Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ 1213-1228

 1213 คุ้นเคยเป็นธรรมชาติ


องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ต้องการสร้างอาณาจักรในขุนเขาเหนือขุนเขา


 


นางไม่สนใจสิ่งเหล่านี้


เหตุผลที่ทำให้ทหารทุกคนตกใจยอมเป็นข้ารับใช้ภายใต้ดาบของนาง เพราะเพื่อหยุดสงครามที่ไร้สาระนี้  หลังจากการแสดงฝีมือของนางสิ้นสุด นางไม่สนใจว่าใครจะคิดอะไรรีบกลับเข้าโลกคัมภีร์ทันที ปล่อยให้ทหารทั้งค่ายตะวันออกและตะวันตกพากันตะลึงมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป


สาวงามโล่วฮัวไม่ยอมเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ นางหาวและกลับเข้าไปพักผ่อน


โชคดีที่ยังมีเย่ว์หยาง


มิฉะนั้นทหารในป้อมพายุคงร่ำไห้จนตาย กลายเป็นเหมือนหญิงที่ถูกทอดทิ้งจำนวนเป็นล้านร่ำไห้กับพื้น… เมื่อเห็นเย่ว์หยางเตรียมแยกตัวจากไป  ไม่ว่าจะเป็นจอมพลและนักรบค่ายตะวันออกหรือค่ายตะวันตกและขุนพลรวมตัวด้วยกันมองดูเขาด้วยสายตาเปี่ยมความหวังรอให้เย่ว์หยางพูด


เย่ว์หยางถอนหายใจ เขาต้องทำงานช้าลงไปอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ซื่อเสิน ความรักความแค้นความยุ่งเหยิงเหล่านี้ เขาจะไม่ยอมเข้าไปยุ่งแน่นอน


“มองข้าทำไม? พวกเจ้ายังเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่จริงหรือ?”  เย่ว์หยางพูดไม่เกรงใจและดึงกระบี่วิถีกำศรวล, มุกประทีปราตรี, ดาบดื่มหิมะ ฯลฯ ความเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติทำให้เหล่าขุนพลหวาดหวั่นพรั่นพรึง


“ฝ่าบาทซื่อเสินเจ้านายข้า และเทพที่เหลือทั้งหมด?”


จอมพลฟงเอ๋อมองดูอย่างว่างเปล่าและนั่งลงบนซากหักพังของป้อมพายุ


เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แรงกดดันจู่โจมใส่ร่างกายไม่รู้จบ ไม่สามารถปลุกปลอบขวัญขึ้นได้อีกแม้แต่ครึ่งนาที เขาพึมพำอย่างช่วยไม่ได้  “เราต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อเทพของเราไปเพื่ออะไร แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป? ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ?  แปดเทพพากันตายทั้งหมดในสงครามเทพ นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ!”


เขาไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง


แต่


ความจริงข้างหน้าเขา ทำให้เขามิอาจสงสัยได้


สมบัติชั้นเทพถูกถอนสัญญา และทั้งหมดตกอยู่ในมือเย่ว์ไตตัน  พิสูจน์ว่าแปดเทพขุนเขาเหนือขุนเขาตายหมดแล้ว  มิฉะนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้…  ส่วนจอมพลแห่งค่ายตะวันตกกู้ไห่และหมื่นปีศาจตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น  เพราะพวกเขาพบว่ามุกประทีปราตรีซึ่งเป็นของเฮยโจวยอมรับเย่ว์ไตตันเป็นเจ้านายแล้ว  ถ้าเฮยโจวไม่ตาย มุกประทีปราตรีจะไม่มีทางเปลี่ยนเจ้านายเด็ดขาด


แปดเทพถูกเย่ว์ไตตันผู้นี้ฆ่าตาย ทั้งสตรีผู้ใช้ดาบเทพเมื่อครู่นี้อีกเล่า?


ชั่วเวลาหนึ่งแม่ทัพนายกองเริ่มดีดลูกคิดคำนวณ


ยอมรับดีกว่า  ไร้ประโยชน์ที่จะลังเล


ข้ารับใช้ดาบก็ไม่เป็นไร!


ยอมเป็นบริวารรับใช้เจ้านายใหม่ผู้ดีกว่าแปดเทพผู้ล่วงลับไปแล้ว ยิ่งพวกเขายอมรับใช้เร็วเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น  การสนับสนุนแรกต้องไม่ถูกปล้นชิงไป


“คารวะท่านไตตันนายของข้า”  กู้ไห่และท่านหมื่นปีศาจแทบจะคุกเข่าพร้อมกัน


พวกเขาต้องได้รับประโยชน์สูงสุดเสมอ


การสนองตอบแบบนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด พวกเขาสามารถปล่อยวางทุกอย่างได้ในทันทีและทิ้งอดีตยอมคุกเข่าแสดงความภักดีต่อเย่ว์หยาง เพื่อแข่งขันให้ได้รับการสนับสนุนก่อนใคร


จะเป็นสถานะอะไรก็ไม่สำคัญ  ตราบเท่าที่ได้รับความดีความชอบจากเทพคนใหม่ก่อน อนาคตพวกเขาจะไม่มีขีดจำกัด


เปลี่ยนเจ้านายคนใหม่จะดีหรือไม่?


เจ้านายคนใหม่สามารถฆ่าแปดเทพได้ทุกคน


ยิ่งกว่านั้นเทพคนใหม่ยังทรงพลังและมีสตรีดาบเทพที่มีพลังเหลือเชื่อ


“พวกเจ้า….”  จอมพลกริฟฟินและแม่ทัพอินทรีทอง พวกเขาละอายใจแทนกู้ไห่และท่านหมื่นปีศาจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  คนไร้ยางอายพวกเขาสนับสนุนเทพคนใหม่ แต่พวกเขาไม่ผิด การต่อต้านผู้มีอำนาจไร้เทียมทานเป็นเรื่องไร้สาระไม่ใช่หรือ?  นอกจากนี้ เย่ว์ไตตันยังคงคุ้นเคยกับเขา  การยอมรับเขายังดีกว่ายอมเป็นบริวารของเทพแปลกประหลาด


“เราไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่ขุนเขาเหนือขุนเขา และเราไม่มีความตั้งใจจะรับใครเป็นบริวาร เรื่องเหล่านี้เราไม่สนใจแม้แต่น้อย”  เย่ว์หยางไม่รับกู้ไห่และท่านหมื่นปีศาจเหล่านี้ไว้เป็นบริวาร เขาพยักหน้าให้จอมพลกริฟฟินและพวกที่เขาคุ้นเคย “ซื่อเสิน, จ้าวซี, ซวงหานและชิงหวิน ยอมเสียสละชีวิตผนึกนาฬิกาวิเศษชั้นเทพให้ข้า  พวกเขามอบทุกอย่างให้ข้าในที่สุด  แต่ข้ารับไว้แต่เพียงของวิเศษและคัมภีร์อัญเชิญ ส่วนเรื่องอาณาจักรดินแดนปกครองและสมบัติอื่นทั้งหมดของเทพพวกเจ้า พวกเจ้าจงดูแลกันเอง ไม่ต้องถามข้า  เฮยโจว, เทียนโฉวและฟงซาถูกข้าและคนอื่นฆ่า มีแต่ชี่เฉียวที่สูญเสียพลังเทพยังมีชีวิตรอดอยู่ เขามอบหอกกลืนมังกรให้ข้า และภรรยาข้ารับทำสัญญากับมันแล้ว นางอยู่ในโลกคัมภีร์  ดังนั้นจึงถือได้ว่าแปดเทพผู้ยิ่งใหญ่ตายอย่างเป็นทางการในสงครามเทพ กระบวนการสงครามเทพค่อนข้างมีความซับซ้อนอยู่บ้าง  ข้าไม่สามารถบอกเล่าให้ชัดเจนในรวดเดียวได้ ครั้งนี้ต้องยกย่องกลุ่มโจรดวงดาวสักเล็กน้อย  ฮัวยา, กัวกัว พวกเจ้าออกมา เล่าให้ทุกคนฟัง  ข้าจะกลับไปพักก่อน”


หลังจากหาองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแล้ว นางคิดถึงเย่ว์หยางและเสวี่ยอู๋เสีย เมื่อเขาสั่งการเสร็จก็รีบกลับโลกคัมภีร์ทันที


ฮัวยาและกัวกัวที่ร่วมกลุ่มโจรดวงดาว ก่อนมาถึงป้อมพายุ เย่ว์หยางให้พวกเขามีส่วนร่วมทำงานในยานหงส์เหิน  พวกเขาสามารถพูดบอกบางเรื่องได้ที่ไม่เป็นการเผชิญหน้ากับจอมพลกริฟฟินมากเกินไปนัก   พวกเขาไม่ต้องการทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก


แน่นอนเย่ว์หยางมอบงานสำคัญนี้กับพวกโจรดวงดาว


ฮัวยาและกัวกัวได้รับการแต่งตั้งจากเย่ว์หยาง


นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งที่สุด


พวกเขายืดอกเชิดหน้าบอกเล่าเรื่องราวด้วยความภูมิใจ


ความจริงนอกจากชี่เฉียวและเฮยโจวในแปดเทพขุนเขาเหนือขุนเขาแล้ว  เย่ว์หยางยังได้รับรู้จากการส่งเสียงทางจิตจากเสี่ยวเหวินหลีตอนอยู่ในโลกคัมภีร์  อิคคาและเว่ยหลายพบร่องรอยของเฮยโจว  เฮยโจวไม่เพียงแต่ไม่ซ่อนตัวเท่านั้น แต่ดูเหมือนเร่งรีบไปยังดินแดนลับเทพสังหาร ดูเหมือนว่าต้องการจะช่วยเทพปีศาจเว่ยกวง ทั้งอิคคาและตั๊กแตนมัจจุราชเว่ยหลายเชื่อว่าคนผู้นี้ต้องการปลดปล่อยเทพปีศาจออกมาทำร้ายคนอื่น เมื่อรู้ว่าเฮยโจวต้องการสร้างความพินาศย่อยยับให้กับทุกคน พวกนางจึงเริ่มโจมตีเฮยโจวเทพประจิมอย่างดุร้าย


อิคคานางฟ้าศึกใช้ทักษะแฝงเร้นเกลียดชัง ยิงธนูแห่งความชังไปที่เฮยโจว


เฮยโจวที่อยู่ข้างหน้าตาย


เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถลุกกลับขึ้นมาได้


ทั้งอิคคาและภูตน้อยตั๊กแตนมัจจุราชผนึกพลังกัน ตอนนี้พลังเทพของเฮยโจวเหลือน้อย และขาดสมบัติเทพ  แม้เขาจะไม่ตาย แต่เย่ว์หยางตัดสินให้เขาตายล่วงหน้าแล้ว แม้ในช่วงเวลาที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนควบพลังสร้างดาบ เขาก็รู้สึกว่าเฮยโจวคงจะตาย ดังนั้นเขาใช้คำว่า ‘เฮยโจวพ่ายแพ้’


โชคร้ายนี้จะทำให้เฮยโจวตายหรือไม่? เย่ว์หยางไม่สนใจอยากรู้!


เขารู้เพียงอย่างเดียว


เจ้าผู้นี้ไม่ตายง่ายๆ อย่างแน่นอน


ถูกธนูแห่งความชังของอิคคาปักตรึง คิดจะตายอย่างสบาย?  นั่นเป็นเรื่องน่าขัน!


อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าเฮยโจวเคยปกครองอาณาจักรตะวันตกไร้เมตตา โหดเหี้ยมอำมหิต ในที่สุดก็ตายด้วยน้ำมือของอิคคาและสาวน้อยตั๊กแตนมัจจุราช  ถ้าเฮยโจวพบอาหงหรืออาหมันและถูกพลังเนตรประหาร ก็อาจไม่ต้องเจ็บปวด  ถ้าพบกับตั่วตั่วกับเจี้ยงอิง อาจจะผ่อนคลายมากขึ้นตราบเท่าที่เขาเป็นปุ๋ยอย่างดี  ถ้าพบกับสาวเทียนฟากับราชันย์ปีศาจใต้อาจเป็นโศกนาฏกรรมเล็กน้อย  แต่ก่อนที่จะถูกสายฟ้าสังหารอาจต้องฟังคำสวดส่งวิญญาณเสียก่อน  เสียชีวิตในเงื้อมมือของอิคคาและเว่ยหลายนับว่าโชคร้ายที่สุด ยังดีที่ไม่โดนปืนใหญ่ผลาญวิญญาณของนางฟ้าสงคราม


เฮยโจวเหลือพลังเทพไม่มากนัก มิฉะนั้นคงจะตายไปนานแล้ว


เย่ว์หยางคิดว่า นี่เป็นเรื่องที่น่าห่วงเล็กน้อย


อิคคาและเว่ยหลายต้องใช้เวลาถึงสามวันสามคืนจึงจะฆ่าเฮยโจวได้หรือไม่  ถ้าเป็นอย่างนั้นเฮยโจวนับว่าพบกับโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งชีวิตแล้ว


เกี่ยวกับวิธีการตายของเฮยโจว นอกจากเย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแล้ว ไม่มีใครรู้ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้ ตอนนี้ผู้คนนับล้านนั่งรายล้อมป้อมพายุและล้อมดาบยักษ์และหันหน้าเผชิญกัน ศัตรูที่ยังมีชีวิตและที่ใกล้ตายเพียงแต่นั่งรอฟังเรื่องราวของฮัวยาและกัวกัวแห่งโจรดวงดาวเงียบๆ .. การต่อสู้ล้มตายของเหล่าแปดเทพ!


ฮัวยาและกัวกัวพวกโจรดวงดาวและทหารกบฏโดยสารยานหงส์เหินที่ลอยลำอยู่ในท้องฟ้าด้วยความภูมิใจ


พวกเขาไม่กล้าบินผ่านดาบยักษ์หรือยืนที่ด้ามดาบเหมือนองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน


ถ้าเขาบังอาจกระทำเช่นนั้น อย่าว่าแต่จอมพลกริฟฟินและแม่ทัพอินทรีทอง  อินทรีป่า พยัคฆ์บินและฟลามิงโกเลย พวกเขาคงโดนลากออกไปร้อยกิโลเมตรและถูกฝังทั้งเป็นแน่นอน


สำหรับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผู้ควบพลังสร้างดาบยักษ์ แต่ละคนรู้สึกเกรงกลัวนาง


ความน่ายำเกรงนี้จอมพลฟงเอ๋ออาจเห็นว่าด้อยกว่าซื่อเสิน แต่จอมพลกริฟฟินมองว่าแข็งแกร่งกว่าชี่เฉียว และไม่ด้อยกว่ากันเลย


ที่สำคัญตลอดยุคสมัยในประวัติศาสตร์ของพวกเขา ดาบยักษ์ขนาดนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลก กลับปรากฏต่อสายตาทุกคนทำให้พวกเขารู้สึกนอบน้อมตน และไร้ความหมายไปโดยอัตโนมัติ


“กล่าวกันว่าจีอู๋ลี่หลังจากสมคบร่วมมือกับเทพประจิมเฮยโจว ก็ให้ร่างอวตารมุ่งหน้ามายังหุบเขาพื้นที่ตั้งค่ายด้านหลังป้อมพายุ ในนามปราชญ์ผู้รู้ เขาล่อลวงโจรดวงดาวและพวกกบฏ แต่เพราะความฉลาดแทบตายของเราผ่านมาพบเห็นแผนร้ายสมรู้ร่วมคิด…”  ฮัวยาพูดแต่ถูกผู้ฟังนับล้านคัดค้านปฏิเสธ และสงสัยว่าทำไมเขาจึงฉลาดแทบตาย  หากไม่ใช่เพราะเย่ว์หยางพวกเขาคงลุกเดินหนีแน่  พอถึงเวลานี้กัวกัวเห็นว่าท่าทีไม่ดี เขารีบเปลี่ยนรูปแบบการเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว  “พวกเราถูกหลอกจริงๆ ข้าคิดว่าจีอู๋ลี่จอมวายร้าย เล่นกับคนเป็นล้านในฝ่ามือ  ไม่เพียงแต่เราเท่านั้น แม้กระทั่งเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดยังถูกหลอก  พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าจีอู๋ลี่ผู้นี้ โน้มน้าวเทพผู้ชั่วร้ายในแดนสวรรค์  เขาล้มเฮยโจวด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว  แม้ว่าจีอู๋ลี่จะได้รับผลสะท้อนจากพลังเทพก็ตาม จากนั้นจีอู๋ลี่ถูกเทพผู้ชั่วร้ายคนทำร้ายยิงจนอกทะลุ พวกเจ้าคิดไม่ออกแน่ว่าเทพชั่วร้ายนั้นมีพลังมากมายแค่ไหน! ไม่ใช่เพียงแค่นี้ ซื่อเสินทุ่มเทพลังทั้งหมดในกระบี่ยังทำได้แค่เพียงต้านพลังดรรชนีเดียวของเขาเท่านั้น…”


“หา!”  ผู้ฟังทุกคนส่งเสียงอื้ออึงสูดหายใจหนาวเหน็บ


กระบี่ของซื่อเสินทำได้แค่ต้านรับดรรชนีเดียวของเทพชั่วร้ายนั่นหรือ?


เทพผู้นี้ไม่ธรรมดานักหรือ?


ทหารธรรมดาคิดแบบนี้  แต่เมื่อจอมพลฟงเอ๋อ, กริฟฟิน, หมื่นปีศาจและกู้ไห่เมื่อได้ยิน แต่ละคนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน  เทพผู้ชั่วร้ายนี้น่าสะพรึงกลัวมาก  แต่เย่ว์ไตตันและสตรีผู้ถือดาบเทพก็ฆ่าเทพผู้ชั่วร้ายได้ นี่ยังน่ากลัวมากกว่าไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เย่ว์ไตตัน และสตรีดาบเทพดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย


อินทรีป่า, พยัคฆ์บินและฟลามิงโกพยายามสงบอารมณ์ตนเองลง เย่ว์ไตตันที่พวกเขารู้จักอยู่ก่อนนั้นเป็นบุคคลผู้น่าทึ่ง


เทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกในตำนานคิดค้นและสร้างยานแม่ได้เป็นพันๆ ปี  ทั้งซื่อเสินและเฮยโจวไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะได้  แต่เด็กหนุ่มผู้นี้สามารถเปลี่ยนยานกระทุงเป็นยานหงส์เหินได้และยังสร้างกองทหารเกราะรบเต่าดำ ด้วยโลหะลับเทพสังหารได้ ดังนั้นจะเอาความคิดของคนธรรมดามาประเมินเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลย!


“กล่าวอีกนัยหนึ่ง เทพชั่วร้ายนั่นสร้างความรำคาญให้กับท่านไตตัน เขากลายร่างเป็นอสูรยักษ์ใหญ่มหึมาที่คงกระพันน้ำ ลม ไฟทำอะไรไม่ได้ ในเวลานี้ท่านไตตันทำให้เขาขนลุกขนชัน!  เป็นเขาจะทำยังไง?  สิ่งที่น่ากลัวก็คือเทพชั่วร้ายนั้นเพิ่งจะใช้ร่างแรก มีสองร่างสุดท้ายที่ทรงพลังมากยิ่งกว่าเป็นล้านเท่า ท่านไตตันต่อสู้ตอบสนองต่อการต่อสู้ที่ยกลำบากนี้ได้อย่างไร?   ลองคิดดู ข้าเดาว่า … อ่า….คอแห้ง  ข้าขอดื่มน้ำก่อนได้ไหม?”  ในที่สุดกัวกัวเล่ากล่าวจนน้ำลายแตกฟองและรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย เขาขอโอกาสดื่มน้ำก่อน  แต่พฤติกรรมของเขากลับโดนคนอื่นต่อว่าโวยวายโดยไม่ต้องปรึกษากันมาก่อน  ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เจ้ากลับไม่ยอมเล่าต่อ ทั้งยังจะให้พวกเขาคาดเดาอีกหรือ?


ก้อนหินนับไม่ถ้วนปลิวมาตามอากาศราวกับสายฝน


ถ้ากัวกัวต้องสร้างอาคารบ้านเรือน คาดว่าหินเหล่านี้สามารถนำไปสร้างตึกระฟ้าได้อย่างสบายๆ


เย่ว์หยางไม่ทราบว่าสงครามเหล่าทวยเทพนั้นได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหน หากเขารู้ว่าได้รับความนิยมมากเขาคงคิดค่าบริการหรืออาจเขียนนิยายขายเอาเงินค่าต้นฉบับก็คงได้เงินไม่น้อย  “เปลี่ยนไปมากจริงๆ!”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกลับมายังโลกคัมภีร์แทบจำไม่ได้ว่านี่คือสถานที่นางอยู่ทุกวัน นางไม่ได้ใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้มากนักและสิ่งท่ทำให้นางประหลาดใจและกังวลก็คือเสวี่ยอู๋เสียหายไป  ถ้าเสวี่ยอู๋เสียตื่นขึ้นมาแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ดี นางรอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว นางต้องการรู้ว่าสาวหิมะเป็นยังไง ได้รับตกทอดพลังเทพแล้วมีความก้าวหน้าเพียงไหน ได้รับทักษะพิเศษใหม่อะไรบ้างในช่วงที่หลับ  อย่างไรก็ตามเสวี่ยอู๋เสียตื่นขึ้น แต่ว่าหายไป ไม่มีใครรู้ว่านางไปที่ไหน  อย่างนี้แม้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอยากจะหึง แต่นางก็ยังรู้สึกอายเล็กน้อย


นางมองเย่ว์หยางที่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตียงเสวี่ยอู๋เสีย ทันใดนั้นนางโอบกอดศีรษะเขาไว้แน่นแนบอก นางใช้คำพูดอ่อนโยนราวกับสายลมปลอบโยนเขา  “ไม่ต้องกังวล นางคงกลับไปพักผ่อนยังโลกคัมภีร์ของนาง  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะย่อยประกายเทพ แม้แต่ตั่วตั่วและเจี้ยงอิงก็ยังต้องใช้เวลานานในการดำเนินการ!  ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงกลัวว่านางจะไปท้าทายเทพปีศาจ  อย่างไรก็ตามข้ารับประกันได้ว่าครั้งแรกที่นางลืมตา นางคงอยากจะพบเจ้า ถ้าไม่ถูกบังคับก็ต้องมีเหตุผลที่กลับเข้าไปในโลกคัมภีร์  แต่นางจะรอเจ้าแน่นอน ไม่รู้ว่านางบอกเจ้าไปมากแค่ไหนแล้ว!  นางไม่ได้ออกไปข้างนอก นางยังอยู่กับเรา  เจ้าเพียงแค่ต้องอดทนรอ เจ้าอุตส่าห์อดทนรอมานานแล้ว เจ้ายังใส่ใจเรื่องเวลาด้วยหรือ?”


เย่ว์หยางแนบหน้ากับอกนางได้กลิ่นหอมบริสุทธิ์ จิตใจที่ว้าวุ่นค่อยสงบลง


องค์หญิงเชี่ยนสั่นทันที


ด้วยความหยิ่งเล็กน้อยนางชูกำปั้นควงไปมา  “วิธีนี้ทำให้ตัวร้ายได้เปรียบอยู่เรื่อย  เจ้ายังทำหน้าซื่อแต๊ะอั๋งข้าอยู่อีกหรือ?  ปลอบโยนเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์”


“อะแฮ่ม.. นี่ นี่ เจ้าก็คุ้นเคยกับนิสัยของข้าอยู่แล้ว…” หมาป่าพูดยั่ว


“ข้าก็มีนิสัยอย่างนี้เหมือนกัน!”  แม่เสือสาวทำท่าจะกัด


แต่วินาทีต่อมาริมฝีปากนาง ถูกปากเขาไว้


กัดและจูบ


บางครั้งก็แทบคล้ายกัน…


1214 ครอบครัว? ยิ้มพิมพ์ใจ


เสวี่ยอู๋เสียตื่นขึ้น


 


ลืมตาขึ้นครั้งแรก นางอยากพบเด็กหนุ่มวายร้ายที่นางฝันถึงขณะหลับสนิท  นางรู้ว่าเขาคิดถึงนางเรียกนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าหวังว่านางจะตื่นขึ้นและหวังว่าเมื่อนางลืมตาจะมองเห็นหน้าเขาทันทีและเตือนเขาไม่ให้ทำตัวน่ารังเกียจเกินไป  อย่างไรก็ตามมีหลายครั้งที่นางต้องการจะตอบสนองเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่าจะเป็นการบอกใบ้เล็กน้อยก็ไม่สามารถทำได้


นางไม่รู้ว่านางอยู่ท่ามกลางความปั่นป่วนโกลาหลนานแค่ไหน บางทีอาจเป็นเวลาพันปี หรือนานแสนนาน


ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ เสมอหัวใจนางคงร้อนรน


ในการหลับอย่างสงบแทบใกล้เคียงกับความนิรันดร์ เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกว่านางได้ผลรับมากมายจริงๆ  แม้ว่านางจะไม่สามารถพูดคุยหยอกล้อกับเขาได้  แต่นางก็มีความอดทนมากขึ้นตระหนักรู้ความคิดในความเงียบของนางมากขึ้น…  การหลอมรวมพลังเทพน้ำแข็ง สำนึกเทพค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงควบแน่นแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่ต้องมีความคิดนำใดๆ อยู่ตรงกลาง พลังงานรูปแบบใหม่ก่อตัวโดยอัตโนมัติ  เกิดเป็นกระบวนการทางสำนึกเทพและพลังเทพที่สมบูรณ์ นางได้เรียนรู้เข้าใจขอบเขตความรู้ของระดับเทพ เป็นความรู้ใหม่ที่ไม่คาดคิดจินตนาการมาก่อน  บางอย่างก็เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน ถ้าต้องใช้ปัญญาทำความเข้าใจทั้งหมดไม่ก็รู้ว่าเมื่อไหร่จะเข้าใจได้หมด   ได้แต่รอสำรวจในใจตนเองเงียบๆ และดูดซับความรู้นั้นเข้าด้วยกัน


ในบางขอบเขต เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกว่านางมีความเข้าใจ


แต่การค้นพบสุดท้ายนั้นเป็นแค่การเริ่มต้น


เหมือนกับปลายยอดภูเขาน้ำแข็งซึ่งเป็นส่วนน้อยเท่านั้น


มีบางครั้งเสวี่ยอู๋เสียคิดว่า นางยังอยู่ไกลมาก แต่ในที่สุดนางพบว่าเชี่ยวชาญประสบความสำเร็จโดยไม่รู้ตัว  มีเพียงโอกาสเดียวที่จะแสดงยืนยัน!


นางต้องการแบ่งปันผลเก็บเกี่ยวและร่วมยินดีกับเด็กหนุ่มตัวร้าย  เขาคงจะมีความสุขกับนาง  บางทีเขาอาจจะบ่นเพราะนางเอาแต่นอนนานเกินไป  แต่คงจะมีความสุขมากขึ้นอย่างแน่นอน… องค์หญิงผู้เชิดหยิ่งคงจะดื่มน้ำส้มสายชูสามชามใหญ่ (หมายความว่าหึง) นางคงจะโกรธมากที่ไม่เห็นตัวนางเองเป็นเวลานาน เสวี่ยอู๋เสียคิดจะตามหานาง


อย่างไรก็ตามเมื่อนางได้รับประโยชน์ขอบเขตพลังที่สูงส่ง นางกระตือรือร้นจนกระทั่งเป็นอิสระจากสภาวะปั่นป่วน


เมื่อนางลืมตาขึ้นนางต้องการพบเขาเป็นคนแรก


แต่เสวี่ยอู๋เสียพบว่า


ตัวนางอยู่ในมิติเวลาที่ลึกลับ


ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนจะคุ้นเคยมาก ราวกับว่านางเคยเห็นมาก่อน  แต่เสวี่ยอู๋เสียแน่ใจว่าทุกอย่างในนี้แปลกอย่างสิ้นเชิง  นางไม่เคยเห็นมาก่อน มีความคุ้นเคยแต่รู้สึกแปลก เหมือนไม่ใช่ความจริง


ไม่มีดอกไม้ ต้นไม้ ไม่มีภูเขา ไม่มีทะเลสาบไม่มีอะไรในโลก


บางทีเป็นกลุ่มเมฆหมอกในท่ามกลางความโกลาหล


ถ้าไม่ใช่เพราะเสวี่ยอู๋เสียพบว่าตนเองตื่นเต็มที่แล้ว นางคงสงสัยว่ายังคงหลับและอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน


 “บางทีอาจมีคำตอบในคัมภีร์แห่งสัจจะ”  เสวี่ยอู๋เสียคิดเรื่องนี้แล้วไม่สามารถหาเหตุผลรับรองได้  นางต้องมองดูจากคัมภีร์แห่งสัจจะซึ่งหลอมรวมกับนางวิวัฒนาการไปเป็นสมบัติชั้นเทพคุณภาพสูง


นิ้วดุจหยกของนางพลิกหน้าเบาๆ


คาดไม่ถึงเลยว่าคัมภีร์แห่งสัจจะซึ่งสามารถนำเสนอความจริงของโลกได้ทั้งหมดไม่มีการตอบสนอง


แม้นางจะเรียกขุนพลเทพธิดาวายุ อสูรพิทักษ์ของนาง


แต่กลับไร้ผลสิ้นเชิง


 “เกิดอะไรขึ้น?”  เสวี่ยอู๋เสียงงงวย ยังมีที่ใดในโลกที่ไม่สามารถเรียกอสูรพิทักษ์ออกมาด้วยหรือ?  นี่ที่ไหนกัน?  เห็นได้ชัดว่านางหลับอยู่ในโลกคัมภีร์ และจู่ๆ นางกลับมาอยู่ดินแดนลับของมหาเทพโบราณ ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่!


นางงงงวยและไตร่ตรองกลับไปมาเป็นร้อยครั้ง และประหลาดใจกับสิ่งที่นางพบ


ที่ด้านหลังนางไม่รู้ว่ามีเด็กหญิงน่ารักสองคนปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองคนกระพริบดวงตากลมโตมองดูนาง


เสวี่ยอู๋เสียเห็นเด็กหญิงมาหลายคน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือนอกมีมากมายโดยเด็กหนุ่มตัวร้ายของนางเป็นพวกรักเด็ก เขารู้จักเด็กหญิงโตเด็กหญิงน้อยอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นซวงเอ๋อจอมซน หนิวหนิว ปิงเอ๋อผู้ว่าง่าย เป่าเอ๋อ รวมทั้งองค์หญิงจากตระกูลต่างๆ  แม้แต่ในสถาบันฉางชุนเฉิง ห้องเรียนระดับสูงที่แม่เฒ่าอู่เถิงดูแล มีเด็กหญิงมากมายที่นางพบเจอ


อย่างไรก็ตามเสวี่ยอู๋เสียมั่นใจ


เด็กหญิงผู้น่ารักสองคนที่อยู่ข้างหน้านาง นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน  และไม่เคยเห็นเด็กหญิงที่ผิวสีชมพูน่ารักขนาดนี้


แม้ว่าเสวี่ยอู๋เสียไม่ใช่คนที่ชอบคลุกคลีกับเด็กแต่นางกลับรักเด็กผู้หญิงสองคนข้างหน้านี้


เพราะ


พวกเธอน่ารักมาก!


 “พวกเจ้า….”  เสวี่ยอู๋เสียเหมือนมีภาพเลือนลางว่าคุ้นเคยกับเด็กน้อยสองคนนี้มาก่อน  แต่ก็แน่ใจว่าไม่เคยเห็นพวกเธอมาก่อน เนื่องจากนางรู้สึกอย่างนี้ นางจึงสับสนไม่แน่ใจชัดนัก  ทำไม!


นางทำท่าอยากกอดเด็กหญิงผิวสีชมพูน่ารักทั้งสอง  แต่ทั้งสองเมื่อเห็นนางเหมือนกับจะเข้าใจนาง กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว


ไม่ยอมให้กอด


พวกเธอมองกันและกันอีกครั้ง


เสียงหัวเราะชัดเจนไพเราะราวกับระฆังเงินได้ยินสะท้อนไปทั้งใจ


เด็กหญิงทั้งสองจับมือซอยเท้าน้อยๆ วิ่งห่างออกไป


เสวี่ยอู๋เสียยื่นมือไขว่คว้าและพบเห็นรอยเท้าตัวนางเอง ถ้านางต้องการเคลื่อนไหวที่นี่สักครึ่งเมตร นางจะต้องดิ้นรนใช้พลังทั้งกาย  เป็นไปไม่ได้ที่จะตามจับเด็กหญิงผู้น่ารักทั้งสองที่ถลันร่างห่างออกไป พร้อมกับยิ้มให้อย่างคาดไม่ถึง  เด็กหญิงทั้งสองคนเป็นลูกของใคร ทำไมพวกเธอถึงมาอยู่ที่นี่?


ทำไมพวกเธอจึงดูคุ้นเคยกับนางยิ่งนัก


ปัญหาหลายอย่าง


ผุดขึ้นในใจของเสวี่ยอู๋เสีย นางคิดไตร่ตรองก็คิดไม่ออก


เสวี่ยอู๋เสียเดินช้าๆ ไปในทิศทางที่เด็กหญิงทั้งสองหายไป ทุกย่างก้าวที่นี่เหมือนใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือนถึงจะไปได้  การกระทำทุกอย่างช้าไปหมด  โชคดีที่ห้ามเรื่องการเดินเท่านั้น ถ้าห้ามไม่ให้พูด นางคงต้องกังวลเป็นแน่


เสวี่ยอู๋เสียผู้ได้ความอดทนในช่วงเวลาที่หลับสามารถทำได้อย่างสบาย ไม่กังวล อย่างไรก็ตาม นางใช้เวลาเดินทั้งวัน


ถ้าเปลี่ยนเป็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนซึ่งเป็นคนใจร้อนกว่า


คาดว่านางคงอึดอัดหายใจไม่ออกเป็นแน่


นางไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกนานเท่าใด


ในไม่ช้าเสวี่ยอู๋เสียก็หยุด แทบไม่สามารถยืนอยู่ได้ ทันใดนั้นนางพบว่ามีบางคนกำลังฝึกฝนอยู่


คนผู้นี้ยังคงเป็นดรุณีน้อย  แต่เป็นดรุณีที่โตกว่าซวงเอ๋อและหนิวหนิว แต่เล็กกว่าปิงเอ๋อและเป่าเอ๋อ  ลักษณะของนางนั้นมีความคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก เหมือนกับว่าเด็กหญิงผู้นี้นางเคยพบเห็นมาก่อน  เป็นความคุ้นเคยเหมือนคนที่รักให้ความรู้สึกเป็นมิตรและสบายใจ


 “น้องสาว, เจ้าเป็นใครกัน?”  เสวี่ยอู๋เสียรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่สมาชิกครอบครัวนางแน่  แต่นางสงสัยว่าดรุณีน้อยผู้นี้อาจเป็นสมาชิกครอบครัวของคนรักนาง บางทีอาจเป็นน้องสาวของเขาก็ได้ แต่เดิมน้องสาวของวายร้ายของนางก็คือปิงเอ๋อและซวงเอ๋อ ไม่มีใครอื่น  แต่เมื่อเด็กหญิงปรากฏต่อหน้าเสวี่ยอู๋เสีย นางคงไม่ปฏิเสธว่าไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่น บางทีอาจเป็นดอกผลแห่งความปรารถนาของมารดาเย่ว์หยางก็ได้


หรืออาจจะมีเหตุผลอื่น


อย่างไรก็ตาม น้องสาวผู้นี้ต้องเป็นสมาชิกครอบครัวเขาแน่นอน!


ดรุณีน้อยผู้นี้สวมใส่ชุดที่งดงามซึ่งเสวี่ยอู๋เสียไม่เคยเห็นมาก่อน  นางพอเห็นเสวี่ยอู๋เสียก็รั้งพลังกลับอย่างรวดเร็ว นางมองดูเสวี่ยอู๋เสียและกระพริบตากลมโตเหมือนกับที่เด็กหญิงผู้น่ารักทั้งสองมองเสวี่ยอู๋เสีย


 “หน้าของข้ามีอะไรรือ?”  เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกหวาดหวั่นและลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว


 “…..”  ดรุณีน้อยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร


นางยื่นมือออกมาทันที


เสวี่ยอู๋เสียไม่ค่อยเข้าใจนัก คาดว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ดี  อาจพยายามจูงมือนางก็ได้  นางยังคงลองยื่นมือออกไปจับมืออ่อนนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ


เป็นสัมผัสที่ปลอดภัย สนิทสนมและทำให้หัวใจของเสวี่ยอู๋เสียสงบลง


นี่คือคนรักคนหนึ่ง


วินาทีต่อมานั้น


นางประหลาดใจมากที่พบว่าดรุณีน้อยที่อยู่ข้างหน้านางควบแน่นพลังใช้พลังปราณสร้างเป็นกระบี่มังกรทอง และลอยตัวขึ้นไปยืนบนศีรษะมังกร มังกรทองบินขึ้นไปในท้องฟ้า ในพริบตาเดียว ไม่รู้ว่านางบินไปไกลเพียงไหน ถ้าเปลี่ยนเป็นโลกธรรมดาก็ต้องบินผ่านมาหลายพันไมล์


 “จะไปไหนกัน?”  เสวี่ยอู๋เสียคิดว่านางจะพาตัวนางเองไปจากโลกแปลกประหลาดเพื่อกลับไปพบกับตัวร้ายของนาง?


 “…..” เด็กสาวยิ้มหวานให้นาง แต่ไม่อธิบายอะไร


มังกรทองยักษ์ถูกสร้างด้วยปราณกระบี่ดูเหมือนจะผ่านมิติเวลาได้


เสวี่ยอู๋เสียงงงวยตลอดทาง


ไม่ลดลงแม้แต่น้อย


ทันใดนั้นนางรู้สึกว่าร่างกายเบา


มังกรทองยักษ์หายไป นางพบว่านางมาอยู่ในโลกที่มีพลังเทพสว่างไสวเต็มไปด้วยรัศมีแสง  เมื่อเทียบกับโลกแห่งความฝันที่มีสีสันเต็มไปหมด เสวี่ยอู๋เสียพบว่า  แม้โลกที่สวยงามที่สุดที่นางเคยพบเจอมาก่อน เมื่อมาเปรียบเทียบกับที่นี่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยอ้าง


โลกคัมภีร์ของตัวร้าย ผ่านการใช้เจตจำนงและสร้างให้ทุกคนอย่างสวยงาม


แต่มิอาจเปรียบกับที่นี่ได้


ความรู้สึกห่างชั้นนั้นเหมือนกับลูกเป็ดขี้เหร่กับพญาหงส์ขาว


พลังเทพของเสวี่ยอู๋เสียสามารถใช้ที่นี่ได้ในที่สุด ยิ่งกว่านั้นยังได้รับพลังสนับสนุนเป็นพันเท่า..  นางลอยตัวอยู่ในท้องฟ้ามองดูทิวทัศน์ทั้งหมดเบื้องหน้านาง  นอกจากนี้ที่นี่ยังมีความงดงามอย่างที่มิเคยพบเห็นจากที่ใดมาก่อน มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ที่ด้านบนสุดเหมือนมีลำแสงเทพสีรุ้ง


ครอบคลุมเต็มท้องฟ้าทั้งหมด


นางไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากมายเพียงไหนพลังเทพจึงสามารถกลั่นตัวได้มากมายขนาดนี้


ภายใต้แสงสีรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ไกลออกไปมีเสาสีแดงอ่อนทอดยาวจากเชิงเขาตั้งชันขึ้นหายไปบนท้องฟ้า ใจของอู๋เสียตื่นเต้น พลังเทพพานางมาที่หน้าเสาแสงสีแดง และนางก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเสาแดงนี้ไม่ใช่อะไรอื่น  แต่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนใครในโลกของเด็กหนุ่มวายร้ายนั่น  เสาเพลิงอมฤต  ตัวร้ายนั่นไม่สามารถกลั่นสร้างเสาเพลิงอมฤตที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้คั่นโลกและสวรรค์อย่างนิรันดร


เสาเพลิงอมฤตนี้คาดว่ากว้างสิบกิโลเมตรหรืออาจมากกว่านั้น


สูงจรดฟ้า


นางไม่รู้ว่าไปสุดที่ใด


 “พี่สาว! เจ้ามาได้อย่างไร?”  เสียงห้าวน่ารักดังออกมาจากลำเสาเพลิงอมฤต จากนั้นเสวี่ยอู๋เสียยังไม่ทันตั้งตัวนางรู้สึกว่ามีศีรษะน้อยๆ เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนนาง พลังแฝงจากการโถมตัวเข้าอ้อมกอดทำให้นางปลิวกระเด็น ถ้าไม่ใช่เพราะนางหลอมรวมกับพลังเทพหิมะน้ำแข็ง คงโดนเด็กน้อยผู้นี้ชนกระเด็นไปในอากาศ


 “ปิงหยินนั่นเป็นเจ้าเอง!”  เสวี่ยอู๋เสียดีใจ แม้ว่าเด็กสาวนี่จะแก่นห้าวไปบ้าง แต่พอนางปรากฎตัว เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกผ่อนคลายจิตใจ


 “พี่อู๋เสีย!  เจ้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง?”  ศีรษะน้อยๆ ในอ้อมแขนนางเงยหน้ามอง และนั่นคือสาวกิเลนปิงหยิน


 “อ่า.. ข้าไม่รู้!”  เสวี่ยอู๋เสียไม่สามารถตอบได้  เมื่อนางหลับนางอยู่ในสภาพปั่นป่วน จากนั้นตื่นขึ้นมาพบเด็กหญิงน่ารักสองคน และมีเด็กหญิงโตผู้น่ารักอีกคนใช้ปราณกระบี่มังกรทองพาข้ามาจนกระทั่งถึงที่นี่ แปลกประหลาดยิ่งกว่าความฝัน พูดให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อ


เสวี่ยอู๋เสียมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ในท้องฟ้านั้นมังกรทองหายไปแล้ว


เด็กสาวผู้น่ารักก็หายไปแล้ว


มองเห็นไกลๆ เหมือนดวงดาว


เป็นประกายสดใส


สุกใสเหมือนกับประกายตาของนาง


เสวี่ยอู๋เสียเหมือนกับมองเห็นภาพลวงตามองเห็นเด็กหญิงในท้องฟ้าที่ห่างไกลยิ้มและโบกมือให้นาง…


1215 แดนสวรรค์ การรุกราน?


อาณาจักรหลิงหวิน ภูมิภาคซีเหอ แดนสวรรค์ตะวันตก


 


เมืองลี่จ้าวอยู่ใกล้ประตูสวรรค์มากที่สุดไม่มีที่ใดใกล้กว่านี้อีกแล้ว


เมืองลี่จ้าวเป็นฐานทัพใช้ตีหอทงเทียน เนื่องจากเกาะสุริยาเป็นฐานที่มั่นด้านหลัง มีผู้เฒ่าหมากรุกเป็นผู้พิทักษ์คอยดูแลป้องกันไม่ให้เชลยชาวหอทงเทียนหนีออกมา เส้นทางลับข้างหน้าได้เปิดใช้อุปกรณ์ระเบิดดวงดาวทำลายเมืองลี่จ้าวและดินแดนในรัศมีหลายสิบกิโลเมตรโดยรอบจนราบคาบ


วันนี้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังบินไปยังซากปรักหักพังที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใช้งานเป็นเวลานาน


คนที่อยู่แถวหน้าคือเจ้าอ้วนไห่ เย่คง เสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวที่เย่ว์หยางปล่อยให้หาประสบการณ์ในอยู่ในเมืองลู่หลิว ภูมิภาคสวนสวรรค์


ก่อนที่จะเดินทางถึงซากปรักหักพัง เย่คงหยุดและแยกออกห่างเจ้าอ้วนไห่อย่างระมัดระวังราวกับว่าจะมีศัตรูที่น่ากลัวโดดลงมาในพื้นที่ปรักหักพัง  ไม่เพียงแต่เย่คงและเจ้าอ้วนไห่เท่านั้น แต่เสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวก็พร้อมเผชิญหน้ากับศัตรูด้วย


“เด็กๆ ไม่ต้องกังวล!”


เสียงอ่อนโยนดังขึ้นเหมือนกับอยู่ในท้องฟ้าห่างไกล แต่ชัดเจนเหมือนดังในหู


ในท่ามกลางพื้นที่ไหม้ปรักหักพัง มีชิ้นส่วนซากหักพังส่วนหนึ่งลอยอยู่ ตรงกลางมีช่องกลมขนาดสิบเมตรไม่ทราบลึกเท่าใด ชายชราผมขาวแต่งตัวหวีผมเรียบร้อยออกมาจากช่องกลม เขาใช้นามว่าเจียวซือผู้ปลอมตัวพรางตัวเป็นหัวหน้าพ่อบ้านในเมืองลี่จ้าว ซึ่งแท้ที่จริงคือราชาเกาเผิงหนึ่งในสี่ราชันย์ผู้ค้ำบัลลังก์ของจักรพรรดิอวี้และเป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพ


เย่ว์หยางมายังเมืองลี่จ้าวเพื่อช่วยเหลือผู้อาวุโสหอทงเทียนผู้ถูกจองจำในสงครามจักรพรรดิอวี้ครั้งก่อน แต่สหายเก่าทั้งหมดนี้เหลือแต่เพียงวิญญาณ เนื่องจากผ่านไปถึงหกพันปีแล้ว พวกเขาไม่ต้องการกลับหอทงเทียนไปเผชิญพบหน้าผู้เยาว์รุ่นหลังที่พวกเขาไม่รู้จัก


พวกเขาทำได้แต่เพียงลอบคุ้มครองดินแดนมาตุภูมิจากแดนสวรรค์ที่ห่างไกล


“ผู้อาวุโสราชันย์เกาเผิง”  เย่คงและเจ้าอ้วนไห่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อพวกเขาเห็นราชาเกาเผิง


เสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวบินลงมาสมทบเช่นกัน


สำหรับราชันย์เกาเผิง เขาคือผู้อาวุโสรุ่นก่อน


เกาเผิงโบกมืออย่างสุภาพ  “ไม่มีราชาเกาเผิงอีกแล้ว  นี่เป็นยุคของจักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่  นี่คือยุคสมัยของพวกเจ้า  พวกเจ้าไม่ต้องมากมารยาทกับเราก็ได้ ว่าแต่พวกเจ้ามีอะไรจะพูดก่อนยืนยันอีกไหม?”


เมื่อเขาถามโดยตรง เย่คงและคนอื่นเปลี่ยนสีหน้าทันที ปกติเจ้าอ้วนไห่จะยิ้มร่าเริงอยู่เสมอ แต่ตอนนี้สีหน้าเขาเครียด


เย่คงพยักหน้าหนักแน่นยืนยัน  “ข่าวสารถูกต้อง ได้รับการยืนยันแล้ว”


เมื่อได้ยินคำตอบจากเย่คง หนึ่งในสี่ราชันย์ค้ำบัลลังก์ของจักรพรรดิอวี้มองดูสีหน้าจริงจังและถอนหายใจเล็กน้อย  “หกพันปี เป็นเวลาหกพันปีแล้ว แม้จะไม่มีจักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่เกิดขึ้น  ตำหนักกลางแดนสวรรค์ไม่ลืมที่จะส่งพวกเขาไปที่หอทงเทียน พวกมันไม่เคยปล่อยให้เราได้มีเวลาได้พักและฟื้นตัว  หอทงเทียนเป็นหนามตำตาพวกเขาตลอดหกพันปีที่ผ่านมา  พวกเขาจะจับตามองดูเราอย่างสงบเงียบโดยไม่ลงมือทำอะไรได้อย่างไร?  นอกจากนี้การเติบโตของพวกเจ้าเด็กน้อยรุ่นหลังเริ่มจะคุกคามพวกเขา  พวกเขาจะไม่มีทางทำเป็นตาบอดต่อไป!  เมื่อจ้าวสุริยาตาย ข้าก็มีลางสังหรณ์นี้บ้างแล้ว  พวกเขามาเร็วกว่าที่ข้าคาดเดาเล็กน้อย!”


เจ้าอ้วนไห่เกาศีรษะพูดขึ้นอย่างกังวล  “เจ้าเด็กนั่นไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย  พวกเราเพียงไม่กี่คนเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะกองทัพของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้?”


องค์ชายเทียนหลัวดูถูกที่เขาตาขาว  “อย่าพูดอะไรให้ใหญ่โตเกินไป!  กองทัพตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์น่ะหรือ?  แค่เพียงทหารรับจ้างแดนสวรรค์ก็เพียงพอบดขยี้หอทงเทียนได้ทั้งหมด!  แค่นักสู้ที่ระดับสูงกว่าปราณฟ้าระดับห้า ตำหนักกลางแดนสวรรค์สามารถหานักรบระดับนั้นได้เป็นแสนคน  ไม่ต้องพูดถึงทหารที่มีระดับพลังต่ำกว่าปราณฟ้าระดับห้าและระดับปราณดิน  ศัตรูมีจำนวนไม่น้อยกว่าล้าน อาศัยแค่เพียงเราเจ้าคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่สู้ตอบโต้เลย เจ้าจะสามารถฆ่าพวกเขาได้กี่คน?”


“แสนคน?”  ราชันย์คุกฟ้าเกาเผิงเมื่อได้ยินว่าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์เกณฑ์ไพร่พลนักสู้ปราณฟ้าระดับห้าได้ถึงแสนคนถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน


“นั่นเป็นเรื่องที่คาดกาณ์ไว้ก่อนแล้ว” เสวี่ยทันหลางตัดสินใจ


“แม้ว่าจะเป็นตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเรื่องที่ยากมากกับการเกณฑ์กำลังนักสู้เหนือปราณฟ้าระดับห้าให้ได้สักแสนคน  ที่สำคัญไม่ใช่ว่านักสู้ปราณฟ้าที่สูงกว่าระดับห้าทุกคนจะยินดีจะไปหอทงเทียนเพื่อขายชีวิตให้กับพวกเขา  ตอนนี้พวกเขารับสมัครทหารหลายคนพิสูจน์ว่าพวกเขาได้เตรียมการแล้ว”  เย่คงเห็นด้วย


“ยังมีข่าวอะไรอีก?” เกาเผิงสงสัยว่าทำไมเย่คงและเจ้าอ้วนไห่สามารถเข้าใจความเคลื่อนไหวของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้


“เรื่องเป็นเช่นนี้ บางทีท่านผู้อาวุโสอาจจำได้  คุณชายสามตอนที่อยู่ในเมืองลี่จ้าว ครั้งหนึ่งเขาช่วยราชาและพระสนมของเผ่ากาทอง ราชากาทององค์ชายแปดเผ่าบูรพาอูไห่ได้ทราบข่าว เขารีบส่งข่าวไปที่ภูมิภาคสวนสวรรค์เพื่อเตือนคุณชายสามทันที  แต่เขาไม่รู้ว่าคุณชายเข้าดินแดนมิติฝึกฝน หลังจากพวกเขาเทียวไปเทียวมาอยู่ในเมืองลู่หลิวหลายรอบจึงได้พบเจอพวกเรา”  เย่คงอธิบายให้เกาเผิงฟัง


“ดังนั้นเจ้าถึงได้ส่งหมาป่าปีศาจล้างโลกมาส่งข่าวให้เรา!”  เกาเผิงพยักหน้า


“ฮุยไท่หลาง?”  เจ้าอ้วนไห่ตอนนี้พบว่าฮุยไท่หลางไม่อยู่ที่นั่น


“ข้าให้มันกลับไปหอทงเทียน”  เกาเผิงถอนหายใจ  “แม้ว่าข้อมูลที่เจ้าส่งมายังไม่ชัดเจน  แต่ข้าพอจะเดาได้ว่ากองทัพตกอยู่ภายใต้แรงกดดันดังนั้นข้าจึงปล่อยให้เจ้าหมาป่าปีศาจล้างโลกไป หวังว่าหอทงเทียนจะได้รับทราบข่าวล่วงหน้าและเตรียมการได้ทัน”


“ประตูแดนสวรรค์เป็นรอยแตกของมิติเวลา ไม่อาจใช้ได้ไม่ใช่หรือ?  ฮุยไท่หลางจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?”  เย่คงและคนอื่นๆ ตกใจ


ถ้าฮุยไท่หลางหายไปในรอยแยกมิติเวลาของประตูแดนสวรรค์ที่ถูกผนึก


อย่างนั้นเขาไม่รู้จะอธิบายกับเย่ว์หยางอย่างไรดี


ฮุยไท่หลางคือหมาป่าปีศาจล้างโลก  แต่ไม่ได้ทำสัญญากับเย่ว์หยาง มันไม่ใช่อสูรพิทักษ์ ถ้ามีข้อผิดพลาดไป หรือถูกมิติกาลเวลาดูดเข้าไปในรอยแยก มันจะไม่มีทางฟื้นคืนชีพ เย่คงและเจ้าอ้วนไห่ได้แต่คิดว่ามันคงรวดเร็วพอและปลอดภัย


พวกเขาไม่คิดจะปล่อยให้มันผ่านรอยแยกมิติเวลากลับไปยังหอทงเทียน


แต่พอเกาเผิงราชันย์คุกฟ้าพูดขึ้น


ทุกคนหวาดกลัว


ขออย่าให้เกิดอุบัติเหตุเลย มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่มีหน้าพบเย่ว์หยาง


เกาเผิงหัวเราะ  “หมาป่าปีศาจล้างโลก มันฉลาดกว่าพวกเจ้า และมีร่างที่เกือบจะเป็นอมตะอยู่แล้ว ดังนั้นรอยแยกมิติเวลาเล็กน้อยทำอะไรมันไม่ได้  นอกจากนี้ ข้าไม่ได้ปล่อยให้มันไปทางรอยแยกมิติเวลาด้านประตูสวรรค์  เพื่อหลีกเลี่ยงความน่ากลัว ข้านึกถึงอีกทางหนึ่ง   ความจริงมันอยู่ภายใต้ซากหักพังที่นี่ ความจริงอาวุธวิเศษระเบิดดวงดาว ได้สร้างรอยแยกจากที่พวกเราเหล่าเฒ่ากระดูกผุกร่อนได้สร้างไว้ พอระเบิดออกช่องมิติเวลาก็ขยายยาวไปถึงผนึก  ถ้าจะใช้ร่างมนุษย์ผ่านไปจะค่อนข้างอันตราย  แต่ไม่มีปัญหากับหมาป่าปีศาจล้างโลก  พวกเจ้ามั่นใจได้เลยว่าข้าไม่เลอะเลือนจนถึงฝังเจ้าหมาป่าปีศาจล้างโลกอย่างไม่มีเหตุผล!”


โชคดีจริงๆ!


ทั้งเย่คงและเจ้าอ้วนไห่ลูบอกโล่งอกด้วยคำพูดของราชันย์คุกฟ้าราวกับยกภูเขาออกจากอก


“ด้วยวิธีนั้นหอทงเทียนจะได้รับแจ้งถึงการมาถึงของกองทัพตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนสวรรค์”  องค์ชายเทียนหลัวถอนหายใจโล่งอก  แม้ว่าแรงกดดันจากกองทัพยากจะต่อต้านแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เตรียมตัว


“ข่าวสารคาดว่าจะถูกส่งกลับมา แต่ไม่มีจำนวนที่แน่นอน” เกาเผิงส่ายหัว  “จดหมายพวกเจ้าตอนแรกเป็นข้อมูลที่ยังไม่รู้กัน!”


“อันที่จริงจำนวนที่แน่นอนต่อไปนี้เป็นพันธมิตรอีกกลุ่มหนึ่งที่บอกกับเรา”  เย่คงพูดอย่างจนใจ “องค์ชายแปดอูไห่ไม่ทราบจำนวนที่เฉพาะเจาะจงของทัพหน้า เขาต้องเร่งเวลามาแจ้งเราอย่างรวดเร็วที่สุด  นอกจากนี้เขาบอกว่าจะยังไม่เร่งเข้าพิชิตหอทงเทียน แต่จะบุกเข้าภูมิภาคซีเหอ และพวกกลุ่มกบฏและพวกอาณาจักรมืดเพื่อประกาศโทษคุณชายและเป็นการแก้แค้นให้เผ่าเก้าแสง  แต่ทันทีที่ได้ยินพวกเขาเข้าใจได้ทันทีว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือเอาชนะหอทงเทียน… ไม่นานหลังจากนั้นเราจึงส่งฮุยไท่หลางมารายงาน  นอกจากนี้ยังมีสหายอีกคนหนึ่งนามว่าตู๋กูฉางฟงช่วยยืนยันข่าวนี้  กล่าวกันว่าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์สามารถระดมนักสู้ปราณฟ้าจากภูมิภาคร้อยเขตโดยรอบ มีนักสู้ระดับราชานับไม่ถ้วนได้รับเลือกให้มีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหว  เพื่อค้นหาข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดและพยายามรอคุณชายสามดูว่าเขาจะกลับมาได้ทันเวลาหรือไม่ เรารอในเมืองลู่หลิวเกือบหนึ่งเดือน คุณชายสามยังไม่กลับจากการฝึกฝน  อย่างไรก็ตามเราได้รับข้อมูลจากหมิงลี่ฮ่าว พี่ชายของหมิงเยี่ยกวงหนึ่งในสามจอมภพแดนสวรรค์ที่เคยทำสงครามกับจักรพรรดิอวี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่แน่นอน คราวนี้กองทหารเกณฑ์ของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์มีนักสู้ฝีมือดีสูงกว่าปราณฟ้าระดับห้าเกินแสนคน  กองทัพธรรมดาหนึ่งล้านคน ไม่รวมพลขนส่งอีกล้านคน”


“กองทัพหนึ่งล้าน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระดมพล  เราคงจะมีเวลาอยู่บ้าง”  เกาเผิงคาดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนจากการรุกรานอย่างเป็นทางการ


“กล่าวกันว่าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์มีพลังเทเลพอร์ตที่เรียกว่าแสงนำทางศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถโอนส่งข้ามดินแดนได้รวดเร็วมาก”  เย่คงพูดอย่างไม่กังวล


“ถูกแล้ว แต่ถ้ามีอยู่จริง การส่งกองทัพระยะไกลคงเป็นงานที่ง่าย”  เกาเผิงพยักหน้า


“เราต้องเตรียมการภายในหนึ่งเดือน”  องค์ชายเทียนหลัวตัดสินใจ  ขณะที่เสวี่ยทันหลางคร้านจะใช้สมอง ส่วนที่เขารับผิดชอบก็คือลงมือและฆ่าศัตรูให้มากเข้าไว้


“พันธมิตรในส่วนต่างๆ ของแดนสวรรค์จะให้เวลาเราบ้างอีกเล็กน้อย”  เจ้าอ้วนไห่มองโลกในแง่ดี


“หมิงลี่ฮ่าวกลายเป็นพันธมิตรจริงๆ หรือ?  น่าเชื่อถือหรือไม่?”  เกาเผิงยังคลางแคลงใจเช่นกัน ในเวลานั้นสามจอมภพแดนสวรรค์ทำลายอาณาจักรของจักรพรรดิอวี้ล่มสลาย พวกเขาจะเป็นพันธมิตรกันได้อย่างไร?


“นี่เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายสาม”  เย่คงหัวเราะ


ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายสามเขียนจดหมายรักอักษรรูนส่งให้หมิงเยี่ยกวงคงเป็นเรื่องยากที่คิดจะเป็นพันธมิตร


แน่นอนว่าหมิงลี่ฮ่าวผู้นี้สามารถกลายเป็นพันธมิตรหรือมีมิตรภาพขณะที่ต่อสู้กับจ้าวสุริยา  หลังจากศึกนี้ลุงผู้มีรสนิยมความแข็งกร้าวลงเอยกับสาวจูกวงสูงแปดเมตรอย่างมีความสุข เย่ว์หยางยังคงส่งของขวัญแต่งงานไปให้  แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกปัดอธิษฐานสมบัติระดับกึ่งเทพก็ตาม


อาหงพูดถูกตั้งแต่แรก ถ้ามีสมบัติใดๆ ตกไปอยู่ในเงื้อมมือเย่ว์หยางแล้ว คิดจะเอาคืนกลับมาเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม


หมิงลี่ฮ่าวไม่ยอมคบหาใครง่ายๆ เรื่องนี้เป็นจริงแน่นอน


“แล้วตอนนี้พวกเจ้ามีแผนอะไร?”  เกาเผิงรู้สึกละอายเล็กน้อย  แม้ว่าฮุยไท่หลางจะกลับไปรายงานแต่ข้อมูลยังไม่ถูกต้องแม่นยำ  หอทงเทียนยังไม่ทราบวิธีการเตรียมตัว ต้องมีใครบางคนกลับไป แต่รอยแยกมิติเวลานั้นเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงเย่คงและเจ้าอ้วนไห่เหล่านี้เลย  เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะกลับไปยังหอทงเทียนได้สำเร็จ นี่ไม่ใช่ความสามารถใหญ่หรือปานกลาง  แต่ข้างในเป็นวังวนรอยแยกกาลมิติ เป็นเรื่องง่ายที่จะหลงอยู่ในช่องว่างนั้น  กาลมิติอาจจะปลอดภัย แต่ใช้เวลาปีหรือครึ่งปีกว่าจะออกไปได้ นั่นจะช้าเกินการหรือเปล่า?


“เราจะไป” เจ้าอ้วนไห่ก้าวออกมาข้างหน้าและตบอกมั่นใจ


“เจ้า? พวกเจ้าน่ะหรือ?”  เกาเผิงส่ายหน้าทันที  “คิดดูให้ดี!  รอยแยกมิติเวลามีขนาดเล็กมากและไม่เสถียรยิ่งกว่ารอยแยกอีกด้านหนึ่งของประตู  ร่างกายที่ไม่ใช่มนุษย์ถึงจะต้านทานได้ แม้ว่าจะมีเจตจำนงราชันย์ก็อาจจะต้านทานได้ชั่วขณะ ยากที่จะคงอยู่ได้ นี่ไม่ใช่ชั่วขณะหนึ่ง อาจต้องใช้เวลาหลายวัน หรือสิบวันหรือครึ่งปี พวกเจ้าจะผ่านไปได้อย่างไร?  ยิ่งมีคนมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ในกรณีที่เจ้าคนหนึ่งถูกกระแสกาลมิติดูดเข้าไป จะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้กับการหายไปของพวกเจ้า  หากพวกเจ้าต้องการกลับไปที่หอทงเทียนอย่างปลอดภัย นั่นยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก   ไม่อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นให้พวกเจ้าเฝ้ารักษาพื้นที่รอยแยกมิติเวลานี้ไว้   ยังไงพวกเราก็เป็นปีศาจชราแล้ว เราทุกคนมีชีวิตอยู่มามากพอแล้ว ต่างจากพวกเจ้าที่มีอนาคตที่ไม่จำกัด!”


“เรามีวิธีที่ดีกว่าท่าน!”  เจ้าอ้วนไห่ยืนเชิดหน้ายืดอกด้วยสีหน้าภูมิใจ  “อย่าบอกนะว่าเราไม่รู้วิธีควบคุมพลังงานของรอยแยกมิติเวลา แม้ว่าเราจะเข้าใจ แต่เราไม่ยอมให้ท่านเสี่ยง ผู้อาวุโสหลายคนมีแต่จะทำให้วิญญาณแตกสลายเมื่อเข้าสู่รอยแยกมิติเวลา พวกท่านมีโอกาสจะถูกทำลายทันที  ครั้งนี้เรื่องการผ่านเข้าไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเถอะ!  ในฐานะผู้เยาว์รุ่นหลัง เรามีความกล้าที่จะสำรวจและเดินหน้าต่อไป นั่นเป็นธรรมเนียมของเราชาวหอทงเทียน….และเหนืออื่นใด เราได้พบวิธีที่ดีที่สุด!”


“เจ้ามีวิธีหรือ?  พวกเจ้ามีวิธีอะไรดีๆ?”  ราชันย์คุกฟ้าเกาเผิงรู้สึกทึ่งประหลาดใจทันที  เจ้าอ้วนผู้นี้มีวิธีคลี่คลายปัญหาหรือ?


“ขอเก็บเป็นความลับชั่วคราว!”  เจ้าอ้วนไห่ยิ้มจนเห็นฟันหน้าทั้งแปดซี่


“….”  เกาเผิงพูดไม่ออก พวกเจ้าไม่ควรทำอย่างนี้กับผู้อาวุโสไม่ใช่หรือ?  เด็กพวกนี้เป็นผู้เยาว์รุ่นหลังแบบไหนกัน!  จะเอาไปเปรียบเทียบกับคนมีสาระได้อย่างไร? คุณชายสามผู้นั้นก็ค่อนข้างเจ้าเล่ห์  เจ้าอ้วนผู้นี้ก็ร้ายไม่เบา หรือว่าเขาไร้เดียงสาเกินไป?  เขาไม่เข้าใจเด็กยุคนี้จริงๆ!


นอกจากนี้ยังมีเย่ว์หยางที่อยู่ในขุนเขาเหนือขุนเขา  แน่นอนว่าเป็นไม่ได้ที่จะรู้เรื่องราวการรุกรานหอเทียนของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้เร็วพลัน


หลังจากที่เขาเอาชนะบุรุษลึกลับเขาบรรลุระดับใหม่อีกครั้ง


ครั้งแรกที่เขาต้อนรับการกลับมาขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน


ก่อนที่อาหงและอาหมันจะค้นหาร่องรอยของจีอู๋ลี่ และไม่รอให้เสวี่ยอู๋เสียกลับมาโดยไม่ทราบว่านางอยู่ที่ใด เขาตัดสินใจควบคุมสิ่งต่างๆ ในขอบเขตระดับใหม่ของเขาและพัฒนาตนเองต่อไป  ก่อนที่เขาจะพยายามทดลองกับเย่ว์หวี่และอู๋เหิน  เขาจำได้ว่ายังมีเทวีเสรีภาพอยู่ในครอบครัว เขาทำงานหนักเกินไปจนลืมนาง


ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางหายไป และนางไม่ยอมให้รักษา จนบัดนี้..


บัดนี้


ดูเหมือนเป็นเวลาที่สมควรแล้ว


เขาต้องคุยกับนางอย่างระมัดระวัง


1216 จะให้ข้าขำหรือทำโง่ดี??


เย่ว์หยางไปพบเทวีเสรีภาพอิงหลัวและพบว่านางผิดปกติไปเล็กน้อย


 


ก่อนหน้านี้นางจะต่อต้านเขา


แม้ว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน หญิงงามอู๋เหินและเย่ว์หวี่จะพยายามเกลี้ยกล่อมนาง แต่นางก็ไม่หวั่นไหวจนกระทั่งสาวน้อยสองคนอี้หนานและเย่ว์ปิงไม่รู้ใช้วิธีการใดกลับโน้มน้าวใจนางได้  จากนั้นเย่ว์หยางมีสัมพันธ์กับนางที่ไม่ดี และด้วยเวลาที่ไม่เพียงพอจึงไม่ได้ผสานร่างเทพธิดาให้กับนาง  แต่เนื่องจากการรู้แจ้งขอบเขตใหม่ของเขา ตอนนี้เย่ว์หยางไปหานางอีกครั้งและคิดว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้น เพราะนาง  เพราะนางเคยเห็นด้วยมาก่อน


คาดไม่ถึงว่าเทวีเสรีภาพอิงหลัวจะปฏิเสธ


 “ทำไม?”  เย่ว์หยางพูดไม่ออก


 “ไม่บอกเหตุผลได้ไหม?”  เทวีเสรีภาพอิงหลัวดูเหมือนไม่เต็มใจจะบอกความจริงกับเย่ว์หยาง สีหน้าของนางแปลกไปเล็กน้อย


 “ไม่ ถ้าข้าไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมแล้ว กลับไปข้าคงนอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับก็หายใจไม่ออก หัวใจคงระเบิด กายระเบิด ระเบิดทุกอย่าง!” เย่ว์หยางทำอะไรไม่ถูก และบอกชัดเจนว่าเขาจะต่อรวมประสานร่างให้นาง  ในเวลานั้นเขาต้องการจะยืมร่างนางสร้างเทพ  แม้ว่าความคิดนี้จะไร้เดียงสาไปเล็กน้อย แต่ความจริงเขาใส่ใจนาง


 “เจ้ามักจะก้าวร้าวเสียมารยาทอยู่เรื่อย”  เทวีเสรีภาพอิงหลัวไม่ต้องการสบตาเย่ว์หยาง


 “อะไรนะ? ถ้าข้าก้าวร้าวจริงๆ ข้าคงไม่พูดเสียงอ่อนอย่างนี้แน่ ข้า…”  เย่ว์หยางแทบจะเป็นบ้า


 “เหตุผลที่ข้าปฏิเสธเพราะในสายตาเจ้ามีประกายบางอย่างทำให้ข้ากระสับกระส่าย”  เทวีเสรีภาพอิงหลัวกัดริมฝีปากนาง จากนั้นนางให้คำตอบเบาๆ


 “ประกายตาหรือ?”  เย่ว์หยางรีบส่องกระจกดูเงาหน้าตนเอง ก็พบว่ายังดูเหมือนมนุษย์  ไม่ได้กลายเป็นมนุษย์หมาป่าในคืนพระจันทร์เต็มดวง


 “ไม่ ไม่ใช่ประกายอย่างนั้น…”  เทวีเสรีภาพอิงหลัวโบกมือและอธิบายอย่างไม่เกรงใจ  “อย่างไรก็ตามข้ารู้สึกอึดอัด อึดอัดจนยากจะอธิบาย ข้าไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน  อย่างไรก็ตามมันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร  ขอให้ข้าสงบใจสักครู่”


 “เจ้ากลัวหรือ?  เจ้ากลัวข้าใช่ไหม?”  เย่ว์หยางแปลกใจว่านางมองเห็นเขาเป็นเสือใหญ่กินคน?


 “…..” เทวีเสรีอิงหลัวส่ายศีรษะ


 “ไม่เชื่อใจกันหรือ?”  เย่ว์หยางตกใจ หมดกัน เขากลายเป็นวายร้ายในสายตานางไปแล้ว


 “…….” อย่างไรก็ตาม เทวีเสรีภาพอิงหลัวยังคงส่ายหน้า


 “เรื่องความปลอดภัยใช่ไหม?”  เย่ว์หยางเดาไม่ถูก เดาความคิดของอิสตรีไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร  ใครจะเดาได้ถูก


 “….”  เทวีเสรีภาพแสดงมารยาทต่อเย่ว์หยางอย่างงดงาม  “ข้าสัญญากับน้องอี้หนานและน้องเย่ว์ปิงไว้  อิงหลัวรักษาสัญญาแน่ ตอนนี้อิงหลัวอารมณ์สับสนวุ่นวายยากจะร่วมมือได้จริง  ค่อยมาครั้งต่อไปได้ไหม?”


ความหมายของนางคือนางจะไม่กลับคำแน่นอน  นางจะให้ความร่วมือกับเย่ว์หยางเพื่อรวมกับร่างเทพพร้อมกับเย่ว์หยางแน่นอน


อย่างไรก็ตามนางไม่พูดถึงสาเหตุที่นางปฏิเสธเย่ว์หยางเวลานี้


เป็นความรู้สึกที่งุนงงสับสน


ไม่ต้องพูดถึงเย่ว์หยาง


แม้ว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าการกระทำที่แปลกประหลาดนี้คงทำให้เกิดอาการงุนงงเวียนศีรษะเป็นแน่


เย่ว์หยางจำต้องออกมา และเมื่อเขาออกมาที่ประตู จู่ๆ เขาหันกลับทันที เขาทำเหมือนมนุษย์หมาป่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงจ้องมองอิงหลัวที่มาส่งเขาที่ประตู  ความเคลื่อนไหวฉับพลันนี้ทำให้เทวีเสรีภาพอิงหลัวตกใจผงะ และประหลาดใจว่าเขาต้องการพูดอะไร


ใครจะรู้เย่ว์หยางไม่ได้พูดอะไรและหันหน้าจากไป


ขณะที่เทวีเสรีภาพใช้มือทาบอกประกายตามีความสุข  เขาวิ่งกลับมาอีกครั้งมองตานางด้วยความประหลาดใจ


 “เจ้า, เจ้ามีปัญหาอะไร?” เทวีเสรีภาพอิงหลัวทำให้เขาสับสน ไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาหันกลับมามองสองครั้ง นั่นหมายความว่ายังไง?


 “เมื่อครู่นี้ ท่านให้ข้าเดาไม่ใช่หรือ?  ให้ข้าคาดเดาว่าหมายถึงอะไร และมันทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นท่านจึงรู้สึกถึงอารมณ์ของข้า!”  เย่ว์หยางมองดูเทวีเสรีภาพ เขารู้สึกอารมณ์ดีและหัวเราะขึ้นทันที


 “…..”  เทวีเสรีภาพพูดไม่ออก เจ้าผู้นี้ยังทำตัวเป็นเด็กอีกหรือนี่?


 “ไปก็ได้” เย่ว์หยางออกไปตามธรรมดา เขาเตรียมจะเดินออกไป


 “รอเดี๋ยว” อิงหลัวตะโกนเรียกให้เขาหยุด “รอบตัวเจ้าไม่เคยขาดแคลนหญิงงาม พวกเจ้าพูดคุยหัวเราะหยอกเย้ามีความสุขกันทุกวัน ทำไมต้องมาสนใจข้าอิงหลัวด้วย?  ข้าอิงหลัวเป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่จำเป็นต้องมาสมเพช เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลยทำไมเจ้าต้องมาพูดใส่ความคิดข้าอิงหลัวด้วย?  เจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างไหม?”


 “หา…”  ครั้งนี้เป็นเย่ว์หยางที่พูดไม่ออก เพราะเขาไม่เคยคิดเรื่องนี้


เขามักรู้สึกเสมอว่าเขามีเจตนาดี


ให้ผสานร่างเทพกับร่างเทวีเสรีภาพอิงหลัวเพื่อให้นางกลับเป็นสตรีที่สมบูรณ์อีกครั้ง จะได้ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนช่วงชีวิตที่เหลือของนางต่อไป


แม้ว่าความตั้งใจเช่นนี้จะถูกต้อง แต่เย่ว์หยางไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของอิงหลัว เขาคิดเอาเองตามสัญชาตญาณว่า เนื่องจากว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ทำไมนางถึงไม่เต็มใจยอมรับ  นอกจากนี้เขาไม่สนใจนาง เขาแค่เพียงช่วยเหลือคนอื่น เป็นการยากที่จะทำเรื่องดีๆ  ถ้าหญิงสาวนางนี้ไม่ยอมรับความช่วยเหลือ นั่นอาจเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแดนสวรรค์ได้


เทวีเสรีภาพเข้ามาใกล้ นางจ้องมองเด็กหนุ่มข้ามโลก ปากของนางจากที่เคยพูดอ่อนโยน นางตะโกนลั่น  “เจ้ามักจะทำเช่นนี้เสมอ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ข้าน่ะหรือ?  ทำไมเจ้าถึงไม่ถามข้าก่อน?”


เย่ว์หยางเอนร่างถอยหลังและปาดเหงื่อด้วยความรู้สึกผิด  “ข้าไม่ได้ถามหรือ?  อาจจะถามก็ได้ ข้าให้ทุกคนถามท่าน”


อิงหลัวเพ่งจนตาแทบติดชิดกับเย่ว์หยางจมูกทั้งสองชนกัน ริมฝีปากห่างไม่ถึงสองนิ้ว  “ใช่เจ้าให้คนอื่นถามข้า แล้วเจ้าเล่า?  เจ้ามาถามข้าด้วยตนเองหรือไม่?  เจ้าให้ทุกคนรู้เรื่องเกี่ยวกับข้า บอกเรื่องข้ากับทุกคนว่าเจ้ากับข้าได้ทำความตกลงกันอย่างครอบคลุม  แต่เจ้าก็ไม่ได้มาพูดคุยกับข้าอิงหลัวตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบ นี่คือสิ่งที่ข้ารู้สึกไม่สบายใจ  เจ้าได้ตัดสินใจแทนข้าทุกอย่าง  แม้ว่าข้าจะรู้ว่าเจ้ามีความตั้งใจที่ดียอดเยี่ยมและใช้ตัวเลือกที่ดีที่สุด  แต่เจ้าไม่รู้ เจ้าไม่พยายามทำความเข้าใจข้าอิงหลัว ข้าหวังอยู่อย่างเดียวว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะสามารถจัดการชีวิตของเจ้าด้วยตัวเองได้!  ก่อนหน้านี้ข้าอิงหลัวทำงานหนักเพื่อความสุขของคนอื่นมาตลอดชีวิต  จนกระทั่งเจ้าพูดว่าทุกอย่างที่ข้าทำไม่มีอะไรนอกจากความสุขที่ข้าต้องการ  นั่นไม่ใช่ความสุขที่ทุกคนได้รับจริงๆ  เจ้าบอกให้ข้าปลดปล่อยตัวเอง ปล่อยให้ผู้คนในโลกนี้ได้ทำงานด้วยตนเองเพื่อหาความสุขของเขา และให้ข้าอิงหลัวใช้ชีวิตอย่างอิสระ….. เจ้าบอกข้าโดยทำนองนี้ แต่เจ้ากลับไม่ทำ หรือว่าเจ้าไม่ให้โอกาสข้า!  เจ้าคงไม่รู้สินะว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับข้าอิงหลัว  เจ้ายินดีจะทำทุกอย่างให้สำเร็จเพื่อข้า แต่กลับไม่พยายามเข้าใจว่าสิ่งนี้ทำให้ข้าต้องสูญเสียศรัทธาดั้งเดิมไป ทั้งสูญเสียความฝันไปโดยไม่รู้ตัว”


 “ข้าไม่รู้” เย่ว์หยางปาดเหงื่อ  “ความรู้สึกที่ท่านมีต่อข้ามักจะมั่นคงมากกว่าเจตจำนงราชันย์ของข้า  ข้าจึงไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร”


 “เจ้าไม่ต้องการเข้าใจรับรู้”  เทวีเสรีภาพอิงหลัวจ้องมองเย่ว์หยาง  “เจ้าเชื่อแต่สาวๆ ที่เจ้าพามาจากหอทงเทียน”


 “ไม่” เย่ว์หยางรีบป้องกันตัวเอง  “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นแน่นอน”


 “เจ้า..โก..หก!”  ตาของอิงหลัวดูเหมือนจะมองผ่านหัวใจคนได้ และเห็นว่าเย่ว์หยางมีเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก


 “บางทีดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงเจ้าเป็นแค่ภาพลวงตา”  เย่ว์หยางพยายามยกตัวอย่างหมิงเยี่ยกวง  แต่แม่สาวผู้นั้นก็ไว้ใจยากเช่นกัน หลังจากคลุกคลีกันมานาน จนกระทั่งนางกลายเป็นเทพ  นางจึงเปิดความในใจที่แท้จริงของนาง  อีกตัวอย่างคือชิงผิงสาวเผ่ามนุษย์มัจฉาเผ่าต้องสาบผู้ทรยศหอทงเทียน ถ้าไม่ใช่เพราะในช่วงสุดท้ายนางยอมสละร่างกายและชีวิต เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความเชื่อใจจากเขาและตอนนี้นางนอนรักษาตัวฟื้นฟูร่างกายอยู่ในหอยมุกของไห่หลาน!  อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือไป่ลู่ เจ้าแคว้นมรกตเดิมทีนางใช้ตัวเองเป็นหมากหนึ่ง แต่ต่อมานางยอมตัวแต่งงานทางการเมือง แน่นอนว่านั่นเป็นเหตุการณ์หลังมีสัมพันธ์กับนางและลี่เยี่ยนที่เปลี่ยนร่างเป็นสองพี่น้องฝาแฝด


คิดจนจบ


เย่ว์หยางคิดถึงเรื่องเหล่านี้จริงจัง


คนที่เขาไว้วางใจมากที่สุดยังคงเป็นสาวๆ จากหอทงเทียน  พวกนางถ้าไม่ใช่คนรักของเขาก็เป็นญาติพี่น้อง ความสัมพันธ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่แรก เห็นพวกนางเติบโตอย่างปิงเอ๋อ และอี้หนาน พวกนางอยู่ใกล้เคียงเขามาตลอดตั้งแต่แรกที่เผชิญกับศัตรูอย่างสือจินโหว  อย่างไรก็ตามเสวี่ยอู๋เสียได้ต่อสู้ร่วมกับเขาในทุกการต่อสู้ ในการต่อสู้แต่ละครั้งมีองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน สาวงามโล่วฮัว จุ้ยมาวอี้แต่ละครั้งจะมีพวกนางร่วมต่อสู้ด้วย


ในแดนสวรรค์เขาต้องระมัดระวังทุกอย่างตามสัญชาตญาณไม่เหมือนกับหอทงเทียน


ไม่ว่ามองผิวเผินจะดูดีเพียงไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงข้อนี้ได้


แม้ว่าเขาจะจริงใจต่อแดนสวรรค์ แต่ก็มิอาจเทียบได้กับหอทงเทียน  อย่าว่าแต่เย่คง เจ้าอ้วนไห่และเสวี่ยทันหลางที่จะต้องเติบโตต่อสู้ด้วยกัน


เย่ว์หยางยิ่งคิดก็ยิ่งหลั่งเหงื่อเยียบเย็น


ในที่สุดก็ไม่มีทาง


ไม่มีทางใช้เล่ห์กล!


เด็กหนุ่มจากโลกอื่นจูบเทวีเสรีภาพอิงหลัวอย่างดุเดือดทันที  ในขณะที่นางตกใจ เขาฉวยโอกาสจูบนางจนนางแทบหายใจไม่ทัน ก่อนที่เขาจะปล่อยให้นางได้หายใจ ดวงตาของเขาจ้องมองนาง เขาพูดเสียงดังมากกว่านางถึงสิบเท่า  “ใช่แล้ว, ข้าเป็นคนแบบนี้!  ท่านพูดไม่ผิด ข้าจัดการทุกอย่างให้ท่าน  รวมทั้งชีวิตในโลกคัมภีร์ รวมทั้งการหลอมรวมกับร่างเทพธิดา  ข้าแค่อยากจะทำ  อยากจะทำแค่นี้เท่านั้น  ทำไมน่ะหรือ?  ทำไมท่านถึงต้องทราบเหตุผลให้ได้?  ดีเหมือนกัน ข้าจะบอกท่าน ฟังให้ดี ข้ารังเกียจที่จะเห็นท่านดูสูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์และดูใจดี  ข้าไม่ได้มีความสุขกับความเดียวดายของท่าน ไม่ได้มีความสุขกับชีวิตที่ไม่แยแสอะไรของท่าน ข้าไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ท่านมี ท่านทำให้ข้ารู้สึกละอายใจ ทำให้ข้ารู้สึกต่ำต้อย  ด้วยการมีอยู่ของท่านได้เพิ่มความเห็นแก่ตัวข้าถึงสิบล้านเท่า  แค่ปล่อยให้จิตสำนึกที่ไม่มีอยู่ของข้า ปล่อยจิตสำนึกของข้าให้จมดิ่งและรู้สึกทรมานอย่างรุนแรง ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ข้าต้องหาเหตุผลมาเป็นหมื่นๆ  เพื่อเอามาอธิบายว่าข้าถูก แต่ท่านตีตกเหตุผลเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย!  ข้าไม่ต้องการ และไม่สามารถเป็นคนดีได้  แต่ด้วยการมีอยู่ของเทวีเสรีภาพทำให้ข้าดูแย่!  สำหรับคนอย่างท่าน ข้าคิดว่าผิด  มันผิดปกติ ที่สตรีผู้ไม่มีร่างกาย ไม่มีแม้กระทั่งอารมณ์และความต้องการ  ดังนั้นข้าต้องการเปลี่ยนแปลงท่าน ให้ท่านเป็นสตรีที่แท้จริง  ทำให้ท่านเห็นแก่ตัวและพยายามอย่างหนักเพื่อความสุขของท่าน  ข้าต้องการทำให้ท่านเป็นสตรีที่แท้จริง ปล่อยให้ความรู้สึกความต้องการของสตรีได้แผดเผาทรมานกายและใจของท่าน  จากนั้นข้าจะได้รับการปลอบประโลม เพื่อให้ข้าได้บรรลุเป้าหมายของข้า เพื่อให้ข้าได้นอนหลับเป็นสุขและฝันสบาย!  ตอนนี้ท่านยังมีคำถามอีกหรือไม่?  ข้าแค่อยากจะทำสิ่งนี้ ทำให้ท่านเป็นสตรีที่แท้จริง  ให้ท่านยอมจำนนต่อความต้องการของข้า ปล่อยให้โลกของท่านที่ไม่มีความสุขไม่มีตัวตน และอิสรภาพให้เป็นของคนอื่นต่อไป  และทุกอย่างจะกลายเป็นความรักของท่านทีละน้อย จะทำให้ท่านไม่มีเวลาคิดว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร  ท่านต้องทำโง่กับชีวิตของข้าเข้าใจไหม?”


เทวีเสรีภาพอิงหลัวตาโตมองดูเย่ว์หยาง  นางรู้สึกเหมือนเห็นคนบ้า


เช่นเดียวกับเย่ว์หยางที่เปิดเผยหัวใจ แผนการที่นำเสนออย่างสมบูรณ์


นางหัวเราะทันที


ใบหน้าที่สูงส่งน่าเลื่อมใสมีความยินดีและอ่อนหวาน  นางถามเย่ว์หยางที่ทำให้เขาต้องตกใจตะลึง  “จะให้ข้าขำหรือทำโง่ดี?”


ตอนที่  1217  ต้องการเล่น


เย่ว์หยางกลับมาอย่างอ่อนใจ


ทุกคนมองดูเขา


 


แม้แต่เย่ว์หวี่ยังรู้สึกแปลก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายใจเปิด อย่างนั้นหลายอย่างก็ควรทำได้สำเร็จ  เขากลับมาได้อย่างไร?


อู๋เหินผู้รอบคอบพบว่าริมฝีปากของเด็กหนุ่มผิดปกติเล็กน้อย เหมือนกับว่าถูกกัด  ทุกคนเป็นอันเข้าใจได้ทันที สาเหตุเป็นเช่นนี้นั่นเอง!  จุ้ยมาวอี้ยกนิ้วให้เย่ว์หยาง  ยกย่องการกระทำที่ไม่หวั่นเกรงและกล้าหาญของเย่ว์หยาง หญิงสาวอย่างเทวีเสรีภาพยากนักจะจูบได้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนตรวจพบอาการก้าวร้าวเหิมเกริมนั้นได้ นางค้อนด้วยความไม่พอใจ แม้ว่าจะไม่ได้ดังหวัง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นนางถ้าไม่ทุบเขาเสียบ้างก็คงเป็นเรื่องแปลก


“พักก่อนเถอะ!”  เย่ว์หวี่ปลอบใจน้องชายที่รีบออกไปด้านประตูหลัง จากนั้นนางยิ้มหวาน ตราบใดที่ทำได้สำเร็จก็ไม่ต้องรีบกลับไป คาดว่าเทวีเสรีภาพพบว่ามีคนมากมายที่แอบฟังอยู่ นางใบหน้าบอบบางจึงไล่เขาให้ออกไป!


“ตุ้บ” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแกล้งทำเป็นยืนอ่านหนังสือและเดินเอาหนังสือชนศีรษะเย่ว์หยาง


“แม่เสือสาว!  เจ้าจะทำอะไร?”  เย่ว์หยางหลั่งเหงื่อ


ตอนนี้เขาพบว่าแม่สาวนี้ทำไม่ถูก ปกตินางไม่ค่อยอ่านหนังสือ นางไม่รู้หรือว่าเสวี่ยอู๋เสียอ่านอย่างไร?


ปรากฏว่านางต้องการใช้หนังสือนี้ตีตัวเขา นี่เป็นความคิดแบบไหน?  นี่ทำกันเกินไปแล้ว ต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้สามีด้วยวิธีที่แข็งกร้าวแบบนี้หมายความว่าไง?


องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเตรียมอธิบาย แต่นางชะงักไว้เล็กน้อย “ข้าเพิ่งจะอ่านหนังสือ และเห็นหนังสือเขียนอธิบายเรื่องความสุข การหัวเราะอย่างโง่เขลาแล้วรู้สึกไม่พอใจ  คนงี่เง่าเขียนคำที่น่ารังเกียจนี้ออกมาได้ยังไง….”


หมดกันแค่เขาตะโกนใส่อิงหลัว ทำให้แม่เสือสาวนี่ได้ยินไปด้วย


เย่ว์หยางปาดเหงื่อ


แต่ถ้านางต้องการจะคัดค้านให้จน นางพูดได้โดยตรง ทำไมต้องเสแสร้งแกล้งใช้หนังสือ?


เด็กหนุ่มผู้มีผิวหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองรีบปรับอารมณ์ อย่างรวดเร็วใช้กลยุทธ์อีกโลกหนึ่งเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาทันที  “เฮ้, แล้วเจ้าต้องทุบตีคนด้วยหรือ ถ้าเจ้าไม่พอใจ!”


“เมื่อครู่นี้ข้าทุบตีคนหรือ?”  แม่เสือสาวไม่เพียงแต่ป่าเถื่อน บางครั้งก็แกล้งหาเรื่องด้วย แน่นอนนางชอบทำเช่นนี้กับเย่ว์หยาง


“ดูเหมือนว่า..”  จุ้ยมาวอี้เหมือนกับให้ท้ายสามีหนุ่มน้อยของนางบ้างเล็กน้อย แต่คนอื่นไม่ช่วยเลย


“เหรอ?”  แม่เสือสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจ


“ไม่มีทางที่เจ้าจะขอโทษใครหรอก เจ้ามีเหตุผลกับเขาด้วยหรือ?”  เย่ว์หยางรู้สึกอึดอัด


“เจ้าต้องการเหตุผลในการทุบตีคนไหม?”  แม่เสือสาวใช้ตาเสือของนางจ้องมองความต้องการของเด็กหนุ่มข้ามโลกได้ทั้งหมด


“ไม่ต้องก็ได้มั้ง?” เย่ว์หยางชักหวั่นเกรงก้มหน้าแล้วใช้สองนิ้วแตะหน้าถามอย่างอ่อนแรง


“เจ้าจำเป็นต้องทำด้วยหรือ?”  แม่เสือสาวภูมิใจมากที่ข่มตัวลามกใหญ่ในบ้านได้  เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง ยกเว้นสาวหิมะไม่มีใครในบ้านที่สร้างแรงกดดันได้มากเท่านาง  นางดูหมิ่นเหยียดหยามคนที่เอาแต่ดูโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่น่ารังเกียจเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวลามกใหญ่นี่ก่อขึ้น   “ทุบตีเป็นเรื่องง่ายๆ อยู่แล้ว!”  ถ้าไม่ใช่เพราะนางรู้สึกว่าภาพพจน์จะดูไม่ดี นางคงหัวเราะไปแล้ว


“ดี” เย่ว์หยางเมื่อได้ยินก็ลงมือทันที เขาจับตัวองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนที่ไม่ทันป้องกันตัวคุกเข่าและเงื้อมือตีก้นนางสามครั้ง


เย่ว์หวี่และอู๋เหินเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง


เรื่องอะไรกันนี่?


วันนี้เจ้าเด็กนี่ไปเอาขวัญเทียมฟ้ามาจากไหน?


กล้าลงมือกับแม่เสือสาวให้อับอายต่อหน้าทุกคนเชียวหรือ?


เหลือเชื่อเกินไปแล้ว ภาพแบบนี้พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ  จุ้ยมาวอี้ขยี้ตาอีกครั้งแต่นางก็ยังงงอยู่ดี


องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถูกจับกดและตีก้นยังคงตะลึง นางไม่มีเวลาตั้งหลัก เมื่อนางหันกลับมาชักดาบเทพพยัคฆราชตั้งท่าเตรียมฟัน เย่ว์หยางว่องไวยิ่งกว่าจรวดหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา ทิ้งไว้แต่คำพูดล่องลอยในอากาศ  “เจ้าพูดเองนะว่าต้องการเล่นด้วย ข้าทำตามความปรารถนาของเจ้าอย่างเคร่งครัด!”


องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนโกรธและอาย นางชูดาบเทพกวัดแกว่งอยู่ในอากาศด้วยความโมโห


นางกัดฟันกล่าว  “อย่าให้ข้าจับเจ้าได้ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าตาย!”


เย่ว์หวี่และอู๋เหินได้แต่แอบขำ


นางมักเห็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแม่เสือสาวมักจะข่มเหงเย่ว์หยางที่มักจะพูดว่ามีเสือตัวหนึ่งอยู่ที่ท้ายเขา และตอนนี้กลับตรงกันข้าม กลายเป็นที่ท้ายภูเขาแม่เสือสาวถูกตีถูกกลั่นแกล้งกล่าวว่าเป็นการถือโอกาสแก้ลำ


“อะแฮ่ม.. เขาทำไม่ถูก  ข้าจะต้องว่ากล่าวตักเตือนเขา”  เย่ว์หวี่ฝืนใจกลั้นหัวเราะปลอบโยนองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนที่ตัวสั่น


“ไม่เป็นไร, ดูเหมือนจะทะเลาะกันไม่หนักเท่าใด!” จุ้ยมาวอี้ค่อนข้างให้ความสนใจ


“ไม่หนักอะไรกัน  เจ้าลองบ้างไหม!”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนโมโห


ตีคงไม่หนักเท่าใด


แต่เรื่องอายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แอบตีลับๆ ก็น่าขายหน้าพออยู่แล้ว นี่เขากลับทำต่อหน้าทุกคน


จุ้ยมาวอี้ไม่โกรธ ได้แต่หัวเราะเสียงดัง “ข้าก็ตีกับเขาบ่อยอยู่เหมือนกัน และเขามักถือโอกาสหยอกเจ้าคืนอย่างนี้ เมื่อเจ้ายังเป็นเด็กน้อยข้ายังต้องคอยยั้งมือกลัวพลาดท่าตีเจ้าจนก้นบวม”  นางบอกเป็นนัยว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหยิ่งเกินไปและชอบหาเรื่องประจันหน้ากับเขาแทบทุกเรื่อง  นางไม่รู้ว่าการบอกใบ้ของนางจะได้ผลหรือไม่ แต่นางวิจารณ์ในเรื่องที่ควรวิจารณ์ สรรเสริญในเรื่องที่ควรสรรเสริญ  นางยืนกรานเมื่อแน่วแน่เป็นฝ่ายถูก แต่ว่าง่ายเมื่อถึงเวลาต้องเชื่อฟัง ไม่อาจเอาแต่คัดค้านอย่างเดียวได้ตลอดเวลา  ถ้าคนของเขาไม่เป็นทุกข์ ใครอื่นยังจะทำให้เขาทุกข์ใจได้


องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนฟังทีแรกอึ้งไปสักพัก จากนั้นนางอยากจะเถียง


แต่ความโกรธหายไปหมดแล้ว


นางเก็บดาบ


มองผิวเผินนางไม่ยอมแพ้ และลอบกำหมัดกัดฟัน  “เจ้าทำธุระของเจ้าก่อนเถอะ  คอยดูข้าจะต้องแก้มือให้ได้ ฮึ่ม..”


เมื่อเห็นแม่เสือสาวยอมรับความพ่ายแพ้ล่าถอย ทุกคนแอบดีใจ เย่ว์หยางลงมือตีก้นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนโดยไม่คาดคิด แต่ก็รู้ว่าคงจะแค่วันนี้ เพราะเขากับนางเกิดมาเป็นคู่กัดกัน หากไม่หาเรื่องทะเลาะกันสักวันคงจะไม่มีความสุข  การแสดงออกของทุกคนแตกต่างกัน บางทีอารมณ์ของนางก็เป็นแบบนี้!


พอองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแยกออกไป สาวงามโล่วฮัวรีบเข้ามากระซิบกับจุ้ยมาวอี้ทันที  “เจ้าตีกับเขาบ่อยๆ จริงหรือ?  หลังจากเขาตีเจ้าแล้ว มีอะไรพิเศษต่อหรือเปล่า?”


จุ้ยมาวอี้หน้าแดงโบกมือพัลวัล  “ไม่ไม่  อะแฮ่ม.. ถามพี่อู๋เหินเถอะ  นางเข้าใจดีที่สุด!”


“?????”  ทุกคนมองดูสุ่ยอู๋เหินอีกครั้ง


“ข้าไม่เข้าใจ ไม่ต้องมองข้าเลย!”  ครั้งนี้เป็นอู๋เหินบ้างที่อายนางได้แต่ส่ายหน้า  “เขาไม่เคยตีข้า คาดว่าอาหงและไห่หลานอาจจะมีบ้างสองสามครั้ง ที่สำคัญคือร่างกายพวกนางแข็งแรงกว่าทนกว่าข้า”


“เป็นอย่างนี้เองหรือ ข้าอยากลองบ้างเหมือนกัน แต่ข้าหวั่นเกรงเล็กน้อย…” โล่วฮัวคาดหวัง


“ความจริงไม่ได้เจ็บปวดอะไรนัก อะแฮ่ม.. เป็นเรื่องแปลกที่ข้าไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ อย่ามองข้าอย่างนั้น ข้าไม่ได้ทำบ่อยๆ มันเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น!”  จุ้ยมาวอี้พูดขณะที่นางลูบบั้นท้ายตนเองโดยไม่รู้ตัว การสนทนาหัวข้อนี้เตือนให้นางนึกถึงความลับส่วนตัวบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในใจนางซึ่งไม่ควรให้คนอื่นรู้


“ข้าง่วงแล้ว” เย่ว์หวี่พูดไม่ออก  พวกนางเอาเรื่องความสุขในชีวิตรักมาคุยตรงนี้ได้อย่างไร?


ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่น่าอายเท่านั้น แต่เด็กๆ จะจำเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอีกด้วย


หลิวเย่นั่งอยู่ที่มุมห้อง เอามือทั้งสองปิดหน้า


นางอายเกินกว่าจะลืมตามองคนอื่น


เซี่ยอีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั่งก้มหน้า แต่ร่างกายเกร็ง ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย  พวกนางทุกคนรู้สึกถึงความตึงเครียดภายในใจตนเอง แม้ว่าต่อมาภายหลังนางจะได้ยกย่องจากคนของเผ่ามนุษย์มังกรแดนสวรรค์ให้เป็นสตรีมังกรศักดิ์สิทธิ์  นอกจากนี้นางยังมีสัญญาว่าจะแต่งงานกับเย่ว์หยาง  แต่นางมีความสัมพันธ์แค่กอดจูบอยู่สองสามครั้ง ตอนนี้พอได้ยินคนอื่นพูดคุยถึงระดับทักษะความรักแล้ว ส่งผลกระทบต่อพวกนางมากจริงๆ


โชคดีที่เป่าเอ๋อไม่อยู่ตรงนั้น  มิฉะนั้นนางอาจใช้คำพูดที่สงสัยของนางทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าอึดอัด


เย่ว์หยางตีก้นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน นางคงไม่ค่อยรู้เรื่อง


ถ้าเขาไม่รีบเผ่นก่อน คงถูกองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไล่ล่าแน่นอน


เขาชอบเผ่นหนีไปหาไห่หลานจักรพรรดินีสมุทรซึ่งมีคัมภีร์อัญเชิญ  ยิ่งกว่านั้นนางไม่ได้กลัวองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเหมือนกับไป่ลู่และลี่เยี่ยนที่มักจะหลีกเลี่ยงไม่อยากมีปัญหากับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มีสาวน้อยจากเผ่ามัจฉากลายพันธุ์รักษาร่างกายที่เสียหาย แม้ว่าจะฟื้นฟูร่างกายอยู่ที่นี่ถึงหกเดือนแล้ว ร่างของนางฟื้นฟูใกล้จะสมบูรณ์แล้ว แต่เนื่องจากการเลื่อนระดับพลังครั้งล่าสุด เย่ว์หยางคิดว่าสามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายของเด็กสาวให้สมบูรณ์มากกว่าเดิม เขาตัดสินใจลองผสานร่างนางเสียก่อนเป็นการอุ่นเครื่องก่อนใช้ร่างเทพผสานกับเทวีเสรีภาพ


“เจ้าตีองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหรือ?”  เมื่อจักรพรรดินีสมุทรไห่หลานได้ยินข่าว นางรู้สึกประหลาดใจ


“ถ้าเจ้ากล้าก็ต้องตีเลย!”  เย่ว์หยางซ่อนตัวอยู่ในโลกคัมภีร์ของนาง แกล้งทำตัวเป็นวีรบุรุษ


“…..” ไห่หลานอยากหัวเราะเยาะเขาสองสามครา แต่จากนั้นคิดว่าสามีหนุ่มน้อยของนางยากนักจะมีวันที่น่าเกรงขาม นางจึงยิ้มให้เขาแทน  “เท่ไหม?  รู้สึกดีขึ้นหรือไม่? แม้ว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะเจ้าอารมณ์ แต่นางก็ไม่มั่นใจจะเอาชนะนางได้!   หลังจากตีนางได้ เขายังครึ้มอกครึ้มใจได้หรือ?”


“รู้สึกน่ะหรือ?”  เย่ว์หยางระลึกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่เลว ร่างกายนางยืดหยุ่น แต่น่าเสียดายที่เวลานี้หงุดหงิดกังวลมากเกินไป ถ้ามีประสบการณ์ในรายละเอียดก็คงจะดีกว่า


“ถ้าเจ้าแก้ผ้าแม่เสือสาวได้คงต้องดีกว่านี้แน่!”  ไห่หลานตื่นเต้น


“เรื่องนั้นไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ถอดชุดจักรพรรดินีสมุทรเจ้าก่อนแล้วลองตีดู!”  เมื่อเข้ามาใกล้ตัวนางเย่ว์หยางกระตือรือร้นเป็นธรรมดา  จักรพรรดินีสมุทรผู้นี้เป็นหญิงงามน่าลุ่มหลง ไม่ใช่คนตาย บางครั้งการสนองตอบก็ร้ายกาจ ไม่เพียงแต่มีการสนองตอบที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น  แต่นางยังยินดีทำให้บุรุษของนางพอใจในหลากหลายวิธีการ ถ้าเย่ว์หยางรับมือกับสาวๆ เป็นกลุ่มบางทีเขาอาจไม่กล้ารับมือกับนาง


“เจ้ายังสู้ไหวอีกหรือ?”  จักรพรรดินีสมุทรขอความเมตตา  ฟังน้ำเสียงของนางไม่มีทีท่าว่าจะปลดเสื้อผ้า เหมือนกับจะตัดสินใจว่าจะสนองตอบหรือไม่


“อืมมมม” และนี่ก็คือการตัดสินใจของตัวลามกใหญ่


ตอนที่  1218  เทเลพอร์ตผิดพลาด


ทะเลฝนดาวตก หอทงเทียน


 


หมู่เกาะฝนดาวตกไม่ใช่สถานที่ยิ่งใหญ่สำหรับใช้พักผ่อนวันหยุดอีกต่อไป สามเดือนที่แล้วมีความผันผวนของพลังงานที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่  เมื่อชาวเผ่าทะเลส่งคนไปตรวจสอบก็ไม่พบอะไร เมื่อคนทั่วไปคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ พวกเขายังคงเพลิดเพลินกับหาดทรายสายลมและแสงแดดอย่างมั่นใจ  อย่างไรก็ตามการโจมตีที่เกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อก่อนนี้ส่งผลให้ทะเลฝนดาวตกมีมลทินคาวเลือด


นักรบเผ่าทะเล ทหารรับจ้างและนักสู้พันธมิตรปราณก่อกำเนิดถูกฝังอยู่ที่นี่รวมทั้งนักรบเผ่าทะเล


ในเวลาเดียวกันนั้นที่ทะเลฝนดาวตกมีนักท่องเที่ยวหลายหมื่นมาท่องเที่ยวพักร้อนที่นี่ และที่นี่มีนักรบรุ่นเก่าปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ทะเลฝนดาวตก


พวกเขาถูกทำลายล้างสังหารหมดสิ้น


ไม่มีผู้รอดชีวิตจากคลื่นโจมตีครั้งนี้


การสังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมอำมหิตทำให้แตกตื่นตกตะลึงไปทั้งหอทงเทียน


ยอดฝีมือจากเผ่าปีศาจและทวีปมังกรทะยานได้ค้นหาสาเหตุอย่างสุดความสามารถเป็นเวลาหนึ่งเดือนนับแต่มีการซุ่มโจมตี แต่น่าประหลาดใจที่พวกเขาไม่พบเจออะไร


มีข่าวลือต่างๆ ที่แพร่กระจายในหมู่ชาวหอทงเทียน  คำกล่าวที่น่าเชื่อถือที่สุดคือมีนักรบโบราณผู้ชั่วร้ายที่ทรงพลังอำมหิต ถูกปล่อยออกมาจากผนึก เพราะเพื่อฟื้นฟูพลังอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีการที่ชั่วร้ายอำมหิต สังเวยเลือดของผู้อาศัยและนักท่องเที่ยวใกล้กับทะเลฝนดาวตก  สำหรับคลื่นพลังโจมตีอย่างต่อเนื่องทำไมถึงได้หายไป?  นั่นเป็นเพราะเลือดและพลังงานที่ต้องการมีเพียงพอแล้ว  นักรบโบราณผู้ชั่วร้ายพร้อมจะปรับตัวและดูดซับพลังในที่ซ่อนเร้นเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขา  ดังนั้นจึงค้นหาไม่พบอะไรเลย และหากนักฆ่ายุคโบราณนี้ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าหอทงเทียนจะต้องสั่นสะเทือนภายใต้กรงเล็บจอมมารผู้ชั่วร้าย


ในช่วงเวลาที่น่ากลัวนี้ไม่มีใครสามารถยืนหยัดขึ้นได้


คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคนที่น่าเกรงขามและทรงพลังอย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์ออกจากหอทงเทียนไปหาประสบการณ์แดนสวรรค์ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใด


ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ยังมีมารสัมฤทธิ์ฟ้า จักรพรรดิมังกร จักรพรรดิใต้พิภพและแม้แต่จ้าวปีศาจแดนนรกทั้งหลายก็ไม่ได้อยู่คุ้มครองหอทงเทียน


ทุกคนล้วนเดินทางไปแดนสวรรค์


หอทงเทียนตอนนี้ได้รับการคุ้มครองโดยพันธมิตรปราณก่อกำเนิด


เป็นที่น่าเสียดายสถานการณ์ที่เหมือนกับมังกรไม่มีหัว ผู้นำที่น่าเชื่อถืออย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์ไม่อยู่ยืนหยัดเพื่อควบคุมสถานการณ์  นักรบจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ยังขาดความมั่นใจ!  ความจริงคือยังไม่แน่ใจนัก นักรบจากกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อาจมีก่อความวุ่นวายอยู่บ้าง  ถ้าพบเจอนักรบโบราณผู้ชั่วร้ายจริงๆ ไม่ทราบว่าสถานการณ์จะพัฒนาเป็นไปในทิศทางใด


แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่คนธรรมดาได้เห็นและได้ยิน


ส่วนความจริงไม่เป็นเช่นนั้น


สามเดือนที่แล้ว นับจากวันที่ฮุยไท่หลางออกมาจากรอยแยกมิติเวลาทางทวีปกวงหมิง หัวหน้าชาติพันธุ์ต่างๆ จึงได้รู้ความจริง


กองทัพแดนสวรรค์เตรียมการรุกราน… แม้ว่าฮุยไท่หลางจะพูดไม่ได้ แต่มันมีวิธีการที่ฉลาด มันแค่พาทุกคนไปยังเสาผลึกของหอทงเทียนที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่จักรพรรดินีฟ้าแห่งเผ่าเก้าแสงรุกรานหอทงเทียน ทุกคนจึงเข้าใจได้ทันที


จากวันนั้นทุกกลุ่มชาติพันธุ์เตรียมพร้อมกับการทำสงคราม


แม้ว่ายังคงเก็บไว้เป็นความลับ เนื่องจากป้องกันไม่ให้คนทั่วไปตื่นตระหนก แต่ชนชั้นปกครองได้รวมตัวผู้มีศักยภาพและรอคอย


สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือหอทงเทียนเผชิญกับกองทัพ ความเร็วในการบุกรุกของแดนสวรรค์นั้นรวดเร็วมาก แทบจะทันทีหลังจากฮุยไท่หลางแจ้งข่าว ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ที่พวกเขาปรากฏนั้น ไม่ใช่สุสานเทพแห่งทวีปกวงหมิง แต่เป็นทะเลฝนดาวตก  มีรอยแยกมิติเวลาเชื่อมกับแดนสวรรค์กับทะเลฝนดาวตกได้อย่างไร? ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้!  เกาะในทะเลฝนดาวตกถูกบุกโจมตีโดยกองกำลังขนาดเล็กในแดนสวรรค์ เนื่องจากยอดฝีมือชาวเผ่าทะเลถูกย้ายไปเพื่อป้องกันสุสานเทพเจ้าในทวีปกวงหมิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีกำลังมากพอปกป้องหมู่เกาะฝนดาวตกจึงต้องประสบกับสูญเสียอย่างหนัก


ซากศพนับหมื่นลอยเกลื่อนอยู่ในทะเล


ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงกลุ่มนักรบเก่าหลายคนที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่มีใครรอดชีวิต


เมื่อยอดฝีมือเผ่าทะเลและสมาชิกวังมารทราบข่าวและกลับมาและทราบว่ากองกำลังขนาดเล็กที่รุกรานหอทงเทียนมีพวกหักหลังหอทงเทียนพาไปหลบซ่อนไม่เหลือร่องรอย


 “หอทงเทียนตอนนี้มีกำลังเปราะบางเกินไป”  เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ผู้เฒ่าหนานกงยืนถอนหายใจอยู่ริมชายฝั่งทะเลฝนดาวตก


 “มีบางอย่างผิดปกติ”  อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างเขาขมวดคิ้ว  “ศัตรูไม่เพียงแต่ลงมือโจมตีขณะที่เย่ว์หยางไม่อยู่  แต่ยังหลอกให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าจะบุกมาทางสุสานในทวีปกวงหมิง แต่กลับจงใจสังหารหมู่ที่ทะเลฝนดาวตกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเรา ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาต้องการปิดปากพวกเรา ด้วยการลงมือจากภายในที่ลับอย่างนี้ข้ากล้าพูดได้ว่า หากไม่มีคนทรยศก็จะไม่มีผีสางปรากฏ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะป้องกันเราและโจมตีเราสามครั้งติดกัน”


 “บางทีในหมู่พวกเขาบางคนอาจมีทักษะความสามารถพิเศษ”  เมื่อไม่นานมานี้ผู้อาวุโสใบไม้เขียวมู่ฮัวที่เพิ่งย้ายกลับมาจากแดนสวรรค์ไม่นานมานี้ เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับความเห็นของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า แดนสวรรค์มีตัวประหลาดอยู่มากมาย พวกเขามีทักษะฝีมือที่พิเศษที่จะสร้างผลกระทบได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 “ตอนนี้ผู้คนกำลังตื่นตระหนกไม่รู้จะทำอย่างไร?”  ท่านหญิงจูเว่ยและท่านหญิงเยี่ยนตามมาสมทบที่นี่


ชาวเผ่าทะเลบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก


พวกนางรู้สึกต้องการไห่หลาน แต่ไห่หลานจักรพรรดินีสมุทรไปแดนสวรรค์กับเย่ว์หยาง ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด พวกเขาจนใจ เพราะพวกเขามีพลังไม่มากพอ บารมีไม่มากพอจะข่มชาวเผ่าทะเลทั้งหมดได้อย่างไร?


ผู้เฒ่าหนานกงรู้สึกละอายใจ


เขาไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไร


เย่ว์หยางไม่อยู่ที่นั่น มารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกรก็ไม่อยู่ที่นั่น แม้แต่นักสู้ผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างเย่คง เจ้าอ้วนไห่และเสวี่ยทันหลางไม่อยู่ที่นั่น  ในขณะที่เขาคิดว่าปลอดภัยที่สุด กองทัพแดนสวรรค์กลับแทงข้างหลังอย่างน่ากลัว   พลังคราวนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการรุกรานของจักรพรรดินีฟ้าแห่งเผ่าเก้าแสงในช่วงที่ผ่านมา  มีความเป็นไปได้ว่าหอทงเทียนอาจถูกถล่มยับเยิน


ความหวังประการเดียวในตอนนี้คือหวังว่าเย่ว์หยางและคนอื่นจะกลับมาทันเวลา


แน่นอนว่าหอทงเทียนยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง เพราะจักรพรรดินีราตรีและจื้อจุนก็ยังอยู่ที่นั่น แม้ว่าพวกนางจะฝึกฝนลับอยู่ในดินแดนบันไดสวรรค์ ตราบใดที่พวกนางทราบเหตุการณ์ พวกนางอาจกลับมาช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ได้  “รายงาน”  “พบกองทัพแดนสวรรค์มากกว่าหมื่นคนในสุสานเทพทวีปกวงหมิง อัศวินมังกรและนักรบเลือดมังกรกำลังต่อสู้อยู่  เราป้องกันทางออกสุสานเทพอย่างเคร่งครัด แต่มีนักรบแดนสวรรค์ปลอมตัวเป็นทหารสิบกว่าคน บุกฝ่าแนวป้องกันและหลบหนีออกไปได้  แม่ทัพปีศาจและจอมพลฟงขวงกำลังไล่ตามและส่งข้ามาขอกำลังสนับสนุน”


 “มีนักรบแดนสวรรค์ปะปนในหมู่พวกเจ้า  น่าขายหน้านัก!”  อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าโกรธ


 “เจ้ากลับไปรายงานแม่ทัพฟงขวง เราจะป้องกันเส้นทางเทเลพอร์ตลงชั้นเก้าหอทงเทียนเอง”  ผู้เฒ่าหนานกงปลอบโยน


เขาเข้าใจ


อัศวินมังกรหนุ่มและนักรบเลือดมังกรที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการรบในสนามเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย  เด็กหนุ่มฝีมือดีเหล่านี้เป็นกลุ่มทหารหนุ่ม เพื่อรอให้พวกเขาเติบโตเป็นยอดฝีมืออย่างเป็นทางการ บางทีต้องผ่านประสบการณ์ฝึกฝนบ่มเพาะเป็นเวลาช่วงหนึ่งก่อน


จะต้องทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จโดดเด่นเหมือนกับเย่คง เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ


แม้ว่าจะพบอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อีกครั้ง


แต่คาดถึงความเป็นไปได้ว่าต้องหลังจากผ่านเหตุการณ์รุกรานของแดนสวรรค์


การเติบโตของเย่คง เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ยากเย็นเพียงไหน?  นอกจากนี้ความจริงก็คือมีเย่ว์หยางคอยนำร่องให้พวกเขา พวกเขาต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน  จนทุกวันนี้ไม่มีอัศวินมังกรและนักรบเลือดมังกรที่มีประสบการณ์การต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสนามรบอย่างแท้จริง  พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสกับสนามรบที่ต่อสู้อาบเลือด ซึ่งมีเหตุเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนสามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างเป็นกับตายได้อย่างแท้จริง อาจจะตายและเกิดใหม่ได้


ที่พวกเขาสามารถทำได้ตอนนี้คือ


ไม่ยอมแพ้ต่อศัตรู


มันยากมากที่จะต่อสู้ถึงที่สุดโดยไม่กลัวตาย


 “ฮุยไท่หลางอยู่ที่นั่นหรือเปล่า?”  ท่านหญิงทั้งสองกังวลห่วงใยว่าฮุยไท่หลางกำลังต่อสู้อยู่ที่นั่น นักสู้แดนสวรรค์ต่อให้ร้ายกาจก็อาจถูกจับกินได้  ตอนนี้ไม่มีนักสู้ปราณฟ้าคนใดกล้าเผชิญหน้ากับมัน  คาดว่าเพราะเหตุผลนี้ดังนั้นทัพหน้าของแดนสวรรค์จึงน่ากลัว  ทหารระดับล่างสามารถสู้ได้  แต่ผู้นำเกือบทั้งหมดทำเป็นหลีกเลี่ยงรอโอกาส  เห็นได้ว่าข้อมูลของแดนสวรรค์เกี่ยวกับหอทงเทียน ในความเป็นจริงนั้นฝ่ายแดนสวรรค์เก็บไปได้อย่างแม่นยำ แม้กระทั่งพลังการต่อสู้ของฮุยไท่หลางก็อยู่ในความคาดการณ์ด้วย


 “ใช่ มันเหมือนกับเทพอารักษ์ของเรา!”  เมื่อว่าการมาถึงของฮุยไท่หลาง สมาชิกของอัศวินมังกรทั้งหมดกระตือรือร้น มันเป็นหมาป่าเกียจคร้านที่กลืนกินศัตรูที่แข็งแกร่งได้ทีละหลายสิบคน มันสร้างความหวาดกลัวทำให้กระบวนทัพของแดนสวรรค์จนปั่นป่วนวุ่นวาย  หลังจากนั้นหัวหน้าของทหารแดนสวรรค์จึงต้องปลอมตัวหนี  ถ้าไม่มีฮุยไท่หลางพวกกองทัพแดนสวรรค์คงจะไม่เห็นทหารหอทงเทียนอยู่ในสายตา


แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารแนวหน้าเบิกทาง แต่พวกเขาไม่เห็นทหารหอทงเทียนอยู่ในสายตา


ทะเลฝนดาวตก


ก็แค่สถานที่หลอกล่อ


เนื่องจากศัตรูไม่อยู่ที่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการซุ่มโจมตีต่อไป


ผู้เฒ่าหนานกงและอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าพูดคุยสองสามคำก่อนแยกกันเป็นสี่กลุ่มดำเนินตามแผน


ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาด้านล่างของทะเลฝนดาวตกมีหินและเงาปลารูปร่างแปลกประหลาดลอยขึ้นมาจากก้นทะเลอย่างรวดเร็ว พวกเขาแต่ละคนจัดเก็บบริวารไว้ในกำไลเก็บของจนแทบหายใจไม่ออก เขาเกรงคนพวกนี้จะขาดอากาศตาย เขาเตะเท้าดุด่าในเวลาเดียวกัน  นังทาสราคาถูกยังไม่รีบจัดเรียงอักขระรูนอีกหรือ วันนี้ใช้คนไปเกือบหมื่นเพื่อหลอกล่อปีศาจเฒ่าเจ้าปัญหา ถ้าแผนนำสิบราชาเข้าหอทงเทียนเสร็จไม่ทันวันนี้ พวกเจ้าจะต้องตายกันทั้งหมด เจ้าพวกโง่!”


ทาสที่ถูกดุด่ารีบจัดการสร้งวงเวทอักขระรูนบนเกาะฝนดาวตก เป็นวงเวทอักขระรูนขนาดใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบร้อยเมตร


หัวหน้าทาสหลายคนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในใจกลางวงเวทอักขระรูน


ใช้เลือดบูชายัญอักขระรูน


ประกายแสงระยิบระยับที่ใจกลางวงเวทรูนฉายลำแสงสีแดงพุ่งขึ้น ลำแสงนี้พุ่งขึ้นไปไม่ถึงท้องฟ้า แต่บิดตัวเป็นเกลียวและพุ่งลงไปในทะเลฝนดาวตกเลื้อยเหมือนงูแต่ไม่รวมตัวกันราวกับว่าไม่มีใครรู้ว่าก้นทะเลมีรอยแยกมิติเวลาเข้าสู่แดนสวรรค์


หลังจากลำแสงเหมือนงูบิดตัวฉายลงไปในทะเล


ในไม่ช้า


ก็มีอาการสนองตอบ


หัวหน้าปฏิบัติการหลายคนหัวเราะกันเอง หัวหน้าที่คล้ายสิงโตคนหนึ่งเยาะเย้ย  “พวกโง่หอทงเทียนคิดว่าพวกมันฉลาด พวกมันจะคิดออกได้อย่างไรว่าลึกลงไปในทะเลฝนดาวตกจะมีช่องว่างมิติเวลา จะมีรอยแยกมิติเวลานำเข้าสู่แดนสวรรค์ได้  นายท่านเคลื่อนไหวครั้งนี้จริงเท็จยากจำแนกเป็นกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่หลอกลวงเจ้าพวกบ้านนอกได้ทุกที่และทุกเวลา!”


ในช่วงเวลาแห่งความภูมิใจลำแสงสีทองฉายออกมาจากก้นทะเลพุ่งขึ้นฟ้า


ผู้นำหัวแรดมีสีหน้างงงวย “ไม่, ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้! เจ้าทำเส้นทางเทเลพอร์ตถูกวิธีหรือเปล่า?  แม้จะมีความรู้สึกถึงการเทเลพอร์ต แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้สำเร็จในครั้งเดียว  อย่างน้อยต้องใช้เวลานานถึงสามชั่วโมงไม่ใช่หรือ?”


 “บางทีพลังระดับราชาคงแข็งแกร่ง หรือไม่ก็พวกเขาอาจเทเลพอร์ตโดยตรงก็ได้”  หัวหน้าหัวสิงโตประหลาดใจ


แสงในท้องฟ้าหายไป


ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า


มีแต่นกนางนวลตัวหนึ่งที่ตะลีตะลานบินจนอ่อนแรง มันบินยังไม่ถึงชายฝั่งก็ร่วงตก แทบจะหนีไม่พ้นคลื่นทะเล  นกนางนวลน้อยออกมาจากช่องเทเลพอร์ตได้อย่างไร?  ราชาทั้งสิบเล่า?


ตอนที่  1219  ปั่นป่วน สมองไม่พอ!


วงเวทรูนโลหิตมีแต่นกนางนวลออกมาตัวเดียว


ทันใดนั้น


คนที่อยู่ในเหตุการณ์พากันเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร


 


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดในสายตาทุกคน นกนางนวลที่อ่อนล้าพยายามกระพือปีกอย่างอ่อนแรง มันแข็งใจใช้เรี่ยวแรงอึดสุดท้ายบินขึ้นจากทะเลส่ายไปส่ายมายังฝั่ง ในที่สุดก็ตกลงบนชายหาดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างน้อยๆ นอนอยู่บนหาดทราย ขนปีกเปียกและเปื้อนเม็ดทรายเปื้อนเลือดดูน่าสมเพช


โชคดีที่เจ้าตัวน้อยร่วงลงชายฝั่งได้ในที่สุดและรักษาชีวิตน้อยๆ ของมันไว้ได้


ถ้าอยู่ในทะเลต่อไปอาจจมทะเลตายด้วยแรงซัดของคลื่นลูกใหม่ก็ได้


“อะแฮ่มๆ!”  หลังจากงุนงงอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดหัวหน้าหัวสิงโตรีบกระแอมสองครั้งอย่างรวดเร็วและฝืนหัวเราะ  “เจ้านกตัวนี้อาจเป็นสัตว์เลี้ยงของหนึ่งในสิบราชา มันอยู่ที่นี่เพื่อให้คำแนะนำ  แค่กๆ ใช่แล้วต้องเป็นแบบนั้นแน่!”


เขาไม่กล้านึกภาพเลยว่า ถ้าองค์ประกอบบูชายัญเลือดวงเวทรูนไม่สมบูรณ์เพียงพอ  และกระแสหมุนวนในมิติจะส่งผลกระทบร้ายแรงกลืนกินราชาทั้งสิบ แม้จะไม่เป็นปัญหากับการเดินทางไปหอทงเทียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการตอบสนองโดยสร้างวงเวทอักขระรูน อัตราความสำเร็จในการเทเลพอร์ตจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดการดูดกลืนในรอยแยกมิติเวลา และแอ่งวังวนดูดกลืนมิติเวลา แต่ด้วยอักขระรูนเลือดนี้ อย่างน้อยจะเพิ่มความมั่นใจในการผ่านสำเร็จได้ 70% ขึ้นไป ด้วยพลังนักรบระดับราชา โอกาสผ่านสำเร็จมากถึง 90%


ในเบื้องต้นนี้ ภารกิจที่ดีที่สุดก็คือขอให้ราชาทั้งสิบมาถึงโดยปลอดภัย


ภารกิจของเขาจึงจะสำเร็จ


เมื่อได้รับรางวัลความดีความชอบ


ต้องได้รับรางวัลใหญ่แน่นอน


แต่ตอนนี้เมื่อสร้างวงเวทอักขระรูนเลือดเสร็จกลับมีแค่นกนางนวลตัวหนึ่งโผล่ออกมาเท่านั้น เกิดอะไรขึ้น?


นักสู้ระดับหัวหน้าที่เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้รู้สึกไม่ค่อยดี ราชาทั้งสิบไปอยู่ที่ไหน?  ถ้าราชาทั้งสิบถูกดูดหายเข้าไปในรอยแยกมิติเวลา  อย่างนั้นผลที่ตามมาคงเป็นหายนะสุดคาดคิด!  ภารกิจนี้ไม่เพียงแต่ไม่สำเร็จ เหนืออื่นใดผู้เข้าร่วมภารกิจนี้จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง!


หัวหน้าหัวสิงโตมองอย่างผิวเผินเหมือนไม่ได้คิดอะไร  แต่ในใจสั่นสะท้านเพียงแต่เขาฝืนแสดงสีหน้าร่าเริง  “ในการตอบสนองของวงเวทรูนโลหิตไม่ได้มีความรวดเร็วอย่างแน่นอน ในช่วงเวลาสองสามชั่วโมงราชาทั้งสิบคงยังผ่านมาไม่ได้  ข้าหมายถึงว่าการตอบสนองของวงเวทรูนโลหิตของเขาไม่ได้ล้มเหลว และยังคงมีผลต่อไป  คาดว่าสิบราชากำลังจะมาถึง  เราต้องอยู่ที่นี่ต่อไปนานกว่าสามชั่วโมง แค่กๆ  ข้าหมายถึงว่าวงเวทรูนโลหิตของเขาไม่ได้ผิดพลาดล้มเหลว ข้าว่าเจ้านกน้อยตัวนี้คงเป็นราชาส่งออกมาบอกเราว่าไม่ต้องกังวล  พวกเจ้าว่ายังไงบ้าง?”


“แต่เจ้านกน้อยตัวนี้….”  หัวหน้าหัวแรดไม่เข้าใจว่าทำไมมันถูกส่งออกมาในทันที? แม้ว่าราชาองค์หนึ่งอาจส่งมันมาได้ก็จริง แต่ไม่มีเหตุผลที่จะเร็วมากขนาดนี้!


“หรือว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กที่ราชาส่งออกมาสำรวจล่วงหน้าหรือไม่?”  หัวหน้าร่างผอมสูงเหมือนไม้เชื้อฟืนถามอย่างจริงจัง


“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน”  หัวหน้าหัวสิงห์รีบยืนยันและเข้าควบคุมสถานการณ์ที่กำลังจะล่มสลายอย่างรวดเร็ว


“ในเมื่อมันเป็นนกอสูรที่ส่งออกมาสำรวจเส้นทางอย่างนั้น อย่างนั้นก็คงสามารถอธิบายได้ทันทีเมื่อมันเทเลพอร์ตกลับไป”  ในอีกด้านหนึ่งหัวหน้าผู้มีความสามารถกำลังปาดเหงื่อ เขาไม่ต้องการให้สิบราชาตายอย่างโชคร้ายในภารกิจของเขา บาปครั้งนี้ต่อให้มีสิบหัวก็ชดใช้ไม่หมด


“ข้าแน่ใจเต็มร้อยว่านกตัวนี้มาจากแดนสวรรค์ ไม่ใช่เจ้าของที่เป็นชาวหอทงเทียนเลี้ยงดูมัน   ข้าไม่เคยเห็นนกที่มีประกายตาเจิดจ้าอย่างนี้มาก่อน  หากมิใช่นกอสูรของราชา โลกจะมีสัตว์เลี้ยงที่ฉลาดขนาดนี้ได้อย่างไร?  ในดินแดนทุรกันดารอย่างหอทงเทียนนี้ ไม่มีผลผลิตพิเศษควรค่าแก่การกล่าวขวัญ ยกเว้นขนมปังกับอันธพาล!”  คนที่เตี้ยที่สุดและมีกล้ามเนื้อแข็งแรงที่สุดเหมือนกับจะเป็นผู้นำกล้ามเนื้อเป็นก้อนเป็นมัดดูน่าสยดสยอง สหายผู้นี้โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกหัวเราะลั่นระบายความกลัวและความอึดอัดในหัวใจ


“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็อย่างที่ข้าบอก สิบราชาจะต้องมาถึงตามกำหนดแน่นอน”  หัวหน้าหัวแรดเห็นด้วยทันที


“แม้ว่ากำหนดการจะเลื่อนออกไป แต่สิบราชาจะปลอดภัยไร้อันตรายแน่นอน”  หัวหน้าหัวสิงห์ค่อยมีสีหน้าดีขึ้นอธิบายให้สหายร่วมงานฟัง  “เป็นไปได้ว่าราชาทั้งสิบมองเห็นความเป็นไปได้บางอย่าง พวกเขาจึงส่งนกอสูรออกมาชั่วคราวเพื่อเตือนเราไม่ต้องรอนาน เพราะพวกเขาอาจทำตามแผนใหม่”


“ถ้าอย่างนั้นเรายังจะรออะไรอยู่อีก?”  หัวหน้าผู้มีความสามารถคนกลางเช็ดเหงื่อที่หัวมองดูสหายเปี่ยมไปด้วยความหวัง


“รอสักครู่”  หัวหน้าหัวสิงห์ยืนยัน  “ไม่ว่าราชาทั้งสิบจะมาตามกำหนดการหรือไม่ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา  ถ้าหลังจากผ่านไปสามชั่วโมงสิบราชายังมาไม่ถึง  อย่างนั้นพวกเขาจะต้องปฏิบัติภารกิจใหม่และเราจะทำตามนกอสูรน้อยตัวนี้รอการเรียกหาและแจกจ่ายงานจากสิบราชาต่อไป


“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ทำอย่างนี้ถูกต้องกว่า”  หัวหน้าหลายคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ปรบมือสนับสนุน


ราชาจากแดนสวรรค์ตายเพราะข้อผิดพลาดในการเทเลพอร์ต


เรื่องแบบนี้


ไม่เพียงแต่ยากจะรับได้


แม้ว่าจะเสร็จแล้วก็ยังพูดไม่ได้


ความจริงทุกคนมีฉันทามติร่วมกันอย่างคลุมเครือ นั่นคือราชาทั้งสิบคนไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกถึงพลังรูนโลหิตชัดเจนหรือไม่ ไม่ว่าจะเริ่มแล้วหรือไม่ ผลลัพธ์อาจไม่ดีนัก  เนื่องจากการรบกวนการส่งสัญญาณของนกนางนวลน้อยตัวนี้ทำให้การเทเลพอร์ตของราชาทั้งสิบต้องล่าช้า การผ่านรอยแยกมิติเวลาอย่างปลอดภัยในช่วงที่มิติเวลาสับสน โอกาสประสบความสำเร็จในการมาโผล่ที่เกาะน้อยแห่งนี้มีเพียงน้อยนิดมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่น


ความจริงนั้นโหดร้ายเหลือเกิน แต่จะต้องไม่พูดออกมา  มิฉะนั้นทุกคนจะไม่สามารถรักษาศีรษะไว้บนบ่าได้อีกต่อไป


นั่นคือสิบราชาแดนสวรรค์!


ในช่วงเริ่มต้นของการบุกรุกรานของชาวแดนสวรรค์ นักรบระดับราชาของแดนสวรรค์ยังมีไม่ถึงร้อย


ความผิดพลาดในการทำให้สิบราชาแดนสวรรค์ต้องตายไป ไม่มีใครสามารถแบกรับความผิดนี้ได้  แม้แค่หนึ่งในสิบราชากว่าจะได้มาก็ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรชีวิตมหาศาล  เฉพาะจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ที่ห่างไกลออกไป จนถึงประตูสวรรค์  เพื่อให้เวลากับการสรรหากองทัพ ราชาแต่ละคนจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการเทเลพอร์ตข้ามแดนโดยใช้แสงศักดิ์สิทธิ์นำทาง   ไม่ต้องพูดถึงทาสกว่าหมื่นคนที่ต้องเสียสละชีวิต…  คราวนี้ความผิดพลาดไม่เพียงแต่ฆ่าราชาเท่านั้น  แต่ยังทำให้สูญเสียทาสถึงล้านคน  สิ่งที่สำคัญก็คือความล้มเหลวนี้อาจก่อให้เกิดข้อเสียหายของสงครามในช่วงแรกและสถานการณ์ของทั้งสองฝ่าย


คนโง่จะไม่ยอมรับว่าข้อผิดพลาดร้ายแรงนี้เกิดขึ้นเพราะตนเอง


ตอนนี้พวกเขาพยายามมองหาเหตุผลที่เหมาะสมที่สุด


แสดงความเห็นแก่ตัวเอง


และต้องทำให้ได้


มิฉะนั้นคนในกลุ่มทั้งหมดมีแนวโน้มว่าจะพังทลายทันที  ทุกคนจะเข่นฆ่ากันเองและจากนั้นแยกย้ายกันหลบหนีไม่ยอมกลับไปแดนสวรรค์อีกเลย


“ราชาทั้งสิบจะมาถึงตามกำหนดอย่างแน่นอน!  อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น  เราต้องเสริมสร้างความเสียสละ!”  หัวหน้าหัวสิงห์ตัดสินใจสังหารทาสทั้งหมด  เหลือสหายอยู่เพียงไม่กี่คนและทุกคนจะรวมตัวสร้างข่าวลือ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมให้หาโอกาสแก้ตัวว่าถูกนักสู้หอทงเทียนโจมตีอย่างน่าทึ่ง หรือเหตุผลข้ออ้างอื่นที่ดีกว่าผิดพลาดเพราะเกิดจากนกนางนวลตัวหนึ่ง


“ไว้ชีวิตเราด้วย!”  พวกทาสทุกคนหวาดกลัวแทบปัสสาวะราด  พวกเขาคุกเข่าลงทุกคน


พวกเขาไม่ใช่คนโง่


รู้ว่าความผิดพลาดนี้หมายความว่ากระไร


ดูเหมือนเจ้านายเหล่านี้ทำให้สิบราชาต้องตายไป และพวกเขาต้องการฆ่าผู้คนอย่างแน่นอน


พวกหัวหน้าทั้งสองมองหน้ากันและกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเองเงียบๆ  พวกเขารู้สึกว่ามีทาสยังดีกว่าที่จะฆ่า  เพราะไม่มีทาสที่ภักดีอีกแล้ว เมื่อเทียบกับทาสที่ตายไปแล้ว


ขณะที่พวกเขากำลังจะกำจัดทาสแดนสวรรค์ที่น่าสงสารเหล่านี้ นกนางนวลที่ตัวเต็มไปด้วยโคลนสูดลมหายใจได้ในที่สุดและใช้ปีกประคองตัวยืนขึ้นโซซัดโซเซ แต่ในที่สุดมันก็หยุดนิ่งได้  สำหรับนกตัวน้อยที่พูดไม่ได้ตอนนี้ หัวหน้านักสู้แดนสวรรค์หลายคนรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาผูกติดกับมัน


ถ้าราชาทั้งสิบมาถึงได้สำเร็จอย่างโชคดี อย่างนั้นพวกเขาคงมีความสุขเป็นธรรมดา


หากเหตุการณ์ไม่เกินเวลาที่กำหนด


อย่างนั้นพวกเขาจำเป็นจะต้องผลักดันความรับผิดชอบไปที่นักสู้หอทงเทียน  ต้องจับนกนางนวลตัวนี้ที่ไม่รู้ที่มาไว้ แล้วรายงานเบื้องสูงว่านี่คือการส่งสารของราชาองค์หนึ่งที่ถูกโจมตีในมิติทางผ่าน


“จับเจ้าตัวเล็กนี่ซะ”  หัวหน้าหัวสิงห์ส่งสัญญาณให้สหายเขาอย่าปล่อยนกน้อยช่วยชีวิตพวกเขาให้หนีไป  มิฉะนั้นทุกคนเป็นอันจบกัน


“จับมารดาเจ้าเถอะ!”


เสียงสตรีดังขึ้นจนทุกคนในกลุ่มตะลึงว่าใครเป็นคนพูด


ดูเหมือนจะเป็นนกนางนวลน้อยที่เกือบตายเป็นผู้พูดหรือเปล่า?   เจ้าตัวเล็กนี้พูดได้หรือ? อ๊ะ..ถ้ามันพูดได้อย่างนั้นทุกคนจบกัน  ไม่ว่ามันจะเป็นนกอสูรของสิบราชาหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่มันสามารถพูดได้ เมื่อถูกถามถึงเรื่องดังกล่าวข้างต้น  เรื่องต่างๆ จะชัดเจน จากนั้นความรับผิดชอบนี้จะไม่ถูกผลักดันออกไป สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือถ้ามันเป็นนกของราชาผู้ใดผู้หนึ่ง  แม้ว่าเจ้าของของมันจะประสบความสำเร็จในการส่งสัญญาณเพราะความผิดพลาดนี้  กลุ่มของเขาจะต้องตาย  และตายในเงื้อมมือของนักสู้ระดับราชาผู้โกรธกริ้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.. หัวหน้าหัวสิงห์และสหายมองดูหน้ากันเองสองสามครั้ง  และพบว่าทุกคนดูเหมือนคนตาย  เขาติดสินใจอย่างรวดเร็วโบกมือและชี้ไปที่นกนางนวลสายลมที่อ่อนแรงตัวนี้  “ฆ่านกนี้ให้ตาย ดีกว่าปล่อยให้มันมีชีวิต มีแต่นกตายเท่านั้นที่จะไม่พูดเรื่องไร้สาระ!”


“พวกเจ้านั่นแหละคือนกตาย เจ้าหัวส้อมงี่เง่า!”  อสูรนกนางนวลสายลมย้อนด่าหัวหน้าหัวสิงห์ทันควัน ทันใดนั้นมีคัมภีร์อัญเชิญเงินปรากฏขึ้นในอากาศและในท้องฟ้ามีโล่ม่านพลังกางขยาย ฮิปโปขาวตัวน้อยบินลงพื้นและวิ่งเข้ามาหานกนางนวลพลางสูดดม


“เฮ้, เจ้ามีคัมภีร์อัญเชิญด้วยหรือ? และยังเป็นคัมภีร์เงินด้วย!”  หัวหน้าหัวสิงห์และคนอื่นๆ งงงวยสงสัยว่ากำลังฝันไปหรือไม่  นกนางนวลน้อยมีคัมภีร์อัญเชิญชั้นเงิน สำหรับนักรบแดนสวรรค์นั้นไม่เคยเห็นคัมภีร์อัญเชิญมานานถึงร้อยๆ ปี!  ในแดนสวรรค์ มีนักรบเป็นล้านๆ คนที่ไม่มีคัมภีร์อัญเชิญ นึกไม่ถึงเลยว่านกตัวหนึ่งจะทำสัญญากับคัมภีร์ได้สำเร็จ


ฟ้าไม่ยุติธรรมเกินไปหรือเปล่า?


และคัมภีร์ภีร์อัญเชิญนี้ยังเป็นคัมภีร์เงิน  แม้แต่นักสู้ระดับราชาหลายคนก็ยังไม่มีสิ่งที่แสดงความก้าวหน้าขนาดนี้ แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่แค่การอวดอ้าง


หัวหน้านักรบปราณฟ้าหลายคนเห็นแล้วอยากกระอักเลือดด้วยความอิจฉา


ขณะเดียวกันพวกเขารู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ


มีคัมภีร์อัญเชิญแล้วจะฆ่าได้อย่างไร?  ในพริบตามันสามารถหลบเข้าไปในคัมภีร์อัญเชิญได้  อย่างนั้นเป้าหมายแรกนี้เล่า?


เมื่อพวกเขารู้สึกมึนงงมีแสงไฟอีกวับหนึ่งอยู่บนคัมภีร์เงิน และมีบุรุษหลายคนตัวคลุมไปด้วยเลือดและเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งยิ่งกว่าขอทานกระโดดออกมาจากความว่างเปล่า  และก่อนที่พวกเขาจะลงมายืนบนพื้น พวกเขาเห็นคนผอมโกรธเจ้าอ้วนที่ดูน่ารังเกียจอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าอ้วนถูกตบหน้าและกดลงพื้นโดยไม่พูดอะไร


พี่น้องฝาแฝดดูหน้าเหมือนกันรีบมาสมทบและทุบตีเจ้าอ้วนด้วย


เจ้าพวกนี้จะทำอะไรกัน?


หัวหน้านักสู้จากแดนสวรรค์หลายคนรู้สึกว่าความคิดของพวกเขาตามไม่ทัน!


พวกนี้เป็นใครกัน จู่ๆ มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?  ทำไมพวกเขาต้องทำร้ายกันเอง?  ถ้าคนเหล่านี้ผ่านช่องแยกมิติเวลามาได้โดยเทเลพอร์ตจากประตูสวรรค์ได้สำเร็จ  อย่างนั้นราชาทั้งสิบเล่า?  ราชาทั้งสิบไปอยู่ที่ไหน?


“ตีเขาเลย  เจ้าอ้วนบ้านี่ ข้าบอกแล้วว่าอย่าทะเลาะต่อสู้กันในช่องทางผ่านมิติ มันมีอันตรายอยู่แล้ว  ด้วยความแข็งแกร่งของเรา นับว่ายากจะผ่านไปได้ ทั้งที่ระมัดระวังแล้วก็ตาม  ข้าเกือบพบกับความตายแล้ว และข้ายังต้องทำการลอบโจมตีดังนั้นจึงต่อสู้ผ่านพ้นพื้นที่มิติทั้งหมดที่แทบจะพังทลายลง ถ้าไม่มีพลังบางอย่างนำทางพวกเราคงพินาศกันหมด…”   มีเท้าคู่หนึ่งยืนอยู่บนหาดทรายสูง หญิงสาวงดงามคนหนึ่งชี้หน้าเจ้าอ้วนไห่ตะโกนดุด่าอย่างโมโห


เด็กสาวคนนี้มาจากไหนกัน?


ทันใดนั้นหัวหน้านักสู้จากแดนสวรรค์ยืนมองตะลึง ตอนนี้ไม่ใช่มีแค่สตรีเปลือยเท้าเท่านั้น


ตอนนี้มีคนเพียงหกคนปรากฏตัวขึ้น คนอ้วน คนผอม พี่น้องฝาแฝดและบุรุษหนุ่มอีกสองคน  เมื่อทุกคนลงยืนบนพื้น พวกเขานั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจทันที เมื่อทุกคนมองดูเห็นทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยบอบช้ำ  เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่ยังคงรักษามาดนิ่งของสุภาพชนอยู่ได้ เด็กหนุ่มผู้สูงส่งนี้ดูเหมือนกับกุลบุตรจากตระกูลสูงส่ง


นอกจากทั้งหกคนนี้แล้วหญิงสาวสวยผู้มีปีกอยู่ด้านหลัง นางมาจากไหน?


“เฮ้, ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมเลย ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าเจ้าผู้นั้นซ่อนความแข็งแกร่งไว้ลึกล้ำเหลือเกิน!  ข้าคิดว่าทหารแดนสวรรค์ที่ถูกสังหารจำนวนมากไม่ใช่คนเลว  แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นคนที่ร้ายกาจระดับรองเจ้าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์  ในความเป็นจริงข้าก็ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกโดยเจ้าผู้นั้น…  ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีใบหน้าที่สัตย์ซื่อถือมั่น และคาดไม่ถึงเลยว่าเขาพร้อมจะแปรพักตร์ลงมือ  และเขาก็มีความสามารถในการบิดเบือนมิติ   ข้าไม่ต้องการหาเรื่องตายจริงๆ  เจ้าคิดดู  ข้าอายุยังน้อย ยังหนุ่มแน่นและบริสุทธิ์ ยังไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิต แต่ว่าข้าถูกเขาหลอก!”  เจ้าอ้วนไห่ขอโทษหญิงสาวเท้าเปล่ามีปีก


“เจ้าให้ข้าพักก่อน!  ดีที่สุดรีบไปตายและรีบเกิดใหม่ซะ!”  สาวงามเท้าเปล่าใช้เท้าเตะเจ้าอ้วนตกน้ำ จนน้ำแหวกกระจาย


“เดี๋ยวก่อน  บอกเราได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”  หัวหน้านักสู้แดนสวรรค์หลายคนรู้สึกสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก


นี่มันสถานการณ์อะไร?


เรื่องเหลือเชื่อเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตพวกเขา  ทุกคนเพิ่งเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นครั้งแรก


พวกเขาสร้างวงเวทรูนโลหิตในเกาะน้อย ถ้ามีเวลามากขนาดนั้น พวกเขาจะทำอย่างนี้อีกได้อย่างไร?


ตอนที่  1220  ศัตรูแข็งแกร่งร้ายกาจ


หัวหน้านักสู้ปราณฟ้าหัวสิงห์ประเมินดูสถานการณ์รู้สึกว่าบุรุษน้ำแข็งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม่ง่ายจะจัดการ บุรุษหนุ่มผู้สุภาพที่ยังรักษารอยยิ้มได้แม้ร่างกายบาดเจ็บบอบช้ำก็ดูไม่เรียบง่ายเหมือนอย่างที่เห็น พี่น้องฝาแฝดนั้นเงียบขรึมเกินไป ถ้าเขาต้องการจะจับเป็นตัวประกัน คาดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และสถานะของพวกเขาต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าเป็นคนคุ้มกันคุณชายผู้สูงส่ง แม้จะจับได้ก็มีคุณค่าเพียงเล็กน้อย


 


สตรีงามร่างสูง พวกเขาค้นไม่พบว่ามาได้อย่างไรในเวลานี้และนางหงุดหงิดได้อย่างไร


ในที่สุด เป้าหมายที่เหลืออยู่


มีเพียงสองเท่านั้น


คนหนึ่งคือคนร่างผอมที่พยายามทุบตีผู้คน  อีกคนหนึ่งเจ้าอ้วนเจ้าเล่ห์


พลังของคนทั้งสองนั้นดูเหมือนจะระดับเดียวกัน  แต่คนผอมจะดีกว่าเจ้าอ้วนมากในด้านการแสดงออกถึงอารมณ์  เขาดีกว่าเจ้าอ้วน  เจ้าอ้วนเป็นเพียงแค่สวะ!


 “ลงมือ!”  หัวหน้าหัวสิงห์จากแดนสวรรค์สบตาสหายและตัดสินใจจับเจ้าอ้วนเป็นตัวประกัน


 “บึ้ม ปัง ปัง ปัง ปัง!”  ขณะนั้นเมื่อหัวหน้าหัวสิงห์นำสหายลอบลงมือทำร้าย ผู้เป็นหัวหน้ากระโดดพุ่งสูงอย่างรวดเร็วและบินโฉบลงมาจับเจ้าอ้วนที่เพิ่งโผล่ออกมาจากทะเล  แม้ว่าเขาจะมีขนาดใหญ่  แต่การเคลื่อนไหวของเขา ไม่เพียงแต่ยืดหยุ่นเท่านั้น แต่ทักษะของเขานั้นงดงามและใช้งานได้จริง  แต่เจ้าอ้วนที่ถูกจับไม่มีเวลาต่อสู้ตอบโต้ จากนั้นเขาถูกจับตัวและโยนที่ขอบวงเวทรูนโลหิตแทบเท้าผู้เป็นหัวหน้าของนักสู้จากแดนสวรรค์


 “ถ้าพวกเจ้าต้องการให้เขาตายต่อหน้าพวกเจ้าอย่างน่าอนาถ อย่างนั้นก็ลองดู!”  หัวหน้าหัวสิงห์จากแดนสวรรค์มีความภูมิใจในครั้งนี้ ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวต่อหน้าสหายของเขา ความจริงเขาคิดว่าจะยากกว่านี้เสียอีก นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างราบรื่น


 “ข้ากล้าพูดได้ว่าข้ามีร้อยวิธีทรมานเจ้าก่อนตายชนิดที่เจ้าทนไม่ไหว”  หัวหน้าร่างผอมสูงเหมือนฟืนไฟพูดเสริม


 “งานโปรดที่สุดของข้าเจ้าเมืองผู้นี้ก็คือทุบกระดูกของของตัวประกันทีละนิดๆ”  ปีศาจร่างกล้ามเนื้อตัวเตี้ยโบกค้อนทองคำในมือแสดงให้เห็นว่าเขามีประสบการณ์ในการทรมานผู้คนมากมายเพียงไหน


 “กระดูกย่อมไม่หักเสียเปล่า ข้าเลี้ยงสุนัขทาร์บะไว้ มันชอบแทะกระดูกมนุษย์ยิ่งนัก”  หัวหน้านักสู้แดนสวรรค์หัวแรดอธิบายให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนดี  ไม่มีความชั่วใดๆ ในโลกนี้ที่เขาไม่กล้าทำ  เพื่อเสริมสร้างแรงโน้มน้าวของเขา เขาเรียกสุนัขทาร์บะอสูรปราณฟ้าระดับสามออกมา


สุนัขทาร์บะหางงู เป็นสุนัขยักษ์ที่ตะกละและกระหายเลือดแห่งแดนสวรรค์


ตัวโตเต็มวัยมีขนาดตั้งแต่หัวถึงหาง 20 เมตร ความสูงถึงระดับไหล่ของมันแปดเมตร


มีน้ำลายพิษหยดออกจากปาก


กัดเพียงครั้งเดียว


สามารถกลืนกินกระทิงและแรดได้


สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือหางงูไม่มีประสาทความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ  และมีความสามารถในการรักษาตัวเองที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น  มันจะไม่หยุดจนกว่าศัตรูจะล้มลงและมันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีชื่อเสียงในบรรดาอสูรร้ายมากมายในแดนสวรรค์   แน่นอนว่ามันไม่สามารถเทียบได้กับอสูรชั้นสูงสิบชนิด เช่นมังกรยักษ์แดนสวรรค์ และอสรพิษเก้าหัว ฯลฯ ในแดนสวรรค์สุนัขทาร์บะนี้ถือว่าเป็นอสูรที่น่ากลัว


ในฐานะเจ้าเมืองจึงมีสิทธิ์มีอสูรพิเศษทาร์บะได้


และยิ่งกว่านั้นไม่ง่ายเลยที่จะมีระดับถึงปราณฟ้าระดับสาม


ถ้าไม่ใช่เพราะมีสุนัขหางงูนี้ ซึ่งข่มสหายทั้งปวงได้ หัวหน้านักสู้แดนสวรรค์หัวแรดคงไม่ได้เป็นหัวหน้าทหารระดับสูง


ขณะที่สุนัขหางงูปรากฏตัวออกมา มันอ้าปากในพริบตาก็จับทาสของตัวเขากินไปสองคน


บางทีมันอาจรู้สึกว่ากินแบบนี้ยังไม่ถึงเลือดหรือน่าตื่นเต้นพอ


มันใช้เท้าตะปบทาสหลายคนและกัดฉีกร่างพวกเขาจนขาดครึ่ง มันจึงค่อยรู้สึกถึงความตื่นเต้นเจ็บปวดและตื่นเต้นจากกลิ่นคาวเลือด…  หางหลังที่เป็นงูหลามเปล่งเสียงขู่เจ้าอ้วน ดูเหมือนว่ามันพร้อมจะกลืนกินเขาด้วยการกัดเพียงเดียวด้วยกรดพิษที่ไหลออกมาจากปากของงู พอหยดลงพื้นทรายมีควันสีดำลอยคละคลุ้งขึ้นทันที


 “ข้ายอมแพ้!”  เจ้าอ้วนยกมือขึ้นและแสดงความเต็มใจเป็นคนดีเพื่อเอาชนะใจกองทัพแดนสวรรค์ผู้มีคุณธรรม


 “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า!”  หัวหน้าหัวสิงห์จากแดนสวรรค์อารมณ์ไม่ดี  ตอนนี้เจ้าอ้วนนี่ไม่จำเป็นต้องยอมแพ้เลย  บทบาทในปัจจุบันของเขาคือเป็นตัวประกันที่มีน้ำหนัก ไม่ใช่การยอมแพ้  ภายใต้แรงกดดันสหายเขา ทำให้รู้สึกลำบากใจที่เห็นใครบางคนตกอยู่ในอันตรายและไม่อาจทำอะไรได้เลย  เจ้ามายอมแพ้ตอนนี้  ใครสั่งให้เจ้าอ้วนยอมแพ้?


 “ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องถาม  ข้าตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว  รอให้ราชาลงมือทุบตี ข้าตั้งใจว่าจะจงรักภักดีกับเขาไปสักร้อยปี”  เจ้าอ้วนไห่พูดจริงจัง


 “ห้ามยอมแพ้!  เราไม่ยอมรับเจ้าสวะนี่!”  หัวหน้าหัวสิงห์นักสู้แดนสวรรค์โกรธ  เมื่อเจ้าอ้วนยอมแพ้  ก็จะไม่มีตัวประกัน แล้วเขาจะใช้ตัวประกันคุกคามเด็กหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ด้านตรงข้ามได้อย่างไร?


 “อ๊า…..”  เจ้าอ้วนหน้าโง่และเพิ่งเห็นความจริงว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ยอมแพ้?


ถ้าเปลี่ยนเป็นหัวหน้านักสู้จากแดนสวรรค์คนอื่นคงไม่รังเกียจที่จะยอมรับความน่าเชื่อถือนี้ มันยากที่จะมีการยอมแพ้ในหอทงเทียน!


ต้องรู้ว่าแม้ชาวชนบทของหอทงเทียนจะไม่แข็งแกร่งพอ อย่างไรก็ตามพวกเขามีอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาเคยอยู่ในหอทงเทียนมานาน คนหลายหมื่นคนถูกฆ่าตายทั้งก่อนและหลัง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายหรือทาส ไม่ว่าจะเป็นนักดาบหรือพลเรือน เขายังไม่เคยพบคนที่ยอมแพ้  ไม่ว่าตัวประกันที่ถูกจับจะหวาดกลัวและเจ็บปวดเพียงใด คนบ้านนอกพวกนี้จะยอมตายดีกว่ายอมแพ้ก้มหัวให้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนแก่หรือพวกคนพิการ พวกเขากระดูกแข็ง ทันทีที่ถูกจับได้ก็จะระเบิดตัวตาย ไม่เคยคิดจะหนีหรือรีรอ


อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ยุ่งเหยิงไปหมด และเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


การยอมแพ้ไม่สามารถยอมรับได้ชั่วคราว


ตอนแรกตามแผนการเดิม เจ้าอ้วนจะต้องถูกจับเป็นเชลยและตัวประกัน   และจากนั้นสหายของเขาก็จะถูกข่มขู่ และยังไม่สายเกินไปที่จะถามว่าเขาจะยอมจำนนหลังจากถามความจริงแล้วหรือไม่


หัวหน้าหัวสิงห์ยืนขึ้นและกระแอม  เขาหวังว่าบุรุษหนุ่มและหญิงสาวในฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้ยินเสียงการสนทนาของเจ้าอ้วน  มิฉะนั้นคงเป็นเรื่องยากจริงๆ  ตอนแรกเขาต้องปิดปากเจ้าอ้วน จากนั้นกระชากเจ้าอ้วนเข้ามาและตะโกนใส่คนร่างผอมตรงนั้น  “ฟังให้ดี  เจ้าอ้วนสหายของพวกเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้า ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมแพ้แต่โดยดี  พวกเราจะควักหัวใจและแล่เนื้อสหายของเจ้าโดยตรง  จงฟังให้ดี”


 “ข้าคิดว่าหมดสิ้นเจ้าอ้วนนี่ก็ดีเหมือนกัน”  สตรีร่างสูงถามความเห็นคนรอบๆ


 “เห็นด้วย”  พี่น้องฝาแฝดพูดตอบรับพร้อมกัน


 “ในเมื่อเขาตัดสินใจยอมแพ้ ก็ถือว่าเป็นคนทรยศ ถ้าเป็นคนทรยศดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเรา!”  บุรุษหนุ่มผู้สุภาพพูดเช่นนี้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย  ไม่มีเหตุผลที่อีกฝ่ายหนึ่งจะเอาคนทรยศน่าเกลียดชังมาข่มขู่ ทุกคนยังจะสู้อยู่ดี


 “เจ้าอ้วนกลายเป็นคนทรยศ เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเขา  วิธีเดียวที่จะใช้ได้ก็คือฆ่าเขาและข้าคิดว่าไม่ควรฆ่าแบบธรรมดา มันมีค่าน้อยเกินไปสำหรับเขา อาจจะทำให้เขาผิดหวัง ต้องเผาแล้วโยนเถ้าถ่านลงทะเลปล่อยให้กุ้งหอยปูปลากินเป็นอาหาร ให้กระดูกเขาหายไปตลอดกาลราวกับว่าไม่เคยเกิดมาก่อน!”  คนผอมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและโกรธยิ่งกว่าเดิม  “ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พอบรรเทาความเกลียดชังของข้าได้ ข้าจะต้องจับปลาและกุ้งเหล่านั้นออกมาทอดกินแล้วระบายออกมาเป็นอุจจาระ ให้เจ้าอ้วนได้อยู่ในสภาพอุจจาระเช่นนั้นตลอดไป  ข้าต้องการให้โลกได้ดูเอาไว้ นี่คือจุดจบของการเป็นคนทรยศ นี่คือจุดสิ้นสุดของคนโลภ ขลาดเขลากลัวตาย ยอมแพ้ต่อศัตรูเพื่อหวังความร่ำรวย!”


 “เจ้าพวกงี่เง่าพวกเจ้ายืนตรงพูดโดยไม่รู้จักปวดหลัง ถ้าเจ้าถูกจับได้แล้วมีงูใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้าเจ้าแทบจะเลียหน้าเจ้าถึง เจ้าคงจะยอมแพ้เร็วกว่าข้าคุณชายเสียอีก!  เจ้าสามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้เช่นเดียวกับข้าหรือเปล่า?  เจ้าคิดว่าสามารถเป็นวีรบุรุษได้โดยซ่อนอยู่หลังก้นใครบางคนหรือเปล่า?    ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะถูกจับได้  เจ้าจะต้องเรียกข้าเป็นลูกพี่  มิฉะนั้นเราคุณชายจะไม่มีทางยอมแพ้แน่!”  เจ้าอ้วนสบถคืน


 “ในฐานะคนทรยศ เจ้ายังกล้าทำหยิ่งอีกหรือ?”  คนผอมได้ยินก็ยิ่งโมโห ชูหมัดด่าทันที


 “หยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้!”  หัวหน้าหัวสิงห์ตวาดพลางทำหน้าดุ


เขายื่นมือ


และจับคนผอมและเจ้าอ้วนพร้อมกัน


เจ้าอ้วนเชื่อฟังว่าง่ายไม่เคลื่อนไหวทันที  และอ่อนน้อมซื่อสัตย์ยิ่งกว่าทาสที่บ้านเขาเสียอีก  ตรงกันข้ามกับคนร่างผอม แข็งกระด้างกว่า  เขาต่อยออกหมัดได้ไม่กี่ครั้ง แต่ยังคงดิ้นรนไม่หยุด  ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของคนผอมนี้อ่อนแอเกินไป อย่างนั้นเขากังวลจริงๆ ว่าจะไม่สามารถทนรับได้


หัวหน้าหัวสิงห์ลอบย่ามใจอยู่ลับๆ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงคำราม “ระวังการลอบโจมตี!”


เมื่อหันกลับไปเขาพบว่าบุรุษน้ำแข็งที่นั่งขัดสมาธิใช้สายฟ้าโจมตี


สายเกินกว่าจะหลบ เขาผลักเจ้าอ้วนออกมาข้างหน้า


และหมัดๆ หนึ่งเฉียดเขาไป


ชั้นของน้ำแข็งควบแน่นไปทั้งตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งแขนขวาของคนอ้วนลามไปทั้งร่างกลายเป็นน้ำแข็ง


ตรงกลางพื้นลำคอของหัวหน้าหัวสิงห์จากแดนสวรรค์มีโลหิตพุ่งออกมา พอเลือดกระเซ็นลงบนพื้นก็กลายเป็นเลือดน้ำแข็งทันที  ถ้าไม่ใช่เพราะสหายของเขาเตือนทันเวลาหัวหน้าหัวสิงห์สงสัยจริงๆ ว่าเขาคงจะถูกฆ่าตายในทันทีภายใต้การลงมือซ้ำของฝ่ายตรงข้าม หัวหน้าหัวแรดและหัวหน้าร่างเหมือนไม้ฟืนทั้งสองคนเดินโซเซไม่กี่ก้าวก็สีหน้าเปลี่ยนสีทันทีเมื่อเขาพบว่าบนพื้นกลายเป็นน้ำแข็ง


หัวหน้าหัวสิงห์รู้สึกมือว่างเปล่า คนผอมถูกบุรุษน้ำแข็งชิงตัวไปแล้ว


บุรุษน้ำแข็งทรงพลังมากไม่มีใครเปรียบติด


แต่ทุกคนมองเห็นได้ว่า


เจ้าเด็กนี่เป็นธนูที่เหนี่ยวสุดล้า… เขาต้องได้รับบาดเจ็บอย่างหนักมาก่อน และเขาใช้พลังนั้นชิงตัวคนผอมกลับไป  เขาใช้พลังมากเกินไป และคงทนได้นาทีกว่า  เขาเชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะพังทลายล้มลงกับพื้น


 “เฮอะ!”  เด็กหนุ่มน้ำแข็งยื่นมือเรียกคัมภีร์แพลตตินัมอย่างไม่เกรงกลัว นั่นแทบจะทำให้หัวหน้านักสู้แดนสวรรค์กลัวจนแทบปัสสาวะราด  โชคดีที่เจ้าเด็กนี่ได้รับบาดเจ็บหนัก  มิฉะนั้นเขาคงถูกฆ่าแน่  เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะพูดถึงรองเจ้าตำหนัก คาดว่าเจ้าเด็กผู้นี้คงเคลื่อนไหวลงมือ  และเมื่อครู่นี้ดูเหมือนพวกเขาพูดถึงรองเจ้าตำหนักในมิติทางผ่าน  ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่เรื่องโกหกหรือขู่เข็ญ บุรุษน้ำแข็งผู้นี้มีพลังอยู่จริง


 “กลับไปพัก ปรับตัวแล้วค่อยกวาดล้างโจรสุนัขเถอะ!”  สตรีร่างสูงกลับวงแหวนเงินคล้องคอและฮิปโปน้อย คนผอมและพี่น้องฝาแฝดและคุณชายผู้สูงศักดิ์ทุกคนเข้าไปในคัมภีร์แพลตตินัม


ก่อนที่บุรุษน้ำแข็งจะจากไปเขาใช้ดรรชนีต้องการกำจัดน้ำแข็งที่แช่แข็งเจ้าอ้วน


โชคดีที่สุนัขหางงูอยู่ข้างหน้าและพ่นไฟใส่


ต่อต้านลมน้ำแข็ง


สิ่งที่ทำให้คนที่อยู่ในกลุ่มประหลาดใจก็คือรูปแบบการสู้ที่ไม่คุ้นเคย  แม้จะมีกลุ่มเปลวไฟหนา แต่สุนัขหางงูก็ยังถูกแช่แข็งได้  ถ้าไม่ใช่เพราะหัวหน้าหัวแรดเข้ามาช่วยได้ทันเวลา คาดว่าสุนัขพลังปราณฟ้าระดับสามนี้จะต้องกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งแน่นอน


ถ้าบุรุษน้ำแข็งนั้นอยู่ในสภาพพร้อม อย่างนั้นทุกคนก็คงตาย


โชคดีมีเหตุผลที่ดีที่สุดสำหรับถอนตัวหนีในเวลานี้


ในที่สุดก็มีคนยอมจำนนกองทัพที่สู้กันอย่างยุติธรรม


ในที่สุดหัวหน้านักสู้แดนสวรรค์ก็นำทางหนีไป… แม้ว่าได้เจ้าขยะอ้วนที่มีพลังการต่อสู้ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี  และดีกว่าไม่ได้อะไรเลย!


ขณะที่หัวหน้านักสู้จากแดนสวรรค์เตรียมนำเจ้าอ้วนไห่กลับไปที่ค่ายลึกลับและรายงานขึ้นไป ทันใดนั้นมีกองกำลังใหญ่มาถึง หัวหน้าใหญ่ทั้งสามกลับลงไปยืนบนพื้นไม่ขยับแม้แต่เล็กน้อย


 “ข้ารู้แล้วว่า ข้าไม่สามารถหวังพึ่งพาพวกสวะได้  อย่างไรก็ตามข้าไม่คาดเลยว่าจะมีการจัดการไว้นับครั้งไม่ถ้วน  สรุปก็คือสถานการณ์ในระดับนี้ยังไม่สำเร็จจนได้  บางครั้งข้าก็อยากรู้ว่าสมองของเจ้าโง่พวกนี้มีอะไรอยู่บ้าง ทำไมพวกมันถึงได้โง่นัก?  พวกมันไม่ละอายหรือไงที่เป็นคนโง่  แต่ก็ยังคิดว่าตนเองฉลาด เก่งที่สุดในโลก  ข้านึกไม่ออกว่าทำไมโลกถึงมีคนแบบนี้  คนประเภทนี้ถ้ามีอยู่จริงในโลก นอกจากความน่ารำคาญแล้ว ยังมีคุณประโยชน์อันใดอีก”  ในบรรดาผู้ที่มาถึงสามคน คนหนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มร่างสูงหล่อเหลา  หากชาวโลกไม่เคยเห็นเทพ เพียงแต่เงยหน้ามองดูบุรุษหนุ่มนี้ ทุกคนอาจพบว่าความประพฤติของบุรุษหนุ่มนี้ มีมาตรฐานใกล้เคียงกับเทพเจ้า


 “ฝ่าบาท!”  หัวหน้าหัวสิงห์รอจนเห็นชัดเจนเขาตะลึงทันที


 “ไม่ โปรดอย่าเรียกข้าฝ่าบาท!”  บุรุษที่มองดูเหมือนเทพส่ายหน้าโบกมือพัลวัล “ข้าไม่มีบริวารอย่างพวกเจ้า ขืนมีคงเป็นเรื่องน่าอับอาย!  โง่ยิ่งกว่าหมูถึงหมื่นเท่ารู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่นข้าจะพบหน้าใครได้อีก  บางทีข้าอาจฆ่าตัวตาย ที่แย่ที่สุดก็คือทำให้ข้าเสียโฉมไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ยอมให้อภัยตนเอง ข้าส่งเจ้าให้มาที่นี่เพื่อตั้งค่าวงเวทรูนเพียงแค่ได้พบว่าพวกเจ้าเอาศัตรูกลับมา  พวกเจ้าโยนราชาทั้งสิบเข้าไปในกระแสวังวนมิติเวลา  ข้ากล้าบอกได้เลยว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อรับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าหลายร้อยเท่า แต่ปลอมตัวเป็นมนุษย์อ้วนแล้วคิดจะเอากลับไปที่ค่ายชั่วคราวทั้งที่เราควรจะทำลายทิ้งไม่ใช่หรือ?  ข้าเคยขอให้เจ้าทำอะไรเกินเลยนอกเหนือจากทำวงเวทรูน?  ไม่เลย!  ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเจ้าต้องมาช่วยข้าแก้ปัญหาที่พวกเจ้าไม่สามารถใช้หน่วยข่าวกรองแก้ได้?  ถ้าเจ้าไม่ทำอะไรให้มันใหญ่โตเพื่อข้าได้แล้ว อย่างน้อยช่วยให้ข้าสบายใจหน่อยได้ไหม?  เจ้าไม่เคยรู้ว่าหอทงเทียนมีผู้พิทักษ์กี่คนและน่ากลัวขนาดนี้ ด้วยสติปัญญาเจ้า  เจ้าไม่มีทางคิดออกเลยว่าทำไมสถานที่ชนบทจึงเต็มไปด้วยนักสู้ สามารถผลิตบุคลากรออกมาแข่งกับตำหนักกลางได้  พวกเจ้ามันไม่เข้าใจอะไรเลย ความจริงพวกเจ้าต้องช่วยข้าทำงาน ไม่ใช่แก้งานที่ควรทำให้ดี  ก่อนที่ข้าจะโกรธจนควบคุมตนเองไม่ได้ พวกเจ้ารีบไสหัวตัวเองไปทันทีเป็นการดีที่สุด และอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ฟังให้ดี อย่าให้ใครมามองข้าด้วยสายตางี่เง่าแบบนั้นอีก  และอย่ามาเรียกข้าด้วยคำว่าฝ่าบาทอีก  ฟังแล้วข้าพาลอยากอ้วก  ไสหัวไปได้แล้ว”


หัวหน้าหัวสิงห์ไม่มีเวลาได้ทันตั้งตัว เจ้าอ้วนที่ถูกแช่แข็งอยู่ด้านข้างเริ่มขยับตัว


เหมือนกับสายฟ้า


แต่


น่าเสียเสียดายที่ร่างทั้งสามเข้าขวางทางเจ้าอ้วนไวกว่าสายฟ้า


เพียงยกมือก็ยิงแสงทำลายล้างออกมา แรงระเบิดสั่นสะเทือนสะท้านโลกทำลายพื้นที่เกาะหายไปส่วนใหญ่เหลือแต่ความว่างเปล่า แม้แต่คลื่นใหญ่ด้านหลังก็ระเหยเป็นไอโดยตรงเห็นร่องลึกขนาดใหญ่ก่อนทะเลจะเข้ามาบรรจบคืนสภาพเดิมอีกครั้ง


สิ่งที่ทำให้หัวหน้าหัวสิงห์กับพวกหัวหน้านักสู้มองดูตาค้างก็คือ เจ้าอ้วนที่ดูเหมือนเศษสวะเมื่อครู่นี้


ยืนอยู่ตรงกลางพลังโจมตีได้อย่างไม่คาดคิด


ใช้เพียงสองมือ


ลำแสงทำลายล้างก็กระจายหายไป


พื้นที่ส่วนใหญ่ด้านหลังเจ้าอ้วนหายไปเหลือเพียงรอยฟันลึกเป็นเส้นยาวในหาดทราย  ปรากฏว่าเจ้าอ้วนเหมือนจะเดินออกมาจากลำแสง  ขณะเขาจามเสื้อคลุมด้านนอกก็สลายเป็นผุยผง ร่างของเขายืนเด่นเป็นสง่าราวกับเทพสงคราม


นี่ นี่คือเจ้าอ้วนน่าตายที่พึ่งร้องขอความเมตตาเมื่อครู่นี้หรือ?


ไม่มีทาง!


ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน!


ใบหน้าของหัวหน้าหัวสิงห์, หัวหน้าหัวแรด หัวหน้าท่อนฟืนมีแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด ความคิดของพวกเขาสับสนเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้


คนที่ยืนอยู่หน้าเจ้าอ้วนและเพิ่งใช้พลังไปเมื่อครู่นี้ก็คือบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง เขายิ้มเล็กน้อยด้วยท่าทางเหมือนเทพเจ้า  “ถ้าข้าคาดไม่ผิด เจ้าคือจ้าวปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ไห่ต้าฟู่อัจฉริยะอันดับสองแห่งหอทงเทียนใช่ไหม?”


เจ้าอ้วนหัวเราะทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “เจ้าบอกว่าข้าคุณชายเป็นอัจฉริยะอันดับสองของหอทงเทียน ข้าไม่คัดค้านอะไรนัก  เพราะในฐานะที่เป็นลูกพี่ ข้าย่อมส่งเสริมความมั่นใจให้กับรุ่นน้องอยู่แล้ว นั่นเป็นนิสัยพื้นฐานของข้าคุณชายที่ใจเปิดกว้าง ยอมรับ มีคุณธรรมและนอบน้อมถ่อมตน  แต่ที่เจ้าเรียกว่าจ้าวปีศาจนั่น ผิดอย่างแน่นอน ชายหนุ่มรูปงามหล่อเหลาอย่างข้า นอกจากจะมีชื่ออย่างเหมาะสมอย่างเช่นมังกรหน้าหยก ทำนองนี้ ชื่ออื่นๆ มันดูไร้ความหมาย มิฉะนั้นพบกับเจ้าครั้งแรกก็คงจะดูสุภาพกว่านี้  ข้าขอร้องว่าเจ้าอย่าได้ใส่ร้ายข้าในครั้งต่อไปอีก ความซื่อสัตย์ก็ส่วนความซื่อสัตย์ เจ้าอิจฉาคนรูปหล่ออย่างข้า ถึงได้ใช้คำพูดเรียกข้าเสียหายอย่างนั้นใช่ไหม?  อันที่จริงข้าฝึกฝนฝีมือมาก็วางตัวไม่ให้โดดเด่นอยู่แล้ว ไม่ทำตัวให้ดีเกินไป โดดเด่นเกินไป ถ้าไม่เชื่อเจ้าไปถามใครดูก็ได้  แม้ว่าข้าคุณชายไห่จะอยู่ในหอทงเทียนที่ซึ่งผู้คนชื่นชอบยานพาหนะ แต่ข้าก็ชอบแสวงหาความดีงามเงียบๆ หากเจ้าไม่เชื่อลองให้ข้าแทงเจ้าสักสองดาบ เจ้าจะได้เข้าใจข้าได้อย่างชัดเจนทันที”


 “….” ฝ่ายตรงข้ามทั้งสามยืนฟังโดยไม่รู้ตัวว่าเจ้าอ้วนผู้นี้ไร้ยางอายแค่ไหน


พวกเขาไม่คุ้นชินกับความบ้าบอของเจ้าอ้วนผู้นี้


ด้านซ้ายของบุรุษหนุ่ม มีชายวัยกลางคนท่าทางอารมณ์เหมือนนักประพันธ์ เขาอดพูดไม่ได้  “นี่คือสิ่งที่คุณชายสามของเจ้าพูดไว้ใช่ไหม?”


ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็อาจจะหน้าแดงด้วยความละอาย  แต่เจ้าอ้วนไห่เชิดหน้า  เขาถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่และโบกมือ  “คำพูดที่น่าซาบซึ้งของเจ้าเด็กนั่น เป็นข้าลูกพี่สอนเขาเอง!”


อยู่ต่อหน้าคนหน้าด้านใครจะทำอะไรได้


ตอนที่  1221  ความฝัน!


“อ๊า…..”  เย่ว์หยางสะดุ้งตื่นจากฝันลุกขึ้นนั่ง


 


“เกิดอะไรขึ้น” ไห่หลานกำลังหลับและตื่นขึ้น ถามเขาด้วยอาการเกียจคร้านเล็กน้อย


“ข้าฝัน”  เย่ว์หยางพยายามระลึก แต่เขารู้สึกได้ว่าเป็นฝันที่ชัดเจนมาก หลังจากตื่นขึ้น เขาจำอะไรไม่ได้เลย เขาขมวดคิ้ว  “ในฝันของข้า ดูเหมือนข้ากลับไปที่หอทงเทียน ไม่, ดูเหมือนว่ามีเสียง  จากนั้นข้ากลับไปหอทงเทียน…  บางทีเป็นเสียงเรียกให้กลับไปหอทงเทียน ข้ารู้ว่าเป็นฝันที่ชัดเจน แต่เมื่อตื่นขึ้น ข้ากลับลืมได้อย่างไร?”


“พักก่อนเถอะ”  ไห่หลานเดาว่าบางทีอาจมีสาเหตุมาจากการต่อสู้ที่หนักหน่วงก่อนหน้านี้ รวมทั้งแรงกดดันยิ่งใหญ่จากเทพปีศาจเว่ยกวง ดังนั้นนางปลอบโยนเย่ว์หยาง  “พักก่อนเถอะ เจ้าปรับตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้  เราจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่!”


“แต่ข้า…”  เย่ว์หยางรู้สึกว่าไม่สามารถพูดออกไปได้  ดูเหมือนมีบางอย่างที่เขาจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง  แต่เขากลับลืมไป


หลังจากมึนงงเขาไตร่ตรองเป็นร้อยครั้งเด็กหนุ่มข้ามโลกจึงหลับได้อีกครั้ง


ในความฝัน เขายังคงรู้สึกได้ถึงเสียงๆ หนึ่ง


ร้องเรียกตัวเขาจากดินแดนห่างไกล


เขาค้นหาโดยตลอด


เขาต้องการดูว่าใครกำลังเรียกเขา  แต่เขาไม่สามารถค้นหาร่องรอยพบเจอ


รอจนเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง ยังมีความสับสนอยู่ในจิตสำนึกของเขาเล็กน้อย   แต่เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วจนคนที่อยู่รอบด้านตกใจ ขณะนั้นไม่ทราบว่ามีคนรายล้อมอยู่เต็มตั้งแต่เมื่อใด อู๋เหิน เย่ว์หวี่ จุ้ยมาวอี้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน รวมทั้งนางเซียนหงส์ฟ้าและราชันย์ปีศาจใต้ พวกนางนั่งพร้อมหน้าอยู่ที่หน้าเตียง ทุกคนมองเขาตาไม่กระพริบจนเด็กหนุ่มข้ามโลกรู้สึกอาย


เพราะก่อนเข้านอนเขามีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาทั่วไป จึงทำให้ตอนนี้เย่ว์หยางอยู่สภาพเปลือย


โชคดีที่ยังมีผ้าห่มบางๆ คลุมตัว


มิฉะนั้นภายใต้สายตาผู้คนมองดู เย่ว์หยางคงต้องแทรกแผ่นดินหนีเป็นแน่


“ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่กันที่นี่?”  เย่ว์หยางรีบเอาผ้าห่มคลุมตัวก่อนที่ราชันย์ปีศาจใต้และนางเซียนหงส์ฟ้าจะมีโอกาสแกล้งลากออกไป


“ไห่หลานบอกว่าเจ้ากระสับกระส่ายและกระวนกระวายใจฝันร้ายเสมอ นางห่วงเจ้ามาก ดังนั้นเราจึงมาเยี่ยมชมดู”  อู๋เหินผู้อ่อนโยนที่สุดไม่เพียงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้เย่ว์หยางเท่านั้น แต่นางชงชาให้เขาดื่มแก้กระหาย


“ก็แค่ฝัน!” เย่ว์หยางทำเป็นจิบชาอย่างสบายๆ


“แต่เจ้าฝันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม และดูเหมือนว่าจะรู้สึกเจ็บปวดมาก  เจ้าพูดถึงเรื่องความฝันแต่เราไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร  ข้าได้ยินว่าเป็นไฟสงคราม และใครที่เจ้ากำลังต่อสู้ในความฝันกันแน่?”  จุ้ยมาวอวี้ถามอย่างงงงวย เดิมทีทุกคนมีสายแพรเชื่อมใจและใจสองดวงเหมือนกับเป็นดวงเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่านี่เป็นความฝันที่แปลก ไม่มีทางรู้สึกถึงได้  พวกนางรู้สึกสับสนและกังวลห่วงใยเย่ว์หยาง ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในความฝันของเขา


“ข้า….”  เย่ว์หยางจำได้ว่าเขาพบว่าตนเองอยู่ในโลกแห่งความฝันที่ชัดเจน แต่แล้วก็กลับลืมไปอีกครั้ง  เขาต้องการจะจำเรื่องสำคัญบางอย่างจริงจัง และราวกับว่าต้องการกระตุ้นตนเองในความฝันให้จดจำสิ่งนั้นไว้ แต่แล้วเมื่อเขาตื่นขึ้น เขากลับลืมไปโดยสิ้นเชิง


“อี้หนานไม่ได้อยู่ที่นั่น มิฉะนั้นนางอาจรู้ได้บ้างด้วยกระจกวิญญาณ”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนต้องการพูดถึงเรื่องเสวี่ยอู๋เสีย  ถ้านางมีคัมภีร์แห่งสัจจะและสามารถสื่อสารทางจิตได้กับเย่ว์หยาง นางคงจะค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะอาการตอบสนองที่ผิดปกติของเย่ว์หยางทำให้ทุกคนสงสัย หรือว่าจะเป็นผลจากเทพปีศาจเว่ยกวง?


หรือว่าเทพปีศาจเว่ยกวงกำลังส่งผลบางอย่างต่อเย่ว์หยาง?


ถ้ามันส่งผลถึงสถานะของเย่ว์หยาง


อย่างนั้นเทพปีศาจเว่ยกวงจะต้องได้ประโยชน์ในการต่อสู้ใหญ่ครั้งต่อไปอย่างมิต้องสงสัย


มีเพียงจุดเดียวที่น่าสงสัยก็คือเทพปีศาจเว่ยกวงมีอิทธิพลต่อเย่ว์หยางอย่างไร?  เย่ว์หยางอยู่ในโลกคัมภีร์ของตนเอง ทั้งยังเข้าไปในโลกคัมภีร์ของไห่หลานอีกชั้นหนึ่ง ต่อให้เทพปีศาจเว่ยกวงแข็งแกร่งมากกว่า เขาไม่สามารถส่งผลต่อคนอื่นที่อยู่ในโลกคัมภีร์ได้ไม่ใช่หรือ?  นั่นเป็นกฎสวรรค์โบราณที่นักสู้ระดับเทพไม่อาจมีอิทธิพลเหนือได้  บางทีอาจเป็นเทพโบราณจึงจะทำลายกฎและเปลี่ยนแปลงกฎได้!


ถ้าไม่ใช่เทพปีศาจเว่ยกวงแล้ว อย่างนั้นจะเป็นใครไปได้?


ใครที่สามารถแทรกแซงจิตใจของเย่ว์หยางนักสู้ระดับกึ่งเทพให้ตื่นในความฝัน และอยู่ในฝันร้ายได้?


ทุกคนตกอยู่ในอาการครุ่นคิด แผนเดิมของเย่ว์หยางที่ต้องการสร้างร่างกายสมบูรณ์ให้ชิงผิงถูกขัดจังหวะ โชคดีที่ชิงผิงยังอยู่ในช่วงนอนจำศีลอยู่ในหอยมุกอย่างสงบ มิฉะนั้นนางคงจะผิดหวังมาก


เพราะนางมองหาทางที่จะกลับไปอยู่กับตัวลามกใหญ่ในหัวใจนาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะชะเง้อคอรอคอยนานเพียงไหน


“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าจะต้องฆ่าเทพปีศาจเว่ยกวงให้ได้อยู่แล้ว!”  เย่ว์หยางไม่ยอมให้เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตวิญญาณนักสู้ของเขา


การเก็บเกี่ยวผลในมิติดินแดนฝึกฝนไม่ได้อยู่ในเส้นทางหาคัมภีร์เทพ


นั่นไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของเขา


สมบัติเทพมักจะเลือกเจ้าของและเจ้านาย


คัมภีร์เทพก็เป็นเช่นนั้น ชาวโลกไม่สามารถจะเรียกร้องได้


ผลเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเย่ว์หยางคือทุกครั้งที่เขาสามารถผ่านด่านแต่ละด่านตั้งแต่ด่านที่สี่ไปจนถึงด่านที่เจ็ดด่านหุบเขามนุษย์  ในแต่ละด่านระดับจะได้รับประสบการณ์ชีวิตและความรู้สึกของชีวิตในระดับที่แตกต่างกัน ในเวลาเดียวกันสิ่งที่สร้างอิทธิพลให้เขามากที่สุดโดยที่เขาไม่รู้ตัวก็คือการเรียนรู้การสร้าง ทำลาย และความนิรันดรที่เขาได้รับรู้ในโลกไร้ที่สิ้นสุดของคัมภีร์เงินจากเทวทูตสามสาว  พวกนางทำให้เย่ว์หยางรู้แจ้งและบอกความจริงเกี่ยวกับการสร้าง ทำลายและความนิรันดรที่แท้จริงกับเขา   นักรบที่ไม่เข้าใจความจริงนี้มีแม้ในทุกระดับ  แม้กระทั่งในระดับเทพความเข้าใจแตกต่างกัน พลังก็ต่างกันเหมือนกับธุลีในความว่างเปล่าสับสนผ่านเวลามาเนิ่นนาน ไม่ควรแก่การเอ่ยอ้าง


นอกจากนี้ความรู้แจ้งของเขายังมีควบคู่ไปกับคำแนะนำของเทพธิดากระบี่ฟ้าซึ่งมีมาพร้อมกับความเข้าใจบรรลุความก้าวหน้าขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน


เย่ว์หยางอยู่ในระดับนักสู้กึ่งเทพ แต่พลังเจตจำนงของเขาอยู่ระดับเดียวกับชั้นเทพ ระดับพลังจึงมิอาจระบุได้


การฆ่าบุรุษลึกลับผู้แข็งแกร่งอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน


คนลึกลับผู้นี้เป็นคนในยุคเดียวกับเทียนอี้เจ้าตำหนักสูงสุดแห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่จีอู๋ลี่ก็ยังได้แต่ต่อสู้เหมือนสุนัขจนตรอกเมื่อสู้กับเขา แน่นอนว่าการฆ่าคนลึกลับผู้นี้ได้ เย่ว์หยางไม่คิดว่าเป็นพลังของเขาที่สามารถควบคุมได้จริงๆ  ส่วนใหญ่อาศัยไพ่ชะตา โดยเฉพาะพลังของยักษ์เทพชะตา


ความจริงยังเร็วเกินไปที่จะท้าสู้เสี่ยงตายกับเทพสงคราม อย่าว่าแต่ฆ่าเขาเลย


การต่อสู้ที่หนักหน่วงคราวนี้ทำให้เย่ว์หยางตระหนักถึงระยะห่างระหว่างเขาและเทพอมตะจริงๆ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังสร้าง พลังทำลาย พลังนิรันดร สามเรื่องที่เทวทูตสามสาวคิด ขนาดมังกรปีศาจทั้งสามนางยังคิดว่าเขาโง่ด้วยซ้ำ  ถ้าเป็นตงฟางแห่งตำหนักใหญ่ หรือเทียนอี้เจ้าตำหนักสูงสุดเล่า แม้กระทั่งจักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อที่ยังคงถูกผนึกไว้ และเทพปีศาจเว่ยกวงที่เตรียมพร้อมออกมาต่อสู้… ฯลฯ   เดี๋ยวก่อน คนเก่าแก่เหล่านี้มีทั้งศัตรูและมิตรสหาย คนแปลกหน้าที่คุกคาม ศัตรูเบื้องหน้าหรือเป้าหมายในอนาคต  เย่ว์หยางยังไม่สามารถเอาชนะได้ในบัดนี้!


ถ้าเขาต้องการจะไล่ตามสหายเก่าแก่เหล่านี้ให้ทันและท้าทายพวกเขา  อย่างนั้นเขาต้องใช้เวลาฝึกฝนให้มากขึ้น!


“เริ่มการฝึกได้, ข้าจะลงมือกับเจ้าก่อน!”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเย่ว์หยางตีก้นนางทำให้นางขายหน้า  ตอนนี้นางมองดูเย่ว์หยางที่มีจิตวิญญาณพร้อมแต่สู้  มองผิวเผินนางไม่พูดอะไร แต่นางเห็นด้วยในใจอย่างแน่นอน บุรุษผู้นี้จะไม่ยอมถอยและจะท้าทายสู้กับสุดยอดวิทยายุทธ สู้ด้วยขวัญกล้าเทียมฟ้า นั่นคือสิ่งที่นางยินดีที่สุด และขณะเดียวกัน เป็นสิ่งที่นางภูมิใจอย่างที่สุดในชีวิตของนาง


“ก็ได้!”  เย่ว์หยางกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น และมีความมั่นใจอย่างมาก


เขาลืมตัวไปว่าตอนนี้เขากำลังเปลือยร่างอยู่


พอเขากระโดดขึ้น


ร่างกายจึงไม่มีสิ่งใดบดบังแม้แต่น้อย


จุ้ยมาวอี้ตกตะลึง ราชันย์ปีศาจใต้ปิดปากหัวเราะ นางเซียนหงส์ฟ้ายกนิ้วให้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผละออกห่าง นางพูดไม่ออก เย่ว์หวี่กุมขมับปวดหัวกับน้องชายนาง นี่ไม่ใช่ครั้งแรก… หลิวเย่นั่งอยู่ที่มุมห้องหน้าแดงด้วยความอายนางใช้มือปิดหน้าไม่กล้ามองดู  เซี่ยอีนั่งอย่างสงบฟังเรื่องราวฝันร้ายของเย่ว์หยาง  แต่ในตอนนี้นางปากอ้าค้างตะลึงอยู่นาน


นั่นไม่น่าแปลกใจ เพราะจากมุมมองของนางชัดเจนเกินไป


มีแต่อู๋เหินที่สุภาพอ่อนโยนที่สุดและสาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์ที่อยู่ใกล้นางไม่ลืมใช้ผ้าห่มคลุมตัวเขาทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย


หอทงเทียน


วังเทียนหลัว ชั้นที่หนึ่ง ทวีปมังกรทะยาน


ไม่มีทหารยามเฝ้าประตูวังให้เห็น แม้แต่แม่ทัพเฉียนมู่ผู้ซื่อสัตย์และระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่มากที่สุดก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จนกระทั่งหญิงสาวเจ้าหน้าที่หน้าห้องเตรียมจะออกไปกินข้าว นางพบว่ามีคนแปลกหน้าสองคน ไม่รู้ว่าพวกเขามายืนอยู่นอกห้องโถงตั้งแต่เมื่อใด ในสถานที่แห่งนี้ แม้แต่เย่ว์หยางคุณชายสามตระกูลเย่ว์ที่รู้จักคุ้นเคยกันดีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า แต่ในวันนี้มีคนแปลกหน้ามาถึงอย่างไม่คาดคิดเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่วังผู้นี้คาดหมาย


คนแปลกหน้าสองคนสามารถปกปิดองครักษ์วังแม่ทัพเฉียนมู่ลอบเข้ามาในวังได้ และมาถึงห้องโถงประทับของฝ่าบาทโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น


เป็นไปไม่ได้ที่คนผู้นี้จะอ่อนแอ


ในฐานะนางกำนัลประจำวังทำหน้าที่สนองงานฝ่าบาท นางได้รับการศึกษาดีที่สุดในโลก


หลังจากตกใจ นางไม่ได้ตะโกนใส่หน้ามือสังหารแต่รีบกลับไปหาองครักษ์คุ้มกัน แต่นางกลับยิ้มอย่างสุภาพ ขณะเดียวกันนางไม่ลืมหน้าที่หลัก แจ้งข่าวกับฝ่าบาท


นางรีบปล่อยคนทั้งสองซึ่งไม่รู้ว่าเป็นนักฆ่าหรืออาคันตุกะและแยกจากไปอย่างสงบ


ในเวลานี้ในที่ห่างไกลออกไปจากตำหนัก


พวกเขาไม่ตื่นตระหนกหลังจากสะดุ้ง ก็ให้คำตอบเหมือนนางกำนัลก่อนหน้านั้น และดูเหมือนคนแปลกหน้าทั้งสองคนจะไม่สนใจ และเดินหน้าต่อ


“ท่านชุนหวี  ข้าเห็นภาพนี้ รู้สึกว่านางกำนัลทั้งสองเรียนรู้และก้าวหน้าได้ดีไม่ทราบว่าพวกเขาดูแลกันอย่างไร?  มีธรรมเนียม มารยาทอะไร? มีแนวคิดอย่างไร? นี่คือ.. ข้าคิดว่าในโลกนี้มีเพียงที่นี่มีเพียงเด็กสาวพวกนี้ที่พอเอ่ยอ้างได้!”  คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเล็กน้อยเป็นบุรุษวัยกลางคนในชุดคลุมขาว คนผู้นี้มีบุคลิกสง่างาม  ดูจากภาพรวมดูเหมือนเป็นบัณฑิตทรงภูมิรู้หรือนักกวี ดวงตาที่ลึกซึ้งทอประกายปัญญาที่คลุมเครือ ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไป  แม้แต่คนมีชื่อเสียงในโลกถ้าเห็นดวงตาเหล่านี้เชื่อว่า คงอดละอายใจไม่ได้


มองดูเหมือนไม่มีพลังยุทธ์ใดๆ แต่ดวงตาของเขาสามารถทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่าเขาทรงพลังที่สุดในโลก


ความรู้และภูมิปัญญาที่เหนือกว่าทุกอย่าง


นอกจากนี้บัณฑิตปราชญ์ผู้นี้


ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้


แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างบัณฑิตวัยกลางคนนี้ เป็นชายชราที่ทรงภูมิรู้ แต่เนื่องจากเขายืนอยู่ข้างบัณฑิตวัยกลางคนที่เป็นเหมือนดวงจันทร์ทอแสง เขาจึงเหมือนกับดวงดาวที่อับแสงทันที


ภูมิปัญญาแบบนี้ไม่เพียงแต่ภูมิรู้เท่านั้น แต่ยังคงเป็นพลังอีกด้วย


มีพลังอยู่ในหีบ โลกก็เหมือนอยู่ในหีบไปด้วย


“สองท่านเดินทางไกลหลายพันไมล์ จะคุยกันแต่เรื่องหญิงรับใช้ของข้าเท่านั้นหรือ?”  เสียงของจักรพรรดิดังเหมือนความฝัน เหมือนน้ำพุฤดูใบไม้ผลิ


“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่มาเพราะเรื่องนี้”  ชายชราหน้าทารกที่ถูกเรียกว่าชุนหวีหัวเราะอารมณ์ดี  “ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทเก่งในทางสร้างฝันและภาพลวงตา เราผู้ชราก็เป็นนักฝันเช่นกัน  ข้ามีใจคิดจะสนทนากับฝ่าบาท อยากให้ฝ่าบาทให้คำแนะนำข้าด้วย!”


ตอนที่  1222  ข้าคือเทพ!


 


 “พูดคุยเรื่องฝันหรือ?”  เสียงของจักรพรรดิเทียนหลัวเหมือนไม่พอใจแต่ชัดเจนราวกับสายน้ำในลำธาร  “เล่าเรื่องให้ข้าฟังก่อนดีกว่า!”


 


 “ฮ่าฮ่าฮ่า เล่าเรื่องหรือ ได้ ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะจะเล่าเรื่อง!”  ผู้ชื่อชุนหวีเฒ่าหน้าทารกหัวเราะและเหยียดแขนกล่าว  “สามารถฟังเรื่องเล่าจากฝ่าบาทในอีกมุมมองหนึ่ง นับว่าโชคดี เราผู้เฒ่าเดินทางมาครั้งนี้คุ้มค่านัก!”


 


บัณฑิตวัยกลางคนประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาสงบใจได้ทันที


 


เขายังคงไพล่มือไว้ข้างหลัง


 


ยืนนิ่งเงียบ


 


เหมือนกับว่าตั้งใจฟังเรื่องราวจากจักรพรรดิเทียนหลัวหัวซิ่วรี่


 


จักรพรรดิดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเสียงหัวเราะเสียดสีของชุนหวี ยังคงเฉยเมยเหมือนผิวน้ำทะเลสาบราบเรียบดุจกระจก  “มีเด็กคนหนึ่งเล่าเรื่องราวนี้ให้ข้าฟัง กล่าวอีกนัยหนึ่งว่านักฝันที่ดีมักจะฝันและฝันว่าสักวันเขาจะทำให้เป็นจริงได้  อยู่มาวันหนึ่งเขาเมาแล้วนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสภาพมึนงง เทวทูตสองคนลงมาหาเขาเชื้อเชิญเขาให้มาเยี่ยมชมดินแดนแห่งหนึ่ง  สิ่งที่เขาได้เห็นได้ยินปรากฏว่า ประเทศนี้เล็กและด้อยยิ่งกว่าที่เขาอยู่ เขามีความรู้สึกว่าเหนือกว่า ในระหว่างคัดเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ในประเทศใหญ่นี้ คนผู้นี้ได้เข้าร่วมสมัครคัดเลือกด้วย  และพบว่าไม่ยากเลย ในที่สุดเขาสามารถผ่านการทดสอบทั้งสามรอบ เป็นเลิศในระดับมัธยมปลาย ราชาที่นี่เห็นว่าคนผู้โดดเด่นเป็นพิเศษจึงพระราชทานองค์หญิงให้อภิเษกสมรสด้วยพระองค์เอง”


 


 “ชีวิตที่น่าภูมิใจ ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง คนผู้นี้มีความสุขเกินจินตนาการ แต่ข้าไม่รู้วัตถุประสงค์ของฝ่าบาทว่าเล่าเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร?”  ชุนหวีเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจฟัง


 


 “……”  บุรุษวัยกลางคนขมวดคิ้วเช่นกัน


 


 “เรื่องนี้ยังไม่จบ!”  หัวซิ่วรี่ถอนหายใจเล็กน้อยจากนั้นพูดต่อ  “คนผู้นี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าครองแคว้น เขามีความขยัน รักในผู้คนสัตย์ซื่อถือมั่น ได้รับความเคารพนับถือจากปวงประชาราษฎร์ เขามีลูกชายหญิงหลายคน ไม่ขาดแคลนผู้รับช่วงต่อจากเขา ถ้าเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ท่านทั้งสองคงฟังได้ไม่พอ มิทราบว่าสองท่านเต็มใจจะฟังต่อหรือไม่?”


 


 “กล่าวได้ว่าเราผู้เฒ่ากำลังจะฟังตอนจบ” ชุนหวีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี  “เราผู้เฒ่ารู้ว่ามีจุดเปลี่ยนในเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่า ฝ่าบาทจะบิดเบือนไปตรงไหนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


บัณฑิตวัยกลางคนไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาทอประกายปัญญา และดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจ


 


หัวซิ่วรี่ไม่ได้หวั่นไหวในคำพูดของชุนหวี เขายังคงเล่าเรื่องต่อไปเหมือนสายน้ำที่หยุดไม่ได้  “เมื่อคนผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่รู้จักเวลา ประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงได้ส่งกองทัพเข้าโจมตี  ภายใต้สงครามครั้งที่หนึ่ง ไม่มีกำลังเพียงพอต่อต้าน ศัตรูแข็งแกร่ง ไม่มีใครต่อต้านเปรียบติด!”


 


ชุนหวีหัวเราะลั่น  “ในกรณีเช่นนี้ทำไมไม่ส่งเจ้าแคว้นผู้มีพรสวรรค์นั้นไปนำทัพเล่า?”


 


หัวซิ่วรี่หัวเราะด้วยความภูมิใจจากนั้นพูดต่อ “เป็นที่น่าเสียดายที่เขาไม่เข้าใจศิลปะในการทำสงคราม แม้ว่าเขาจะกล้าหาญก็ตาม ในท้ายที่สุดเกิดการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก  กองทัพถูกทำลาย”  ชุนหวีได้ฟังก็หัวเราะทันที ส่วนบัณฑิตวัยกลางคนเลิกคิ้วราวกับว่าเขาคิดออกแล้วทำไมหัวซิ่วรี่ถึงพูดเช่นนั้น  หัวซิ่วรี่หยุดเล็กน้อยและกล่าวต่อ  “คนผู้นี้พ่ายแพ้ระหกระเหินออกจากบ้าน เขาต้องการให้ภรรยาของเขาขอร้องราชา  ใครจะคิดกันเล่าว่าภรรยาของเขาเป็นโรคร้ายเสียชีวิต  เขาได้แต่กลับไปเมืองหลวงยอมรับผิด  พระราชากริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่งเป็นสามัญชน และเนรเทศเขาพร้อมกับบุตรธิดาที่เกิดแต่องค์หญิงออกไปจากแคว้นไม่ยอมให้ทำงานอีกตลอดไป”


 


ชุนหวีได้ยินแล้วรู้สึกจืดชืดไร้เรื่องราว


 


ในใจของเขาต้องการปฏิเสธอยู่สองสามคำ


 


แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร


 


บัณฑิตวัยกลางคนมองผิวเผินไม่พูดอะไร แต่การแสดงออกเหมือนกันคาดการณ์ไว้นานแล้ว


 


ขณะที่ทั้งสองคนอึดอัดพูดไม่ออก หัวซิ่วรี่พูดขึ้นอีกครั้ง  “เรื่องนี้ยังไม่จบแบบนี้  คนผู้นั้นถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดเดิม เขารู้สึกละอายใจต้องสะดุ้งตะโกนผวาตื่นจากฝัน  เขาพบว่าเป็นเพียงความฝัน ยังดีที่โชคร้ายนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เขาพยายามมองหาอย่างระมัดระวังก็พบรังมดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในทุ่งนั้น”


 


 “แค่กๆๆๆๆ!”  ชุนหวีฟังเรื่องราวจบไอจนหน้าแดงทันที


 


 “การรู้แจ้งของฝ่าบาทเป็นการกระตุ้นการตื่นรู้ที่ดีจริงๆ โลกนี้อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งมีความสุข  และความสุขนั้นก็เหมือนกับเมฆที่ล่องลอย จากนั้นก็อาจหายไปในพริบตาได้  แต่ละคนต่างต้องการบรรลุความสำเร็จยิ่งใหญ่  แต่ในความเป็นจริงไม่มีอะไรมากไปกว่ามดเมื่อเทียบเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุดและมิติพื้นที่ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด  เมื่อเทียบกับมหาเทพโบราณที่มีอำนาจทุกอย่าง การต่อสู้ของเราเป็นการต่อสู้ของมดที่ไร้สาระ  แต่น่าเสียดายที่จะมีสักกี่คนในโลกมองได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนฝ่าบาทเล่า?”  บัณฑิตวัยกลางคนตอนแรกฟังดูแล้วประหลาดใจอึ้ง จากนั้นก็ปรบมือหัวเราะ


 


 “เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟาง ท่านเป็นผู้ฉลาดอันดับหนึ่งจากแดนสวรรค์ มีสติปัญญาเป็นเลิศทำไมถึงไม่เข้าใจ?”  จักรพรรดิหัวซิ่วรี่ถอนหายใจเบาๆ และถามเสียงอ่อนโยน


 


 “บางคนไม่มีความสนใจในรังมด  แต่บางคนก็ชอบค้นคว้าวิจัยรังมด”  บัณฑิตวัยกลางคนเหมือนจะบอกว่าเขาแตกต่างจากทุกคน


 


 “มดไม่เคยกัด แล้วทำไมต้องรบกวนมัน?”  หัวซิ่วรี่ถามอีกครั้ง


 


 “แม้ว่ามันจะไม่ได้กัดผู้คน แต่ข้าพบว่านี่เป็นฝันดีจริงๆ บางทีคนผู้นั้นไม่อาจทนรับเจ้าหญิงเป็นภรรยา ไม่อาจได้มีลูกๆ ในฝันและไม่อาจได้ทุกอย่างเป็นของเขาก็ได้” บัณฑิตวัยกลางคนหัวเราะและกล่าว


 


 “ทุกสิ่งทุกอย่างในความฝันนั้นดี  แต่ในที่สุดก็เป็นแค่เพียงฝัน” หัวซิ่วรี่พูดยังไม่ทันจบ ชายชราหน้าทารกชุนหวีขัดขึ้นทันที  “ฝ่าบาทพูดอย่างนี้ เราผู้ชราไม่เห็นด้วย นับแต่วันที่คิดฝัน ผู้คนก็ไล่ตามความฝัน ถ้าท่านสามารถทำความฝันให้สำเร็จได้ อย่างนั้นชีวิตก็จะมีความสุขที่สุดเป็นความรุ่งเรืองของชีวิต  สำหรับความผิดหวังที่เกิดขึ้นนั่นเป็นเพราะความสามารถ หากผู้คนในเรื่องนี้มีพลังอำนาจควบคุมกองทัพทั้งสามพวกเขาจะเอาชนะได้อย่างไร? แม้ว่าความฝันจะกลับมาอีกครั้ง ถ้าคนในเรื่องมีความสามารถได้เรียนรู้อย่างแท้จริง มีสนามให้ลงมือตามความเป็นจริง!  ความฝันที่ฝ่าบาทเพิ่งกล่าวถึงเมื่อครู่นี้เป็นเพียงความโศกเศร้าคร่ำครวญของผู้พ่ายแพ้บางคน  ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ล้วนสร้างขึ้นได้ ตราบใดที่ตั้งใจ ก็ทำฝันให้เป็นจริงได้  นี่คือข้อสรุปที่เราผู้ชรามีต่อการพูดถึงฝัน ฝ่าบาท! มิทราบว่าท่านจะคิดว่าอย่างไร?”


 


 “ข้าคิดว่าไม่สำคัญ แล้วเจ้าตำหนักตงฟางเล่า ท่านคิดประการใด?”


 


 “เงื่อนไขของสิ่งมีชีวิตในโลกนี้มีหลากหลาย บางคนก็คิดว่าฝัน บางคนก็คิดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพยายามของมนุษย์ ข้าทำอะไรตรงนี้ไม่ได้”  คำตอบของบัณฑิตวัยกลางคนไม่เปิดโอกาสแม้แต่จะให้น้ำรั่วหยดได้


 


 “ในกรณีนี้ ถ้าเป็นความฝันในปัจจุบันนี้ จะเป็นรองจากสองท่านตรงไหน?”  เสียงของจักรพรรดิเยือกเย็นได้ทันที และแฝงไปด้วยความรู้สึกที่เย็นชาเงียบสงบเหมือนหิมะและน้ำแข็งละลายทำให้เจ้าตำหนักตงฟางและชายชราหน้าทารกรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็น


 


พวกเขารู้ดีว่าวังเทียนหลัว และมิติลวงตานี้


 


ไม่ง่ายที่จะเข้ามา


 


เกรงว่าแม้แต่สามจอมภพแดนสวรรค์ในอดีตที่รุกรานหอทงเทียน มีเพียงจักรพรรดิอวี้ที่รับมือตามลำพัง เมื่อยอดฝีมือทั้งสี่เข่นฆ่าประหัตประหารกัน แผ่นดินเป็นสีดำท้องฟ้ามืดมิด หอทงเทียนเหมือนปราสาทที่ไม่มีการปกป้อง  นักสู้แดนสวรรค์ตะลึงและรอจนจักรพรรดิอวี้พ่ายแพ้ แต่ก่อนนั้นไม่มีใครกล้าย่างเท้าเข้าไปในวังเทียนหลัว ไม่มีใครกล้าเข้ามาในมิติลวงนี้


 


บัณฑิตวัยกลางคนคิดมานานหลายพันปี มองหามาหลายพันปี ในที่สุดก็พบคนที่ทำให้ความฝันเขาสำเร็จได้ ชุนหวี


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล้าเข้ามาในวังเทียนหลัว


 


แผ่นดินต้องห้าม


 


นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างยิ่งยวด… บางทีแม้ว่านักรบหอทงเทียนเองก็คงลืมเลือนไปแล้ว  แต่ในฐานะเจ้าตำหนักใหญ่ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อหอทงเทียนอย่างยิ่งยวดและเกลียดหอทงเทียนที่สุด บัณฑิตวัยกลางคนไม่มีวันลืมมิติลวงตาแห่งนี้


 


ในหอทงเทียน แดนนรก บันไดสวรรค์และทวีปมังกรทะยานตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง  แดนนรกหลังจากนางพญาผู้พิชิตถูกผนึกก็ตกต่ำดำดิ่งถึงที่สุด ยังไม่มีใครโดดเด่นขึ้นมาได้  แม้ว่าทวีปมังกรทะยานจะมีอัจฉริยะมากมายตั้งแต่หมื่นปีที่ผ่านมา แต่มีเพียงผู้เดียวที่น่ากลัวที่สุดสามารถทำให้แดนสวรรค์กลัวได้ นั่นคือจักรพรรดิอวี้  ถ้าไม่ใช่เพราะต่อเมื่อมีจักรพรรดิอวี้อีกคนหนึ่ง คุณชายสามตระกูลเย่ว์ก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหนือจินตนาการทั้งปวง ทวีปมังกรทะยานอาจตกต่ำดำดิ่งยิ่งกว่าแดนนรกเสียอีก


 


มีแต่บันไดสวรรค์เท่านั้น แม้ผ่านไปหมื่นปีถึงค่อยเริ่มตกต่ำบ้าง ผู้ปกครองยังคงมีอยู่ถึงทุกวันนี้


 


จักรพรรดิเทียนหลัวประทับอยู่ในวังเทียนหลัวไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยู่กับความฝันตลอดทั้งปี


 


ในมุมมองของนักสู้ตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์แดนสวรรค์ นี่คือผู้ที่อันตรายที่สุดในหอทงเทียน


 


ตราบใดที่คนผู้นี้ยังอยู่ที่นั่น คิดจะรุกรานหอทงเทียน นั่นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ


 


บัณฑิตวัยกลางคนใช้เวลาหลายพันปีได้ชุนหวีผู้เชี่ยวชาญในการทำลายความฝันลวงตาเข้าสู่วังเทียนหลัวได้ ตอนนี้เผชิญการตอบโต้จากจักรพรรดิเทียนหลัว เขามั่นใจเต็มร้อยจริงๆ หรือว่าจะทำลายและเอาชนะได้?  จุดนี้บัณฑิตวัยกลางคนไม่กล้ารับประกันแน่นอน!


 


ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชุนหวี


 


เขา


 


จะเป็นผู้ทำลายความฝันได้


 


ตราบใดที่ชุนหวีสามารถทำลายความฝันได้  ตราบนั้นจะสามารถทำลายหอทงเทียนได้อีกครั้ง!


 


นอกจากจักรพรรดิเทียนหลัวนี้แล้ว บัณฑิตวัยกลางคนไม่กังวลเกี่ยวกับคุณชายสามตระกูลเย่ว์หรือจื้อจุนชาวมนุษย์ที่เป็นดาวรุ่งยอดฝีมือของหอทงเทียน  ที่สำคัญอัจฉริยะยอดฝีมือรุ่นใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาเหล่านี้ยังอายุเยาว์โดดเด่นจนผู้เยาว์อื่นๆ ตามไม่ทัน  แม้ว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์และจื้อจุนชาวมนุษย์จะมีชื่อเสียงเข้ามาถึงหูเขาบ้าง แต่ในความเห็นของบัณฑิตวัยกลางคนมองว่าเป็นอุบัติเหตุ  เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครโดดเด่นในรอบหลายพันปี มีแต่จักรพรรดิเทียนหลัวนี้เท่านั้น  มีแต่ฝันของคนผู้นี้ที่ยังเป็นไปได้อยู่!


 


 “ฝ่าบาท เกี่ยวกับคำถามของท่าน”  ชุนหวีตื่นตัวภายในอย่างที่สุด แต่มองผิวเผินเขาหัวเราะอย่างสบายๆ  “คำตอบของเราผู้เฒ่า ถ้านี่เป็นความฝัน อย่างนั้นเราผู้เฒ่าก็จะทำให้เป็นจริง!  ถ้าเรื่องนี้เป็นความฝัน  เราผู้เฒ่าก็จะทำลายความฝันและเปลี่ยนทุกอย่างในฝันของเขาให้กลายเป็นความจริง!”


 


 “เจ้าไม่ใช่ข้า แต่ยังโอ้อวดอย่างไม่ละอายใจว่ากล้าเปลี่ยนความฝันข้าหรือ?”  หัวซิ่วรี่แค่นเสียง


 


 “ในความฝัน ข้าคือเทพเจ้า!”  ชุนหวีเต็มไปด้วยท่าทีหยิ่งยโส เขาชูมือขึ้นสูง ทั้งคนและโลกแตกกระจัดกระจาย  แสงรัศมีเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์สว่างไสวไปทุกอย่าง มีดังขึ้นให้ได้ยิน  “ข้าคือเทพ  เป็นเทพแห่งความฝัน!  ในความฝัน!  ข้าทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง!”


 


ชุนหวีโบกมือทั้งสองข้างในท้องฟ้า


 


เกิดกลุ่มเมฆมืดครึ้มนับไม่ถ้วนทันที


 


สายฟ้า อัสนีบาตสะท้านเลื่อนลั่น


 


ฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา


 


ชุนหวีคว่ำมือทั้งสองข้างลงพื้น เมื่อฝนตกลงมายังพื้น หยดน้ำพลันเปลี่ยนเป็นเปลวไฟเผาไหม้ทุกอย่าง เมื่อเฒ่าหน้าทารกประคองมือเสมออกเปลวไฟทั้งหมดเปลี่ยนเป็นดอกไม้ทันที!


 


 “ไม่ว่าจะเป็นใครในโลกความฝัน แต่ข้าเป็นพระเจ้า เป็นเจ้านาย ภายใต้เจตจำนงของข้า  ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้นามข้า ไม่มีการยกเว้น ไม่มีการปลดเปลื้องใดๆ ได้ ข้าคือเทพแห่งฝัน เจตจำนงของข้าคือทุกสิ่ง  ไม่ว่าใครก็ตามจะเชื่อฟังข้าหรือต่อต้านข้าโดยกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นผู้สร้างตามธรรมชาติหรือประดิษฐ์สิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นของเป็นหรือของตาย ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ชอบธรรมหรือผิดเพี้ยนใดๆ ที่เป็นอิสระจากโลก ไม่ว่าจะมีสติหรือไม่รู้สึกตัวก็ตาม ล้วนแต่อยู่ในความฝันของข้า อยู่ภายใต้การจัดการควบคุมของข้า”  เฒ่าหน้าทารกชุนหวีมีใบหน้าเป็นประกายผ่องใสเหมือนเทพเจ้า


 


 “จงบาน….”  เขาชี้ไปที่ดอกไม้ ดอกไม้ทั้งหมดก็บานสะพรั่ง


 


 “จงเหี่ยวเฉา…”


 


พอเขาชี้นิ้วอีกครั้ง  ดอกไม้ที่บานเต็มทั้งหมดก็เหี่ยวเฉาจนไม่เหลืออะไร


 


ชุนหวีมองขึ้นบนท้องฟ้าและดึงดูดดาวตกอุกกาบาตยักษ์ที่ทำลายโลกและสวรรค์  ขณะที่ดาวตกกำลังจะชนวังเทียนหลัว เขาเปลี่ยนมันให้เป็นกลีบดอกไม้ โปรยปรายร่วงหล่นสีสันราวกับโลหิต


 


ในที่สุดชุนหวีกำหมัดและพยักหน้าให้บัณฑิตวัยกลางคนอย่างมั่นใจ  “ไม่ว่าเป็นใครเมื่ออยู่ในความฝันนี้ ข้าเป็นเทพเจ้าของความฝันนี้  ที่นี่ข้าควบคุมมิติเวลา  ข้าสามารถสร้างและทำลายได้ สามารถทำทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นฝันอะไร ข้าสามารถทำลายด้วยฝันของข้า และเปลี่ยนมันให้เป็นความจริง!”


 


บัณฑิตวัยกลางคนขบกรามเล็กน้อย


 


การพยายามอย่างหนักหลายพันปี การเตรียมตัวมาหลายพันปีได้รับผลตอบแทนในที่สุด


 


แม้ว่าเวลาจะยาวนานสักเล็กน้อย แต่มิใช่ว่ายอมรับกันไม่ได้


 


เป็นที่น่ายินดีล่วงหน้าที่หอทงเทียนจะต้องถูกทำลาย  แต่ถ้าสามารถเตรียมการไปทีละขั้นๆ และผลักดันที่นี่ลงสู่ห้วงเหวที่มิอาจย้อนกลับ นั่นจะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา


 


บัณฑิตวัยกลางคนมีความคลายใจกับความฝันทุกประเภท


 


ที่สำคัญชุนหวีมีทักษะแฝงเร้นในการทำลายฝันที่ดีที่สุด เขามีความสามารถในการควบคุมความฝันทุกชนิด เขาเตรียมตัวมาหลายพันปี รอจนชุนหวีมีพลังถึงระดับสุดยอดเพื่อเอาชนะความฝันในวันนี้


 


หากไม่มีการเตรียมการมาหลายพันปี  เขาจะไม่คิดแน่นอนว่าชุนหวีจะสามารถปลดปล่อยพลานุภาพใดๆ เพื่อให้เข้ามาถึงวังเทียนหลัวได้  โชคดีที่ความอดทนหลายพันปีนี้ให้ผลตอบแทน


 


สิ่งเดียวที่บัณฑิตวัยกลางคนไม่สามารถเข้าใจได้ก็คือ


 


ทำไม?


 


ก่อนหน้านั้นจักรพรรดิเทียนหลัวถึงเล่าให้ฟังถึงความฝันของเขาอย่างสบายๆ?


 


 “ฝ่าบาท ท่านคิดว่ายังไง?”  บัณฑิตวัยกลางคนยังไม่พอใจ  อันที่จริงเขาจะยังไม่พอใจก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างบริบูรณ์


 


 “ฝันได้ไม่เลวเลย เมื่อเทียบกับฝันที่เพิ่งเล่าให้ฟังนี้”  หัวซิ่วรี่วิจารณ์ชุนหวีผู้ที่อ้างตัวเองว่าเป็นเทพแห่งความฝัน ทั้งคำพูดและการกระทำต่างๆ


 


 “เจ้าว่ายังไงนะ?”  ชุนหวีโกรธ


 


 “คำพูดของเด็กน้อยจอมโวเจ้าบ่นเพ้อเจ้อเปลืองน้ำลาย ข้าจะพักแล้ว ดังนั้นเจ้ายังจะออกไปไม่ได้”  หัวซิ่วรี่ตรัสเย็นชา  “ข้าคิดว่าพูดชัดเจนพอแล้ว”


ตอนที่  1223  ความฝันไม่รู้จบ


ชุนหวีทั้งอับอายและโกรธ เขาตวาดด้วยความโมโห


รอจนเขาสงบใจได้


 


เขาพบว่าตนเองยืนอยู่ตรงทางเข้าวังเทียนหลัว เหมือนเมื่อตอนขามาราวกับว่าไม่ได้ย่างเท้าเลยสักก้าว  นอกจากนี้เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางผู้อยู่ในชุดบัณฑิตวัยกลางคนก็ยังรู้สึกเหมือนเขา  ขณะเดียวกันทั้งสองคนมองหน้ากันเอง ไม่มีใครเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้เข้าวังเทียนหลัวอย่างสง่าผ่าเผยหรอกหรือ?   นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาในฝันซ้ำซ้อน เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?


ทหารรักษาทางเข้าวังเทียนหลัวยังคงยืนเฝ้ารักษาการณ์ราวกับว่าไม่เห็นอะไรที่ข้างหน้าพวกเขา


ขุนพลเฉียนมู่ที่ซื่อสัตย์ที่สุดยืนถือดาบในมือ


นิ่งไม่มีความเคลื่อนไหว


ในขณะนั้นมีนางกำนัลประจำวังคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน ทั้งชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางจำสตรีคนนี้ได้ นางสุภาพและมีมารยาทน่าชื่นชมเหมือนที่ได้พบก่อนหน้านั้น


นางกำนัลผู้เหมือนบัวแรกแย้มเดินมาถึงหน้าชุนหวีและเจ้าตำหนักตงฟาง ทั้งส่งเสียงเชิญอย่างมีมารยาท  “อาคันตุกะมาถึง ฝ่าบาทขอเชิญ”


คำนี้นางเพิ่งพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ? เห็นได้ชัดว่าเขายังเล่าเรื่องเสียดสีต่อว่า  ตอนนี้มันกลายเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?


ทุกอย่างเหมือนเหตุการณ์ก่อนฝันไม่ใช่หรือ?


เจ้าตำหนักตงฟางตื่นเต้นเล็กน้อย และก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกมา เขาถาม “เจ้าจะส่งอาหารให้ฝ่าบาทใช่ไหม?”


นางกำนัลน้อยได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยและไม่ตอบโดยตรง นางหยุดและหันกลับมาแสดงความคาราวะเล็กน้อยให้กับเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางก่อนลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อสายตาทั้งสองมองดูนาง พวกเขาเหลียวกลับมายังที่เดิมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าทั้งสองยืนอยู่ต่อหน้าหัวซิ่วรี่


มีนางกำนัลหญิงคนหนึ่งเดินออกมาอย่างกระตือรือร้น เป็นนางกำนัลที่ทำหน้าที่จัดกระยาหารถวาย


พอเห็นเจ้าตำหนักตงฟางและชุนหวี


ดูเหมือนว่านางจะผงะถอย


อย่างไรก็ตามนางสงบกิริยาได้ในเวลาอันรวดเร็วและทักทายพวกเขาอย่างนอบน้อมจากนั้นกลับไปจัดการอาหารต่อไป


ชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันร้าย  แต่หาไม่พบว่าเกิดอะไรขึ้น?


บางที…


พวกเขาทั้งสองหันกลับไปมองข้างหลังทันทีหลังจากได้ยินเสียงที่อยู่ด้านหลังพวกเขา


เมื่อมองแวบแรกทั้งสองไม่ได้เคลื่อนไหวก็แล้วไป ถ้าเคลื่อนไหวเหมือนมีแผ่นดินถล่มข้างหน้า ในที่สุดก็อดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้  เหตุผลเพราะชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครพูดถึง  “ชุนหวี เมื่อเห็นฉากภาพนี้ข้ารู้สึกว่านางกำนัลที่ตำหนักมีความรู้และพัฒนาก้าวหน้า  การศึกษานี้ทำได้ยังไง? มารยาทนี้คืออะไร? ความเอื้ออาทรนี้คืออะไร? จิตวิญญาณนี้คืออะไร?  ข้าคิดว่าในโลกนี้ยังมีเด็กผู้หญิงนี้หรือไม่!”


“สองท่านเดินทางมาไกลเป็นพันๆ ไมล์เพื่อพูดคุยเรื่องนางกำนัลของข้าหรือ?”  เสียงตำหนิของจักรพรรดิดังนั้น


“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เรามาเพื่อเรื่องนี้… เราผู้เฒ่าเป็นนักฝันที่ดีคนหนึ่ง ข้าเดินทางข้าโลกมาเพื่อสำรวจความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนธรรมดาสามัญที่สับสน แต่ขยันหมั่นเพียร โปรดแนะนำข้าด้วย!”  บุรุษชื่อชุนหวีกล่าว


ถ้าใช้มุมมองของอีกคนหนึ่งชุนหวีเห็นได้อย่างชัดเจน


เมื่อเขาพูดแบบนี้


ใบหน้าของตัวเขาเองนั้นมีความพึงพอใจ และพยายามยั่วยุ  การค้นพบนี้ทำให้ชุนหวีประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยพบว่าทัศนคติของเขาช่างหยิ่งยโส ดวงตาของเขาเย่อหยิ่งลำพอง หากเขาไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน เขาอาจจะไม่รู้สึกอะไรเท่าใดนัก  แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออกนอกจากหลั่งเหงื่อเยียบเย็น


ถูกแล้ว ตัวเขาเองพูดไม่ออก


อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่เร็วเกินไปที่จะแสดงความเย่อหยิ่งเช่นนั้น


ทันทีที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต เรื่องราวบทสนทนาและคำพูดที่น่าตกใจ การกล่าวอ้างว่าเป็นเทพแห่งความฝันเพื่อบีบบังคับจิตใจคนที่ชมดู กระทั่งถึงตอนที่เรียกดาวตกร่วงลงมากลายเป็นดอกไม้สีแดง ชุนหวีพบว่าเขาเพลี่ยงพล้ำ แสดงออกไปเหมือนกับคนโง่ ความรู้สึกอับอายปรากฏอยู่บนใบหน้าจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี


“ฝ่าบาท ท่านคิดยังไงกันแน่?”  เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางเห็นตัวตนของเขาถามอย่างนี้


“ฝันได้ไม่เลวเมื่อเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้!”  หัวซิ่วรี่ยังตอบเหมือนก่อน  แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเยาะเย้ยพอแล้ว


“เจ้าว่ายังไงนะ?”  ชุนหวีเห็นว่าเขากำลังโกรธ เขาเห็นความอับอายและความกลัวของตนเองได้อย่างชัดเจนและอยากจะออกไปทันทีและไม่ย่างเท้าเข้ามายังวังเทียนหลัวอีก


“คำพูดของเด็กน้อยจอมโวเจ้าบ่นเพ้อเจ้อเปลืองน้ำลาย ข้าจะพักแล้ว ดังนั้นเจ้ายังจะออกไปไม่ได้” จักรพรรดิหัวซิ่วรี่พูดเหมือนเดิม คราวนี้ก่อนที่หัวซิ่วรี่จะพูดจบ ชุนหวีใช้ความเร็วที่สุดหนีออกจากวังเทียนหลัวอย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตของเขา  หลังจากหนีออกมาจากวังเทียนหลัวแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะบ้า  เขาไม่ได้ไปที่แห่งใดๆ ในโลก มาเพียงวังเทียนหลัว และรู้ว่าหัวซิ่วรี่เป็นนักฝันที่เก่งที่สุดในโลก น่าเสียดายที่ฝันของเขาสลายอย่างแท้จริง


ถ้าเขาบอกว่าอับอายตอนนี้ เขาจะตื่นขึ้นและพบว่าความฝันของเขาช่างโง่เขลา


ดังนั้นตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นมดที่อยู่ในรังมด


ฝันถึงความไร้สาระในฝันของคนอื่น


ตื่นจากฝันไม่ได้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นแค่มดตัวหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในความฝันของคนอื่น.. เขาไม่รู้ว่าหลบหนีมาไกลกี่ไมล์แล้ว จนกระทั่งเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางต้องเรียกเขาและปลอบโยนไม่ให้เขาท้อใจ  เขาหลับตาด้วยความเจ็บปวด ตราบใดที่เขาลืมตา เขาจะเห็นว่าตัวเองหยิ่งยโสอยู่ต่อหน้าวังเทียนหลัวชูมือประกาศอย่างภูมิใจว่าเขาคือเทพแห่งความฝัน ภาพที่ไร้สาระของคนที่อ้างว่าทำได้ทุกอย่าง


อย่าว่าแต่เป็นเทพแห่งความฝันเลย แม้แต่จะเป็นคนก็ยังนับไม่ได้


อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ เขาผู้มีความมั่นใจในตัวเองว่าฝึกฝนมาหลายพันปีคิดว่าสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง เป็นแค่เพียงมดที่มุดเข้าไปอยู่ในความฝันของคนอื่น ไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้ แต่ก็ยังแยกเขี้ยวกางเล็บอวดอ้างว่าตนเองเป็นเทพ…  ชุนหวีแหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลั่งน้ำตาสองสาย


จนกระทั่งถึงวันนี้


เขาเพิ่งเห็นตัวเองครั้งแรก


ปรากฏว่าเขาเคยใช้ชีวิตอยู่แต่ในความฝันตัวเอง ไม่เคยเห็นตัวเองมาก่อน และเขาไม่เคยเห็นโลกนี้!


“ชุนหวี, พ่ายแพ้การต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาในครั้งนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าคาดไว้แล้ว”  เจ้าตำหนักตงฟางกล่าวปลอบโยน  “ถ้าคนผู้นั้นจัดการได้ง่ายดายจริงๆ อย่างนั้นคนที่อยู่ในความมืดคงเริ่มไปแล้ว ไม่ใช่แค่เราเท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ในตำหนักกลางก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาสามารถทำลายความฝันได้!  ทุกคนรู้ว่าทางเข้าที่ปลอดภัยเพื่อเข้าสู่ใจกลางดินแดนล่มสลายแห่งทวยเทพตกอยู่ในมิติลวงตา ใครจะผ่านเข้าไปอย่างปลอดภัยได้เล่า?”


“ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจเลยจริง  ฝึกฝนกันมาหลายพันปี แต่กลับกลายเป็นเหมือนมดแมลงตัวน้อย!”  ชุนหวีกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด


“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายความฝัน แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้  แต่ก็เป็นความพยายามที่ดีมาก  แต่อย่างน้อยพวกเราทุกคนก็ถอยกลับออกมาได้จริงไหม?  ในใต้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่จะมีสักกี่คนที่ถอยออกมาจากมิติเงาลวงได้?”  เจ้าตำหนักตงฟางปลอบโยนอย่างอดทน และชุนหวีผู้พ่ายแพ้และล้มเหลวในการทำลายความฝัน เขาได้เตรียมจิตใจไว้แล้ว  ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง สิ่งที่สำคัญคือชุนหวีมีทักษะแฝงเร้นในการทำลายฝัน คงมีสักวันที่จะต้องทำลายความฝันให้สำเร็จ!


“จริงหรือ?” ชุนหวีลืมตาทั้งสองข้าตั้งใจมองหาความเบาใจมากยิ่งขึ้น


อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองครั้งนี้ ก็ต้องร้องด้วยความตกใจ


เพราะเขาพบว่า


เขาไม่รู้ว่ากลับไปที่ประตูทางเข้าวังเทียนหลัวตั้งแต่เมื่อใด ทหารองครักษ์ยืนตัวตรงเฝ้าหน้าประตูโดยไม่วอกแวก


มีนางกำนัลคนหนึ่งอยู่ข้างในเดินออกมาจากตำหนักพร้อมกับฝีเท้าที่รวดเร็วและพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะมากมารยาท “อาคันตุกะมาเยือน ฝ่าบาทขอเชิญ”


คราวนี้แม้แต่เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางก็ยังขมวดคิ้ว ชุนหวีตัวสั่นด้วยความกลัว เขาหายใจลึกๆ และเตรียมพร้อมจะถามคำถามก่อนหน้านี้  “เจ้าเตรียมกระยาหารให้ฝ่าบาทหรือ?”


นางกำนัลรอให้เขาถามก็หยุดและหันมาให้คำตอบ “ข้าน้อยจัดกระยาหารให้ฝ่าบาทแล้ว!”


เจ้าตำหนักตงฟางมีสีหน้าเจ็บปวดเหมือนถูกนกจิก แต่จากนั้นเขาหันไปทันที


เขาคืนสู่สภาพของบัณฑิตผู้สุภาพอีกครั้ง


ชุนหวีตัวสั่นอีกครั้ง และเจ้าตำหนักมีสีหน้าเห็นใจสงสาร เขาส่ายหน้าเล็กน้อย


ฉากภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับไปที่ห้องโถงอีกครั้ง มีนางกำนัลคนหนึ่งส่งกระยาหาร  ชุนหวีส่งเสียงร้องโหยหวนพยายามดิ้นรนหนีบางอย่างที่ไม่มีที่สุดอย่างบ้าคลั่ง  อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ไม่สามารถหยุดการฉายภาพการสนทนาเล่าเรื่องความฝันของหัวซิ่วรี่ และเขาอ้างตัวว่าเป็นเทพ… ทุกอย่างฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ชุนหวีคุกเข่ากับพื้นอย่างทรมานดวงตาแทบถลนจากเบ้า เขามองดูเหมือนนักโทษ


ตรงกันข้าม เจ้าตำหนักตงฟางมองดูภาพนี้อย่างเบาใจ


จากนั้นหัวซิ่วรี่พูดต่อ  ‘ดี งั้นไม่ส่งแล้ว’


เขาตอบมาทางท้องพระโรงใหญ่ “โปรดให้จักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อออกมาเถอะ แล้วตงฟางจะกลับมาสนทนากับท่านอีก”


ภายในห้องโถงใหญ่ดูเหมือนมีเสียงถอนหายใจเลือนราง แต่เหมือนกับลมพัดผ่านไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางคิดเล็กน้อยและจำได้ว่าดูเหมือนว่าครั้งแรกที่เกิดเหตุ จักรพรรดิจะพูด ‘ข้าคิดว่าตอนนี้ชัดเจนพอแล้ว’ หลังจากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจ


ในเวลานี้ เขากลับพูดชื่อจักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อหรือ?


เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางได้นำความสงสัยนี้เข้ามาที่หน้าวังเทียนหลัวอีกครั้ง


ชุนหวีร้องโหยหวนเหมือนคนบ้าและลุกขึ้นทะยานขึ้นท้องฟ้า… เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางส่ายหน้าเล็กน้อย  และก้าวเดินไปเรื่อยๆ สองก้าวแล้วก้าวเข้าจัตุรัสด้านนอก ตอนนี้ภาพอุกกาบาตหายไป ชุนหวีปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตูวัง เขาทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความกลัวและโบกมือกรีดร้องขณะที่นางกำนัลน้อยเดินออกมาจากตำหนัก  “ไม่, ข้าจะไม่มาอีกแล้ว ขอร้อง ข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ปล่อยข้าไป ข้าจะไม่มายังหอทงเทียนอีก ข้าจะไม่มาอีกแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ…”


เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางส่ายหน้าช้าๆ


ความดีความชอบพันปี


จากคนผู้น่ากลัวเปลี่ยนเป็นคนบ้าเสียสติพังทลาย…. “สมกับเป็นผู้ปกป้องแดนล่มสลายแห่งทวยเทพจริงๆ!  น่าสนใจ!”  เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางเดินมือไพล่หลังออกไปข้างหน้าอย่างฉลาด ฝีเท้าของเขาไม่หยุดและเขาพึมพำกับตนเองเบาๆ  “ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องทำลายหอทงเทียนแห่งนี้  เพราะเหตุนี้จึงต้องทำลายทุกอย่างที่นี่!”


เจ้าตำหนักตงฟางยืนอยู่บนถนนมองเห็นการคมนาคมจอแจในเมือง


เขายิ้ม


เขายังคงกล่าว “ความฝันก็เหมือนชีวิต  ชีวิตก็เหมือนฝัน  ทำไมในตอนแรกถึงไม่อนุญาตให้ข้ามีความฝัน  เพราะข้าไม่มีความฝันข้าจึงต้องทำลายฝันทั้งหมด นี่เป็นเรื่องยุติธรรมแล้ว!”


ตอนที่  1224  เป็นหรือตาย?


ทางด้านสนามรบขุนเขาเหนือขุนเขา


พายุสงครามสงบลงในที่สุด


 


ในท่ามกลางโลกที่แตกสลาย มีเพียงคนผู้เดียวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่  นั่นคือจีอู๋ลี่ที่รู้จักกันในนามอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์  แม้แต่คนลึกลับก็ยังปรากฏตัวออกมาลงมือทำร้ายเขา  แต่ขณะนี้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผลรอยบอบช้ำลึกล้ำนับไม่ถ้วนมองดูน่าสยดสยอง  ต่อหน้าผู้คนอื่นจีอู๋ลี่จะสูงส่งเทียบได้กับเทพเจ้า  เลือดของเขาหยดลงบนพื้น กระดูกซี่โครงหัก กระดูกมือแตกจนมิอาจกำหมัดได้


เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างนี้


และนี่


ทุกอย่างนี้เป็นฝีมือของศัตรูในชีวิตอีกคนหนึ่งของเขา  ไม่ใช่เย่ว์ไตตันที่จีอู๋ลี่ระบุตัวไว้  แต่เป็นศัตรูที่เขาแทบละเลย และเป็นศิษย์ของคนลึกลับ หนึ่งในสามจอมภพแดนสวรรค์ตะวันตก จิ่วเซียว!


 “น่าเสียดาย!”  มีเสียงดังเหมือนภูตพรายถูกดูดหายเข้าไปในหลุมดำอย่างแปลกประหลาด  “ปรากฏว่าเจ้ามีพลังมหาศาลซ่อนเอาไว้  มิน่าเล่าเจ้าถึงกล้าคุยโวอย่างไม่ละอายปาก  อย่างไรก็ตามวันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น การต่อสู้จะอยู่กับเจ้าตลอดไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ข้าสัญญาเลยว่าจะตามพัวพันเจ้าอย่างไม่มีวันจบ!”


 “จิ่วเซียว” จีอู๋ลี่ได้ยินอย่างนั้นดวงตาของเขาปรากฏแววโกรธทันที แต่เขารีบสงบอารมณ์ทันที


เขาสูดหายใจลึก


พยายามควบคุมอารมณ์หลังจากได้รับบาดเจ็บจากพลังโจมตี


เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูส่วนตัว จีอู๋ลี่ยอมพูดก่อนโดยไม่ใช้อารมณ์โกรธนำหน้า แต่พยายามโน้มน้าวอย่างดีที่สุด  “ในอดีตที่ผ่านมาเราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ไม่ว่าเจ้าจะมีอคติหรือเกลียดชังข้าในเรื่องใด  ข้าก็ยอมอดทนเจ้าอยู่เงียบๆ ไม่ได้โต้ตอบโต้เถียงเจ้า  อย่างไรก็ตามก่อนที่เจ้าจะระบายอารมณ์แก้แค้นตามความพอใจของเจ้า  ข้าอยากจะบอกความจริงเจ้าสักสองสามคำ  ไม่ว่าเจ้าจะยินดีรับฟังหรือไม่ ข้าอยากให้เจ้าเปิดโอกาสให้ข้าแสดงความจริงใจ!  จิ่วเซียว!  การต่อสู้ครั้งนี้มันทำให้ใจข้าหดหู่ ข้าเชื่อว่าเจ้าก็รู้สึกทรมานเหมือนกัน  เราทั้งหมดเป็นอัจฉริยะ เป็นกลุ่มคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแดนสวรรค์  เรามีสติปัญญาและรู้วิธีปกปิดตัวตนและความแข็งแกร่งไม่ให้ภายนอกเห็น หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง ในบางมุมมองเราคล้ายกันมาก เหมือนกับพี่น้องฝาแฝด!”


เสียงของจิ่วเซียวเย็นชาและดังออกมาจากหลุมดำอย่างน่าประหลาด  “ข้าไม่ปฏิเสธว่าเจ้ากับข้ามีความคล้ายกัน หึหึ พูดให้ถูกเราเจ้าเล่ห์และเห็นแก่ตัวมากกว่า!  เราไม่เคยเชื่อใจคนอื่น ต่อให้เป็นอาจารย์ที่ได้รับการยอมรับนับถือในใจมากที่สุดก็ตาม จีอู๋ลี่! เจ้ายังคิดจะโน้มน้าวใจข้าอีกหรือ เจ้าไม่เข้าใจหรือยังไง?”


จิ่วเซียวเยาะเย้ยตรงๆ  “เจ้ากับข้า ไม่สามารถเชื่อใครได้นอกจากตัวเอง  ทำไมเจ้าถึงคิดว่าทำให้ข้าเปลี่ยนใจได้?  น่าขัน, อย่าวว่าแต่ตัวเจ้าเลย  ต่อให้เป็นน้องชายฝาแฝดของข้า ถ้าโลกนี้มีจิ่วเซียวอีกคนหนึ่ง ข้าจะไม่มีวันเชื่อเขา!”


 “เห็นด้วย, เราทุกคนถนัดมือซ้าย เพราะไม่วางใจมือขวา!”  จีอู๋ลี่ไม่ปฏิเสธ


 “เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงพูดไร้สาระอยู่อีก?”  จิ่วเซียวตะโกนเย้ยหยัน


 “ข้าไม่คิดเรื่องจะโน้มน้าวเจ้า  ข้าเพียงแค่ต้องการให้ข้อมูลที่สำคัญที่สุดกับเจ้า”  จีอู๋ลี่แหงนหน้าหัวเราะ  “เราทุกคนล้วนแต่ฉลาด  เราก็ควรเข้าใจถึงความเป็นจริงกันทุกคนด้วย การต่อสู้กันระหว่างเรามีแต่สูญเสียกันทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน  ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งล้มตายลง อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องได้ผลกระทบบาดเจ็บเสียหายอย่างหนัก”


 “เจ้าหมายความว่าใครบางคนจะได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ระหว่างเรา?”  จิ่วเซียวยิ้มและกล่าว  “ถ้าเจ้ากำลังจะพูดถึงซิวคง อย่างนั้นเจ้าไม่ต้องเปลืองน้ำลายกล่าว”


 “ซิวคงก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง และเขาถูกลิขิตว่าจะต้องประสบความสำเร็จระดับสูง” จีอู๋ลี่ส่ายหน้ากล่าว  “แต่เขาไม่ใช่คนที่ไล่ล่าเรา!”


 “ไม่ใช่ซิวคง อย่างนั้นก็เป็นหมิงเยี่ยกวงใช่ไหม?” จิ่วเซียวถอนหายใจเล็กน้อย  “ถ้าเจ้าพยายามเปลี่ยนเป้าหมายของเจ้าไปที่หมิงเยี่ยกวง ข้าเสียใจด้วย ความคิดที่ไร้เดียงสาของเจ้าจะไม่มีทางบรรลุได้!  สำหรับหมิงเยี่ยกวงข้าแค่ต้องการพูดเรื่องเพียงสองเรื่อง  ประการแรกไม่ว่าเจ้าจะขัดขวางอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถขัดขวางความก้าวหน้าของนางได้  นางจะก้าวหน้าไปเป็นเทพในอนาคต  ประการที่สอง ถ้าเจ้าคิดว่าข้าจะเปลี่ยนจากเกลียดเจ้าไปเป็นหมิงเยี่ยกวงนั่นเป็นข้อผิดพลาดใหญ่  ต่อให้หมิงเยี่ยกวงปกครองแดนสวรรค์ตะวันตก ข้าก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนางมากเกินไป นางไม่ใช่ศัตรูของข้าในก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็น และจะไม่ใช่ศัตรูในอนาคตด้วย  ความจริงต่อหน้าคนอื่นข้าจะทำตัวเหมือนเป็นคู่แข่งนางเพื่อให้คนภายนอกมองเห็นภาพลวงตาในระหว่างสามจอมภพแดนสวรรค์  แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องต่อสู้กับหมิงเยี่ยกวงหรือซิวคง ข้าเพียงแค่ตื่นตัวและระวังสองคนนี้  แต่จะไม่เป็นศัตรูกับพวกเขา!”


 “จะเป็นยังไงเล่า ถ้าข้าพูดถึงเย่ว์ไตตัน?”  จีอู๋ลี่ยิ้มทันที  “เจ้าได้อยู่ได้ต่อสู้ในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้มาก่อน ควรจะเข้าใจว่าระดับความเติบโตของเขาน่ากลัวเพียงไหน!”


 “ข้าต้องการฆ่าเขาจริงๆ!”  จิ่วเซียวยอมรับว่าเย่ว์หยางคือศัตรูที่น่ากลัว


 “หากเรายังสู้กันต่อไป อย่างนั้นคุณชายสามตระกูลเย่ว์จะเติบโตอย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายไร้แรงกดดัน!”  จีอู๋ลี่พยายามโน้มน้าว  “เขาคือความหวังของหอทงเทียน  เราควรจะฆ่าเขาก่อนแล้วค่อยมาต่อสู้ตัดสินชะตากันระหว่างเรา”


 “เจ้าคิดสวยหรูจริงๆ!”  จิ่วเซียวเหยียดหยามเขา


 “ว่าไงนะ?”  จีอู๋ลี่ไม่เข้าใจทำไมจิ่วเซียวถึงไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา


 “คิดจะให้ข้าต่อสู้กับเย่ว์ไตตันต่อใช่ไหม?  จะให้ข้ากระตุ้นกลุ่มคนที่อยู่ในหอทงเทียน จากนั้นก็ทำเช่นเดียวกับจักรพรรดิอวี้ในปีนั้น ปล่อยให้เย่ว์ไตตันและกลุ่มนักสู้หอทงเทียนทุ่มเทกำลังผนึกข้าเอาไว้  แต่ครั้งนี้ข้าไม่มีอสูรพิทักษ์ที่ภายนอกรอข้าอีกแล้ว  จีอู๋ลี่!  เจ้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ บางทีเจ้าอาจรวมแดนสวรรค์เป็นหนึ่งได้  แต่รากฐานของข้าถูกเจ้ายึดไปแล้ว”  จิ่วเซียวยิ้มกว้างแปลกประหลาด ทันใดนั้นรอยยิ้มของเขาเหมือนมีดเชือดเฉือน   “จีอู๋ลี่!  เจ้าคิดผิดแล้ว คิดว่าจะหลอกข้าได้เป็นครั้งที่สองหรือ?  ความรุ่งเรืองของหอทงเทียนเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?  การเติบโตของเย่ว์ไตตันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?  ข้าจิ่วเซียวไม่ใช่เป้าหมายแรกของพวกเขา  ตราบใดที่ข้าไม่สนใจพวกเขา พวกเขาก็จะไม่มองหาเป็นศัตรูกับข้า  ไม่ว่าจะเป็นหอทงเทียนหรือเย่ว์ไตตันผู้ที่มีพรสวรรค์มากกว่าเจ้า  เป้าหมายของพวกเขาคือเจ้าและตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์  ที่สำคัญคือเขาเป็นศัตรูของเจ้า  ทำไมข้าจึงต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้มากไปกว่านี้ด้วย?  เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?  ข้าจะไม่ไปสถานที่ผีสางอย่างหอทงเทียนอีก ไม่ว่าเจ้าจะใช้คำพูดอะไร หรือใช้แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ บันไดสวรรค์ สมบัติโบราณหลอกล่อก็ตาม  ข้าเชื่อว่ามีของเหล่านี้อยู่ที่นั่น  แต่ข้าทราบอย่างชัดเจนว่าบางอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ของๆ ข้า  สิ่งใดที่มิใช่ของข้า  ข้าก็มิอาจบังคับได้  หากคัมภีร์เทพจะตกเป็นของข้า ต่อให้ข้าไม่ทำอะไรก็ตาม โชคชะตาจะพาข้าไปทำให้ได้รับคัมภีร์อัญเชิญชั้นเทพได้  เจ้าคิดว่าข้าจะโลภหนักเท่าเจ้าหรือ?  ฮ่าฮ่าฮ่า จีอู๋ลี่เอย… ความจริงแล้วเจ้าเป็นคนโง่ที่สุดในโลก  ทุกคนล้วนรู้ว่าของวิเศษระดับเทพเลือกเจ้านาย เป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม  เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอจะได้รับคัมภีร์เทพหรือ? เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าด้วยหรือ?”


 “ชื่ออัจฉริยะอันดับหนึ่งของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ต้องหลุดลอยไป เจ้าไม่อายบ้างหรือ?”


 “อยู่ต่อหน้าตงฟาง เจ้านับเป็นตัวอะไรได้?”


 “แม้ว่าเจ้าไม่ได้พูดถึงตงฟางเกี่ยวกับสติปัญญาที่ยอดเยี่ยม ยังไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ของเจ้าผู้มีภูมิปัญญาและพรสวรรค์อย่างแท้จริง  ยังมีสองสามคนที่หนุนอยู่เบื้องหลังเจ้า  เจ้ามีเจ้าตำหนักสูงสุดเป็นอาจารย์  เจ้าอยู่ในสามตำหนักใหญ่ เป็นหนึ่งในเจ้าตำหนักผู้ยิ่งใหญ่  เจ้าคิดว่าเจ้าเหนือกว่าเจ้าตำหนักอีกสองคนหรือ?  ถ้าเจ้าไม่มีโอกาสที่ดีที่สุดเพราะเจ้าตำหนักสูงสุดประทานให้เจ้า  เจ้ายังจะมีความสำเร็จถึงทุกวันนี้หรือ?  จีอู๋ลี่!  นี่คือส่วนที่ข้าดูแคลนเจ้ามากที่สุด  เสียทีที่เจ้ามีสภาพแวดล้อมในการเติบโตที่ดีที่สุดและมีทักษะแฝงเร้นเติบโตที่ดีที่สุดจริงๆ!”


 “เอาเถอะ, ข้าพูดมาพอแล้ว ข้าไม่ชอบกลิ่นแบบนั้น เห็นเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว  ข้าจะไม่พูดให้มากไปกว่าเจ้า เชิญเจ้ารักษาความผยองว่าเหนือกว่าสหายคนอื่นต่อไปได้เลย  ความเย่อหยิ่งของเจ้าได้บดบังสายตาเจ้ามานาน สายตาของเจ้าเห็นผู้อื่นได้แต่เฉพาะผิวเผินเท่านั้น ไม่มีทางเห็นเนื้อในของคนอื่น  บางทีเจ้าอาจลืมไปนานแล้วว่า นางพญาผู้พิชิตกวาดชัยชนะไปทั่วแดนสวรรค์ในปีนั้น สิ่งที่ตามมาเจ้ากลับคิดว่าจะรวบรวมแดนสวรรค์ได้อย่างไร?  ในตอนนี้ข้าจะไม่พูดอะไรถึงเย่ว์ไตตันหรือหมิงเยี่ยกวงอีก  สุดท้ายข้าอยากจะเตือนเจ้าว่า ถ้านางพญาผู้พิชิตปรากฏตัวอีกครั้ง ถ้าเจ้าคิดว่าจะต้อนนางจนเหมือนสุนัขตกน้ำและหลงทาง ขอบอกเลยว่าเจ้ากำลังฝันกลางวัน!”


เสียงของจิ่วเซียวค่อยๆ จางหายไปจนกระทั่งไม่ได้ยิน


หลุมดำที่ใกล้แตกทำลายในท้องฟ้า แตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยหายไปในท่ามกลางความว่างเปล่า


จีอู๋ลี่ยืนลอยค้างอยู่ในกลางอากาศ เขาถูกจิ่วเซียวเย้ยหยันดูถูกก็ยิ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด  เขารู้ว่ายากจะโน้มน้าวศัตรูผู้ดึงดันคนนี้ได้  แต่อย่างน้อยก็หว่านความขัดแย้งระหว่างจิ่วเซียวและเย่ว์ไตตันได้กลายเป็นพลังสามเส้าคอยถ่วงดุลกันได้


น่าเสียดายที่จิ่วเซียวไม่ยอมหลงกล


ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทั้งจิ่วเซียวและเย่ว์ไตตันต่างรอเล่นงานเขาทั้งคู่


แม้แต่ในอนาคต ยังมีหมิงเยี่ยกวงและนางพญาผู้พิชิตซึ่งไม่รู้ว่าจะปรากฏตัวออกมาอีกเมื่อใด


เขายืนอยู่ในกลางอากาศเงียบๆ และพูดไม่ออกอยู่นาน เขาไม่ได้โกรธเพราะคำพูดของจิ่วเซียว ไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้อย่างหนักก่อนหน้านั้น  ตรงกันข้ามเมื่อครู่นี้ เขายังดีกว่าจิ่วเซียวอยู่เล็กน้อย เขาไม่ได้ใช้ไม้ตายสุดท้าย และรอให้จิ่วเซียวทุ่มพลังโจมตีอยู่นาน


จีอู๋ลี่ชนะการต่อสู้  แต่เขาไม่มีความสุข


เพราะสำหรับเขา ชัยชนะเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว


เขาไม่ได้บดขยี้ร่างจิ่วเซียวอย่างเต็มที่เนื่องจากเขายังรู้สึกได้ถึงความล้มเหลวและตื่นตัว!  จิ่วเซียวเคยถูกจักรพรรดิอวี้ผนึกไว้นานหลายพันปี ก็ยังมีพลังมากมายขนาดนั้น เขาแทบถูกบังคับให้ใช้ไม้ตายก้นหีบ ต้องบอกว่าจิ่วเซียวเป็นคู่แข่งที่เทียบได้กับคุณชายสามตระกูลเย่ว์!


 “นายท่าน, เราควรจะเลื่อนเป็นระดับเทพดีกว่า!  เราอยู่ในชั้นกึ่งเทพนานเกินไปแล้ว!”  เสียงที่น่ากลัวดังออกมาจากด้านข้างของจีอู๋ลี่


 “ถ้าเราทุกคนเลื่อนระดับเป็นนักสู้ชั้นเทพผ่านพลังต้องห้ามกันทุกคน เราจะสามารถเอาชนะจิ่วเซียวได้”  อู่หวังพยักหน้ารับรอง


 “เรายังมีเลือดทาสแสนคน บวกกับขุนเขาเหนือขุนเขาที่นี่แล้ว นับว่าเพียงพอ”


 “หลังจากดูดซับพลังต้องห้าม  ก็น่าจะเป็นช่วงสุดท้ายที่ตงฟางและหอทงเทียนต่อสู้กันจนถึงที่สุด เรารอคอยโอกาสแล้วค่อยฆ่าช่วงชิงชัยชนะสุดท้าย ถ้าท่านมีพลังเทพก็จะทำให้การต่อสู้นี้ราบรื่นไม่มีปัญหาแน่นอน  นายท่านอย่าได้ลังเลอีกต่อไป”


 “……”  จีอู๋ลี่ขมวดคิ้วประเมินผลได้และผลสูญเสียอยู่นาน


มิทราบเวลาผ่านไปนานเท่าใด


หลังจากรักษาตนเองจนใกล้จะหายดี เขากล่าว “การเลื่อนชั้นเป็นระดับเทพเป็นเรื่องจำเป็น แต่ก่อนอื่นข้าต้องการดูเว่ยกวงฆ่าเย่ว์ไตตัน คนผู้นี้ถ้าไม่ถูกกำจัดออกไป  แดนสวรรค์จะอยู่ไม่เป็นสุข!  แม้ว่าจิ่วเซียวจะน่ากลัว แต่ก็ไม่มากไปกว่าเย่ว์ไตตันอย่างแน่นอน  ถ้าจิ่วเซียวเป็นหมาป่าเดียวดาย  เย่ว์ไตตันก็เป็นพยัคฆ์ร้ายที่สามารถกลืนกินทั้งภูเขาได้ รอให้เสือร้ายนี่เติบโตขึ้น ทั้งแดนสวรรค์จะไม่สามารถเติมเต็มความอยากของเขาได้!”


อสูรสยองขวัญและอสูรอู่หวังเห็นด้วยกับคำพูดของจีอู๋ลี่ แต่ทั้งคู่ละอายใจเล็กน้อย  “เทพปีศาจเว่ยกวงทรงพลังก็จริง  แต่น่าเสียดาย”


จีอู๋ลี่ยิ้มมีสีหน้าภูมิใจ  “วางใจได้!  ก่อนที่ข้าจะเข้าหุบเขามนุษย์ข้าได้ส่งคนไปหาคนผู้หนึ่งให้ช่วยปลดผนึก…  เดิมทีข้าต้องการจะกินพลังของเทพปีศาจเว่ยกวง  แต่น่าเสียดาย มีเหตุเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ดังนั้นถ้าเจ้าเด็กนี่มา ครั้งนี้ข้าต้องฆ่าเจ้าเด็กนี่ทั้งเป็น!”


ขณะนั้นเย่ว์หยางพักผ่อนอย่างสบายใจในโลกคัมภีร์


เขากำลังเพลิดเพลินกับเนื้อย่างเลิศรส


เย่ว์หวี่ปิ้งแล้วป้อนให้เขา อู๋เหินก็ช่วยป้อน และแม้แต่จุ้ยมาวอี้ก็ช่วยป้อนให้เขา แม้แต่เป่าเอ๋อ กระทั่งหนิวหนิวก็ยังช่วยกินช่วยป้อนเช่นกัน ในที่สุดเขามองดูขาไก่ที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนย่างจนไหม้เกรียม เขาอดเรอออกมามิได้ ก่อนที่แม่เสือจะเอาขาไก่ยัดใส่ปากเขา  “อย่าบอกนะว่าจะให้ข้ากินขาไก่ย่างนั่น ข้าจะเป็นราชาพุงกางไร้เทียมทานอยู่แล้ว  โอวพระเจ้า, เจ้าใส่เกลือไปกี่กิโลกันแน่  เจ้าน่าจะลดเกลือกับน้ำตาลได้ไหม?  ถ้าจะมีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย ก็คงจะเป็นเรื่องเค็มแทบตายนี่แหละ!”


ตอนที่  1225  ฆ่า ฆ่าไม่ปราณี!


ทะเลฝนดาวตก หอทงเทียน


 


หัวหน้าหัวสิงห์ หัวแรด หัวหน้ามนุษย์ท่อนฟืน ถูกบุรุษหนุ่มหน้าตาดุจเทพตำหนิ และโบกมือไล่เหมือนแมลงวัน พวกเขาต้องถอนตัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ทาสผู้น่าสงสารก็ยังนำไปไม่ได้


พวกเขาทะยานบินขึ้นฟ้ากลายเป็นเหมือนอุกกาบาตพุ่งหายลับไปในขอบฟ้าทันที พวกทาสที่รอดตายคุกเข่าลงกับพื้น


คำนับบุรุษหนุ่ม


สำหรับคนที่น่าสงสารและถ่อมตนเหล่านี้ คุณชายผู้นี้เป็นเหมือนเทพเจ้า


ที่ด้านซ้ายของบุรุษหนุ่มรูปหล่อเป็นบุรุษวัยกลางคนมองดูเหมือนปราชญ์บัณฑิต ที่ด้านขวาเป็นชายชราชุดคลุมดำ


พวกเขามองดูเจ้าอ้วนไห่ เย่คงและคนอื่น มีบางอย่างที่แปลกประหลาด คล้ายๆ กับว่าชื่นชมกับการทำลายภาชนะสวยงามที่มีเมล็ดพันธุ์พืชงอกงาม….  คนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือของบุรุษหนุ่มที่คล้ายเทพบัณฑิตวัยกลางคนยอมรับการเทิดทูนบูชาของพวกทาส ใบหน้าเขามีรอยยิ้มขณะถามเจ้าอ้วนไห่อย่างอ่อนโยน  “แม้ว่าเรายินดีจะสนทนากับเจ้าต่อ เพราะเจ้าน่าสนใจมากเกี่ยวกับความพยายามของนักรบระดับต่ำของหอทงเทียน แต่น่าเสียดายที่เรามีเวลาไม่มาก  ก่อนที่ข้าจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร ข้าให้โอกาสเจ้าทิ้งบางสิ่งบางอย่างกลับไปบ้านเกิดเจ้า เจ้ามีคำพูดใดจะสั่งเสียไหม?”


“นึกแล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องพูดอย่างนี้!”  เจ้าอ้วนไห่ถอนหายใจ


“สุนัขที่ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยการกินที่น่ารังเกียจได้” เย่คงเห็นด้วย


“คำพูดสุดท้ายฟังง่ายจริงๆ!”  บัณฑิตวัยกลางคนยังคงทำเป็นยิ้มอย่างสง่างาม แต่ประกายอำมหิตในดวงตาของเขามิอาจซ่อนเร้นได้


“ข้าได้ยินมาว่าในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจีอู๋ลี่แล้ว ยังคงมีหลายคนที่ชอบแกล้งทำตัวอย่างนั้น”  เจ้าอ้วนไห่ถอนหายใจเฮือก


“อย่างเช่นเจ้าตำหนักแสงจงหัวไงเล่า”  เย่คงพยักหน้าเห็นด้วย


“ถ้าเป็นเจ้าตำหนักแสงจงหัวมาหาเราอย่างนั้นก็คงไม่เป็นไร เพราะนั่นคือคนระดับเจ้าตำหนักที่มีพรสวรรค์ย่อมให้เรากลัวได้เหมือนมดน้อย  หากเขายืนยันในการเสแสร้งบีบจมูกของเราให้จดจำได้  ใครให้เราไม่เคยพบเห็นนักสู้ระดับกึ่งเทพเล่า”  เจ้าอ้วนไห่ลูบหน้าอกด้วยมืออวบอ้วน และทำสีหน้าผิดหวัง  “อย่างไรก็ตามคนโง่ที่ไม่รู้จักเจตจำนงราชันย์ว่าคืออะไร แล้วยังมีความสำเร็จได้ถึงปราณฟ้าระดับเจ็ดได้ ยังกล้ามาหลอกข้าคุณชายด้วยหรือ?”


บัณฑิตวัยกลางคนและบุรุษหนุ่มรูปหล่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที


พวกเขาโกรธและตั้งใจเข่นฆ่า


ประกายอำมหิตแผ่ออกมาจากในดวงตา


บุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางลักษณะเหมือนเทพโบกมือกล่าว  “อย่าโกรธนักเลย  สิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง  พวกเจ้าไม่เข้าใจเรื่องเจตจำนงราชันย์จริงๆ!”


ทันทีที่เขาพูดคำนี้ออกมาบัณฑิตวัยกลางคนมีหน้าแดง


หน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาหันไปแสดงความเคารพ


ค้อมศีรษะ


เขาคำนับชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง


ชายชราชุดคลุมดำด้านขวามือ ในเวลานี้แขนที่เรียวยาวผอมบางแต่ทรงพลังของเขาเหยียดออกและนิ้วของเขาเหมือนกับหางแมงป่องชี้ไปที่เสวี่ยทันหลางที่กำลังนั่งขัดสมาธิควบคุมการหายใจ  “ในเมื่อต้องสู้กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าจะจัดการเจ้าหนุ่มน้อยนี่เอง  ข้าชอบเจ้าหนุ่มน้อยนี่ ดูน่าสนใจดี”


บัณฑิตวัยกลางคนมองดูองค์ชายเทียนหลัว  “อย่างนั้นข้าเลือกเจ้าเด็กนี่เอง ใบหน้าหล่อขนาดนี้ เห็นแล้วอิจฉา!”


องค์ชายเทียนหลัวยิ้ม


เขาตอบอย่างสุภาพ  “ขอบคุณที่ชมกัน  ถ้ามีบางคนอิจฉาพลังของข้า นั่นจะทำให้ข้ามีความสุขมากขึ้น”


บุรุษหนุ่มคนกลางสง่างามเหมือนเทพกวาดตามองเจ้าอ้วนไห่และเย่คง และถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าและหัวเราะแปลกประหลาด  “แม้ว่าข้าจะเพิ่มความระมัดระวังแล้ว แต่ข้าก็ยังคาดไม่ถึง ต้องบอกว่าในกระบวนการเติบโตก้าวหน้าของนักรบหอทงเทียน น่าจะก้าวหน้าได้เร็วที่สุดแล้ว ฉลาด ยอดเยี่ยมจริงๆ…  บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมหอทงเทียนสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ตลอดเวลา!”


คำพูดของเขาเพิ่งจบ หัวหน้าหัวสิงห์ หัวหน้าหัวแรด และหัวหน้าร่างเหมือนฟืนที่เพิ่งหนีไปกลับร่วงตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างน่าประหลาด


นอกจากนี้ทะเลฝนดาวตกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


ท้องฟ้าและน้ำทะเลหายไปตลอดกาล


พื้นที่มิติกระจัดกระจายเหมือนกระจกแตก  เมื่อฝุ่นตกลงมาบนพื้นที่รอบๆ ก็กลายเป็นดินแดนแห้งแล้งกว้างใหญ่ ไม่มีจุดแบ่งแยก ท้องฟ้าเป็นสีเทาและพื้นดินไม่มีชีวิต  ที่นี่ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสัตว์สิ่งมีชีวิต มีแต่ซากแห่งความตาย กว้างไกลไม่สิ้นสุด และไม่มีทางออก


ในดินแดนแห้งแล้งนี้ ไม่มีสายลมและอากาศนิ่งเหมือนน้ำนิ่ง


บัณฑิตวัยกลางคนมีสีหน้าเปลี่ยน  เขาหยิบนาฬิกาทรายออกมาและตั้งคว่ำ และแปลกใจเมื่อพบว่านาฬิกาทรายยังคงค้างเติ่ง…  “ที่นี่คือโลกไม่มีมิติเวลาหรือ?  เจ้าพัฒนาขึ้นมาได้หรือ?  ไม่เจ้าตั้งกับดักไว้เมื่อใด?”  บัณฑิตวัยกลางคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ชายชราชุดคลุมดำขยับแล็กน้อย ในความเห็นของเขาเป็นเรื่องยากมากที่จะหลอกตัวเขาเองและสหาย ในที่สุดเขายังหลอกคุณชายเจ้านายของเขา  เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คุณชายของเขาเอง แต่ในแดนสวรรค์คุณชายของเขามีความสามารถรอบด้าน!


“มันควรจะถูกฝังไว้ก่อนนั้น และพลังการบูชายัญกลายเป็นกับดักดึงดูดพวกเราเข้าไป”  บุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงกลางคิดเล็กน้อยและพยักหน้า  “ตามข้อมูลในหอทงเทียนมีนักสู้คนหนึ่งชื่อสุ่ยตงหลิว ถึงแม้ว่าพลังจะไม่น่ากลัวแต่มีความเป็นเลิศในการวิจัยมิติและด้านเทเลพอร์ต  ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นหนึ่งในอาจารย์คนสำคัญที่สอนคุณชายสามตระกูลเย่ว์ ทั้งยังเป็นอาจารย์ของอัจฉริยะสองสามคนข้างหน้านี้  ข้าคิดว่าน่าจะมีคนทรยศเปิดเผยข้อมูลก่อนหน้านี้ก่อนที่เราจะมา แล้วให้สุ่ยตงหลิววางแผนขัดขวางได้  แต่เขาจำศิษย์ของเขาที่กลับจากแดนสวรรค์ได้ เขายังล่อพวกเราให้เข้าสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่นี้”


“แม้ว่าจะคาดเดาอย่างกล้าหาญ แต่ก็มีข้อน่าสงสัยตรงกลาง”  เจ้าอ้วนไห่ปฏิเสธทันที  “ระยะทางจากแดนสวรรค์หอทงเทียนไกลโพ้นไม่มีข้อมูล  อาจารย์จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังกลับมาจากแดนสวรรค์”  เวลากับสถานที่ไม่สมเหตุผล”


“เป็นเรื่องจริง” บุรุษหนุ่มคาดเดาอีกครั้ง  “แต่สมมติว่าเหตุการณ์ที่นกนางนวลยังกลับมาได้ เรื่องนี้นับว่ามีเหตุผล”


“เจ้ากำลังบอกว่านกนางนวลซุ่มโจมตีอยู่ใต้ทะเลใช่ไหม?”  เจ้าอ้วนไห่แทรกขึ้น  “นางเป็นนกนางนวล ไม่ใช่ฮิปโป!”


“ไม่, เจ้ามีฮิปโปตัวหนึ่ง”  บุรุษหนุ่มคนกลางแก้ไขอีกครั้ง “ความจริงสิ่งที่ซุ่มอยู่ก้นทะเลก็คืออสูรพิทักษ์ของเจ้า ฮิปโปน้อยซุ่มหลอกล่ออยู่ใต้ทะเล มันเป็นการบอกพิกัดที่สำคัญที่ทำให้เจ้ากลับมาอย่างแม่นยำจากรอยแตกของมิติเวลา  ส่วนนกนางนวลติดต่อกับสุ่ยตงหลิวอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ บางทีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาข้อมูลของเรารั่วไหลออกมาว่าเรากลับมาแล้ว และจากนั้นสุ่ยตงหลิวและคนอื่นจึงล่อลวงเราด้วยการซ่อนฮิปโปน้อยของเจ้า ด้วยทักษะแฝงเร้นหรือวิธีการทั้งสองนี้เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก เจ้ากล้าอยู่ในรอยแยกของมิติเวลารอจนกระทั่งจบ  ต้องบอกว่าความกล้าของพวกเจ้าดีกว่าพวกข้าจริงๆ สามารถดึงเราให้อยู่ในมิติเวลาได้อย่างน้อยสองวัน  แม้ว่าจะอยู่รอยแยกมิติเวลาเป็นเวลานาน และการใช้พลังของพวกเจ้าก็ยิ่งใหญ่และร่างกายของพวกเจ้าหมิ่นเหม่ต่อสภาวะล่มสลาย… เนื่องจากใช้เวลาอยู่ในนั้นนานเกินไป พวกเจ้าได้พบกับกองทหารจากแดนสวรรค์ และเกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้น พวกเจ้าจึงอยู่ในสภาพทุลักทุเล!”


“ผิด”  เย่คงฟังและแค่นเสียงเย็นชา  “ทำไมเราต้องอยู่ในที่อันตรายอย่างรอยแยกมิติเวลาด้วยเล่า?  ออกมาข้างนอกย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ?”


“นี่คือจุดที่ข้าชื่นชมพวกเจ้า” บุรุษหนุ่มที่ดูเหมือนเทพยิ้มเล็กน้อย  “ถ้าไม่มีการบูชายัญโลหิต อย่างนั้นพวกเจ้าจะไม่มีทางไปที่ทางออกที่สุสานเทพทวีปกวงหมิงโดยไม่ตั้งใจ  แม้ว่าเจ้าจะกลับโดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็จะเปิดเผยร่องรอย เพื่อซ่อนหูตาผู้คน และในเวลาเดียวกันเพื่อเปิดรอยแยกมิติเวลาใหม่ สำหรับพวกเจ้าเพื่อเชื่อมหอทงเทียนกับแดนสวรรค์ เพื่อจะช่วยคุณชายสามตระกูลเย่ว์ พวกเจ้าไม่คำนึงถึงความเสียสละ แสวงหาช่องมิติเวลาใหม่ได้  นอกจากนี้ยังได้มาจากผู้ใต้บังคับบัญชาผู้โง่เขลาของข้า พวกเจ้าจึงทำงานได้สำเร็จ!”


“พอเถอะ ข้าจะทำลายพวกเจ้าทุกคน ดูซิว่าพวกเจ้าจะกลับไปหาคุณชายสามตระกูลเย่ว์ได้อย่างไร!”  บัณฑิตวัยกลางคนรู้สึกหงุดหงิด


เขาไม่เคยคิดอะไรเลย


เหล่าเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาล้วนเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น


หากไม่มีคุณชายทำหน้าที่อย่างระมัดระวังและให้มาตรวจสอบการเทเลพอร์ต คาดกันว่าพวกเด็กหนุ่มเหล่านี้คงใช้ประโยชน์จากพวกโง่เหล่านี้ และความอัปยศนี้คงมิอาจให้อภัยได้อย่างแน่นอน


ชายชราชุดดำมีประกายตาประหลาดใจเช่นกัน หากไม่มีคุณชายมาด้วย คงจะแย่มาก  หอทงเทียนกลับใช้การบูชายัญโลหิตเปิดรอยแยกมิติใหม่ และการกระทำที่เหลือเชื่อนี้กลายเป็นเรื่องจริง  เจ้าอ้วนไห่ เย่คงและพวกที่อยู่ต่อหน้าเขา ทำให้ชายชราชุดดำรู้สึกแก่ลงไปทันที


เราแก่แล้วหรือ?


หรือว่าเด็กหนุ่มพวกนี้ร้ายกาจเกินไป?


นักรบมนุษย์จากหอทงเทียนเหล่านี้มีชีวิตมาได้ไม่กี่ปี คาดว่าแก่สุดก็ยังไม่ถึงสามสิบปี เทียบมาตรฐานชีวิตของแดนสวรรค์  อายุขัยของคนในหอทงเทียนนี้เหมือนทารกน้อยที่ยังไม่หย่านม


แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะเติบโตจนอยู่ในระดับที่ไม่น่าเชื่อเท่านั้น  แต่พวกเขายังวางแผนการดักการเดินทางผ่านมิติของชาวแดนสวรรค์ได้ด้วยหรือ?


นักรบหอทงเทียนต้องการไต่ระดับจนถึงพลังปราณฟ้า ต้องใช้พลังหลายร้อยปีไม่ใช่หรือ?  ทำไมเด็กเหล่านี้ถึงทำเช่นนี้ได้ในเวลาไม่กี่ทศวรรษ


“ทุกอย่างเป็นเพราะคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้น่าเหลือเชื่อ!”  บุรุษหนุ่มที่ยืนตรงมีลักษณะเหมือนเทพเจ้ามองเห็นความสงสัยของชายชราชุดคลุมดำและบัณฑิตวัยกลางคน เขาจึงอธิบายต่อ  “นักรบหอทงเทียนเติบโตอย่างรวดเร็ว  แต่แม้กระทั่งนางพญาผู้พิชิตหมื่นปีที่แล้ว หรือจักรพรรดิอวี้เมื่อหกพันปีก่อนก็ยังไม่เหนือกว่าบรรพบุรุษมากนัก แต่การเติบโตก้าวหน้าของพวกเขาเองก็ถือว่ารวดเร็วมาก  แต่ก็ยังแย่กว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์ในทุกวันนี้! ตามข้อมูลระบุว่าคุณชายสามตระกูลเย่ พยายามอดทนมาตั้งแต่เด็กอ้างว่าเป็นเศษสวะตัวประหลาด ทำเช่นนั้นมาเป็นเวลาหลายปี  หรือจะคิดอีกอย่างหนึ่งว่า เขาเตรียมตัวเตรียมการไว้ดีเตรียมพร้อมกับการพุ่งทะยานเติบโต ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่สหายของเขา หรือแม้แต่หอทงเทียนก็ยังเติบโตอย่างบ้าคลั่งภายใต้อิทธิพลของเขา  หลายปีก่อนเขาสามารถเอาชนะขับไล่สามจอมภพแดนสวรรค์ตะวันตกซิวคง จิ่วเซียวและหมิงเยี่ยกวงที่เพิ่งหลุดพ้นออกมาจากผนึกของวังเทพจักรพรรดิอวี้ และหลังจากกวาดล้างเผ่าเก้าแสงที่รุกรานหอทงเทียน แม้แต่ข้าก็สงสัยว่าเขาคงไปที่ภูมิภาคสวนสวรรค์ และจ้าวสุริยาที่ไปค้นหาคัมภีร์อัญเชิญระดับเทพคงพบกับอุบัติเหตุในเงื้อมมือของเขา เป็นเพราะคุณชายสามตระกูลเย่ว์นี่น่ากลัว ข้าจึงเห็นด้วยกับบิดาให้กรีฑาทัพเข้าหอทงเทียน และข้ายอมรับตำแหน่งผู้บัญชาการทัพหน้า   ตอนนี้หลังจากมาถึงหอทงเทียนข้าพบว่าสถานการณ์แย่กว่าที่คิดไว้ถึงร้อยเท่า เนื่องจากการดำรงคงอยู่ของคุณชายสามตระกูลเย่ว์ อนาคตของแดนสวรรค์สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ  ถ้าคุณชายสามตระกูลเย่ว์คนนี้ไม่ถูกกำจัด แดนสวรรค์จะไม่มีวันสงบสุขได้เลย!”


“เป็นความจริงหรือที่ว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์น่ากลัวยิ่งกว่านางพญาผู้พิชิตเมื่อหมื่นปีที่แล้ว และจักรพรรดิอวี้เมื่อหกพันปีก่อน?”  บัณฑิตวัยกลางคนนึกถึงนางพญาผู้พิชิตและจักรพรรดิอวี้ในครั้งก่อนอดสะท้านใจมิได้


“คุณชายสามตระกูลเย่ว์เป็นผู้รับสืบทอดจักรพรรดิอวี้และศิษย์ของนางพญาผู้พิชิต เจ้าจะว่ายังไง?”  บุรุษหนุ่มผู้ดูเหมือนเทพถามบัณฑิตวัยกลางคน


“ต้องตาย!”  รังสีฆ่าฟันของบัณฑิตวัยกลางคนเหมือนกับมีด  “ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุณชายสามตระกูลเย่ว์จะต้องตาย ข้าจะไม่ยอมให้มีนางพญาผู้พิชิตคนที่สองในแดนสวรรค์เด็ดขาด เจ้าต้องการใช้วิธีนี้เรียกคุณชายสามตระกูลเย่ว์กลับมา”


“นี่คือคำที่เราต้องพูด”  เสวี่ยทันหลางลืมตาทันที และพื้นที่ทั้งหมดท่วมเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน  “อะไรก็ตาม ใครก็ตามที่ขัดขวางไม่ให้หอทงเทียนของเราฟื้นตัวขึ้น ใครก็ตามที่ขัดขวางเย่ว์หยาง ใครก็ตามที่ขัดขวางเรา มันผู้นั้นจะต้องตาย ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นเผ่าเก้าแสงหรือกองทัพพิเศษแดนสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีฟ้าหรือจ้าวสุริยา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่พวกเจ้ากล้าขัดขวางเรา  ก็ต้องตายกันทั้งหมด!”


“ฆ่าไม่ปราณี!”  เจ้าอ้วนไห่ เย่คง องค์ชายเทียนหลัวและพี่น้องตระกูลหลี่พูดขึ้นพร้อมกัน


แรงสั่นสะเทือนน่าตกใจยิ่งกว่าภูเขาไฟระเบิดร้อยเท่า


พวกเขาปล่อยพลังทั้งร่าง


เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูแข็งแกร่ง ไม่สำคัญว่าศัตรูมีสถานะใด มีพลังถึงระดับไหน แต่ตราบใดที่พวกเขาบังอาจขัดขวางแผนการของพวกเขา  อย่างนั้นก็ต้องถูกฆ่า!  ใครกล้ารุกรานหอทงเทียน ใครบังอาจขัดขวางเย่ว์หยางไม่ให้กลับมา อย่างนั้นมีแต่ต้องตาย


ไม่ว่าต้องทุ่มราคาเท่าใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนปณิธานเจ้าอ้วนไห่และพวกพ้องได้!


บัณฑิตวัยกลางคนและชายชราชุดคลุมดำรู้สึกตกใจกับรังสีฆ่าฟันของพวกเขานัก


พวกทาสเหล่านั้นพากันหวาดกลัว


ทุกคนหมอบกับพื้น


ไม่กล้าเคลื่อนไหว


มีแต่บุรุษหนุ่มที่ดูเหมือนเทพยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม


เขามองดูเจ้าอ้วนไห่และพวกพ้องแผ่รังสีฆ่าฟันเต็มพื้นที่ก็ถอนหายใจเบาๆ  “จิตวิญญาณนักสู้ที่ไม่ยอมจำนน ความกล้าหาญและความเที่ยงธรรมกลับมาแล้ว วิญญาณนักรบที่สูญสิ้นไปกว่าหมื่นปี กลับถูกคุณชายสามตระกูลเย่ว์ดึงกลับมาได้  เขาเคยเป็นแสงสว่างนำทางให้เด็กหนุ่มเหล่านี้ได้สำเร็จโดยตรง เขาใช้เลือดหล่อเลี้ยงความภาคภูมิใจของเด็กหนุ่มเหล่านี้  ยุคแห่งความภาคภูมิใจและเกียรติยศของนางพญาผู้พิชิตจะกลับมาอีกครั้ง บางทีนี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุดของคุณชายสามตระกูลเย่ว์!  เขาไม่ใช่คนที่กลายเป็นนักสู้ไร้เทียมทาน แต่สร้างอิทธิพลให้กับทุกคน  นักรบที่กลับฟื้นฟูขึ้นมาอย่างนี้จะมีความมั่นใจ  การฟื้นตัวของหอทงเทียนดูเหมือนว่าจะป้องกันได้ยากจริงๆ  ทำไมข้าถึงไม่พบเจอปัญหานี้ก่อน?  ถ้าเป็นในตอนเริ่มต้น นี่คือทางเลือกของโชคชะตาหรือไม่?  ข้ากำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของโชคชะตาหรือไม่? ตัวข้านี้กำลังต่อต้านประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่?   ท่านพ่อ! บอกความจริงกับข้าได้ไหม? ทำไมทั้งที่ท่านฉลาดขนาดนั้นถึงต้องทำลายหอทงเทียน? ทำไมเราถึงต้องต่อต้านเจตจำนงสวรรค์ด้วย?”


ตอนที่  1226  มังกรพิรุณกับร่างอวตารขนาดดวงดาว


โลกคัมภีร์


 


เย่ว์หยางกำลังงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ผวาลุกขึ้นนั่งทันที สาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์กำลังนั่งร้อยดอกไม้ นางหยุดมองเขาด้วยความสงสัย ดวงตากลมของนางเบิกกว้าง


 “ใครกำลังเรียกข้า?”  เย่ว์หยางพบว่าตนเองกำลังฝันร้ายอีก


สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือความฝันนั้นชัดเจนมาก แต่เมื่อเขาตื่นขึ้น เขากลับลืมไปอย่างสิ้นเชิง


มีเหตุผลใด? มีการรุกล้ำของพลังชนิดหนึ่งหรือเปล่า หรือว่ามีบางคนที่เรียกหาตัวเขาจริงๆ?  แม่สี่หรือว่าใครอื่น?


เขาเอื้อมมือลูบศีรษะสาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์เบาๆ เย่ว์หยางตัดสินใจออกเดินทางเพื่อระบายแรงกดดันของเทพปีศาจเว่ยกวง  แม้ว่าการต่อสู้กับเทพปีศาจเว่ยกวงจะยังไม่เริ่ม  แต่ความกดดันที่มองไม่เห็นนั้นกำลังใกล้เข้ามา  หลังจากการต่อสู้ครั้งแรกกับบุรุษลึกลับ เย่ว์หยางเริ่มตระหนักถึงความยากลำบากในการเผชิญหน้ากับเทพปีศาจเว่ยกวง  โชคดีที่ร่างที่แท้จริงของเทพปีศาจเว่ยกวงถูกผนึกไว้ที่หุบเขามนุษย์  และคัมภีร์อัญเชิญก็ถูกผนึกไว้ที่หอคอยเหนือหอคอยไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งได้  มิฉะนั้นเย่ว์หยางรู้สึกว่า เขาไม่ต้องต่อสู้ มิฉะนั้นเขาจะต้องแพ้แน่นอน!


ลองนึกถึงภาพเทพปีศาจเว่ยกวงถูกปล่อยออกมาจากหอคอยเหนือหอคอย


ลองคิดถึงร่างอวตารของเขาที่มีขนาดใหญ่มากน่ากลัวมองไม่เห็นร่างสิ้นเชิง


แค่เพียงนิ้วหนึ่ง


ก็เทียบได้กับภูเขาในโลกนี้


หากเทพปีศาจเว่ยกวงสามารถใช้ร่างจริงและคัมภีร์อัญเชิญ  เย่ว์หยางสงสัยว่าเขาสามารถฆ่าชายลึกลับได้ทันทีในไม่กี่วินาที…  เขาไม่รู้ว่าใครที่สร้างผนึกที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ บางทีอาจเป็นมหาเทพมังกรทอง บางทีอาจเป็นมหาเทพโบราณที่ทรงพลังมากยิ่งกว่า ยิ่งพลังมีขอบเขตมาก ก็ยิ่งรู้สึกได้มาก


เย่ว์หยางบินออกไปที่ขุนเขาเหนือขุนเขา และบินไปในท้องฟ้าอย่างอิสระ ขณะที่เขาคิดในใจเพลินๆ


เขาไม่รู้ว่าเสี่ยวเหวินหลีติดตามที่ด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อใด


เงียบงัน


เธอบินตามหลังเขาไปตลอดทาง


รอจนเย่ว์หยางรู้สึกตัวจากห้วงภวังค์ เขาพบว่าเสี่ยวเหวินหลีตามอยู่ด้านหลังของเขา เขาหันกลับไปยิ้มให้เธอ  “เรากลับไปหาแม่เจ้ากันดีไหม?”


คำว่าแม่เจ้าที่เย่ว์หยางกล่าวนั้นก็คือนางพญาเฟ่ยเหวินหลีมารดาของเสี่ยวเหวินหลีนั่นเอง  เมื่อเขาต่อสู้กับบุรุษลึกลับ เขามีความรู้สึกแปลกๆ ว่านางพญาเฟ่ยเหวินหลีกำลังจะออกมาช่วย แต่ต่อมาด้วยเหตุผลบางอย่างนางเปลี่ยนใจ และเขาพลิกสถานการณ์ได้  ครั้งนี้เขาจะต้องสู้กับเทพปีศาจเว่ยกวง  เขาเชื่อว่านางจะต้องออกมาช่วยเขาแน่นอน  พวกเขาจะร่วมมือกันอย่างไรนั้นก็ควรหารือกันให้ดี และใช้พลังอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด  ไม่ว่าเย่ว์หยางจะภูมิใจแค่ไหน และจิตใจอาจหาญแค่ไหน  เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านเทพปีศาจเว่ยกวง ด้วยการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง  เขาไม่โง่พอเรียกตัวเองว่าวีรบุรุษ!


ตอนนี้นางพญาเฟ่ยเหวินหลีฟื้นฟูเต็มที่แล้ว และแปลงพลังหลุมดำให้เป็นโลกหิมะน้ำแข็ง


นางพญาผู้พิชิตเทียบได้กับในอดีตที่มีพลังสูงสุด


ตอนนี้นางทรงพลังมากขึ้น


ถ้านางต้องเข้าต่อสู้  เป็นไปได้ว่าจะเอาชนะเทพปีศาจเว่ยกวงได้ และเย่ว์หยางจะไม่มีทางปฏิเสธ


แม้ว่าในใจของเขาจะเสียใจบ้างที่เสวี่ยอู๋เสียตื่นขึ้นแล้วไม่รู้ว่าไปที่ใด สามารถจัดการรับมือเทพปีศาจเว่ยกวงได้


รอต่ออีกสองสามวัน


บางทีสาวเสวี่ยอู๋เสียอาจกลับมาทันทีที่นางรู้ตัว


เย่ว์หยางคิดอย่างนั้น เขาค่อนข้างอดทนน้อยเมื่อเห็นเสวี่ยอู๋เสีย


ทันใดนั้นเสี่ยวเหวินหลี่พุ่งผ่านจะด้านหลังเขาและโบกดาบคู่ชี้ไปที่ขอบฟ้าอย่างกระวนกระวาย


 “อะไรกัน?”  เย่ว์หยางเชื่อในสัญชาตญาณต่อสู้ของเธอว่าเหนือกว่า แล้วรีบส่งสำนึกเทพออกค้นหาศัตรูที่ไม่รู้จัก ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นจีอู๋ลี่ที่หลบหนีไปวันนั้น หรืออาจเป็นสำนึกเทพที่บุรุษลึกลับเหลือทิ้งไว้ที่ขุนเขาเหนือขุนเขา พอสำนึกจับเป้าหมายได้เขาถึงกับสบถออกมา  “บ้าจริง, เทพปีศาจเว่ยกวงหลุดออกมาจากผนึกแล้วหรือ?”


เดิมทีเขาคิดว่าจะมีเวลาพักสักสองสามวันให้ได้ปรับสภาพใจให้ดีที่สุด


คาดไม่ถึงแลยว่าเทพปีศาจเว่ยกวงทำลายผนึกหลุดเป็นอิสระได้


ทั้งยังเข่นฆ่ามาตลอดทาง


แต่การโจมตีครั้งนี้แปลกเกินไป!  กฎสวรรค์โบราณทำลายกันได้ง่ายๆ หรือ?


เช่นเดียวกับการต่อสู้ที่หอคอยเหนือหอคอย เย่ว์หยางไม่สามารถมองเห็นเทพปีศาจเว่ยกวงได้ เมื่อสำนึกเทพสัมผัสถึงมันได้  ก็รู้สึกได้ถึงพลังเทพชนิดหนึ่งที่สามารถบดขยี้โลกได้กระจัดกระจาย หนักหน่วงยิ่งกว่าภูเขาเป็นแสนเท่า ทั้งที่เย่ว์หยางอยู่ห่างไกลก็ยังรู้สึกอึดอัดทรมานหายใจไม่ออก


ที่ขอบฟ้า มีเงาทะมึนปกคลุมท้องฟ้า


เขาไม่สามารถเห็นได้ว่าร่างของมันมีขนาดใหญ่แค่ไหน ถ้าเห็นได้ก็ประมาณว่าขนาดเท่าดวงดาว นั่นต้องเทียบหมาป่าฟ้าที่สามารถกลืนกินดวงตะวัน และท้องฟ้ามืดมิดราวกับว่าถูกอสูรยักษ์โบราณจำนวนมากกลืนกิน  ด้วยพลังจักษุญาณทิพย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเย่ว์หยางเขาเห็นว่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกินจินตนาการใหญ่เกินกว่า 2-3 กิโลเมตรกำลังคืบคลานอยู่


ที่จริงแล้วคืบคลานอย่างช้าๆ แต่ความจริงระดับความเร็วของมันน่ากลัวมาก อาจจะมากกว่าร้อยกิโลเมตรต่อวินาที


เย่ว์หยางถึงกับพูดไม่ออก


สัตว์ประหลาดใหญ่โตขนาดนั้นใครจะต้านทานมันได้!  เจ้าตัวนี้เกิดมาก็เป็นเจ้านายใหญ่ตัวร้ายที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตได้ทั้งกลุ่มไม่มีอะไรต้านทาน ไม่ว่าจะมีคนเป็นล้าน สิบล้านหรือแม้แต่ร้อยล้านก็ตามไม่อาจต้านทานพลังตบของเจ้ายักษ์ใหญ่นี่ได้!


แต่เดิมเขาคิดว่ามือหินยักษ์อวตารที่หอคอยเหนือหอคอยก็ไม่ธรรมดามากพอแล้ว คาดไม่ถึงว่านั่นจะเป็นแค่พลังเด็กๆ


ตอนนี้ร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงอาจจะใหญ่กว่าที่หอคอยเหนือหอคอยสิบเท่า


ปรากฏว่าใช้แค่นิ้วเดียว เทียบได้ภูเขาทั้งลูก


แต่ตอนนี้เย่ว์หยางแทบจะมองไม่เห็นนิ้วเดียว ตลอดทั้งร่างของเทพปีศาจเว่ยกวงผู้นี้คาดว่าจะใหญ่ยิ่งกว่าดวงดาว แล้วใครจะไปสู้ได้!  เมื่อเจ้าผู้นี้กดนิ้วลง ทุกคนจะถูกบดขยี้เหมือนมด ถ้าใช้หมัดสามารถทำให้ทะเลเหือดแห้ง แค่พ่นลมหายใจก็กลายเป็นพายุเฮอริเคนได้ คาดว่าถ้าจามเพียงครั้งเดียวคงพัดพาผู้คนกระเด็นออกไปไกลเป็นหมื่นไมล์  เจอตัวบอสขนาดนี้ ถือว่ารังแกคนเล่นเกมเกินไปหรือไม่?  เขาจะร้องเรียนได้อย่างไรกัน….เย่ว์หยางถอนหายใจและรู้สึกว่าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขนาดนี้ใครจะไปเอาชนะมันได้


ตอนแรกเขาคิดว่าสร้างมังกรพิรุณขึ้นมาได้


จะสามารถเอามาต่อต้านได้บ้าง


ใครจะรู้ว่า


มังกรพิรุณขนาดร้อยแปดกิโลเมตร เทียบกับร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงขนาดดวงดาวเท่ากับลำธารเล็กที่น่าสงสาร


เทพปีศาจเว่ยกวงถูกผนึกอยู่ในหอคอยเหนือหอคอยในหุบเขามนุษย์และพลังของมันลดเหลือน้อยเนื่องจากกฎสวรรค์ห้ามอาวุธ


แต่ในขณะนี้เมื่อมันมาถึงขุนเขาเหนือขุนเขา ไม่มีพลังกฎสวรรค์ห้าม


พลังของมันอาจเพิ่มขึ้นเกินสิบเท่า


เย่ว์หยางไม่สามารถรอชุบชีวิตบุรุษลึกลับและฆ่ามันอีกครั้ง  การปล่อยเทพปีศาจเว่ยกวงเป็นเรื่องน่ากลัวเกินไปหรือเปล่า?  หากปราศจากกฎสวรรค์ของหุบเขามนุษย์ เทพปีศาจจะสามารถใช้พลังมนุษย์ต้านทานได้หรือเปล่า?


 “เกิดอะไรขึ้น?”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและโล่วฮัวออกมาข้างนอกพร้อมกันเพราะใจพวกนางรู้สึกได้  เมื่อมองท้องฟ้าแวบแรก ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงราวกับราหูอมตะวัน พวกนางรู้สึกกลัวไม่รู้จะทำอย่างไรดี  เมื่อว่าถึงเรื่องการต่อสู้ ไม่ได้หมายความว่าศัตรูยักษ์ใหญ่อย่างนี้ฆ่าไม่ได้  ร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงมีขนาดใหญ่เท่าดวงดาว ต่อให้เป็นปลาวาฬเกาะ หรืออสูรน้ำปีศาจยักษ์ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยอ้างเมื่อเทียบขนาดยักษ์นี้  เป็นไปไม่ได้


 “รีบกลับเดี๋ยวนี้ ถ้าข้ายังไม่อนุญาต ห้ามออกมาเด็ดขาด!”  เย่ว์หยางรีบสั่งให้พวกนางกลับเข้าไปทันที


ล้อเล่นหรือเปล่า


เทพปีศาจเว่ยกวงนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถต่อสู้หรือต่อต้านได้


ความแตกต่างในด้านขนาดมีระยะห่างเกินไป!  เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงนี้ เว้นแต่จะมีพลังเท่ากัน


 “เสี่ยว..เสี่ยวซาน เจ้าต้องระมัดระวัง อย่าฝืนสู้เกินไป….”  เย่ว์หวี่ตกใจและตกตะลึง นางถึงกับพูดไม่ออกตาแดงขณะกระตุ้นเตือนน้องชาย ถ้าไม่ใช่เพราะพลังนางไม่ใช่สายต่อสู้ นางคงบังคับเขาให้กลับเข้าโลกคัมภีร์และไม่ยอมให้เขาออกมาอีกแน่


 “วางใจได้  ข้าจะกลับมาแน่นอน และชัยชนะสุดท้ายจะต้องตกเป็นของเรา!”  เย่ว์หยางกอดนางแน่น แล้วให้เสี่ยวเหวินหลีส่งนางกลับ


 “ข้าจะไม่พูดอะไรแล้ว”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนใช้เจตจำนงราชันย์บังคับตนเองให้สงบ  นางเป็นคนสุดท้ายที่จะกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์  และหลังจากที่ทุกคนกลับเข้าไปก่อนแล้ว นางกางแขนกอดเขาแน่นเป็นครั้งแรก  เมื่อนางกอดเขาแน่นทำให้เขาสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของนางนั้นมีเพียงผิวเผิน แต่แท้จริงแล้วภายในของนางเปราะบางนัก


นางจูบเขาด้วยริมฝีปากที่สั่นและขลาดกลัวเล็กน้อย


เมื่อเขาจูบนางอย่างลึกซึ้ง


เมื่อนางผ่อนคลายจิตใจที่หวาดกลัวได้ นางกัดริมฝีปากเขาแน่นไม่ปล่อย ฟันนางงับริมฝีปากเขาจนแตกเลือดไหล จากนั้นนางจึงปล่อยเขา อย่างไม่เต็มใจนัก


เงียบ


ความรักความจริงใจขยายเต็มหัวใจทั้งสองดวง


ไม่มีการตีหรือทุบเหมือนอย่างปกติที่นางเคยทำ นางแค่ใช้สายตาแม่เสือสาวมองเขาจนกระทั่งน้ำตาคลอเบ้า


เป็นครั้งแรกที่นางหลั่งน้ำตา นางกลับเข้าโลกคัมภีร์ภายใต้การนำของเสี่ยวเหวินหลี  ฝ่ามือเย่ว์หยางรองรับหยดน้ำตาอุ่นของนางไว้ได้และหายไปในพริบตาเหมือนถูกพายุกวาดหายไป น้ำตาอุ่นน้ำแสดงถึงอารมณ์ที่ยากแสดงออกเหมือนกับเพลิงอมฤต แต่เย่ว์หยางรู้สึกได้จากส่วนลึกของหัวใจ และเปลี่ยนเป็นความทรงจำนิรันดร์


เย่ว์หยางไม่เคยเห็นแม่เสือสาวผู้กล้าหาญหลั่งน้ำตามาก่อน


เขาได้แต่มองนาง


หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดรุนแรง


เขาไม่ควรปล่อยให้นางอันเป็นที่รักร้องไห้เพราะตัวเขาเอง แม้แต่ครั้งเดียว


ฮึ่ม!!!


หัวใจของเย่ว์หยางแผดเผาด้วยไฟโกรธปรารถนาจะต่อสู้  ต่อให้ร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงจะมีขนาดใหญ่ครอบคลุมบดบังฟ้าและดินก็ตาม?  ไม่ว่าใครกล้าบดบังท้องฟ้าเหนือศีรษะของเขา มันผู้นั้นต้องถูกแผดเผา มิฉะนั้นเจ้าสิ่งนี้จะบุกทำลายทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้าท่าน


ในโลกนี้ใครบังอาจขัดขวางเขา  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง


ทำลาย แล้วก็สร้าง จากนั้นคงอยู่นิรันดร์!


นี่คือการสร้างของตัวเขาเอง


ในโลกของตัวเขา ทุกอย่างเป็นไปตามเจตจำนงของเขา ไม่ว่าจะเป็นการทำลาย สร้าง หรือความนิรันดร์


 “มังกรพิรุณ!”  เย่ว์หยางส่งเสียงคำรามสะเทือนแผ่นดิน เสียงของเขาแฝงไปด้วยเจตจำนงราชันย์ทำให้พื้นโลกสั่นสะเทือนทันที  นางพญาเฟ่ยเหวินหลีที่หลับอยู่ในโลกน้ำแข็งลืมตาทันทีขณะที่นางมีพลังเต็มเปี่ยมเหมือนเมื่อก่อน  มังกรพิรุณซึ่งลอยตัวอยู่ในโลกน้ำแข็งมีขนาดร้อยแปดกิโลเมตร เปลี่ยนจากเงียบสงบเป็นแผดเสียงคำรามขานรับการเรียกหาของเจ้านายและทำลายม่านพลังในโลกหิมะน้ำแข็งพุ่งผ่านมิติหลุมดำทะลุออกมาที่ขุนเขาเหนือขุนเขาทันที


มันโลดแล่นอยู่ในอากาศ


เชิดหัวมังกร


ตอนแรกไต่ระดับขึ้นไประดับสูง


จากนั้นดำดิ่งลงมาหาเย่ว์หยางเจ้านายของมันเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่ง  หัวมังกรเชิดขึ้น ขณะที่ขับเคลื่อนด้วยส่วนท้องจากนั้นเชิดหัวคำรามสะท้านสะเทือนไปทั้งโลกและสวรรค์บินตรงเข้าหาร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงที่มีตัวขนาดดวงดาวซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ในท้องฟ้า


ตอนที่  1227  ดาวตกราชสีห์


มังกรพิรุณขนาด 108 กิโลเมตรว่าโดยทฤษฎีคือสุดยอดหุ่นรบไร้เทียมทาน


ถ้าไม่มีร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวง


 


และหุ่นรบหรือยานรบทั่วทั้งแดนสวรรค์ไม่มีใดเทียบได้  ในยุคสมัยโบราณดึกดำบรรพ์นั้นเป็นเวลานานเกินกว่าจะรู้สถานการณ์โดยเฉพาะเจาะจงได้ แต่ในช่วงเวลาไม่กี่หมื่นปีที่ผ่านมาตามบันทึกประวัติศาสตร์ไม่เคยมีหุ่นรบใดที่เหมือนกับมังกรพิรุณ  ก่อนที่เขาจะสร้างมันได้ เย่ว์หยางไม่แม้แต่จะรู้ว่าเขาสามารถทำให้สำเร็จในระดับนี้ได้


ความจริงความดีความชอบหลักในการให้กำเนิดมังกรพิรุณนั้นอยู่ที่เทพธิดากระบี่ฟ้า นางสร้างด้วยปราณกระบี่เทพและพลังปั่นป่วนที่อยู่ในอัญมณีสร้างโลก  ไม่มีนาง เย่ว์หยางที่ไม่สามารถควบคุมพลังได้ในตอนนั้นคงไม่มีทางสร้างมังกรพิรุณได้สำเร็จเหมือนอย่างทุกวันนี้แน่นอน


แม้ว่าสามารถผลิตสร้างมันขึ้นมาได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะมีความสำเร็จไปถึงระดับสุดยอดเทพมังกรหรือมนุษย์ได้


โฮกกกกกก!


มังกรพิรุณบินทะยานภายใต้การนำทางของเจตจำนงของเย่ว์หยางทำให้มันทะยานก้าวหน้าอย่างบ้าคลั่ง


มังกรทะยานฟ้าสั่นสะเทือนไปทั้งโลก


สำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวงไม่อาจข่มยับยั้งมังกรพิรุณและเย่ว์หยางที่บินได้อย่างรวดเร็วได้อีกต่อไป   ภายใต้การผนึกพลังมังกรและมนุษย์มีพลังทะยานฟ้าที่มิติเวลามิอาจขวางกั้นได้


เมื่อเผชิญหน้ากับการรุกล้ำของมังกรพิรุณ เทพปีศาจเว่ยกวงซึ่งควบคุมร่างอวตารขนาดดวงดาวรู้สึกได้ถึงการมีอยู่และคุกคามของฝ่ายตรงข้ามได้ ถ้าเขาไม่มาที่ขุนเขาเหนือขุนเขา แต่เป็นที่หอคอยเหนือหอคอยของหุบเขามนุษย์ อย่างนั้นการใช้พลังผ่านร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงก็คงไม่ดีเท่ามังกรพิรุณขนาด 108 กิโลเมตร  แต่เมื่อมาถึงหุบเขาโลกธาตุ ไม่มีกฎสวรรค์คอยจำกัดพลังอย่างหุบเขามนุษย์ เว่ยกวงเหมือนปลาที่ได้น้ำ พลังทะยานขึ้นมากกว่าสิบเท่า ตรงกันข้ามกับมังกรพิรุณที่กลายเป็นเหมือนกับปลาไหลตัวน้อย!


“บึ้มมมม!”


ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างรวดเร็ว


จากนั้นฝ่ามือของร่างอวตารทะลุออกมาจากท้องฟ้าและกดลงกับพื้น


เทพปีศาจเว่ยกวงอาศัยความได้เปรียบของร่างกายขนาดมหึมา ไม่ต้องการให้เย่ว์หยางและมังกรพิรุณมีโอกาสตั้งหลักได้ เขาจึงใช้ฝ่ามือขนาดใหญ่ตบลงกับพื้น


ท้องฟ้าแตกเป็นกระจายจากการถูกโจมตีด้วยความเร็วสูง  ประกายไฟเผาไหม้จนมิอาจใช้ดวงตามองได้  กระแสอากาศไหลรุนแรงยิ่งกว่าพายุพัดเป็นร้อยเท่า แรงระเบิดกระจายออกจากศูนย์กลางกวาดออกไปรอบด้านกินพื้นที่ใหญ่หลายร้อยกิโลเมตร


ฝ่ามือของร่างอวตารกดลงมายังไม่ทันถึงพื้น พื้นดินก็บิดเบี้ยวแตกระเบิดกระจาย


ยอดเขาโค่นถล่ม


เขาหินทะลายราบลงกับพื้น


ต้นไม้ใหญ่ถูกถอนรากถอนโคน พื้นที่ป่าขนาดใหญ่หายไปไม่เหลือ


แม่น้ำและทะเลสาบระเบิดกระจายเป็นฝอยนับล้านหายไปในอากาศ


“โจมตี!”


เย่ว์หยางผู้ต่อสู้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับมังกรพิรุณ มีประสบการณ์ต่อสู้อย่างลำบากหนักหน่วงมานับไม่ถ้วน อารมณ์ของเขาดีขึ้น จิตใจแข็งแกร่งขึ้นราวกับเหล็กกล้า แต่เขาอดไม่ได้ที่จะถูกล่อลวงจากฉากภาพมหาโลกาวินาศข้างหน้านี้  เงาแห่งความตายนั้นมาพร้อมกับมือใหญ่โตครอบคลุมหัวใจของเย่ว์หยาง


ในช่วงวิกฤตที่สำคัญ เย่ว์หยางผู้มีเจตจำนงราชันย์ต่อต้านพลังกดดันที่อันตรายของเทพปีศาจเว่ยกวงที่ทำให้เกิดความกลัวอยู่ภายใน


มือยักษ์อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรมีพลังทำลายล้างโลก


เย่ว์หยางควบคุมมังกรพิรุณ


ไม่มีการล่าถอย


พายุอวกาศที่บดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มังกรพิรุณบุกทะลวงเข้าปะทะ


ฝ่ามือของร่างอวตารภายใต้สำนึกเทพและพลังกดดันของเทพปีศาจเว่ยกวงครอบคลุมมังกรพิรุณอย่างมั่นคง เย่ว์หยางกัดฟันแน่นไม่ยอมแพ้  ควบคุมมังกรพิรุณตะลุยหาฝ่ามือยักษ์ร่างอวตารที่กวาดสร้างหลุมลึกขนาดใหญ่หลายร้อยกิโลเมตร ก่อนที่ฝ่ามือมหึมาจะตบลงกับพื้น


การสนองตอบของเทพปีศาจเว่ยกวงรวดเร็วเพียงไหน


สำนึกเทพของเขาตื่นเต้นเล็กน้อย


ฝ่ามือยักษ์ที่ตบลงอย่างหนักหน่วงบนพื้นทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดในโลกได้ยกขึ้นมาอีกครั้งเตรียมเหยียดคลี่นิ้วเพื่อจับมังกรพิรุณไว้ในเงื้อมมือ


มังกรพิรุณแหวกว่ายอากาศอย่างดุเดือดในท่ามกลางคลื่นระเบิดอย่างบ้าคลั่งหลบหลีกการคว้าจับของร่างอวตาร


เทพปีศาจเว่ยกวงไม่ยินยอมพร้อมใจ เขากวาดมือไล่ตามเพื่อจับมังกรพิรุณ


เย่ว์หยางที่กระตือรือร้นสู้  ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ


วกมังกรพิรุณกลับไปสู้


ร่างที่เรียวยาวเชิดตัวขึ้นบนและพุ่งกลับไปยังด้านหลังเหมือนลูกศรคมกล้าแหวกอากาศพุ่งกลับมาทะลวงนิ้วหัวแม่มือของยักษ์อวตาร ในขณะที่เกิดการปะทะกัน หัวของมังกรนั้นเอนเอียงหลบหลีกแรงกระแทก และตัวมังกรเลื่อนเลื้อยผ่านหัวแม่มือร่างอวตาร ด้วยพลังแรงระเบิดในครั้งนี้ร่างของมังกรพิรุณยังพุ่งบินไปข้างหน้าต่อไป


นิ้วหัวแม่มือของร่างอวตารเทพปีศาจถูกหางมังกรกวาดโจมตีแตกร้าวที่ข้อต่อรุนแรง


เทพปีศาจเว่ยกวงยิ่งโมโหมากกว่าเดิม


เขาไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บที่นิ้ว พยายามฝืนตัวไล่ล่าจับมังกรพิรุณให้ได้


เย่ว์หยางกลั่นพลังระเบิดดวงดาวเป็นเวลานานและพ่นออกมาจากปากมังกรพิรุณ พลังระเบิดถูกยิงอัดเข้าไปในรอยต่อที่แตกร้าวของหัวแม่มือร่างอวตาร แม้แต่ดวงดาวก็ยังระเบิดกระจายได้ นี่คือระเบิดที่ทรงพลังอย่างมิต้องสงสัย  ถ้าเย่ว์หยางใช้เพื่อต่อสู้กับจ้าวสุริยาหรือจีอู๋ลี่ ผลของมันก็จะไม่รุนแรงมากเกินไป ที่สำคัญพลังที่ควบกลั่นรวมตัวและความตั้งใจโจมตีแบบนี้เป็นการยากที่จะทำอันตรายศัตรูที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันๆ ไมล์  ไม่ว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงไรก็ช่วยไม่ได้  อย่างไรก็ตามอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงถึงจะว่องไวเพียงไร เป็นไปไม่ได้ที่ตัวประหลาดขนาดยักษ์จะหลบหนีพ้นการโจมตีของศัตรู


หัวแม่มือขนาดหลายสิบกิโลเมตรของร่างอวตาร อย่าว่าแต่เย่ว์หยางเลย แม้แต่คนตาบอดที่ยิงระเบิดดวงดาวได้ก็โจมตีถูกได้ง่าย


หลังจากพลังคลื่นระเบิดผ่านไป


หินทรายปลิวว่อนเต็มไปหมด


ฝุ่นธุลีกวาดไปทั่วพื้นและกระจายบดบังทั้งพื้นฟ้าและพื้นโลก


แต่เมื่อพายุกวาดฝุ่นสลายไป เย่ว์หยางพบว่า หัวแม่มือของร่างอวตารที่ควรจะหัก ก็ยังคงอยู่ตรงหน้าเขา แม้ว่ารอยร้าวรูปใยแมงมุมจะขยายเพิ่มจากข้อต่อนิ้ว แต่พลังระเบิดดวงดาวไม่สามารถทำลายนิ้วหัวแม่มือของร่างอวตารที่โดนหางมังกรพิรุณฟาดใส่


นี่เป็นเพียงหัวแม่มือของร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวง… หากเขาต้องการโค่นล้มร่างอวตารของเว่ยกวงให้ได้ พลังแค่นี้นับว่ายังอ่อนด้อยเกินไป


ร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงใช้มือทั้งสองจับมังกรพิรุณให้ได้


มือทั้งสองงอเข้าหากันป้องล้อมมังกรพิรุณมาที่อกของเขา


เย่ว์หยางตะลึงนิ่ง


เหมือนรูปปั้น


ขณะที่ร่างอวตารจับร่างของมังกรพิรุณและเตรียมพร้อมจะทำลาย ทันใดนั้นมีเสียงดังราวสายฟ้าฟาดมาจากหัวของมังกรพิรุณ มันพ่นปราณกระบี่สีแดงฉีกสวรรค์และทำลายดิน


กระบี่แดงชี่เสี่ยวเหลียนทำให้ท้องฟ้าเรืองแสงสีแดงเต็มไปด้วยพลังปราณกระบี่สดใส พลังสังหารและเจตจำนงราชันย์ของเย่ว์หยางเล็งตรงไปที่อวตารทันที ปราณกระบี่ตัดมิติและเวลา  ก่อนที่สำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวงจะทันได้ตอบสนอง พลังกวาดผ่านเป้าหมายที่เย่ว์หยางเล็งและโจมตีสร้างบาดแผลให้กับหัวแม่มือครั้งแล้วครั้งเล่า


หัวแม่มือแตกหักออกเป็นสองส่วนตรงบริเวณข้อต่อ


เย่ว์หยางฉวยโอกาสดิ้นหลุดเป็นอิสระจากการจับเย่ว์หยาง มังกรที่ผสานร่างกับมนุษย์ทะยานขึ้นท้องฟ้าด้วยความเร็วสุดชีวิตไปยังส่วนหัวของร่างอวตารที่ยังมองไม่เห็น


ร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงอ้าปากยักษ์ที่น่ากลัวเหมือนจะกลืนมังกรพิรุณน้อยที่ยาวเพียง 108 กิโลเมตร


มังกรพิรุณพยายามเปลี่ยนทิศทางทะยานร่างไปข้างหน้า ปรับเปลี่ยนเส้นทางอย่างไม่หยุดยั้งโดยไม่ยอมย้อนหลัง


สู้อย่างขลาดเขลาไม่ใช่เย่ว์หยาง


ในที่สุดก่อนที่ฟันยักษ์น่ากลัวจะปิดลง มังกรพิรุณก็ทะลุผ่านริมฝีปากศิลาออกมาได้


หน้าของร่างยักษ์อวตารมีหลุมรอยแตกลึกเป็นร้อยเป็นพัน


จมูกของร่างอวตารถูกมังกรพิรุณยิงหินขนาดใหญ่เข้าใส่


มีตัวคั่นสะพานยาวที่จมูก


มังกรพิรุณโจมตีที่หว่างคิ้วของร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวง และยิงปราณกระบี่ส้มเฉิงหงกวนเพื่อทำลายทุกอย่าง


แม้ว่าเทพปีศาจเว่ยกวงจะมีพลังมากกว่า แต่ไม่ใช่ง่ายที่จะโจมตีมังกรพิรุณที่พุ่งเข้ามาใกล้พร้อมกับปราณกระบี่ส้มอย่างแม่นยำ การบาดเจ็บผิวเผินของร่างอวตารนั้นไม่ร้ายแรง แต่พลังปราณกระบี่บริสุทธิ์ทะลวงทะลุแนวป้องกันจู่โจมใส่สำนึกเทพซึ่งซ่อนอยู่ในร่างอวตารโดยตรง


หลังจากถูกโจมตีบ้างเทพปีศาจเว่ยกวงรู้สึกอับอายที่เป็นฝ่ายถูกโจมตี เขาใช้มือตบที่หน้าร่างอวตารด้วยความรำคาญ


ศิลาที่แตกรวมอยู่ในมือของมัน


มังกรพิรุณและเย่ว์หยางหนีอย่างร้อนรน  ร่างอวตารคำรามลั่นและเป่าก้อนหินที่รวมอยู่ในมือพ่นใส่มังกรพิรุณในท้องฟ้าราวกับดาวตก


เย่ว์หยางยืดร่างมังกรพิรุณตรงและควบคุมมังกรให้ดำดิ่งศีรษะลง


เพื่อลดพื้นที่ระดมยิง


เทพปีศาจเว่ยกวงไม่ต้องการปล่อยให้เขาหลบหนีไปได้  ใช้สำนึกเทพกักมังกรพิรุณซึ่งมีความยาวถึง 108 กิโลเมตร แม้ว่าร่างกายของมันจะเพรียวยาว แต่ก็ยังเป็นเป้าที่ใหญ่ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีจากอุกกาบาตที่เทพปีศาจเว่ยกวงนำ!  ที่สำคัญยิ่งกว่าร่างอวตารได้เหยียดแขนออกมารอไว้แล้ว เมื่อเย่ว์หยางหนีพ้นจากระยะฝนดาวตก แขนนั้นจะกวาดกลับมาจับเขาไว้ได้


“ฝนดาวตกช่างน่ากลัว!”  แม้ว่าเย่ว์หยางจะปากแข็ง แต่เขารู้ว่าการถูกอุกกาบาตชนนั้นไม่สบายดีอย่างแน่นอน มีแนวโน้มว่าจะทำให้ร่างอวตารจับเขาได้สำเร็จ


“ปัง ปัง!”


เย่ว์หยางควบคุมมังกรพิรุณพุ่งผ่านฝนหินดาวตก


ถ้ามีทางเลือกที่สอง เขาจะไม่ยอมเสี่ยง


น่าเสียดาย นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด


แม้ว่าเขาจะสามารถหลบหลีกจากกลุ่มอุกกาบาตที่ใหญ่ที่สุดและเร็วที่สุดได้  อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มีอุกกาบาตลูกค่อนข้างเล็กที่เขามิอาจเลือกหลบได้


อุกกาบาตนับไม่ถ้วนชนใส่หัวมังกรพิรุณ ด้านหลังอุกกาบาตรขนาดเล็กมีอุกกาบาตใหญ่จำนวนมากที่เฉียดปีกมังกรพิรุณ และมันทะยานฝ่าสายฝนอุกกาบาตเบี่ยงซ้ายบ้างหลบขวาบ้าง  หากความตั้งใจของเย่ว์หยางมั่นคงเพียงพอแต่มีสมาธิต่ำ เกรงว่าเขาคงถูกฝนอุกกาบาตขนาดใหญ่ฝังเขาทั้งเป็นไปแล้ว


ที่มีพลังมากกว่าฝนอุกกาบาตก็คือนิ้วหัวแม่มือยักษ์ที่หักพัง


ความยาวยี่สิบกิโลเมตรเทียบได้กับดาวเคราะห์น้อย


เมื่อมันกระแทกพื้นอย่างรุนแรง


ทุกอย่างที่อยู่บนพื้นสลายหายไป


แรงระเบิดที่เกิดขึ้นส่งผลต่อมังกรพิรุณและยิงฝนอุกกาบาตขึ้นท้องฟ้า…. มังกรพิรุณและเย่ว์หยางถูกกระหนาบระหว่างสองพลังทำลายล้าง เริ่มเคลื่อนไหวอย่างยากลำบากโดยไม่ตั้งใจ  เขาเพิ่งหลบพ้นจากร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงอยู่หยกๆ  แต่ตอนนี้กลับมีแรงระเบิดกวาดใส่เขา


เทพปีศาจเว่ยกวงยินดีที่เห็นว่าชิ้นส่วนจากร่างอวตารรุมกระหนาบโจมตีมังกรพิรุณร่วมกับฝนอุกกาบาต


เพียงแค่ใช้พลังเทพบดขยี้อัดใส่กลุ่มหินนี้


จากนั้นศัตรูที่น่ารังเกียจนี้


จะหายไป


อุกกาบาตมากมายแผ่ขยายกลับยิงมาชนร่างใหญ่อวตาร สำหรับเรื่องนี้เทพปีศาจเว่ยกวงเพิกเฉย ความคิดทั้งหมดของเขาอยู่ที่มังกรพิรุณและเย่ว์หยาง


อุกกาบาตก้อนหนึ่งพุ่งชนกระหม่อมของร่างอวตาร


ตอนแรกเทพปีศาจเว่ยกวงคิดว่าเป็นฝนดาวตกที่พุ่งกระจายออกมา เขาจึงไม่สนใจ


อย่างไรก็ตามอุกกาบาตทั้งหลายย้อนกลับมาด้วยความเร็วมากขึ้น


มีหินอุกกาบาตก้อนหนึ่งพุ่งใส่กระหม่อมของร่างอวตาร


ร่างอวตารกำมือแน่นและตระหนักว่านั่นเป็นพลังที่โจมตีตัวของเขาเอง  ศีรษะของหันไปมองท้องฟ้าไกล เป็นครั้งแรกที่สำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวงพบเห็นดวงดาวสว่างสุกสกาวในท้องฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มดาวนักษัตรสิบราศีและดวงดาวลึกลับอื่นที่ไม่รู้จักทั้งที่เห็นและไม่เห็นเชื่อมโยงกันอยู่ในท้องฟ้า อุกกาบาตที่ลุกไหม้เผาฝ่ามือของเทพปีศาจเว่ยกวงเป็นฝีมือของเย่ว์หยางที่เหมือนกับผีสิงในร่างมังกรพิรุณ


หมู่ดาวสิบสองนักกษัตรในท้องฟ้าดูเหมือนจะโคจรช้าลง


ดวงดาวเหล่านี้ขยับขับเคลื่อนไปจุดหนึ่ง


พลังดวงดาวก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งจุด


เมื่อกลุ่มดาวราชสีห์โคจรมาใกล้แนวศีรษะที่ด้านบนท้องฟ้า สำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวงพบว่ามีกลุ่มแสงกำลังยิงมาหาเขาด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง


สำนึกเทพแผ่ขยายออกไปไกล และกระตุ้นกลุ่มแสงที่น่ากลัว เทพปีศาจเว่ยกวงประหลาดใจที่พบว่ากลุ่มแสงนั้นกลายเป็นอุกกาบาตพุ่งออกมาจากขุนเขาเหนือขุน แห่งหุบเขาโลกธาตุ กลุ่มแสงนั้นได้รับผลจากการถูกเรียกมา ความเร็วจะเพิ่มขึ้นโดยอาศัยพลังจากกลุ่มดาวราชสีห์สนับสนุน  พอเข้าระยะพันกิโลเมตรก็เริ่มเร่งความเร็วกลายเป็นฝนดาวตกที่น่ากลัว


ถ้ามีกลุ่มดาวตกเพียงไม่กี่ร้อยลูก เทพปีศาจเว่ยกวง


อาจไม่สนใจ


อย่างไรก็ตาม ถ้ามีดาวตกร่วงลงมาโดยพลังสนับสนุนของกลุ่มดาวราชสีห์ แม้พลังจะไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์  แต่ก็มีจำนวนมากพอจะฝังเขาได้ร้อยเท่า


เจ้าเด็กนี่เพิ่งแทงปราณกระบี่ในหว่างคิ้วของเขา แต่ทำเครื่องหมายโจมตีบนศีรษะเขา?


เจ้าเด็กนี่ยังไม่เข้าสู่ระดับเทพ แต่หลอกสำนึกตรวจสอบ และเรียกพลังฝนดาวตกได้อย่างไร


ยิ่งกว่านั้นยังมีฝนดาวตกเป็นจำนวนมาก


ฝนดาวตกทั้งหมดตกลงบนขุนเขาเหนือขุนเขา  เขาเกรงว่าขุนเขาเหนือขุนเขาจะถูกทำลาย!  เจ้าเด็กนี่บ้าไปแล้วหรือเปล่า?  หรือว่าเขารู้ว่า ตัวเขาไร้เทียมทานจึงล่อลวงให้เขาถูกหลอกจากนั้นตนเองก็ลงมืออย่างบ้าระห่ำหรือเปล่า?


เทพปีศาจเว่ยกวงขยายสำนึกเทพออกไปพบว่าฝนดาวตกถูกเรียกมาโดยพลังกลุ่มดาวราชสีห์ เขาไม่รู้ว่ามีดาวตกมากกี่ล้านลูก


ไร้ขอบเขตที่สิ้นสุด


โลกจะถล่มทลายอย่างแท้จริง!



ตอนที่  1228  โรคระบาด


ก่อนฝนดาวตกจะร่วงลงมา มีเสียงกระหึ่มกึกก้อง


 


ร่างอวตารของเทพปีศาจเว่ยกวงร่วงลงมากระแทกกับพื้น


กลุ่มดาวตกพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง


ห่อหุ้มร่างมังกรพิรุณ


รวมทั้งเย่ว์หยางที่ไม่สามารถดิ้นรนสู้กระแทกร่างกับพื้นพร้อมกัน


แรงเสียดสีของอุกกาบาตความเร็วสูงถูกเทพปีศาจเว่ยกวงเร่งเร้าให้เพิ่มมากขึ้นเกิดเป็นประกายไฟฟ้านับพันสายยาวตลอดทางเส้นทาง กลุ่มควันรูปดอกเห็ดม้วนตัวขึ้นท้องฟ้า แรงระเบิดแผ่กระจายกวาดไปทั่วพื้นโลก


แรงระเบิดส่งผลกระทบไกลเกินกว่ากฎสวรรค์จำกัดของขุนเขาเหนือขุนเขาจะรองรับได้ ไม่เพียงแต่ท้องฟ้าและพื้นโลกเท่านั้น แม้แต่มิติอวกาศก็แตกเปิด เกิดหลุมดำขนาดใหญ่และกลืนกินทุกอย่างเข้าไปข้างในหลุมดำ ไม่ต้องพูดถึงทุกอย่างในหลุมดำเท่านั้นแม้แต่แรงระเบิดที่อัดกระแทกลงมาจากท้องฟ้าก็ไม่สามารถหนีแรงดึงดูดของหลุมดำไปได้ ไม่ว่าจะเป็นประกายสายฟ้า อุกกาบาต ควันหนา หรือแม้กระทั่งเสียงระเบิดทั้งหมดหายเข้าไปภายในหลุมดำที่อยู่ระหว่างโลกและสวรรค์


เงียบสงัด


แต่โลกทั้งใบเหมือนพบจุดจบ


หลุมดำกราดเกรี้ยวเหมือนสัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่งดูดกินทุกอย่างเข้าไปในปากยักษ์ของมัน


ยกเว้นมังกรพิรุณเท่านั้นที่สามารถดิ้นรนหลบหลีกจากพลังทำลายล้างโลกอย่างสมบูรณ์ได้…. มังกรพิรุณบินวนไปโดยรอบเส้นทางดึงดูด ขณะต่อต้านแรงดึงดูดของหลุมดำพลางหลบหลีกหินศิลาขนาดมหึมาที่อยู่ดึงดูดผ่านเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ในเวลานี้เย่ว์หยางนั้นเวียนหัวมาก ถ้าไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องจากมังกรพิรุณ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านรับพลังโจมตีที่ชั่วร้ายของร่างอวตารเทพปีศาจเว่ยกวง มีอุกกาบาตและมังกรพิรุณคอยกำจัดผลกระทบใหญ่ออกไป เย่ว์หยางยังคงรู้สึกว่าสมองว่างเปล่าอยู่เป็นเวลานาน ไม่สามารถฟื้นฟูสติขึ้นมาอย่างเต็มที่ได้


แน่นอนว่านั่นเป็นผลกระทบจากจิตสำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวง


เทพปีศาจเว่ยกวงใช้สำนึกเทพของนักสู้ระดับเทพ


สู้กับเย่ว์หยางตลอดเวลา


หลุมดำปรากฏเร็วและหายไปอย่างรวดเร็ว


กฎสวรรค์ขุนเขาเหนือขุนเขาแห่งหุบเขาโลกธาตุไม่ยอมให้การระเบิดครั้งนั้นพังทลายตัวมันอย่างเด็ดขาด หลุมดำหดตัวและหายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นชัดได้ด้วยตาเปล่า ในที่สุดก็หายไปไม่เหลือร่องรอยราวกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน


เห็นแต่พื้นโลกที่ถูกหลุมดำกลืนกินเข้าไปมีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ดูน่าตกใจ


เทพปีศาจเว่ยกวงฟาดเย่ว์หยางและมังกรพิรุณด้วยพลังเทพและด้วยกำปั้นที่ไม่มีนิ้วโป้งอัดกระแทกลงกับพื้น


ขณะนั้นท้องฟ้าทรุดตัวลงพื้นแผ่นดินเว้าแหว่งหายยาวเกือบพันกิโลเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ว่างโดยรอบพังทลายมีควันคุกรุ่น มังกรพิรุณกำลังดิ้นรนและมองเห็นได้เพียงแต่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเปลวเพลิง และจากโดนฟาดลงกับพื้น ในท้องฟ้าฝ่ามือพลังเทพที่นิ้วหัวแม่มือหายไปยังคงอยู่และกดอัดลงมาที่เย่ว์หยางและมังกรพิรุณ.. ภูเขาและแม่น้ำถูกป่นทลายเป็นผุยผง แต่วินาทีต่อมาก็กลับมารวมตัวภายใต้สำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวงกลายเป็นหินและภูเขาโคลน… มือยักษ์ของร่างอวตารกวาดเอาภูเขารอบๆ และกดลงบนหัวของเย่ว์หยางที่อยู่ในหลุมลึก


ไม่เพียงเท่านั้น


เทพปีศาจเว่ยกวงควบคุมมือทั้งสองของเขาบิดศีรษะร่างอวตาร


เขามีอีกแผนหนึ่งคือทิ้งศีรษะที่ถูกฝนดาวตกของกลุ่มดาวราชสีห์อัดกระแทกใส่ และให้ฝนดาวตกกลุ่มดาวราชสีห์ฝังเจ้านายของมัน มังกรพิรุณและเย่ว์หยางจะถูกฝังอยู่และผนึกไว้ที่ด้านล่าง


ครืนนนน ศีรษะร่างอวตารถูกบิดแยกออกจากร่าง


เทพปีศาจพบอย่างคาดไม่ถึงว่ากลุ่มดาวตกของดาวราชสีห์ไม่ได้อยู่บนหัวของร่างอวตาร


มันอยู่ในร่างยักษ์ที่เขาถอนดึงกลับมา ซึ่งหมายความว่าฝนดาวตกราชสีห์เป้าหมายโจมตีของฝนดาวตกก็คือสำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวง แทนที่จะเป็นร่างอวตารขนาดใหญ่เหลือเชื่อ ขณะที่เทพปีศาจเว่ยกวงตกตะลึง สายเกินกว่าที่เขาจะค้นพบว่าปราณกระบี่ได้ทำเครื่องหมายไว้ที่จิตสำนึกเทพของเขาได้อย่างไร ร่างของเขาถูกกระแทกลงทันทีร่างอวตารขนาดมหึมาที่ไม่มีหัวสูญเสียการควบคุมร่างสูงใหญ่หลายหมื่นเมตรพลันร่วงล้มลง


ท้องฟ้าทั่วขุนเขาเหนือขุนเขาพลันมืดมิดกะทันหัน


และถ้าปล่อยให้ร่างขนาดดวงดาวกระแทกลงมา ไม่รู้ว่าขุนเขาเหนือขุนเขาจะล่มสลายพังทลายหรือเปล่า


มังกรพิรุณเร็วกว่าเทพปีศาจเว่ยกวงเจาะทะลวงออกมาจากภูเขายักษ์โคลนที่เกิดจากพลังบีบอัดของปีศาจเว่ยกวง มันตอบโต้ภายใต้พลังเจตจำนงสูงสุดของเย่ว์หยาง


“เป็นเด็กหนุ่มโดดเด่นที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ข้านึกไม่ถึงเลยว่าหอทงเทียนจะมีเด็กยอดเยี่ยมเหมือนเสี่ยวจี ทั้งที่อายุยังน้อยก็ยังกล้าประลองต่อสู้กับเทพปีศาจเว่ยกวง ฮึ… จะฆ่าเด็กน่ารักอย่างเจ้าข้ายังลังเลใจอยู่บ้าง!  เราผู้เฒ่าอยากดูว่าเจ้าหล่อสง่างามขนาดไหน  หากทำให้เราผู้เฒ่าพอใจได้อาจจะขอให้เจ้าตำหนักผู้สูงสุดไว้ชีวิตเจ้าก็ได้ ทั้งจะยอมรับเจ้าไว้เป็นยามเฝ้าประตู!”  จิตสำนึกของเทพปีศาจเว่ยกวงส่งข้อความเข้ามาถึงใจของเย่ว์หยาง และในท่ามกลางความมึนงงอยู่ในทะเลความรู้ ความคิดของเขาเหมือนถูกคลื่นฟ้าผ่าระเบิดใส่


“ใครกัน?”  เย่ว์หยางตกใจ มันยากลำบากกับการรับมือเทพปีศาจเว่ยกวงพออยู่แล้ว ตอนนี้กลับมีปีศาจเฒ่าที่ไหนแทรกแซงเข้ามาอีก


“ออกมาจากหุ่นน้อยตัวนี้ให้เราผู้เฒ่าดู อย่ามัวเสียมารยาท ครอบครัวเจ้าไม่ได้สอนมารยาทให้เจ้าหรือ?”  มีเงาดำที่ไม่รู้ปรากฏออกมาจากไหน  สำนึกเทพของเทพปีศาจเว่ยกวงกับเย่ว์หยางกำลังต่อสู้กัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันตกลงบนหัวของมังกรพิรุณทันที


มีแสงสีดำแปลกประหลาดยิงออกมา


เย่ว์หยางที่แต่เดิมผสานร่างกับมังกรพิรุณกระเด็นออกมาจากปากมังกรอย่างคาดไม่ถึง


มังกรพิรุณพอสูญเสียสำนึกของเย่ว์หยางคอยควบคุมก็ไม่ได้รับพลังสนับสนุนจากเย่ว์หยางก็ไม่สามารถต้านพลังกดดันของเทพปีศาจเว่ยกวง  นอกจากนี้ยังมีร่างเงาปริศนาที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด  มังกรพิรุณ 108 กิโลเมตรตกลงไปบนพื้นหิน แม้พยายามดิ้นรนก็ยังหลบหนีไม่ได้


เย่ว์หยางไม่มีเวลาตอบโต้ก็พบว่าอสูรประหลาดเข้ามากัดเขา


หลังจากหลบพ้นอันตรายเขาตกใจเมื่อพบว่า


อสูรประหลาดกลับกลายเป็นฟันเลื่อยคู่หนึ่งที่กำลังอ้าปากใกล้เข้ามา


มันบินพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วราวอุกกาบาตที่ตกลงมาจากท้องฟ้าและตกลงบนภูเขาข้างหน้า มันงับภูเขาหายไปเป็นคำๆ ร้ายกาจยิ่งกว่าหลุมดำ


มันคือตัวอะไรกัน?


แล้วมันมีรูปร่างเหมือนฟันปลอมได้อย่างไร?


และนอกจากนี้ อสูรศึกเช่นนี้วิวัฒนาการมาถึงระดับที่น่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร?


เย่ว์หยางค้นไม่พบเจอเห็นผล และเงาร่างหนึ่งยิงแสงเขียวชั่วร้ายตรงมาที่ร่างของเย่ว์หยาง


“อันตราย” เย่ว์หยางไม่ได้ใช้พลังป้องกันการโจมตี แต่ใช้การเทเลพอร์ตผ่านมิติหลบห่างออกไปหมื่นเมตร แต่แสงเขียวไปปรากฏล่วงหน้าเย่ว์หยางอย่างผิดกฎธรรมชาติโดยมิอาจบอกได้


มีภูเขาด้านหลังถล่มครืนราวกับว่ามีมือเทพเจ้าทำลาย


เขาพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง


ราวกับว่ามีมือเทพผลักเขาจากด้านหลัง


ในขณะที่กลุ่มแสงสีเขียวโจมตีเย่ว์หยางก็ทำลายภูเขาพังทลายหลังจากเย่ว์หยางเปลี่ยนตำแหน่ง


ที่ด้านหน้าของเย่ว์หยาง ภูเขาที่สลับตำแหน่งกับเขากลายเป็นมีเชื้อโรคลามระบาด เย่ว์หยางกลัวแทบปัสสาวะราด ถ้าเขาถูกโรคลามใส่ เทพปีศาจเว่ยกวงคงตบเขาตายในคราวเดียว


นี่เป็นการโจมตีที่ชั่วร้ายอำมหิต!


เป็นแค่มนต์ดำ!


“เป็นเด็กไม่ดีเลยนะ!  กล้าทำตัวไม่สุภาพต่อหน้าเราผู้เฒ่าเชียวหรือ?  ข้าคิดว่าเจ้าสามารถใช้พลังทำลายยอดเขาได้หลายลูก ที่แท้เด็กน้อยเจ้าเรียนรู้พลังดวงดาวได้นิดหน่อยเท่านั้น ดูซิว่าจะทำหยิ่งอะไรได้อีก!”  เงาดำสลายกลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวปรากฏบนพื้นนับหมื่น


“แย่แล้ว!”  เย่ว์หยางไม่กลัวสิ่งใดในโลกหรือสวรรค์ ไม่กลัวบาดแผล ความเจ็บปวด  แต่กลัวถูกเชื้อโรคลามระบาด


กลุ่มแสงสีเขียวลามระบาดอย่างนี้เขาจะซ่อนตัวได้อย่างไร?


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเทพปีศาจเว่ยกวงใช้พลังเทพกดดันเต็มที่และทั้งโลกเหมือนกับมีเหล็กถ่วงด้วยพลังเจตจำนงของเขา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเทเลพอร์ตได้อย่างง่ายดาย


เย่ว์หยางยิงระเบิดดวงดาวกระจายเปลวไฟเต็มฟ้า


แต่น่าเสียดาย….


เจ้าอสูรฟันปีศาจไม่รู้ว่าบินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดาวระเบิดในท้องฟ้าถูกมันกลืนกินไปหมด


หากเย่ว์หยางซ่อนตัวไม่เร็วพอ เขาอาจถูกอสูรฟันปีศาจที่น่ารังเกียจกินลงไปก็ได้  ท้องฟ้าเต็มไปด้วยกลุ่มแสงสีเขียวที่ติดตามเย่ว์หยางโดยอัตโนมัติ  เย่ว์หยางไม่ได้กลัวแสงสีเขียวถ้ามันคือตัวแทนสภาพแวดล้อมสีเขียวงดงาม แต่นี่มันคือเชื้อโรคที่ร้ายกาจ


ปีศาจเฒ่านี่โผล่ออกมาจากไหนกัน?


มีความสัมพันธ์ใดกับเทพปีศาจเว่ยกวงและจีอู๋ลี่?


ขณะที่เย่ว์หยางรู้สึกว่าเวลานี้เขาจะกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์ได้อย่างไร คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นในสถานการณ์เช่นนี้กับโผล่ออกมา


สาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์


ไม่นะ


พูดให้ถูกก็คืออดีตเทพธิดาแห่งความโชคร้ายแพนดอราผู้รวมวิญญาณกับสาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์!


ปกติแพนดอราจะไม่เข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ของเย่ว์หยาง ไม่ว่าการต่อสู้นั้นจะรุนแรงเพียงไหน นางไม่อยากเข้ามาแทรกแซง  นางรู้สึกว่านี่จะเป็นผลกระทบต่อความก้าวหน้าเติบโตของเย่ว์หยาง  อย่างไรก็ตามวันนี้นางปรากฏตัวโดยมิคาดคิด และนางเต็มไปด้วยความโกรธ!


“นางแม่มดเฒ่าชั่วร้าย บังอาจขโมยพลังของพี่สาวข้า!”  แพนดอราปรากฏร่างที่ด้านข้างเย่ว์หยางและชี้นิ้วไปที่ร่างเงา


“อย่าเพิ่งโมโหเรื่องนี้ แก้ปัญหากลุ่มแสงเขียวเหล่านี้ก่อน… เจ้าคลี่คลายมันได้ไหม?” เย่ว์หยางรีบห้ามแพนดอราไม่ให้โมโห ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาด่าว่าคนอื่นไม่งั้นทั้งคู่จะกลายเป็นติดโรคระบาด  ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงสีเขียว ค่อยๆ เข้ามาใกล้จนทั้งสองแทบจะโดนแสงโรคระบาดใส่


“วิชาโรคระบาดแบบนี้ แต่แค่ไหนกันเชียว?”  แพนดอราดูถูกเหยียดหยาม คำรำพึงของนางทำให้เย่ว์หยางมีความสุข  แต่น่าเสียดาที่คำพูดต่อมาแทบทำให้เย่ว์หยางอยากฆ่าตัวตาย เพราะแพนดอราสับสนเอามือเกาหลังศีรษะ “วิธีแก้ปัญหาพลังโรคระบาดนั้นง่ายมาก แต่ข้านึกไม่ออก ความทรงจำตรงช่วงกลางมันขาดหายไป คงจะดีถ้าพี่สาวข้าอยู่ด้วย ไม่ว่าคลื่นพลังนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม!”


“ใครคือพี่สาวเจ้า?”  เย่ว์หยางพูดไม่ออก และตอนนี้สายเกินกว่าจะเรียกพี่สาวของนางมาช่วยชีวิตนาง  ตอนนี้ต้องหาวิธีแก้ปัญหาก่อน


“พี่สาวข้าหรือ?”  สีหน้าของแพนดอรายิ่งดูสับสนมากขึ้น และผมของนางยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิด  “ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ว่าข้ายังมีพี่สาวอยู่?  ข้าอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือ?”


“เจ้าจงใจออกมากวนใจข้าหรือเปล่า?”  เย่ว์หยางไม่รอให้นางพูด เขารู้ว่าสาวนางนี้ความทรงจำไม่ดี  และทั้งสองยังทำเรื่องไร้สาระกันอยู่!


“ไม่ ไม่ใช่ นายท่าน ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจออกมากวนใจท่าน!”  สาวใช้ผู้น่าสงสารได้รีบถือโอกาสออกจากทะเลจิตสำนึกพูดก่อนแพนดอราแสดงให้เห็นถึงความภักดีของนาง  “ข้าน้อยห่วงนายท่านดังนั้นจึงขอให้แพนดอราออกมาช่วย  ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”


“เฮ้ออ”  เย่ว์หยางรู้สึกสับสน  แพนดอราความทรงจำเสื่อมไม่หวังพึ่งอะไรได้ แต่สาวใช้น้อยออกมาร้องไห้สำนึกผิด เขาปวดหัวจริงๆ


กลุ่มแสงเขียวถูกนำมาโดยเจตจำนงของร่างเงา


และคลุมรอบตัวเย่ว์หยางและสาวใช้เอลฟ์


เป็นปริมาณนับหมื่นนับพันจุด


อย่าว่าแต่ป้องกันเลย แค่ต้องการจะหลบหนียังทำไม่ได้ สุดท้ายเย่ว์หยางกอดสาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์ตะโกน “เปิดประตูหน่อย ข้ามาเก็บค่าเช่า!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม