Memorize เล่ม 14 ตอน 17-25

เล่ม 14 ตอนที่ 17

 

พัคดายอนพูดรัวออกมาไม่หยุดราวกับปืนกล แล้วจึงส่งบันทึกไม่กี่หน้าให้ผมด้วยการเคลื่อนไหวมืออันสง่างาม ผมลองอ่านมันช้าๆ แล้วเริ่มคำนวณเรื่องนู้นเรื่องนี้ในใจ 


 


 


พูดตามตรงว่ามันก็ไม่ใช่ข้อเสนอที่เลวร้าย ไม่สิ พอมองดูบรรทัดแรก กลับรู้สึกว่ามันเกินไปอยู่นิดหน่อย เห็นได้ว่าเพียงแค่ร่ายเวทอลาร์มไว้ตรงรั้วกำแพงรอบแคลนเฮาส์ และประทับวงแหวนเวทที่คอยควบคุมการแทรกแซงทางพลังเวทจากภายนอกทั่วทั้งแคลนเฮาส์ ก็พอที่จะได้ราคาสามพันโกลด์ 


 


 


นอกจากนั้น ถ้าคำนึงถึงเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงที่สุดหรือไม่ก็เวทมนตร์ที่เป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตจริงหลากหลายอย่างที่ถูกจดไว้จนยาวเป็นหางว่าวนั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดสี่พันโกลด์แล้ว 


 


 


‘อืม…’ 


 


 


เหมือนจะรู้คร่าวๆ แล้วว่ามีแผนการอะไรในใจ พูดง่ายๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องพูดเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้วุ่นวายก็คือ อีสตันเทลลอว์กำลังแสดงให้เห็นว่ามีความสนใจในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ บางทีถ้าเผ่าตัวแทนของเมืองอื่นๆ เป็นแบบนี้ก็อาจจะต้องลองคิดดูสักครั้ง แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นอีสตันเทลหรือเป็นเผ่าฟ้าหลังฝนที่มีพี่เป็นแคลนลอร์ดหลังจากนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเลย 


 


 


ยิ่งกว่านั้น เพราะว่าตั้งถิ่นฐานในโมนิก้า ถ้าโอ้อวดความสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อกับอีสตันเทลลอว์ พวกที่ทำตัวไร้สาระก็น่าจะลดน้อยลงพอสมควรเหมือนกัน 


 


 


“หรือว่า…จะให้เป็นโกลด์ดีไหมคะ” 


 


 


น้ำเสียงระมัดระวังมากกว่าเมื่อครู่นี้เล็กน้อย ผมอ่านบันทึกมากขึ้นอีกหน่อยแล้วจึงตอบพร้อมกับยกยิ้มบางๆ 


 


 


“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ คุณบอกว่าจะดูแลส่วนที่น่าเบื่อหน่ายทั้งหมดเลย แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะครับ” 


 


 


“โฮะๆ ไม่หรอกค่ะ ถ้างั้นก็ดีลไหม อ๊ะ ขอโทษค่ะ คุณจะยอมรับข้อเสนอไหมคะ” 


 


 


“แน่นอนครับ ผมจะรับความมีน้ำใจของคุณด้วยความซาบซึ้งเลยครับ” 


 


 


พอส่งบันทึกคืนให้อีกครั้ง พัคดายอนจึงยิ้มอย่างทะเล้นพลางทำสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจราวกับบอกว่าเห็นไหมล่ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงเหมือนกับว่าเรื่องเกี่ยวกับการออกเดินทางสำรวจก็ได้จบไปอย่างคร่าวๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลสำเร็จที่ได้มาจากที่นั่นก็มากมายมหาศาล ส่วนค่าตอบแทนที่ติดมาเพราะการเรียกร้องก็อยู่ในระดับที่ไม่อาจดูแคลนได้เช่นกัน 


 


 


ฮันโซยองฟังบทสนทนาเงียบๆ แล้วคงรับรู้ว่าการพูดคุยผ่อนคลายลงแล้ว เธอจึงพูดพรวดขึ้นมา 


 


 


“เป็นการเลือกที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ ฉันจะดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กับสมาชิกเผ่าถูกใจที่สุดค่ะ” 


 


 


“ถ้ามีอะไรไม่ชอบใจก็บอกฉันได้เลยนะ ลุงคนนั้นกับฉันรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นถ้าฉันบอกอะไรก็จะไม่บ่นแล้วเปลี่ยนให้ทันทีเลยละ…ค่ะ” 


 


 


ยอนฮเยริมพูดอย่างถือตัวในท่านั่งไขว่ห้าง แต่แล้วพอฮันโซยองจ้องมองไป เธอจึงรีบเปลี่ยนท่าทางทันที 


 


 


อยู่ที่นี่ต่อแล้วพูดคุยเรื่องสนุกๆ กันอีกสักหน่อยก็น่าจะดี แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะลุกออกจากที่ไปตอนนี้ เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะจัดส่งองค์กรตรวจสอบไป เพราะฉะนั้นอีสตันเทลลอว์เองก็น่าจะยุ่ง ส่วนผมเองก็ยังเหลือธุระอยู่อีกสองสามอย่างด้วย ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะดันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ 


 


 


“ทราบแล้วครับ ถ้างั้นผมจะกลับไปตอนนี้แล้วจะส่งพวกอุปกรณ์ทันทีครับ” 


 


 


“ถ้าทำแบบนั้นก็จะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” 


 


 


ฮันโซยองก็ลุกขึ้นตามผมแล้วเริ่มเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ จากนั้นเธอก็หยุดลงตรงหน้าผมพลางค่อยๆ ยื่นมือออกมา ผมมองมือของเธอครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปจับมือกับเธออย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น ผมจึงรับรู้ได้ถึงมือของเธอที่ถึงแม้จะเย็นแต่ก็อบอุ่นโดยไม่รู้สาเหตุ 


 


 


“จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะคะ ฉันคาดหวังอะไรหลายๆ อย่างกับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่อยู่ค่ะ” 


 


 


พูดออกมาอย่างชัดเจนทีละคำ แต่เพียงคำพูดแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเข้าใจความตั้งใจของฮันโซยองอย่างถ่องแท้แล้ว หลังจากที่ผละมือออกจากกันช้าๆ ผมก็เพ่งดูดวงตาของเธอ ดวงตาสีเขม่าควันของฮันโซยองที่จ้องมองผมสงบนิ่งอย่างล้ำลึก  


 


 


 


 


 


เวลาหมุนเวียนผ่านไป วันต่อไปก็จะเป็นวันที่การก่อสร้างแคลนเฮาส์เสร็จสิ้นสมบูรณ์โดยที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว ผมจัดเตรียมสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ใช้เวลาอยู่ในเลิฟเฮาส์ เพราะฉะนั้นผมกับสมาชิกเผ่าจึงรวมตัวกันกินอาหารว่างที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าพวกดอกไม้กลางคืนออกไปทำงานกันหมด เพราะอย่างนั้นมาดามอิมจึงแอบมาร่วมวงด้วยเช่นกัน 


 


 


“หึๆ ถ้าพรุ่งนี้มาถึง ในที่สุดก็จะเสร็จสมบูรณ์สินะ รออย่างใจจดใจจ่อแล้วนะ ใจจดใจจ่อแล้ว” 


 


 


“ฮึก เอาจริงๆ ก็อยากจะชอปปิ้งในเมืองดูสักหน่อยนะ” 


 


 


“ไม่ต้องเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าน่า แล้วเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นแบบคุณภาพดีที่สุด ส่วนราคาก็ถูกแสนถูกเลยนะ ทำมาเป็นพูดว่าชอปปิ้ง ที่ไหนได้ก็คือใช้เงินอย่างเปล่าประโยชน์ไปทั่วไม่ใช่เหรอ จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรือไง เราต้องประหยัดเงินให้มากนะ” 


 


 


“โอ๊ย น่าหงุดหงิดจริงๆ หยุดเทศนาสักที! ใครว่าอะไรหรือยัง ยังไงก็เถอะ ลองดูพรุ่งนี้ ถ้าไม่ถูกใจ ฉันจะขอให้เปลี่ยนทันทีเลย” 


 


 


สมาชิกเผ่าส่วนหนึ่งกำลังพูดคุยเสียงดังโหวกเหวกโวยวายเกี่ยวกับเรื่องแคลนเอาส์ที่จะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในวันพรุ่งนี้ 


 


 


ฮี้ๆๆ! 


 


 


“อ๊าย~ น่ารักจังเลย~” 


 


 


“ว้าว! ว้าว! เจ้ายูนิของพวกเราเนี่ยเก่งจริงๆ~” 


 


 


“ฮ่าๆ” 


 


 


ส่วนสมาชิกเผ่าที่เหลือก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มและกำลังดูลูกยูนิคอร์นเต้นรำ 


 


 


ส่วนผมก็นั่งอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งและกำลังตั้งอกตั้งใจรับฟังรายงานจากโกยอนจู โกยอนจูขอรายงานเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมวาร์ปเกตที่ผมฝากให้เธอไปสืบมาเมื่อวันก่อน 


 


 


“ถ้างั้นคนของเผ่าสิงโตทองก็จ้องจับผิดอยู่ฝ่ายเดียวสินะครับ” 


 


 


“ค่ะ เป็นการจับผิดแต่ฝ่ายเดียวตามที่พูดนั่นแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโมนิก้าหรือโครันต่างก็มีสภาพแวดล้อมที่ดีค่ะ ว่ากันว่าเมืองคานหรือเมืองทางตะวันออกอยู่ในระดับที่ตึงเครียดกันจริงๆ ค่ะ เผ่าโครยอประท้วงอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ทำผิดออกมาต่อว่าคนที่ไม่ได้ทำผิดเสียอย่างนั้นค่ะ” 


 


 


“ปฏิกิริยาของพวกผู้เล่นเป็นยังไงบ้างครับ” 


 


 


“ยังไม่ชัดเจนว่าหัวลูกศรจะเบนไปทางใครค่ะ ยังไงก็ตาม ของที่คุณวิเวียนสั่งก็มาเมื่อสองวันก่อนแล้วไม่ใช่เหรอคะ นั่นหมายความว่า ไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้ใช้ขนาดนั้น และการเล่นเกมแต่เพียงฝ่ายเดียวของเผ่าสิงโตทองก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่ค่ะ แล้วถึงจะเบาลงก็จริง แต่คนอื่นๆ ยังคงพูดแขวะเหตุผลที่นำมาอ้างอยู่เลยค่ะ ก็นะ ถ้ายอมรับคำขอของเผ่าสิงโตทอง การควบคุมก็น่าจะคลายลงทันที แต่จะยอมรับเรื่องนั้นกันอย่างนั้นเหรอคะ จิ๊” 


 


 


โกยอนจูจิ๊ปากพร้อมกับจบประโยคที่พูดลง ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วถอนหายใจยาวออกมา ผมไม่สามารถคาดคะเนได้อย่างถูกต้องว่าจากนี้ไปเรื่องมันจะเป็นอย่างไร แต่กลิ่นอายอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติกำลังหมุนเวียนอยู่ เป็นกลิ่นอายที่เจือจางมากๆ แต่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้อย่างเด็ดขาด พอลองนึกถึงจำนวนของเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทีละอย่างๆ หัวของผมก็เริ่มปวดขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนั้นเอง 


 


 


“ซูฮยอน อย่าคิดอะไรให้ปวดหัวถึงขนาดนั้นเลยค่ะ มันเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง และพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่แคลนเฮาส์จะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วด้วย รับสิ่งที่จะมาถึงก่อนทีละอย่างๆ ดีกว่าไหมคะ” 


 


 


คงรับรู้ได้ว่าผมจมอยู่ในห้วงความคิดอีกแล้ว จองฮายอนจึงปลอบโยนด้วยนำเสียงสดใสอยู่ข้างๆ คำพูดของเธอไม่ผิดเลย นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะตะเบ็งเสียงบอกว่า ผมจะบุกเข้าไปที่บาร์บาร่าด้วยตัวเองแล้วทำให้วาร์ปเกตกลับมามีพลังเดี๋ยวนี้ แล้วผมก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นด้วย 


 


 


ตามที่จองฮายอนพูด ถ้าไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำได้ในตอนนี้ การคอยดูความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของเรื่องต่างๆ ก่อนก็เหมือนจะไม่แย่นัก 


 


 


ผมเคาะโต๊ะตึกๆ แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงจ้องมองจองฮายอน 


 


 


“คิดดูแล้ว ยังไม่ได้ถามเรื่องซีเคร็ตคลาสเลยนะครับ เป็นยังไงบ้างครับ” 


 


 


“ดีมากเลยค่ะ ทักษะพิเศษก็พัฒนาขึ้น ทักษะแฝงก็พัฒนาขึ้นเหมือนกัน แถมค่าความสามารถก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะ ซูฮยอน” 


 


 


“ขอบคุณอะไรกันครับ ไม่มีทักษะเฉพาะตัวเพิ่มขึ้นมาเหรอครับ” 


 


 


“น่าเสียดายนะคะ แต่แค่นี้ก็พอใจแล้วละค่ะ” 


 


 


จองฮายอนหัวเราะร่าพร้อมกับจับมือของผมเบาๆ ผมรู้สึกได้ถึงแววตาอันเจ็บใจของโกยอนจูจากด้านข้าง แต่ผมก็เรียกใช้ดวงตาที่สามทันที 


 


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น(Player Status) 


 


 


1.ชื่อ(Name) : จองฮายอน(ปีที่ 2) 


 


 


2.คลาส(Class) : จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน(Secret, Magician of the Blue Moon, Master) 


 


 


3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : ทหารรับจ้างอิสระ(Free) 


 


 


4.ชนเผ่า(Clan) : Mercenary(อยู่ในระกว่างการประเมินผลงาน) 


 


 


5.นามแท้ · สัญชาติ : หยดน้ำแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน · สาธารณรัฐเกาหลี 


 


 


6.เพศ(SEX) : หญิง(26) 


 


 


7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 166.5 ซม. · 53.8 กก. 


 


 


8.อุปนิสัย : มีระเบียบวินัย · จิตใจดี (Lawful · Good)  


 


 


ก่อนเปลี่ยนแปลง 


 


 


[พละกำลัง 34] [ความทนทาน 38] [ความคล่องแคล่ว 40] [ความแข็งแกร่ง 32] [พลังเวท 87] [โชค 80] 


 


 


หลังเปลี่ยนแปลง 


 


 


[พละกำลัง 36] [ความทนทาน 40] [ความคล่องแคล่ว 41] [ความแข็งแกร่ง 34] [พลังเวท 91] [โชค 81] 


 


 


แต้มของค่าความสามารถที่คงอยู่เหลือ 0 พอยต์ 


 


 


ทักษะพิเศษ(1/1) 


 


 


1.พรคุ้มครองแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน(Rank : A Plus Plus Plus) 


 


 


ทักษะแฝง(4/4) 


 


 


1.เวทมนตร์โบราณ(Rank : A Plus) 


 


 


2.เวทมนตร์ย้อนกลับRank : A Minus) 


 


 


3.การร่ายเวทด้วยความรวดเร็ว(Rank : B Plus) 


 


 


4.การต้านทานพลังเวท(Rank : B Plus) 


 


 


 


 


 


‘พัฒนาขึ้นมากเลยสินะ’ 


 


 


ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด การที่พลังเวทสูงเกินเก้าสิบและทักษะพิเศษกับทักษะแฝงพัฒนาขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดกำลังใจอย่างแน่นอน แต่ยังไม่จบเพียงแค่นี้ ไม่ใช่แค่จองฮายอนคนเดียวแต่จำเป็นจะต้องเช็คระดับการพัฒนาโดยรวมของสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ด้วย และในช่วงที่จัดการใหม่อีกครั้งก็จะต้องจัดการสิ่งที่ได้รับมาในครั้งนี้อย่างดีที่สุด ต้องทำอย่างนั้นเท่านั้นจึงจะกำหนดทิศทางการวางตัวในการจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ไม่ว่าในการทำอะไรก็ตาม 


 


 


อย่างแรกเลยก็คือรอคอยการเสร็จสมบูรณ์ของแคลนเฮาส์ในวันพรุ่งนี้ และไม่ว่าจะผมหรือสมาชิกเผ่าก็คงต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ระยะหนึ่งอย่างแน่นอน ในขั้นตอนของการตั้งถิ่นฐาน ผมเรียบเรียงอย่างช้าๆ ว่าจากนี้ไปจะต้องเริ่มทำอะไรก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ หลับตาลง เสียงของบริเวณโดยรอบที่ได้ยินเข้ามาในหูยังคงดังวุ่นวาย 


 


 


พระอาทิตย์ที่ลอยขึ้นกลางท้องฟ้าคงกำลังเตรียมพร้อมที่จะหายลับไปในทางฝั่งตะวันตกเสียแล้ว ท้องฟ้าจึงถูกย้อมไปด้วยแสงของพระอาทิตย์ตกดิน ยิ่งพระอาทิตย์หายลับไปมากเท่าไร ทิวทัศน์ของท้องฟ้าก็ค่อยๆ ถูกแพร่กระจายออกไปเป็นสีแดงเข้มราวกับถูกทาสีทับ 


 


 


ลมร้อนที่พัดผ่านแก้มทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลันแล้วเบนสายตาขึ้นไปมอง ผมเห็นคลื่นแสงสีชมพูทอแสงบนท้องฟ้าตรงเมฆก้อนสีขาวใหญ่ซ้อนทับกันซึ่งลอยอยู่ไกลๆ ราวกับภาพวาด อากาศไม่ได้เย็นสดชื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นวันที่ไม่ร้อนและอากาศอบอุ่นพอสมควร 


 


 


 


 


 


ในที่สุดเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน พวกเราก็ได้รับข่าวว่าแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาถูกเลื่อนให้ล่าช้ากว่ากำหนดในตอนแรกนิดหน่อย แต่สีหน้าของทุกคนก็มีความรู้สึกตื่นเต้นเจืออยู่ ถึงแม้ตั้งใจจะแสดงให้เห็นท่าทีเคร่งขรึมในฐานะแคลนลอร์ด แต่การทำให้จิตใจที่พองโตและพลุ่งพล่านสงบลงก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายๆ 


 


 


พวกเราเก็บสัมภาระจนหมดเกลี้ยงตั้งแต่ก่อนมีการติดต่อเข้ามา พวกเราบอกลามาดามอิมกันอย่างง่ายๆ แล้วจึงออกมาจากเลิฟเฮาส์ที่พวกเรารบกวนอยู่เป็นเวลาเกือบสี่เดือน 


 


 


ตอนบอกลากัน อิมฮันนาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนปกติ แต่สีหน้ากลับเหงาหงอยอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนนั้นผมเอียงหัวด้วยความสงสัยครู่หนึ่ง แต่ผมก็ออกมาข้างนอกก่อนเพราะการส่งสายตาของโกยอนจูแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังแคลนเฮาส์ 


 


 


ระยะห่างของเลิฟเฮาส์กับแคลนเอาส์ไม่ได้ห่างกันนัก ความเร็วในการก้าวเดินนั้นรวดเร็วมากจริงๆ ไม่ถึงห้านาทีดีก็มาถึงตรงประตูใหญ่ได้แล้ว จริงๆ แล้วการก่อสร้างเสร็จสิ้นราวๆ เที่ยง แต่ดูเหมือนว่าการจัดการหลังจากนั้นจะสิ้นเปลืองเวลามากเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เวลาประมาณนี้ก็น่าจะพอดีแล้ว ผมปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วผลักประตูที่ทำจากไม้เข้าไป 


 


 


“โอ้” 


 


 


“โอ้โฮ”

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 18

 

ทันทีที่เข้ามาข้างใน เสียงอุทานของสมาชิกเผ่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนหน้านี้เคยเห็นแล้วก็จริง แต่สวนที่ต้องแสงยามอัสดงก็กำลังโอ้อวดให้เห็นเสน่ห์ที่เป็นเหมือนกับโลกแห่งความฝันแบบอื่นอีก  


 


และตัวตึกสองหลังซึ่งรับแสงยามอัสดงแรงกว่าส่วนอื่นก็ทาบทับเป็นเงายาวเหนือแมกไม้ที่ปลิวไหวไปมา ด้านนอกตัวตึกที่ถูกลงสีด้วยสีขี้เถ้าอ่อนๆ รวมเข้ากับทิวทัศน์โดยรอบแล้วเผยให้เห็นภาพลักษณ์อันใหญ่โตและสง่างาม ถึงแม้จะเงียบสงบก็ตาม 


 


ด้านในมีคนอยู่มากทีเดียว พวกเขากำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าของสวนอย่างสบายๆ และมองดูแคลนเฮาส์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยพร้อมยิ้มร่าคุยกันเสียงดัง ลมที่พัดมาอีกครั้งทำให้เหงื่อของพวกเขาแห้งลง ใครบางคนก็คงเปิดประตูเข้ามาเห็นพวกเราพอดีจึงตะโกนด้วยเสียงอันดัง 


 


“หัวหน้า! ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาแล้วครับ!” 


 


“โอ้! มาแล้วสินะ!” 


 


ผู้เล่นคนหนึ่งที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ข้างหน้านู้นดีดตัวลุกขึ้น จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมาแล้วเริ่มเดินเนิบๆ มาทางฝั่งประตู พอมองดูผู้คนที่เดินตามหลังเขามาอย่างสนใจจึงค้นพบว่ามีคนรู้จักอยู่ด้วยสองคน 


 


‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ลุงบงพัล พี่เยฮยอน’ 


 


“ฮ่าๆ! มาแล้วสินะครับ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!” 


 


“ยินดีที่ได้เจอครับ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ คิมซูฮยอนครับ” 


 


“เผ่าอีสตันเทลลอว์ พัคบงพัลครับ! ครั้งนี้ได้รับหน้าที่วางแปลนตึกของแคลนเฮาส์นะครับ อ้อ ทางด้านนี้คือชินเยฮยอน ผู้รับผิดชอบออกแบบภายในครับ” 


 


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ชินเยฮยอนค่ะ” 


 


ลุงบงพัลที่เอ่ยทักทายอย่างไม่มีเหนียมอายกับพี่เยฮยอนที่ยิ้มอย่างเอียงอาย ทั้งสองคนสังกัดอยู่ในเผ่าอีสตันเทลลอว์ ดังนั้นผมจึงเคยมีความสัมพันธ์แบบกินข้าวหม้อเดียวกันกับคนพวกนี้ในรอบแรก จำได้ว่าเป็นคนดีไม่น้อย เพราะฉะนั้นหากบอกว่าไม่ยินดีที่ได้เจอก็คงเป็นเรื่องโกหก ผมคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อุปนิสัยก็ย่อมคงเดิม แล้วผมจึงจับมือที่เขายื่นมาให้อย่างมั่นคง 


 


“ปัดโธ่ ก่อสร้างเสร็จสิ้นช้ากว่ากำหนดการไปสองวันเสียได้นะครับ ขอโทษด้วยครับ!” 


 


“มันช่วยไม่ได้นี่ครับ เพราะทางผมขอเพิ่มเติมเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ” 


 


“ฮ่าๆ! ถ้าคิดแบบนั้นก็ขอบคุณมากเลยนะครับ ในส่วนของรายการที่เพิ่มมา เวลามันสั้นไปสักหน่อย แต่ผมดูแลเป็นพิเศษเลยครับ แน่นอนว่าถ้ามีส่วนไหนที่ไม่ชอบใจก็บอกได้โดยไม่ต้องลังเลเลยนะครับ” 


 


“คือว่า หัวหน้า…” 


 


ในระหว่างที่ผมกับลุงบงพัลกำลังพูดคุยกัน คนอื่นๆ ที่เคยกระจัดกระจายอยู่ทั่วก็ค่อยๆ มารวมตัวกัน ดูจากที่เสื้อผ้าที่สวมอยู่นั้นเก่ามาก คงจะเป็นชาวเมืองที่เข้ามาเป็นกรรมกรแน่ๆ จากนั้นพอชาวเมืองที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของคนพวกนั้นปริปากพูดขึ้นมา พัคบงพัลที่พูดเป็นต่อยหอยอย่างร่าเริงถึงขีดสุดจึงหันหน้าขวับไป 


 


“หืม อ๋อ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาแล้ว ถ้างั้นก็ไปเถอะ เหนื่อยกันมากเลยนะ” 


 


“แหะๆ ทราบแล้วครับ ว่าแต่…ก่อสร้างเสร็จแล้ว ไม่ไปกรึ๊บกันสักหน่อยเหรอครับ” 


 


พอชาวเมืองหัวเราะแหะๆ พลางทำท่ากระดกแก้ว พัคบงพัลจึงระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น 


 


“ฮ่าๆ! จะไม่กรึ๊บได้ยังไงเล่า! ไอ้พวกนี้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องชี้แนะให้เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก่อนเซ่ เพราะฉะนั้นไปดื่มกันก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ถ้าเสร็จแล้วฉันจะตามไปทันที” 


 


โมนิก้าแตกต่างอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเมืองอื่น ปกติแล้วจะมีแนวโน้มที่จะมีท่าทีต่อพวกชาวเมืองเหมือนมองทาสหรือแมลง แต่ลุงบงพัลตรงหน้าผมกลับมีท่าทีสนิทสนมกับพวกเขา คงเพราะอย่างนั้น ชาวเมืองที่นี่จึงค่อนข้างจะสนับสนุนและคิดดีมากๆ ต่อเผ่าอีสตันเทลลอว์ 


 


ผมทอดสายตามองท่าทีของพวกเขาอย่างชื่นใจแล้วจึงส่งสัญญาณทางสายตาไปทางจองฮายอนเล็กน้อย เธอตอบรับสัญญาณของผมพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงเดินไปทางที่ที่พวกชาวเมืองยืนรวมกันอยู่ด้วยท่าทีระมัดระวัง ไม่นานผมก็เห็นแผ่นหลังเพรียวบางของจองฮายอนที่เดินผ่านด้านข้างของผมไป ตอนนี้เส้นผมที่ยาวผ่านไหล่ลงมาถึงแผ่นหลังกำลังพริ้วไหวและสะท้อนแสงสีฟ้าอ่อน 


 


พอจองฮายอนเข้ามาใกล้ ชาวเมืองที่เคยพูดคุยเสียงดังเซ็งแซ่ก็ปิดปากเงียบไปในชั่วพริบตา จากนั้นทุกคนก็จับจ้องมายังเธอด้วยสายตางุนงง หลังจากสืบทอดซีเคร็ตคลาส จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน บรรยากาศรอบตัวจองฮายอนก็ดูเติบโตและล้ำลึกขึ้นอีกขั้น แน่นอนว่าใบหน้างดงามนั้นก็ยิ่งงดงามขึ้นไปอีกขั้นตามกันไปด้วย 


 


“ที่ผ่านมาเหนื่อยกันมากเลยนะคะ อาจจะไม่เยอะนัก แต่ก็เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ” 


 


“ธะ โธ่! ตายจริง! ไม่ต้องก็ได้ครับ! ไม่เป็นไรครับ” 


 


พอจองฮายอนส่งถุงใบเล็กๆ ที่เอาออกมาจากเสื้อให้หนึ่งใบ ชาวเมืองก็โบกไม้โบกมือทั้งสองข้างอย่างลุกลี้ลุกลน แต่เธอก็ค่อยๆ จับมือของชาวเมืองด้วยการขยับมืออย่างนุ่มนวล สุดท้ายแล้วเขาจึงต้องกำถุงเอาไว้ ทันใดนั้นใบหน้าของชาวเมืองก็ขึ้นสีแดงก่ำพร้อมกับมองเลิ่กลั่กไปทั่วทุกทิศอย่างไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดี 


 


“หูย ดูเยอะมากเลยนะครับ” 


 


“ห้าสิบโกลด์ครับ ไม่เยอะครับ” 


 


“โอ้โฮ มีจำนวนคนอยู่ประมาณหนึ่งก็จริง แต่สิบโกลด์ก็น่าจะพอดีแล้วนะครับ” 


 


“ได้ยินมาว่าเหนื่อยกันมาในช่วงเวลาสั้นๆ ครับ พวกเรามอบให้โดยหวังว่าคงจะเพียงพอต่อการผ่อนคลายความคิด ความรู้สึกได้ครับ” 


 


พัคบงพัลหัวเราะหึๆ ให้กับคำพูดของผมแล้วตะโกนไปทางชาวเมืองอย่างดัง 


 


“ไอ้พวกนี้! ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่แสดงความปรารถนาดีให้นะ ทุกคนจงรับไปอย่างซาบซึ้งใจด้วย!” 


 


“ไชโย!” 


 


“โอ้โฮ คุณเทพธิดา ผมจะใช้อย่างซาบซึ้งเลยนะครับ!” 


 


“อะไรนะคะ! ฉันไม่ใช่เทพธิดาหรอกค่ะ คิกๆ” 


 


จองฮายอนใช้มือข้างหนึ่งปิดปากพร้อมกับหัวเราะสวยๆ จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาทางผมทันที พอพัคบงพัลพยักหน้าหนึ่งครั้ง ชาวเมืองจึงกู่ร้องพร้อมกับเริ่มวิ่งออกไปข้างนอก 


 


“ยะฮู้! วันนี้กินกันให้ตายไปเลย ตายเลย!” 


 


“นี่ แกเอามือมานี่สักเดี๋ยวซิ มือข้างที่คุณเทพธิดาจบเมื่อกี้คือข้างนี้หรือเปล่า” 


 


“ฉะ ฉันเอาถุง ขอถุงมาทางนี้แป๊บสิ” 


 


“มีเคราะห์ร้ายแล้ว ไอ้พวกนี้นี่! ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง! จากนี้ไปฉันจะไม่ล้างมือข้างนี้เด็ดขาด!” 


 


พัคบงพัลคงเห็นว่าจองฮายอนแก้มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะคำพูดที่พวกชาวเมืองโพล่งขึ้นตอนที่เดินออกไป เขาจึงหัวเราะแก้เก้อออกมา 


 


“เอ๋ น่าจะไม่มีความหมายไม่ดีนะครับ เดิมทีเจ้าพวกนี้เป็นคนซื่อๆ น่ะครับ” 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ” 


 


“ฮ่าๆ! ขอบคุณครับ ถ้างั้น…หืม หรือว่าที่คุณหนูตัวเล็กกอดอยู่คือยูนิคอร์นที่เขาลือกันใช่ไหมครับ” 


 


“คะ ค่าา” 


 


ฮี้ๆ! 


 


พัคบงพัลเบิกตากว้างราวกับว่าตอนนี้เพิ่งจะได้เห็นแล้วแสดงความสนใจอย่างออกนอกหน้า แต่ดูจากที่หัวเราะแหยๆ ออกมา ลูกยูนิคอร์นคงจะแสดงให้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเย็นชาแน่ๆ เขาแสดงสีหน้าเหมือนบอกว่าสงสัยจะตายอยู่แล้ว แต่จากนั้นก็คงอ่านสีหน้าของสมาชิกเผ่าออก เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง 


 


“ขอโทษทีครับ ผมได้ยินเรื่องยูนิคอร์นแค่ในข่าวลือ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ ยังไงก็ตาม ผมให้พวกคุณยืนอยู่นานเกินไปแล้ว ก่อนอื่นเริ่มตั้งแต่ดูรอบๆ สวนกันเลยนะครับ ผมจะอธิบายให้ฟังทีละอย่างครับ” 


 


“ตรงสวนไม่เป็นไรหรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยแวะมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็เลยเดินดูล่วงหน้าไปแล้วละครับ ได้ระดับนี้ก็พอใจแล้วครับ” 


 


“อย่างนั้นเหรอครับ ค่อยโล่งอกไปทีนะครับ ถ้างั้นจะเข้าไปข้างในกันเลยนะครับ ไม่ว่ายังไง เริ่มตั้งแต่อาคารส่วนกลางก่อนก็น่าจะดี ฮ่าๆ อ้อ เยฮยอน เธอจะเอายังไงล่ะ” 


 


“ฉันก็จะไปด้วยค่ะ ฉันอยากฟังคำวิจารณ์ของพวกคุณเผ่าเมอร์เซนต์นารี่น่ะค่ะ” 


 


ชินเยฮยอนตอบอย่างสุภาพ พัคบงพัลตอบว่าเอาสิ จากนั้นจึงผายมือขวาไปทางตึกขนาดใหญ่ตรงหน้า 


 


“ถ้างั้นเข้าไปกันเถอะครับ” 


 


จากนั้นผมกับพัคบงพัลก็ยืนอยู่หน้าสุด ส่วนสมาชิกเผ่ากับชินเยฮยอนก็เดินเรียงตามหลังผ่ากลางสวนกันมา ในระหว่างที่กำลังเดินไป ลุงก็ยังคงเล่นหยอกล้อ แต่ก็อธิบายให้ฟังอย่างละเอียดด้วย 


 


“ถ้าพูดถึงพื้นที่ภายในของแคลนเฮาส์ก็มีเป้าหมายในการใช้หลายอย่างครับ หลักๆ เลยคือ ใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะทาง ใช้ร่วมกัน ใช้ส่วนตัว แล้วก็ใช้ชั่วคราว ถ้าพูดถึงใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะทางก็อย่างเช่นห้องทดลองพวกเวทมนตร์หรือแปรธาตุ หรือไม่ก็ห้องฝึกศิลปะป้องกันตัว จะมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีเป้าหมายในการใช้สอยอะไรบางอย่างก็ได้ครับ ส่วนที่ใช้ร่วมกันก็ยกตัวอย่างได้เป็นห้องอาบน้ำหรือห้องอาหารที่ทุกคนจะใช้ร่วมกันได้ครับ พื้นที่ใช้ส่วนตัวก็เห็นได้ว่าจะเป็นห้องพักและห้องทำงาน ส่วนที่ใช้ชั่วคราวก็เป็นห้องที่เว้นว่างไว้สำหรับใช้ชั่วคราวตามชื่อเลยครับ อย่างแรกเลยก็คือ เป็นที่ที่เว้นว่างไว้และจะปรับปรุงขึ้นมาใหม่ตอนที่เกิดพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ขึ้นครับ” 


 


“อย่างนั้นเองสินะครับ” 


 


“อ้อ แล้วก็พอพูดเรื่องส่วนที่ใช้ชั่วคราวก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะบอกน่ะครับ เดิมทีที่นี่เป็นแคลนเฮาส์ที่เผ่าพิสตาชิโอ้เคยใช้ มีสมาชิกเผ่าเก้าสิบคน รวมกับพวกลูกจ้างอีกสามสิบคน สรุปคือเป็นพื้นที่ที่คนทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบคนเคยใช้ชีวิตอยู่ครับ ผมไม่สามารถแก้ไขตรงส่วนนั้นได้ก็เลยต้องต่อเติมอาคาร เพราะฉะนั้นพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวจึงเยอะใช่ย่อยเลยครับ บางทีห้องคงจะเหลือเฟืออีกสักระยะนะครับ ฮ่าๆ” 


 


เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เป็นสถานที่ที่มีพื้นที่กว้างมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่กว้างจนมากเกินไปสำหรับการใช้ชีวิตเพียงสิบคน อย่างไรก็ไม่สามารถพอใจได้ในครั้งเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจากนี้ไปก็ค่อยๆ เติมเต็มมันไปก็ได้ พอพยักหน้าอย่างไม่ได้รู้สึกอะไร พัคบงพัลจึงพูดต่อทันที 


 


“ตึกทั้งสองตึกมีลักษณะห้องทั้งสี่แบบที่พูดไปก่อนหน้าทั้งหมดเลยครับ แต่สามารถแบ่งแยกตามระดับได้ว่าอันไหนเป็นอันดับแรก นอกเหนือจากห้องสำหรับใช้ชั่วคราว ตึกที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้มีลักษณะสำหรับการใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะทางเสียส่วนใหญ่ ในทางกลับกัน…โอ๊ะ” 


 


พัคบงพัลเดินขึ้นบันไดแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นจึงหมุนตัวไปชี้อาคารย่อย 


 


“อาคารย่อยที่เห็นตรงนู้นมีลักษณะในการใช้ส่วนตัวและใช้ร่วมกันสูงมากครับ บอกให้รู้ล่วงหน้าว่าชั้นใต้ดินกับชั้นหนึ่งเป็นห้องอาบน้ำรวมกับห้องสำหรับพักผ่อน ชั้นสองกับสามเป็นห้องพัก ส่วนชั้นสี่ถูกปล่อยว่างไว้เป็นพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวครับ น่าเสียดายที่ตอนแรกคงจะสร้างไว้สำหรับเป็นห้องพัก อาคารย่อยจึงไม่มีดาดฟ้าครับ” 


 


“อย่างนั้นเองสินะครับ ถ้างั้นโครงสร้างอาคารส่วนกลางเป็นยังไงครับ” 


 


พัคบงพัลหัวเราะคิก จากนั้นจึงจับลูกบิดประตูพร้อมกับตอบคำถามของผม 


 


“เข้าไปข้างในก่อนเถอะครับ ดูด้านในโดยตรงแล้วผมจะอธิบายให้ฟังครับ” 


 


พอพัคบงพัลดึงลูกบิดอย่างสุดแรง ประตูที่เคยปิดแน่นจึงเปิดออกกว้าง จากนั้นพวกเราจึงเข้าไปด้านในตามคำแนะนำของเขา 


 


สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือกรอบหน้าต่างขนาดใหญ่ที่ติดไว้ทั่วกำแพงชั้นหนึ่งที่เคยทึบมาก่อน มันถูกประดับประดาด้วยคริสตัลรูปทรงสี่เหลี่ยมและสร้างเอาไว้ให้มองเห็นด้านนอกจากด้านใน พอเห็นสิ่งนั้น ผมจึงรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างมันทำให้บรรยากาศอึดอัดหลุดออกไปแล้วรู้สึกสดชื่นด้วย 


 


ส่วนสูงจนถึงกำแพงน่าจะประมาณสี่เมตรหรือเปล่านะ ชั้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นพื้นราบเรียบเงาวาววับยาวและกว้างพอสมควร เพดานถูกติดหินไรส์ที่ส่องแสงสีชมพูอ่อนๆ เอาไว้ จึงทำให้บรรยากาศด้านในดูประณีต 


 


ตรงกลางมีพรมวงกลมสีแดงเหลือดหมูปูไว้กว้างๆ ดูจากที่รอบข้างจัดวางพวกโซฟา เก้าอี้ และเตาผิงเอาไว้อย่างดูดี ตรงนั้นคงเป็นล็อบบี้แน่ๆ ร่องรอยเมื่อสมัยก่อนยังคงหลงเหลืออยู่นิดหน่อย แต่คงเพราะทั้งภายในและภายนอกถูกปรับปรุงใหม่อย่างสะอาดสะอ้าน ร่องรอยที่เห็นอยู่บ้างจึงทำให้เกิดบรรยากาศคลาสสิคขึ้นมา 


 


‘สามารถพักผ่อนได้ที่ล็อบบี้ด้วยสินะ’ 


 


สมาชิกเผ่าก็มองดูภายในที่เปลี่ยนแปลงไปจนเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนหน้านี้ จากนั้นพวกเขาจึงส่งเสียอุทานด้วยความประทับใจอย่างพร้อมเพรียงกัน  


 


“ตรงนี้ฉันจะอธิบายให้ฟังนะคะ ช่วยมองทางนี้ก่อนได้ไหมคะ” 


 


ชินเยฮยอนที่รักษาความเงียบไว้จนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เปิดปากพูดขึ้น เธอชูนิ้วเรียวบางขึ้นมาชี้ไปทางที่ที่อยู่ติดด้านข้างล็อบบี้ 


 


“ได้ยินมาว่าเมอร์เซนต์นารี่เป็นเผ่าทหารรับจ้างที่ได้รับการมอบหมายแล้วดำเนินงานค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ชั้นหนึ่งก็จะต้องรับหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นและจำเป็นจะต้องมีโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่คอยชี้แนะด้วยค่ะ” 


 


ตรงจุดที่ชินเยฮยอนชี้ไปมีโต๊ะประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ที่วาดเส้นโค้งเป็นวงกลมตั้งอยู่ ด้านหลังโต๊ะมีผ้าม่านสีม่วงเข้มกั้นเอาไว้ตรงเสาอย่างสวยงาม ตรงกลางของพื้นที่ีที่เปิดเอาไว้ถูกแกะสลักเป็นตัวหนังสือส่องประกายเป็นสีทองเขียนว่า ‘Mercenary’  


 


“ต่อไปจะอธิบายเรื่องบันไดนะคะ ชั้นหนึ่งมีบันไดที่เชื่อมชั้นบนกับล่างอยู่ทั้งหมดสี่จุด บันไดสองจุดแรกคือบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นบน อยู่ตรงส่วนท้ายสุดของทั้งสองฝั่ง และมีบันไดอีกสองจุดตรงอีกฝั่งของล็อบบี้ค่ะ อันหนึ่งจะเป็นบันไดที่ขึ้นไปด้านบนเหมือนกัน แต่ที่เหลืออีกอันคือลงไปชั้นล่าง ซึ่งนั่นก็คือที่จะไปยังห้องฝึกศิลปะป้องกันตัวชั้นใต้ดินที่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ขอ…” 


 


ชินเยฮยอนอธิบายอย่างต่อเนื่อง และในระหว่างที่สมาชิกเผ่ากำลังฟังอย่างยุ่งวุ่นวาย พัคบงพัลก็เดินเข้ามาข้างๆ ผมแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนคิดอะไรลึกซึ้งอยู่ในใจ 


 


“ตามที่รู้ นี่เป็นตึกที่มีกลิ่นอายของความทันสมัยหลงเหลืออยู่อย่างมากเลยทีเดียวครับ เพราะฉะนั้นก็เลยจะต้องใส่ใจมากหน่อย เพราะว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัยกับฮอลล์เพลนมีความแตกต่างกันมากครับ แต่ผมขอบอกตามตรงว่ามีการใช้วงแหวนเวทกับหินรวมพลังอยู่ด้วยนะครับ” 


 


“แล้วของพวกนั้นมีลักษณะแบบรวมกลุ่มกันหรือแยกกันครับ” 


 


“แบบแยกกันครับ แบบรวมกลุ่มกันดูแลจัดการง่ายก็เลยดีอยู่ แต่เรื่องคุณภาพ ใช้เป็นแบบแยกกันจะดีกว่าครับ มีข้อเสียตรงที่ดูแลจัดการยุ่งยากหน่อย แต่วงแหวนเวทมีความสามารถในการฟื้นฟูด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่ได้เจตนาทำลายมันก็ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้ครับ ก็นะ ถึงแม้ว่าจะต้องขัดหินรวมพลังอย่างสม่ำเสมอก็เถอะ” 


 


ผมฟังคำอธิบายของพัคบงพัลแล้วพยักหน้าอย่างสุขุม อย่างไรเสียเรื่องนั้นก็จะจ้างลูกจ้างมาเพื่อแก้ปัญหาทีหลังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องใส่ใจมากมายนัก 


 


“เอาล่ะ ถ้างั้นครั้งนี้จะไปห้องอาหารแล้วนะคะ” 

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 19

 

จากนั้นคงอธิบายแบบสรุปเสร็จแล้ว ชินเยฮยอนจึงเริ่มเดินนำหน้าไป ผมค่อยๆ ก้าวเดินตามหลังเธออย่างช้าๆ 


 


หลังจากนั้น พวกเราจึงได้ฟังคำอธิบายและคำชี้แนะเกี่ยวกับด้านในแคลนเฮาส์โดยเวลาก็ได้หมุนเวียนผ่านไปประมาณสองสามชั่วโมง เพราะว่ามีเนื้อที่กว้าง เนื้อหาของมันจึงมากมายและยุ่งเหยิงตามไปด้วย 


 


ถ้าลองสรุปเนื้อหานั้นก็คือ นอกเหนือจากล็อบบี้กับเคาน์เตอร์ก็สามารถแบ่งพื้นที่ออกได้ทั้งหมดสี่แห่ง ทางเดินทางซ้ายโดยเริ่มจากเคาน์เตอร์ ประกอบไปด้วยห้องรับรอง ห้องนั่งเล่น และห้องเตรียมการเป็นหลัก ส่วนทางเดินด้านขวาประกอบด้วยห้องอาหารกับพื้นที่ชุมนุมภายในขนาดใหญ่ 


 


ส่วนที่เด่นที่สุดในบรรดาห้องพวกนั้นคือห้องอาหาร ไม่ได้เป็นห้องอาหารตามจุดพักรถริมทางทั่วไป แต่ภาพรวมเป็นเหมือนกับเอาร้านเหล้าร้านหนึ่งมาใส่ไว้ ห้องนั้นที่มีโต๊ะหลายสิบตัวกับห้องครัวกว้างใหญ่จับจองพื้นที่อยู่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นร้านอาหารขนาดย่อม 


 


และภายในครัวก็มีห้องเก็บอาหารกับพื้นที่จัดเก็บของอย่างเพียงพอ อุปกรณ์ทำอาหารพื้นฐานก็มีไว้เรียบร้อยด้วย เพราะอย่างนั้นพัคบงพัลจึงคุยโวเอาไว้ว่าบางทีพวกพ่อครัวคงจะทำอาหารได้รสชาติดีทีเดียว 


 


พวกเราเดินดูชั้นหนึ่งจนทั่ว และตอนที่คำอธิบายที่เคยได้ยินไม่หยุดกลับค่อยๆ น้อยลงทีละนิดก็เริ่มเดินขึ้นมายังชั้นสอง แน่นอนว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะอาคารส่วนกลางเป็นตึกที่มีเป้าหมายในการใช้แบบเฉพาะทาง ดังนั้นชั้นสองกับสามจึงมีพื้นที่ที่จะต้องสอดคล้องกันกับเรื่องนั้นด้วย นั่นหมายความว่า ที่นี่คือสถานที่ที่รวบรวมพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวเป็นหลัก  


 


ชั้นสองมีแผนการว่าจะใช้เป็นที่จัดการข้อมูลต่างๆ ใช้ดำเนินงานภายในเผ่า และเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ ส่วนชั้นสามก็จะเป็นห้องทดลองสำหรับแปรธาตุ ห้องทดลองของนักเวท ห้องสมุด และห้องประชุมเล็ก เป็นต้น เพราะอย่างนั้น นอกเหนือจากห้องประชุมเล็กก็จะต้องซื้อพวกเครื่องมือพิเศษที่เกี่ยวข้องกับห้องที่ว่างอยู่เป็นพื้นฐาน ดังนั้นจึงอธิบายแค่ว่าตรงไหนเป็นพื้นที่แบบไหนโดยสรุปย่อๆ ก็ข้ามผ่านไปได้แล้ว 


 


พอบอกว่าที่ชั้นสามมีจุดที่เป็นเอกลักษณ์เพียงจุดเดียว วิเวียนก็แทบจะเลิกสำรวจชั้นสามแล้วตรงเข้าไปในห้องทดลองของนักเล่นแร่แปรธาตุทันที เธอถามพัคบงพัลว่าพื้นที่สำหรับใช้เป็นห้องทดลองสำหรับแปรธาตุอยู่ที่ไหน แล้วเธอก็พาชินซังยงเข้าไปในห้องทดลองแปรธาตุทั้งอย่างนั้น วิเวียนถือว่าห้องทดลองแปรธาตุไม่ต่างอะไรกับร่างแยกของตัวเอง ดังนั้นแน่นอนว่าเธอจึงไม่ได้สนใจห้องอื่นๆ มากมายนัก 


 


ชินซังยงดูเหมือนอยากสำรวจดูมากกว่านี้อีกหน่อย แต่เพราะการเร่งของวิเวียน เขาจึงดึงเคออซ มิมิคสองอันตามเธอไปทั้งที่ไหล่ลู่ลง 


 


คำอธิบายของชั้นสามจบลงแบบนี้ แล้วพวกเราก็ก้าวเดินไปยังชั้นสี่ที่เฝ้ารอคอย เห็นได้ว่าชั้นสี่สามารถอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวว่าเป็นพื้นที่ใช้ส่วนตัวสำหรับแคลนลอร์ด ถ้าพูดถึงพื้นที่หลักของชั้นนี้ก็จะเรียกได้ว่าเป็นห้องทำงาน ห้องประชุม(ใหญ่) แล้วก็ห้องรับรองแขกหรือเปล่านะ นั่นหมายความว่า มองว่าเป็นพื้นที่สำหรับตัวผมใช้เพียงคนเดียวน่าจะถูกกว่าสำหรับใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะในตอนแรก เพราะอย่างนั้น พื้นที่แต่ละส่วนจึงกว้างขวาง และจำนวนพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวก็มีน้อยกว่า 


 


พวกเราสำรวจชั้นสี่เสร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน และหลังจากแวะไปบนดาดฟ้าเป็นที่สุดท้าย พวกเราจึงสำรวจอาคารหลักได้เสร็จสิ้น 


 


 


 


พระอาทิตย์ตกดินและเข้าสู่ช่วงกลางคืนอันมืดมิดโดยไม่รู้ตัว พัคบงพัลกับชินเยฮยอนอธิบายอาคารหลักเสร็จแล้วยังช่วยอธิบายกระทั่งอาคารย่อยอย่างครบครันด้วย จากนั้นก็บอกเป็นครั้งสุดท้ายว่าหากลองอยู่ไปสักพักแล้วมีส่วนไหนที่ไม่ชอบใจก็ให้บอกได้เสมอ แล้วทั้งสองคนก็ออกจากแคลนเฮาส์ไป 


 


ก่อนเข้ามาในนี้เด็กๆ เอาแต่พูดพึมพำโดยไม่รู้ตัว แต่พอหลังจากดูรอบๆ เสร็จจริงๆ พวกเขาก็เริ่มมีท่าทีกระฉับกระเฉง พูดตามตรงว่าในมุมมองของผม ห้องพักมันแทบจะเหมือนกันหมด ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังบอกว่าจะต้องเลือกห้องก่อนให้ได้แล้ววิ่งกันออกไป 


 


หลังจากนั้น ผมก็ให้เวลาอิสระ ตอนนี้บางคนน่าจะเดินสำรวจดูรอบๆ แคลนเฮาส์ ส่วนบางคนก็น่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำไปแล้ว ผมเองก็กลับเข้ามาในห้องทำงานชั้นสี่ของอาคารหลักแล้ว เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าจะปล่อยให้ทุกคนสำรวจแคลนเฮาส์ได้อย่างเต็มที่สองวัน จากนั้นผมถอนหายใจสั้นๆ แล้วมองดูรอบๆ ห้องทำงานซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมอยู่ในตอนนี้ 


 


ห้องทำงานกว้างและข้าวของเครื่องใช้ก็มีคุณภาพดีจนถูกใจผมเข้าอย่างจัง พรมอ่อนนุ่ม โซฟาแสนสบาย โต๊ะตัวยาว โต๊ะหนังสือเนื้อละเอียด และอื่นๆ เฟอร์นิเจอร์หลากหลายอย่างมีอยู่เต็มห้องทำาน แต่สิ่งที่ผมถูกใจที่สุดก็คือระเบียงที่มองเห็นอยู่ด้านหลังของโต๊ะหนังสือ 


 


คริสตัลทำหน้าที่เป็นหน้าต่างเช่นเดียวกับที่เห็นตรงชั้นหนึ่ง ผมมองเห็นประตูไม้ที่สามารถออกไปสู่ระเบียงตรงกลางได้ ถ้าออกไปตรงนั้นก็ดูเหมือนจะมองเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าของโมนิก้าโดยเริ่มจากตัวแคลนเฮาส์ได้อย่างทั่วถึง บางทีตอนที่ปวดหัว ถ้าออกไปพักข้างนอกสักหน่อยก็น่าจะลงตัวเลยทีเดียว 


 


ผมมองด้านนอกระเบียงแล้วลังเลขึ้นมาว่าจะรออยู่ในห้องทำงานแบบนี้ดี หรือจะลองขึ้นไปบนดาดฟ้าสักครู่ดี ในตอนนั้น ผมตัดสินใจได้และกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงวิ่งอย่างรวดเร็วแล้วประตูห้องทำงานก็เปิดออกพรวดพร้อมกับมีใครบางคนเข้ามา พอหันหน้าไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ ผมจึงเห็นวิเวียนกำลังหอบหายใจด้วยใบหน้าแดงก่ำ 


 


“แฮ่กๆ คิมซูฮยอน! ยังไม่นอนแล้วก็กำลังรออยู่เหรอเนี่ย” 


 


“เธอบอกให้ทำแบบนี้นี่” 


 


“ฮี่ๆ ก็ใช่น่ะสิ!” 


 


“เฮ้อ” 


 


“หืม ถอนหายใจทำไมล่ะ” 


 


สาเหตุที่ผมยังไม่เข้านอนถึงแม้ว่าจะดึกแล้วก็เพราะรอวิเวียนอยู่นั่นเอง เธอกำชับผมถึงสองรอบก่อนที่จะไปยังห้องทดลองสำหรับแปรธาตุบนชั้นสาม 


 


 


 


‘คิมซูฮยอน คืนนี้ฉันจะให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าใครแพ้ชนะเพื่อนาย’ 


 


‘รอก่อนนะ อย่าเพิ่งนอน รู้ใช่ไหม ว่าวันนี้เป็นวันที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตารอถึงขนาดนั้น ฮี่ๆ ตั้งตารอได้เลยจ้า~’ 


 


 


 


ผมรู้สถานการณ์จึงบอกว่างั้นเหรอแล้วปล่อยผ่านไป แต่กับพัคบงพัลและชินเยฮยอนนั้นไม่ใช่ พัคบงพัลพูดด้วยความอิจฉาว่า ‘เป็นผู้หญิงที่กระตือรือร้นจริงๆ เลยนะ ผมอิจฉาจังครับ’ ส่วนชินเยฮยอนก็ทำหน้าแดงพลางหลบตา 


 


พอนึกถึงตอนนั้น ผมก็กำหมัดโดยอัตโนมัติ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วรู้สึกเหมือนเรื่องสำคัญใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เพราะอย่างนั้นผมจึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ ผมต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากทำตัวไร้ประโยชน์ 


 


ผมลุกขึ้นช้าๆ แล้วมองวิเวียน เธอขยับเข้ามาใกล้ด้วยการเดินอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงจับแขนเสื้อของผมแล้วเริ่มดึงกระตุก 


 


“รีบไปกัน เร็วเข้า ตอนนี้รู้สึกดีชะมัดเลย” 


 


“ทั้งเรื่องการเตรียมความพร้อม ทั้งเรื่องกำลังกายก็จะต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบไม่ใช่เหรอ” 


 


“ขั้นตอนในการเล่นแร่แปรธาตุทำยาวิเศษครั้งนี้ ความสามารถของชินซังยงแล้วก็ส่วนผสมเป็นสิ่งสำคัญนะ เครื่องมือไม่ได้ติดตั้งเอาไว้อย่างครบครันก็จริง แต่ก็เพียงพอในระดับที่สามารถทำยาด้วยการเล่นแร่แปรธาตุได้ อีกทั้งยังติดตั้งเอาไว้มากมายเลยด้วย” 


 


วิเวียนคงมีอะไรบางอย่างรีบร้อนถึงขนาดนั้น มือข้างหนึ่งของเธอจึงโบกไปมาพร้อมกับตอบ ผมกุมขมับที่ปวดตุบๆ แน่นแล้วถามเพิ่มอีกอย่าง 


 


“กำลังกายล่ะ” 


 


“จะบอกให้รู้นะว่าฉันน่ะชอบช่วงกลางคืนที่ซู้ด” 


 


“ไม่ใช่เธอแต่คุณชินซังยงต่างหาก” 


 


“ชิ เขาก็โต้รุ่งตามฉันมาเยอะ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็เถอะ ฉันตั้งใจที่จะให้มันออกมาสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตามมาเถอะเพคะ” 


 


วิเวียนทำปากยื่นพลางทิ้งมือพรึ่บลงด้านล่าง จากนั้นเธอก็หมุนตัวไปจนเกิดเสียงดังขวับ ผมมองเธอที่ก้าวออกนอกประตูไปแล้วผมเองจึงลุกออกจากโต๊ะพลางเดินไปนอกประตูเช่นกัน วิเวียนมั่นใจถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างที่เชื่อถือได้แน่นอน 


 


ทางเดินชั้นสามมืดมิด คงเพราะมาถึงเวลากลางคืนแล้ว และหินไลท์ก็ดับลงแล้วด้วย รอบข้างจึงมืดสนิท 


 


แต่ยิ่งเดินไปตามทางเดิน แผ่นหลังของวิเวียนที่เคยเห็นเป็นเพียงแค่เงาก็เริ่มมองชัดขึ้นทีละนิด แสงกำลังค่อยๆ ส่องตรงทางเดิน พอเงยหน้าขึ้นไปอีกเล็กน้อยจึงได้เห็นว่ามีแสงเล็ดลอดออกมาจากระหว่างประตูห้องตรงปลายสุดของทางเดิน 


 


วิเวียนเปิดประตูที่เคยแง้มแค่นิดเดียวให้กว้างกว่าเดิม พอเดินตามหลังเข้าไปจึงได้เห็นห้องทดลองสำหรับแปรธาตุที่เธอกับชินซังยงตกแต่งเอาไว้ ไม่สิ พูดตามตรงว่าทั่วทุกที่มันรกรุงรังไม่เป็นระเบียบน่าจะถูกต้องกว่าตกแต่งหรือเปล่า 


 


ห้องทดลองสำหรับแปรธาตุกว้างมากและเพดานก็ค่อนข้างสูง พอมองรอบๆ ภายในห้องที่มีแสงไฟในตะเกียงพริ้วไหวอย่างช้าๆ จู่ๆ ผมก็นึกถึงห้องทดลองที่เคยเห็นในอดีตคุกใต้ดินของนักเล่นแร่แปรธาตุวิเวียนขึ้นมา มองว่าเหมือนกันเปี๊ยบไม่ได้ก็จริง แต่ไม่รู้ทำไม ร่องรอยของที่นั่นเห็นอยู่ทั่วห้องอย่างชัดเจน 


 


“เตรียมเกือบเสร็จแล้ว อีกไม่นานจะเริ่มละนะ เดิมทีตั้งใจจะทำกันแค่พวกเราสองคน แต่ถึงอย่างนั้นคิมซูฮยอนก็น่าจะจำเป็นจะต้องจับตาดูขั้นตอนในการเล่นแร่แปรธาตุทำยาวิเศษ” 


 


“ฉันไม่เป็นไรหรอก ถ้ารบกวนเดี๋ยวจะออกไปรอข้างนอก” 


 


“ไม่หรอก แค่อยู่เงียบๆ ที่มุมหนึ่งก็พอ” 


 


เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องยาก พอผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินไปอยู่ตรงมุมมุมหนึ่ง วิเวียนเองจึงเคลื่อนไปทางเตาไฟสีดำขนาดใหญ่ที่ถูกวางเอาไว้ตรงกลางเช่นกัน 


 


พื้นของห้องทดลองมีวงแหวนเวทสามวงถูกกางไว้ วงแหวนเวทวงใหญ่แผ่ขยายคลุมทั่วทั้งพื้นหนึ่งวง วงแหวนเวทที่กางอยู่ข้างใต้เตาไฟหนึ่งวง และวงแหวนเวทเล็กๆ ที่กางอยู่ในวงแหวนเวทวงใหญ่อีกทีหนึ่งวง แต่ที่พูดมาก็เป็นเพียงวงแหวนเวทที่เห็นด้วยตาเท่านั้น 


 


วงแหวนเวทที่กางอยู่ด้านในมีรูปแบบเป็นดาวหกแฉก ตรงส่วนปลายของมุมรูปสามเหลี่ยมแต่ละมุมมีหัวใจปีศาจ หินรวมพลังแห่งฮอร์แรนซ์ ชิ้นส่วนวิญญาณของวิเวียน เขายูนิคอร์น และโพชั่นพิเศษทางด้านกำลังกายถูกวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย ชินซังยงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงด้านหน้าของวงแหวนเวทนั้น 


 


ชินซังยงไม่ได้หลับตา ถึงแม้ว่าผมจะเข้ามาแต่เขาก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นแล้วเพียงแต่ก้มลงมองวงแหวนเวทในสภาพหรี่ตาเท่านั้น 


 


พอมองดูท่าทางแบบนั้น ผมจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก พวกนักเวทหรือนักเล่นแร่แปรธาตุ ตอนที่ได้ทำการทดลองสำคัญๆ จำเป็นจะต้องมีสมาธิในระดับสูงสุด เนื่องจากมีการคิดคำนวณอย่างละเอียดอ่อนด้วย ถ้าบิดพลิ้วไปแม้จะแค่นิดเดียว ก็อาจจะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนกลับคืนได้ ในหัวของชินซังยงในตอนนี้คงจะมีเพียงขั้นตอนในการทำให้การแปรธาตุทำยาวิเศษสำเร็จขึ้นได้แน่ 


 


“คิมซูฮยอน จะเริ่มแล้วนะ เวลาที่ใช้น่าจะไม่ได้นานขนาดนั้น เต็มที่ก็สามสิบนาที บางทีอาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้” 


 


“สามสิบนาทีก็รอได้” 


 


“ถ้างั้นฉันก็อดใจไม่ไหวแล้ว ชินซงยัง ฉันจะเรียกออร์โดมาแล้วนะ เตรียมตัวแล้วก็ต้องทำให้จังหวะพอดีกันด้วย” 


 


ชินซังยงไม่ตอบ เขาเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น แต่วิเวียนก็ไม่สนใจแล้วยื่นมือขวาไปด้านข้าง ทันใดนั้น ก้อนแสงที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นมาบนมือของเธอแล้วแสดงให้เห็นรูปทรงที่ยืดยาวออก นั่นคือออร์โดแห่งข้อบังคับที่ทำพิธีส่งมอบเจ้าของเสร็จสิ้นเมื่อก่อนหน้านี้ 


 


“ฟู่” 


 


วิเวียนปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วจึงเล็งออร์โดไปทางวงแหวนเวทพร้อมกับร่ายเวทสั้นๆ ตอนนั้นเอง ประกายสีแดงก็เหมือนจะส่องออกมาตรงวงแหวนเวทที่กางไว้อยู่ข้างใต้เตาไฟ จากนั้นเปลวไฟก็เริ่มลุกโชนขึ้นมากลางอากาศ 


 


วูมมมม 


 


เตาไฟร้อนมากขึ้นและแสงไฟที่ลุกขึ้นมาจากวงแหวนเวทก็เริ่มแพร่กระจายออกกว้าง ไม่ใช่แค่แพร่กระจายออกไปเฉยๆ ถึงแม้มองผ่านๆ จะดูเหมือนแต่ละอย่างมันเกิดขึ้นเองแบบไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่จริงๆ แล้วมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จากนั้นพอเปลวไฟสีแดงโหมเข้าไปในวงแหวนเวทวงใหญ่ที่กางไว้ ภายในห้องก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาในชั่วพริบตา 


 


วูมมมมมมมม! 


 


ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร เสียงดังวุานวายก็ยิ่งกระหึ่มมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเสียงของวงแหวนเวทที่ถูกใช้งานค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิภายในห้องก็ยิ่งพุ่งพรวดขึ้นโดยไม่ลดลงเลย และในตอนที่ฐานของเตาไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับของเหลวด้านในเดือดพล่าน แสงสีแดงที่ค่อยๆ โหมเข้าไปจากด้านนอกก็สัมผัสกับส่วนปลายสุดของมุมดาวหกแฉก 


 


และแล้วชินซังยงซึ่งอยู่นิ่งๆ มาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดจึงเริ่มขยับตัวให้เห็น 


 


วิเวียนกำลังร่ายเวทอย่างต่อเนื่อง แล้วพอบทเวทของชินซังยงเริ่มต้นขึ้น เสียงพูดของทั้งสองคนก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาดแล้วดังก้องขึ้นมา 


 


ออร์โดแห่งข้อบังคับกำลังเล็งไปทางดาวหกแฉกโดยไม่รู้ตัว มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ว่าพลังเวทมากมายมหาศาลกำลังหมุนเวียนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองอย่างนั้น

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 20

 

เวลาผ่านไปแบบนั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ ในตอนที่ใบหน้าของทั้งสองคนมีหยาดเหงื่อผุดขึ้น ในที่สุดการเล่นแร่แปรธาตุทำยาวิเศษที่เคยคงสภาพ ณ ตอนนี้เอาไว้ได้ระยะหนึ่งก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง 


 


‘ละลายเหรอ’ 


 


เป็นตามที่พูดไป ส่วนผสมที่ถูกจัดวางเอาไว้ตรงมุมสุดของดาวหกแฉกกำลังละลายอย่างช้าๆ ถึงแม้จะทีละนิดมากๆ ก็ตาม ส่วนผสมห้าอย่างที่่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นของเหลวแบบนั้น พอเวลาผ่านไปห้านาที มันก็ละลายจนหมด และในตอนที่รู้สึกว่ามันเข้าไปเติมเต็มสามเหลี่ยมที่ส่วนผสมแต่ละอันเคยจับจองเอาไว้ เสียงแข็งกร้าวของวิเวียนก็ดังลั่นขึ้นมา 


 


“ชินซังยง! อีกเดี๋ยวจะปลดปล่อยแล้ว เตรียมตัว! ห้ามให้มันปนกันแม้แต่นิดเดียวนะ ห้ามเด็ดขาด!” 


 


คราวนี้เขาไม่แม้แต่จะพยักหน้า ภาพลักษณ์ยิ้มแย้มแบบเงอะๆ งะๆ ในตอนปกติได้หายไปจนหมด ตอนนี้เขาเพียงแค่ทำตาเป็นประกายเจิดจ้าแล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้าเท่านั้น 


 


ในตอนที่แสงของดาวหกแฉกที่เคยลุกพรึ่บกลับดับลงพรวดเดียว ชินซังยงที่หรี่ตาเอาไว้ตลอดก็เบิกตาโพลงขึ้นมาหนึ่งครั้ง จากนั้นวงแหวนเวทที่ส่องสว่างจนแสบตาซึ่งประกอบไปด้วยพลังเวทก็พุ่งออกมาจากมือทั้งสองข้างของเขา 


 


พอแสงของดาวหกแฉกที่กักเก็บพวกส่วนผสมเอาไว้ดับไป ส่วนผสมที่เปลี่ยนไปเป็นของเหลวก็ไหลออกไปในชั่วพริบตา ไม่สิ ในตอนที่มันกำลังจะไหลออกไป 


 


“จัตุรัสกลแห่งความกลมกลืน” 


 


ในที่สุด ชินซังยงก็พูดขึ้นมาเป็นคำแรก พูดตามตรงว่าสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เพราะฉะนั้นผมก็เลยกำลังสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของเขาอยู่ แต่ดูจากแววตาของวิเวียนที่เคยมองอย่างกังวลกลับแปรเปลี่ยนเป็นโล่งใจ ดูเหมือนคงจะสบายใจแล้ว เธออ้าปากพะงาบซ้ำๆ เหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากไป 


 


ผมกลัวว่าจะพลาดขั้นตอนการทำยาวิเศษจากการเล่นแร่แปรธาตุจึงมองดูอย่างไม่ให้มีอะไรตกหล่นเลยแม้แต่อย่างเดียว จัตุรัสกลแห่งความกลมกลืนเข้าไปแทนตรงจุดที่ดาวหกแฉกหายไป และในตอนนั้น ของเหลวต่างๆ ก็คลุกเคล้าเข้าด้วยกันในวงแหวนเวท 


 


ตอนแรกมันไม่ได้ผสมเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ของเหลวสีขาว สีดำ และสีฟ้าต่างก็ไม่ยอมคลุกเคล้าเข้าด้วยกันเหมือนน้ำกับน้ำมันอย่างกับกำลังประลองกำลังกัน และแล้ว ชินซังยงก็ยื่นมือไปอยู่ด้านบนอย่างนุ่มนวลราวกับว่ายน้ำ เป็นการเคลื่อนไหวมือที่อ่อนช้อยจนนึกไม่ถึงว่าเป็นคนพูดติดอ่าง 


 


วิเวียนหยุดถ่ายเทพลังเวทไปในดาวหกแฉกและกำลังตรวจดูเตาไฟ เธอชำเลืองมองชินซังยงเป็นครั้งคราว แต่ดูเหมือนหน้าที่ลำดับแรกคงจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ดูจากที่เธอยังไม่เก็บออร์โดกลับคืนไปก็คงจะเหลือขั้นตอนที่จะต้องทำอยู่แน่ 


 


วูม! วูม! วูม! วูม! 


 


รอบของเสียงที่ดังขึ้นซ้ำๆ ค่อยๆ สั้นลงทีละนิด แม้ไม่รู้ว่าในฐานะคนที่มาดูเฉยๆ จะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเปล่า แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง คงเป็นความรู้สึกที่แทบจะตายเลยทีเดียว มองไม่เห็นด้วยตาก็จริง แต่ก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของพลังเวทมากมายภายใต้วิธีการเหล่านั้น 


 


“อึก! อึกก!” 


 


ทุกครั้งที่เกิดการสั่นสะเทือน ชินซังยงก็จะเปล่งเสียงด้วยความทรมานออกมา แต่ผมกลับมองท่าทีนั้นแล้วก็ไม่ได้คิดว่าช่วยอะไรไม่ได้เลยเหรอ ตามที่วิเวียนพูด สิ่งที่ผมสามารถทำได้ที่นี่ีมีเพียงแค่จับตาดูอย่างเดียวเท่านั้น 


 


‘ผสมกันแล้ว’ 


 


พอเวลาผ่านไปยี่สิบนาทีแล้วกำลังจะไปถึงยี่สิบห้านาที การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองก็เริ่มขึ้นตามที่วิเวียนบอกล่วงหน้า ของเหลวที่เคยคลุกเคล้าเข้าด้วยกันช้าๆ และมองเห็นว่ามันไม่เข้ากัน ตอนนี้กลับผสมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วทำให้เกิดของเหลวอันมากมายอย่างหนึ่งขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว 


 


สีของของเหลวที่ผสมเข้าด้วยกันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มันมีสีดำ แล้วก็กลายเป็นสีขาว แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า แล้วก็กลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง ทุกครั้งที่กะพริบตา สีของมันก็จะเปลี่ยนไป 


 


และชินซังยงก็กำลังปรับมันให้สมดุลในสภาพเหงื่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำฝน เขาคงสภาพจัตุรัสกลแห่งความกลมกลืนเอาไว้โดยที่ตายังคงเบิกกว้างโดยไม่มีจังหวะจะให้หลับตาลงเลยสักครั้ง 


 


จากนั้นสีของของเหลวที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องก็หยุดเปลี่ยน สีที่หยุดเปลี่ยนแปลงคือสีดำ แต่ไม่ใช่สีดำสนิทเหมือนสีนิล แต่เป็นสีดำอ่อนๆ จนมองว่าสว่างได้ และในตอนที่สีหยุดเปลี่ยนแปลง ริมฝีปากของชินซังยงที่ปิดแน่นมาจนถึงตอนนี้ก็เปิดออกพูดขึ้นอย่างมีพลัง 


 


“เสร็จแล้วครับ!” 


 


พอได้ยินเสียงตะโกนของชินซังยง เวทของวิเวียนก็ดังขึ้นต่อโดยไม่เว้นว่างเลยแม้แต่น้อย พอเล็งออร์โดที่ถืออยู่ในมือขวาไป วงแหวนเวทหนึ่งวงก็ปรากฏขึ้นมาแล้วค่อยๆ ห่อหุ้มรอบๆ ของเหลวเอาไว้ 


 


และในตอนที่มันห่อหุ้มของเหลวไว้ทั้งหมด เธอจึงยื่นมือซ้ายออกไปแล้วค่อยๆ กำหมัด ทันใดนั้น วงแหวนเวทก็ลอยขึ้นมา ของเหลวเองก็ลอยคว้างขึ้นมากลางอากาศเช่นเดียวกัน จากนั้นวิเวียนก็เริ่มทำให้มันเป็นก้อนเดียวกันในท่ากำหมัด 


 


ในตอนที่ของเหลวเปลี่ยนรูปร่างมาเป็นลูกแก้วขนาดพอดีๆ วิเวียนจึงเคลื่อนย้ายมันอย่างระมัดระวังแล้วทำให้มันหล่นตุ้บลงไปในเตาไฟ 


 


แล้วทั้งสองก็ร่ายเวทอีกครั้ง ครั้งนี้งานที่ทั้งสองคนร่วมมือกันทำคงสำเร็จลงแล้ว พวกเขาจึงกำลังทำหน้าที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบ โดยวิเวียนจดจ่ออยู่กับเตาไฟ ส่วนชินซังยงก็รับผิดชอบของที่อยู่ในเตา  


 


เสียงเดือดพล่านดังขึ้นพร้อมกับมีควันแปลกประหลาดพวยพุ่งขึ้นมาจากเตาไฟ พอยื่นหัวไปสำรวจดูด้านในจึงได้เห็นว่าสิ่งที่เคยบรรจุอยู่เต็มเตากำลังลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว บางทีถ้าเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่ละก็ น่าจะเป็นกระบวนการในการดูดซึมส่วนผสมที่เตรียมไว้เป็นตัวเสริมให้กับโพชั่นพิเศษที่ผสมกันแล้ว 


 


ทันทีที่ของเหลวซึ่งเคยมีอยู่เต็มหม้องวดลงจนเห็นถึงก้นหม้อ ทั้งสองคนจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงตามๆ กัน วิเวียนเป็นคนแรก ส่วนชินซังยงคือคนต่อมา และดูจากที่แสงที่เคยส่องสว่างก็ค่อยๆ ดับลง ผมจึงเดาได้คร่าวๆ ว่างานน่าจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว 


 


ทั่วทั้งร่างของวิเวียนกับชินซังยงเปียกปอนไปด้วยเหงื่อ พวกเขาหายใจหอบรัวและเดินโซเซเล็กน้อย ดูเหมือนกับจะเป็นลมล้มไปเสียตอนนี้เลย ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันแล้วจึงหันมาทางผมอย่างพร้อมเพรียงกัน 


 


คนที่ปริปากพูดขึ้นก่อนคือชินซังยง 


 


“หะ หัวหน้า” 


 


“เหนื่อยมากเลยนะครับ” 


 


คงได้ยินคำตอบของผม ชินซังยงจึงยิ้มบางๆ ให้เห็น จากนั้นเขาก็ตาเหลือกแล้วล้มลงไปทั้งอย่างนั้น ดูจากการที่มีเสียงดังตึงออกมาจากหัวที่ฟาดลงกับพื้น คงจะหมดสติไปทันทีแน่ๆ 


 


วิเวียนก็ไม่ได้เป็นปกตินัก เส้นผมที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากคงทำให้อารมณ์ไม่ดี เธอจึงทำหน้าบูดบึ้งพลางถุยมันออกจนเกิดเสียง จากนั้นจึงเรียกชื่อผม 


 


“คิมซูฮยอน เสร็จแล้วล่ะ เอาไปได้เลย” 


 


“อืม เธอก็เหนื่อย…” 


 


ฮวบ 


 


ผมยังตอบไม่ทันจบ ร่างของเธอก็ล้มพับไปด้านข้างราวกับว่ากำลังกายของวิเวียนเองก็หมดเกลี้ยงเหมือนๆ กัน ดูจากที่ในระหว่างนั้น เธอก็ยังคงยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปทางเตาไฟอย่างยากลำบาก คงจะมีความหมายว่าให้รีบเอาไปแน่ๆ 


 


ภายในห้องยังคงเต็มไปด้วยความร้อน ผมทำใจที่เต้นตึกตักให้สงบลงแล้วก้าวเดินไปทางเตาไฟอย่างสุขุม จากนั้นก็มองเข้าไปด้านใน ของเหลวที่เคยมีอยู่อย่างท่วมท้นและแยกออกเป็นสามสีกลับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่ตาของผมมองเห็นมีอยู่เพียงอย่างเดียว มีเพียงโพชั่นพิเศษขนาดเล็กกว่ากำปั้นที่ส่องแสงสีทองอ่อนๆ ออกมาอย่างเดียวเท่านั้น 


 


 


 


พอนั่งลงโดยหันหลังให้หน้าต่าง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีแสงสว่างส่องเข้ามาทางด้านหลัง พอเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยจึงได้เห็นว่าห้องที่เคยมืดมิดได้สว่างขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ผมถอนหายใจยาวออกมาแล้วก้มลงมองโต๊ะหนังสืออีกครั้ง บนโต๊ะมีลูกแก้วสองลูกกำลังส่องแสงระยิบระยับและเผยให้เห็นการมีอยู่ของตน 


 


ผมเริ่มอ่านข้อมูลของมันด้วยดวงตาที่สามอีกครั้ง 


 


 


 


[น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์(Tears Of Elf Queen)] 


 


หยาดน้ำตาที่ใส่ความรู้สึกที่แท้จริงของราชินีแห่งเอลฟ์ มาร์การิต้า เธอถูกจอมเวทผู้ชั่วร้ายชักจูงให้ไปในทางที่ไม่ดี และในตอนที่เผชิญกับช่วงเวลาสุดท้าย เธอก็ใส่ความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองไว้ในหยาดน้ำตาแล้วปล่อยให้มันไหลลงมา เมื่อรับประทานเข้าไป แต้มของค่าความสามารถจะเกิดขึ้นใหม่สองแต้ม แต้มของค่าความสามารถที่เสริมเข้ามาจะสามารถทำให้สูงขึ้นได้ตามที่ผู้เล่นต้องการ 


 


 


 


[โพชั่นพิเศษที่กักเก็บความเคารพนับถือและความรัก] 


 


ยาวิเศษสำหรับพลังในการมองการณ์ไกลที่ทำขึ้นโดยคนหนึ่งใส่ความรัก ส่วนอีกคนใส่ความหมายของความเคารพนับถือ เพื่อผู้เล่นคนหนึ่งที่มีกำลังกายแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ส่วนผสมที่มีอยู่ในนี้ก็เป็นส่วนผสมของมันก็จริงแต่มีคุณสมบัติที่ขัดแย้งกันและไม่สามารถผสมเข้าด้วยกันได้ ซึ่งเรียกว่าแสงกับความมืด แต่ก็ทำให้คุณสมบัติที่ขัดแย้งกันนั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยความสามารถที่เรียกว่า ‘จัตุรัสกลแห่งความกลมกลืน’ แล้วดึงประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา 


 


1.ช่วยเพิ่มค่าความสามารถด้านความแข็งแกร่งขึ้น 10 พอยต์ แต่มีเพียงผู้เล่นที่มีค่าความแข็งแกร่งต่ำกว่า 72 เท่านั้นที่จะสามารถรับประทานได้ 


 


2.ช่วยเพิ่มค่าความสามารถด้านพลังเวทขึ้น 2 พอยต์ แต่มีเพียงผู้เล่นที่มีค่าพลังเวทต่ำกว่า 90 เท่านั้นที่จะสามารถรับประทานได้ 


 


 


 


ผมพาทั้งสองคนที่เหนื่อยล้าจากการทำยาวิเศษด้วยการเล่นแร่แปรธาตุเข้าไปในห้องพัก จากนั้นผมก็กลับมาที่ห้องทำงานชั้นสี่อีกครั้ง แล้วสุดท้ายก็โต้รุ่งอยู่ที่นี่ทั้งคืน 


 


เพิ่มค่าความแข็งแกร่งขึ้นสิบแต้ม เป็นตัวเลขที่มหาศาลจริงๆ แน่นอนว่าหากได้รับโพชั่นวิเศษด้านความแข็งแกร่งสองอันเข้าไป โดยพื้นฐานก็น่าจะได้หกพอยต์ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะสามารถเพิ่มมันมากขึ้นได้อีกถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้อย่างอิสระแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ก็ทำสถิติตัวเลขที่สูงถึง สี่พอยต์ มากกว่า ‘น้ำตาทูตสวรรค์’ ที่เคยทำให้ฮอลล์เพลนวุ่นวายเมื่อก่อนอีก 


 


ผมอ่านข้อมูลนี้แล้วจมอยู่ในห้วงความคิดประมาณห้าหมื่นอย่างในช่วงเช้ามืด พร้อมกับลองคิดคำนวณความเป็นไปได้ในหลายๆ ทางมากมาย เพราะผมไม่อยากทำพลาดเช่นเดียวกันกับเมื่อก่อนอีกแล้ว และเมื่อเวลาเช้ามาถึง ผมจึงสามารถตัดสินใจได้ 


 


ถ้าทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นตอนนี้ จากนี้ไปการที่ทำให้ค่าความแข็งแกร่งสูงขึ้นด้วยโพชั่นวิเศษอื่นๆ อีกก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้น เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว แต่ผมตัดวินใจว่าจะทำโพชั่นวิเศษในครั้งนี้ตั้งแต่แรกพร้อมกับคิดจะแก้ปัญหาเรื่องค่าความแข็งแกร่งไปด้วย 


 


ผมรู้สภาพร่างกายของผมดี หากปล่อยความแข็งแกร่งของกำลังกายเอาไว้นานกว่านี้ หลังจากนี้อาจจะพบเจอกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาได้จริงๆ ก็ได้ เพราะอย่างนั้น ผมจึงไม่คิดจะรออีกต่อไป นั่นหมายความว่านี่คือโอกาสเดียวเท่านั้น โอกาสสุดท้ายที่จะเอาเจ็ดสิบพอยต์มาได้ 


 


‘บังเอิญค่าความสามารถในตอนนี้ถูกจำกัดอยู่พอดีด้วย ถ้าเพิ่มขึ้นสิบพอยต์…จะมองว่าโอกาสที่จะเพิ่มสูงกว่านี้ในอนาคตแทบไม่มีแล้วก็ได้ น่าเสียดายเรื่องพลังเวท แต่ก็…’ 


 


ผมยังคงคิดอะไรมากมาย แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งมีไม่พอก็เลยอยากหลีกเลี่ยงที่จะปล่อยให้มันยืดเยื้อต่อไป ผมตัดสินใจแบบนั้นแล้วจึงกำโพชั่นทั้งสองไว้ในมือข้างเดียวราวกับถูกล่อลวงด้วยอะไรบางอย่าง จากนั้นผมก็เอามันมาตรงหน้าแล้วใส่เข้ามาในปากหมดรวดเดียว 


 


น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์ขนาดเท่าลูกแก้วปกติทั่วไป ส่วนโพชั่นวิเศษที่กักเก็บความรักและความเคารพนับถือก็ใหญ่กว่านั้นเพียงนิดหน่อย ขนาดเล็กกว่ากำปั้น ผมเอามันทั้งสองอย่างใส่ปากในครั้งเดียว แต่พออ้าปากออกกว้าง ก็สามารถเอามันใส่เข้ามาได้อย่างไม่ทุลักทุเลเกินไป ในตอนที่ผมเริ่มค่อยๆ ขยับลิ้น ผมก็รู้สึกได้ว่าโพชั่นที่เข้ามาอยู่ในปากเรียบร้อยแล้วแตกโป๊ะออก 


 


‘อร่อย’ 


 


ตอนแรกผมรู้สึกชาๆ นิดหน่อยเพราะมันแตกออกอย่างกะทันหัน แต่จากนั้นรสชาติเย็นๆ สดชื่นก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วด้านในปาก มันกระตุ้นทั่วทั้งลิ้นอย่างนุ่มนวล ถึงขนาดทำให้อยากมีมันอยู่ข้างในปากไปเรื่อยๆ แต่เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ ในตอนที่มันละลายพอสมควรแล้ว ผมจึงกลืนมันลงไปทันที แล้วผมก็รอคอยข้อความที่จะโผล่ขึ้นมากลางอากาศพร้อมๆ กับความคาดหวังเผื่อเอาไว้ 


 


 


 


[รับประทานน้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์เรียบร้อยแล้ว พอยต์ของค่าความสามารถอิสระเพิ่มขึ้นสองพอยต์] 


 


[รับประทานโพชั่นวิเศษที่กักเก็บความรักและความเคารพนับถือเรียบร้อยแล้ว แต้มของค่าความสามารถสำหรับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 10 พอยต์ แต้มของค่าความสามารถพลังเวทมีการจำกัด เพราะฉะนั้นจึงไม่รวมอยู่ในส่วนที่เพิ่มขึ้นมา]

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 21

 

“ชิ” 


 


 


พออ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ผมถึงกับจิ๊ปากออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมเสียดายสองพอยต์สำหรับค่าพลังเวทก็เลยลองกินเข้าไปเผื่อว่ามันจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ผมจิ๊ปากต่อไปด้วยความเสียดาย แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดหัวเราะคิกออกมาเพราะความคิดที่แวบขึ้นมาอย่างกะทันหัน 


 


 


‘อิ่มละสิ’ 


 


 


ตอนรอบแรก ผมเคยหาอะไรแบบนี้ไม่ได้เลยสักอย่างก็เลยพยายามอย่างมาก แน่นอนว่าครั้งนี้มีส่วนผสมในระดับนั้นผสมอยู่ก็จริง แต่พูดตามตรงว่าแม้จะแค่สิบพอยต์แต่ก็เป็นผลสำเร็จอย่างมหาศาล 


 


 


ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าความโลภมากของผู้เล่นก็คงไม่มีวันหมดสิ้น ถึงแม้จะถึงแค่เมื่อครู่นี้แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงรสขมปร่าข้างในปากที่เคยเย็นสดชื่น ผมเลียริมฝีปากครั้งสองครั้งแล้วทำใจให้สงบ จากนั้นผมจึงเปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นขึ้นมา 


 


 


 


 


 


[พละกำลัง 96(+2)] [ความทนทาน 92] [ความคล่องแคล่ว 98] [ความแข็งแกร่ง 72] [พลังเวท 96] [โชค 90(+2)] 


 


 


ค่าความสามารถที่คงเหลืออยู่ รวมค่าความสามารถอิสระ 14 พอยต์กับค่าความสามารถสำหรับความแข็งแกร่ง 10 พอยต์ เป็นทั้งหมด 24 พอยต์ 


 


 


 


 


 


ทั้งหมดยี่สิบสี่พอยต์ ส่วนสิบพอยต์ในนั้นมีข้อแม้ว่าเป็นพอยต์สำหรับค่าความแข็งแกร่งอยู่ แต่ถ้านึกถึงเรื่องที่ว่าอย่างไรมันก็จะต้องเพิ่มขึ้น ก็เป็นตัวเลขที่มหาศาลอย่างเห็นได้ชัด ผมยกนิ้วขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็หยุดการกระทำโดยอัตโนมัติ  


 


 


แน่นอนว่าผมตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาเรื่องความแข็งแกร่ง ความรู้สึกนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่บางทีโอกาสที่เคยคิดว่าเป็นโอกาสสุดท้ายอาจจะกลับมาอีกครั้งก็ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ทำให้ค่าความสามารถที่คงอยู่นี้เพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่ถ้าคงเอาไว้ได้ในช่วงแปดสิบพอยต์ก็น่าจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นด้วยโพชั่นพิเศษอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่เหรอ  


 


 


‘ไม่สิ แต่ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ก็น่าจะ…ทนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ’ 


 


 


การฟื้นคืนความแข็งแกร่งนั้นเชื่องช้ามาก เรื่องนั้นผมเองก็รู้ดี ผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากไปออกสำรวจที่เมืองเวทมนตร์มาเจียมายังคงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ภายในร่างกาย นี่หมายความว่า ผมได้รับการบาดเจ็บภายในร่างกายในระดับจัดการได้ยากด้วยค่าความแข็งแกร่งเจ็ดสิบสองพอยต์ 


 


 


ผมไม่สามารถยืนยันอะไรได้สักอย่างเลยว่า ถ้าตั้งใจจะทำให้สภาพนี้กลับไปเป็นเช่นเดิมจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน และต่อให้มันเพิ่มขึ้นมาถึงช่วงแปดสิบพอยต์แล้ว อาการบาดเจ็บภายในร่างกายจะถูกรักษาให้หายด้วยหรือเปล่า 


 


 


ผมคิดซ้ำๆ มาตลอดทั้งเช้ามืด แต่ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ชัดๆ ว่าจะต้องทำแบบนี้ๆ ผมได้แต่ใช้นิ้วชี้เคาะลงบนโต๊ะอย่างเรื่อยเปื่อยแล้วถอนหายใจยาวเหยียดออกมา 


 


 


ใจของผมอึดอัดไปหมด แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบแล้วนึกเสียใจทีหลัง ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดจึงปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นไป สำหรับตัวผมในตอนนี้จำเป็นจะต้องมีคำแนะนำของใครบางคนอย่างเร่งด่วน ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าจะตามหาคนที่รู้เกี่ยวกับฮวาจองเป็นอย่างดีมากกว่าผม ผมก็นึกออกเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น 


 


 


เซราฟ 


 


 


ถึงแม้จะไม่ชอบใจ แต่ถ้านอกเหนือจากตอนสุดท้ายในช่วงรอบแรกแล้ว อย่างน้อยผมก็ไม่เคยได้รับความเสียหายเลยแม้แต่ครั้งเดียวหากฟังคำพูดของเธอ ในฐานะที่เธอเป็นทูตสวรรค์ผู้รับหน้าที่เป็นตัวช่วยของผู้เล่น เธอจึงให้คำชี้แนะที่เหมาะสมอยู่เสมอ 


 


 


ความมืดที่เติมเต็มภายในห้องจางหายไปจนหมดสิ้น แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องแสงทะลุหน้าต่างเข้ามา เวลาประมาณนี้เป็นเวลาที่คนสักคนสองคนน่าจะตื่นจากการหลับใหล 


 


 


ผมคิดว่าน่าจะลองออกไปก่อน ดังนั้นจึงลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วผลักประตูออกไป ในตอนนั้น จู่ๆ ผมก็คิดถึงชื่อของโพชั่นวิเศษขึ้นมาได้ 


 


 


‘นึกดูแล้ว…ชื่อของโพชั่นคืออะไรนะ’ 


 


 


 


 


 


สมาชิกเผ่าที่ตื่นนอนนั่งรวมกันอยู่ในห้องอาหารชั้นหนึ่งตามที่คาดการณ์ไว้ จริงๆ แล้วเมื่อคืนเดินไปทั่วแคลนเฮาส์อย่างวุ่นวายแล้วเข้านอนค่อนข้างช้า เพราะฉะนั้นก็น่าจะหิวข้าวกัน ดูเหมือนว่าโกยอนจูผู้ขยันหมั่นเพียรจะซื้อวัตถุดิบทำอาหารมาตอนเช้ามืด พวกเราจึงได้กินอาหารที่แสดงให้เห็นฝีมือของเธอหลังจากไม่ได้กินมานาน 


 


 


“นี่ อียูจอง เธอลองเข้าห้องน้ำดูหรือยัง” 


 


 


“อือ พอตื่นมาก็ลองเข้าเลยน่ะ มีอะไรสักอย่างต่างกับที่เคยใช้ที่โรงแรมด้วยละ ฮึๆๆ” 


 


 


“ลองแตะเบาๆ ตรงหินแล้วน้ำก็ทะลักไหลโจ๊กออกมาจากวงแหวนเวทเลยค่ะ จะว่ามีอะไรแตกต่างมันก็แตกต่างจริงๆ ค่า” 


 


 


“คราวหน้าฉันอยากจะลองใช้โรงอาบน้ำสาธารณะสักครั้งเหมือนกัน แน่นอนว่าที่นั่นจะต้องมีห้องอาบน้ำอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่าสร้างซาวน่าเอาไว้จริงๆ ด้วยนะ” 


 


 


“อย่างนั้นเองสินะครับ เจ๊ฮายอน เทพธิดาของพวกเราชาวเมอร์เซนต์นารี่” 


 


 


“ฮยอน นาย ถ้าล้ออีกฉันจะด่าแล้วนะ” 


 


 


คงไม่ได้รู้สึกประหม่าอะไรในการนั่งจับจองโต๊ะเพียงตัวเดียวในห้องอาหารกว้างใหญ่นี้ สมาชิกเผ่าจึงกินอาหารอย่างมูมมามและกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผมไม่เห็นวิเวียนกับชินซังยง ดูเหมือนว่าการทำโพชั่นพิเศษจะสิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะปลุกเท่าไรก็คงจะไม่ตื่น 


 


 


พอตักสตูที่ใส่เนื้อลงไปอย่างเต็มที่ขึ้นมาหนึ่งช้อน โกยอนจูซึ่งเหลือบมองสังเกตท่าทีของผมตั้งแต่เมื่อครู่นี้จึงพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ซูฮยอน อาหารถูกปากหรือเปล่าคะ” 


 


 


“อาหารที่โกยอนจูทำให้อร่อยเสมอเลยนะครับ” 


 


 


“ก็ใช้ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นละค่ะ” 


 


 


พอเคี้ยวสตูช้าๆ พร้อมกับพยักหน้า โกยอนจูก็วางส้อมที่ถืออยู่ลงเบาๆ จากนั้นจึงเอี้ยวตัวมาทางผมพร้อมกับพูดขึ้น 


 


 


“คือว่า บ่ายวันนี้น่ะค่ะ มีกำหนดการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” 


 


 


“ครับ ผมวางแผนว่าจะแวะไปที่แท่นบูชาครับ เป็นปัญหาสำคัญนิดหน่อย…ว่าแต่ทำไมถามเรื่องนั้นล่ะครับ” 


 


 


“อ๋อ~ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ตอนนี้ก็มีแคลนเฮาส์แล้ว ก็จะต้องจัดการโครงสร้างภายในไม่ใช่เหรอคะ อย่างเช่นพวกลูกจ้าง…” 


 


 


“เรื่องลูกจ้างก็ อีกเดี๋ยวจะต้องหามาอยู่แล้วละครับ ชาวเมืองมีอยู่เยอะแยะไป นอกเหนือจากนั้นก็ ก่อนอื่นลองดูรอบๆ คร่าวๆ ภายในวันนี้แล้วถ้ามีอะไรจำเป็นก็ช่วยจดเอาไว้หน่อยนะครับ แล้วก็ตอนประชุมวันพรุ่งนี้ค่อยพูดเสนอก็ได้ครับ” 


 


 


“…อ้า ค่ะ” 


 


 


คำตอบที่ช้าไปหนึ่งจังหวะ เป็นเพียงแค่แวบเดียวก็จริง แต่สีหน้าก่อนตอบก็แข็งทื่อเล็กน้อย ผมพูดไปโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แต่รู้สึกเหมือนจะพูดอะไรผิดไปเสียแล้ว จึงตั้งใจจะคิดทบทวนคำที่พูดออกไป แต่แล้วตอนนั้น คิมฮันบยอลที่เอาอาหารใส่ปากของลูกยูนิคอร์นก็เงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อย 


 


 


“คือว่า…พี่ วันนี้จะไปแท่นบูชาเหรอคะ” 


 


 


“อือ” 


 


 


“ฉันก็มีเรื่องที่จะไปแท่นบูชาวันนี้เหมือนกัน…ก่อนหน้านี้มีการเรียกตัวเข้ามาน่ะค่ะ รู้สึกว่าช้ามากเกินไปแล้วด้วย…” 


 


 


“งั้นเหรอ ถ้างั้นไปพร้อมกันก็ได้ จัดห้องเก็บของให้เสร็จแล้วจะไปทันที เพราะฉะนั้นเตรียมตัวไว้แล้วกัน” 


 


 


“ค่ะ พี่” 


 


 


คิมฮันบยอลยิ้มอย่างสดใสพลางพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มป้อนอาหารให้ลูกยูนิคอร์นที่กำลังอ้าปากกว้างรออีกครั้ง พอเธอถามว่า “อร่อยไหม” มันก็ยิ้มอย่างสดใสพร้อมกับร้องดังฮี้ 


 


 


ผมมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง และในตอนที่ผมเองก็กำลังจะกินอาหารที่เหลือนั้น 


 


 


“พี่! พี่!” 


 


 


ครั้งนี้อียูจองเรียกเสียงดังอย่างเต็มที่และขัดขวางไม่ให้ผมกินอาหาร พอวางช้อนกับตะเกียบที่กำลังจะยกขึ้นมา เธอจึงทำสีหน้าเหมือนต้องการอะไรบางอย่างอย่างแรงกล้าพลางประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน 


 


 


“ฉันน่ะนะ นั่นน่ะ~” 


 


 


“นั่นน่ะอะไร” 


 


 


“นั่น~น่ะ~” 


 


 


อียูจองออดอ้อนผมพร้อมกับเขย่าไหล่ไม่หยุดราวกับลูกแมวทำตัวออดอ้อน ผมมองอันฮยอนกับอันซลทำท่าอาเจียนออกมาอย่างเข้าขากันแล้วจึงใช้ความคิดนิ่งๆ จากนั้นหลังจากที่รับรู้แล้วว่าสิ่งที่เธอต้องการคืออะไร ผมจึงส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด 


 


 


“ไม่ได้” 


 


 


“อ้าว~ ทำไม~ ตอนนี้เอาคืนมาเถอะนะ~ น้า น้า” 


 


 


“ไอ้คืนน่ะคืนแน่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ คุยกันเสร็จก่อนเดี๋ยวจะคืน” 


 


 


“หืม คุยเหรอ กับฉันเหรอ” 


 


 


“ไม่ ไม่ใช่เธอ ยังไงก็เถอะ รอต่ออีกหน่อยแล้วกัน” 


 


 


“ชิ ไม่รู้หรอกนะว่าคืออะไร แต่ก็รับทราบ” 


 


 


อียูจองเอียงหัวด้วยความสงสัย ผมนึกถึงสคูเรพฟ์กับที่คาดผมอันบริสุทธิ์ที่จะยกให้เธอ แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้จึงเรียกใช้ดวงตาที่สาม นึกดูแล้วตอนนี้อียูจองก็เป็นผู้เล่นที่ครอบครองแรร์คลาสอันสง่าเช่นกัน ถ้าบอกว่าไม่สงสัยเลยว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็คงจะเป็นเรื่องโกหก 


 


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น(Player Status) 


 


 


1.ชื่อ(Name) : อียูจอง(ปีที่ 0) 


 


 


2.คลาส(Class) : นักสู้ยามรุ่งสาง(Rare, Gladiator of the Dawn, Runner) 


 


 


3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : ทหารรับจ้างอิสระ(Free) 


 


 


4.ชนเผ่า(Clan) : Mercenary(อยู่ในระกว่างการประเมินผลงาน) 


 


 


5.นามแท้ · สัญชาติ : แมวตัวเมียที่ดุร้าย · สาธารณรัฐเกาหลี 


 


 


6.เพศ(SEX) : หญิง(22) 


 


 


7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 166.3 ซม. · 52.3 กก. 


 


 


8.อุปนิสัย : เฉียบแหลม · ดุดัน (Sharp · Aggressive)  


 


 


[พละกำลัง 67] [ความทนทาน 69] [ความคล่องแคล่ว 78] [ความแข็งแกร่ง 65] [พลังเวท 72] [โชค 53] 


 


 


แต้มของค่าความสามารถที่คงอยู่คือ 4 พอยต์ 


 


 


ผลงาน(0) 


 


 


ทักษะพิเศษ(1/1) 


 


 


1.จิตใจที่ชุ่มไปด้วยเลือด(Rank : C Zero) 


 


 


ทักษะแฝง(2/4) 


 


 


1.ศิลปะการใช้กริชด้วยสองมือ(Rank : C Plus) 


 


 


2.ศิลปะการต่อสู้ด้วยร่างกายของชนเผ่าวิฬาร์(Rank : E Zero) 


 


 


3.- 


 


 


4.- 


 


 


 


 


 


‘การให้แรร์คลาสไปนั้นถูกต้องอย่างที่คิดจริงๆ’ 


 


 


จะว่าพัฒนาขึ้นก็พัฒนาขึ้นอยู่ แต่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือผมชอบใจมากๆ ที่อุปนิสัยของเธอเปลี่ยนไปด้วย เมื่อก่อนถ้าทำผิดพลาดก็แทบจะกลายเป็นฆาตกรปีศาจบ้าเลือด แต่นั่นกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมอีกครั้งแล้ว ไม่สิ มองว่าเป็นตำแหน่งเดิมมันก็รู้สึกอย่างไรๆ อยู่นิดหน่อย แต่ถ้าลองนึกถึงนิสัยของอียูจอง นี่ก็อยู่ในระดับที่สามารถรอดูสักครั้งได้แล้ว 


 


 


ผมพิจารณาอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง จากนั้นก็ปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นแล้วจึงกินอาหารต่อ ถึงแม้จะเย็นชืดลงนิดหน่อยแล้ว แต่ฝีมือในการทำอาหารแต่เดิมคงไม่ได้หายไปไหน รสชาติจึงยังคงดีอยู่ ในระหว่างกินข้าว จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาได้แล้วหันไปมองโกยอนจู จากนั้นจึงเห็นชามของเธอที่แทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว 


 


 


“โกยอนจู ดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดมากกว่านี้นะครับ” 


 


 


“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ เพราะฉันเองก็ยังไม่มั่นใจ คุณบอกว่าพรุ่งนี้จะจัดประชุมใช่ไหมคะ” 


 


 


“ครับ” 


 


 


“ฉันจะลองไปสืบค้นดูอีกหน่อย แล้วพรุ่งนี้จะพูดในที่ประชุมค่ะ” 


 


 


“อืม เข้าใจแล้วครับ” 


 


 


ผมฟังเสียงอันเหนื่อยอ่อนของโกยอนจูแล้วตอบอย่างสุขุม ทันใดนั้นเสียงหายใจอันอ่อนแรงซึ่งไม่รู้ว่าดังมาจากไหนก็ลอยมาตามอากาศและไหลเข้าไปในรูหู 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 22

 

เมืองทางใต้ โมนิก้า เลิฟเฮาส์ 


 


 


“ขอโทษจริงๆ ค่ะคุณฮันนา ความไร้มารยาทที่สมาชิกเผ่าของพวกเรากระทำต่อคุณฮันนาเมื่อครั้งก่อน ฉันต้องขอโทษแทนด้วยค่ะ” 


 


 


ชั้นหนึ่งของเลิฟเฮาส์มีหญิงสาวสองคนอยู่ คนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่หวีผมเก็บอย่างเรียบร้อยและสวมเสื้อคลุมสำหรับนักเวทอย่างสุภาพ ส่วนอีกคนคือมาดามอิมฮันนาของเลิฟเฮาส์ หญิงสาวที่สวมชุดคลุมสีขี้เถ้าอย่างเรียบร้อยกำลังก้มหัวงกๆ ให้อิมฮันนา 


 


 


อิมฮันนามองท่าทางของเธอแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาด้วยใบหน้าลำบากใจ 


 


 


“ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไร ฉันกลับคิดว่าตัวเองควรจะต้องเป็นฝ่ายขอโทษเสียอีกเพราะตอนนั้นปฏิเสธไปแบบนั้น ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ” 


 


 


“ขอบคุณที่พูดแบบนั้นนะคะ พูดตามตรงว่าพวกเราก็วุ่นวายนิดหน่อยเหมือนกัน เยซึลน่ะชอบฮยอนกยู แต่ฮยอนกยูกลับไม่แม้แต่จะสังเกตสักนิดเลยจริงๆ…” 


 


 


“โฮะๆ ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน ฉันเข้าใจจิตใจแบบดีค่ะ ฉันเองก็ขอให้ทั้งสองคนไปด้วยกันได้ดีเร็วๆ นะคะ” 


 


 


ในที่สุดหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมาได้ ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะอย่างงดงามออกมา แต่เสียงหัวเราะนั้นคือการหัวเราะอันจืดชืดและไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ  


 


 


เป็นไปตามที่คิดไว้ ทีนี้คงตั้งใจจะค่อยๆ เริ่มเข้าประเด็นหลัก หญิงสาวจึงกระแอมครั้งสองครั้ง 


 


 


“อ้อ แล้วก็…คุณฮันนา ดูเหมือนว่าฉันจะต้องขอโทษเพิ่มอีกเรื่องน่ะค่ะ” 


 


 


“…ค่ะ” 


 


 


“สุดท้ายแล้ว ล่าสุดก็มีการอนุมัติให้เปลี่ยนเลิฟเฮาส์เป็นร้านเหล้าทั่วไปตั้งแต่วันนี้ค่ะ” 


 


 


“อ้อ…อย่างนั้นเองสินะคะ” 


 


 


“เฮ้อ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันรู้ว่าคนคนนั้นหวงแหนคุณฮันนามากขนาดไหน ถ้านึกถึงเรื่องนั้น พวกเราก็เลยไม่ทำแบบนี้ แต่สถานการณ์มันแย่ลงจริงๆ ค่ะ เป็นสถานการณ์ที่จะต้องยอมเสียแม้แต่สิ่งที่มีอยู่ใช่ไหมล่ะคะ ฉันกังวลเหมือนกันค่ะที่ต้องมาพูดเรื่องแบบนี้ระหว่างมาขอโทษ แต่ถึงอย่างนั้นก็บอกให้ทราบทีเดียว…” 


 


 


พออิมฮันนายอมรับอย่างง่ายดายเกินคาด หญิงสาวจึงเริ่มพรั่งพรูคำพูดที่เตรียมไว้ออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับรออยู่ อิมฮันนาฟังคำพูดของหญิงสาวแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่ใบหน้าของเธอก็เผยให้เห็นสีหน้าที่บอกว่าช่วยไม่ได้อย่างแจ่มชัด 


 


 


หญิงสาวสังเกตใบหน้าของอิมฮันนาหนึ่งครั้งแล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบากว่าเมื่อครู่นี้เล็กน้อย 


 


 


“แล้วก็คุณทราบอยู่ใช่ไหมคะ ว่ามีคนมากมายมองเลิฟเฮาส์ไม่ดีมากๆ เลย คนคนนั้นเองก็จากไปเพราะเรื่องทีมกู้ภัยในครั้งนี้ด้วย ทางฝ่ายเราไม่มีกำลังที่จะรักษาที่นี่เอาไว้มากกว่านี้แล้วค่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“เพราะฉะนั้นคุณฮันนาคะ ไหนๆ ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว มาถึงตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ไม่ทราบว่าหลังจากนี้คุณไม่คิดจะเข้าร่วมเผ่าของพวกเราบ้างเหรอคะ พวกเราจะไม่ประพฤติตัวแย่ๆ กับคุณค่ะ หรือว่าถ้าเป็นเพราะสองคนนั้นก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไปก็ได้ค่ะ” 


 


 


“ช่วงนี้เรื่องในหัวของฉันตีกันนิดหน่อยน่ะค่ะ มีปัญหาของพวกเด็กๆ ด้วย ฉันกำลังค่อยๆ คิดอยู่ค่ะว่าจะทำยังไง ฉันจะลองคิดข้อเสนอที่คุณพูดมาสักครั้งด้วยเหมือนกันค่ะ” 


 


 


“ตามสบายเลยค่ะ อ้อ เลิฟเฮาส์มีกำหนดการว่าจะเริ่มปรับปรุงใหม่ในอีกเจ็ดวันนะคะ ถ้างั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอฝากด้วยนะคะ” 


 


 


หญิงสาวคงพูดเรื่องที่จะพูดหมดแล้ว เธอจึงก้มหัวให้อย่างนอบน้อมอีกครั้งแล้วหมุนตัวไป 


 


 


อิมฮันนามองภาพด้านหลังของเธอที่เดินด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอไปนอกประตู แล้วเธอก็เพียงแค่จ้องมองเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย 


 


 


 


 


 


 


 


 


หลังจากจัดห้องเก็บของชั้นสามเสร็จแล้ว ผมเอาชนะความดื้อดึงของอันซลกับลูกยูนิคอร์นที่ดึงดันจะตามมาให้ได้ จากนั้นผมจึงไปถึงแท่นบูชาพร้อมกับคิมฮันบยอลได้อย่างยากลำบาก 


 


 


พูดตามตรงว่าครั้งนี้ผมไปเพราะมีธุระทางฝั่งของผมเอง แต่คิมฮันบยอลบอกว่าผู้ช่วยที่รับผิดชอบเธอเรียกหา เพราะฉะนั้นกำหนดการจึงตรงกันโดยบังเอิญ 


 


 


หลังจากพวกเราเดินช้าๆ มาถึงแท่นบูชา จากนั้นจึงไปยังห้องที่มีพอร์ทัลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่แต่ละคน และในตอนที่เจ้าหน้าที่ออกไปพร้อมทั้งปิดประตูให้ ผมกำลังทอดสายตามองดูพอร์ทัลที่พลิ้วไหวเป็นแสงสีฟ้าอยู่ 


 


 


ผมนึกถึงทูตสวรรค์ที่กำลังรอคอยผมอยู่ข้างในแล้วผ่อนคลายความโกรธที่ล้นทะลักออกมาโดยอัตโนมัติให้ใจเย็นลง 


 


 


แน่นอนว่าเวลาพวกทูตสวรรค์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย พวกเขาจะแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ของการอุทิศตนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ผมมาขอความช่วยเหลือ ผมไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องในเรื่องค่าความสามารถด้วยตัวเองได้ เพราะอย่างนั้นผมจึงจำเป็นต้องอดกลั้นท่าทีที่เปิดเผยให้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงแล้วพานทำให้เสียเรื่อง 


 


 


ผมผ่อนคลายความรู้สึกภายในใจด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ ผมสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่พร้อมกับวิ่งเข้าไปในพอร์ทัล 


 


 


พอพาตัวเองเข้าไปในพื้นที่ที่มีแสงสีฟ้าน้ำทะเลพลิ้วไหว พลังที่ไม่สามารถบรรยายได้ว่าคืออะไรก็เข้ามาโอบล้อมตัวผมไว้ ผมปล่อยร่างกายให้จมอยู่กับพลังที่เหมือนกับดึงร่างกายไป จากนั้นพอหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาก็คงเข้ามาโดยไม่รู้ตัวแล้ว ผมจึงมองเห็นทิวทัศน์อันคุ้นเคยพลางกะพริบตาซ้ำๆ 


 


 


ทิวทัศน์ของที่แห่งนี้ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมมองดูรอบๆ จนทั่วแล้วพอเบนสายตาไปทางด้านหน้า ผมก็ได้เห็นแท่นบูชาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอันคุ้นเคย และตรงแท่นบูชานั้นก็น่าจะมีทูตสวรรค์คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย 


 


 


พอเงยหน้าแล้วเบนสายตาขึ้นไปก็ได้เห็นทูตสวรรค์ผู้งดงามคนหนึ่งกำลังกระพือปีกโปร่งใสและจ้องมองผมอย่างที่คิด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยวี่แววของความขี้เล่นกับเส้นผมสีชมพูประกายทอง…หืม? 


 


 


‘อะไรน่ะ’ 


 


 


ทูตสวรรค์ที่นั่งอยู่บนนั้นโบกไม้โบกมือให้ ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไปด้วยความสงสัยเสียด้วยซ้ำ  


 


 


“โอ้ ในที่สุดก็มาได้สักทีนะ สวัสดี~” 


 


 


“…” 


 


 


“ยังไงก็ตั้งใจจะเรียกตัวมาเร็วๆ นี้อยู่แล้ว ดีจัง~ ยินดีที่ได้เจอนะ! ฉันคือผู้ช่วยคนใหม่ที่มารับหน้าที่ให้คำปรึกษานายในครั้งนี้ ชื่อว่าซันดัลโฟน…” 


 


 


“นี่” 


 


 


พอผมพูดแทรกกลางคัน ซัลดันโฟนที่กระดิกนิ้วมือไปมาให้ผมก็เบิกตาโต แต่จากนั้นก็ค่อยๆ ยิ้มจนตาหยีพลางยักไหล่ ผมมองท่าทีนั้นแล้วไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกไม่ชอบใจพอสมควร 


 


 


ผมวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้อย่างรวดเร็วแต่สุขุม สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ช่วยในระหว่างที่ผมไม่อยู่แน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะฉะนั้นนั่นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุด 


 


 


ผมนวดตรงขมับที่ปวดตุบๆ ขึ้นมาสองสามครั้ง จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบากับทูตสวรรค์ที่แย้มยิ้มอย่างเต็มไปด้วยความขี้เล่นอยู่ 


 


 


“พวกเธอเปลี่ยนแปลงผู้ช่วยโดยที่ผู้เล่นไม่ได้เห็นชอบด้วยเหรอ รีบเปลี่ยนกลับไปเป็นเซราฟอีกครั้งเร็ว” 


 


 


“จริงๆ เลย ทำไมใจร้อนแบบนี้นะ อย่าเอาแต่ทำท่าทางแบบนั้นแล้วรีบมานั่งลงตรงนี้เลย พวกเราเจอกันครั้งแรกนะ คุยกันสักหน่อยสิ หืม” 


 


 


“หลีกไป” 


 


 


“อย่าพูดแบบนั้นเซ่~ ฉันน่ะอยากลองเป็นผู้ช่วยของนายสักครั้งนะ~ แล้วก็นายน่ะ ไม่ชอบเซราฟไม่ใช่เหรอ ฉันน่าจะแตกต่างกับเซราฟที่ไม่มีความน่าเชื่อถือคนนั้นนะ ว่าไง” 


 


 


“หลบไปหน่อยเถอะน่า อ้อ เซราฟ ฉันรู้ว่าเธอกำลังฟังอยู่หมดแล้ว เพราะฉะนั้นออกมาภายในห้าวินาทีเลย ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะไม่มายังห้องเรียกตัวอีก รู้แล้วก็รีบออกมาซะ” 


 


 


“Yes” 


 


 


ทันทีที่ผมพูดจบ แสงสว่างจนแสบตาก็ส่องประกายออกมาจากด้านข้างแท่นบูชาที่ซันดัลโฟนนั่งอยู่ จากนั้นทูตสวรรค์ที่ปรากฏกายออกมาตรงกลางมวลแสงก็คือเซราฟอย่างที่คาดไว้ เธอจ้องมองผมด้วยใบหน้าสงบนิ่งแล้วจึงเบนสายตาไปทางซันดัลโฟน จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอิ่มอกอิ่มใจ(?) 


 


 


“ซันดัลโฟน ทูตสวรรค์แห่งความเจริญรุ่งเรือง ลำดับขั้นที่หนึ่ง น่าเสียดายที่ได้รับการยืนยันคำขอให้เปลี่ยนกลับสู่สภาพเดิมของผู้เล่นนะคะ จะต้องกลับสู่ตำแหน่งเดิมตามที่ได้ทำข้อสัญญาไว้ล่วงหน้าค่ะ” 


 


 


“เดี๋ยวก่อน! เรื่องแบบนี้มีที่ไหน! ยังไม่ทันได้พุดคุยกันอย่างถูกต้องเลยนะ!” 


 


 


“เรื่องนั้นเป็นธุระของคุณเองค่ะ ไม่มั่นใจในตัวเองสูงถึงขนาดนั้นจะดีกว่าไหมคะ ซันดัลโฟนไม่สามารถสนองตอบความคาดหวังของทุกคนได้หรอกค่ะ” 


 


 


“ไม่เอา! ฉันไปทั้งแบบนี้ไม่ได้นะ! นี่! เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! นี่มันทำกันเกินไปหน่อยแล้ว!” 


 


 


ซันดัลโฟนตั้งใจจะขัดขืนไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่พอเซราฟขยับมือไปมาเบาๆ เธอก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงในชั่วพริบตา 


 


 


“ทำอะไรเกินไปกันคะ ฉันเพียงแค่ดำเนินการตามข้อสัญญาที่ได้ทำกันในตอนแรกเท่านั้นเองค่ะ” 


 


 


“…!” 


 


 


ซันดัลโฟนดูเหมือนจะพูดอะไรเพิ่มอีก แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอแล้วราวกับถูกส่งกลับไปเรียบร้อย จากนั้นซันดัลโฟนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตาเดียว 


 


 


เซราฟทำหน้าไร้อารมณ์แต่กลับเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาด้วยการก้าวเดินที่ดูอารมณ์ดี(?)แล้วนั่งลงเบาๆ 


 


 


“ขอโทษด้วยค่ะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน ไม่ได้พบกันนานมากแท้ๆ แต่กลับทำให้ประสบกับเรื่องน่าขายหน้าเสียได้” 


 


 


เซราฟก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อขอโทษ ผมสับสนนิดหน่อย แต่เพราะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ผมจึงส่ายหน้าให้นิ่งๆ มองอย่างไรเรื่องนี้ส่วนหนึ่งผมก็ผิดเหมือนกัน 


 


 


“ช่างมันเถอะ ดูๆ แล้ว ทูตสวรรค์คนอื่นๆ ก็น่าจะมองว่าท่าทางของฉันเป็นปัญหาเหมือนกัน ยังไงก็ตาม จากนี้ไปห้ามเปลี่ยนตำแหน่งกันตามใจชอบอีกนะ ถ้าเป็นระดับเดียวกับมิคาเอลหรือกาเบรียลที่เป็นทูตสวรรค์ชั้นสูงก็ไม่แน่ แต่กับคนซุ่มซ่ามแบบนั้นน่ะ ใครจะ…” 


 


 


“ขอบคุณที่พูดขนาดนั้นนะคะ ว่าแต่ว่า…หมายความว่าถ้าเป็นท่านกาเบรียลกับท่านมิคาเอลก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนผู้ช่วยงั้นเหรอคะ” 


 


 


“ถ้าฉันตอบไปตรงนี้ว่า ‘อือ’ แล้วจะมีทูตสวรรค์คนอื่นโผล่มาอีกหรือเปล่าล่ะ” 


 


 


“ตอนนี้ท่านกาเบรียลกำลังรอคำสั่งอยู่ค่ะ” 


 


 


“บอกไปว่าไม่ต้องมา พวกนั้นไม่มีผู้เล่นที่ต้องรับหน้าที่ปรึกษาหรือไง” 


 


 


“ค่ะ จะเรียนให้ทราบตอนนี้ทันทีค่ะ” 


 


 


เซราฟทำสีหน้าผ่อนคลายขึ้นอีกขั้นแล้วเริ่มขยับมืออย่างวุ่นวาย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือหูแว่ว รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฮัมเพลงขึ้นจมูกเบาๆ จากที่ไหนสักแห่งเลย 


 


 


เวลาผ่านไปเพียงเล็กน้อย เซราฟก็คงทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอจึงจ้องมองผมด้วยดวงตาสีเขียวหยกที่เจือความศักดิ์สิทธิ์ 


 


 


“พูดตามตรงว่าข้าตกใจมากที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนเป็นฝ่ายมาหาก่อนค่ะ วางแผนไว้ว่าไม่นานจะเรียกตัวมาก็จริง แต่กลับล่าช้านิดหน่อยเพราะเรื่องที่ผู้ช่วยค่ะ” 


 


 


“อ๋อ เพราะมีเรื่องที่จำเป็นต้องขอคำชี้แนะจากเธอน่ะ” 


 


 


“บอกว่าเรื่องที่จะเป็นต้องขอคำชี้แนะจากข้าเหรอคะ ถ้าอย่างนั้น…” 


 


 


เซราฟทำหน้าเหมือนกำลังคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วไม่นานจึงทำสีหน้าที่เหมือนกับมีเสียงดังอ๋อเล็ดลอดออกมา ผมรีบสังเกตดูสีหน้าของเธอด้วยความรวดเร็ว ดูจากที่คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อยและริมฝีปากก็อ้าออกกว้างเป็นรูปสามเหลี่ยม เธอจะต้องพูดไปเรื่อยสักพักหนึ่งอีกไม่ผิดแน่ เพราะอย่างนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะพูดตัดหน้าก่อน 


 


 


“เหมือนจะรู้…” 


 


 


“เดี๋ยวก่อน เซราฟ เงียบสักหน่อยก่อนนะ” 


 


 


“ถึงไม่พูดก็เหมือนจะรู้แล้วค่ะ ตอนแรกข้าบอกแบบนั้นออกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไปทั้งแบบนี้ก็แน่นอนว่าความแข็งแกร่งมีปัญหา…” 


 


 


“เดี๋ยวสิ บอกว่ารู้แล้วไง เรื่องนั้นฉันเองก็รู้เหมือนกัน มันมีปัญหาเกิดขึ้นก็เลยมาหาตอนนี้ไงละ” 


 


 


เซราฟทำสีหน้าเหมือนบอกว่าเชื่อเขาเลยแต่ก็ปิดปากเงียบลงได้อย่างยากลำบาก แต่การที่เธอส่งสายตากังวลมาไม่หยุด เป็นท่าทางที่เหมือนกับจะพุ่งเข้ามาทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเสียตอนนี้ 


 


 


ผมพูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“ฉันรู้อยู่แล้วละว่าเธอจะพูดว่าอะไร ถึงอย่างนั้น สาเหตุที่ฉันดั้นด้นมาหาเธอเป็นเพราะคนที่จะฟังข้อเสนอเรื่องฮวาจองได้ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเธอแล้ว” 


 


 


“…” 


 


 


“ถ้าเธอเป็นผู้ช่วยของฉันจริง ก็ลองฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าสักครั้งสิ อย่าทำมาเป็นพูดว่าเพื่อฉันแล้วเอาแต่พูดในสถานะของตัวเอง ตั้งแต่เมื่อก่อนเธอก็…ยังไงก็เถอะ แค่ครั้งเดียว ลองยืนในสถานะของฉันแล้วช่วยคิดดูสักครั้งก็ได้ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


ผมเกือบจะโพล่งออกไปว่า ‘เป็นแบบนั้นตลอดเลย’ แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน เสียงแผ่วเบาของเซราฟก็ลอยมาจากด้านหน้า 


 


 


“…Yes” 


 


 


“ดี จะพูดแทรกกลางคันหรือไม่พูด” 


 


 


“ไม่พูดค่ะ เอาล่ะค่ะ ก่อนอื่นข้าจะลองตั้งใจฟังคำพูดของผู้เล่นคิมซูฮยอน และจะลองคิดในสถานภาพเดียวกับท่านให้ได้มากที่สุด แต่ครั้งนี้ข้าก็ไม่คิดจะถอยหรอกนะคะ ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไร แต่การทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ” 


 


 


“โอเค” 


 


 


พวกทูตสวรรค์รักษาสัญญาอย่างไร้เงื่อนไข ในเมื่อพูดแบบนั้นแล้ว ก่อนอื่นผมก็จะสามารถพูดเรื่องที่ตัวเองอยากจะพูดออกไปได้ทั้งหมด ผมตะขิดตะขวงใจกับคำพูดสุดท้ายของเธอนิดหน่อย แต่ผมเองก็เห็นชอบด้วยส่วนหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงยอมพยักหน้าให้ได้ 


 


 


ผมรู้สึกได้ถึงภายในใจที่ผ่อนคลายขึ้นหน่อย จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องช้าๆ 


 


 


ผมไม่รู้ว่าเซราฟจะคิดอย่างไร แต่ตอนนี้ในหัวของผมมันสับสนวุ่นวายมากๆ ความกังวลของผมเกี่ยวกับเรื่องค่าความสามารถในปัจจุบัน และแผนการในภายภาคหน้ากับความคิดส่วนตัวของผมเกี่ยวกับเรื่องนั้น 


 


 


ผมอยากทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นพอสมควรและทำให้ค่าความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นไปเป็นหนึ่งร้อยเอ็ดพอยต์ด้วย แต่ก็ติดที่ฮวาจอง ถึงอย่างนั้น ในทางกลับกัน หากลงทุนทั้งหมดให้กับความแข็งแกร่งก็ไม่สามารถทิ้งความติดค้างในใจเรื่องหนึ่งร้อยเอ็ดพอยต์ในค่าความสามารถอื่นได้อยู่ดี หรือไม่ก็อยากจะลองอดทนต่ออีกสักหน่อยตรงนี้ด้วยเหมือนกัน ถ้ารักษาระดับของความแข็งแกร่งไว้ที่ช่วงแปดสิบได้ก็อาจจะได้เห็นผลลัพธ์อันดีของโพชั่นวิเศษอีกครั้งหนึ่งก็ได้ 


 


 


แต่สภาพร่างกายในตอนนี้ใกล้จะเหลวแหลกเต็มที ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลาที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไรเลย 


 


 


ใช่ สุดท้ายแล้ว ฮวาจองก็คือปัญหา 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 23

 

หลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างจบ ผมจึงจ้องเซราฟด้วยสายตาเหมือนถามว่าเป็นอย่างไร 


 


“ข้าตั้งใจฟังเรื่องที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนพูดมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ แน่นอนว่ารู้สึกเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของท่านได้ค่ะ” 


 


“งั้นเหรอ ถ้างั้นฉันก็อยากจะฟังความเห็นของเธอหน่อยนะ” 


 


“บอกแค่ว่าเข้าใจใช่ไหมคะ แต่ไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะคะ จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอคะ” 


 


“…ลองพูดมา” 


 


“ทราบแล้วค่ะ ถ้างั้นผู้เล่นคิมซูฮยอน ตอนนี้ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันคะ ท่านรู้อยู่หรือเปล่าว่าสภาพร่างกายของท่านในตอนนี้เป็นอย่างไร และถ้าทำให้ค่าความสามารถเพิ่มขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยเอ็ดในสภาพนั้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบไหน ไม่สิ ท่านรู้อยู่แล้วละค่ะ ถ้าลองฟังคำพูดเมื่อครู่นี้ ผู้เล่นคิมซูฮยอนก็รู้อยู่แน่ๆ เพราะอย่างนั้นก็เลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลยนะคะ ท่านอยากเห็นท่าทีเป็นกังวลของข้าเหรอคะ” 


 


“…” 


 


“ข้าไม่ได้อยากให้ฮวาจองไปตั้งแต่แรกค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยห้ามปรามถึงขนาดนั้น แต่…” 


 


บลาๆๆๆๆๆ 


 


‘ฉันมันโง่เองสินะที่คาดหวัง’ 


 


พอลิ้มรสชาติขมปร่าที่สัมผัสได้จากลึกๆ ในช่องคอ รอยยิ้มขมขื่่นจึงปรากฏออกมา 


 


คงสังเกตเห็นสีหน้าแบบนั้นของผม เสียงหายใจแผ่วเบาจึงเล็ดลอดออกมาจากฝั่งตรงข้าม 


 


“ผู้เล่นคิมซูฮยอน” 


 


“อือ” 


 


“ข้าฟังคำพูดทั้งหมดของผู้เล่นคิมซูฮยอนตามที่สัญญาแล้วนะคะ ทีนี้ข้าขอพูดอะไรบ้างได้ไหมคะ” 


 


“ถ้างั้นที่พูดมาจนถึงตรงนี้มันคือ…เปล่า ไม่มีอะไร เอาสิ พูดมา ทำตามใจชอบเลยครับ จิ๊” 


 


“ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นช่วยดูนี่หน่อยนะคะ” 


 


เป๊าะ! 


 


พอเซราฟดีดนิ้วเบาๆ ตรงหน้าก็เริ่มมีกราฟรูปสี่เหลี่ยมโผล่ขึ้นมา 


 


“ข้าทำภาพจำลองร่างกายของผู้เล่นคิมซูฮยอนเอาไว้ในกราฟค่ะ” 


 


“เธอบอกว่านี่คือสภาพร่างกายของฉันงั้นเหรอ” 


 


“Yes บางทีท่านคงจะเห็นสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยสีแดงนะคะ” 


 


กราฟถูกสร้างขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าและในนั้นก็มีร่างกายมนุษย์อยู่ ผมเคยเห็นเจ้านี่มาสองสามครั้งแล้วในรอบแรก จึงไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้น แต่ความจริงที่ว่าทุกส่วนกำลังถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเหมือนที่เซราฟพูดทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้าง 


 


“ขอโทษที่ไม่ได้เรียบเรียงคำพูดก่อนเพราะความร้อนใจก่อนหน้านี้นะคะ ถ้าให้เริ่มต้นตั้งแต่แรกอีกครั้งก็คือ ผู้เล่นคิมซูฮยอนเป็นนักดาบค่ะ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับคลาสอย่างเช่นนักเวทหรือนักบวชได้ วิธีการในการจัดการการต่อสู้ทั้งหมดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงค่ะ นั่นหมายความว่านักดาบเป็นคลาสที่เคลื่อนไหวร่างกายโดยตรง เพราะฉะนั้นความแข็งแกร่งจึงสำคัญเป็นอย่างมาก แต่จะทำให้ค่าความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นไปเป็นหนึ่งร้อยเอ็ดพอยต์ด้วยสภาพในตอนนี้เหรอ ดีค่ะ ถ้าเพิ่มค่าความแข็งแกร่งขึ้นไปจนถึงเก้าสิบและจากนี้ไปไม่ใช้ฮวาจองเลยสักครั้งก็ทำแบบนั้นได้ค่ะ ส่วนที่บอกว่าทำให้ค่าความแข็งแกร่งขึ้นไปจนถึงแปดสิบ แล้วทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งด้วยโพชั่นพิเศษนั้น ก็ดีค่ะ จากนี้ไปช่วยหยุดการต่อสู้ทั้งหมดด้วยนะคะ แน่นอนว่ารวมถึงการออกเดินทางไกลด้วย แล้วก็อย่างน้อยหนึ่งปี เผื่อๆ ไว้หน่อยก็สองปี ถ้าตั้งใจฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้กลับคืนมาและไม่ใช้ฮวาจองจนกว่าจะทำโพชั่นวิเศษขึ้นมาได้ ก็ทำแบบนั้นเถอะค่ะ ข้าจะไม่ห้ามเลยค่ะ” 


 


“…” 


 


ฟังก่อน เซราฟเหมือนจะสังเกตท่าทีของผมครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายจึงพูดต่ออีกคำ 


 


“แม้ว่าสุดท้ายจะไม่แน่ชัดว่าจะสามารถทำโพชั่นวิเศษแบบนั้นขึ้นมาได้อีกหรือเปล่าก็เถอะค่ะ อย่างไรก็ตาม ข้าจะคิดในสถานะเดียวกับผู้เล่นคิมซูฮยอนนะคะ แต่สำหรับข้าก็มีสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัดที่สามารถยอมรับได้เหมือนกันค่ะ” 


 


ผมฟังคำพูดของเซราฟแล้วใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วน อย่างแรกเลย ผมไม่สามารถไม่ใช้ฮวาจองได้อีก แต่ผมก็ไม่ได้เลือกฮวาจองมาเป็นสิทธิพิเศษเพราะจะปล่อยให้มันเปล่าประโยชน์อย่างนี้เสียหน่อย 


 


ผมเคาะพื้นเป็นจังหวะอยู่พักหนึ่งแล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง 


 


“มันซีเรียสขนาดนั้นเลยเหรอ จริงๆ น่ะเหรอ” 


 


“ไม่ใช่เรื่องโกหกค่ะ ข้าจะขัดขวางไม่ให้ค่าความสามารถของผู้เล่นสูงขึ้นกว่าเดิมแล้วทำให้ตำแหน่งของผู้เล่นสูงขึ้นกว่าเดิมทำไมเล่าคะ ทุกอย่างย่อมมีเหตุผลไม่ใช่หรือคะ ข้าพูดไปตามความจริงที่มีเลยค่ะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน สภาพการณ์ที่แท้จริงคือร่างกายของท่านทรุดลงไปแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ การอดทนอยู่ด้วยสภาพในตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่เหมือนกับปาฏิหาริย์แล้วค่ะ ไม่ทราบว่าท่านจำตอนที่ได้รับฮวาจองครั้งแรกได้หรือเปล่าคะ” 


 


จำได้สิ เนื่องจากรับเอาฮวาจองมาก็เลยชะล้างทั่วทุกซอกทุกมุมของร่างกายด้วย ความแข็งแกร่งก็เลยถูกทำให้ลดลงเนื่องจากผลกระทบนั้นด้วย ไม่ได้ถึงกับติดลบแต่ค่าความแข็งแกร่งอันคงทนลดลงอย่างที่พูด พอนึกถึงตอนนั้น จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบผ่านหัวไป 


 


“หรือว่า…” 


 


“ใช่ค่ะ ตามที่ให้การยืนยันไป ในกรณีที่ใช้ฮวาจองเพิ่มอีกแม้แต่ครั้งเดียวในอนาคตต่อจากนี้ก็อาจจะเกิดเรื่องแบบเดียวกันก็ได้ค่ะ แม้ไม่ได้ถึงขนาดลดลงถาวร แต่ความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นติดลบก็มีมากทีเดียวค่ะ ท่านต้องการให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ” 


 


“อะไรกัน ถ้างั้นก็หมายความว่าสุดท้ายก็ต้องทำให้มันเพิ่มขึ้นสินะ” 


 


“ข้าเองก็คาดไม่ถึงเลยค่ะว่าสภาพร่างกายจะทรุดลงถึงขนาดนี้ ไม่สิ ท่านจะต้องไม่จงใจใช้ฮวาจองให้มากเกินไปถึง…” 


 


พอเซราฟพูดราวกับบ่น เสี้ยวหนึ่งในใจผมจึงเจ็บแปลบ สถานการณ์ตึงเครียดกว่าที่คิดไว้ ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้กับมาร์โวลโลเพียงหนึ่งครั้งก็ดูเหมือนจะจุดชนวนระเบิดซึ่งทำให้ความเสียหายที่สั่งสมมาจากการใช้มากเกินไประเบิดออกในครั้งเดียว 


 


“ข้าอยากพบกับผู้เล่นคิมซูฮยอนในภาพลักษณ์ที่แข็งแรงดีอีกครั้งค่ะ ข้าเข้าใจความปรารถนาที่ท่านพูดมาก่อนหน้านี้ในฐานะผู้เล่นค่ะ แต่ก็อยากชี้แนะให้เสริมสร้างความปลอดภัยในปัจจุบันมากกว่าอนาคตที่ไม่ชัดเจนเช่นกันค่ะ” 


 


“อืม…” 


 


ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลย ในหัวยังคงยุ่งเหยิงวุ่นวายแต่ถึงอย่างนั้น ผมก็กำลังค่อยๆ เรียบเรียงทีละเล็กทีละน้อย ความคิดของผมไม่ได้ผิดมหันต์อะไรขนาดนั้น แต่ก็มีความแตกต่างในเรื่องข้อจำกัดอยู่ เพราะได้ฟังคำพูดของเซราฟ เรื่องที่เคยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงกำลังเด่นชัดขึ้นมาอย่างช้าๆ 


 


ตอนนั้นเอง จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงพรึ่บพรั่บมาจากแท่นบูชา จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าพลังอันศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เข้ามาใกล้ตรงหน้ามากขึ้น พอเหลือบตาขึ้นไปเล็กน้อยจึงได้เห็นเซราฟซึ่งเข้ามาใกล้ตรงหน้าผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้กำลังมองผมด้วยดวงตาหม่นหมอง เธอยื่นมือทั้งสองข้างมากุมมือซ้ายของผม จากนั้นยกมือนั่นขึ้นไปวางทาบไว้ตรงหน้าอกของตัวเองเบาๆ แล้วเธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นการเว้าวอน 


 


“อาจจะฟังเป็นการเสียมารยาทนิดหน่อยได้ แต่ขอบคุณที่รับฟังคำพูดของข้านะคะ ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผู้เล่นคิมซูฮยอนผิดมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ” 


 


“…” 


 


“ข้าดีใจมากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะขออะไรอีกอย่างน่ะค่ะ ทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเถอะนะคะ ร่างกายของผู้เล่นคิมซูฮยอนในตอนนี้อยู่ในสภาวะอันตรายจริงๆ ค่ะ เหมือนกับเครื่องยนต์ที่จะระเบิดในอีกไม่ช้าแล้ว ถ้าไม่ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นตอนนี้…” 


 


เซราฟปล่อยให้ท้ายประโยคเงียบหายไป แต่ดูจากการที่เธอออกแรงดึงมือที่กุมมือผมเอาไว้อยู่แรงกว่าเดิม ผมจึงสามารถคาดเดาได้ว่าความรู้สึกจริงใจของเธอนั้นมีมากแค่ไหน ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นและนุ่มนิ่มจากมือข้างซ้ายเพราะสติเลือนรางลง แต่ผมก็ตั้งสติขึ้นมาแล้วดึงมือออกจนได้ 


 


“ผู้เล่นคิมซูฮยอน…” 


 


“เฮ้อ” 


 


ผมนึกลังเลมากขึ้นอีกหน่อยก็จริง แต่สุดท้ายก็สามารถตัดสินใจได้ 


 


ผมพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจแล้วเปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นขึ้นมาทันที 


 


 


 


[พละกำลัง 96(+2)] [ความทนทาน 92] [ความคล่องแคล่ว 98] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 96] [โชค 90(+2)] 


 


ค่าความสามารถที่คงอยู่เป็นค่าความสามารถอิสระ ทั้งหมด 6 พอยต์ 


 


 


 


“จริงๆ แล้วก็อยากเอาค่าความสามารถที่คงอยู่ทั้งหมดไปเพิ่มให้ความแข็งแกร่งนะครับ” 


 


“จดจำไว้ในใจเถอะค่ะ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปลอดภัยเอามากๆ ถึงแม้ว่าจะทำให้ค่าความแข็งแกร่งเท่ากับเก้าสิบแล้ว แต่ในตอนที่ทำให้ค่าความสามารถอื่นเกินหนึ่งร้อยเอ็ดขึ้นไปแม้จะแค่อันเดียวก็ตาม ภาระที่กดทับลงมาบนร่างกายก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นค่ะ” 


 


“แน่นอนว่าจากนี้ไป คาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้นโดยใช้โพชั่นวิเศษน่าจะยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีเลยนะครับ ลองคิดดูสิครับ ค่าตอบแทนผลงานก็มี อุปกรณ์ก็มีไม่ใช่เหรอ แน่นอนว่านั่นเป็นอนาคตที่ไม่แน่นอนน่ะถูกต้องแล้ว ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็เสริมสร้างความปลอดภัยในปัจจุบันแล้วไม่ใช่เหรอครับ” 


 


“อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถรวบมันเอามาไว้ด้วยกันได้ บางทีอาจทำให้เพิ่มขึ้นอีกห้าพอยต์ก็ได้ค่ะ ถ้าเช่นนั้นพอยต์ทั้งหมดก็จะอยู่ที่สิบเอ็ดพอยต์ ถ้าเอาแต้มนั้นทั้งหมดมาใส่ไว้กับค่าความสามารถ ผู้เล่นคิมซูฮยอนอาจจะหลุดพ้นจากข้อผูกมัดของฮวาจองอย่างสมบูรณ์แบบก็ได้ค่ะ อย่างไรเสีย ถึงแม้ไม่ได้ดึงดันทำให้ค่าความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นแต่ผู้เล่นคิมซูฮยอนก็…” 


 


 


 


หลังจากคุยกับเซราฟเสร็จ ผมก็กลับมายังฮอลล์เพลนผ่านพอร์ทัล ด้านนอกมีเจ้าหน้าที่กำลังรออยู่ ในขณะที่ผมเดินตามเขาออกมาข้างนอก ผมก็ยังไม่สามารถละสายตาจากหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นได้ 


 


ในที่สุดก็ทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นแล้ว ผมตัดสินใจที่จะยอมรับคำชี้แนะของเซราฟ และยินยอมที่จะทำให้ค่าความแข็งแกร่งสูงขึ้นตามคำพูดของเธอ 


 


แน่นอนว่าผมไม่ได้เห็นด้วยไปเสียหมด ผมไม่ได้เพิ่มค่าความแข็งแกร่งจนหมดแต่เหลือไว้หกพอยต์ จากนี้ไปไม่รู้จะมีสถานการณ์แบบไหนและจะเข้ามาเมื่อไร เพราะฉะนั้นผมจึงเหลือพอยต์เผื่อเอาไว้ พวกเราถกเถียงกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เพราะคำพูดที่ว่าจะเพิ่มค่าความสามารถอย่างเหมาะสมในสถานการณ์จำเป็น เราทั้งสองคนจึงเห็นพ้องกันได้อย่างยากลำบาก 


 


และการทำตามคำพูดของเซราฟก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพียงแค่สามารถใช้ฮวาจองอย่างสมบูรณ์แบบก็เหมือนกับได้อาวุธอันแข็งแกร่งมากๆ ในขณะเดียวกันก็ได้ค่าความสามารถหนึ่งร้อยเอ็ดมาอีกอย่างด้วย 


 


‘จริงๆ แล้ว ค่าความสามารถด้านร่างกายของฉันก็ไม่ได้เสียเปรียบมากขนาดนั้นสักหน่อย…’ 


 


“เฮ้อ” 


 


อย่างไรก็ตามไหนๆ ก็เพิ่มขึ้นมาแล้ว การติดค้างในใจไปมากกว่านี้ก็เป็นเรื่องโง่เขลา และตามที่เซราฟพูด ถ้าสภาพร้ายแรงจนค่าความสามารถเกิดลดฮวบฮาบ เห็นได้ว่าการทำให้ค่าความสามารถเพิ่มขึ้นก็เป็นตัวเลือกที่จำเป็นทีเดียว 


 


ผมรู้สึกได้ถึงผลลัพธ์อันดีอย่างชัดเจน ร่างกายที่หนักอึ้งตลอดตั้งแต่เช้าจนมายังแท่นบูชา ตอนนี้กลับอยู่ในสภาพเบาลงอีกขั้น เพราะอย่างนั้นผมจึงคาดหวังไม่น้อยเลยว่าถ้าเข้านอนในวันนี้แล้วพรุ่งนี้สภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร 


 


หลังจากผ่านทางเดินทั้งหมดมา เจ้าหน้าที่จึงมาส่งผม แล้วผมจึงออกมาด้านนอกแท่นบูชา ในตอนที่ผมเหยียบลงบนบันไดและกำลังจะเดินลงไปนั้น 


 


ผมก็เห็นแผ่นหลังเพรียวบางของใครบางคนที่กำลังนั่งลงตรงบันไดและมองดูอะไรด้านนอก คงรับรู้ได้ว่าผมกำลังลงมา หญิงสาวจึงค่อยๆ หันหน้ามาสบตากับผม 


 


หญิงสาวคนนั้นก็คือคิมฮันบยอลนั่นเอง 


 


เมื่อเทียบกับผมที่คุยกันกับเซราฟอยู่นานสองนาน คิมฮันบยอลดูเหมือนคงทำธุระเสร็จในครู่เดียวแล้วก็ออกมา ดูจากที่เธอแอบนวดก้นในระหว่างทางกลับไปยังแคลนเฮาส์ ผมจึงรู้ได้ว่าเธอคงนั่งอยู่เป็นเวลานานพอสมควรเลย 


 


ผมมองคิมฮันบยอลซึ่งเดินอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้างแล้วผมก็จมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง 


 


ตอนมายังโมนิก้าแรกๆ เธอผอมจนแทบเหลือแต่กระดูก แต่ช่วงนี้คงเพราะเธอกินเก่ง เธอจึงมีรูปร่างมีเนื้อหนังขึ้นมาหน่อยมากกว่าตอนนั้น ผมกำลังมองแก้มแดงระเรื่อน่ามองนั้นอยู่ แล้วสุดท้ายจึงสบตากับคิมฮันบยอลไปชั่วขณะ เธอดูเหมือนจะตกใจมาก จากนั้นจึงก้มหน้าเพื่อหลบตา 


 


ความเงียบน่าอึดอัดปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะปริปากพูดขึ้นมาก่อน 


 


“เธอน่าจะกลับไปก่อนโดยไม่ต้องรอ เพราะดูเหมือนเธอรอนานน่าดูเลยนะ” 


 


“มะ ไม่หรอกค่ะ ไม่ได้รอนานขนาดนั้นหรอกค่ะ ก็แค่…” 


 


ท่าทางอ้ำอึ้ง ในตอนที่เห็นท่าทางนั้น จู่ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาแล้วรีบเรียกใช้ดวงตาที่สาม 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น(Player Status) 


 


1.ชื่อ(Name) : คิมฮันบยอล(ปีที่ 0) 


 


2.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 170.5 ซม. · 47.7 กก. 


 


3.อุปนิสัย : มีความพยายาม · มีบาดแผลภายในใจ (Effort · Scar) 


 


ก่อนเปลี่ยนแปลง 


 


[พละกำลัง 50] [ความทนทาน 58] [ความคล่องแคล่ว 70] [ความแข็งแกร่ง 52] [พลังเวท 88] [โชค 68] 


 


หลังเปลี่ยนแปลง 


 


[พละกำลัง 51] [ความทนทาน 59] [ความคล่องแคล่ว 70] [ความแข็งแกร่ง 53] [พลังเวท 88] [โชค 68] 


 


แต้มของค่าความสามารถคงเหลือ 4 พอยต์ 


 


 


 


ค่าความสามารถก็ไม่ได้ขึ้นมาเยอะกว่าเมื่อก่อนนัก จะว่าไปหลังจากพามายังโมนิก้าก็ออกสำรวจทันทีแล้วก็ไม่มีเวลาที่จะฝึกด้วย 


 


‘มีความพยายามงั้นเหรอ นี่เป็นอุปนิสัยที่ขอบเขตกว้างมากเลยนะ’ 


 


ผมสามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าพยายามในเรื่องแบบไหน ดูเหมือนบาดแผลภายในใจจะยังไม่หายสนิท แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรผมก็ต้องการให้คิมฮันบยอลเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น จากนั้นผมจึงปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นซึ่งลอยอยู่กลางอากาศลง 


 


“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง” 


 


“คะ?” 


 


“อย่างเช่นการใช้ชีวิตในเผ่า…หรือไม่ก็เรื่องการออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็ได้ พอใช้ได้ไหม” 


 


“อ้า…ค่ะ มีความสุขดีค่ะ” 

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 24

 

ต่น้อย พอฟังคำพูดนั้น ผมจึงพยักหน้าให้ บางทีถ้าเปรียบเทียบกับตอนใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าสิงโตทอง ตอนนี้คงสามารถมีความสุขได้จริงๆ ถ้าเธอรู้สึกอย่างนั้นด้วยใจจริงก็เป็นตามนั้นละ 


 


“คิดดูแล้ว เธอไม่ได้รับส่วนแบ่งอุปกรณ์ในครั้งนี้นี่” 


 


“ไม่เป็นไรค่ะพี่ แค่ใช้อัญมณีอย่างเดียวก็รู้สึกผิดแล้วค่ะ” 


 


“รู้สึกผิดอะไรกัน แน่นอนว่าเวทอัญมณีก็ดี แต่ห้ามมองข้ามเวทสายตรงนะ รู้ใช่ไหม” 


 


“ค่ะ พี่ จะตั้งใจฝึกค่ะ” 


 


พอได้ฟังคำตอบอันชัดถ้อยชัดคำ ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังมองเด็กสาวผู้อ่อนโยน พวกเราเดินไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกอยู่พักหนึ่งแล้วผมจึงเก็บ TOPG ที่ติดตั้งเอาไว้ตรงมือซ้าย จากนั้นก็ถอดแหวนที่ส่วมไว้ตรงนิ้วนางออกยื่นให้เธอ 


 


“พี่…” 


 


“รับไปสิ มันคือแหวนที่ลงเวทแอนตี้เมจิกเอาไว้ ใช้ได้สามครั้ง ตัดรอบในหนึ่งวัน ถึงจะสู้พวกอุปกรณ์จากการออกเดินทางไกลครั้งนี้ไม่ค่อยได้แต่ก็ใช้ได้ดีทีเดียว” 


 


“มะ ไม่เป็นไรค่ะ พี่ ถ้าเป็นห่วงฉันก็ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ฉัน…” 


 


“รับไปเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ค่อยได้ใช้เจ้านี่อยู่แล้ว เคยเห็นความสามารถในการต้านทานพลังเวทของฉันไม่ใช่เหรอ” 


 


ผมกระดิกแหวนไปมาเป็นความหมายว่าให้รีบๆ รับไป แต่คิมฮันบยอลไม่ยอมยื่นมือออกมาง่ายๆ แม้ว่าจะเร่งเธออยู่สองสามครั้งแล้ว แต่เธอก็เพียงแค่กระดิกมือไปมาเท่านั้น เพราะอย่างนั้นผมจึงตั้งใจจะเอาใส่มือของเธอโดยตรง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกางมือออกกว้างเพื่อขัดขืน เพราะอย่างนั้นสุดท้ายผมจึงสวมเข้าที่นิ้วนางของเธอด้วยตัวเอง 


 


“พะ พะ พี่” 


 


“เฮ้อ จริงๆ เลย ตั้งใจจะให้แหวนวงเดียวแต่เล่นตัวซะเยอะเลยนะ” 


 


“เอ่อ อ้า อ๊ะ ขะ ขอบ…” 


 


“…” 


 


ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่คิมฮันบยอลถึงได้พูดตะกุกตะกักและหน้าแดงลามไปถึงหู ดูจากการที่เธอใช้มือขวากุมรอบมือซ้ายที่สวมแหวนในท่าทางนั้น ดูท่าจะดีใจมาก ผมมองเธอที่ก้มหน้างุดๆ อีกครั้งแล้วผมจึงยักไหล่ครั้งหนึ่ง 


 


‘ชอบมากขนาดนั้นเลยเหรอ’ 


 


 


 


ห้องฝึกศิลปะป้องกันตัวชั้นใต้ดินอันเงียบสงบ ผมค่อยๆ หลับตาลง จากนั้นจึงกำมือเข้าหากันแล้วเรียกพลังเวทออกมาช้าๆ พร้อมกับรู้สึกได้ถึงพลังที่เคยหลับใหลอยู่ข้างในใจ 


 


[สวัสดี] 


 


‘ใครกันน่ะ ‘ 


 


[เจ้าโง่ ไม่รู้แม้แต่สิ่งที่อยู่ข้างในตัวแกเหรอ] 


 


‘จู่ๆ พูดขึ้นมาก็ต้องตกใจสิ’ 


 


[ไอ้โง่! นั่นเป็นเพราะแกอ่อนแอ ที่ผ่านมาก็เลยพูดอะไรไม่ได้เลยไง แล้วก็ตอนเข้ามาในตัวแกครั้งแรกก็เคยทักทายไปแล้วนะ] 


 


‘งั้นเหรอ’ 


 


 


 


คิดดูแล้ว ผมก็จำได้ว่าเป็นแบบนั้น สิ่งที่หลงเหลือไว้เป็นอย่างสุดท้ายในขั้นตอนการรับเอาฮวาจองเข้ามาก็คือเสียงกระซิบแว่วๆ ว่า ‘จะหยุดไหมล่ะ’ 


 


[ดูเหมือนจะจำได้แล้วสินะ เจ้าโง่เอ๊ย ยังไงก็ตาม ตอนนี้ก็พอใช้ได้ขึ้นมานี้ด~หน่อยแล้วนะ ถึงอย่างนั้นก็ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ เพราะยังมีความสามารถไม่พอ ถ้างั้นก็ไว้เจอกันครั้งหน้านะ~] 


 


พอสิ้นสุดคำพูดนั้น ผมก็ไม่ได้ยินเสียงกระซิบที่ได้ยินมาจากข้างในใจไปมากกว่านี้อีก ผมลองพูดทักเพิ่มไปอีก แต่สิ่งที่ย้อนคืนกลับมามีเพียงความเงียบสงบเท่านั้น พอผมเอียงหัวด้วยความสงสัยเล็กน้อยแล้วลืมตาโพลงขึ้น ผมก็มองเห็นเปลวไฟสว่างไสวที่ลุกโหมขึ้นมาอย่างโชติช่วง 


 


ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำมาเป็นพูดว่าทดสอบ แต่เพราะยังคงอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายจึงไม่จำเป็นจะต้องระเบิดพลังออกมา 


 


พอเรียกเก็บฮวาจองกลับคืนอย่างสุขุม เปลวไฟก็ค่อยๆ หายไปช้าๆ แต่ต่อให้บอกว่าเอาฮวาจองออกไป แต่ไอของพลังเวทที่หลงเหลืออยู่ก็ยังคงคั่งค้างอยู่ตรงกำปั้นและมีพลังอันน่ากลัวพวยพุ่งออกมา 


 


“ระวังตัว” 


 


ผมพูดซ้ำๆ อย่างแผ่วเบาไปตรงด้านหน้า จากนั้นผมจึงเหวี่ยงกำปั้นไปทางขวาอย่างสุดแรงที่มี 


 


เปรี้ยง! 


 


“จ๊าก!” 


 


ในตอนที่กำปั้นที่เหวี่ยงออกไปฝ่ากลางอากาศแล้วเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นกลางอากาศอันว่างเปล่า บรรยากาศสั่นไหวอย่างหนักและแรงกระทบที่ตามกันมาก็ไล่มาตามกำแพงของห้องฝึกแล้วแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง ผมรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวน้อยๆ ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจากฝ่าเท้าที่เหยียบอยู่บนพื้น จากนั้นผมจึงเก็บมือเงียบๆ 


 


พอจ้องมองไปยังด้านหน้า ผมก็เห็นอันซลกำลังมองผมในสภาพอ้าปากค้าง เธอกะพริบตาถี่ๆ ไม่หยุดราวกับตกใจมากแล้วจึงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจนคอขยับ 


 


“ทะ ท่านพี่ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” 


 


“อือ ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากเลยละ ร่างกายเบาหวิวเลย” 


 


“ว้าว ท่านพี่สุดยอดจริงๆ ค่ะ!” 


 


“อะไรล่ะ คงเพราะได้รับการรักษาจากเธอเมื่อคืนละมั้ง” 


 


แน่นอนว่าผู้ที่ผมติดหนี้บุญคุณจริงๆ ยังมีอยู่อีกหนึ่งคน แต่อันซลก็คงชอบใจมาก เธอจึงบิดตัวไปมาอย่างวุ่นวายพร้อมกับฉีกยิ้ม 


 


พอผมเก็บมือลงช้าๆ แล้วตรวจเช็คสภาพร่างกาย ผมจึงรู้สึกถึงจุดที่แตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน ร่างกายที่เคยหนักอึ้งกลับเบาลงราวกับขนนกและการฟื้นคืนสภาพร่างกายที่เคยเชื่องช้าก็เริ่มเร็วขึ้นอย่างมาก ขนาดค่าความแข็งแกร่งจะแค่เก้าสิบ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ดีขนาดนี้ ถ้ามันขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยเอ็ดแล้วจะแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขนาดไหนนะ 


 


‘คงต้องเอาค่าความแข็งแกร่งหนึ่งร้อยเอ็ดไว้เป็นอันดับแรกแล้วสินะ’ 


 


แน่นอนว่านี่คือปัญหาที่ควรค่าในการลองคิดคำนึงดู พอคิดแบบนั้น อันซลซึ่งเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้จึงจับแขนเสื้อของผมแล้วกระตุกเบาๆ 


 


“ท่านพี่ ท่านพี่ค้า ทุกคนกำลังรออยู่ชั้นสามนะคะ” 


 


“ห้องประชุมเล็กเหรอ อยู่กันทุกคนเลยเหรอ” 


 


“ค่า!” 


 


“เข้าใจแล้ว ไปกัน” 


 


ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระปรี้ประเปร่าแล้วจึงออกจากห้องฝึกฝนส่วนตัวชั้นใต้ดินไปพร้อมกันกับอันซล 


 


จากนั้นพอขึ้นมายังชั้นสามแล้วผลักประตูห้องประชุมเล็กเข้าไป ก็เห็นว่าแต่ละคนกำลังจับจองที่นั่งกันอยู่ตามที่อันซลบอก คงเพราะมีสมาชิกเผ่าเกินสิบคนมานิดเดียวจึงเห็นที่ว่างเหลืออยู่เยอะ ถึงแม้จะเป็นห้องประชุมเล็กก็ตาม 


 


ผมตอบรับการกระทำของสมาชิกเผ่าที่ทักทายมา จากนั้นผมจึงนั่งลงตรงหัวโต๊ะแล้วหันมองดูทุกคน ทันใดนั้น จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงของยูนิคอร์นที่ร้องหงุงหงิงอยู่ใต้เก้าอี้ของผม ผมรีบอุ้มมันขึ้นมาวางไว้บนตัก มันจึงพับขาเข้าหากันพร้อมหลับตาลงอย่างสงบเสงี่ยม 


 


หลังจากเห็นภาพนั้นแล้ว ผมจึงสามารถเปิดปากพูดขึ้นมาเป็นคำแรกเพื่อการประชุมได้ 


 


“สวัสดีตอนเช้าครับ อ้อ สายไปนิดหน่อยที่จะพูดว่าตอนเช้าสินะครับ ยังไงก็ตาม เหตุผลที่ผมเรียกสมาชิกทุกคนมาในวันนี้ ทุกคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วนะครับ” 


 


“ค่ะ/ครับ” 


 


“เราเข้ามาอยู่ในแคลนเฮาส์ได้สองสามวันแล้วนะครับ ผมคิดว่าพักผ่อนกันได้อย่างเพียงพอแล้วนะครับ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะตั้งหลักแหล่งอย่างจริงจังและเริ่มจัดการเรียบเรียงอีกครั้งแล้วครับ” 


 


“…” 


 


นิ่งเงียบ พอเบนสายตาลงไปด้านล่างเล็กน้อย อย่าว่าแต่บันทึกเป็นปึกๆ เลย ผมเห็นเพียงแค่บันทึกหนึ่งแผ่นเท่านั้น พอตรวจสอบดูผู้ส่งบันทึกแผ่นนั้นมาก็เห็นว่ามีชื่อของโกยอนจูถูกจดไว้อยู่ ผมมองดูบันทึกนั้นแล้วจิ๊ปากสองสามครั้ง จากนั้นจึงเบนสายตาขึ้นมาพลางพูดขึ้น 


 


“ผู้เล่นชินซังยง ตอนนี้ก็มีแคลนเฮาส์แล้ว ทีนี้คุณไม่ต้องการห้องทดลองสำหรับแปรธาตุส่วนตัวเหรอครับ” 


 


“คะ ครับ มะ ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ มีเรื่องที่ยังจะต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก…ละ แล้วผมจะบังอาจร้องขอห้องทดลองส่วนตัวได้ยัง…” 


 


“ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เรียนครับ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ ตัวเองก็น่าจะมีสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ” 


 


“ฮ่าๆ ก็ใช่ละครับ” 


 


ชินซังยงเกาหัวพลางยิ้มอย่างประหม่า ผมมองท่าทีของเขาแล้วจึงเบนสายตาไปยังเหยื่อรายต่อไป 


 


“ผู้เล่นจองฮายอน คิมฮันบยอล” 


 


“ค่ะ” 


 


“ค่ะ” 


 


“ทั้งสองคนเป็นไงบ้างครับ นอกเหนือจากห้องพักในอาคารย่อยก็ต้องมีห้องทดลองในอาคารย่อยสักห้องไม่ใช่เหรอครับ” 


 


“หะ ห้องทดลองเหรอคะ อ้อ ค่ะ ก็…ถ้ามีก็ต้องดีอยู่แล้วละค่ะ” 


 


จองฮายอนตอบกลับอย่างเบลอๆ ส่วนคิมฮันบยอลก็เพียงแค่กะพริบตาปริบๆ อยู่เงียบๆ  


 


“พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่ต้องการเหรอ” 


 


แล้วพอเบนเป้าไปทางสมาชิกที่เหลือซึ่งเอาแต่นั่งฟังอย่างเงียบเชียบ เด็กๆ จึงเงยหน้าพรึ่บขึ้นมาราวกับลูกม้าถูกเหล็กเสียบ แต่ดูจากที่พวกเขามองหน้ากันสลับไปมาก็คงจะไม่ต่างกัน ผมถอนหายใจออกมาสั้นๆ 


 


ผมรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจด้วย ถึงแม้ว่าโกยอนจูจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ยากที่จะมองว่าที่เหลือใช้ชีวิตในเผ่าอย่างเป็นปกติ หรือไม่ก็ไม่เลย ใช้ชีวิตแบบถูกรบกวนอยู่เสมอแล้วพอจู่ๆ มาเผชิญกับการใช้ชีวิตแบบนี้อย่างกะทันหันก็เลยน่าจะไม่คุ้นเคยด้วย แต่อย่างน้อยจากนี้ไปก็จำเป็นจะต้องปรับตัวเข้ากับอะไรแบบนั้น 


 


“ครั้งก่อนผมน่าจะบอกว่าให้คิดว่าจำเป็นต้องใช้อะไรแล้วมาเสนอตอนประชุมแน่ๆ แล้วนะครับ แต่ที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกคนน่าจะยังยึดติดกับอดีตอยู่นิดหน่อยนะ ที่นี่คือแคลนเฮาส์ของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครับ ไม่ใช่อะไรมากกว่านี้และน้อยกว่านี้ด้วย ตอนนี้ไม่จำเป็นจะต้องหลับนอนที่โรงแรมเลยครับ มีสถานที่ฝึกซ้อมโดยไม่ต้องเกรงใจสายตาใครแล้วด้วย พื้นที่ว่างก็มีอยู่อย่างล้นหลามจนสามารถยอมรับคำขอของพวกคุณทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้ด้วยครับ” 


 


“…” 


 


“ผมเข้าใจครับว่าพวกคุณน่าจะสับสนกับสภาพการณ์ที่มีทุกอย่างเพียงพอซึ่งเผชิญกับมันอย่างกะทันหัน แต่ว่า…ถึงอย่างนั้น เครื่องใช้ สิ่งของ หนังสือที่จำเป็นในการฝึกส่วนตัว อีกทั้งยังอุปกรณ์ นอกเหนือจากของพวกนั้น รวมไปถึงสิ่งของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในเผ่า หรือถ้าต้องการพื้นที่แบบนี้ หรืออะไรอื่นๆ อีก พวกคุณน่าจะคิดได้ว่ามีของพวกนั้นอยู่อย่างเพียงพอนะครับ” 


 


“…” 


 


“แน่นอนว่าไม่จำเป็นจะต้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปในครั้งเดียวเหมือนกับวิเวียนก็ได้ครับ เพราะมันไม่มีทางได้ครบภายในครั้งเดียวแน่ๆ แต่ที่สำคัญคงต้องกำจัดท่าทีที่จับจุดไม่ถูกเหมือนตอนนี้ทิ้งไปเสียให้หมดครับ” 


 


ผมไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเคืองหรือตั้งใจพูดเสียงดังขึ้น ผมรักษาน้ำเสียงที่กล่าวตักเตือนอย่างนุ่มนวลในขอบเขตที่ไม่ทำลายบรรยากาศเดิมให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จงใจทำหน้าแดงก่ำ แต่ถ้าเป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ ผมคิดว่ามันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารับรู้แล้ว 


 


ผมหยิบบันทึกที่วางไว้ตรงหน้าแล้วจึงพูดขึ้นกับสมาชิกเผ่าเป็นครั้งสุดท้าย 


 


“แคลนเฮาส์น่ะ พวกเราได้รับมาฟรีๆ และไม่นานมานี้ก็ได้รับห้าพันโกลด์มาจากอีสตันเทลลอว์ด้วยครับ เงินทุนที่มีอยู่เกือบๆ จะเก้าหมื่นโกลด์ และถ้ารวมกับอัญมณี ดีไม่ดีก็อาจจะถึงสองแสนโกลด์ครับ เงินพวกนี้ปล่อยทิ้งไว้แล้วจะได้อะไรครับ เอาไปปล่อยกู้ดีไหมครับ ถ้ามีเรื่องจำเป็นก็ไม่ต้องเกรงใจสายตาคนอื่นแล้วบอกมาได้เลยครับ จะต้องจัดการเรื่องภายในโดยเร็ว ไม่งั้นจะไม่ทำอะไรกันเลยเหรอครับ ไม่ว่าจะออกเดินทางครั้งต่อไปหรือออกจากเมืองน่ะ” 


 


“คือ ถ้างั้น…” 


 


ในตอนที่ผมพูดกระตุ้นถึงตรงนี้และกำลังจะอ่านบันทึก จองฮายอนก็ปริปากพูดขึ้นกับผมอย่างระมัดระวัง พอผมพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง เธอจึงกระแอมอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ 


 


“ไม่ทราบว่าแคลนลอร์ดมีสิ่งของหรือพื้นที่ที่คิดเอาไว้เป็นการส่วนตัวหรือเปล่าคะ” 


 


“เป็นการส่วนตัวเหรอครับ พื้นที่น่ะ ผมจัดเตรียมห้องฝึกซ้อมชั้นใต้ดินเอาไว้แล้ว เพราะฉะนั้นก็ตัดไป ส่วนเรื่องสิ่งของก็อยากซื้อหินเรียกตัวเหมือนกันนะครับ” 


 


ในตอนที่หยิบเรื่องหินเรียกตัวขึ้นมาพูด ใบหน้าของสมาชิกเผ่าบางคนก็มีสีหน้าเหมือนบอกว่าอ๋อพาดผ่านไป ถ้ามีหินเรียกตัว ถึงแม้จะไม่ได้ดันทุรังไปหาใครบางคนแล้วบอกหรือถ่ายทอดคำสั่งก็ตาม แต่ก็สามารถเรียกตัวสมาชิกเผ่ามาได้อย่างสะดวกสบาย แน่นอนว่ามีข้อเสียตรงที่ว่าเป็นการสื่อสารเพียงฝ่ายเดียวไม่ใช่ทั้งสองฝั่ง แต่ถึงแม้คำนึงถึงเรื่องนั้นแล้วก็เป็นสิ่งของที่น่าใช้ไม่น้อยหากมองในฐานะของแคลนลอร์ด 


 


“เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วยสินะคะ วันนี้ฉันว่าจะแวะไปที่ร้านขายของเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นฉันน่าจะซื้อมาให้ได้ค่ะ” 


 


“ถ้างั้นเรื่องหินเรียกตัว ผมฝากจองฮายอนด้วยนะครับ” 


 


“อ้อ พวกเรื่องจำนวนหรือไม่ก็เงื่อนไขปลีกย่อยต่างๆ จะทำยังไงดีคะ” 


 


“พวกของที่ส่งต่อให้สมาชิกเผ่าถ้านับทีละอันก็ทั้งหมดเก้าอัน แล้วก็ถ้ารวมถึงพวกที่สอดคล้องกันนั้นก็อีกเก้าอัน เพราะฉะนั้นทั้งหมดสิบแปดอันก็น่าจะได้ครับ…ซื้อเพิ่มสักสี่ห้าอันเผื่อไว้แล้วกันครับ ขอบเขตน่ะ ทำให้มันสามารถครอบคลุมเมืองได้ก็พอแล้วครับ ขอบเขตระดับนั้นน่าจะมากที่สุดแล้วด้วย” 


 


แน่นอนว่าจองฮายอนคงฟังเข้าใจ เธอจึงยกยิ้มบางๆ ต่อจากนั้นผมก็อ่านบันทึกที่โกยอนจูส่งมา เนื้อหาที่ถูกเขียนไว้ในบันทึกยาวกว่าที่คิด แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาอ่านนานมากนัก คงเพราะความสามารถในการจัดการข้อมูลสำคัญๆ ของเธอ มันจึงถูกเรียบเรียงแบบอ่านแค่ครั้งเดียวก็เข้าใจ 


 


“ผู้เล่นโกยอนจูดูเหมือนจะอยากตั้งสมาคมช่วยเหลือเรื่องข้อมูลภายในเผ่านะครับ” 


 


“อ๋อ~แหม นั่นก็ชมกันเกินไปค่ะ ยังไม่ถึงระดับที่ตั้งสมาคมได้หรอกค่ะ โฮะๆ” 


 


พอผมอ่านบันทึกจนจบแล้วมองเธอ โกยอนจูจึงโบกไม้โบกมือด้วยใบหน้าสบายๆ 


 


“ผมอยากฟังเรื่องโดยละเอียดอีกสักหน่อยเกี่ยวกับบันทึกนี้ครับ” 


 


“ค่ะ แต่จะพูดที่นี่มันก็ยังไงๆ นิดหน่อยนะคะ ฉันอยากเตรียมที่ที่จะคุยตามลำพังค่ะ” 


 


ผมอนุญาตเรื่องที่โกยอนจูขอทันที ถ้าเธอถึงกับขอคุยเป็นการส่วนตัวแบบนี้ก็น่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน 


 


จากนั้นผมก็พลิกบันทึกที่อ่านจบแล้วให้คว่ำลงแล้ววางบนโต๊ะ จากนั้นจึงเบนสายตาขึ้นมามองทุกคน 


 


“ก่อนอื่น ผมจะจบการประชุมในวันนี้เพียงเท่านี้นะครับ ไม่ทราบว่ามีสมาชิกเผ่าที่มีธุระกับผมอีกไหมครับ” 


 


“ฉัน!” 


 


ทันทีที่ผมพูดจบ วิเวียนก็ยกมือพรวดขึ้น นึกดูแล้ว ผมเองก็มีธุระกับวิเวียนเช่นกัน เพราะฉะนั้นผมจึงพยักหน้าให้อย่างยินดี สมาชิกเผ่าคนอื่นๆ คงคิดจะดำเนินการตามคำสั่งของผมในวันนี้ทันที พวกเขาจึงส่ายหน้าเบาๆ 


 


“ทราบแล้วครับ ผมคิดว่าอีกไม่นานจะจัดประชุมอีกครั้ง เพราะฉะนั้นผมคาดหวังว่าตอนนั้นจะได้เห็นภาพลักษณ์ที่เตรียมพร้อมกันมากกว่าตอนนี้นะครับ แล้วก็…โกยอนจู วิเวียน แยกมาเจอผมที่ห้องทำงานชั้นสี่นะครับ ผู้เล่นโกยอนจู ขอโทษด้วย แต่ผมคงต้องขอคุยกับวิเวียนก่อนนะครับ” 


 


“ค่ะ ฉันเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นค่ะ” 


 


โกยอนจูยิ้มอย่างสบายๆ ด้วยใบหน้าบอกว่าไม่เป็นไร 


 


ผมประกาศจบการประชุมอย่างเป็นทางการแล้วลุกขึ้นทันที 

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 25

 

“พอดีเลยนะ ฉันเองก็มีธุระกับเธอพอดี” 


 


“หืม คิมซูฮยอนน่ะนะ เรื่องอะไรล่ะ” 


 


พอพิงตัวกับเก้าอี้แล้วพูดขึ้น วิเวียนก็ปิดประตูเข้ามาพลางย้อนถาม ผมเอาหนังสือเล่มหนาหนึ่งเล่มที่เก็บเอาไว้ในลิ้นชักออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ นี่คือบันทึกประจำวันของมาร์โวลโลที่วิเวียนลืมทิ้งไว้เมื่อวันก่อน 


 


“จะเอาไอ้นี่ให้น่ะสิ ครั้งก่อนเธอมัวแต่ดีใจที่ได้รับออร์โดแห่งข้อบังคับก็เลยวิ่งถลาออกไปเลยไม่ใช่หรือไง ถึงไม่รู้ว่าเพราะอย่างนั้นก็เลยลืมหรือเปล่า แต่เธอก็วางไว้แล้วออกไปเฉยเลย” 


 


“แหะๆ โทษนะ โทษที เอาให้ชินซังยงก็ได้นี่นา ว่าแต่หนังสือเล่มหนานี่มันอะไรล่ะ เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรเหรอ” 


 


“ลองอ่านดูสักครั้งสิ เอามาจากการเดินทางไกลไปสำรวจที่มาเจีย เหมือนจะเป็นบันทึกประจำวันที่มีเนื้อหาการทดลองของมาร์โวลโลอยู่ด้วย หมอนั่นก็เหมือนจะมีแนวคิดของตัวเองกับเรื่องการแปรธาตุเหมือนกัน  คิดว่าอาจจะมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์อะไรกับเธอบ้างสักนิดน่ะ เธอก็รู้จักมาร์โวลโลไม่ใช่เหรอ” 


 


วิเวียนดูเหมือนหยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงตบมือดังฉาดพลางพยักหน้าหงึกหงักรัวๆ 


 


“ฉันไม่รู้อย่างละเอียดหรอกนะเพราะเป็นคนที่อยู่มาก่อนฉันซะอีก ส่วนชื่อน่ะพอจะรู้อยู่บ้าง จะว่าไปก็คาดหวังกับเจ้านี่เหมือนกันนะ ถ้างั้นเดี๋ยวจะลองอ่านดู” 


 


วิเวียนพุ่งเข้ามาหยิบหนังสือทันที จากนั้นเธอก็กางมันออกแล้วดวงตาของเธอก็เริ่มกลอกไปมา 


 


พรึ่บ พรั่บ พรึ่บ พรั่บ 


 


เธอเปิดไปทีละหน้าสองหน้า และทุกครั้งที่เธอเปิดหน้าใหม่ สีหน้าที่เคยแจ่มใสของเธอก็ฉายแววแปลกๆ ผมอ่านสีหน้าแบบนั้นของเธอแล้วจู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงพูดขึ้น 


 


“เธอแปลภาษาโบราณออกใช่ไหม ทีหลังก็สอนชินซังยง…” 


 


“ไม่ เดี๋ยวก่อน คิมซูฮยอน นี่มันอะไร” 


 


“อะไรล่ะ” 


 


วิเวียนเอียงหัวด้วยความงุนงงกับการย้อนถามของผม จากนั้นเธอก็เริ่มอ่านหนังสือออกเสียง 


 


“ใช้แส้เฆี่ยนมาร์การิต้าที่จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชาด้วยความรู้สึกอาฆาต อะไรกัน นี่น่ะ” 


 


“อ๋อ ฉันยังไม่เคยพูดสินะ มาร์การิต้าคือราชินีแห่งเอลฟ์ มาร์โวลโลเคยลักพาตัวผู้กล้ากับราชินีแห่งเอลฟ์ไปใช่ไหมล่ะ นั่นน่ะเป็นเรื่องจริง จิ๊ เอามานี่สิ ฉันจะแยกส่วนนั้นเอาไว้ให้ บางทีหน้าหลังๆ น่าจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับยาอยู่นะ” 


 


ผมพูดแบบนั้นแล้วจึงยืดตัวที่พิงเก้าอี้ขึ้น จากนั้นในตอนที่กำลังจะยื่นมือไปเอาหนังสือนั่นเอง 


 


“มะ ไม่เอา! ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวจะหาเองนั่นแหละ!” 


 


วิเวียนถลึงตากว้างในชั่วพริบตาแล้วจึงก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วพลางกอดหนังสือเอาไว้แน่น 


 


“งั้นเหรอ น่าจะมีเรื่องไม่น่าอ่านอยู่เยอะเหมือนกันนะ” 


 


“ไม่น่าอ่านอะไรล่ะ ให้แล้วก็ให้เลยสิ แล้วก็ของแบบนี้น่ะจะต้องอ่านให้ละเอียดทีละบรรทัดๆ เพราะไม่รู้ว่าจะมีเบาะแสอะไรอยู่ตรงไหนน่ะสิ” 


 


“ก็จริง ถ้างั้นก็เอาตามนั้น ว่าแต่…เธอบอกว่ามีธุระเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” 


 


แน่นอนว่ามันเป็นคำพูดที่มีสาเหตุ เพราะอย่างนั้นผมจึงพยักหน้าอย่างไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แล้วพอถามเรื่องธุระ ดวงตาของวิเวียนจึงเบิกกว้างเท่าหลอดไฟราวกับตอนนั้นถึงเพิ่งนึกออก 


 


“อ๊ะ คำขอ! นายบอกว่าถ้าทำโพชั่นวิเศษแล้วจะช่วยฟังคำขอของฉันนี่!” 


 


“อ้อ ใช่สิ ยังไงก็ขอบใจเรื่องโพชั่นนะ เพราะเธอ ฉันเลยแก้ปัญหาไปได้อีกเรื่อง” 


 


“หุๆ บอกแล้วว่าให้เชื่อในตัวฉัน ยังไงก็เถอะ ไม่ลืมสัญญาใช่ไหม” 


 


“ไม่ได้ลืม ถ้าเป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ในขอบเขตของฉัน ไม่ว่าอะไรก็จะรับฟังหมดเลย ลองบอกมาสิ” 


 


“คำขอของฉัน ฉันจะตัดสินใจหลังจากอ่านเจ้านี่แล้ว” 


 


“อะไรนะ” 


 


พอส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายว่าหมายความว่าอะไร วิเวียนจึงพูดตะกุกตะกักขึ้นมาด้วยใบหน้าพะวักพะวน 


 


“ปะ เปล่าสักหน่อย! เพราะฉะนั้นก็เลยขอเวลาคิดไงเล่า” 


 


“อะไรกัน แล้วถ้างั้นมาทำไมล่ะ” 


 


“มะ มาเช็คดูไง! ยังไงก็เถอะ ฉันจะไปแล้ว!” 


 


“นะ นี่! จะไปก็ได้ แต่ไปบอกให้โกยอนจูเข้ามาให้ด้วยละ” 


 


“รู้แล้วน่า!” 


 


ปัง ตึงๆๆ 


 


วิเวียนวิ่งออกไปข้างนอกด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วโดยไม่มีแม้แต่จังหวะให้ผมได้ห้ามปราม ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนั้น แต่ถ้าลองนึกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของนักเล่นแร่แปรธาตุก็พอจะเข้าใจได้บ้างเหมือนกัน เพราะเดิมทีพวกนักเล่นแร่แปรธาตุก็มีความอยากรู้อยากเห็นมากมายอยู่แล้ว 


 


แต่ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเลย ผมคาดเดาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ว่าการให้หนังสือวิเวียนคืนไปในตอนนั้น หลังจากนั้นจะทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยจากผลลัพธ์นั้น 


 


หลังจากวิเวียนวิ่งออกไป ประตูก็เหมือนจะถูกปิดอยู่ แต่แล้วก็เปิดออกทันที คนที่เปิดประตูเข้ามาคือโกยอนจู บางทีคงกำลังรออยู่แถวๆ ประตู พอวิเวียนวิ่งออกไป เธอจึงเข้ามาทันที 


 


“เชิญเข้ามาเลยครับ ไม่สิ อย่าเพิ่งเข้ามามากกว่านี้นะครับ นั่งลงตรงโซฟาข้างหน้านั้นได้เลยครับ” 


 


ผมยกมือขึ้นทักทายโกยอนจูที่ปิดประตูเข้ามา แต่แล้วก็ใช้นิ้วชี้ไปทางโซฟาทันที เพราะรู้สึกว่าฝีเท้าของเธอที่เดินเข้ามาใกล้ผมมันรวดเร็วแบบแปลกๆ คงคาดการณ์ถูกต้องจริงๆ โกยอนจูจึงทำสีหน้าเสียดายพร้อมทำเสียงชิ 


 


“ตั้งใจจะหาเวลาใกล้ชิดกันสักหน่อยหลังจากไม่ได้อยู่สองต่อสองมานานแล้ว! ไม่ได้ทำกันเกินไปหน่อยเหรอคะ” 


 


“เรามาแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานกันเถอะครับ ยังคงอยู่ในเวลางานนะครับ” 


 


“ได้ค่า~ ได้เลย~ นี่แหละที่เขาเรียกว่ายอนจูของตายใช่ไหมคะ” 


 


“เอาล่ะ ถ้างั้นมาลองฟังเรื่องของคุณเลยดีไหมครับ” 


 


 แม้จะนั่งลงบนโซฟาแล้ว เธอก็ยังบ่นพึมพำต่อไป แต่ผมก็สามารถโต้ตอบกลับได้อย่างไม่เขินอาย โกยอนจูปรายตามองผมด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าเกลียดจะตายแล้ว แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกพลางพูดขึ้น 


 


“เฮ้อ ก่อนอื่นเลย ฉันมีเรื่องอยากจะถามสักหน่อยก่อนค่ะ ซูฮยอน จากนี้ไป คุณคิดจะรับสมัครสมาชิกเผ่ายังไงคะ” 


 


“ผมกำลังคิดครับ อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่สิ่งที่สามารถพูดได้ในตอนนี้มีเพียงเรื่องที่โกยอนจูก็ได้ยินมาที่มิวล์น่ะครับ ถ้าพูดถึงเรื่องการทำให้วิธีการเป็นรูปเป็นร่างก็มีสิ่งที่จะต้องลองค้นคว้าดูก่อนครับ” 


 


“โอเคค่ะ กลุ่มทหารชั้นหนึ่ง ว่าแต่ว่า ความสามารถมันก็ดี แต่ตอนนี้น่าจะต้องเริ่มใส่ใจสัดส่วนของคลาสหรือเปล่าคะ ตอนนี้เมอร์เซนต์นารี่มีสัดส่วนของคลาสนักเวทสูงมากเลยนี่คะ” 


 


“ถ้าลองนึกถึงในภายภาคหน้า การมีนักเวทเยอะก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะครับ แต่แน่นอนว่าก็มีคลาสที่ยังขาดแคลนจริงๆ” 


 


ผมกับโกยอนจูพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน คำพูดของเธอก็มีเหตุผลมาก เพียงแค่รวมคลาสที่ไม่มีเมอร์เซนต์นารี่ตอนนี้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะมีกำลังในการต่อสู้ที่เพิ่มสูงขึ้นอีกเท่ากว่าตอนนี้ได้ด้วยเช่นกัน 


 


“ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่าจำเป็นต้องมีนักธนูมากที่สุดค่ะ ไม่ใช่จู่ๆ เพิ่งคิดขึ้นมาแต่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะ แล้วพอออกเดินทางไกลในครั้งนี้ก็ยิ่งคิดมากขึ้นอีกค่ะ ถ้ามีคนคอยโจมตีสนับสนุนอย่างอิสระจากระยะไกล…” 


 


“ต้องดีอยู่แล้วละครับ แล้วก็พอหยิบเรื่องนักธนูขึ้นมาพูดปุ๊บ ผมก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาปั๊บเลยนะครับ” 


 


“ตายตริง ถูกจับได้แล้วสินะ” 


 


“มาดามอิม อ้อ ผู้เล่นอิมฮันนาครับ” 


 


โกยอนจูแลบลิ้นพร้อมกับยักไหล่ ผมประสานนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกันแล้วจึงเปิดหน้าต่างข้อมูลผู้เล่นของอิมฮันนาที่เคยดูก่อนหน้านี้ขึ้นมา 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น(Player Status) 


 


1.ชื่อ(Name) : อิมฮันนา(ปีที่ 3) 


 


2.คลาส(Class) : นักธนูทั่วไป(Normal, Archer, Expert) 


 


3.นามแท้ · สัญชาติ : ดอกไม้น่าสงสารที่ไม่หักงอ · สาธารณรัฐเกาหลี 


 


4.อุปนิสัย : มีวินัย · มีความเชื่อมั่น(Lawful · Belief) 


 


[พละกำลัง 72] [ความทนทาน 84] [ความคล่องแคล่ว 92] [ความแข็งแกร่ง 68] [พลังเวท 88] [โชค 90] 


 


แต้มของค่าความสามารถที่คงอยู่คือ 0 พอยต์ 


 


 


 


น่าเสียดายตรงค่าพละกำลังกับความแข็งแกร่ง แต่ความคล่องแคล่วกับพลังเวทสูง และถ้านึกถึงจุดที่ว่าเป็นนักธนู คุณค่าในเรื่องนั้นก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พูดให้ละเอียดก็คือ อิมฮันนาอยู่ในระดับที่พอจะทำให้น้ำลายไหลไม่ว่าจะเป็นเผ่าไหนๆ และผมเองก็คิดว่าถ้าเป็นระดับนี้ก็เพียงพอที่จะเข้ามาในเมอร์เซนต์นารี่ได้ ส่วนเรื่องอุปนิสัยก็น่าพอใจเช่นกัน 


 


คงรับรู้ได้ว่าผมคิดในแง่บวก โกยอนจูจึงเริ่มพูดต่อทันที 


 


ถ้าลองรวบและสรุปสถานการณ์อย่างง่ายๆ ตอนนี้อิมฮันนากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันคลุมเครือมากๆ อยู่ เป้าหมายเดิมของเลิฟเฮาส์คือตึกที่สร้างเอาไว้เพื่อพวกดอกไม้กลางคืนผู้มีชีวิตยากไร้ในบรรดาผู้เล่นจำพวกหาเลี้ยงชีพ 


 


แต่ในเมื่อเป็นตึก แน่นอนว่าจะต้องมีเจ้าของตึก ตอนเจ้าของตึกยังมีชีวิต ถึงแม้คนรอบข้างจะคัดค้าน เขาก็ยังทำตามเป้าหมายต่อไปอย่างหนักแน่น แต่ล่าสุดว่ากันว่าเจ้าของตึกเสียชีวิตไปแล้วด้วยสาเหตุบางประการ สาเหตุบางประการนั้นก็คือเรื่องทีมกู้ภัยรอบแรกที่ออกไปทำการช่วยชีวิตเผ่าชายฝั่งน้ำตื้นนั่นเอง เจ้าของตึกเข้าร่วมทีมกู้ภัยนั้นไปด้วย 


 


“แม้เจ้าของตึกจะเสียชีวิตไปแล้วแต่เผ่าที่เจ้าของตึกสังกัดอยู่ยังคงอยู่ค่ะ แต่เจ้าของตึกก็เข้าร่วมทีมกู้ภัยในครั้งนี้แล้วเสียชีวิตใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นสิทธิทั้งหมดจึงตกมาอยู่กับเผ่านั้นค่ะ คนของเผ่านั้นดูเหมือนตั้งใจจะฟื้นคืนความเสียหายที่ได้รับในครั้งนี้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การเปลี่ยนเลิฟเฮาส์เป็นร้านเหล้าก็เหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้นค่ะ” 


 


“ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเจ้าของตึกเสียชีวิตและจุดประสงค์เปลี่ยนไปแล้ว อิมฮันนาก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นั่นต่อใช่ไหมครับ แสดงว่าคุณกำลังชวนให้รับเธอที่ไม่มีที่ไปเข้ามาหรือเปล่าครับ” 


 


“นั่นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดก็จริงค่ะ แต่สถานการณ์ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น พูดตามตรงว่าไม่ใช่เพราะฮันนาเป็นเด็กที่ฉันรู้จัก แต่เธอเป็นเด็กที่มีความสามารถจริงๆ ค่ะ ว่ากันว่าตอนนี้ได้รับเลิฟคอลจากเผ่าประมาณสองเผ่า เพราะฉะนั้นแค่เลือกไปตามที่ชอบก็ได้ใช่ไหมล่ะคะ แต่เธอไม่สามารถไปได้ค่ะ เดิมทีนิสัยของเธอคือมีความรับผิดชอบสูงอยู่แล้ว คงฟังเจ้าของตึกคนก่อนพูดอะไรบางอย่างมา ตอนนี้เลยดูเหมือนจะทิ้งพวกดอกไม้กลางคืนที่ดูแลอยู่ตอนนี้ไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ค่ะ” 


 


“ถ้างั้นถ้าจะพาอิมฮันนามา แค่แก้ปัญหาเรื่องดอกไม้กลางคืนก็พอแล้ว…โอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะครับ” 


 


พอถามหาความเห็นชอบ โกยอนจูจึงพยักหน้า ผมหลับตาลงทั้งอย่างนั้นแล้วพิงตัวเข้ากับเก้าอี้อย่างสบายๆ จู่ๆ เรื่องที่เคยพูดคุยกันระหว่างทานอาหารเมื่อไม่นานมานี้ก็แวบผ่านหัวไป 


 


 


 


‘ครับ ผมวางแผนว่าจะแวะไปที่แท่นบูชาครับ เป็นปัญหาสำคัญนิดหน่อย…ว่าแต่ทำไมถามเรื่องนั้นล่ะครับ’ 


 


‘อ๋อ~ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ตอนนี้ก็มีแคลนเฮาส์แล้ว ก็จะต้องจัดการโครงสร้างภายในไม่ใช่เหรอคะ อย่างเช่นพวกลูกจ้าง…’ 


 


  


 


หรือว่าตอนนั้นตั้งใจจะพูดเรื่องนี้หรือเปล่านะ พอลองคิดเรื่องนั้นอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ผมจึงสามารถปะติดปะต่อเรื่องได้ 


 


“เพราะฉะนั้นโกยอนจูก็เลยต้องการพาพวกดอกไม้กลางคืนมาเป็นลูกจ้างในเมอร์เซนต์นารี่สินะครับ” 


 


พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็เห็นว่าโกยอนจูกำลังทอดสายตามองผมอยู่ 


 


“ทำไมซูฮยอนถึงตาไวแค่กับเรื่องแบบนี้ล่ะคะ” 


 


“ไม่รู้สิครับ ยังไงก็เถอะ พวกดอกไม้กลางคืนเนี่ย” 


 


พอผมครุ่นคิดพร้อมกับลูบคาง โกยอนจูจึงรีบพูดขึ้นทันที 


 


“เผ่าที่จ้างพวกผู้เล่นเป็นลูกจ้างมีเยอะค่ะ หรือว่าถ้าคุณกังวลเรื่องความปลอดภัย…” 


 


“ผมมั่นใจเรื่องความปลอดภัยครับ แต่เป็นปัญหาเรื่องความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในบรรดาชาวเมืองมีคนที่เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับบทบาทลูกจ้างอยู่เยอะครับ แต่ชาวโลกน่ะ ซึ่งก็คือพวกผู้เล่นที่เคยเป็นดอกไม้กลางคืน ยากที่จะมองว่ามีความเชี่ยวชาญในระดับที่เป็นลูกจ้างได้ครับ” 


 


“ใช่ค่ะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ ถ้าสอนงานเพียงแค่เดือนเดียวก็เพียงพอที่จะเชี่ยวชาญขึ้นมาได้แล้ว” 


 


“เรื่องนั้นมันแปลกนิดหน่อยนะครับ อย่างน้อยถ้าสอนล่วงหน้ามาก็น่าจะดีนะ” 


 


“เดิมทีตอนเจ้าของตึกมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนจะสั่งให้เรียนรู้เป็นพิเศษด้วยค่ะ และถ้าเหมือนจะเชี่ยวชาญขึ้นมาในระดับหนึ่งก็จะได้รับการแนะนำแล้วก็ไปทำอาชีพในการดำรงชีวิตแบบอื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเหลือให้ออกจากเลิฟเฮาส์ไปด้วย แต่ว่าช่วงที่พวกดอกไม้กลางคืนคนใหม่เข้ามากับช่วงที่เจ้าของตึกออกไปกับทีมช่วยเหลือเป็นช่วงเวลาเดียวกันค่ะ” 


 


ช่างบังเอิญจริงๆ หน้าที่ลูกจ้างไม่ได้จำกัดขอบเขตแค่ทำอาหารหรือทำความสะอาดแบบง่ายๆ ความเป็นจริงก็คือพวกเขาจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวงแหวนเวทหรือหินรวมพลัง เพราะมันเป็นจุดศูนย์กลางที่คงสภาพสิ่งอำนวยความสะดวกของแคลนเฮาส์เอาไว้ 


 


หลังจากพวกผู้เล่นเข้ามา ว่ากันว่าแก้ปัญหาได้นิดหน่อย แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นก็ใช้สิ่งที่เคยมีอยู่ในฮอลล์เพลนเป็นพื้นฐาน การหาชาวเมืองที่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องจนทำหน้าที่ลูกจ้างได้ไม่ยากเลย แต่ถ้าเป็นพวกดอกไม้กลางคืนซึ่งอยู่ในบรรดาผู้เล่นจำพวกหาเลี้ยงชีพนั้น… 


 


“วุ่นวายจังเลยนะครับ” 


 


“ซูฮยอน ไม่มีอะไรที่จะต้องคิดให้ยากเลยนะคะ เป็นเพราะเสียดายยังไงล่ะคะ เสียดายน่ะ ฮันนาเป็นเด็กที่มีความสามารถจริงๆ นะคะ เรื่องนั้นฉันจะรับประกันให้เองค่ะ ฉันคิดจะทำอะไรดีๆ สักครั้งให้เด็กๆ ที่กำลังดูแลอยู่เป็นค่าตอบแทนที่ได้รับฮันนามาค่ะ” 


 


“…คุยกับอิมฮันนาเรียบร้อยแล้วหรือยังครับ” 


 


“แน่นอนค่ะ คุยกันเรียบร้อยแล้วค่ะ จำตอนที่เอาอุปกรณ์ออกมาวางเอาไว้ที่ชั้นหนึ่งเมื่อครั้งก่อนได้ใช่ไหมคะ ถึงแม้ว่าเธอจะดูเหมือนยิ้มแย้มตลอดเวลาแต่ก็เป็นเด็กที่มีเรื่องราวอยู่พอสมควรเลยค่ะ บางทีมองดูภาพนั้นแล้ว เจ้าตัวก็อาจจะเกิดแรงจูงใจขึ้นมาก็ได้ค่ะ เพียงแค่ซูฮยอนอนุมัติก็จะสามารถเอาชนะสงครามการชักชวนให้เข้าร่วมเผ่าซึ่งห้อมล้อมฮันนาอยู่แน่นอนค่ะ” 


 


โกยอนจูตีป้าบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเบาๆ พร้อมกับแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ จู่ๆ ผมก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าโกยอนจูกับอิมฮันนาเจอกันได้อย่างไร เธอเป็นผู้เล่นที่ปกปิดตัวตนจนกระทั่งก่อนจะมาเจอกับผม แน่นอนว่าถึงแม้จะพูดแบบนั้นแล้วก็ไม่มีวิธีที่ทำให้รู้ได้อยู่ดีก็เถอะ  


 


“ดูจากตอนที่อยู่เลิฟเฮาส์ พวกดอกไม้กลางคืนที่อาศัยอยู่ที่นั่นดูเหมือนจะมีประมาณยี่สิบคนนะครับ ผมพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าผมไม่สามารถว่าจ้างทั้งหมดนั้นได้ครับ” 


 


“ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะฉะนั้นตอนประชุมวันนี้ ฉันเลยให้ดูบันทึกนั้นยังไงล่ะคะ” 


 


โกยอนจูยิ้มอย่างอ่อนหวานพร้อมกับตอบราวกับรู้แล้วว่าผมจะพูดแบบนั้น พอเห็นท่าทางนั้น ผมก็ส่งเสียงว่า “อ๋อ” ออกมาโดยอัตโนมัติ ดูเหมือนว่าเธอจะคาดเดาไว้แล้วว่าผมจะแสดงออกอย่างไร 


 


ผมเคาะนิ้วลงบนโต๊ะครู่หนึ่งแล้วในที่สุดจึงตัดสินใจลงได้ 


 


“ช่วยจัดแจงสถานที่ที่จะคุยกับอิมฮันนาด้วยครับ” 


 


 


 


* * * 


 


 


 


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ พี่” 


 


“ตายจริง~ มาดามอิมของฉันมาแล้วสินะ” 


 


พออิมฮันนาก้มหัวลงทักทายอย่างนอบน้อม โกยอนจูจึงยิ้มกว้างและพูดต้อนรับด้วยความยินดี 


 


“ยังไงพอถึงพรุ่งนี้ คำนำหน้าชื่อว่ามาดามก็จะหายไปแล้วนะคะ” 


 


“อ๊ะ เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย จริงๆ ด้วย ช่วงนี้เธอเหมือนจะยุ่งนะ” 


 


“ขอโทษค่ะ มีเรื่องที่ต้องวางแผนล่วงหน้าเอาไว้ก็เลยวิ่งไปนู่นมานี่ทั่วเลย…” 


 


“เป็นไงบ้างล่ะ ได้ผลสำเร็จหรือยัง” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม