Memorize เล่ม 15 ตอน 1-9

เล่ม 15 ตอนที่ 1

 

อิมฮันนายิ้มขมขื่นให้กับคำถามของโกยอนจูพลางส่ายหน้าไปมา โกยอนจูพยักหน้าเล็กน้อยและดึงมือของอิมอิมฮันนามาจับไว้ 


 


 


“แต่ก็มาถึงอย่างปลอดภัยแล้วนี่นะ ทีแรกวันนี้ฉันมีนัด แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เข้าไปก่อนเถอะ” 


 


 


“ค่ะ พี่ รบกวนด้วยนะคะ” 


 


 


หลังจากได้รับคำเชิญจากโกยอนจู อิมอิมฮันนาที่ก้าวเข้ามาในแคลนเฮ้าส์ก็อุทานกับภาพตรงหน้า 


 


 


“โอ้โฮ!” 


 


 


“สวยไหม” 


 


 


“ค่ะ สวยมากเลย อย่างกับสวนแบบยุโรป…” 


 


 


“อย่ามัวแต่มองอยู่เลยรีบเข้ามาเถอะ ซูฮยอนกำลังรออยู่” 


 


 


อิมฮันนาหน้าแดงเล็กน้อยราวกับได้สติ แต่ก็ยังคงมองไปรอบๆ ดูท่าจะถูกใจสวนอยู่ไม่น้อย 


 


 


ทั้งคู่พูดคุยการพลางเดินผ่านสวนไป ยิ่งเข้าใกล้อาคารส่วนกลางมากเท่าไร ทั้งสองคนก็ยิ่งได้ยินเสียงรวมพลังที่แผ่วเบาและเมื่อเข้าไปในอาคารส่วนกลางที่กว้างใหญ่ก็มีบางอย่างมาหยุดตรงหน้าของคนทั้งคู่ การเคลื่อนไหวที่เหมือนกับแมวนั้นช่างยอดเยี่ยม 


 


 


“เอ๊ะ พี่มาดามเหรอ” 


 


 


“สวัสดียูจอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” 


 


 


คนที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคนคืออียูจอง หล่อนกำลังฝึกซ้อมอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่อากาศเย็นแต่ความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้นสูง ผ้าคาดผมสีเงินที่คาดไว้บนศีรษะช่างน่าหงุดหงิด หญิงสาวจึงถอดผ้าคาดศีรษะออกด้วยความรำคาญ เมื่อทำเช่นนั้นหยาดเหงื่อเป็นประกายเหล่านั้นก็หยดลงบนพื้นทิ้งรอยชื้นเอาไว้ 


 


 


อียูจองเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาบนแก้มด้วยดาบสั้นส่องประกายสีเงินวาวด้วยท่าทางน่าหวาดเสียวพลางเอียงคอด้วยความสงสัย 


 


 


“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมพี่อิมฮันนา…” 


 


 


“ยูจอง เมื่อเช้านี้ฉันบอกไว้ว่ายังไง” 


 


 


“เอ๊ะ อ๋อ จริงด้วย! ตอนนี้พี่ซูฮยอนเข้าไปที่ลานต่อสู้ชั้นใต้ดิน!” 


 


 


“ไม่ไหวเลย ให้ตายสิ เธอนี่มัน…ซูฮยอนแต่งตั้งให้เธอเป็นผู้ติดตามด้วยตัวเองแท้ๆ ถ้าเป็นแบบนี้จะลำบากไหมเนี่ย” 


 


 


จู่ๆ อียูจองที่คิดทบทวนอยู่ราวๆ หนึ่งวินาทีก็กระโดดพรวดเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ หญิงสาวหัวเราะเจื่อนๆ พลางเกาหัวเมื่อโกยอนจูเดาะลิ้นและต่อว่า โกยอนจูถึงกับถอนหายใจเล็กน้อย 


 


 


“ถึงจะบอกเธอไว้แล้ว แต่ก็กะแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันบอกเองก็ได้มั้ง” 


 


 


“ขอโทษนะพี่สาว ฉันจะไปบอกให้เดี๋ยวนี้แหละ เพราะงั้นไปที่ห้องทำงานได้เลยค่ะ” 


 


 


อียูจองเริ่มวิ่งตึงตังเข้าไปในอาคารส่วนกลางหลังจากพูดจบ ในระหว่างนั้นก็หยุดวิ่งแล้วหันกลับมาพร้อมตะโกนเสียงดัง 


 


 


“พี่มาดาม ไม่ต้องเป็นห่วงนะ! ฉันจะบอกให้เอง!” 


 


 


“อืม ขอบใจนะ แต่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ…” 


 


 


อิมฮันนาพึมพำอย่างอึดอัดใจพลางมองอียูจองซึ่งวิ่งหายไปอีกครั้ง 


 


 


“ยัยเด็กคนนี้ ถ้ามาถึงนี่ก็จบเรื่องแล้วละ กังวลอะไรอยู่งั้นเหรอ” 


 


 


“ถึงจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังรู้สึกกังวลค่ะ ดูเหมือนจะเป็นคำขอที่มากเกินไปสักหน่อย…” 


 


 


“ความกังวลของคนที่ผ่านความลำบากมาสินะ ยังไงก็เข้าไปก่อนเถอะ ถ้าไปรออยู่ที่ห้องทำงาน เดี๋ยวเขาก็คงจะขึ้นมาเร็วๆ นี้แหละ” 


 


 


“พี่คะ เดี๋ยวสิคะ ฉันเดินเองก็ได้” 


 


 


โกยอนจูดันไหล่ไปด้านข้างเล็กน้อยพลางกระซิบเสียงนุ่ม อิมฮันนาส่งเสียงด้วยความตกใจเมื่อถูกดึงแขนเสื้ออย่างแรง ทั้งสองคนค่อยๆ เดินเข้าไปในอาคารส่วนกลางอีกครั้ง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ห้องนั้นมืด หนาวเย็นและเงียบสงัด ในห้องเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกและโอบล้อมด้วยความเงียบ 


 


 


ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนท่ามกลางความเงียบงันนั้น เป็นเสียงลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะขาดใจในเร็ววันนี้ดังมาจากบนเตียง และอีกเสียงคือเสียงลมหายใจที่ดังมาจากชายผู้กำลังพิงเตียงมองดูคนที่นอนอยู่บนนั้น 


 


 


ชายผู้นั้นมีเสน่ห์ดึงดูดแบบที่ใครเห็นก็ต้องบอกว่าหล่อเหลา จมูกโด่งเป็นสันกับสันกรามแบบที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก ท่าทีไม่พูดไม่จาแสดงภาพลักษณ์ที่ดูเย็นชาและคาริสม่าซึ่งไม่อาจเข้าถึง สายตาที่มองลงด้านล่างนั้นเย็นชาราวกับจะแช่แข็งเตียง แต่แฝงไปด้วยความเวทนาและความจริงจัง 


 


 


แอ๊ด 


 


 


“คิมยูฮยอน…” 


 


 


ตอนนั้นเอง ประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออก เสียงดังบาดหูเล็กน้อยทำลายความเงียบ เจ้าของเสียงเรียกนั้นเดินเข้ามาด้านหลังของคิมยูฮยอนด้วยความลังเล แต่เขาไม่ได้หันไป ยังทำเพียงจ้องมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย 


 


 


“ที่แท่นบูชาก็บอกว่าไม่มีหนทางอื่นแล้ว…มันสายเกินไป” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของคิมยูฮยอนเปลี่ยนไป เขาหันกลับไปมองหญิงสาวที่ก้าวมาอยู่ด้านหลังของตนเอง สีหน้าโดยรวมดูเหมือนเดิม ทว่าแววตาทวีความเยือกยะเย็นกว่าเดิมมาก 


 


 


“ฮโยอึล…ถูกแบนชีโจมตีมานานเท่าไรแล้ว” 


 


 


“สองสัปดาห์ ที่แท่นบูชาบอกว่าถ้าถึงสามสัปดาห์…” 


 


 


ช่วงเวลาแห่งความเงียบผ่านไป คิมยูฮยอนจมลงสู่ห้วงความคิดอันถี่ถ้วนกับคำตอบของหญิงสาว เขาหลับตาลง แต่แล้วก็หันกลับมาพร้อมเอ่ยขึ้นคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ 


 


 


“ตอนนี้เงินของเผ่าเหลือเท่าไรแล้ว” 


 


 


“ไม่ถึงหนึ่งหมื่นโกลด์หรอก” 


 


 


“ถ้างั้นฉันคงต้องขายอุปกรณ์ของฉันแล้วสินะ” 


 


 


“คิมยูฮยอน!” 


 


 


เมื่อคิมยูฮยอนพูดขึ้นมานิ่งๆ หล่อนก็ตะโกนเสียงดัง แต่แล้วก็รีบปิดปากทันที เพราะสายตาเฉียบคมที่มองกลับมา 


 


 


เขาหันกลับมามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง ใบหน้านั้นไร้สีเลือดและซีดเซียวจนเขียวคล้ำ ดูจากร่างกายที่สั่นเทาเป็นครั้งคราว ดูท่าว่าอุณหภูมิร่างกายจะเย็นขึ้นกะทันหัน บางทีความเย็นในห้องก็อาจจะมาจากหญิงสาวบนเตียงก็เป็นได้ 


 


 


คิมยูฮยอนมองท่าทางหนาวสั่นของหล่อนด้วยความสงสาร เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้น 


 


 


“เราจะเสียฮโยอึลไปแบบนี้ไม่ได้ ไปที่จัตุรัสแล้วก็แปะประกาศตามหาอีลิกเซอร์ ไม่ใช่แค่ในพรินซิก้า แต่ทั่วทั้งทวีปเหนือ จะราคาเท่าไรก็ต้องหามาให้ได้” 


 


 


คิมยูฮยอนตัดบททันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เป็นเสียงที่แสดงถึงความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ว่าไม่อาจสูญเสียหญิงสาวที่นอนบนเตียงไปได้ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


สองเดือนที่แล้ว 


 


 


เด็กหนุ่มซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ นั่งอยู่ที่ลานน้ำพุในจัตุรัส เขาหลับตาลงพร้อมฮัมเพลงเบาๆ ใบหน้าของเขาดูเหมือนเด็กหนุ่มหน้าตาดีตามหมู่บ้านต่างๆ 


 


 


ทว่าสายน้ำสีเลือดที่พุ่งจากลานน้ำพุเป็นระยะๆ กับศพที่กองสุมกันกระจัดกระจายไปทั่วอย่างน่าสยดสยอง หากมองจากฉากหลังนั้นแล้วคงไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กหนุ่มที่กำลังส่งยิ้มบางๆ นั้นเป็นคนดี 


 


 


ตึ่ก ตึ่ก 


 


 


เสียงฮัมเพลงของเด็กหนุ่มหยุดลงทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมอง จากนั้นก็ส่งยิ้มแล้วพูดขึ้น 


 


 


“มาแล้วสินะพวกพเนจร” 


 


 


“พเนจรงั้นเหรอ ก็ไม่ผิดนักหรอก แต่น้อยคนที่เรียกแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเรียกเราว่าพวกเร่ร่อนน่ะ” 


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำ แม้จะไร้ซึ่งโทนเสียงสูงต่ำ แต่ในเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกระหายชวนให้ขนลุกเกรียว ทว่าเด็กหนุ่มกลับหัวเราะคิกคักราวกับชอบใจ 


 


 


“ขอโทษที เมื่อกี้ผมใช้เวทแปลภาษา แต่ดูเหมือนว่าจะใช้คำผิดไป” 


 


 


“ไม่ต้องขอโทษหรอก คนที่มาเพื่อขอโทษคือทางนี้ต่างหาก ที่รบกวนไปตั้งมากมาย” 


 


 


“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ! ผมไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น” 


 


 


“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ดีแล้ว แต่ฉันเองก็คงแสดงออกได้เท่านี้ เพราะนี่ก็ดูเหมือนจะสุภาพมากแล้ว” 


 


 


เมื่อพูดจบชายที่สวมผ้าคลุมเปื้อนเลือดเกรอะกรังก็ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาถือเคียวขนาดใหญ่เอาไว้ เท้าทั้งสองเฉียงขึ้นไม่แตะพื้น เลือดที่ไหลมาตามเคียวแหลมคมนั้นหยดลงบนพื้น เด็กหนุ่มมีสีหน้าสนอกสนใจเป็นครั้งแรก 


 


 


“โอ้ การต้อนรับของพวกเพื่อนๆ ดูจะหยาบคายนิดหน่อยนะครับ” 


 


 


“นายจะได้ขนลุกกับความหยาบคายอีกเป็นครั้งที่สอง” 


 


 


“หือ ทำไมเหรอครับ” 


 


 


“จู่ๆ ผู้ชายคนหนึ่งก็ล้มลงจากการถูกจู่โจม ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าเขา แต่หมอนั่นหัวเราะขึ้นมา แล้วก็หยิบมีดมาปาดคอตัวเอง” 


 


 


เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มปรบมือพลางหัวเราะคิกคัก รู้สึกตลกกับคำพูดของชายผู้นั้นอย่างมาก จากนั้นเขาก็เช็ดน้ำตาพลางสงบลมหายใจ ไหล่ของเขายังคงสั่นเล็กน้อย เด็กหนุ่มพูดอย่างร่าเริง 


 


 


“งั้นเหรอครับ โปรดเข้าใจด้วย เดิมทีก็เป็นคนแบบนั้นน่ะ” 


 


 


“ฉันได้ยินข่าวลือมากมายในทวีปตะวันตก แต่ก็รู้สึกทุกครั้งที่มาว่าข่าวลือเหมือนจะน้อยลง บอกมาตามตรงสิ เจ้าบ้า ต่อให้เป็นดินแดนของผู้ร้ายมันก็ไม่น่าจะเป็นแบบนี้” 


 


 


ชายผู้นั้นเปลี่ยนคำพูดแล้วเหลือบมองมาเล็กน้อย เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น จากนั้นเด็กหนุ่มก็จุ่มมือลงไปในน้ำพุ เขาควานหาบางอย่างและยกมันขึ้นมา 


 


 


ในมือขวาของเด็กหนุ่มถือศีรษะที่กำลังทำหน้าตาน่ากลัวของชายคนหนึ่งเอาไว้ สีหน้าบิดเบี้ยวบ่งบอกว่าตอนที่ตาย เขาคงตายอย่างทรมาน 


 


 


“คนๆ นี้คือ แจ็คเกอรีน ชื่อเล่นของเขาคือผู้ทรยศ เขาเป็นเพื่อนที่ทรงพลังและมีพรรคพวกมากมายในทวีปตะวันตก” 


 


 


“งั้นนายก็คือมือสังหารไซม่อนใช่ไหม” 


 


 


“ก็เรียกกันแบบนั้นนะครับ ถึงจะไม่ใช่ชื่อที่น่าพอใจสักเท่าไร” 


 


 


“ถ้างั้นฉันควรจะเรียกนายว่าไซม่อนสินะ” 


 


 


เมื่อพูดจบก็เกิดความเงียบระหว่างทั้งสองคนขึ้นอึดใจหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ชื่อไซม่อนลูบศีรษะที่ถูกตัดพลางกำไว้แน่นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ไซม่อนค่อยๆ พูดขึ้น 


 


 


“หลังจากที่เพื่อนคนนี้ตายไป ทวีปตะวันตกก็น่าเบื่อขึ้น…ข้อเสนอของพวกพเนจรน่าสนุกดี จากการตรวจสอบของเราก็เห็นด้วยในระดับหนึ่งกับคำพูดของพวกพเนจร” 


 


 


“สนุกแน่นอน อาจจะน่าขำที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ในสถานการณ์ที่กำลังขอร้อง แต่พวกนายสนุกกับงานนี้ใช่ไหม” 


 


 


“เวทแปลภาษาไม่สมบูรณ์แบบขนาดนั้น มีช่องว่างในการตีความ แต่อย่างไรก็ตามทวีปตะวันตกก็กลายเป็นสถานที่รวบรวมขยะที่ถูกขับไล่จากทวีปต่างๆ ไปแล้ว” 


 


 


“ขยะงั้นเหรอ…” 


 


 


ชายผู้นั้นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขมขื่น เขายอมรับเงียบๆ เพราะคำพูดของไซม่อนก็ไม่ผิดนัก สังหาร, ปล้น, ข่มขืน, สงคราม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ผู้เล่นในทวีปตะวันตกคุ้นเคยกับคำเหล่านี้ขึ้นมาก ไม่สิ ก้าวข้ามความคุ้นเคยไปแล้ว จะเรียกว่าฝังรากลึกลงไปในจิตใจแล้วได้หรือเปล่านะ 


 


 


“แจ็คกี้ อ๋อ ชื่อเล่นน่ะ หลังจากที่แจ็คกี้ตาย พื้นที่ที่เขาเคยเติมเต็มก็ว่างเปล่ามาก ความสงบสุขไม่เหมาะกับเรา ผมต้องการสถานที่ที่สามารถหันปลายดาบเข้าหากันและยอมรับเรื่องเหล่านั้นได้ ก็นะ ทางนี้เองก็มีหลากหลายกลุ่มและแต่ละกลุ่มก็มีเรื่องราวที่ซับซ้อนของตัวเอง ผมจะพูดแค่นี้แล้วกัน เพราะถ้าพูดต่อเรื่องมันจะยาวและคุณคงจะไม่สนใจสักเท่าไรด้วย” 


 


 


“พอใช้เวทแปลภาษาก็เลยมีส่วนที่ไม่เข้าใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ” 


 


 


“ฮ่าๆ! ในส่วนนั้นผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ โปรดเข้าใจด้วย เอาล่ะ เราเลิกพูดเรื่องน่าเบื่อกันดีกว่า ย้อนกลับไปคุยเรื่องน่าสนใจกันดีไหมครับ” 


 


 


“นั่นสิ นี่เป็นครั้งที่สามที่พบกับพวกนายอย่างเป็นทางการใช่ไหม” 


 


 


 ไซม่อนกลอกตาไปมาพลางกางนิ้วทีละนิ้ว จากนั้นก็พยักหน้า 


 


 


“ถ้าแบบเป็นทางการก็คงแบบนั้นละครับ” 


 


 


 


 


 


“ตอนที่เราพบกันครั้งที่สอง ผู้ใต้บังคับบัญชาของนายยื่นเงื่อนไขมาหนึ่งอย่าง ดังนั้นพวกเราจึงฆ่าแม่ทูนหัวแล้วทำตามสัญญาเพื่อที่จะได้พบกับนาย” 


 


 


“ผมได้รับข้อมูลหลักฐานแน่นอนครับ ถ้างั้นคุณสงสัยไหมครับว่าทำไมเราต้องยื่นเงื่อนไขให้สังหารแม่ทูนหัว” 


 


 


“ตามที่นายบอก เหตุผลมันจะเป็นการปูทางเพื่อไปสู่เรื่องต่อไป” 


 


 


ไซม่อนเอียงคอไปมา เขาไม่เข้าใจคำว่าปูทาง ท่าทีสงสัยพลางเบิกตากว้างของเขาดูไร้เดียงสาเสียจนจะไม่คิดว่าเป็นมือสังหารที่มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี 


 


 


“การสังหารแม่ทูนหัวก็เพื่อรับประกัน แน่นอนว่ามันไม่ใช่การรับประกันที่ยืนยันได้ แต่ก็เป็นการรับประกันที่มีความเป็นไปได้สูง” 


 


 


“ฉันขอฟังรายละเอียดมากกว่านี้ได้ไหม” 


 


 


“ผมจะบอกคุณแน่นอนครับแต่ว่า…” 


 


 


“ว่าอะไรเหรอ” 


 


 


ไซม่อนหยุดพูดไปเล็กน้อย เขายกยิ้มที่มุมปากจากนั้นก็พูดเสียงเรียบ 


 


 


“คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้พิทักษ์ของแต่ละทวีปไหมครับ”  

 

 


เล่ม 15 ตอนที่ 2

 

ผมดึงแก้มของอียูจองที่รีบร้อนวิ่งมาหาพลางก้าวขึ้นบันไดไปทันที และเมื่อเข้าไปในห้องทำงานชั้นสี่ก็เห็นหญิงสาวสองคนกำลังรอคอยผมอยู่เงียบๆ 


 


 


อิมฮันนาถือถ้วยชาด้วยมือข้างเดียวและยกขึ้นจ่อปาก ท่าทางดูสุภาพและมีความมั่นใจเผยความสง่างามอันสูงส่งที่ไม่อาจซ่อนเร้น ผมไม่รู้ว่าการเปรียบเปรยนั้นถูกต้องไหม แต่ถ้าหล่อนสวมใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่องก็คงจะดูเหมือนบุตรสาวสูงศักดิ์จากตระกูลชั้นสูง 


 


 


“ผมได้ฟังเรื่องราวมาแล้วครับ รวมทั้งในส่วนของหน่วยกู้ภัยเบื้องต้นที่หุบเขามายา” 


 


 


“ค่ะ…” 


 


 


“น่าจะบอกกันล่วงหน้านะครับ ผมจะได้ไปให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย” 


 


 


“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้เป็นภาระมากถึงขนาดที่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ต้องออกไปเสี่ยงชีวิต พี่ยอนจูบอกฉันว่าคุณทำดีที่สุดแล้วค่ะ” 


 


 


เมื่อนึกถึงผู้ที่ตายจากไปในการกู้ภัยครั้งนี้ แววตาของอิมฮันนาก็ฉายแววโศกเศร้า ผมพยักหน้าเล็กน้อยและจิบชาอึกหนึ่ง 


 


 


ความเงียบเข้าปกคลุม อิมฮันนาใช้เวลาไม่นานนักในการปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หลังจากมองหน้าหล่อนครู่หนึ่งผมก็พูดเบาๆ 


 


 


“ผมได้ยินมาว่าคุณคุยกับโกยอนจูไปบ้างแล้ว” 


 


 


“ใช่ค่ะ หากลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ยินดีที่จะยอมรับ ถึงจะละอายใจ ฉันก็อยากขอร้องคุณค่ะ” 


 


 


“ผมเองก็คิดแบบนั้นจึงได้เตรียมตำแหน่งนี้ขึ้นมา เพียงแต่ผมมีคำถามสองสามข้อ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” 


 


 


“แน่นอนค่ะ” 


 


 


สายตาของอิมฮันนาชำเลืองไปด้านข้างพลางพยักหน้าอย่างไม่สบายใจ โกยอนจูยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างของผม บางทีหล่อนอาจจะไม่คุ้นเคยกับท่าทางแบบนั้น 


 


 


“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาว่ามีผู้เล่นจากเผ่าอื่นยื่นข้อเสนอให้คุณอิมฮันนานี่ครับ ผมอยากทราบเหตุผลที่คุณปฏิเสธพวกเขาและเลือกเมอร์เซนต์นารี่ เพราะดอกไม้กลางคืนเหรอครับ” 


 


 


“แน่นอนว่านั่นเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดค่ะ มีคนยื่นข้อเสนอให้ฉันสองที่ แต่พวกเขาทั้งหมดได้รับความเสียหายจากหน่วยกู้ภัยเบื้องต้นพอสมควรจึงไม่สามารถยอมรับคำขอร้องของฉันได้ค่ะ” 


 


 


“มีเหตุผลอื่นอีกไหมครับ” 


 


 


“แล้วก็… ฉันเคยใช้ชีวิตกับสมาชิกเมอร์เซนต์นารี่ในเลิฟเฮาส์และสนิทสนมกันมาก ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศเหมือนกับครอบครัวต่างจากเผ่าอื่น ดังนั้นฉันจึงประทับใจมากขึ้นเรื่อยๆ และฉันก็อยากรู้เกี่ยวกับเผ่าที่พี่ยอนจูเข้าร่วมด้วยค่ะ” 


 


 


 เป็นคำตอบง่ายๆ แต่ก็จริงใจ ถึงเท่านี้จะเพียงพอแล้ว แต่ผมก็ยังคิดอยู่ในใจว่าควรจะถามคำถามนี้หรือไม่ 


 


 


‘ยังไงก็ถามไปดีกว่า’ 


 


 


เพราะมันเป็นเรื่องที่อ่อนไหวเล็กน้อย ผมจึงรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ก็อยากจะถามให้ชัดเจน 


 


 


“ผมยังมีเรื่องที่สงสัยอีกอย่าง อาจจะละลาบละล้วงไปบ้างนะครับ” 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ ถามมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” 


 


 


“ถ้างั้น คุณอิมฮันนาเป็นนักธนูที่มีความสามารถมากพอที่จะก้าวหน้าไปคนเดียวได้ แต่ผมสงสัยว่าทำไมถึงยังยึดติดอยู่กับพวกดอกไม้กลางคืนขนาดนั้น” 


 


 


“…” 


 


 


อิมฮันนาไม่ได้ตอบคำถามทันทีเหมือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในตอนที่กำลังคิดว่าผมถามคำถามที่ไม่ดีออกไปหรือเปล่านะ ก็ได้ยินเสียงวางถ้วยชาลง 


 


 


“เรื่องมันยาวนิดหน่อยนะคะ” 


 


 


“ผมจะตั้งใจฟังครับ” 


 


 


เมื่อได้รับคำตอบจากผม แววตาของอิมฮันนาก็หม่นแสงลง จากนั้นหล่อนก็ค่อยๆ เริ่มเล่าเรื่องราว 


 


 


เจ้าของเลิฟเฮาส์เป็นผู้เล่นปีที่สี่ซึ่งมีชื่อเสียงมากเมื่อไม่นานมานี้ หากรวมกันทั้งงานใหญ่งานเล็กสามารถประเมินได้คร่าวๆ ว่าเขาพบโบราณสถานแต่ละแห่งเกือบจะทุกปี 


 


 


อิมฮันนาได้เข้าร่วมกองคาราวานที่นำโดยเจ้าบ้านโดยบังเอิญ หลังจากได้รับการยอมรับในเรื่องความสามารถแล้วหล่อนก็ได้รับตำแหน่ง 


 


 


แต่แล้วเมื่อหนึ่งปีก่อน กองคาราวานที่นำโดยเจ้าบ้านนั้นประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในระหว่างเดินทางและผลที่ตามมาก็คือได้รับความเสียหายอย่างมาก ทั้งเจ้าบ้านและอิมฮันนารวมถึงอีกหลายคนเกือบต้องตาย มันเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถฟื้นตัวพอที่จะดำเนินกองคาราวานต่อไปได้ 


 


 


ตอนนั้นอิมฮันนาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจึงตัดสินใจหยุดทำงานและพักผ่อน ส่วนเจ้าบ้านก็รวบรวมคนที่เหลือตอบรับการรวมกิจการจากเผ่าอื่น 


 


 


และนี่คือเรื่องราวของอิมฮันนา 


 


 


“ฉันสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ทีละนิด แต่ฉันก็กลัวนิดหน่อยเพราะทำอะไรไม่ได้อยู่หลายเดือนเลยค่ะ ตอนที่เข้ามาฉันรับหน้าที่เป็นมาดามของเลิฟเฮาส์ พี่ชายมีนิสัยสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ แทนที่จะลากฉันไปในทันที เขาก็ค่อยๆ พยายามให้ฉันออกมาสู่ฮอลล์เพลนอีกครั้ง” 


 


 


“งั้นหรอครับ ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นชาย เพราะคุณเรียกว่าพี่ชาย ผมคาดไม่ถึงเลยพอนึกถึงเลิฟเฮาส์” 


 


 


“ถึงจะเป็นแบบนั้น…แต่พี่เขาก็มีแฟนนะคะ พี่สาวคนนั้นน่าจะเคยทำงานที่คล้ายกันในยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะมีจิตใจที่ดีมาก แต่เมื่อคำพูดของคนนั้นคนนี้ลอยเข้าหูก็น่าสงสารพวกดอกไม้กลางคืน เขาขอร้องให้ฉันดูแลพวกเธอให้ดี นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะออกเดินทางไปกับหน่วยกู้ภัยเบื้องต้น ตอนนี้ทั้งสองคนไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ฉันก็อยากจะดูแลทุกคนให้เหมือนพวกเขาดูแลฉันมาโดยตลอดและอยากทำให้มันสำเร็จค่ะ” 


 


 


“อืม…” 


 


 


ผมครางรับในลำคอ ในขณะที่ฟังอิมฮันนาพูด ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องราวนั้น แน่นอนว่ามันเป็นแค่ความรู้สึก และถ้ายังขุดค้นต่อไปมันก็คงจะเสียมารยาท เมื่อมาถึงจุดนี้ผมตัดสินใจยุติเรื่องราว 


 


 


“เข้าใจแล้วครับ ก็ไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นไหม แต่ผมต้องขอโทษก่อนเลย เมอร์เซนต์นารี่ไม่สามารถจ้างดอกไม้กลางคืนได้ทั้งหมดหรอกนะครับ” 


 


 


“ค่ะ ฉันเข้าใจ แต่คนที่เหลือพี่ยอนจูบอกว่า…” 


 


 


“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องนี้คงต้องพูดคุยกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน จะยกให้เป็นหน้าที่ของโกยอนจูครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้มีดอกไม้กลางคืนกี่คนที่ต้องดูแลครับ” 


 


 


“ยี่สิบห้าคนค่ะ ในนั้นมียี่สิบคนที่หวังว่าจะได้รับงาน” 


 


 


นั่นหมายความว่าห้าคนที่เหลือก็ยังคงต้องเป็นดอกไม้กลางคืนต่อไป หญิงสาวที่งดงามในบรรดาดอกไม้กลางคืนบางครั้งก็สร้างกำไรได้ดีทีเดียว ดีเสียยิ่งกว่าการต่อสู้ของพวกผู้เล่นเสียอีก แต่อย่างไรก็ตามหากลดจำนวนลงได้คงดีไม่น้อย 


 


 


“สิบคนครับ ผมจะรับมาครึ่งหนึ่งก่อน อย่างมากก็สิบสองคน ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” 


 


 


“ถ้าไม่รังเกียจฉันก็คิดว่าจะแบ่งเงินที่ฉันรวบรวมเอาไว้จนถึงตอนนี้ให้ค่ะ ยิ่งจำนวนลดลง เงินที่มอบให้พวกเด็กๆ ก็จะมากขึ้น ฉันว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ” 


 


 


“รวดเร็วดีครับ ผมตกลง ยินดีที่เข้าร่วมกับเมอร์เซนต์นารี่นะครับ” 


 


 


“ขอบคุณที่รับฟังคำขอร้องน่าไม่อายของฉันนะคะ ต่อไปฉันจะตั้งใจทำงาน ฝากตัวด้วยค่ะ” 


 


 


ผมและอิมฮันนาจับมือกันเบาๆ มีเสียงปรบมือของโกยอนจูจากด้านข้าง 


 


 


ในขณะที่ปล่อยมือซึ่งจับกันไว้ อิมฮันนาก็ถามอย่างระมัดระวังเมื่อนึกขึ้นได้ 


 


 


“ถ้างั้นฉันต้องพาพวกเด็กๆ ที่จะเข้ามาทำงานมาให้คุณรู้จักไหมคะ” 


 


 


“ไม่ต้องครับ” 


 


 


ผมตัดบท ผมมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย แต่มันก็เป็นแค่ความคิด แผนการรักษาความปลอดภัยของแคลนเฮาส์เป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของสิ่งที่อยู่ในหัวของผมตอนนี้ เพราะความปลอดภัยไม่ได้เกิดขึ้นเอง เมื่อได้สติก็ต้องดูแลตัวเอง ถึงจะสามารถไว้วางใจได้ก็ตาม ผมคิดว่าขั้นตอนแรกคือการนำพาผู้คนเข้ามาด้วยตัวผมเอง 


 


 


หลังจากดื่มชาก้นถ้วยอึกสุดท้ายผมก็พูดอย่างชัดเจน 


 


 


“ผมจะเป็นคนเลือกผู้เล่นที่จะเข้ามาทำงานด้วยตัวเอง ผมยังไม่ได้บอกคุณ แต่ว่านั่นคือเงื่อนไขข้อสุดท้ายครับ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พวกเร่ร่อนจ้องมองไซม่อนด้วยสีหน้าแปลกใจ ที่จริงแล้วสิ่งที่ได้ยินตอนที่พบกันครั้งที่สองมีแค่ ‘ถ้าสังหารแม่ทูนหัวได้ก็จะลองคิดดู’ 


 


 


พวกเร่ร่อนเริ่มค่อยๆ รู้สึกกังวลมากขึ้น ถ้ามองเพียงลักษณะภายนอกของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาดูเหมือนนักวิชาการขี้โรค ทว่าภายในของเขาคือหนึ่งในบุคคลสำคัญของกลุ่มอำนาจในแดนผู้ร้ายทวีปตะวันตก ในหมู่พวกเขาคนที่ถูกขนานนามว่าโหดเ**้ยมที่สุดก็คือ มือสังหารไซม่อน ซึ่งเขาก็คือเด็กหนุ่มที่เห็นอยู่ตรงนี้ 


 


 


“ผู้พิทักษ์ของแต่ละทวีปเหรอ ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอก” 


 


 


“ดูเหมือนว่าจะได้ยินมาแบบนั้นนะครับ ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ปกป้องทวีปหรือไม่ก็เป็นผู้นำของทวีปครับ” 


 


 


“เราเรียกว่าท่านผู้นำ…” 


 


 


“ท่านผู้นำเหรอ ก็นะ จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ” 


 


 


ไซม่อนพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็เริ่มควานหาอะไรสักอย่างในน้ำพุอีกครั้ง ตอนนี้พวกเร่ร่อนรู้ตัวตนที่แท้จริงของน้ำพุที่เด็กหนุ่มใช้มือลงไปควานหาของแล้ว 


 


 


ไซม่อนมีศัตรูมากมายสมกับที่เป็นคนสำคัญของทวีปตะวันตก เขามีงานอดิเรกที่น่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ การรวบรวมซากศพจากบรรดาศัตรูของเขาเอาไว้ในน้ำพุเพื่อความสนุกของตนเอง 


 


 


เป็นไปตามคาด คราวนี้ไซม่อนหยิบศีรษะของคนอื่นขึ้นมาพลางยิ้มกว้าง เวลาคงผ่านไปนานมากแล้วหลังจากถูกโยนลงไปในบ่อน้ำพุ ศีรษะที่เขายกขึ้นมาจึงเป็นหัวกะโหลก ดูจากรูปร่างก็สามารถเดาได้ว่าเป็นผู้หญิง 


 


 


“กะโหลกอันนี้เป็นของผู้นำและผู้พิทักษ์ทวีปตะวันตก ชื่อแสนไพเราะว่า ลอว์เรนซ์” 


 


 


“กะโหลกลอว์เรนซ์มันเกี่ยวอะไรกับการสังหารแม่ทูนหัวด้วยล่ะ ฉันไม่เข้าใจ” 


 


 


“มีทูตสวรรค์ช่วยเหลือเราซึ่งเป็นผู้เล่นพเนจรไหมล่ะครับ” 


 


 


“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เคยพบเคยเจอ” 


 


 


พวกเร่ร่อนตอบทันที หากจะไปยังห้องอัญเชิญที่ทูตสวรรค์อยู่จะต้องผ่านประตูของแท่นบูชาในเมืองโดยไม่มีข้อแม้ อาจจะไม่รู้ว่าเป็นพวกเร่ร่อนที่ปลอมตัวเป็นผู้เล่น แต่พวกเร่ร่อนถือเคียวคือคนที่ถูกออกหมายจับอย่างเป็นทางการแล้วในตอนนี้ แค่เข้าไปใกล้เมืองก็ถูกฆ่าได้ทันที การเข้าไปแท่นบูชาเพื่อพบผู้ทูตสวรรค์นั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน 


 


 


“ถ้าพูดง่ายๆ อาจจะคิดว่าเป็นบทบาทที่ตรงกันข้ามของพวกพเนจรก็ได้ บ่งบอกว่าผู้นำมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฑูตสวรรค์มากกว่าผู้เล่นทั่วไป และให้การช่วยเหลือทั้งบุคคลและกลุ่มขนาดใหญ่อย่างลับๆ” 


 


 


“หืม ฉันเองก็อยู่มานานพอสมควรแล้ว แต่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก” 


 


 


“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นครับ เพราะตัวตนของผู้นำถือเป็นข้อมูลลับเฉพาะ” 


 


 


“ฟังดูน่าสนใจนะ ฉันขอฟังรายละเอียดมากกว่านี้หน่อยได้ไหม ไม่สิ ขอแบบละเอียดที่สุด” 


 


 


พวกเร่ร่อนนั่งลงและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจากทีแรก ถึงแม้ว่าที่พื้นจะเปียกชุ่มไปด้วยเลือดแต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ ไซม่อนพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าราวกับจะถามว่าทำไมจะไม่ได้ล่ะ และเริ่มเล่าอย่างใจเย็น 


 


 


เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที ในช่วงเวลานั้นคนหนึ่งพูดแล้วอีกคนหนึ่งฟังเงียบๆ ในไม่ช้าไซม่อนก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างจบ เมื่อถอนหายใจเบาๆ พวกเร่ร่อนที่นั่งฟังโดยไม่ขัดจังหวะเลยสักครั้งก็พูดขึ้นบ้าง 


 


 


“มันคลุมเครือมากเลยนะ ไม่ได้สบายใจขึ้นเลย” 


 


 


“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมเองก็รู้แค่คร่าวๆ เท่านั้น เพราะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังละเอียดนักหรอก เรื่องนี้ทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่ก็ไม่ใช่ความตั้งใจเหมือนกัน ผมยอมรับตามตรงว่านี่เป็นการคาดเดาแปดสิบแปดเปอร์เซ็นต์” 


 


 


“เปอร์เซ็นต์ที่ไร้ประโยชน์นั่นมันอะไรกันเนี่ย ถ้างั้นก็หมายความว่าเป็นเรื่องจริงสิบสองเปอร์เซ็นต์…แล้วนายรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้าเป็นไปตามที่นายพูดก็น่าจะเป็นข้อมูลที่ต้องเป็นความลับสิ”  


 


 


“ผมเองก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากคนๆ นี้ครั้งหนึ่ง เมื่อโอกาสมาถึงผมจึงได้เบาะแส อ๊ะ ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปมันจะยุ่งยาก ถ้าผู้นำคนต่อไปปรากฏตัวขึ้นและรู้ว่าผมกำลังจับตามองเขาอยู่ก็อาจจะหลบซ่อนตัวก็ได้ แบบนั้นมันคงจะน่ารำคาญนิดหน่อย” 


 


 


พวกเร่ร่อนมองไซม่อนที่หยิบหัวกะโหลกขึ้นมาแล้วรู้สึกขนลุก ถึงแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่คิดว่าไซม่อนจะเป็นคนฆ่าผู้พิทักษ์ที่ชื่อลอว์เรนซ์ 


 


 


ไซม่อนมองพวกเร่ร่อนที่พยักหน้าเจื่อนๆ จากนั้นรอยยิ้มที่เคยมีก็หายไป 


 


 


“เป็นผู้เล่นที่น่าสงสัยจริงๆ อย่างที่พวกพเนจรบอก เพราะคนนั้นจะต้องชักนำสู่ฮอลล์เพลนที่ไม่รู้จะวิ่งไปในทิศทางไหน และยังครอบครอง ‘ข้อมูลผู้เล่น’ ด้วย สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ เพราะเป็นผู้นำ มันจึงไม่ใช่การทำไปโดยไร้จุดประสงค์ การมอบสิทธิพิเศษแก่ฑูตสวรรค์ในฐานะผู้เล่น หมายความว่ามีสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขา” 


 


 


“จุดประสงค์งั้นเหรอ…” 


 


 


“ลองคิดดูดีๆ สิครับ พวกทูตสวรรค์จะพาผู้คนมาที่นี่ใช่ไหมครับ ผมคิดว่ามันต้องมีจุดประสงค์บางอย่างจึงนำพามาที่นี่และให้ผู้นำออกหน้าโดยตรงเพื่อจุดประสงค์นั้น” 


 


 


“เป็นการดำเนินการลับๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เราไม่รู้ของพวกทูตสวรรค์สินะ ก็ดี พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว ถ้างั้นไซม่อนก็คงคิดว่าแม่ทูนหัวคือผู้ที่ชี้นำทวีปเหนือสินะ” 


 


 


แปะ แปะ 


 


 


ไซม่อนปรบมือเบาๆ สองสามครั้งเป็นคำตอบ พวกเร่ร่อนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเยือกเย็นและพูดขึ้นด้วยความสงสัย 


 


 


“แต่ก็อาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้นี่ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าแม่ทูนหัวใช่ไหม ฉันถามเพราะว่าอยากรู้เฉยๆ นะ” 


 


 


“ผมเองก็ยืนยันไม่ได้หรอกครับว่ามีความเป็นไปได้ไหม ดังนั้นจึงเรียกว่าการรับประกันยังไงละครับแล้วก็จำเป็นต้องฆ่า” 


 


 


“เพื่อทำลายทวีปเหนืองั้นเหรอ” 


 


 


“ก็ประมาณนั้นครับ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก ทำไปเพื่อซื้อเวลาที่แน่นอน เพราะผมกลัวผู้เล่นทวีปเหนือ” 

 

 

 


เล่ม 15 ตอนที่ 3

 

จากคำพูดที่คาดไม่ถึง สีหน้าของพวกเร่ร่อนที่เคร่งขรึมจึงเปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก ไซม่อนพูดพลางเกาศีรษะเล็กน้อยอย่างเขินอาย 


 


 


“ไม่รู้ว่าคุณจะคิดยังไง แต่นี่คือความจริงครับ ที่นี่มีผู้เล่นหลากหลายทวีปจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้ามายังทวีปตะวันตก ที่จริงแล้วมันคือทาสโง่เง่าที่ไร้ประโยชน์จากทวีปตะวันออกและทวีปตะวันตกที่พอใช้ได้ แต่ถ้าเจอผู้เล่นทวีปเหนือ อืม~ อยากจะฆ่าให้ตายจริงๆ แต่เพราะคิดว่าคนพวกนั้นพ่ายแพ้และถูกขับไล่จากทวีปเหนือจึงสามารถเดาระดับของผู้เล่นในทวีปนั้นได้ ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดจริงหรือเปล่าครับ” 


 


 


“ไม่มีทาง นายดูเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แต่กลับกลัวการแก้แค้นงั้นเหรอ” 


 


 


“ถึงตอนแรกจะบอกไปว่าน่าสนุกดี แต่เราตอบรับข้อเสนอเพราะเราก็มีเป้าหมายเหมือนกัน ดังนั้นถึงได้ใช้พวกคุณ อ๊ะ ขอโทษครับ ผมทำให้รู้สึกไม่ดีหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่หรอก ฉันต้องขอบคุณที่นายออกมาหาสิ ใช้ได้ตามใจเลยนะ เพราะพวกเราเองก็เหมือนกัน” 


 


 


ทั้งสองยิ้มออกมาพร้อมกัน พวกเร่ร่อนที่หัวเราะอยู่ครู่หนึ่งถอนหายใจยาวพลางพูดขึ้น 


 


 


“เอาเป็นว่าเรื่องราวในวันนี้มีประโยชน์มาก ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องฆ่าแม่ทูนหัว” 


 


 


“มันก็แค่ความเป็นไปได้ครับ อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แม้ว่ามันจะถูกต้องก็ไม่มีทางทำให้ทวีปเหนือเป็นเหมือนกับทวีปตะวันตก เพราะสิ่งสำคัญที่นำพาฮอลล์เพลนก็คือผู้เล่น” 


 


 


“มีข้อจำกัดอยู่ ที่จริงแล้วผู้นำคนใหม่อาจจะปรากฏตัวก็ได้ มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เรื่องที่เกิดขึ้นมันลงตัวเกินไปเกินกว่าจะเรียกว่าบังเอิญ” 


 


 


“ผมเองก็คิดแบบนั้น ความล้มเหลวในการเดินทางไปเทือกเขาเหล็กกล้า, การกลับมาของแม่ทูนหัวที่ปลีกตัวออกจากสังคม, ความตายของแม่ทูนหัวและเรื่องราวในปัจจุบัน แม้ผมจะชอบถือปลีกวิเวกอยู่นิดหน่อย แต่พอลองคิดถึงช่วงที่ทวีปเหนือเจริญรุ่งเรืองที่สุดก็มีหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจ อาจจะเพราะไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว” 


 


 


ไซม่อนปัดกางเกงพลางลุกขึ้นจากน้ำพุ เขากางแขนออกกว้างแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี 


 


 


“คุณนั่งมานานแล้วคงจะเจ็บก้นนะครับ ลุกขึ้นดีไหม ย้ายที่กันดีกว่า” 


 


 


“หือ ยังมีเรื่องที่จะพูดอีกเหรอ” 


 


 


“ฮ่าๆ เยอะแยะเลยครับ ไปที่ปราสาทของผม ผมจะเสิร์ฟชารสเลิศให้คุณ โปรดอย่าปฏิเสธเลยครับ” 


 


 


“อืม ฉันต้องตอบรับคำเชิญอยู่แล้ว” 


 


 


พวกเร่ร่อนลุกขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ จากที่นั่งแล้วยืนโซเซบนพื้นอีกครั้ง จากนั้นชายทั้งสองก็เริ่มออกเดิน พวกเร่ร่อนมองแผ่นหลังของไซม่อนและออกเดิน เมื่อเดินไปได้ประมาณสิบก้าว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของไซม่อนที่เดินอยู่ด้านหน้า 


 


 


“แต่ว่าผมเองก็มีเรื่องที่สงสัยอยู่อย่างหนึ่งนะครับ พวกพเนจร” 


 


 


“อะไรเหรอ” 


 


 


“จู่ๆ ผมก็นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณสังหารแม่ทูนหัว ใช้วิธีแบบไหนเหรอครับ” 


 


 


“เป็นวิธีที่ไม่ง่ายนักหรอก” 


 


 


พวกเร่ร่อนฉีกยิ้มพลางตอบเสียงเบา 


 


 


 


 


 


 * * * 


 


 


 


 


 


“ฉันขอรบกวนอีกครั้งนะคะ แล้วจะรีบติดต่อคุณโดยเร็วที่สุดค่ะ” 


 


 


“ผมเองก็ขอรบกวนเช่นกันครับ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ เพราะฉะนั้นค่อยๆ เตรียมตัว แล้วติดต่อผมมาก็ได้ครับ” 


 


 


“ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นฉันไปก่อนนะคะ ฉันรู้ทางแล้ว ไม่ต้องไปส่งก็ได้ค่ะ” 


 


 


“เข้าใจแล้วครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ” 


 


 


อิมฮันนาโค้งตัว ไม่สิ โค้งศีรษะอย่างนอบน้อมและบอกลา ผมมองแผ่นหลังของหล่อนซึ่งค่อยๆ เดินออกไปตามทางเดิน จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดประตูแล้วนั่งลงบนโซฟา 


 


 


โกยอนจูวิ่งมาทันทีและนั่งลงบนตักของผม ผมลังเลว่าจะยกต้นขาหนีดีไหม แต่ก็อดทนเอาไว้เพราะหล่อนสร้างผลงานด้วยการพาตัวอิมฮันนามา 


 


 


“ซูฮยอน ฉันมีเรื่องสงสัยค่ะ ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะคะ” 


 


 


“เอ๊ะ” 


 


 


“อิมฮันนาเป็นนักธนู เมอร์เซนต์นารี่มีคลาสหายากของนักธนู แล้วก็มีอุปกรณ์ยิงธนูเกือบครบชุดด้วยนี่นา” 


 


 


“…” 


 


 


ก่อนที่จะตอบคำถาม ผมก็คว้าเอวของโกยอนจูแล้วออกแรงยกขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าให้หล่อนลุกขึ้น แต่หญิงสาวกลับกดตัวลงมาและขยับร่างมาแนบชิดกับผมมากขึ้น ผมรู้สึกถึงสะโพกของโกยอนจูที่บดเบียดอยู่บนต้นขาพลางถอนหายใจเบาๆ 


 


 


“ถ้าอิมฮันนาเข้ามาก็สามารถให้ยืมได้ หากอุปกรณ์มีคุณสมบัติของสมาชิกเผ่า หากหล่อนออกจากเผ่าในภายหลังก็เรียกคืนได้ แตกต่างกับคลาสหายาก ถ้าสืบทอดหญิงร่างทรงยามอัสดงไปแล้วก็จะไม่สามารถเอาคืนมาได้ครับ” 


 


 


“อืม~ งั้นเหรอคะ” 


 


 


“ถึงจะได้รับประกันจากราชินีแห่งเงามืด แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวข้องกัน อันฮยอนหรืออียูจองติดตามผมมาตั้งแต่พิธีเปลี่ยนสภาวะ จองฮายอนและชินซังยงก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่แบ่งเป็นกองคาราวาน แต่อิมฮันนาไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้นะแต่ต้องจับตาดูไปก่อน” 


 


 


“ดูเหมือนว่าซูฮยอนจะเข้าใจผิดนะคะ ฉันไม่ได้ซักไซ้ว่าทำไมคุณถึงไม่บอก ถ้าจู่ๆ ซูฮยอนเปิดเผยเรื่องนั้นออกมา ฉันก็คงจะแอบบอกฮันนาไปแล้ว คุณทำถูกแล้วค่ะ” 


 


 


จุ๊บ จุ๊บ 


 


 


โกยอนจูพูดแบบนั้นและเริ่มประทับริมฝีปากบนแก้มของผม ผมแอบบ่นพึมพำเมื่อรู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มที่สัมผัสแก้ม ผมรู้ว่ามันคือการที่แสดงความรักในแบบของหล่อน แต่บางครั้งทั้งโกยอนจูและจองฮายอนก็ทำเหมือนผมเป็นเด็ก 


 


 


โกยอนจูระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นผมกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด 


 


 


“ตายแล้ว ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ เห็นแบบเนี่ยฉันก็ฮอตอยู่นะ คุณน่าจะดีใจสิคะที่ได้รับจุมพิตจากราชินีแห่งเงามืดที่ผู้ชายมากมายฝันถึงไม่หยุดหย่อน” 


 


 


“ผมไม่ค่อยชอบหรอกนะ” 


 


 


“โกหกน่า” 


 


 


โกยอนจูหัวเราะคิกคักอีกครั้งพลางคว้าคอของผมไปให้ฝังใบหน้าลงในอ้อมกอดของหล่อนและพูดอย่างชอบใจว่าผมน่ารักมากๆ บ้าง จะแอบมาหาที่ห้องตอนฟ้าสางบ้าง หลังจากเปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นและตรวจสอบคะแนนความแข็งแกร่งแล้ว ผมก็ค่อยๆ หลับตาลงพลางตั้งเป้าไว้ในใจ 


 


 


 


 


 


สวนของแคลนเฮาส์ที่มองเห็นจากระเบียงนั้นงดงามและเงียบสงบ ดวงอาทิตย์ลอยเหนือท้องฟ้าสาดแสงอันอบอุ่นครอบคลุมทั่วทั้งสวน ผมดื่มด่ำกับความรู้สึกผ่อนคลายที่สัมผัสได้ในขณะนั้นพลางครุ่นคิดอย่างใจเย็น 


 


 


หลังจากการซ่อมแซมและการจัดการแคลนเฮาส์เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประโยชน์ของการเร่งในที่ประชุมทำให้ท่าทีของสมาชิกเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ มีการแย่งกันร้องขอสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายสัปดาห์นี้ก็ใช้จ่ายไปมากกว่า เจ็ดพันโกลด์ 


 


 


เรื่องของอิมฮันนาและดอกไม้กลางคืนก็สามารถจัดการได้อย่างราบรื่น ในที่สุดหล่อนก็ลาออกจากตำแหน่งมาดามแห่งเลิฟเฮาส์และนำดอกไม้กลางคืนมาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมใกล้เคียง 


 


 


มีดอกไม้กลางคืนที่ได้รับเลือกเป็นพนักงานทั้งหมดสิบสองคน เหตุผลที่ผมบอกจะเลือกพนักงานด้วยตัวเองก็เพราะผมคิดจะตรวจสอบข้อมูลผู้เล่นด้วยดวงตาที่สาม 


 


 


ในรอบแรกคัดกรองจากอุปนิสัยก่อน ในรอบที่สองผมคัดเลือกจากค่าความสามารถและนามแท้ เหล่าดอกไม้กลางคืนที่ไม่ถูกเลือกมีสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของผม และผมคิดว่าจะรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพราะมีแผนที่โกยอนจูวางไว้ 


 


 


‘วันพรุ่งนี้อิมฮันนากับพวกพนักงานบอกว่าจะมา’ 


 


 


“นี่ เธออายุเท่าไหร่น่ะ!” 


 


 


“จะ จู่ๆ ก็ตะโกนทำไมครับ” 


 


 


“ก็เธออายุสิบแปดนี่นา ส่วนฉันอายุยี่สิบแล้วนะ ฉันแก่กว่า เพราะฉะนั้นคำพูดฉันน่ะถูกต้องแล้ว” 


 


 


“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะครับ” 


 


 


‘หืม?’ 


 


 


ตอนนั้นเองในขณะที่กำลังยืนรับแดดอยู่บนระเบียงก็มีเสียงโวยวายดังมาจากด้านล่าง เมื่อผมก้มมองด้วยความสงสัยและกระตุ้นสายตากับโสตประสาทก็ได้เห็นภาพน่าแปลกใจ 


 


 


ที่สวนใต้ระเบียงมีคนสองคนกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งตัว คนก็คืออันซลและแพคฮันกยอล สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็คือลูกยูนิคอร์น 


 


 


เพราะอากาศดีลูกยูนิคอร์นจึงนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มันอ้าปากกว้างและเลียปาก ดูท่าทางมีความสุข 


 


 


ในทางกลับกัน อันซลแล้วแพคฮันกยอลต่างก็เผชิญหน้ากัน อันซลยืดหลังตรงพลางใช้สองมือเท้าเอวอย่างโกรธเคือง แพคฮันกยอลยืนงงงันแต่สีหน้าก็แสดงถึงความไม่พอใจ 


 


 


 


 


 


“เจ้านี้ไม่ได้ชื่อกยูกยู ชื่อยูนิต่างหาก! ยูนิ!” 


 


 


“ยะ ยังไม่ได้ตั้งชื่อสักหน่อยนี่ครับ ผมจะเรียกด้วยชื่อที่ผมชอบ” 


 


 


“กะ ก็ได้ แบบนั้นก็ได้ แต่ทำไมเธอต้องหัวเราะเยาะตอนที่ฉันเรียกว่ายูนิด้วย” 


 


 


“ผมไม่ได้หัวเราะเยาะสักหน่อย! ที่จริงผมคิดว่ามันแปลก…พี่ซูฮยอนก็บอกว่าชื่อกยูกยูดีกว่า” 


 


 


อันซลลดมือที่เท้าเอวไว้ลงด้วยสีหน้าว่างเปล่ากับคำพูดที่น่าตกใจ ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ เธอกลืนน้ำลาย น้ำตาเอ่อคลอ จากนั้นก็กรีดร้อง 


 


 


“ไม่มีทาง ไม่จริง! ยูนิดีกว่า!” 


 


 


“ผะ ผมคิดว่ากยูกยูดีกว่า” 


 


 


“ไม่! ยูนิ!” 


 


 


“กยูกยู!” 


 


 


“…” 


 


 


“แง้!” 


 


 


ในที่สุดอันซลซึ่งพ่ายแพ้ในสงครามน้ำลายกับแพคฮันกยอลก็ระเบิดน้ำตาแล้วนั่งลง 


 


 


ผมส่ายหน้าไปมา ไม่รู้ว่าทำไมหมู่นี้เหมือนจะมีเรื่องให้เหนื่อยใจเพิ่มขึ้นอีกแล้ว 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พรึ่บ! 


 


 


“โอ้!” 


 


 


พรึ่บ! พรึ่บ! 


 


 


“โอ้!” 


 


 


พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! 


 


 


“โอ้…!” 


 


 


แคลนเฮาส์ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่, ห้องพักส่วนตัวของวิเวียน 


 


 


วิเวียนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง หล่อนส่งเสียงออกมาพร้อมเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตา หล่อนพลิกหน้าหนังสือเล่มหนาไปทีละหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ส่วนที่สำคัญถูกขีดเส้นใต้และพับมุมเอาไว้ 


 


 


ถึงแม้จะดึกมากแล้ว แต่การอ่านหนังสือท่ามกลางไลท์สโตนที่เปิดเอาไว้นั้น เป็นความบ้าคลั่งแบบที่ใครเห็นก็ต้องพูดว่า ‘ช่างเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่หลงใหลการวิจัยเสียเหลือเกิน’ 


 


 


ในตอนนั้นเองวิเวียนก็ค้นพบอะไรบางอย่าง หล่อนเริ่มขยับปากกาขนนกเขียนเพิ่มลงไปในบันทึกข้างกายซึ่งมีตัวหนังสืออัดแน่นอยู่แล้วด้วยดวงตาเป็นประกาย 


 


 


วิเวียนที่ค่อยๆ ท่องบางอย่างซึ่งฟังดูอันตรายออกมา หลังจากวางปากกาขนนก หญิงสาวก็สอดบันทึกลงในหนังสืออย่างทะนุถนอม จากนั้นก็ปิดหนังสือเสียงดังและเงยหน้ามองเพดานด้วยสายตาที่พร่ามัว 


 


 


วิเวียนซึ่งจับจ้องเพดานอยู่ครู่หนึ่งบ่นพึมพำเสียงเบา 


 


 


“น่าอิจฉาจัง” 


 


 


มีอะไรน่าอิจฉางั้นเหรอ 


 


 


หลังจากนั้นวิเวียนก็กระวีกระวาดลุกขึ้นพลิกหมอนที่ตนเองใช้หนุนไปพิงไว้กับกำแพง ด้านหลังของหมอนเผยให้เห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่ถูกวาดเอาไว้ หญิงสาวคุกเข่าลงด้านหน้า จากนั้นก็ขยับคอเล็กน้อยและพูดขึ้น 


 


 


“นะ นายท่านซูฮยอน…” 


 


 


วิเวียนพูดตะกุกตะกักคล้ายว่ายังคงอึดอัดใจกับอะไรบางอย่าง แต่แววตามุ่งมั่นราวกับตัดสินใจแล้ว หล่อนจึงพูดต่อ ร่างกายบิดม้วนเป็นพัลวัน 


 


 


“นะ นายท่านซูฮยอน…กรุณาลงโทษวิเวียน…ให้เต็มที่…กรี๊ด!” 


 


 


หล่อนพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ วิเวียนกำมือทั้งสองอย่างแรงแล้วกรีดร้องเสียงดัง แล้วเริ่มกลิ้งไปมาบนเตียง 


 


 


“พูดแล้ว! พูดไปแล้ว! กรี๊ด! ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยแล้ว!” 


 


 


หญิงสาวส่งเสียงกรี๊ดพร้อมกับถูศีรษะลงบนหมอนราวกับคนเสียสติและเตะผ้าห่มอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นวิเวียนก็มุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว ผ้าห่มเริ่มนูนขึ้นมาพร้อมเสียงดังพรึ่บพรั่บ ดูท่าว่าหล่อนจะเตะผ้าห่มเต็มแรงและโวยวายอยู่ในนั้น 


 


 


อาการคลุ้มคลั่งดำเนินต่อไปอีกประมาณสามนาที เมื่อสามนาทีนั้นผ่านไป ผ้าห่มที่สั่นไม่หยุดก็สงบลงเพราะเจ้าตัวหมดแรง ไม่นานนักวิเวียนก็โผล่ศีรษะออกมาจากใต้ผ้าห่มและหอบหายใจ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้ม 


 


 


“ฮิๆ” 


 


 


เสียงหัวเราะแปลกประหลาดเต็มไปด้วยกลิ่นของความอันตราย 


 


 


ความอันตรายของวิเวียนค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมาในสถานที่ที่ซูฮยอนไม่รู้เรื่องรู้ราว 


เล่ม 15 ตอนที่ 4

 

แคลนเฮาส์ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่, ห้องประชุมเล็กชั้นสาม 


 


 


โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้าขนาดยาวถูกวางในแนวตั้ง ด้านซ้ายและขวาของโต๊ะมีผู้เล่นฝั่งละห้าคนนั่งเรียงกันเป็นระเบียบ 


 


 


ปกติแล้วจะมีที่ว่างหนึ่งที่ในฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่เสมอ แต่ตอนนี้มันถูกเติมเต็มด้วยสมาชิกใหม่ซึ่งเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน และการประชุมในวันนี้ก็เป็นการประชุมแรกที่สมาชิกเผ่าคนใหม่เข้าร่วม 


 


 


ผมรู้สึกพึงพอใจในขณะที่ฟังเสียงของอันฮยอนซึ่งกำลังรายงานด้วยความประหม่า 


 


 


“…ดังนั้นเมื่อวานนี้ผมจึงสามารถติดตั้งวงแหวนเวทควบคุมการเข้าออกโดยใช้คลื่นพลังเวทในคลังสินค้าได้เสร็จสมบูรณ์ครับ” 


 


 


“เมื่อวานนี้ฉันได้ตรวจสอบแล้ว สถานะของผู้ที่สามารถเข้าออกคลังสินค้าได้ในตอนนี้มีใครบ้าง” 


 


 


“ก็มีพี่…อ๊ะ ขอโทษครับ มีท่านแคลนลอร์ด ผู้เล่นโกยอนจูและผู้เล่นจองฮายอนครับ” 


 


 


“อืม เข้าใจแล้ว ทำได้ดีมาก ผู้เล่นชินซังยงก็ทำได้ดีมากเช่นกันครับ” 


 


 


อันฮยอนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหันมามองผมอย่างประหลาดใจ ผู้เล่นชินซังยงที่ยิ้มอยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน ทั้งสองมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะเขินๆ ใส่กัน ผมมองพวกเขาพลางยิ้มบาง 


 


 


‘งานที่อันฮยอนจัดการก็ดำเนินไปได้เรียบร้อยดี’ 


 


 


ผมรู้อยู่แล้ว อันฮยอนขอความช่วยเหลือจากชินซังยง เพราะเขาไม่สามารถจัดการคนเดียวได้ แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา เพราะผมคิดว่าการขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องแย่อะไร และมันดีที่ได้แลกเปลี่ยนกันระหว่างสมาชิกเผ่า ผมหันไปหาจองฮายอนเป็นคนต่อไป 


 


 


“คราวนี้มีเรื่องขอร้องอย่างหนึ่งมาที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ” 


 


 


ผมตีหน้าซื่อ จองฮายอนพูดขึ้นเมื่อได้รับสัญญาณจากผม 


 


 


“โอ้ เรื่องขอร้องงั้นเหรอ สงสัยจัง คำขอร้องจากเผ่าไหนเหรอครับ” 


 


 


“ไม่ใช่เผ่าหรอกค่ะ แต่เป็นคำขอร้องส่วนตัว และถึงจะบอกว่าเป็นการขอร้องแต่ก็มีบางอย่าง…” 


 


 


“คำขอร้องส่วนตัวเหรอ น่าแปลกใจจัง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ บอกมาเถอะ” 


 


 


“เรื่องนั้น…อืม…” 


 


 


สายตาที่คาดหวังของผมคงจะทำให้ลำบากใจ หางเสียงของจองฮายอนจึงสั่นแปลกๆ หล่อนมองลงมายังต้นขาของผม เมื่อผมก้มมองตามหล่อนก็เห็นลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังหาวหวอดใหญ่ราวกับเบื่อการประชุม มันวางขาอย่างเรียบร้อยอยู่เหนือต้นขาของผมพลางแกว่งหางไปมาเบาๆ 


 


 


เมื่อมองลูกยูนิคอร์นที่หมู่นี้อวดดีเสียเหลือเกิน ผมก็ได้ยินเสียงพูดอย่างระมัดระวังของจองฮายอน 


 


 


“ถามมาว่าขอเลือดของยูนิคอร์นได้ไหมคะ จะให้ในราคาสูง…” 


 


 


กยูกยูน่ะเหรอ 


 


 


เฮือก! 


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้นลูกยูนิคอร์นก็สะดุ้งเฮือกและโผล่ขึ้นมาเหนือโต๊ะ มันส่งเสียงร้องด้วยเสียงที่แสดงออกว่าไม่พอใจ จองฮายอนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่สบายใจ ผมลูบหลังของเจ้ายูนิคอร์นที่เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาพลางตอบไปนิ่งๆ 


 


 


“บ้าไปแล้วสินะ” 


 


 


“จะให้ตอบกลับแบบนั้นไหมคะ” 


 


 


“ไม่ครับ ตอบกลับไปอย่างสุภาพดีกว่า บอกเขาว่าผมไม่สามารถยอมรับคำขอร้องได้ เพราะมันยังเป็นแค่ลูกยูนิคอร์น” 


 


 


“เข้าใจแล้วค่ะแคลนลอร์ด” 


 


 


เมื่อผมตอบไปอย่างชัดเจน ลูกยูนิคอร์นก็เริ่มถูแก้มเข้ากับหน้าท้องของผมด้วยความโล่งใจ ตอนนั้นเอง ในขณะที่เขาแหลมของมันทิ่มมาที่ท้อง เสียงเคาะประตูห้องประชุมเล็กก็ดังขึ้น มันจึงหันไปตามเสียงนั้นแทน 


 


 


ก๊อก ก๊อก 


 


 


“เข้ามาได้” 


 


 


และเมื่อโกยอนจูพูดอย่างนุ่มนวลประตูก็ค่อยๆ เปิดออก 


 


 


แอ๊ด 


 


 


คนที่เปิดประตูเข้ามาคือหญิงสาวในชุดเมดที่เปิดเผยเรือนร่างพอสมควร หล่อนคือผู้เล่นจากดอกไม้กลางคืนที่เข้ามาทำงานในแคลนเฮาส์ ผมคิดว่าใครที่สวมชุดนี้คงจะดูดีมาก แต่สิ่งที่ผมชอบใจมากที่สุดก็คือเข็มขัดหนังบนต้นขาเปล่าเปลือย 


 


 


“สะ สะ สะ สะ สวัสดีค่ะ ฉะ ฉันเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟค่ะ” 


 


 


“อืม ขอบใจนะ ถ้างั้นช่วยวางบนโต๊ะได้ไหม” 


 


 


โกยอนจูพยักหน้ารับด้วยเสียงที่อ่อนโยน พนักงานคนนั้นกลืนน้ำลายราวกับรู้ว่าหล่อนคือราชินีแห่งเงามืด 


 


 


“เฮ้อ…” 


 


 


ในตอนนั้นก็มีเสียงหอบหายใจด้วยความอึดอัดดังมาจากที่ไหนสักที่ 


 


 


‘เจ้าหมอนั่น’ 


 


 


พนักงานที่เสิร์ฟเครื่องดื่มเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก หล่อนตัวสั่นเหมือนลูกนกด้วยสีหน้าประหม่าราวกับกลัวอะไรบางอย่าง และอันฮยอนผู้มีรสนิยมชื่นชอบสาวชุดเมดก็กำลังมองพนักงาน เขาส่งเสียงไม่น่าฟังพลางพ่นลมหายใจออกจากจมูก 


 


 


กึกๆ! กึกๆ! 


 


 


มันไม่ใช่เสียงแปลกปลอมอะไร แต่เป็นเสียงถ้วยชากระทบกัน เพราะหล่อนตัวสั่นมากเกินไปในขณะที่เดินมาทางผม อียูจองจับจ้องด้วยแววตาที่เหมือนกับสัตว์ป่า ส่วนอันฮยอนแค่โต้แย้งด้วยสายตาที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม 


 


 


“ถะ ถ้าอย่างนั้น ฉะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” 


 


 


ไม่นานนักหลังจากวางถ้วยชาให้ทุกคนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วพนักงานก็รีบออกไปทันที 


 


 


“การรายงานเกือบจะเสร็จแล้ว เราพักกันสักหน่อยดีไหม” 


 


 


สมาชิกเผ่าพยักหน้าอย่างยินดี ผมเกือบจะทำหน้าตาบิดเบี้ยวออกมาเมื่อยกถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดมกลิ่น อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้อยากจะพูด แต่ถ้าเทียบกับชาที่โกยอนจูชงแล้วมันต่างราวฟ้ากับเหว แต่ถ้าแสดงสีหน้าออกไปอิมฮันนาก็คงจะสังเกตเห็น ผมจึงดื่มน้ำชาไปเงียบๆ 


 


 


“แหวะ! ไม่อร่อยเลย! นี่มันรสอะไรเนี่ย!” 


 


 


“ถุย! โอ๊ย ทำไมมันต่างกับชาที่พี่ยอนจูชงขนาดนี้!” 


 


 


“…” 


 


 


การแสดงสีหน้าของอันฮยอนและอียูจองยิ่งใหญ่มาก อิมฮันนาอมยิ้มเล็กน้อยแต่ก็แฝงไปด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย 


 


 


ผมถอนหายใจสั้นๆ และตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องทันที มีหัวข้อสนทนาที่ดี เช่น การขอร้องให้จองฮายอนช่วยสอนแพคฮันกยอลเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ 


 


 


“ผู้เล่นจองฮายอน” 


 


 


“ซู้ด คะ?” 


 


 


“การสอนแพคฮันกยอลเป็นอย่างไรบ้างครับ” 


 


 


“อ๋อ คืบหน้าไปเร็วทีเดียวค่ะ เขาฉลาด มีความสามารถและมีความพยายามมากด้วย” 


 


 


จองฮายอนชื่นชมแพคฮันกยอลยกใหญ่ นามแท้ของเด็กคนนั้นคือผู้มากพรสวรรค์ ดูท่าว่าจะเป็นไปตามชื่ออย่างแน่นอน เมื่อเหลือบมองแพคฮันกยอลด้วยความชื่นชมก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าแดงก่ำราวกับเขินอาย แน่นอนว่าผมเห็นอันซลทำสีหน้าบูดบึ้งด้วย 


 


 


ในขณะที่กำลังมองทั้งคู่แหย่กันอย่างน่ารักพลางแอบยิ้มในใจ จู่ๆ ผมก็ฉุกคิดเรื่องอิมฮันนาขึ้นมาได้ 


 


 


ผมคาดหวังว่าอิมฮันนาจะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศแบบนี้ได้เพราะต้องผ่านความยากลำบากทุกครั้งที่ผมรับสมาชิกใหม่เข้าร่วมเผ่า 


 


 


ผมเอียงถ้วยชาและจ้องมองหล่อนเงียบๆ อิมฮันนาเข้าร่วมเผ่าเมอร์เซนต์นารี่อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้และนี่เป็นการประชุมครั้งแรกในฐานะสมาชิกเผ่า ผมสงสัยว่าตอนนี้หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


‘ตอนประชุมก็นั่งเงียบ ดูเหมือนจะยังไม่อยากเปิดเผยตัวตนสักเท่าไหร่…หือ’ 


 


 


ตอนนั้นเอง อิมฮันนาที่มีประสาทสัมผัสไวเพราะเป็นนักธนูก็เงยหน้าขึ้นสบตากับผม 


 


 


ซู้ด 


 


 


ซู้ด 


 


 


แววตาของอิมฮันนาที่จ้องมองผมเต็มไปด้วยความปรารถนาแปลกๆ บางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ 


 


 


 


 


 


ผมนั่งอ่านบันทึกเงียบเชียบบนเก้าอี้ในห้องทำงาน บันทึกที่ถืออยู่ในมือขวาบอกไว้ว่า ทีมปัจจุบันของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ถูกจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว การซ่อมบำรุงพื้นฐานของแคลนเฮาส์ก็ใกล้จะเสร็จสิ้น สิ่งที่เหลือตอนนี้ก็คือการเพิ่มสมาชิกเผ่า 


 


 


เมอร์เซนต์นารี่มีนักเวทหลายคนอย่างที่โกยอนจูว่า แต่ถ้ามองในระยะยาวก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าถ้ามีนักสู้ระยะประชิดหรือนักบวชเพิ่มมาในตอนนี้ก็คงจะดี มีนักธนูเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้าย สุดท้ายแล้วจะรับคลาสอะไรเข้ามาก็ไม่สำคัญนักหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุด… 


 


 


ก๊อก ก๊อก 


 


 


ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดเสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้น 


 


 


“เชิญครับ” 


 


 


แอ๊ด 


 


 


คนที่เปิดประตูเข้ามาคืออียูจอง หล่อนเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่แปลกไปจากปกติ จากนั้นก็คงคำนับผมเก้าสิบองศาและพูดอย่างเรียบร้อย 


 


 


“เลดี้อียูจองมาพบท่านแคนลอร์ดค่ะ” 


 


 


“อืม มาพบผมด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ ผมไม่ได้เรียกหาสักหน่อย” 


 


 


“เลดี้มีเรื่องที่ต้องรายงานในฐานะผู้ติดตามของท่านลอร์ดจึงมาที่นี่ค่ะ” 


 


 


“เลิกล้อเล่นแล้วมาใกล้ๆ สิ” 


 


 


อียูจองกุมท้องพลางระเบิดหัวเราะออกมา แม้ว่าหล่อนจะเล่นเองก็ตามที 


 


 


ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเลือกให้อียูจองเป็นผู้ติดตามแคลนลอร์ด เจ้าตัวคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่มันมีอะไรยอดเยี่ยมสำหรับเผ่าที่มีจำนวนคนแค่สิบคนงั้นเหรอ มีเหตุผลเดียวที่ผมเลือกหล่อนมาเป็นผู้ติดตามก็เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ส่งดาบเวทสคูเรพฟ์คืนให้ไปแล้ว 


 


 


‘รู้สึกไม่สบายใจเรื่องที่คาดผมอันบริสุทธิ์ยังไงก็ไม่รู้สิ’ 


 


 


ผมมองอียูจองที่ขยับมาอยู่ตรงหน้าผมพลางถามเบาๆ 


 


 


“วันหลังทำแบบนี้กับสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ด้วยดีไหม อันฮยอนน่าจะชอบเป็นพิเศษเลย อาจจะขอเธอคบก็ได้นะ” 


 


 


“ล้อเล่นใช่ไหมคะพี่ ถ้าให้คบกับอันฮยอน ฉันคบกับคิมฮันบยอลดีกว่า” 


 


 


หนึ่งในประโยชน์จากการเป็นผู้ติดตามคือ อียูจองมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก่อนแค่ได้ยินชื่อของคิมฮันบยอล สีหน้าของหล่อนก็จะแข็งกร้าวทันที แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากแล้ว แน่นอนว่าถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าทั้งคู่จะสนิทสนมกัน ยังคงมีกำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเด็กๆ กับคิมฮันบยอลอยู่ 


 


 


“เอาล่ะ มีเรื่องจะรายงานใช่ไหม” 


 


 


“อืม พี่คะ พี่รู้เรื่องที่องค์กรตรวจสอบของเผ่าอีสตันเทลลอว์กลับมาเมื่อวานนี้แล้วใช่ไหม” 


 


 


“รู้แล้ว” 


 


 


“เมื่อกี้พนักงานที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ส่งข่าวมามั้ง ดูเหมือนเขาจะบอกว่าถ้าได้เจอพี่ที่แท่นบูชาก็คงจะดีนะ” 


 


 


‘แท่นบูชางั้นเหรอ’ 


 


 


จู่ๆ ความทรงจำที่พาแพคฮันกยอลไปที่แท่นบูชาเมื่อวันก่อนก็แวบเข้ามาในหัว 


 


 


ผมส่ายหน้าเบาๆ องค์กรตรวจสอบของเผ่าอีสตันเทลลอว์กลับมาเมื่อวานนี้ แล้วแท่นบูชาต้องการเจอผม เมื่อโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันก็มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น 


 


 


“วันนี้มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ฉันค่อยไปแล้วกัน” 


 


 


“ไม่ๆ” 


 


 


“…?” 


 


 


“พวกเขาบอกว่าจะมาเอง ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร พรุ่งนี้ช่วงสายๆ เขาอยากจะมาเยี่ยมที่แคลนเฮาส์ อืม…อะไรต่อนะ เออ ใช่แล้ว จะมาพร้อมแคลนลอร์ดของเผ่าอีสตันเทลลอว์” 


 


 


‘ว่าไงนะ’ 


 


 


น่าจะเป็นเรื่องของพวกเร่ร่อนที่ได้ยินมาคราวก่อนผมจึงพยักหน้ารับ แต่ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเนื้อหาสำคัญในท้ายประโยค สิ่งที่อียูจองพูดหมายความว่า ชาวเมืองผู้มีอำนาจจะมาเยี่ยมเราด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเป็นพวกนักบวชของแท่นบูชาซึ่งมีอำนาจมากที่สุด 


 


 


คนพวกนั้นไม่ค่อยมาเยี่ยมถึงแคลนเฮาส์เองหรอก นอกจากนี้แคนลอร์ดของเผ่าอีสตันเทลลอว์ ฮันโซยองบอกว่าจะมาด้วยจึงเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ 


 


 


“ทำยังไงดีคะ ให้พวกเขามาไหมคะ” 


 


 


“อืม ไปบอกจองฮายอน…ไม่สิ ฉันจะเรียกมาคุยเอง เธอไปตอบรับได้เลย” 


 


 


ในตอนที่ตอบไปแบบนั้น 


 


 


หัวใจที่เคยนิ่งสงบของผมก็เริ่มเต้นระรัวอีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 5

 

“อึก! อึก!” 


 


 


เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นในห้อง เสียงนั้นดังมาจากบนที่นอน สภาพของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงดูสาหัสมาก มือของหล่อนสั่นระริกในขณะที่กำผ้าห่มไว้แน่น เส้นผมชุ่มเหงื่อยาวระไปทั่วใบหน้า สีหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด 


 


 


“ลอร์ดแฮมิล ทำไมเธอถึงมีสภาพแบบนี้” 


 


 


“…เธอถูกแบนชีโจมตี” 


 


 


“ถ้าเป็นแบนชี…ไม่ ทำไมถึงไปสถานที่อันตรายแบบนั้น…” 


 


 


“…” 


 


 


ในห้องนั้นไม่ได้มีเพียงแค่หญิงสาวเท่านั้น ชายสองคนมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร หนึ่งในนั้นถูกเรียกว่าลอร์ดแฮมิล ดังนั้นเขาก็คือคิมยูฮยอน และอีกคนหนึ่งก็คือลอร์ดแห่งเผ่าฮันซองฮยอนมิน 


 


 


“อั่ก! อ้ากก!” 


 


 


เสียงครวญครางของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง คิมยูฮยอนทำหน้าเหมือนอยากจะปิดหู ส่วนซองฮยอนมินมีสีหน้ากระวนกระวายใจ แต่ทั้งสองคนก็ทำได้แค่มองหญิงสาวที่กำลังทุกข์ทรมานโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย 


 


 


หลังจากหลับตาลงสักพักซองฮยอนมินก็สงบสติอารมณ์พลางพูดขึ้น 


 


 


“แต่ก็ขอบคุณที่บอกให้รู้นะครับ แต่ว่าทำไมถึงมาหาพวกเราล่ะ” 


 


 


“ผมเดาเอาครับ ฮโยอึลบอกผมก่อนมาที่นี่ว่ามีเผ่าฮันอยู่” 


 


 


“อ้า…อย่างนี้นี่เอง พวกเราเองก็พาจะพยายามทุกวิธีแล้วกันนะครับ แล้วก็ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น เผ่าโครยอเองก็จะร่วมมือด้วยเช่นกัน ผมมีคนรู้จักอยู่ที่ทางใต้ แต่คุณคงทราบดีอยู่แล้วว่า ตอนนี้ภาคกลาง,ภาคเหนือและภาคตะวันตกกำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบากในหลายๆ ด้าน” 


 


 


“พวกเราเองก็ไม่ได้กำลังเล่นสนุก ตอนนี้เหลือเวลาอีกสองสัปดาห์…ไม่ ไม่ถึงสองสัปดาห์ หากไม่พบอีลิกเซอร์ภายในเวลาที่เหลือ…” 


 


 


“ละ ลอร์ดแฮมิล” 


 


 


ไม่จำเป็นต้องจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น ทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


ยิ่งความเจ็บปวดของหญิงสาวที่ชื่อ ‘ฮโยอึล’ เพิ่มขึ้นเท่าไร ความกังวลของชายทั้งสองก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ในวันต่อมาแคลนเฮาส์ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า 


 


 


การมาเยือนของนักบวชและเผ่าอีสตันเทลลอว์ นั่นหมายความว่าตัวแทนเผ่าและตัวแทนของแท่นบูชาแห่งโมนิก้ากำลังจะมา โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองมาพร้อมกัน ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ในการมาเยี่ยมถึงที่นี่ 


 


 


แต่ก็มีคนที่ชื่นชอบอยู่เหมือนกัน เมื่อทราบข่าวนี้จองฮายอนซึ่งชื่นชอบความเรียบร้อยก็ตื่นเต้นเป็นปลากระดี่ได้น้ำ ดูเหมือนจะมากันไม่เยอะ ดังนั้นแค่ห้องรับรองแขกที่ชั้นสี่ก็น่าจะเพียงพอ 


 


 


แต่ว่าหลังจากหญิงสาวย้ายเข้ามาที่แคลนเฮาส์ เราก็เปิดห้องประชุมใหญ่ที่ปิดเอาไว้ หล่อนเป็นผู้นำในการทำความสะอาดภายในและสั่งการให้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ ดังนั้นพวกพนักงานที่เข้ามาได้แค่สองวันจึงได้วิ่งวุ่นกันไม่หยุด 


 


 


กว่าทุกอย่างจะถูกเตรียมพร้อมเรียบร้อย ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางท้องฟ้าค่อยๆ คล้อยไปทางทิศตะวันตก แม้แสงยามอาทิตย์ตกจะอาบไล้ไปทั่วทั้งสวนก็ยังไม่เห็นสองคนนั้น 


 


 


พวกพนักงานทั้งหมดเลิกงานแล้ว ดอกไม้กลางคืนที่ฉลาดพอบอกว่าจะอยู่ช่วยถ้าหากมีความจำเป็น แต่พูดตามตรงการไม่มีพวกหล่อนอยู่จะช่วยได้มากกว่า อย่างไรก็ตามพวกเขาอาจจะมาช้ากว่าที่บอกไว้เมื่อวานนี้ไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหมดสนุก 


 


 


ผมนั่งลงบนโซฟานุ่มๆ แล้วกวาดตามองไปรอบ ๆห้องรับรองแขก เพดานสูงวาดลวดลายสวยงาม การตกแต่งภายในด้วยของตกแต่งหรูหราช่วยทำให้ในห้องดูโออ่าอลังการ ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมสวยงามวางไว้และล้อมรอบด้วยโซฟาสามตัว 


 


 


ดูเหมือนบางคนอาจจะพอใจกับการทำความสะอาดครั้งใหญ่ในวันนี้ แต่สำหรับผมก็แค่เสียเวลาไปหนึ่งวันโดยเปล่าประโยชน์ 


 


 


ตอนนั้นเอง 


 


 


“พี่คะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” 


 


 


“อุ๊บ! แค่กๆ!” 


 


 


‘ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้’ 


 


 


ในยุคปัจจุบันตอนที่ผมยืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้าย ถ้าหันไปหยิบโอเด้งจากร้านค้าข้างทางขึ้นมาสักไม้ รถประจำทางที่ผมรออยู่ก็จะมาทันที ผมไออย่างหนักและกระแอมไอ เมื่อหันไปมองประตูที่เปิดผ่างออกก็เห็นอียูจองมีสีหน้าร้อนใจวิ่งขึ้นมาหาอย่างเร่งรีบ 


 


 


“มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น พักหายใจก่อนเถอะ” 


 


 


“มะ ไม่ได้หรอก! พี่คะ! ตอนนี้คนที่บอกไว้เมื่อวานนี้ว่าจะมา เขามาแล้ว! แต่กำลังสู้กับพี่ยอนจู…!” 


 


 


“อะไรนะ สู้กันงั้นเหรอ” 


 


 


“เร็วเข้าเถอะ! สถานการณ์มันรุนแรงมาก! ตอนนี้วุ่นวายกันไปหมดแล้ว!” 


 


 


ผมผุดลุกขึ้นทันทีและวิ่งออกไปตามโถงทางเดิน ผมไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากจะต้องลงไปยังชั้นหนึ่งให้เร็วที่สุด ผมลงบันไดไปชั้นสี่ ชั้นสาม ชั้นสอง ยิ่งเข้าใกล้ชั้นหนึ่งมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกถึงความกระหายรุนแรงที่แล่นไปทั่วทั้งร่าง 


 


 


แม้ว่าจะยังลงไปไม่ถึง แต่ออร่าที่เข้มข้นขนาดนี้ต้องเป็นผู้เล่นระดับสิบผู้แข็งแกร่งสองคนกำลังต่อสู้กันแน่ 


 


 


เพราะวิ่งลงไปด้วยความเร็วเต็มที่ จึงใช้เวลาไม่นานนักในการลงบันไดมา แต่เมื่อมาถึงชั้นที่มองเห็นชั้นหนึ่งบางส่วนผมก็หยุดชะงัก 


 


 


มีผู้เล่นหลายคนอยู่ที่ชั้นหนึ่งและตรงกลางที่พวกเขายืนล้อมรอบอยู่นั้นคือ ผู้หญิงสองคนซึ่งกำลังประจันหน้ากันแบบแทบจะสัมผัสลมหายใจของกันและกัน แหล่งกำเนิดของออร่าที่รุนแรงนั้นมาจากโกยอนจูและยอนฮเยริมที่อยู่ตรงนั้น 


 


 


“กลิ่นเน่าๆ นี่มาจากไหนกันนะ มาจากเจ้าหญิงหรือเปล่า” 


 


 


หล่อนน่าจะรู้ว่าผมมาถึงแล้ว โกยอนจูที่ยืนกอดอกอย่างเย่อหยิ่งถึงได้ยกมือขึ้นมาบีบจมูก จากนั้นก็ขมวดคิ้ว น้ำเสียงของหล่อนฟังดูเหยียดหยาม 


 


 


“ไม่ใช่กลิ่นจากเงาของเธอหรอกเหรอ” 


 


 


ด้วยกลัวว่าจะแพ้ ยอนฮเยริมที่ยืนตัวตรงแล้วใช้สองมือเท้าเอวก็โต้กลับไปไม่เบา 


 


 


ทั้งสองหัวเราะแปลกๆ ใส่กัน เป็นเสียงหัวเราะราวกับลูกปัดหยกกลิ้งไปมา แต่สายตาที่ปะทะกันของทั้งสองคนนั้นกำลังแผ่ความรุนแรงออกมา แต่ก่อนคงจะอดทนได้ดีในสถาบันผู้เล่นหรือในการระดมพล แต่ในที่สุดก็ระเบิดออกมา 


 


 


ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ผมจึงรีบเดินต่อและลงบันไดไป ในตอนนั้นเอง 


 


 


“ยอนฮเยริม!” 


 


 


ท่ามกลางบรรยากาศเย็นยะเยือก เสียงที่คุ้นเคยดังก้องล็อบบี้ชั้นหนึ่ง เมื่อผมลงจากพื้นที่ซึ่งมองไม่เห็นจากด้านบนก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา ฮันโซยองและนักบวชหญิงที่จำได้ว่าเคยพบกันครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ยืนอยู่ตรงทางเข้าชั้นหนึ่ง 


 


 


“ออกไปข้างนอกก่อน” 


 


 


“คะ แคลนลอร์ด” 


 


 


“ฉันจะไม่พูดซ้ำ จะออกไปรอข้างนอกหรือจะกลับไปก่อน” 


 


 


“…” 


 


 


ใครคนหนึ่งออกมาแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่ผมจะออกโรง ‘คำสั่ง’ ของฮันโซยองนั้นเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็งจนไม่อาจปฏิเสธได้ 


 


 


เจ้าหญิงแห่งการสำเร็จโทษกัดริมฝีปากแน่น แต่หล่อนก็ถอยออกมาพลางส่งสายตาเชือดเฉือนให้โกยอนจู หลังจากมองยอนฮเยริมที่หันไปแล้ว โกยอนจูก็ยิ้มเยาะออกมา ไม่สิ ตั้งใจจะยิ้มเยาะต่างหาก 


 


 


“โฮะๆ โชคดีนะ ยัยเด็ก…” 


 


 


“ผู้เล่นโกยอนจู” 


 


 


“คะ แคลนลอร์ด” 


 


 


“กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ” 


 


 


เมื่อรู้สึกตัวว่าผมมาถึงแล้ว โกยอนจูก็หันมาด้วยความตกใจ ผมค่อยๆ เดินมาที่กลางวงพลางพูดเบาๆ 


 


 


“กลับไปที่ห้องด้วยครับ” 


 


 


“…ทราบแล้วค่ะ” 


 


 


เพราะยอนฮเยริมถอยไปก่อนแล้ว โกยอนจูจึงตอบรับอย่างง่ายดายกว่าที่คิด 


 


 


บรรยากาศน่าอึดอัดใจกระจายไปทั่วล็อบบี้ ผมหันไปสบตาฮันโซยอง เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็เลยคิดจะแนะนำตัว 


 


 


สุดท้ายแล้วผมก็พาฮันโซยองกับนักบวชหญิงไปที่ห้องรับรองแขกด้วยตัวเอง นั่นจึงสามารถทำให้ความวุ่นวายสงบลงได้ หากเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่การรับมืออันรวดเร็วของฮันโซยองและการปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมทำให้เรียบร้อยไปขั้นหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ได้จบง่ายๆ แค่นั้น 


 


 


“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่ก่อความวุ่นวายในแคลนเฮาส์ของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่” 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ดูเหมือนว่าระหว่างผู้เล่นโกยอนจูกับผู้เล่นยอนฮเยริมจะมีปัญหาบางอย่าง” 


 


 


“ก็อย่างที่เห็นค่ะ ถ้าฉันรู้แบบนี้คงจะไม่ให้ฮเยริมมาด้วย วันนี้ฉันจะจัดการตักเตือนเองค่ะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธ” 


 


 


“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมเองก็จะตักเตือนโกยอนจูด้วยเช่นกัน” 


 


 


แผนรับมือที่เหมาะสมกับของฮันโซยองและการเอ่ยขอโทษก่อน หากคำนึงถึงฐานะของแคลนลอร์ดหรือตัวแทนเผ่าแล้วเรียกได้ว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้ ผมเองก็ไม่ได้คิดจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่จึงยินดียอมรับคำขอโทษของหล่อน ตอนนี้ผมรับคำขอโทษมากพอแล้ว ถึงเวลาเข้าเรื่องสักที 


 


 


“ตอนแรกที่ผมได้รับการติดต่อมา ผมตกใจมาก ไม่นึกเลยว่าคุณสองคนจะมาด้วยกัน” 


 


 


“ทีแรกฉันคิดว่าจะมาให้เร็วกว่านี้ค่ะ แต่ฉันแวะที่อื่นด้วยก็เลยทำให้ล่าช้าไปนิดหน่อยค่ะ” 


 


 


“งั้นเหรอครับ ถ้างั้นผมขอทราบเหตุผลที่คุณมาหาถึงที่นี่ได้ไหมครับ” 


 


 


“แน่นอนค่ะ” 


 


 


ฮันโซยองตอบด้วยความสุภาพ จากนั้นก็หันไปด้านข้าง 


 


 


เมื่อหันมองตามหล่อนก็เห็นนักบวชหญิงกำลังนั่งดื่มชาเงียบๆ หล่อนแสร้งทำเป็นไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่นิ้วมือกำลังสั่นเทา ดูเหมือนจะเป็นผลที่ตามมาเพราะได้สัมผัสความบ้าคลั่งของหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งในระยะประชิด 


 


 


นักบวชถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงค่อยๆ เปิดปากพูด 


 


 


พูดตามตรงเรื่องราวที่นักบวชเล่าออกมานั้นอยู่ในสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้แล้ว 


 


 


องค์กรตรวจสอบในคราวนี้ตรวจสอบผลงานที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทำสำเร็จและเลื่อนระดับให้ตามนั้น พวกเขาค้นพบเบาะแสที่เป็นไปได้มากจาก ‘การไล่ตาม’ บนเส้นทางที่ตามร่องรอยของพวกเราไป แล้วยังหาร่องรอยของพวกเร่ร่อนในบริเวณภูเขาแห่งการเพ้อคลั่งเจออีกด้วย 


 


 


เรื่องที่ผมสนใจก็มีแค่การที่พวกเขาไม่เจอร่องรอยการกลับมาโมนิก้าอีกครั้งของพวกเร่ร่อน 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเป็นพวกเร่ร่อนปกติ ไม่ใช่พวกเร่ร่อนที่ปลอมตัวเป็นผู้เล่นสินะครับ” 


 


 


“ไม่หรอกค่ะ ฉันทำตามคำขอแยกไปต่างหากก่อนที่องค์กรตรวจสอบจะมาถึง ฉันหาร่องรอยได้ว่า พวกเร่ร่อนอาจจะตามคนของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไปตั้งแต่ในเมืองค่ะ ถึงจะเจอร่องรอยไม่มากแต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเข้ามาผ่านประตูอื่นก็ได้” 


 


 


“จะบอกว่าพวกเขาออกไปจากเมืองแล้วไม่กลับเข้ามาอีกงั้นเหรอ” 


 


 


“ฉันยังไม่แน่ใจ แต่มันก็เป็นไปได้มากที่สุดในความคิดของฉันค่ะ” 


 


 


นักบวชยกชาขึ้นดื่มอีกครั้ง หล่อนคงคอแห้งเพราะพูดมาสักพักหนึ่งแล้ว 


 


 


ผมจมอยู่ในห้วงความคิดเงียบๆ ถ้าลองคิดอย่างใจเย็น มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพราะเดิมทีก็เป็นพวกที่แวบไปแวบมาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะปลอมตัวหรือไม่ เพียงแต่ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ 


 


 


‘ตอนนี้มันรอไม่ได้แล้ว มีอีกหลายเรื่องที่ต้องจำไว้’ 


 


 


แม้จะได้มาแค่นี้ แต่ผมก็พยักหน้าอย่างใจเย็นกับผลลัพธ์ที่ได้ 


 


 


“ถึงจะเป็นเรื่องขององค์กรตรวจสอบ แต่ก็ขอขอบคุณที่ช่วยบอกให้ผมรู้ คุณเองก็คงจะกังวล แต่ถ้าจำเป็นต้องมาหา… ให้เราเป็นฝ่ายไปพบคุณก็ได้นะครับ” 


 


 


“อ้า ฉันมีเรื่องที่จะบอกคุณอีกอย่างค่ะ คือว่าที่จริงแล้ว…” 


 


 


“…?” 


 


 


“เฮอร์เซ่ เดี๋ยวก่อน” 


 


 


นักบวชหญิงชื่อเฮอร์เซ่สินะ นอกจากจะเสริมขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว ฮันโซยองก็ฟังเงียบๆ มาตลอดจนถึงตอนนี้ เมื่อหญิงสาวก้าวออกมา เฮอร์เซ่ก็สบสายตาพลางพยักหน้าเล็กน้อย ในดวงตาของหล่อนฉายแววความจริงจังบางอย่าง 

 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 6

 

ฮันโซยองปรับลมหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็จ้องมาที่ผมพลางพูดขึ้น ดูจากบรรยากาศแล้วเรื่องที่จะได้ฟังต่อจากนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นประเด็นหลัก 


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันขอถามคุณหน่อยนะคะ” 


 


 


“ผมฟังอยู่ครับ” 


 


 


“ฉันจะถามตรงๆ เลยนะคะ ไม่ทราบว่าเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มีอีลิกเซอร์บ้างไหมคะ” 


 


 


“เอ๊ะ…” 


 


 


ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวกับคำถามที่กะทันหัน เมื่อผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ฮันโซยองก็ตีความไปเองแล้วทำท่าเสียดาย 


 


 


“ไม่มีสินะ เฮ้อ ขอโทษด้วยนะคะ” 


 


 


“เดี๋ยวก่อนนะครับ ทำไมจู่ๆ ถึงถามหาอีลิกเซอร์ล่ะครับ” 


 


 


ใบหน้าของฮันโซยองดูอ่อนล้าในพริบตา ผมสงสัยว่าเหตุผลที่หล่อนมาถึงช้าคงเพราะมัวแต่ไปที่เผ่านั้นเผ่านี้เพื่อตามหาอีลิกเซอร์หรือเปล่านะ หล่อนทำสีหน้าขอโทษขอโพยกับคำถามของผมพลางส่ายหน้า 


 


 


“เหมือนฉันมีแต่เรื่องให้ต้องเอ่ยขอโทษบ่อยๆ เลยนะคะเนี่ย ขอโทษด้วยค่ะลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ถึงอยากจะบอกเหตุผลแต่ฉันก็ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้เนื่องจากมีเบื้องหลังที่ซับซ้อน” 


 


 


“เผ่าเมอร์เซนต์นารี่อาจจะพอช่วยได้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บในเผ่าอีสตันเทลลอว์จากการตรวจสอบในคราวนี้เหรอครับ” 


 


 


“เปล่าค่ะ การตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยดี เป็นคำขอร้องมาจากเมืองตะวันออก ไม่ใช่เผ่าอีสตันเทลลอว์หรอกค่ะ อีลิกเซอร์จำเป็นต่อชีวิตของผู้เล่นระดับสูงคนหนึ่งในเผ่าทางตะวันออกค่ะ ผู้เล่นคนนั้นเป็นผู้เล่นที่ฉันรู้จักดี” 


 


 


“งั้นเหรอครับ ผมอยากรู้ บอกผมได้ไหมครับ” 


 


 


ฮันโซยองมีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็พูดเบาๆ 


 


 


“มีเผ่าก่อตั้งใหม่ที่ชื่อเผ่าแฮมิลค่ะ ที่นั่นต้องการอีลิกเซอร์ นี่คือเรื่องที่ฉันพอจะบอกคุณได้…” 


 


 


“เอ๊ะ เผ่าแฮมิลเหรอครับ” 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดนั้นผมก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย 


 


 


 


 


 


ดึกมากแล้ว ผมกลับมายังห้องพักส่วนตัวบนชั้นสี่ของอาคารส่วนกลาง ผมนอนลงบนเตียงและพยายามข่มตานอน แต่ก็นอนไม่หลับ 


 


 


อีลิกเซอร์ อีลิกเซอร์ที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่เก็บไว้ตอนนี้มีทั้งหมดสามขวด เดิมทีมีแค่สองขวด ใช้กับวิเวียนไปหนึ่งขวด แต่ต่อมาก็ได้รับจากเคออซ มิมิคอีกสองขวด ผมวางแผนจะใช้งานมันเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ขวดหนึ่งเป็นของผม ขวดหนึ่งเป็นของคิมยูฮยอน และอีกขวดหนึ่งเป็นของฮันโซยอง 


 


 


หากชีวิตของฮันโซยองตกอยู่ในอันตราย ผมก็คงมอบมันให้ทันทีโดยไม่ลังเล แต่ผู้เล่นที่จำเป็นต้องใช้ไม่ใช่ฮันโซยอง หลังจากคุยกับหล่อนแล้วในหัวของผมก็สับสนวุ่นวายไปหมด ผมหลับตาลงค่อยๆ นึกถึงบทสนทนาระหว่างผมกับหล่อน 


 


 


 


 


 


“เผ่าแฮมิลค่ะ” 


 


 


“คิมยูฮยอนเหรอครับ คุณรู้จักกับลอร์ดแฮมิลด้วยเหรอ” 


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ ผู้เล่นที่ต้องการมันไม่ใช่คิมยูฮยอน” 


 


 


“เป็นผู้เล่นที่ถูกแบนชีโจมตี ตอนนี้อีลิกเซอร์คือหนทางเดียวที่จะช่วยชีวิตเธอได้ เหลือเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์…” 


 


 


 


 


 


ตอนแรกที่ได้ยินว่าเผ่าแฮมิล คนแรกที่ผมนึกถึงก่อนใครก็คือพี่ชาย คิมยูฮยอน ผมถามกลับทันทีและโล่งใจที่คำตอบไม่ใช่คิมยูฮยอน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าความสับสนจะจางหายไป 


 


 


ในรอบแรกผมเป็นแค่ผู้เล่นทั่วไป การตามหากองคาราวานหนึ่งวันในจัตุรัสเป็นเรื่องปกติ หาเงินมาใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน จนกระทั่งได้เจอกับพี่ชายโดยบังเอิญและเข้าร่วมกับเผ่าแฮมิล 


 


 


แน่นอนว่าผมยังจำการเดินทางของพี่ชายได้คร่าวๆ หลังจากได้รับชัยชนะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เผ่าแฮมิลก็กลายเป็นหนึ่งในเผ่าที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ว่าผมไม่รู้เรื่องราวก่อนที่จะเข้าร่วมเผ่ามากนัก ผมจึงไม่รู้ว่าผู้เล่นในเผ่าแฮมิลที่ต้องใช้อีลิกเซอร์ในตอนนี้คือใคร 


 


 


‘ทำไมถึงบอกไม่ได้นะว่าเป็นใครกัน’ 


 


 


ยิ่งครุ่นคิดผมก็ยิ่งนอนไม่หลับ ผมพลิกไปพลิกมาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมแพ้กับการข่มตานอนและลุกขึ้น การเรียกเหงื่อที่ลานต่อสู้ชั้นใต้ดินคงจะทำให้ผมง่วงนอนได้ 


 


 


ผมลุกจากเตียงด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นและเมื่อจับดาบเทพแห่งสุริยันจันทรา 


 


 


แอ๊ด 


 


 


ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงเปิดประตูอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ซูฮยอน หลับอยู่หรือเปล่าคะ” 


 


 


คนที่เปิดประตูเข้ามาก็คือโกยอนจู เมื่อผมหันไปทางประตูก็เห็นดวงตาสีเทาที่ส่องประกายในความมืดคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ผม 


 


 


“ตื่นแล้วครับ” 


 


 


เมื่อเห็นว่าผมตื่นแล้ว ดวงตาที่เหมือนจันทร์เสี้ยวก็โค้งอย่างงดงาม โกยอนจูหัวเราะเบาๆ และเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผม 


 


 


ตึ่ก ตึ่ก 


 


 


ทีละก้าว ทีละก้าว เสียงฝีเท้าเชื่องช้า แสงจันทร์สาดส่องผ่านมาทางหน้าต่าง มันทั้งเลือนรางและพร่ามัว เสียงนั้นดังผ่านแสงจันทร์และหยุดลงตรงหน้า ผมมองเห็นโกยอนจูเต็มตา 


 


 


“ฉันมาเพื่อขอโทษเรื่องเมื่อคืนค่ะ ขอโทษนะคะ พอเห็นยอนฮเยริมแล้วฉันก็เสียสติไปเลย” 


 


 


“คุณน่าจะรู้ดีนี่ครับ แต่ก็โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ถึงจะรู้ว่าคุณมีความแค้นส่วนตัวต่อกัน แต่ต่อไปขอให้ระวังมากกว่านี้นะครับ ผมจะเตือนแค่ครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่สอง” 


 


 


“ค่ะ ฉันจะจำไว้ ฉันผิดเอง ต่อไปนี้ฉันจะไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนและจะปล่อยผ่านไปค่ะ” 


 


 


“เข้าใจแล้วครับ” 


 


 


น้ำเสียงของโกยอนจูมีความจริงใจ คนอย่างหล่อนไม่มีทางโกหกแน่นอน ผมจึงเชื่อคำพูดนั้น 


 


 


โกยอนจูไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วหันหลังกลับไป 


 


 


มองดูแผ่นหลังที่เดินลงบันไดไปเงียบๆ แล้วผมก็รู้สึกผิดนิดหน่อย ดูเหมือนว่าจะยังหลงเหลือความรู้สึกอยู่บ้าง เพราะเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับยอนฮเยริมและฮันโซยองมาก่อน ถึงหล่อนจะทำเป็นหยิ่งยโสแต่ก็ยังจะอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่ก็ได้ 


 


 


ผมเลียริมฝีปากอย่างขื่นขมพลางหมุนตัวเดินไปตามทางเดินชั้นสาม 


 


 


ในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนขึ้นบันไดมา 


 


 


เมื่อผมหยุดรอนิ่งๆ ก็เห็นใครบางคนค่อยๆ เดินขึ้นมาจากชั้นสอง เจ้าของเสียงฝีเท้าก็คืออิมฮันนา 


 


 


“สวัสดีครับ” 


 


 


“อุ๊ย! แคลนลอร์ด” 


 


 


อิมฮันนาเบิกตากว้างพลางกะพริบตาด้วยความตกใจเมื่อเห็นผม 


 


 


“เร็วไปหน่อยที่จะบอกว่าเช้าแล้ว ตื่นเร็วจังเลยนะครับ” 


 


 


“อ้า ค่ะ ปกติฉันก็ไม่ได้นอนเยอะหรอก พอมาอยู่ในที่ใหม่ๆ ก็เลยรู้สึกไม่คุ้นนิดหน่อย แล้วฉันก็อยากเดินดูส่วนต่างๆ ของแคลนเฮาส์ด้วย จะเป็นการรบกวนไหมคะ” 


 


 


“ผู้เล่นอิมฮันนาก็เป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่นี่ครับ ไม่รบกวนหรอก” 


 


 


“ขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อนะคะ” 


 


 


อิมฮันนาโค้งอย่างสุภาพพลางยิ้มเล็กน้อย และแล้วความเงียบก็มาเยือน หล่อนคงรู้สึกอึดอัดเมื่อบทสนทนาจบลงจึงหลบตาผมและเอาแต่จ้องมองพื้น ในขณะที่ผมกังวลว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆ อิมฮันนาก็พูดขึ้นมา 


 


 


“ว่าแต่ว่าแคลนลอร์ด…” 


 


 


“ผมกำลังจะไปที่คลังชั้นสามครับ” 


 


 


“อ้า งั้นเหรอคะ” 


 


 


“ถ้าไม่รังเกียจจะขึ้นไปด้วยกันไหมครับ” 


 


 


อิมฮันนายังคงจับจ้องพื้นและขยับนิ้วมือไปมา แต่หลังจากนั้นก็พยักหน้ารับเป็นคำตอบ 


 


 


‘ปกติแล้วเป็นคนแบบนี้หรือไงนะ’ 


 


 


ผมคิดเงียบๆ ในขณะที่เดินนำหน้าไปตามทางเดิน อิมฮันนาแห่งเลิฟเฮาส์ดูใจดี แต่ก็ไม่ได้ขี้อาย 


 


 


แม้แต่ตอนที่พูดคุยกับผมเรื่องดอกไม้กลางคืน หล่อนก็ไม่ได้เอ่ยขออย่างขลาดเขิน เห็นได้ชัดว่าหล่อนมีความมั่นใจที่ล้นเหลือ 


 


 


ผมไม่คิดว่าเราจะอึดอัดใส่กัน เพราะว่าอายุเท่ากัน แต่ดูจากสีหน้าในตอนนี้หล่อนดูลำบากใจ 


 


 


ไม่นานนักก็มาถึงหน้าคลัง ผมยื่นมือไปที่วงแหวนเวทซึ่งถูกวาดไว้ตรงกลางและเมื่อฝ่ามือของผมสัมผัสกับพื้นผิวเย็นเยียบ กลไกเวทมนตร์ก็ค่อยๆ เริ่มทำงานวงแหวนเวทส่องแสงสีน้ำเงินตอบรับ จากนั้นก็รู้สึกว่ากุญแจปลดล็อกจากด้านใน 


 


 


“ตอนนี้มีสมาชิกเผ่าที่สามารถเปิดประตูคลังได้ทั้งหมดสามคน รวมผมด้วย เพราะเรามีอุปกรณ์ที่ต้องเก็บรักษาอยู่จึงจำเป็นต้องทำแบบนั้น” 


 


 


“อ้า ฉันได้ยินมาเหมือนกันค่ะ ระบุตัวตนด้วยวงแหวนเวทสินะคะ” 


 


 


“ใช่แล้วครับ ถ้างั้นเข้าไปเลยไหมครับ” 


 


 


“ค่ะ” 


 


 


ผมผลักประตูและเข้าไปข้างใน 


 


 


อุปกรณ์ที่ได้รับจากการปิดงบคราวก่อนถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงามในคลัง อุปกรณ์บางส่วนถูกแขวนไว้บนผนังและบนชั้นวางของ ส่วนของที่เหลือ เช่น ของมีค่าและอัญมณี ถูกวางรวมกันไว้บนพื้น 


 


 


ในขณะที่เปิดช่องเก็บโพชั่น ผมหันกลับไปมองอิมฮันนาซึ่งกำลังมองรอบๆ อย่างระมัดระวังพลางพูดขึ้น 


 


 


“ผู้เล่นอิมฮันนาอายุเท่าไหร่เหรอครับ” 


 


 


“ฉันเหรอคะ อายุยี่สิบสี่แล้วค่ะ แล้วแคลนลอร์ดล่ะคะ อายุเท่าไหร่” 


 


 


“ผมก็อายุยี่สิบสี่ครับ เราอายุเท่ากันเลย” 


 


 


“อ้าว จริงเหรอคะ โชคดีจัง” 


 


 


ผมแค่ถามเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดใจ แต่ท่าทีตอบสนองของอิมฮันนาน่าแปลกใจมาก 


 


 


“โชคดียังไงเหรอครับ” 


 


 


“อ้า ฉันแค่ดีใจที่ได้เจอคนที่อายุเท่ากันค่ะ คนรอบตัวฉันทุกคนอายุน้อยกว่าหรือไม่ก็มากกว่าฉัน ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะมีเพื่อนสักคน” 


 


 


“เพื่อนเหรอครับ ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก็มีผมคนเดียวที่อายุยี่สิบสี่ ถ้างั้นเรามาเป็นเพื่อนกันไหมครับ พูดจากันอย่างเป็นทางการแบบนี้คงลำบาก เรามาพูดกันแบบไม่เป็นทางการก็ได้ครับ” 


 


 


“มะ ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันจะกล้าพูดจาแบบนั้นกับแคลนลอร์ดได้ยังไง… ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกนะคะ” 


 


 


พวกผู้เล่นเป็นคนในยุคปัจจุบันทั้งหมด ถึงแม้เราจะมีมารยาทในสถานที่ที่เป็นทางการ แต่ก็ไม่แปลกที่จะพูดไม่เป็นทางการกันบ้าง ฮันโซยองผู้มีคาริสม่าอันยอดเยี่ยมยังอนุญาตให้สมาชิกเผ่าบางคนพูดจาสบายๆ ในพื้นที่ส่วนตัว ตัวอย่างเช่น ยอนฮเยริม 


 


 


เมื่อผมมองดูโพชั่นที่วางรวมกัน ผมก็เจอขวดโพชั่นสามขวดที่บรรจุของเหลวสีเหลืองเอาไว้ ผมหยิบออกมาหนึ่งขวดและลุกขึ้นยืนพลางพูดต่อ 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ดูเหมือนมันจะทำให้คุณลำบากใจเกินไป ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปมันจะลำบากนะครับ” 


 


 


“ถะ ถ้างั้น…ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหมคะ” 


 


 


“เอ๊ะ ครับ ลองพูดมาสิครับ” 


 


 


“ฉะ…ฉันจะพูดแบบเป็นทางการสักระยะหนึ่ง แคลนลอร์ดพูดแบบไม่เป็นทางการกับฉันได้ไหมคะแล้วก็ฉันจะขอเรียกว่าพี่… อ๊ะ อันนี้ไม่ได้สิ” 


 


 


‘อะไรเนี่ย’ 


 


 


ใบหน้าของอิมฮันนาแดงก่ำ ผมพามาดูคลังอุปกรณ์แต่ดูเหมือนความสนใจทั้งหมดจะพุ่งมาที่ผมแทนเสียแล้วๆ จู่ผมก็นึกถึงตอนที่สบตากับหล่อนในห้องประชุม ในตอนนั้นดวงตาของอินฮันนาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า 


 


 


ผมเอียงคอเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับอย่างง่ายดาย เพราะมันไม่ใช่คำขอร้องที่ยากอะไร 


 


 


“ก็ได้ครับ ถ้างั้นต่อไปนี้ฉันจะพูดแบบสบายๆ นะ อิมฮันนา” 


 


 


“ขอบคุณค่ะ ฉันขอพูดแบบเป็นทางการไปก่อน หลังจากนี้ถ้าสบายใจแล้ว ฉันจะเปลี่ยนไปพูดแบบไม่เป็นทางการค่ะ” 


 


 


“ก็ได้ ฉันจะออกไปแล้ว อยากจะดูอะไรอีกไหม” 


 


 


“ไม่ค่ะ ฉันก็จะออกไปเหมือนกันค่ะ” 


 


 


อิมฮันนาส่ายหน้า จากนั้นเราก็ออกมาข้างนอกแล้วปิดประตู หญิงสาวมองขวดโพชั่นในมือของผมและเอ่ยถาม 


 


 


“นั่นขวดอะไรเหรอคะ” 


 


 


“อีลิกเซอร์น่ะ” 


 


 


“ว้าว! นี่คืออีลิกเซอร์เหรอเนี่ย” 


 


 


“ได้มาโดยบังเอิญน่ะ อิมฮันนา ถึงจะเช้าไปสักหน่อย แต่ช่วยอะไรสักอย่างได้ไหม” 


 


 


อิมฮันนาพยักหน้าพลางตอบว่า “แน่นอนค่ะ” ผมมองหล่อนพลางครุ่นคิดอย่างหนัก 


 


 


ผมจะเก็บเรื่องของโกยอนจูและอิมฮันนาไว้ก่อน ตอนนี้ถึงเวลามุ่งไปที่เรื่องของฮันโซยอง อีลิกเซอร์จำเป็นต่อเผ่าแฮมิล ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะทำทุกวิถีทาง เขาไม่ได้เป็นแค่พี่ชายเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตสมาชิกเผ่าแต่ละคนเอาไว้ด้วย 


 


 


แต่ทุกสิ่งมีลำดับและขั้นตอน การตัดสินใจไปเมืองตะวันออกเพื่อไปพบพี่ชายใช้เวลาไม่นานนัก ตะวันออกและตะวันตกยังคงเป็นพันธมิตรต่อกันแบบเงียบๆ ดังนั้นถ้าใช้วาร์ปเกตก็คงใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ไม่สิ ไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ 


 


 


‘เผ่าแฮมิลมีผู้เล่นที่โดนคำสาปของแบนชี เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ สามารถช่วยชีวิตได้ด้วยอีลิกเซอร์’ 


 


 


ผมจัดการความคิดเงียบๆ และหันไปพูดกับอิมฮันนาซึ่งกำลังรอคอยคำตอบ 


 


 


“ฉันจะออกไปข้างนอกสักพัก คงใช้เวลาไม่นานมาก ไม่ต้องปลุกใคร แต่ถ้าสมาชิกเผ่าตื่นแล้ว บอกให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมเล็กชั้นสามได้ไหม” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ ว่าแต่จะไปไหนเหรอคะ” 


 


 


“แท่นบูชา” 


 


 


“แท่นบูชาเหรอคะ” 


 


 


สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือข้อมูล อีลิกเซอร์ที่ผมถืออยู่นี้จะช่วยรักษาอาการผิดปกติใดๆ ก็ตามหากว่ายังมีชีวิตอยู่ มันคือโพชั่นอมตะที่เหมือนกับชีวิต สิ่งนั้นนำพาความรู้สึกได้อย่างง่ายดาย ในฐานะผู้เล่นที่จะใช้มันและในฐานะแคลนลอร์ด มันเป็นเรื่องที่ต้องเสียสละให้ได้ 


 


 


ผมตอบคำถามทางพยักหน้านิ่งๆ 


 


 


“อืม ฉันจะไปพบทูตสวรรค์” 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 7

 

เจ็ดวันก่อน 


 


 


ป่ายามค่ำคืนที่ทั้งเงียบและมืดสนิท ความมืดกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ดวงจันทร์บนท้องฟ้าส่องแสงนวลกระจ่าง แต่ต้นไม้หนาทึบกับพุ่มไม้เขียวชอุ่มกลับปิดกั้นแสงที่กำลังสาดส่องลงมา 


 


 


กรอบ แกรบ 


 


 


ตอนนั้นเองเสียงเท้าที่เหยียบลงบนใบไม้แห้งก็ทำลายความเงียบของป่า ที่มาของเสียงนั้นคือ เนินเขาแห่งหนึ่งในป่า และน่าแปลกที่มีชายคนหนึ่งกำลังปีนป่ายเนินเขานั้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


เมื่อเขาหยุดปีนลงครู่หนึ่ง เสียงนั้นจึงเงียบไปด้วย ผู้ชายคนนั้นกวาดตามองรอบๆ บริเวณอยู่ประมาณสิบวินาที จากนั้นจึงเริ่มปีนเนินเขาขึ้นไปอีกครั้ง 


 


 


ความตึงเครียดแปลกๆ โอบล้อมรอบชายผู้นั้น แม้ว่าจะได้ยินเสียงนกหรือเสียงแมลงมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ก็มีเสียงมากมายที่เขาไม่คุ้นเคยดังเข้ามาในหู เมื่อลมหนาวพัดผ่านเนินเขาไป ชายหนุ่มก็สามารถปีนขึ้นมาสู่ยอดเขาได้ 


 


 


ป่าถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ถึงจะมืดมากจนมองไม่เห็นภาพตรงหน้า แต่การเคลื่อนไหวของชายคนนั้นราวกับเขามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัด เขามาถึงกลางเนินเขาและเริ่มกวาดตามองไปรอบๆ 


 


 


ประกายสีอำพันอ่อนเลือนรางในดวงตาของชายหนุ่ม เขาหันไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นใบหน้าที่มองออกไปยังที่ไกลแสนไกลก็ยับย่นราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สถานที่ที่เขามองไปนั้นแสงไฟเบาบางกำลังลุกโชน รอบๆ แสงไฟเป็นภาพแปลกประหลาดที่ไม่เข้ากับป่าเงียบสงบ ร่างเปลือยของหญิงสาวสามคนถูกแขวนไว้บนกิ่งไม้ยาวและฝูงชนจำนวนมากที่ล้อมรอบต้นไม้นั่นก็กำลังหยอกเย้าพลางหัวเราะชอบใจ 


 


 


ชายหนุ่มมองภาพนั้นเงียบๆ พึมพำด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเวทนา 


 


 


“เจ้าพวกบ้า ไม่รู้จักแยกแยะเวลากับสถานที่เลย” 


 


 


“นายก็รู้นี่ รออยู่ที่นี่มาตั้งเจ็ดวันแล้วนี่นา ได้เห็นอะไรสนุกๆ แบบนั้นก็ต้องมองข้ามไปบ้าง” 


 


 


“ที่ฉันรู้สึกถึงเมื่อกี้ก็คือเธอเองสินะ” 


 


 


“ฮี่ๆ ถูกจับได้เหรอเนี่ย” 


 


 


เสียงนั้นดังขึ้นกะทันหัน แต่ชายหนุ่มตอบกลับนิ่งๆ และหันไปมอง ตำแหน่งที่เขามองไปมีหญิงสาวซึ่งสวมชุดรัดรูปเน้นเรือนร่างยืนอยู่ ชายหนุ่มส่งสายตาเป็นการถามว่าหล่อนมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ หญิงสาวยักไหล่พลางทำปากยื่น 


 


 


หล่อนก้าวมายืนข้างชายผู้นั้นโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็นั่งลงกับพื้นและพูดขึ้น 


 


 


“เฮ้อ นายจะออกเดินทางครั้งต่อไปเมื่อไหร่” 


 


 


“สองวันหลังจากนี้ ฉันจะออกจากพื้นที่ที่ยังไม่พัฒนา” 


 


 


“ถ้างั้นในช่วงสองวันนี้นายจะเข้าไปที่ป่าสีนิลหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่กี่วันก่อนฉันได้รับการติดต่อจากกองทัพ ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงหนองน้ำแห่งความตาย” 


 


 


ชายคนนั้นพยักหน้า หญิงสาวมีสีหน้าที่เหมือนจะจมลงสู่ห้วงความคิด หล่อนพึมพำว่า “งั้นก็ได้เวลาแล้วสินะ” หญิงสาวที่เหลือบตามองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งเอนร่างลงกับพื้นและพูดต่อ 


 


 


“แต่ว่ามีเจ้าพวกนั้นอยู่นี่นา มันไม่เร็วเกินไปเหรอ เพิ่งผ่านไปสองเดือนเองไม่ใช่เหรอที่ออกเดินทางจากทวีปตะวันออก แต่ถ้าไปถึงหนองน้ำแห่งความตาย…” 


 


 


“เส้นทางระหว่างทวีปเหนือและทวีปตะวันตกได้รับการบุกเบิกแล้ว แต่ถ้าจะออกมาจากหนองน้ำแห่งความตายต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะเป็นไปได้ที่จะถูกพวกผู้เล่นสังเกตเห็น” 


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ เพราะงั้นพวกเราถึงมาที่นี่ไง” 


 


 


“ถึงจะทำแบบนั้นไปก็ต่างกันแค่สามสี่วัน อย่างไรก็ตามไม่ต้องกังวลเรื่องกองทัพไประยะหนึ่ง พวกเราแค่ทำงานให้ดีก็พอ” 


 


 


ชายคนนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ หลังจากจบประโยคนั้น ความเงียบก็มาเยือน 


 


 


สายตาของชายหนุ่มยังคงจับจ้องไปที่กลุ่มคนซึ่งกำลังหยอกล้อผู้หญิงพวกนั้น ส่วนหญิงสาวนอนลงกับพื้นและจ้องมองท้องฟ้า ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง หญิงสาวเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน 


 


 


“นี่ ฮยอน พวกเราจะทำสำเร็จไหม” 


 


 


“ถ้าการซุ่มโจมตีสำเร็จ พวกเราก็จะทำสำเร็จ” 


 


 


“ด้วยจำนวนคนแค่สองพันคนเนี่ยเหรอ ต่อให้เป็นเมืองบุกเบิก… “ 


 


 


“เรายังไม่ได้รวบรวมคนทั้งหมด ผู้คนจะมารวมตัวกันเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันที่เราจะลงมือ คนที่ตอบรับจากภายในก็มีจำนวนหลายร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราคือนักรบจากสงครามที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ยังไม่พัฒนา ถึงแม้ว่าในเมืองนั้นจะมีคนเป็นสองเท่าหรือสามเท่า เราก็สามารถเอาชนะได้” 


 


 


น้ำเสียงของชายหนุ่มมีความมั่นใจ หญิงสาวเงียบกับท่าทีนั้นและเริ่มหัวเราะออกมาพลางพูดว่า  “นั่นสินะถ้าการซุ่มโจมตีสำเร็จ” 


 


 


หญิงสาวหัวเราะและลุกขึ้นยืน จากนั้นก็โอบรอบคอของชายหนุ่มด้วยท่าทีคุ้นเคยพลางกระซิบข้างหูของเขา 


 


 


“ถ้าวันนั้นมาถึงเร็วๆ ก็คงจะดี วันที่จะได้แก้แค้นพวกมัน” 


 


 


“อดทนอีกหน่อยนะ ไม่ต้องห่วง เชื่อฉันเถอะ” 


 


 


“หึๆ เชื่อได้ไหมนะ ค่ะ เข้าใจแล้ว! ฉันจะรอเงียบๆ ตามที่หัวหน้าสั่งเลย~” 


 


 


“…” 


 


 


หญิงสาวพูดอย่างขบขันพร้อมหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็กระโดดลงไปด้านล่างของเนินเขา ชายผู้นั้นมองหล่อนด้วยแววตาเรียบเฉยพลางฉีกยิ้มออกมา เขาถอนหายใจยาวและเริ่มจับจ้องไปยังสถานที่ที่เฝ้าดูอยู่เมื่อครู่นี้ 


 


 


ค่ำคืนในป่าลึกเป็นไปเช่นนั้น 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ผู้เล่นคิมซูฮยอน?” 


 


 


“ไม่เจอกันนาน…ก็ไม่นี่นะ” 


 


 


เมื่อเข้ามาในห้องอัญเชิญก็เห็นเซราฟนั่งอยู่บนแท่นบูชาเหมือนทุกที หล่อนลากเสียงสูงในตอนท้าย ดูท่าจะแปลกใจที่ผมมาเยือนด้วยตัวเองถึงสองครั้งติดๆ อันที่จริงผมมักจะมาแบบสามเดือนหนึ่งครั้งแทนที่จะเป็นเดือนละครั้ง ดังนั้นจึงน่าแปลกใจมาก 


 


 


เซราฟพูดขึ้นหลังจากปรับสีหน้า 


 


 


“มา…อีกแล้วเหรอคะ” 


 


 


“อืม มีเรื่องที่อยากรู้น่ะ ว่าแต่ว่าทำไมต้องตกใจขนาดนั้น” 


 


 


“ข้าตกใจที่ท่านมาหาเองโดยที่ข้าไม่ได้เรียกหาค่ะ” 


 


 


“ครั้งล่าสุดที่มา ก็ไม่ได้มาหาเพราะถูกเรียกตัวสักหน่อย” 


 


 


ผมตอบกลับพลางนั่งลงตรงข้ามกับเซราฟ 


 


 


“ฉันมีคำถามเกี่ยวกับฮวาจอง” 


 


 


“ค่ะ ถามมาได้เลย ข้าจะตอบตามตรงค่ะ” 


 


 


“อืม…จะพูดยังไงดีล่ะ อืม สมมติว่ามีผู้เล่นคนหนึ่งโดนคำสาปของแบนชี พลังของฮวาจองสามารถช่วยแก้คำสาปของผู้เล่นคนนั้นได้ไหม” 


 


 


“ได้สิคะ” 


 


 


หล่อนตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่คำตอบแค่นั้นมันยังไม่ชัดเจนเท่าไร สิ่งที่ผมต้องการคือคำอธิบายที่ละเอียดกว่านี้ เซราฟเริ่มอธิบายเพิ่มทันทีราวกับอ่านใจผมออก 


 


 


“คำสาปของแบนชีเป็นคำสาประดับรุนแรงมาก ไม่สามารถต่อสู้ได้ด้วยพลังเวท โชค หรือการต้านทานทางเวทมนตร์ แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบกับฮวาจองได้ ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็เรียกว่ามี ‘ระดับ’ อยู่ค่ะ ขอโทษที่ต้องเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างระดับของฮวาจองกับระดับของคำสาปแบนชีนะคะ” 


 


 


“ไม่เป็นไร งั้นก็หมายความว่าฮวาจองมีประโยชน์ในการรักษา ไม่ใช่การต่อสู้ใช่ไหม” 


 


 


“จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดนักหรอกค่ะ แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้ฮวาจองเพื่อการรักษาอยู่นะคะ” 


 


 


“…” 


 


 


คำพูดเมื่อครู่ของเซราฟเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ จนถึงตอนนี้การใช้งานด้วยวิธีอื่นนอกจากการต่อสู้ยังมีความคลุมเครืออยู่ จะสามารถกำหนดขอบเขตการใช้งานที่แน่นอนในอนาคตไม่ให้คลาดเคลื่อนได้หรือเปล่านะ 


 


 


“ฮวาจองสามารถใช้ในการต่อสู้หรือการรักษาก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับว่าท่านจะใช้งานมันอย่างไร อาจจะคลุมเครือสักนิดหน่อย หากใช้ในการรักษา มันก็จะชำระล้างได้เล็กน้อย นั่นหมายความว่าการรักษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่น ในกรณีที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนจะทำการรักษาผู้เล่นที่ท่านกล่าวถึงเมื่อครู่ ท่านสามารถลบล้างคำสาปของแบนชีได้แน่นอน แต่อาการที่หลงเหลือจากคำสาปนั้นไม่สามารถรักษาได้ค่ะ” 


 


 


“…อย่างนั้นเหรอ” 


 


 


“ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังอีกสักข้อนะคะ หากผู้เล่นถูกทำให้จิตใจแปดเปื้อน ข้าสามารถชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนนั้นได้ แต่อาการทางจิตที่เกิดขึ้นจากสิ่งแปดเปื้อน หรืออาการทางจิตที่เกิดขึ้นเองจะไม่สามารถรักษาได้ค่ะ” 


 


 


“อะไรเนี่ย ข้อจำกัดเยอะกว่าที่คิดแฮะ ไม่สามารถเผาไหม้ทุกสิ่งได้งั้นเหรอ” 


 


 


จู่ๆ ผมก็นึกถึงตอนที่ใช้พลังของฮวาจองกับมาร์การิต้า ในตอนนั้นผมเผาความทรงจำไม่ดีทิ้งไป ผมหวังว่าจะมีความเป็นไปได้เมื่อเห็นท่าทีของราชินีแห่งเอลฟ์ แต่เซราฟที่อยู่ตรงหน้ากำลังปฏิเสธความเป็นไปได้ทั้งหมด 


 


 


‘ถ้างั้นตอนนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ งั้นเหรอ” 


 


 


เมื่อผมกัดริมฝีปากและจมลงสู่ห้วงความคิดก็ได้ยินเสียงของเซราฟดังขึ้น 


 


 


“อีกชื่อของฮวาจองก็คือ เปลวไฟเผาไหม้นิรันดร์ มันสามารถเผาได้ทุกอย่าง แต่สิ่งนั้นก็แค่ถูกเผาไปตามที่บอก มันมุ่งเน้นไปที่การทำลายล้าง การรักษาเป็นเพียงปัจจัยเพิ่มเติม และโปรดจำไว้ว่าฮวาจองที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนมีอยู่ในระดับ S เท่านั้น” 


 


 


“สรุปก็คือช่วยชีวิตได้ แต่ไม่รับประกันเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นสินะ ชิ” 


 


 


หมายความว่าการรักษาที่เสร็จสมบูรณ์นั้น มีแค่การใช้อีลิกเซอร์เท่านั้น ผมจิ๊ปากพลางหยิบอีลิกเซอร์ที่เก็บไว้ในอกเสื้อออกมา เซราฟเอียงคอและพูดขึ้น 


 


 


“อีลิกเซอร์เหรอคะ หรือว่าผู้เล่นคิมซูฮยอนคิดจะใช้อีลิกเซอร์งั้นเหรอคะ” 


 


 


“ฉันกำลังคิดอยู่” 


 


 


“ข้าไม่รู้ว่าผู้เล่นที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนจะช่วยเหลือมีความสำคัญขนาดไหน แต่ถ้าไม่มั่นใจ ข้าอยากแนะนำให้หยุดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ตอนนี้ก่อน อาการที่ตามมามีหลายประเภท ยิ่งเวลาผ่านไปอาการอาจแย่ลง ทรงตัว หรือดีขึ้นก็ได้ค่ะ อีลิกเซอร์เป็นโพชั่นโบราณที่เหมือนกับชีวิตหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าผู้เล่นคนนั้นเป็นใคร แต่ข้าคิดว่าการใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงค่ะ” 


 


 


“อือ ความจริงแล้วฉันเองก็คิดแบบนั้น แต่ถ้าสามารถช่วยชีวิตได้ก็คงจะสบายใจ คงต้องดูไปก่อน” 


 


 


เมื่อผมพยักหน้า ดวงตาของเซราฟก็ฉายแววที่ยากจะเข้าใจ 


 


 


คำพูดของเซราฟชัดเจนมาก สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือชีวิต ดังนั้นต้องแก้ปัญหานี้เสียก่อน แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดแบบนั้น แต่เธอกลับบอกว่าอย่าใช้อีลิกเซอร์อย่างวู่วามและสิ้นเปลือง 


 


 


อย่างไรก็ตามการพูดคุยกับเซราฟทำให้สามารถจัดการกับความรู้สึกที่ซับซ้อนวุ่นวายได้ในระดับหนึ่ง ผมที่ได้รับข้อมูลทั้งหมดแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นและพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก 


 


 


“ฉันเข้าใจแล้ว งั้นไปก่อนนะ ขอบคุณมาก” 


 


 


“อะ เอ๊ะ” 


 


 


“หือ” 


 


 


“อ้า ไม่มีอะไรค่ะ ไม่เป็นไร การช่วยเหลือผู้เล่นเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยอยู่แล้วค่ะ” 


 


 


‘ทำไมจู่ๆ ก็เป็นแบบนี้ล่ะ’ 


 


 


ท่าทีของเซราฟแปลกไปเล็กน้อย แต่ผมก็ตัดสินใจหันกลับมา 


 


 


“ผู้เล่นคิมซูฮยอน” 


 


 


“…?” 


 


 


และในขณะที่ผมกำลังจะลงไปในพอร์ทัล เสียงสุภาพก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ผมจึงหยุดเดินโดยอัตโนมัติ 


 


 


“คือว่า…คราวหน้าจะมาหาข้าอีกได้ไหมคะ” 


 


 


“…” 


 


 


แล้วผมลงไปในพอร์ทัลทันที 


 


 


 


 


 


เมื่อการพบปะกับเซราฟจบลง ผมก็ออกมาจากแท่นบูชา หลังจากไปที่จัตุรัสเพื่อดูกระดานข่าวสาธารณะ จึงได้กลับไปที่แคลนเฮาส์  


 


 


รุ่งสางผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัวและฟ้าสว่างยามเช้าก็มาเยือน อิมฮันนาทำตามคำสั่งของผมได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเข้าไปในห้องประชุมเล็กชั้นสามของอาคารส่วนกลางก็เห็นสมาชิกเผ่านั่งรออยู่ แน่นอนว่ามีบางคนที่ศีรษะทิ่มลงบนโต๊ะทั้งใบหน้าสะลึมสะลือ 


 


 


“ไปไหนแต่เช้ามืดเลยคะ” 


 


 


“มีธุระที่แท่นบูชากับในจัตุรัสครับ” 


 


 


หลังจากนั่งลงแล้วผมก็มองอันฮยอนเขย่าไหล่เพื่อปลุกอันซลและอียูจองพลางตอบคำถามของโกยอนจู ตอนนั้นเองผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปมองหญิงสาว โกยอนจูกำลังจับจ้องมาที่ผมด้วยท่าทีเหมือนเคย 


 


 


“ผู้เล่นโกยอนจู” 


 


 


“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมคะ” 


 


 


“เรียบร้อยดีครับ” 


 


 


“ฉันเป็นห่วงคุณอยู่ แต่ก็ดีแล้วค่ะ” 


 


 


คำพูดสุดท้ายของโกยอนจูแฝงไปด้วยความหมายซึ่งมีแค่ผมเท่านั้นที่เข้าใจ โกยอนจูยิ้มบางๆ คงอ่านความรู้สึกที่ผมมีต่อหล่อนได้ ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้ผมจะแสดงท่าทีเย็นชาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อหล่อนยิ้มให้ มุมหนึ่งในหัวใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แม้จะไม่พูดอะไร ฉันก็เข้าใจดี ฉันไม่เป็นไร มันเหมือนว่าหล่อนกำลังพูดแบบนั้น 


 


 


เห็นท่าทีแบบนั้นผมก็โล่งใจ แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกันที่เห็นดวงตาของหล่อนบวมช้ำเล็กน้อย 


 


 


‘ต้องขอโทษสินะ แต่เอาไว้มีโอกาสก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ต้องมีสมาธิก่อน’ 


 


 


โกยอนจูเองก็คงต้องการแบบนั้น ผมรู้สึกขอบคุณความเอาใจใส่ของหญิงสาวพลางถอนหายใจสั้นๆ หลังจากมองสมาชิกเผ่าทุกคนแล้วผมก็พูดเสียงดัง 


 


 


“ทุกคนดูยังง่วงอยู่เลยนะครับ ถึงจะบอกไว้ว่าไม่ต้องปลุกขึ้นมา แต่ก็ขอบคุณที่มารวมตัวกันเร็วกว่าปกตินะครับ” 


 


 


ฮี้… 


 


 


“เหตุผลที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ก็เพราะมีเรื่องด่วนจะแจ้งให้ทราบ ผมจะสรุปสั้นๆ วันนี้ผมและสมาชิกเผ่าบางคนจะไม่อยู่แคลนเฮาส์ประมาณสองสามวันนะครับ” 


 


 


“เอ๊ะ! ทำไมล่ะคะ”  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 8

 

อียูจองที่กำลังสะลึมสะลือสะดุ้งตื่นแล้วมองมาทางผม คงตกใจที่ผมพูดว่าจะไม่อยู่แคลนเฮ้าส์ ถึงแม้ว่าหล่อนจะมีท่าทีตอบสนองมากที่สุด แต่ก็ไม่ใช่แค่อียูจองเท่านั้นที่มีท่าทีแบบนั้น ผมจำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดกว่านี้จึงค่อยๆ เริ่มอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ 


 


 


เรื่องที่เผ่าแฮมิลมีผู้เล่นถูกคำสาปของแบนชีและขอความช่วยเหลือจากหลายช่องทาง เรื่องที่ยอมรับคำขอร้องของพวกเขาและมองหาความช่วยเหลือจากอีสตันเทลลอว์ และเรื่องที่สามารถรักษาคำสาปของแบนชีได้ด้วยฮวาจอง รวมถึงเรื่องที่ผมไปตรวจสอบข้อสงสัยผ่านทางทูตสวรรค์เมื่อเช้านี้ 


 


 


แน่นอนว่าไม่ได้อธิบายไปทั้งหมดหรอก 


 


 


‘เอาอีลิกเซอร์ไปเก็บก่อนดีกว่า รอดูสถานการณ์ก่อน ถ้าจำเป็นต้อง…’ 


 


 


เพราะพี่ชายและฮันโซยองไม่ได้เป็นอันตราย ถึงจะดูใจแคบนิดหน่อย แต่หากใช้ฮวาจองแล้วอาการดีขึ้น ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองอีลิกเซอร์ไปเสียเปล่าๆ พอตัดสินใจได้อย่างนั้นก็คิดที่จะนำอีลิกเซอร์ในอกเสื้อไปเก็บที่คลังอุปกรณ์  


 


 


เมื่อผมอธิบายจนจบได้ สมาชิกเผ่าที่ได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดแล้วก็เริ่มถามคำถามทีละคนสองคน คนแรกที่ถามขึ้นมาก็คือ จองฮายอน 


 


 


“แคลนลอร์ด แต่ถ้าใช้พลังนั้น…” 


 


 


“คุณก็รู้นี่ครับว่า ก่อนหน้านี้คะแนนความแข็งแกร่งของผมเพิ่มขึ้นแล้วมันมากพอที่จะใช้ในการรักษา” 


 


 


จองฮายอนพูดด้วยความกังวลทันที แต่ผมก็ทำให้หล่อนเงียบไป โกยอนจูที่ฟังอยู่นิ่งๆ ยกมือขึ้นเงียบๆ เพื่อขออนุญาต ผมพยักหน้าเป็นการอนุญาต 


 


 


 “ฉันพอจะเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะคะ เผ่าแฮมิลกำลังหาวิธีช่วยสมาชิกเผ่าที่ถูกคำสาปของแบนชี ส่วนแคลนลอร์ดก็มีพลังที่สามารถรักษาอาการนั้นได้” 


 


 


“ถูกต้องครับ” 


 


 


“ฉันมีคำถามค่ะ แคลนลอร์ดต้องการอะไรจากการช่วยเหลือเผ่าแฮมิลในครั้งนี้คะ รางวัลหรือว่าพันธมิตร คุณคงรู้ดี แต่ราคาของชีวิตมีค่านะคะ” 


 


 


“แน่นอนว่ามันมีเหตุผลที่ผมทำแบบนั้น อาจจะเป็นเหตุผลที่ดูผิวเผินไปหน่อย แต่ผมมีเหตุผลมากกว่าหนึ่งข้อครับ เรื่องนี้เป็นเหตุผลส่วนตัวจึงยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ แต่ข้อหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือเหตุผลส่วนตัวนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของส่วนรวม” 


 


 


เมื่อผมตอบไปแบบนั้นโกยอนจูก็มีสีหน้าที่ดูพึงพอใจ ผมหยุดพูดและสูดลมหายใจ ความหมายของโกยอนจูก็คืออย่าช่วยเหลือฟรีๆ และกอบโกยมาให้ได้มากที่สุด 


 


 


ในฐานะแคลนลอร์ดของเผ่า ความรับผิดชอบนั้นเป็นงานหนักสำหรับผมเหมือนกัน แม้จะมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ผมก็คิดว่าจะบอกให้สมาชิกเผ่ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหนและใช้งานอย่างไรก่อนที่จะใช้มัน 


 


 


“อย่างไรก็ตามเผ่าแฮมิลมีชื่อเสียงมากทางตะวันออก คุณน่าจะพอจำเรื่องที่ผมพูดถึงเมื่อวันก่อนได้ ผู้เล่นรวมตัวกันเพื่อสร้างเผ่าและเผ่ารวมตัวกันกลายเป็นเมือง นี่เป็นโอกาสที่เผ่าแฮมิลจะติดหนี้บุญคุณเมอร์เซนต์นารี่ ถ้าผมพยายาม ในอนาคตเราอาจจะสร้างรากฐานเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าแฮมิลได้” 


 


 


“ขอแค่มันไม่มากเกินไปสำหรับร่างกายของแคลนลอร์ด ฉันก็จะยอมรับค่ะ” 


 


 


“ตราบใดที่เราจะสร้างเผ่า ความสัมพันธ์กับรอบข้างก็สำคัญเช่นกัน ใช้เวลาไม่นานเพราะเป็นเผ่าในเมืองทางตะวันออก แต่ผมขอความช่วยเหลือจากจากอีสตันเทลลอว์แล้วก็คงไม่มีอะไรติดขัด” 


 


 


“ก็ดีค่ะ” 


 


 


เมื่อคำพูดของผมฟังดูมีเหตุผล โกยอนจูและจองฮายอนก็ยอมรับด้วยสีหน้าสดใส ตอนนี้ทั้งสองซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในเผ่ารองจากผมยอมรับแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครคัดค้าน 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่งสายตาของทุกคน ยกเว้นอันซลซึ่งพยายามอย่างมากที่จะไม่หลับก็จ้องมาทางผมอย่างพร้อมเพรียง ในตอนต้นผมบอกไว้ว่าจะพาบางคนไปด้วยและผมก็เลือกคนที่จะพาไปด้วยเอาไว้แล้ว 


 


 


“ผู้เล่นโกยอนจู” 


 


 


“ค่ะ” 


 


 


“ผู้เล่นคิมฮันบยอล” 


 


 


“เอ๊ะ” 


 


 


โกยอนจูมีทีท่าผ่อนคลาย ส่วนคิมฮันบยอลตอบรับด้วยความตกใจ 


 


 


“ในเมื่อตั้งใจจะทำแล้วก็คงต้องลงมือทำทันที เราจะออกเดินทางทันทีที่พร้อม ทั้งสองคนโปรดเตรียมตัวออกเดินทางหลังจากการประชุมครั้งนี้เสร็จสิ้น น่าจะใช้เวลาไม่เกินสามวัน ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อมก็พอครับ” 


 


 


“ไปกลับที่เผ่าแฮมิลใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็น่าจะพอไม่ใช่เหรอคะ” 


 


 


“เผ่าแฮมิลอยู่ในเมืองพรินซิก้าทางตะวันออก หลังจากเสร็จธุระที่นั่นแล้ว เราจะยังไม่กลับ แต่จะแวะไปที่มิวล์ก่อนครับ” 


 


 


“มิวล์หรอคะ” 


 


 


โกยอนจูถามอย่างแปลกใจผมพยักหน้าช้าๆ และนั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อหันไปมองคิมฮันบยอลเล็กน้อย ก็เห็นว่าหล่อนยังคงมีท่าทีงุนงงและ… 


 


 


 


 


 


‘หืม หนึ่งพันโกลด์เอง เพิ่มอีกหน่อยสิ’ 


 


 


‘ถ้ารับจอมขมังเวทอัญมณีเข้ามาได้แล้วช่วยพามาด้วยสักครั้งได้ไหม’ 


 


 


 


 


 


ผมนึกถึงท่านผู้เฒ่าซึ่งอยู่ในร้านอัญมณีที่มิวล์ขึ้นมาพลางค่อยๆ พูด 


 


 


“มีผู้เล่นในมิวล์คนหนึ่งที่ผมอยากเจอ ผมเคยสัญญากับเขาตอนที่เราอยู่ที่นั่น อ้า น่าจะเรียกว่าเป็นคำขอร้องมากกว่าสัญญา…แต่อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่ดีกับผมไม่น้อยเลย” 


 


 


แน่นอนว่าผมคิดเรื่องการยื่นข้อเสนอเอาไว้ด้วย ผมยิ้มเล็กน้อยพลางมองโกยอนจูซึ่งเอียงคอไปมาราวกับไม่เข้าใจนัก ท่านผู้เฒ่าหรือผู้เล่นที่มีคลาสหายาก ‘ผู้ประเมินราคาอัญมณี’ ถ้าหากท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมกับเราคงจะเป็นประโยชน์ต่อคิมฮันบยอลมากทีเดียว 


 


 


ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะไม่สำเร็จ แต่คราวนี้อาจจะแตกต่างไปจากเดิมก็ได้ ถ้าลองเทียบฐานในตอนนั้นกับฐานในตอนนี้แล้วจะเห็นข้อแตกต่างมากมาย 


 


 


“เอาล่ะ…” 


 


 


“เอ๊ะ มิวล์เหรอคะ” 


 


 


ตอนนั้นเอง อันซลที่สัปหงกอยู่ก็เงยหน้าขึ้นทันทีราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น 


 


 


แววตาของอันซลแจ่มชัด เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตื่นเต็มตาแล้ว เมื่อมองเด็กสาวก็รู้สึกแปลกๆ สีหน้าว่างเปล่าและดวงตานิ่งสงบ แม้จะเพ่งดูการแสดงออกที่แปลกไปจากปกติแต่ก็ไม่พบอะไร เธอเพียงแค่มองและจับจ้องมาที่ผม 


 


 


ริมฝีปากของอันซลขยับช้าๆ 


 


 


“ท่านพี่ เมื่อกี้นี้ฉันเผลอหลับไปก็เลยไม่ได้ฟังที่ท่านพี่พูดค่ะ ขอโทษนะคะ” 


 


 


“หือ อืม” 


 


 


“แต่ช่วยบอกอีกทีได้ไหมคะว่าจะไปที่ไหน” 


 


 


“…จุดหมายแรกคือเมืองทั่วไปพรินซิก้าทางตะวันออก จุดหมายที่สองคือทางเหนือ แน่นอนว่าเป็นเมืองเล็กมิวล์ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเสร็จธุระที่มิวล์แล้วก็จะกลับมาที่โมนิก้า” 


 


 


อันซลรู้ตำแหน่งของเมืองอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่ผมบอกตำแหน่งไปอย่างละเอียดก็เพราะน้ำเสียงและท่าทางที่ไม่ปกติของเด็กสาว เมื่อได้ยินอันซลพูด ทำให้ผมก็นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่วาร์ปเกตของบาร์บาร่าและสถาบันผู้เล่นขึ้นมา 


 


 


‘หรือว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง’ 


 


 


โกยอนจูที่เข้าใจสถานการณ์มีสีหน้าสนอกสนใจ แต่สมาชิกเผ่าส่วนใหญ่ต่างจับจ้องอันซลด้วยใบหน้างุนงง เทียบกับสิ่งที่เธอแสดงให้เห็นตอนนี้กับท่าทีเมื่อก่อนนั้นแล้ว มันแตกต่างกันมาก เห็นอันซลขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมจึงใช้งานดวงตาที่สาม 


 


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status) 


 


 


1.     ชื่อ (Name) : อันซล (ปีที่ 0) 


 


 


2.     คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal, Priest, Runner) 


 


 


3.     ถิ่นกำเนิด(Nation) : ทหารรับจ้าง (Free) 


 


 


4.     ชนเผ่า(Clan) : เมอร์เซนต์นารี่ (Mercenary) (ระดับเผ่า: D Plus) 


 


 


5.     นามแท้ · สัญชาติ : ผู้น้อมนำแสงสว่าง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้ 


 


 


6.     เพศ (Sex) : หญิง (20) 


 


 


7.     ส่วนสูง · น้ำหนัก : 160.1 ซม. · 46.7 กก. 


 


 


8.     อุปนิสัย: เคารพกฎหมาย · ดี (Lawful · Good) 


 


 


[พละกำลัง 25] [ความทนทาน 28] [ความคล่องแคล่ว 35] [พลังเวท 88(+1)] [โชค 101] 


 


 


คะแนนความสามารถเหลืออยู่ 3 พอยต์, คะแนนพลังเวทเฉพาะตัว 2 พอยต์ รวมทั้งหมด 5 พอยต์ 


 


 


 


 


 


‘ผู้น้อมนำแสงสว่าง…’ 


 


 


ถึงเรื่องอื่นๆ จะเป็นแบบนั้น แต่นามแท้ของอันซลมีความหมายบางอย่างที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ ผมส่ายหน้าไปมา ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่คาดเดาไว้คร่าวๆ ว่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคลาสลับ ‘นักบวชแห่งความรุ่งโรจน์’ ในภายหลัง 


 


 


“ท่านพี่ การเดินทางคราวนี้พาฉันไปด้วยเถอะค่ะ” 


 


 


“อืม เข้าใจแล้ว” 


 


 


“ฉันเองก็อยากจะตามท่านพี่…เอ๊ะ” 


 


 


“ฉันจะพาเธอไปด้วย ไปด้วยกันนะ” 


 


 


ผมเน้นย้ำ อันซลเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าผมจะอนุญาต 


 


 


ถึงแม้ว่าโชคจะเป็นความสามารถที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่คะแนนหนึ่งร้อยเอ็ดถูกบันทึกไว้ว่าให้ผลลัพธ์มากมาย ผมเคยสัมผัสด้วยตัวเองมาแล้วว่าคะแนนหนึ่งร้อยเอ็ดนั้นมีพลังยิ่งใหญ่แค่ไหน ทั้งที่รู้แบบนั้นและทำให้โชคของอันซลกลายเป็นคะแนนหนึ่งร้อยเอ็ดแล้ว แต่การเพิกเฉยต่อคำพูดของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธตัวเอง 


 


 


ผมเมินเฉยต่อสายตาของพวกเด็กๆ ที่ขอให้ผมพาตนไปด้วยและพูดเสียงดังกว่าเดิมเพื่อบอกว่าไม่มีสมาชิกคนไหนเพิ่มอีกแล้ว 


 


 


“ถ้างั้นนอกจากโกยอนจูกับคิมฮันบยอลแล้ว ผมจะพาอันซลไปด้วยอีกคน เท่านี้ครับ” 


 


 


“แคลนลอร์ด ฉันต้องเตรียมตัวทันทีเลยไหมคะ” 


 


 


“ก็ควรจะเป็นแบบนั้นครับ จบการประชุมเท่านี้ ทุกคนคงลำบากกันแต่เช้าเลย โกยอนจู คิมฮันบยอล อันซล ทั้งสามคนเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้วครับ” 


 


 


“ค่ะ ฉันจะจัดการเดี๋ยวนี้ เธอ แล้วก็ซล พวกเธอสองคนตามฉันมา” 


 


 


โกยอนจูชี้นิ้วไปที่ทั้งคู่พลางลุกขึ้น คิมฮันบยอลลุกขึ้นเงียบๆ ส่วนอันซลยิ้มร่าพลางลุกจากที่นั่ง จู่ๆ สีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม 


 


 


เป็นสีหน้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมหันไปพูดกับจองฮายอน 


 


 


“ผู้เล่นจองฮายอน ผมจะกลับมาภายในสามวัน จนกว่าจะถึงตอนนั้นฝากดูแลเผ่าด้วยนะครับ” 


 


 


“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะแคลนลอร์ด” 


 


 


จองฮายอนตอบด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อได้ยินคำตอบนั้นผมก็รู้สึกวางใจ 


 


 


หลังจบการประชุม เหล่าสมาชิกเผ่าก็เตรียมตัว เพราะเป็นการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ ไม่ใช่การออกสำรวจจึงไม่ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวมากนัก ถึงแม้จะเริ่มต้นอย่างกะทันหัน แต่ก็สามารถเตรียมการทั้งหมดได้เสร็จสิ้นก่อนเที่ยง 


 


 


ผมคิดไว้ว่าจะออกเดินทางทันที แต่เพราะเสียงท้องร้องโครกครากของอันซลทำให้ตัดสินใจทานมื้อเช้าควบมื้อกลางวันแบบง่ายๆ ก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง 


 


 


และผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำใจให้สงบในระหว่างทานอาหารรสชาติแย่ที่พวกพนักงานจัดเตรียมให้ 


 


 


ในที่สุดผมก็จะได้ไปพบพี่ชายและพรรคพวกของพี่ชาย ผมคือคนบาปสำหรับพวกเขา การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวพรากลมหายใจของทุกคนไป ช่างน่าขันเมื่อผมเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต 


 


 


จนถึงตอนนี้ การที่ผมไม่ไปพบพี่ชายก็เพราะไม่อยากบิดเบือนเหตุการณ์ในอนาคต แต่ลองคิดดูดีๆ แล้ว เรื่องนั้นก็แค่ข้อแก้ตัวง่ายๆ ที่ผมใช้หลีกเลี่ยงไม่ไปพบพวกเขา คงเป็นความรู้สึกผิดในใจเสียมากกว่า 


 


 


พวกเขาต้องตายเพราะผม ผมคือตัวปัญหา 


 


 


ถ้าไม่มีผม ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น 


 


 


ผมค่อยๆ หลับตาลงและนึกถึง ‘ตอนนั้น’ ขึ้นมา 


 


 


 


 


 


“โอ้~ ซูฮยอนของเรา~ รอพี่สาวอยู่เหรอจ๊ะ โอ๋ๆ รออีกนิดนึงนะ จะช่วยออกมาเดี๋ยวนี้แหละ~” 


 


 


“ทำอะไรเนี่ย! เจ้าบ้า! ทำไมถึงเป็นแบบนี้เนี่ย… รักตัวเองยังดีกว่า” 


 


 


“ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วง รออีกนิด ฉันจะจัดการไอ้หมอนั่นก่อน รีบหนีไปเร็วๆ หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้” 


 


 


 


 


 


ในรอบแรกผมรู้สึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนและรู้สึกผิดอยู่ตลอด แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้สึกผิดที่กัดกินใจก็ไม่เคยจางหายไป ต่อให้พยายามจะลืมมัน ผมก็ยังจดจำคำพูดสุดท้ายของสมาชิกเผ่าแฮมิลที่มาช่วยผมไว้ได้ 


 


 


อันที่จริงผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ถึงพวกเขาจะมาตามคำสั่งของพี่ชาย แต่เมื่อถึงคราวต้องตาย พวกเขากลับไม่กล่าวโทษผมแม้แต่น้อย มนุษย์หรือผู้เล่นมักจะเป็นแบบนั้นกันเหรอ 


 


 


ผมวางช้อนลงเมื่อนึกไปถึงจุดจบ ผมกลืนอะไรไม่ลงแล้วเมื่อคิดว่ากำลังจะได้พบกับพรรคพวกในรอบแรกอีกครั้ง  

 

 


เล่มที่ 15 ตอนที่ 9

 

ซ่า! ซ่า! 


 


 


ในตอนเช้าท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆครึ้ม แต่เมื่อเราออกเดินทาง ฝนกลับเริ่มกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จู่ๆ ฝนก็ตกหนักโดยไม่มีวี่แววมาก่อนแม้แต่น้อย 


 


 


แต่ผมก็ไม่ได้เลื่อนเวลาเดินทาง เราไม่ได้เตรียมเสื้อคลุมกันฝนไว้เพราะท้องฟ้าที่แจ่มใส แต่ก็สามารถหาซื้อได้จากร้านค้า และร้านค้าก็อยู่ในระหว่างทางไปวาร์ปเกต ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเลื่อนเวลาออกไป 


 


 


“อุ๊ย ท่านพี่ ทำไมคนพวกนั้นถึงทำแบบนั้นล่ะคะ” 


 


 


อันซลไม่สวมผ้าคลุมลงมาทั้งหมด การดึงเสื้อคลุมลงมาปิดบังใบหน้าคงจะทำให้อึดอัด เธอดึงเสื้อคลุมขึ้นเล็กน้อย 


 


 


ผมและทั้งสามคนมาถึงวาร์ปเกตของโมนิก้าแล้ว ผู้เล่นมารวมตัวกันบริเวณวาร์ปเกตอย่างที่อันซลพูดและพวกเขากำลังตะโกนเป็นเสียงเดียวกันด้วยความไม่พอใจเกี่ยวกับการใช้วาร์ปเกต 


 


 


“ทำไมถึงไปที่พาเมล่าไม่ได้! ฉันต้องรีบไปนะ!” 


 


 


“พูดอะไรน่ะ เงียบไปเลยนะ ทางนั้นมัดมือชกตัดเส้นทางการสัญจรไปแล้ว พวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ!” 


 


 


“โอ๊ย! อากาศก็บ้าบอ ทำไมจู่ๆ ไอ้พวกตะวันตกก็พลอยเป็นบ้าไปด้วยเนี่ย! ฝนก็ตก จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่!” 


 


 


 


 


 


‘ตะวันตกกับทางเหนือถูกปิดเส้นทางงั้นเหรอ เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่’ 


 


 


ผมสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการเดินทางไปเมืองทางตะวันออกอยู่แล้ว ผมจับมืออันซลและเริ่มเดินแหวกพวกผู้เล่นเข้าไป 


 


 


เมื่อไปถึงหน้าวาร์ปเกตก็เห็นผู้เล่นหญิงที่เหงื่อไหลโทรมกายคนหนึ่งกำลังอธิบายสถานการณ์อยู่ มีสัญลักษณ์ของเผ่าอีสตันเทลลอว์อยู่บนหน้าอกที่โค้งนูนของหล่อน 


 


 


หญิงสาวสูดลมหายใจและหันมาหาพวกเรา 


 


 


“ไม่ทราบว่าตอนนี้เดินทางไปที่มิวล์ได้ไหมครับ” 


 


 


“ตอนนี้เส้นทางไปภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคเหนือถูกจำกัดหมดแล้วค่ะ ทางเราจะเปิดฝั่งนี้เอาไว้ก่อน ถ้าหลังจากนี้มิวล์เปิดเส้นทางจึงจะสามารถใช้ได้อีกครั้งค่ะ กรุณารอจนกว่าจะถึงตอนนั้นนะคะ” 


 


 


“พรินซิก้าล่ะครับ” 


 


 


“เดินทางได้ค่ะ ชำระค่าผ่านทางที่นี่และรอสักครู่นะคะ ฉันจะเปลี่ยนเส้นทางให้ค่ะ” 


 


 


ผู้เล่นหญิงชี้ไปยังช่องสำหรับใส่เหรียญทองและวิ่งตึงตังไปทางวงแหวนวาร์ป ดูท่าทางยุ่งมากเพราะวิ่งไปวิ่งมาอยู่คนเดียว 


 


 


หลังจากจ่ายเงินสำหรับสี่คนแล้ว ผมก็เหลือบมองใบหน้าของอันซล เดิมทีผมพาเธอมาด้วยเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ แต่เพราะเราไม่สามารถเดินทางไปที่มิวล์ได้จึงเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้น 


 


 


ใบหน้าของอันซลสงบนิ่ง ไม่สิ บางทีก็หัวเราะเรื่อยเปื่อยเพราะผมจับมือของเธอเอาไว้ ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าเธอคงแค่อยากไปกับผมเฉยๆ เสียงของหญิงสาวที่วิ่งไปทางวงแหวนเวทก็ดังขึ้น 


 


 


“พรินซิก้าใช่ไหมคะ เชิญค่ะ!” 


 


 


บางอย่างถูกอำพรางด้วยเสียงฝนตก แต่เสียงนั้นดังมากจนได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อหันไปมองด้านหน้าก็เห็นวาร์ปเกตถูกย้อมด้วยแสงสีน้ำเงิน 


 


 


“ซูฮยอน ไม่เข้าไปเหรอคะ” 


 


 


“ไปสิครับ” 


 


 


เมื่อเห็นผมไม่เข้าไปและยืนมองนิ่งๆ โกยอนจูที่ก้าวขาไปแล้วก็หันมามองผม ผมเริ่มนับตัวเลขอย่างใจเย็น 


 


 


“หนึ่ง สอง…” 


 


 


และเมื่อถึงสาม ร่างของผมก็หายไปในวาร์ปเกต 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ผู้เล่นคนหนึ่งกำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว ดูท่าจะเชี่ยวชาญด้านความคล่องแคล่วเพราะความเร็วในการวิ่งของเขาสูงมากทีเดียว ชายคนนั้นซึ่งมาถึงหน้าอาคารสูงตระหง่านผลักบานประตูและวิ่งขึ้นบันไดไปทันที 


 


 


หลังจากผ่านชั้นหนึ่ง ชั้นสองและชั้นสามมาจนถึงชั้นสี่ ไอเย็นจัดกระจายทั่วทางเดินกว้าง ชายผู้นั้นมองรอบๆ ด้วยสีหน้าร้อนใจ จากนั้นก็เริ่มวิ่งไปทางขวาของทางเดิน 


 


 


“แฮ่กๆ!” 


 


 


ชายที่วิ่งไปตามทางเดินมาหยุดหน้าประตูบานหนึ่งซึ่งมีรอยแตกเล็กน้อย เขาหอบหนักและสูดหายใจเข้า จากนั้นก็เปิดประตูพลางตะโกนเสียงดัง 


 


 


“คิมยูฮยอน! คิมยูฮยอน!” 


 


 


ปัง! 


 


 


ประตูเปิดผ่างเต็มแรง ทันทีที่ชายคนนั้นเข้ามา เขาก็ส่งเสียงดังและปิดประตู 


 


 


มีผู้เล่นหลายคนในห้อง พวกเขายืนล้อมรอบเตียงด้วยสีหน้าหวั่นวิตกและค่อยๆ หันมามองทางประตู พวกเขาขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจนักกับเสียงโหวกเหวกโวยวายของชายคนนั้น 


 


 


แต่แล้วสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาจากชายหนุ่ม 


 


 


“มาแล้ว! เขามาแล้ว! คนที่สามารถรักษาคำสาปของแบนชีได้มาถึงแล้ว” 


 


 


“ว่าไงนะ” 


 


 


คิมยูฮยอนที่มักจะมีสีหน้าเย็นชาเบิกตากว้างและตะโกน ชายคนนั้นเดินไปที่เตียงและก้มมองหญิงสาวที่นอนอยู่ หล่อนดูอาการร่อแร่เสียจนไม่น่าแปลกใจนักถ้าจะไม่มีทางรอด จนถึงตอนนี้หล่อนเหลือเพียงลมหายใจแผ่วเบา 


 


 


หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาก็วางมือบนไหล่ของคิมยูฮยอนที่ถลึงตาเร่งเอาคำตอบ 


 


 


“เขามาจากทางใต้ ถึงจะไม่มีอีลิกเซอร์แต่เขาสามารถรักษาคำสาปแบนชีได้” 


 


 


“ไม่มีอีลิกเซอร์ แต่รักษาได้งั้นเหรอ ผู้เล่นคนนั้นชื่ออะไร” 


 


 


“ฉันไม่รู้ชื่อเขา อ๊ะ! เขาบอกว่ามาจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ เป็นเผ่าที่โด่งดังมากในโมนิก้าในช่วงนี้” 


 


 


“ถ้าเป็นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่…ฉันเคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง ว่าแต่เผ่าอีสตันเทลลอว์ติดต่อมาบ้างไหม” 


 


 


ผู้เล่นทุกคนในห้องส่ายหน้ากับคำถามของคิมยูฮยอน ชายคนนั้นพูดด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขารู้สึกอึดอัดใจกับสถานการณ์นี้มาก 


 


 


“เรื่องนั้นมันสำคัญอะไรเล่า! ในเมื่อสามารถรักษาได้น่ะ!” 


 


 


“นายพูดถูก ตอนนี้ผู้เล่นคนนั้นอยู่ที่ไหน เราไป…” 


 


 


“เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับสมาชิกเผ่าสองสามคน ฉันรีบมาที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้ ฮเยรินกำลังนำทาง…” 


 


 


“ขอโทษนะคะ” 


 


 


ตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นและประตูก็ถูกเปิดออก 


 


 


ผู้เล่นที่สวมเสื้อคลุมซึ่งมีหยดน้ำฝนเกาะพราวปรากฏตัวหน้าประตู พวกเขายังคงสวมเสื้อคลุมบดบังใบหน้าแม้ว่าจะอยู่ในที่ร่มแล้วก็ตาม 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ลมแรงพัดผ่าน เมื่อฝุ่นดินบนพื้นกระทบใบหน้า ผมก็หลับตาลงโดยอัตโนมัติ 


 


 


ถึงแม้ลมจะพัดผ่านไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น ผมมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดนอกจากการมองเห็นก็ตื่นตัวขึ้น หัวใจที่หวาดหวั่นจากอาการกลัวความตาย ริมฝีปากสั่นระริก เงื้อมมือของปีศาจที่กำลังคว้าศีรษะของผมและพลังความมืดนับไม่ถ้วนที่กำลังเยื้องย่างบนพื้นโลก 


 


 


ตึง ตึง ตึง  


 


 


ในตอนนั้นสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินที่นั่งคุกเข่าอยู่ ย่างก้าวที่ผ่านไปนั้นรุนแรงจนเหมือนแผ่นดินจะแยกออกจากกัน แรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันเข้ามาใกล้ เสียงแหลมราวกับเสียงขูดแท่งเหล็กก็ดังบาดหู 


 


 


“ท่านเบลเฟกอร์ มีบางอย่างจะให้ท่านดูครับ หน่วยลาดตระเวนติดต่อเข้ามา ยืนยันการปรากฏตัวของราชาแห่งสายฟ้าครับ” 


 


 


“อึก!” 


 


 


ความเจ็บแปลบแล่นริ้วบริเวณศีรษะ แต่แล้วความเจ็บปวดนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความตกใจมากกว่าความเจ็บปวดเมื่อได้ยินข่าวที่ไม่น่าเชื่อเมื่อครู่ 


 


 


“งั้นเหรอ ถึงจะคาดไว้แล้ว แต่ก็มาจริงๆ ด้วยสินะ ฮึ! ว่าแต่ว่าราชาแห่งสายฟ้าไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม” 


 


 


“เราถูกตัดการติดต่อไปหลังจากยืนยันการปรากฏตัวครับ แต่ครั้งสุดท้ายที่เห็นมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคน…” 


 


 


“หนึ่งพันคนเหรอ ถ้างั้นพวกแฮมิลก็คงจะมากันหมด เข้าใจแล้ว ถึงเราจะมีจำนวนมากกว่าก็อย่าได้ประมาทเชียว พวกมันทุกคนไม่อาจดูแคลนได้” 


 


 


“ครับ ผมจะจำไว้” 


 


 


ตึง ตึง ตึง 


 


 


เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปอีกครั้ง ผมถอนหายใจสั้นๆ พยายามควบคุมความตกใจ 


 


 


พี่ชายกำลังจะมา พี่และพรรคพวกกำลังจะมาช่วยผมแล้ว ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกซึ่งไม่อาจอธิบายได้ก็เริ่มเกิดขึ้นในจิตใจที่กำลังหวาดกลัว 


 


 


แต่ก็แค่ชั่วขณะเท่านั้น เสียงหัวเราะของเบลเฟกอร์ที่วางมือไว้บนศีรษะของผมก็ดังขึ้น 


 


 


“เฮ้ คิมซูฮยอน ลืมตาขึ้นสิ พี่ชายของนายกับพรรคพวกกำลังจะมาช่วยนายไงละ” 


 


 


“…” 


 


 


“น่าทึ่งจริงๆ คนตั้งมากมายกำลังจะมาช่วยเจ้าทึ่มอย่างนายแค่คนเดียว ถ้าเป็นราชาแห่งสายฟ้าก็น่าจะรู้นี่ว่ามันเป็นกับดัก นายไม่คิดอย่างนั้นเหรอ” 


 


 


“…” 


 


 


ผมไม่ตอบเบลเฟกอร์ เพราะในใจกำลังสับสนวุ่นวายมาก ความรู้สึกมากมายทั้งความโกรธ ความอับอาย ความโล่งอก ความกังวลต่างก็กำลังรบกวนความรู้สึกข้างในของผม 


 


 


นอกจากนี้ผมไม่มีอะไรจะพูด ทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องกันและเป็นสิ่งที่เลือกด้วยตนเอง การตกลงไปในหลุมพรางนั้นเป็นความผิดที่ไม่สามารถโทษใครได้ของผม เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรง 


 


 


ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมหลับตาแน่นและกัดริมฝีปากล่างจนเลือดซิบ ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา ผมไม่อยากดูอ่อนแอต่อหน้าไอ้หมอนี่ ถึงแม้จะพยายามอดทน แต่ในที่สุดความรู้สึกอยากร้องไห้ก็ตีขึ้นมาถึงลำคอ 


 


 


ครืน! ครืน! 


 


 


“หือ” 


 


 


เสียงฟ้าร้องดังสนั่นมาจากด้านหน้า ผมนึกว่าหูฝาดไป แต่ดูจากการที่เบลเฟกอร์เองก็ได้ยินเช่นกันจึงดูท่าว่าจะฟังไม่ผิด 


 


 


“อะไรกัน มาแล้วเหรอ ไม่น่านะ เป็นไปไม่ได้ พวกทหารกองหน้า…” 


 


 


รอบด้านเริ่มวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการปรากฏตัวของราชาแห่งสายฟ้า พวกปีศาจที่นิ่งเงียบมาตลอดจนถึงเมื่อครู่นี้กำลังกระสับกระส่ายอย่างหนักจนสามารถรับรู้ได้ ในตอนนั้นเอง 


 


 


หวืด! 


 


 


ผมรู้สึกถึงกระแสพลังเวทแปลบปลาบที่คุ้นเคย มันเป็นคลื่นพลังเวททรงพลังที่สั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่ เมื่อคลื่นที่โถมซัดจางหายไป เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นทำให้ผมต้องลืมตา 


 


 


[เบลเฟกอร์] 


 


 


“โอ้! เสียงนี้มัน…ราชาแห่งสายฟ้าสินะ! ดูเหมือนจะอยู่ไกลพอควรเลยนี่ ถึงได้ใช้วิธีส่งสาร เยี่ยมจริงๆ ฮึ!” 


 


 


[นี่คือคำเตือน เอามือของแกออกไปจากซูฮยอนเดี๋ยวนี้] 


 


 


“ว่าไงนะ ฉันเตรียมการไปตั้งเท่าไหร่เพื่อวันนี้ จะให้ปล่อยไปงั้นเหรอ ฮ่าๆ! ล้อกันเล่นหรือเปล่าราชาแห่งสายฟ้า” 


 


 


[ฉันไม่ได้หมายความว่า…] 


 


 


หวืด! หวืด! 


 


 


กระแสพลังเวทยังคงดำเนินต่อไป ผมมองไปรอบๆ ตัวแต่ก็ไม่พบวี่แววใดๆ แต่เมื่อสังเกตเห็นความมืดครึ้มปกคลุมพื้นโลก ผมก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแม้ว่าเส้นผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจะบดบัง แต่เมื่อสะบัดศีรษะเล็กน้อย ผมก็มองเห็นได้ชัดเจน 


 


 


ก้อนเมฆดำทะมึนกระจายไปทั่วท้องฟ้า 


 


 


เบลเฟกอร์ที่รู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ก็เงยหน้าขึ้นเช่นเดียวกับผม และผมรู้สึกได้ถึงมือแข็งแกร่งที่ขยับอยู่บนศีรษะของผมพร้อมกับแสงสีทองท่ามกลางหมู่เมฆครึ้ม 


 


 


ครืน! ครืน! 


 


 


ตอนนั้นเองเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นอีกครั้งและได้ยินเสียงของพี่ที่ดังอย่างต่อเนื่องว่า ‘เอามือสกปรกออกไปจากหัวของซูฮยอนซะ’ 


 


 


ในขณะเดียวกันแสงสีเหลืองมากมายก็กระจายไปทั่วท้องฟ้าและฟาดลงมาบนพื้นดิน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม