Memorize เล่มที่ 14 ตอนที่ 11-16

เล่ม 14 ตอนที่ 11

 

ที่ผมพาแพคฮันกยอลมาด้วยก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก เขาเข้ามาในเผ่าทีหลังสุดในกลุ่มพวกเรา และทันทีที่เข้ามาก็ต้องออกเดินทางไกลไปสำรวจอย่างยากลำบากอีก ภายนอกเขากำลังแกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นไรอยู่ แต่กลิ่นอายของโลกใบเดิมน่าจะยังหลงเหลืออยู่เยอะเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่ภายในใจเขาจะไม่รู้สึกอะไร 


 


ภายในใจที่ตั้งใจจะไม่เปิดเผยออกมาให้เห็น ถึงแม้ว่าจะน่าชื่นชม แต่ก็จำเป็นจะต้องถูกปลอบโยนสักครั้งสองครั้งเพื่อไม่ให้มันแตกสลายไป เพราะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขาคือเกราะกำบังแห่งเทพเจ้า การตื่นของคลาสลับซึ่งมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาสูงมาก  


 


“อืม จะว่าไป เข้ามาในเผ่าแล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ มีเรื่องอะไรยากลำบากหรือเปล่า” 


 


“ครับ ไม่เป็นไรครับ” 


 


“รู้หรอกว่านายไม่โอเค เพราะฉะนั้นบอกมาเถอะ ต่อหน้าพี่คนนี้จะพูดออกมาทั้งหมดเลยก็ได้” 


 


“งือ…” 


 


พอตักเตือนอย่างอ่อนโยน แพคฮันกยอลจึงทำสีหน้าลังเลใจ ถึงอย่างนั้น การที่เขายังแอบสังเกตท่าทีของผม คงมีอะไรบางอย่างตะขิดตะขวงใจอยู่แน่ๆ 


 


“เรื่องนั้น…มากกว่าที่จะบอกว่ายากลำบากน่ะครับ…” 


 


“เสียใจนิดหน่อยแฮะ ไม่ยักรู้ว่าต่อหน้าพี่ฮันกยอลมีเรื่องที่ปิดบังด้วย” 


 


“มะ ไม่ใช่นะครับ พี่! ก็แค่ผมรู้สึกเหมือนสร้างความเดือดร้อนให้น่ะครับ…” 


 


“การแก้ปัญหาเรื่องนั้นก็ต้องเป็นงานของฉันสิ” 


 


แพคฮันกยอลยังคงไม่ยอมเปิดปากพูดขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่พอผมเร่งเร้าเขาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับพูดความในใจออกมา 


 


“จริงๆ แล้ว…” 


 


 


 


หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ผมส่งแพคฮันกยอลให้กลับไปก่อน ทำงานหมดแล้วก็จริงแต่ผมก็ยังไม่ได้กลับไปยังเลิฟเฮาส์ทันที อย่างไรก็เป็นเส้นทางที่จะไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงคิดจะแวะไปดูแคลนเฮาส์สักครั้งเพื่อเช็คดูว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนแล้ว 


 


พอมาถึงด้านหน้าแคลนเฮาส์ ผมก็ยืนยันได้เลยว่ามันเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตรงประตูใหญ่ที่เข้าไป มันไม่ใช่ประตูขึ้นสนิมเหมือนครั้งก่อนแล้ว แต่เป็นประตูไม้อันสวยงามและเรียบเป็นมันวาว 


 


และพอเปิดประตูเข้าไปด้านใน ผมก็ได้เห็นสวนสวยๆ มีต้นไม้ขนาดใหญ่เกินหนึ่งแขนโอบกับดอกไม้และใบหญ้า มันเผยภาพทิวทัศน์อันโดดเด่นจนรู้สึกไปเองว่าอย่างกับยกเอาส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาไว้ 


 


แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ทิวทัศน์ที่สวยงาม คงไตร่ตรองถึงการอยู่อาศัยและการเคลื่อนย้ายอย่างละเอียดแล้ววางโครงร่าง เส้นทางหลายๆ ทางจึงเปิดโล่งออกไว้อยู่ 


 


ตัวตึกเองก็กำลังเผยความสง่างามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่สะอาดสะอ้านแตกต่างกับเมื่อก่อน มองอย่างไรก็เหมือนเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แต่มองอีกมุมก็ดูเหมือนบ้านพักตากอากาศที่สร้างขึ้นมาบนสวนด้วยเหมือนกัน 


 


ผมอยากจะเข้าไปดูด้านในด้วย แต่น่าเสียดายที่มีฉากกั้นประตูเอาไว้อยู่ ดูเหมือนภายในจะยังทำการปรับปรุงใหม่ไม่เสร็จ ผมมองดูบ่อน้ำที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำสะอาดซึ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของสวนแล้วจึงเบนทิศทางไปยังด้านนอกประตู อาจจะพูดได้ว่าจะต้องหาคนรับจ้างแล้วเติมเฟอร์นิเจอร์เข้าไปถึงจะสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคำนึงถึงว่านี่คือการเริ่มต้นแรก มันก็เป็นแคลนเฮาส์ที่เลอค่ามากๆ แล้ว 


 


ท้องฟ้าค่อยๆ ทอแสงยามโพล้เพล้ พอได้รายงานการเดินทางไกลไปสำรวจ ทานอาหาร และตรวจดูแคลนเฮาส์แล้ว เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ผมมุ่งหน้าไปยังเลิฟเฮาส์ที่พวกสมาชิกเผ่าน่าจะกำลังรออยู่ก่อนที่เวลากลางวันจะหมดไป น่าจะไปทำงานที่ควรจะทำได้มากกว่านี้ แต่ผมคิดจะทำงานของวันนี้ให้เสร็จแล้วพักผ่อนดีกว่า 


 


พอดันประตูของเลิฟเฮาส์เข้าไป ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องหยุดเดินลงครู่หนึ่ง คงรู้สึกได้ว่าประตูถูกเปิดออก โกยอนจูซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งจึงวิ่งเข้ามาต้อนรับผมทันที 


 


“ซูฮยอน! ยินดีต้อนรับค่ะ กำลังรออยู่เลยค่ะ” 


 


“อ้า ครับ ว่าแต่เดี๋ยวนะครับ นี่มันอะไร…” 


 


ตรงกลางชั้นหนึ่งมีเรื่องที่ทำให้เมื่อครู่นี้ผมต้องจ้องมองฮายอนเกิดขึ้นอยู่ ผลตอบแทนที่ได้รับมาจากการออกเดินทางไปสำรวจครั้งนี้รวมกระทั่งผลตอบแทนที่ได้มาจากมิวล์ถูกวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ใบรายละเอียดของถูกวางเอาไว้บนอุปกรณ์แต่ละอย่างกำลังส่องแสงสว่างราวกับส่วนใหญ่ได้ประเมินคุณค่าสิ่งของเรียบร้อยแล้ว 


 


“นี่ ดูออฟชั่นของคทานี้สิ! ออร์โดแห่งข้อบังคับเหรอ ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ คิกๆ” 


 


“เสื้อตัวนี้มันอะไรล่ะเนี่ย วาบหวิวเกินไปหรือเปล่า” 


 


“อือ เธออย่าใส่เชียวนะ” 


 


“ไอ้บ้า นายจะเอาแต่แหย่ฉันใช่ไหม ช่วงนี้ฉันอดทนอยู่ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรให้ได้เห็นหรอกนะ” 


 


ชั้นหนึ่งคึกคักเป็นอย่างมาก โต๊ะทั้งหมดถูกดันไปไว้ทางฝั่งหนึ่ง ส่วนสมาชิกเผ่าก็นั่งล้อมอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้และดูของพวกนั้น รวมถึงอิมฮันนากับพวกดอกไม้กลางคืนที่อาศัยอยู่ที่เลิฟเฮาส์ซึ่งกำลังจ้องมองราวกับอิจฉาของพวกนั้นอยู่ด้วย 


 


“ทำไมถึงวางของพวกนี้เรียงไว้ที่ชั้นหนึ่งล่ะครับ” 


 


“เรื่องนั้น ห้องของซูฮยอนใหญ่สุดนี่คะ แต่ว่าพื้นที่มันมีไม่พอเพราะจะวางอุปกรณ์ทีละอันๆ…” 


 


“โกยอนจู” 


 


พอจ้องมองเธออย่างดุดัน โกยอนจูจึงแลบลิ้นออกมาด้วยใบหน้าที่ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบ จากนั้นเธอก็กลอกตาหนึ่งรอบพลางพูดขึ้น 


 


“จริงๆ แล้วมีเรื่องอยากจะขออยู่อย่างหนึ่งค่ะ” 


 


“มาดามอิมน่ะเหรอครับ” 


 


“ค่ะ ในบรรรดาเด็กๆ ที่ทำงานอยู่ที่นี่ มีเด็กที่พอจะสามารถออกไปในฐานะผู้เล่นสายต่อสู้อยู่บ้างบางคนน่ะค่ะ การจะบอกเด็กพวกนั้นว่าอยากเป็นแรงขับเคลื่อน…” 


 


“อืม” 


 


‘ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่ดูใช้ได้เลยนะ นอกจากอิมฮันนา’ 


 


ในกลุ่มผู้เล่นจำพวกหาเลี้ยงชีพก็มีคนที่เสียดายชีวิตหรือยอมแพ้ไปก่อนเพราะค่าความสามารถต่ำ แต่คนภายในเลิฟเฮาส์นั้น ผมพิจารณาดูด้วยดวงตาที่สามก่อนแล้ว ตามที่โกยอนจูพูด มีคนที่ถ้าพยายามก็อาจเป็นไปได้อยู่คนสองคนเหมือนกัน แต่พูดตามตรงว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่จะเข้ามาอยู่กับเมอร์เซนต์นารี่ได้ เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่ได้ให้ความสนใจตั้งแต่แรกด้วย 


 


“อู๊ย~ ซูฮยอน~ ไม่ได้โกรธอยู่ใช่ไหมคะ หืม” 


 


“…ถ้าตั้งใจจะไต่ขึ้นมาก็จะต้องพยายามอย่างหนักมากๆ เลยครับ” 


 


โกยอนจูคงเห็นสีหน้าของผมแข็งทื่อไป เธอจึงกอดแขนแล้วทำท่าทางออดอ้อน ผมถอนหายใจพลางพยักหน้า พอหันหน้าไปจึงรู้สึกได้ว่าพวกดอกไม้กลางคืนกำลังเหลือบมองผมอยู่ ดูจากที่บางคนกำลังทำสีหน้าแฝงความตกใจ ความจริงที่ว่าราชินีแห่งเงามืดกำลังทำท่าทางแอ๊บแบ๊วคงจะน่าตกใจไม่น้อย 


 


จากนั้นผมก็สบตากับอิมฮันนาซึ่งยืนนิ่งๆ อยู่ข้างหลังพวกเธอ เธอก้มหัวลงอย่างนอบน้อมแล้วทำสีหน้าขอโทษ ผมพยักหน้าให้เพื่อบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นจึงเดินไปตรงที่ที่มีพวกอุปกรณ์จัดวางอยู่อย่างช้าๆ  


 


ฮี้ๆ! 


 


ลูกยูนิคอร์นเดินเล่นและกระโดดไปมาอยู่ท่ามกลางอุปกรณ์มากมาย แต่แล้วก็รับรู้ได้อย่างกับผีว่าผมมาจึงเริ่มวิ่งตรงมาทันที มันคงชอบบรรยากาศอึกทึกครึกโครม สีหน้าของมันจึงดูสนุกสนานเป็นอย่างมาก พอกอดลูกยูนิคอร์นเข้ามา ตอนนั้นสมาชิกเผ่าที่เคยสติหลุดไปกับอุปกรณ์ต่างๆ จึงเริ่มหันมามองผมทีละคนสองคน 


 


“อ๊ะ พี่!” 


 


“คิมซูฮยอน! คิมซูฮยอนนี่นา!” 


 


“พี่ มาเมื่อไรล่ะ” 


 


“หัวหน้า!” 


 


ถึงแม้ว่าอันฮยอน วิเวียน แล้วก็อียูจองจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่เพราะอะไรกันแน่ แม้แต่ชินซังยงผู้เยือกเย็นในตอนปกติก็ยังตื่นเต้นขนาดนั้นด้วยเหรอ ผมลูบหัวของยูนิคอร์นซึ่งถูไถหัวของมันกับอ้อมแขนของผมด้วยความเร็วแสงแล้วเดินเข้าไปใกล้ สมาชิกเผ่าจึงเข้ามาห้อมล้อมผมในชั่วพริบตา 


 


“พี่! พี่! ดูพวกอุปกรณ์หน่อยสิครับ! มันสุดยอดของสุดยอดเลยนะครับ! ออร์โดแห่งข้อบังคับ เจ้านี่น่ะ…” 


 


“คิมซูฮยอน! ฉันขอไอ้นั่นนะ! ฉันอยากได้ไอ้นั่น!” 


 


“พี่~ ตอนนี้คืนสคูเรพฟ์มาให้ฉันไม่ได้เหรอ แล้วก็~” 


 


“รู้แล้ว รู้แล้ว เดี๋ยวก่อน ขอดูสักหน่อยแล้วมาคุยกัน” 


 


ผมจัดการกับเด็กๆ ที่โวยวายเสียงดังราวกับเด็กเพิ่งคลอดแล้วจึงไปถึงที่ที่มีอุกกรณ์ต่างๆ อยู่อย่างยากลำบาก ตรงนั้นมีจองฮายอนกับคิมฮันบยอลกำลังร่ายเวทกู๊ดส์แอพเพรซอลไปทางอุปกรณ์ที่เหลืออย่างขันแข็ง ทั้งสองคนมองผมแล้วตั้งใจจะลุกขึ้นยืน แต่ผทยกมือขึ้นห้ามไว้ 


 


“ขอโทษทีค่ะ มีพวกที่ประเมินค่ายากอยู่เยอะก็เลย…” 


 


“ไม่เป็นไรครับ คงจะเหนื่อยมาก และคงต้องลำบากอีกนิดนะครับ” 


 


“ค่ะ ถ้างั้นฉันจะประเมินค่าให้เสร็จก่อนนะคะ ใกล้เสร็จแล้วล่ะค่ะ คุณฮันบยอล เริ่มอีกครั้งเลยค่ะ” 


 


“ค่ะ” 


 


ทั้งสองคนคงร่ายเวทจนปากแห้ง เส้นผมเปียกชื้นเหงื่อจึงติดอยู่ตรงแก้ม ผมมองพวกเธอที่เริ่มร่ายเวทอีกครั้งแล้วเริ่มพิจารณาดูพวกอุปกรณ์ที่ประเมินค่าเสร็จแล้ว ไม่สิ แค่ทำเป็นดูเฉยๆ 


 


ต่อให้บอกว่าเป็นเวทกู๊ดส์แอพเพรซอล แต่ดวงตาที่สามก็แม่นยำกว่า เพราะอย่างนั้นผมจึงเรียกใช้ดวงตาที่สามทันที 


 


 


 


[คาลิโก อาบราซัส(Caligo Abraxas)] 


 


‘นกกะเทาะเปลือกไข่ที่ร้าวแล้วฟักออกมา ไข่ก็คือโลก คนที่ตั้งใจจะเกิดออกมาจะต้องทำลายโลกใบเดียวเท่านั้น’ 


 


อาบราซัส ดาบที่รอยด์ ผู้กล้าในอดีตเคยใช้ มองดูภายนอกแล้วเป็นดาบธรรมดาๆ แต่ถ้าเพิ่มพลังเวทมากกว่ากำหนดเข้าไปก็จะเผยให้เห็นความสง่างามอย่างแท้จริงที่มีแต่เดิม ถ้าดูตามเรื่องเล่าแต่โบราณ กรณีที่ผนึกคลายออกจะมีพละกำลังมหาศาลจนมีคำพูดที่ว่า ‘โลกจะถูกผ่าให้แยกออกจากกัน’ มันเป็นเพียงแค่ตำนานก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น พละกำลังที่หลับใหลอยู่ก็รุนแรงเสียจนโค่นล้มหัวหน้าปีศาจได้ 


 


แต่ตอนนี้ มันอยู่ในสภาพที่ถูกบังคับให้เสื่อมโทรมเนื่องจากจอมเวทผู้ชั่วร้าย เดิมทีชื่อของมันคือดาบเทพอาบราซัส แต่ตอนนี้มีคำว่าคาลิโก(Caligo, ความมืดมิด)ติดอยู่ด้วย จึงแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะของดาบเวท 


 


 


 


[พาราดิซุส เพลท เมล(Paradisus Plate Mail)] 


 


เป็นเสื้อเกราะแบบป้องกันส่วนหน้าอกซึ่งสวมไว้กับร่างกายท่อนบนและได้รับพรของทูตสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความเสียหาย ‘ตามกฎธรรมชาติ’ ทั้งหมดที่ส่งผลต่อผู้สวมใส่ ให้เป็นความเสียหาย ‘ทางเวทมนตร์’ แล้วสะท้อนกลับ ความเสียหายที่ย้อนกลับไปแตกต่างกันตามกรณี แต่อย่างมากที่สุดคือ 20% ในกรณีที่ได้รับความเสียหายเกินกว่าผลกระทบที่สามารถดูดกลืนได้ก็จะไม่เกิดผลในการสะท้อนเกิดขึ้น 


 


 


 


[ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์ (Orthros Long Boots)] 


 


อาณาจักรโบราณของฮอลล์เพลนในอดีตอันแสนเนิ่นนานเคยมี ‘ดวงดาว’ ร่วงหล่นลงมา ในขณะเดียวกัน พระราชาที่มีความแคลงใจในสิ่งนั้นก็เคลื่อนย้ายดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมาเข้าไปในวัง พร้อมทั้งเชิญช่างหลอมโลหะกับพวกจอมเวทที่ดีที่สุดในสมัยนั้นมาวิเคราะห์ดวงดาว จากนั้นจึงดึงเอาส่วนหนึ่งมาทำเป็นอุปกรณ์ 


 


เนื่องด้วยบู๊ทส์นี้เป็นบู๊ทส์ที่ทำขึ้นมาจากส่วนหนึ่งของดวงดาว มันจะสมบูรณ์ขึ้นในตอนพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าของวันที่หนึ่งพัน แล้วจะมีชื่อโอโรส์โรส์เพิ่มขึ้นมาติดกันด้วย มองผ่านๆ ดูแข็งกระด้างและหนักมาก เพราะสร้างขึ้นมาจากหินที่ยังไม่ได้ถลุง แต่มันติดตั้งเวทในการปรับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นก็คือเวทมนตร์ที่ทำให้น้ำหนักเบาและการทำความยืดหยุ่นให้เข้ากับฝีเท้าของผู้เล่น อีกทั้งยังมีเวทแรพิด(Rapid) เวทขั้นสูงสุดในสมัยโบราณถูกติดตั้งอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น เพียงแค่ผู้สวมใส่สามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ ก็จะสามารถแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวอันว่องไวราวกับผีสางจนไม่สามารถตามจับได้ 


 


มันยังถูกเรียกว่าแรพิดสตาร์(Rapid Star) ซึ่งนำเอาคำว่าแรพิดกับดวงดาวมารวมกันเป็นชื่อเล่นด้วย 


 


 


 


[แสงแปลบปลาบส่องประกาย(Brilliant Flash) : ลอร่า ฟีลิส(Laura Phylis)] 


 


ธนูที่หักเอากิ่งไม้ของต้นไม้แห่งโลก อิกดราซิลมาทำขึ้น เป็นอุปกรณ์ในตำนานที่ผ่านระยะเวลาอันยาวนานแล้วตกทอดมาถึงปัจจุบันพร้อมทั้งแฝง ‘ความอัศจรรย์’ อย่างหนึ่งเอาไว้ โดยถูกห่อหุ้มด้วยใบไม้ที่ได้รับพรอย่างแน่นหนาแล้วจุ่มลงไปในทะเลสาบแห่งเอลฟ์มากกว่าร้อยปี จากนั้นจึงเอาออกมา ไม่จำเป็นจะต้องมีสายธนูหรือลูกธนู ด้วยพลังเวทเพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างลูกธนูขึ้นมาจากแสงสว่างเป็นประกายได้ อีกทั้งว่ากันว่าลูกธนูที่ปล่อยไปเป็นเหมือนกับ ‘แสงแปลบปลาบ’ อย่างหนึ่งจึงมีชื่อว่า ‘แสงแปลบปลาบส่องประกาย’ 


 


 


 


[เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล(Yggdrasil’s Leaves Clothes)] 


 


เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล ต้นไม้แห่งโลก ไม่ใช่ใบไม้ธรรมดาแต่สร้างขึ้นจากใบไม้ที่ผลิใบบนยอดสูงสุดของต้นอิกดราซิลที่ออกใบเพียงสิบปีครั้งเท่านั้น กลิ่นหอมกรุ่นของใบไม้พวกนั้นมีประสิทธิภาพมากมาย สามารถรักษาสมาธิที่นิ่งที่สุดเอาไว้ได้แม้แต่ในสถานการณ์เร่งด่วน และมีแรงต้านทานพลังเวทที่ทำให้จิตวิญญาณแปดเปื้อนด้วย อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการดูดซึมเวทสาย ‘น้ำ’ ด้วย แต่ถ้าจะพูดถึงข้อเสียหนึ่งอย่างก็คือ ไม่สามารถป้องกันส่วนที่ไม่สามารถอำพรางเอาไว้ได้ 


 


 


 


[รีซา บู๊ทส์(Rhiza Boots)] 


 


บู๊ทส์ที่ทำขึ้นโดยตัดรากของอิกดราซิล ต้นไม้แห่งโลก มีประสิทธิภาพในการทำให้ร่างกายของผู้สวมใส่เบาหวิว และประสิทธิภาพนั้นจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่ออยู่ภายในป่า ในกรณีที่ ‘มนุษย์’ ไม่ใช่ ‘เอลฟ์’ สวมใส่บู๊ทส์นี้ก็จะครอบครองความสามารถในการกระโดดและเคลื่อนไหวร่างกายเท่าๆ กันกับเอลฟ์

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 12

 

“ซูฮยอน เป็นไงบ้างคะ มีของที่ไม่เลวอยู่เยอะเลยใช่ไหมล่ะ” 


 


 


ผมอ่านข้อความที่ลอยขึ้นมากลางอากาศพร้อมกับอดกลั้นไม่ให้ส่งเสียงอุทานในลำคอออกมาอย่างยากลำบาก ผมได้ยินเสียงอันน่าหลงใหลของโกยอนจูจากด้านข้าง 


 


 


แน่นอนว่าผมรู้ว่าจะได้รับอุปกรณ์พวกนี้ แต่พอได้มาจริงๆ ก็เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมา แต่มันยังไม่หมดแค่นี้ ยังเหลือที่คาดผม กริชสองเล่มที่ไม่แสดงตัวตน สิ่งที่ทำให้สืบทอดคลาสได้ และผลตอบแทนต่างๆ ที่ได้มาจากห้องทดลองของมาร์โวลโล แล้วก็ห้ามลืมน้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์ด้วย 


 


 


ผมผ่อนคลายหัวใจที่เต้นรัวแล้วจึงเบนดวงตาที่สามไปทางสิ่งของที่เหลือ 


 


 


 


 


 


[ที่คาดผมอันบริสุทธิ์(Headband of Innocence)] 


 


 


เป็นหนึ่งในสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์ของราชินีแห่งเอลฟ์ มาร์การิต้า ว่ากันว่าช่างตีเหล็กคนแคระฝีมือดีผู้ซึ่งตกหลุมรักในหน้าตาอันงดงามของนางมอบให้เป็นของขวัญ และราชินีถูกใจในที่คาดผมอันนี้เป็นอย่างมาก ตรงส่วนนี้มีความหมายถึงจิตใจอันสะอาดไร้ซึ่งมลทิน อย่างเช่น ความปรารถนาหรือความเห็นแก่ตัว ซึ่งไม่ได้หมายความถึงความเป็นพรหมจารีของหญิงสาวที่เรียกว่าบริสุทธิ์ 


 


 


 


 


 


[ปีกของราชินีแห่งเอลฟ์ที่ถูกฉีกออก(Wings of Elf Queen, Ripped, 12 คู่)] 


 


 


ปีก 12 คู่ที่มีเพียงหนึ่งเดียวสำหรับพวกเผ่าพันธุ์เอลฟ์ซึ่งได้รับการยินยอมเนื่องจากขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งราชินี ด้วยเหตุที่ถูกจอมเวทผู้ชั่วร้ายบังคับทำให้มันฉีกขาดไปจึงไม่สามารถทำหน้าที่ตามบทบาทที่แท้จริงของมันได้ แต่ยังคงแฝงความอัศจรรย์ไว้อยู่ เพราะฉะนั้นถ้าได้ผสมกับสิ่งอื่นก็เป็นไปได้ที่จะสามารถฟื้นคืนพลังในอดีตกลับมา 


 


 


 


 


 


[รัตติกร(蟾魄)] 


 


 


คาตานะที่แมวใต้แสงจันทร์(Moonlight Cats) ออฟอาน่า อัลคาทราส นักรบหญิงผู้โด่งดังของฮอลล์เพลนในอดีตเคยใช้ ว่ากันว่าทุกครั้งที่กวัดแกว่งมันหนึ่งครั้งก็จะทิ้งรอยที่ส่องแสงจันทร์ออกมา จึงถูกเรียกว่า ‘รัตติกร’ ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของดวงจันทร์ ไม่มีประสิทธิภาพทางด้านเวทมนตร์ใดๆ เลย แต่ความสามารถในการตัดและระดับความรุนแรงมีความโดดเด่นมาก 


 


 


 


 


 


[ไทร์ฟิงค์(TyrFingr)] 


 


 


ไทร์ฟิงค์ ดาบเวทมนตร์ที่หากชักออกมาแล้วจะไม่ยอมกลับเข้าไปอยู่ในฝักดาบจนกว่าจะเปรอะเปื้อนเลือด เพราะเป็นดาบเวทอันเ**้ยมโหดจึงมีแนวโน้มว่ามันจะเป็นฝ่ายเลือกเจ้าของเองสูงมาก ในกรณีที่มันไม่ชอบเจ้าของ แม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม มันจะเป็นดาบเวทอันน่าสยดสยองที่จะทำลายผู้ครอบครอง แต่ในทางกลับกัน ในกรณีที่ไทร์ฟิงค์โปรดปรานเจ้าของนั้น ผู้ใช้จะได้รับพลังเวทด้านการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของดาบเวท 


 


 


 


 


 


[จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน(Book, Magician of the Blue Moon, Secret Class)] 


 


 


กลุ่มคนที่ต้องการบุกเบิกเส้นทางใหม่ของตัวเองเพียงคนเดียว ไม่ใช่การเดินไปตามเส้นทางเวทมนตร์ที่ถูกขัดเกลาแล้ว ในความเป็นจริง เวทมนตร์โบราณทั้งหมดสร้างขึ้นมาจากคนพวกนี้และได้พัฒนาต่อมา ผู้ที่พยายามเปลี่ยนแปลงและริเริ่มให้สำเร็จพร้อมทั้งเดินไปตามเส้นทางของเวทสายมืดโดยสิ้นเชิงอยู่เสมอ ผู้ที่ไม่เห็นพ้องกับความเป็นจริงและไม่ล้มเลิกความเชื่อมั่นของตัวเอง พวกเขาคือ ‘จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน’ 


 


 


 


 


 


[นักสู้ยามรุ่งสาง(Sword, Gladiator of the Dawn, Rare Class)] 


 


 


มีชนกลุ่มน้อยอยู่หลากหลายกลุ่มในฮอลล์เพลนสมัยโบราณ ในบรรดาชนกลุ่มน้อยพวกนั้น ชนเผ่าวิฬาร์(猫)เป็นเผ่าพันธุ์ที่ก้าวร้าวและเพลิดเพลินกับการต่อสู้เป็นอย่างมาก ในตอนที่การแข่งขันการต่อสู้ด้วยดาบมีอิทธิพลไปทั่วทุกหนแห่งในฮอลล์เพลน พวกนักสู้ของชนเผ่าวิฬาร์ก็ทำให้ตัวเองเป็นทหารรับจ้างแล้วเข้าร่วมการแข่งขันด้วยตัวเอง ถ้าชนเผ่าวิฬาร์เข้าร่วมการแข่งขันครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะต่อสู้ทั้งคืนเพื่อจัดการการแข่งขันให้เสร็จเรียบร้อย และเมื่อมาถึงเวลากลางวัน ทหารรับจ้างของชนเผ่าวิฬาร์ก็เป็นนักสู้ดาบที่ยืนอยู่จนถึงคนสุดท้ายเสมอ พวกเขารับเอาแสงยามรุ่งอรุณพร้อมกับส่งเสียงกู่ร้องแห่งชัยชนะอยู่เสมอ ผู้คนต่างพากันชี้ไปทางพวกชนเผ่าวิฬาร์นั้นแล้วขนานนามพวกเขาว่า ‘นักสู้ยามรุ่งสาง’ 


 


 


 


 


 


[น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์(Tears Of Elf Queen)] 


 


 


หยาดน้ำตาที่ใส่ความรู้สึกที่แท้จริงของราชินีแห่งเอลฟ์ มาร์การิต้า เธอถูกจอมเวทผู้ชั่วร้ายชักจูงให้ไปในทางที่ไม่ดี และในตอนที่เผชิญกับช่วงเวลาสุดท้าย เธอก็ใส่ความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองไว้ในหยาดน้ำตาแล้วปล่อยให้มันไหลลงมา เมื่อรับประทานเข้าไป แต้มของค่าความสามารถจะเกิดขึ้นใหม่สองแต้ม แต้มของค่าความสามารถที่เสริมเข้ามาจะสามารถทำให้สูงขึ้นได้ตามที่ผู้เล่นต้องการ 


 


 


 


 


 


“เฮ้อ” 


 


 


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับข้อความมากมายที่ลอยขึ้นมาจนอัดแน่นกลางอากาศ ผมปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วมองดูพวกผลตอบแทนที่เหลือทั้งหมดด้วย ไข่ของราชินีแห่งเอลฟ์ ลูกแก้วเวทสำหรับปกป้องให้คงเดิมของมาร์โวลโล โพชั่นสารพัดสี โพชั่นพิเศษด้านพลังเวท(เมื่อค่าพลังเวทต่ำกว่า 95 แต้ม ค่าพลังเวทจะเพิ่มขึ้น 2 แต้ม) ผลของอิกดราซิลที่เน่าไปแล้ว รวมถึงอุปกรณ์ที่ได้มาจากมิวล์ด้วย โชคดีมากๆ ที่ไม่เห็นอีลิกเซอร์ ถึงอย่างนั้น โกยอนจูก็ดูเหมือนเคยคิดอยู่บ้างเหมือนกัน 


 


 


ผมทอดสายตามองของพวกนั้นครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปมองรอบๆ 


 


 


สมาชิกเผ่ากลืนน้ำลายดังเอื้อกๆ และพวกดอกไม้กลางคืนที่ล้อมรอบอยู่ทั่วทุกทิศ ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในดวงตาของพวกเธอมันทั้งยุ่งเหยิงและซับซ้อนเกินบรรยาย ทั้งอิจฉา ริษยา อยากได้ ละโมบ และอับอายเป็นต้น 


 


 


โมนิก้าเป็นเมืองที่โดดเด่นในด้านความสงบเรียบร้อย แม้จะอยู่ในแผ่นดินใหญ่ทางเหนือก็ตาม และอย่างไรเสียมันก็เป็นของที่จะใส่ไปไหนมาไหนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงจำต้องเปิดเผยให้เห็นในที่สาธาณะด้วย 


 


 


พวกเรามีสิทธิอันชอบธรรม และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการกระทำอันคุกคามในที่สาธาณะเพื่อแย่งชิงของพวกนี้ด้วย แต่ก็อาจจะมีการกระทำที่เคลื่อนไหวอย่างลับๆ ในช่วงที่หลับอยู่ได้ถ้าบอกว่ายากที่จะเปิดเผยในที่สาธารณะ 


 


 


แน่นอนว่าน่าจะมีเศษเสี้ยวอะไรบางอย่างที่เธอเชื่ออย่างนั้นในฐานะราชินีแห่งเงามืด แต่ถึงแม้จะไตร่ตรองดูในส่วนนั้น ผมคิดว่าการกระทำในครั้งนี้ก็ไม่รอบคอบอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้ตั้งใจจะเชื่อมการประชาสัมพันธ์การเดินทางไกลไปสำรวจกับยูนิคอร์นเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นอย่างไรก็มองข้ามไปได้ แต่จากนี้ไปจำเป็นจะต้องปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวังแล้ว 


 


 


สมาชิกเผ่ายังคงส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดพร้อมกับจ้องมองพวกอุปกรณ์อย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


‘คึกคักกันเกินไปแล้ว’ 


 


 


ถึงจะบอกว่าจิตใจร้อนรุ่มก็ร้อนรุ่มมากเกินไป ความตื่นเต้นอย่างพอควรช่วยทำให้บรรยากาศสนุกสนานก็จริง แต่ผมมีความรู้สึกว่านี่มันเกินขอบเขตไปแล้ว ผมไม่ชอบใจกับสถานการณ์รอบข้างเอาเสียเลย 


 


 


หลังจากอ่านข้อมูลทั้งหมดด้วยดวงตาที่สามแล้ว ผมก็ทำตัวเงียบสนิท พออยู่เฉยๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเลย สมาชิกเผ่าบางคนที่ความรู้สึกไวจึงเริ่มปิดปากเงียบทีละนิดๆ ในตอนที่ความวุ่นวายค่อยๆ สงบลงก็คงจะใช้กู๊ดส์แอพเพรซอลเร็จเรียบร้อยแล้ว จองฮายอนกับคิมฮันบยอลจึงเช็ดเหงื่อพลางลุกขึ้นยืน 


 


 


“จองฮายอน คิมฮันบยอล เหนื่อยหน่อยนะครับ” 


 


 


“ไม่หรอกค่ะ” 


 


 


“ทั้งสองคนน่าจะไปพักกันได้แล้วครับ” 


 


 


“คะ?” 


 


 


จองฮายอนทำตาโตพลางย้อนถาม คิมฮันบยอลเองก็ทำหน้างุนงง ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ตอนนี้ยังคงเหลือการสรุปบัญชีที่สำคัญที่สุดอยู่ แต่ผมกลับบอกว่าให้ไปพัก เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะคิดว่าแปลก จากนั้นในตอนที่สายตาของทุกคนจับจ้องมา ผมจึงพูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“อย่างที่เห็นกัน ผลตอบแทนที่ได้มาในครั้งนี้มีเยอะมากๆ ครับ แล้วก็มีพวกของที่ซับซ้อนอยู่มากด้วย” 


 


 


แม้จะครู่เดียว แต่ใบหน้าของพวกสมาชิกเผ่าก็มีสีหน้าแปลกประหลาดพาดผ่านไป ตัวเองก็น่าจะรู้อยู่ ในเมื่อเป็นคน ไม่สิ ในเมื่อเป็นผู้เล่นก็ไม่มีทางที่จะไม่มีความโลภมากในอุปกรณ์ต่างๆ แต่ถ้าได้รับอุปกรณ์ที่ใครคนหนึ่งต้องการ อีกคนก็จำเป็นจะต้องยินยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นจะต้องแบ่งสรรปันส่วนให้เหมาะสมที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความไม่ปรองดองกันเพราะขั้นตอนนั้น 


 


 


“ผมจะยังไม่สรุปบัญชีในวันนี้นะครับ มีกำหนดการที่จะเลื่อนไปพรุ่งนี้เช้าครับ” 


 


 


“…” 


 


 


“ผมจะให้เวลาคิดครับ หรือไม่แต่ละคนจะพูดคุยกับอีกฝ่ายให้เข้าใจกันก็ได้นะครับ คืนนี้ก็ลองไปคิดดูให้ละเอียดแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยพูดกับผมในที่ประชุมก็ได้ครับ ลองฟังสักครั้งแล้วถ้าดูมีความเหมาะสม ผมก็จะอนุญาตครับ” 


 


 


‘ออร์โดแห่งข้อบังคับมันหนักหนาที่สุดเลยสินะ’ 


 


 


ถ้าการจำกัดของคลาสมันจำกัดไว้แค่เพียงอย่างเดียวก็น่าจะง่ายกว่านี้แท้ๆ แต่นี่มันจำกัดไว้ให้ทั้งจอมเวท นักเล่นแร่แปรธาตุ และนักบวช สถานการณ์ก็เลยคลุมเครือมากขึ้นมากๆ 


 


 


พอผมพูดจบ บางคนในบรรดาสมาชิกเผ่าก็เริ่มสังเกตท่าทีของผมแบบลับๆ แต่ผมก็ตัดสินใจว่าจะเชื่อในตัวของสมาชิก ทุกคนต้องพูดคุยกันก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อที่จะได้เข้าใจในสถานภาพของตัวเอง จะได้ไม่มีการทะเลาะถกเถียงกันเกินความจำเป็น จู่ๆ ผมก็จิตนาการขึ้นมาว่าอันซล จองฮายอน กับวิเวียนต่างก็กระชากผมกันแล้วแผดเสียงกรีดร้องออกมา 


 


 


‘เรื่องนั้นก็คงจะตลกอย่างที่จิตนาการล่ะนะ’ 


 


 


ในใจผมหัวเราะคิกคักแลวจึงหันไปมองโกยอนจูซึ่งเพียงแค่สังเกตท่าทีของผมอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว 


 


 


“โกยอนจู รับผิดชอบอุปกรณ์ที่วางเรียงไว้ที่ชั้นหนึ่งแล้วเอาขึ้นไปวางไว้ข้างบนด้วยครับ คงจำเป็นจะต้องใส่ใจในเรื่องการดูแลจัดการหลังจากนี้แล้วครับ” 


 


 


“รับทราบคำสั่งท่านแคลนลอร์ดค่ะ” 


 


 


“ถ้างั้นไว้พบกันพรุ่งนี้เช้านะครับ ผมขอตัวขึ้นไปก่อนเลยนะครับ” 


 


 


โกยอนจูรับคำสั่งของผมอย่างนอบน้อมมากเกินไป ผมเดินผ่านเธอซึ่งทำแบบนั้นแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองทันที 


 


 


 


 


 


เช้าวันต่อมา ผมก็ต้องรับรู้ถึงความรู้สึกลำบากใจแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว ผมเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อที่จะได้ให้ร่างกายพักผ่อน แต่เดิมทีก็เป็นคนที่ตื่นเช้ามากพอสมควร ผมดันตัวขึ้นจากเตียงแล้วจึงวางมือบนหัวของลูกยูนิคอร์นที่กำลังหลับฝันหวานพลางออกจากห้องไป 


 


 


พอผมทุบเนื้อตัวที่ตึงแข็งพร้อมกับเดินลงบันไดไป ผมจึงได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่สมาชิกเผ่าทุกคนต่างตื่นนอนกันอยู่แล้ว ทุกคนกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยและกำลังรอให้ผมตื่นอยู่ 


 


 


ไม่ใช่แค่นั้น พอล้างหน้าแบบง่ายๆ เสร็จแล้วกินข้าวเช้าเสร็จจึงได้รู้ว่าในห้องทำงานของผมก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ดูจากที่ส่วนใหญ่ทำคอยืดคอยาว คงกำลังรอว่าเมื่อไรผมจะมาแน่ๆ 


 


 


“ถ้าทำให้แบบนี้ทุกครั้งก็คงดีนะครับ” 


 


 


พอผมพูดหยอกล้อแบบสบายๆ ออกไปเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อยเมื่อวานนี้ ผมจึงได้เห็นสมาชิกบางคนหลุดหัวเราะสั้นๆ ออกมา บางทีถึงแม้ว่าตัวเองจะลองคิดดูก็คงน่าขำ ผมลูบหัวเจ้ายูนิคอร์นที่ทำตัวออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนของผมแล้วจึงนั่งลงตรงหัวโต๊ะ 


 


 


“ถ้างั้นมาเริ่มกันที่สรุปบัญชีเลยไหมครับ ผู้เล่นจองฮายอน” 


 


 


“ค่ะ” 


 


 


“ช่วยพูดเรื่องเงินทุนที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครอบครองอยู่ในตอนนี้ด้วยครับ บอกจำนวนเหรียญทองกับอัญมณีแยกด้วย” 


 


 


“ตอนมาโมนิก้าตอนแรก เงินทุนมีราวๆ แปดหมื่นแปดพันโกลด์ค่ะ จำนวนของอัญมณีมีเกินกว่าหนึ่งพันเม็ด และการออกเดินทางไกลไปสำรวจครั้งนี้ได้เหรียญทองประมาณเจ็ดพันโกลด์อย่างแน่นอน ส่วนอัญมณีที่แกะมาจากพวกของตกแต่งก็มีทั้งหมดมากกว่าสามร้อยเม็ดค่ะ รายละเอียดค่าใช้จ่ายที่กำหนดแน่นอนในตอนนี้ก็จะมีรายจ่ายประมาณหนึ่งหมื่นโกลด์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับส่วนผสมกับเครื่องมือที่คุณวิเวียนสั่งไปค่ะ นอกเหนือจากนั้นก็จะคงเหลือเหรียญทองมากกว่าแปดหมื่นโกลด์กับอัญมณีมากกว่าหนึ่งพันเม็ดค่ะ” 


 


 


คงคาดการณ์ไว้แล้วว่าผมจะถาม จองฮายอนจึงตอบราวกับท่องจำมา การพูดว่าเจ็ดพันโกลด์ตรงนี้น่าจะเป็นพวกผลตอบแทนที่ได้มาจากห้องทดลองของมาร์โวลโล การที่บอกว่ายังคงเหลือเงินมากกว่าแปดหมื่นโกลด์แม้จะบอกว่าตัดค่าครองชีพในช่วงที่ผ่านมาแล้ว เป็นเรื่องที่กระตุ้นให้เกิดกำลังใจอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าต่อจากนี้จะมีรายจ่ายเยอะมากแน่ๆ ก็เถอะ 


 


 


“ผู้เล่นอันฮยอน” 


 


 


“คะ ครับ! ครับพี่! อ๊ะ แคลนลอร์ด!” 


 


 


พอผมเรียกตนเองก็คงจะตกใจมาก อันฮยอนจึงเงยหน้าพรวดพร้อมกับตอบ พูดตามตรงว่าช่วงที่ผ่านมา ผมมีแนวโน้มที่จะมอบหมายงานภายในเผ่ากับโกยอนจูหรือไม่ก็จองฮายอนเสียเยอะ จากนี้ไปจำเป็นจะต้องค่อยๆ ทำให้เด็กๆ มีความสนใจในเรื่องพวกนี้บ้างแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกคนแรก ผมคิดจะให้เป็นอันฮยอน 


 


 


“น่าจะมีพวกอุปกรณ์ที่ไม่มีเจ้าของจากการออกเดินทางไกลอยู่นะ” 


 


 


“ชะ ใช่แล้วครับ ใช่ครับ เป็นอย่างนั้นครับ” 


 


 


“ของพวกนั้นเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


“ผมเก็บรวมเอาไว้เป็นอย่างดีในห้องเก็บของโดยไม่ตกหล่นแม้แต่อันเดียวครับ” 


 


 


“ฉันขอรู้การประเมินราคาคร่าวๆ ได้ไหม ว่าพวกอุปกรณ์มีอะไรบ้าง” 


 


 


“ระ เรื่องนั้น…” 


 


 


อันฮยอนเกาหัวพร้อมกับปล่อยให้ท้ายประโยคเงียบหายไป พอจองฮายอนกำลังจะตอบด้วยความรีบร้อน ผมจึงกางมือออกเล็กน้อยเพื่อหยุดไม่ให้เธอพูด 


 


 


“ไปดูมาภายในเย็นวันนี้แล้วมารายงานให้ฉันรู้ด้วย” 


 


 


“ครับ ทราบแล้วครับ ขอโทษด้วยครับ” 


 


 


ใบหน้าของอันฮยอนผู้ซึ่งถูกผมตำหนิเจือสีแดงขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่ความรู้สึกอับอาย คงดีใจไม่น้อยที่ผมเล็งตัวเอง ใบหน้าของเขาจึงเป็นสีก่ำ ผมคิดว่านั่นมันลี้ลับจริงๆ 


 


 


อย่างไรก็ตาม ในที่สุดลำดับต่อไปก็คืออุปกรณ์ต่างๆ ผู้เล่นที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีก็คือ… 


 


 


“ผู้เล่นโกยอนจู” 


 


 


“ค่ะ แคลนลอร์ด” 


 


 


“อุปกรณ์มันดูน้อยกว่าที่เห็นเมื่อวานหน่อยนะครับ” 


 


 


“ค่ะ อุปกรณ์ที่ฉันคิดว่าไม่สามารถเลือกเจ้าของได้ภายใต้การตัดสินพื้นฐาน ฉันวางเอาไว้ในห้องเก็บของค่ะ ซึ่งนั่นหมายความว่าเก็บเอาไว้ก่อนค่ะ” 


 


 


“ทำดีแล้วครับ ถ้างั้นผมขอทราบรายการของที่เก็บไว้ก่อนได้ไหมครับ” 


 


 


ก่อนหน้านี้ก็น่าจะเป็นอย่างนี้สิ พอผมถอนหายใจสั้นๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ โกยอนจูจึงตอบมาเรื่อยๆ อย่างไม่ติดขัด

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 13

 

รายการของที่เก็บเอาไว้มีเยอะมาก ทั้งอีลิกเซอร์สามขวด หญิงร่างทรงยามอัสดง ธนูแห่งการทำลายความชั่วร้าย ไข่เพกาซัส ไข่ของราชินีแห่งเอลฟ์ ปีกของราชินีแห่งเอลฟ์ที่ถูกฉีกออก ลูกแก้วเวทสำหรับคงรักษาของมาร์โวลโล กระเป๋าโพชั่นของวิเวียน โพชั่นที่พบในห้องทดลองของมาร์โวลโล ผลของอิกดราซิลที่เน่าแล้ว แสงแปลบปลาบส่องประกาย ลอร่า ฟีลิส เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล รวมถึงรีซาบู๊ทส์ด้วย 


 


 


ถึงจะเอาลอร่า ฟีลิสไปรวมอยู่ในของพวกนั้นก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่การเอาเสื้อกับรีซา บู๊ทส์ไว้ในรายการของที่เก็บไว้นั้นเกินคาดมากๆ 


 


 


“เสื้อที่ทำจากใบของอิกดราซิลกับรีซา บู๊ทส์ก็เก็บไว้ด้วยเหรอครับ” 


 


 


“ค่ะ อุปกรณ์ของราชินีแห่งเอลฟ์ทั้งหมด ฉันตัดสินว่าจะเก็บไว้ก่อนค่ะ โดยเฉพาะของสองอย่างที่คุณพูดถึง คลาสอื่นๆ น่าจะสามารถใช้ได้ก็จริง แต่ฉันรู้สึกได้อย่างแรงกล้ามากๆ ว่ามันเป็นของใช้สำหรับนักธนูค่ะ” 


 


 


“อืม ไม่มีสมาชิกเผ่าที่ต้องการยกให้เหรอครับ” 


 


 


“เสื้อที่ทำจากใบไม้ก็ไม่มี ส่วนรีซา บู๊ทส์ ทุกคนเห็นด้วยกันหมดว่าจะเก็บไว้รวมกับอุปกรณ์ของราชินีแห่งเอลฟ์ค่ะ ถ้าแคลนลอร์ดต้องการก็สามารถเอาไปได้ค่ะ” 


 


 


มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วสิ อย่างไรก็ตาม ผมคิดขึ้นมานิดหน่อยว่าโกยอนจูคงสังเกตเห็น แต่ผมก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยมันไปก่อน อย่างที่พูดไป เป็นเพียงของที่เก็บเอาไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นหากมีสมาชิกเผ่าขอใช้ ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถเอาออกมาให้ได้ 


 


 


ผมทอดสายตามองอุปกรณ์กับสิ่งของที่วางเรียงอยู่ภายในห้องเป็นครั้งสุดท้าย ของพวกนี้ก็มากใช่ย่อยเลยทีเดียว 


 


 


คาลิโก อาบราซัส, พาราดิซุส เพลท เมล, ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์, ออร์เดอร์แห่งข้อบังคับ, ที่คาดผมอันบริสุทธิ์, จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน, นักสู้ยามรุ่งสาง, รัตติกร, ไทร์ฟิงค์, น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์, ตำนานแห่งฮอปโลน, บันทึกการทดลองของมาร์โวลโล, โพชั่นพิเศษด้านพลังเวท 


 


 


ของส่วนใหญ่ในนี้น่าจะถูกมอบให้เจ้าของคนใหม่ในวันนี้ ผมลังเลว่าจะเริ่มต้นด้วยของชิ้นไหนก่อน แล้วในที่สุดจึงเลือกได้อย่างหนึ่ง ว่ากันว่าหากเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่แล้ว เผชิญก่อนย่อมได้เปรียบ ผมจึงรู้สึกเหมือนว่าการเลือกออร์โดแห่งข้อบังคับซึ่งดูเหมือนจะก่อความวุ่นวายมากที่สุดเป็นอย่างแรกน่าจะดี และในตอนนั้นเอง 


 


 


“แคลนลอร์ด เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันอยากขออนุญาตพูดเสนออะไรสักอย่างค่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


โกยอนจูร้องขอสิทธิในการเสนอความคิดเห็น และถึงไม่รู้ว่าเธอทำแบบนั้นเพราะตั้งใจจะพูดเรื่องอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญมากพอที่จะขออย่างเป็นทางการ สีหน้าของเธอก็ไม่ปกติด้วย พอพยักหน้าหนึ่งครั้ง เธอจึงหันไปมองสมาชิกทุกคนแล้วพูดต่อ 


 


 


“จริงๆ แล้วเมื่อวานหลังจากที่แคลนลอร์ดขึ้นไปก่อน พวกเราก็ได้พูดคุยกันค่ะ” 


 


 


“ครับ” 


 


 


“เพราะรู้สึกว่าการแบ่งให้พวกเราก่อนก็ดี แต่ควรให้สิทธิในการเลือกกับแคลนลอร์ดก่อนไม่ใช่เหรอคะ เพราะอย่างนั้น บทสรุปจากที่คุยกัน พวกเราพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่เรียกร้องสิทธิเกี่ยวกับคาลิโก อาบราซัส, พาราดิซุส เพลท เมล, ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์, ไทร์ฟิงค์ แล้วก็น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์เลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ” 


 


 


“ฮ่าๆ…” 


 


 


“ถ้ายอมรับคำขอของพวกเราก็คงจะดีนะคะ” 


 


 


คำพูดของโกยอนจูทำให้สมาชิกเผ่าพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงราวกับเห็นด้วย ผมถึงกับกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขา 


 


 


โกยอนจูบอกว่าจะให้ของห้าชิ้นจากทั้งหมดสิบสองชิ้นกับผม นั่นหมายความว่า ผมจะได้ครอบครองก่อนห้าชิ้น และที่เหลืออีกเจ็ดชิ้นก็ให้สิทธิในการเลือกก่อน 


 


 


ถึงอย่างนั้น เหตุผลที่โกยอนจูใช้น้ำเสียงนอบน้อมขนาดนั้นเป็นเพราะผมคือคนที่ทำความดีความชอบอันดับหนึ่งในการออกเดินทางไกลครั้งนี้ จริงๆ แล้ว ทั้งการได้รับมอบหมาย ทั้งการโค่นมาร์โวลโล ต่างก็มีผมเป็นผู้นำ ถ้าจะให้พูดว่าคนถัดมาคือใครก็น่าจะบอกได้ว่าเป็นโกยอนจู แพคฮันกยอล แล้วก็คิมฮันบยอล 


 


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาแสดงให้เห็นความจริงใจถึงขนาดนี้ ผมจึงไม่ได้รู้สึกไม่ดีขนาดนั้น ผมยิ้มบางๆ แล้วตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบา 


 


 


“ผมจะรับสิทธิในการครอบครองคาลิโก อาบราซัส, ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์ แล้วก็น้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์ครับ ในทางกลับกัน ผมจะคืนพาราดิซุส เพลท เมลกับไทร์ฟิงค์ให้ แล้วสละสิทธิ์ในการเลือกก่อนด้วย” 


 


 


“แต่…” 


 


 


“ผมขอไม่รับคำคัดค้านมากกว่านี้ครับ” 


 


 


พอพูดตัดบท โกยอนจูจึงปิดปากเงียบทันที 


 


 


ดาบน่ะ ผมมีเยอะเกินไปแล้ว ส่วนเสื้อเกราะก็ไม่จำเป็นสำหรับผม ต่อให้บอกว่ามีสิทธิ แต่การที่ผมได้ครอบครองเพียงคนเดียวขนาดนั้นมันไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ดีเลย และถึงแม้จะเพิกเฉยต่อเรื่องนั้น อย่างไรเสียก็เป็นสมาชิกเผ่าเดียวกัน เพราะฉะนั้นการคืนมันกลับไปให้ผู้เล่นที่ต้องการน่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ที่เก็บเอาไว้ก่อนก็อยู่ภายใต้การดูแลของผม เพราะฉะนั้นแม้จะแค่ตอนนี้แต่ก็อยู่ในระดับที่เยอะมากเกินไปแล้ว 


 


 


“ถ้างั้น…” 


 


 


ตอนนี้เป็นเวลาที่จะเริ่มต้นสรุปผลที่แท้จริงแล้ว คงอ่านสถานการณ์ออกจากสีหน้าของผม ผมจึงได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากทั่วทุกทิศ 


 


 


“เมื่อคืนทุกคนน่าจะคิดแล้วก็พูดคุยกันพอสมควรแล้วนะครับ” 


 


 


“…” 


 


 


“ผมจะไม่พูดยืดเยื้อครับ ผมเชื่อว่ามันคงเป็นแบบนั้นและจะเริ่มเลยนะครับ ชิ้นแรกก็คือออร์โดแห่งข้อบังคับครับ ผมอนุญาตให้สมาชิกเผ่าที่ต้องการอุปกรณ์ชิ้นนี้พูดแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเลยครับ และในกรณีที่ต้องการมากกว่าสองคน ผมจะแก้ปัญหาผ่านการสนทนาด้วยความปรองดองให้ได้มากที่สุดครับ” 


 


 


 ในตอนที่ผมพูดจบ ความเงียบราวก็คืบคลานเข้ามาปกคลุม ถึงขนาดที่ได้ยินเสียงหายใจของยูนิคอร์นซึ่งกำลังหลับอยู่ข้างผม 


 


 


แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว จากนั้นผมจึงได้เห็นสมาชิกยกมือขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ ช้ามากๆ มือมีทั้งหมดสองข้าง 


 


 


“ถึงแม้จะไม่ได้ออกไปเดินทางไกลด้วย และถึงแม้จะน่าละอาย แต่ก็ยกมือเสียแล้วนะคะ ช่วยยอมรับด้วยค่ะ” 


 


 


คนแรกคือจองฮายอนตามที่คาด เพราะเป็นนักเวทจึงไม่มีทางที่จะไม่ละโมบในออร์โดแห่งข้อบังคับ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ… 


 


 


“ขอโทษด้วย แต่ฉันเองก็ไม่ได้เข้าร่วมการเดินทางไกลเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ยกมือได้ใช่ไหม จะไม่ว่าอะไรใช่ไหม” 


 


 


วิเวียนนั่นเอง 


 


 


เหตุผลที่ผมเลือกการออกเดินทางไกลไปมาเจียในครั้งนี้มีทั้งหมดสามอย่าง เป็นเพราะมันคือสถานที่ที่เรียกได้ว่ามีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาซากโบราณสถานที่อยู่รอบข้างโมนิก้า มันมีคลาสกับอุปกรณ์ที่พอจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกเผ่าได้ และเพราะมีคำขอจากอีสตันเทลลอว์ 


 


 


และตอนนี้ผมคิดจะเก็บเกี่ยวผลลัพธ์อันน่าพอใจในการเดินทางไกลที่รวบรวมเหตุผลทั้งสามนี้เข้าด้วยกัน  


 


 


จองฮายอนและวิเวียนต่างร้องขอสิทธิในการครอบครองออร์โดแห่งข้อบังคับ ผมลองรอต่ออีกหน่อยเผื่อเอาไว้ แต่ก็ไม่มีสมาชิกเผ่าที่ยกมือขึ้นมาเพิ่มแล้ว 


 


 


ถึงแม้ว่าชินซังยงซึ่งอมยิ้มน้อยๆ จะไม่ได้ร้องขอก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่สำหรับอันซลนั้นเกินคาด เธอเข้าร่วมการเดินทางไกลแล้วทำตัวกระตือรือร้นด้วย แถมมันยังเขียนไว้อีกว่านักบวชก็สามารถใช้ได้ เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีอะไรขนาดนั้น เธอจึงเพียงแค่หัวเราะร่าด้วยใบหน้าแจ่มใสเท่านั้น 


 


 


ผมใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะอย่างเรื่อยเปื่อยแล้วพยักหน้าเบาๆ ทันใดนั้นทั้งสองคนก็เอามือลงอย่างพร้อมเพรียงกัน 


 


 


ตอนแบ่งอุปกรณ์จะต้องไม่มองดูความสัมพันธ์ของอีกฝ่าย ผมไม่คิดจะทำแบบนั้น แต่การทำให้จบอย่างเรียบร้อยที่สุดก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด ประกาศสถานการณ์ให้รับรู้กันอย่างเป็นทางการแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าพุ่งเข้าไปตรงๆ เลยน่าจะดีกว่าการอ้อมไปอ้อมมา 


 


 


ผมพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา 


 


 


“วิเวียน ลา คลาดัส เธอบอกเหตุผลที่ต้องการออร์โดแห่งข้อบังคับมาซิ” 


 


 


ในตอนที่ได้ยินคำพูดของผม วิเวียนก็กัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าของสมาชิกเผ่าต่างก็มีสีหน้าเหมือนจะบอกว่าอย่างที่คิดเอาไว้เลย 


 


 


ถ้าจะให้พูดความคิดส่วนตัว ออร์โดแห่งข้อบังคับเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับจองฮายอนมากกว่า เธอเป็นผู้เล่นักเวทมีฝีมือ อีกทั้งถ้าผนวกเข้ากับ ‘จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน’ ซีเคร็ตคลาสที่ผมเก็บไว้หลังจากนี้สักสองสามปี เธออาจจะกลายเป็นผู้มีความสามารถมากพอที่จะเทียบเคียงกับผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งในสิบก็ได้  


 


 


แม้ผมจะไม่ได้เผยอะไรออกมา แต่คำพูดของผมเมื่อครู่นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับผายมือไปทางจองฮายอนทั้งที่ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา 


 


 


และแล้วก็เกิดความเงียบชั่วขณะ พอผมรอในท่าประสานมือเข้าหากัน วิเวียนจึงค่อยๆ เปิดปากพูดขึ้นช้าๆ 


 


 


“แน่นอนว่าฉันรู้ดีอยู่แล้วว่าออร์โดแห่งข้อบังคับเหมาะสมกับจองฮายอน แต่ฉันก็มั่นใจว่าจะใช้มันได้เป็นอย่างดีเหมือนกัน” 


 


 


“เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็พูดได้ คำพูดที่ฉันต้องการไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเธอได้สิ่งนี้ไป เธอจะแสดงให้เห็นความสามารถแบบไหน อะไรแบบนี้ต่างหาก นั่นหมายความว่าให้พูดอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่านี้อีกหน่อยน่ะ” 


 


 


วิเวียนหลับตาลง พอเห็นท่าทางนั้น จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าสถานการณ์นี้มันน่าสนุกมากๆ เธอเป็นเด็กปัญญาอ่อนพอสมควร แต่เหตุผลที่ผมปล่อยวิเวียนไว้ทั้งอย่างนั้นเป็นเพราะเวลาเธอจริงจังก็จะจริงจัง แตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ หากผมออกคำสั่งเสียตอนนี้ เธอก็จะหัวเราะแหะๆ แล้วจัดการมันทันทีโดยไม่ตะขิดตะขวงใจถึงแม้จะเป็นการเข่นฆ่าอย่างโหดเ**้ยมก็ตาม นั่นคือนิสัยโดยพื้นฐานของวิเวียน 


 


 


จากนั้นวิเวียนก็ลืมตาโพลงขึ้นมา ดวงตาของเธอเป็นประกาย 


 


 


“เมื่อวานฉันลองพิจารณาดูใบประเมินคุณค่าสิ่งของที่ติดอยู่กับออร์โดแห่งข้อบังคับอย่างละเอียดแล้ว ออฟชั่นที่ฉันสนใจจากออฟชั่นทั้งหมดมีสี่อย่าง การทำให้เวทมนตร์ทั้งหมดบรรลุผลอย่างรวดเร็วถึงร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วปล่อยมันออกมา, ฟื้นคืนพลังเวทร้อยเปอร์เซ็นต์, ความสามารถในการใช้เวทโดยไม่ต้องท่องบทเวท และกุญแจของมาเจีย” 


 


 


“กุญแจของมาเจียน่ะเอาไว้ก่อน… ออฟชั่นสามอย่างก่อนหน้าน่ะมีความเกี่ยวข้องกับพวกนักโทษเวทมนตร์คิเมร่าของเธอเหรอ” 


 


 


“อือ พูดให้ถูกก็คือทำพันธสัญญากับนักโทษเวทมนตร์และพวกนักโทษนั้นก็จะเป็นเด็กๆ ที่แข็งแกร่งขึ้นตามใจชอบของฉันเลยล่ะ เอาจริงๆ ถึงบอกว่าฉันเป็นผู้กุมอำนาจของกองบัญชาการทหารนักโทษเวทมนตร์ที่ 66 แต่ก็ไม่ได้กุมอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบสักหน่อย ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ความสามารถของฉันยังมีไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากวงแหวนเวท อย่าว่าแต่กองบัญชาการทหารเลย พวกระดับสูงก็ยากที่จะอัญเชิญมาได้ อย่างเช่น พวกที่อยู่ภายใต้กองบัญชาการที่สี่ อะไรแบบนี้” 


 


 


“อืม…” 


 


 


ผมตั้งใจฟังคำพูดของวิเวียน สิ่งที่ผมคาดหวังจากเธอคือการเปลี่ยนบรรยากาศ ตอนนี้สมาชิกเผ่าส่วนใหญ่รวมถึงผมกำลังจิตโจโอนเอียงไปทางจองฮายอน วิเวียนก็คงรับรู้ได้ถึงเรื่องนั้น เธอจึงกระแอมเพื่อปรับน้ำเสียงหนึ่งครั้งก่อนจะพูดต่อ จากนี้ไปคือประเด็นหลักและเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดแล้ว 


 


 


“แต่ถ้าได้ครอบครองออร์โดแห่งข้อบังคับก็จะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ จำนวนครั้งในการอัญเชิญก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นจากออฟชั่นปลดปล่อยพลังร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ มีเงื่อนไขว่าเจ็ดวันก็จริง แต่ถ้าสามารถฟื้นฟูพลังเวทของฉันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เป็นไปได้มากขึ้นที่จะอัญเชิญกองทหารบัญชาการออกมาเหมือนกัน ไม่ใช่แค่นั้นนะ ถ้าคุ้นเคยกับความสามารถในการร่ายเวทโดยไม่ต้องท่องบทเวทแล้ว นอกเหนือจากเวทที่เชื่อมโยงถึงนักโทษเวทมนตร์ที่แตกต่างกับเวทอื่นๆ ก็จะทำให้ย่นระยะเวลาลงได้จนหมดเลยละ เวลาในการอัญเชิญก็จะลดลงอย่างมากเลย แล้วก็นี่เป็นการคาดเดาของฉันเฉยๆ นะ แต่ถ้าหากจะทำให้เมืองเวทมนตร์เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง ฉันก็จะมีประโยชน์อย่างมากเลยละ” 


 


 


“โอ้โฮ ฉันอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับกองบัญชาการนั้นเพิ่มเติมอีกหน่อยจังเลยนะ” 


 


 


“ถ้าให้พูดแบบละเอียดก็จะยาวเกินไป แต่สิ่งที่มั่นใจก็คือสามารถใช้ออร์โดแห่งข้อบังคับแทนวงแหวนเวทได้ กองบัญชาการทหารระดับสูงก็หนึ่งแล้ว พวกที่อยู่ในระดับสูงๆ บางที…อาจจะอัญเชิญกองกำลังทหารได้ถึงสองกองด้วยซ้ำ ยังไงก็เถอะ ฉันพูดเรื่องที่อยากพูดหมดแล้ว จะพูดถึงแค่ตรงนี้” 


 


 


พอแสดงให้เห็นถึงความสนใจนิดหน่อย วิเวียนก็พูดจนจบด้วยใบหน้าสบายใจขึ้นอีกขั้น ผมลูบไล้คางของตัวเอง พอได้ฟังเธอพูด พูดตามตรงว่าจิตใจของผมก็โอนเอียงไปหาเธอทีละนิด ตามที่เธอพูดมา ถ้าสามารถอัญเชิญกองกำลังทหารบัญชาการได้ก็จะมีประโยชน์อย่างมากกับแผนการต่อจากนี้ 


 


 


‘จะผลักดันจองฮายอนแบบชัดๆ กันไปเลย หรือว่าแบ่งส่วนหนึ่งมาทางวิเวียนแล้วมองดูการพัฒนาไปพร้อมๆ กันดีนะ’ 


 


 


มองอย่างไรก็เป็นความลังเลที่แสนมีความสุข แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะลองฟังคำพูดของอีกคนที่เหลือแล้ว ดีกว่าจมอยู่กับความลังเลแบบนี้ ต้องทำแบบนั้นถึงจะสามารถตัดสินได้อย่างแม่นยำ ในตอนที่ผมกำลังจะหันหน้าไปทางจองฮายอนแบบนั้น  


 


 


“อย่างนั้นเองสินะคะ” 


 


 


“ผู้เล่นจองฮายอน” 


 


 


“ฉันได้ฟังคำพุดของคุณวิเวียนเป็นอย่างดีเลยค่ะ แคลนลอร์ด ฉันจะสละสิทธิ์ในออร์โดแห่งข้อบังคับค่ะ” 


 


 


“…” 

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 14

 

เป็นการสละสิทธิ์อันง่ายแสนง่าย แต่ในตอนนั้น ผมจึงรับรู้ได้ว่าแววตาของจองฮายอนมีแสงสีฟ้าแวบผ่านไป พอแม้แต่วิเวียนก็ยังส่งสายตาสับสนให้ เธอจึงถอนหายใจสั้นๆ จากนั้นจึงยกยิ้มตรงมุมปากอย่างสดใสพร้อมกับพูดขึ้น 


 


 


“ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความจริง ฉันก็คิดว่าการมอบให้คุณวิเวียนเหมาะสมกว่าให้ฉันค่ะ ก็แค่รู้สึกแบบนั้นเท่านั้นค่ะ แน่นอนว่าเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่อยากจะละโมบมากเกินไปด้วยค่ะ” 


 


 


“จะ จริงเหรอ ฉันเอาไปได้จริงๆ เหรอ” 


 


 


“ถ้าคุณซูฮยอนอณุญาตน่ะนะคะ” 


 


 


“ว้าว!” 


 


 


ผมได้ยินเสียงอันดีอกดีใจจนแทบกระโดดของวิเวียน แต่สายตาของผมยังคงจับจ้องอยู่ทางจองฮายอน คงรับรู้ได้ถึงสายตาแบบนั้นของผม เธอจึงส่ายหน้าเบาๆ โดยที่ยังไม่ลบรอยยิ้มออกไปจากใบหน้า 


 


 


“จองฮายอน! ขอบคุณนะ! ขอบคุณจริงๆ!” 


 


 


“ขอบคุณอะไรกันคะ ก็คุณ…” 


 


 


จองฮายอนหยุดพูด จากนั้นเธอก็เว้นช่วงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา 


 


 


“…เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีความสามารถนี่คะ” 


 


 


จู่ๆ ผมก็คิดว่าจองฮายอนเปลี่ยนคำพูดกลางคันหรือเปล่า ถ้าลองคิดดู เธออยู่ในสถานะที่สูญเสียน้องสาวจองจียอนเพราะวิเวียน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก แต่เธอกลับไม่แสดงออกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่มิวล์มาจนถึงตอนนี้ ไม่สิ ถึงแม้จะใช้คำว่าสนิทสนมไม่ได้แต่ก็แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันปกติธรรมดาในฐานะสมาชิกเผ่าเสียด้วยซ้ำ 


 


 


‘บางทีคงอ่านความคิดภายในใจของฉันก็ได้ เพราะอย่างนั้น…’ 


 


 


ไม่ว่าเรื่องไหนจะเป็นความจริง แต่ความตั้งใจอันแน่วแน่ของจองฮายอนเพียงพอที่จะได้รับความชื่นชม และผมถึงกระทั่งรู้สึกขอบคุณด้วย ผมคิดแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการชวนให้เข้าร่วมเผ่าที่มิวล์เป็นการเลือกที่ดีจริงๆ  


 


 


อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยจองฮายอนประกาศอย่างเป็นทางการแบบนั้น ลูกตุ้มตาชั่งจึงเอนเอียงอย่างชัดเจน พอหันหน้าไป ผมก็เห็นวิเวียนซึ่งกำลังรอคำพูดของผมอย่างใจจดใจจ่อ เธอกำลังทำสีหน้าประหม่าราวกับลูกหมาปวดอึ ผมตัดสินใจว่าจะสรุปเรื่องออร์โดแห่งข้อบังคับให้จบตรงนี้ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ผมจะส่งมอบออร์โดแห่งข้อบังคับให้วิเวียนนะครับ กรณีที่จัดการพิธีส่งมอบเจ้าของไม่สำเร็จ ผมจะมอบอำนาจและสิทธิให้จองฮายอนนะครับ” 


 


 


“ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ!” 


 


 


วิเวียนผวาอย่างกะทันหันแล้วส่งเสียงแว้ดออกมา 


 


 


วิเวียนได้ครอบครองออร์โดแห่งข้อบังคับไปแบบนั้น เพราะความเสียสละของจองฮายอนจึงสามารถข้ามผ่านส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นอุปสรรค(?)ที่สุดไปได้อย่างอุ่นใจ เนื่องจากแก้ปัญหาเรื่องออร์โดแห่งข้อบังคับได้แล้วจึงไม่ต่างอะไรกับข้ามผ่านภูเขาลูกใหญ่ไปได้ 


 


 


และขั้นตอนการแบ่งสรรปันส่วนหลังจากนั้นก็เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น เพราะอุปกรณ์ที่เหลือส่วนใหญ่มีข้อจำกัดที่แคบพอสมควรอยู่แล้ว 


 


 


ผมแบ่งพาราดิซุส เพลท เมลกับตำนานแห่งฮอปโลนให้แพคฮันกยอล ทุกคนไม่มีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องที่ว่าคุณสมบัติของเครื่องป้องกันทั้งสองอย่างกับการสะท้อน ทักษะเฉพาะตัวของเขานั้นเหมาะสมกันเป็นอย่างดี ผมลองถามอันฮยอนเรื่องพาราดิซุสเผื่อเอาไว้ แต่เขาก็ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ บางทีเขาคงคิดว่าตะวันเกรียงไกรน่าจะดีกว่า 


 


 


แน่นอนว่าถ้าแพคฮันกยอลใช้ของพวกน้ันได้จนคุ้นเคยก็น่าจะเพิ่มค่าความสามารถได้ระดับหนึ่ง มีเงื่อนไขว่าเลื่อนออกไปจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็จริง แต่เขาก็รับมันไปด้วยใบหน้าขอบคุณ 


 


 


บันทึกการทดลองของมาร์โวลโลเป็นของวิเวียนโดยไม่มีอะไรต้องดูเลย ส่วนซีเคร็ตคลาส จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงินก็ถูกมอบให้จองฮายอน คงสละสิทธิ์ออร์โดแห่งข้อบังคับไปจนหมดสิ้นจริงๆ เธอจึงดูไม่มีความเสียดายเลยแม้แต่น้อย กลับแสดงให้เห็นท่าทางที่รับหนังสือเล่มสีน้ำเงินที่ผมส่งให้ไปกอดด้วยใบหน้าพออกพอใจเสียด้วยซ้ำ 


 


 


แรร์คลาสนักสู้ยามรุ่งสางกับรัตติกร อียูจองได้ครอบครองไป นักสู้ยามรุ่งสาง ผมคิดอยู่ตั้งแต่แรก ส่วนรัตติกรก็เป็นกริชซึ่งเป็นอาวุธหลักของเธอ สีหน้าของอียูจองซึ่งได้รับดาบเก่าๆ กับกริชสีขาวเงินนั้นนิ่งเป็นอย่างมาก 


 


 


ไม่สิ เธอกำลังแกล้งทำเป็นนิ่งมากกว่า ดวงตาของเธอสั่นระริก ส่วนปากขยับขึ้นลงไม่หยุด ทั้งมือทั้งขาก็กำลังสั่นระรัวอยู่ เนื่องจากได้สืบทอดคลาสที่หวังไว้ถึงขนาดนั้น ผมจึงสามารถคาดเดาความรู้สึกภายในใจที่เธอรู้สึกอยู่ตอนนี้ได้เลย 


 


 


มันน่าสับสนนิดหน่อยในการจัดแบ่งไทร์ฟิงค์ ถ้ามองดูใบมีดเป็นอย่างแรก การจะบอกว่ามันเป็นกริช แต่มันก็ยาวไปหน่อย พอจะบอกว่ามันเป็นดาบยาว มันก็สั้นเกินไป ถ้าลองคำนวณดูดีๆ น่าจะใกล้เคียงกับกริชมากกว่าหรือเปล่านะ แต่เหตุผลแบบนั้นเป็นเพียงปัญหาที่รองลงมา ความจริงที่ว่ามันเป็นดาบเวทมนตร์ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากกว่าเดิม  


 


 


แต่ในที่สุดผมก็เลือกเจ้าของได้ ไม่สิ จะมองว่าเจ้าของถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่ผิด ในตอนที่ผมสละสิทธิ์ในการครอบครองไทร์ฟิงค์ ผู้เล่นที่พอจะควบคุมมันได้ก็มีโกยอนจูเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะอุปนิสัยคลุมเครือของเธอ มันเหมือนจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้วผมจึงตัดสินใจว่าจะให้โกยอนจูรับไทร์ฟิงค์ไป 


 


 


ด้วยเหตุนี้ สิ่งของที่เหลือก็คือโพชั่นพิเศษด้านพลังเวทกับที่คาดผมอันบริสุทธิ์ ของสองชิ้นนี้ไม่มีใครร้องขอสิทธิในการครอบครองเลย แต่ผมสังเกตเห็นว่าทุกคนก็อยากครอบครองเช่นกันถึงจะไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา 


 


 


โดยเฉพาะโพชั่นพิเศษด้านพลังเวทยิ่งมีแนวโน้มที่จะทำแบบนั้นกันมากกว่า สมาชิกเผ่าที่ได้รับสิ่งของไปแล้วน่าจะรู้สึกผิดหากเอาไปเพิ่ม ส่วนเด็กๆ ที่ควรกินโพชั่นพิเศษด้านพลังเวทนี้ในบรรดาสมาชิกเผ่าที่ไม่ได้รับของก็มีอันซลกับชินซังยง ปัญหาคือทั้งสองคนต่างก็ไม่กล้าพอที่จะฉกเอาโพชั่นพิเศษนี้ไปได้ 


 


 


ในที่สุด สิทธิในการเลือกของทั้งสองอย่างนั้นจึงกลับมาอยู่ที่ผม ผมมีหน้าที่ในการจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมในฐานะแคลนลอร์ด ผมจ้องมองของสองอย่างที่วางไว้ตรงหน้านิ่งๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาของสมาชิกเผ่าทุกคนจับจ้องมาทางผม 


 


 


‘พอจองฮายอนกลายเป็นคลาสลับ พลังเวทก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วย…ถ้างั้นก็จะต้องให้คนใดคนหนึ่งระหว่างอันซลกับชินซังยงสองคน แต่ทำไมทั้งสองคนถึงเป็นอย่างนั้นกันนะ’ 


 


 


ชินซังยงทำให้ผมรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ในใจเพราะเขาเอาแต่ส่ายหัวไปมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือราวกับตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง อันซลเองก็เช่นกัน เธอเอาแต่หลบตาผมอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว บอกว่าตัวเองจะเอาแล้วทะเลาะกันยังจะดีเสียกว่า หากเอาแต่เสียสละให้กันแบบนี้คงไม่จบไม่สิ้นสักที เพราะอย่างนั้นผมจึงรู้สึกตัดสินใจลำบากมากยิ่งขึ้น 


 


 


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหยิบที่คาดผมอันบริสุทธิ์ใส่ไว้ในเสื้อ ที่่คาดผม ผมสรุปไว้แล้ว แต่โพชั่นพิเศษด้านพลังเวทจำเป็นจะต้องขอคิดให้มากกว่านี้หน่อย แน่นอนว่าความคิดนั้นน่าจะไม่ได้ใช้เวลานานด้วย ยิ่งยืดเวลาออกไป ความเป็นไปได้ที่จะข้ามพ้นเรื่องนี้ไปอย่างไม่ชัดเจนก็ยิ่งสูง เพราะฉะนั้นผมคิดจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยจนกว่าการสรุปผลครั้งนี้จะเสร็จสิ้น 


 


 


แต่ในเมื่อสิทธิในการตัดสินใจตกอยู่ที่ผม จึงจำเป็นจะต้องมีเวลาที่จะคิดดูประมาณหนึ่งด้วย 


 


 


“เฮ้อ ทราบแล้วครับ ของสองชิ้นนี้ ผมจะจัดการตามความต้องการของผมนะครับ แต่ก่อนอื่น” 


 


 


ผมหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองสมาชิกเผ่า โกยอนจู วิเวียน จองฮายอน อียูจอง ผู้หญิงสี่คนนี้แต่ละคนกำลังลูบไล้สิ่งของที่ผมมอบให้อย่างหวงแหน 


 


 


ผมมองภาพเหตุการณ์นั้นแล้วอมยิ้มบางๆ พลางพูดต่อ 


 


 


“เรามาดูขั้นตอนในการทำพิธีส่งมอบเจ้าของกับสืบทอดคลาสให้เรียบร้อยกันดีไหมครับ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พระอาทิตย์ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแล้วกำลังส่องสว่างลงมาอย่างเจิดจ้า ภายในเลิฟเฮาส์ยามเที่ยงมีเพียงความเงียบเหงา พวกดอกไม้กลางคืนต่างกำลังหลับใหล และในชั้นหนึ่ง นอกจากใครคนหนึ่งแล้ว โต๊ะทุกตัวก็ว่างเปล่า การค้าขายคงไม่ได้ไปได้สวย มาดามที่คอยดูร้านค้าจึงกำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับผู้เล่นที่นั่งอยู่บนโต๊ะ 


 


 


“คนอื่นๆ ล่ะ” 


 


 


“อือ~ พี่ซังยงยังคุยกับท่านพี่อยู่เลย~ พี่ฮยอนบอกว่ามีเรื่องต้องค้นคว้าก็เลยออกจากห้องไปแล้ว~ ส่วนพี่ๆ คนอื่นทุกคนก็น่าจะมัวแต่ตั้งอกตั้งใจดูอุปกรณ์อยู่ในห้องค่า” 


 


 


“อ๋อ อย่างนั้นเอง ว่าแต่ซลของพี่กำลังเศร้าอยู่เนี่ย ทำยังไงดีล่ะ” 


 


 


“อึ้ก หืม อะไรเหรอคะ” 


 


 


อันซลดูดเครื่องดื่มที่อิมฮันนาเอามาให้แล้วจึงย้อนถาม 


 


 


“ครั้งนี้บอกว่าไม่ได้ถูกแบ่งอะไรมาให้เลยไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“อ๋อ~ แหะๆ ไม่เป็นไรค่า จนถึงตอนนี้ฉันน่ะได้รับมาเยอะมากแล้วค่ะ~ แล้วก็ฉันมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาเยอะเพราะยังเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์ แต่พี่ซังยงแทบจะพัฒนาไม่ได้แล้วนี่คะ เพราะฉะนั้นฉันน่ะ กลับต้องการให้พี่ซังยงได้มันมากกว่าอีก” 


 


 


“อย่างนี้นี่เอง ซลของพี่เนี่ยเป็นเด็กดีจริงๆ” 


 


 


“แหะๆ” 


 


 


อันซลหยิบลูกแก้วสีขาวกับแหวนขึ้นมาดูแล้วหัวเราะอย่างสดใส อิมฮันนาจ้องมองเธอที่ทำท่าทางแบบนั้นอย่างปลาบปลื้มแล้วคงรู้สึกได้ว่ามีใครเดินลงบันไดมาจึงหันหน้าไปเล็กน้อย ชินซังยงกำลังเดินลงบันไดมาด้วยใบหน้าอ่อนล้า 


 


 


ชินซังยงเดินโซซัดโซเซลงมาแล้วคงเห็นทั้งสองคนจึงก้มหัวลง 


 


 


“สะ สวัสดีครับ” 


 


 


“ค่ะ สวัสดีค่ะ คุยกับลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เสร็จแล้วเหรอคะ” 


 


 


“ฮะ ฮ่าๆ เสร็จเมื่อกี้นี้เลยครับ เฮ้อ…” 


 


 


ชินซังยงมองกล่องไม้ที่ถือไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา จากนั้นเขาก็เปิดกล่องแล้วเอามือหยิบของที่อยู่ข้างในออกมา นิ้วชี้ของเขาคีบลูกแก้วสีดำที่มีกลิ่นหอมฟุ้งออกมา 


 


 


“โอ๊ะ ยินดีด้วยนะคะ” 


 


 


“ยินดีด้วยค่ะ น่าอิจฉาจริงๆ เลยค่ะ” 


 


 


แม้ว่าหญิงสาวทั้งสองจะแสดงความยินดีแต่ชินซังยงกลับได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเท่านั้น อันซลมองเขาที่ทำท่าทางแบบนั้นแล้วเร่งเร้าเขาอย่างร้อนใจ 


 


 


“รีบทานเลยค่ะ เร็วเข้าา” 


 


 


“ฮ่าๆ ครับ ทราบแล้วครับ” 


 


 


คำตอบบอกว่าจะกิน แต่มือของชินซังยงกลับไม่ยกขึ้นไป แต่กลับขยับเข้ามาใกล้โต๊ะกินข้าวทีละก้าวทีละก้าวแทน  


 


 


“เดิมทีผมคิดว่าโพชั่นพิเศษนี้ต้องถูกมอบให้น้องอันซลถึงจะถูกต้อง ไม่คิดเลยว่าจะมอบให้ผมครับ ผมกลุ้มใจมาก แต่แคลนลอร์ดกลับบอกว่าให้ทำตามที่ผมต้องการ เพราะอย่างนั้นผมจึงคิดจะทำตามคำพูดของแคลนลอร์ด แต่ยังไงผมก็ต้องมาขออนุญาตน้องอันซลเสียก่อนครับ” 


 


 


“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้ค่า” 


 


 


“พูดแบบนั้น ผมก็ทำได้แค่ขอบคุณสิครับ อ้อ ว่าแต่น้องอันซล” 


 


 


ชินซังยงเดินมาถึงโต๊ะแล้วยิ้มอย่างสบายใจพลางเรียกอันซล ในระหว่างที่อิมฮันนาเฝ้ามองทั้งสองคนอย่างสนอกสนใจ อันซลก็อ้าปากกว้างพลางหาว ดูเหมือนจะง่วงเพราะวันนี้ตื่นเช้า 


 


 


“หาว ง่วงจางเยย เอ๋” 


 


 


แล้วดวงตาของชินซังยงซึ่งมองดูภาพนั้นอยู่ก็มีประกายแวบผ่านไป เขาชี้ไปทางประตูทันที 


 


 


“อ้อ ด้านนอกนั่นใครกำลังเรียกน้องอันซลอยู่น่ะครับ” 


 


 


“หาว คะ ใครคะ” 


 


 


อันซลหันหน้าไปทางทางเข้า แต่ตรงทางเข้ากลับไม่มีใครเลย 


 


 


บนหัวของอันซลมีเครื่องหมายคำถามเด้งขึ้นมา ถึงอย่างนั้นดูจากที่ปากของเธอยังคงอ้ากว้าง คงจะหาวออกมาอีกหลายครั้งแน่ 


 


 


“หาว ไอ่เอ็นอีใอเอออ่ะ” 


 


 


อันซลหาวออกมาไม่หยุดพร้อมกับหันหน้ากลับมา และในตอนที่เธอพูดเสียงอ้อแอ้พร้อมกับหันไปอีกครั้ง มือของชินซังยงก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าไปทางปากที่อ้ากว้างอยู่ 


 


 


“อุ๊บ!” 


 


 


อึ้ก 


 


 


“อุแหวะะ!” 


 


 


“ฝืนอาเจียนออกมาไม่ได้นะครับ มันอันตรายต่อร่างกายนะ” 


 


 


“อุแหวะะ! อุแหวะะะ!” 


 


 


“นะ น้องอันซล ได้โปรดหยุด…”

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 15

 

ชินซังยงห้ามปรามแต่นิ้วชี้ของอันซลยังล้วงเข้าไปในช่องคอไม่หยุด แต่โพชั่นวิเศษไหลลงไปในหลอดอาหารนานแล้ว อีกทั้งกลางอากาศยังมีข้อความโผล่ขึ้นมาว่า ‘พอยต์คงเหลือของพลังเวท(โดยเฉพาะ)เพิ่มขึ้นสองพอยต์’ แล้วด้วย 


 


 


“แงงง…” 


 


 


พอโพชั่นพิเศษไม่ไหลย้อนกลับมาแม้จะบังคับให้มันอาเจียนออกหลายครั้ง อันซลจึงยืดเอวที่เคยโค้งลงด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเต็มหน่วย ชินซังยงทำอะไรไม่ถูกแล้วได้แต่เกาหลังคอ จากนั้นจึงพูดขึ้นราวกับปลอบโยนด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ 


 


 


“นะ น่าจะรู้อยู่แล้วแต่จะบอกเผื่อไว้นะครับ การทำให้พอยต์เพิ่มขึ้นทันทีในตอนนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่ดีจริงๆ ครับ อีกทางเลือกหนึ่งคือเก็บรักษามันไว้สักสองปี เอาไว้ใช้ตอนที่การเพิ่มขึ้นของค่าความสามารถหยุดชะงัก ผมลองพิจารณาดูแล้วก็ว่าดีแต่ว่า…เฮือก!” 


 


 


“แงงงง!” 


 


 


แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงร้องไห้ของอันซลที่ระเบิดออกมาพร้อมเอาหัวมาโขกเขาอย่างเต็มแรงทั้งหมดที่มี ชินซังยงถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ได้แต่เอามือกุมท้องเอาไว้พลางงอตัวลง ส่วนเธอก็ร้องไห้งอแงพลางวิ่งขึ้นบันไดไป และดูจากที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนว่า ‘ท่านพี่!’ จากชั้นสอง คงจะไปฟ้องคิมซูฮยอนแน่ๆ 


 


 


“ฮะ ฮ่าๆ นี่มัน…” 


 


 


ถึงแม้ว่าจะถูกโจมตีสุดแรงอย่างกะทันหันแต่คงไม่ได้เจ็บสักเท่าไร ชินซังยงจึงยิ้มอย่างขวยเขินพลางลูบท้อง 


 


 


อิมฮันนามองดูสถานการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ และสีหน้าของเธอซึ่งมองชินซังยงก็กึ่งตกใจกึ่งสนใจ เธอจ้องมองเขานิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วจึงปริปากพูดขึ้นช้าๆ 


 


 


“ไม่เป็นไรเหรอคะ” 


 


 


“คะ ครับ อ๋อ ครับ ก็…” 


 


 


“ถึงอย่างนั้นลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ก็สั่งด้วยตัวเองเลยนะคะ ต้องโกรธแน่เลย~” 


 


 


“ครับ ก็ ถึงเป็นผมก็คงโกรธครับ กะ ก็ได้แต่ขอโทษเท่านั้นละครับ เพราะฉะนั้นก็เลยตั้งใจจะหนีไปสักเดี๋ยว” 


 


 


มองไม่เห็นท่าทีเสียดายจากชินซังยงซึ่งพูดติดตลกออกมาอย่างไม่สมกับเป็นเขาเลยแม้แต่น้อย กลับแสดงให้เห็นถึงท่าทีโล่งใจแทน 


 


 


“ไม่เสียดายเหรอคะ ซลเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์ เพราะฉะนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนา แต่คุณชินซังยงไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” 


 


 


“ผมเองก็เป็นผู้เล่นครับ พูดตามตรงว่าไม่มีทางไม่เสียดายหรอกครับ” 


 


 


“ถ้างั้นทำไม…” 


 


 


“ผมได้รับสิ่งต่างๆ มากมายหลังจากอยู่ร่วมเผ่ากับหัวหน้าครับ หัวหน้ารักษาสัญญา เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงคราวที่ผมจะต้องรักษาสัญญาแล้วครับ” 


 


 


“สัญญาเหรอคะ” 


 


 


พออิมฮันนาเอียงหัวด้วยความสงสัย มุมปากของชินซังยงก็ยกยิ้มขึ้น แววตาของเขาเหมือนจะเลือนรางไปราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ 


 


 


“ผมเคยเรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุครับ แน่นอนว่าต่อให้บอกว่าจุดเริ่มต้นคือนักเวทแต่ผมไม่สามารถเอาชนะความโลภมากของตัวเองได้เลยศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุครับ หมายถึงการเล่นแร่แปรธาตุชั้นต่ำที่ไม่มีประโยชน์อะไร” 


 


 


“…” 


 


 


“ตอนแรกผมไม่ต่างอะไรกับร่างไร้ลมหายใจครับ ถ้าเป็นเหมือนกับแต่ก่อน ตอนนี้คงจะหายไปแบบไร้ร่องรอยในซอกหลืบไหนสักแห่งที่มิวล์แล้ว แต่คงโชคดี ผมจึงได้รับการช่วยชีวิตจากลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ หัวหน้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้เล่น แต่ในฐานะมนุษย์ด้วย อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้นครับ” 


 


 


อิมฮันนาจิ้มนิ้วชี้เข้าหากันในท่าประสานมือ ชินซังยงคงประหม่าเพราะไม่ได้พูดยาวๆ มานานแล้ว เขาจึงกลืนน้ำลายจนลำคอเคลื่อนไหวหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจสั้นๆ พลางพูดต่อ 


 


 


“ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ หัวหน้าคืนอุปกรณ์ทั้งหมดให้แบบไม่มีเงื่อนไข แล้วก็รับฟังคำขอที่มากเกินไปของผมว่าอยากเรียนรู้จากท่านอาจารย์ แถมหลังจากนั้นยังมอบกระทั่งแรร์คลาสให้ด้วย เพราะอย่างนั้น ผมจึงทลายกำแพงที่เคยขวางกั้นตัวเองเอาไว้ได้ ถ้านึกถึงความรู้สึกที่เคยรู้สึกในตอนนั้น หัวใจของผมก็ยังเต้นรัวอยู่เลยครับ” 


 


 


“อ๋อ ติดหนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้นี่เอง ถึงอย่างนั้นทานโพชั่นวิเศษเข้าไปแล้วทำให้ค่าความสามารถเพิ่มขึ้น จากนั้นคอยช่วยเหลือแผนการในอนาคตของเผ่าก็น่าจะดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ เห็นได้ว่าวินวินกันทั้งสองฝ่ายเลย” 


 


 


“ผมสัญญาว่าจะผนึกกำลังกันกับสมาชิกเผ่าในตอนนี้พร้อมกับทำให้ดีที่สุดครับ แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัดจริงๆ ผมคิดไปเองว่าหากเป็นมิตรต่อกันไปเรื่อยๆ ก็จะเรียกร้องอะไรต่อมิอะไรได้อย่างชอบธรรมน่ะครับ ผมอยากรักษาความรู้สึกในตอนนั้นไว้แบบเดิมครับ ในตอนที่ได้รับโพชั่นวิเศษมา ผมรู้สึกเหมือนกับสูญเสียความตั้งใจแรกของตัวเองเลย ผมไม่อยากกลายเป็นคนชั่วช้าที่ทดแทนบุญคุณด้วยสิ่งที่ไร้คุณธรรมครับ” 


 


 


ชินซังยงพูดจบในรวดเดียว จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า “อ๊ะ” พร้อมกับทำตาโต บางทีคงจะตกใจตัวเองที่ไม่พูดติดอ่างเลยสักครั้ง จากนั้นเขาก็เหลือบมองบันไดด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าพลาดไปพลางยิ้มอย่างเงอะๆ งะๆ พร้อมกับเปลี่ยนทิศทางเดิน 


 


 


“ธะ โธ่เอ๊ย บางทีลอร์ดคงกำลังลงมานะครับ ผมตัดสินใจว่าจะขออภัยทีหลังและตอนนี้คงต้องหนีไปก่อนแล้วครับ มัวแต่เถียงกันว่าจะรับหรือไม่รับเกือบหนึ่งชั่วโมงก็เลยหมดเรี่ยวหมดแรงไปหมดแล้วครับ” 


 


 


“ไปทางด้านซ้ายค่ะ ฉันจะบอกให้ว่าคุณไปทางขวา” 


 


 


“ถ้าทำแบบนั้นผมก็จะขอบคุณมากๆ เลยครับ ถ้างั้นผมรีบ…” 


 


 


ชินซังยงคงขยาดกับบทสนทนากับคิมซูฮยอน เขาจึงออกจากประตูไปอย่างลุกลี้ลุกลน 


 


 


อิมฮันนามองเขาที่หายไปทางด้านซ้ายแล้วขยับมือที่เคยประสานกันมากุมตรงข้อศอกไว้แทน 


 


 


“ฮึ น่าอิจฉาจังนะ” 


 


 


อิมฮันนามองบันไดด้วยแววตาแปลกๆ แล้วแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเล็กน้อย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“จะต้องคว้าไว้ให้ได้ค่ะ” 


 


 


แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ เสียงของพัคดายอนกำลังดังก้องขึ้นภายในห้องรับรองสำหรับต้อนรับแขกที่จะมา  


 


 


ภายในห้องรับรองที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรามีคนทั้งหมดสามคนนั่งอยู่ พัคดายอนกับยอนฮเยริมนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ตรงโต๊ะที่ถูกขัดเป็นมันวาว ส่วนตรงหัวโต๊ะมีฮันโซยองนั่งอยู่ด้วยใบหน้าเฉยชา 


 


 


“โอ๊ย ให้ตาย จะมาเมื่อไร เมื่อวานติดต่อไปแท่นบูชาแล้วนะ ป่านนี้ยังไม่มานี่มันยังไงกัน” 


 


 


“พี่ฮเยริม ได้รับการติดต่อเข้ามาเมื่อกี้นี้ว่ามาแล้วค่ะ อดทนรอหน่อยเถอะค่ะ นะ แล้วก็ห้ามพูดอะไรแบบนั้นต่อหน้าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อย่างเด็ดขาดนะคะ” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราสองคนสนิทกัน สะสมความสนิทสนมกันไว้ตอนอยู่สถาบันน่ะ โฮะๆ ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ เดิมทีเธอไม่ค่อยชอบเขาไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“นั่นเป็นเพราะพี่โซยองทำตัวให้ไม่อยากจะเชื่อก็เลยเป็นอย่างนั้นน่ะสิคะ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วค่ะ” 


 


 


คำพูดของพัคดายอนทำให้ยอนฮเยริมลอบยิ้ม จากนั้นจึงโน้มตัวลงแล้วยื่นมือออกมาเงียบๆ พลางถามว่า “อะไรไม่เหมือนเดิมล่ะ” พร้อมกับเริ่มลูบคลำร่างกายของพัคดายอนอย่างช้าๆ พัคดายอนปัดมือของยอนฮเยริมออกด้วยความเคยชิน จากนั้นเธอก็ทำตาโตแล้วโวยวายเสียงดังออกมา 


 


 


“สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วนิดหน่อยยังไงล่ะคะ ชื่อเสียงของเมอร์เซนต์นารี่น่ะพุ่งสุงทะลุฟ้าแล้วนะ ต้องรีบออกมาประกาศว่าเป็นของตัวเองเร็วๆ เพื่อไม่ให้ไปคุยโวที่อื่นได้สิคะ”  


 


 


“เรื่องนั้นฉันก็รู้น่า เดิมทีวางแผนไว้แบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“แต่ยังไงมันก็มีความแตกต่างหลังจากพิสูจน์แล้วนี่คะ พูดตามตรงว่าบันทึกจากมิวล์ดูเป็นการประชาสัมพันธ์เว่อร์เกินจนไม่น่าเชื่อถือเท่าไร แต่เมอร์เซนต์นารี่กลับประสบความสำเร็จในการออกเดินทางไกลไปหุบเขามายาแถมยังช่วยชีวิตพวกผู้เล่นกลับมาได้อีก อย่างกับบอกว่าดูฉันสิๆ อย่างนั้นเลยค่ะ” 


 


 


“เดี๋ยวสิ เพราะอย่างนั้นถึงถามไงว่าตอนก่อนหน้านี้กับตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนไป” 


 


 


“โอ๊ย จริงๆ เลย! ทำไมเมอร์เซนต์นารี่ถึงยอมรับการมอบหมายแล้วถึงกับเลื่อนการตั้งถิ่นฐานไปก่อนล่ะคะ พูดได้คำเดียวว่าเป็นเพราะอวดเก่งยังไงละคะ พวกเรามีความสามารถในระดับนี้! ผลงานที่ทำสำเร็จที่มิวล์ไม่ใช่เรื่องโกหก! พวกเขากำลังบอกออกมาแบบนี้ไงคะ พอประสบความสำเร็จในการออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็เลยยิ่งหนักกว่าเก่า รู้ใช่ไหมคะว่าตอนนี้ฉันพูดถึงเรื่องอะไรอยู่” 


 


 


ในที่สุด พัคดายอนก็ระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับพูดราวกับตำหนิ ยอนฮเยริมจึงทำปากยื่นพลางชักมือกลับเข้าที่เดิม พัคดายอนพ่นลมออกทางจมูกอย่างแรงไปทางยอนฮเยริมแล้วจึงเต้นแบบยักไหล่พลางฮัมเพลงขึ้นจมูก 


 


 


“หืม ถึงไม่ใช่อย่างนั้น พวกคนของเผ่าโครยอก็บอกว่าเผ่าแฮมิลออกมาจากพรินซิก้า แล้วยังบอกว่าเกลียดท่าทางอวดดีแบบนั้นด้วยนะ ดีมากเลย ดีจริงๆ ฮืม ฮือ ฮืม ฮือ” 


 


 


“แฮมิลเหรอ แฮมิลคืออะไรน่ะ” 


 


 


“เมื่อไม่นานมานี้ คิมยูฮยอนสร้างเผ่าขึ้นมาเผ่าหนึ่งไงคะ ชื่อของเผ่านั้นคือฟ้าหลังฝนค่ะ หมายถึงท้องฟ้าอันปลอดโปร่งแจ่มใสหลังฝนตก” 


 


 


“คิมยูฮยอนเหรอ อ๋อ ราชาแห่งสายฟ้าน่ะนะ” 


 


 


“ค่ะ ยังไงก็ตาม มอร์เซนต์นารี่น่ะ พวกเราก็…” 


 


 


นับดูแล้วทั้งห้องมีอยู่สามคน แต่คนที่กำลังพูดอยู่มีเพียงสองเท่านั้น แต่เพราะอะไรไม่รู้ถึงมีเรื่องที่จะพูดมากขนาดนั้น ระดับความดังที่ก้องไปทั่วห้องรับรองจึงค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


มองอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ดูจากที่เดิมทีโมนิก้าเป็นเมืองที่มีความสงบเรียบร้อยสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหรือรอบๆ จึงเป็นเช่นเดียวกันเสมอ เพราะอย่างนั้น ถึงแม้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่กระแสที่ถาโถมเข้ามาเนื่องจากการเดินทางไกลไปสำรวจของเมอร์เซนต์นารี่ในครั้งนี้ ก็กลายเป็นเรื่องราวที่อัดแน่นอยู่ในหัวข้อสนทนาของพวกผู้เล่นที่จมปลักอยู่กับความเบื่อหน่าย 


 


 


ในตอนที่เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังขึ้นภายในห้องเงียบสงบลง คือตอนหลังจากที่ได้รับข่าวจากผู้ส่งข่าวว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กำลังมายังห้องรับรอง 


 


 


“ทุกคนเงียบ” 


 


 


พอฮันโซยองผู้ซึ่งเพียงแต่นั่งอยู่เงียบๆ พลางยกแก้วชาขึ้นจิบเอ่ยปากพูดขึ้น พัคดายอนกับยอนฮเยริมจึงปิดปากเงียบทันที 


 


 


ในระหว่างที่ความเงียบเข้าปกคลุม ไม่นานนักจึงได้ยินเสียงเคาะประตูก๊อกๆ 


 


 


“เชิญเข้ามาเลยค่ะ” 


 


 


คนที่ตอบคือพัคดายอน น้ำเสียงอ่อนลงมาก ต่างกับตอนที่เอะอะโวยวายเมื่อครู่นี้ ในตอนที่ยอนฮเยริมจ้องมองด้วยใบหน้าบอกว่าไม่น่าเชื่อ ประตูที่เคยปิดอยู่จึงเปิดออกอย่างช้าๆ แล้วจึงได้เห็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเกราะทรงเสื้อโค้ทตรงกลางระหว่างประตูที่เปิดอ้าออกนั้น ตามที่ได้รับการนำทางจากลูกจ้าง 


 


 


เขาหันมองดูคนภายในห้องปราดเดียวแล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันทุ้มต่ำ 


 


 


“สวัสดีครับ” 


 


 


“ยินดีต้อนรับค่ะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ เชิญนั่งทางนี้เลยค่ะ” 


 


 


“ครับ รบกวนด้วยนะครับ” 


 


 


หลังจากลูกจ้างปิดประตูลง ชายหนุ่ม ไม่สิ คิมซูฮยอนก็ค่อยๆ นั่งลงตรงที่ที่ฮันโซยองชี้มา 


 


 


ฮันโซยองจ้องมองใบหน้าของคิมซูฮยอนซึ่งลูบไล้แก้วชาอย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับตอนที่เห็นเมื่อก่อนเล็กน้อย ริมฝีปากปิดสนิทกับดวงตาที่ฉายแววเยือกเย็น เป็นลักษณะหน้าตาที่ยังคงเย็นชาอยู่แต่วันนี้กลับมีสีหน้าของความหวั่นวิตกจากไหนไม่รู้ทาบทับอยู่ด้วย 


 


 


“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” 


 


 


“ครับ อ๋อ ครับ ไม่เป็นไรครับ ก็…” 


 


 


ริมฝีปากอ้าออกหนึ่งครั้งแล้วก็ปิดลงเช่นเดิม ฮันโซยองเอียงหัวด้วยความสงสัย แต่จากนั้นจึงคาดเดาขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง ประสบความสำเร็จในการออกเดินทางไกล อีกทั้งยังได้รับผลตอบแทนอันมหาศาลเพราะฉะนั้นก็น่าจะต้องดีใจมากแน่ๆ ถึงอย่างนั้น การแสดงความกังวลออกมาให้เห็นก็น่าจะเกิดจากปัญหาภายในเผ่า ในบรรดาปัญหาต่างๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันที่จะเกิดความขัดแย้งในการจัดสรรปันส่วนอุปกรณ์ 


 


 


ฮันโซยองเองก็เป็นตัวแทนของเผ่า จึงรู้เป็นอย่างดีว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากแค่ไหน เธอคิดแบบนั้นแล้วจึงถอนหายใจเบาๆ พลางปลอบใจเขา 


 


 


“พยายามเข้านะคะ เพราะยิ่งเป็นเวลาแบบนั้น สถานะแคลนลอร์ดก็ยิ่งสำคัญค่ะ” 


 


 


“ครับ?” 


 


 


คิมซูฮยอนกะพริบตาปริบๆ พลางย้อนถาม 


 


 


ในตอนนั้น ฮันโซยองก็ตระหนักขึ้นมาได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าฉันคาดผิดไปหรือเปล่านะ เธอรีบยกแก้วชาขึ้นมาดื่มเข้าไปหนึ่งอึกแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที 


 


 


“ฉันได้ฟังการรายงานเกี่ยวกับเรื่องการออกเดินทางไกลในครั้งนี้ผ่านทางแท่นบูชาแล้วค่ะ เหนื่อยมามากเลยนะคะ ลอร์ดมอร์เซนต์นารี่” 


 


 


 


 


 


* * *

 

 

 


เล่ม 14 ตอนที่ 16

 

ไมเคิลเป็นหนึ่งในชาวเมืองของโมนิก้าที่ได้รับมอบอำนาจและสิทธิในการก่อตั้งเผ่า ยิ่งเวลาผ่านไป ช่วงนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง 


 


 


งานที่จะต้องจัดการ อย่างเช่น การก่อตั้งเผ่าและรับรองผลงาน ยิ่งถาโถมเข้ามาในทุกๆ วันอยู่แล้ว มิหนำซ้ำแม้แต่บริเวณรอบข้างก็ยังเสียงดังโหวกเหวกอีก เพราะอย่างนั้นมันจึงทำให้เขาอารมณ์ขุ่นเคือง เขารู้สาเหตุนั้นคร่าวๆ อยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ชื่นชอบการทำงานในบรรยากาศเงียบสงบ มันจึงเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลย 


 


 


“ไอ้พวกบ้า ขอให้ยอมรับนี่เป็นผลงานเนี่ยนะ จะต้องมีจิตสำนึกกันบ้างเซ่ จิตสำนึกน่ะ” 


 


 


ไมเคิลอ่านบันทึกพลางหายใจฟึดฟัด จากนั้นจึงเขวี้ยงเอกสารที่อ่านอยู่ทิ้งไปแล้วแค่นหัวเราะออกมา เขานวดคลึงสันจมูกด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ถาโถมเข้ามา และในตอนที่กำลังจะอ่านบันทึกเล่มต่อไป ใครบางคนก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้านใน 


 


 


“นี่! ไมเคิล!” 


 


 


“เฮ็นเหรอ มีเรื่องอะไรถึงได้รีบแบบนั้น” 


 


 


“ราชินีแห่งเงามืดกลับไปแล้วนะ! ราชินีแห่งเงามืดน่ะ!” 


 


 


“ราชินีแห่งเงามืด อ๋อ ผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสิบอันดับน่ะเหรอ” 


 


 


พอไมเคิลพึมพำราวกับไม่สนใจ เฮ็นจึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นกระดาษที่ถืออยู่ไปตรงหน้าทันที 


 


 


“ใช่ ดูนี่หน่อยสิ เอกสารยื่นขอเปลี่ยนแปลงสมาชิกเผ่าที่เธอวางทิ้งไว้” 


 


 


“ให้ตายเถอะ ผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสิบอันดับก็ต้องเป็นหนึ่งในสิบอันดับอยู่แล้วสิ ไม่ได้เจอแค่ครั้งสองครั้งสักหน่อย ไม่รู้ทำไมจะต้องตื่นเต้นมากเกินเหตุขนาดนั้น จิ๊ ไหนเอามาดูสิ” 


 


 


ไมเคิลรู้สึกไม่สบายใจก็จริง แต่ก็รับเอาบันทึกที่เฮ็นยื่นให้อย่างไม่พูดไม่จา เพราะเฮ็นมีนิสัยคล้ายคลึงกันกับตน แน่นอนว่าน่าจะต้องมีเหตุผลที่ตื่นเต้นถึงขนาดนี้ 


 


 


จากนั้นเขาก็ค่อยๆ อ่านพิจารณาดูตั้งแต่ด้านบนสุด ด้านบนของบันทึกถูกเขียนไว้ว่า ‘เอกสารขอเปลี่ยนแปลงสมาชิกเผ่า’ ตามที่เฮ็นพูด และข้างๆ นั้นก็มีตัวหนังสือเขียนไว้ด้วยลายมือกลมๆ ว่า ‘เผ่าเมอร์เซนต์นารี่’ ด้วย  


 


 


“เมอร์เซนต์นารี่เหรอ ทั้งหมดสิบคน…” 


 


 


“ข้ามไปก่อน ดูตรงกลางๆ ตรงประวัติส่วนตัวของสมาชิกเผ่าสิ สายตาของฉันคงเพี้ยนไป หรือไม่อำนาจและสิทธิที่ได้รับมอบมาคงเกิดข้อผิดพลาดไปแล้ว ก็เลยคาดไม่ถึงเลยนะ” 


 


 


“อืม” 


 


 


ไมเคิลรีบลดสายตาลงไปตรงส่วนกลางอย่างรวดเร็ว ตรงนั้นมีชื่อกับคลาสของพวกสมาชิกเผ่าถูกเขียนไว้อย่างเรียบร้อย 


 


 


 


 


 


คิมซูฮยอน : Secret, ผู้ชำนาญดาบ(Sword Specialist) 


 


 


อันฮยอน : Rare, มือหอกจี้กง(Energy Spearman) 


 


 


อันซล : Normal, นักบวชทั่วไป(Normal Priest) 


 


 


อียูจอง : Rare, นักสู้ยามรุ่งสาง(Gladiator of the Dawn) 


 


 


วิเวียน ลา คลาดัส : Rare, นักเล่นแร่แปรธาตุคิเมร่า(Chimera Alchemist) 


 


 


จองฮายอน : Secret, จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน(Magician of the Blue Moon) 


 


 


ชินซังยง : Rare, นักเล่นแร่แปรธาตุคิเมร่า(Chimera Alchemist) 


 


 


โกยอนจู : Secret, ราชินีแห่งเงามืด(Queen Of Silhouette) 


 


 


คิมฮันบยอล : Secret, จอมขมังเวทอัญมณี(Jewel Mage) 


 


 


แพคฮันกยอล : Secret, เกราะกำบังแห่งเทพเจ้า(Aegis) 


 


 


 


 


 


ในระหว่างที่กำลังอ่านบันทึกอย่างใจจดจ่อสุดขีดด้วยแววตาเหมือนถามว่ามีอะไรพิเศษหรือไง ก็คงจะเจอส่วนแปลกๆ เข้า คิ้วของไมเคิลจึงขมวดเข้าหากันเป็นปม 


 


 


“เอ๊ะ บ้าเอ๊ย นี่มันอะไรเนี่ย” 


 


 


“เป็นไง” 


 


 


“ทั้งหมดมีสิบคน แต่ซีเคร็ตคลาสปาเข้าไปห้าคนแล้ว แรร์คลาสอีกสี่เนี่ยนะ” 


 


 


“คลาสทั่วไปน่าจะคนหนึ่งสินะ ใช่ไหม” 


 


 


“อะไรกันนี่ จริงๆ น่ะเหรอ” 


 


 


ไมเคิลเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง แต่เฮ็นกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพลางพึมพำว่า “ค่อยโล่งอกหน่อย อำนาจและสิทธิไม่ได้หายไปไหน” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


‘ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรตามอำเภอใจแล้วเป็นห่วงไปเองอีกแล้วสินะ’ 


 


 


ฮันโซยองอาจจะกลัวว่าจะถามเพิ่มเติมมากกว่านี้จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความเร่งรีบ พอเห็นท่าทางเธอนั่งพลางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ผมก็ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ ตอนที่เกิดสถานการณ์เร่งด่วน เธอมักจะแสดงให้เห็นภาพลักษณ์เย็นชา แต่ในเวลาปกติก็แสดงให้เห็นท่าทีแบบนี้เป็นครั้งคราวด้วย มองอย่างไรก็เป็นภาพลักษณ์น่ารักน่าเอ็นดูอย่างไม่สมกับเป็นฮันโซยองเลย 


 


 


อย่างไรก็ตาม ถ้าอ้าปากขึ้นตอนนี้ก็เป็นไปได้สูงมากที่จะระเบิดหัวเราะออกมา เพราะอย่างนั้นผมจึงต้องปิดปากให้สนิทอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากใช่ย่อย จากนั้น ในตอนที่ลำคอขาวผ่องของฮันโซยองเจือสีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ผมจึงอดกลั้นเสียงหัวเราะที่ขึ้นมาจนถึงช่องคอแล้วอย่างยากลำบาก 


 


 


ผมกำลังจะค่อยๆ เปิดปากพูดขึ้น แต่สถานการณ์นี้มันคงน่าอับอาย ฮันโซยองจึงปริปากพูดขึ้นมาก่อน 


 


 


“ฉันเป็นห่วงมากๆ เลยค่ะจนกระทั่งคุณกลับมา รู้สึกเหมือนกลับเมืองมาช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เลย…” 


 


 


“ผมค้นพบร่องรอยได้อย่างรวดเร็วครับ แต่ที่ใช้เวลามากเกินไปตอนที่กลับเข้าเมืองอีกครั้งก็เพราะผมตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วเช่นเดิมครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นกังวลครับ” 


 


 


“ไม่จำเป็นจะต้องขอโทษเลยค่ะ เพราะสรุปสุดท้ายหลังได้ลองอ่านรายงานการเดินทางไกล การตัดสินของลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ก็ถูกต้องแล้ว ในฐานะตัวแทนของโมนิก้า ฉันต้องขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งค่ะ” 


 


 


“ผมเพียงแค่ทำงานที่จะต้องทำเท่านั้นครับ ชมกันมากเกินไปก็จะหนักใจเอานะครับ” 


 


 


คำชมกับคำพูดถ่อมตัวถูกใช้โต้ตอบกันไปมา ยิ่งพูดคุยกันแบบนั้น บรรยากาศที่เคยเกร็งๆ ในตอนแรกก็เปลี่ยนไปเป็นบรรยากาศอบอุ่นทีละนิด 


 


 


พอได้พูดคุยกับฮันโซยองแบบนี้ จู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ในรอบแรก ผมเป็นเพียงแค่สมาชิกเผ่า ส่วนเธอเป็นแคลนลอร์ด ตำแหน่งที่ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหรือชื่อเสียง ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถมองได้ว่าเท่าเทียมกันแล้ว แต่อย่างน้อยก็อยู่ในสถานะที่เป็นตัวแทนของเผ่าเผ่าหนึ่งเหมือนกัน 


 


 


ในระหว่างที่ผมกำลังพูดคุยกับฮันโซยองอย่างนุ่มนวลต่อไป ผมก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง พัคดายอนกำลังทำสีหน้าเหมือนอยากจะแทรกเข้ามาในบทสนทนาใจจะขาด ส่วนยอนฮเยริมก็กำลังส่งสายตาไม่พอใจ คงเป็นเพราะเข้ามาตอนแรกแล้วทักทายทุกคนก็จริง แต่หลังจากนั้น ผมก็แทบจะเอาแต่คุยกับฮันโซยองเพียงคนเดียวตลอดเลย 


 


 


“เหนื่อยมามากเลยนะคะ องค์กรตรวจสอบได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาแล้ว และมีกำหนดการว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้ค่ะ เรื่องหัวหน้าองค์กรตรวจสอบ ยอนฮเยริม เจ้าหญิงแห่งการสำเร็จโทษที่อยู่ตรงนี้ตัดสินใจว่าจะรับผิดชอบค่ะ” 


 


 


“ฮึ” 


 


 


“ยอนฮเยริม” 


 


 


“นะ เหนื่อยมามากเลยนะคะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเองค่ะ” 


 


 


พอฮันโซยองขมวดคิ้ว ยอนฮเยริมจึงเปลี่ยนท่าทีทันที ผมหัวเราะเบาๆ เป็นสัญญาณบอกว่าไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะจัดส่งองค์กรตรวจสอบไปทันที แสดงว่างานนี้เธอจัดการอย่างเร่งด่วนมากแน่ๆ 


 


 


“ถ้างั้นทีนี้ก็น่าจะต้องจัดการปัญหาเรื่องค่าตอบแทนให้จบสินะคะ” 


 


 


“ทำตามที่ตกลงกันไว้ก่อนออกเดินทางไปก็ได้ครับ ได้ส่วนลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ผมก็พอใจแล้วครับ” 


 


 


“ทำแบบนั้นไม่ได้สิคะ แล้วก็ตอนแรกฉันบอกไปแล้วนี่คะว่าจะให้ค่าตอบแทนตามผลสำเร็จของงาน” 


 


 


“ใช่ครับ ถ้างั้นก็เชิญเลยครับ” 


 


 


เห็นได้ว่ามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ในน้ำเสียงของฮันโซยองว่าไม่สามารถมอบค่าตอบแทนให้เท่านี้ได้ พัคดายอนถึงกับโพล่งขึ้นมาอย่างรุนแรงเพื่อพูดสนับสนุน เธออ้าปากกว้างราวกับคิดขึ้นมาว่าได้โอกาสแล้วและตั้งใจจะพูดแทรกขึ้น 


 


 


“ในส่วนนั้นฉัน…” 


 


 


“อย่างแรกเลย แคลนเฮาส์ที่ปรับปรุงใหม่ ฉันจะมอบให้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายค่ะ” 


 


 


แต่คำพูดของฮันโซยองเร็วกว่าหนึ่งจังหวะ พัคดายอนมองผมกับเธอสลับกันโดยยังอ้าปากค้าง จากนั้นเธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วแกล้งหาว ผมได้ยินเสียงยอนฮเยริมหัวเราะเบาๆ ดังคิกๆ จากด้านข้าง 


 


 


“ดะ เดี๋ยวก่อนนะครับ มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอครับ” 


 


 


“ไม่มากเกินไปเลยค่ะ ต่อให้บอกว่าช่วยเหลือผู้เล่นเพียงแค่คนเดียวออกมา ก็มีคุณค่าแบบประเมินไม่ได้และไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งไหนๆ ได้เลยค่ะ แต่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กลับช่วยชีวิตมาได้ถึงเจ็ดคน อีกทั้งยังบุกเข้าไปในหุบเขามายาซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นปัญหาอย่างมากได้อีก ฉันกลับรู้สึกว่าแค่แคลนเฮาส์มันยังจะไม่พอเสียอีกค่ะ ไหนดูสิ ดายอน” 


 


 


คราวนี้คงตั้งใจจะให้โอกาส ฮันโซยองจึงเรียกพัคดายอนด้วยเสียงเบาๆ พัคดายอนกำลังทำแก้มพองพร้อมกับทำปากยื่นอยู่ แต่แล้วพอผมจ้องมอง เธอก็เปลี่ยนสีหน้าไปในพริบตาเดียว จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาว่าถ้าจับอันซลกับพัคดายอนไปไว้ด้วยกัน มันจะต้องสนุกสนานมากๆ แน่ อ๊ะ เกือบจะหัวเราะออกมาอีกแล้ว 


 


 


‘เวรกรรม นี่มันยากกว่าการต่อสู้อีกนะ ประมาทไม่ได้เสียแล้ว’ 


 


 


“อีสตันเทลลอว์ พัคดายอนค่ะ” 


 


 


“ผมจำได้ว่าเคยพบกันครั้งหนึ่งเมื่อตอนนู้นนะครับ ยินดีที่ได้พบกันครับ” 


 


 


“ค่ะ ก็ต้องเคยพบกันแน่นอนสิคะ ยินดีที่ได้พบเช่นกันค่ะ” 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือน้ำเสียงก็ล้วแต่สง่างามอย่างมาก ผมได้ยินเสียงที่เหมือนกับกลั้นไม่ให้หลุดระเบิดหัวเราะออกมาดังฮุบของยอนฮเยริม โอ๊ย ได้โปรดอย่าหัวเราะออกมาเลย เพราะผมเองก็กำลังกลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากอยู่แล้ว ขอร้อง 


 


 


ผมทำใจให้สงบอย่างต่อเนื่อง พอพัคดายอนปรายตามองอย่างไม่พอใจ ยอนฮเยริมจึงก้มหน้าลงแล้วเอามือปิดปากเอาไว้ จากนั้นจึงเบนสายตามาทางผมอีกครั้ง 


 


 


“คือว่าการออกเดินทางไกลครั้งนี้น่ะค่ะ คุณไม่ได้มีอุปกรณ์ของพวกผู้เล่นที่เสียชีวิตไปอยู่เหรอคะ” 


 


 


“ครับ มีอยู่ครับ” 


 


 


นั่นก็อาจจะเป็นรายได้เสริมที่มีมูลค่า แต่ไม่สามารถนับเป็นรายได้หลักได้ แม้จะบอกว่าเป็นอุปกรณ์ที่พวกเราเก็บรวบรวมไว้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นอุปกรณ์จำพวกใช้เสริมเท่านั้น คงเพราะอุปกรณ์หลักใช้จัดการการต่อสู้กับพวกเร่ร่อน ส่วนใหญ่จึงอยู่ในสภาพเสียหายอย่างรุนแรง นั่นหมายความว่ายากที่จะได้รับในราคาที่เหมาะสม และอุปกรณ์เสริมก็แทบจะไม่มีอันไหนที่สมบูรณ์ดีเลยด้วย 


 


 


อย่างไรก็ตาม ผลสรุปจากการลองคำนวณดูตามแบบฉบับของผม หากขายทั้งหมดไปแล้วได้รับมา แปดพันโกลด์ก็มองได้ว่าขายได้ราคาดีมากๆ แล้ว สภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีถึงขนาดนั้น 


 


 


“มีคำร้องขอให้ช่วยเรียกเก็บคืนจากเผ่าที่ขึ้นกับเราค่ะ สามเผ่า โดยเฉพาะชายฝั่งน้ำตื้น สถานการณ์ของเผ่านั้นขัดสนขึ้นมากๆ จึงบอกว่ายากที่จะบอกให้ทราบโดยตรงน่ะค่ะ” 


 


 


“ผมเข้าใจครับ ผมไม่คิดจะรับมามากขนาดนั้น และมีความตั้งใจว่าจะมอบคืนให้อย่างเหมาะสมด้วยครับ” 


 


 


“เป็นคำพูดที่น่าซาบซึ้งใจจริงๆ ค่ะ เดิมทีกำหนดเอาไว้ว่าจะซื้ออุปกรณ์โดยรวมเงินสี่พันโกลด์จากแต่ละเผ่าและสี่พันโกลด์จากอีสตันเทลลอว์เข้าด้วยกัน แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามค่ะ เรื่องแรกคืออีกไม่นานการก่อสร้างปรับปรุงใหม่ก็จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องตกแต่งภายในแล้วใช่ไหมคะ” 


 


 


“ถูกต้องครับ” 


 


 


“ไม่ทราบว่าในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มีผู้เล่นที่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมอยู่หรือเปล่าคะ” 


 


 


ผู้เล่นที่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมเหรอ ผมนึกถึงชินซังยงขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็ลบความคิดนั้นทิ้งไป ในความเป็นจริง เขาเป็นนักวิจัย ไม่ได้เป็นสถาปนิก พอผมคิดอย่างละเอียดแล้วส่ายหน้าไปมา พัคดายอนจึงทำตาเป็นประกาย ผมรู้สึกได้ว่าตรงพื้นมีเท้าของใครบางคนกำลังกระทืบพื้นตึงตัง 


 


 


 “ถ้างั้นแบบนี้เป็นยังไงคะ ในอีสตันเทลลอว์มีคนที่เคยออกแบบภายในอาคารกับวางแปลนตึกบนโลกอย่างเชี่ยวชาญอยู่น่ะค่ะ แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ในตอนนี้ก็ใช้การวางแปลนของเขาอยู่มากเลยค่ะ” 


 


 


“อืม ผมทราบแล้วครับว่าพูดถึงเรื่องอะไร” 


 


 


พอพยักหน้าครั้งสองครั้ง พัคดายอนจึงยกยิ้มขึ้นมา  


 


 


“ให้ความช่วยเหลือในห้องที่มีเป้าหมายการใช้เป็นพิเศษ อย่างเช่น พวกห้องทดลองใช้พลังเวทหรือแปรธาตุคงจะยาก แต่ว่า! พวกห้องรับรอง ห้องอาหาร ห้องพัก เฟอร์นิเจอร์ทั่วไปกับการออกแบบภายในห้อง ทางเราสามารถให้ความช่วยเหลือได้ค่ะ เรื่องการได้รับการเรียกร้องจากเผ่าอื่นๆ ก็จะมีอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคุณจะไม่ผิดหวังอย่างเด็ดขาดค่ะ ถ้าหากยอมรับข้อเสนอนี้ ทางฝั่งเราจะให้สี่พันโกลด์ก่อนเลยค่ะ แทนที่จะเอาอุปกรณ์นั้นไป แต่เอาสี่พันโกลด์ไปเพิ่มในส่วนของค่าใช้จ่ายตกแต่งภายในแทน เอาแบบนี้ดีไหมคะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม