Memorize เล่มที่ 14 ตอนที่ 1-10

 ตอนที่ 1

ผมนึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อยที่ฆ่ามาร์โวลโล เดอ ไอล์ไลท์ทิ้งไปง่ายๆ แบบนั้น มีทั้งบันทึกยังไม่พอ ยังถึงกับเก็บภาพเคลื่อนไหวไว้อีก นี่ถึงกับมองได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเบลเฟกอร์เสียอีก


ผมรู้สึกขนลุกขนพองกับการยึดมั่นที่แฝงความวิกลจริตนั้น จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปตรงที่ที่มีลูกแก้วคริสตัลทันที ในระหว่างนั้น ลูกแก้วคริสตัลซึ่งอันฮยอนเปิดเอาไว้จนทั่วก็ยังคงฉายภาพซ้ำอย่างต่อเนื่อง


‘กราเซีย! มาช่วยสินะคะ! ขอบคุณจริง… กราเซีย มาร์…โวล…โล’


‘รอยดดดดดด์!’


‘แหะ แหะ…’


“พี่ หรือว่านี่คือเจ้าหญิงแห่งเอลฟ์ที่พี่เล่าให้ฟังครับ”


“อันฮยอน ถอยไปข้างหลัง”


“ครับ อะไรนะครับ”


“บอกว่าให้ถอยไปข้างหลังฉัน เดี๋ยวจะเจ็บตัว”


ผมโพล่งออกมานิ่งๆ แล้วยืนอยู่ตรงกลางของผนัง ผมงอเข่าด้านขวาจนแตะกับหน้าอกแล้วปลุกพลังเวทขึ้นมาอย่างเต็มที่ จากนั้นก็เตะขาไปกลางอากาศอย่างรุนแรง


ปัง!


ผมเตะขาไปด้านหน้าอย่างรุนแรง ทันใดนั้น กลางอากาศซึ่งไม่มีอะไรเลยก็เขย่าอย่างแรงครั้งหนึ่งแล้วคลื่นจากการกระแทกอันรุนแรงก็ครอบคลุมทั่วทั้งผนัง


โครม! เพล้ง!


และแล้วชั้นหนังสือที่ติดอยู่กับผนังก็แยกออกเป็นชิ้นๆ ส่วนลูกแก้วคริสตัลซึ่งเคยวางอยู่ก็แตกไม่มีชิ้นดีจนหมดเกลี้ยงเพราะคลื่นจากการกระแทก ชิ้นส่วนที่กระเด็นออกมาเพราะแรงกระแทกกระจายไปในอากาศแล้วไม่นานก็เริ่มร่วงกราวลงพื้น


เพล้ง


ในตอนที่ชิ้นส่วนที่กระเด็นกระดอนร่วงหล่นลงบนพื้น ผมจึงส่งหนังสือทั้งหมดที่ถืออยู่ให้อันฮยอน


“อันฮยอน เอานี่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในกระเป๋า”


“อ๊ะ ครับ พี่ แต่ว่า…”


“…”


“ผู้หญิงที่โผล่มาในลูกแก้วคริสตัลเมื่อกี้น่ะครับ เธอคือราชินีแห่งเอลฟ์จริงๆ เหรอครับ”


ผมมองอันฮยอนที่ยัดหนังสือใส่ในกระเป๋าอย่างลุกลี้ลุกลน และในตอนที่พยักหน้าให้เบาๆ นั้นเอง


ตึงๆๆๆ!


จู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณที่มีใครบางคนกำลังวิ่งมาตามทางเดินอย่างรีบร้อนจากด้านนอก


พอจ้องมองไปทางประตูห้องนิ่งๆ ผมจึงได้เห็นอียูจองที่ชูคาทานะขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งราวกับจะฟาดใครให้ตาย ใบหน้าของเธอดูรีบร้อนเป็นอย่างมาก แต่พอเห็นผมกับอันฮยอนยืนงงกันอยู่ เธอจึงทำสีหน้างุนงงออกมา


“ยูจอง เป็นอะไรหรือเปล่า”


“พะ พี่ ไม่เป็นไรใช่ไหม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรระเบิดน่ะสิ”


“อ๋อ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ไม่มีอะไรผิดปกติเลย”


“อย่างนั้นสินะ…”


อียูจองมองเศษชิ้นส่วนคริสตัลที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นแล้วทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา จากนั้นไม่นานเธอก็เงยหน้าพรวดขึ้นมาด้วยใบหน้านึกอะไรบางอย่างออก


“อ้อ พี่ สำรวจชั้นสี่เสร็จหรือยัง”


“เกือบแล้ว เธอล่ะ”


“ฉันกับพี่ิยอนจูเสร็จแล้ว แล้วก็พี่ยอนจูบอกให้รีบพาพี่ลงไป”


“งั้นเหรอ บอกว่าเจออะไรหรือเปล่า”


“อื้อ ฉันเจออย่างหนึ่ง พี่ยอนจูเจออย่างหนึ่ง แต่ไปที่ชั้นสองก่อนก็น่าจะดีเหมือนกัน”


น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจของอียูจองทำให้ผมตัดสินใจที่จะจบการสำรวจชั้นสี่ลงตรงนี้ ผมคิดว่ามีอัตราความเป็นไปได้สูงที่สิ่งที่ผมจำได้จะอยู่ชั้นสี่ แต่บางทีดูเหมือนมันคงอยู่ชั้นอื่น


ผมพยักหน้าเงียบๆ ให้สายตาเร่งเร้าของอียูจอง จากนั้นผมกับอันฮยอนก็ตามเธอออกมานอกห้อง


พอรีบลงบันไดไปถึงชั้นสอง ผมจึงได้เห็นโกยอนจูกำลังยืนกอดอกรอผมอยู่หน้าห้อง เธอคงรู้สึกได้ถึงสัญญาณที่พวกเรากำลังลงมา เธอจึงหันหน้ามาแล้วเอามือข้างหนึ่งออกมาโบก


“มาแล้วสินะคะ ได้อะไรมาจากชั้นสี่บ้างหรือเปล่าคะ”


“ไม่ได้ถึงกับไม่มีเลย แต่เป็นพวกของที่จะต้องคอยดูสักหน่อยก่อนครับ โกยอนจูล่ะครับ ชั้นสองมีอะไรเหรอ”


“โฮะๆ ใจร้อนจริงๆ เลยนะคะ มันอยู่ในห้องนี้ เพราะฉะนั้นมาดูด้วยตัวเองเลยดีกว่าค่ะ บางทีอาจจะตกใจก็ได้”


คงสัมผัสถึงความรีบร้อนได้จากการเดินหรือไม่ก็วิธีการพูดของผม โกยอนจูจึงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับตอบ ผมเดินเข้าไปตรงหน้าเธอแล้วจึงมองเข้าไปข้างในห้องนั้นทันที


ภายในห้องสะอาดสะอ้าน พื้นด้านในกับด้านนอกโดยเอาขอบประตูเป็นเกณฑ์มีสีแตกต่างกันราวกับตั้งใจทำความสะอาดอย่างประณีตแค่ที่นี่ที่เดียว


แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมอยู่ในสภาวะเรียกใช้ดวงตาที่สามแล้ว ผมเบนสายตาขึ้นด้านบนและในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณที่ว่าเด็กๆ ทางด้านหลังกำลังยื่นหัวเข้ามาอยู่ ตอนนั้นเอง


[คาลิโก อาบรักซัส (Caligo Abraxas)]


[พาราดิซุส เพลท เมล (Paradisus Plate Mail)]


[ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์ (Orthros Long Boots)]


[แสงแปลบปลาบส่องประกาย : ลอร่า ฟีลิส (Laura Phylis)]


[เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล]


[รีซา บู๊ทส์ (Rhiza Boots)]


[ที่คาดผมอันบริสุทธิ์ (Headband of Innocence)]


[ปีกของราชินีแห่งเอลฟ์ที่ถูกฉีกออก (12คู่)]


[จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน (Book, Magician of Blue Moon, Secret Class)]


[นักสู้ยามรุ่งสาง (Sword, Gladiator of the Dawn, Rare Class)]


[รัตติกร (蟾魄)]


[ไทร์ฟิงค์ (Tyrfingr)]


ทันทีที่กวาดสายตาดูภายในห้อง ข้อความแสดงข้อมูลทั้งหมดก็เริ่มอัดแน่นอยู่เต็มกลางอากาศ พอมองดูข้อความพวกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะรู้สึกงุนงง เสียงอันแผ่วเบาของโกยอนจูก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง


“แปลกใจใช่ไหมคะ มองยังไงก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ไม่ว่ายังไง…”


“นี่…”


“ยินดีด้วยค่ะ ซูฮยอน คุณชวนให้เข้าไปด้านในแบบนั้น การออกสำรวจครั้งนี้ก็เลยได้รับกำไรมหาศาลอีกแล้วนะคะ”


ในตอนที่ได้ฟังคำพูดของโกยอนจู ผมจึงคิดขึ้นมาว่าค้นพบอย่างหนึ่งแล้ว


คำพูดของโกยอนจูทำให้เด็กๆ ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประทับใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ของบางอย่างในบรรดาอุปกรณ์ที่ติดไว้ตรงผนังถึงขนาดส่องประกายด้วยตัวของมันเองเป็นพิเศษ ทั้งสามคนนอกจากผมมองดูลักษณะอันสวยงาม แล้วจึงจ้องมองไปยังทรัพย์สมบัติของเหล่าวีรชนด้วยใบหน้าเหมือนกับวิญญาณหลุดหายไป


แต่พอเจอเข้าจริงๆ ภายในใจของผมกลับสงบกว่าที่คิด เพราะเหตุผลที่มายังมาเจียก็เพื่อเอาสิ่งของพวกนี้ไปตั้งแต่แรก กลับกลายเป็นว่าตอนเก็บผลงานอันโดดเด่นเกินความคาดหมายที่มิวล์ซึ่งไปโดยเล็งเอาไว้แค่อย่างเดียวคือ ‘มือหอกจี้กง’ ยังรู้สึกตกใจมากกว่า


อย่างไรก็ตาม ถ้ามองโดยไม่ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวก็เป็นขุมทรัพย์มหาศาลจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงแม้จะมีทั้งอย่างโน้นทั้งอย่างนี้ อย่างไรก็อยู่ในหมวดหมู่ที่คาดการณ์ไว้ ถึงจะอารมณ์ดีแต่ก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกประทับใจอะไรมากมายจนถึงขั้นสติหลุด เพราะอย่างนั้น ผมจึงมองดูสมาชิกเผ่าที่ยังคงยืนอย่างเหม่อลอยแล้วตบมือเข้าหากันเบาๆ


แปะๆ


“จะยืนเหม่ออยู่จนถึงเมื่อไรครับ”


“ตายจริง ตั้งสติหน่อยสิฉัน”


พอปรบมือพร้อมกับพูดเตือน โกยอนจูจึงใช้หลังมือถูริมฝีปากพลางพึมพำ ตอนนั้นเด็กๆ ถึงได้ตั้งสติแล้วทำสีหน้าเคอะเขิน ผลตอบแทนในตอนสุดท้ายของการสำรวจทำให้ผู้เล่นอารมณ์ดีเสมอมา ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศที่เคยดิ่งลงอย่างประหลาดแม้จะถึงแค่เมื่อครู่นี้ กลับเริ่มผ่อนคลายลงถึงจะแค่นิดเดียวก็ตาม


ในตอนนั้น


“ท่านพี่!”


จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงอันซลร้องตะโกนดังลั่นจากชั้นหนึ่ง พอเปิดประสาทการรับเสียงให้ดีขึ้นและตั้งใจฟังอยู่นิ่งๆ  ผมจึงรับรู้ถึงสัญญาณที่ว่าเธอกำลังสูดหายใจเฮือกใหญ่ดังฮึบอยู่


“ผู้เล่นคนอื่นๆ ตื่นแล้วค่าา!”


“อันฮยอน อียูจอง”


“ครับ พี่”


“อื้อ พี่”


 ทั้งสองคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็มองหน้ากันพร้อมกันและทำหน้ายู่พร้อมกันอีก ใบหน้าของทั้งคู่กำลังเผยให้เห็นสีหน้าที่ถามว่าทำตามทำไมอย่างชัดเจน


“พวกเธอมัวแต่มองอะไรอยู่ล่ะเนี่ย ยังไงก็เถอะ ยูจอง เธอ เมื่อกี้บอกว่าเจออีกที่หนึ่งที่ชั้นสามด้วยใช่ไหม”


“อื้อ เหมือนห้องวิจัยเลย ถึงแม้ว่าเข้าไปแป๊บเดียวก็ออกมาเลยไม่ทันได้ดูแบบละเอียดก็เถอะ…”


“ถ้างั้นเธอสองคนขึ้นไปก่อนเลย ฉันกับโกยอนจูจะจัดการที่นี่แล้วค่อยตามขึ้นไป”


“เข้าใจแล้วพี่”


“เอากระเป๋ามาหนึ่งใบ แล้วระหว่างไปก็บอกอันซลให้ด้วยว่าจะลงไปภายในยี่สิบนาที”


อันฮยอนส่งกระเป๋าให้ผมด้วยใบหน้าเสียดายเล็กน้อย ดูเหมือนจะยังเหลือเยื่อใยกับการที่ไม่ได้เอาของพวกนี้ไปด้วยตัวเอง แต่จากนั้นทั้งสองก็พยักหน้าด้วยใบหน้าตื่นเต้นพลางหมุนตัวไป บางทีคงจะมีความคาดหวังขึ้นมาอีกกับการไปดูผลสำเร็จอันใหม่


ผมมองทั้งสองคนที่ออกจากประตูไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วแล้วเบนสายตาไปทางโกยอนจู ผมคิดจะรีบจัดการตรงนี้แล้วออกไป แต่ในตอนที่มองดูใบหน้าของเธอ ริมฝีปากที่กำลังจะอ้าออกจึงหุบกลับเข้าไปเหมือนเดิมอีกครั้ง


โกยอนจูกำลังปรายตามองผมสวยๆ ด้วยสีหน้าเหมือนกำลังรออยู่พอดี


“ทำไมมองแบบนั้นล่ะครับ”


“เฮ้อ ซูฮยอนก็จริงๆ เลย~ ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะคะ จริงๆ เลยเชียว ก็ปกติดูเฉยชาแต่แล้วก็ต้องน่ารักขึ้นมาในเวลาแบบนี้ทุกทีนี่คะ”


“…”


“อย่าทำเป็นไม่รู้ไปเลยค่ะ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าเป็นเพราะอยากอยู่กับฉันสองต่อสองน่ะ โฮะๆ”


โกยอนจูยิ้มสวยจนตาค่อยๆ หยีตาม ไร้สาระจริงๆ เพราะอย่างนั้นผมจึงส่ายหน้าให้กับท่าทางของเธอ พร้อมกับตอบกลับด้วยการถอนหายใจ จากนั้นจึงเดินไปทางผนังเงียบๆ คำตอบที่ถูกต้องสำหรับเวลาแบบนี้ก็คือการเมินเธอไปนี่แหละ


“เขินเหรอคะ”


สิ่งที่ผมเก็บมาอย่างแรกคือเสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล ดูจากที่มีชื่ออิกดราซิลติดอยู่ มันจะต้องเป็นเสื้อที่ราชินีแห่งเอลฟ์สวมไปไหนมาไหนตอนยังสาวแน่ๆ แน่นอนว่าความเย็นสบายของผ้ากับกลิ่นหอมสดชื่นที่ฟุ้งออกมาจากเสื้อทั้งตัวมันติดตรึงใจจริงๆ แต่มีปัญหาอยู่อย่าง


“ปะ ปฏิกิริยาตอบสนองแบบนั้นมันคืออะไรกันคะ ซูฮยอน!”


“หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วเก็บอุปกรณ์ไปได้แล้วครับ”


น้ำเสียงของโกยอนจูเจือท่าทีฉุนเฉียวอย่างเต็มที่ ผมตอบกลับนิ่งๆ จากนั้นจึงชูเสื้อไว้ตรงหน้าตัวเองดู


‘ถ้าใส่ไปจะต้องเย็นสบายแน่ๆ’


โดยรวมแล้ว เสื้อมีรูปทรงเป็นชุดวันพีช แต่ปัญหาที่จะว่าเป็นปัญหาก็ไม่เชิงคือ ดูจากที่ถักทอขึ้นด้วยใบไม้อย่างเดียวแบบไม่มีสิ่งอื่นเจือปนเลยก็เลยมีรูมากมายให้เห็นอยู่ทั่ว ส่วนเหนือหน้าอกกับกระดูกไหปลาร้าเปิดโล่ง ส่วนด้านล่างก็อำพรางตรงที่เป็นชุดชั้นในไว้อย่างหวุดหวิด ด้านล่างให้ความรู้สึกเหมือนมองดูกางเกงขาสั้นที่สั้นมากๆ


“ฮึกๆ คุณเปลี่ยนไป คุณเคยบอกว่าอยากได้จนฆ่าได้ แล้วพอจับฉันไว้ได้ คุณก็ทำตัวเย็นชาใส่”


ว่ากันว่าอาวุธหลักของราชินีแห่งเอลฟ์คือธนู ถ้างั้นก็น่าจะมีความชำนาญในฐานะนักธนูด้วย ในตอนที่ผมคิดถึงตรงส่วนนั้น จู่ๆ ก็คิดไปถึงอิมฮันนา


มองอย่างไรเธอก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับราชินีแห่งเอลฟ์พอสมควร ใบหน้าที่ถึงแม้จะสวยสดใสแต่ก็น่าสงสาร ผิวเนียนขาว ดวงตาที่เหมือนกับแสงของดวงดาว อุปนิสัยอันอ่อนโยนนุ่มนวล แล้วก็สิ่งที่อาจจะใหญ่กว่าโกยอนจูก็คือ… อ้า อืม


ผมตั้งใจจะไม่คิด แต่ภาพของอิมฮันนาที่สวมเสื้อตัวนี้กลับโผล่เข้ามาในหัวไม่หยุด ในที่สุดผมก็เอาเสื้อลงพร้อมกับสะบัดหัวอย่างแรง และในตอนที่กำลังจะสลัดความคิดหยาบคายนั้นทิ้งไป เสียงอันเศร้าโศกเสียใจที่โกยอนจูเปล่งออกมาตรงด้านหลังก็เสียดแทงเข้ามาในหู


“ฮือๆ ทั้งที่ฉันไม่ได้แนะนำฮันนาให้แท้ๆ”


“…”


ในใจผมอยากจะท้วงขึ้นมาว่าทำไมถึงพูดถึงมาดามอิมออกมา แต่ในตอนที่ได้ฟังคำพูดนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าพลังอันน่ากลัวกำลังไล้ผ่านกระดูกสันหลังขึ้นมาอย่างเย็นยะเยือก


ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่แล้วหันหลังไปจึงได้เห็นโกยอนจูกำลังถือของเต็มอ้อมแขนราวกับเตรียมเอามาแล้ว เธอคงแกล้งส่งเสียงร้องไห้ออกมาเฉยๆ มุมปากของเธอจึงกำลังยกขึ้นเล็กน้อย โดนซะแล้ว


“ราชินีแห่งเงามืดผู้ไม่มีใครในโลกมาเทียบได้ ทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเดียวดายแบบนี้กันนะ ซูฮยอน จะให้ฉันรออยู่อย่างนี้จริงๆ เหรอคะ ไม่ใช่ใช่ไหมคะ”


“ซล! รออีกเดี๋ยวนะ! เดี๋ยวจะไปแล้ว!”


“หืม ฮ่าๆ ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ ถ้างั้นฉันจะเชื่อในคำพูดของซูฮยอนแล้วจะรอนะคะ”


ผมได้ยินเสียงอันฮยอนตะโกนไปทางชั้นหนึ่งได้ถูกเวลาพอดี แล้วทำไมเจ้าเด็กคนนี้จะต้องตะโกนตอนนี้ด้วยนะ


“หึๆ ต้องไปอวดคุณฮายอนแล้วสิ~”


ตอนที่ 2

เดี๋ยวก่อน  ก่อนหน้านี้คิดอย่างไรกันแน่ถึงได้เอาคำพูดของอันฮยอนมาแทนการตอบกลับของผมได้ ผมรู้สึกอยากจัดการกับเธออย่างแรงกล้า แต่อยู่ที่นี่จะต้องอดทนก่อน อย่าหันไปมองตอนเธอพูดเรื่องของอิมฮันนาออกมา และจะต้องรับมืออย่างแน่วแน่ด้วย เธอเป็นคนความรู้สึกไวกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าจะหาเรื่องแบบไหนมาเล่นอีก


จะต้องทำอย่างไรถึงจะพลิกสถานการณ์การต่อสู้นี้ได้นะ ในที่สุดก็มีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น ผมเช็คดูผ่านการรับรู้ว่ามีใครอยู่ด้านนอกหรือเปล่า จากนั้นจึงเปิดกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปใกล้โกยอนจูอย่างเยือกเย็น เธอยิ้มเผล่จนตาหยีแล้วก้มตัวลงเล็กน้อย คงตั้งใจจะวางของที่ถืออยู่ลง และตอนนั้นเอง


“หืม ซู…”


ผมรีบคำนวณมุมอย่างรวดเร็วแล้วยื่นหน้าเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายเป็นริมฝีปากที่ยังคงอมยิ้มอยู่ ใบหน้าของโกยอนจูซึ่งค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เต็มไปด้วยความงงงวย และแล้ว


“อุ๊บ!”


จุ๊บ


จากนั้น อะไรบางอย่างอุ่นๆ และนุ่มนิ่มก็ค่อยๆ ซ้อนทับกับริมฝีปากของผม


“อ๊ะ พี่! มาแล้วเหรอ”


“อืม เอาของที่เคยอยู่ชั้นสองมาหมดแล้ว ที่นี่เป็นไงบ้าง”


“เฮ้อ อย่าพูดเลย พี่มาได้เวลาพอดี มีอัญมณีกับทองนิดหน่อยก็เลยหยิบพวกนั้นมาเก็บก่อน แต่กระเป๋าเต็มไปหมดแล้วก็เลยยังเอาของใส่ลงไปไม่…”


คำพูดต่อเนื่องไม่หยุดของอียูจองหยุดชะงักลงตอนที่มองกระเป๋าเวทมนตร์ที่ผมสะพายอยู่ ผมเองก็ยัดของลงไปในกระเป๋าตามที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นมันจึงแทบจะปิดไม่ลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมรู้ว่าสายตาของอียูจองหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นจึงหมุนกระเป๋าที่เคยสะพายมาถือด้านหน้า


“ไม่เป็นไร แล้วเธอเอาของวางไว้ตรงไหนล่ะ”


“ฉันเอาออกไว้อย่างหนึ่ง ส่วนที่เหลือเอารวมกันไว้ตรงพื้นน่ะ”


สิ่งของหลายๆ อย่างถูกวางเรียงกันเอาไว้ตรงพื้นตามที่อียูจองพูด โพชั่นหลากหลายสี กล่องไม้ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ไหประหลาดๆ สีแดงเลือดหมู และอื่นๆ ผมมองของพวกนั้นพร้อมกับพยักหน้า แต่แล้วคำพูดที่ว่าเอาออกอย่างหนึ่งก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง


“ทำไมเอาออกไว้อย่างหนึ่งล่ะ”


“นั่น…”


อียูจองเอียงหัวแล้วชูนิ้วไปทางฝั่งหนึ่ง พอเบนสายตาไปทางด้านที่เธอชี้ไป ผมจึงต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย


ตรงนั้นมีภาพเหตุการณ์อันน่ามหัศจรรย์มากๆ ไข่หนึ่งฟองขนาดเกือบเท่ากับใบหน้าของคนกำลังลอยเคว้งโดยถูกห่อหุ้มไว้ด้วยม่านสีฟ้า และลูกแก้วสีฟ้าลูกหนึ่งก็ส่องแสงสีน้ำเงินเข้มออกมารอบๆ ไข่พร้อมกับกำลังหมุนไปรอบๆ อยู่


“ฉันสงสัยว่าคืออะไรเลยลองยื่นมือไปจับดู แล้วก็จับได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลยนะพี่ ถึงอย่างนั้นก็เอาไว้ตรงนั้นเผื่อไว้”


“ดีมาก”


ผมตอบกลับง่ายๆ แล้วเรียกใช้ดวงตาที่สาม


[ไข่ของ(ราชินี)เอลฟ์]


[ลูกแก้วเวทมนตร์สำหรับเก็บรักษาของมาร์โวลโล]


‘ไข่ของราชินีงั้นเหรอ ไม่เคยได้ยินใครบอกว่าได้ไข่ไปจากที่นี่เลยนะ’


พอผมกังวลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน จู่ๆ ก็นึกถึงบันทึกที่เคยอ่านบนชั้นสี่ คิดดูแล้ว มีบันทึกที่เขียนไว้ว่ามาร์การิต้าท้องอยู่ครั้งหนึ่งด้วย ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่บางทีไข่ฟองนี้อาจจะเบ่งออกมาจากเธอ เพราะจริงๆ แล้วข้อมูลในข้อความก็บอกไว้ว่าเป็นไข่ของราชินีแห่งเอลฟ์


‘จะทอดกินหรือจะยังไงก็เอาไปก่อนน่าจะดีกว่า’


ผมตัดสินใจแบบนั้น และในตอนที่กำลังจะพูดกับทั้งสองคนที่มองดูไข่อย่างใจจดใจจ่อ


“คุณราชินีแห่งเงามืด นี่คือของที่ผมค้นพบเองเลยนะครับ ดูเหมือนจะเป็นไข่นะครับเนี่ย”


“โฮะๆ อย่างนั้นสินะ”


“หุๆ ใช่แล้วครับ คิดยังไงบ้างล่ะครับ”


“โฮะๆ ไข่…ดีสิ ดีสุดๆ ไปเลยล่ะ”


“พะ พี่ยอนจู”


“โฮะๆ ไข่น่ะ…น่าจะเป็นผลอันน่าพอใจของความรักนะ ไข่ของซูฮยอนน่ะ ฉันเองก็…”


โชคดีที่โกยอนจูทำให้ท้ายประโยคเงียบหายไปจึงหลีกเลี่ยงเหตุการณ์อันเลวร้ายไปได้ ใช่ บางทีน่าจะไม่ได้ยินกัน ผมตัดสินใจที่จะคิดแบบนั้น ใบหน้าของเธอยังคงมีเลือดฝาด และอันฮยอนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เพียงแค่มองเธอด้วยใบหน้าตะขิดตะขวงใจเท่านั้น


ผมสอดมือเข้าไปค้นในกระเป๋าพร้อมกับถอนหายใจ ผมรับรู้ถึงสัมผัสของหนังสือไม่กี่เล่มที่เอามาเมื่อครู่นี้กับอุปกรณ์หลายๆ อย่าง ผมสอดมือลงไปข้างล่างยิ่งกว่านั้นจนลงไปสุด แล้วมือของผมก็สัมผัสกับอะไรอ่อนนุ่ม พอผมหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างไม่ปล่อยให้เสียเวลา อียูจองจึงจ้องมองมาด้วยดวงตาเจือความอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างๆ


“พี่ หรือว่านั่นคือเคออซ มิมิค เอามาด้วยเหรอ”


“อือ รู้ดีนี่นา”


“พ่อ หรือแม่ หรือลูก”


“ลูก”


จู่ๆ ผมที่ตอบไปทันทีก็รู้สึกขัดเขินมากๆ ขึ้นมา  ให้ตายสิ ‘ลูกเคออซ มิมิค’ งั้นเหรอ พูดเรื่องสัตว์ประหลาดแล้วมันมีอะไรน่ารักตรงไหน


พอก้มหน้าลงมองดูเคออซ มิมิค ก็เห็นเจ้านั่นกำลังปิดส่วนปากของมัน(ทางเข้า)แน่น ในฐานะสัตว์ประหลาด พลังส่วนใหญ่จึงสูญเสียไปแล้ว แต่ ‘อัญมณีสีแดง’ ที่ควบคุมมันได้นั้นยังอยู่ในสภาพที่ยังคงไม่ได้รับการปรับปรุงใหม่ พูดง่ายๆ ก็คือมันกำลังขัดขืน


แต่ไม่เป็นไร ผมจับส่วนปากของเคออซ มิมิคทั้งสองข้างแล้วแยกออกกว้างในพริบตาเดียว


แบ๊ะ!


คงตกใจกับเสียงร้องที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน สมาชิกเผ่าทุกคนจึงหันมามองผมด้วยใบหน้าตกใจ ผมมองตอบสายตาของพวกเขาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ


“เอาล่ะ เอาล่ะ จะสำรวจอะไรก็เอาไว้ทีหลังแล้วกันครับ กลับเมืองไปแล้วค่อยทำก็ไม่เสียหายใช่ไหมล่ะครับ เก็บของที่เห็นมาทั้งหมดก่อนดีกว่า”


แบ๊ะะ…แบ๊ะะะะ


“หนวกหูน่ะ ไอ้เด็กนี่”


พลั่ก


แบ๊ะ!


เคออซ มิมิคร้องด้วยความเศร้าสลดอย่างต่อเนื่อง แต่พอผมตีมันแรงๆ ไปป้าบหนึ่งเป็นสัญญาณบอกให้เงียบๆ มันจึงหยุดร้องออกมาทันทีแล้วเริ่มสะอึกสะอื้นเบาๆ


พอเสียงหนวกหูหายไปแล้ว ผมจึงส่งลูกเคออซ มิมิคให้อียูจอง เธอลูบมันสองสามครั้งด้วยใบหน้างงงวยแล้วค่อยๆ สังเกตท่าทีของผม จากนั้นก็เริ่มกวาดของมาเก็บ


แบ๊ะ…แบ๊ะ…แบ๊ะ…


พวกเราเริ่มเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ทีละอย่างสองอย่างท่ามกลางเสียงสะอื้นของเคออซ มิมิค


การเก็บของไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้น พวกเราแบ่งเวลาให้การเก็บของประมาณยี่สิบนาทีแล้วจึงสามารถกวาดเอาสิ่งของที่อยู่ชั้นสองกับสามมาเก็บได้หมด


พอเอากระเป๋าที่เต็มจนแทบปริลงมาอย่างพร้อมเพรียงกันจึงได้เห็นคิมฮันบยอลที่เดินไปมาจนทั่วอยู่ด้านล่างของบันได เธอเองก็คงรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังลงบันไดจึงเงยหน้าขึ้นทันที


“อ๊ะ พี่ สำรวจเสร็จแล้วเหรอคะ”


“อือ ชั้นหนึ่งเป็นไงบ้าง”


“ฉันตัดของตกแต่งมาจนหมดแล้วเอาไว้ในกระเป๋าตามที่พี่บอกแล้วค่ะ”


“ดีมาก แล้วมีอะไรอีกไหม”


“คือ…เจอพวกอุปกรณ์นู่นนี่เยอะเหมือนกันค่ะ ไม่ว่ายังไงก็ดูเหมือนจะเป็นของที่พวกผู้เล่นที่นี่เคยใช้น่ะค่ะ”


คิมฮันบยอลยังคงพูดต่อว่ายังไม่ได้เอาของพวกนั้นไปไหนพร้อมกับรอคำตอบของผมเงียบๆ อุปกรณ์ของผู้เล่นงั้นเหรอ แน่นอนว่าไม่สามารถกลับไปในสภาพเปลือยเปล่าได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงคิดจะคืนอุปกรณ์ให้พวกเขาอีกครั้ง แต่ไม่คิดจะคืนอุปกรณ์ของผู้เล่นที่ตายไปแล้วหรอกนะ


ธรรมเนียมเกี่ยวกับการช่วยชีวิตในฮอลล์เพลนค่อนข้างมีเอกลักษณ์พอสมควร แน่นอนว่าการคืนของไปด้วยความมีคุณธรรมก็มีอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นความมีคุณธรรมอย่างที่พูด เห็นได้ว่าเพียงแค่คืนอุปกรณ์ให้พวกผู้เล่นที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พอที่จะได้รักษาคุณงามความดีในตัวได้แล้ว ส่วนพวกอุปกรณ์ที่เหลือ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่สามารถประกาศเป็นกรรมสิทธิ์อันดับแรกได้


ถ้ามองจากด้านนั้น คิมฮันบยอลก็หลักแหลมอย่างเห็นได้ชัด บางทีถ้ามีอันซลอยู่ คงไม่แม้แต่จะขออนุญาตจากผมแล้วส่งของทั้งหมดให้พวกผู้เล่นอย่างวุ่นวายไปทั่วแน่ๆ


อย่างไรก็ตาม ผมมองคิมฮันบยอลที่รอคอยคำตอบตั้งแต่เมื่อครู่นี้พร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดเงียบๆ เดิมทีถึงเอาไปหมดก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นสมาชิกเผ่าของเผ่าใต้บังคับบัญชาของอีสตันเทลลอว์


ผมจมอยู่ในห้วงความคิดเงียบๆ พลางเรียบเรียงความคิดแล้วพูดขึ้น


“อย่างแรกเลยก็คือ เหลือเสื้อผ้าที่ผู้เล่นที่เราช่วยมาได้เคยสวมทั้งหมดเอาไว้ พวกเขาออกไปข้างนอกทั้งที่ยังโป๊ไม่ได้หรอก ส่วนของอย่างอื่นไม่ต้องให้ เอามาให้หมด อ้อ จำคนที่ตื่นขึ้นมาคนแรกสุดได้ใช่ไหม ถ้ามีอุปกรณ์ของคนที่ชื่อมีฮีเหลืออยู่ก็เอาให้เขาด้วยก็แล้วกัน หมายถึงคนคนนั้นน่ะ”


“ถ้าคนอื่นก็ขอด้วยจะทำยังไงดีคะ”


“ไม่มีทางที่จะพูดแบบนั้นหรอก เรื่องแบบนั้นทุกคนก็น่าจะรู้อยู่ไม่ใช่เหรอ กลับเมืองไปแล้วให้คนจากเผ่าที่เกี่ยวข้องซื้อเก็บไว้ หรือไม่พวกเราก็ต้องจัดการด้วยตัวเองไปเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก”


“ค่ะพี่”


คิมฮันบยอลตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นพวกเราซึ่งคุยกันเสร็จเรียบร้อยก็ก้าวเดินไปตรงกลางโถงอย่างรวดเร็ว


ทีนี้ถึงเวลาที่จะออกไปจากซากโบราณสถานแล้ว


ของโบราณที่ได้มาจากชั้นสองกับชั้นสามโดดเด่นอย่างมาก แต่ผลสำเร็จนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าอยู่ในระดับที่จะเพิกเฉยได้ ถึงแม้จะตัดศพกับเขายูนิคอร์นออกไปก่อน แต่เพียงแค่ออร์โดแห่งข้อบังคับกับน้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์ก็เป็นของที่มีมูลค่ามหาศาลแล้ว ถึงขนาดที่พวกของตกแต่งอันหรูหราที่คิมฮันบยอลแกะออกมาจากชั้นหนึ่งนั้นดูด้อยค่าไปเลย


ตอนนี้ผมต้องการที่จะจับมาทีละอย่างแล้วตรวจสอบข้อมูลเดี๋ยวนี้เลยเป็นอย่างมาก แต่ทั้งผมทั้งสมาชิกเผ่าจำเป็นจะต้องกลับไปยังโมนิก้าให้เร็วที่สุดแม้จะแค่วินาทีเดียวก็ยังดี เพราะถึงจะอดทนมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ แต่ความหนักอึ้งที่ร่างกายรู้สึกได้ยังคงหลงเหลืออยู่จากการใช้ฮวาจอง


อย่างน้อยก็เพื่อเติมเต็มให้กับร่างกายที่เรียกร้องขอการพักผ่อน การเลือกที่จะกลับเข้าเมืองก่อนเป็นอย่างแรกจึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง


ผมคุยตกลงกันกับคิมฮันบยอลที่บันไดชั้นหนึ่งแล้วพวกเราจึงเดินไปตรงกลางฮอลล์ทันที ตามที่อันซลพูด ผู้เล่นที่ได้สติแล้วเพิ่มขึ้นมาเป็นสี่คน


พวกเราเอาอุปกรณ์ที่พวกเขาเคยใช้ให้แก่พวกเขา ส่วนอุปกรณ์ของผู้เล่นที่ยังไม่ตื่น พวกเราก็สวมให้พวกเขาด้วยมือของตัวเองโดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้เล่นที่ตื่นแล้ว


ถึงอย่างนั้น พวกผู้เล่นคงมีแนวทางปฏิบัติอยู่ พวกเขาจึงแสดงความขอบคุณอย่างมากกับการตัดสินของผมที่คืนอุปกรณ์ให้อย่างไม่มีเงื่อนไขอะไร ยิ่งกว่านั้น พอเลือกอุปกรณ์ที่ผู้เล่นที่ชื่อว่ามีฮีเคยใช้ให้กับชายที่ตื่นขึ้นมาคนแรกสุด โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของผู้ตาย ชายคนนั้นก็โค้งให้ไม่หยุดด้วยใบหน้าเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา


คงเพราะอย่างนั้น ถึงแม้จะเอาอุปกรณ์จำนวนมากพอสมควรที่เหลือมาทั้งหมด แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจอะไรออกมาเลย


สองคนที่กำลังกายลดฮวบลงอย่างมากในบรรดาผู้เล่นที่ตื่นขึ้นมาแล้วจะต้องประคองเอาไว้ ส่วนผู้เล่นที่ยังคงไม่ได้สติ ผมตัดสินใจให้สมาชิกเผ่าที่ยังไหวอยู่แบกไป


ผมจัดการวางแผนไว้แบบนั้น จากนั้นพวกเราจึงออกไปจากปราสาทได้ในที่สุด โดยถอดเอาอัญมณีของประติมากรรมจอมเวทซึ่งเห็นตอนเข้ามาตอนแรกตรงทางเดินออกเป็นอย่างสุดท้าย


การออกเดินทางไกลมาสำรวจยังคงไม่เสร็จสิ้น ตอนนี้ยังเหลือกระดุมเม็ดสุดท้ายที่จะต้องกลัดคือจะต้องกลับไปยังโมนิก้าอย่างปลอดภัย แล้วก็…


จ๊อกๆ จ๊อกๆ


“วะ ว้าว! ท่านพี่! ดูนั่นสิคะ!”


“หืม”


“น้ำในแม่น้ำที่เคยหยุดอยู่เมื่อกี้กลับมาไหลอีกครั้งแล้วค่ะ!”


“อ้อ นั่นสินะ”


เป็นไปตามที่อันซลพูด น้ำในแม่น้ำที่เคยหยุดไหลตอนพวกเราเข้ามาตอนแรกกลับส่งเสียงดังสดใสราวกับถามว่าฉันเป็นแบบนั้นตอนไหน


ในขณะที่กำลังมองดูน้ำในแม่น้ำโดยไม่ได้คิดอะไร ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ที่เรียกผมจากทางด้านหลัง พอหันหน้าไป ผมก็เห็นคิมฮันบยอลซึ่งกำลังประคองผู้เล่นหญิงคนหนึ่งอยู่


“คือว่า…พี่คะ ฉันมีเรื่องสงสัยอย่างหนึ่งน่ะค่ะ”


“หืม อะไรล่ะฮันบยอล”


“ฉันลองนับดูตั้งแต่ตอนลงจากบันได้แล้วค่ะ พวกเราลงบันไดมาได้ประมาณสามสิบถึงสี่สิบนาทีแล้วไม่ใช่เหรอคะ”


“น่าจะประมาณนั้นนะ”


“แต่มองไม่เห็นทางเข้าที่พี่ทำไว้เมื่อก่อนหน้านี้เลยนะคะ แล้วก็…แล้วม่านป้องกันก็…”


คิมฮันบยอลเหลือบมองแพคฮันกยอลหนึ่งครั้งแล้วเบนสายตากลับมาจ้องผมอีกครั้ง ทันใดนั้น ผมจึงรับรู้ได้ว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไร ผมขยับศพยูนิคอร์นที่แบกอยู่ให้เข้าที่แล้วจึงตอบเธอกลับด้วยน้ำเสียงราวกับบอกว่าให้วางใจได้


“อ๋อ ตอนนี้น่าจะไม่จำเป็นต้องมีม่านป้องกันในหุบเขามายาแล้วละ ดูจากที่น้ำกลับมาไหลอีกครั้ง กำแพงก็น่าจะคลายออกแล้วเหมือนกัน”


“จริงเหรอคะ”


“อือ น้ำที่เคยหยุดไหลกลับมาไหลอีกแล้วนี่ เพราะฉะนั้นจะมองแบบนั้นก็น่าจะถูกต้องนะ บางทีตัวกำแพงก็น่าจะคลายออกเองด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเลยไม่เห็นทางเข้าน่ะ”


“อ๋อ…อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นวางแผนจะขึ้นไปเฉยๆ ทั้งอย่างนี้เลยใช่ไหมคะ”


ตอนที่ 3

คำพูดของคิมฮันบยอลทำให้ผมเบนสายตาลงมองยูนิคอร์นที่แบกอยู่ เรื่องนี้เป็นปัญหาที่จะต้องลองคิดดูสักหน่อย ถ้าเดินไปทั้งอย่างนี้ตอนนี้ พวกเราจะสามารถขึ้นไปด้านบนหุบเขาได้ภายในประมาณห้าสิบนาที เอาจริงๆ ผมคิดว่าลูกยูนิคอร์นตัวอื่นจะรับรู้แล้วมาหาภายในสี่สิบนาทีเสียอีก แต่กลับไม่เห็นแม้แต่ปลายจมูกเลย


จะเอาศพของยูนิคอร์นไปเฉยๆ เลย หรือจะคืนศพให้กับลูกยูนิคอร์นดี เดิมทีผมวางแผนจะเลือกอย่างหลัง แต่ต่อให้บอกว่ามีความเป็นไปได้สูงอย่างไรก็ยังเป็นเพียงแค่การคาดการณ์เท่านั้น ตอนนี้ผมไม่สามารถเชื่อเพียงแค่การคาดการณ์อย่างหนึ่งแล้วรอคอยยูนิคอร์นที่ไม่รู้ว่าจะมาหรือเปล่าไปเรื่อยๆ ได้


คงได้ยินบทสนทนาของผมกับคิมฮันบยอล ความวุ่นวายเล็กน้อยที่เกิดขึ้นหลังจากเห็นน้ำในแม่น้ำจึงทุเลาลงทันที ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกผู้ได้รับบาดเจ็บที่อยากรีบกลับเมืองโดยเร็ว แต่ผมก็ไม่สนใจ อุปกรณ์ผมก็เตรียมให้แล้ว ถ้าไม่พอใจกับการตัดสินใจของผม พวกเขาจะกลับไปเองก็ได้


“อืม…”


ผมเดินต่อไปพร้อมกับกลุ้มใจอยู่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ถ้าทำให้ดี นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้ผูกสัมพันธ์กับยูนิคอร์น ผมใช้นิ่วเคาะตรงส่วนท้องของยูนิคอร์นสองสามครั้งแล้วลูบไปมา จากนั้นจึงเปิดปากพูดอย่างแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยพลัง


“พวกเราจะไม่ขึ้นไปทันทีครับ”


“…”


“ก่อนเข้าเมืองไป สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่น่าจะได้เจอลูกยูนิคอร์นอีกสักครั้งก่อนครับ ก่อนที่พวกเราจะเดินทางต่อ เราจะรออยู่ตรงนั้นประมาณสามสิบนาทีครับ ถ้าหากว่าผ่านไปสามสิบนาทีแล้วยูนิคอร์นที่ตามหาศพยังไม่ปรากฏตัวขึ้น ผมก็จะออกเดินทางกลับเมืองทันทีครับ”


ถ้าเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์ เจ้าตัวก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ระยะห่างจากตรงนี้ถึงโมนิก้า อย่างน้อยที่สุดก็สิบวัน อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นสถานการณ์ที่มีคนเจ็บไปด้วย เพราะฉะนั้นก็อาจจะใช้เวลานานกว่าสิบวันได้ ต่อให้บอกว่าจะออกเดินทางช้ากว่าเดิมเพียงสามสิบนาทีในสถานการณ์แบบนั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างกันเลย


ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองด้านหลังโดยมีความหมายว่าถ้ามีความเห็นที่แตกต่างกันก็ให้พูด ใบหน้าบางคนมีเงามืดทาบทับอยู่อย่างที่คิด แต่นั่นก็เพียงครู่เดียว สมาชิกเผ่าก็แน่นอนอยู่แล้วว่าตกลง ผู้เล่นคนอื่นๆ ก็แสดงความเห็นพ้องกับคำพูดของผมด้วยการพยักหน้าเบาๆ


ผมมองดูปฏิกิริยาตอบสนองนั้นแล้วพยายามที่จะส่งเสียงให้นุ่มนวลสักหน่อย จากนั้นจึงเปิดปากพูด


“บางทีถ้าเดินไปอีกประมาณยี่สิบถึงสามสิบนาทีก็น่าจะเจอจุดที่ว่าครับ ถ้างั้นจะเดินไปทางด้านนั้นนะครับ”


ผมโพล่งขึ้นราวกับยืนยันแล้วจึงหมุนตัวไปทางด้านหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็คลำทิศทางในหัว ตามหาจุดที่ผมเคยทำหินหล่นลงมาแล้วได้เจอกับลูกยูนิคอร์นพร้อมกับเคลื่อนแถวไป


เป็นไปตามคาด พอเดินตรงมาประมาณยี่สิบนาที พวกเราจึงมาถึงสถานที่ที่เคยเจอกับยูนิคอร์น หินตรงจุดที่ลูกยูนิคอร์นถูกทับแบนถูกโยนลงไปในน้ำแล้ว แต่หินก้อนอื่นยังคงอยู่แบบเดิม


ผมสั่งให้พักตรงนี้เป็นเวลาสามสิบนาที ถึงแม้ไม่รู้ว่าผู้เล่นที่ตื่นแล้วตั้งสติได้หรือยัง แต่ร่างกายของพวกเขายังคงไม่ได้ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะอย่างนั้นจึงมีแค่อันซลคนเดียวที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ แต่เธอก็ทั้งร่ายเวทและรักษาอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่มีทีท่าอิดออดเลยแม้แต่นิดเดียว


ผมเองก็วางศพของยูนิคอร์นลงตรงที่ที่เห็นได้ชัดเจน จากนั้นก็นั่งลงตรงก้อนหินด้านข้างเพื่อพักผ่อนร่างกาย จากนี้ไปจะต้องเดินแถวไปเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบวัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็เป็นเรื่องที่จิ๊บจ๊อยกว่าออกกำลังกายหลังอาหารอีก แต่สำหรับผมในตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงข้อจำกัดของตัวเองเพราะร่างกายกลายเป็นภาระของผมในระดับหนึ่งแล้ว ผมเพียงแค่ไม่เผยท่าทีออกมาในฐานะแคลนลอร์ดเท่านั้น


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


“?”


จู่ๆ เสียงของผู้ชายที่ฟังดูภูมิฐานก็ดังเข้ามาในหู พอหันหน้าไปด้านข้างก็เห็นผู้เล่นชายที่ตื่นเป็นคนแรกที่ปราสาทกำลังจ้องมองผมอยู่ เขากำลังอมยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่โดยรวมแล้วสีหน้ากลับแฝงด้วยความเศร้าสร้อย


พอมองเขานิ่งๆ ชายหนุ่มจึงก้มหัวลงในไม่ช้าพร้อมกับยื่นมือมาทางผม


“เมื่อกี้ไม่มีเวลาก็เลยไม่ทันได้ทักทายอย่างถูกต้องครับ ผู้เล่นปีที่สี่ ชื่อว่าชินแจรยงรับ ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะครับ”


“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมทำไปเพราะได้รับการมอบหมายมาทั้งหมดเลยน่ะ ยังไงก็ตาม ผมผู้เล่นปีที่ศูนย์ คิมซูฮยอนครับ”


‘ข้อมูลผู้เล่น’


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)


1. ชื่อ (Name) : ชินแจรยง (ปีที่ 4)


2. คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal Priest Expert)


3. ถิ่นกำเนิด (Nation) : บาร์บาร่า


4. ชนเผ่า (Clan) : ชายฝั่งน้ำตื้น (Rank : C Plus)


5. นามแท้ · สัญชาติ : ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ, ความตั้งใจที่ไม่สามารถละทิ้งได้ · สาธารณรัฐเกาหลี


6. เพศ (SEX) : ชาย (42)


7. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 176.2 ซม. · 73.8 กก.


8. อุปนิสัย : ดีงาม · กระตือรือร้น (Good · Passion)


[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]


[เปรียบเทียบค่าความสามารถ]


1. คิมซูฮยอน : 544/600


(แต้มของค่าความสามารถมีสถานะเหลืออยู่ 12 พอยต์)


[พละกำลัง 96(+2)] [ความทนทาน 92] [ความคล่องแคล่ว 98] [ความแข็งแกร่ง 72] [พลังเวท 96] [โชค 90(+2)]


2. ชินแจรยง : 486/600


(ไม่มีแต้มของค่าความสามารถหลงเหลืออยู่)


[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]


ผมจับมือของชินแจรยงพร้อมกับไล่อ่านข้อมูลผู้เล่นของเขาไปด้วย จากนั้นพอผมเห็นอายุของเขาก็ตกใจไปหนึ่งครั้ง และพอเห็นคลาสของเขาก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้ง ไม่สิ ต้องเรียกว่ารู้สึกสนุกน่าจะถูกต้องกว่าตกใจหรือเปล่านะ


ถึงแม้จะนับเอาความยอดเยี่ยมของค่าความสามารถที่มีเป็นเรื่องรองแต่ผมก็ไม่เข้าใจการที่เลือกคลาสนักบวชเลยจริงๆ แน่นอนว่าค่าพลังเวทก็อยู่ในระดับที่ไม่เลว และต่อให้บอกว่าการเลือกคลาสนั้นเลือกได้ตามอิสระก็เถอะ…บางทีถ้าอยู่ในคลาสสายต่อสู้ระยะประชิด ตอนนี้ชื่อเสียงอาจจะเลื่องลือไปไกลแล้วก็ได้


‘ไม่ใช่บาทหลวงสายต่อสู้ด้วย’


“เป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์จริงๆ ด้วยสินะครับ โอ้ พระเจ้า ผู้เล่นปีที่ศูนย์สร้างเผ่าขึ้นแล้วพาราชินีแห่งเงามืดผู้โด่งดังคนนั้นเข้ามาไว้ในเผ่าด้วย ผมตกใจมากจริงๆ ครับ”


“โอ๊ะ รู้ด้วยเหรอครับ”


“ครับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กน่ารักที่ช่วยรักษาพวกเราเล่าให้ฟังน่ะครับ ไม่มีการเกริ่นนำอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับการปลอบโยนมากจริงๆ ครับ ฮ่าๆ”


“ฮ่าๆ อย่างนั้นสินะครับ”


ผมอยากพุ่งเข้าไปจับคอเสื้อของอันซลมาเขย่าๆ แล้วถามว่าเล่าอะไรออกไปกันแน่เสียตอนนี้ แต่พอบอกตัวเองว่าจะต้องอดทนซ้ำๆ จึงสามารถกดความรู้สึกนั้นลงไปได้อย่างยากลำบาก จากนั้นชินแจรยงก็นั่งลงตรงข้างๆ ผมแล้วขอร้องอย่างสุภาพว่าอยากคุยด้วยสักครู่ ผมอนุญาตอย่างยินดีด้วยการพยักหน้ากลับไป


บทสนทนาอันต่อเนื่องกับชินแจรยงดีใช้ได้ ผมค่อนข้างชอบคนที่รู้จักกาลเทศะ ถ้าเขาพูดเรื่องอย่างเช่นขอร้องให้คืนอุปกรณ์ที่เหลือหรือบอกว่าจะต้องกลับเมืองเลยตอนนี้ ผมก็น่าจะอารมณ์เสียมากๆ แต่เขากลับไม่ยกเรื่องแบบนั้นออกมาพูดเลย


เรื่องหลักๆ ที่เขาเอ่ยออกมานั้นคือขอบคุณที่ช่วยชีวิตไว้ และอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องหลังจากถูกจับไปตั้งแต่ออกเดินทางไปสำรวจกับเผ่าชายฝั่งน้ำตื้น


ในระหว่างนั้น ผมก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อมีฮีด้วยเหมือนกัน เขาบอกว่าเธอเป็นผู้เล่นหญิงที่หลังจากชินแจรยงเข้ามาในฮอลล์เพลน ต่างคนก็ต่างใจตรงกัน แล้วลงหลักปักฐานกันเป็นครอบครัว ถึงแม้ว่าจะสูญเสียคนสำคัญไป แต่ท่าทีกล้ำกลืนความเศร้าโศกไว้แล้วตั้งใจจะตัดสินตามหลักการที่ถูกต้องนั้นดูใช้ได้เลยทีเดียว


“ถ้างั้นหมายความว่าสมาชิกเผ่าชายฝั่งน้ำตื้นสามในเจ็ดคนกับทีมกู้ภัยรอบแรกสี่คน…ความเสียหายของเผ่าคงจะมากมายทีเดียวนะครับ”


“ไม่ใช่แค่มากมายนะครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับพังทลายไปเลย พวกเราเป็นเผ่าขนาดเล็กที่มีสมาชิกทั้งหมดไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำครับ ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงความภาคภูมิหนึ่งเดียวว่าพยายามอย่างแข็งขันมาจนถึงตอนนี้แล้วใช้ชีวิตมาอย่างยืนหยัดมากๆ แต่ก็เสีย…ทั้งเพื่อน ทั้งคนรักในการออกสำรวจเพียงครั้งเดียว ผมรู้สึกเหมือนว่า เลือกผิดแค่ครั้งเดียวแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลาสี่ปีมันพังครืนลงมาเลยครับ ผมถือว่าการช่วยชีวิตผมนั้นเหมือนกับการบำรุงขวัญ ต่างกับเพื่อนร่วมเผ่าคนอื่นๆ แต่ว่า…”


ชินแจรยงยิ้มอย่างขมขื่น ไม่มีใครรู้ว่าจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น ข้อมูลผู้เล่นของชินแจรยงก็อยู่ในระดับใช้ได้ เพียงแค่มีความมุ่งมั่นว่าจะทำอีกครั้ง ไม่ว่าจะไปไหนก็จะไม่อดตายแน่นอน


“ถึงอย่างนั้นทางฝั่งนั้นคงไม่มองอยู่เฉยๆ หรอกครับ น่าจะช่วยเหลือให้สมกับเป็นเผ่าใต้บังคับบัญชาของอีสตันเทลลอว์ สถานการณ์คงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นหรอก เพราะสวัสดิการอย่างหนึ่งของผู้เล่นก็เปรียบเทียบได้กับบาร์บาร่า ยังไงก็ต้องดีแน่ๆ อยู่แล้วครับ”


“พูดถึงขนาดนั้น ทางผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอบคุณแล้วละครับ ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนจะเหนื่อยไปอีกสักระยะเลยนะครับ ผมเป็นคนจิตใจอ่อนไหวมาตั้งแต่เกิด ถ้าตั้งใจจะฝังเรื่องในวันนี้ไปคงต้องใช้เวลาครับ ฮ่าๆ เฮ้อ…”


ชินแจรยงถอนหายใจ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พอได้พูดคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ เวลาสามสิบนาทีจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และยูนิคอร์นก็ไม่ได้โผล่ออกมา ผมมีความรู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อย แต่ผมคิดว่าออกเดินทางตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า


“ก่อนอื่นเลย การกลับเข้าเมืองน่าจะมาก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ ไม่ว่ายังไง ออกเดินทางเลยตอนนี้น่าจะดีนะครับ”


“อ๊ะ แต่เห็นบอกว่ารอยูนิคอร์น…”


พอลุกขึ้นจากที่แล้วยืน เสียงของชินแจรยงก็ดังขึ้นต่อ ผมส่ายหน้าไปมาแล้วบิดขี้เกียจจนสุดตัว


“สามสิบนาทีที่บอกไปเมื่อกี้มันผ่านไปแล้วนี่ครับ”


“อ้อ ถ้าเป็นเพราะพวกเราก็ไม่เป็นไรเลยนะครับ รอต่ออีกได้ครับ แน่นอนว่าผมรู้สึกอยากกลับเมืองด้วยก็จริง แต่การได้พักอยู่ที่นี่พร้อมกับฟื้นฟูกำลังกายก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าเป็นเพราะพวกเราล่ะก็ ผมมีความรู้จักมักคุ้นกับผู้เล่นในทีมกู้ภัยรอบแรกดีครับ ผมมั่นใจว่าจะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ครับ”


ชินแจรยงลุกตามผมพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ แน่นอนว่าคำพูดของเขาก็มีเหตุผล แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของพวกเขาเมื่อครู่นี้ก็มีสีหน้าบอกว่าอยากรีบกลับเมืองแล้ว


และถึงไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น แต่ถ้ายูนิคอร์นซึ่งมีจิตสำนึกต่อเผ่าพันธุ์เดียวกันสูงไม่ปรากฏตัวออกมาเกินกว่าหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะออกไปจากหุบเขาลึกได้แล้ว นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะสิ้นเปลืองเวลาเปล่าๆ


คงเห็นพวกเราพูดคุยกันพักหนึ่งแต่แล้วก็ลุกขึ้น สมาชิกเผ่ากับพวกผู้เล่นจึงจับจ้องมา ผมมองพวกเขาพร้อมกับตัดสินใจจะหยุดพักเพียงแค่นี้


“อีกห้านาที…”


กุกกัก กุกกัก


ตอนนั้นเอง ในตอนที่กำลังจะพูดต่อให้จบว่า ‘จะออกเดินทางนะครับ’ ผมก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาตรงด้านนอกการรับรู้ที่ผมกางออกไว้รอบๆ ผมจ้องมองไปทางนั้นด้วยใบหน้ามีความหวัง พอผมพูดแต่อยู่ๆ ก็หยุดพูดแล้วจ้องไปทางด้านขวา คนอื่นๆ จึงพลอยหันหน้าไปยังทิศทางที่ผมมองไปด้วย และตอนนั้น…


ฮี้…


เสียงฝีเท้าของสัตว์สี่ขาที่เดินย่ำพื้นดังกุกกัก และถึงแม้จะแผ่วเบาแต่เสียงร้องอันคุ้นเคยก็เข้ามาในหูของผมอย่างชัดเจน


คิดว่าจะไม่มาเสียแล้ว และคงออกจากหุบเขาลึกไปแล้ว แต่ในตอนที่กำลังจะแจ้งให้ออกเดินทาง ผมก็จับสัญญาณการมีอยู่ของยูนิคอร์นได้ราวกับโกหก จู่ๆ ภาพของลูกยูนิคอร์นที่เคยเอาหน้ามาถูกับขาผมก็แวบผ่านเข้ามาในหัว ในตอนที่ผมกำลังนึกตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะคิดว่าจะได้เจอกันอีกนั้น


กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก


‘หืม เสียงฝีเท้ามัน…มากเกินไปหน่อยนะ’


ผมรับรู้ได้ถึงสัญญาณมากมายที่เข้ามาในเขตของการรับรู้ที่ผมกางเอาไว้อย่างกะทันหัน นี่ไม่ใช่เสียงฝีเท้าที่สัตว์เพียงตัวเดียวจะทำได้ อย่างน้อยที่สุดเลยก็สิบตัว ไม่สิ บางทีอาจจะเกินยี่สิบตัวเสียด้วยซ้ำ


พอจ้องมองไปทางด้านขวานิ่งๆ ก็เห็นอันฮยอนแอบจับหอกเอาไว้ ทันใดนั้น เด็กๆ ก็เริ่มจับอาวุธทีละคนสองคนตามเขา ผมรีบยกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้เก็บอาวุธลง ยูนิคอร์นมีความระมัดระวังในตัวมนุษย์สูงมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องไปกระตุ้นพวกมันอย่างเปล่าประโยชน์


พอสังเกตรอบๆ ไอบางอย่างที่เหมือนกับหมดสีขาวขุ่นกำลังค่อยๆ ลามเข้ามารอบๆ ผมก้าวเดินอย่างช้าๆ ให้ตรงกับทิศทางที่พวกมันจะมา สมาชิกเผ่าเองก็คงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติเพราะไอที่โอบล้อมรอบข้าง พวกเขาจึงประคองผู้เล่นคนอื่นๆ เดินย้ายที่มาด้านหลังผม


จากนั้นเจ้าของเสียงฝีเท้าก็เริ่มเผยรูปร่างออกมาจากด้านหน้านู้น พอเพ่งมองดู ผมก็มองเห็นรูปร่างของพวกมันได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น พวกมันมีรูปร่างเหมือนกับม้า แต่มีขนสีขาวเงินปกคลุมทั่วทั้งร่าง มีเขาที่ส่องแสงสีเงินยื่นออกมาจากตรงกลางหน้าผาก และมีดวงตาที่ส่องแสงสีดำเป็นประกายอยู่


ไม่ใช่ยูนิคอร์นเพียงตัวเดียวที่ปรากฏออกมาตามการคาดการณ์ ฝูงยูนิคอร์นที่มีถึงยี่สิบตัวกำลังเดินมาโดยมีลูกยูนิคอร์นเดินนำหน้า


และด้านข้างลูกยูนิคอร์นนั้น มียูนิคอร์นตัวโตเต็มวัยรูปร่างดูใหญ่เป็นสองเท่ากว่ายูนิคอร์นตัวอื่นๆ กำลังเดินมาด้วยกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรพลังไม่ธรรมดาที่หลั่งไหลออกมานั้นทำให้รู้สึกเหมือนบนใบหน้าของมันถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘ผมน่ะลูกพี่เลยคร้าบ’ เลย


ตอนที่ 4

เวลาผ่านไปสักพักโดยที่ผมเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ แบบนั้น ยูนิคอร์นที่เดินมาเรื่อยๆ ในตอนนั้นกำลังร่นระยะห่างกับพวกเราจนสามารถมองได้ด้วยตาเปล่า


และเป็นไปตามที่คิด พอเห็นพวกยูนิคอร์นที่ย่ำเท้าเข้ามาจึงเกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้นพักหนึ่งท่ามกลางสมาชิกเผ่าและพวกผู้เล่น


“พี่! นะ นั่นมัน…”


“พระเจ้า”


“โว้ว เจ้าฮี้ๆ มากันเต็มเลย”


“ชู่”


พอผมรีบหันหน้าไปเอานิ้วชี้มาแตะริมฝีปาก เสียงดังโวยวายก็เงียบหายไปในพริบตา เพราะเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวมากๆ การต้อนรับด้วยความเงียบจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


“ห้ามทำให้พวกยูนิคอร์นตกใจเป็นอันขาดนะ”


ผมขออันฮยอนซึ่งกำลังจะเอาอาวุธออกมาเป็นพิเศษ แล้วผมจึงหันไปจ้องมองทางที่พวกยูนิคอร์นกำลังมาอีกครั้ง


เสียงร้องที่พวกยูนิคอร์นโตเต็มวัยเปล่งออกมาแตกต่างกับลูกยูนิคอร์นอย่างชัดเจน จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงราวกับเห็นพวกเราแล้ว จากนั้นจึงหยุดเดินโดยทิ้งระยะห่างประมาณสิบเมตร


“…”


ความเงียบเหมือนรู้สึกหายใจติดขัดเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ ยูนิคอร์นที่ดูเป็นจ่าฝูงเพียงแค่ส่งเสียงเบาๆ ออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ทั้งผมทั้งสมาชิกเผ่าต่างก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมาเลย


พวกเราเผชิญหน้ากันและกันแบบนั้นได้สิบวินาที แล้วผมจึงชำเลืองมองศพของยูนิคอร์นที่วางไว้ใกล้ริมแม่น้ำเมื่อครู่นี้ ทันใดนั้น จ่าฝูงยูนิคอร์นเองก็เหลือบมองทางด้านนั้นเช่นเดียวกัน ตอนนั้นเอง


ฮี้!


ในตอนนั้นลูกยูนิคอร์นที่เพียงแค่ยืนนิ่งกลับพุ่งออกมาด้านหน้าอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เหมือนจะเดินเตาะแตะไปทางด้านยูนิคอร์นที่นอนอยู่แล้วก็เริ่มเดินวนรอบศพช้าๆ ดูเหมือนจะอยากยืนยันว่ายูนิคอร์นที่ตายไปเป็นใคร


และคงจะพิจารณาเสร็จแล้ว ลูกยูนิคอร์นจึงหยุดเดินวน จากนั้นก็หันหน้าไปทางยูนิคอร์นที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของฝูงเงียบๆ พลางร้องขึ้นมาอย่างแผ่วเบา


ฮี้…


ฮฮฮฮี้


ฮี้ ฮี้ๆ ฮี้ๆๆ ฮี้ๆๆๆ


ในตอนที่คำตอบจากจ่าฝูงยูนิคอร์นตอบกลับมาก็มีน้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตาของลูกยูนิคอร์น มันพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วทรุดนั่งลงตรงนั้นพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าสร้อย ดูจากการที่เอาหัวถูไถตรงศพไม่หยุดแม้จะร้องไห้อยู่แบบนั้น คงจะมีความสัมพันธ์บางอย่างอันลึกซึ้งกับยูนิคอร์นที่ตายไปแน่


จ่าฝูงยูนิคอร์นมองภาพนั้นแล้วหลับตาลงอย่างแผ่วเบา จากนั้นเสียงหายใจอันอ่อนเปลี้ยก็หลั่งไหลอย่างต่อเนื่องออกมาจากท่ามกลางฝูงยูนิคอร์นที่ยืนอยู่เงียบๆ ด้านหลัง


ฮฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮฮฮี้


ลูกยูนิคอร์นที่ร้องไห้ฟูมฟายมองผมด้วยดวงตาที่มีน้ำตาไหลแหมะๆ ท่าทางของมันที่ร้องไห้คอตกเหมือนกับกำลังมองเด็กน้อยร้องคร่ำครวญถามว่าทำไมไม่พามาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่


ผมเพียงแค่มองอยู่นิ่งๆ พักหนึ่งแล้วพอไม่เห็นวี่แววว่าจะหยุดร้อง ผมจึงตัดสินใจที่จะก้าวออกไปด้านหน้าเงียบๆ ทันใดนั้น จ่าฝูงยูนิคอร์นซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุดก็เริ่มค่อยๆ เดินออกมาข้างหน้าตามผมเช่นกัน


พวกเราขยับเข้าใกล้กันทีละก้าวสองก้าว ถึงแม้สายตาของจ่าฝูงยูนิคอร์นที่จ้องมองผมซึ่งกำลังเดินเข้าไปจะฉายแววระแวดระวัง แต่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรู


ผมกับจ่าฝูงยูนิคอร์นหยุดเดินพร้อมกันโดยให้ลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้าอยู่ตรงกลาง ผมไม่ขยับตัวตามอำเภอใจไปมากกว่านี้เพราะรู้ดีถึงนิสัยของพวกมันที่มีจิตสำนึกต่อเผ่าพันธุ์เดียวกันสูง และหวงแหนลูกหลานของพวกมันเป็นอย่างมากด้วย


สายตาของพวกเราประสานกันกลางอากาศ แววตาของมันเหมือนกำลังพิจารณาดูผมอย่างตั้งใจ แล้วจากนั้นผมจึงเห็นมันพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณว่าอนุญาตแบบไร้เสียง


พอจ่าฝูงอนุญาต ผมจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นแขนทั้งสองข้างไปทางลูกยูนิคอร์นซึ่งยังคงฝังใบหน้าลงกับศพ


“ขอโทษนะ”


ฮี้…


ลูกยูนิคอร์นเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่ยังคงมีน้ำตาคลอเต็มหน่วยแล้วยื่นขาหน้าเข้ามาให้ผมกอดราวกับรออยู่ ผมตบหลังของลูกยูนิคอร์นซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้าไปเรื่อยๆ ในอ้อมกอดของผม พร้อมทั้งกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบาตรงข้างหู


“ขอโทษที่ช่วยเร็วกว่านี้ไม่ได้นะ ตอนที่พวกเราไปเจอเข้าก็…”


ฮี้…ฮี้…


พอลูบหลังโดยใส่ความรู้สึกของการปลอบโยนลงไปด้วย จ่าฝูงยูนิคอร์นก็ย่นระยะห่างกับผมมากยิ่งขึ้นโดยไมม่ได้ละสายตาไปจากลูกยูนิคอร์นเลย


ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดสูงมากๆ ถ้าได้ฟังเรื่องราวว่าเจอกับพวกเราจากลูกของมันแล้วก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ก่อนหลังได้คร่าวๆ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ตัดสินใจว่าจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเผื่อเอาไว้ก่อน


“จะบอกเผื่อเอาไว้นะ ว่าศพนั้นน่ะ พวกเราไม่ได้เป็นคนทำ”


ฮฮฮฮี้


จ่าฝูงยูนิคอร์นพยักหน้าเบาๆ ราวกับรู้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็เตรียมพร้อมพอสมควรเพราะไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่พอได้ฟังคำตอบ ผมจึงคลายความกังวลอันใหญ่หลวงลงก่อนได้


“คนร้ายคือสัตว์ประหลาดที่เคยอาศัยอยู่ในกำแพงของหุบเขาลึกนี้ เป็นจอมเวทที่จะว่าเป็นคนก็ไม่ใช่เชิง พวกเรามีธุระเลยมาเพื่อจัดการจอมเวทคนนั้น แล้วก็เลยเจอศพนี้ในระหว่างนั้นด้วย ทั้งหมดก็เท่านี้แหละ ลังเลว่าจะเอาศพไปเฉยๆ เลยไหม แต่…แต่ว่าจู่ๆ ก็นึกถึงยูนิคอร์นตัวนี้ขึ้นมา ก็เลยเอามาให้”


ฮฮฮฮี้


“อ้อ สัตว์ประหลาดนั่น ฉันจัดการร่วมกับพวกเพื่อนร่วมกลุ่มที่อยู่ด้านหลังเรียบร้อยแล้ว ชำระแค้นให้แน่ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากกว่านี้ก็ได้”


ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้


จู่ๆ ผมก็คิดว่านี่ไม่ยุติธรรมนิดหน่อย พวกมันดูเหมือนฟังที่ผมพูดเข้าใจ แต่ผมกลับฟังพวกมันไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ผมเพียงแค่มองดูปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของผมแล้วคาดเดาไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เลยรู้สึกอึดอัดใจจริงๆ


เสียงร้องไห้ของลูกยูนิคอร์นเงียบสงบลงทีละนิดโดยไม่ทันตั้งตัว ยังคงมีเสียงสะอื้นอยู่นิดหน่อย แต่เสียงร้องไห้อย่างสะเทือนใจเหมือนเมื่อครู่นี้ค่อยๆ เงียบไปแล้ว


จ่าฝูงยูนิคอร์นมองลูกยูนิคอร์นซึ่งร้องไห้สูดน้ำมูกโดยที่ถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของผมนิ่งๆ จากนั้นจึงยื่นหัวเข้ามาตรงหน้าผมเงียบๆ


‘หมายความว่าให้ขึ้นไปด้านบนหรือเปล่านะ’


ผมตีความตามอำเภอใจ พอกำลังจะปล่อยมือแล้วผละออกมา ลูกยูนิคอร์นก็งับมือผมไม่ปล่อย และการที่ถูกดึงไปทางด้านตัวเองนั้น ดูเหมือนการกระทำที่บอกว่าอย่าไปเลย


แต่นั่นก็เพียงแค่ครู่เดียว พอหางยาวๆ ของจ่าฝูงยูนิคอร์นยกขึ้นมาราวกับสะบัดแล้วลูบหัวของลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังกัดมือของผมอยู่ มันก็เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นหางบางๆ ที่เคยส่ายไปมาไม่หยุดตอนเจอกันครั้งแรกก็ห้อยลงด้านล่างแล้วจึงปล่อยมือที่งับอยู่อย่างสงบเสงี่ยม


ฮฮฮฮี้!


จ่าฝูงยูนิคอร์นร้องออกมาเสียงดังหนึ่งครั้ง นั่นคงเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ยูนิคอร์นตัวอื่นซึ่งยืนอยู่อย่างกระจัดกระจายจนถึงตอนนี้จึงขยับเท้าทั้งสี่ของมัน


ผมจับตามองการกระทำของพวกมันโดยถอยออกจากจุดที่มียูนิคอร์นที่ตายไปแล้วสองสามก้าว พวกยูนิคอร์นล้อมรอบศพเป็นวงกลมทันที จากนั้นประทับริมฝีปากลงไปทีละตัว พิธีกรรมของพวกมันซึ่งมีความรักในเพื่อนร่วมฝูงอย่างแรงกล้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก่อนที่จะจากยูนิคอร์นที่ตายแล้วไป


ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น พวกยูนิคอร์นที่ประทับริมฝีปากเรียบร้อยแล้วก็แสดงให้เห็นถึงการกระทำอันปลอบโยน อย่างเช่น เลียตรงหลังหรือไม่ก็เอาหน้าไปถูกับลูกยูนิคอร์นที่อยู่ข้างหลังจ่าฝูงยูนิคอร์น


ผมระมัดระวังไม่ให้รบกวนพิธีของพวกยูนิคอร์นแล้วถอยหลังไปจนถึงจุดที่พวกสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ อยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะรอให้การกระทำของพวกเขาเสร็จเรียบร้อย


พิธีกรรมของพวกยูนิคอร์นไม่ได้ใช้เวลานาน แต่ละตัวใช้เวลาแค่ตัวละประมาณสามสิบวินาทีเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าใช้เวลาไปทั้งหมดไม่ถึงสิบนาทีดี


ผม สมาชิกเผ่า และผู้เล่นคนอื่นๆ เพียงแค่อยู่กันอย่างเงียบสงบเท่านั้น แม้จะแค่มองดูยูนิคอร์นที่ตายไปตอนแรกแต่พวกเขาก็มองกันตาโต แต่พอเห็นพวกมันที่มีมากกว่ายี่สิบตัวและเห็นพิธีกรรมของพวกมันด้วย ทุกคนจึงกำลังเฝ้าดูกันอย่างใจจดใจจ่อ


ถ้าบอกว่าการที่ได้พบกับลูกยูนิคอร์นเมื่อก่อนหน้านี้โดยบังเอญเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ครั้งนี้จะมองว่าเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นสักครั้งไหมไม่รู้ในระหว่างที่ทำกิจกรรมอยู่ในฮอลล์เพลนก็ได้


ถ้าเด็กๆ ส่งเสียงดังโวยวายเหมือนตอนที่เห็นยูนิคอร์นครั้งแรกผมก็คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีแต่โชคดีที่พวกเขาเข้าใจถึงบรรยากาศนี้อย่างถ่องแท้ พวกเขาเพียงแค่พูดกระซิบกระซาบกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น พร้อมทั้งรักษาความเงียบสงบเอาไว้แทน


ไม่นานก็ดูเหมือนว่าพิธีกรรมของพวกมันได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย โดยมีการกระทำของยูนิคอร์นขนาดตัวเกือบจะเท่ากับลูกยูนิคอร์นแต่ตัวใหญ่กว่านิดหน่อยเป็นตัวสุดท้าย พอจ่าฝูงส่งเสียงต่ำๆ ออกมาหนึ่งครั้ง ยูนิคอร์นตัวบึกบึนสองสามตัวก็เดินออกมางับศพของยูนิคอร์นตัวนั้นขึ้นไปให้พาดอยู่บนหลังของยูนิคอร์นสองตัว


และเมื่อพิธีกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น จ่าฝูงยูนิคอร์นก็พาฝูงของตัวเองเดินเข้ามาทางผมกับพวกคนอื่นๆ


ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้


‘ก็บอกแล้วไงว่าฟังไม่รู้เรื่อง’


แน่นอนว่ามันตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พูดตามตรงว่าผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่ากำลังพูดเรื่องอะไร อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกมันติดหนี้บุญคุณผมได้สำเร็จอย่างแน่นอน ผมกังวลว่าหากต้องการผลตอบแทนอย่างเปิดเผยที่นี่ ก็จะทำลายความสัมพันธ์เพราะคิดว่าได้รับมันมาอย่างง่ายดายมากๆ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นผมตัดสินใจที่จะพอใจกับตรงนี้แล้วและจะบอกให้รู้ว่าจะออกเดินทางไปตอนนี้เลย


“พวกเราส่งมอบยูนิคอร์นที่ตายไปให้แล้วนะ เพราะอย่างนั้นพวกเราก็คงต้องไปแล้วเหมือนกัน อย่างที่เห็น ทางพวกเราก็มีผู้เล่นที่ถูกกระทำโดยสัตว์ประหลาดนั่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคงต้องรีบเดินทางกลับเมืองไปรับการรักษาแล้ว”


พอผมบอกไปทีละคำๆ อย่างชัดเจน สายตาของยูนิคอร์นทุกตัวโดยเริ่มจากจ่าฝูงยูนิคอร์นก็จับจ้องไปยังด้านหลังของผมอย่างพร้อมเพรียงกัน ดูจากการที่ดวงตาของพวกมันย่นเข้าหากันเล็กน้อย บางทีคงมองผู้เล่นที่ถูกตัดแขนและขาทั้งสองข้างก็ได้


‘ดีแล้ว สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมาด้วยเรื่องนี้แหละ’


ด้วยคำคำเดียวนั้นหมายความว่า ทั้งฉันทั้งนายต่างก็มีความเศร้าโศกเช่นเดียวกันเพราะสูญเสียเพื่อนร่วมกลุ่มเนื่องจากสัตว์ประหลาดนั่นเหมือนๆ กัน แน่นอนว่าจริงๆ แล้วพวกผู้เล่นพวกนี้เป็นคนนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเลย แต่หากทำแบบนี้ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ เพราะฉะนั้นผมเองก็เลยคิดว่าแค่ลองดู


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปจริงๆ แล้ว ผมหมุนตัวไปมองสมาชิกเผ่าเพื่อประกาศว่าจะกลับเมืองกันแล้ว อันซลกับอียูจองดูลังเล พอพยักหน้าโดยแฝงสายตาที่ถามว่าเป็นอะไรกัน อันซลจึงทำปากยื่นพลางเปิดปากพูดขึ้นโดยที่สายตาจับจ้องไปทางลูกยูนิคอร์น


“คือว่า ท่านพี่…”


“ทำไม”


“พวกเราลูบเจ้ายูนิสักครั้งแล้วค่อยไปไม่ได้เหรอคะ มันดูเหมือนกำลังเศร้ามากๆ เลย…ไปเฉยๆ ทั้งอย่างนี้มันปวดใจมากนะคะ ฉันอยากปลอบใจมันก่อนค่ะ”


ยูนิ(?)ยังคงห้อยตัวราวกับตายอยู่บนหลังของจ่าฝูง ถึงแม้บอกให้รู้ว่าจะไปแล้วแต่มันก็ไม่แม้แต่จะเงยหัวขึ้นมา ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของมันและเพียงแค่รู้สึกเสียใจมากกว่าที่จะเศร้าสร้อย ผมจ้องมองลูกยูนิคอร์นครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกสงสาร จากนั้นจึงถอนหายใจยาวออกมา


พอมาตอนนี้แล้ว คำพูดของอันซลร้องขออะไรที่มากเกินไปหน่อย ถ้าเป็นตอนที่ก้าวออกไปด้วยกันเพื่ออธิบายสถานการณ์เมื่อครู่นี้ก็อาจจะได้ แต่ตอนนี้รอบข้างลูกยูนิคอร์นมียูนิคอร์นจำนวนมากยืนอยู่ แน่นอนว่าถึงไม่รู้ว่าจะสามารถฝ่าพวกมันเข้าไปลูบได้หรือเปล่า แต่การแยกจากกันตรงนี้เสียเฉยๆ มันรอบคอบที่สุดแล้ว


“ก็แค่…หืม”


เพราะอย่างนั้นผมจึงส่ายหน้าไปมา และในตอนที่กำลังจะบอกว่าให้ไปกันเลยนั้น


ฮฮฮฮี้


คราวนี้ผมได้ยินเสียงร้องอันคุ้นหูพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินฝ่าเข้ามาหาพวกเรา พอเอี้ยวตัวไปด้วยความตกใจจึงเห็นยูนิคอร์นที่เดินเข้ามาตรงหน้าคนอื่นๆ ทีละตัว และจ่าฝูงยููนิคอร์นที่เจอกันครั้งแรกก็เข้ามาทอดสายตามองผมอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าผมเช่นกัน


ในตอนที่ผมรู้สึกงุนงงขึ้นมา การกระทำของยูนิคอร์นต่อจากนั้นก็ทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก จ่าฝูงยูนิคอร์นงอขาทั้งสี่ข้างแล้วนั่งลงตรงหน้าผมอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยกหางยาวๆ นั้นขึ้นมาตีเพียะลงบนหลังของตัวเอง


“…หืม”


ฮฮฮฮี้ เพียะ!


“ทีนี้กำลังบอกให้ขึ้นหลังเหรอ”


หงึกๆ


 พอมองรอบข้างด้วยแววตาสับสน ผมก็ได้เห็นพวกยูนิคอร์นแต่ละตัวย่อตัวลงตรงหน้าสมาชิกเผ่าและผู้เล่นแต่ละคน


“พะ พี่! นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”


“ไม่รู้สิ ลองถามยูนิคอร์นที่อยู่ตรงหน้านายดู เรื่องนี้ฉันเองก็…”


“คะ คือว่านะ กำลังบอกให้ฉันขึ้นขี่งั้นเหรอ จริงเหรอ”


ยูนิคอร์นที่นั่งอยู่ตรงหน้าอันฮยอนมีขนตายาว มันปรายตามองเขาอย่างสวยๆ แล้วจึงพยักหน้าให้เหมือนกันกับจ่าฝูง อันฮยอนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งแล้วใช้หลังมือถูๆ ตรงดวงตา ยูนิคอร์นจ้องมองเขาด้วยใบหน้าเวทนาอะไรบางอย่าง


ถึงแม้จะดูสับสนนิดหน่อย แต่ผมก็ได้เห็นว่าใบหน้าของผู้เล่นที่ช่วยชีวิตมาได้มีสีหน้าตื่นเต้นกึ่งโล่งอก แน่นอนว่าการขี่พวกมันไปดีกว่าการเดินไป พวกเราไม่สามารถขี่พวกมันไปจนถึงเมืองเลยก็จริง แต่ถ้าสามารถขี่ยูนิคอร์นไปได้ ก็จะสามารถย่นระยะเวลาที่ใช้ในการกลับเมืองลงได้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว


ผมเอียงหัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะยอมรับไมตรีจิตของพวกมัน มองอย่างไรก็เป็นสถานการณ์ที่อาจจะเป็นโอกาสอันดีกว่าเดิมก็ได้


ผมยิ้มบางๆ แล้วเปิดปากพูดขึ้นกับสมาชิกเผ่าบางคนที่ไม่กล้าตัดสินใจ


“ดูเหมือนว่าพวกยูนิคอร์นตั้งใจจะมอบความปรารถนาดีให้พวกเรานะครับ มีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่พอดี เพราะฉะนั้นมองยังไงก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ทีเดียว ให้เอาตัวผู้เล่นที่ยังคงไม่ได้สติขึ้นขี่ด้วยกันสองคนและช่วยปฏิบัติต่อยูนิคอร์นอย่างระมัดระวังด้วยครับ”


ผมพูดจบแล้วจึงขึ้นไปนั่งบนหลังของจ่าฝูงยูนิคอร์นก่อนเพื่อแสดงเป็นตัวอย่าง ทันใดนั้นมันก็ยืดขาที่เคยงอลงแล้วลุกขึ้น และผมก็รู้สึกได้ว่าขาของตัวเองค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นด้วยเช่นกัน


ตอนที่ 5

 


 


 


 


“วิธีฝึกยูนิคอร์นให้เชื่องเหรอ ไม่ง่ายเลยนะ ถ้าเผ่าพันธุ์เดียวกันตายก็มีแนวโน้มว่าพวกมันจะโศกเศร้ามากๆ เลยน่ะสิ และถ้าพ่อแม่หรือลูกตาย แนวโน้มแบบนั้นก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ถ้าปล่อยไว้เฉยๆ แบบนั้นก็เรียกได้ว่าถึงขนาดจะกลั้นใจตายได้เลยเชียวนะ เล็งช่วงเวลานั้นไว้ล่ะ โดยเฉพาะพวกตัวเล็กๆ น่ะ จะต้องมีอะไรบางอย่างที่จะเติมเต็มความรู้สึกสูญเสียของพวกมัน ถึงแม้แน่นอนว่าจะต้องมีหญิงสาวบริสุทธิ์กับข้อแม้ที่ว่ายูนิคอร์นจะอยู่ตามลำพังด้วยทั้งสองอย่างก็เถอะ” 


 


 


-อ้างอิงมากจาก ‘วิธีการฝึกยูนิคอร์นให้เชื่อง’ ห้องสมุดกลางบาร์บาร่า เมืองใหญ่ทางเหนือ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


แสงตะวันสลัวๆ ทอแสงอยู่ตรงท้องฟ้าฝั่งทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์ที่ไล้แสงไปตามทุ่งหญ้าค่อยๆ โผล่ออกมาจากที่ไกลๆ ราวกับเจ้าสาวป้ายแดงผู้เขินอาย คงเริ่มทอแสงแรงขึ้นแล้ว ทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวเข้มจึงกำลังถูกย้อมด้วยแสงสีขาวถึงแม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม  


 


 


ยามเช้าของทุ่งหญ้าที่ค่อยๆ คืบคลานมาเงียบสงบแต่งดงาม ทุ่งหญ้าที่เคยเต็มไปด้วยแสงยามค่ำคืนอันมืดมิดตลอดช่วงเช้ามืดกลับทอแสงประกายอย่างชัดเจนในชั่วพริบตา 


 


 


และแล้วในตอนที่แสงสีขาวทำให้ทั่วทุกมุมส่องสว่างจนถึงจุดที่ไกลโพ้นของทุ่งหญ้า แสงอาทิตย์ก็ส่องให้เห็นผู้เล่นคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งสัปหงกบนผืนหญ้า ทั่วทั้งร่างถูกห่อหุ้มไปด้วยชุดคลุม เพราะฉะนั้นจึงมองไม่เห็นทั้งใบหน้าและร่างกาย แต่ถ้าได้เห็นเส้นผมที่แซมออกมาตรงใต้ฮู้ดแล้วพลิ้วไหวไปมาถึงแม้จะยุ่งเหยิงนิดหน่อยก็ตาม บางทีก็อาจจะคาดเดาได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้หญิง 


 


 


คงรู้สึกได้ถึงแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างมาตรงใบหน้า หัวที่เคยสัปหงกอย่างไร้ความปรานีจึงหยุดชะงักไปครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ ทอดสายตามองท้องฟ้าแล้วใช้นิ้วเรียวบางจับฮู้ดเปิดไปด้านหลัง 


 


 


ใบหน้าที่ปรากฏออกมาให้เห็นในที่สุดมีภาพลักษณ์ภายนอกเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน เป็นหญิงงามที่มีสันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางที่ปิดสนิทอยู่ และคิ้วที่โก่งขึ้นไปเล็กน้อย 


 


 


ถ้านอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาในที่ที่มีทิวทัศน์อันสวยงามแบบนี้ก็น่าจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใสแท้ๆ แต่ดวงตาของหญิงสาวซึ่งเต็มไปด้วยความง่วงงุนกลับเจือท่าทีหงุดหงิดไม่น้อย เธอสูดน้ำมูกที่ไหลลงมาบนร่องเหนือริมฝีปากดังฟืด จากนั้นก็ห่อไหล่อย่างเต็มที่แล้วริมฝีปากสวยได้รูปก็เปิดออก 


 


 


“โอ๊ะ หนาวจัง” 


 


 


“ทำตัวไร้ประโยชน์อีกแล้วนะคะ ไร้ประโยชน์ ยัยเด็กคนนี้ นอนหลับปุ๋ยมาจนถึงตอนนี้ พอตื่นขึ้นมาแล้วพูดว่าหนาวเนี่ยนะ” 


 


 


คงตกใจกับคำตอบที่ได้ยินอย่างฉับพลัน หญิงสาวจึงเบิกตาโตแล้วหันไปมองด้านข้าง ตรงนั้นมีหญิงสาวอีกคนซึ่งทั่วทั้งร่างถูกห่อหุ้มไปด้วยชุดคลุมนั่งอยู่อย่างที่คิด และเธอกำลังจ้องมองหญิงสาวที่เพิ่งตื่นเมื่อครู่นี้ด้วยแววตาเอือมระอา 


 


 


หญิงสาวมองพิจารณาเธออย่างตั้งอกตั้งใจด้วยดวงตาที่จวนจะปิด จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันกลับมาอีกครั้ง 


 


 


“พี่พูดแบบนั้นแต่หน้าก็เพิ่งตื่นเหมือนกันแหละน่า” 


 


 


“นี่ ซอลมินฮี เช็ดขี้ตาที่ติดอยู่ตรงตาเธอแล้วค่อยพูดเถอะ แล้วก็ฉันตื่นนอนก่อนเธออีกนะ” 


 


 


“ฉันนอนดึกกว่าพี่ไง เพราะฉะนั้นก็เสมอกัน” 


 


 


“เฮ้อ เอาเถอะ เลิกเถียงกัน คิดดูแล้วไม่ว่าจะเธอหรือฉันก็ไม่ได้ทำอะไรดีเลยสักอย่าง” 


 


 


คงเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพี่ ซอลมินฮีจึงหาวหวอดๆ พลางพยักหน้า 


 


 


หญิงสาวทั้งสองจบบทสนทนานั้นแล้วทอดสายตามองไปยังด้านหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง พระอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้นมาแล้ว แต่คงยังไม่พอต่อการขับไล่ไอเย็นที่แฝงอยู่ลึกๆ ในทุ่งหญ้า ไอเย็นยะเยือกจึงยังคงหลงเหลืออยู่ ใบหน้าของซอลมินฮีที่จ้องมองด้านหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่รู้ตัวอีกทีกลับกำลังถ่ายทอดความรู้สึกเหนื่อยล้าออกมาจากทั่วทั้งร่าง 


 


 


“ฟู่ ฟู่” 


 


 


คงคิดจะทำให้ร่างกายที่หนาวเหน็บมาทั้งคืนผ่อนคลายลง ซอลมินฮีจึงถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วเป่าลมเข้าไปตรงกลาง 


 


 


“พี่โซรา ฉันหนาวจัง” 


 


 


“เพราะว่านอนเพิ่งตื่นนั่นแหละ ขยับตัวสักหน่อยสิ” 


 


 


ซอลมินฮีไม่สนใจแล้วห่อตัวเข้าหากันมากกว่าเดิมแม้โซราจะแนะนำ 


 


 


“ฟู่ พี่โซรา” 


 


 


“ถ้าบอกว่าหนาวอีก ฉันจะฉีกปากเธอเป็นชิ้นๆ แล้วนะ จริงๆ” 


 


 


“พวกเราจะต้องอยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไรเหรอ” 


 


 


“…” 


 


 


คำถามนี้ หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าโซราปิดปากฉับราวกับว่ายากมากๆ ที่จะตอบคำถามนี้ทันที แต่สายตาของซอลมินฮีที่จ้องมองเธอมาก็ค่อยๆ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้สายตาคู่นั้นรวมความมุ่งมั่นที่จะฟังคำตอบให้ได้ 


 


 


โซราเลียริมฝีปากครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าไปมา 


 


 


“เฮ้อ ไม่รู้หรอก คงต้องรอจนกว่าจะมีการติดต่อเข้ามาก่อนน่ะ” 


 


 


“เมื่อวานมีการติดต่อเข้ามาแล้วนี่ไง ทางลูกแก้วคริสตัล” 


 


 


“เมื่อวานเหรอ อ๋อ นั่นน่ะเหรอ เธอเชื่อเรื่องไร้สาระนั่นหรือไง” 


 


 


“คนที่เคยอยู่ในทีมรอคำสั่งบอกว่าเจอแน่ๆ แล้วไง เจอร่องรอยแล้วด้วย” 


 


 


“คุณหนูมินฮีผู้ไร้เดียงสาของฉัน นั่นน่ะเขาบอกว่าเป็นร่องรอยของสัตว์สี่เท้าที่เดินผ่านไปเป็นฝูงใหญ่ตามที่พูดมานั่นแหละ บอกว่าม้าสีขาวเป็นสิบๆ ตัวให้คนขี่หลังแล้วเดินผ่านไปใช่ไหมล่ะ ยูนิคอร์นงั้นเหรอ” 


 


 


โซราส่ายหัวไปมาด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าไร้สาระ 


 


 


“อย่าพูดเรื่องไร้สาระไปหน่อยเลย เผลอๆ คงจะสัปหงกอยู่แล้วเห็นภาพหลอนเหมือนเธอแหงๆ” 


 


 


“…” 


 


 


ซอลมินฮีเอียงหัวนิ่งๆ แล้วทำแก้มซึ่งยังคงมีเนื้อหนังให้พองออกเล็กน้อย 


 


 


“เพราะอย่างนั้นก็เลยบอกว่าให้รอไปเรื่อยๆ แบบนี้น่ะเหรอ พวกเราเป็นทีมไล่ล่านะ เหมือนกับทำเรื่องที่จะต้องทำในป่าอันอุดมสมบูรณ์เสร็จตั้งแต่แรกแล้วนี่ รอตะครุบแบบนี้เป็นงานที่พวกทีมรอคำสั่งทำกันต่างหาก แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้เหรอ” 


 


 


“ทางนั้นออกคำสั่งมาว่าให้ทำแบบนี้นี่ ก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วก็เห็นว่ามีราชินีแห่งเงามืดอยู่ในกลุ่มพวกผู้เล่นที่จะจู่โจมครั้งนี้ด้วยนะ ราชินีแห่งเงามืดไง ราชินีแห่งเงามืดเชียวนะ ไม่รู้จักเหรอ เป็นสถานการณ์ที่น่าเสียดายต่อคนคนหนึ่งมากเลยนะ ว่าแต่ไม่พอใจอะไรขนาดนั้น” 


 


 


ครั้งนี้ซอลมินฮีปิดปากเงียบ แต่ไม่นานคงนึกถึงชื่อเสียงของราชินีแห่งเงามืดได้ เธอจึงกลืนน้ำลายเอื้อกจนลำคอขยับขึ้นลงไปมา สีหน้าต่อมาของซอลมินฮียอมรับเรื่องนี้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ความไม่พอใจก็คงจะยังไม่หายไปไหน แก้มของเธอจึงยังพองออกอยู่ 


 


 


คงสังเกตเห็นท่าทีแบบนั้น โซราจึงเสียงอ่อนลงเล็กน้อย 


 


 


“ฉันก็หงุดหงิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันเลยบอกให้โจมตีก่อนเข้าไปแบบนั้นไง แต่ก็ไม่ฟังกันเลย” 


 


 


“ถ้างั้นพี่ก็พูดอีกรอบสิ” 


 


 


“พูดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา จะชวนให้เข้าไปในที่ราบสูงแห่งความเพ้อฝันทั้งอย่างนี้เหรอ บ้าไปแล้วเหรอ” 


 


 


“ถ้าไม่อยากก็ล้มเลิกไปซะตอนนี้แหละ ถึงอย่างนั้นพี่ซึงกูก็เชื่อฟังคำพูดของพี่อยู่แล้วนี่” 


 


 


“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็เถอะ ถ้าครั้งหน้ามีการติดต่อเข้ามาอีก เธอก็ปิดปากเงียบอยู่เฉยๆ เลยนะ อย่ากระโดดโลดเต้นไปทั่วเหมือนเมื่อวานล่ะ” 


 


 


โซราพูดตัดบทด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าจะไม่ฟังอะไรอีก จากนั้นจึงเลียริมฝีปาก 


 


 


“…” 


 


 


“…” 


 


 


และแล้วหญิงสาวทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับนัดกันไว้ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ทิวทัศน์ของฮอลล์เพลน ไม่ว่ามองเมื่อไรก็มักจะทำให้อารมณ์ดี ธรรมชาติที่เห็นไม่ได้ในยุคปัจจุบันกำลังออกมาบิดขี้เกียจกัน อีกทั้งทิวทัศน์ที่ออกมาต้อนรับยามเช้าก็สงวนไว้ซึ่งความน่าอัศจรรย์ใจ 


 


 


ผมยื่นหัวออกมาเล็กน้อยแล้วหันไปมองด้านนอกโดยที่ยังฝังตัวไว้ในถุงนอน ทันใดนั้น สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพันซึ่งแผ่ขยายกว้างออกไป ความเปียกชื้นสัมผัสกับใบหน้าที่ปัดผ่านต้นหญ้า ทั่วทั้งที่ราบมีหมอกสีขาวมัวลงอยู่ และผิวด้านนอกของใบหญ้าทั้งหลายก็มีน้ำค้างเกาะพร้อมกับส่องแสงแพรวพราวอยู่เช่นกัน 


 


 


ฮี้… 


 


 


พอขยับตัวเล็กน้อยก็คงจะตื่น อะไรบางอย่างที่เคยนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของผมจึงส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ พอเบนสายตาลงจึงเห็นลูกยูนิคอร์นซึ่งหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอและหลังขยับขึ้นลง เมื่อคืนตอนกำลังนอนอยู่หลังจากเฝ้ายามตอนกลางคืนเสร็จ เจ้าตัวร้ายก็แทรกเข้ามาด้านในถุงนอนของผม 


 


 


พอลูบหลังให้เบาๆ มันคงจะอารมณ์ดีจึงเริ่มส่ายหางสั้นๆ ไปทางซ้ายทีทางขวาที แต่พอเอามือออก หางของมันก็ลู่ลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้าลูบก็จะส่ายไปมาอีกครั้ง และถ้าเอามือออกก็จะลู่ลง เป็นแบบนี้ซ้ำๆ 


 


 


ฮี้ 


 


 


พอผมไม่ยอมลูบไปมากกว่านี้ มันก็เอี้ยวตัวเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างยากลำบาก พอมองท่าทางนั้น ริมฝีปากของผมจึงยิ้มบางๆ ออกมาโดยอัตโนมัติ ผมลูบหลังของลูกยูนิคอร์นอีกครั้งแล้วคิดทบทวนขั้นตอนจนกว่าจะถึงที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพันอย่างรอบคอบ 


 


 


พูดตามตรงว่าผมคิดว่าพวกยูนิคอร์นจะพาออกมาจากที่ราบสูงแห่งความเพ้อฝันเท่านั้น ไม่สิ ถ้าไปอย่างมากที่สุดก็น่าจะหยุดตอนที่ลงจากภูเขาแห่งความเพ้อคลั่ง แต่ความคิดแบบนั้นของผมกลับพลาดเป้าอย่างสุดขีด 


 


 


ถึงแม้ยูนิคอร์นจะลงมาจากภูเขาแห่งความเพ้อคลั่งแล้ว แต่ก็ยังคงเอื้อเฟื้อต่อด้วยการพาเดินผ่านป่าอันอุดมสมบูรณ์จนมาถึงที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพัน เพราะอย่างนั้น ถ้าจะบอกว่าร่นระยะเวลาในการกลับเมืองลงได้อย่างก้าวกระโดดก็เป็นการพูดซ้ำซากเสียเปล่าๆ 


 


 


การขี่ยูนิคอร์นเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์มากๆ ซึ่งผมเองก็ยังไม่เคยได้ลองทำ ถึงแม้จะให้ความรวดเร็วปานสายลมเป็นเรื่องรอง แต่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผมทำได้เพียงอุทานออกมาด้วยความประทับใจกับความสามารถในการวิ่งฉลุยแม้แต่ในลักษณะภูมิประเทศอันโหดร้าย ราวกับว่ามันเป็นที่ราบเท่านั้น 


 


 


เด็กๆ บางคนคงไม่คุ้นเคยกับการขี่ม้าจึงกระวนกระวายใจออกมาเป็นช่วงๆ แต่พอผ่านไปหนึ่งวัน ความกังวลแบบนั้นจึงหายไปราวกับถูกล้าง ยิ่งกว่านั้น หลังจากลงมาจากเขาแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะภูมิประเทศแบบพื้นเรียบ เพราะอย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นความรู้สึกเหมือนกับนั่งรถดีไหมนะ 


 


 


ยูนิคอร์นทำให้รู้สึกถึงความสะดวกสบายในการขับขี่(?)ที่ดีที่สุดจนอยากจะมีสักตัวจริงๆ เจ้าพวกนี้เข้าใจและมีความสามารถในการหาจุดสมดุลพร้อมทั้งทำให้สบายได้ด้วย 


 


 


‘ลักพาตัวไปสักตัวจะได้ไหมนะ’ 


 


 


ผมรู้ว่าเป็นความคิดไร้สาระ แต่ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มีบุคลิกและลักษณะอันมีเสน่ห์ ผมระเบิดหัวเราะคิกคักออกมาแล้วจ้องมองลูกยูนิคอร์นที่กำลังหลับอยู่เงียบๆ 


 


 


มันดีขึ้นเยอะมากจากวันแรกที่เอาแต่ร้องไห้งอแง แต่เจ้าตัวนี้ยังคงไม่สามารถสลัดความเศร้าโศกทิ้งไปได้ ทั้งเด็กๆ ทั้งยูนิคอร์นตัวอื่นต่างก็ดูเหมือนเป็นห่วงมันมากๆ เพราะพออยู่เฉยๆ มันก็มักจะน้ำตาหยดติ๋งๆ ลงมา 


 


 


แต่เฉพาะตอนอยู่กับผมเท่านั้นที่จะแสดงให้เห็นท่าทียิ้มแย้ม แม้จะแค่บางครั้งก็ตาม พูดตามตรงว่าเรื่องนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ผมไม่เข้าใจ ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มักจะเลือกตามหญิงสาวบริสุทธิ์ แต่การที่มันมาตามผมที่ทั้งต่างเพศและไม่ใช่ทั้งหญิงบริสุทธิ์(?)ถึงขนาดนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ 


 


 


‘หรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับฮวาจองหรือเปล่านะ’ 


 


 


ถ้าดูจากที่ปฏิกิริยาตอบสนองของยูนิคอร์นตัวอื่นๆ รวมถึงจ่าฝูงเองก็ดูมีความเป็นมิตรขึ้นมาก ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายสักเท่าไร เพียงแค่ผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องนี้อย่างละเอียดในตอนนี้ก็เท่านั้น ผมคิดจะลองหาข้อมูลดูตามลำพังทีหลังพร้อมกับเอาตัวลูกยูนิคอร์นเข้ามากอด จากนั้นจึงออกจากถุงนอนแล้วลุกขึ้นเดินผ่ากลางค่ายพักแรมไป 


 


 


ฮี้ ฮี้ 


 


 


อยู่ในถุงนอนอุ่นๆ แล้วออกมาข้างนอกก็เลยน่าจะหนาว ลูกยูนิคอร์นจึงกระดุ๊กกระดิ๊กไปมาแล้วมุดเข้ามาในอ้อมแขนของผมมากกว่าเดิม ผมลูบเจ้ายูนิคอร์นที่ทำท่าทางแบบนั้นอย่างอ่อนโยนแล้วจึงมองภาพผู้เล่นกับยูนิคอร์นที่อยู่ด้วยกัน 


 


 


พระอาทิตย์ลอยขึ้นมาอย่างเด่นชัดโดยไม่ทันตั้งตัว แสงที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าจึงส่องมารวมกันอยู่ทั่วทั้งทุ่งหญ้า ถุงนอนที่วางเรียงรายกันกับยูนิคอร์นที่นอนอยู่รวมกันเป็นฝูง รวมถึงอันซลกับอียูจองที่นอนเอาหัวชนกันอย่างสนิทสนมด้วย 


 


 


ผมถอนหายใจเฮือกแล้วเดินเข้าไปใกล้พวกเธอมากขึ้น ทั้งสองคนกำลังนอนหลับสนิทจนถึงขึ้นส่งเสียงกรนออกมาด้วย 


 


 


 


 


 


“แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณที่พามานะ” 


 


 


ฮฮฮฮี้ 


 


 


พอปริปากพูดขึ้นโดยใส่ความเป็นมิตรลงไปเต็มๆ จ่าฝูงยูนิคอร์นก็ส่ายหน้าช้าๆ ท่าทางนั้นเหมือนกำลังบอกว่าไม่ใช่เลย พวกเรากลับต้องเป็นฝ่ายขอบคุณมากกว่า 


 


 


ในที่สุด พวกยูนิคอร์นก็พาพวกเรามาจนถึงชายที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพัน ตอนนี้แค่สองวันก็เพียงพอที่จะไปถึงโมนิก้าได้แล้ว 


 


 


เด็กๆ ดูท่าจะอยากอยู่ด้วยกันกับพวกยูนิคอร์นนานกว่านี้อีกหน่อย แต่เรื่องนี้คงยากสักหน่อย เพราะหากเข้าไปในปากทางเข้าที่ราบก็จะได้พบเจอกับพวกผู้เล่นคนอื่นๆ แล้ว 


 


 


มองอย่างไรก็มองได้ว่าตอนนี้เองก็เป็นสถานการณ์อันตรายสำหรับพวกยูนิคอร์นเหมือนกัน เพราะต่อให้บอกว่ามีกันยี่สิบตัวรวมถึงจ่าฝูงด้วย แต่ก็อาจจะถูกพวกคนหน้ามืดตามัวล่าได้ 


 


 


“ฮึก…” 


 


 


“ลาก่อนนะ” 


 


 


บอกลากันไปเรียบร้อยแล้วก็จริง แต่พวกเด็กๆ ทางด้านหลังทำท่าทีเสียดายออกมาอย่างไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะอันฮยอน เขาจับคอของยูนิคอร์นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วถูไถอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะอย่างนั้นสุดท้ายก็เลยถูกมันเอาหางฟาดหน้า ยูนิคอร์นหน้าตาสวย(?)ที่อยู่ด้านหลังของจ่าฝูงยูนิคอร์นตรงหน้าผมทำท่าทีอารมณ์ไม่ดีออกมาอย่างต่อเนื่อง 


 


 


ผมมองท่าทีนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นจึงพูดขึ้นกับลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังมองผมไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่นี้อย่างอ่อนโยน 


 


 


“ทีนี้ถึงเวลาที่จะต้องแยกกันแล้ว นายเองก็สลัดความเศร้าทิ้งไปแล้วก็สู้เข้านะ” 


 


 


ฮี้…


ตอนที่ 6

 


 


 


 


เสียงของมันสั่นเครือ คงคิดว่าตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องแยกกันแล้วจริงๆ ลูกยูนิคอร์นจึงเริ่มมีน้ำตาคลอเต็มหน่วยอย่างรวดเร็ว พอมองท่าทางนั้นก็น่าแปลกที่ผมเองก็รู้สึกเหมือนใจอ่อนยวบลงเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นจึงตัดสินใจที่จะจากลากันไปให้เร็วที่สุด ผมโบกมือแล้วบอกลาจ่าฝูงยูนิคอร์นเป็นครั้งสุดท้าย 


 


 


“แยกกันตอนนี้น่าจะดีแล้ว จะบอกเผื่อไว้ว่าให้ระวังตอนเดินทางกลับด้วย ถ้างั้นก็ไปนะ” 


 


 


ผมหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ได้เห็นสมาชิกเผ่าที่กำลังทำหน้าเสียใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ผมเหมือนจะรู้ว่าสายตานั้นมีความหมายว่าอะไร แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน 


 


 


ผมจับจ้องไปทางผู้เล่นที่สมาชิกเผ่าแบกอยู่ จากนั้นจึงเปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 


 


 


“จะเดินทางกลับเมืองตอนนี้กันเลยนะครับ โชคดีที่ทั้งสามคนยังคงมีลมหายใจอยู่ คราวนี้อาจจะรอดตายจริงๆ ก็ได้ครับ” 


 


 


ตอนนั้นพวกผู้เล่นจึงได้พยักหน้าอย่างยากลำบากราวกับตั้งสติได้ 


 


 


ในตอนที่กำลังจะประกาศว่าจะออกเดินทาง ตอนที่กำลังจะก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจับชายเสื้อผมแล้วดึงไว้ 


 


 


พอหันไปมองด้านหลงจึงได้เห็นว่าจ่าฝูงยูนิคอร์นกำลังกัดเสื้อของผมอยู่ ไม่ใช่ลูกยูนิคอร์น เป็นครั้งแรกที่จ่าฝูงกัดผม พอจ้องมองมันนิ่งๆ ด้วยความตกใจไม่น้อย มันจึงปล่อยชายเสื้อออกแล้วส่งเสียงร้องเบาๆ 


 


 


ฮฮฮฮี้ 


 


 


“ทำไม” 


 


 


ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ 


 


 


“เดี๋ยวสิ ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…แต่บอกแล้วไงว่าไม่รู้เรื่องน่ะ” 


 


 


ใบหน้าของจ่าฝูงยูนิคอร์นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก พอยักไหล่ไป มันก็หันไปด้านหลังแล้วจึงพยักหน้าแรงๆ หนึ่งครั้งทันที ตอนนั้นเอง 


 


 


ฮฮฮฮี้ 


 


 


ลูกยูนิคอร์นกำลังยืนนิ่งอยู่พร้อมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ตอนนั้นเองยูนิคอร์นโตเต็มวัยตัวหนึ่งซึ่งรับสัญญาณจากจ่าฝูงยูนิคอร์นก็ก้าวออกมาด้านหน้าแล้วดันลูกยูนิคอร์นที่ยืนอยู่เฉยๆ เบาๆ ซึ่งดันมาทางฝั่งที่ผมอยู่ 


 


 


ฮี้ 


 


 


ฮฮฮฮี้ 


 


 


ฮี้ๆ 


 


 


ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ 


 


 


ลูกยูนิคอร์นคงจะตกใจมาก มันเลยรีบหันกลับไปมองด้านหลัง แต่การกระทำของยูนิคอร์นโตเต็มวัยก็ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าลูกยูนิคอร์นจะแสดงให้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบไหน มันก็เพียงแค่ดันตรงก้นอยู่เงียบๆ เท่านั้น ในตอนที่ลูกยูนิคอร์นเอาชนะเรี่ยวแรงของยูนิคอร์นโตเต็มวัยไม่ได้แล้วถูกผลักมาด้านหน้าก้าวสองก้าว ผมจึงพูดขึ้นกับจ่าฝูงยูนิคอร์นที่เพียงแค่มองการกระทำนั้นอยู่เงียบๆ 


 


 


“เดี๋ยวก่อน พวกนายกำลังทำอะไรกันน่ะ” 


 


 


แน่นอนว่าไม่มีคำตอบกลับมา ไม่สิ ถึงแม้ว่ามันจะตอบแต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี จ่าฝูงยูนิคอร์นจ้องมองผมด้วยดวงตาหยี เป็นแบบนั้นนานแค่ไหนแล้วนะ จ่าฝูงเดินมาสองสาวก้าวตรงหน้าของผมแล้วจู่ๆ ก็ก้มหัวลง 


 


 


“…” 


 


 


ผมตะลึงงัน ยูนิคอร์นที่มีความระแวดระวังสูงและมีความทะนงตัวอย่างมาก แต่เจ้าตัวที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝูงกลับกำลังก้มหัวให้ผู้ชาย 


 


 


ฮี้ ฮี้! 


 


 


ในตอนที่ผมกำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ลูกยูนิคอร์นก็ถูกดันเข้ามาให้ถึงตัวผม มันหันหน้าไปมาไม่หยุดราวกับทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน แต่ยูนิคอร์นตัวอื่นๆ นั้นไม่มีตัวไหนออกมาเลย เพียงแค่จ้องมองลูกยูนิคอร์นที่ถูกดันด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า 


 


 


‘หรือว่านี่…’ 


 


 


ผมรีบทำใจให้สงบ ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องรู้ราวมากแค่ไหนแต่มาจนถึงตอนนี้แล้วก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้ความตั้งใจของจ่าฝูงยูนิคอร์นแน่ ผมจับให้หัวของมันซึ่งยังคงก้มอยู่ให้เงยขึ้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงสุขุม 


 


 


“หรือว่าพวกนาย ต้องการให้ฉันรับเลี้ยงลูกยูนิคอร์นงั้นเหรอ” 


 


 


ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ 


 


 


จ่าฝูงยูนิคอร์นพยักหน้า ในตอนที่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองนั้น ผมก็กลืนน้ำลายลงไปในคอเอื้อกใหญ่ อย่างไรก็อยากได้ยูนิคอร์นสักตัวเหมือนกัน แต่นี่มันเหมือนกับกลิ้งเข้ามาหาโดยอัตโนมัติ 


 


 


แต่ผมก็ชอบใจเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผมรีบใช้ความพยายามในการจัดการสีหน้าแล้วทีนี้จึงเหลือบตาไปมองลูกยูนิคอร์นซึ่งถูกดันเข้ามาตรงข้อเท้าของผม 


 


 


คราวนี้เจ้าตัวก็คงลังเลใจ มันจึงเงยหน้ามองผมด้วยดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง และยูนิคอร์นโตเต็มวัยที่พาลูกหลานของมันมาจนถึงตรงนี้ก็ทำท่าเหมือนจัดการงานที่ตัวเองต้องทำเสร็จหมดแล้ว จึงเดินกลับไปยังที่เดิมของตัวเอง 


 


 


ความเงียบสงบปกคลุมอยู่ทั่ว ทั้งจ่าฝูงยูนิคอร์น ทั้งลูกยูนิคอร์น ไม่สิ ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่กำลังจ้องมองผม ในตอนที่กำลังเรียบเรียงความคิดว่าจะต้องพูดอย่างไรตรงนี้ดี เสียงพูดอันแผ่วเบาก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง 


 


 


“หรือว่า…ขอฝากเอาไว้ชั่วคราวคะ” 


 


 


คนที่ปริปากพูดขึ้นมาเมื่อครู่นี้คือผู้เล่นที่พวกเราช่วยชีวิตออกมาจากคุกใต้ดินเป็นคนแรกสุด และคงเพราะสะเทือนใจอย่างรุนแรงจากคุก พวกเราจึงแทบไม่มีโอกาสได้ยินเสียงของเธอเลย แต่ว่าจู่ๆ ลมอะไรพัดมาไม่รู้ เธอจึงกำลังพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ 


 


 


“ในกลุ่มพวกผู้เล่นที่ฉันรู้จักมีพี่สาวคนหนึ่งที่เลี้ยงยูนิคอร์นให้เชื่องอยู่น่ะค่ะ พี่สาวคนนั้นเมื่อก่อนเคยพูดว่า ยูนิคอร์นที่สูญเสียพ่อแม่ไปจะจมอยู่ในความรู้สึกสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมากๆ และถ้าไม่สามารถเอาชนะความโศกเศร้านั้นได้ ก็จะเครียดจนปลิดชีวิตตัวเอง…” 


 


 


“เดี๋ยวก่อนนะครับ แต่ยูนิคอร์นตัวนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวนะครับ มองแค่ตรงหน้าในตอนนี้ก็เห็นแล้วว่ามีฝูงหากินด้วยกันเกินยี่สิบตัวเลยนะครับ” 


 


 


“ระหว่างมาก็น่าจะเห็นนะคะ ว่าต่อให้มีเพื่อนร่วมกลุ่ม ความโศกเศร้าของยูนิคอร์นก็ไม่ได้ดีขึ้นมาง่ายๆ หรอกค่ะ แต่มีเพียงแค่ตอนที่อยู่ด้วยกันกับลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เท่านั้นที่แม้จะแค่บางครั้งแต่ก็แสดงท่าทียิ้มแย้มไม่ใช่เหรอคะ” 


 


 


“เรื่องนั้น…” 


 


 


“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมลูกยูนิคอร์นถึงเอาแต่ตามลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ขนาดนั้นค่ะ ถึงอย่างนั้นสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ในตอนนี้ก็คือ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะสลัดความโศกเศร้าของลูกยูนิคอร์นทิ้งไปได้ก็คือลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ ในระหว่างที่มาที่นี่ พวกยูนิคอร์นก็คงรู้สึกได้ถึงเรื่องนั้น และเพราะอย่างนั้นก็เลยตั้งใจจะขอร้องไม่ใช่เหรอคะ” 


 


 


แม้จะยาวสักหน่อยแต่หญิงสาวก็พูดอย่างชัดเจน จากนั้นเธอก็ก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วปิดปากเงียบไป บางทีคงจะบอกความจริงที่ตัวเองรู้อยู่ออกมาทุกอย่างก็ได้ 


 


 


ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียด จากนั้นจึงสบตากับจ่าฝูงยูนิคอร์นแล้วพูดขึ้นอย่างสุขุม 


 


 


“หมายความว่าจะขอให้ลูกยูนิคอร์นมาอยู่กับฉันตามที่ผู้หญิงข้างหลังพูดงั้นเหรอ หมายความว่าฉันน่ะ…เหมาะสมที่สุดในการเป็นคนที่จะสามารถเติมเต็มความรู้สึกเดียวดายของเด็กคนนี้ได้งั้นสินะ” 


 


 


หงึกๆ 


 


 


“อืม…ถ้างั้นถ้าหมายความว่าจะฝากไว้กับฉันสักพัก ก็จะต้องพาไปคืนให้ทีหลังอีกทีสินะ” 


 


 


ครั้งนี้จ่าฝูงยูนิคอร์นไม่พยักหน้า มันก้มลงมองลูกยูนิคอร์นที่ทรุดนั่งลงตรงพื้นแทนแล้วร้องด้วยเสียงต่ำๆ ผมไม่รู้แบบละเอียดนักหรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนมันกำลังพูดว่า ‘เรื่องนั้นน่ะ พอถึงเวลานั้นค่อยให้เด็กคนนี้ตัดสินใจ’ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการตีความไปตามอำเภอใจของผมก็เถอะ 


 


 


แน่นอนว่าลูกยูนิคอร์นทำหางลู่ลง อีกทั้งยังทำหูตกด้วย แต่พอผมใช้มือทั้งสองข้างโอบกอดมันเข้ามา หูของมันก็ตั้งขึ้นแล้วหางก็ส่ายไปมาทันที 


 


 


ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรในตัวผมกันแน่ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ แต่ผมก็จับหน้าของลูกยูนิคอร์นให้เงยขึ้นเพื่อสบตากับมันก่อน จากนั้นผมก็มองดวงตาใสแจ๋วของมันพร้อมกับเปิดปากพูดขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา 


 


 


“เด็กน้อย นายอยากทำยังไงล่ะ” 


 


 


ฮี้ 


 


 


“จะลองมาอยู่ด้วยกันกับฉันสักพักหรือว่าจะตามพวกเพื่อนร่วมฝูงไปด้วยเฉยๆ ล่ะ ไม่ว่านายจะเลือกแบบไหน ฉันก็จะเคารพการเลือกของนายนะ และการเลือกของนายก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดด้วย” 


 


 


ฮี้… 


 


 


ลูกยูนิคอร์นทำสีหน้าลำบากใจในทันที มันมองผมหนึ่งครั้ง แล้วก็มองจ่าฝูงยูนิคอร์น จากนั้นก็มองเพื่อนร่วมกลุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังผม แล้วก็มองพวกยูนิคอร์นอีกครั้ง 


 


 


เจ้าตัวน้อยที่หันหน้าสลับไปมาแบบนั้นขยับเท้าทั้งสี่โดยที่แววตายังคงเจือความขัดแย้งกันอยู่ ตอนที่มันมองลงไปที่พื้น ผมจึงโน้มตัวลงไปตรงพื้นหามันตรงๆ แต่มันกลับวิ่งไปหาจ่าฝูงยูนิคอร์นแล้วร้องด้วยเสียงอันแผ่วเบา 


 


 


ฮี้ ฮี้ๆ ฮี้ๆๆ 


 


 


ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ 


 


 


ฮี้ๆๆๆ ฮี้ๆๆๆๆ 


 


 


ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮี้ 


 


 


 


 


 


ทั้งสองตัวเหมือนกำลังคุยกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นาน ลูกยูนิคอร์นก็เริ่มเอาหัวถูไถตรงขาของจ่าฝูงยูนิคอร์น จ่าฝูงยูนิคอร์นค่อยๆ หลับตาลงแล้วเอาริมฝีปากถูตรงหัวของเจ้าตัวน้อยช้าๆ และริมฝีปากที่ประทับลงไปตั้งแต่ส่วนหัวก็ไล้ไปตามลำคอ ผ่านหลัง จนไปถึงส่วนก้น ขั้นตอนการถูไถทั่วทั้งตัวของกันและกันแบบนั้นไม่ยอมจบลงง่ายๆ แม้จะเกินหนึ่งนาทีแล้วก็ตาม 


 


 


หลังจากประทับริมฝีปากลงทุกส่วนแล้ว ยูนิคอร์นจ่าฝูงก็จ้องมองผมหนึ่งครั้งด้วยสายตาอันแรงกล้าแบบที่ไม่เคยมีก่อนหน้านี้แล้วหันตัวพรึ่บไป ทันใดนั้นลูกยูนิคอร์นซึ่งอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเดินไปพร้อมกับจ่าฝูง เดินไปทางจุดที่พวกยูนิคอร์นรวมตัวกันอยู่ 


 


 


“อ้า…” 


 


 


“อุ๊ยตาย” 


 


 


‘จิ๊’ 


 


 


เสียงอุทานด้วยความเสียดายดังออกมาจากเด็กๆ สุดท้าย ลูกยูนิคอร์นก็ไม่เลือกผม มองอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นการเลือกที่เป็นไปตามคาดอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่เสี้ยวหนึ่งในใจต้องรู้สึกเสียดาย ผมพูดอ้อมค้อมนิดหน่อยเพราะดูเหมือนว่าในภายภาคหน้าอาจจะเชื่อมสัมพันธ์กันได้ แต่กลับกลายเป็นว่าพูดให้ตรงกว่านี้สักหน่อยน่าจะดีกว่า 


 


 


ผมจิ๊ปากในใจพร้อมกับมองภาพด้านหลังของลูกยูนิคอร์นที่เดินห่างออกไป จากนั้นผมเองก็หมุนตัวหันหลังอย่างช้าๆ รู้สึกเสียดายจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าจะต้องพอใจด้วยเหมือนกันกับเรื่องที่สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ที่ไม่เลวร้ายกับพวกยูนิคอร์นได้ 


 


 


ตอนนั้นเอง 


 


 


ฮฮฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮฮฮี้ ฮฮฮฮฮฮี้ 


 


 


แต่แล้วเสียงดังลั่นของพวกยูนิคอร์นก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน พอหันหน้าขวับไปก็เห็นลูกยูนิคอร์นที่หยุดเดินกลางคันและพวกยูนิคอร์นตัวอื่นๆ ที่มองเจ้าตัวน้อยต่างก็ร้องคร่ำครวญ 


 


 


จากนั้นลูกยูนิคอร์นก็ยกขาขวาหน้าขึ้นมาเหมือนตอนแยกจากกันกับพวกเราเมื่อครั้งก่อน แต่นั่นไม่ได้ยกมาทางพวกเรา กลับยกไปทางพวกยูนิคอร์นที่อยู่ทางฝั่งตรงข้าม 


 


 


และในตอนที่เสียงร้องคร่ำครวญเบาลง มันก็หมุนตัวมาทางฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มวิ่งมายังจุดที่พวกเราอยู่ ทันทีที่เห็นภาพนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าความคิดที่เคยตัดสินใจว่าะต้องยอมแพ้แน่ๆ แล้วกลับพลิกผันในพริบตาเดียว 


 


 


“โอ๊ะ มาหาเหรอ มาจริงๆ ใช่ไหม” 


 


 


“จะ เจ้ายูนิ!” 


 


 


ลูกยูนิคอร์นหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าผมแล้วยิ้มเผล่พร้อมกับร้องดังฮี้ เป็นรอยยิ้มสดใสของมันที่ไม่ได้เห็นมานานจริงๆ อันซลกับอียูจองยิ้มกว้างอย่างที่คิดพร้อมกับวิ่งเข้ามากอดลูกยูนิคอร์นด้วยความดีใจอย่างมาก 


 


 


เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อเลย การที่ลูกยูนิคอร์นเดินไปก็เพื่อบอกลา นั่นหมายความว่ามันเลือกผม ผมมองเจ้าตัวเล็กที่ถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของอันซลพร้อมกับแกว่งขาทั้งสี่ข้างไปมา จากนั้นจึงหัวเราะเก้อๆ ออกมาครู่หนึ่ง 


 


 


พอเบนสายตาไปทางด้านหน้าจึงเห็นพวกยูนิคอร์นกำลังค่อยๆ หมุนตัวไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่พวกมันหมุนตัวแล้วเดินไปก็ยังคงทอดสายตามองลูกยูนิคอร์นอย่างต่อเนื่อง 


 


 


ในตอนที่จ่าฝูงยูนิคอร์นซึ่งหมุนตัวไปเป็นตัวสุดท้ายกำลังจะหันหน้าไป สายตาของผมกับมันก็ประสานกันกลางอากาศอีกครั้ง ดวงตาของจ่าฝูงยูนิคอร์นที่เดินไปอย่างยืดยาดดูเศร้าสร้อยมากๆ 


 


 


ผมทอดสายตามองอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง และตอนนั้นจ่าฝูงยูนิคอร์นก็พยักหน้าแรงๆ จากนั้นไม่นานจึงเบนสายตาไป 


 


 


“…” 


 


 


พอมองดูพวกยูนิคอร์นที่ไกลออกไปทีละนิดแบบนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนกำลังสะกิดผมอยู่ทางด้านหลัง อันซลกำลังยิ้มอย่างสดใสอยู่ด้านหลังพร้อมกับโอบรอบตัวลูกยูนิคอร์นเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง 


 


 


“ท่านพี่! ท่านพี่! ดูเหมือนว่าเจ้ายูนิจะอยากให้ท่านพี่กอดนะคะ!” 


 


 


ฮี้ๆ! 


 


 


ลูกยูนิคอร์นยิ้มแพรวพราวพร้อมกับยื่นขาทั้งสองข้างมาทางผม ผมจับขาทั้งสองข้างนั้นแล้วผมเองก็ยิ้มบางๆ กลับไป 


 


 


ผมตบหลังของลูกยูนิคอร์นเบาๆ พร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดนิ่งๆ ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ไหนๆ ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ผมจึงคิดว่าจะพยายามยื้อเวลาให้ได้นานที่สุด เพราะว่าเจ้ายูนิคอร์นเต็มใจที่จะเข้ามาหาผมเอง แต่ก็… 


 


 


‘ผมไม่ได้บังคับมันสักหน่อย’


ตอนที่ 7

 


 


 


 


“ยินดีที่รอดชีวิตกลับมานะครับ!” 


 


 


“ยินดีต้อนรับสู่โมนิก้าครับ!” 


 


 


พอเข้าไปในประตูทางด้านตะวันออก เสียงอันกระฉับกระเฉงของทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าป้องกันประตูเมืองอยู่ก็ต้อนรับพวกเราอย่างยินดี สองวัน ไม่สิ ถ้าให้ถูกก็คือหนึ่งวันกับอีกเกินครึ่งวันนิดหน่อย มันคือเวลาที่ใช้จนกระทั่งมาถึงโมนิก้าหลังจากแยกกันกับพวกยูนิคอร์น 


 


 


จากนั้นทันทีที่เข้ามาภายในประตูทางตะวันออกแล้ว สายตาหลายสิบคู่ซึ่งอยู่รอบข้างประตูเมืองก็จับจ้องมาทางพวกเรา สายตาของพวกเขากำลังมองไปทางพวกผู้เล่นที่ยังคงไม่ได้สติและขึ้นขี่หลังอยู่ 


 


 


คงคุ้นเคย หรือไม่ก็เพราะว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่นานผมจึงได้ยินเสียงจิ๊ปากไปทั่วทุกแห่ง และคนส่วนใหญ่ก็ละสายตาไปด้วยเช่นกัน 


 


 


ผมเดินไปนิดหน่อยแล้วหยุดครู่หนึ่งตรงถนนเส้นหลักของประตูเมือง จากนั้นผมจึงพูดขึ้นกับชินแจรยงซึ่งกำลังยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ 


 


 


“ผมจะจบภารกิจเดินทางไกลไปสำรวจกับช่วยชีวิตตอนนี้เลยนะครับ ผมจะพาไปที่แท่นบูชาตอนนี้เลยนะครับ” 


 


 


“มะ ไม่เป็นไรครับ ช่วยมาจนถึงตรงนี้ผมก็ขอบคุณมากแล้วครับ ผมกับผู้เล่นคนอื่นๆ ฟื้นคืนกำลังกายมาได้ระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นพวกเราจะพากันไปยังแท่นบูชาเองครับ” 


 


 


“อืม ไม่ลำบากไปหน่อยเหรอครับ” 


 


 


“ฮ่าๆ ช่วงที่มานี่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ พวกคุณในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่กลับลำบากมากกว่าเสียอีก ถ้าหากว่ามีโอกาสเมื่อไร ผมจะตอบแทนบุญคุณนี้ให้ได้อย่างแน่นอนครับ” 


 


 


ภารกิจช่วยชีวิตเสร็จสิ้นลงแล้ว เพียงแค่ช่วยรักษาอย่างเรียบง่ายและพากลับมาถึงเมืองได้อย่างปลอดภัยก็เท่ากับว่าพวกเราได้ทำงานที่จะต้องทำเสร็จหมดแล้ว อย่างไรก็ตามผมเองก็พูดออกไปตามมารยาท ส่วนชินแจรยงก็รู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีเช่นกัน 


 


 


เขาส่ายหน้าด้วยใบหน้านอบน้อม จากนั้นจึงเดินไปหาอันฮยอนเพื่อจะได้รับเอาผู้เล่นที่เขาแบกอยู่มา ทันใดนั้น ผู้เล่นคนอื่นๆ ซึ่งอยู่เฉยๆ มาตลอดก็ขยับตัวราวกับตั้งใจจะรับเอาคนอื่นๆ มาช่วยคนละคน 


 


 


ผมพยักหน้าให้เด็กๆ ซึ่งมองผมด้วยใบหน้าพะวักพะวน จากนั้นจึงจับตาสังเกตชินแจรยงครู่หนึ่ง ระหว่างทางที่มาที่นี่นั้นเห็นได้ว่าผู้เล่นที่ไม่ใช่เผ่าเดียวกันก็ไม่ได้บ่นอะไรและคอยทำตามคำพูดของเขาเสมอ ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นที่มีหน้ามีตากว่าที่คิด 


 


 


“ถ้างั้นพวกเราจะไปยังแท่นบูชากันก่อนนะครับ ที่ผ่านมาขอบคุณมากๆ ครับ” 


 


 


“ครับ ผมจะรายงานการออกเดินทางไปสำรวจให้เร็วที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากไปนะครับ” 


 


 


“อ้อ ฮ่าๆ ขอบคุณครับ” 


 


 


พอการส่งรายงานออกเดินทางไกลไปสำรวจอย่างเป็นทางการที่แท่นบูชาแล้ว คนจากเผ่าตัวแทนก็จะก่อตั้งกลุ่มตรวจสอบเป็นขั้นตอนพื้นฐาน ที่มาเจียยังคงมีศพของพวกผู้เล่นหลงเหลืออยู่ ต่อให้บอกว่าเป็นฮอลล์เพลนแต่ก็น่าจะรู้สึกอยากจัดการศพของคนสำคัญ 


 


 


ผมเดินเข้าไปใกล้ชินแจรยงซึ่งยิ้มอยู่เงียบๆ แล้วเอาถุงที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้เขาถุงหนึ่ง เขากะพริบตาปริบๆ ด้วยใบหน้างุนงง 


 


 


“ไม่เยอะหรอกครับ ประมาณสองร้อยโกลด์ได้” 


 


 


“อ๊ะ มะ ไม่ต้องทำแบบนี้…” 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ถ้าถามว่าเป็นค่าอะไรก็ให้ถือซะว่าเป็นค่าข้อมูลที่ผู้หญิงด้านหลังบอกให้ก็แล้วกันนะครับ” 


 


 


คงได้ยินคำพูดของผม ผู้หญิงที่บอกข้อมูลเรื่องยูนิคอร์นให้ฟังจึงก้มหัวตอบ ชินแจรยงทำหน้าลำบากใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาเองก็น่าจะรู้สึกอยู่เช่นเดียวกัน ว่าถ้าจากนี้ไปเผ่าชายฝั่งน้ำตื้นจะต้องก้าวเข้าสู่ขั้นตอนการยุบเผ่า อนาคตของสมาชิกเผ่ารวมถึงตัวเองก็คงคลุมเครือ 


 


 


‘ตอนนี้น่าจะต้องสนใจเรื่องค่ารักษาด้วยล่ะนะ’ 


 


 


หลังจากบอกลากับพวกสมาชิกเผ่าอย่างเรียบง่าย พวกผู้เล่นก็ก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสโดยมีชินแจรยงนำหน้า ภาพด้านหลังของพวกเขาเลือนรางไปแล้ว พวกเขามีความฝันกันอย่างเต็มเปี่ยมถึงแม้จะแค่ตอนออกเดินทางไกลไปสำรวจก็ตาม แต่กลับกลับมาอย่างยากลำบากและความเป็นจริงที่ต้องเผชิญหน้าก็น่าจะสิ้นหวังอีกด้วย ผมทอดสายตามองภาพของพวกเขาแล้วจึงเบนสายตาไปทางสมาชิกเผ่า 


 


 


อันฮยอน อันซล อียูจอง โกยอนจู ทั้งสี่คนสบตากับผมแล้วหัวเราะคิกคักขึ้นมาพร้อมกัน เป็นรอยยิ้มของความรู้สึกสดชื่นที่ทำการออกเดินทางสำรวจอันยากลำบากได้สำเร็จลงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง 


 


 


คิมฮันบยอลกอดเสื้อคลุมด้วยใบหน้าไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไร ลูกยูนิคอร์นที่รู้สึกถึงความอึดอัดดูเหมือนกำลังขยับตัวไปมา แพคฮันกยอลคงรับรู้ถึงความรู้สึกของการรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัยจากการออกเดินทางสำรวจครั้งแรกจริงๆ แล้ว เขาจึงกัดริมฝีปากแน่นด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ 


 


 


พระอาทิตย์ค่อยๆ หายลับขอบฟ้า เป็นเวลาที่พวกผู้เล่นจะกลับมาจากการออกเดินทางไปสำรวจ กำแพงเมืองที่มีแมงมุมดินไต่ลงมาทีละนิดเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกผู้เล่นที่กลับเมืองมา พวกผู้เล่นที่ยิ้มอย่างร่าเริงและพูดจาเสียงดังน่าจะเป็นพวกที่ได้ผลตอบแทนอะไรบางอย่างกลับมา ส่วนพวกเราก็จำเป็นจะต้องไปต่อแถวของพวกเขาตั้งแต่นี้ไป 


 


 


“พระอาทิตย์น่าจะลับฟ้าในอีกไม่นาน เพราะฉะนั้นจะเคลื่อนย้ายไปยังที่ที่มีพวกสมาชิกเผ่าที่เหลือก่อนนะครับ แล้วก็…ทุกคนทำได้ดีมากครับ” 


 


 


ไม่จำเป็นจะต้องพูดให้มากความ สมาชิกเผ่าหกคนเริ่มมุ่งหน้าไปยังเลิฟเฮาส์อย่างรวดเร็วโดยเริ่มจากผม 


 


 


ในระหว่างทางไปเลิฟเฮาส์ จู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ สถานที่ีที่ผมกำลังเดินอยู่ตอนนี้คือจัตุรัสกลางของโมนิก้า แต่ผู้คนกลับเยอะกว่าเวลาปกติอย่างน่าประหลาด ไม่ได้มีใบประกาศอะไรเป็นพิเศษติดอยู่บนบอร์ดประกาศด้วย บรรยากาศก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับตอนปกติเลย อย่างที่พูดไป ผู้เล่นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างจริงจัง 


 


 


ผมเอียงหัวด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฝีเท้าในการเดินไปยังเลิฟเฮาส์ช้าลง 


 


 


“ซูฮยอน จู่ๆ เป็นอะไรไปคะ” 


 


 


“ครับ” 


 


 


“ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาในจัตุรัสก็หันหน้ามองทางนี้ทีทางนู้นที กำลังหาใครอยู่หรือเปล่าคะ” 


 


 


“อ้อ ไม่มีอะไรครับ” 


 


 


“หืม~” 


 


 


 โกยอนจูเดินพรวดเข้ามาข้างๆ ผม จากนั้นจึงเหลือบตามองพร้อมกับส่งเสียงออกจมูก ดูจากที่ริมฝีปากอมยิ้มบางๆ เธอจะต้องกำลังเล่นอะไรไม่ดีอีกแน่ๆ คิดดูแล้วช่วงนี้เธอพูดหยอกล้อบ่อยขึ้น ถ้าพูดให้ถูกก็คือ หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่จองฮายอนอย่างต่อเนื่องสองครั้ง เธอก็ดูจะกล้าขึ้นมาก 


 


 


‘ไม่ยุติธรรม’ 


 


 


ผมไม่เคยพูดว่าให้ทำแบบนั้นเลย อีกทั้งพูดตามตรงก็คือการกำหนดเรื่องหลับนอนด้วยกันด้วยการเป่ายิ้งฉุบนั้นเป็นเรื่องที่น่าขำพอสมควรด้วย ผมทำสีหน้ารู้สึกไม่ยุติธรรมโดยแฝงความหมายแบบนั้นลงไป แต่โกยอนจูก็ไม่หยุดการหยอกล้อโดยไม่รู้ความหมายนั้น 


 


 


“หืม~” 


 


 


“…” 


 


 


จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะรู้ว่าโกยอนจูต้องการอะไร ผมนึกถึงบทสนทนาที่พวกผู้เล่นซึ่งเคยยืนอยู่ตรงประตูเมืองตอนออกไปจากโมนิก้าตอนแรกพูดคุยกันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้จะบอกว่าการพักผ่อนเป็นเรื่องที่มาเป็นอันดับแรกสุด แต่จากนี้ไปถ้าตั้งใจจะให้ร่างกายทนทานก็อาจจะต้องตามหาโพชั่นที่ทำให้กำลังกายปึ๋งปั๋งขึ้มาจริงๆ 


 


 


ผมถอนหายใจดังเฮือกแล้วเดินไปทางถนนใหญ่ที่เปิดกว้างไปทางด้านซ้ายจากจัตุรัส ทันใดนั้นครั้งนี้ก็มีเสียงเด็กๆ โหวกเหวกเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นทั่วทั้งด้านหลัง 


 


 


“พี่ แพคฮันกยอล ได้ไปเดินทางสำรวจครั้งแรกกลับมารู้สึกเป็นไงบ้าง” 


 


 


“ครับ ฮ่าๆๆ มะ ไม่รู้สิครับ ก็แค่รู้สึกเหมือนอะไรมันผ่านไปในพริบตาเดียว…” 


 


 


“พี่ พี่ค้า ถ้ากลับไปจะทำอะไรเป็นอย่างแรกคะ” 


 


 


“อาบน้ำ กินข้าว นอน ไม่ได้อาบน้ำแล้วเหมือนจะตายเลย” 


 


 


“อ้อ เจ้าหนู ใกล้จะถึงแล้ว เพราะฉะนั้นอยู่เฉยๆ อีกสักหน่อยนะ หืม” 


 


 


ฮี้! 


 


 


‘ดูเหมือนจะอึดอัดมากสินะ’ 


 


 


ตอนนี้ยูนิคอร์นซุกอยู่ด้านในชุดคลุมของคิมฮันบยอล แน่นอนว่าในเมื่อพากลับเมืองมาแล้วก็คิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องเปิดเผยในที่สาธารณะและไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้หรอก 


 


 


แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ผมจึงอยากหลีกเลี่ยงเรื่องที่พอจะทำให้ผู้คนกรูกันเข้ามาได้ และเพราะกลับมาเร็วกว่ากำหนดก็จะได้ดำเนินงานก่อสร้างปรับปรุงแคลนเฮาส์เลยด้วย ผมไม่อยากทำให้เกิดเรื่องที่มีความเป็นไปได้ในการทำให้เลิฟเฮาส์เกิดความเดือดร้อน 


 


 


เวลาในการเปิดตัวยูนิคอร์นกำหนดไว้ให้เป็นหลังจากเข้าไปในแคลนเฮาส์แล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมฟังเสียงของคิมฮันบยอลซึ่งแทบจะเป็นการเว้าวอนแล้วก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกขั้นทันที 


 


 


ในที่สุดก็มาถึงเลิฟเฮาส์ แววตาของสมาชิกเผ่าที่อยู่ตรงหน้าตึกน่ากลัวมาก ดูท่าว่าบางทีถ้าผมไม่ได้อยู่ข้างหน้าก็คงจะกระโดดถีบประตูอย่างแรงแล้วเข้าไปด้านในเสียตอนนี้แล้ว ผมรู้สึกได้ถึงแรงกดดันแบบไม่มีเสียงพูดซึ่งจิ้มจึ้กๆ อยู่ตรงหลัง แล้วผมจึงผลักประตูที่สัมผัสได้ถึงความขรุขระเข้าไป 


 


 


ในตอนที่กำลังจะก้าวเข้าไปด้านในนั้นเอง 


 


 


“ขอโทษจริงๆ นะคะ” 


 


 


ภาพเหตุการณ์ที่เข้ามาสู่การมองเห็นทันทีที่เปิดประตูออกนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ด้านนอกความมืดมิดกำลังปกคลุมลงมาทีละนิดๆ 


 


 


ถ้าเป็นผู้เล่นทั่วไปก็เป็นเวลาที่น่าจะกลับเข้าเมืองมาเพราะเสร็จงานประจำวันเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับพวกดอกไม้กลางคืน มันกลับเป็นเวลาที่จะทำงานตั้งแต่ตอนนี้ไป ผู้หญิงบางคนที่สวมเสื้อผ้าแปลกๆ ต่างพากันมาอยู่เต็มชั้นหนึ่งราวกับกำลังจะออกไปพอดีด้วยใบหน้ากระวนกระวาย 


 


 


เดิมทีเลิฟเฮาส์เป็นพื้นที่ีที่ผู้ชายไม่สามารถเข้าออกได้ แต่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ชั้นหนึ่งกลับมีผู้ชายหนึ่งคนยืนอยู่อย่างไม่สนใจใคร ผู้เล่นสามสี่คนซึ่งสวมอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับต่อสู้ด้านหลังเขากำลังสำรวจเคาน์เตอร์ด้วยใบหน้าตื่นเต้น และตรงหน้าพวกเขาก็มีอิมฮันนาโค้งตัวอยู่สี่สิบห้าองศาอยู่ 


 


 


จากนั้นผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดก็พูดขึ้น 


 


 


“คุณฮันนา ไม่สามารถรับหัวใจของผมไปได้จริงๆ เหรอครับ” 


 


 


“ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ค่ะ” 


 


 


 อิมฮันนาขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ชายคนนั้นทำสีหน้าเศร้าเสียใจ ผมหยุดเดินแล้วมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผมไม่สามารถเพิกเฉยแล้วเข้าไปทั้งอย่างนี้ได้เพราะบรรยากาศที่มีอะไรบางอย่างแปลกๆ กำลังหลั่งไหลออกมาตามที่พูดไปเมื่อครู่นี้  


 


 


ความเงียบปกคลุม เงียบสงบ ชายหนุ่มดูพยายามจะทำสีหน้านิ่งๆ แต่ดวงตาของเขากลับกำลังบูดเบี้ยว จากนั้นเขาก็กัดริมฝีปากแน่นหนึ่งครั้งจนเลือดแทบออก แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ 


 


 


“เฮ้อ เข้าใจแล้วครับ ผมทำให้คุณลำบากใจสินะครับ” 


 


 


“ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับความรู้สึกของคุณจริงๆ ค่ะ แต่ว่า…” 


 


 


“เงยหน้าเถอะครับ ไม่ต้องพูดไปมากกว่านี้แล้วก็ได้ ตอนนี้ผมจะไปแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องวันนี้ก็ลืมไปซะเถอะครับ มาดามอิม” 


 


 


“…” 


 


 


“ไปกัน” 


 


 


ชายหนุ่มโพล่งขึ้นมาอย่างเย็นชาแล้วหมุนตัวไปทันที ทันใดนั้น หนึ่งคนในบรรดาเพื่อนร่วมกลุ่มที่คอยดูอยู่นิ่งๆ ด้านหลังในท่ายืนกอดอกก็ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดัน 


 


 


“สมราคาจริงๆ เลยนะคะ ความหยิ่งยโสแสนสกปรกเพราะได้ชื่อว่าเป็นมาดาม” 


 


 


“พูดแรงเกินไปนะคะ” 


 


 


“ชินเยซึล พอแล้ว ยังไม่ออกมาอีกเหรอ” 


 


 


อิมฮันนาตั้งตัวตรงเพราะคำพูดเสียดสีของหญิงสาวแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าชินเยซึลคงไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงมีท่าทางฉุนเฉียว แต่ไม่นานก็ต้องปิดปากเงียบไปเพราะการห้ามปรามต่อมาของชายหนุ่ม จากนั้นเธอก็ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมั่นไส้แล้วหมุนตัวกลับไปจนมีเสียงดังขวับ 


 


 


ผมหลีกทางให้สองสามก้าวเพื่อที่จะให้พวกเขาผ่านไปได้ 


 


 


คนพวกนี้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญต่างพากันออกไปราวกับกระแสน้ำพัด สมาชิกเผ่าก็คงเห็นสถานการณ์เมื่อครู่นี้ ทุกคนจึงกำลังทำสีหน้าอึดอัดใจอยู่ 


 


 


“อุ๊ยตาย ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ กลับมาแล้วเหรอคะ” 


 


 


และตอนนั้นคงเห็นพวกเราพอดี อิมฮันนาจึงทำตาโตแล้วส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ ผมกระแอมครั้งสองครั้งแล้วพูดขึ้น 


 


 


“อ้า ครับ กลับมาเมื่อกี้นี้แต่…ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลาที่ดีสักเท่าไร” 


 


 


“โฮะๆ ไม่หรอกค่ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว อย่าใส่ใจมากเลยค่ะ ยังไงก็เถอะ ยินดีที่ได้กลับมาอีกครั้งนะคะ” 


 


 


“ขอบคุณครับ ถ้างั้นจะเข้าไปแล้วนะครับ” 


 


 


“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เอาล่ะ พวกเธอก็อย่าอยู่เฉยแล้วไปทำงานที่ต้องทำได้แล้ว” 


 


 


“พี่…” 


 


 


ใบหน้าของพวกดอกไม้กลางคืนต่างก็มีเงามืดทาบทับกันเหมือนๆ กัน แต่พออิมฮันนาปลอบว่าไม่เป็นไรแล้วเร่งให้ไปทำงาน พวกเธอจึงเดินอย่างลังเลไปนอกประตู 


 


 


อิมฮันนานำพวกเรามาที่โต๊ะ ไม่รู้ว่าสีหน้าของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนไหน เธอจึงทำสีหน้าอ่อนโยนเช่นเดิมพร้อมกับพูดขึ้น 


 


 


“กลับมาแล้ว ก่อนอื่นก็ทานอาหาร…อ้อ ฉันเรียกสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ให้ไหมคะ” 


 


 


“ตอนนี้อยู่กันครบเลยเหรอครับ” 


 


 


“พี่ฮายอนกับคุณชินซังยงบอกว่าออกไปดูแคลนเฮาส์ค่ะ บอกว่าวันนี้น่าจะกลับมาค่ำด้วย ส่วนคุณวิเวียนตอนนี้น่าจะอยู่ชั้นสองค่ะ ฉันจะไปเรียกให้เองค่ะ” 


 


 


“อ้อ ไม่เป็นไรครับ อันฮยอน นายไปพาเธอลงมาซิ” 


 


 


“ครับ พี่” 


ตอนที่ 8

 


 


 


 


อันฮยอนซึ่งกำลังจะนั่งลงกลับเลี่ยงไปทางบันไดราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยออกไปเพราะคำพูดของผม ผมมองเขาที่ก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรุนแรงจนเหมือนบันไดจะพัง แล้วผมจึงเบนสายตามายังเด็กๆ ที่นอนฟุบอยู่ตรงโต๊ะ 


 


 


“ไม่คิดเลยนะว่าทั้งสองคนจะไม่อยู่ในเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหนด้วย เพราะฉะนั้นระหว่างนั้นทุกคนจะทานอาหารกันเลยไหมครับ” 


 


 


“ค่า! ค่า! ค่า! ค่า!” 


 


 


“ว้าว! ว้าว!” 


 


 


“เห็นด้วย~” 


 


 


สมาชิกเผ่าเห็นด้วยกับคำพูดของผมโดยไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ไม่สิ ไม่ใช่แค่เห็นด้วยเท่านั้น วันที่กลับมาหลังจากสิ้นสุดการเดินทางไกลไปสำรวจในตอนแรกแทบจะถูกกำหนดให้เป็นวันที่จะกินของอร่อยๆ อย่างเต็มที่ไปแล้ว 


 


 


ทุกคนเริ่มสั่งอาหารที่ตรงกับความต้องการของแต่ละคนอย่างเต็มที่ราวกับจะทำให้ปากที่เคยเคี้ยวเพียงแค่เนื้อตากแห้งกับขนมปังแข็งๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้สัมผัสกับอาหารอันเลิศรส อิมฮันนาสะดุ้งกับการสั่งอาหารที่ถาโถมเข้ามาอย่างพรวดพราด แต่แล้วก็หัวเราะคิกคักพร้อมกับพยักหน้าอย่างเยือกเย็น 


 


 


“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะไม่สั่งเหรอคะ” 


 


 


“อืม…” 


 


 


ผมไม่ค่อยหิวนัก ถ้าฮายอนหรือชินซังยงอยู่ที่นี่ ผมก็แค่อยากจะฟังเรื่องราวในช่วงที่ไม่อยู่เท่านั้น แต่เห็นบอกว่าจะกลับมาค่ำๆ 


 


 


ความเหนื่อยล้าที่รู้สึกได้จากร่างกายตั้งแต่ตอนที่ซากโบราณสถานปรากฏออกมามันยิ่งรุนแรงมากขึ้นอีก ผมคิดว่าจะรอดีไหม แล้วสุดท้ายจึงตัดสินใจลุกขึ้นก่อน อย่างไรถ้าจะเข้ามาตอนค่ำๆ ผมก็จำเป็นจะต้องพักผ่อนในที่ที่ถูกต้องแล้วก็คอยจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังจากนี้ 


 


 


“ผมยังไม่สั่งดีกว่าครับ ถ้างั้นผมจะขึ้นไปนอนก่อน ทุกคนทานให้พอแล้ววันนี้ก็พักผ่อนซะนะครับ ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ” 


 


 


“หืม พี่ จะไปนอนแล้วเหรอ” 


 


 


“อือ” 


 


 


“ถ้างั้นเรื่องพิจารณาสิ่งของ…” 


 


 


“ยังไงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เตรียมใบประเมินคุณค่าสิ่งของเลยไม่ใช่เหรอ ซูฮยอน ขึ้นไปนอนก่อนเถอะค่ะ พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ” 


 


 


ที่ผ่านมาจะว่าซ่อนมันเอาไว้ก็ซ่อนจริงๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนโกยอนจูจะสังเกตเห็นอย่างที่คิด ผมยิ้มอย่างขมขื่นพลางถอนหายใจสั้นๆ แล้วลุกจากที่ไป และหลังจากที่เห็นว่าอิมฮันนาเดินไปทางครัวแล้ว ผมจึงรีบรับก้อน(?)ชุดคลุมมาจากคิมฮันบยอล ลูกยูนิคอร์นคงเหนื่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ชุดคลุมจึงเพียงแค่ขยับเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ได้ขยับแรงขึ้นเลย 


 


 


ในตอนที่ทุบไหล่ที่แข็งตึงและกำลังจะขึ้นบันได ผมจึงเห็นอันฮยอนกับวิเวียนลงมาด้วยกันพอดี 


 


 


วิเวียนรีบจ้ำลงบันไดมาอย่างรวดเร็วแล้วจากนั้นคงเห็นผม เธอจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง จากนั้นก็ทำเป็นสุภาพเรียบร้อยอย่างเต็มที่แล้วเริ่มเดินลงมาด้วยใบหน้าสบายใจ พอเผชิญหน้ากันตรงบันไดชั้นหนึ่ง เธอก็แกล้งทำเป็นเพิ่งเห็นผมแล้วทักทายอย่างถือตัวทันที 


 


 


“โอ้โฮ นี่ใครกันนะ คิมซูฮยอนมาแล้วนี่!” 


 


 


“อือ วิเวียน ไม่ได้เจอกันนานนะ ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้วจะขึ้นห้องแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะ” 


 


 


“อ๊ะ หา?” 


 


 


พอผมทุบไหล่หนึ่งครั้งแล้วเดินผ่านไปทั้งอย่างนั้น วิเวียนก็หน้าแตกแล้วกะพริบตาปริบๆ ทันที 


 


 


“พี่ ไม่ทานข้าวเย็นแล้วจะไม่เป็นไรเหรอครับ” 


 


 


“ไม่เป็นไร ร่างกายมันล้าๆ นิดหน่อยน่ะ ถ้าหลังจากนี้คุณจองฮายอนกับคุณชินซังยงมาแล้วก็ช่วยอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ด้วยแล้วกัน” 


 


 


“อ๊ะ ครับ พี่ ถ้างั้นก็นอนเถอะครับ” 


 


 


“อืม นายก็อย่าดื่มเยอะเกินไปล่ะ” 


 


 


“ดะ เดี๋ยว…มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!” 


 


 


ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างทำท่าจะร้องไห้จากด้านล่าง แต่ผมก็เดินขึ้นบันไดไปด้วยการก้าวเท้าอันรวดเร็ว 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ถ้างั้นก็กลายเป็นแบบนั้นเหรอ” 


 


 


“ค่ะ ถึงอย่างนั้นก็เอาแต่เรียกคุณฮันนา คุณฮันนาซ้ำๆ อยู่นั่น แล้วจู่ๆ ก็เรียกว่ามาดามอิมเฉยเลยค่ะ เห็นหมดเลยว่าคิดอะไรอยู่ใช่ไหมล่ะคะ” 


 


 


“โฮะๆ” 


 


 


บนโต๊ะเต็มไปด้วยความวุ่นวายโดยไม่รู้ตัว จานชามกับขวดเหล้าที่เกลือกกลิ้งไปมาอยู่ทั่วโต๊ะ พวกผู้เล่นที่นอนคว่ำอยู่อย่างไม่ระแวดระวังอะไร อันซล คิมฮันบยอล แพคฮันกยอล วิเวียนที่ควบคุมใจตัวเองได้ขึ้นไปยังที่พักก่อนแล้ว แต่ที่เหลืออยู่สองคนถึงกับกรนออกมาและกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในความฝันอันแสนหวาน 


 


 


มีเพียงโกยอนจูกับอิมฮันนาสองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่อย่างมีสติครบถ้วนและกระดกแก้วเหล้าเข้าปากอย่างสบายๆ 


 


 


ในตอนที่หมดไปแก้วหนึ่งแล้วก็ได้ยินเสียงประตูถูกปิดออก หญิงสาวทั้งสองหันหน้าไปโดยอัตโนมัติ จองฮายอนกับชินซังยงซึ่งมีใบหน้าเป็นสีแดงเรื่อราวกับตากลมกำลังเข้ามา โกยอนจูมองพวกเขาแล้วยิ้มให้บางๆ พร้อมกับโบกมือเบาๆ 


 


 


“รีบเข้ามาเร็วค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” 


 


 


“ตายจริง!” 


 


 


“ผะ ผู้เล่นโกยอนจู” 


 


 


ทีนทีที่จองฮายอนกับชินซังยงเข้ามาหนึ่งก้าว พวกเขาก็ชะงักไปแล้วมองโกยอนจูพร้อมกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน โกยอนจูชี้ไปทางอันฮยอนกับอียูจองซึ่งกำลังนอนอยู่ จากนั้นจึงยกนิ้วชี้ขึ้นมาตรงริมฝีปากพร้อมทำเสียง “ชู่” ทั้งสองคนหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผลครู่หนึ่งแล้วจึงเดินเข้ามานั่งตรงโต๊ะอย่างระมัดระวัง 


 


 


“มาเมื่อไรคะ” 


 


 


“บ่ายวันนี้ค่ะ ทั้งสองคนทำไมกลับมาดึกขนาดนี้ล่ะคะ” 


 


 


“ไปดูแคลนเฮาส์แล้วก็ไปเผ่าอีสตันเทลลอว์ด้วยค่ะ” 


 


 


“อีสตันเทลลอว์เหรอ” 


 


 


“ค่ะ การกลับมาของเมอร์เซนต์นารี่ดูเหมือนจะล่าช้าออกไปก็เลยคงจะเป็นห่วงน่ะค่ะ บอกว่าจะส่งทีมกู้ภัยไปทันทีก็เลยไปอธิบายสถานการณ์นิดหน่อยแล้วถึงมาน่ะค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นเองสินะคะ” 


 


 


โกยอนจูพยักหน้าด้วยใบหน้าเข้าใจแล้วจับแก้วเหล้าอีกครั้ง พออิมฮันนากำลังจะหยิบขวดเหล้าให้ด้วยความรวดเร็ว เธอก็ส่ายหน้าพร้อมแล้วจึงพยักพเยิดไปทางทั้งสองคนที่นอนฟุบอยู่ 


 


 


“ไม่เป็นไร ฮันนา เธอพาเด็กๆ ไปตรงนู้นสักหน่อยได้ไหม พาไปนอนบนเตียงที” 


 


 


“ค่ะ พี่” 


 


 


“ผะ ผมก็จะช่วยด้วยครับ” 


 


 


พออินฮันนาลุกพรวดขึ้น ชินซังยงเองก็ลุกขึ้นตามทันที จากนั้นอิมฮันนาก็ประคองอียูจอง ส่วนชินซังยงก็ประคองอันฮยอนแล้วเริ่มเดินขึ้นบันไดไปอย่างสนิทสนม 


 


 


“เฮ้อ~ ดื่มมากไปหรือเปล่านะ” 


 


 


“…” 


 


 


โต๊ะที่เคยอึกทึกครึกโครมแม้จะแค่สองชั่วโมงก่อนกลับเงียบสงบลงอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว จองฮายอนมองโต๊ะที่ยุ่งเหยิงด้วยใบหน้าเอือมระอาแล้วจึงมองโกยอนจูที่รินเหล้าอีกครั้งพลางพูดขึ้น 


 


 


“งานเป็นยังไงบ้างคะ” 


 


 


“ข่าวลือยังไม่แพร่สะพัดออกไปอีกเหรอ ใช้คุ้มเลยเชียวค่ะ พวกผู้เล่นก็ช่วยชีวิตไว้ได้ แถมยังได้ขุดค้นซากโบราณสถานด้วย ครั้งนี้ก็ได้ผลตอบแทนมากมหาศาลเลยล่ะค่ะ” 


 


 


“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอคะ ดีแล้วล่ะค่ะ นึกดูแล้ว ซูฮยอนล่ะคะ” 


 


 


“ได้ยินว่าคุณฮายอนจะกลับดึกน่ะค่ะก็เลยขึ้นไปแล้ว ดูเหมือนจะเหนื่อยมากเลยล่ะค่ะ” 


 


 


ถึงแม้จะแค่ครู่เดียวแต่ตอนนั้นใบหน้าของจองฮายอนก็มีเงาดำพาดผ่านไป จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง 


 


 


“หรือว่า…เขาใช้พลังนั่นในการเดินทางไกลครั้งนี้เหรอคะ” 


 


 


“ค่ะ แต่คู่ต่อสู้ไม่ง่ายเลยนะคะ ตลอดทางที่มา เขาไม่แสดงออกให้เห็นเลย แต่ดูเหมือนจะเหนื่อยมากทีเดียวค่ะ ฉันเองก็สังเกตดูแทบไม่เห็น พูดตามตรงว่าดูจากนิสัยของซูฮยอนแล้ว ถ้ามันไม่ผิดแปลกมากก็คงจะรอก่อน แต่นี่พูดออกมาว่าจะต้องพักก่อนเลยค่ะ ดูเหมือนว่าคงจะเหนื่อยมากจริงๆ ล่ะค่ะ” 


 


 


“ทำยังไงดี…” 


 


 


“ลองรอก่อนแล้วกันค่ะ บอกว่าจะพักแล้วขึ้นไป เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ค่อยสังเกตดูก็ได้ค่ะ” 


 


 


โกยอนจูถอนหายใจออกมาพลางกระดกแก้วเหล้าอีกครั้งอย่างที่คิด เหล้าที่เคยมีจนเต็มแก้วกลับลดลงอย่างรวดเร็ว และลำคอของเธอเองก็เคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลไปตามนั้น จองฮายอนเท้าคางข้างหนึ่งพร้อมกับใช้นิ้วเคาะตรงแก้ม จากนั้นจึงมองโกยอนจูซึ่งวางแก้วเหล้าลงพลางพูดขึ้น 


 


 


“ไม่เหนื่อยเหรอคะ” 


 


 


“ฉันไม่ค่อยเท่าไรค่ะ” 


 


 


“ถ้างั้นก็น่าจะได้ฟังเรื่องราวอย่างละเอียดได้สินะคะ” 


 


 


“โฮะๆ” 


 


 


พอจองฮายอนเปลี่ยนท่าให้เข้าที่เข้าทางพลางพูดขึ้น โกยอนจูจึงหัวเราะเสียงเบา จากนั้นก็พิงร่างกับพนักเก้าอี้ด้านหลังพร้อมกับยกขาขวาขึ้นเพื่อไขว่ห้าง 


 


 


“เตรียมพร้อมที่จะต้องตกใจไว้ด้วยนะคะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พอลืมตาขึ้น เพดานก็หมุนวนไปมา ทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงและในหัวก็มึนอย่างหนัก ผมตั้งใจที่จะลุกขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไปเพราะความรู้สึกกดดันอันหนักหน่วงที่กดลงตรงหน้าท้อง 


 


 


“เฮ้อ…เวียนหัวชะมัด จริงๆ เลย” 


 


 


ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้แต่จู่ๆ ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงก็ถาโถมเข้ามา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพึมพำอยู่คนเดียว จากนั้นจึงรอให้อาการเวียนหัวลดน้อยลงแล้วจึงเริ่มตรวจสอบร่างกายทีละส่วน 


 


 


‘วงจรพลังเวทโอเคดี ประสาทสัมผัสก็ไม่มีอะไรแปลก แต่เรี่ยวแรง…’ 


 


 


พอลองกำแล้วแบมือทั้งสองข้างสองสามครั้ง ผมจึงรู้สึกได้ว่าเรี่ยวแรงลดน้อยลงมากแค่ไหนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 


 


 


พลังเวทมีสมรรถภาพเฉพาะตัวก็จริง แต่ก็ทำหน้าที่ในการทำให้การจ่ายพลังงานของค่าความสามารถนอกจากค่าของโชคให้เพิ่มมากขึ้นด้วยเหมือนกัน และกำลังกายเป็นทั้งเสาหลักและรากฐานที่ทำให้ทนทานต่อสิ่งนั้นและคงสภาพไว้ได้ 


 


 


แต่ผมใช้พลังเวทประสิทธิภาพสูงที่ชื่อว่าฮวาจองในสภาพที่ ‘ราก’ ซึ่งเรียกว่ากำลังกายมีไม่เพียงพอ แน่นอนว่าร่างกายไม่มีทางทนได้ บางทีถ้าไม่ใช่เพราะความอดทนที่สั่งสมไว้ในช่วงที่ผ่านมากับ ‘อยู่ยงคงกระพัน’ ผมอาจจะล้มไปเป็นคนแรกก็ได้  


 


 


พอคิดมาถึงตรงนั้น ผมจึงรู้สึกได้ถึงเรื่องเร่งด่วน พูดอย่างละเอียดก็คือพอนอนมาหนึ่งคืนแล้ว ร่างกายจึงฟื้นสภาพคืนมาด้วย และสภาพมันดีกว่าเมื่อวานอย่างแน่นอน 


 


 


แต่มันไม่ฟื้นสภาพได้เท่าแต่ก่อน นั่นหมายความว่าความสามารถในการฟื้นคืนลดต่ำลง ผมมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าบางทีถ้าไปต่อในสภาพนี้ แล้วมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงบางอย่างเกิดขึ้น ผมคงแย่แน่ๆ 


 


 


‘เลื่อนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว’ 


 


 


ผมตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาเรื่องความแข็งแกร่งภายในระยะเวลาสั้นๆ คงไม่สามารถเมินเฉยเรื่องการเอาพอยต์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดไปใส่ไว้กับค่าความแข็งแกร่งได้แล้ว  


 


 


พอนอนนิ่งๆ แล้วเพียงแค่กะพริบตา เพดานที่เคยหมุนติ้วก็กลับมาสู่สภาพเดิม อาการวิงเวียนหายไปเยอะ แต่ความรู้สึกกดดันที่กดทับลงมาตรงส่วนท้องกลับยังไม่หายไปไหน 


 


 


“…” 


 


 


จู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ พอยกหัวขึ้นมาก้มลงมองด้านล่างนิดหน่อยจึงเห็นว่าตรงกลางผ้าห่มที่ผมห่มอยู่นูนขึ้นเป็นทรงกลมๆ มันกำลังขยับขึ้นลงเหมือนกับมีชีวิต พอรีบเลิกผ้าห่มออก ผมจึงได้เห็นลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังท่องเที่ยวอยู่ในโลกแห่งความฝันในท่าขดตัวเป็นก้อนกลมๆ บนท้องผม 


 


 


ฟี้…ฟี้… 


 


 


“…นายนี่เองที่เป็นคนร้าย” 


 


 


ผมมองลูยูนิคอร์นซึ่งกำลังนอนอยู่เหมือนเด็กที่นอนหลับสนิทแล้วระเบิดหัวเราะออกมา ผมดันตัวลุกขึ้นโดยระวังไม่ให้มันตื่นแล้วจึงค่อยๆ เปิดประตูห้อง และในตอนที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอกนั่นเอง 


 


 


งับ 


 


 


“หืม” 


 


 


ไม่รู้ว่าตื่นตอนไหน ลูกยูนิคอร์นจึงกำลังกัดส้นเท้าของผมด้วยดวงตากึ่งหลับกึ่งตื่น จากนั้นพอสบตากับผม มันก็ร้องดังฮี้แล้วปล่อยข้อเท้าผมไป ดูจากการที่มันจ้องผมเขม็งแม้แต่ตอนที่ง่วงนอน ดูเหมือนมันมีความหมายว่าอย่าไปไหนแล้วปล่อยตนไว้คนเดียวแน่ๆ  


 


 


ผมกอดเจ้าตัวน้อยขึ้นมาทันทีพลางเปิดประตูห้อง คงพอใจเรื่องนั้นมาก ลูกยูนิคอร์นจึงพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับหันไปมองทางเดิน ตอนนั้นเอง 


 


 


“เฮ้อ ยุ่งจังเลย ยุ่งชะมัด” 


 


 


ทันทีที่ออกมาตรงทางเดิน เงาดำมืดก็แวบผ่านหน้าผมไป พอมองดูดีๆ ว่าเป็นใครจึงเห็นว่าเป็นวิเวียน เธอคงยุ่งมากขนาดนั้นจึงพูดว่า ‘ยุ่งมาก ยุ่งจริงๆ’ ไม่หยุดแล้วเดินไปทางบันได ผมตัดสินใจว่าจะรอดูก่อน 


 


 


“อ๊ะ! ลืมสนิทเลยเผลอวางอะไรทิ้งไว้ล่ะเนี่ย ช่วยไม่ได้สินะ ต้องกลับห้องไปเอามันมาอีกครั้งแล้ว!” 


 


 


จากนั้นในตอนที่เดินผ่านทางเดินทั้งหมดแล้วค่อยๆ เดินไปถึงบันได การเดินของวิเวียนจึงเริ่มเชื่องช้าลงจนสังเกตเห็น ผมถึงกับสงสัยว่าใช้เวทสโลว์หรือเปล่า จากนั้นเธอก็ไปถึงตรงหน้าบันไดได้ในที่สุดแล้วจึงปรบมือดังป้าบ จากนั้นจึงพึมพำเสียงดังจนเหมือนบอกให้ผมฟัง 


 


 


ผมนับถือเธอที่ทำให้ภายในใจผมรู้สึกขำตั้งแต่เช้า จากนั้นจึงตัดสินใจที่จะสนองต่อความคาดหวังของเธอเป็นการตอบแทน 


 


 


“วิเวียน” 


 


 


“อือ สวัสดีคิมซูฮยอนหลับสบายไหม เช้านี้อากาศดีนะ” 


 


 


ทันทีที่เรียก วิเวียนก็หันกลับมาราวกับรออยู่ เป็นการทักทายยามเช้าที่แสดงท่าทางที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา ผมรู้สึกขำจนจะตายอยู่แล้วในใจ แต่ผมก็อดกลั้นมันไว้อย่างยากลำบากพลางย้อนถามเธอ 


 


 


“อ้อ เธอทำไมถึง…คิก ยุ่งขนาดนั้นล่ะ” 


 


 


“อ๋อ~ ก็แค่มีงานยุ่งๆ นิดหน่อยน่ะสิ~ ว่าแต่นั่นอะไรน่ะ” 


 


 


“ยูนิคอร์น เมื่อวานไม่ได้ฟังเรื่องมาเหรอ” 


 


 


“อ๋อ! ฟังสิ! เมื่อวานฉันน่ะอยากเห็นแทบแย่ แต่โกยอนจูบอกว่าไม่ให้เข้าไปในห้องของคิมซูฮยอนเด็ดขาดเลยนะ เพราะฉะนั้นก็เลยอดทนไว้น่ะสิ”


ตอนที่ 9

 


 


 


 


วิเวียนทำตาเป็นประกายแล้วจ้ำเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ดูเหมือนเธอเรียกใช้เวทเฮสท์เลยทีเดียว 


 


 


เธอเข้ามาตรงหน้าผมแล้วก้มตัวลงเล็กน้อยพลางยื่นหน้าเข้าไปหาลูกยูนิคอร์น ยูนิคอร์นเอง ตอนนี้ก็คงตื่นเต็มตาแล้ว มันจึงจ้องมองวิเวียนด้วยดวงตาใสแจ๋วตามธรรมชาติ 


 


 


สายตาของทั้งคู่ประสานกันแบบนั้น 


 


 


“เห~ เธอคือยูนิคอร์นเองสินะ สวยจัง ชื่ออะไรล่ะ” 


 


 


“ยังไม่ได้ตั้งอย่างเป็นทางการเลย” 


 


 


วิเวียนจ้องมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแล้วก็กล่าวทักทายเบาๆ พร้อมกับโบกมือ 


 


 


“สวัสดี” 


 


 


ฮี้ 


 


 


“สวัสดี” 


 


 


ฮี้ 


 


 


“สวัสดี!” 


 


 


ฮี้! 


 


 


‘พอสักทีเถอะ ได้โปรด’ 


 


 


มุมปากของวิเวียนยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของลูกยูนิคอร์นก็โค้งเล็กน้อยเหมือนกัน ในตอนที่ผมตั้งใจจะทำความเข้าใจว่ามีความหมายแบบไหนแฝงอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่กันแน่ เธอก็ยืดตัวขึ้น จากนั้นก็แย้มยิ้มอย่างหวานหยดพร้อมกับยื่นมือมาด้านหน้า 


 


 


“อ๊าย~ นายนี่เป็นเด็กดีจริงๆ ไม่สิ ต้องเป็นยูนิคอร์นสินะ” 


 


 


ฮี้~ 


 


 


“โฮะๆ! ฉันชอบนายจัง ไม่รู้ว่าจะฟังได้หรือเปล่าแต่ฉัน วิเวียน ลา คลาดัส อันดับสองของที่นี่…ล่ะมั้ง อ้อ ยังไงก็เถอะ จากนี้ไปฉันจะคอยระวังหลังนายให้เอง เพราะฉะนั้นใช้ชีวิตแบบวางใจได้เลยนะ!” 


 


 


ฮี้ๆ~ 


 


 


‘ตะ ตีความหมายอะไรอยู่น่ะ’ 


 


 


แปะ!  


 


 


ให้ตายสิ คราวนี้ถึงกับไฮไฟว์ 


 


 


คงมีอะไรดีมากขนาดนั้น ทั้งสองจึงต่างมองกันแล้วยิ้มอย่างสดใส ผมได้แต่ต้องจ้องมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างมึนงงอยู่พักหนึ่ง 


 


 


มีเรื่องเกิดขึ้นเล็กน้อยก็จริง แต่ก็โชคดีที่ได้เจอกับวิเวียนบนทางเดินตอนเช้า เพราะสามารถใช้รูมเซอร์วิส(?)จัดส่งอาหารเช้ามาที่ห้องผ่านเธอได้ 


 


 


วิเวียนที่บอกว่ายุ่งแต่กลับมีหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกนั้นคือความผิดพลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เกิดภาพเหตุการณ์อันน่าปลาบปลื้มที่ตักข้าวให้ตัวเองหนึ่งคำ แล้วก็ป้อนลูกยูนิคอร์นอีกคำ สลับกันไปอย่างนี้ด้วย แน่นอนว่าในระหว่างกินข้าว ผมก็ไม่ลืมที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องโพชั่นพิเศษ 


 


 


เดิมทีแต่ละคนจะแยกกันกินอาหารเช้าของใครของมันและวางแผนจะจัดการประชุมขึ้นอย่างง่ายๆ แต่สมาชิกเผ่าส่วนใหญ่กลับตื่นขึ้นมาทีละคนตอนประมาณเที่ยงๆ ไปแล้ว 


 


 


ผมไม่คิดจะโทษพวกเขาเลย การกินและดื่มจนเกินขอบเขตเมื่อวานนี้เป็นสาเหตุรอง พวกเขาเองก็น่าจะรู้สึกเหนื่อยล้าสะสมมาจากการออกเดินทางไกลเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องคลายความเหนื่อยล้าให้เพียงพอผ่านการนอนหลับ ถึงแม้ว่าการที่จองฮายอนตื่นสายจะเป็นเรื่องเกินคาดไปหน่อยก็เถอะ 


 


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลนั้น ผมจึงจัดประชุมสรุปผลหลังจากผ่านเวลารับประทานอาหารกลางวันมาได้พักหนึ่งแล้ว 


 


 


“เจ้ายูนิ เจ้ายูนิ” 


 


 


ฮี้ๆ ฮี้ๆ 


 


 


“กินข้าวเช้าข้าวเที่ยงอย่างอร่อยหรือเปล่า~ อร่อยหรือเปล่า~” 


 


 


อันซลจับลูกยูนิคอร์นมายืนตรงหน้าตัวเองแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับขาของมันพร้อมกับทำให้มันเต้นเหมือนเต้นกับตุ๊กตา 


 


 


ทันทีที่วางลูกยูนิคอร์นไว้ตรงหน้าสมาชิกเผ่า มันก็ได้รับความนิยมแต่เพียงผู้เดียว มันเดินผ่านวิเวียน อียูจอง คิมฮันบยอล และกำลังข้ามไปหาอันซล ถ้าประมาณนี้ก็น่าจะรู้สึกรำคาญนิดหน่อยแล้ว แต่มันกลับร้องฮี้ๆ ด้วยใบหน้าเพลิดเพลินอย่างต่อเนื่องโดยไม่แสดงท่าทีแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“ซูฮยอน” 


 


 


ในขณะที่มองดูอันซลกับยูนิคอร์นเล่นกัน เสียงใสๆ ของจองฮายอนก็ดังเข้ามาในหูเบาๆ พอหันหน้าไป ผมก็เห็นดวงตาสีฟ้าใส เดิมทีเธอก็สวยสง่าอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เธอใช้เวทอัญมณีแห่งการขยาย ภาพลักษณ์ของเธอรวมไปถึงสติปัญญาก็ดูแข็งแกร่งขึ้น พอผมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นนิ่งๆ แก้มของเธอก็เจือสีแดงระเรื่อขึ้นมา 


 


 


“ทะ ทำไมถึงมองแบบนั้น…” 


 


 


“มองเฉยๆ ครับ ว่าแต่เรียกทำไมเหรอครับ” 


 


 


“อ้อ พอดีสงสัยว่าคิดไว้หรือยังว่าจากนี้ไปจะทำยังไงกับเจ้ายูนิคอร์นน่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่าซ่อนเอาไว้ก่อนจนกว่าจะสร้างแคลนเฮาส์เสร็จน่าจะดีกว่า…ทั้งสองคนคิดยังไงบ้างครับ” 


 


 


โกยอนจูกับจองฮายอนนั่งขนาบข้างผมอยู่ พอบิดขี้เกียจจนสุดแขนแล้วลองถาม ทั้งสองคนจึงจมอยู่ในห้วงความคิด จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มพูดสิ่งที่ตัวเองคิดกับผม 


 


 


“อืม ยังไงถ้าคิดจะเปิดเผยในที่สาธารณะแล้ว ฉันมองว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องดันทุรังซ่อนเอาไว้นะคะ แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่พวกเราที่รู้นี่คะ ผู้เล่นคนอื่นๆ ก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงข่าวลือก็จะแพร่ออกไปอยู่แล้วค่ะ หรือว่าถ้ากังวลเรื่องฮันนาก็เก็บความเป็นห่วงเอาไว้ดีกว่าค่ะ ฉันจะบอกให้เองค่ะ” 


 


 


“ฉันเองก็คิดแบบนั้นค่ะ แล้วก็เมื่อวานได้ฟังเรื่องราวแล้ว เขาเป็นเด็กน่าสงสารไม่ใช่เหรอคะ ถ้าเอามาไว้แล้วทำให้อึดอัดก็อาจจะยิ่งซึมเศร้ารุนแรงกว่าเดิมไม่ใช่เหรอคะ ฉันคิดว่าปล่อยอย่างอิสระจะดีทั้งกับพวกเราและกับลูกยูนิคอร์นมากกว่าค่ะ” 


 


 


ไม่ว่ามองอย่างไรคำพูดของทั้งสองคนก็มีเหตุมีผล ผมนึกถึงความเป็นไปได้ ‘หนึ่งในหมื่น’ อยู่เสมอ แม้ไม่รู้ว่านิสัยนี้จะมีประโยชน์ในตอนออกเดินทางไกลหรือตอนอันตรายหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้ไม่สะดวกในชีวิตจริงอยู่บ่อยๆ 


 


 


ไม่รู้ว่าจองฮายอนจะคิดอย่างไร แต่บางทีโกยอนจูอาจจะรู้ถึงความตั้งใจของผม ในบรรดาพวกดอกไม้หลางคืนก็มีพวกผู้หญิงที่มีนิสัยมือไวอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นระวังเอาไว้ก็น่าจะไม่มีอะไรแย่ 


 


 


‘จริงๆ แล้วก็ยังไม่เคยโดนขโมยของมาจนถึงตอนนี้ แน่นอนว่าถึงแม้จะเปิดตัวเร็วขึ้นก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลับกลายเป็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์การเดินทางไกลครั้งนี้ด้วย…’ 


 


 


ผมคิดคำนวณในใจแล้วสุดท้ายจึงตัดสินใจได้ ผมจะไม่ป่าวประกาศอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจจนกว่าจะก่อสร้างเสร็จสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องซ่อนเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าการปกป้องยูนิคอร์นอย่างถึงที่สุดเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ได้จากนี้ไป  


 


 


ผมเรียบเรียงความคิดแบบนั้น และในตอนที่กำลังจะพยักหน้า 


 


 


“นี่ ว่าแต่ชื่อยูนิมันก็ยังไงๆ หน่อยนะ” 


 


 


“วะ ว่าอะไรนะคะ ทำไมล่ะคะ” 


 


 


“เป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ ยูนิมันคืออะไรล่ะ ยูนิ พูดตามตรงว่าเธอน่ะ ตั้งชื่อไม่ได้เรื่องเลย แล้วก็อะไรอีกล่ะเนี่ย นูนู่เหรอ ลูกแก้วสีขาวนั่นน่ะ ชื่อนั้นก็แปลกด้วยเหมือนกัน” 


 


 


“คะ ใครคะ ลูลู่ต่างหาก! แล้วก็ยูนิมันจะทำไมล่ะคะ” 


 


 


ประกายไฟเปรี๊ยะๆ ไหลออกมาจากอันซลกับอียูจอง คงไม่พอใจอันซลที่เอายูนิคอร์นมาไว้ด้วยนานๆ หรือไม่ก็คงไม่พอใจในชื่อจริงๆ พูดตามตรงว่าผมเองก็คิดว่ายูนิเป็นชื่อที่ไม่ค่อยเข้าท่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในใจผมจึงยินดีกับคำพูดของอียูจอง ให้เป็นฮี้ๆ ยังจะดีกว่า 


 


 


ผมมองสองคนที่ตีกันอยู่แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา 


 


 


“โกยอนจู” 


 


 


“ค่ะ ซูฮยอน เอาล่ะ! ทุกคนเงียบหน่อย” 


 


 


โกยอนจูตอบมาทันที จากนั้นจึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น ในตอนที่เธอเริ่มพูดขึ้น บรรยากาศเจี๊ยวจ๊าวจึงหายไปในชั่วพริบตา ยูนิคอร์นเองก็คงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่าง มันจึงพรวดออกมาจากอ้อมแขนของอันซลแล้ววิ่งมาทางผมทันที สมกับเป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ 


 


 


จากนั้นผมก็ลูบหัวของยูนิคอร์นซึ่งงอขานั่งลงตรงหน้าผมเงียบๆ แล้วจึงพูดขึ้นกับอียูจองกับอันซล 


 


 


“ชื่อน่ะค่อยๆ คิดทีหลังก็ได้ เด็กคนนี้ฉลาดกว่าที่เห็นนะ บางทีถ้าได้ยินชื่อที่ตัวเองถูกใจก็น่าจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาให้เห็นแน่ๆ” 


 


 


“ค่ะ” 


 


 


ทั้งสองคนตอบกลับอย่างสุภาพแล้วกลับไปนั่งที่ของตัวเอง จากนั้นในตอนที่สายตาของคนจับจ้องมาที่เดียวกัน ผมจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันเหนื่อยอ่อน 


 


 


“เมื่อวานพูดไปแล้ว แต่สมาชิกเผ่าที่ไปเดินทางไกลมา แล้วก็สมาชิกเผ่าที่อยู่เมืองเพื่อจัดการงาน ทุกคนทำได้ดีมากครับ ดูจากที่สีหน้าของทุกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาภายในเวลาสั้นๆ ผมเองก็รู้สึกดีไปด้วยครับ” 


 


 


“…” 


 


 


“แต่ดูเหมือนจำเป็นจะต้องระวัดระวังนิดหน่อยนะครับ มีชีวิตชีวาอย่างพอดีมันก็ดี แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้ามากเกินไปก็จะกลายเป็นโทษได้ แล้วงานก็ยังไม่เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยใช่ไหมล่ะครับ ยังเหลืองานที่อยู่ระหว่างดำเนินการอีก ผมเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้วครับ” 


 


 


เงียบสนิท แต่ไม่ใช่บรรยากาศกังวลใจเหมือนก่อนหน้านี้ มันแค่อยู่ในระดับที่เด็กๆ บางคนรู้สึกกระดากใจขึ้นมา แต่ผมเองก็รู้ถึงความสำคัญของกำลังใจ และไม่อยากจะเป็นผู้นำที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย เพราะฉะนั้นจึงตัดสินใจที่จะหยุดในตอนนี้ 


 


 


ดังนั้นผมจึงถามถึงเนื้อหาเรื่องแรกกับจองฮายอนซึ่งนั่งอยู่อย่างเรียบร้อยพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ 


 


 


“ผู้เล่นจองฮายอน ช่วยรายงานสถานการณ์การดำเนินการเกี่ยวกับแคลนเฮาส์ด้วยครับ” 


 


 


“ค่ะ จะเริ่มเลยนะคะ หัวหน้าเผ่ากลับมาเร็วกว่ากำหนดเลยยังคงไม่สามารถให้ดูแคลนเฮาส์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยได้ค่ะ แต่เรียกว่าใกล้จะเสร็จแล้วก็ได้ค่ะ ฐานของตึกยังคงรักษาเอาไว้ แต่ภายนอกปรับปรุงใหม่ให้สะอาดเรียบร้อย ส่วนภายในก็เหลือแค่ซ่อมแซมให้เสร็จค่ะ” 


 


 


“เรื่องที่ผมขอเพิ่มเติมก่อนออกเดินทางเป็นยังไงบ้างครับ” 


 


 


“หมายถึงสถานที่ฝึกส่วนตัวใช่ไหมคะ เรียบร้อยค่ะ ไม่เกินห้าวันการก่อสร้างทั้งหมดจะเสร็จสิ้นลงค่ะ แน่นอนว่ายังเหลือเฟอร์นิเจอร์ที่จะเอาไว้ด้านในกับปัญหาเรื่องผู้ว่าจ้าง แต่…” 


 


 


“ทราบแล้วครับ ยังไงวันนี้ก็มีเรื่องจะต้องออกไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะไปดูสักครั้งระหว่างเดินทางกลับนะครับ” 


 


 


จองฮายอนเอาบันทึกเล่มหนาออกมาแล้วยิ้มหวาน ผมยิ้มแห้งๆ ไปให้แล้วโบกมือ ผมคิดจะอ่านอยู่แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้ 


 


 


“ผู้เล่นชินซังยง วันนี้ตอนเช้าได้ยินคร่าวๆ จากวิเวียนแล้ว…เรื่องจริงเหรอครับ” 


 


 


“คะ ครับ ระ เรื่องอะไร…” 


 


 


“วิเวียนบอกน่ะครับ ว่าเดิมทีอัตราความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสำเร็จในการเล่นแร่แปรธาตุทำโพชั่นพิเศษคือห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่คุณชินซังยงทำให้มันสูงขึ้นเป็นแปดสิบเปอร์เซ็นต์น่ะครับ” 


 


 


“ฮ่า ฮ่าๆ พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ ทะ ท่านอาจารย์คอยเป็นหลักให้มาตั้งแต่แรก ผมเพียงแค่เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะทำให้มันสำเร็จเท่านั้นครับ บะ บังเอิญด้วยครับ แล้วก็ยังไม่สามารถยืนยันเรื่องประสิทธิภาพได้เลยด้วย” 


 


 


แม้เจ้าตัวจะรู้ว่าเป็นเพราะตนเอง แต่ชินซังยงก็ตอบอย่างถ่อมตัว ผมมองท่าทางของเขาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นครั้งนี้จึงเบนสายตาไปทางวิเวียน 


 


 


“ว่าแต่บอกว่ามีปัญหาอยู่อย่างใช่ไหม” 


 


 


“อือ” 


 


 


“ปัญหาเรื่องวาร์ปเกตงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง” 


 


 


“ฉันเองก็ไม่รู้ หนึ่งวันก่อนที่คิมซูฮยอนจะกลับมา ฉันได้รับข่าวจากลูกแก้วคริสตัลน่ะ แล้วส่วนผสมที่สั่งมาจากบาร์บาร่า จู่ๆ ก็มาถึงช้าด้วย” 


 


 


“อธิบายให้ละเอียดกว่านี้สิ” 


 


 


“จริงๆ แล้วจะบอกว่าฉันสั่งมาแบบพอดีๆ ก็ได้นะ ถึงคิมซูฮยอนเองจะบอกว่าสนับสนุนฉันอย่างเต็มที่ก็เถอะ และฉันเองก็มีของที่จะทดลองล่วงหน้าแล้วด้วย แต่จู่ๆ ก็เป็นแบบนั้น ฉันเองก็รู้สึกทะแม่งๆ นิดหน่อยอยู่เหมือนกันนะ ถึงอย่างนั้นก็บอกว่าจะมาภายในสามวันอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลก็ได้ เป็นของที่ขนส่งมาทางอากาศจากบาร์บาร่าได้เท่านั้นด้วย” 


 


 


ที่ผ่านมาวิเวียนเองก็ไม่ได้แค่เล่นอย่างเดียวเท่านั้น ตั้งใจจะทำให้อัตราความเป็นไปได้สูงขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามก็เลยไปถึงเมืองใหญ่บาร์บาร่าแล้วหาส่วนผสม รวมถึงพิจารณาพวกเครื่องมือที่จำเป็นต่อการแปรธาตุ แต่ได้ยินเรื่องราวมานิดหน่อยเมื่อเช้าว่าเกิดปัญหาในการใช้วาร์ปเกตก็เลยเกิดความผิดพลาดในการขนส่ง 


 


 


“อืม…” 


 


 


ตามกฎระเบียบเผ่าตัวแทนของเมืองมีอำนาจและสิทธิในการครอบครองวาร์ปเกต นั่นหมายความว่า คำว่าเกิดความผิดพลาดในการใช้เกตนั้น คนจากเผ่าสิงโตทองทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นกลางคัน ผมเคาะโต๊ะอยู่เงียบๆ แล้วถอนหายใจสั้นๆ 


 


 


“ก็ ยังไงแคลนเฮาส์ก็ต้องก่อสร้างเสร็จก่อนถึงจะเข้มแข็งขึ้นได้ ยังไงก็ตาม หมายความว่าจะแก้ไขได้ภายในสามวันอย่างไม่มีเงื่อนไขใช่ไหม” 


 


 


“อือ ทางนั้นบอกว่าถ้าไม่ได้จริงๆ ก็จะเอามาให้โดยแวะเป็นทางผ่านไปเมืองอื่นๆ ด้วย ฮิๆ เพราะซื้อเยอะก็เลยบริการดีหรือเปล่านะ” 


 


 


‘เมืองอื่นก็น่าจะเป็นเหมือนกันนะ’ 


 


 


ถ้าไม่ได้เสียสติไปเสียก่อน เผ่าสิงโตทองไม่มีทางปิดวาร์ปเกต แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเล่นตุกติกอะไรบางอย่างในการสัญจรไปมา กรณีแบบนั้น ผมไม่ได้ตกใจสักเท่าไรเพราะเคยประสบพบเจอมาแล้วจนเบื่อหน่าย


ตอนที่ 10

 


 


 


 


อย่างไรก็ตาม ผมได้ฟังสถานการณ์ดำเนินงานส่วนที่สำคัญๆ แล้ว แต่การรออยู่เฉยๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียเวลาเปล่า ผมพยักหน้าครั้งสองครั้งแล้วหันไปพูดกับทุกคน 


 


 


“ทราบแล้วครับ ถ้างั้นผมจะบอกแผนการจากนี้ไปให้ทุกคนทราบแบบกระชับๆ นะครับ ก่อนอื่น วันนี้ผมน่าจะยุ่งนิดหน่อยเพราะการรายงานการเดินทางไกลครับ” 


 


 


“การรายงานการเดินทางไกลเหรอ หรือว่าเขียนแล้วเหรอคะ” 


 


 


จองฮายอนเบิกตาโตพลางย้อนถาม ผมส่ายหน้าช้าๆ 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้วสิครับ ถึงอย่างนั้น ตอนนี้อีสตันเทลลอว์ก็น่าจะได้ยินข่าวคราวบ้างแล้ว บางทีน่าจะต้องการให้รายงานเร็วขึ้นอีกสักวินาทีก็ยังดี วันนี้ผมจะไปแท่นบูชาด้วยตัวเองแล้วคิดจะรายงานแบบง่ายๆ ด้วยการพูดปากเปล่าครับ บางทีถ้าเป็นที่โมนิก้า เพียงแค่นี้ก็น่าจะพอต่อการก่อตั้งทีมสำรวจแล้วครับ” 


 


 


เดิมทีเผ่าต้นบีชกับแท่นบูชาที่มิวล์ก็แค่เหมือนกับพวกโง่ๆ เซ่อๆ เท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับระบบของโมนิก้าที่เผ่าอีสตันเทลลอว์จัดทำขึ้นมันแทบจะคนละเรื่องเลย บางทีตอนนี้ผู้เกี่ยวข้องของเผ่าอีสตันเทลลอว์น่าจะอยู่ที่แท่นบูชาก็ได้ 


 


 


“ผู้เล่นโกยอนจู” 


 


 


“พูดมาได้เลยค่ะ” 


 


 


“ผมบอกไว้เผื่อไม่รู้ ไปสืบเรื่องเกี่ยวกับวาร์ปเกตมาหน่อยสิครับ วันนี้ผมคิดจะกลับมาค่ำๆ ครับ” 


 


 


“น้อมรับคำสั่งของแคลนลอร์ดค่ะ” 


 


 


“ถ้างั้นฝากด้วยนะครับ แล้วก็…ผู้เล่นแพคฮันกยอล” 


 


 


“คะ ครับ!” 


 


 


“เสร็จประชุมแล้วตามฉันมาสักหน่อยนะ มีที่ที่จะต้องไปด้วยกันน่ะ” 


 


 


“ทราบแล้วครับ!” 


 


 


คงกำลังตื่นเต้นอยู่มาก แพคฮันกยอลจึงตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ผมหัวเราะในใจแล้วคราวนี้จึงเบนสายตาไปทางเด็กๆ 


 


 


อันฮยอน อันซล อียูจอง ผมไม่ได้สั่งอะไรเป็นพิเศษกับทั้งสามคน เพียงแค่บอกให้อยู่ดูแลลูกยูนิคอร์นเป็นอย่างดีเท่านั้น แต่อันฮยอนกลับตอบว่าไม่ต้องเป็นห่วงราวกับเข้าใจความตั้งใจในการปกป้องยูนิคอร์นอย่างแน่นอนแล้วทุบหน้าอกของตัวเองดังป้าบๆ 


 


 


‘หมอนั่นจะต้องตาเป็นประกายในเวลาแบบนี้ทุกที’ 


 


 


ถ้าปกติเป็นแบบนั้นด้วยก็ดีนะ อย่างไรก็เถอะ มีงานที่วิเวียนกับชินซังยงกำลังทำอยู่ตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องคุยแยกทีหลัง ถ้าอย่างนั้นสมาชิกเผ่าที่ผมยังไม่ได้เรียกก็มีอยู่สองคน ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมองทั้งสองคนพลางพูดขึ้น 


 


 


“ผู้เล่นจองฮายอน ผู้เล่นคิมฮันบยอล” 


 


 


“คะ” 


 


 


ผมได้ยินเสียงน่าฟังและสงบดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อกับเรื่องที่ผมจะสั่งพวกเขา 


 


 


“ทั้งสองคนเตรียมใบประเมินคุณค่าสิ่งของหน่อยนะครับ” 


 


 


“ถ้าเป็นประเมินคุณค่าสิ่งของ…อ้อ” 


 


 


“แล้วก็เอาพวกอุปกรณ์ที่อยู่ในห้องเก็บของออกมาให้หมดด้วยครับ ช่วยเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ให้ดำเนินการตรวจสอบผลสำเร็จของงานและแบ่งแยกได้ทันทีที่ผมกลับมานะด้วยนะครับ” 


 


 


“ค่ะ ทราบแล้วค่ะ” 


 


 


“ถ้างั้นผมจะจบการประชุมลงเท่านี้ ตอนนี้ผมจะออกไปเลย ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ” 


 


 


ผมพูดจบแล้วเดินเนิบๆ ไปทางประตู ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าแพคฮันกยอลก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งอย่างลุกลี้ลุกลนตามหลังมา ผมเปิดประตูห้องออกกว้างทันที 


 


 


 


 


 


“ยินดีต้อนรับการมาเยือนของลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ” 


 


 


“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับครับ” 


 


 


“ไม่เป็นไรเลยค่ะ กำลังรออยู่เลย ถ้างั้นเชิญมาทางนี้ค่ะ” 


 


 


ทันทีที่มาเยือนแท่นบูชาของโมนิก้า เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับผมกับแพคฮันกยอล ดูจากที่เธอบอกว่ากำลังรออยู่ก็น่าจะได้รับการติดต่อเข้ามาล่วงหน้าไม่ผิดแน่ 


 


 


แน่นอนว่าบรรยากาศมันแตกต่างกับมิวล์ หญิงสาวที่ได้รับมอบ ‘อำนาจและสิทธิ’ ส่งกลิ่นอายที่แตกต่างกับพลเมืองคนไหนๆ อย่างแจ่มชัด เธอมีใบหน้าซีดขาวและดวงตาลึกโบ๋ แต่แววตาของเธอกลับดูดุดัน 


 


 


สิ่งที่ผมถูกใจที่สุดคือลักษณะท่าทางเป็นการเป็นงานมากๆ ถ้าดูจากสายตาแล้วก็เห็นได้ว่าไม่มีมารยาทสักเท่าไร แต่อย่างน้อยคนประเภทนี้ก็จะจัดการงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเหมือนๆ กัน 


 


 


ยิ่งเข้าไปด้านในก็ยิ่งเงียบเหงามากขึ้นเรื่อยๆ ต่างกับทางเข้าที่แออัดไปด้วยพวกผู้เล่น พอผมนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะที่เจ้าหน้าที่ชี้มา เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา 


 


 


“ดื่มอะไรไหมคะ” 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ผมจะเริ่มรายงานเลยครับ” 


 


 


“ดีค่ะ ถ้างั้นฉันจะฟังดูค่ะ” 


 


 


แพคฮันกยอลอยู่ในสภาพใจฝ่ออย่างสุดขีด ท่าทางของเขาเหมือนกำลังคิดอย่างถี่ถ้วนว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าเพราะท่าทีของเจ้าหน้าที่ที่แผ่ความเย็นยะเยือกออกมา ผมอดหัวเราะไม่ได้กับนิสัยที่ยังคงเหมือนเดิมนั้น และเมื่อผมก็เห็นเจ้าหน้าที่ีที่รับบันทึกกับปากกาขนนกมาเตรียมจดอยู่ตรงหน้า ผมเริ่มการรายงาน(อย่างไม่เป็นทางการ)ปากเปล่าทันที 


 


 


การรายงานการออกเดินทางไกลเป็นขั้นตอนที่สำคัญเป็นอย่างมาก ขั้นตอนนี้จะถูกจดไว้ในบันทึก จากนั้นบันทึกที่ถูกจดก็จะถูกโยกย้ายไปยังห้องสมุดและจัดวางไว้ตามประเภทที่เหมาะสม 


 


 


หลังจากนี้เป็นต้นไปพวกผู้เล่นที่จะไปภูเขาแห่งความเพ้อคลั่งหรือหุบเขามายาจำเป็นจะต้องแวะไปห้องสมุดและอาจจะอ่านบันทึกของผมได้ ถ้าหากข้อมูลผิดๆ ถูกจดลงในหนังสือบันทึก ก็มีความเป็นไปได้ว่านั่นอาจจะทำให้เกิดสถานการณ์อันตรายจนไปพัวพันกับชีวิตของผู้เล่นได้ 


 


 


เพราะอย่างนั้น การรายงานเท็จตอนรายงานการออกเดินทางไกลไปสำรวจจึงเป็นเรื่องที่จะต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด ยิ่งถ้าหากคำพูดเกินจริงแพร่สะพัดออกไป อีกทั้งเรื่องโกหกนั้นถูกเปิดเผยออกมาจากองค์กรตรวจสอบ ก็จะไม่สามารถหาหนทางแก้ปัญหาได้เลย 


 


 


บางทีผมในตอนนี้ก็น่าจะกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์คล้ายๆ กัน นั่นก็คือการบุกรุกหุบเขามายาซึ่งเผ่าที่มีชื่อเสียงพอสมควรก็ยังล้มเหลวกันมากมาย แต่เผ่าที่อยู่ในแรงก์ D Zero แถมผู้เล่นในเผ่าก็ยังเป็นผู้เล่นใหม่ กลับเข้ายึดมันสำเร็จ 


 


 


ถ้าเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็น่าจะถูกซักไซ้จนละเอียดยิบ แต่ไม่รู้ทำไม เจ้าหน้าที่หญิงจึงเพียงแค่รับฟังคำพูดของผมแล้วจดบันทึกอย่างสุขุมเท่านั้น บางทีน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของอีสตันเทลลอว์และอิทธิพลของผู้เล่นที่น่าจะกำลังรับการรักษาอยู่ที่ไหนสักแห่งในแท่นบูชา 


 


 


แพคฮันกยอลดูกระวนกระวายใจ แต่ผมกลับรู้สึกอุ่นใจพอสมควรแล้วเล่าเรื่องต่อไป 


 


 


“…พวกยูนิคอร์นให้พวกเราลงตรงสุดชายขอบของที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพัน พวกเราจึงกลับเข้าเมืองมาได้ครับ จบการรายงานครับ” 


 


 


จากนั้นผมจึงรายงานการเดินทางไกลเสร็จสิ้นลงได้โดยใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมง พอหลุบตาลงเล็กน้อยก็ได้เห็นบันทึกที่ถูกเขียนจนแน่นขนัดวางซ้อนกันไว้อย่างเรียบร้อย ถ้าเขียนถึงขนาดนั้นก็น่าจะเจ็บมือบ้าง แต่เจ้าหน้าที่หญิงกลับยังคงสภาพสีหน้าเหมือนในตอนแรกไว้ได้โดยใบหน้าไม่บิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย เธอกัดปลายปากกาขนนกแล้วพึมพำเบาๆ จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางพยักหน้า 


 


 


“ฟู่ ยอดเยี่ยมเลยค่ะ” 


 


 


“เหนื่อยหน่อยนะครับ” 


 


 


“นี่เป็นงานของฉันนะคะ ยังไงก็เถอะ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ตรงกลางๆ มีส่วนที่ไม่เข้าใจอยู่สองสามส่วนด้วย…” 


 


 


“ส่วนไหนครับ” 


 


 


“ไม่ค่ะๆ ตอนรายงาน คุณอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องไปแล้ว คุณบอกว่าเหมือนจะถูกไล่ตามใช่ไหมคะ” 


 


 


ผมพยักหน้าอย่างสุขุม เจ้าหน้าที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดแล้วควงปากกาขนนกไปด้วย 


 


 


“เรื่องอื่นๆ พอที่จะพิสูจน์ได้เพราะมีพวกผู้เล่นที่รอดชีวิตกลับมากับการเป็นพยานของอีสตันเทลลอว์ แต่ว่าเรื่องนี้…” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องโกหกครับ พวกเราน่าจะหลงเหลือร่องรอยเอาไว้บนเส้นทางที่ผ่านไปน่ะครับ” 


 


 


“ฉันไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องโกหกค่ะ เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าไม่สามารถปล่อยข้ามไปได้อย่างไม่รอบคอบใช่ไหมล่ะคะ และเมอร์เซนต์นารี่ก็เป็นเผ่าที่รับมอบหมายงานจากอีสตันเทวลอว์ไปด้วย การที่บอกว่าไล่ตามคนที่ได้รับมอบหมายงานแบบนั้นหมายความว่าเสี่ยงด้วยเกียรติยศของโมนิก้าโดยตรงเลยนะคะ ถึงไม่ใช่อย่างนั้น ช่วงนี้…” 


 


 


เจ้าหน้าที่เลียริมฝีปากหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา 


 


 


“ยังไงก็ตาม ฉันจะลองทำการตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษและจะรายงานต่ออีสตันเทลลอว์ด้วยค่ะ แน่นอนว่าจะติดต่อไปหาลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ด้วยค่ะ” 


 


 


“ดะ เดี๋ยวสิ ยังไงก็น่าจะยุ่ง ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาด…” 


 


 


“เผ่าอีสตันเทลลอว์มีความสนใจในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่เป็นอย่างมากค่ะ อย่ามองว่าเป็นภาระเลยนะคะ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วค่ะ ยังไงก็ตาม ยินดีที่ทำภารกิจและออกเดินทางสำรวจได้สำเร็จนะคะ ฉันจะตั้งองค์กรตรวจสอบ อย่างเร็วก็วันนี้ อย่างช้าก็ภายในวันพรุ่งนี้ค่ะ ถ้าเป็นผลงานระดับนี้ก็น่าจะรอคอยหลังจากเสร็จสิ้นการตรวจสอบได้นะคะ” 


 


 


‘พูดเร็วชะมัดเลยแฮะ’ 


 


 


ผมเตรียมใจมาพอสมควรเกี่ยวกับส่วนที่อาจจะถูกยื่นคัดค้านได้ แต่กลับไม่ได้รับการคัดค้านอย่างน่าตื่นเต้น(?)แบบนี้ ถึงจะแค่นิดเดียวแต่ผมก็รู้สึกห่อเ**่ยวเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไร อะไรที่ว่าดีก็ย่อมดี ถ้ารับฟังด้วยความสนใจในแง่ดีก็จบแล้ว ผมพูดเรื่องที่จะพูดหมดแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้แค่รอฟังผลเงียบๆ ก็พอ 


 


 


“ทราบแล้วครับ ถ้างั้นผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ ฮันกยอล ลุกได้แล้ว” 


 


 


“เดี๋ยวก่อนค่ะ” 


 


 


ในตอนที่กำลังจะลุกจากที่ คำพูดของเจ้าหน้าที่ก็รั้งผมเอาไว้ แพคฮันกยอลซึ่งลุกขึ้นตามผมกลับหยุดชะงักไปในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน 


 


 


“เช้าวันนี้มีการติดต่อมาจากอีสตันเทลลอว์ค่ะ” 


 


 


“ครับ” 


 


 


“บอกว่าถ้าวันนี้พอจะมีเวลาก็อยากจะขอพบลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่หน่อยน่ะค่ะ” 


 


 


“ฮ่าๆ ทราบแล้วครับ” 


 


 


อย่างไรก็จำเป็นจะต้องไปหาสักครั้งอยู่แล้ว พอผมพยักหน้าอย่างยินดี ถึงแม้จะแค่นิดเดียวแต่มุมปากของเจ้าหน้าที่ก็ยกยิ้มขึ้น พอเห็นภาพนั้นแล้ว ผมจึงคาดเดาความสัมพันธ์ของแท่นบูชากับอีสตันเทลลอว์ในตอนปกติได้ 


 


 


“วันนี้น่าจะยากหน่อยนะคะ เพราะมีเรื่องที่จะต้องทำเป็นพิเศษอีก พรุ่งนี้ฉันจะไปพบที่นั่นด้วยตัวเองค่ะ” 


 


 


“ครับ” 


 


 


ผมรายงานการออกเดินทางสำรวจเรียบร้อยแล้วจึงพาแพคฮันกยอลไปยังร้านเหล้า ‘บินไปสิเจ้าลูกเจี๊ยบ’ ตอนแรกผมคิดว่าจะซื้ออาหารข้างทางแล้วไปดูด้านในแคลนเฮาส์พร้อมกับกินไปด้วย แต่เพราะการรายงานการออกเดินทางไปสำรวจดันเสร็จเร็วกว่าที่คิด ผมจึงตัดสินใจว่าจะกินมื้อเย็นก่อนเวลา 


 


 


โครงสร้างภายในมองอย่างไรก็ดูหรูหรา อีกทั้งพนักงานที่นี่ยังทำให้นึกถึงคนรับใช้ของประเทศทางฝั่งตะวันตก แพคฮันกยอลก็คงมาที่แบบนี้เป็นครั้งแรก เขาจึงมีท่าทีระแวดระวังไปหมด 


 


 


จากนั้นบริกรชายก็เริ่มนำอาหารที่สั่งมาวางลงบนโต๊ะอย่างนอบน้อม ผมให้เหรียญเงินหนึ่งเหรียญเป็นทิป จากนั้นพวกเราจึงทานอาหารไปพร้อมๆ กับพูดคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ 


 


 


“อันฮยอนกับยูจองชมนายบ่อยมากเลยนะ” 


 


 


“แหะๆ พี่ก็…อ๊ะ ขะ ขอโทษครับ” 


 


 


“ไม่เป็นไร ตอนนี้นายก็เป็นสมาชิกเผ่าของพวกเราเหมือนกันนะ ตอนอยู่กันสองคนจะเรียกว่าพี่ก็ได้” 


 


 


“ขอบคุณครับ” 


 


 


“ขอบคุณอะไรกัน ว่าแต่มองดูนายเมื่อกี้แล้วเหมือนจะตัวแข็งทื่อเชียว เจ้าหน้าที่น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


แพคฮันกยอลบิขนมปังอุ่นๆ จุ่มลงในซุป แล้วจากนั้นคงจะนึกถึงเจ้าหน้าที่หญิงซึ่งเป็นชาวเมืองคนนั้น ตัวของเขาจึงสั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง 


 


 


“ก็แค่ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุตอนเห็นครั้งแรกน่ะครับ ท่าทางก็ดูหยิ่งๆ อีก” 


 


 


“ฮ่าๆ ปกติพวกชาวเมืองที่ได้รับอำนาจและสิทธิก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราตัดสินพวกเขาจากท่าทางภายนอกแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็มีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือพวกเรา” 


 


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เอาแต่ทำท่าทางแบบนั้นแล้วจะไม่ทำให้เกิดเรื่องขัดหูขัดตากันกับผู้เล่นเหรอครับ” 


 


 


“ก็ต้องมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่เสียสติทำแบบนั้นน่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ พวกเรามีความสัมพันธ์กับพวกชาวเมืองแบบอยากจะตีก็ตีไม่ได้น่ะสิ ยิ่งสนิทสนมกันมากเท่าไร การทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น แล้วถ้ากลายเป็นตรงกันข้ามกับแบบนั้นจะเป็นยังไงล่ะ” 


 


 


“ก็ต้องไม่สะดวกสบายมากขึ้นน่ะสิครับ” 


 


 


‘ถึงแม้แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ใช้ได้แค่กับพวกมีประโยชน์ก็เถอะ’ 


 


 


ผมนึกถึงมิวล์แล้วพึมพำขึ้นมาในใจ แพคฮันกยอลทำแก้มป่องพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก พออยู่กับผมเพียงสองคนหลังจากไม่ได้อยู่แบบนี้มานานก็คงนึกถึงสถาบันผู้เล่น ผมจึงได้เห็นท่าทางที่ไม่เคยได้เห็นหลังจากเข้าร่วมเมอร์เซนต์นารี่อยู่บ้างเป็นครั้งคราว 


 


 


แพคฮันกยอลน่ารัก จู่ๆ ผมก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอย่างแรงกล้า สันจมูกโด่งกับดวงตาที่เหมือนกับกลุ่มดาวนับล้าน ใบหน้าที่ดูสุภาพอ่อนโยน และกระทั่งท่าทางที่กำลังเคี้ยวอาหารหนุบหนับๆ พร้อมกับขยับริมฝีปากสีชมพูขึ้นลงนั้นด้วย ขนาดบริกรยังเหลือบมองเขาแล้วถึงกับพูดว่า ‘ถ้างั้นขอให้เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารนะครับ’ เลย 


 


 


“แหะๆ อร่อยจังนะครับ พี่” 


 


 


“หืม อ้อ กินเยอะๆ นะ” 


 


 


“ครับ พี่ก็ทานเยอะๆ นะครับ”


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม