Memorize เล่ม 15 ตอน 10-22

เล่มที่ 15 ตอนที่ 10

 

ทันทีที่เห็นผู้คนในห้อง หัวใจของผมก็เต้นแรง 


 


 


พี่จินฮาที่บอกผมว่าให้รออีกนิดและจะช่วยผมเดี๋ยวนี้ 


 


 


กาฮี คนเย็นชาที่เคยบอกว่ารักตัวเองยังจะดีเสียกว่า 


 


 


ลุงแทวอนที่บอกว่าเขาอยู่ตรงนี้ไม่ต้องกังวล 


 


 


พี่จุนซองที่บอกให้ผมรีบหนีไปไกลๆ ก่อนที่เขาจะจัดการกับมัน 


 


 


พี่ฮเยริน คนที่โบกมือให้อย่างสดใสแล้วบอกว่าเดี๋ยวค่อยเจอกัน คนที่นำทางพวกเรามาถึงที่นี่ 


 


 


และคนที่บอกให้ผมมีชีวิตรอดต่อไป พี่ชายของผม คิมยูฮยอน 


 


 


พวกเขาทุกคนเป็นคนที่ผมคุ้นเคยและเป็นคนที่คอยดูแลผม ที่ผ่านมาผมคิดถึงพวกเขาแทบบ้าและหากได้พบกัน ผมก็มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด ทว่าผมกลับพูดอะไรไม่ออกเลยราวกับถูกแช่แข็ง 


 


 


 


 


 


ผมต้องพูดอะไร ควรจะพูดอย่างไรดี 


 


 


ไม่ได้เจอกันนานเลยนะทุกคน ไม่ อันนี้ไม่ได้ 


 


 


ฉันขอโทษจริงๆ ไม่ๆ อันนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ 


 


 


พี่ ผมคิดถึงพี่ อันนี้ก็ไม่ได้ 


 


 


สวัสดีครับ ผมคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดเผ่าเมอร์เซนต์นารี่… 


 


 


“คุณบอกว่าสามารถรักษาคำสาปของแบนชีได้งั้นเหรอครับ” 


 


 


“…ครับ” 


 


 


ความคิดมากมายในหัวกลายเป็นคำตอบเดียวว่า ‘ครับ’ คำพูดต่างๆ นานาที่คิดมาตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องอาหาร ไม่สิ ตั้งแต่ตอนที่ฝันว่าจะได้พบพี่ชายอีกครั้ง หายไปหมดแล้วในตอนนี้ 


 


 


“ผมได้ยินว่าคุณไม่มีอีลิกเซอร์มาด้วย ไม่ทราบว่าคุณจะรักษาด้วยวิธีไหน แล้วคุณสามารถรักษาได้ทันทีหรือเปล่า” 


 


 


เสียงของพี่ชายเย็นชาและแห้งผาก ที่ผ่านมาเขาคงหนักใจมาก ดวงตาของเขาดูอิดโรยและใบหน้าซูบผอม แต่แววตาที่เยือกเย็นนั้นยังคงเหมือนเดิม 


 


 


“ฟังผมอยู่หรือเปล่าครับ” 


 


 


“ซูฮยอน! ทำไมจู่ๆ เป็นแบบนี้ล่ะคะ” 


 


 


โกยอนจูกระซิบพร้อมกับสะกิดแผ่นหลังของผม ผมตั้งสติและถอนหายใจเฮือกใหญ่ 


 


 


ตอนที่พบกับฮันโซยองครั้งแรก ผมก็เป็นแบบนี้ จิตใจไม่มั่นคงและไม่สามารถสบตาได้ มังคงจะดูไม่ดีนัก 


 


 


ตอนนี้ก็เหมือนกัน ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจล้นทะลักออกมาไม่หยุด แม้จะสวมเสื้อคลุมตัวหนาแต่ผมก็รู้สึกว่าริมฝีปากและมือกำลังสั่นเบาๆ 


 


 


เมื่อผมถอนหายใจแล้วหยุดพักครู่หนึ่ง ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มก้าวเข้าไปในห้อง 


 


 


จู่ๆ ผมก็คิดได้ว่าในการพบกันใหม่คราวนี้อาจจะมีความหมายพิเศษบางอย่างก็ได้ มันอาจไม่ใช่การพบกันแสนงดงามอย่างที่เคยวาดฝันไว้ มันก็จริงที่ผมคิดถึงพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ต้องการสถานการณ์ชวนฝัน กอดคอกันร่องห่มร้องไห้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วที่จะคาดหวังสถานการณ์แบบนั้นและไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วย 


 


 


ดังนั้นสนใจแค่จุดประสงค์ที่ผมกลับมาในรอบที่สองก็พอ ใช่ แค่นั้นก็พอ 


 


 


ผมหยุดเดิน ห่างจากพี่ชายไปไม่กี่ก้าว หลังจากลูบคอเล็กน้อย ผมก็เอ่ยเสียงเบา 


 


 


“วิธีที่ผมจะใช้รักษาเรียกได้ว่าเป็นการลบล้างคำสาป เพียงแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นการรักษาที่สมบูรณ์แบบ ผมสามารถรักษาได้แค่คำสาปของแบนชีที่อยู่กับผู้เล่นเท่านั้น คุณมั่นใจได้ว่าผมสามารถรักษาได้ครับ แต่ต้องเฝ้าดูอาการที่ตามมาจากผลของคำสาปอีกสักระยะ” 


 


 


“ขอแค่ปลดปล่อยคำสาปของแบนชี ก็จะสามารถช่วยชีวิตเธอได้แล้วค่ะ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้ คุณสามารถรักษาได้ทันทีเลยไหมคะ หรือว่าต้องใช้เวลาสักครู่” 


 


 


คนที่ตอบคือพี่จินฮา ผมยิ้มบางๆ แต่นึกได้ว่ายังสวมเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าอยู่จึงรีบพูดขึ้นแทน 


 


 


“ผมสามารถทำได้ทันทีครับ” 


 


 


“จริงเหรอคะ ถ้างั้นรีบ…!” 


 


 


“เดี๋ยวก่อนครับ ผมมีเงื่อนไขหนึ่งข้อก่อนเริ่มการรักษา” 


 


 


“ตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนะคะ! เธออาจจะตายตอนไหนก็ได้ ถ้าเป็นเรื่องค่าตอบแทน เรามีให้…” 


 


 


ผมยกมือขึ้นอย่างใจเย็นเพื่อหยุดคำพูดของพี่จินฮา จากนั้นก็หันไปทางพี่ชายอีกครั้ง 


 


 


“ผมจะทำการรักษาทันที ดังนั้นนอกจากแคลนลอร์ดแฮมิลแล้ว ขอให้ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ออกไปสักครู่ครับ” 


 


 


“พวกเราอยู่ดูการรักษาไม่ได้งั้นเหรอ” 


 


 


“หลังจากการรักษาสิ้นสุดลง ผมมีเรื่องจะคุยกับลอร์ดแฮมิลสักหน่อยครับ” 


 


 


“เดี๋ยวก่อน” 


 


 


สีหน้าของทุกคนดูแปลกใจเมื่อพี่จุนซองพูดขัดผมขึ้นมา 


 


 


“ได้ยินว่าคุณมาจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ เมืองโมนิก้าทางภาคใต้ ถ้าไม่รังเกียจ คุณช่วยบอกชื่อและเปิดเผยใบหน้าได้ไหมครับ” 


 


 


“แน่นอนครับ” 


 


 


‘คงจะดูน่าสงสัยสินะ’ 


 


 


แม่ว่าภายนอกจะดูแข็งกระด้างและมีท่าทีเย็นชา แต่ความจริงแล้วคนที่เอาใจใส่คนรอบข้างมากๆ ก็คือพี่จุนซองนี่แหละ 


 


 


“ผมคือคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดแห่งเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครับ” 


 


 


“คะ แคลนลอร์ดมาเอง…เหรอ” 


 


 


“แคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ คิมซูฮยอนครับ” 


 


 


“คิม…ซูฮยอน” 


 


 


พี่จุนซองเอียงคอไปมาพลางจ้องมองพี่ยูฮยอน 


 


 


ผมยกมือขึ้นเพื่อถอดฮู้ดออก สีหน้าที่เคยเยือกเย็นของพี่ยูฮยอนก็เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก 


 


 


เขาไม่ใช่คนที่จะหวั่นใจเพียงเพราะเรามีชื่อที่คล้ายคลึงกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่เห็นนั้นมันหมายความว่าเขาจำเสียงของผมได้ ทีแรกเขาคงไม่คิดอะไร แต่เมื่อได้ยินชื่อ ‘คิมซูฮยอน’ ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างขึ้นมา 


 


 


พี่ชายดูสับสน เขาส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับพึมพำคนเดียวว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ แต่สายตาก็ยังจับจ้องมาที่ผม 


 


 


ตอนนี้ถึงเวลาเผยตัวแล้วสินะ 


 


 


“พี่ครับ” 


 


 


“…เอ๊ะ” 


 


 


“พี่จริงๆ ด้วยสินะ” 


 


 


“อ๊ะ นาย…เอ่อ…” 


 


 


สีหน้าที่เคยนิ่งสงบกลายเป็นตกใจในพริบตา สายตาจากรอบด้านจับจ้องมาที่เรา แต่ผมไม่สนใจ เพราะผมกำลังมองพี่ชายเช่นเดียวกับที่เขามองผมกลับมา 


 


 


ถึงแม้จะเรียกเขาว่าพี่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผมจึงค่อยๆ ดึงฮู้ดที่สวมไว้ลง 


 


 


อากาศที่ปลอดโปร่งทำให้ใบหน้าที่ถูกปิดบังไว้จนน่าอึดอัดกลับมาสดชื่นขึ้นอีกครั้ง และตอนนั้นเองดวงตาและปากของพี่ชายก็เบิกกว้าง 


 


 


“มะ ไม่จริงน่า…” 


 


 


“ผมเอง น้องชายของพี่ คิมซูฮยอน” 


 


 


“ซูฮยอนเหรอ ซูฮยอน…” 


 


 


พี่ชายทำปากพะงาบๆ อยู่พักหนึ่งและเดินโซเซเข้ามาหาผมราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขายื่นมือทั้งสองมาแตะที่ไหล่ของผม มือที่อยู่บนไหล่เลื่อนมาสัมผัสแก้ม ปาก จมูก ดวงตา หน้าผากจนถึงศีรษะ จากนั้นสีหน้าลังเลของพี่ก็เปลี่ยนเป็นมั่นใจ 


 


 


ผมรับสัมผัสที่ไม่ได้รู้สึกมานานของพี่พลางพูดนิ่งๆ 


 


 


“พี่” 


 


 


“นาย นาย…” 


 


 


“ตอนได้ยินว่าแคลนลอร์ดแห่งเผ่าแฮมิลชื่อคิมยูฮยอน ผมก็คิดไว้แล้ว พอมีโอกาสก็เลยมาหา…แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นพี่จริงๆ” 


 


 


เป็นท่าทีตอบสนองที่แตกต่างไปจากปกติแต่ผมก็พอจะเข้าใจได้ ไม่สิ ผมที่พูดด้วยความใจเย็นแบบนี้อาจจะดูแปลกกว่าก็ได้ เพราะเป็นการพบกัน ‘ครั้งแรก’ ของผมกับพี่ชายในโลกที่เรียกว่าฮอลล์เพลน 


 


 


มือของเขาเลื่อนลงมาวางบนไหล่ของผมอีกครั้ง สีหน้าของพี่แปลกมาก ผมไม่รู้สึกว่าเขา ‘ยินดี’ เลยสักนิด 


 


 


หลังจากยืนยันว่าผมคือน้องชาย ดวงตาของพี่ก็เต็มไปด้วยความเศร้า ความละอายใจ ความเจ็บปวด ความอึดอัดใจ ความกังกวลและความเสียใจ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับ ‘เป็นห่วง’ 


 


 


“ซูฮยอน” 


 


 


“…” 


 


 


“นาย ทำไมนาย…” 


 


 


“…” 


 


 


ลำคอของเขาขยับเล็กน้อยราวกับคำพูดติดอยู่ในลำคอไม่ยอมออกมา เขาบีบไหล่ของผมแน่น ใบหน้ายับย่นและตะโกนเสียงดังลั่น 


 


 


“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่!” 


 


 


เสียงของพี่ที่ดังลั่นห้องแฝงไปด้วยความขมขื่นคล้ายจะกรีดร้อง 


 


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status) 


 


 


1.     ชื่อ (Name) : อีฮโยอึล (ปีที่ 8) 


 


 


2.    คลาส (Class): 


 


 


① ผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ (Guardian of the Northern Continent) : มีพลัง 


 


 


② นักเวททั่วไป (Normal, Mage, Master) : ไม่มีพลัง 


 


 


3.     ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า 


 


 


4.     ชนเผ่า(Clan) : แฮมิล (ระดับเผ่า: อยู่ในระหว่างประเมินผลงาน) 


 


 


5.     นามแท้ · สัญชาติ : ผู้น้อมนำแสงสว่าง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้ 


 


 


6.     เพศ (Sex) : หญิง (27) 


 


 


7.     ส่วนสูง · น้ำหนัก : 168.7 ซม. · 49.3 กก. 


 


 


8.     อุปนิสัย : ยุติธรรม · ทางสายกลาง (True · Neutral) 


 


 


[พละกำลัง 25(-22)] [ความทนทาน 40(-23)] [ความคล่องแคล่ว 48(-21)][ความแข็งแกร่ง 20(-21)(+2)] [พลังเวท 82(-17)(+3)] [โชค 89(-10)] 


 


 


คะแนนความสามารถเหลืออยู่ 0 พอยต์ 


 


 


ลบล้างคำลาปของแบนชี คืนค่าความสามารถที่ลดลงได้เกือบครึ่งหนึ่ง แต่ผลที่ตามมายังคงอยู่ สูญเสียค่าความสามารถส่วนหนึ่งของพละกำลัง (-3) และความแข็งแกร่ง (-5) อย่างถาวรเนื่องจากถูกสาปเป็นเวลานาน แต่หากในอนาคตสามารถจัดการได้ดีก็สามารถฟื้นฟูค่าความสามารถที่ลดลงจากสถานการณ์นี้ได้  


 


 


 


 


 


การรักษาไม่ได้ยากเย็นมากนัก เพราะมีความแตกต่างของ ‘ระดับ’ ตามที่เซราฟบอกเอาไว้ คำสาปของแบนชีจึงไม่สามารถต้านทานและถูกเผาไหม้โดยฮวาจองได้  


 


 


สภาพร่างกายของผมไม่เป็นอะไร ถึงจะรู้สึกตึงๆ ที่แขนขวาเล็กน้อย แต่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระเหมือนแต่ก่อนแล้ว 


 


 


‘ค่าความสามารถที่ลดลงก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้อีลิกเซอร์แฮะ ว่าแต่ว่าเป็นผู้พิทักษ์ทวีปเหนืองั้นเหรอ ผู้น้อมนำแสงสว่างเหรอ’ 


 


 


“ไม่อยากจะเชื่อเลย คุณรักษาเธอได้ยังไงคะ พลังของคำสาปที่เคยโอบล้อมเธออยู่หายไปหมดแล้ว! การไหลเวียนของพลังเวทกับสภาพร่างกายก็เป็นปกติขึ้นด้วย!” 


 


 


“จริงเหรอ ฮึก!” 


 


 


“เฮ้อ โล่งอกไปที” 


 


 


“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณมากๆ ค่ะ!” 


 


 


ระหว่างที่กำลังคิดทบทวนเกี่ยวกับข้อมูลผู้เล่นที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน กาฮีที่พิจารณาสภาพของอีฮโยอึลอยู่ก็พูดขึ้น น้ำเสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความดีใจและความยินดี ในตอนที่ผมตั้งใจจะตอบกลับไป ผมก็รู้สึกว่ามีใครบางคนแตะข้อศอกของผม 


 


 


“ซูฮยอน ซูฮยอน” 


 


 


“พี่เองเหรอ อ้า รักษาเสร็จแล้วละ ช่วยชีวิตไว้ได้ก็จริง แต่ก็ยังมีผลที่ตามมาอยู่นะ โดยเฉพาะการฟื้นฟูในอนาคต…” 


 


 


“ซูฮยอน คุยกับพี่หน่อยได้ไหม” 


 


 


“อ๋อ อืม” 


 


 


ความกังวลเกี่ยวกับอีฮโยอึลเมื่อครู่เปลี่ยนเป้าหมายเป็นผมแทน เมื่อผมพยักหน้ารับคำขอพลางมองไปรอบๆ ทุกคนก็มองมาด้วยแววตาไม่คุ้นชิน พี่ชายมีท่าทีกระสับกระส่ายตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะเคยเห็นแต่ท่าทีเยือกเย็นและสง่างาม แต่เมื่อได้เห็นท่าทางแบบนี้ พวกเขาจึงส่งสายตาแบบนั้นมาให้ 


 


 


“อีจุนซอง ขอโทษที่ต้องให้นายไปนู่นไปนี่อยู่เรื่อย แต่ช่วยพาสมาชิกเผ่าออกไปก่อน…ซูฮยอน คนที่อยู่ด้านหลังนั่นคือพรรคพวกของนายใช่ไหม” 


 


 


“อืม” 


 


 


หลังจากพบกับพี่แล้ว โกยอนจู คิมฮันบยอลและอันซลไม่ได้ยิ้มออกมาเลย ทุกคนดูตกใจที่รู้ว่าแคลนลอร์ดแฮมิลก็คือพี่ชายของผม 


 


 


“ถ้างั้นพวกเราออกไปคุยกันเถอะ กาฮีกับฮเยรินอยู่ที่นี่ดูแลฮโยอึล ส่วนจุนซอง ลุงแทวอน แล้วก็จินฮาพาพรรคพวกของน้องชายไปที่ห้องรับรองที” 


 


 


“ทราบแล้วค่ะ” 


 


 


เมื่อพี่จินฮาตอบรับ พี่ชายก็ลากผมออกไปข้างนอกทันที ก่อนที่จะถูกพี่คว้าและลากออกไป ผมเกือบไม่ทันส่งสัญญาณให้ทั้งสามคนรอสักครู่ ทั้งสามคนยังไม่ได้ถอดเสื้อคลุมหรือแม้แต่ฮู้ดออกเลยด้วยซ้ำ  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 11

 

สถานที่ที่พี่ชายพาผมมาก็คือระเบียงซึ่งมองเห็นสวนที่ผมคุ้นเคยดี ด้านนอกฝนยังตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด 


 


 


“คิดอะไรอยู่เหรอ” 


 


 


“อ๋อ เปล่าหรอก” 


 


 


พี่จับจ้องผมด้วยสายตานิ่งงัน ตัวตนที่พร้อมจะเผชิญหน้าหายไปแล้ว ผมจึงหลบสายตา 


 


 


ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเล็กน้อย 


 


 


“จริงสิ เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ” 


 


 


“ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่” 


 


 


“ใช่ ใช่แล้ว ซูฮยอน ทำไมนาย…” 


 


 


“เดี๋ยวก่อน แล้วทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่” 


 


 


เมื่อผมถามกลับ เขาก็ปิดปากเงียบ คงตระหนักได้แล้วว่าคำถามที่ตัวเองถามเมื่อครู่นี้เป็นคำถามที่ไร้ประโยชน์แค่ไหน  


 


 


ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้จำนวนที่แน่นอนในตอนนี้ แต่ถ้าผมคิดถูก ประชากรผู้เล่นทั้งหมดในทวีปเหนือน่าจะมีประมาณสี่หมื่นถึงหกหมื่นคน แทบไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับคนรู้จักหรือคนที่เกี่ยวพันทางสายเลือดเลย อันที่จริงผมเคยได้ยินว่ามีสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปหรือดาราที่มีชื่อเสียงมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน 


 


 


แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงเรื่องราวในรอบแรก แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ โลกเงียบสงบไร้ซึ่งความวุ่นวาย นั่นหมายความว่า… 


 


 


‘ก่อนที่ผมจะเข้าสู่ฮอลล์เพลน พี่ชายต้องอยู่ในยุคปัจจุบัน’ 


 


 


คิดดูแล้วมันไม่น่าเป็นไปได้ ตอนนี้พี่เป็นผู้เล่นปีที่สอง ดังนั้นการที่เขาถูกหลงลืมหรือหายไปจากหัวของผมจึงเป็นเรื่องปกติ แต่พี่ชายเป็นคนในครอบครัว ตอนที่ผมอยู่ในกองทัพ เขาส่งจดหมายมาบ่อยๆ และมาเยี่ยมผมหลายครั้ง ใช่แล้ว เขาคือพี่ชายของผมอย่างไม่ต้องสงสัยเลย  


 


 


“แต่ฉันอยากฟัง” 


 


 


ผมคิดนานเกินไปงั้นเหรอ เมื่อได้สติก็เห็นดวงตาของพี่ชายกำลังจับจ้องมาที่ผม อย่างไรเสียก็ไม่สามารถนิยามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติในตอนนี้ได้ ถ้าได้คุยกับพี่ก็คงจะได้รู้เรื่องราว 


 


 


หลังจากจัดการกับระบบความคิดแล้ว ผมก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉยที่สุด 


 


 


“ก็ไม่มีอะไรมาก ผมปลดประจำการ ขึ้นรถไฟกลับบ้าน แต่ก็เผลอหลับไป พอตื่นมาก็อยู่ที่ห้องอัญเชิญแล้ว ก็นะ ผมเองก็อยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่” 


 


 


“อะไรนะ นายปลดประจำการและกลับบ้าน แต่ถูกเรียกมาเหรอ พวกทูตสวรรค์…” 


 


 


“ช่างเถอะ ที่นี่มีผู้เล่นคนไหนที่ไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมบ้างล่ะ จะมาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” 


 


 


เมื่อผมส่ายหน้าพร้อมกับฉีกยิ้ม พี่ชายก็ค่อยๆ คลายมือที่กำไว้แน่นออก จากนั้นผมก็รู้สึกถึงสายตาของพี่ที่มองผมด้วยความสนใจ 


 


 


เกิดความเงียบครู่หนึ่งและฝนก็ยังคงตกลงมา ผมมองออกไปด้านนอกเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของพี่ 


 


 


เมื่อความเงียบดำเนินต่อไปจนน่าอึดอัดใจ เสียงอันอ่อนโยนก็ทำลายความเงียบนั้นลง 


 


 


“ซูฮยอน นายเปลี่ยนไปมากนะ” 


 


 


“…งั้นเหรอ” 


 


 


“ฮ่าๆ พูดแบบนี้อาจจะแปลกๆ แต่นายดูไม่เหมือนน้องชายของฉันเลย โตแล้วสินะซูฮยอนของเรา” 


 


 


“…” 


 


 


พี่พยักหน้าพลางขยับเข้ามาใกล้และลูบศีรษะของผมพร้อมกับยิ้มบางๆ 


 


 


แต่คำพูดของเขาเมื่อครู่ทิ่มแทงใจของผมแปลกๆ 


 


 


ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเพราะผมรู้ดี คิมซูฮยอนที่พี่จำได้คือ คิมซูฮยอนในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่คิมซูฮยอนที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในฮอลล์เพลนมาสิบปี เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้เหมือนกัน  


 


 


“ซูฮยอน?” 


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงก็เห็นว่าพี่ชายกำลังมองผมอย่างเป็นกังวล ดูท่าเขาคงอ่านสีหน้าของผมได้แล้วร้อนใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ผมปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วและส่ายหน้า 


 


 


“ถ้านายมาถึงนี่วันที่ปลดประจำการ…ถ้างั้นเข้ามาฮอลล์เพลนตั้งแต่เมื่อไหร่” 


 


 


“ยังไม่ครบหนึ่งปีเลย ถ้าตามข้อมูลพูดเล่นก็ว่าเป็นปีที่ศูนย์ แล้วพี่ล่ะ” 


 


 


“สองปีกว่าแล้ว นายปีที่ศูนย์ ถ้างั้นก็มาช้ากว่าฉันสองปีสินะ ตอนนั้นฉัน…” 


 


 


“อยู่ที่นั่น ผมมั่นใจ ตอนนั้นผมยังอยู่ในกองทัพนี่นา พี่ส่งจดหมายมาแล้วก็มาเยี่ยมพร้อมกับพ่อแม่ด้วย ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนวันปลดประจำการก็โทรหาผมด้วยว่ามีเรื่องด่วนจึงมารับผมไม่ได้แล้ว” 


 


 


“งั้นเหรอ พ่อแม่สบายดีไหม” 


 


 


ผมพยักหน้าเล็กน้อยและเหลือบมองสีหน้าของพี่ชาย เขามีสีหน้าขมขื่น แต่ดูท่าจะไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาอยู่ที่นี่มาสองปีแล้วก็คงจะเคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้มาบ้าง 


 


 


“เฮ้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้” 


 


 


“ช่วยไม่ได้นี่นา ถึงจะถามพวกทูตสวรรค์ไปก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิมเสมอ บอกไม่ได้บางล่ะ ไม่ต้องกังวลบ้างล่ะ” 


 


 


เปาะแปะ! เปาะแปะ! 


 


 


ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำตกที่เชี่ยวกราดอยู่ตรงหน้า พี่ยังคงวางมือไว้บนศีรษะของผม รู้สึกได้ถึงมือที่ขยับอย่างระมัดระวังและทะนุถนอมราวกับผมเป็นไข่ในหิน 


 


 


“ที่จริงฉันเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย” 


 


 


“…ผมก็เหมือนกัน” 


 


 


ผมพยักหน้าเล็กน้อยและเหลือบมองใบหน้าของพี่ชาย 


 


 


“ฉันคิดถึงนายมากหลังจากถูกพามาที่นี่ ฉันเอาแต่คิดว่า นายจะปลดประจำการหรือยัง กินข้าวแล้วหรือยัง ไปโรงเรียนหรือเปล่า มีเพื่อนดีๆ ไหม” 


 


 


“ให้ตายสิ พี่เห็นผมเป็นเด็กเล็กๆ หรือไง”  


 


 


ผมปัดมือที่วางอยู่บนศีรษะออกด้วยความเขิน แม้ว่าจะพูดอย่างสดใสแต่ความกังวลก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้าของพี่ชาย  


 


 


“บางทีตอนที่ลำบากฉันก็อยากจะเจอนาย แต่พอเจอกันจริงๆ แบบนี้ฉันกลับรู้สึกผิด เพราะคิดแล้วฉัน…” 


 


 


“ไร้สาระน่า มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน หยุดทำท่าหดหู่ได้แล้ว”  


 


 


ผมและพี่ชายยิ้มออกมาพร้อมกัน เขาวางมือลงบนศีรษะของผมอีกครั้ง อ้า ต้องบอกว่าลูบหัวสินะ 


 


 


“เฮ้อ…ยังไงก็ขอโทษจริงๆ นะ แล้วก็ขอบคุณ” 


 


 


“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แล้วขอบคุณกันเรื่องอะไรล่ะ” 


 


 


“ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ เรื่องที่นายมาช่วยฉัน เรื่องที่เราได้พบกันแบบนี้ แล้วก็เรื่องที่นายยังมีชีวิตอยู่” 


 


 


“โอ๊ย ทำไมเป็นแบบนี้ตลอดเลยเนี่ย อย่าทำน่า มันแปลกๆ” 


 


 


ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดทำนองนี้ ผมก็จะรู้สึกมือไม้หงิกงอและเขินมาก เมื่อผมพยายามสะบัดหัวเพื่อให้พี่ชายเอามือที่วางแปะไว้บนหัวของผมตั้งแต่เมื่อกี้ออกไป เขาก็พูดต่อ 


 


 


“กว่าจะมาถึงตอนนี้ลำบากมากไหม” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ผมหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว  


 


 


คำพูดของพี่ชายเมื่อครู่นี้คงจะหมายถึงการมีชีวิตรอดในโลกที่ชื่อฮอลล์เพลนและพิธีเปลี่ยนสภาวะ ก็ไม่ผิดไปจากที่พูดนัก แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากกับสิ่งที่พี่ชายพูดมันแตกต่างกันมาก และผมพูดเรื่องนั้นออกไปไม่ได้… 


 


 


‘ไม่สิ หรือจะพูดไปเลยดีไหมนะ’ 


 


 


จู่ๆ ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ความจริงเรื่องที่ผมเริ่มต้นรอบที่สองใหม่อีกครั้ง เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ แต่กับพี่ชายแล้วมันต่างกัน เขาจะรับฟังคำพูดของผมอย่างจริงจังและไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ร่วมทุกข์ไปด้วยกันและเห็นอกเห็นใจ และอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแผนการที่วางไว้ มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ 


 


 


“ซูฮยอน นายเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าใช้ชีวิตในฮอลล์เพลนยังไง นายน่ะใจอ่อนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แมลงแค่ตัวเดียวยังไม่ฆ่าเลยด้วยซ้ำ ฮ่าๆ จู่ๆ ฉันก็อยากรู้ขึ้นมาน่ะ” 


 


 


ผมเงยหน้าและสบตากับพี่ชาย ดวงตาของเขาทอประกายแสงอันอบอุ่น ถึงตอนที่พูดคุยกับคนอื่นจะมีสายตาที่เย็นชา แต่ตอนที่เขามองมาทางผมมักจะอบอุ่นอยู่เสมอ 


 


 


ผมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สบตากับเขาและเปิดปากพูด 


 


 


“พี่ตั้งใจฟังนะ ผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง” 


 


 


“อืม ฉันจะตั้งใจฟัง” 


 


 


“ที่จริงแล้ว…” 


 


 


“ทั้งสองคนอยู่ที่นี่เองสินะ”  


 


 


ตอนนั้นเอง เสียงเปิดประตูระเบียงก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงร่าเริง ผมหยุดพูดทันทีและหันไป พี่จินฮายิ้มพลางชะโงกหน้าผ่านช่องว่างของประตู 


 


 


“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะ แต่ว่าแคลนลอร์ดยังไม่ทานอาหารเลยนะ ช่วงนี้ทั้งแคลนลอร์ดและพวกเราเป็นห่วงพี่สาวจนกินอะไรไม่ลงสักเท่าไร ตอนนี้ทุกคนยกเว้นกาฮีรวมตัวกันแล้วนะคะ” 


 


 


“กินข้าวเหรอ แพคจินฮา ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับน้องชาย” 


 


 


ท่าทีอบอุ่นเมื่อครู่ของพี่ชายหายไปแล้ว เขาเปลี่ยนท่าทีในพริบตา 


 


 


“คุณน้องชายก็มาด้วยกันได้นี่คะ ตอนนี้คนที่มากับคุณน้องชายก็อยู่ที่โต๊ะด้วย ทานข้าวไปคุยกันไปก็ได้นี่นา” 


 


 


“ซูฮยอนด้วยเหรอ ก็จริงนะ ฉันไม่ได้คิดเลย” 


 


 


‘ว่าไงนะ’ 


 


 


ทันทีที่พี่จินฮาชวนให้ผมไปทานข้าวด้วย ท่าทีเย็นชาของพี่ก็เปลี่ยนไปแบบร้อยแปดสิบองศา ไม่สิ สิ่งสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนั้น ผมสับสนนิดหน่อยที่ถูกเรียกว่าคุณน้องชาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามุมปากของพี่จินฮายกขึ้นอย่างสวยงาม 


 


 


“ซูฮยอน โทษทีนะ พี่มีเรื่องอยากจะถามเยอะแยะจนไม่ทันนึกถึงนายเลย หิวแล้วใช่ไหม เรากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุยเถอะ” 


 


 


“มะ ไม่เป็นไร ผมกินมาจากแคลนเฮาส์…” 


 


 


“แพคจินฮา บอกให้พ่อครัวย่างเนื้อมาหน่อย ซูฮยอนชอบกินเนื้อ อ้อ แล้วก็ทำก๋วยเตี๋ยวมาด้วยนะ” 


 


 


“ค่ะ ค่ะ~ ถ้างั้นค่อยพาคุณน้องชายมานะคะ~” 


 


 


พี่คว้าแขนของผมและเริ่มลากตัวผมไปด้วยอีกครั้ง พี่จินฮาวาดรอยยิ้มบนริมฝีปาก จากนั้นก็วิ่งไปตามทางเดิน พี่จินฮาเองก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นหญิงที่ตกหลุมรักพี่ตั้งแต่ในรอบแรกแล้ว 


 


 


 


 


 


ผู้เล่นมากกว่าสิบคนรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอย่างที่จินฮาพูด ผมเห็นโกยอนจู คิมฮันบยอล อันซลและคนที่อยู่ในห้องเมื่อครู่ ดูจากสีหน้าที่เป็นปกติของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะยอมรับความจริงที่ว่าผมคือน้องชายของแคลนลอร์ดแฮมิลได้แล้ว 


 


 


ไม่นานนักอาหารก็พร้อมเสิร์ฟและมื้ออาหารก็เริ่มต้นขึ้น สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทั้งสามคนก็ถอดเสื้อคลุมออก 


 


 


ไม่รู้ว่าโกยอนจูเปิดเผยตัวเองหรือพวกเขารู้อยู่แล้ว แต่สมาชิกเผ่าแฮมิลไม่มีทีท่าตกใจ แม้ว่าราชินีแห่งเงามืดจะนั่งอยู่ตรงหน้าก็ตาม พวกเขาแค่พูดว่า “ว้าว ราชินีแห่งเงามืดนี่นา” เท่านั้นเอง เดิมทีคนที่อยู่ที่นี่ก็เป็นบุคคลที่ภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเอง และตำแหน่งของเผ่าแฮมิลในตอนนี้ก็ถือว่าสูงกว่าเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ 


 


 


“เมื่อกี้ไม่มีเวลาจึงยังไม่มีโอกาสได้ทักทาย ขอบคุณที่ช่วยพี่ฮโยอึลไว้นะคะ คุณน้องชาย” 


 


 


“ได้ยินมาว่าคุณไม่ได้อยู่ในคลาสนักบวชนี่คะ คุณล้างคำสาปได้ยังไงเหรอคะ คุณน้องชาย” 


 


 


ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างถูกคอก็ได้ยินเสียงพี่จินฮาและพี่ฮเยรินพูดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงอ่อนหวานแล้วดูเหมือนว่าการช่วยชีวิตอีฮโยอึลจะช่วยคลายความกังวลไปได้มากทีเดียว 


 


 


แต่ผมก็แค่คิดไปเองคนเดียว เมื่อพี่ชายหันมาบังคับให้ผมกินนู่นกินนี่ สองสาวก็ต่อสู้กันทางสายตา 


 


 


“มันทำให้ซูฮยอนลำบากใจน่า อย่าถามอะไรแปลกๆ สิ” 


 


 


‘อืม พี่เองก็ความรู้สึกช้าเหมือนกันสินะ’ 


 


 


ผมถอนหายใจพลางมองพี่ชายที่ช่วยออกหน้าแทน ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงถอนหายใจที่น่าจะเป็นของโกยอนจูดังมาจากที่ไหนสักที่ แต่ผมจะคิดว่าแค่หูแว่วไปเองก็แล้วกัน 


 


 


“จะว่าไปนะซูฮยอน ฉันยังไม่ได้ฟังเรื่องราวที่เกี่ยวกับนายเลย” 


 


 


“หือ” 


 


 


“ที่เราพูดถึงกันเมื่อกี้ไง ว่านายผ่านพิธีเปลี่ยนสภาวะมาได้ยังไง อ๊ะ นายผ่านสถาบันผู้เล่นมาแล้วด้วยใช่ไหม แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นล่ะ นายพบกับพรรคพวกได้ยังไง อะไรแบบนี้ พี่มีเรื่องอยากถามนายเยอะแยะไปหมด” 


 


 


“เอ่อ อืม…ก็แค่…” 


 


 


 


 


 


ผมเล่าไปเพียงคร่าวๆ เมื่อกลายเป็นแบบนี้ผมก็ไม่สามารถเปิดเผยความจริงทั้งหมดที่นี่ได้ แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยประกายความตั้งใจที่อยากจะฟังให้ได้ของพี่ชาย มันก็เหมือนว่าอย่างไรเสียผมก็ต้องเล่าอยู่ดี ดังนั้นผมจึงหันไปส่งสายตาให้สมาชิกเผ่าซึ่งนั่งเรียงกันอยู่ทางซ้ายมือ มันคือการเปลี่ยนเรื่อง(?)แบบที่ผมมักจะทำเป็นประจำ 


 


 


“โกยอนจู คุณคงรู้อยู่แล้วว่าลอร์ดแฮมิลคือพี่ชายของผม จริงๆ แล้วผมจะพูดเองก็ได้ แต่ว่าคุณอยากแนะนำตัวเองไหมครับ” 


 


 


“แน่นอนค่ะ ฉันอยากทำแบบนั้น” 


 


 


ถึงจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อหล่อนตอบว่าอยากทำแบบนั้น แต่ผมก็พยักหน้ารับ โกยอนจูวางช้อนลงอย่างสุภาพและยิ้มบางๆ มันไม่ใช่รอยยิ้มยั่วยวนเหมือนทุกที แต่เป็นรอยยิ้มละไมเหมือนกุลสตรี 


 


 


“สวัสดีค่ะ ฉันคือผู้เล่นที่ตอนนี้สังกัดอยู่ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ โกยอนจูค่ะ ออกจะน่าอายนิดหน่อย แต่ก็ถูกเรียกว่าหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งด้วยค่ะ” 


 


 


“อืม อย่างงั้นเหรอครับ ถ้าพูดถึงสิบผู้แข็งแกร่ง…คุณคือราชินีแห่งเงามืดสินะ” 


 


 


“ถูกต้องแล้วค่ะคุณพี่ชาย” 


 


 


“อุ๊บ” 


 


 


แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง 


 


 


เมื่อโกยอนจูพูดจบ ผมก็สำลักน้ำที่กำลังดื่มอย่างแรง ไม่ใช่แค่ผมที่ทำตัวไม่ถูก ในขณะเดียวกันนั้นเสียงช้อนหล่นก็ดังขึ้นในห้องอาหาร แล้วความเงียบก็ปกคลุมชั่วขณะ 

 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 12

 

เสียงพูดคุยเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อมีเสียงดังมาจากปลายโต๊ะ


 


 


“จุนซอง”


 


 


“ไม่ต้องพูดเลยครับ ผมรู้ว่าลุงจะพูดอะไร”


 


 


“ชาติที่แล้วพี่น้องคู่นี้ต้องกู้ชาติไว้แน่ๆ”


 


 


“อ้า ก็บอกว่าไม่ต้องพูดไงครับ”


 


 


พี่จุนซองและลุงแทวอนค่อยๆ เคี้ยวอาหารพลางพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ


 


 


“อะแฮ่มๆ”


 


 


พี่กระแอมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ดื่มน้ำที่วางอยู่ตรงหน้า เขาวางแก้วลงกับโต๊ะเสียงดังและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอึดอัดใจเล็กน้อย


 


 


“น่าจะเร็วเกินไปที่จะเรียกผมว่าคุณพี่ชายนะครับ”


 


 


“ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าทำให้คุณไม่สบายใจ แต่คนอื่นๆ ยังเรียกแคลนลอร์ดของเราว่าคุณน้องชายเลยนี่คะ”


 


 


“ผมจะจัดการเองครับ”


 


 


“โฮะๆ”


 


 


พี่หันไปมองพี่จินฮาและพี่ฮเยรินด้วยสายตาคมกริบ ทั้งสองคนก้มลงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ


 


 


หลังจากโกยอนจูแนะนำตัวแล้ว คิมฮันบยอลก็แนะนำตัวเป็นคนถัดไป มีผู้เล่นบางคนในเผ่าแฮมิลที่จำหล่อนได้ ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากอะไร เพราะตอนที่หล่อนอยู่ในเผ่าสิงโตทอง พวกเขาก็ประกาศไปทั่วว่าหล่อนคือจอมขมังเวทอัญมณี


 


 


คิมฮันบยอลแนะนำตัวด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่เมื่อไม่มีใครถามว่าทำไมจึงออกจากเผ่าสิงโตทองมาอยู่กับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ หล่อนก็จบการแนะนำตัวด้วยสีหน้าโล่งใจ


 


 


การแนะนำตัวจบลงอย่างง่ายดาย ผมรู้สึกขอบคุณคิมฮันบยอลอยู่ไม่น้อย ในที่สุดก็ถึงตาของอันซล


 


 


“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออันซลค่ะ ฉันอยู่กับท่านพี่มาตั้งแต่ตอนพิธีเปลี่ยนสภาวะแล้วค่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินที่อันซลพูด ผมที่เพิ่งจะโล่งใจก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่แบบนี้สิ ทำไมถึงเอาแต่พุ่งเป้ามาที่ผมล่ะ ผมบอกให้แนะนำตัวเอง ไม่ได้บอกให้สาธยายความเกี่ยวข้องกับผมสักหน่อย


 


 


ผมนวดขมับที่ปวดตุบๆ ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับเรื่องนี้ ก่อนที่จะเกิดพายุเราควรจะจบเท่านี้…


 


 


“โอ้ อยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนพิธีเปลี่ยนสภาวะเลยเหรอครับ”


 


 


“ใช่ค่ะ! ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ก็~ อยู่ด้วยกันมาตลอดเลยค่ะ”


 


 


ตอนที่พูดว่า “ก็~” เธอหลับตาลงและลากเสียงยาวด้วยท่าทางน่ารักจนได้ยินพวกพี่สาวส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ


 


 


“อยู่ด้วยกันตลอดเหรอ ผมมีเรื่องที่อยากรู้ครับ พอจะบอกได้ไหมว่าที่ผ่านมาน้องชายของผมเป็นยังไงบ้าง”


 


 


“พี่ เดี๋ยวสิ จะถามเธอทำไม เรื่องนั้นน่ะ…”


 


 


“ท่านพี่ซูฮยอนน่ะเก่งมากๆ เลยค่ะ~”


 


 


“ฮ่าๆ ว่าแล้วเชียว แต่ว่าเก่งขนาดไหนล่ะ ช่วยบอกให้ละเอียดกว่านี้…”


 


 


พี่ชายยกมือขึ้นราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไรและแสดงความสนใจเป็นพิเศษ อันซลส่งยิ้มคล้ายจะโอ้อวดไปทางโกยอนจู จากนั้นก็พูดพลางโบกไม้โบกมือไปมา


 


 


“ท่านพี่น่ะ ตอนพิธีเปลี่ยนสภาวะช่วยล่อมอนสเตอร์เพื่อพวกเรา ตอนอยู่ที่สถาบันผู้เล่นก็~เป็นอันดับหนึ่งด้วย อ๊ะ! เขาได้รับข้อเสนอจากเผ่าสิงโตทองแต่ก็ปฏิเสธทางนั้นและรับพวกเราไว้ค่ะ! ตอนที่ออกมาจากสถาบันผู้เล่นก็~ไปขุดค้นโบราณสถานแล้วก็~ออกสำรวจ และก็ยังสร้างแคลนเฮาส์ด้วยค่ะ!”


 


 


หยุดสักทีเถอะ ขอร้องล่ะ


 


 


ในที่สุดผมก็ก้มหน้าลง ทั้งที่ไม่ได้ต่อสู้อยู่แต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้


 


 


 


 


หลังจากมื้ออาหารที่เหมือนมรสุมผ่านไป พวกเราก็มีเวลาว่างจิบน้ำชา อันซลดูมีชีวิตชีวา(?)มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับผม


 


 


ในขณะเดียวกันพี่ชายก็แสดงท่าทีว่าจะปกป้องผมเองและบอกว่าไม่ต้องกังวล ในอนาคตเขาจะดูแลผมเอง โชคดีที่พี่จินฮากับพี่ฮเยรินช่วยห้ามไม่ให้ทะเลาะกัน เราจึงวนกลับไปเรื่องเดิมได้


 


 


“ผมเองก็อยากอยู่ที่นี่รอดูความคืบหน้านะ แต่ตอนนี้ผมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นจึงต้องไปแล้ว อย่างไรก็ตามคำสาปของแบนชีถูกลบไปแล้วแน่นอน ช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว”


 


 


“ซูฮยอน นายมาเข้าร่วมเผ่าของพี่ไม่ได้เหรอ นายก็รู้ว่าฮอลล์เพลนเป็นโลกที่น่ากลัวมาก พี่เป็นห่วง…”


 


 


“เฮ้อ…”


 


 


พี่ชายเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมา เมื่อผมถอนหายใจเบาๆ พี่จินฮาและพี่ฮเยรินก็รีบพูดขึ้น


 


 


“แคลนลอร์ด! ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ นั่นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่นะคะ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่! เขาก็เป็นแคลนลอร์ดเหมือนกัน!”


 


 


“ซูฮยอนเป็นน้องชายของฉันนะ น้องชายแท้ๆ ด้วย พวกเธอจะมาเข้าใจความรู้สึกของฉันได้ยังไง…”


 


 


“ช่วยดูความเป็นจริงหน่อยเถอะค่ะ พวกเขาเป็นเผ่าที่ขุดค้นโบราณสถานสี่แห่ง มีคลาสลับห้าคนและคลาสหายากอีกสี่คนทั้งที่ตอนนี้ยังไม่ครบหนึ่งปีเลยด้วยซ้ำ แถมยังมีราชินีแห่งเงามืด…”


 


 


“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วน่า”


 


 


“คุณรู้อะไรคะ! สิ่งที่แคลนลอร์ดพูดอยู่ก็คือให้เผ่าเมอร์เซนต์นารี่มาเข้าร่วมกับเผ่าแฮมิลนี่คะ ถึงจะเป็นน้องชายแท้ๆ แต่ต่อหน้าสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ แบบนี้ คุณไม่รู้เหรอคะว่ามันเสียมารยาทแค่ไหน”


 


 


พี่อ้าปากค้างราวกับยังมีเรื่องที่อยากจะพูด แต่เมื่อผมมองอย่างเชือดเฉือน เขาก็เงียบลงด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ


 


 


“ขอโทษนะคะแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ แคลนลอร์ดของพวกเราคงจะดีใจมากที่ได้พบกับคุณน้องชาย ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้หรอกนะคะ พวกเราเองก็แปลกใจเหมือนกัน”


 


 


“ไม่เป็นไรครับ เดิมทีในยุคปัจจุบันเขาก็เป็นห่วงผมอยู่เสมอ ผมเข้าใจ อย่างไรก็ตามต่อจากนี้ผลที่ตามมายังคงเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าจะรักษาได้แล้ว แต่มันก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าดูแลอย่างต่อเนื่องก็สามารถฟื้นฟูได้ครับ”


 


 


“เข้าใจแล้วค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ พวกเรามีนักบวชที่มีความสามารถอยู่หลายคน ดังนั้นเราน่าจะรักษาอาการที่ตามมาได้”


 


 


“นอกจากคาถาศักดิ์สิทธิ์แล้ว การผสมผสานระหว่างยากับการรักษาจะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นครับ ต้องดูแลในส่วนนั้นด้วยนะครับ”


 


 


“ค่ะ ถ้างั้นตอนนี้ต้องตอบแทนสำหรับการช่วยรักษา…ไม่ทราบว่าพอจะบอกคร่าวๆ ได้ไหมคะว่าคุณรักษาเธอด้วยวิธีไหน”


 


 


พี่จินฮาเสียงแผ่วลงในช่วงท้ายและเหลือบมองพี่ชาย ตอนนี้หล่อนเป็นคนเริ่มบทสนทนา แม้จะอยู่ในคลาสนักธนู แต่หล่อนมีนิสัยรอบคอบและคิดคำนวณรวดเร็วจึงรับหน้าที่ตัดสินใจเรื่องทั่วไปของเผ่าแฮมิลด้วย


 


 


“ซูฮยอน เมื่อกี้นายบอกว่ามีคลาสลับผู้ชำนาญดาบ ไม่ใช่นักบวชนี่ ถ้างั้นพลังที่ใช้รักษาฮโยอึลคืออะไรเหรอ”


 


 


ปัญหาเรื่องค่าตอบแทนมันไม่ชัดเจน หากไม่ใช่คนที่รู้จักกัน ผมก็จะขูดรีดเต็มที่ แต่ผมไม่อยากทำแบบนั้นต่อหน้าพี่ชาย อันที่จริงผมอยากจะทำให้ฟรีด้วยซ้ำ


 


 


แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่ผมพูดไปในที่ประชุมก่อนจะมาที่นี่ ดังนั้นการพูดและหยุดพูดเมื่ออยู่ในระดับที่พอดีน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด


 


 


“ก็แค่พลังที่อยู่นอกเหนือจากมาตรฐานน่ะ ทำให้ร่างกายแข็งแรงจนเกินค่าความแข็งแกร่งก็ไม่ลำบากอะไรสำหรับการรักษาแบบง่ายๆ”


 


 


“อะไรนะ”


 


 


“เปล่า วิธีรักษาไม่มีอะไรหรอก”


 


 


“อืม…ผู้ชำนาญดาบก็คือคลาสต่อสู้ระยะประชิดสินะ”


 


 


พี่ชายทำสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาเคาะนิ้วชี้กับโต๊ะ จากนั้นก็หันไปพูดกับพี่จินฮาที่กำลังกลืนน้ำลายลงคอ


 


 


“แพคจินฮา เรามีดาบที่ได้รับมาตอนขุดค้นหลุมศพของกษัตริย์คราวที่แล้วใช่ไหม ไปเอามาหน่อยสิ”


 


 


“ถ้าเป็นหลุมศพของกษัตริย์…เกียรติยศแห่งวิคตอเรียเหรอคะ ตอนนี้พี่ฮโยอึลเอาไปใช้เป็นต่างหูไงคะ”


 


 


“ยังไงก็โดนคำสาปแบนชีแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า”


 


 


พี่พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หันมาทางผม


 


 


“ซูฮยอน ถ้าใช้พลังนั้นจะทำให้ร่างกายทำงานหนักใช่ไหม”


 


 


“หือ อืม แต่แค่ปรับพลังก็พอแล้วละ”


 


 


“อืม ก่อนหน้านี้พี่ขุดค้นโบราณสถานที่เรียกว่าหลุมศพของกษัตริย์ มันเป็นดาบที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งชื่อว่า เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย เป็นดาบที่น่าจะเหมาะกับคลาสของนาย นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกอื่นๆ อีกเยอะแยะ นายน่าจะชอบ”


 


 


‘ดาบล่องหน, ดาบเทพแห่งสุริยันจันทรา, คาลิโก อาบรักซัส ผมมีดาบแค่สามเล่มเท่านั้น…’


 


 


แต่ที่บอกว่าช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจทีเดียว มันยิ่งดึงดูดความสนใจมากขึ้นไปอีกเพราะสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นต่างหูได้ด้วย


 


 


“แล้วนายมีหมวกหรือยัง”


 


 


“หือ อืม มันอึดอัดน่ะแล้วก็ไม่จำเป็นด้วย”


 


 


“ไม่ได้สิ พวกนักสู้ระยะประชิดต้องระวังหัวตลอดนะ”


 


 


“ไม่หรอก มันไม่ได้…”


 


 


“ชุดเกราะก็ไม่ใส่ ชิ ถุงมือที่ใช้ก็ไม่ได้ดีมาก”


 


 


นี่ถ้าผมอวดเกียรติยศแห่งสวรรค์กับเกียรติยศแห่งตะวันไป เขาจะไม่เกรี้ยวกราดกว่านี้เหรอ


 


 


พี่กวาดตามองอุปกรณ์ทั้งหมดของผมพลางจิ๊ปาก จากนั้นก็ลุกขึ้นและขยับมาใกล้


 


 


“ไม่ได้การแล้ว แพคจินฮา ไปเอาเกียรติยศแห่งวิคตอเรียมาก่อน แล้วก็ซูฮยอน นายน่ะ ไปที่คลังอปกรณ์กับพี่แป๊บหนึ่ง ดูรวมๆ แล้วมันใช้ไม่ได้เลย”


 


 


“…”


 


 


ผมมองพี่ชายคว้ามือของผมไปเต็มแรงและนึกขึ้นมาได้


 


 


ผมนึกถึงสมัยที่ได้รับการปกป้องจากพี่


 


 


ที่จริงแล้วพี่ชายของผมเป็นพวกติดน้องชายขั้นรุนแรงเลยละ


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


“แฮ่กๆ แฮ่กๆ!”


 


 


ชายคนหนึ่งวิ่งหนีความตายเข้าไปในป่า เมื่อวิ่งไปได้สักพักเท้าของเขาก็พลิก ทำให้ตัวถลาไปด้านหน้าอย่างแรง เขาวิ่งมาด้วยความเร็วสูงจึงกลิ้งอยู่สามสี่รอบก่อนจะหยุดลง


 


 


“อึก อุ๊บ!”


 


 


เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแต่แล้วก็รีบปิดปากทันที ใบหน้าบิดเบี้ยว เหงื่อไหลโทรมกาย แม้ว่ามือจะสั่นเทาแต่ก็ยังปิดปากเอาไว้อย่างนั้น เมื่อมือหยุดสั่น ชายคนนั้นจึงค่อยๆ ลดมือที่ปิดปากเอาไว้ลง


 


 


“เฮ้อ…”


 


 


ชายคนนั้นหายใจเสียงเบามากราวกับกลัวใครจะมาได้ยินเข้า เขาพยายามยืนขึ้นทันทีแต่ก็ล้มลงไปอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงก้มลงมองข้อเท้า ข้อเท้าของเขาบวมเป่งเพราะหกล้มเมื่อครู่นี้ สิ่งที่แปลกก็คือ ถ้าเป็นอาการบวมตามปกติ บริเวณนั้นจะแดงหรือเหลืองจัด แต่ข้อเท้าของเขากลับเป็นสีเขียวช้ำ


 


 


“ไอ้พวกขอทาน”


 


 


ชายคนนั้นสบถออกมาพลางค้นกระเป๋าเสื้อ ในระหว่างนั้นก็หันมองไปรอบๆ ท่าทางระแวดระวังเป็นพิเศษราวกับกลัวใครบางคนจะโผล่มา


 


 


เขามีสภาพที่ไม่ค่อยน่ามองนัก แม้ว่าจะสวมเสื้อเกราะหนังตัวหนา แต่มันมีร่องรอยถูกเผาและฉีกขาดอย่างหนักไปทั่ว มองดูแล้วน่าจะเรียกว่าเศษผ่ามากกว่าเสื้อเกราะ


 


 


นอกจากนี้เลือดยังไหลผ่านช่องว่างของเสื้อเกราะที่ฉีกขาดในปริมาณที่มากพอสมควร มันร้ายแรงเกินกว่าจะบอกว่าเป็นอาการบาดเจ็บจากการสะดุดล้ม ดูก็รู้ว่าเขาถูกใครสักคนโจมตีโดยเจตนา


 


 


“อึก อึก”


 


 


เขาเทโพชั่นที่หยิบออกมาจากกระเป๋าลงบนข้อเท้า จากนั้นไม่นานเมื่ออาการบวมลดลง เขาก็พรมโพชั่นลงบนบาดแผลทั่วร่างและเหลือไว้ประมาณอึกหนึ่ง เขาดื่มมันลงไป เขากลืนโพชั่นและลุกขึ้นขยับตัวทันที ยังหลงเหลือบาดแผลอยู่บ้าง แต่สีหน้าของเขาดูดีกว่าเมื่อครู่นี้มาก ชายหนุ่มเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง


 


 


เขาวิ่งแบบนี้มาประมาณหนึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง เมื่อมาถึงถนนแคบๆ ชายคนนั้นก็หยุดชะงัก เขาลดตัวลงต่ำและเดินไปตามทางเปลี่ยว เขายื่นศีรษะออกมาเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องไปทิศทางหนึ่ง เมื่อดวงตาของเขาเป็นประกายสีฟ้าก็มีคนมากมายปรากฏตัวขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของถนน


 


 


ชายหนุ่มมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ผู้เล่นที่ปรากฏตัวขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งมีทั้งหมดหกคน เขาเลื่อนสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สีหน้าของเขาซีดเผือดทันที


 


 


“ดะ เดี๋ยวก่อนครับ! แฮ่กๆ”


 


 


“ทุกคนหยุด”


 


 


“มะ ไม่ทราบว่าพวกคุณคือเผ่าสมาชิกเผ่าสวรรค์บนดินที่เป็นตัวแทนแห่งมิวล์ใช่ไหมครับ”


 


 


“…”


 


 


ท่าทางของผู้เล่นทั้งหกคนนั้นคล่องแคล่ว ทันทีที่ชายคนนั้นวิ่งออกมา พวกเขาก็เตรียมพร้อมป้องกันตัว ผู้เล่นที่อยู่ด้านหน้าสุดหันไปมองชายคนนั้นครู่หนึ่งและค่อยๆ ยกมือขึ้น ดูจากสภาพของเขาแล้วก็ไม่น่ามีอันตรายอะไร


 


 


“ใช่ครับ แต่ดูเหมือนคุณจะบาดเจ็บนะ ก่อนอื่นให้เรารักษา…”


 


 


“ไม่! ไม่เป็นไรครับ! ก่อนอื่น ก่อนอื่นเราต้องรีบกลับไปที่เมืองครับ!”


 


 


“หืม…กลับไปที่เมืองเหรอ”


 


 


“ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวกำลังเกิดขึ้นในป่าแห่งนี้! พรรคพวกของผมถูกโจมตีและมีแต่ผมที่หนีมาได้! ผมต้องรีบบอกเรื่องนี้ก่อนที่พวกมันจะตามผมมา!” 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 13

 

เหล่าผู้เล่นต่างก็หันไปมองตามเสียงตะโกนอันสิ้นหวังของชายคนนั้น ตอนนั้นเอง เมื่อพวกเขาได้ยินดังมาว่า ‘ดูเหมือนจะเจอแล้วนะ’ ชายคนนั้นก็เบิกตากว้าง แต่เมื่อนักบวชท่องคาถาพลางขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าหวาดกลัวของเขาก็หายไป ไม้เท้าของนักบวชเล็งไปที่ชายหนุ่มโดยไม่รีรอ


 


 


“รักษา”


 


 


“หือ”


 


 


ชายคนนั้นอ้าปากด้วยสีหน้างุนงง นักบวชทัดผมยาวๆ ไปไว้หลังใบหูพลางพูดอย่างอ่อนโยน


 


 


“เรารู้แล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอก”


 


 


“เอ๊ะ”


 


 


“เราได้ยินรายงานการสูญหายไปอย่างแปลกประหลาดเป็นจำนวนมากตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว พวกเราเป็นองค์กรตรวจสอบป่าสีนิลที่ถูกส่งมาจากตัวแทนเผ่า พวกเราเพิ่งออกเดินทางเมื่อเช้าแต่ไม่นึกว่าจะได้เบาะแสรวดเร็วขนาดนี้”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น…!”


 


 


“ใช่แล้ว ดูเหมือนคุณจะรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับการสูญหาย ช่วยบอกให้เรารู้ได้ไหม”


 


 


ชายคนนั้นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ดูราวกับซาบซึ้งว่าในที่สุดก็มีทางรอดแล้ว เขาหันไปมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พยักหน้าและพูดต่อ ไม่สิ พยายามจะพูดต่อต่างหาก


 


 


“เข้าใจแล้วครับ แต่ก่อนอื่นเราต้องไปจากที่นี่…”


 


 


ฟิ้ว! ฉึก!


 


 


“อั่ก!”


 


 


ได้ยินเสียงแหวกผ่านอากาศมาจากที่ไหนสักแห่ง ปลายดาบคมแทงทะลุหน้าผากของนักบวชจนปริแยก หญิงสาวกรีดร้องพร้อมกับทรุดลง ชายคนนั้นรับร่างนั้นไว้โดยอัตโนมัติ


 


 


“ฮีซอน!”


 


 


“บ้าเอ๊ย เราถูกโจมตี! ตั้งสติไว้!”


 


 


“พะ พี่! ผู้ชายคนนี้กับฮีซอน…”


 


 


“รีบพาเขาไป ทิ้งศพเอาไว้ที่นี่! รีบไปเร็ว!”


 


 


เสียงตะโกนของพวกผู้เล่นดังทั่วบริเวณ ชายคนนั้นทรุดลงกับพื้น ท่าทางขาจะไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นศพของนักบวชจึงคว่ำหน้าลงกับพื้นและเผยให้เห็นท้ายทอยที่แยกออกจากกัน เป็นการขว้างมีดสั้นมาด้วยแรงมหาศาล


 


 


ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆ ที่ไหลทะลักลงบนพื้นจากด้านหลังของศีรษะนั้น คนจำนวนนับสิบวิ่งผ่านพุ่มไม้หนาทึบมา


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


ผมถูกลากมาจนถึงคลังอุปกรณ์และตั้งสติได้ในตอนนั้น ภาพตรงหน้าคือพี่ชายที่กำลังพิจารณาอุปกรณ์ด้วยแววตาลุกโชน ท่าทางคงจะนึกถึงหน้าที่ว่าต้องปกป้องน้องชายไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม


 


 


พอเห็นพี่ชายที่ค่อยๆ เลือกอุปกรณ์แต่ละอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง ผมก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะอธิบายเรื่องถุงมือที่สวมอยู่ตอนนี้ อีกทั้ง TOPG, รองเท้าบู๊ทยาว รวมไปถึงเกียรติยศแห่งสวรรค์และเกียรติยศแห่งตะวัน ดูท่าแล้วคงต้องอธิบายจนปากเปียกปากแฉะ


 


 


เวลาผ่านไปไม่นาน ดูเหมือนพี่ชายจะเข้าใจอุปกรณ์ของผมมากขึ้น และผมก็อธิบายว่าความสามารถในการป้องกันเวทมนตร์ของผมสูงมากแล้วจึงไม่เป็นไร แต่พี่ก็ยังเสริมเรื่องไม่จำเป็นขึ้นมาอีก


 


 


พี่ครุ่นคิดและถามต่อว่า “ถ้างั้นการป้องกันทางกายภาพล่ะ” ผมตอบไปว่ามีโค้ตออฟเพลตแต่ว่าไม่ได้สวมมาด้วย นั่นเป็นความผิดพลาด มือของพี่ชายที่หยุดไปสักพักแล้วเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง


 


 


บางทีถ้าพี่จินฮาไม่ได้นำเกียรติยศแห่งวิคตอเรียมาให้ในระหว่างนั้น อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบในคลังอุปกรณ์ของเผ่าแฮมิลอาจจะหมดเกลี้ยงคลังเลยก็ได้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยจริงๆ


 


 


ในที่สุดเราก็ออกจากคลังอุปกรณ์หลังจากโต้เถียงกันยาวนานกว่าสองชั่วโมง


 


 


พวกเรากลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง บนโต๊ะมีอุปกรณ์สามชิ้นส่องประกายสีสันสวยงาม ชิ้นหนึ่งคือต่างหูแสนหรูหราส่องแสงสีขาวและอีกชิ้นหนึ่งคือเสื้อยืดนิ่มๆ ที่ทอแสงสีทองรางๆ ส่วนชิ้นที่เหลือคือเสื้อตัวนอกไม่มีแขนที่ใช้สวมทับไหล่สีน้ำทะเล มันก็คือเสื้อคลุมนั่นแหละ


 


 


อุปกรณ์ทั้งสามชิ้นเป็นของที่มีราคาสูง ผมถอนหายใจเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้น พี่ชายมีสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไหร่ รวมถึงสมาชิกเผ่าแฮมิลที่ส่ายหน้าไปมา


 


 


เมื่อผมจ้องเขาโดยไม่พูดอะไร พี่ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าพลางยิ้มเจื่อนๆ และส่งสายตามาให้ผมราวกับจะบอกให้ลองอ่านคำอธิบายดูก่อน ผมเลียปากพลางเปิดใช้ดวงตาที่สาม


 


 


 


 


[เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย]


 


 


นี่คือ ‘ดาบของกษัตริย์’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรวิคตอเรียที่ถูกเรียกว่ามหาอำนาจในสมัยโบราณ แม้ว่าจะมีอาณาจักรมากมายเกิดขึ้นและล่มสลาย แต่วิคตอเรียเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่มีอายุยืนยาวที่สุด เป็นอาณาจักรที่ชื่นชอบสงครามสมกับที่อาณาจักรอื่นๆ เรียกอาณาจักรวิคตอเรียว่า “เผ่าพันธุ์นักรบ” แม้ว่าจะเสื่อมถอยลงจากสงครามที่กินเวลากว่าสองร้อยปี แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งหนึ่งวิคตอเรียเคยเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองพอที่จะรวบรวมทุกทวีปของฮอลล์เพลน ‘เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย’ เป็นดาบที่สืบทอดกันมาในราชวงศ์ มีตำนานกล่าวว่ามีเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติของกษัตริย์เท่านั้นที่จะได้รับพลังที่แท้จริงของดาบ


 


 


1. ความภูมิใจในตนเองของดาบนั้นรุนแรงมากเพราะเป็นดาบของกษัตริย์ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น มันตัดสินใจและเลือกเจ้าของด้วยตนเอง หากผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นเจ้าของปรากฏตัวขึ้น มันจะเปลี่ยนรูปร่างจากต่างหูและเผยร่างของดาบ สามารถเปลี่ยนรูปร่างกลับไปเป็นต่างหูได้อีกหากผู้สวมใส่ต้องการ


 


 


2. เพิ่มคะแนนความแข็งแกร่ง 2 พอยต์ แต่หากเป็นผู้เล่นที่สวมใส่มีตะแนนมากกว่า 95 พอยต์ในตอนรับผลประโยชน์ครั้งแรก จะไม่ได้รับผลประโยชน์นี้


 


 


3. มอบพลังชีวิตให้กับผู้เล่น การเคลื่อนไหวของร่างกายและการไหลเวียนของพลังเวทเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ได้ช่วยเพิ่มค่าความสามารถ ช่วยต้านทานพลังชั่วร้าย เช่น คำสาป, การหลอกลวง เป็นต้น ที่แทรกซึมเข้าสู้ภายใน


 


 


4. ในกรณีที่เปลี่ยนรูปร่างจากต่างหูและเปิดเผยร่างที่แท้จริงแล้ว ผู้สวมใส่สามารถแผ่ออร่าความสง่างาม (คาริสม่า) ที่สอดคล้องกับระดับคะแนนเวทมนตร์ของตนเองได้


 


 


5. ในกรณีที่เปลี่ยนรูปร่างจากต่างหูและเปิดเผยร่างที่แท้จริงแล้ว สามารถใช้ ‘ดาบแห่งแสง’ ซึ่งเป็นพลังที่ถูกซ่อนไว้ในดาบได้


 


 


 


 


[เสื้อโนเบิลมิธริล]


 


 


[เสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงิน]


 


 


 


 


‘ว้าว’


 


 


ขณะที่อ่านคำอธิบายผมอ้าปากค้าง ผมเคยเห็นเสื้อโนเบิลมิธริลกับเสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงินแล้วในรอบแรก แต่ผมจำเกียรติยศแห่งวิคตอเรียไม่ได้ ผมเงยหน้าเพื่อจะถามว่าทำไมเรื่องราวจึงเป็นเช่นนี้ก็เห็นพี่ชายทำสีหน้าราวกับจะถามว่า “เป็นยังไง ถูกใจหรือเปล่า”


 


 


“พี่ นี่มัน…”


 


 


“ไม่เป็นไร เอาไปเถอะ ดาบนั่นมันภูมิใจในตัวเองมากเกินไป ไม่มีใครในเผ่าที่ได้รับการยอมรับเลย”


 


 


“ถึงจะพูดแบบนั้น…ผมเองก็อาจจะไม่ได้รับการยอมรับเหมือนกันก็ได้”


 


 


“รับไปเถอะ ถึงจะใช้เป็นต่างหูมันก็มีประโยชน์พอสมควร อ๊ะ คะแนนความแข็งแกร่งของนายไม่เกิน 95 พอยต์ใช่ไหม”


 


 


ผมพยักหน้ารับเงียบๆ ทันทีที่ได้ยินคำว่าคะแนนความแข็งแกร่ง ผมก็นึกอยากรู้ข้อมูลผู้เล่นของพี่ขึ้นมา ดวงตาที่สามยังคงทำงานอยู่ ผมจึงหันไปมองพี่ทันที


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)


 


 


1.    ชื่อ (Name) : คิมยูฮยอน (ปีที่ 2)


 


 


2.    คลาส (Class) : ราชาแห่งสายฟ้า (Secret, The Lord of the Thunder, Master)


 


 


3.    ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า


 


 


4.    ชนเผ่า(Clan) : แฮมิล (ระดับเผ่า : อยู่ในระหว่างประเมินผลงาน)


 


 


5.    นามแท้ · สัญชาติ : ผู้ควบคุมฟ้าผ่าและฟ้าแลบ · พวกติดน้อง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้


 


 


6.    เพศ (Sex) : ชาย (26)


 


 


7.    ส่วนสูง · น้ำหนัก : 180.7 ซม. · 70.8 กก.


 


 


8.    อุปนิสัย : เลือดเย็น · เย็นชา (Blood and iron · Cool)


 


 


[พละกำลัง 70] [ความทนทาน 87] [ความคล่องแคล่ว 88][ความแข็งแกร่ง 97] [พลังเวท 97(+2)] [โชค 94]


 


 


คะแนนความสามารถเหลืออยู่ 0 พอยต์


 


 


เปรียบเทียบค่าความสามารถ


 


 


1.     คิมซูฮยอน: 562 พอยต์


 


 


 [พละกำลัง 96(+2)] [ความทนทาน 92] [ความคล่องแคล่ว 98] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 96] [โชค 90(+2)]


 


 


คะแนนความสามารถคงเหลือ 6 พอยต์


 


 


2.     คิมยูฮยอน: 533 พอยต์


 


 


[พละกำลัง 70] [ความทนทาน 87] [ความคล่องแคล่ว 88][ความแข็งแกร่ง 97] [พลังเวท 97(+2)] [โชค 94]


 


 


คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์


 


 


 


 


‘…?’


 


 


หลังจากเห็นค่าความสามารถของพี่ สิ่งแรกที่ผมนึกถึงก็คือเครื่องหมายคำถาม ไม่สิ อันที่จริงมันน่าตกใจมาก แม้ว่าคะแนนรวมของค่าความสามารถจะสำคัญ แต่โดยไปแล้วนักเวทจะมีคะแนนเวทมนตร์สูงทดแทนคะแนนทางกายภาพที่มีแนวโน้มว่าจะน้อยกว่า ดังนั้นการตัดสินพวกนักเวทด้วยคะแนนรวมของค่าความสามารถจึงเป็นเรื่องที่โง่เขลา


 


 


แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น…หากพิจารณาจากการเป็นนักเวทแล้ว ถือเป็นค่าความสามารถที่น่าตกใจทีเดียว


 


 


‘พุ่งขึ้นมาขนาดนั้นได้ยังไงนะ’


 


 


ผมมัวแต่อ้าปากค้าง ยังไม่ทันได้พิจารณาทักษะเฉพาะ ทักษะพิเศษ ทักษะแฝงและผลงานด้านล่าง พี่จินฮาก็พูดขึ้นมาเบาๆ


 


 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณน้อง…ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ เรื่องทั้งหมดจบลงที่คลังอุปกรณ์ไปแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะคะ อย่างไรเสียเราก็คิดจะนำอุปกรณ์บางอย่างไปใช้หาอิลิกเซอร์อยู่แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว ถ้าลองคิดดูก็จะเห็นว่าพวกเราต่างก็ลดรายจ่ายลงไปมาก”


 


 


“ใช่แล้ว ในบรรดาอุปกรณ์ของแคลนลอร์ดของเรา อุปกรณ์ที่ช่วยเสริมความคล่องแคล่วกับโชคนั้นมีน้อยมาก โชคดีจริงๆ”


 


 


‘ก็ไม่ได้เกรงใจหรอก…แต่จะว่ายังไงดีล่ะ’


 


 


ความคล่องแคล่วและโชคจะเพิ่มขึ้นไหมนะ แน่นอนว่าถ้าผมมีเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย ความแข็งแกร่งของผมก็เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังแปลกใจอยู่ดี


 


 


“อืม ซูฮยอน พี่เสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้ดูแลนายให้ดีกว่านี้”


 


 


“มะ ไม่หรอก เท่านี้ก็พอแล้ว”


 


 


“อืม ถึงนายจะไม่ยอมรับไป ฉันก็จะบังคับให้นายใส่อยู่ดี ดีแล้วล่ะ ถ้างั้นไม่ลองถือเกียรติยศแห่งวิคตอเรียดูหน่อยเหรอ ฉันอยากรู้ผลน่ะ”


 


 


“…”


 


 


จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง พี่ชายยิ้มกว้างและให้กำลังใจว่าถึงจะไม่สำเร็จก็ไม่ต้องผิดหวัง เมื่อหันหน้าไปเล็กน้อยก็เห็นอันซลที่มองผมด้วยดวงตาเป็นประกายและอีกสองคนซึ่งกำลังเอามือปิดปากราวกับว่ามันตลกมาก ดูเหมือนศักดิ์ศรีในฐานะแคลนลอร์ดที่สั่งสมจนถึงตอนนี้จะพังทลายลงหลังจากได้พบกับกับพี่ ผมถอนหายใจอีกครั้ง


 


 


“เฮ้อ อย่าคาดหวังนักก็แล้วกัน”


 


 


“รู้แล้วน่า ฉันก็ถูกมันปฏิเสธเหมือนกัน แต่ว่านะซูฮยอน ถ้าเป็นนายอาจจะทำได้ก็ได้นี่ ไม่ต้องหนักใจไปหรอก ฮ่าๆ”


 


 


พูดอะไรเนี่ย ให้ตายสิ ไม่ต้องหนักใจเนี่ยนะ


 


 


ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นและถือต่างหูไว้ในมือ ตอนนั้นเอง


 


 


หวืด!


 


 


ไม่ถึงหนึ่งวินาที ต่างหูก็เปลี่ยนเป็นดาบทันทีที่สัมผัสกับมือของผมราวกับกำลังรอคอย ดาบอันสง่างามส่องประกายแสงแวววาวอวดโฉมตนเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความมึนงงก็เห็นพวกผู้เล่นคนอื่นมีสีหน้าเช่นเดียวกับผม รวมถึงพี่ด้วย 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 14

 

“ซูฮยอน! พี่จะรีบตามไปที่โมนิก้านะ!” 


 


 


“ซูฮยอน คุณพี่ชายเรียกคุณนี่คะ” 


 


 


“ทำเป็นไม่ได้ยินเถอะครับ” 


 


 


“ซูฮยอน! ระวังตัวด้วยนะ! ต้องระวังนะ! ซูฮยอน!” 


 


 


ยิ่งได้ยินเสียงพี่ ผมก็ยิ่งเร่งฝีเท้า 


 


 


หลังจากปัญหาเรื่องค่าตอบแทนจบลง ผมก็บอกลาพี่ทันที ถึงพี่ชายจะยื้อผมไว้ทุกทางและบอกให้อยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน แต่ผมก็ปฏิเสธและตัดบทด้วยข้ออ้างที่ว่ายังมีธุระที่อื่นอีก เรื่องนั้นก็เพื่อตัวผมเอง 


 


 


นี่คือพี่ชายที่ผมอยากพบและไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่กับเขาต่อ แต่ถ้าผมรับคำและยอมอยู่ต่อ ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะเมื่อเริ่มพึ่งพาพวกเขาแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามตามมาอีก ผมไม่ได้เริ่มรอบสองเพื่อรอรับการปกป้องจากพี่ชาย 


 


 


อย่างไรก็ตามการกลับมาพบกันของผมและพี่จบลงแล้ว แต่ยังเหลือปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอยู่ 


 


 


เรื่องแรกคือผู้เล่นที่ผมช่วยชีวิตไว้นั้นเป็นผู้พิทักษ์ทวีปเหนือ เรื่องที่สองคือการบอกความจริงกับพี่ ผมครุ่นคิดเรื่องนั้นแต่ตัดสินใจจะรอไปก่อนสำหรับตอนนี้ อีฮโยอึลจะยังไม่ตื่นจนกว่าจะฟื้นตัวจากอาการที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับผู้พิทักษ์จะมีอยู่น้อยมาก แต่ก็มีข้อมูลที่ผมรู้อยู่บ้าง 


 


 


‘ช่วยชีวิตผู้พิทักษ์ทวีปเหนือและนามแท้ของอีฮโยอึลกับอันซล สุดท้ายก็บอกความจริงกับพี่’ 


 


 


มันน่าจะดีกว่าที่จะใช้เวลาลองคิดทบทวนดูดีๆ แทนที่จะตัดสินใจไปตามอารมณ์ในตอนนี้และเพื่อการนั้นผมต้องแก้ปัญหาที่เจออยู่เสียก่อน 


 


 


‘จัดการเรื่องการชวนท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมเผ่าให้เสร็จก่อนดีกว่า’ 


 


 


ใช่ แน่ใจแล้วว่าต่างฝ่ายต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้ 


 


 


เวลาผ่านไปนานพอสมควรจนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นมากลางท้องฟ้าเริ่มฉายแสงยามเย็น ตอนนี้คงได้เวลาไปวาร์ปเกตแล้ว 


 


 


“ซูฮยอน! พี่จะไปส่งนะ หือ แค่ไปส่ง…!” 


 


 


“ก็บอกว่าไม่ต้องมาไงเล่า!” 


 


 


ในที่สุดผมก็ออกวิ่ง 


 


 


 


 


 


[เสื้อโนเบิลมิธริล] 


 


 


มิธริลมีหลายชนิด โนเบิลมิธริลเป็นโลหะที่ถูกจัดอยู่ในอันกับสูงสุด เมื่อขุดมิธริลทั่วไปได้สิบกิโลกรัม จะได้โนเบิลมิธริลซึ่งเป็นโลหะที่มีค่าน้อยกว่าสิบกรัม เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่ผ่านกระบวนการแปรรูปจากการรวบรวมโนเบิลมิธริลและคัดเลือกเส้นด้ายอีกครั้ง ประโยชน์ไม่ต่างจากมิธริลทั่วไปมากนัก แต่ประสิทธิภาพนั้นแตกต่างกันมากจนไม่สามารถเทียบได้ 


 


 


 


 


 


[เสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงิน] 


 


 


มังกรมีตัวตนในฮอลล์เพลนยุคโบราณ เหล่ามนุษย์ต่างก็เกรงกลัวและบูชามังกรซึ่งมีพลังเหนือธรรมชาติ อัศวินมังกรคือมนุษย์ที่ทำพันธะสัญญากับมังกร บางครั้งในบรรดามนุษย์ก็มีคนพิเศษที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับมังกรได้อย่างลึกซึ้ง และในแต่ละครั้งมังกรจะเป็นฝ่ายเลือกผู้ที่ตนจะทำพันธะสัญญาด้วยเอง นี่คือเสื้อคลุมที่มังกรสีน้ำเงินมอบเป็นของขวัญให้แก่มนุษย์ที่ทำพันธะสัญญากับตน หนังที่ทำจากผิวหนังของมังกรมีความเหนียวและทนทานต่อเวทมนตร์ 


 


 


 


 


 


ตอนนี้ผมสวมอุปกรณ์ทั้งสามชิ้นที่ได้รับจากเผ่าแฮมิลในคราวนี้แล้ว ผมเปลี่ยนเกียรติยศแห่งวิคตอเรียเป็นต่างหูโดยสวมไว้ที่หูข้างขวาและสวมเสื้อโนเบิลมิธริลไว้ด้านในของเกียรติยศแห่งสวรรค์ ส่วนเสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงินนั้น โกยอนจูช่วยเอาคลุมไว้บนไหล่ของผม 


 


 


ความรู้สึกในขณะที่สวมใส่ค่อนข้างดี เสื้อมีน้ำหนักเบาจนแทบไม่รู้สึก ส่วนเสื้อคลุมจะว่าอย่างไรดี ต้องบอกว่าเหมือนกับถูกโอบอุ้มด้วยน้ำล่ะมั้ง แม้ว่าจะยาวและหนานิดหน่อย แต่ก็ไม่รุงรัง 


 


 


มันก็ดี ผมไม่คิดว่าจะได้ของที่มีค่า แม้จะไม่ได้แย่งมาแต่ก็รู้สึกผิดแบบแปลกๆ ถึงเกียรติยศแห่งวิคตอเรียจะเป็นเช่นนั้น แต่เสื้อและเสื้อคลุมเป็นอุปกรณ์ที่เดิมทีมีเจ้าของอยู่แล้ว เพราะคะแนนความแข็งแกร่งก็เพิ่มมาถึงเก้าสิบพอยต์ แถมยังลดความเสี่ยงในกระบวนการรักษาด้วย และอุปกรณ์ที่ผมครอบครองอยู่ก็แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ 


 


 


อย่างไรก็ตามมันก็มาอยู่ในมือของผมแล้วและจะขอคืนตอนนี้ก็คงไม่ได้ ผมให้สัญญาว่าจะผลักดันเผ่าแฮมิลในการเดินทางซึ่งเป็นแผนการในอนาคต พลางจัดการความรู้สึกด้วยการยอมรับด้วยใจที่ขอบคุณ 


 


 


“ซูฮยอนเป็นคนที่ซับซ้อนมากเลยนะคะ” 


 


 


“เอ๊ะ” 


 


 


หลังจากคิดเรื่องอุปกรณ์จบและกำลังเดินไปที่วาร์ปเกต โกยอนจูก็รีบเดินมาอยู่ข้างๆ ผม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า 


 


 


“ฉันคิดว่ามันแปลกๆ นิดหน่อยตั้งแต่ตอนที่คุณขอให้ฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าแฮมิลก่อนหน้านี้ ชื่อก็คล้ายกัน ฉันนึกเอาไว้แล้วเชียว” 


 


 


“ฮ่าๆ ใช่ไหมล่ะครับ ผมเองก็ลังเลจนกระทั่งได้พบด้วยตัวเองนี่แหละครับ” 


 


 


“ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ดูนิ่งจังเลยนี่นา คุณพี่ชายดูสับสนมากกว่าอีก~” 


 


 


“ผมอดทนเอาไว้น่ะ คือ…คุณเองก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้วใช่ไหมล่ะครับ” 


 


 


เมื่อผมพูดและมีท่าทีเสียดาย โกยอนจูก็สะดุ้งเฮือกและพึมพำว่า “อยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้นี่นา” จากนั้นก็ชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย ผมลอบยิ้มในใจ 


 


 


เมื่อหันไปมองก็เห็นทั้งสามคนเดินตามหลังผมมาเงียบๆ ในหมู่พวกเขาผมสะดุดตากับคิมฮันบยอลที่เดินเงียบๆ ใบหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หรือว่าหล่อนก็มีคนรู้จักอยู่ที่ไหนสักที่ในฮอลล์เพลนเหมือนกัน ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมถึงได้คิดแบบนั้นขึ้นมา 


 


 


ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปและแทนที่ด้วยความมืด พวกเรามาถึงวาร์ปเกตหลังจากเดินมาได้ประมาณสิบนาที เรามาถึงตั้งแต่กลางวันแต่ตอนบ่ายก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนี้ไปเป็นเวลาที่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะกลับไปที่เมืองและพักผ่อน 


 


 


‘ถ้าตอนนี้ยังถูกจำกัดเส้นทางอยู่ ท่าทางจะยุ่งยากนิดหน่อยแฮะ’ 


 


 


ผมไม่สามารถรอจนถึงตอนที่เปิดให้ใช้งานได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปโมนิก้า 


 


 


หลังจากผ่านทางเข้ามาแล้ว พวกเราก็พบผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่ดูแลวาร์ปเกต หล่อนนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางวันนี้คงจะเหนื่อยมาก หล่อนลุกขึ้นพลางมองพวกเรา 


 


 


“จะใช้วาร์ปเกตเหรอคะ” 


 


 


“ครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้เส้นทางที่ถูกจำกัดใช้ได้ปกติหรือยังครับ” 


 


 


เมื่อได้ยินว่าเส้นทางที่ถูกจำกัด สีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หล่อนเหลือบมองวงแหวนเวทครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจ 


 


 


“คุณจะไปที่ไหนคะ ถ้าโชคดีฉันก็อาจจะสามารถเจาะเส้นทางให้ได้” 


 


 


“เจาะเส้นทางเหรอ หมายความว่ายังไงครับ” 


 


 


“คุณพูดถึงเส้นทางที่ถูกจำกัด ดูเหมือนจะไปทางภาคกลาง ภาคตะวันตกหรือไม่ก็ภาคเหนือสินะ ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าตอนนี้ไปภาคกลางไม่ได้ค่ะ คุณต้องไปเมืองที่สามารถทำให้วาร์ปเกตของบาร์บาร่าทำงานได้ก่อน แล้วค่อยใช้วาร์ปเกตอีกครั้งที่เมืองนั้น เช่น…ตอนนี้ภาคตะวันตกถูกเปิดไว้หนึ่งและทางเหนือถูกเปิดไว้อีกหนึ่ง” 


 


 


“นี่มันเรื่อง…ทำตามใจตัวเองสินะครับ” 


 


 


“ก็ใช่อยู่หรอก ดีแล้วค่ะ ถึงตอนนี้จะเปิดแค่ส่วนหนึ่งก็ตาม ช่วงเช้าถึงเที่ยงนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย ไอ้พวกขอทานนั่น อย่างไรก็ตามเบธ ทางจะวันตกกับมิวล์ ทางเหนือเปิดอยู่ค่ะ” 


 


 


คำว่ามิวล์ออกมาจากปากของหญิงสาวโดยไม่คาดคิด นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปแล้ว ในขณะที่กำลังคิดว่าโชคดีชะมัดและจะขอให้เปิดวาร์ปเกตไปสู่มิวล์ ผมก็รู้สึกถึงมือที่ดึงชายเสื้อของผมเอาไว้ เมื่อหันไปมองก็เห็นอันซลกำลังจ้องมาที่ผม 


 


 


“อันซล” 


 


 


“อือ…” 


 


 


“เป็นอะไรไปน่ะ” 


 


 


“อือ…” 


 


 


อันซลส่ายศีรษะโดยไม่มีเหตุผล บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล จู่ๆ ผมก็นึกถึงสิ่งที่อันซลพูดไว้ในที่ประชุมวันนั้นขึ้นมา 


 


 


 


 


 


‘ท่านพี่ ช่วยบอกอีกทีได้ไหมคะว่าจะไปที่ไหน’ 


 


 


 


 


 


หลังจากขอความเห็นจากหญิงสาวแล้ว ผมก็ก้มลงสบตากับอันซล สายตาของทุกคนพุ่งตรงมาที่เธอ เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อยด้วยใบหน้าไร้เรี่ยวแรง 


 


 


อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราพบเจอแค่ครั้งสองครั้ง การปลอบโยนและเอ่ยถามอย่างใจเย็นย่อมดีกว่าการเอ่ยเร่งเร้า 


 


 


“ไม่อยากไปมิวล์เหรอ” 


 


 


“ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมแต่…แค่รู้สึกไม่สบายใจเลยค่ะ” 


 


 


เมื่อผมถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด อันซลก็พยักหน้าพลางตอบเสียงเบา ผมยืดตัวตรงอีกครั้งพลางมองโกยอนจู ผมรู้สึกถึงแววตาสงสัยของคิมฮันบยอลที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่โกยอนจูเคยมีประสบการณ์โดยตรง ดังนั้นหล่อนจึงมีสีหน้าครุ่นคิด 


 


 


“โกยอนจู ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่มิวล์หรือเปล่าครับ” 


 


 


“ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยแน่ใจ อันที่จริงช่วงนี้ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องที่มิวล์ ถ้าเป็นเรื่องที่ได้ยินมาล่าสุดก็…อ๊ะ” 


 


 


“…?” 


 


 


“มีอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ มีการเปลี่ยนตัวเผ่าตัวแทนของมิวล์ มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนักหรอกค่ะ ต้องบอกว่าเป็นการรวมกลุ่มกันมากกว่า เพราะเผ่าสวรรค์บนดินที่ได้รับตำแหน่งตัวแทนเผ่าใหม่รวมกลุ่มกับเผ่าต้นบีชที่อยู่มาก่อนค่ะ การที่ซลรู้สึกไม่สบายใจ…บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องในตอนนั้นหรือเปล่าคะ” 


 


 


เรื่องในตอนนั้นที่ว่าก็คือเหตุการณ์การปะทะกันกับเผ่าต้นบีช ผมในตอนนั้นสังหาร ‘ขุนนางฝ่ายบู๊’ ชาซึงฮยอน และ ‘สตรีคลั่ง’ บันดาฮี เพื่อเหยียบย่ำยูฮยอนอาที่จะเติบโตเป็น ‘ราชินีศักดิ์สิทธิ์’ ในภายหลัง ถึงแม้ว่ายูฮยอนอาจะจิตใจดีแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ก็ยังมีความอาฆาตแค้นได้ 


 


 


‘ถ้าเป็นแบบนั้นก็ควรจะไปสิ’ 


 


 


คำพูดของโกยอนจูมีเหตุผลและเดินทางไปมิวล์ตามที่หล่อนว่าก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ในตอนนั้นถ้าไม่มีการสร้างสถานการณ์ก็คงไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าละอายใจพอสมควร 


 


 


ผมคิดว่าการเข้าถ้ำเสือไปชวนท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมเผ่าและจัดการกับยูฮยอนอาน่าจะดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าว่าต้องมีเงื่อนไขเบื้องต้นให้แยกแยะถูกผิดก่อน 


 


 


‘แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นล่ะ อาจจะเกิดเรื่องอื่นๆ ขึ้น สมมติว่า….’ 


 


 


การสมมติสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ผมเองก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ผมกำลังลองนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีใครเดินมาอยู่ด้านข้าง 


 


 


“ซูฮยอนคะ คุณเริ่มคิดมากอีกแล้วนะ ถึงจะดูอวดดีไปหน่อย แต่ฉันอยากจะพูดอะไรบางอย่างตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว อาจจะเกินตัวไปหน่อย แต่ถ้าคุณอนุญาต ฉันก็อยากจะบอกคุณค่ะ” 


 


 


“หืม ได้แน่นอนครับ” 


 


 


“ซูฮยอนเป็นแคลนลอร์ดนะคะ คุณวางแผนไว้แต่แรกแล้วใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่าในระหว่างนั้นก็สามารถเปลี่ยนแผนได้ แต่ฉันคิดว่านั่นเป็นอำนาจของแคลนลอร์ดนะคะ ความคิดเห็นของสมาชิกเผ่าเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามคนอื่นค่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ลองนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าวาร์ปเกตคราวที่แล้วสิคะ ตอนนั้นซลก็ร้องไห้และก่อความวุ่นวาย แต่สุดท้ายคุณก็กลับมาอย่างปลอดภัยไม่ใช่เหรอคะ” 


 


 


คำพูดของโกยอนจูก็คือ ผมมักจะพึ่งพาการตัดสินใจของอันซลทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น คำพูดของหล่อนแทงใจดำเต็มๆ ผมคิดว่าตัวเองรอบคอบแล้ว แต่มันคงจะแตกต่างไปในสายตาของคนอื่น 


 


 


ผมหลับตาลงและจมลงสู่ห้วงความคิด ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของผม ในมุมมองทั่วไปแล้ว คำพูดของโกยอนจูถูกต้อง แต่คำพูดของอันซลก็มองข้ามไม่ได้เช่นกัน การเลือกสิ่งที่ถูกต้องจากสองความคิดเห็นนี้เป็นเรื่องยากมาก 


 


 


‘ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เราต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะสามารถจัดการได้หรือไม่ ดังนั้น…” 


 


 


ผมจัดการกับความคิดของตัวเองได้เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ หาว ผมหันไปหน้าวาร์ปเกตและเห็นเหล่าสมาชิกเผ่ากำลังรอคอยคำตอบโดยไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่าย ผมพูดกับพวกเธอทั้งหมดทุกคน 


 


 


“เราจะไปที่มิวล์” 


 


 


“…” 


 


 


สีหน้าของโกยอนจูและคิมฮันบยอลดูดีขึ้นมากเมื่อผมประกาศว่าเราจะไม่เปลี่ยนแผน แต่อันซลก้มมองพื้นและท่าทีหดหู่ 


 


 


“อันซล” 


 


 


“ค่า” 


 


 


“ฉันจะรีบจัดการธุระที่มิวล์ให้เร็วที่สุดนะ” 


 


 


“มะ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันแค่กังวลไร้สาระ…” 


 


 


อันซลโบกมือทั้งสองข้างพลางส่ายหน้า ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังคงมีสีหน้าเป็นกังวล ผมขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิดและลูบศีรษะของเธอเบาๆ พลางกระซิบ 


 


 


“ฉันไม่ได้คิดว่ามันไร้สาระหรอกนะ จำสิ่งที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ได้ไหม ฉันจดจำสิ่งที่เธอพูดไว้เสมอ เพราะฉะนั้นถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอ เข้าใจไหม” 


 


 


ตอนนี้เธอน่าจะรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แก้มของอันซลแดงเรื่อ หลังจากเด็กสาวพยักหน้ารับคำเบาๆ แล้ว ผมก็มองผู้เล่นหญิงที่กำลังรออยู่ ว่าแต่ว่าปกติแล้วคนเราเวลาอารมณ์ดี หน้าจะแดงด้วยเหรอ 


 


 


“คุณบอกว่าเส้นทางไปมิวล์เปิดใช่ไหมครับ” 


 


 


“สักครู่นะคะ อืม…ใช่ค่ะ โชคดีที่มันเปิดอยู่” 


 


 


“ถ้างั้นพวกเราจะไปที่มิวล์ครับ ช่วยเปิดการทำงานของวาร์ปเกตด้วยครับ” 


 


 


“ได้ค่ะ ทั้งหมดสี่คน แปดโกลด์ค่ะ” 


 


 


หญิงสาวชี้ไปที่ช่องใส่เงินด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน หล่อนดูดีใจมากที่จะได้ส่งพวกเราไป หลังจากจ่ายเหรียญทองแปดอันแล้ว ผมก็ทิ้งตัวลงไปในพอร์ทัลที่กำลังทำงานอยู่ทันที จากนั้นความรู้สึกเย็นวาบก็โอบล้อมรอบตัวของผมเหมือนทุกที 

 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 15

 

เพียงชั่วพริบตาก็พบกับเมืองอันคุ้นเคยที่ไม่คุ้นเคย เรามาถึงมิวล์แล้ว 


 


 


มิวล์ยังคงมีภูมิประเทศชื้นแฉะแบบที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่เพราะผมอยู่ในโมนิก้ามานานจึงทำให้มองเห็นส่วนที่ยังไม่พัฒนาได้ชัดเจนกว่า 


 


 


หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกถึงสมาชิกเผ่าที่ตามหลังมา ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกกังวลมาก ผมขยายการตรวจจับพลังเวทให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้และวางมือไว้ที่เอวเพื่อให้สามารถดึงดาบออกมาได้ตลอดเวลา 


 


 


ผมทำแบบนั้นตลอดทางออกมาที่ทางเข้าวาร์ปเกตและมองไปรอบๆ บริเวณ พวกผู้เล่นหลายคนกำลังเดินเข้ามาในถนนหลักจากทางด้านขวา 


 


 


“อึก เจ็บจะตายอยู่แล้ว” 


 


 


“หึๆ ใครให้กระโดดเข้าไปแบบนั้นล่ะ เอาล่ะ รีบๆ ไปที่แท่นบูชากันเถอะ มันไม่ได้ลึกขนาดนั้น ใช้โพชั่นก็รักษาได้แล้ว” 


 


 


ถนนของมิวล์ไม่เคยเงียบเหงา ท่ามกลางผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาในย่านอันแสนวุ่นวายมีผู้เล่นที่เลือดตกยางออก ไม่ก็อุปกรณ์เสียหายบางส่วน หากดูจากช่วงเวลานี้ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาจากการออกล่า อันที่จริงเมื่อลองฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้วก็เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างน่าพึงพอใจ เช่น การล่าวันนี้สุดยอดไปเลย หรือไม่ก็อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันจัง 


 


 


“โฮะๆ ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องแปลกๆ อะไรใช่ไหมคะ” 


 


 


“…” 


 


 


โกยอนจูขยับเข้ามาทางด้านหลังและพูดเสียงเอื่อยๆ ผมไม่เจอเรื่องแปลกๆ อย่างที่หล่อนว่า มันเป็นภาพทั่วไปของเมืองในฮอลล์เพลน ผมพึมพำเสียงเบาพลางลดมือที่วางไว้บนเอวลง 


 


 


“แต่ก็ยังไม่รู้นะครับ อย่าเพิ่งวางใจ ตอนนี้รีบไปทำตามเป้าหมายก่อนนะครับ” 


 


 


“อ๊ะ ฉันแวะที่โรงเตี๊ยมสุภาพสตรีรักนวลสงวนตัวสักแป๊บหนึ่งได้ไหมคะ” 


 


 


“ค่อยแวะไปทีหลังนะครับ ดูสถานการณ์ด้วย” 


 


 


“ฮือ~” 


 


 


โกยอนจูส่งเสียงขึ้นจมูกพลางแสดงท่าทีเสียดาย 


 


 


ผมเริ่มเดินไปทางย่านการค้าที่ร้านอัญมณีของท่านผู้เฒ่าตั้งอยู่ 


 


 


ทันทีที่ออกจากวาร์ปเกตผมก็ตรงไปที่ ‘ร้านอัญมณีของท่านผู้เฒ่า’ แม้ว่าจะเย็นมากแล้ว แต่เพราะผมนึกถึงคำพูดของอันซล การรีบจัดการเรื่องที่ต้องทำและรีบกลับไปที่โมนิก้าน่าจะดีกว่า 


 


 


ถนนในมิวล์สงบเรียบร้อยดีแตกต่างกับใจของผม ผมรู้สึกกังวลมากจนทำตัวน่าขัน ถึงแม้จะเตรียมพร้อมมากแค่ไหนก็ตามที ผมมาถึงย่านการค้าที่เรียงรายด้วยตึกได้โดยปกติสุขไม่มีเรื่องร้ายอะไร แต่ก็ไม่ได้หยุดสังเกตรอบตัว 


 


 


หลังจากนั้นประมาณสิบห้านาทีเราก็มาถึงร้านอัญมณีที่เป็นจุดหมาย เมื่อผลักประตูไม้ที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนเข้าไปก็เห็นท่านผู้เฒ่ากำลังอ่านสมุดบันทึกอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนจะตั้งใจมากจนไม่รับรู้การมาเยือนของผมเลย 


 


 


“ท่านผู้เฒ่า” 


 


 


“หะ หือ” 


 


 


ทันทีที่ได้ยินเสียงของผม ท่านผู้เฒ่าซึ่งละสายตาจากสมุดบันทึกพลางถอนหายใจก็หันมามอง เมื่อเราสบตากันประมาณสามวินาที ดวงตาของท่านผู้เฒ่าก็เบิกกว้าง 


 


 


“นะ นายเองเหรอ” 


 


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ สุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหมครับ” 


 


 


“…ยังใช้คำทักทายแปลกๆ นั่นอยู่อีกเหรอ” 


 


 


“ฮ่าๆ ดีใจที่คุณจำได้นะครับ ผมก็ไม่ได้ใช้บ่อยๆ หรอกครับ” 


 


 


“งั้นเหรอ ช่วงนี้นายน่าจะยุ่งๆ นี่ มาทำอะไรที่นี่ล่ะ หรือที่นี่มีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ หึๆ” 


 


 


ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ลุกขึ้นและเชิญให้เรานั่งด้วยตัวเอง ผมส่งยิ้มเล็กน้อยและนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับสมาชิกเผ่า 


 


 


“แต่ก็ดีใจนะที่เห็นนายยังอยู่ดี” 


 


 


“ครับ ผมมาตามที่สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ แล้วก็มีธุระที่เมืองอื่นนิดหน่อยเลยต้องแวะไป” 


 


 


“โอ้ นายมาถึงที่นี่เพราะสัญญาเล็กๆ น้อยๆ นั่น…คงมีเรื่องค้างคาใจล่ะสิ” 


 


 


“อ้า คุณรู้ด้วยเหรอครับ” 


 


 


เรื่องที่ค้างคาใจน่าจะหมายถึงเหตุการณ์การปะทะกับตัวแทนเผ่า เมื่อผมถามด้วยความสงสัย ท่านผู้เฒ่าก็พยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร 


 


 


“ตอนนั้นเสียงดังเอะอะทีเดียว มันเป็นเรื่องปกติที่พวกตัวแทนเผ่าจะปะดาบกันงั้นเหรอ” 


 


 


“ครับ ไม่ทราบว่าตอนนั้นมีคนที่ท่านผู้เฒ่ารู้จัก…” 


 


 


“ไม่มีหรอก โชคดีที่ในภายหลังมันถูกจัดว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ลำบากน่าดู” 


 


 


ท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนเรื่องได้อย่างแนบเนียน ผมพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าผลการตัดสินว่าปราศจากความผิดจะออกมาแล้ว ผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่มันเป็นหัวข้ออ่อนไหวสำหรับเรื่องราวต่อจากนี้ไป 


 


 


ความเงียบปกคลุมครู่หนึ่ง ผมเหลือบตามองชั้นวางของโดยไม่ได้ตั้งใจ บนชั้นวางของนั้นมีสมุดบันทึกที่ท่านผู้เฒ่ากำลังอ่านเมื่อกี้วางไว้อย่างเรียบร้อย 


 


 


“ว่าแต่คุณกำลังอ่านอะไรอยู่เหรอครับ คุณตั้งใจอ่านมากจนไม่สังเกตเลยว่าพวกเราเข้ามาในร้าน” 


 


 


“หือ พูดถึงอะไรเหรอ ไม่มีอะไรนี่! อย่า อย่าดูนะ” 


 


 


ท่านผู้เฒ่ารีบกวาดกองสมุดบันทึกมารวมกัน แต่ดวงตาของผมเห็นเนื้อหาบางส่วนของสมุดบันทึกแล้ว และในบันทึกที่วางอยู่บนชั้นก็เขียนเนื้อหาเกี่ยวกับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไว้ทั้งหมด 


 


 


“อะแฮ่มๆ” 


 


 


“…” 


 


 


จู่ๆ ผมก็เกือบจะหัวเราะออกมา ท่านผู้เฒ่ารีบปิดสมุดบันทึกแต่ต้นคอเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับรับรู้ว่าผมเห็นทั้งหมดนั่นแล้ว ผมควบคุมลมหายใจพลางกลั้นยิ้มและพูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“อาจจะกะทันหันไปสักหน่อย แต่ถ้าตอนนั้นคุณไปด้วยกันก็คงจะดีนะครับ” 


 


 


“พะ พูดอะไรน่ะ ดูเหมือนนายจะเข้าใจอะไรผิดนะ ฉันก็แค่อ่านมันแก้เบื่อเท่านั้นเอง” 


 


 


“โอ้ งั้นเหรอครับ” 


 


 


“ชะ ใช่แล้ว ช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าก็เลย…” 


 


 


“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะครับ ผมก็แค่พูดเฉยๆ ว่าถ้าตอนนั้นคุณไปกับผมก็คงจะดีเท่านั้นเอง” 


 


 


ผมได้ยินเสียงหัวเราะจากทางซ้ายและทางขวา พวกเขาไม่มีความอดทนเท่าผมหรอก 


 


 


“ไอ้เด็กนี่ ช่วงที่ไม่เจอกันปากกล้าขึ้นเยอะเลยนะ ทั้งที่ตอนนั้นดูสบายๆ และมีจิตใจที่มุ่งมั่นแท้ๆ” 


 


 


“ผมล้อเล่นครับ” 


 


 


ล้อเล่นครั้งเดียวก็กลายเป็นไอ้หนุ่มที่ไม่มีความมุ่งมั่นไปเสียแล้ว 


 


 


อย่างไรก็ตามบรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี เนื่องจากเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้ง บทสนทนาประมาณนี้ก็ถือว่าใช้ได้ ตอนนี้ถึงเวลาเข้าเรื่องแล้ว 


 


 


“คิมฮันบยอล” 


 


 


เมื่อผมกวักมือเรียก คิมฮันบยอลก็ลุกขึ้นและเดินมาอยู่ข้างๆ หล่อนเว้นระยะเล็กน้อยและหยุดเดิน เมื่อยื่นมือไปจับแขนก็รู้สึกว่าหล่อนสะดุ้งเล็กน้อย ผมค่อยๆ ดึงคิมฮันบยอลเข้ามาหาตัวและหันไปพูดกับท่านผู้เฒ่า 


 


 


“ท่านผู้เฒ่าครับ เด็กคนนี้คือจองขมังเวทอัญมณี ฮันบยอล ทักทายท่านสิ” 


 


 


“อ๊ะ สวัสดีค่ะ” 


 


 


ถึงจะตะกุกตะกักเล็กน้อยแต่คิมฮันบยอลก็โค้งตัวอย่างสุภาพ ท่านผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางขยับแว่นขึ้น จากนั้นก็ยิ้มบางๆ 


 


 


“โอ้ แม่สาวน้อยที่ดูเก่งกาจนี่คือจอมขมังเวทอัญมณีงั้นเหรอเนี่ย อืม ยินดีที่ได้รู้จัก นายพาตัวนำโชคมาจากเผ่าสิงโตทองสินะ สุดยอดไปเลย” 


 


 


“อ๊ะ คุณทราบเรื่องนั้นด้วยเหรอครับ” 


 


 


“ฮึ!” 


 


 


ท่านผู้เฒ่าพ่นลมหายใจแรงพลางจ้องผมเขม็ง 


 


 


 


 


 


ความมืดมิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจากปลายขอบฟ้าสีแดง ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกและยามสนธยาก็มาเยือน เป็นเวลาเตรียมพร้อมสำหรับคืนมืดมิดที่กำลังจะมาถึง 


 


 


ถนนที่เคยคึกคักไปด้วยผู้คนจนถึงเมื่อครู่เริ่มบางตา ผู้ที่ใช้เส้นทางในช่วงเย็นแบบนี้มุ่งหน้าไปสามที่เท่านั้น คือโรงเตี๊ยมสำหรับพักผ่อน ร้านขายเหล้า หรือไม่ก็พวกค้าประเวณี ถึงแม้ว่าไฟอาคารในย่านการค้าจะไม่ดับไปทั้งหมดแต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้คนถือว่าน้อยลงมาก 


 


 


“ซูฮยอน คิดอะไรอยู่เหรอคะ” 


 


 


เมื่อหันไปตามเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นก็เห็นโกยอนจูกำลังยืนพิงกำแพงร้านอัญมณีเช่นเดียวกับผม 


 


 


ตอนนี้ผมและโกยอนจูออกมาจากร้านอัญมณีครู่หนึ่ง แน่นอนว่าอยู่ข้างในก็ได้แต่ผมคิดว่าท่านผู้เฒ่ากับคิมฮันบยอลน่าจะคุยกันได้สบายใจมากกว่า 


 


 


แน่นอนว่าผมมีจุดประสงค์ จุดประสงค์นั้นก็เพื่อคุยกับโกยอนจูแค่สองคนเท่านั้น ดังนั้นตำแหน่ง(?)ของอันซลจึงเป็นปัญหา โชคดีที่ผมสามารถออกมาได้โดยอนุญาตให้เธอเดินดูในร้านที่เต็มไปด้วยอัญมณีเงียบๆ 


 


 


“ผมมีเรื่องที่ต้องคิดสักหน่อยครับ” 


 


 


“งั้นเหรอครับ ว่าแต่คุณรู้จักกับคุณตาคนนั้นได้ยังไงเหรอ” 


 


 


“ผมรู้จักเขาตอนที่เราอยู่ที่มิวล์ เขาดีกับผมมากเลย” 


 


 


“คุณก็มีมุมน่ารักๆ ต่างจากภายนอกที่เห็นนะคะเนี่ย โฮะๆ ฉันตกใจจริงๆ นะคะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคลาสหายากที่ชื่อ ผู้ประเมินอัญมณีด้วย” 


 


 


“จริงเหรอครับ” 


 


 


หลังจากบอกไปว่าคิมฮันบยอลคือจอมขมังเวทอัญมณี ท่านผู้เฒ่าก็เปิดเผยคลาสของตัวเองทันที แน่นอนว่าผมทำเป็นประหลาดใจทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่สมาชิกเผ่าดูจะตกใจมากที่มีคลาสหายากซึ่งไม่ใช่คลาสต่อสู้ แม้แต่โกยอนจูก็ตกใจเช่นกัน 


 


 


แต่ผมก็ไม่คิดว่าพวกทูตสวรรค์สร้างคลาสผู้ประเมินอัญมณีขึ้นมาเฉยๆ แน่ มันเป็นคลาสหายากที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์บางอย่างไม่ใช่เหรอ 


 


 


ถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น แต่ดูเหมือนจะสามารถจับคู่กับคลาสจอมขมังเวทอัญมณีได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าจะไม่ได้สร้างมาเพื่อการนั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการชวนท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมเผ่าจะเป็นประโยชน์ต่อเผ่าในภายหลัง 


 


 


อย่างไรก็ตามผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง แต่การเข้าร่วมเผ่าของท่านผู้เฒ่าก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน ยิ่งไปกว่านั้นขอบข่ายของเผ่าก็ยังไม่ใหญ่มากนัก การคิดจะดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นการคิดล่วงหน้ามากเกินไป 


 


 


ผมจัดการความคิดคร่าวๆ และหันไปด้านข้างก็เห็นโกยอนจูกำลังก้มหน้าขยับเท้าไปมา ผมมองหล่อนครู่หนึ่งและพูดเสียงเบา 


 


 


“โกยอนจู” 


 


 


“คะ” 


 


 


โกยอนจูตอบรับด้วยรอยยิ้มที่งดงาม ดวงตาสีเทาอ่อนจับจ้องมาที่ผม เมื่อสบตาคู่นั้นนิ่งๆ จากนั้นผมก็ก้มลง ผมไม่เห็นความผิดหวังในตัวผมในดวงตาคู่นั้นเลยสักนิด 


 


 


“ที่จริง ผมไม่ได้คิดจะแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของโกยอนจูเลยนะ” 


 


 


“ซูฮยอนคะ” 


 


 


“อีสตันเทลลอว์เป็นเผ่าที่สำคัญและผมก็ไม่อยากจะเสแสร้งมากนัก ผมพูดได้แค่นี้ครับ แล้วผมไม่คิดจะพูดอีกเป็นครั้งที่สอง โทษทีนะครับที่ผมพูดไร้สาระออกมา” 


 


 


“…” 


 


 


โกยอนจูดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง แต่จากนั้นหล่อนก็ยิ้มบางๆ และขยับเข้าใกล้ผม 


 


 


“ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะคะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ไม่ต้องขอโทษก็ได้ค่ะ” 


 


 


โกยอนจูพูดด้วยแววตาลึกซึ้งและหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยการล้อเล่น ท่าทางหล่อนต้องการให้พอเท่านี้ แต่ผมก็ค่อยๆ โอบกอดหญิงสาวเอาไว้ 


 


 


“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ซูฮยอนอยากให้ฉันเห็นด้านที่ฉันยังไม่รู้จักของคุณจริงๆ เหรอคะ เอาแต่ทำแบบนั้นมันน่าอายนี่นา ฉันต้องเป็นฝ่ายยั่วยวนคุณก่อนสิ ใช่ไหม” 


 


 


ผมเพียงแค่อยากจะแสดงความจริงใจเท่านั้น แต่โกยอนจูปิดปากผมเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็จิ้มลงบนแผ่นอกของผม จากนั้นหล่อนก็จับมือผมดึงไปทางประตูร้านอัญมณี 


 


 


“แค่ทำดีกับฉัน ไม่ใช่คุณฮายอนก็พอค่ะ~ แต่ว่าตอนนี้พอเท่านี้แล้วเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ” 


 


 


“เอ๊ะ พวกเขาอาจจะยังคุย…” 


 


 


“คุยกันจบแล้วค่ะ ที่จริงฉันแอบฟังมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” 


 


 


พลั่ก! 


 


 


ในตอนนั้นเองเมื่อพวกเราเข้าใกล้ประตู บานประตูร้านก็ถูกเปิดออกมาโดยไม่คาดคิด คิมฮันบยอลยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย 


 


 


“พี่คะ คุยกันจบแล้ว…ค่ะ” 


 


 


หล่อนขึ้นเสียงสูงที่ท้ายประโยคเมื่อเห็นพวกเรายืนอยู่หน้าประตู 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 16

 

ชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากป่า เขามองไปรอบๆ ด้วยแววตาเฉียบคมและโบกมือเบาๆ 


 


 


ในไม่ช้าพวกผู้เล่นหลายร้อยคนก็ค่อยๆ ออกมาจากป่า 


 


 


ชายผู้นั้นหันไปทางผู้เล่นที่ยืนอยู่ด้านหลัง สายตาของชายหนุ่มที่มองพวกเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ 


 


 


“คิมคับซู แพคซอยอน” 


 


 


เขาขานชื่อออกมาเบาๆ สองชื่อ จากนั้นชายหนุ่มกล้ามโตท่าทางดุดันกับหญิงสาวที่สวมกางเกงรัดรูปก็ค่อยๆ เดินออกมาด้านหน้า 


 


 


“เมื่อวานนี้ฉันได้รับการติดต่อจากกองทัพ ถึงจะแจ้งล่วงหน้ามาแล้ว แต่ต้องลงมือตามแผนก่อนจะพ้นคืนนี้ กระจายข่าวไปยังแต่ละกองทัพ แต่ละหน่วยที่รับผิดชอบทั้งหมดแล้วใช่ไหม” 


 


 


“เรียบร้อยครับ” 


 


 


“แน่นอน~” 


 


 


ชายหนุ่มซึ่งพยักหน้าให้กับคำตอบที่น่าพอใจหันไปทางชายผู้น่ากลัว คิมคับซู 


 


 


“คิมคับซู พวกพนักงานภายในเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


“ตอนนี้ทุกคนกำลังรอคอยด้วยความตื่นเต้นอยู่ใกล้กับประตูทิศเหนือและวาร์ปเกต และเมื่อประตูทิศเหนือถูกเจาะทะลวง เราจะเปิดประตูแต่ละบานและเข้ายึดวาร์ปเกตครับ” 


 


 


“ดี ฉันจะนำกองทัพไปที่ประตูทิศเหนือก่อน ต้องพังประตูทิศเหนือและเข้าไปก่อกวนด้านในสักพัก ตอนที่เจาะประตูได้แล้ว นายก็เริ่มเข้ายึดประตูทิศตะวันตกได้เลย ส่วนวาร์ปเกต…บอกแล้วแน่นะ” 


 


 


“ครับ ผมบอกไปแล้วแน่นอน ไม่ต้องกังวลครับ” 


 


 


คราวนี้เขาหันไปทางหญิงสาวบ้าง 


 


 


“ซอยอน อันที่จริงฉันยังไม่แน่ใจว่าจะยกหน้าที่นี้ให้เธอดีหรือเปล่า” 


 


 


“แหม เสียใจนะเนี่ย ไม่เชื่อในความสามารถของฉันเหรอคะ” 


 


 


“ความสามารถไม่ใช่ปัญหาหรอก เธอน่ะใจดีเกินไป ไม่เหมือนพวกเร่ร่อนสักเท่าไหร่” 


 


 


“มั่นใจในผลลัพธ์ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ต้องเป็นห่วงและยกให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ เพราะฉันจะไปถึงวาร์ปเกตและพังประตูทิศตะวันออกก่อนฮยอนหรือคับซูแน่นอน” 


 


 


หญิงสาวที่ชื่อซอยอนพยักหน้าพลางหมุนมีดสั้นราวกับมั่นใจมาก คิมคับซูขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเหลือบมองแววตาของฮยอนแล้ว เขาก็คลายสีหน้า 


 


 


“จำเอาไว้ให้ดี นี่คือสงคราม ตราบใดที่มันเป็นสงคราม เราไม่มีทางอื่นนอกจากความตาย ถ้าหากบุกไปมั่วๆ ไม่มีแผนรองรับเหมือนคราวนั้นอีก…” 


 


 


“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ~” 


 


 


“…เข้าใจแล้ว แล้วก็หลังเปิดประตูทิศใต้เอาไว้ ฉันอยากจะฆ่าพวกมันทั้งหมดไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว ถึงอย่างนั้นก็ต้องเหลือไว้เจาะเส้นทางให้ เหมือนที่พวกมันทำ” 


 


 


ฮยอนหยุดพูดและหันกลับมา จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับใบมีด 


 


 


“คิมคับซู แพคซอยอน ตอนนี้พากองทัพแต่ละหน่วยของเราไปยังจุดหมาย ฉันจะให้สัญญาณ เพราะฉะนั้นระวังอย่าทำเกินกว่าคำสั่งเด็ดขาด” 


 


 


เมื่อพูดจบ คิมคับซูและแพคซอยอนก็แยกเป็นสองทางอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวนับพันในป่าก็แยกออกเป็นสองทางเช่นเดียวกัน 


 


 


นี่กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้แค้น 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“คุยกันเป็นไงบ้างครับ” 


 


 


ทันทีที่เข้ามาด้านในร้านอัญมณีอีกครั้งจากการบอกเล่าของคิมฮันบยอล ผมก็ได้เห็นท่านผู้เฒ่ายิ้มบางๆ ดูจากที่เขาพยักหน้าแล้ว น่าจะพอใจมากทีเดียว 


 


 


ท่านผู้เฒ่ายิ้มอารมณ์ดีและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 


 


 


“อืม เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในช่วงนี้เลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่ดึงพลังของอัญมณีออกมาน่ะ เป็นผลงานชิ้นเอกเลยทีเดียว” 


 


 


“ฉันได้รับการสั่งสอนมามากค่ะ คุณเองก็มีความรู้เกี่ยวกับอัญมณีเป็นอย่างดีเลยนี่คะ” 


 


 


ท่านผู้เฒ่าและคิมฮันบยอลต่างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า ที่จริงเวลาที่ผมออกไปข้างนอกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนในเวลานั้นทั้งคู่จะเข้ากันได้ดี 


 


 


‘ดูท่าจะเข้ากันได้ดี’ 


 


 


มันไม่ใช่เรื่องไม่ดี ผมจึงสามารถยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนได้ 


 


 


ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นอยู่และมองไปที่หน้าต่าง แสงเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ใกล้จะมืดแล้ว ผมอยากไปจากที่นี่ภายในวันนี้ ดังนั้นการรีบการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วน่าจะดีกว่า 


 


 


“ผมทำตามที่สัญญาแล้ว ถ้างั้น…ตอนนี้คิดยังไงเหรอครับ” 


 


 


“หือ นายพูดถึงอะไรเหรอ” 


 


 


“แกล้งทำเป็นไม่รู้สินะครับ ผมอยากฟังคำตอบในตอนนั้นอีกครั้งครับ” 


 


 


“อืม…” 


 


 


อาจจะดูหน้าทนไปบ้างแต่ผมก็ยังคิดอยู่และความคิดนั้นก็เปลี่ยนเป็นความมั่นใจเมื่อเห็นสมุดบันทึกที่ถูกวางไว้บนชั้นวางของบนตอนที่เข้ามาที่นี่ที่แรก เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำพูดของผม สีหน้าของท่านผู้เฒ่าก็พลอยจริงจังไปด้วย 


 


 


เวลาผ่านไปเล็กน้อย ท่านผู้เฒ่าจึงค่อยๆ เปิดปากพูด 


 


 


“พูดตามตรงนะ ข้อเสนอของนายตอนนั้นมันสุดขั้วไปหน่อย” 


 


 


“แต่คุณบอกว่าอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือเงียบๆ” 


 


 


“ใช่แล้ว และตอนนี้ฉันก็ยังไม่เปลี่ยนใจนะ แต่ว่า…” 


 


 


จนถึงตอนนี้ก็เป็นคำตอบเดียวกับตอนนั้น แต่ดูเหมือนเขาจะยังพูดไม่จบ ยังเร็วเกินไปที่จะผิดหวัง 


 


 


ผมรอฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


“เป็น…เพราะนาย ฉันถึงได้คุยกับยายหนูอัญมณีและฉันก็รู้สึกดีที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับอัญมณี” 


 


 


“คิมฮันบยอลก็คงได้เรียนรู้อะไรมากมายเหมือนกันครับ” 


 


 


“เฮ้อ ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะไม่รู้ว่านายคิดยังไง ฉันขอบคุณที่นายให้ความสนใจกับคนเฒ่าคนแก่ แล้วก็เกรงใจด้วย…คือ…ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่ฉันพอช่วยได้…แน่นอนว่าคราวที่แล้วฉันพูดไว้ว่าอยากจะใช้ชีวิตเงียบๆ แต่…” 


 


 


พูดวกวนมา 


 


 


แววตาเฉียบคมตอนที่พิจารณาอัญมณีแต่ก่อนนี้หายไปไหนแล้วนะ คำพูดสลับไปสลับมาจนมั่วไปหมด ผมเอียงคอมองโดยไม่ตอบอะไร แต่แล้วก็เข้าใจความนัยของท่านผู้เฒ่า 


 


 


ตอนนี้ท่านผู้เฒ่ากำลังรู้สึกผิด เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ในตอนนั้นกับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ในตอนนี้แตกต่างกันมากจนไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ หรืออีกอย่างก็คือ เขาคงรู้สึกอายที่จะยอมรับคำขอในตอนนี้ที่รากฐานของเรามั่นคงแล้ว ทั้งที่ตอนนั้นปฏิเสธไป 


 


 


‘ท่านผู้เฒ่าก็มีด้านที่ใสซื่อเหมือนกันแฮะ’ 


 


 


ผมยิ้มบางๆ และพูดเสียงเบา 


 


 


“โดยส่วนตัวแล้วผมเคารพความคิดเห็นของท่านผู้เฒ่าครับ คุณอยากจะใช้ชีวิตในสถานที่เงียบสงบ ผมก็ไม่สามารถบังคับให้คุณเปลี่ยนใจได้ แต่จะยอมละทิ้งไปแบบนั้นได้เหรอครับ” 


 


 


“ละทิ้งเหรอ หมายความว่ายังไง” 


 


 


“ผมไม่ได้ขอให้ท่านผู้เฒ่ามีส่วนร่วมในการเดินทางในอนาคต หรือการออกสำรวจ ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ แค่ย้ายที่อยู่เท่านั้นเองครับ เมื่อกี้คุณบอกว่าไม่ค่อยมีลูกค้าและรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ถ้าคุณมาที่เมอร์เซนต์นารี่ คุณจะไม่เบื่ออีกต่อไปครับ ผมมีเรื่องที่ต้องใช้ฝีมือของท่านผู้เฒ่าเยอะแยะเลยครับ” 


 


 


“อะแฮ่ม” 


 


 


ผมพูดไปหมดแล้ว ปูทางไว้ขนาดนี้ ก็เหลือแค่คำตอบของท่านผู้เฒ่า 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น…” 


 


 


“ครับ” 


 


 


“ก็ถ้านายพูดถึงขนาดนั้นแล้ว…อะแฮ่ม ที่แคลนเฮาส์ของนายมีห้องว่างสักห้องไหมล่ะ” 


 


 


แค่คำๆ เดียวยากอะไรขนาดนี้นะ ท่านผู้เฒ่าเหล่มองไปทางอื่นและกระแอมไอ แต่ผมตอบกลับไปด้วยความยินดีที่ในที่สุดก็สำเร็จสักที 


 


 


“มีห้องว่างเหลือแน่นอนครับ” 


 


 


“อะแฮ่ม! งั้นก็ได้” 


 


 


“ยินดีต้อนรับสู่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครับ” 


 


 


ได้ยินเสียงสมาชิกเผ่าปรบมือเบาๆ จากด้านข้าง เมื่อยื่นมือขวาออกไป ท่านผู้เฒ่าก็หันมามองผม บนใบหน้าของท่านผู้เฒ่าที่สบตากับผมมีความเคอะเขิน 


 


 


“…ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วย” 


 


 


ท่านผู้เฒ่าพึมพำเสียงเบาพลางจับมือผม แม้จะเป็นมือที่มีแต่รอยเ**่ยวย่น แต่ก็เป็นมือที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ เมื่อจับเสร็จแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็มองทั่วร้านอัญมณีอย่างเสียดาย 


 


 


“หึๆ ถ้าจะทำความสะอาดที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ร้านเล็กๆ ก็คงทำเสร็จแหละ ถ้างั้น….” 


 


 


“ท่านผู้เฒ่า พูดแล้วก็ทำเลยดีไหมครับ” 


 


 


“หือ” 


 


 


“ผมหมายถึงตอนนี้เลย ผมและสมาชิกเผ่าจะช่วยคุณเอง เราไปจากที่นี่และเก็บของที่จำเป็นเพื่อไปโมนิก้าดีไหมครับ” 


 


 


ท่านผู้เฒ่าเบิกตากว้างและจับจ้องผม เมื่อได้ยินคำขอร้องที่แสนกะทันหันของผม 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ลมหนาวพัดผ่านและรอบด้านค่อยๆ มืดลง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม สภาพอากาศเหนียวเหนอะน่ารำคาญใจ ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก 


 


 


เป็นไปตามคาด เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงบนพื้นดินชื้นๆ หยดน้ำฝนกระหน่ำลงมา ทำให้พื้นดินชื้นแฉะกลายเป็นโคลนไปในพริบตา 


 


 


เปาะแปะ เปาะแปะ 


 


 


“ฮึ่ม ชิ” 


 


 


เสียงฝนตกค่อยๆ ดังขึ้น ตอนนั้นเองชายคนหนึ่งซึ่งคู้ตัวอยู่ที่มุมหนึ่งก็ลุกขึ้นมา เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความง่วงงุน จากนั้นก็ถอนหายใจ 


 


 


“เฮ้อ ฮยองชานเอ๊ย ฮยองชาน ทำไมนายถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้นะ” 


 


 


ชายที่เรียกตัวเองว่าฮยองชานยืนเคว้งคว้างท่ามกลางสายฝนครู่หนึ่ง แต่เมื่อน้ำฝนทำให้เสื้อผ้าของเขาเป็นรอยและภายในเปียกชื้น เขาก็เริ่มออกเดินเงียบๆ 


 


 


เสื้อผ้าบนตัวฮยองชานขาดรุ่งริ่งและมีสภาพซอมซ่อมาก เขาเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายเพื่อหาที่หลบฝน เขาแค่เดินวนไปวนมาราวกับยังไม่เจอสถานที่ที่เหมาะสม 


 


 


ในขณะที่สภาพของเขาเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำเพราะฝนที่เทกระหน่ำลงมา ฮยองชานก็เดินผ่านถนนกลางคืนซึ่งเต็มไปด้วยร้านเหล้า แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางคืนแต่ตามร้านรวงก็ยังเปิดไฟสว่างและมีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านใน 


 


 


บนถนนร้านเหล้ามีกลิ่นอาหารเลิศรสโชยออกมา ฮยองชานสูดจมูกฟุดฟิดพลางลูบท้องที่กำลังส่งเสียงโครกคราก 


 


 


พลั่ก! 


 


 


เขาสูดจมูกอยู่หน้าร้านที่มีกลิ่นอาหารหอมน่ากินมากที่สุด จู่ๆ ประตูก็เปิดออกจนมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง พวกเขามองฮยองชานแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็วพลางพูดคุยกันกระหนุงกระหนิง 


 


 


“พี่คะ เราจะไปไหนกันเหรอ” 


 


 


“ก็คราวก่อน มีที่ที่เธอบอกว่าอยากจะไปสักครั้งนี่นา” 


 


 


“ที่นั่นเหรอ จริงเหรอ แต่ว่ามันแพงมากเลยนะ” 


 


 


“ไม่ต้องห่วง วันนี้ฉันได้เงินมาเยอะเลย เรารีบไปก่อนที่จะเปียกฝนดีกว่า” 


 


 


ฮยองชานมองทั้งสองคนที่เดินหายวับไปด้วยแววตาอิจฉาพลางกัดริมฝีปาก 


 


 


“โชคดีจังนะ บางคนไม่มีเงินจะพักโรงแรมถูกๆ ด้วยซ้ำ บางคนก็เหมือนนัง…เฮ้อ” 


 


 


ฮยองชานแอบเมียงมองในร้านเหล้าและเส้นทางที่สองคนนั้นเดินหายไปอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อมองดูแล้วไม่พบอะไร เขาก็เริ่มเดินไปเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง 


 


 


ต้องเดินแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ฮยองชานหยุดเดินกะทันหันเพราะฝนที่ตกลงมาแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปข้างหน้า ด้านหน้ามีประตูเก่าๆ กับกำแพงโทรมๆ รอบบริเวณกำแพงมีคนที่มีสภาพไม่ต่างจากฮยองชานจำนวนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ 


 


 


คราวนี้ฮยองชานมองไปที่ประตู ทหารเวรยามสองคนกำลังเฝ้าสองฝั่งประตูท่ามกลางฝนที่ตกหนัก เขาจิ๊ปากรับรู้สถานการณ์ของตัวเองได้ทันทีจึงถอนหายใจออกมา 


 


 


ตอนนั้นเอง 


 


 


ฉึก! 


 


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงแหวกผ่านอากาศรุนแรงมาจากที่ไหนสักที่ 


 


 


ฉึก! 


 


 


“อึ่ก!” 


 


 


“อึ่ก!” 


 


 


ฮยองชานขมวดคิ้วเล็กน้อยกับเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้ยินเสียงร้องออกมา เขาก็เงยหน้าขึ้น 


 


 


“อะ อะไรน่ะ เกิดอะไร…” 


 


 


แม้จะหันไปมองรอบๆ แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ทั้งสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างแรง ทั้งพวกผู้เล่นที่หลบฝนริมกำแพงและทหารยามที่ยืนเฝ้าประตู… 


 


 


“หือ”  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 17

 

ดวงตาของฮยองชานซึ่งมองไปที่ประตูเบิกกว้าง เมื่อครู่นี้ทหารยามยังยืนเฝ้าประตูอย่างแข็งขัน แต่ตอนนี้พวกเขาล้มลงบนพื้นและไม่ขยับเขยื้อน ที่คอของแต่ละคนมีลูกธนูปักอยู่ เลือดที่ไหลออกมานั้นปะปนกับน้ำฝนและค่อยๆ แผ่เป็นวงกว้าง 


 


 


ละสายตาไปเพียงชั่วขณะ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปมาก ฮยองชานขยี้ตาเล็กน้อยราวกับสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องโกหก และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมองประตูอีกครั้ง 


 


 


ฉึก! 


 


 


ลูกธนูพุ่งมาอีกดอก ฮยองชานเอี้ยวตัวไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ ลำแสงเยือกเย็นโฉบผ่านลำคอของเขาไป เขาหันไปยังทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา 


 


 


ตรงบริเวณใกล้กับประตู เงาที่มองไม่เห็นจำนวนมากกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 


 


 


“เอ๋ เขาหลบได้เหรอ” 


 


 


“เจ้าโง่ หมอนั่นยิงไม่โดนต่างหาก” 


 


 


“ก็คงงั้น เอาล่ะ ไปกันเถอะ” 


 


 


ฮยองชานหยุดการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ ผู้เล่นที่กระจัดกระจายไปทั่ว คนที่เขาคิดว่าเหมือนกับตนกำลังลุกขึ้นทีละคนสองคน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายขยับเข้ามาจากทุศทิศทางพร้อมกับเสียงสายฝน เขาค่อยๆ หันไปทางกำแพงข้าๆ ที่นั่นมีผู้เล่นกำลังเล็งธนูมาที่เขา 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


ฮยองชานกรีดร้องและหันหลัง จากนั้นก็วิ่งหนีตาลีตาเหลือก ผู้เล่น ไม่สิ พวกเร่ร่อนเล็งไปที่ด้านหลังของเขา 


 


 


“ทำอะไรอยู่น่ะ รีบๆ ยิงไปสิ” 


 


 


“อ้อ รอเดี๋ยวสิ ยังไงก็พังประตูได้แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นตอนนี้เรามาเริ่มไล่ล่ากันเถอะ” 


 


 


“ยิงไปก่อนเถอะน่า รอสัญญาณ… อ้า ไม่สนใจอยู่แล้วสินะ” 


 


 


“ถูกต้อง จัดการไปเลยแล้วกัน” 


 


 


พวกเร่ร่อนฉีกยิ้มให้กับการเร่งเร้าของพรรคพวกพร้อมกับเล็งธนูขึ้นไปบนท้องฟ้า แขนของเขาสั่นระริกราวกับกำลังรวบรวมพลังเวท จากนั้นก็เปล่งเสียงพลางปล่อยลูกธนูที่ติดอยู่กับคันศรออกไป 


 


 


“ฮึ้บ!” 


 


 


ลูกธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นลำแสงนับสิบและพุ่งตัวขึ้นไปกลางอากาศ 


 


 


ลำแสงที่พุ่งไปบนท้องฟ้าหยุดเคลื่อนไหวครู่หนึ่งกลางอากาศ จากนั้นก็โค้งงอและเริ่มพุ่งลงพื้นเหมือนกับลูกธนู 


 


 


ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม! 


 


 


ในขณะที่ลำแสงยิงลงมาบนพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น ดินโคลนมากมายก็สาดกระจายไปทั่วทุกทาง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะถูกจัดการเรียบร้อยแล้วนะครับ” 


 


 


“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ขอบใจนะ” 


 


 


“แค่ยัดมันลงถุงผ้าไป น่าจะเสร็จเร็วขึ้นนะครับ” 


 


 


“อย่าพูดชุ่ยๆ น่า เอาเป็นว่าตอนนี้แค่เอาสัมภาระไปก็พอ ปลุกแม่หนูที่นอนอยู่เถอะ” 


 


 


เมื่อพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจพลางมองดูถุงผ้าที่ถูกแบ่งตามประเภทของอัญมณีอย่างรอบคอบ ท่านผู้เฒ่าก็พึมพำด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ 


 


 


เวลาผ่านไปประมาณสามชั่วโมงแล้วตั้งแต่ผมมาถึงมิวล์ล์ ท่านผู้เฒ่าดูจะสับสนเมื่อผมชวนให้ออกเดินทางทันที โชคดีที่เขาตอบตกลง 


 


 


ร้านเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านผู้เฒ่าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร สิ่งที่เหลือก็คืออัญมณีเต็มร้านกับข้าวของส่วนตัวของท่านผู้เฒ่า แม้จะบอกให้รีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรสำหรับร้านค้าร้านหนึ่ง 


 


 


“นี่ก็จัดการเร็วที่สุดตามที่บอกไว้แต่แรกแล้ว รีบอะไรขนาดนั้น” 


 


 


“คุณตา อันนี้เอาไว้ไหนดีคะ” 


 


 


“อ้า อันนั้นส่งมาให้ฉันก็ได้” 


 


 


“พี่คะ แล้วอันนี้ล่ะ” 


 


 


“ยัยเด็กนี่! เรียกมั่วๆ ตามอำเภอใจแบบนั้นได้ที่ไหน…” 


 


 


“ฮิๆ” 


 


 


แม้จะเอาแต่บ่นพึมพำตลอดการทำความสะอาด แต่คนที่เก็บสัมภาระมายืนรอเป็นคนแรกก็คือท่านผู้เฒ่า ท่าทางอารมณ์ดีจนบางทีก็ฮัมเพลงออกมา 


 


 


หลังจากแอบลอบหัวเราะในใจและฟังโกยอนจูล้อเลียนท่านผู้เฒ่าแล้ว ผมก็เดินไปหาอันซล 


 


 


อันซลกำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ที่มุมหนึ่งในร้านอัญมณี เธอหายใจสม่ำเสมอ บางครั้งก็ละเมอดมกลิ่นด้วย 


 


 


“ฟี้~ ฟี้~ ฟืด~” 


 


 


“อันซล” 


 


 


“อืม… แผล็บๆ ฮิๆ” 


 


 


“…” 


 


 


ผมมองอันซลที่กำลังนอนหลับอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จิ้มลงที่ร่องเหนือริมฝีปากน่ารัก เด็กสาวสูดจมูกฟุดฟิดเล็กน้อยและจู่ๆ ก็แลบลิ้นเลียนิ้วที่ผมใช้แตะริมฝีปากเธอ ผมดึงมือออกด้วยความตกใจ เช็ดน้ำลายที่เปื้อนมือพลางเขย่าอันซลเบาๆ 


 


 


“หือ” 


 


 


“อันซล ตื่นได้แล้ว เราจะไปกันแล้ว” 


 


 


“อือ ท่านพี่” 


 


 


“อืม ฉันเอง” 


 


 


อันซลลืมตาขึ้นสบตากับผม แล้วโผเข้ากอดโดยไม่เขินอาย ผมรู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ที่จับแผ่นหลังของผมเอาไว้จึงตบหลังของอันซลเบาๆ 


 


 


“ว่าแต่แม่สาวน้อยที่กอดกับแคลนลอร์ดนั่นอายุเท่าไหร่น่ะ” 


 


 


“ทำไมเหรอคะ” 


 


 


“ดูเหมือนจะอายุยังน้อยนะ ฉันสงสารน่ะที่ถูกพามาที่นี่ รู้สึกเหมือนได้เจอหลานสาวของฉันเลย” 


 


 


“อายุยี่สิบค่ะ” 


 


 


“ว่าไงนะ” 


 


 


ผมยิ้มเจื่อนเมื่อได้ยินเสียงอ่อนแรงของท่านผู้เฒ่า 


 


 


อย่างไรก็ตามการทำตัวเป็นเด็กน้อยควรจะพอเท่านี้ ผมจึงผละออกจากมือที่โอบกอดหลังของผมไว้ 


 


 


“ฮือ…” 


 


 


“อันซล” 


 


 


“ท่านพี่คะ” 


 


 


“เธอเป็นอะไรเนี่ย” 


 


 


ซลไม่ยอมปล่อยมือ ไม่สิ มือของอันซลกำลังสั่นระริก ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกแปลกๆ และก้มลงสำรวจใบหน้าของเด็กสาว 


 


 


ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม! 


 


 


แว่วเสียงดังสนั่นมาจากที่ไกลๆ 


 


 


‘นี่มันไม่ปกติแล้ว’ 


 


 


ท่าทีที่แปลไม่ออกของอันซลและเสียงดังที่ได้ยินแผ่วเบา ในตอนนั้นเองความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว หลังจากบังคับให้เด็กสาวที่เกาะผมไม่ยอมปล่อยเหมือนลูกโคอาล่าผละออกไปแล้ว ผมก็วิ่งออกไปนอกประตูทันที 


 


 


ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ถนนย่านร้านค้าก็มืดสนิท แต่ทางเหนือของเมืองกลับสว่างเจิดจ้า ที่มาของแสงสว่างในเมืองนั้นก็คือเปลวไฟที่กำลังลุกโชน 


 


 


ผมขยับเท้าถีบตัวขึ้นจากพื้นโดยไม่รีรอและขึ้นมาอยู่ด้านบนตึกของร้านอัญมณี เพราะตัวอาคารต่ำจึงมองไม่เห็นทั้งหมดของเมือง แต่ก็สามารถเห็นได้กว้างกว่าตอนที่อยู่บนพื้น ผมจับจ้องไปทางทิศเหนือและใช้พลังเวทกระตุ้นการมองเห็น 


 


 


‘มันคือการบุกโจมตี’ 


 


 


แม้ว่าจะมองเห็นเพียงบางส่วน แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ผมก็รู้ทันที เงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่มาราวกับคลื่นท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน ทุกครั้งที่แสงน่าขนลุกโฉบไปมาระหว่างแสงไฟ น้ำพุเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่ว 


 


 


มันคือการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว พวกผู้เล่นที่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นถูกสังหารอย่างเ**้ยมโหดโดยลำแสงที่ยิงมาจากทุกทิศทาง ผู้รอดชีวิตที่โชคดีหลายคนหันหลังและวิ่งหนี แต่เงานั้นก็ตามติดพวกเขาได้ในพริบตา 


 


 


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! 


 


 


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! 


 


 


เสียงดังสนั่นจนแผ่นดินสั่นสะเทือนดังขึ้นอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงจากทั้งสองฝั่งและยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นเพราะออกมาข้างนอก เมื่อหันไปมาเพื่อดูทั้งทางซ้ายและขวาก็เห็นเงาจำนวนมากกำลังแห่เข้ามาจากประตูตะวันออกและประตูตะวันตก 


 


 


ในไม่ช้าเปลวไฟก็ลามมาถึงประตูตะวันตกและประตูตะวันออกอย่างรวดเร็วเหมือนกับทางทิศเหนือ ผมมองภาพนั้นด้วยความสับสน 


 


 


‘โจมตีมิวล์งั้นเหรอ ใครกัน ทำไมล่ะ’ 


 


 


สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือลางสังหรณ์ของอันซลถูกเผง ถึงแม้ว่าผมจะเตรียมการในแบบของตัวเองไว้แล้ว แต่การมุ่งเป้าไปที่ยูฮยอนอาคือปัญหา ในขณะที่หัวของผมสับสนเพราะเสียงร้องตะโกนที่กำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ ความทรงจำบางอย่างก็แวบขึ้นมาในหัว 


 


 


พวกเร่ร่อน ความคะนองของพวกทวีปตะวันตก 


 


 


หากเทียบกับในรอบแรก มันควรจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วก่อนหน้านี้และเดิมทีต้องเป็นการบุกโจมตีเมืองตะวันตกไม่ใช่มิวล์ 


 


 


“เฮ้ ไอ้หนุ่มตรงนั้นน่ะ เสียงดังหนวกหูนั่นมันอะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้น”  


 


 


ตอนที่กำลังเม้มริมฝีปากครุ่นคิดก็ได้ยินเสียงจากด้านล่าง เมื่อมองลงไปก็เห็นพวกผู้เล่นในย่านร้านค้าออกมาทีหลัง 


 


 


และผมก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้ 


 


 


‘ตั้งสติหน่อยคิมซูฮยอน!’ 


 


 


ท่ามกลางความมืดที่แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ความเมตตาปรานีหาได้ยากนัก รู้สึกได้เพียงจิตใจมุ่งร้ายของศัตรูเท่านั้น 


 


 


เกิดเรื่องขึ้นแล้ว มันไม่สายเกินไปที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในภายหลัง สิ่งสำคัญสำหรับตอนนี้คือ ต้องทำอะไรก็ได้เพื่อหลบเลี่ยงออกไปจากมิวล์ นอกจากนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ถึงจะมีโกยอนจูแต่ผมต้องพาคิมฮันบยอล อันซล รวมถึงท่านผู้เฒ่าออกจากมิวล์ด้วย 


 


 


ผู้เล่นบางคนยังคงมองมาที่ผมราวกับเฝ้ารอคำตอบ ผมไม่สนใจและลงมาที่พื้น จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปในร้านอัญมณีทันที เมื่อเข้าไปด้านในทุกคนที่รอให้ผมกลับเข้ามาก็หันมามองอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ซูฮยอน เกิดอะไรขึ้นคะ” 


 


 


“มีการบุกโจมตี” 


 


 


“เอ๋” 


 


 


“ผมจะพูดอีกครั้ง ตอนนี้มิวล์กำลังถูกโจมตี ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้บุกรุก แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกเร่ร่อน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่เป็นสถานการณ์จริง” 


 


 


ทุกคนมีสีหน้าตกใจเมื่อผมบอกว่าถูกโจมตี แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น แสงสว่างค่อยๆ เริ่มชัดเจนขึ้นพร้อมกับเสียงของผมและเสียงที่ดังต่อเนื่องจากด้านนอก แต่ไม่มีเวลาอธิบายหรือชักช้าอีกแล้ว ผมพูดต่อ 


 


 


“ท่านผู้เฒ่า เราเก็บของเท่านี้แล้วรีบไปกันเถอะครับ” 


 


 


“เข้าใจแล้ว ของสำคัญอยู่ในกระเป๋าเวทมนตร์สามใบนี้แล้ว จะไปตอนนี้เลยก็ได้” 


 


 


“ท่านผู้เฒ่าถือหนึ่งใบ อีกสองใบที่เหลือให้คิมฮันบยอลกับอันซลแบ่งกันถือนะครับ แล้วก็โกยอนจู” 


 


 


“ค่ะ” 


 


 


ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้จึงถอดเสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงินที่สวมไว้ออก ผมเดินเข้าไปหาอันซลที่ยังตัวสั่นอยู่และคลุมมันลงบนตัวของเธออย่างระมัดระวัง 


 


 


“ทะ ท่านพี่” 


 


 


“เงียบเถอะน่า ผู้เล่นโกยอนจู จากนี้ไปเราจะวิ่งไปที่วาร์ปเกตนะครับ” 


 


 


หลังจากคลุมเสื้อตัวนอกให้อันซลแล้ว ผมก็หันไปมองโกยอนจู 


 


 


“ผมจะวิ่งตรงผ่านจัตุรัสไป ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที ดังนั้นถ้าเราวิ่งเร็วก็จะไปถึงเร็วขึ้น” 


 


 


“ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณพูดถึงอะไร” 


 


 


“ดีครับ ถ้างั้นฝากหน้าที่คีปเปอร์ด้วยนะครับ” 


 


 


“เอ๊ะ…” 


 


 


โกยอนจูเอียงคอคล้ายว่าไม่เข้าใจคำพูดสุดท้ายเล็กน้อย ผมสูดหายใจและพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม 


 


 


“ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง ผมจะนำทางเอง แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีจากทางไหน ดังนั้นโกยอนจูต้องคุ้มครองทั้งสามคนให้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องปกป้องผมหรอกครับ” 


 


 


“จะบอกว่าไม่ต้องช่วยคุณงั้นเหรอคะ” 


 


 


“ไม่มีเวลาอธิบายรายละเอียดแล้ว หน้าที่คีปเปอร์สำคัญที่สุด จำไว้นะครับ” 


 


 


“…สำคัญที่สุด เข้าใจแล้วค่ะ” 


 


 


ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยแต่โกยอนจูก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย เมื่อพูดคุยกับหญิงสาวเสร็จแล้ว ผมก็มองสามคนที่เหลือ พวกเขาสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่คนละใบ 


 


 


“จากการคำนวณของผม ถ้าเราวิ่งจากที่นี่ไปถึงวาร์ปเกตโดยไม่หยุดพัก เราจะไปถึงที่นั่นได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่น่าตกใจนี้ แต่หวังว่าทุกคนจะพยายามและตามผมมา” 


 


 


หลังจากพูดจบผมก็จับจ้องที่อันซล ที่จริงแล้วเรื่องที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเธอ อันซลจับเสื้อนอกที่ผมคลุมให้ไว้แน่นด้วยมือทั้งสอง น้ำตาที่เอ่อคลอดวงตากลมจวนเจียนจะไหลรอมร่อ แต่ท่าทางเธอจะพยายามกลั้นมันเอาไว้ 


 


 


ผมมองอันซลครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก  


 


 


มันคือจุดเริ่มต้นของการหนีเอาตัวรอด  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 18

 

หลังจากออกมานอกร้านอัญมณีแล้ว ผมก็วิ่งไปทางจัตุรัส ระหว่างทางก็ถูกพวกผู้เล่นบางคนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ยื้อเอาไว้ แต่ผมก็สะบัดออกอย่างแรงและวิ่งต่อ  


 


 


พวกมันบุกโจมตีที่ประตูเหนือก่อนและตามด้วยประตูตะวันออกกับประตูตะวันตก ถึงวาร์ปเกตจะไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็อยู่ใกล้กับจัตุรัสกลาง 


 


 


ถ้าดูจากเมื่อครู่แล้ว จะเห็นได้ว่าการจู่โจมของผู้บุกรุกประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้มีพวกผู้เล่นที่ต้านทานได้ส่วนหนึ่งทยอยออกมาแล้ว ไม่หรอก ไม่ถึงขนาดต้านทานได้ แต่ถึงจะเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว การจะจัดการฆ่าคนเหล่านั้นก็ต้องใช้เวลา หากพิจารณาจากเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว พวกเราก็สามารถไปถึงที่วาร์ปเกตได้ก่อนแน่ 


 


 


แต่เรื่องนั้นก็เป็นแค่ความคิดของผมคนเดียว การต่อสู้บนท้องถนนเป็นประสบการณ์ที่ผมเจอบ่อยจนเบื่อในรอบแรก หากผู้บัญชาการของพวกเร่ร่อนเป็นคนที่ฉลาดมากพอ ในอนาคตคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากมากมาย แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากการใส่ความเป็นไปได้ลงในทางเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดในการหลบหนี 


 


 


ในไม่ช้าพวกเราก็หลุดจากย่านร้านค้าและในระหว่างเข้าสู่เส้นทางไปจัตุรัสกลาง ผมก็ถอนหายใจออกมา สัมผัสรับรู้ทางกายถูกเปิดใช้สูงสุด เสียงดาบกระทบกันจากด้านหน้า, เสียงความร้อนที่ระเบิดรุนแรงและเสียงกรีดร้องปะปนไปกับเสียงเอะอะโวยวายลอยเข้าหูให้ได้ยิน พวกผู้บุกรุกที่มาทางประตูยังมาไม่ถึง ดังนั้นหมายความว่าต้องมีคนที่ช่วยเหลืออยู่ภายใน 


 


 


‘บางทีวาร์ปเกตอาจจะถูกยึดไปแล้วก็ได้’ 


 


 


แต่ผมไม่ถอยกลับ การหนีออกไปนอกประตูปราสาทเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ก็ต่อเมื่อการไปที่วาร์ปเกตล้มเหลว ถึงแม้ว่าวาร์ปเกตจะถูกยึดจากพนักงานภายใน แค่จัดการให้หมดและยึดกลับมาก็พอ ผมในตอนนี้มีความสามารถเพียงพอแล้ว 


 


 


ระหว่างที่กำลังวิ่ง ผมหันกลับไปมองด้านหลังเล็กน้อย ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหลัง รวมถึงโกยอนจูด้วยกำลังตามหลังผมมาโดยเว้นระยะพอประมาณ หน้าที่ของผมคือบุกให้มากที่สุดและกำจัดพวกที่โผล่ออกมาให้พ้นทาง ผมมองไปด้านหน้าอีกครั้ง 


 


 


เราค่อยๆ มองเห็นจัตุรัสกลางแล้ว 


 


 


ตู้ม! ตู้ม! 


 


 


“อั่ก! อ๊าก!” 


 


 


“กรี๊ด! วะ ไว้ชีวิตฉันเถอะ! ขอร้อง ขอร้องล่ะ!” 


 


 


จัตุรัสกลางกลายเป็นสนามรบไปแล้ว ไม่สิ ต้องเรียกว่าแดนนรกแห่งการสังหารโหดฝ่ายเดียวน่าจะถูกต้องกว่าหรือเปล่านะ แสงวูบวาบทุกทิศทางและทุกครั้งที่เกิดการระเบิดบนพื้น เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับน้ำพุเลือดที่ไหลทะลักไม่หยุดหย่อนทุกครั้งที่พื้นระเบิด 


 


 


พวกเร่ร่อนที่โจมตีอย่างหนักมีเพียงไม่กี่สิบคน แต่พวกผู้เล่นนับร้อยก็ยังไม่สามารถต้านทานได้และถูกฆ่าตายอยู่ฝ่ายเดียว เห็นได้ชัดว่าจำนวนของผู้เล่นได้เปรียบแต่พวกเร่ร่อนกลับมีทักษะที่ครอบคลุมและทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ 


 


 


‘ที่คิดไว้ว่าต้องเป็นพวกทหารระดับแนวหน้าคงถูกสินะ’ 


 


 


ตราบใดที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ผมก็ไม่คิดจะทำอะไรชุ่ยๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมดึงดาบเทพแห่งสุริยันจันทราซึ่งเหน็บไว้ที่เอวออกมาทันที คมดาบเรียบลื่นได้รับแสงจันทร์และส่องประกายสีน้ำเงินเข้มในขณะที่ยกมันขึ้นมา 


 


 


พรึ่บ! 


 


 


‘สี่สิบห้าองศาทางซ้ายมือบนอาคาร’ 


 


 


เสียงลูกธนูพุ่งมาอย่างแรง ผมใช้พลังเวทและดันมือซ้ายไปทางลูกธนูที่ถูกยิงมาอย่างรวดเร็ว  


 


 


หมับ! 


 


 


ถึงจะรู้สึกตกใจมากกับเวทมนตร์ที่มีอยู่ แต่ผมก็สามารถคว้ามันได้แบบสบายๆ แต่ถ้าจบลงด้วยการคว้าเอาไว้คงน่าเสียดายแย่ ผมจึงใช้หลักการสี่ตำลึงปาดพันช่างและเหวี่ยงลูกธนูกลับไปทางอาคารฝั่งตรงข้าม 


 


 


ในไม่ช้าก็มีเสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงดังฉึก ฟังจากเสียงแล้วดูท่าจะเป็นนักแม่นปืนหญิง เมื่อเหลือบมองไปบนอาคารก็เห็นใครบางคนร่วงลงมาด้านล่างของอาคารโดยมีลูกธนูปักอยู่ที่หน้าผาก  


 


 


วี้ด! 


 


 


เมื่อมาถึงทางเข้าจัตุรัสกลางก็ได้ยินเสียงผิวปากเบาๆ จากนั้นพวกเร่ร่อนสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันตรงหน้าก็หันมา เขากำดาบและหอกไว้ในมือและวิ่งเข้ามา ไม่เพียงเท่านั้นการตรวจจับด้วยเวทมนต์ที่แถมไปเป็นวงกลมทำให้รู้ว่ามีคนแอบอยู่ทั้งสองฝั่ง 


 


 


‘เริ่มจากเจ้าสองคนตรงหน้าก่อน’ 


 


 


ผมพุ่งตัวไปข้างหน้าทันที พลังของออร์โธรส ลอง บู๊ทส์น่าทึ่งมาก ถึงจะไม่ได้ใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตา แต่ระยะห่างของผมกับพวกเขาก็ลดลงอย่างมาก พวกเขาเองก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะเข้าถึงตัวได้เร็วขนาดนี้ ผมปักหลักบนพื้นด้วยเท้าขวาและเว้นระยะไว้ประมาณสามเก้า ตวัดดาบที่อาบไล้แสงสีน้ำเงินของพลังเวทออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เห็นได้ชัดว่าผู้เล่นที่โจมตีมิวล์อยู่ในระดับสูง ก่อนที่ดาบของผมจะปะทะกับพวกเขา ในเวลาเดียวกันนั้นเองคนที่อยู่ทางซ้ายมือก็รีบยกหอกขึ้นมาตั้งรับ ส่วนคนที่อยู่ทางขวาตอบสนองค่อนข้างช้า แต่เขายื่นดาบออกมาด้านหน้าเล็กน้อยและบิดข้อมือดูเหมือนคิดจะแทงดาบมาทั้งแบบนั้น 


 


 


แต่ว่าดาบเทพแห่งสุริยันจันทราตัดผ่านหอกที่ตั้งท่าเบาๆ และผ่านไป 


 


 


ดาบเทพแห่งสุริยันจันทรา ‘พลังของผู้ชำนาญดาบ’ ทำให้ตัดผ่านออกไปอย่างง่ายดายราวกลับเป็นเรื่องกล้วยๆ ดาบที่ตัดผ่านหอกแทรกผ่านเสื้อเกราะและสัมผัสโดนผิวเนื้อที่อ่อนนุ่ม 


 


 


ดาบเทพแห่งสุริยันจันทราเฉือนพวกเร่ร่อนเหมือนผ่าเต้าหู้ ความรู้สึกน่าขนลุกส่งผ่านมาทางฝ่ามือที่กำดาบไว้แน่น 


 


 


เมื่อผ่าร่างของมือหอกออกเป็นสองส่วน พวกเร่ร่อนทางขวาก็ล้มเลิกที่จะแทงผม เขาชะงักพร้อมกับมีสีหน้าสับสนและมองดาบที่พุ่งมาทางตนเอง จากนั้นก็ถอยหลังไป แต่ดาบของผมตัดคอและร่างของคนที่เหลืออยู่อย่างง่ายดาย  


 


 


พรึ่บ! ตุ้บ! 


 


 


เลือดพุ่งกระฉูดจากบริเวณแผ่นอกที่ถูกแหวกออกและน้ำพุเลือดไหลทะลักจากลำคอที่ถูกขาด แต่มันยังไม่จบ 


 


 


“ตายซะเถอะ!” 


 


 


“เสร็จฉันละ!” 


 


 


พวกมันที่บุกเข้ามาจะทั้งสองด้านพุ่งเข้ามาประชิดตัวผม ดูจากการกระทำที่คล่องแคล่วแล้วเห็นได้ชัดว่าทั้งสองเป็นมือสังหาร ฟังจากเสียง คนที่อยู่ทางขวากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ เขาถือมีดสั้นไว้ในมือทั้งสองข้างและเตรียมแทงลงมา ส่วนผู้หญิงทางซ้ายก้มตัวลงและเล็งที่ข้อเท้าของผม 


 


 


ได้เวลาโจมตี ผมคงจะสับสนมากถ้าไม่รู้มาก่อน แต่เพราะผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเขาจะเข้ามาโจมตี 


 


 


ผมบิดมือขวาและแทงดาบออกไปยังจุดที่เขาเคลื่อนตัวเข้ามา แต่กลับใช้เท้าซ้ายเตะเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นด้วยความมั่นใจในคะแนนความแข็งแกร่งเก้าสิบหกพอยต์ แน่นอนว่าเป็นการเตะโดยใช้ทฤษฎีสับขาหลอก 


 


 


ผมรู้สึกว่าแขนที่ถือดาบหนักขึ้นเล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็เห็นเจ้าคนที่พูดว่า ‘ตายซะเถอะ!’ ห้อยต่องแต่งโดยมีดาบปักอยู่ที่คอ ส่วนทางซ้ายมือก็มีหญิงสาวที่พูดว่า ‘เสร็จฉันล่ะ!’ ล้มอยู่บนพื้นและใบหน้ายุบลงไป 


 


 


หลังเข้ามาในจัตุรัส ผมฆ่าไปทั้งหมดห้าคน ยังมีพวกมันเหลืออยู่อีกหลายสิบคน 


 


 


แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ พวกผู้เล่นที่ฆ่าคนอย่างโหดเ**้ยมในบริเวณนี้ก่อนที่ผมจะเข้ามา, พวกเร่ร่อนที่ทำการสังหารหมู่ และพวกนักเวทส่วนหนึ่งซึ่งกำลังแผ่เวทมนตร์ออกเป็นวงกว้างจากที่ไกลๆ หันมามองผมเป็นตาเดียว 


 


 


‘ต้องจัดการพวกนั้นก่อนสินะ’ 


 


 


ผมสะบัดดาบเบาๆ จนพวกเร่ร่อนที่เสียบคาอยู่ปลายดาบร่วงลงบนพื้น จากนั้นก็หันดาบเทพแห่งสุริยันจันทราที่มีเลือดหยดติ๋งๆ ไปทางพวกนักเวทบางคนที่เริ่มจับจ้องผม  


 


 


วินาทีที่สบตากับพวกเขาผมก็กระทืบเท้าลงบนพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี 


 


 


* * * 


 


 


ตู้ม! 


 


 


เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับคิมซูฮยอนที่พุ่งออกไปด้านหน้า เท้าของเขาแตะพื้นเพียงครั้งเดียว แต่กลับเข้าใกล้พวกนักเวทซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ถึงหนึ่งในสาม เป็นการกระโดดที่มีความเร็วน่ากลัวมาก 


 


 


พวกเร่ร่อนคงจะรู้สึกถึงพลังของคิมซูฮยอนที่เข้ามาใกล้ตนเองและจัดการกับพรรคพวก แต่พวกเขาก็ไม่ได้นิ่งเฉย 


 


 


พวกเร่ร่อนที่อยู่ในจัตุรัสตอนนี้เป็น ‘พวกเร่ร่อนตัวจริง’ เป็นพวกพเนจรร่อนเร่จากตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อยเปื่อยเพราะถูกตามล่าเอาชีวิต เป็นพวกมีความสามารถที่ข้ามผ่านอันตรายมาหลายครั้งและเคยประเชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่าตนเอง 


 


 


“ระดมพล! เตรียมตัวยิง!” 


 


 


เมื่อนักเวทที่อยู่ตรงกลางชูไม้เท้าขึ้นสูงพลางตะโกน พวกนักเวทที่เตรียมรอรับคำสั่งก็หันมาโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นพวกเขาก็พบคิมซูฮยอนที่บุกทะลวงเข้ามาด้วยความเร็วสูงและเล็งไม้เท้าไปทางนั้นพร้อมๆ กัน 


 


 


อัญมณีที่ส่วนปลายของไม้เท้าส่องแสงหลากหลายสี ถ้ารวมกระทั่งจำนวนของนักเวทที่เตรียมท่องคาถาทีหลังก็มีถึงยี่สิบคนที่เล็งไปยังคิมซูฮยอน 


 


 


แม้ว่าคิมซูฮยอนจะเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่เหล่านักเวทของพวกเร่ร่อนก็ไม่ได้ยิงพลังเวทออกมาในทันที จัตุรัสเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายแต่พวกเขายังคงหยุดนิ่งรอคำสั่งของใครบางคน 


 


 


นักเวทตรงกลางที่ตะโกนสั่งในทีแรกกำลังร่ายคาถาเสียงเบา เกิดแสงสีเขียวเหมือนคาถากักขังฉับพลันบริเวณปลายไม้เท้าที่เขาถือเอาไว้และมันก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ในไม่ช้าเมื่อมันมีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล นักเวทก็ตะโกนเสียงดังก้อง 


 


 


“จับกุม!” 


 


 


แสงสีเขียวถูกยิงเป็นเส้นตรงจากไม้เท้าที่เล็งไปทางคิมซูฮยอน มันขยายเป็นวงกว้างเหมือนคลื่นและพุ่งไปราวกับจะคว้าร่างของคิมซูฮยอน ในขณะเดียวกันนั้นพวกนักเวทที่เตรียมพร้อมก็ยิงพลังเวทออกมาราวกับกำลังรอคอยคำสั่งอยู่ 


 


 


“วอเตอร์สเปียร์!” 


 


 


“ไอซ์แคนนอน!” 


 


 


“โซ่แห่งแสงสว่าง!” 


 


 


“ธันเดอร์โบลท์!” 


 


 


แสงไฟจำนวนมากส่องแสงวูบวาบ เวทมนตร์ที่หลั่งไหล พลังอันน่ากลัวพุ่งตรงไปที่คิมซูฮยอนซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ โซ่เวทมนตร์ที่ยิงออกมาเหมือนสายฝน เป็นตาข่ายอันสมบูรณ์แบบคล้ายกับการทิ้งระเบิด 


 


 


จากนั้นเมื่อเวทมนตร์จับกุมระเบิดตรงหน้าและค่อยๆ ร่นระยะเข้ามาใกล้คิมซูฮยอน  


 


 


เปลวไฟก็ลุกโชนในชั่วพริบตาตรงบริเวณเข็มขัดสีแดงที่ผูกไว้บนเสื้อคลุมสีน้ำทะเล จากนั้นเปลวไฟก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงิน เมื่อตาข่ายสีเขียวจะตะครุบตัวคิมซูฮยอน มันก็แปรเปลี่ยนเป็นโลกสีน้ำเงิน 


 


 


ชิ้ง! ชิ้ง! 


 


 


ดวงตาของนักเวทซึ่งร่ายคาถาจับกุมเบิกกว้าง เวทมนตร์ที่กระจายออกไปเหมือนคลื่นถูกขัดขวางด้วยเกียรติยศแห่งสวรรค์และเกียรติยศแห่งดวงตะวัน 


 


 


คาถาจับกุมกระจัดกระจายเหมือนสีที่ผสมกันในน้ำ มันลดขนาดลงอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงเผาไหม้ จนกระทั่งละอองน้ำสีเขียวแตกกระจายและหายไปหมด 


 


 


คิมซูฮยอนถือดาบไว้ในมือทั้งสองข้าง ดาบที่อยู่ในมือซ้ายคือดาบเทพสุริยันจันทรา ส่วนดาบในมือขวานั้นมองไม่เห็นใบมีด เหลือแต่ด้ามจับให้เห็นเท่านั้น 


 


 


คิมซูฮยอนหยุดก้าวเดินที่เหมือนกับพายุและตั้งท่า จากนั้นก็ฟันดาบมาทางเวทมนตร์นับไม่ถ้วนที่กำลังโหมกระหน่ำโดยไม่ลังเล เป้าหมายแรกก็คือ วอเตอร์สเปียร์ซึ่งมีรูปร่างเป็นหอกแหลม 


 


 


ฉับ!  


 


 


ดาบที่มองไม่เห็นฟาดลงที่วอเตอร์สเปียร์อย่างสวยงามและน่าตกใจ เวทมนตร์ที่ฝืนดึงออกมาแตกสลายและหยดน้ำก็กระจายหายไปในอากาศ 


 


 


แต่ทว่าเวทมนตร์ที่ตามมายังเหลืออีกมากมาย 


 


 


การระดมยิงที่เต็มไปด้วยการป้องกันแน่นหนาทุกทิศทางยังคงพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงราวกับจะทำลายคิมซูฮยอนให้แหลกเป็นจุณ และถ้ารวมเวทมนตร์ที่เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งที่สองในกรณีไม่คาดฝัน พลังการทำลายล้างนั้นก็มากพอที่จะพัดพาพื้นดินบางส่วนออกไปด้วยอย่างง่ายดาย 


 


 


ฉับ ตู้ม! ฉับ เพล้ง! 


 


 


ในไม่ช้าเวทมนตร์เหล่านั้นก็มาถึงตัวคิมซูฮยอน ความไม่ไว้วางใจในดวงตาของเหล่านักเวทและการยิงอย่างต่อเนื่องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่ทำลายวอเตอร์สเปียร์ 


 


 


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! 


 


 


จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดีล่ะ 


 


 


ในมือขวาคือดาบล่องหน ในมือซ้ายถือดาบเทพสุริยันจันทรา คิมซูฮยอนกวัดแกว่งดาบทั้งสองเหมือนกังหันลม ปัดป้องเวทมนตร์ที่โจมตีอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้อย่างแม่นยำ คิมซูฮยอนไม่ลังเลเลยสักนิดเหมือนชาวสวนฝีมือดีที่ตัดแต่งกิ่งไม้ได้รวดเร็ว ทั้งที่เวทพวกนั้นเข้ามาพร้อมๆ กัน 


 


 


ดาบของคิมซูฮยอนเป็นประกายวูบวาบ ประกายคมดาบซึ่งหลงเหลือร่องรอยรุนแรงเอาไว้ทุกครั้งที่กวัดแกว่งนั้นเร็วมากจนมองไม่ทันทำให้เกิดภาพลวงเหมือนวิถีดาบไร้ช่องว่าง  


 


 


มีวิธีเข้าใกล้อยู่เหมือนกัน แต่คิมซูฮยอนไม่อนุญาตให้เข้าใกล้แม้แต่นิดเดียว รัศมีดาบที่คิมซูฮยอนกวัดแกว่งนั้นประณีตและถี่ยิบ เวทมนตร์ถูกทำลายสูญเสียทิศทางและหมุนคว้างกลางอากาศเหมือนเครื่องบินปีกหักทุกครั้งที่ดาบของคิมซูฮยอนฟันลงมาและหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย 


 


 


หลังจากการระดมยิงจบลง คิมซูฮยอนก็ปรากฏตัวท่ามกลางควันหนาทึบที่เกิดจากการระเบิด โล่สีน้ำเงินยังคงส่องประกายสีน้ำทะเลอ่อนๆ และไม่เห็นคราบเขม่าบนเสื้อผ้าแม้แต่น้อย คิมซูฮยอนไม่มีบาดแผลเลยสักนิด มีเพียงพื้นที่สึกหรอจากผลของการถูกโจมตีบริเวณพื้นที่ที่เขายืนอยู่เท่านั้น 


 


 


ทันใดนั้นจัตุรัสก็เงียบสนิท เสียงร่ำร้องว่าอยากมีชีวิตอยู่และความบ้าคลั่งที่สะท้อนความแค้นซึ่งกำลังลุกไหม้หายไปหมด เสียงกรีดร้องและความบ้าคลั่งที่กระจายทั่วจัตุรัสสงบลงแทนที่ด้วยความตกใจและไม่เชื่อสายตา ดวงตาของผู้เล่นและพวกเร่ร่อนไปรวมกันอยู่ที่ชายคนเดียวโดยสัญชาตญาณ 


 


 


สำหรับพวกผู้เล่น โดยเฉพาะในหมู่นักดาบทั่วไป การขัดขวางเวทมนตร์ด้วยดาบเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก เพราะมันยากที่จะจัดการกับระเบิดซึ่งเกิดจากการปะทะของพลังเวทกับพลังเวท แม้ว่าจะมีถุงมือหนาและมีดาบที่ฉาบด้วยเวทมนตร์ก็ตาม 


 


 


นอกจากนี้เพราะนักเวทส่วนใหญ่อยู่ในคลาสที่คะแนนเวทมนตร์สูงที่สุด ดังนั้นถ้าไม่มีความสามารถที่เกี่ยวกับพลังปีศาจ การปะทะกับเวทมนตร์ซึ่งๆ หน้าถือเป็นเรื่องต้องห้ามของพวกนักดาบ 


 


 


แต่ตอนนี้ผู้เล่นที่ทำลายข้อห้ามนั้นปรากฏตัวตรงหน้าแล้ว ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เวทมนตร์มากมายถูกสกัดกั้นและทำลายจนหมดสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย 


 


 


เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวินาทีหลังจากคิมซูฮยอนขัดขวางการโจมตีทั้งหมดได้ แววตาที่เงยขึ้นมองของเขาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็กระโดดไปด้านหน้าด้วยการรวมกันระหว่างพลังของออร์โธรส ลอง บู๊ทสและการเคลื่อนย้ายในพริบตา มันจึงเป็นความเร็วและการก้าวกระโดดที่ไม่อาจเทียบกับเมื่อก่อนได้ 


 


 


เพียงพริบตาเดียวคิมซูฮยอนก็เข้าสู่สถานที่ที่เหล่านักเวทเร่ร่อนกำลังรวมตัวกัน พวกเร่ร่อนเงยหน้ามองด้านบนด้วยความงุนงง ร่างของคิมซูฮยอนวาดเส้นโค้งเบาๆ ในตอนที่ค่อยๆ ลงมา 


 


 


ตอนนั้นเองที่พวกเขาตั้งสติได้ พวกเร่ร่อนหายใจเฮือกใหญ่ 


 


 


“ยะ ยิงเลย!” 


 


 


พรึ่บ! 


 


 


เหล่านักธนูยิงลูกศรออกไป  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 19

 

“กัสท์ออฟวินด์!” 


 


 


“ไฟรเออร์ แรนซ์!” 


 


 


พวกนักเวทที่เตรียมโจมตีท่องคาถาออกมา 


 


 


ลูกธนูและพลังเวทพุ่งขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง พวกเขาเล็งไปตอนที่คิมซูฮยอนกระโดดขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและกำลังจะลงมาจึงเป็นการโจมตีที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่กลับไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าของคิมซูฮยอน ไม่สิ ดูจากรอยยิ้มที่มุมปากแล้ว เขาอาจจะคาดเดาไว้แต่แรกแล้วก็ได้ 


 


 


ฉึก! ฉึก! 


 


 


ตู้ม! ตู้ม! 


 


 


ลูกธนูและพลังเวทแทงทะลุผ่านคิมซูฮยอนชัดเต็มตา บนใบหน้าของพวกเร่ร่อนฉายแววยินดีเมื่อเห็นรูที่เจาะทะลุบนร่างของเขา แต่กระนั้นความยินดีบนใบหน้านั้นก็หายไปจนหมดเมื่อเห็นว่าเวทมนตร์ปะทะกับลูกศรซึ่งถูกยิงขึ้นฟ้าและเกิดการระเบิด แม้จะยิงเข้าเป้าไปที่คิมซูฮยอนก็ตาม 


 


 


หลังจากนั้นไม่นานภาพของคิมซูฮยอนที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก็ค่อยๆ ละลายหายไปในอากาศ มันคือการเคลื่อนย้ายฉับพลัน 


 


 


“ขะ ข้างหลัง!” 


 


 


ใครบางคนตะโกนเสียงดัง พวกเร่ร่อนที่กำลังจ้องมองด้านบนด้วยความงุนงงรีบหันหน้ามาทันที นักเวทเร่ร่อนที่สั่งระดมยิงเมื่อครู่ก็หันหลังไปตามเสียงตะโกน แต่คิมซูฮยอนมายืนอยู่ด้านหลังของพวกเร่ร่อนซึ่งเป็นเป้าหมายแล้ว  


 


 


สิ่งสุดท้ายที่นักเวทเร่ร่อนผู้รีบหันมาได้เห็น มีเพียงแสงสีฟ้ามากมายในอากาศและคิมซูฮยอนที่ฟันดาบซึ่งมองไม่เห็นลงมา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ฉับ! 


 


 


ดาบล่องหนผ่าตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงส่วนปากในแนวตั้งจนแยกออกเป็นสองส่วน เขาคือคนที่ใช้คาถาจับกุมกับผมเมื่อครู่นี้ ผมรู้สึกว่าเขาคือผู้บัญชาการ ดังนั้นเขาจึงเป็นเป้าหมายแรก 


 


 


ตุ้บ! 


 


 


นักเวทที่ถูกผ่าศีรษะล้มลง เลือดที่ทะลักจากลำคอไหลพรวดและทำให้พื้นของจัตุรัสเปียกชุ่ม 


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงมาถึงใจกลางของพวกเร่ร่อนได้โดยสวัสดิภาพ ผมมองไปรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว มีไม่กี่คนที่เป็นคลาสระยะประชิด แต่ส่วนใหญ่เป็นคลาสระยะไกลและแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของพวกเขาเป็นนักเวท 


 


 


แม้ว่าจะเป็นพวกเร่ร่อนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนแค่ไหน แต่ก็คงไม่คิดว่าผมจะเอาชนะได้ง่ายดายขนาดนี้ การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงหยุดชะงัก นี่คือโอกาส ผมเก็บดาบเทพสุริยันจันทราเข้าฝักและกำดาบล่องหนไว้แน่น ประสิทธิภาพของดาบเทพสุริยันจันทราไม่ได้แย่อะไร แต่ถ้าจะจัดการเจ้าพวกนี้ให้ได้มากที่สุด ดาบล่องหนที่สามารถเข้ากันได้ดีกับเวทมนตร์ของผมร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมดีกว่า 


 


 


หวืด! 


 


 


เมื่อค่อยๆ ปลุกพลังเวท ดาบล่องหนก็ส่งเสียงออกมา ถึงจะมองไม่เห็น แต่ถ้าไม่ได้ตาบอดก็ต้องรับรู้ได้ถึงความอันตรายอย่างแน่นอน ผมมองบางคนที่กำลังผงะเมื่อความเร็วของพลังเวทที่กำลังไหลเวียนเพิ่มขึ้นอีก 


 


 


การสั่นสะเทือนแปลกๆ รอบดาบล่องหนเริ่มขึ้นเมื่อเวทมนตร์จากมือขวาไหลไปตามทางผ่านของพลัง มันสั่นสะเทือนรุนแรงจนสะเทือนชั้นอากาศ เพราะมีคะแนนเวทมนตร์เก้าสิบหกพอยต์พอดี 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ผมมองดาบล่องหนอีกครั้ง พลังงานสีน้ำเงินไหลผ่านดาบเหมือนคลื่น ผมได้ยินเสียงท่องคาถาและเสียงสายธนูจากทุกทิศทาง ผมกระโดดไปด้านข้างและแกว่งดาบล่องหนไปทางที่พวกนักเวทอยู่ร่วมตัวกันมากที่สุดทันที 


 


 


ตู้ม! 


 


 


ชั้นบรรยากาศที่มองไม่เห็นขยายใหญ่ขึ้นเมื่อปะทะเข้ากับอากาศที่ว่างเปล่า และในขณะที่สัมผัสได้ถึงแรงต่อต้านหนักหน่วงที่มือขวา พลังเวทบนคมดาบก็กลายเป็นคลื่นก่อนจะโจมตีพวกนักเวท 


 


 


 ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! 


 


 


“อะ ไอ้ x” 


 


 


“อย่าเข้าไป ถอยออกมา!” 


 


 


ยิ่งระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลง คลื่นที่ฉีกกระชากชั้นบรรยากาศก็ขยายขอบเขตเป็นรูปพัด พวกนักเวทที่รวมอยู่ในขอบเขตนั้นรู้สึกได้ถึงแรงของคลื่นที่โถมเข้ามาจากด้านหน้า จึงส่งเสียงตะโกนพลางแยกออกเป็นสองทางอย่างรวดเร็ว แต่คนที่สามารถหลบได้ก็มีแค่พวกโชคดีที่อยู่ท้ายแถวในบริเวณนั้นเท่านั้นแหละ 


 


 


“อั่ก!” 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


คลื่นยักษ์ซัดเข้าหาบริเวณที่พวกนักเวทรวมตัวกัน ผมวิ่งตามหลังคลื่นนั้นไปจึงเห็นฉากที่พวกเขาถูกโจมตีได้ชัดเจน 


 


 


คลื่นที่ถูกยิงออกไปผ่าร่างของห้าคนในแถวแรกเต็มๆ และจัดการอีกสี่คนในแถวที่สอง จนกระทั่งมาถึงแถวที่สาม สองคนที่เหลือกระเด็นขึ้นไปในอากาศแทนราวกับคาถาเพิ่มแรงตัดไม่คมอีกแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาชอบแน่ เพราะแรงกระแทกที่อยู่ในคลื่น 


 


 


กร๊อบ! กร๊อบ! 


 


 


แม้ว่าคลื่นจะไม่ได้ผ่าร่างของสองคนที่เหลือ แต่ก็ทำลายจนแหลกละเอียดแทน พวกเขากระแทกกับกระดานติดประกาศใจกลางจัตุรัสอย่างแรง ผลที่ตามมาก็คือกระดานพังทลายพร้อมเสียงแตกหัก แขนขาทั้งหมดกระเด็นลงมาที่พื้นเหมือนระเบิดและเลือดไหลทะลัก 


 


 


การโจมตีหนึ่งครั้งสร้างสงครามนองเลือดสิบเอ็ดศพ แต่ผมไม่มีเวลาชื่นชมเรื่องนั้น ตอนนี้พวกเขาที่ตั้งสติได้เริ่มท่องคาถาออกมาแล้ว ผมต้องจัดการพวกเขาที่หนีรอดไปได้ก่อน แล้วค่อยจัดการพวกที่เหลือ ในตอนนั้นเอง 


 


 


“ย้าก!” 


 


 


ผมได้ยินเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อหันไปก็มีคนหนึ่งกรีดร้องและวิ่งเข้ามาหาผม ความเร็วนั้นคล่องแคล่วและว่องไวจนทำให้ผมตกใจเล็กน้อย บางทีคะแนนความคล่องแคล่วอาจจะมากกว่าเก้าสิบก็ได้ 


 


 


ฉึก! ฉึก! 


 


 


หวืด! หวืด! 


 


 


ลูกธนู คาถาน้ำแข็ง รู้สึกถึงสัญญาณมากมายของเวทมนตร์ที่แผ่ออกมา สิ่งแรกที่ต้องทำคือจัดการกับพวกเร่ร่อนที่เข้ามาตรงหน้า เขาสวมสนับมือปลายแหลมไว้ที่มือทั้งสองข้างและมันก็กำลังพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของผมอย่างแม่นยำ 


 


 


ฟึ่บ! 


 


 


ถึงแม้จะรวดเร็วและทรงพลังมาก แต่ก็เป็นการโจมตีที่มองเห็นได้ด้วยตา ผมรู้สึกได้ถึงลมแรงที่พัดผ่านหูไป เมื่อหันไปเล็กน้อย เขาก็ชำเลืองมองแล้วกำมือซ้าย ดูเหมือนว่าเขาคิดจะโจมตีต่อเนื่อง ผมซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาควบคุมพลังให้พอดีและซัดไปที่หน้าท้องของเขาด้วยมือซ้ายที่ว่างเปล่า 


 


 


“แค่ก” 


 


 


เขางอตัวลงแล้วโค้งมาด้านหน้า ถ้าแทงดาบออกไปตอนนี้ก็จบเรื่องได้ทันที แต่เหมือนหมอนี่ยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ ผมคว้าต้นคอของพวกเร่ร่อนขึ้นพลางหันไปทางที่สัมผัสได้ถึงเวทมนตร์ซึ่งพุ่งเข้าหาเมื่อครู่นี้ 


 


 


ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก! 


 


 


ลูกธนูสองดอกที่ศีรษะและแท่งน้ำแข็งสองอันที่ท้อง ด้วยคะแนนความทนทานที่ค่อนข้างสูง ลูกธนูและเวทมนตร์จึงไม่ทะลุร่างกาย ผมรู้สึกได้ว่าร่างของเขากำลังสันกึ่กๆ อยู่ในมือที่จับต้นคอของเขาเอาไว้จากนั้นแขนขาของขาก็แน่นิ่งไป 


 


 


ผมโยนศพที่ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วของเขาลงบนพื้น พวกเร่ร่อนมองผมพลางกัดฟันกรอด 


 


 


ตอนนี้พวกเขาเหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบคน ผมถีบตัวจากพื้นโดยคิดว่าจะรีบจัดการให้เสร็จแล้วรีบไปที่วาร์ปเกต ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นของหลายร้อยคนจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็เห็นผู้เล่นที่ถูกโจมตีลุกฮือพร้อมอาวุธในมือ  


 


 


ดวงตาของผู้เล่นกำลังลุกโชนด้วยแรงแค้นราวกับจะเอาคืนที่ถูกโจมตีเมื่อครู่ 


 


 


 


 


 


“แฮ่กๆ นายเป็นผู้เล่นที่เก่งกาจจริงๆ” 


 


 


“ระหว่างที่กำลังหนีไม่ต้องพูดอะไรน่าจะดีกว่ามั้งครับ” 


 


 


“ไอ้เด็กนี่ ถึงฉันจะแก่แล้วแต่ร่างกายฉันยังไหวนะ” 


 


 


“เข้าใจแล้วครับ เอาเป็นว่าเราจะไปถึงวาร์ปเกตในเร็วๆ นี้ ผมจะออกไปดูสถานการณ์ก่อน ดังนั้นตามหลังผมมานะครับ ถ้างั้นฝากด้วยนะครับโกยอนจู” 


 


 


หลังจากโกยอนจูพยักหน้ารับ ผมก็วิ่งไปข้างหน้าทันที 


 


 


ในที่สุดพวกเร่ร่อนที่อยู่ในจัตุรัสก็ถูกจัดการจนไม่เหลือสักคน เพราะผู้เล่นที่เอาแต่มองดูเฉยๆ บุกเข้ามาในคราวเดียว แม้ว่าสถานที่ที่กลายเป็นศูนย์กลางในการสังหารหมู่ผู้เล่นจะวุ่นวายมากก็ตาม แต่ก็กลายเป็นความช่วยเหลือโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะแบบนั้นจึงสามารถจัดการกับพวกที่อยู่ในจัตุรัสได้เร็วขึ้น 


 


 


หลังจากการต่อสู้ในจัตุรัสสิ้นสุดลง พวกผู้เล่นก็แห่กันมาหาผม ต่างก็เอ่ยขอบคุณไม่จบไม่สิ้น เช่นพอผมปรากฏตัว สถานการณ์ก็พลิกกลับ, ขอบคุณที่ช่วยชีวิตไว้, คุณคือความหวังของเรา เป็นต้น แต่ผมไม่ว่างพอจะตอบกลับคำพูดเหล่านั้น 


 


 


พวกที่อยู่ในจัตุรัสเป็นแค่คนที่รับคำสั่งจากภายใน ตอนนี้พวกที่วิ่งมาจากประตูทิศเหนือ, ตะวันตกและตะวันออกต่างหากที่เป็นระดับสูงตัวจริง แผนของผมคือการหนีออกจากมิวล์ก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึงจัตุรัสหรือวาร์ปเกต 


 


 


ดังนั้นผมจึงรีบพาแค่สมาชิกเผ่าของผมออกไปจากจัตุรัส ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่ตามหลังมาแต่ไม่ได้สนใจนัก ในไม่ช้าเราก็เริ่มค่อยๆ มองเห็นวาร์ปเกตตรงหน้า ผมเร่งความเร็วในการวิ่งและกระตุ้นพลังเวทที่สายตาจากนั้นก็ถอนหายใจยาว 


 


 


‘หรือว่าจะถูกยึดไปแล้วนะ’ 


 


 


ตอนนี้ระยะทางที่ไปวาร์ปเกตอยู่ใกล้จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สถานการณ์คล้ายคลึงกับที่จัตุรัส พวกเร่ร่อนหลายสิบคนอยู่รอบวาร์ปเกต และมีผู้เล่นนับร้อยล้อมรอบบริเวณนั้น 


 


 


มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย นั่นก็คือพวกเร่ร่อนกำลังทุ่มเทให้กับการป้องกัน ไม่ใช่การโจมตี พวกผู้เล่นหลายร้อยที่ล้อมพวกเขาไว้ต่างก็ส่งเสียงตะโกนและโจมตีทุกทางเพื่อเอาวาร์ปเกตคืน 


 


 


ถึงจะพูดได้ว่าสถานการณ์ดีกว่าที่จัตุรัสเพราะเราไม่ได้ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว แต่เสียงดังสนั่นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากสามทิศทางบ่งบอกให้รู้ว่าพวกเร่ร่อนจวนจะมาถึงที่นี่แล้ว ผมวิ่งไปคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดวิ่ง 


 


 


‘ดีนะที่เก็บเอาไว้ เอาออกมาใช้ดีกว่า’ 


 


 


ผมปลุกพลังเวทอีกครั้ง เพิ่มพลังที่เท้าแล้วเหยียบพื้นอย่างแรง เกิดระลอกคลื่นบนพื้น พลังมากมายรอบบริเวณนั้นแผ่ขยายและเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มันเปล่งแสงสีน้ำเงินและเปลี่ยนรูปร่างเป็น ‘ดาบ’ ผมปลุกพลังของฮวาจองที่หลับใหลในหัวใจขึ้นมาทันที 


 


 


โฟ่ว! 


 


 


เสียงเพลิงที่มีเอกลักษณ์เป็นการพิสูจน์ว่าฮวาจองตื่นขึ้นแล้ว ตอนนั้นเอง พลังงานสีแดงก็ผสมเข้ากับแสงสีน้ำเงินบนดาบ ในไม่ช้าฮวาจองก็เริ่มลุกโชน 


 


 


‘เพื่อไม่ให้วาร์ปเกตเสียหาย’ 


 


 


ผมออกเดินอีกครั้งและเหวี่ยงมือขวาออกไปเต็มแรง ในขณะเดียวกันก็ชี้ดาบที่มีเปลวไฟลุกท่วมไปทางวาร์ปเกต 


 


 


 


 


 


เปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ไฟที่ลุกไหม้ตลอดกาล 


 


 


ฮวาจองที่สามารถเผาไหม้ทุกสิ่งที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ 


 


 


ผมอยากจะต่อสู้และป้องกันทุกอย่างรวมถึงวาร์ปเกตให้ได้ดังใจและพอที่จะทำแบบนั้นได้ เพราะฮวาจองเป็นพลังในตำนาน สามารถกำหนดสิ่งที่จะทำลายได้ตามประสงค์ของผม 


 


 


แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะผมรู้ว่ามันผิดไปจากแผนที่วางไว้ หลังจากแน่ใจว่าวาร์ปเกตถูกยึด ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดมันอาจได้รับความเสียหาย  


 


 


กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผมสามารถเข้ายึดวาร์ปเกตได้ แต่ผู้เล่นที่ตรวจสอบความเสียหายก็อาจจะโยนความผิดมาให้ผมได้ ดังนั้นผมจึงจงใจทำลายแนวป้องกันและพุ่งเป้าไปที่พวกเร่ร่อนซึ่งออกมาด้านหน้าให้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด 


 


 


สถานการณ์ต่อเนื่องในตอนนี้ดุเดือดเพราะแนวป้องกันของพวกเร่ร่อน แต่ก็เพียงพอที่จะสามารถเอาคืนได้ แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกพวกผู้เล่นโจมตี 


 


 


ดาบอัคนีแหวกผ่านอากาศไปไม่หยุด เพราะฮวาจองที่ลุกโชนจึงทำให้เกิดเสียงชัดเจนและผ่านเหนือศีรษะของผู้เล่นไปในพริบตา เมื่อพวกเร่ร่อนมาถึงแนวป้องกันขนาดใหญ่ที่วางไว้ พวกเขาก็พยายามโจมตีอย่างรุนแรงเหมือนเหยี่ยวซึ่งกำลังเล็งเหยื่อ 


 


 


สมมติว่ายิงขีปนาวุธร้อยลูกเหมือนกัน ยิ่งขอบเขตการทิ้งระเบิดแคบเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ประสิทธิภาพมากขึ้น แต่นอกจากเรื่องนั้นก็เป็นพลังของฮวาจองแน่นอน 


 


 


พรึ่บ! พรึ่บ! 


 


 


“นะ นี่อะไรน่ะ! ป้องกัน!” 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


ไม่ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่และไม่ได้เห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ เพราะฮวาจองเคลื่อนไหวอย่างซื่อตรงตามความประสงค์ของผม 


 


 


ดาบอัคนีนับสิบแทงเข้าที่เป้าหมายทั้งหมด แนวป้องกันโปร่งแสงขนาดใหญ่ฉีกขาดเหมือนแผ่นกระดาษ พวกเร่ร่อนที่ขัดขวางการบุกเข้ามาของผู้เล่นภายใต้การสนับสนุนของเหล่านักเวทล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น ในพริบตา บริเวณรอบวาร์ปเกตสว่างไสวขึ้นจากเปลวไฟที่เกิดจากฮวาจอง และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพวกที่ถูกแทงด้วยดาบอัคนีก็ดังโหยหวน 


 


 


“อะ อะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น ใครกันที่…” 


 


 


“ได้โอกาสแล้ว! บุกเลย! เอาวาร์ปเกตคืนมา!” 


 


 


แนวป้องกันซึ่งปักหลักไว้แน่นหนาถูกทำลาย พวกเร่ร่อนที่ขัดขวางการบุกเข้ามาของผู้เล่นอ่อนกำลังลง นักเวทด้านหลังบางคนโซซัดโซเซเมื่อได้รับผลกระทบจากแนวป้องกันที่ถูกทำลาย ทางเข้าที่เหมือนกำแพงเหล็กถูกเปิดออกโดยสมบูรณ์ 


 


 


พวกผู้เล่นจำนวนหนึ่งพูดด้วยความงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความมุ่งมั่นในการคุกคามชีวิตช่างน่ากลัว ทุกอย่างหยุดชะงักชั่วครู่ จากนั้นพวกเขาก็ตะโกนด้วยความโกรธแค้นและเริ่มโถมกันเข้าไปเหมือนคลื่น  


 


 


ผมตามหลังอยู่ท้ายแถวพลางสังเกตดูสถานการณ์ของพวกเร่ร่อนอย่างรอบคอบ 


 


 


‘พวกที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เล่นก็ได้มั้ง’  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 20

 

ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ถูกสังหารอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนในจัตุรัสไหม แต่ว่าวาร์ปเกตไม่ใช่แบบนั้น เห็นพวกที่อยู่นอกขอบเขตและพวกที่ฟื้นตัวได้เล็กน้อยเป็นบางคน แต่พวกผู้เล่นทะลักทลายราวกับเขื่อนแตก มันเป็นการโจมตีมั่วๆ ที่ไม่มีลำดับหรือกลยุทธ์ใดๆ แต่ก็เป็นวิธีที่พอใช้ได้ทีเดียวสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ 


 


 


“อย่าผลักสิ! บอกว่าอย่าผลักไงเล่า! ไอ้xนี่!” 


 


 


“เข้าแถวสิ! ช่วยไปตามลำดับกันหน่อย!” 


 


 


“ไปตายซะไอ้ลูกหมา!” 


 


 


“อั่ก!” 


 


 


ผู้เล่นหลายร้อยคนแห่กันเข้ามาจากทุกทิศทางพร้อมกัน ภายในวาร์ปเกตจึงสับสนวุ่นวายมาก 


 


 


ที่จริงมันก็ไม่ถึงขนาดวุ่นวาย มีพวกผู้เล่นที่วิ่งตรงไปยังวาร์ปเกต พวกผู้เล่นพี่วิ่งไปหาพวกเร่ร่อนซึ่งล้มอยู่ และพวกเร่ร่อนที่จนมุมแต่พยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง 


 


 


เสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องทั้งหมดในสถานการณ์นี้ปะปนไปกับเสียงของวาร์ปเกต 


 


 


ผมมองพวกเขาพลางตัดสินใจใช้ประโยชน์จากรองเท้าออร์โธรส ลอง บู๊ทสให้เต็มที่ ถ้ามองไปด้านหน้าก็จะเห็นผู้เล่นเบียดเสียดกันอยู่ ผมจำเป็นต้องตรวจสอบสถานการณ์ของวาร์ปเกตโดยเร็วที่สุดจึงถีบตัวขึ้นจากพื้นโดยไม่รีรอ 


 


 


“โอ๊ย! ใครเหยียบหัวฉัน!” 


 


 


‘โทษที’ 


 


 


ผมเหลือบมองด้านล่างเล็กน้อยก็เห็นผู้เล่นคนหนึ่งนั่งกุมศีรษะของตัวเองไว้ การกระโดดเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะก้าวไปที่ไหนก็ตามดูเหมือนจะโชคดีโดยบังเอิญ หลังจากขอโทษสั้นๆ ในใจแล้วผมก็มองไปข้างหน้าอีกครั้ง 


 


 


ผมเข้าใกล้วาร์ปเกตขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะมีผู้เล่นติดอยู่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่เห็นว่าพอร์ทัลเปิดออก เมื่อลงสู่พื้นดินใต้บริเวณวาร์ปเกต เสียงร้องไห้ที่ได้ยินก็ทำให้ความกังวลตั้งแต่เมื่อครู่นี้ชัดเจนขึ้น 


 


 


“วะ วาร์ปเกตไม่ทำงาน!” 


 


 


‘ให้ตายสิ’ 


 


 


ผมกัดริมฝีปากแล้ววิ่งไปที่วาร์ปเกต ภายนอกวาร์ปเกตดูปกติดี ไม่มีตรงไหนชำรุดและรอยเชื่อมต่อก็เชื่อมโยงปกติดี แต่มันกลับไม่ทำงาน ดังนั้นจึงมีเพียงคำตอบเดียว ก็คือพวกเร่ร่อนไปยุ่งกับวงแหวนเวทที่ใช้ควบคุมการทำงานของวาร์ปเกต 


 


 


“หมายความว่ายังไง ทำไมถึงไม่ทำงานล่ะ” 


 


 


“ยังไม่ได้เปิดพอร์ทัลอีก มัวแต่ทำอะไรอยู่!” 


 


 


“ฉะ ฉันก็ไม่รู้ ว่าทะ…ทำไม…” 


 


 


“ถอยไป ฉันจะจัดการเอง” 


 


 


ภายในเกิดความวุ่นวายอยู่สักพัก แต่ก็ไม่วุ่นวายเท่าผู้เล่นด้านหลังที่ตะโกนโวยวายเพราะยังไม่รู้ว่าวาร์ปเกตไม่ทำงาน ตอนนั้นเอง เมื่อเข้าไปใกล้บริเวณวงแหวนเวทเพื่อดูว่าจะสามารถแก้ไขอะไรได้หรือไม่ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ 


 


 


“หึๆ” 


 


 


ต้นเสียงอยู่ที่ด้านล่าง เมื่อก้มมองดูที่พื้นก็เห็นพวกเร่ร่อนคนหนึ่งอยู่ใต้เท้าของพวกผู้เล่น อุปกรณ์ที่สวมอยู่นั้นขาดรุ่งริ่งและดูจากเลือดที่นองเป็นแอ่งแล้วก็ไม่น่าแปลกใจหากเขาจะตายในเร็วๆ นี้ 


 


 


“สมน้ำหน้า ไอ้พวกxx หึๆ แค่ก! แค่ก!” 


 


 


“พวกแกทำอะไรกับวาร์ปเกต” 


 


 


“ทำอะไรเหรอ ก็จัดการกับวงแหวนเวทน่ะสิ นังโง่ อยู่รอที่นี่แหละ เพราะอีกไม่นานพวกแกก็ต้องตายกันหมดโดยคนที่จะมาจากด้านนอกนั่น” 


 


 


“ไอ้หมอนี่!” 


 


 


“ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็ลองหนีไปตอนนี้ไหมล่ะ คิกๆ!” 


 


 


พลั่ก! 


 


 


ใครบางคนไม่สามารถระงับความโกรธได้จึงแทงอาวุธลงไป ศีรษะของพวกเร่ร่อนถูกเจาะทะลุจนเลือดไหลทะลัก ผมมองเขาที่ดวงตาเหลือกถลนและใช้งานดวงตาที่สาม 


 


 


หากความเสียหายไม่ได้หนักหนาก็อาจจะสามารถซ่อมแซมได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นผมจึงหันไปยังวงแหวนเวท เพราะต้องตรวจสอบระดับความเสียหาย 


 


 


‘…ยอมแพ้เถอะ’ 


 


 


เมื่อตรวจสอบอัตราความเสียหายและข้อมูลเกี่ยวกับวาร์ปเกตที่ปรากฏขึ้นในอากาศแล้วผมก็ตัดสินใจไปจากที่นี่ทันที เกิดความเสียหายอย่างหนักคงจะมีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวาร์ปเกต ที่จริงก็พอจะซ่อมแซมได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่และไม่ใช่ในตอนนี้ วงแหวนเวทเสียหายมากระดับที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ภายในวันสองวัน 


 


 


เสียงตะโกนจากสามทิศทางกำลังใกล้เข้ามาในตอนนี้ ต้องรีบแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีรออีกต่อไป เพราะยืนยันแล้วว่าไม่สามารถใช้วาร์ปเกตได้ ผมแหวกผ่านพวกผู้เล่นที่เข้าไปด้านในและกระโดดไปที่ทางเข้าอีกครั้ง ตอนนี้เหลือวิธีเดียวก็คือการออกไปทางประตูปราสาท 


 


 


‘ปัญหาก็คือจะออกไปประตูไหน’ 


 


 


“ซูฮยอน!” 


 


 


“พี่คะ!” 


 


 


เมื่อข้ามผ่านผู้เล่นที่เบียดเสียดและมาถึงทางเข้าได้ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ผมหันไปมองตามเสียงจึงเห็นสมาชิกเผ่า รวมถึงโกยอนจูซึ่งยังไม่ได้เข้าไปในวาร์ปเกตยืนรวมตัวกันอยู่ เป็นโชคดีในความโชคร้าย ผมรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


กลางดึก ท้องฟ้ามืดสนิทปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง แต่ในเมืองกลับสว่างไสว เปลวไฟลุกโชนจากทุกทิศทางไล่ต้อนความมืดออกไปจนสว่างจ้า 


 


 


ถนนในเมืองที่สองสว่างทำให้เห็นฉากน่าสยดสยองชวนให้นึกถึงนรกขึ้นมา ซากศพเย็นเฉียบที่กองสุมกันถูกแขวนไว้รอบอาคารพังๆ เลือดซึ่งไหลรินจากศพเหล่านั้นเปื้อนผนังและหยดลงเป็นแอ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลรวมกันเป็นลำธาร 


 


 


ถ้ารวบรวมศพที่กระจัดกระจายไปทั่วคงสามารถสร้างเนินเขาเล็กๆ ได้ แต่การเข่นฆ่าก็ยังคงดำเนินต่อไป ฝ่ายหนึ่งสังหารไม่เลือกหน้า อีกฝ่ายหนึ่งทำได้เพียงกรีดร้องและถูกโจมตีโดยไร้ทางสู้ มีพวกผู้เล่นที่พยายามต่อต้านอยู่บ้าง แต่ก็ล้มลงโดยที่ทำอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องจากการโจมตีไร้ซึ่งความปรานีของพวกเร่ร่อน 


 


 


เมืองแห่งการสังหารหมู่ที่บ้าคลั่ง ถนนเต็มไปด้วยเลือด, ศพ, ความคลั่ง และเสียงกรีดร้อง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดรัดรูปสีดำแนบเรือนร่างเดินข้ามมากลางท้องถนนอย่างสบายใจเฉิบ หล่อนก็คือ แพคซอยอน 


 


 


แพคซอยอนที่เดินไปตามถนนเหมือนนางแบบหลับตาลงและสูดหายใจยาว จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปาก ดวงตาที่เปิดขึ้นเป็นประกาย ท่าทางหญิงสาวจะพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ 


 


 


“ว้าว เธอนี่มันบ้าชะมัด คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ” 


 


 


“เจ้าบ้า ว่าใครบ้ากันยะ แล้วที่อยู่ในมือนายคืออะไรล่ะ” 


 


 


แพคซอยอนซึ่งเดินวางมาดไปตามทางหยุดเดินเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ใบหน้าที่เคยเริงร่าจนถึงเมื่อครู่นี้บูดเบี้ยวเล็กน้อยกับเสียงตะโกนว่าให้ถอยไป 


 


 


จากนั้นใบหน้าของแพคซอยอนซึ่งมองไปด้านหนึ่งก็เริ่มฉายแววสมเพช หล่อนดึงกริชที่เอวออกมาพร้อมถอนหายใจเบาๆ และกำมันไว้ในมือก่อนจะออกเดินอีกครั้ง 


 


 


แพคซอยอนเดินไปทางที่ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังโต้เถียงกัน แน่นอนว่าการโต้เถียงกันในสถานการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ถ้าเห็นจำนวนศพที่เกลื่อนกลาดรอบตัวทั้งสองและของที่พวกเขากำไว้ในมือมันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ 


 


 


 


 


 


“นี่ คิดว่าเด็กนี่อายุเท่าไหร่กัน ดูยังไงก็เป็นนักเรียนประถม ไม่สิ เป็นผู้เล่นตั้งแต่แรกหรือเปล่าเถอะ ฆ่าให้ตายไปซะยังจะดีกว่า” 


 


 


“มันสำคัญอะไรด้วยล่ะ แล้วก็นะ ฉันถามว่าที่อยู่ในมือนายมันคืออะไร” 


 


 


“ดูก็รู้ว่านังนี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันก็ไม่ทำอะไรที่วิปริตเหมือนเธอด้วย อย่ามัวแต่พูดอยู่เลย รีบฆ่ามันซะ” 


 


 


“อะแฮ่มๆ” 


 


 


แพคซอยอนส่งเสียงน่าหมั่นไส้ขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งคู่ สองคนนั้นหันมามองหล่อนด้วยสีหน้าตกใจ ความสิ้นหวังเลือนรางอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวที่เห็นแพคซอยอน เมื่อเหลือบมองของในมือแต่ละข้าง พวกเขาจับเด็กชายที่ดูเยาว์วัยกับหญิงสาวที่งดงามแบบผู้ใหญ่เอาไว้เหมือนเส้นผมที่ถูกดึงออกมา 


 


 


“พะ พี่คะ” 


 


 


“มาแล้วเเหรอครับพี่!” 


 


 


“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ คนอื่นกำลังทำหน้าที่อย่างตั้งอกตั้งใจ แต่พวกระดับสูงกำลังทำอะไรกัน หืม” 


 


 


ในขณะที่หญิงสาวทำท่าทางอึกอัก แพคซอยอนก็พุ่งเข้าไปเหมือนลูกศร หล่อนขยับเข้าใกล้อย่างรวดเร็วและเหวี่ยงกริชในมือขวาจนเกิดแสงวูบวาบ 


 


 


ป๊อก! 


 


 


พริบตาที่เกิดแสงสว่างวาบก็เกิดเสียงลูกโป่งระเบิดดังสนั่นบนท้องถนน ศีรษะของเด็กชายระเบิดเหมือนแตงโมที่ถูกทุบจนแหลก สมองสีชมพูกระจัดกระจายไปทั่ว 


 


 


หญิงสาวที่กำศีรษะของเด็กชายไว้ยกมือขึ้น โดยไม่ทันรู้ตัวก็เหลือเพียงเส้นผมเพียงหยิบมือหนึ่งในกำมือของหล่อนเท่านั้น หญิงสาวซึ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่งทำหน้าบูดพลางส่งเสียงอย่างหงุดหงิดใจ 


 


 


“อ๊ะ พี่คะ!” 


 


 


“หนวกหู” 


 


 


“อ๊ะ ให้ตายสิทั้งที่มีแค่คนเดียวในสามสิบคนแท้ๆ…” 


 


 


แม้จะได้ยินเสียงบ่นอู้อี้ดังมาจากด้านข้าง แต่แพคซอยอนก็ไม่สนใจสักนิด คราวนี้หล่อนมาทางชายหนุ่ม เขาส่ายหน้าเป็นพัลวันทันทีที่สบตากับหล่อน 


 


 


“พี่ครับ! อย่านะ!” 


 


 


แต่ขาเรียวบางของแพคซอยอนเตะออกไปโดยไม่ลังเล หลังเท้าของหล่อนเตะเข้าที่คางของหญิงสาวที่ถูกจับไว้ 


 


 


กร๊อบ! 


 


 


“อึ่ก!” 


 


 


คอของหญิงสาวคนนั้นบิดเบี้ยวผิดรูปพร้อมเสียงกรีดร้อง ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ล้มลงพลางพูดเสียงเศร้า 


 


 


“จริงๆ เลย ทำเกินไปแล้วนะครับพี่” 


 


 


“พวกนายต่างหากที่ทำเกินไป การโจมตีคราวนี้ปล้นไปเท่าไหร่แล้ว” 


 


 


แพคซอยอนหมุนข้อเท้ากลางอากาศเล็กน้อย ก่อนจะหดขาที่เหยียดตรงลงอย่างงดงามอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบตอบทันทีเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากด้านหน้า หลังจากที่เผลอเหลือบมองเรียวขางดงามนั่น 


 


 


“ก็พี่ฮยอนบอกว่าปล้นได้ตามใจชอบนี้ครับ” 


 


 


“นั่นหมายความว่า ทำได้หลังจากจบสงครามนี้ต่างหาก” 


 


 


“ได้ยินมาว่าพี่คนเดียวฆ่าได้แค่ยี่สิบเองนี่ครับ ดูสิ จนถึงตอนนี้ผมกับแฮยอนฆ่าไปมากกว่าร้อย…” 


 


 


ชายคนนั้นชี้ไปฟากหนึ่งของถนนด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ถนนเส้นอื่นๆ เต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงกรีดร้อง แต่ที่นี่กลับเงียบจนน่าแปลกใจ 


 


 


แพคซอยอนเหลือบตามองตามทางที่ชายหนุ่มชี้ มีศพเกลื่อนกลาดบนถนนมากกว่าร้อยคนอย่างที่เขาว่า 


 


 


“เฮ้อ เอาเป็นว่าเลิกกวนฉันได้แล้ว กาอินอยู่ที่ไหน” 


 


 


“กาอินเเหรอ จะว่าไปแล้วหายไปไหนกันนะ เมื่อกี้ยังนั่งคุกเข่ามองศพเงียบๆ อยู่ตรงนี้เลย” 


 


 


เมื่อหญิงสาวส่ายหน้าพลางตอบคำถาม แพคซอยอนก็หันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ 


 


 


“ทำไมเด็กๆ ใต้บังคับบัญชาของฉันถึงมีแต่คนแปลกๆ กันนะ ไม่เห็นซากพวกนี้หรือไง ทำงานไปได้ไม่เท่าไหร่ก็คิดแต่จะเที่ยวเล่น เฮ้อ” 


 


 


“โธ่ เราได้รับแจ้งว่าที่จัตุรัสประสบความสำเร็จดี ที่วาร์ปเกตก็สำเร็จเหมือนกัน ดูจากสถานการณ์ก็เหมือนจะจบลงแล้วนี่ครับ ดูสิครับพี่ ผมทนไม่ไหวแล้ว” 


 


 


แพคซอยอนมองชายหนุ่มที่พูดแทรกขึ้นมาด้วยหางตา จากนั้นก็พูดเสียงอ่อน 


 


 


“พูดไปเรื่อยเลยนะ แต่ก่อนหน้านี้ทิ้งขว้างไปกี่คนแล้วล่ะ จริงสิ จับพวกตัวแทนเผ่าได้แล้วนี่นา นักบวชนั่นสเปกนายเลยนี่ ถึงได้วิ่งตามไปไวนัก” 


 


 


“อ้า ก็ใช่ครับ แต่ว่าทำไม่ได้หรอก ไม่สิ ไม่ได้ทำ” 


 


 


“ทำไมล่ะ” 


 


 


“คือว่า-“ 


 


 


จู่ๆ ชายหนุ่มก็เงียบลง 


 


 


“เป็นอะไรไป” 


 


 


“พี่ครับ ข้างหลัง” 


 


 


เมื่อเขาพยักพเยิดหน้าเบาๆ แพคซอยอนก็ค่อยๆ หันไปมองด้านหลัง หญิงสาวท่าทางไม่เต็มเต็งซึ่งโผล่มาจากด้านหลังของหล่อนตอนไหนก็ไม่รู้กำลังเดินมาหา ถ้าเรียกดีๆ ก็ใช้คำว่า ไม่เต็มเต็ง แต่ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ สติไม่ดี 


 


 


แพคซอยอนสำรวจสีหน้าของหญิงสาว จากนั้นก็หันไป 


 


 


“กาอิน เธอไปไหนมา” 


 


 


“พี่คะ เรื่องใหญ่” 


 


 


“ไปไหนมา…หือ” 


 


 


“จัตุรัส วาร์ปเกต ติดต่อ ไม่ได้” 


 


 


ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นใบหน้าของทั้งสามคนก็เครียดขึ้นมา แพคซอยอนย่นคิ้วพลางถามกลับ 


 


 


“หมายความว่ายังไง ตอนที่มาถึง…” 


 


 


“จัตุรัส วาร์ปเกต ติดต่อ ไม่ได้” 


 


 


หญิงสาวไม่เต็มเต็งยกลูกแก้วคริสตัลขึ้นมาพลางพูดซ้ำเพื่อตอบคำถามของแพคซอยอน หล่อนมองหญิงสาวครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 


 


 


“พัคดงซู อีแฮยอน หยุดพูดไร้สาระก่อน ถึงจะเร็วไปหน่อย แต่ว่ารีบรวบรวมพวกเด็กๆ ทันที เมื่อรวบรวมได้แล้วเราจะไปที่จัตุรัสและวาร์ปเกต” 


 


 


“ตอนนี้เหรอครับ เรายังไม่ได้ยึดเมืองโดยสมบูรณ์เลยนี่ เราต้องจัดการบริเวณนี้แล้วค่อยเข้าไปไม่ใช่เหรอครับ แล้วพวกเด็กๆ ที่ปล้นอยู่แถวนี้ที่เหลือจะทำยังไงล่ะครับ” 


 


 


“ทำตามที่บอกเถอะน่า” 


 


 


เฮือก! 


 


 


ชายที่ชื่อดงซูพยักหน้าและส่งสัญญาณทันที เงาที่กระจัดกระจายไปทุกทิศทางเมื่อครู่เริ่มกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 21

 

“วาร์ปเกตไม่ทำงานเเหรอคะ” 


 


 


“ครับ ดูเหมือนพวกเร่ร่อนจะทำอะไรสักอย่างกับวงแหวนเวท” 


 


 


เมื่อผมยืนยันคำตอบที่ชัดเจน สีหน้าของสมาชิกเผ่าก็หมองลง ตอนนี้เราเกือบจะหนีออกไปได้แล้ว แต่หนทางนั้นก็สลายไปเหมือนฟองสบู่ ผมจึงรู้สึกกังวล มองสมาชิกเผ่าที่กำลังมองมาที่ผมพลางครุ่นคิด 


 


 


ตอนนี้เหลือแค่ทางเดียวเท่านั้น ก็คือต้องออกไปทางประตูปราสาท 


 


 


‘ปัญหาก็คือจะออกไปทางไหน… ‘ 


 


 


จากนี้ไปจำเป็นต้องเลือกอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตามเส้นทางก็คล้ายคลึงกับทางไปวาร์ปเกตที่อยู่เกือบๆ ใจกลาง ดังนั้นต้องเลือกสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ที่ที่น่าจะไม่มีพวกเร่ร่อน 


 


 


ผมนึกภาพที่เห็นจากด้านบนร้านอัญมณีเมื่อครู่ พวกเร่ร่อนเข้าโจมตีจากสามทิศทาง คือประตูตะวันออก, ประตูตะวันตก และประตูเหนือ ดังนั้นการหนีไปทางประตูทิศใต้น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่จะวิ่งไปทางประตูทิศใต้ มันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่เกิดจากประสบการณ์การต่อสู้ในรอบแรก 


 


 


หลังจากวางแผนกำจัดพวกเร่ร่อน ความโกรธแค้นที่พวกเขามีต่อพวกผู้เล่นก็มากมายมหาศาล ดูจากการข้ามทวีปและเตรียมการแก้แค้นแบบเป็นขั้นเป็นตอนก็พอจะรู้ได้ 


 


 


ผมพอจะรู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะเปิดประตูทางใต้จึงยากที่จะส่งพวกผู้เล่นที่กำลังหลบหนีไปทางนั้น อย่างน้อยถ้าผมเป็นพวกเร่ร่อนที่รู้ดีก็มั่นใจได้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น 


 


 


ผมพยายามและจัดการสิ่งต่างๆ มากมายภายในช่วงเวลาหนึ่งนาที และในขณะที่กำลังพูดกับสมาชิกเผ่า จู่ๆ ก็นึกถึงอันซลขึ้นมา เธอกำลังดูดนิ้วด้วยใบหน้าเป็นกังวล เมื่อผมมองเธอก็นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ 


 


 


“อันซล” 


 


 


“คะ ค่ะ” 


 


 


“มานี่หน่อยสิ” 


 


 


อันซลกะพริบตาเล็กน้อยและวิ่งมาหาผมทันที 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พรึ่บ! 


 


 


ถนนที่มืดสนิทสว่างขึ้นและมืดลงอีกครั้ง ไฟที่ลุกโชนมาจากที่ไกลๆ ไม่สามารถสองสว่างไปถึงส่วนที่ห่างไกลของเมืองได้ ถนนใหญ่มีเพียงแสงสลัว มีเพียงไลท์สโตนที่กะพริบส่องแสงเป็นครั้งคราวตามถนนที่มืดมิด 


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งกำลังคลานไปตามทางนั้นอย่างสุดกำลัง หล่อนเคลื่อนตัวไปได้ครู่หนึ่งก็ต้องหยุดคลานเพราะไปต่อไม่ไหวและนอนลง 


 


 


สภาพของหญิงสาวบาดเจ็บสาหัส เสื้อผ้าท่อนล่างฉีกขาด ใต้เชิงกรานถูกเปิดเผย ต้นขาขาวถูกเจาะทะลุสองรูและมีเลือดไหลออกมาจากรูนั้นไม่หยุด 


 


 


หญิงสาวซึ่งพักหายใจชั่วครู่ไม่รู้สึกว่ามีคนอยู่ในบริเวณนี้ หล่อนรวบรวมเรี่ยวแรงและดันร่างส่วนบนขึ้น วางสองมือลงบนพื้นและค่อยๆ เริ่มยันตัวขึ้นจากพื้น 


 


 


หลังจากพิงร่างกับซากปรักหักพังของอาคาร หญิงสาวก็มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หล่อนพบศพเหวอะหวะอยู่ไม่ไกลนัก ซากศพฉีกขาดรุ่งริ่งเกลื่อนกลาดไปทั่วราวกับถูกพวกเร่ร่อนจัดการในคราวเดียว 


 


 


หญิงสาวที่มองดูอยู่ครู่หนึ่งส่งเสียงสะอื้นไห้เมื่อไม่อาจทนได้อีกต่อไป ในตอนนั้นเอง 


 


 


“ลูกแมวที่น่ารักของฉัน~ หายไปไหนกันนะ~” 


 


 


เสียงต่ำๆ ดัดเป็นท่วงทำนองที่ไม่เข้ากับเสียงแหบห้าวดังขึ้น หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทันที หล่อนยังคงสะอื้น คางและไหล่สั่นเทาแต่ก็อดทนอย่างสุดชีวิต 


 


 


เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่หล่อนกลืนน้ำลาย เสียงรองเท้าหนังดังกระทบพื้นก็ดังถี่ขึ้น หล่อนหายใจเข้าลึกๆ และหลับตาลง จากนั้นก็กัดฟันแน่นพลางลุกจากที่ ไม่สิ พยายามจะลุกจากที่ต่างหาก 


 


 


“อยู่นี่เอง~ พี่ชายหาตั้งนาน~” 


 


 


วัตถุกลมๆ ลอยผ่านบรรยากาศมืดมิดพร้อมคำว่าหาเจอแล้ว 


 


 


ตุ้บ! ขลุกๆ 


 


 


วัตถุทรงกลมที่ตกลงบนพื้นกลิ้งไปหยุดตรงหน้าของหญิงสาว หล่อนก็มองโดยอัตโนมัติและเมื่อเห็นลำคอส่วนล่างที่ถูกฉีกออกมาอย่างน่ากลัวกับเลือดที่ไหลทะลัก หล่อนก็กรีดร้องเสียงดัง 


 


 


“กรี๊ด!” 


 


 


“ฮ่าๆ” 


 


 


ตึง! กร๊อบ! กร๊อบ! 


 


 


ชายร่างใหญ่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนหัวเราะเสียงดังลั่นและบดขยี้ศีรษะนั้น เขาขยี้ฝ่าเท้าเหนียวๆ สามสี่ครั้งและยื่นมือที่เปรอะเลือดไปหาหญิงสาว 


 


 


“เป็นยังไง ลูกแมวของฉัน ดูเหมือนพรรคพวกของเธออยากจะช่วยเธอนะ แต่เป็นแบบนี้ไปแล้วละ” 


 


 


“อ้า…” 


 


 


ฝ่ามือใหญ่แตะเบาๆ ที่แก้มของหล่อน หญิงสาวตัวสั่นเทาได้แต่ส่งเสียงอยู่ในลำคอ 


 


 


“ในที่สุดก็จับได้แล้ว! จับได้แล้ว! ฮ่าๆ!” 


 


 


“ไม่! ไม่นะ!” 


 


 


ฟิ้ว! 


 


 


เสียงลมหวีดวิวพัดผ่านชายร่างยักษ์และหญิงสาวไป เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปและก้าวเดินก็หยุดชะงัก ในตอนนั้นเองดวงตาของชายร่างยักษ์ก็เบิกกว้าง เขายกสองมือขึ้นมาเพื่อป้องกันใบหน้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


ฉับ! 


 


 


มีสองสิ่งสุดท้ายที่ชายร่างยักษ์รู้สึกก่อนที่จะทันยกมือขึ้นมา นั่นก็คือความรู้สึกประหลาดที่ผ่านลำคอไปราวกับสายลม 


 


 


“จัดการเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” 


 


 


และเสียงเยือกเย็นน่าขนลุก 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก เราก็ตัดสินใจหนีไปทางประตูตะวันออก ถ้าพูดให้ชัดๆ ก็คือเราวางแผนอ้อมไปบริเวณกำแพงรอบนอกทิศตะวันออกเพื่อออกไปทางประตูตะวันออก แน่นอนว่าผมไม่ได้เลือกประตูตะวันออก แต่เกิดจากการคิดคำนวณ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเดิมพัน แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงเมื่อได้รับการยืนยันจากตัวนำโชค 


 


 


ดังนั้นพวกเราจึงอ้อมไปได้สำเร็จ และไปถึงเขตพักอาศัยของชาวเมืองที่กำแพงรอบนอกทิศตะวันออกได้อย่างปลอดภัย และเริ่มต้นการหลบหนี ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากเข้าสู่บริเวณกำแพงรอบนอกก็คงเป็นการที่โกยอนจูเริ่มช่วยเหลือผมอย่างจริงจัง 


 


 


จำนวนของพวกเร่ร่อนไม่ได้มากเกินกว่าที่คิดไว้ พวกเราบุกเข้าไปให้เงียบที่สุดและเมื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันไม่ได้ เราก็จะจัดการให้เร็วที่สุด 


 


 


พวกเร่ร่อนที่ออกปล้นบริเวณกำแพงรอบนอกนั้นเคลื่อนไหวหลากหลายรูปแบบ มีทั้งคนที่ลุยเดี่ยวและพวกที่รวมกันเป็นกลุ่มสี่ห้าคน ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากที่จะจัดการกับคนพวกนี้ พวกเราแค่จัดการเบาๆ ก็สามารถขับไล่ออกไปได้ถึงระดับกลางๆ  


 


 


แต่แน่นอนว่าการหนีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน 


 


 


เมื่อเราจวนจะถึงส่วนกลางของบริเวณกำแพงรอบนอก เราก็ปะทะกับพวกเร่ร่อนจำนวนสิบเจ็ดคน พวกเขาเป็นพวกเร่ร่อนที่บุกมาจากภายนอกและมีความสามารถเหนือกว่าพวกที่รับคำสั่งจากด้านใน 


 


 


โชคดีที่เวทมนตร์เงาขนาดใหญ่ของโกยอนจู่โจมตีพวกมันทั้งหมด เราจึงไม่เสียเวลามากนักในการฉวยโอกาสที่พวกมันกำลังสับสนแล้วเริ่มจัดการไปสี่ห้าคน 


 


 


การหลบหนีเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่พวกเร่ร่อนก็ไม่ได้มีแค่พวกโง่เง่า หากพวกเราลงจากด้านบนไปด้านล่าง พวกเร่ร่อนก็จะขึ้นจากด้านล่างมาด้านบน พวกเร่ร่อนก็คงมีวิธีติดต่อกันในแบบของตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะเห็นศพของพรรคพวกที่อยู่ในระหว่างยึดครองเมือง 


 


 


ยิ่งไปไกลก็ยิ่งปะทะกับพวกเร่ร่อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็มีพวกเร่ร่อนที่ถูกฆ่าไปมากกว่าหกสิบคนในระหว่างบุกมาที่บริเวณกำแพงรอบนอก พวกเขาคงรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกไปในสถานการณ์เช่นนี้ 


 


 


เสียงกรีดร้องที่ได้ยินอย่างต่อเนื่องของชาวเมืองเงียบหายไปแล้ว เริ่มมีบางส่วนกระจายตัวไปทั่ว บางส่วนก็เริ่มรวบรวมกลุ่มขึ้นใหม่ พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาหยุดการยึดครองเมืองและตามหาคนที่สังหารพรรคพวก 


 


 


ตอนนี้พวกเรากำลังเฝ้าดูสถานการณ์และพักหายใจชั่วครู่จากสัญญาณนับสิบที่รู้สึกได้จากด้านหน้า 


 


 


“ซูฮยอนทำยังไงดีคะ” 


 


 


ผมค่อยๆ หันไปตามเสียงที่ได้ยิน โกยอนจูกำลังเหลือบมองอันซลซึ่งตัวสั่นและเบียดร่างเข้าหากำแพง ข้างๆ เธอก็คือ ท่านผู้เฒ่าที่กำลังหอบหายใจ และคิมฮันบยอลที่หน้าซีดเผือด 


 


 


“ดูเหมือนด้านหน้าจะมีพวกเร่ร่อนอยู่และกำลังมาทางที่พวกเราอยู่ตอนนี้” 


 


 


“ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นค่ะ” 


 


 


ผมพยักหน้าอย่างใจเย็น มองเห็นกำแพงขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ เราก็จะไปถึงประตูปราสาท จำนวนคนที่ผมรู้สึกได้จากด้านหน้ามีประมาณยี่สิบคน หากได้การช่วยเหลือของโกยอนจู ผมมั่นใจว่าเราจะจัดการได้ในพริบตา เพียงแต่ว่าติดอยู่อย่างหนึ่ง 


 


 


“โกยอนจู นอกจากด้านหน้าแล้ว คุณรู้สึกถึงพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ จากบริเวณใกล้ๆ นี้ไหมครับ” 


 


 


“รู้สึกค่ะ ตรงที่พวกเราผ่านมากลุ่มหนึ่งและทางขวาอีกกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนจะขึ้นมาด้านบนแล้วก็ลงไป คงกำลังจะมองหาร่องรอย” 


 


 


“ถ้างั้นตอนนี้พวกเขาอยู่ไกลแค่ไหนเหรอครับ” 


 


 


“ระยะทางค่อนข้างใกล้ค่ะ แต่ว่า…” 


 


 


โกยอนจูเหลือบมองด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นก็เอียงคอพลางพูดต่อ 


 


 


“ที่จริงกลุ่มที่อยู่ด้านหลังหยุดการเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อกี้แล้วค่ะ ส่วนหนึ่งของกลุ่มที่อยู่ทางขวากำลังหันไปทางนั้น” 


 


 


“หรือว่า… “ 


 


 


ขณะนั้นเองความคิดหนึ่งที่ว่าเราถูกประกบก็แวบเข้ามาในหัว โกยอนจูที่อ่านความคิดของผมออกส่ายหน้า 


 


 


“ฉันคิดว่าพวกเขาเข้าใจผิดว่าผู้เล่นคนอื่นเป็นพวกเรา” 


 


 


“ผู้เล่นคนอื่นงั้นเหรอ” 


 


 


“ค่ะ ฉันเป็นกองหลังตอนที่ซูฮยอนกำลังต่อสู้ในจัตุรัสเมื่อครู่นี้ใช่ไหมล่ะคะ ถึงจะมีไม่มาก แต่ก็มีผู้เล่นบางคนตามหลังซูฮยอนมาตั้งแต่จัตุรัสและวาร์ปเกตค่ะ ดูจากร่องรอยที่ทับซ้อนกันตอนนี้ บางทีอาจจะถูกพบแล้วก็ได้” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น… “ 


 


 


ผมเข้าใจคำพูดของโกยอนจูทันที ผมจำได้ว่ามีผู้เล่นบางคนเรียกผมและตามติดมาในระหว่างทางที่มาที่นี่ แน่นอนว่าผมปฏิเสธทันที แต่ถ้าที่หล่อนพูดเป็นเรื่องจริง นี่อาจจะเป็นโอกาส 


 


 


เรามีอยู่สองวิธี คือจัดการกับพวกข้างหน้าในระหว่างที่ผู้เล่นคนอื่นกำลังดึงดูดความสนใจของพวกเขา หรือไม่ก็ไปในแนวทแยง 


 


 


ผมถามโกยอนจูทันที 


 


 


“โกยอนจู ถ้าเราเปลี่ยนไปทางแนวทแยงจะออกไปได้ไหม” 


 


 


“นั่นสิคะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเกือบจะรวมกลุ่มไล่ล่าได้แล้ว… “ 


 


 


“…” 


 


 


“ประตูปราสาทอยู่ข้างหน้านี้ไม่ใช่เเหรอคะ มีทางไปง่ายๆ จำเป็นต้องไปทางที่ยาก…” 


 


 


ความคิดของโกยอนจูและผมสอดคล้องกัน ยังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกผู้เล่นที่ตามหลังผมมาจะอดทนได้นานแค่ไหน และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเราอาจเจอพวกเร่ร่อนได้ทุกที่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเปลี่ยนเส้นทางจะทำให้ล่าช้าและอาจจะมีพวกเร่ร่อนจากพื้นที่อื่นเข้ามาเพิ่ม ดังนั้นถึงจะเสี่ยงเล็กน้อย แต่การเลือกจัดการพวกเร่ร่อนตรงหน้าน่าจะดีกว่า 


 


 


‘หลังจากจัดการพวกมันโดยเร็วที่สุด เราจะออกไปทันที’ 


 


 


หลังจากตัดสินใจแล้วผมก็มองสมาชิกเผ่าและพูดต่อ 


 


 


“บางทีนี่อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉันจะไม่พูดยาวนะ เพราะมันก็เหมือนเดิม ทันทีที่จัดการกับพวกนั้นแล้วเราจะหนีไปจากที่นี่” 


 


 


“พะ พี่คะ” 


 


 


“เพราะฉะนั้นโกยอนจูช่วยทำเหมือนเมื่อกี้ด้วยนะครับ” 


 


 


ถึงจะได้ยินเสียงฮันบยอลเรียก แต่ผมก็หันไปทันที ผมกระโดดไปด้านหน้าเต็มแรง ในขณะเดียวกันก็เห็นเงามากมายไหลลงมาตามพื้นดิน 


 


 


ผมกระโดดข้ามอาคารหนึ่งในพริบตา ที่นั่นมองเห็นพวกเร่ร่อนด้านบนได้ พวกเขารู้สึกแปลกจึงเงยหน้าขึ้นระหว่างที่กำลังเดินช้าๆ และเมื่อสบตากับผม เงานับไม่ถ้วนที่โกยอนจูส่งมาก็โจมตีพวกเร่ร่อน 


 


 


“อั่ก!” 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


เมื่อลงมายังสถานที่ที่พวกเขารวมตัวกัน พวกเร่ร่อนหลายคนก็กระเด็นขึ้นไปกลางอากาศและส่งเสียงกรีดร้อง จู่ๆ ผมก็นึกถึงดาบอัคนีขึ้นมา แต่ก็ส่ายหน้าทันที ผมใช้ที่วาร์ปเกตไปแล้วครั้งหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าจะสามารถใช้งานได้อีกนานเท่าไหร่ ถ้านึกถึงแผนในอนาคตผมจำเป็นต้องเก็บความแข็งแกร่งเอาไว้ให้มากที่สุด 


 


 


ดังนั้นเมื่อลงมาด้านล่าง ผมก็ก้าวเข้าหาพวกเขาอย่างน่ากลัวและแทงดาบออกไป 


 


 


ผมไม่ได้ต่อสู้ให้ดูดี ในหัวของผมคิดเพียงแต่จะต่อสู้เพื่อหนีเท่านั้น ดังนั้นในระหว่างที่เงาของโกยอนจูกำลังทำให้พวกเร่ร่อนสับสน ผมต้องลดจำนวนพวกเขาให้ได้มากที่สุด ผมไม่คิดอะไรและตัดสินใจใช้สมาธิไปกับการต่อสู้ ดังนั้นผมจึงเหวี่ยงดาบไปทางสามคนที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่กลางอากาศในตอนเริ่มแรก 


 


 


ฉึก! ฉึก! ฉึก! 


 


 


ผมพุ่งเข้าไประหว่างพวกเขาหลังจากฆ่าสามคนนั้น พริบตาเดียวพวกเร่ร่อนก็ตกอยู่ในความวุ่นวายจากการถูกจู่โจมกะทันหัน พวกเขาตั้งสติและตะโกนโหวกเหวก 


 


 


“เจอแล้ว! เตรียมพร้อมต่อสู้! เตรียมพร้อมต่อสู้!” 


 


 


“บ้าเอ๊ย! มันอยู่ในความมืด! อย่าดูถูกมันเชียว!” 


 


 


‘เล่นด้วยสักหน่อยแล้วกัน’ 


 


 


ควับ! ควับ! 


 


 


ผมรู้สึกได้ว่าพวกเร่ร่อนที่รวมกลุ่มกันในบริเวณนี้กำลังหลั่งไหลเข้ามาทันทีที่ส่งสัญญาณออกไป  


 


 


ผมหมุนตัวอย่างรวดเร็วและวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ตนเองสามารถทำได้ ผมรู้สึกว่ามีพวกเร่ร่อนที่วิ่งเข้ามาหาผมบางคนสะดุ้ง คงจะตกใจพอสมควรที่ผมวิ่งเข้ามาใกล้ 


 


 


พลั่ก! พลั่ก! 


 


 


ถึงจะได้ยินเสียงบางอย่างทิ้งลงมาบริเวณที่ผมยืนอยู่เมื่อครู่นี้ แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมพุ่งตัวอย่างว่องไวใส่กลุ่มพวกเร่ร่อน หลังจากหลบเลี่ยงเวทมนตร์ที่ลอยมาจากด้านหน้า 


 


 


“บะ บ้าน่า! ทำไมเร็วขนาดนี้!” 


 


 


“ระวัง!” 


 


 


เมื่อกวัดแกว่งดาบไปยังคนที่อยู่หน้าสุด เขาก็ยกโล่ขึ้นมาด้วยความมั่นใจ  


 


 


เคร้ง! 


 


 


ดาบล่องหนผ่าโล่หนาเข้าไป สีหน้ามั่นอกมั่นใจของพวกเร่ร่อนหายไปเกือบครึ่ง บางอย่างร้อนผ่าวจนผมเปียกชุ่ม วิสัยทัศน์ถูกย้อมเป็นสีแดง 

 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 22

 

ผมรู้สึกได้ว่าพวกที่อยู่รอบตัวกำลังสับสน ผมใช้โอกาสนี้ปล่อยคืนพลังเวทที่ผมชำนาญไปทั่ว 


 


 


“ชะ ชีลด์” 


 


 


ตู้ม! ตู้ม! 


 


 


นักเวทบางคนกลางแนวป้องกันอย่างรวดเร็ว แต่คลื่นพลังเวทสีน้ำเงินบีบคั้นเกราะโปร่งแสงจนแตกกระจาย ในไม่ช้านักเวทก็ถูกกระแทกจากการโจมตีของคลื่นและหลั่งเลือด 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


“พวกมันอยู่ที่นี่กันหมดเเหรอ!” 


 


 


“นี่มันอะไรกัน ผู้ชายคนเดียวเนี่ยนะ! ไอ้พวกโง่!” 


 


 


เปรี้ยง! 


 


 


ผมได้ยินคำหยาบคายและเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธจากด้านข้าง ผมเหวี่ยงดาบไปทางที่ได้ยินเสียงดังสนั่นโดยอัตโนมัติ เห็นลำแสงสีเหลืองฟาดลงมาพร้อมแรงหนักๆ ที่ข้อมือ ไม่นานนักแสงนั้นก็เลือนหายไปจนไม่เหลืออะไรเลย 


 


 


“เป็นไปไม่ได้!” 


 


 


เสียงกราดเกรี้ยวกลายเป็นความประหลาดใจทันที เมื่อมองไปทางที่ลำแสงพุ่งเข้ามาก็เห็นคนที่ถือคันธนูกำลังถอยหลัง ผมกระโดดและแทงดาบไปทางเขา  


 


 


ดูเหมือนจะได้ยินเสียงร้องเบาๆ แต่ผมเตะหน้าอกเขาหนึ่งครั้งและหาคู่ต่อสู้คนต่อไปทันที พวกเร่ร่อนมองผมด้วยสีหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยิ่งตื่นตระหนกเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ยิ่งสับสนเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ผมจะต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกเขาจะตั้งสติได้ 


 


 


ผมวิ่งเข้าไปไม่หยุด ไม่หยุดดาบแม้แต่วินาทีเดียวและบุกโดยไม่ให้มีช่องว่างสักนิด หากจะเฉือนใครสักคนก็วิ่งเข้าใส่ทันทีและปลิดชีวิตซะ 


 


 


ดังนั้นในชั่วพริบตาจึงจัดการได้ราวๆ สิบคน 


 


 


“ทุกคนหลีกไป! ฉันจะจัดการหมอนี่เอง เตรียมระดมยิง!” 


 


 


คราวนี้เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ในขณะเดียวกันคุณก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกรุนแรงจากด้านซ้าย 


 


 


ผมโค้งตัวโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ผมเปิดใช้เวทมนตร์ระดับสูงสุดและเพิ่มค่าความสามารถทั้งหมดให้สูงที่สุด สัญชาตญาณที่เหมือนสัตว์ป่าครอบครองทั่วร่าง เลือดพลุ่งพล่านเช่นเดียวกับตอนที่พี่ชายตายจากไป 


 


 


ผมเหยียบพื้นด้วยเท้าซ้ายและตวัดดาบจากด้านล่างขึ้นด้านบน 


 


 


“อ๊ะ…” 


 


 


‘หือ’ 


 


 


ทั้งพวกเร่ร่อนที่พุ่งเข้ามาหาผมและตัวผมเองต่างก็ประหลาดใจ ไม่ใช่แค่เราสองคนที่แปลกใจ พวกที่รวมกลุ่มระดมยิงก็ตกใจเช่นกัน พวกเร่ร่อนมองดาบของตนเองที่หักครึ่งด้วยสีหน้าว่างเปล่า ผมก็ตกใจที่มันทนทานและไม่แตกหัก แม้จะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น 


 


 


“หัวหน้า! หลบไปก่อน…อั่ก!” 


 


 


กร๊อบ! กร๊อบ! 


 


 


ตอนนั้นเองความช่วยเหลือของโกยอนจูก็มาถึงในเวลาที่เหมาะสมพอดี เสียงกระดูกบิดเบี้ยวดังไปทั่ว ผมแทงเข้าที่หน้าอกของพวกเร่ร่อนที่ปะดาบกับผมเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว 


 


 


ฉึก! ตุ้บ! 


 


 


ดาบล่องหนทะลุถุงมือหนาและแทงลึกเข้าไปในหน้าอก ความรู้สึกหวาดเสียวผ่านมาถึงด้ามจับ เขาตัวสั่นสะท้านพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น เมื่อพลังเวทระเบิดออกมา 


 


 


“อุ้ก!” 


 


 


“…” 


 


 


“กะ แกเป็นใคร…แค่ก!” 


 


 


หลังจากบิดดาบแทนคำตอบ ผมก็ดึงดาบออกมาอย่างแรง เลือดที่ทะลักจากหน้าอกเปื้อนปลายดาบจนเกิดเส้นบางๆ ใช่แล้ว นี่คือการล่า การออกล่าอย่างไรล่ะ 


 


 


ผมหันไปหาเหยื่อรายต่อไป เห็นพวกเร่ร่อนห้าคนซึ่งกำลังมองมาที่ผมอยู่ใกล้ๆ ในดวงตาของพวกเขาฉายแววหวาดกลัว เมื่อผมขยับไปใกล้เป้าหมายก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่น 


 


 


“นะ หนีไป!” 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


พวกเร่ร่อนส่งเสียงร้องและเริ่มวิ่งหนี ห้าคนที่เหลืออยู่ในกลุ่มระดมยิงวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ผมมองพวกเขาอยู่พักหนึ่งจากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่และมองไปรอบๆ 


 


 


บริเวณที่การต่อสู้จบลงมีศพมากกว่าสิบกระจัดกระจายอยู่รอบ พื้นดินที่เคยสะอาดเมื่อครู่ถูกย้อมด้วยเลือดที่ไหลทะลักจากพวกเร่ร่อน ผมมองภาพนั้นและพยายามอย่างหนักเพื่อระงับความกระหายเลือดที่พลุ่งพล่าน ผมต้องการไล่ล่าและสังหารพวกมันตามใจชอบ แต่ผมไม่มีเวลาไล่ตามไปทีละคน  


 


 


“ซูฮยอน เหนื่อยหน่อยนะคะ” 


 


 


เสียงของโกยอนจูดังขึ้นใกล้ๆ ผมสามารถควบคุมจิตใจที่ลุ่มหลงในการสังหารได้แล้ว 


 


 


ทันที่ที่การต่อสู้จบลง ผมก็เกิดลังเลที่จะไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว จู่ๆ ก็นึกตลกตัวเองขึ้นมา 


 


 


ผมหันไปตรวจสอบตำแหน่งของสมาชิกเผ่า สมาชิกเผ่ารวมทั้งโกยอนจูต่างก็ยื่นออกมาแค่ใบหน้า ผมสบตากับราชินีแห่งเงามืด การบุกพื้นที่กำแพงรอบนอกในคราวนี้เป็นผลงานที่เยี่ยมยอดของหล่อน หากเมื่อครู่ไม่ได้การโจมตีจากเงา ตอนนี้ผมอาจจะติดพันกับการระดมยิงอยู่ก็ได้ 


 


 


“เป็นความช่วยเหลือที่เหมาะมากสมกับที่เป็นราชินีแห่งเงามืดเลยนะครับ” 


 


 


“พูดอะไรคะเนี่ย ฉันไม่ชินนะคะ โฮะๆ” 


 


 


โกยอนจูมองศพที่เกลื่อนกลาดพลางเอ่ยตอบ 


 


 


ผมมองไปข้างหน้าอีกครั้งตอนที่บุกพื้นที่พักอาศัยของชาวเมือง ผมบุกทะลุมาทางซ้ายสุด ตอนนี้เราออกเดินเป็นแนวทแยงซ้ายแบบเดียวกับเมื่อครู่เพื่อออกจากบริเวณกำแพงรอบนอกที่น่าเบื่อหน่ายจริงๆ เสียที จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของสมาชิกเผ่าที่เดินตามหลังมา 


 


 


ผ่านไปราวห้านาทีก็มองเห็นบริเวณที่ถูกบดบังด้วยซากปรักหักพังของอาคาร กลิ่นคาวเลือดเบาบางลงและได้กลิ่นอับชื้นแทน เราเริ่มมองเห็นกำแพงสูงสิบห้าฟุตอยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็จะได้ออกไปจากกำแพงรอบนอกสักที 


 


 


ประตูปราสาทว่างเปล่าตามคาด ถึงจะมองเห็นซากเหวอะหวะของทหารยามสองนายและเริ่มได้ยินเสียงกรีดร้องจากที่ไกลๆ ก็ตาม ประตูตะวันออกไร้ผู้คนแน่นอน  


 


 


แค่เพียงออกไปจากประตูปราสาทได้โอกาสรอดชีวิตก็จะเพิ่มขึ้น แม้จะถูกไล่ตามแต่ก็จัดการได้ง่ายกว่ามาก เพราะไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ถูกจำกัดแบบในเมือง สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการออกไปข้างนอก หลังจากนี้จะไปทางไหนต่อนั้นเป็นเรื่องที่ค่อยขบคิดหลังจากหนีไปจากเมืองนี้ให้ได้ก่อน 


 


 


ดังนั้นผมจึงจัดการความคิด ขณะที่กำลังเดินไปตามทางนั้นเอง 


 


 


ฟิ้ว! 


 


 


เสียงแหวกผ่านอากาศดังชัดเจน เมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นเปลวไฟที่ลุกโชนกับควันไฟโขมงและรู้สึกถึงบางอย่างที่ยื่นออกมาในความมืด มันใกล้เข้ามาแล้ว  


 


 


ผมหันไปโดยอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันจิตสังหารที่สงบลงไปแล้วก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ลมหนาวที่พัดผ่านลำคอรุนแรงพอสมควร มันเป็นการโจมตีที่แปลกประหลาด ผมได้ยินเสียงของหญิงสาวเมื่อเปิดใช้โสตประสาทจนถึงขีดจำกัด 


 


 


“ปราศจากสิ่งกีดขวาง กระสุนปีศาจ!” 


 


 


พลังงานร้อนแรงจากด้านหลังจู่โจมพร้อมเสียงระเบิดดังสนั่น 


 


 


 


 


 


[ตรวจพบการโจมตีด้วยเวทมนตร์ เกียรติยศแห่งสวรรค์, เกียรติยศแห่งดวงตะวันมีผลร่วมกันและตอบสนอง] 


 


 


[ตรวจพบการโจมตีด้วยเวทมนตร์ ทักษะแฝง, พรคุ้มครองแห่งสงคราม (ระดับ:EX) ตอบสนอง] 


 


 


[เกียรติยศแห่งสวรรค์, เกียรติยศแห่งดวงตะวันป้องกันสมบูรณ์แบบ! ตัดสินให้ปกป้องโดยสมบูรณ์!] 


 


 


 


 


 


ผมรู้สึกถึงเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่กระทบแนวป้องกัน แต่ก็เท่านั้นแหละ ไม่เกิดความเสียหายใดๆ อย่างไรก็ตามผมรู้ระยะทางและตำแหน่งจากการโจมตีเมื่อครู่แล้ว ผมเงยหน้าขึ้นจับจ้องชั้นสามของตึกที่ยังคงหลงเหลือสภาพและดีดตัวขึ้นทันทีหลังจากยืนยันแล้วว่าเงามืดสลัวนั่นกำลังเล็งเป้ามาที่ผม 


 


 


เมื่อแสดงให้เห็นถึงพลังของออร์โธรส ลอง บู๊ทส์และพลังของการเคลื่อนย้ายในพริบตา ผมก็มาถึงอาคารอย่างรวดเร็วและมาอยู่ใต้ดาดฟ้า ได้ยินเสียงนักธนูส่งเสียงเบาๆ แต่ก็รับมือได้อย่างยอดเยี่ยม ความสับสนจบลงในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเห็นผมซึ่งกระโดดขึ้นมาด้านบน หล่อนก็เหนี่ยวสายธนูทันที 


 


 


ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! 


 


 


หล่อนยิ่งเพียงครั้งเดียว แต่กลับได้ยินเสียงลูกธนูถึงหกดอก ลูกธนูสีเข้มพุ่งขึ้นไปในอากาศ เปลี่ยนทิศทางราวกับกำลังเต้นรำและยึดครองทั้งหกทิศ มันเหมือนกับลูกศรที่มีชีวิต 


 


 


ในไม่ช้าลูกศรสีดำก็เริ่มพุ่งเข้ามาจากทุกด้านพร้อมๆ กัน 


 


 


ผมคว้าดาบล่องหนอย่างใจเย็น และทันทีที่ลูกธนูเข้ามาในรัศมี ผมก็เหวี่ยงดาบเป็นวงกลมขนาดใหญ่ มันอาบไล้ไปด้วยพลังเวท แสงสีน้ำเงินยังหลงเหลือในอากาศและวาดเป็นครึ่งวงกลม เมื่อลูกธนูปะทะกับครึ่งวงกลมนั้นก็เกิดแรงสะเทือนรุนแรงบนข้อมือ 


 


 


ปัง! 


 


 


ลูกธนู ไม่สิ กระสุนปีศาจถูกกวาดออกไปและกระเด็นออกไปเหมือนพัด เมื่อผมวิ่งผ่านเศษซากที่แตกกระจายก็ค่อยๆ เห็นใบหน้าของพวกเร่ร่อนที่ยิงธนูใส่ผมชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมองไม่เห็นรายละเอียดใต้จมูกที่ถูกปิดด้วยผ้าคุมสีดำ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้หญิงผมยาว รูปร่างผอมบาง และดวงตาของหล่อนที่มองมาที่ผมนั้นกำลังเบิกกว้าง 


 


 


ผมใช้พลังลงไปที่ดาบล่องหนและฟันอย่างแรง 


 


 


ฉับ! 


 


 


‘อะไรเนี่ย’ 


 


 


ดาบล่องหนฟาดลงบริเวณที่หญิงสาวเล็งมาที่ผมเมื่อครู่ แต่หล่อนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก ส่วนใหญ่ตัดผ่านอากาศไป แต่ก็รู้สึกได้ที่ปลายดาบ 


 


 


ผมมองด้านหน้าด้วยความแปลกใจ เห็นพวกเร่ร่อนถอยไปด้านหลัง ตรงกลางของเสื้อฉีกขาด ผิวที่เผยให้เห็นของหล่อนมีเลือดไหลพร้อมกับรอยแผลเล็กน้อย  


 


 


นักธนูเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อเห็นผมกวาดลูกธนูทิ้งไป หล่อนก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ผมค่อนข้างถูกใจข้อมูลผู้เล่นและความสามารถในการสังเกตการณ์ แต่น่าเสียดายที่หล่อนเป็นพวกเร่ร่อน 


 


 


ผมจับท่าทางและวิ่งไปทางนักธนู การต่อสู้จบลงแล้ว พวกเร่ร่อนเก่งกาจในฐานะนักธนู แต่นี่เป็นเรื่องของระยะทาง ยิ่งในทางแคบๆ เช่นนี้นักธนูไม่มีทางเอาชนะผมได้ได้ 


 


 


นักธนูพยายามหนีออกไปจากที่นี่ หล่อนขยับเท้าเดินถอยหลังพยายามทุกทางเพื่อเปิดเส้นทาง แต่คะแนนความคล่องแคล่วของผมคือเก้าสิบแปดพอยต์และผมยังสวมออร์โธรส ลอง บู๊ทส์ ไม่ว่านักธนูจะเก่งแค่ไหน ก็ยังห่างไกลจากผมมากนัก  


 


 


ระยะทางลดลงแบบที่ผมแทงดาบล่องหนถึงตัวหล่อนได้ในสองวินาที ดวงตาของนักธนูเหนือผ้าปิดปากดูสิ้นหวัง ผมเหยียบเท้าซ้ายลงบนพื้นเต็มแรงและแทงดาบล่องหนออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ฉึก! 


 


 


“อั่ก!” 


 


 


ดาบที่มองไม่เห็นทางทะลุผ่านเสื้อที่ฉีกขาดไปถึงหน้าอกของนักธนู รู้สึกได้ว่ามันแทงผ่านเข้าไปในเนื้อหนังอ่อนนุ่ม และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว ผมระเบิดพลังเวทเต็มที่ 


 


 


ปัง! ตู้ม! 


 


 


การระเบิดครั้งใหญ่ปะทุจากภายในราวกับมีใครวางระเบิดไว้ในร่าง คะแนนความทนทานของนักธนูไม่สามารถทนต่อแรงระเบิดได้ แขนขาจึงฉีกขาดและกระจัดกระจายในอากาศ ชิ้นส่วนของร่างกายกระเด็นไปทั่ว เลือดร้อนๆ ที่กระเด็นออกมาจากการระเบิดเปื้อนผมทั้งตัว 


 


 


“ฟู่ว “ 


 


 


‘วันนี้อาบเลือดทั้งตัวเลยแฮะ’ 


 


 


โล่งใจกับการกำจัดยอดฝีมือได้ครู่หนึ่ง ผมก็หันไปมองด้านหลัง หลังจากพ่นเลือดที่ไหลเข้าปากออกมาแล้ว ประตูปราสาทว่างเปล่า ไม่ มันไม่ได้ว่างเปล่าเหรอก โกยอนจูมองผมทางโบกไม้โบกมืออย่างไม่สะทกสะท้าน 


 


 


สมาชิกเผ่ากำลังรอผมโดยไม่ออกไปข้างนอก 


 


 


หลังจากหันกลับไปหาสมาชิกเผ่า ผมก็กระโดดไปทางประตูปราสาท 


 


 


ในที่สุดก็หนีรอดสมใจสักที 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” 


 


 


แพคซอยอนซอยอนตะโกนไปรอบๆ พวกเขาสะดุ้งเฮือกกับเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดของหล่อน 


 


 


ดงซูที่มักจะพูดไปเรื่อยเปื่อย แฮยอนที่บ่นพึมพำไม่สนใจใคร และกาอินที่ไม่เต็มเต็งต่างก็ปิดปากเงียบ พวกเขารู้ดี แพคซอยอนใจกว้างต่อลูกน้องที่น่ารัก แต่ถ้าคลั่งขึ้นมาหล่อนก็จะเผยด้านที่โหดร้ายออกมาโดยไร้ซึ่งความเมตตา 


 


 


ที่จริงตอนนี้แพคซอยอนจวนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ตอนที่ได้ยินว่าขาดการติดต่อไปก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น แต่เมื่อมาถึงจัตุรัสและวาร์ปเกตก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดจากลูกน้องของตนหล่อนก็ระเบิดลง 


 


 


แม้ว่าพวกผู้เล่นจะถูกสังหารอย่างโหดเ**้ยมเพื่อบรรเทาความโกรธในหัวของหล่อน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายโกรธเลย 


 


 


แพคซอยอนเป็น ‘พวกเร่ร่อนตัวจริง’ เป็นพวกเร่ร่อนที่มีด้านขาวดำชัดเจนจนเรียกได้ว่าไม่ปกติ ถึงจะมีความสามารถเป็นอันดับสอง แต่ฮยอนก็ไม่สบายใจนักที่จะมอบหน้าที่บังคับบัญชาให้หล่อน 


 


 


แพคซอยอนมองกริชที่มีเลือดหยดติ๋งๆ และพูดเสียงต่ำ 


 


 


“บอกฉันอีกทีสิว่าตอนนี้สูญเสียไปกี่คนแล้ว” 


 


 


“…” 


 


 


คำถามของแพคซอยอนพุ่งไปยังพัคดงซู เขาถูกกดดันด้วยท่าทางน่ากลัวจึงได้แต่มองไปรอบๆ พลางกลืนน้ำลาย แต่ทันทีที่หญิงสาวส่งสายตาดุดันมา เขาก็รีบอ้าปากตอบ 


 


 


“ที่จัตุรัสหกสิบห้าคน ที่วาร์ปเกตเจ็ดสิบเจ็ดคน รวมที่ถูกฆ่าตายไปก็เป็นร้อยสี่สิบสองคนครับ” 


 


 


“…” 


 


 


“แล้วก็ความเสียหายบริเวณที่พักอาศัยของชาวเมือง…จนถึงตอนนี้ยืนยันได้แล้วทั้งหมดร้อยนี่สิบเก้าคน…กำลังค้นหาที่เหลืออยู่ครับ” 


 


 


“อ้า…ถ้างั้นก็ตายไปแล้วสองร้อยเจ็ดสิบเอ็ดคนงั้นเหรอ เป็นความเสียหายที่ได้รับการยืนยันแล้วใช่ไหม” 


 


 


แพคซอยอนถามกลับด้วยใบหน้าไม่คาดหวังใดๆ ดงซูพยักหน้าเจื่อนๆ จากนั้นหญิงสาวก็กรีดร้องเสียงดังอีกครั้ง 


 


 


“เวรเอ๊ย!” 


 


 


แพคซอยอนขว้างกริชที่ใช้ประจำออกไปและขยี้หัวด้วยมือทั้งสอง 


 


 


จำนวนของพวกเร่ร่อนที่เข้ายึดมิวล์มีทั้งหมดสองพันแปดร้อยคน แน่นอนว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าตัวผู้เล่นในมิวล์ แต่พวกเขาไม่ใช่คนไร้ความสามารถ 


 


 


นอกจากผู้นำและกองกำลังใต้บังคับบัญชาของเขาบางส่วนแล้ว ก็ถือว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถระดับสูงเลยทีเดียว  

 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม