้วอุปกรณ์พวกนั้นมาด้วยบางส่วนน่ะครับ”


 


 


“ใช่ค่ะ อุปกรณ์มีเยอะมากจนแน่นไปหมด ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือเลย ฉันเลยใช้ความสามารถในการจดจำของฉันดูแลรับผิดชอบของที่พอไปไหวมาทั้งหมดน่ะค่ะ ส่วนที่เหลือก็มีเสียหาย ใช้การไม่ได้บ้าง แต่ฉันก็สั่งแล้วละว่าให้เอามาเฉพาะของที่จะใช้ค่ะ”


 


 


โกยอนจูพูดออกมาเช่นนั้น จึงทำให้ผมใช้ดวงตาที่สามมองผ่านทะลุไปยังเหล่าผู้เล่น ที่ต่างคนต่างกำลังฉลองกับเหตุการณ์ในครั้งนี้อยู่ ความสามารถในการจดจำของหล่อนนั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องที่เธอไม่รู้อยู่เหมือนกัน


 


 


หลังจากยืนยันข้อมูลอุปกรณ์ต่างๆ อย่างรวดเร็วเสร็จสิ้นลง ผมจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้เสียที โชคดีที่อุปกรณ์ดีๆ ถึงขนาดเป็นของอัจฉริยะไม่มีปรากฏให้ผมเห็น


 


 


ผมคิดถึงเรื่องของตอบแทนที่ได้ให้สัญญากับเหล่าผู้เล่นขึ้นมาอีกครั้ง อุปกรณ์ต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเสียหาย ใช้การไม่ได้อย่างที่หล่อนว่า แต่หากเราสามารถซ่อมแซมมันได้ อุปกรณ์เหล่านั้นก็คงพอใช้ไปได้เช่นกัน


 


 


‘จากรูปการณ์แล้วพอมาถึงที่นี่ก็คงต้องให้ไปเลย แต่ว่า…ของที่หิ้วมาอยู่แล้วล่ะ จะให้ไปทั้งอย่างนั้นเลยเหรอ’


 


 


ในช่วงที่ผมกำลังเกิดความคิดเช่นนั้น โกยอนจูได้เข้ามาพูดกับผมด้วยความระมัดระวัง


 


 


“ซูฮยอน ถ้าคุณกำลังเครียดเรื่องปัญหาของตอบแทนอยู่ล่ะก็ ฉันมีความคิดบางอย่างเหมือนกันนะคะ…”


 


 


“ครับ? อ้อ ครับ ว่ามาเลยครับ”


 


 


“เราก็บอกให้พวกเขาเอาของที่ตัวเองหิ้วมาไปได้แทนเสียเลย เป็นไงคะ ทำแบบนั้นคนเขาจะไม่ยิ่งขอบคุณคุณมากกว่าเหรอคะ”


 


 


ประโยคเมื่อครู่นั้นสิ้นสุดลง พร้อมกับหล่อนที่เลิกคิ้วขึ้น ผมเห็นดังนั้นจึงทราบได้ในทันทีเลยว่าหล่อนคิดแบบเดียวกันกับผม การที่ผมจับตัวพวกเร่ร่อน โดยเฉพาะแพคซอยอนมาเป็นเชลยได้นั้น นับว่าเป็นการเหยียบย่ำทวีปเหนือแทบทั้งทวีปแล้ว ซึ่งในจุดศูนย์กลางของกรณีนี้มีผมอยู่ด้วย ดังนั้นชื่อของเมอร์เซนต์นารี่ก็จะเป็นที่รู้จักไปโดยปริยาย และการส่งต่อข่าวลือเช่นนั้นก็ดูเหมือนเป็นการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่เหล่าผู้เล่นที่ผมช่วยให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัยอีกด้วย


 


 


จากคำพูดของโกยอนจูนั้น จึงสื่อความหมายออกมาว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ขอให้มอบอุปกรณ์ที่ไร้ประโยชน์แก่พวกเขาไปเสียก่อน และมาช่วยกันปลูกฝังให้เขามีการจดจำและการเรียนรู้ดีๆ กันเถอะ


 


 


ข้อดีของการแพร่กระจายข่าวลือเช่นนั้นไปปากต่อปากนั้น ผมเองก็ทราบอยู่แก่ใจดี ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบกลับไปในทันที


 


 


“ครับ งั้นก็ทำแบบที่ว่านั้นเลยครับ เห็นว่ามีเหรียญทองกับอัญมณีด้วยใช่ไหมครับ”


 


 


“ใช่ แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้นนะคะ เหรียญทองมีไม่ถึงห้าร้อยโกลด์ ส่วนอัญมณีมีประมาณยี่สิบเม็ดเห็นจะได้ล่ะมั้งคะ”


 


 


“อัญมณีก็ปล่อยไปตามนั้น ส่วนเหรียญนั่น อย่างไรก็ช่วยแบ่งทีนะครับ ม้าเองก็ช่วยแบ่งให้เหมาะสมด้วยนะครับ”


 


 


“โฮะๆ ได้เลยค่ะ”


 


 


โกยอนจูตอบกลับมาพร้อมมอบรอยยิ้มอันแสนงดงาม โกยอนจูหมุนตัวเข้าไปหาเหล่าผู้เล่นโดยทันที ผมเห็นดังนั้นจึงเคลื่อนตัวไปยังที่ที่สมาชิกเผ่ารวมตัวกันอยู่บ้าง แน่นอนว่าเป้าหมายของผมก็คือ ชินแจรยงที่อยู่กับสมาชิกเผ่านั่นเอง ในระหว่างเดินทางมานั้น ผมเองก็ไม่ลืมที่จะพิจารณาข้อมูลของเขาอีกครั้งหนึ่ง


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)


 


 


1.ชื่อ (Name) : ชินแจรยง (ปีที่ 4)


 


 


2.คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal, Priest, Expert)


 


 


3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า


 


 


4.ชนเผ่า(Clan) : –


 


 


5.นามแท้ · สัญชาติ: ความพยายามมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ, ความตั้งใจอันแรงกล้า ไม่ยอมจำนนต่อผู้ใด · สาธารณรัฐเกาหลีใต้


 


 


6.เพศ (Sex) : ชาย (42)


 


 


7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 176.2 ซม. · 73.8 กก.


 


 


8.อุปนิสัย : ดี · กระตือรือร้น (Good · Passion)


 


 


[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]


 


 


 


 


‘ดูเหมือนเผ่าของเขาจะถูกยุบไปแล้ว…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็โอเคเลยน่ะสิ’


 


 


ถึงจะไม่ใช่ข้อมูลผู้เล่นที่เตะตาผมอย่างจัง แต่ทว่าข้อมูลในระดับนี้ถือว่ายอดเยี่ยมไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว และเหนือสิ่งอื่นใด ผมพอใจกับนิสัยของเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ผมคิดขึ้นมาได้ว่าคงจะดี หากใช้โอกาสในคราวนี้ชวนเขามาเข้าร่วมเผ่าเสียเลย เพราะเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ของพวกเรานั้นกำลังขาดแคลนนักบวชอยู่พอดี


 


 


“คุณชินแจรยง”


 


 


“อ๊ะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


 


 


ผมดันตัวสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ที่เกาะติดออกไปให้พ้นทาง แล้วเริ่มเปิดประเด็นในทันที ชินแจรยงตอบกลับมาพร้อมส่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชายวัยกลางคนมาให้


 


 


“หมู่นี้คงเหนื่อยแย่เลยสินะครับ ผมกำลังคิดว่าจะมาขอบคุณที่มาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยในครั้งนี้น่ะครับ”


 


 


“ฮ่าๆ! ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเพียงแค่ลงมือทำตามความเชื่อมั่นและความศรัทธาของผมน่ะครับ แล้วผมก็เป็นหนี้บุญคุณคุณอยู่ด้วย”


 


 


“อย่างนั้นหรือครับ แต่จะจากกันไปทั้งแบบนี้ผมรู้สึกค้างคาใจอยู่นิดๆ ครับ ไม่ทราบว่าคุณมีแผนการในอนาคตอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ…”


 


 


“อ๋อ ก็ไม่มีวางแผนเอาไว้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”


 


 


ชินแจรยงพยักหน้า พร้อมให้คำตอบกลับมา เหมือนกับว่าเขายังไม่สามารถหาตำแหน่งให้ลงล็อกให้พอดีกับตัวเอง ดังนั้นผมจึงรีบเปิดปากพูดออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม ซึ่งคำพูดเหล่านั้นแฝงไปด้วยความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยเสียด้วย


 


 


“ถ้างั้นผมอยากจะเชิญคุณมาที่แคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่น่ะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบต่างหากน่ะครับ”


 


 


“เอ่อ…”


 


 


ชินแจรยงเองก็เป็นผู้เล่นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ในฮอลล์เพลนมาตลอดระยะเวลาสี่ปี เขามีสีหน้าท่าทีเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับรู้ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของผมเมื่อครู่ แล้วเขาจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วแปลกๆ อย่างไรชอบกล


 


 


“อ้า ครับ รับทราบครับ งั้นให้ผมไปพบคุณตอนไหนดีครับ”


 


 


“ฮ่าๆ ไม่ต้องเป็นกังวลมากไปหรอกครับ ไหนๆ คุณก็เอ่ยออกมาแบบนี้แล้ว ยังไงคืนนี้ก็พักค้างแรมที่นี่สักคืนก็ได้นะครับ”


 


 


ชินแจรยงเองก็คงต้องการเวลาในการขบคิดเช่นกัน ส่วนตัวผมนั้นก็ไม่ได้มีความคิดถึงขั้นที่ว่าจะไปบังคับให้เขาเข้าร่วมกับพวกเราอย่างกะทันหันอะไรหรอก ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีสีหน้าที่ดูผ่อนคลายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะว่าสามารถข่มจิตข่มใจอันแสนว้าวุ่นได้แล้ว


 


 


“ซูฮยอน! พูดคุยกันเสร็จแล้วค่ะ”


 


 


ในตอนนั้นผมได้ยินเสียงโกยอนจูดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ผมจึงรีบหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว หล่อนจ้องมองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ อาจเป็นเพราะการเจรจาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี


 


 


“เหนื่อยแย่เลยนะครับ แล้วเขาว่าอย่างไรบ้างครับ”


 


 


“สีหน้าทุกคนดูพอใจกันหมดเลย ไม่สิ จริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นดีใจอะไรหรอก พอให้เหรียญทองไป พวกเขาแทบจะกราบไหว้เลยด้วยซ้ำมั้งคะ”


 


 


“ขั้นตอนดูท่าจะยุ่งยากนะครับ”


 


 


“ก็จริงอยู่น้า…”


 


 


กราบไหว้เลยเหรอ จริงๆ แล้วนั้น ผมเองก็รู้สึกว่าค่าตอบแทนที่ผมให้ไปในสถานการณ์ที่พวกเขาสูญเสียทุกอย่างในการถูกโจมตีนั้นไม่ต่างอะไรกับฝนที่ตกลงมาในหน้าแล้งเลยสักนิด


 


 


พอผมเบนสายตาไปมองเหล่าผู้เล่น จึงพบเข้ากับภาพที่พวกเขากำลังยืนลังเลอยู่ แต่ทว่าพอมองไปยังโจซึงอูที่กำลังโค้งตัวอยู่นั้น ผมก็พยักหน้าให้เขาไป


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปัญหาเรื่องอุปกรณ์คลี่คลายไปในที่สุด การชวนให้ชินแจรยงเข้าร่วมเผ่าก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในขณะนี้คือ การหวนคืนสู่แคลนเฮาส์นั่นเอง


 


 


เพียงแต่ผมยังมีคนอีกหนึ่งคนที่จะต้องร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไป


 


 


“ซูฮยอน”


 


 


‘พูดถึงเสือ เสือก็มาจริงๆ’


 


 


ผมยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันกลับไป จึงได้พบกับพี่ชายที่ยืนอยู่อย่างจัง พี่เดินเข้ามาหาผมพร้อมวางมือแปะไว้บนหัว หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนทิศทางมาวางลงบนไหล่แทน


 


 


“อืม ตอนนี้จะทำยังไงต่อไปล่ะ”


 


 


“ตั้งใจว่าจะกลับไปแคลนเฮาส์น่ะ ไม่ได้อยู่เสียนานเลยนี่นา”


 


 


“อืม ก็จริง คิดได้ดีแล้วล่ะ นายเป็นถึงแคลนลอร์ดเลยนี่นา ต้องมีเรื่องให้คอยจุกจิกอยู่เยอะเลยล่ะสิ”


 


 


“เออ…อ๊ะ? ก็…ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วสิ”


 


 


ผมมองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมนึกว่าพี่จะพาผมไปที่แคลนเฮาส์ของเผ่าแฮมิลเดี๋ยวนี้เพื่อป้องกันอะไรสักอย่างเสียอีก แต่ทว่าครั้งนี้กลับมีปฏิกิริยาที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผมเลย ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงรู้สึกเสียดายแปลกๆ


 


 


พี่ชายส่งยิ้มมาให้ ไม่รู้ว่าเข้าใจความรู้สึกของผมหรือไม่อย่างไร แล้วจึงเอามือออกจากไหล่ไป พี่มองด้านหลังผมแล้วจึงเปิดปากพูดว่า


 


 


“ผมน่ะอยากจะให้เขามาอยู่ข้างๆ อย่างที่ใจผมคิด แต่…ซูฮยอนเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันกับผม เพราะงั้นถึงทำอะไรไม่ได้เลยเนอะ ยังไงก็ขอฝากน้องชายของผมไว้ด้วยนะครับ”


 


 


“โฮะๆ แคลนลอร์ดน่ะได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลาอยู่แล้วล่ะค่ะ ถึงยังไงพวกเราก็จะทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ได้เต็มที่และดีที่สุดก็แล้วกันนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปค่ะ ท่านลอร์ดแฮมิล”


 


 


“ฮ่าๆ ท่านลอร์ดแฮมิลเลยเหรอครับ พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ ยังไงก็ตามผมสนุกมากที่ได้มาเจอกันในครั้งนี้ ในอนาคตเองก็คงมีเหตุให้ได้เจอะเจอบ้างประปรายนะครับ”


 


 


“ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากเช่นเดียวกันค่ะที่ได้พบคุณ ในอนาคตก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ”


 


 


‘อะ…อะไรเนี่ย’

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 22

 

บทสนทนาระหว่างพี่ชายกับจองฮายอนเต็มไปด้วยความมีมิตรไมตรีจิตอันดีต่อกันและกัน ผมมองเขาทั้งสองกันจับประสานมือกันอย่างแผ่วเบา ในช่วงที่ผมกำลังตกตะลึงอยู่นั้น พี่ชายที่เสร็จจากภารกิจร่ำลาเมื่อครู่ จึงได้เข้ามาลากตัวผมไป 


 


 


“ซูฮยอน ขอคุยอะไรสักหน่อยได้หรือเปล่า” 


 


 


“หืม? อืม” 


 


 


พี่ชายรีบย่ำเท้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องมาพูดกันสองคนแบบนี้ หลังจากนั้นเขาจึงพูดออกมาว่า 


 


 


“ครั้งนี้ฉันได้ตั้งหน่วยกู้ภัยขึ้นมาน่ะ แล้วก็ในตอนที่เดินกลับมาเมืองเนี่ย ดูเหมือนฉันมีเรื่องอะไรที่ต้องให้คิดมากมายหลายสิ่งเลยละ” 


 


 


“คิดอะไรล่ะ” 


 


 


“คิดว่าตอนนี้นายเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วเหมือนกัน” 


 


 


“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่ละ…” 


 


 


“อืม แต่พอมองในมุมฉันแล้วมันแบบ ยังไงดีล่ะ จะว่าเศร้านิดหน่อยก็ได้ จะว่าประหลาดใจนิดหน่อยก็ได้ล่ะมั้ง ภาพของนายตอนใส่ชุดนักเรียน ม.ต้น เดินอวดหมุนอยู่รอบตัวน่ะเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเลย…นายโตขึ้นมาตอนไหนฉันยังไม่รู้เลย ตอนนี้มีทั้งคนที่ชื่นชมนายแล้วก็คนที่เขาต้องการนายขึ้นมาเสียแล้วสิเนี่ย” 


 


 


‘พี่ ตอนนั้นมันตอนที่เราอยู่บนโลกมนุษย์ และที่นี่มันคือฮอลล์เพลนไม่ใช่หรือไงเล่า’ 


 


 


ผมรู้สึกสับสนมึนงงหน่อยๆ เพราะคำพูดที่ฟังดูแล้วผิดที่ผิดทาง ไม่รู้ควรจะไปโฟกัสในประเด็นไหน แต่ด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความจริงจัง ไม่มีอะไรไร้สาระเช่นนั้น จึงทำให้ผมได้แต่ข่มใจที่อยากจะยั่วโทสะพี่ชาย แล้วตั้งใจยืนฟังเขาพูดไปทั้งอย่างนั้น แต่ทว่าคำพูดต่อมาของพี่ชายนั้นได้ฟาดเข้ามาจนทำให้สติผมกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง 


 


 


“อ้า จริงสิ จะว่าไปผู้หญิงที่ชื่อจองฮายอนอะไรนั่นน่ะ เป็นผู้หญิงที่ช่วยชีวิตนายเอาไว้ใช่ไหม” 


 


 


“อือ แล้ว?” 


 


 


“มานี่ได้มีโอกาสพูดคุยบ้างอยู่ครั้งสองครั้งน่ะ ก็โอเคอยู่นะ ถ้าเป็นจองฮายอนคนนี้ล่ะก็ ฉันให้ผ่าน” 


 


 


“อะไร” 


 


 


‘ให้ผ่านอะไรของเขา?’ 


 


 


ในใจผมกำลังรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วพอผมเบิกตากว้างกลับไป พี่ชายก็ดูท่าจะรู้เท่าทันอะไรผมถึงได้ ตบบ่าผมปุๆ 


 


 


“เหมือนเป็นคนที่ความคิดความอ่านจริงจังน่ะ และเหนือสิ่งอื่นใด เธอเป็นผู้หญิงที่คิดถึงนายอย่างสุดหัวใจด้วย ยังไงก็เถอะ ตอนนี้นายก็โตพอแล้ว ฉันเองก็เข้าไปจู้จี้จุกจิกอะไรนายได้มากนักหรอก แต่คนนี้น่ะ ฉันว่าเข้าท่านะ” 


 


 


“…” 


 


 


“การพูดการจาก็ดูดีพอจะต่อกรกับอีฮโยอึลได้เลย ไงก็เถอะ ถ้าได้ประมาณนั้นก็โอเคละ” 


 


 


ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดเลยสักอย่างเดียว จึงหันไปมองจองฮายอน และตอนนั้นเองที่ผมสามารถเข้าใจคำพูดของพี่ชายได้ 


 


 


จองฮายอนยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ราวกับอารมณ์ดีต่อเรื่องอะไรบางอย่างมากๆ และข้างกายหล่อนนั้นก็มีโกยอนจูที่กำลังกัดริมฝีปากแน่น กับอันซลที่กำลังหักนิ้วเรียวยาวของหล่อน 


 


 


“…แค่นี้นะ ไปละ” 


 


 


“เอ๋? อ้า ได้สิ ว่าแต่มากินมื้อกลางวันด้วยกันสักมื้อ…” 


 


 


“ไม่ละ ขอตัวนะ” 


 


 


ผมตัดบทและปฏิเสธโดยฉับพลัน หลังจากนั้นจึงรีบถอนหายใจออกมาอย่างแรง 


 


 


เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ไม่มีความคิดเท่าทันความรู้สึกคนอื่นเลยจริงๆ อีกทั้งยังคิดแต่เรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้แบบนั้นอีก 


 


 


 


 


 


หลังจากแยกย้ายกับเหล่าผู้เล่นที่ร่วมเดินทางกลับมาด้วยกันทั้งอย่างนั้น ผมจึงรีบใช้วาร์ปเกตโดยทันที ผมนำพาพวกเร่ร่อนทั้งหมดหลบหลีกสายตาของเหล่าผู้เล่นทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้คือการพาพวกเราให้มาถึงแคลนเฮาส์ได้ภายในสามสิบนาที  


 


 


“ฟู่ว ในที่สุดก็ถึงแล้วสักที” 


 


 


“ฮึก คิดถึงมากๆ เลย” 


 


 


พอมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว ผมจึงได้ยินเสียงของโกยอนจูกับอันซลดังแว่วเข้ามา ผมเกิดความคิดอะไรหลากหลายอยู่เต็มไปหมด จึงหันไปมองพวกเร่ร่อน หลังจากที่เราได้พบกับหน่วยกู้ภัยเมื่อครู่นั้นมา พวกเร่ร่อนกลับไม่มีคำพูดอะไรใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น ถึงผมจะไม่ได้ยินคำพูดของพวกมันตรงๆ แต่ทว่าผมยังสามารถเดาได้อยู่ดีว่าความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างไร 


 


 


แพคซอยอน, อีกาอิน, อีแฮอินปรากฏอยู่ด้านในด้วยสีหน้าเหมือนตายทั้งเป็น ส่วนที่เหลืออีกสี่คนนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับจ้องมองตัวเมืองด้วยสายตาที่ไม่คุ้นเคย ผมมองพวกเร่ร่อนอย่างเฉยชา แล้วจึงขยับกรามไปมาเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงพูดออกไปว่า 


 


 


“เริ่มได้เลยครับ” 


 


 


“จงเป็นอัมพาต” 


 


 


เสียงร่ายมนตร์ของเหล่านักเวทดังขึ้น ณ เวลานั้น คาถาจงเป็นอัมพาตนี้โดยทั่วไปแล้วไม่ถึงกับเป็นพลังเวทที่อยู่ระดับสูงมากมายอะไรนัก แต่ทว่าเราสามารถเห็นข้อแตกต่างของประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่ขึ้นตามค่าพลังเวทของตัวผู้เล่นได้  


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเร่ร่อนในตอนนี้ถูกทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทไปแล้วเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ธรรมดาเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ด้วย จึงทำให้คาถาจงเป็นอัมพาตนี้ส่งผลให้ร่างกายของพวกเร่ร่อนแตกสลายไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ 


 


 


หลังจากนั้นผมจึงมองสมาชิกเผ่าที่ให้พวกมันขึ้นขี่หลังทีละคน สองคนไป ผมจึงจับตัวโกยอนจูที่คว้าร่างของแพคซอยอน และพูดกับหล่อนว่า 


 


 


“โกยอนจู ขอโทษนะครับ ผมอยากให้ช่วยแวะไปที่ร้านค้าหน่อยน่ะครับ พอดีต้องการเครื่องควบคุม” 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าพูดถึงเครื่องควบคุมล่ะก็…” 


 


 


“รบกวนช่วยซื้อมาสามเซ็ตได้ไหมครับ เอาที่คุณภาพดีหน่อย ถ้าเป็นสำหรับร้านค้าแล้วเห็นทีอัญมณียี่สิบเม็ดน่าจะพอนะครับ” 


 


 


“รับทราบค่ะ แต่ถ้าจะให้ไปคนเดียวแล้วถือมา มันก็คงหนักหน่อยนะ…” 


 


 


โกยอนจูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย ผมจึงหันไปหาอันฮยอนแล้วพูดกับเขาทันทีว่า 


 


 


“อันฮยอน ตามไปนะ” 


 


 


“ขอบคุณครับ พี่!” 


 


 


ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาขอบคุณเรื่องอะไร แต่แล้วอันฮยอนก็ได้ฝากตัวพวกเร่ร่อนให้แก่อียูจอง แล้วร้องดีใจออกมาทันที อียูจองวิ่งกระหืดกระหอบ ตั้งใจจะมาคว้าตัวพวกเร่ร่อนที่ไร้ซึ่งคนแบกหามคนนั้นทันที แต่ทว่าหล่อนกลับต้องหยุดร่างกายไว้เพียงเท่านั้น เพราะชินแจรยงอาสาเข้ามาทำหน้าที่แทน 


 


 


โกยอนจูมองอันฮยอนด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นักอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงทำปากยื่นปากยาว หมุนตัวเดินไปทันที 


 


 


หลังจากแน่ใจแล้วว่าสองคนนั้นได้เดินหายลับเข้าไปในย่านการค้าอันแสนคึกคักฝั่งตรงข้าม ผมจึงเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของแคลนเฮาส์ ผมรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่สองคนตรงด้านหลังประตูบานนี้ ผมบอกให้จองฮายอนไปแจ้งข่าวแพคฮันกยอล ดังนั้นเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะกำลังรออยู่ก็ได้  


 


 


ผมค่อยๆ เปิดประตูใหญ่ช้าๆ และในวินาทีที่เดินเข้าไปข้างในนั้น 


 


 


ฮี้! 


 


 


เกิดเสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับของแหลมๆ อะไรบางอย่างที่กำลังส่องแสงเลือนรางทะลุเข้ามาหาตัวผม ด้วยความที่ผมทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามีใครบางคนยืนอยู่หลังประตูบานนี้ ผมจึงขยับมือเอาไปจับเขาที่กำลังส่องแสงนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วทันทีที่ผมก้มมองด้านล่างนั้น ก็พบเข้ากับเจ้าของเขาที่ผมจับไว้แน่น เจ้ายูนิคอร์นน้อยนั่นเอง เจ้ายูนิคอร์นน้อยมองหน้าผมในขณะที่ตัวเองโดนจับเขาอยู่ แล้วจึงเริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาหลังจากนั้น 


 


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะ” 


 


 


ฮี้ ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้! 


 


 


ผมส่งคำทักทายอย่างอ่อนโยนไปหา แต่เจ้ายูนิคอร์นน้อยกลับตอบผมมาด้วยเสียงคล้ายกับร้องไห้ ไม่รู้ว่าเสียใจเรื่องอะไรเหมือนกัน อีกทั้งขาทั้งสี่ข้างของเจ้ายูนิคอร์นก็เริ่มเตะไปมาอยู่บนอากาศ สัญญาณที่ส่งมานั้นอาจจะมีมากมายก็เป็นได้ เพราะหลังจากนั้นผมจึงพามันลงมาด้านล่าง แต่ทว่าการที่ผมเอามันลงมาเช่นนั้น กลับทำให้มันเกิดความรู้สึกเสียใจไปเสียได้  


 


 


ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้! 


 


 


“เฮ้ เฮ้” 


 


 


ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้? ฮี้ ฮี้, ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้?! 


 


 


“อ้อ เข้าใจแล้ว รอเดี๋ยวนะ…เฮ้ เฮ้!” 


 


 


การกระทำต่อมาของเจ้ายูนิคอร์นน้อยนั้นทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจมาก ทันทีที่ผมวางมันลงบนพื้น มันก็บุกเข้ามาราวกับรอโอกาสนี้อยู่แล้ว และเริ่มทำตัวกระจองอแงเป็นเด็กๆ  


 


 


เจ้ายูนิคอร์นน้อยวิ่งหมุนไปมารอบกายผม สงสัยนึกว่าตัวเองเป็นลูกหมาเสียล่ะมั้ง ไหนจะเอาเขามากระแทกตัวผม เอาขามาตีผมเบาๆ และตอนนี้ก็กำลังทิ้งตัวเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ดูเหมือนจะเรียกได้เต็มปากเลยว่าเป็นเจ้าเด็กจอมดื้อคนหนึ่ง 


 


 


“เฮ้ ทำไมเป็นงี้ไปล่ะ” 


 


 


“…คงดีใจก็เลยเป็นแบบนั้นไงครับ” 


 


 


ผมเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากเสียงอันแสนไพเราะดังขึ้นมาตรงหน้า แล้วจึงพบเข้ากับแพคฮันกยอลที่กำลังยืนอยู่อย่างเหนียมอาย หล่อน ไม่สิ นาทีที่ผมกับเขาสบตากัน เขาจึงเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา พร้อมพูดต่อด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว 


 


 


“ตอนแคลนลอร์ดไม่อยู่ เขาไม่ยอมกินอะไรสักอย่างเลย แต่พอได้มาเห็นแคลนลอร์ดปลอดภัยกลับมาแบบนี้ เขาก็เลยวางใจ…บางทีอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ” 


 


 


แพคฮันกยอลอธิบายเสร็จ ผมจึงมองไปยังเจ้ายูนิคอร์นน้อยด้วยสายตาที่ไม่เคยมองใครแบบนี้มาก่อน เจ้าตัวดื้อนี่ยังคงกลิ้งเกลือก หายใจฮึดฮัดไปมา สงสัยคงจะเหนื่อยเข้าเสียแล้ว  


 


 


ผมจึงยื่นมือออกไปอย่างช้าๆ อุ้มเจ้ายูนิคอร์นน้อยขึ้นมา จึงทำให้เจ้าตัวดื้อนี่มีท่าทีที่สงบมากขึ้น อีกทั้งยังเอาหน้าเข้ามาถูไถอยู่ในอ้อมกอดของผมอีกด้วย ผมจึงค่อยๆ ลูบหลังเบาๆ อย่างอ่อนโยน 


 


 


ฮี้ ฮี้ 


 


 


“อ้า ทำไงดีล่ะ ดูท่าเขาจะชอบพี่จริงๆ เลยนะเนี่ย~” 


 


 


“โอ๊ย น่ารักจังเลยน้า~ เจ้ายูนิคอร์น~ ฉันยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนเลยนะ” 


 


 


“อะแฮ่ม พอได้แล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะครับ” 


 


 


สายตาอันแสนพึงพอใจจากรอบข้างต่างจดจ้องมาทางผม ทำเอารู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเลยทีเดียว ผมจึงเดินเข้าไปในแคลนเฮาส์อย่างสุขุม  


 


 


พอเดินผ่านสวนไป แล้วมองพิจารณาไปจนถึงล็อบบี้ แคลนเฮาส์ยังคงสภาพเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง หลักฐานคือการดูแลทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนอย่างเคย ทั้งๆ ที่ผมไม่อยู่แท้ๆ  


 


 


และในจังหวะที่ผมตั้งใจจะชวนทุกคนเข้าห้องประชุมด้วยใจอันแสนเบิกบานนั้นเอง ใบหน้าที่แฝงไปด้วยความจริงจังจากทุกคนดันสะดุดตาผมเข้า ทุกคนมีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน และกำลังบอกกลายๆ ว่าอยากพักผ่อนเร็วๆ เต็มทีแล้ว  


 


 


ความรู้สึกผมในตอนนี้อยากจะเข้าไปประชุมนโยบายเสียเต็มแก่แล้ว แต่ทว่ากลับได้แต่ข่มอารมณ์ ทำใจร่มๆ ไว้เพียงเท่านั้น จากสภาพของทั้งสามคนที่ออกมาจากมิวล์ด้วยกันแล้วนั้น ดูท่าว่าตอนนี้คงต้องการเวลาพักผ่อนบ้าง  


 


 


อีกทั้งสมาชิกเผ่าที่เหลืออยู่ต่างก็เผชิญกับความยากลำบากมาจนถึงขณะนี้ และยังช่วยกันผลักดันกันอย่างไม่หยุดยั้งจนสำเร็จลุล่วงมาได้ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ แม้กระทั่งตัวผมยังเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนอื่นๆ เองก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากผม 


 


 


‘งั้นแก้ไขเฉพาะปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ก็แล้วกัน ส่วนวันนี้ก็ให้พักไปหนึ่งวันคงจะดีกว่า’ 


 


 


ผมเปลี่ยนความคิด แล้วจึงมองไปยังพวกเร่ร่อนที่สมาชิกเผ่าพามา(?) 


 


 


“เห็นว่าทุกคนดูเหนื่อยๆ กัน เพราะฉะนั้นผมจะพูดเฉพาะคำสั่งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น และจะให้ทุกคนได้พักผ่อนวันนี้หนึ่งวันครับ ก่อนอื่นก็ขอให้ทุกคนช่วยพาพวกเร่ร่อนทุกคนไปไว้ที่ล็อบบี้ก่อน หากโกยอนจูกลับมาแล้วผมดำเนินอะไรเสร็จสิ้นหมดแล้ว ผมคิดว่าจะขังพวกเขาไว้ที่ห้องฝึกซ้อมชั้นใต้ดินสักระยะหนึ่งนะครับ” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม