Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 6-11
บทที่ 6 ไทเฮามีรางวัล
โดย
Ink Stone_Romance
โลกนั้นอนิจจัง
คุณหนูจวินคิดถึงคำที่อาจารย์เคยพูด อาจารย์บอกว่านี่เป็นคำที่ภิกษุคนหนึ่งเคยเอ่ยไว้
อาจารย์บอกว่าคำพูดที่ภิกษุพูดส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำโกหก แต่ประโยคนี้พูดไปยังนับว่าเป็นคำพูดจริง
ชีวิตคือเวลา โลกคือสถานที่ เวลาต่าง สถานที่ต่าง ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
นางไม่ใช่องค์หญิงจิ่วหลิงแล้ว นางก็ไม่ใช่ท่านย่าของนางแล้วด้วย
นางเป็นชาวบ้าน นางเป็นไทเฮา
นางต้องเคารพนาง ส่วนนางไม่ต้องเกรงใจคุ้มครองนาง
ดังนั้นความไม่เกรงใจของคำพูดนี้ คำพูดนี้ไม่เกรงใจก็สมเหตุสมผล
คุณหนูจวินหลุบตายิ้ม
“กฎกำหนดจากชะตา กฎใหญ่เพียงใดก็ใหญ่ไม่เท่าชะตา” นางเอ่ย ย่อเข่าคำนับไทเฮาอีกครั้ง “องค์ไทเฮาชะตากำหนดให้พบลางร้ายก็กลับกลายเป็นดี”
องค์ไทเฮาอึ้งไปจากนั้นก็หัวเราะแล้ว
“เป็นหมอเทวดาจริงๆ พูดเก่งจริงๆ” นางเอ่ย “ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าชมข้าหรือว่าชมตัวเจ้าเอง”
มองเห็นไทเฮาหัวเราะ บรรดาสนมชั้นเฟยชั้นผินและท่านหญิงบรรดาศักดิ์รอบด้านล้วนรีบหัวเราะตาม
“นี่เป็นคำชมได้อย่างไรเล่าเพคะ” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวหัวเราะเอ่ย “องค์ไทเฮาชะตาของท่านสูงส่งยิ่งนัก นี่เป็นความจริง”
ไทเฮาหัวเราะอีกครั้ง
“ข้ารู้ทันเจ้า เจ้าเข้าข้างนาง” นางเอ่ย มองท่านหญิงผู้ฒ่าติ้งหยวนโหวอย่างมีความนัยลึกล้ำทีหนึ่ง
ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวยิ้มคำนับ
“พระนางทรงปราดเปื่อง ที่สำคัญคือข้าเคยได้รับประโยชน์จากนาง” นางหัวเราะเอ่ย
คำพูดนี้ของนางหนึ่งคำสองนัย คนที่อยู่ที่นั้นล้วนรู้ เคยได้ประโยชน์จากที่คุณหนูจวินรักษา แล้วรู้ความร้ายกาจของวิชาแพทย์ของคุณหนูจวิน ดังนั้นจึงอดไม่ได้เอ่ยชม
ไทเฮายิ้มไม่เอ่ยคำพูดยื่นมืออกมา
“คุณหนูจวิน ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากเจ้าดูข้าหน่อยแล้ว” นางเอ่ย
นี่คือจะให้จับชีพจรแล้ว
นางกำนัลด้านข้างนำพนักพิงกับเบาะมา คุณหนูจวินมองเบาะ
ก่อนหน้านี้นานนักนางก็เคยเป็นเช่นนี้ต่อหน้าไทเฮามาก่อน
นางงอเข่าคุกเข่าบนเบาะ ยื่นมืออกมา
“ท่านย่า ข้าอยากกินอันนี้”
เด็กน้อยคนหนึ่งก็เคยคุกเข่าบนเบาะเช่นนี้ ยื่นมืออกไปเอนตัวค้ำพนักพิงเอ่ยกับไทเฮาอย่างสบายๆ ตามใจอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์
คุณหนูจวินวางมือบนข้อมือของไทเฮาหลุบตาลงตั้งสมาธิ
ด้านในโถงตำหนักมีเสียงคุยเล่นเบาๆ ต่อเนื่อง
“…สุรานี่รสดีอยู่นะ…”
“…เป็นของที่หมักในวัง…ตอนกลับขอมาสักหส่อย…”
นี่เป็นบทสนทนาของบรรดาท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์
สุราที่หมักในวังรสชาติดีนักจริงๆ ตอนนั้นยังเคยหมักสุราผลไม้ที่ผู้หญิงดื่มให้นางกับพี่สาวโดยเฉพาะ
“….น้องสาวเปลี่ยนที่พำนักแล้ว? ย้ายไปหอซือเสียนแล้วรึ?”
“…ใช่แล้วที่นั่นใกล้สวนดอกไม้อวี้ฮวา ฤดูใบไม้ผลิต้องสวยมากแน่…”
นี่เป็นบทสนทนาของบรรดาองค์หญิง
หอซือเสียนความจริงไม่เหมาะให้คนอาศัยอยู่ นั่นเป็นสถานที่ฝึกคัดอักษรก่อนหน้านี้ของพี่สาว
ทุกสิ่งที่เคยเป็นของพวกนางล้วนไม่มีแล้ว เปลี่ยนเจ้านายใหม่แล้ว
คุณหนูจวินรั้งมือกลับ
“เป็นอย่างไร?” ฮองเฮาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยด้านข้าง
“น้ำแกงปรุงรสที่องค์ไทเฮาเสวยเมื่อคืนวานหลังจากนี้ไม่เสวยจะดีกว่าเพคะ” คุณหนูจวินเอ่ย “ไม่เช่นนั้นอาการไอยามค่ำคืนนี้คงยังต้องเป็นต่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง”
คำพูดนี้ออกมาฮองเฮาก็ร้องเอ๋ ไทเฮาก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ คนที่ล้อมรอบด้านเข้าใจว่าคุณหนูจวินคนนี้พูดถูกแล้ว
“จับชีพจรถึงกับตรวจรู้ว่ากินอะไรเชียวหรือ?” องค์หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างไทเฮาอดไม่ได้เอ่ยถาม
นี่เป็นธิดาคนที่สี่ของฮ่องเต้ องค์หญิงเฟิงผิง ปีนี้อายุสิบพรรษา
“บางครั้งก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ย
องค์หญิงเฟิงผิงกอดแขนไทเฮาทันที
“ท่านย่า ท่านย่า ข้าก็จะจับชีพจรด้วย” นางเอ่ย “ให้นางทายว่าเมื่อคืนวานข้ากินอะไร”
ฮองเฮาท่าทางเคร่งเครียดอยู่บ้าง
“อย่าก่อเรื่อง” นางตรัส
ในฐานะลูกสะใภ้ที่เพิ่งมาอยู่ต่อหน้าแม่สามีได้ไม่กี่ปีคนหนึ่ง ฮองเฮาอยู่ต่อหน้าไทเฮายังคงยากเลี่ยงระมัดระวังและหวาดกลัว
ไทเฮากลับไม่ได้สนใจนาง ยื่นมือแตะปลายจมูกขององค์หญิงเฟิงผิง
“เอาสิ ถ้าคุณหนูจวินทายถูก เจ้าจะพระราชทานรางวัลอะไรให้นาง?” นางตรัสขึ้น
ดูท่าคงเป็นสายเลือดห่างรุ่น ไทเฮามักจะรักรุ่นหลานอยู่เสมอ
องค์หญิงเฟิงผิงมองคุณหนูจวิน ท่าทางหยิ่งยโส
“ข้าจะพระราชทานขนมกุ้ยฮวากล่องหนึ่งให้นาง” นางเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มคำนับให้นาง
“ขอบพระทัยองค์หญิง” นางเอ่ย
“นี่เป็นถึงขนมกุ้ยฮวาที่วังของข้าทำขึ้นมาโดยเฉพาะเชียวนะ ที่อื่นหาทานไม่ได้” องค์หญิงเฟิงผิงเอ่ยขึ้นท่าทางอวดอยู่บ้าง
คุณหนูจวินเอ่ยขอบพระทัยอีกครั้ง
“เจ้าอย่าเพิ่งขอบพระทัย คว้าได้หรือไม่ยังไม่แน่นะ” องค์หญิงเฟิงผิงเอ่ย ตอนที่นั่งลงข้างไทเฮาก็ยื่นมือออกมา
คุณหนูจวินจับชีพจรครู่หนึ่ง
“องค์หญิงค่ำเมื่อวานทานเป็ดย่างมากอยู่บ้าง” นางเอ่ยพึมพำ “เกรงว่าวันนี้ตอนเช้าคงไม่ค่อยอยากเสวยพระกระยาหาร”
องค์หญิงเฟิงผิงร้องเอ๋ ไทเฮาลูบหัวไหล่นาง
“นางพูดถูกรึ?” นางยิ้มเอ่ยถาม
องค์หยิงเฟิงผิงพยักหน้าหลายทีไกวแขนของไทเฮา
“นางเดาถูกจริงๆ เดาถูกจริงๆ” นางเอ่ย
“นี่ย่อมไม่ใช่เดา” ไทเฮาเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวิน สีหน้าปกติ “คุณหนูจวินวิชาแพทย์สูงส่ง”
นี่เป็นคำชมสูงที่สุดแล้ว ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวคิดอยากเตือนสักหน่อย คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็คำนับขอบพระทัยไปแล้ว
“ท่านย่า ท่านย่า ข้าก็อยากจับชีพจร” องค์หญิงหลายคนก็ล้อมเข้ามาหมด
ไทเฮากลับกวาดมองพวกนางเคร่งขรึมทีหนึ่ง เสียงของบรรดาองค์หญิงพลันหยุดลงทันทีสายตาของไทเฮามองไปทางผู้คนในตำหนักอีกครั้ง
“คุณหนูจวินเป็นหมอ รักษาโรคช่วยคน ไม่ใช่คนที่ให้พวกเจ้ามาเล่นด้วย” นางเอ่ย “คุณหนูจวินรักษาไหวอ๋องหายดี รักษาสายเลือดของอดีตองค์รัชทายาทไว้ คุณงามความชอบประมาณไม่ได้ ข้าย่อมให้รางวัลอย่างงาม”
ผู้คนด้านในตำหนักได้ยินเข้าก็คุกเข่าลง
“ถวายพระพรไทเฮา ยินดีกับไทเฮา” พวกนางเอ่ยพร้อมเพรียง
คุณหนูจวินย่อมคุกเข่าตามด้วย หลังผู้อื่นลุกขึ้นนางก็ยังคงคุกเข่าอยู่ มองดูเหล่าขันทียกรางวัลพระราชทานที่เตรียมไว้ก่อนนานแล้วออกมาทีละอย่าง
“องค์ไทเฮาพระราชทานหยกสมปรารถนาหนึ่งคู่”
“องค์ไทเฮาพระราชทานฉากกั้นลมแก้วหนึ่งบาน”
“องค์ฮองเฮาพระราชทานผ้าไหมวังทุกสิ่งสมปรารถนาสี่พับ”
“องค์ฮองเฮาพระราชทานบุปผาหยกหนึ่งคู่”
พร้อมกับเสียงประกาศทีละอย่างๆ พร้อมกับสายตาอิจฉา นับถือและชื่นชมรอบด้าน คุณหนูจวินโขกศีรษะ
“ขอบพระทัยพระกรุณาอันล้นพ้นของพระนาง” นางก้มตัวกับพื้น หน้าผากแนบติดกับพื้นเย็นเยียบเวววาว
…
มีพระราชทานรางวัลเบื้องหน้าพระพักตร์ไทเฮากับฮองเฮาต่อหน้าผู้คน คุณหนูจวินที่เดินออกมาจากตำหนักบรรทมของไทเฮาถูกคนมากกว่าเดิมรุมล้อมแล้ว
“นี่นับเป็นรักษาตามรับสั่งหรือ?” ท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์คนหนึ่งยิ้มเอ่ย “องค์ไทเฮาเอ่ยกับพระโอษฐ์ว่าเจ้าเป็นหมอ รักษาโรคช่วยคน ไม่ใช่คนที่ให้คนมาเล่นด้วย”
คนรอบด้านล้วนยิ้มพยักหน้าพากันเอ่ยว่าใช่ พร้อมกันนั้นก็เชิญคุณหนูจวินมาเที่ยวเล่นที่บ้านในเดือนหนึ่ง
นี่หมายความว่านางได้รับการยอมรับจากบรรดาผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองหลวงแล้ว
“ข้าเป็นหมอคนหนึ่ง ไม่อาจไปเป็นแขกตามใจได้” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “แล้วก็ต้องดูด้วยว่าไปได้หรือไม่”
บรรดาท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์รอบด้านหัวเราะแล้ว
“เจ้าพูดเช่นนี้พวกเราล้วนไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่ดีใจที่เจ้ามา”
คุยเล่นกันมาถึงด้านนอกประตูวังอย่างรวดเร็วยิ่ง บรรดาชายหนุ่มตระกูลต่างๆ ด้านนอกประตูหวังล้วนรอคอยสตรีของบ้านตนเอง ดูไปแล้วอลหม่านอยู่บ้าง
คุณหนูจวินมองทีเดียวก็เห็นจูจั้นท่ามกลางความอลหม่านนี้
เขากำลังยืนพูดกับชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งอยู่ เหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองข้ามมา
สายตาของทั้งสองคนประสานกัน คุณหนูจวินยิ้มให้เขา
จูจั้นทำหน้ารังเกียจ หันหน้าหนีไป
คุณหนูจวินกำลังลังเลว่าจะไปเอ่ยสักประโยคกับเขาดีหรือไม่ จูจั้นพลันตบม้าเอ่ยอะไรประโยคหนึ่ง ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งก็ขึ้นม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
……………………………………….
บทที่ 7 ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง
โดย
Ink Stone_Romance
คนคนนี้ นางกลับพัวพันเขาอยู่เสมอ
คิดดูก็ต้องโทษช่วยไม่ได้ เรื่องมากมายนางดันยังคงต้องพัวพันกับเขา
เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดังนั้นจึงรู้สึกอึดอัดและโมโห
คุณหนูจวินมองแผ่นหลังมองเขาไกลออกไป ยิ้ม
“คุณหนูจวิน” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวเดินมาจากด้านหลัง
คุณหนูจวินรีบคำนับนาง
“วันนี้เผยหน้าหน้าพระพักตร์องค์ไทเฮาแล้ว หลังจากนี้กิจการนี่คงไม่ต้องวิตก นอกจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวคนอื่นมาทำลายกฏของเจ้าอีกต่อไป” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวยิ้มเอ่ย
คุณหนูจวินคำนับนางอย่างเคารพอีกครั้ง
ตอนนั้นในโถงตำหนักท่าทางของไทเฮาเริ่มไม่เกรงใจ สถานการณ์เช่นนั้นมีเพียงท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวที่กล้าออกมาพูดแทนนาง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ทำออกมาได้ง่ายๆ จริงๆ
“ขอบคุณท่านหญิงผู้เฒ่า” นางเอ่ยอย่างจริงใจ
เช่นเดียวกับองค์หญิงจิ่วหลี ความชื่นชอบกริ้วโกรธของพวกนางคนเหล่านี้ไม่มีทางใช้วาจาเอ่ยออกมาเด็ดขาด เรื่องมากมายต้องอาศัยเข้าใจความนัย เจ้าเข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ช่างแล้ว
ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวหัวเราะไม่พูดจา ไม่ต่อหัวข้อสนทนานี้ จับแขนท่านหญิงติ้งหยวนโหวเดินแยกไป
คุณหนูจวินมองส่งพวกนางจากไป
นี่ล้วนเป็นความชอบของวิชาแพทย์ ทำให้หญิงสูงศักดิ์เหล่านี้พูดแทนนางได้ นี่ล้วนเป็นความสามารถในการตั้งตัวหาที่พึ่งที่อาจารย์มอบให้นางสินะ
อนาคตจะมีคนมากกว่าเดิมติดหนี้บุญคุณวิชาแพทย์นี้ หลังจากนั้นก็จะมีคนมากกว่าเดิมพูดแทนนางสินะ
“คุณหนูจวิน รถม้าของท่าน” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยเบื้องหลัง
นี่คือรถบรรทุกที่ขันทีผู้มาส่งรางวัลพระราชทานเตรียมไว้ รถม้าของคุณหนูจวินซึ่งเดิมทีจอดอยู่ด้านนอกสุดก็ถูกจูงมาด้วย คุณหนูจวินพยักหน้าเอ่ยขอบคุณให้พวกเขาถอยออกมาหลายก้าว
รถบรรทุกรางวัลพระราชทานไว้เต็มแน่น รวมถึงผู้คนที่อิจฉาและใคร่รู้จากไปตามถนนเสด็จพระราชดำเนินแล้ว เข้าไปในถนนที่โรงหมอจิ่วหลิงตั้งอยู่ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่พาคนมารอข่าวก่อนนานแล้วจุดประทัด
เสียงประทัดสนั่นทั้งถนน บรรดาพนักงานเต๋อเซิ่งชางที่ยืนยุบยับอยู่สองแถวตะโกนขอบพระทัยน้ำพระกรุณาดังกลบเสียงประทัด ข่าวโรงหมอจิ่วหลิงได้พระราชทานรางวัลจากไทเฮาแพร่ไปทั่วทั้งเมืองแล้ว
คุณหนูจวินนั่งอยู่ในรถม้า เหมือนไม่ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกที่ดังจนหูแทบดับ นางเพียงมองกล่องที่วางอยู่ตรงหัวเข่า
นี่คือขนมกุ้ยฮวาที่องค์หญิงเฟิงผิงพระราชทานเป็นรางวัลให้นาง
คุณหนูจวินเปิดกล่องออก หยิบชิ้นหนึ่งวางในปากเคี้ยวช้าๆ
ขนมกุ้ยฮวานี่ทำไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนครัวในวังเปลี่ยนแล้วสินะ เปลี่ยนเป็นรสชาติที่เหมาะสมกับนายคนใหม่
เลือดของคนเก่าถูกพวกเจ้าล้างเกลี้ยงแล้ว แต่คนเก่าไม่แน่ว่าจะถูกลืมเลือน
คุณหนูจวินกลืนขนมกุ้ยฮวาลงไปช้าๆ
ความครึกครื้นด้านนี้คนที่นั่งอยู่ในสำนักแพทย์หลวงแทบจะได้ยิน ท่านหมอเกิ่งโมโหอยู่บ้างหยิบก้อนผ้าที่ยัดอยู่ในหูโยนทิ้ง
“หนวกหูจะตายแล้ว” เขาตะโกนไปข้างนอก “รบกวนชาวบ้านเช่นนี้กรมทหารม้าห้าเมืองไม่สนหรือไง?”
“ไม่พูดถึงโรงหมอจิ่วหลิงมีราชโองการอดีตฮ่องเต้อยู่ ครั้งนี้รักษาไหวอ๋องหายของรางวัลพระราชทานที่ไทเฮาฮองเฮาพระราชทานต่อหน้าธารกำนัลก็วางอยู่ในโรงหมอด้วยแล้ว ต่อให้นางทำเมืองหลวงอลหม่าน กรมทหารม้าห้าเมืองก็ไปยุ่งไม่ได้แล้ว” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
ก็เพราะเขารู้เรื่องนี้ถึงโมโห ท่านหมอเกิ่งงุ่นง่านนั่งลง
“กรมทหารม้าห้าเมืองไม่กล้ายุ่ง องครักษ์เสื้อแพรทำไมก็เป็นใบ้ไปด้วยแล้ว” เขาเอ่ย “ลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่มีความแค้นกับนางหรือ? หรือเพราะรักษาน้องเขยของเขาหายดีเขาเลยสมานฉันท์กันแล้ว?”
เจียงโหย่วซู่ได้ยินทนไม่ได้จิ๊ปากสองที
“พูดอะไรเล่า หัวหน้ากองพันลู่เป็นคนเช่นนี้หรือ?” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองพันลู่ย่อมไม่ใช่คนเช่นนี้ นอกจากนี้ที่แท้ไหวอ๋องรอดสำคัญกับเขาหรือตายสำคัญกับเขาก็ยังไม่แน่นะ
“ความโหดร้ายก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำคุยโม้งั้นหรือ?” ท่านหมอเกิ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น แต่พูดประโยคนี้จบเขาก็อดไม่ได้หนาวสันหลัง หดหัวมองรอบด้านโดยไม่รู้ตัว ในใจเสียใจอยู่บ้าง
คำพูดนี้ไม่อาจให้แพร่ไปถึงหูองครักษ์เสื้อแพรได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงต้องทำให้ตนเองได้เห็นว่าความโหดร้ายไม่ใช่คำคุยโม้
“ข้าจะพูดว่าพวกเขาครั้งนี้เกรงใจโรงหมอจิ่วหลิงเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่งอีก
แม้ไม่มีคนเห็นคนได้ยิน แต่ยังคงรู้สึกว่าเอ่ยเสริมออกมานิดหนึ่งสบายใจ
“พวกเขาย่อมไม่ได้เกรงใจโรงหมอจิ่วหลิง แต่เป็นฮ่องเต้กับไทเฮา” เจียงโหย่วซู่เอย “ตอนนี้โรงหมอจิ่วหลิงชื่อเสียงกำลังรุ่งเรือง กระทั่งฮ่องเต้กับไทเฮาก็ชื่นชม องครักษ์เสื้อแพรจะไปแหกหน้าฮ่องเต้กับไทเฮาหรือ? หัวหน้ากองพันลู่ร้าย ไม่ใช่โง่”
“ยังไม่ใช่อาจารย์ท่านเอ่ยชมนางต่อหน้าฮ่องเต้กับไทเฮา ฮ่องเต้กับไทเฮาถึงให้หน้านางใหญ่โตเช่นนี้” ท่านหมอเกิ่งพึมพำประโยคหนึ่ง
“ตัวโง่เง่า” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
นางรักษาไหวอ๋องหายดี ฮ่องเต้กับไทเฮาไม่ให้หน้านางได้หรือ?
ท่านหมอเกิ่งอับอาย
“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ย เสียงประทัดด้านนอกหยุดลงแล้ว แต่เขาเหมือนยังได้ยินเสียงเอะอะมาจากโรงหมอจิ่วหลิงด้านนั้นเหมือนเดิม รวมถึงคนสูงศักดิ์เต็มเมืองที่รอคอยเขียนเทียบเชิญนางด้วย
พวกผู้สูงศักดิ์เหล่านี้หลังจากนี้คงไม่สะดวกรับใช้แล้ว รักษาหายพวกเขาว่าสมควร รักษาไม่หายต้องถูกเยาะหยันเสียดสีแน่
เจียงโหย่วซู่ยิ้มแล้ว ลุกขึ้นยืน
“คุณหนูจวินมีความสามารถจริงๆ” เขาเอ่ย “รักษาไหวอ๋องหายดีก็แก้วิกฤติของพวกเราได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องส่งของขวัญชิ้นหนึ่งให้นางด้วยสิ”
ท่านหมอเกิ่งตะลึงไป
“อาจารย์ พวกเราต้องไปคำนับอวยพรนางด้วยตนเองหรือ?” จากนั้นเขาก็ร้องออกมา
เจียงโหย่วซู่ยิ้มแล้ว
“เอ่ยแสดงความยินดีเช่นนั้นธรรมดาเกินไป” เขาเอ่ย “พวกเราจะส่งก็ต้องส่งบุญกุศลใหญ่”
“อาจารย์ บุญกุศลใหญ่อะไร”
เจียงโหย่วซู่กลับไม่ได้เอ่ยอีก เพียงแค่ลูบเครายิ้มน้อยๆ เท่านั้น
เดือนหนึ่งผ่านไปวันที่ห้าแล้ว บรรยากาศเทศกาลยังไม่จางกลับยิ่งเข้มข้นขึ้น ขุนนางที่เข้าเมืองหลวงออกเมืองหลวงตามต่อกันไม่ขาด ผู้คนที่ว่างเว้นในเหมันต์ฤดูก็ขวักไขว่บนถนใหญ่ใหม่อีกครั้ง หอสุราโรงน้ำชาหัวถนนท้ายตรอกทุกหนทุกแห่งครึกครื้น
ประตูเมืองในเดือนหนึ่งการตรวจตราผ่อนปรนกว่าวันวานมากนัก บรรดายามประตูเมืองกอดแขนคุยเล่นพลางมองดูผู้คนเข้าเมืองบ้างไม่มองบ้างไปพลาง
แต่ต่อให้ผ่อนปรนอีกเท่าใด ก็มีคนสองคนยังคงดึงความสนใจของยามประตูเมืองแล้ว
นี่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งจูงเด็กน้อยคนหนึ่งมา
เสื้อนวมที่ผู้หญิงสวมปะชุนไว้ ในมือหิ้วตะกร้าใบหนึ่ง เหมือนกับเข้าเมืองมาหาญาติหรือหญิงชาวไร่ที่ขายของคนหนึ่ง แต่เด็กน้อยที่นางจูงอยู่กลับสวมเสื้อผ้าหนาเตอะ ใบหน้ายังพันไว้
ผู้หญิงเดินพลางดวงตาวิบวับมองซ้ายขวาพลาง เหมือนกับหลบใครอยู่
บรรดายามเฝ้าประตูเมืองสบตากัน ยามเฝ้าที่เป็นหัวหน้าพยักเพยิดคางให้นายทหารสองคน
นายทหารสองคนเข้าใจเดินไปทางผู้หญิงคนนั้น
“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้” พวกเขาเอ่ย ขวางนางไว้
ผู้หญิงคนนั้นตกใจถอยหลังสองก้าว กอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน หวั่นกลัวทั้งร่างสั่นระริก
ตกใจจนเป็นเช่นนี้ ต้องมีปัญหาแน่ ยามเฝ้าสองคนไม่เกรงใจอีกต่อไป
“เจ้าทำอะไร? คนที่ไหน?” พวกเขาตวาดถาม
“ไม่ ไม่ ข้าเยี่ยมญาติ” ผู้หญิงเอยติดๆ ขัดๆ กอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่น
หลอกผีเถอะ
ยามเฝ้าสองคนคิ้วขมวด คนหนึ่งใช้ด้ามดาบจ่อหัวไหล่ผู้หญิง
“เข้ามา เข้ามาด้านนี้” เขาเอ่ย
ส่วนอีกคนหนึ่งใช้ด้ามดาบเลิกผ้าที่พันศีรษะและใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างแรง
“ขอทานขโมยเด็กหรือเปล่า?” เขาเอ่ย
พร้อมกับที่ผ้าถูกเลิกเปิด ผู้หญิงก็ร้องเสียงหลง ลนลานไปยื้อผ้าพยายามพันเด็กน้อยไว้ แต่สายไปก้าวหนึ่ง ยามเฝ้าคนนั้นมองเห็นสภาพของเด็กน้อยคนนี้แล้ว
ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันที
“เป็น เป็นฝีดาษ!” เขาร้องตะโกน ดาบในมือจ่อตรงผู้หญิงคนนี้กับเด็กน้อย “เป็นฝีดาษ”
ฝีดาษ?
โรคฝีดาษติดต่อได้ ดังนั้นแต่ละที่ที่มีคนเป็นฝีดาษก็จะกักกันไว้ไม่ให้เดินทางส่งเดช
ผู้หญิงคนนี้ถึงกับพาเด็กที่เป็นฝีดาษเดินทางอาดๆ ผ่านเมือง ยังฝ่าเข้ามาเมืองหลวง หน้าประตูเมืองเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นฝูงชนที่เข้าออกก็เป็นฝูงสัตว์กระเจิง
“กล้านัก ถึงกับกล้าออกจากที่พักตามใจ” บรรดายามเฝ้าประตูเมืองล้อมผู้หญิงกับเด็กคนนี้ไว้อย่างพร้อมเพรียง
ผู้หญิงคนนั้นหวาดกลัวตัวสั่นคุกเข่าดังตึงกับพื้น
“นายท่าน! ขอร้องหมอเทวดาช่วยชีวิตด้วย! ขอร้องหมอเทวดาช่วยชีวิตด้วยเถอะ!” นางร้องไห้ตะโกนเสียงเครือ ศีรษะโขกไปที่พื้นอย่างแรง
และในเวลานี้เองประตูเมืองทั้งสี่ของเมืองหลวงล้วนมีคนพาเด็กน้อยที่เป็นฝีดาษมาปรากฏตัว ส่วนสถานที่ไกลออกไปอีกก็เห็นชาวบ้านมากมายบ้างจูงบ้างแบกบ้างอุ้มเด็กน้อยโซเซมาก
นายประตูที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองไปรู้สึกเพียงขนหัวลุก
“เร็ว เร็ว ปิดประตูเมือง” เขายกมือร้อง
……………………………………….
บทที่ 8 ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก
โดย
Ink Stone_Romance
ภายในสำนักแพทย์หลวงเสียงฝีเท้าวุ่นวาย
“มีอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
หมอหลวงที่อยู่ที่บ้านมากมายถูกเรียกกลับมา บางคนยังท่าทางเมามาย ถามว่าไปตรวจให้ใคร คนที่มาก็ไม่พูด มาสำนักแพทย์หลวงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว มองเห็นทหารจำนวนหนึ่งยืนอยู่ แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม
“หรือว่าคนสำคัญในวังหลวงเกิดเรื่องแล้ว?” มีหมอหลวงคาดเดาเอ่ยขึ้น
กำลังพูดอยู่ก็เห็นใต้เท้าฟางผู้บังคับบัญชากรมทหารม้าห้าเมืองกับหมอหลวงเจียงเดินออกมาจากข้างใน สีหน้าพวกเขาก็เคร่งขรึมเช่นกัน
“ทุกท่าน โปรดตามข้ามา” หมอหลวงเจียงเอ่ยกับบรรดาหมอหลวง
“ใต้เท้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มีหมอหลวงเอ่ยถาม
ท่านหมอหลวงเจียงกลับไม่ตอบคำถาม
“ไปดูก่อนค่อยว่ากัน” เขาเอ่ย
บรรดาหมอหลวงได้แต่มึนงงอยู่ในม่านหมอกเดินหน้าตามไป ทิศทางที่ไปก็ไม่ใช่วังหลวงหรือที่ประทับของผู้สูงศักดิ์อย่างที่คาดเดาไว้ แต่ตรงไปทางนอกเมือง
เดินมาถึงหน้าประตูเมือง บรรดาหมอหลวงถึงพบว่าประตูเมืองถึงกับปิดลงแล้ว
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาปิดประตูเมืองนี่?” บรรดาหมอหลวงอดไม่ได้มองสีท้องฟ้า
อีกอย่างช่วงเทศกาลปีใหม่ประตูเมืองจะไม่ปิด
นี่เกิดอะไรขึ้น?
ผู้บัญชาการฟางส่งสายตาให้ทหารเฝ้าเมือง ประตูเมืองถูกเปิดออกข้างหนึ่ง บรรดาหมอหลวงไม่เข้าใจเดินตามออกไป เพิ่งเดินออกไปยังไม่ทันมองสภาพอะไรชัดก็ได้ยินเสียงเอะอะ
เสียงนี้มีคนเฒ่ามีเด็กน้อย มีชายมีหญิงสอดแทรกด้วยเสียงร้องไห้รวมถึงเสียงคุกเข่า
บรรดาหมอหลวงตกใจสะดุ้ง ตอนนี้ถึงมองเห็นฝูงชนที่ออรวมตัวมหาศาลอยู่นอกเมือง
เกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ท่านหมอหลวงเชิญดูเถอะ” ผู้บัญชาการฟางเอ่ย ชี้ชาวบ้านเหล่านี้
หมอหลวงเจียหันไปมองบรรดาหมอหลวงเหล่านี้
“ทุกคนไปดูสิ คนเหล่านี้เป็นโรคอะไร” เขาเอ่ย
คนเหล่านี้ล้วนป่วยหรือ? โรคอะไรทำให้คนมากมายเช่นนี้โผล่ขึ้นมาปุบปับ? บรรดาหมอหลวงสีหน้าประหลาดใจก้าวเข้าไป
บรรดาชาวบ้านฮือเข้ามา บรรดาหมอหลวงก็มองไปด้วย แม้ชาวบ้านชายหญิงเฒ่าละอ่อนไม่เหมือนกัน แต่พวกเขาล้วนบ้างโอบบ้างอุ้มเด็กไว้ เด็กๆ ก็อายุไม่เท่ากัน บ้างหลับหมดสติบ้างเซื่องซึม ใบหน้าที่เผยออกมาข้างนอกแถบฝีเป็นจุดๆ ผุดออกมา
เพียงเห็นแถบฝีนี่ บรรดาหมอหลวงก็ชะงัก สีหน้าตกตะลึง
นี่ไฉนยังต้องดูอีก นี่คือฝีดาษชัดๆ
“นี่แค่ที่ประตูเมืองแห่งหนึ่ง อีกสี่ด้านก็เป็นเช่นนี้หมด” ผู้บัญชาการฟางเอ่ย “พวกท่านยืนยันว่านี่คือฝีดาษ?”
หมอหลวงเจียงมองไปทางบรรดาหมอหลวงคนอื่น
“ใช่แน่นอน” บรรดาหมอหลวงพากันเอ่ย ในเวลาเดียวกันก็สีหน้าตกตะลึง “ผู้ป่วยฝีดาษมากมายขนาดนี้มาเมืองหลวงได้อย่างไร? ไม่อนุญาตให้ออกจากที่พักไม่ใช่หรือ?”
ผู้ป่วยมากขนาดนี้รวมตัวอยู่ที่เมืองหลวงน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ
ผู้บัญชาการฟางเห็นชัดว่ารู้นี่น่ากลัวมากเพียงไร หลังได้รับคำยืนยันจากบรรดาหมอหลวงก็ไม่ลังเลตัดสินใจทันที
“รีบไล่พวกเขาออกจากเมืองหลวงกักตัวไว้เร็ว” เขาเอ่ย
บรรดานายทหารที่รอรับคำสั่งนานแล้วขานรับพร้อมเพรียงก้าวเข้าไป
บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินคำถามคำตอบนี้พากันคุกเข่าโขกศีรษะร้องไห้อ้อนวอน
“ใต้เท้าทั้งหลายโปรดให้พวกเราเข้าเมือง”
“ใต้เท้าทั้งหลายโปรดให้พวกเราไปหาหมอเทวดารักษาชีวิตด้วย”
เสียงร้องไห้อ้อนวอนนับไม่ถ้วนดังขึ้น
เหล่าหมอหลวงเข้าใจแล้ว มิน่าคนเหล่านี้ถึงมาเมืองหลวง เรื่องไหวอ๋องเป็นฝีดาษปีก่อนแพร่ไปทั่วแล้ว และข่าวที่มีคนรักษาฝีดาษของไหวอ๋องหายดีตอนนี้ก็น่าจะแพร่ออกไปแล้วเช่นกัน
พวกเขาอดไม่ได้หันหน้ามองไปภายในเมือง สีหน้ากลายเป็นพิกลและซับซ้อน
คราวนี้มีเรื่องสนุกดูแล้ว
…
เฉินชีนั่งอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิงมองดูเทียบเชิญที่กองอยู่บนโต๊ะ
“ปวดหัว ปวดหัว” เขาเคาะผิวโต๊ะเอ่ย
พนักงานสองคนที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็หัวเราะ
“ผู้ดูแลใหญ่ เดือนแรกของปีท่านก็ปวดหัวอะไรแล้ว” พวกเขาเอ่ย
พวกเขาพูดคำนี้ การเคลื่อนไหวที่มือก็ไม่หยุด นำยาที่เพิ่งทำเสร็จใส่ไว้ในตู้ยาต่อ หลังจากนั้นยังต้องไปทำยาอีก
นี่เป็นวิชาฝีมือหากินวิชาหนึ่ง พี่หลิ่วเอ๋อร์บอกว่าอย่าดูแคลนการล้างสมุนไพรหั่นสมุนไพรนี่ ต่อไปเดินออกไปบอกว่าเป็นวิชาลับเฉพาะของโรงหมอจิ่วหลิง นั่นมีค่าถึงพันตำลึงทอง
ในที่สุดพนักงานสองคนก็คิดได้ว่านี่หมายความว่าอะไร คุณหนูจวินเป็นหมอเทวดา พวกเขาก็นับว่าเป็นศิษย์ของหมอเทวดาแล้ว ชื่อนี้ย่อมไม่ใช่ใครก็มีได้ นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ใช่มีแค่ชื่อเปล่าๆ คุณหนูจวินสอนพวกเขาคั่วสมุนไพรกับมือเองจริงๆ
วิชาฝีมือนี่ยังถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้
พนักงานสองคนไม่มีความแค้นเคืองสักนิดอีกแล้ว ตั้งอกตั้งใจกระตือรือร้นทั้งยังรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่มาเป็นพนักงานที่โรงหมอจิ่วหลิง
“ที่ข้าปวดหัวคือคนมากมายขนาดนี้ ที่แท้ควรไปบ้านไหนก่อนดี” เฉินชีเอ่ย
พนักงานสองคนหัวเราะแล้ว
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณหนูควรปวดหัวหรือ?” พวกเขาเอ่ย
เฉินชีกระแอมทีหนึ่ง
“ไปบ้านคนตรวจหรือไม่ตรวจเป็นคุณหนูตัดสิน ไปบ้านไหนก่อนเป็นข้าตัดสิน” เขาเอ่ย
ไม่อย่างนั้นข้ารับใช้ประจำตระกูลที่มาส่งเทียบเชิญมาเหล่านั้นทำไมนอบน้อมกับเขาเช่นนี้ ต่างเรียกขานนายท่านเฉิน
นายท่านเฉินเชียวนะ เขาเฉินชีที่หยางเฉิงทุกคนล้วนรู้จักล้วนตะโกนเรียกเสี่ยวฉี มาถึงเมืองหลวงครึ่งปี ไม่เพียงทุกคนล้วนรู้จักยังกลายเป็นนายท่านแล้ว
เฉินชียกถ้วยน้ำชาด้านข้างดื่มคำหนึ่ง แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพูดถูก ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูงในเมืองหลวงนี่สลับซับซ้อนไม่อาจเลินเล่อ เขาตั้งใจขบคิดอย่างระมัดระวัง
คิดถึงตรงนี้เขาก็วางถ้วยชาลงอีกครั้ง ตั้งใจหยิบเทียบเชิญใบหนึ่งขึ้นมา กำลังคิดว่านี่เป็นใครบรรพบุรุษสร้างตระกูลจากอะไร ก็มีคนพุ่งเข้ามาจากนอกประตู
“แย่แล้ว แย่แล้ว” เขาตะโกนเสียงดัง
เฉินชีตกใจสะดุ้ง
“อะไรอีกเล่า?” เขาวางเทียบเชิญลงเอ่ย มองคนที่มา
คนที่มาคนนี้เขารู้จัก เป็นพนักงานด้านนั้นของเต๋อเซิ่งชาง
“ผู้ดูแลใหญ่ชี แย่แล้ว นอกเมืองมีคนมามากมาย” พนักงานหอบหายใจเอ่ย “ล้วนเป็นคนที่ต้องการมาหาคุณหนูจวิน”
เฉินชีพรูลมหายใจลูบแขนเสื้อ
“เรียกข้าผู้ดูแลใหญ่เฉิน” เขาเอ่ย “คนมาหาคุณหนูจวินมีอะไรประหลาด”
“คนเหล่านั้นล้วนเป็นฝีดาษ” พนักงานเอ่ย “คนมามากมาย ล้วนพาเด็กที่เป็นฝีดาษมาด้วย ตอนนี้ประตูเมืองปิดไปแล้ว คนในเมืองหวั่นวิตก”
เฉินชีร่างชะงักไปนิดหนึ่งกำลังเอ่ยคำพูด
“ฝีดาษ?” เสียงของคุณหนูจวินดังขึ้นจากหลังร่าง
พวกเขาหันหน้ามองไป เห็นคุณหนูจวินเดินออกมาจากด้านใน
“ใช่แล้ว คุณหนู” พนักงานเอ่ยบอก “คนมากมายมายนัก ทั่วทุกสารทิศล้วนมา ยังมีคนมากยิ่งกว่ากำลังเร่งเดินทางมาจากที่ห่างไกล ล้วนขอร้องคุณหนูช่วยรักษาฝีดาษ”
“คุณหนูรักษาไหวอ๋องหายดี ไทเฮาพระราชทานรางวัลเช่นนี้ ดูท่าทุกคนล้วนรู้แล้ว” เฉินชีเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวิน “แต่นี่ก็ไม่มีอะไร แค่ฝีดาษไหม”
คุณหนูจวินรักษาไหวอ๋องหายดี ฝีดาษนี่ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
คุณหนูจวินขานรับทีหนึ่ง
“ฝีดาษรึ” นางเอ่ย สีหน้าหนักใจนิดหนึ่ง
…
“เป็นฝีดาษรึ”
ห้องห้องหนึ่งในสำนักแพทย์หลวงเสียงหัวเราะดังลั่นพักหนึ่งดังออกมา จากนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกกดลงไป
เวลานี้หัวเราะไม่ดีอย่างแท้จริง
บรรดาหมอหลวงในห้องล้วนปิดปาก กลั้นหัวเราะ ตีหน้าสุขุม
“ชาวบ้านในเมืองล้วนรู้ข่าวแล้ว” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “โกลาหลแล้วจริงๆ ล้อมศาลาว่าการเมืองไว้แล้ว”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยฝีดาษเหล่านี้เข้าเมือง เรียกร้องให้จับไล่ทันที” หมอหลวงอีกคนเอ่ย “นี่อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ ในเมืองเด็กเท่าไร”
“กลัวอะไร” หอมหลวงเจียงเอ่ย “ในเมืองมีคุณหนูจวิน”
“แต่กฏการรักษาของคุณหนูจวิน” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเวทนาอยู่บ้าง “ชีวิตเด็กมากมายเกรงว่าคงมีค่าไม่ถึงพันตำลึงทอง”
ความเวทนานี้ย่อมไม่ใช่ให้แก่คุณหนูจวิน แต่ให้แก่บรรดาชาวบ้านที่ยากจนไม่มีคุณสมบัติพอให้คุณหนูจวินรักษาเหล่านั้น
ไพร่ฟ้าประชาชนชาวบ้านตาดำล้วนมีชีวิต น่าเสียดายก็แต่ในสายตาคุณหนูจวินท่านหมอคนนี้มีแบ่งชั้นสามหกเก้า
หมอที่ไร้เมตตาคนหนึ่ง ต่อให้มีวิชาแห่งความเมตตาแล้วอย่างไร? ต่อให้เจ้ามีเหล่าชนชั้นสูงเหล่านี้ปกป้อง แต่เจ้ารู้จักสิ่งใดเรียกเจตจำนงแห่งประชาชนไหม? เจ้ารู้ไหมเจตจำนงแห่งประชาชนน่ากลัวมากเพียงใดไหม?
บรรดาหมอหลวงสบตากันอีกครั้ง หัวเราะดังอ่าฮ่า
มีคนก้าวไวๆ เข้ามา ขัดเสียงหัวเราะ
“อาจารย์ ฝ่าบาทรับสั่งให้คุณหนูจวินไปช่วยรักษาผู้ป่วยฝีดาษที่นอกเมืองแล้ว” ท่านหมอเกิ่งเอ่ย
ในเมื่อฮ่องเต้รับสั่ง ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินก็ไม่อาจพูดถึงกฎอะไรได้แล้ว
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง หมอหลวงเจียงตบมือ
“คราวนี้ดีแล้ว ฮ่องเต้เมตตาปราดเปรื่อง ชาวบ้านมีทางรอดแล้ว” เขาเอ่ย
ในห้องบรรดาหมอหลวงก็ยืนขึ้นมาสีหน้าปลื้มปิติ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รอคุณหนูจวินช่วยรักษาประชาชน ขจัดฝีดาษ” พวกเขาเอ่ย “นี่เป็นบุญกุศลใหญ่ครั้งหนึ่งจริงๆ
พูดจบทุกคนก็สบตากันทีหนึ่ง หัวเราะลั่นอีกครั้ง ยิ่งหัวเราะยิ่งดัง มีคนไม่ค้ำโต๊ะเก้าอี้ไม่อาจยืนอยู่
ครั้งนี้เจียงโหย่วซู่ก็หัวเราะตามด้วยแล้ว ยื่นมือลูบเครา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและสาแก่ใจ
ก่อนหน้านี้เจ้ากลิ้งกลอกพายเรือตามน้ำสมอ้างว่าหวัดของไหวอ๋องเป็นฝีดาษหวังสร้างชื่อเสียง ตอนนี้กรรมตามสนองแล้ว
เจ้ารักษาฝีดาษหายได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปรักษาเถอะ ให้เจ้ารักษาจนพอ
……………………………………….
บทที่ 9 อยู่ในความคาดคิด
โดย
Ink Stone_Romance
เมืองหลวงเดือนหนึ่งหยาวเย็น แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางชาวบ้านให้มาออบนหัวถนน
ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงถนนทั้งเส้นผู้คนล้วนเบียดเสียดอยู่เต็ม แม้องครักษ์เสื้อแพรยืนอยู่ แต่บรรดาชาวบ้านไม่ได้หวาดกลัวถอยกลับ แต่สีหน้าเฝ้าคอยมองไปทางโรงหมอจิ่วหลิง
นอกจากองครักษ์เสื้อแพร ยังมีขันทีหลายคนยืนอยู่ด้านนั้น
“คุณหนูจวิน ลำบากท่านแล้ว” ขันทีคนหนึ่งส่งราชโองการมา
คุณหนูจวินลุกขึ้นรับไป
“หม่อมฉันจะพยายามสุดกำลัง” นางเอ่ย
“เรื่องเกี่ยวกับฝีดาษทั้งหมดคนที่ใช้ของที่ใช้ล้วนแล้วแต่คุณหนูจวินท่านตัดสินใจ กรมทหารม้าห้าเมืองกับสำนักแพทย์หลวงล้วนระดมพลตามคำสั่ง” ขันทีเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้าขานรับอีกครั้ง ขันทีก็กำชับอีกหลายประโยคก็จากไป ผู้คนที่โรงหมอจิ่วหลิงรีบออกไปส่ง
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่เห็นคุณหนูจวินออกมาวุ่นวายทันที
“คุณหนูจวินจะไปรักษาฝีดาษจริงหรือ?”
“คุณหนูจวินจะรับคนเหล่านี้เข้ามาในเมืองหลวงงั้นหรือ?”
เสียงประสานสับสนซัดสาดมา ขนาบด้วยเสียงร้องไห้ของบรรดาสตรี
ฝีดาษน่ากลัวมากเพียงใดก่อนหน้านี้เล่าลือกันไปทั่วแล้ว คิดถึงว่าตอนนี้สี่ด้านนอกเมืองถูกผู้ป่วยฝีดาษมากขนาดนั้นล้อมไว้ แม้กำแพงเมืองกั้นคนอยู่ แตไม่แน่ว่าจะกั้นหายนะของฝีได้ ลมพัดทีหนึ่ง ใครจะรู้ว่าลอยเข้ามาหรือไม่
ตอนนี้บรรดาเด็กน้อยในตระกูลล้วนถูกกักตัวไว้แน่นหนา อย่าพูดถึงออกจากบ้าน กระทั่งห้องก็ไม่กล้าให้ออกมา
ปีใหม่นี้เกิดเรื่องจนคนใจหวาดผวาโดยแท้
ขันทีปลอบฝูงชนที่ร้องประสานสับสนให้สงบ แต่คำพูดของเขาไม่มีคนสนใจ จนกระทั่งคุณหนูจวินยกมือส่งสัญญาณ ฝูงชนที่ตะโกนประสานเสียงวุ่นวายอยู่พลันเงียบลงทันที
“ทุกคนไม่ต้องกลัว” คุณหนูจวินเอ่ย เสียงของนางอ่อนโยนดังเช่นก่อนหน้า ลอยออกไปท่ามกลางท้องถนนที่เงียบสงบ
คนทั้งหมดเงี่ยหูฟัง ราวกับได้ยินเสียงนี้ก็ขับไล่หายนะฝีดาษได้
“ข้าจะไปรักษาฝีดาษ” คุณหนูจวินเอ่ย “นอกจากนี้จะให้สร้างสถานที่รักษาฝีดาษโดยเฉพาะแห่งหนึ่งด้านนอกเมือง จะไม่ให้ผู้ป่วยเข้าเมือง ไม่กระทบกับชีวิตของทุกคน”
คำพูดนี้ออกมาคนที่อยู่ที่นั่นล้วนร้องดีใจ
คุณหนูจวินยกมือส่งสัญญาณอีกครั้ง ผู้คนก็เงียบลงอีกครั้ง
“ทุกคนไม่ต้องกังวล กลับไปดูแลเด็กๆ สองวันนี้อย่าเพิ่งออกจากบ้าน อย่าไปในสถานที่ซึ่งคนรวมตัวกันมาก การจัดการอย่างละเอียดข้าจะเชิญเหล่าใต้เท้าของกรมหทารม้าห้าเมืองดำเนินการประกาศแจ้ง” นางเอ่ย
ชาวบ้านทั้งหลายขานรับอย่างพอใจอีกครั้ง
“เอาล่ะ เอาล่ะ แยกย้ายๆ คุณหนูจวินบอกแล้วว่าอย่ารวมตัวกันมากๆ” ขันทีเอ่ย
ชาวบ้านทั้งหลายได้ยินก็แยกย้ายทันที พริบตาเดียวคนนับร้อยบนถนนก็จากไปหมดเกลี้ยง
ขันทีจิ๊ปาก ยิ้มให้คุณหนูจวิน
“ยังเป็นคุณหนูจวินพูดถึงมีประโยชน์” เขาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้คุณหนูจวินแล้ว”
พูดจบก็จากไปตามถนนท่ามกลางการอารักขาขององครักษ์เสื้อแพร คุณหนูจวินก็หมุนกลับเข้าไปในโรงหมอจิ่วหลิง
ท่านหมอเกิ่งที่ยืนอยู่มุมถนนรั้งสายตากลับเบะปาก
ตอนนี้พูดแน่นอนว่ามีประโยชน์ นั่นเพราะทุกคนเชื่อว่านางรักษาฝีดาษขจัดหายนะโรคร้ายที่เผชิญอยู่ได้ เมื่อทุกคนพบว่านางรักษาไม่ได้ ดูสิถึงเวลายังมีคนฟังคำพูดของนางไหม
คาดหวังมากยิ่งผิดหวังมาก ยิ่งเยินยอสูงตกลงมาก็ยิ่งอนาถ ราชวงศ์ให้หน้านางมากขนาดนี้ อนาคตเสียหน้าขึ้นมาย่อมเจ็บปวดนัก
ลมหนาวหอบหนึ่งพัดมา ท่านหมอเกิ่งอดไม่ได้สั่นสะท้าน มองบนถนนที่ร้างไร้คนสักคนอีกครั้ง คลับคล้ายว่าได้ยินเสียงร้องไห้ลอยมาจากนอกเมือง นั่นเป็นเสียงร่ำไห้ทุกข์ตรมของผู้ป่วยที่เร่งเดินทางมาขอรักษา นี่เพิ่งวันเดียว ผู้ป่วยเหล่านั้นก็ตายไปหลายคนแล้ว เห็นได้ว่าฝีดาษรุนแรงอย่างที่สุดจริงๆ
กำแพงเมืองแห่งหนึ่งกั้นขวางไม่ปลอดภัยเกินไปแล้วจริงๆ ท่านหมอเกิ่งสั่นสะท้านอีกครั้ง เพิ่มความเร็วฝีเท้าจากไป
มองราชโองการที่วางอยู่ด้านในโถง สีหน้าของเฉินชีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ถือสิ่งนี้ไว้ก็เคลื่อนย้ายคนม้าของกรมทหารม้าห้าเมืองได้รึ?” เขาเอ่ย “พริบตาเดียวตระกูลของพวกเราก็มีราชโองการที่พลิกเมืองได้สองฉบับแล้ว”
ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขาทีหนึ่ง ค่อยขมวดคิ้วมองไปทางคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะยกพู่กันเขียนอะไรอยู่ เพียงแต่คิ้วของนางก็มุ่นอยู่เหมือนกัน
“เรื่องนี้ทำไม่ง่ายใช่หรือไม่?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถามตรงๆ “แม้รักษาไหวอ๋องได้ แต่อาการของฝีดาษก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่แน่ว่าจะเอาแน่เอานอนได้สินะ?”
เฉินชีอดไม่ได้ดึงแขนเสื้อของฟางจิ่นซิ่ว
“อย่าทำลายความน่าเกรงขามของตนเอง” เขาเอ่ยเสียงเบา
คุณหนูจวินหยุดพู่กันมองไปทางฟางจิ่นซิ่ว
“ข้าไม่เคยรักษาฝีดาษหายมาก่อน” นางยิ้มเอ่ยออกมา “ไหวอ๋องไม่ได้เป็นฝีดาษ”
เฉินชีหวิดทำตนเองสำลักอากาศตาย
อะไรนะ?
ดังนั้น ที่จริงนางก็รักษาฝีดาษไม่ได้ใช่ไหม?
ฟางจิ่นซิ่วก็เบิกตาโตด้วย
นางเดาได้ว่าคุณหนูจวินรับรักษาฝีดาษครั้งนี้ดูท่าคงเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าถึงกับเป็นปัญหามากขนาดนี้
…
ราตรีโรยลงมา โคมไฟของโรงหมอจิ่วหลิงก็จุดสว่างเช่นกัน เหมือนดังเช่นวันวาน แต่ไม่เหมือนกับวันวาน คุณหนูจวิน ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีสามคนที่คุยธุระอยู่ในโถงด้านหน้าไม่ออกมาเสียที
เฉินชีเดินกลับไปมาในห้อง เหงื่อบนหน้าผากตั้งแต่หลังคุณหนูจวินพูดประโยคนั้นก็ไหลลงมาไม่หยุด
“นี่จะทำอย่างไร? นี่จะทำอย่างไร” เขาเอ่ยซ้ำไปมา ทั้งยังด่าหมอหลวง “เจ้าพวกหน้าไม่อายพวกนี้ รักษาไหวอ๋องไม่หายก็ผลักอาการป่วยไปเป็นโรคที่ไม่รักษา”
พูดแล้วก็คิดได้ว่าคุณหนูจวินไม่ใช่ก็ไม่ได้เปิดโปงแต่กลับตามน้ำบอกว่ารักษาฝีดาษหายดีเหมือนกันรึ นี่ก็หน้าไม่อายเหมือนกันนะ
เฉินชีตบตัวเองหนึ่งฝ่ามือ
“ล้วนโทษข้าทำเป็นฉลาด ป่าวประกาศว่าฝีดาษร้ายกาจอย่างไรๆ” เขาเอ่ย “คราวนี้ทำทุกคนหวาดกลัวกันหมดแล้ว ทำเอาคนใจหวาดผวา”
ตอนนี้ดีแล้ว ถูกขึงย่างไฟแล้ว
เขาหันหน้ามองราชโองการที่วางอยู่บนโต๊ะ สิ่งนี้ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเป็นดั่งกระบี่อาญาสิทธิ์ ตอนนี้กลับพาดอยู่บนคอพวกเขาก่อนแล้ว นาทีต่อไปก็จะทำให้ศีรษะของพวกเขาร่วงลงดิน
จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว ครั้งนี้เล่นกับไฟเกินไปแล้ว
“เจ้าไปยืนด้านข้างไป” ฟางจิ่นซิ่วเอ็ดอย่างไม่สบอารมณ์ “จบสิ้นอะไรเล่า จะพูดว่าจบสิ้น ตระกูลฟางของพวกเราคงจบสิ้นไปนานแล้ว ไหนเลยจะต้องรอถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้ไม่จบสิ้น ตอนนี้ก็ไม่มีทางจบสิ้นเหมือนกัน”
เฉินชีถูกเอ็ดหยุดยืนทันที
คุณหนูจวินก็ยิ้มแล้ว มือยังกำพู่กันด้ามนั้นเอาไว้ แม้ไม่ได้จรดพู่กันเขียนอักษรนานแล้วก็ตาม
“เรื่องเช่นนี้ของวันนี้คาดไว้อยู่นานแล้ว” นางเอ่ย “อย่างไรก็เป็นฝีดาษ ข้ารักษาไหวอ๋องหายดี ต้องจุดเรื่องฮือฮาแน่ เป็นที่ชื่นชมคนมาขอรักษาย่อมยากเลี่ยง”
ถ้าอย่างนั้นตอนแรกเจ้าปล่อยให้ตกกระไดพลอยโจนบอกว่าไหวอ๋องเป็นฝีดาษด้วยได้อย่างไรเล่า? เฉินชีมองนาง ยังคงอดไม่ได้พึมพำกับตนเอง ไม่เพียงในใจบ่นแต่พูดออกมาด้วย
คุณหนูจวินยิ้ม
“นั่นย่อมเพราะข้าวางแผนรอโอกาสนี้อยู่”นางเอ่ย
โอกาสครั้งนี้? โอกาสที่รักษาฝีดาษครั้งนี้หรือ?
“พูดเช่นนี้เจ้ารักษาได้รึ” เฉินชีเอ่ย ยื่นมือตบหน้าอก คนทั้งร่างแทบอ่อนยวบล้มลงไปกับพื้น “คุณหนูจวินของข้า นายหญิงน้อยของข้า ท่านมีคำพูดก็พูดทีเดียวจบดีหรือไม่ ท่านเว้นวรรคนานขนาดนี้ทำคนตกใจตายหมด”
“เจ้าหุบปาก” ฟางจิ่นซิ่วเอ็ดอีกครั้ง มองไปทางคุณหนูจวิน คิ้วยังขมวดแน่นเหมือนเดิม “ไม่มั่นใจมากนักใช่หรือไม่?”
คุณหนูจวินมองไปทางหีบยาที่วางอยู่ด้านข้าง
“ที่จริง เดิมทีข้าก็ไม่ใช่หมอคนหนึ่ง” นางเอ่ย
นางเองก็ไม่เคยคิดจะไปรักษาโรคช่วยผู้คน นางเพียงแต่อยากรักษาพระบิดาของตนเองเท่านั้น
แต่อาจารย์ท่านเป็นหมอนะ
ฝีดาษนี่ท่านบอกว่ารักษาได้ทำไมไม่รักษา?
ผู้ชายคนนั้นจิ๊ปากทีหนึ่ง
“ใครบอกว่าข้าเป็นหมอ เดิมทีข้าก็ไม่ใช่หมอ” เขาเอ่ย พลางยัดผลไม้อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าไปในห่อสัมภาระ ในแขนเสื้อของนาง พลางฟังเสียงร้องไห้ด้านนอก “โรคนี้รักษาขึ้นมาลำบากเกินไป ยังไงอย่าลำบากตนเองดีกว่า”
……………………………………….
บทที่ 10 บุญกุศลใหญ่หลวงกับความลำบากหนักหนา
โดย
Ink Stone_Romance
ไม่ใช่หมอ?เขาจะไม่ใช่หมอได้อย่างไร?
ไม่ใช่หมอทำไมเขาได้ชื่อว่าหมอเทวดา?
เพราะลำบากจึงไม่รักษา นี่หลักการอะไร? ดังนั้นโรคของพระบิดาที่จริงเขารักษาได้ แค่ไม่ยอมรักษาใช่หรือไม่?
“หุบปากของเจ้าไป”
ผู้ชายคนนั้นหันกลับมายัดผลซิ่ง[1]ลูกหนึ่งใส่ปากนาง
“ยื่นจนจะร้อยกวางได้ตัวหนึ่งแล้ว”
ทำไมไม่ใช่ร้อยลาได้ตัวหนึ่ง? นางไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เพรากวางสวยกว่าลาไงเล่า” ผู้ชายคนนั้นเอ่ย หิ้วห่อสัมภาระไว้บนหัวไหล่ของนาง “ไป ไป ไป”
นางถูกผลักให้เดินออกมาจากห้องบูชาเจ้าแม่ฝี มองดูผู้ชายผู้หญิงที่ร้องไห้กันเป็นเบือในลาน
ในห้องเด็กผู้ชายที่ป่วยเป็นฝีดาษคนนั้น หยุดหายใจไปแล้ว เพิ่มเด็กคนนี้เข้าไป บ้านนี้ก็มีเด็กสามคนจบชีวิตเพราะเรื่องนี้แล้ว
นางมองดูผู้หญิงหลายคนที่ร้องไห้จนเป็นลมหมดสติไปปวดใจอยู่บ้าง
“ไป ไป” ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังไม่มีลังเลสักนิดผลักนางเดินหน้าก้าวออกประตู
นอกประตูเพื่อนบ้านล้อมมุงดูอยู่ สีหน้าโศกเศร้าและหวาดกลัว
“ทุกข์ระทม ทุกข์ระทม” ผู้ชายทอดถอนใจสีหน้าเศร้าโศกกับบรรดาเพื่อนบ้าน
บรรดาเพื่อนบ้านพากันพยักหน้าให้เขา ไม่ได้กล่าวโทษท่านหมอที่รักษาโรคไม่หาย ฝีดาษโรคเช่นนี้เดิมทีก็เป็นโรคที่ไม่รักษา
“น่าเวทนาจริงๆ นี่เป็นคนที่สามแล้ว ยังเหลือคนเล็กอีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะหนีพ้นหรือไม่”
“ต้องหนีไม่พ้นแน่ พูดกันว่าเมื่อวานก็เริ่มตัวร้อนแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงล้มแล้ว”
บรรดาเพื่อนบ้านกระซิบกระซาบเสียงเบาต่อ
ฝีดาษของคนบ้านนี้อาละวาดรุนแรง บรรดาเด็กน้อยรอบด้านล้วนไม่อาจไม่หลบ ถึงเป็นเช่นนี้นอกจากเด็กบ้านนี้ก็มีเด็กอีกหลายคนติดโรคตายไปตามๆ กัน
ทางการเปลี่ยนฝั่งนี้เป็นเขตต้องห้ามแล้ว ไม่อนุญาตให้คนบ้านนี้เดินออกมาตามใจ เดิมทีอยากส่งเด็กออกไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว
นางหันกลับไปมองคนบ้านนี้ที่ร้องไห้อยู่ในลาน เด็กน้อยอายุสองสามขวบคนหนึ่งถูกผู้หญิงเฒ่าคนหนึ่งกอดไว้ในอ้อมแขน สีหน้าเซื่องซึมแทะนิ้วมือ ไม่เข้าใจความโศกเศร้าและหวาดกลัว
เด็กคนนี้ก็เริ่มตัวร้อนแล้ว เหมือนกับพี่ชายพี่สาวของเขา
คิดว่าไม่นานก็คงล้มลงหมดสติศีรษะใบหน้าเกิดฝี ลามไปทั้งตัวเช่นเดียวกันกับพี่ชายพี่สาวของเขา สภาพเหมือนตุ่มพอง มีน้ำสีขาวออกมา อย่างมากเจ็ดวันอย่างน้อยสามวันก็ตาย
“เขาจะไม่เป็นโรค”
ผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันเอ่ยขึ้น
นางประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งยังดูแคลนอยู่บ้าง เขาพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้อีกแล้ว พูดเหมือนตอนที่เขาเห็นฝีดาษของคนบ้านนี้ แต่ผลลัพธ์เด็กหลายคนนั่นก็ยังป่วยตายไปแล้ว
“จุดสำคัญของฝีดาษนี่ไม่ได้อยู่ที่รักษา แต่อยู่ที่ป้องกัน”
ผู้ชายที่เดินข้างหน้าเอ่ย
“เจ้าจำได้ไหมว่าหลังข้ามาที่บ้านนี้ทำอย่างไร?”
นางมองแผ่นหลังของผู้ชายข้างหน้า ทำอย่างไร?
หลังมาถึงบ้านนี้เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไร นอกจากจ้องเด็กคนอื่นๆ ในบ้านแล้วก็กินๆ ดื่มๆ
“อะไรเรียกไม่ทำอะไร” ผู้ชายจิ๊ปากหันกลับมาถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง “นั่นก็คือข้ากำลังทำงานอยู่”
ทำงานอะไร?
สีหน้าของผู้ชายเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ข้ากำลังทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงฝีดาษได้
แต่…
“เจ้าเห็นข้าเป่ายาใส่ในรูจมูกของเด็กพวกนั้นแล้วสินะ?”
ก็เห็นอยู่ ใช้ท่อไม้ไผ่เรียวเล็ก ไม่ได้ให้เด็กทั้งหมดใช้ยาพร้อมกัน แต่ทีละคน
หลังเด็กคนหนึ่งให้ยาเสร็จ ยังไม่อาจป้องกันโรคได้ล้มลง หลังจากนั้นเขาถึงให้ยากับเด็กคนต่อไป
นี่ก็คือการป้องกันที่เขาว่างั้นหรือ? แต่ท้ายที่สุดก็ป้องกันไม่อยู่นี่
“นั่นไม่ใช่ยา”
เขาหันกลับมามองนาง ท่ามกลางแสงตะวันกับเงามืดมองใบหน้าของเขาไม่ชัด
“นั่นคือพิษฝี”
…
ไส้โคมหงิกเป็นดอกไม้ส่งเสียงดัง คุณหนูจวินวางพู่กันในมือลงบนแท่นฝนหมึก เสียงกระทบดังขึ้นเบาๆ
ห้องที่เงียบสงบมีชีวิตขึ้นมานิดหนึ่ง
คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน อดไม่ได้เดินกลับไปมาหลายก้าวเหมือนเฉินชีบ้าง
“ฝีดาษเกิดแล้วยากรักษา สิบคนตายสี่ ทั้งส่วนมากยังไม่ใช่อาศัยยาหมอรักษา แต่อาศัยดวง”
“อยากไม่ได้รับอันตรายจากฝีดาษ มีแต่ต้องใช้พิษโจมตีพิษ พิษนี่ก็คือพิษของฝีดาษ”
“ซุนเซิ่งเคยใช้หนองฝีดาษทาต้านฝีดาษ ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงใช้สะเก็ดแผลฝีดาษบดผง”
เอาพิษฝีดาษเป่าเข้าไปในในปากของคนที่ไม่ติดโรค….
มิน่าเด็กหลายคนนั่นถึงล้มป่วยตามต่อกัน
นี่เป็นการรักษาจริงหรือ? นี่มันฆ่าคนแล้ว
“ก็ไม่นับว่าฆ่าคน เด็กพวกนี้เดิมก็เป็นครอบครัวเดียวกัน สัมผัสกันนานวัน กว่าครึ่งล้วนติดโรคแล้ว”
“พิษฝีดาษนี่คนได้รับไปแล้วจะใช้พิษโจมตีพิษได้หรือไม่ ไม่แน่นอนทั้งยังคาดเดาไม่ได้”
“วิธีเช่นนี้พูดออกไปในสายตาชาวโลกย่อมเป็นการกระทำชั่วช้า และอธิบายไม่ได้สักนิด”
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าโรคนี้ไม่สะดวกรักษา ลำบากเกินไปแล้ว”
แม้เรื่องราวผ่านไปหลายปีแล้ว เวลานี้นึกย้อนกลับไป คำพูดที่ผู้ชายคนนั้นพูดตอนนั้น คุณหนูจวินก็ยังคงเหมือนเวลานั้นตะลึงจนสมองว่างเปล่า
ผู้ชายคนนั้นยังหัวเราะอีก ยื่นมือยัดผลซิ่งอีกลูกหนึ่งเข้ามาในปากที่อ้ากว้างของนาง
“แต่คนครอบครัวนี้โชคดีนัก เด็กคนสุดท้ายหลังได้รับพิษฝีจากเด็กคนที่สามที่เป็นโรค เมื่อวานเพียงแค่ตัวร้อน วันนี้มีฝีก็ไม่รุนแรงเช่นนั้นอย่างเด็กหลายคนก่อนหน้าแล้ว ดูท่าครั้งนี้เขาจะรอดพ้นภัย ชีวิตนี้ไม่มีทางได้รับอันตรายจากฝีดาษอีกต่อไปแล้ว”
“นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ารักษาได้แต่ข้ากลับไม่อาจรักษา ลองถามดูใครจะยอมรับวิธีที่ฆ่าคนก่อนช่วยคนทีหลังเช่นนี้ได้เล่า?”
“โรคที่ไม่แตะไม่รักษาคือฟ้าให้คนป่วยตาย แต่ลงมือช่วยเหลือกลับเป็นหมอสังหารคนเช่นนี้ ลำบากเกินไปแล้วจริงๆ
นางเข้าใจความหมายของเขา ตัวอย่างเช่นโรคของพระบิดาที่เขาเอ่ยถึง
โรคของพระบิดาหากไม่รักษาก็จะเป็นโรคที่ติดมาจากในครรภ์ ก็คือชะตาควรเป็นเช่นนี้ แต่หากใช้ยาสักเทียบแล้ว เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะตาย นี่กลับกลายเป็นหมอใช้ยาสังหารคนแล้ว
แต่โรคของพระบิดายังไม่พูดถึงชั่วคราม แต่ฝีดาษเล่า นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ เด็กมากเท่าไรจบชีวิตเพราะสิ่งนี้ หากหาวิธีใช้พิษฝีป้องกันฝีดาษออกมาได้จริง หมอไม่กลัวความยากลำบาก คนตายไปส่วนหนึ่งก็คุ้มค่าแล้ว
ใต้แสงตะวันผู้ชายคนนั้นหัวเราะฮ่ะฮ่ะ สะบัดแขนเสื้อ
“สำหรับหมอคนหนึ่งแล้วคุ้มค่า แต่ข้าไม่ใช่หมอนี่ ข้าไม่ได้มาช่วยโลกช่วยเพื่อนมนุษย์ ข้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่เป็นบุญกุศลใหญ่หลวงแล้วก็ลำบากหนักหนาเช่นนี้”
ถ้าอย่างนั้นเขามาทำอะไร? แบกชื่อหมอเทวดา
“ข้าเพียงมาชดใช้ตนเองเท่านั้น”
เขายิ้มเล็กน้อยหันกลับเดินไปข้างหน้า
ชดใช้ตนเอง?
นางที่ในปากยังกัดผลซิ่งอยู่ยืนอยู่ที่เดิมมองเงาที่ลากยาวใต้แสงตะวัน
เงานั่นหยุดลงหันกลับมาอีกครั้ง
“แต่ บางที่เจ้าอาจจำเป็น อนาคตเมื่อเจ้าพบเรื่องที่ลำบากหนักหนายิ่งกว่า ถ้าอย่างนั้นความลำบากที่บุญกุศลใหญ่หลวงเรื่องนี้นำมาก็อาจไม่นับว่าลำบากอะไรอีกแล้ว”
“ดังนั้นข้าจะชี้แนะอีกวิธีให้เจ้าสักหน่อยได้ วิธีนี้ยิ่งน่าเหลือเชื่อ วิธีข้าบอกให้เจ้าฟัง แต่เจ้าต้องทำเอง ข้าจะไม่ดูแล”
นางไม่จำเป็นสักหน่อย นางก็ไม่ใช่หมอเหมือนกัน
นางถุยเมล็ดซิ่งออกมา ตามผู้ชายคนนั้นไป
แต่ชีวิตคนก็เปลี่ยนแปรไม่หยุดเช่นนี้ นางก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีวันหนึ่งเช่นนี้ คนที่เดิมทีไม่ใช่หมอคนหนึ่ง ก็แบกชื่อหมอเทวดาทำงานของหมอได้ เป้าหมายก็ไม่ใช่ช่วยโลกช่วยเพื่อมนุษย์ แต่เป็นชดใช้ตนเอง
ชดใช้ตนเอง
อาจารย์บอกว่าเขาทำเพื่อชดใช้ตนเอง ดังนั้นจึงช่วยเพียงคนที่กำลังช่วยได้ ไม่ใฝ่หาชื่อเสียงไม่ใฝ่หาเงินทอง ไม่ต้องการบุญกุศลใหญ่หลวง
แต่ตอนนี้นางชดใช้ตนเองกลับต้องใฝ่หาชื่อเสียง มีเพียงมีบุญกุศลใหญ่หลวงถึงมีกำลังช่วยคนที่ตนเองอยากช่วยได้ ถึงมีกำลังทำได้
คุณหนูจวินยืนสงบอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เปิดประตู
ในเรือนยามดึกดื่นคนเงียบสงัดไม่ใช่ไม่มีคน เฉินชี ฟางจิ่นซิ่ว หลิ่วเอ๋อร์รวมถึงพนักงานสองคนล้วนยืนอยู่ใต้ชายคา คุณหนูจวินเปิดประตูออกมากะทันหันทำพวกเขาสะดุ้งโหยง
คุณหนูจวินก็ตกใจสะดุ้งโหยงเหมือนกัน
“ทำไมยังไม่นอน?” นางเอ่ย
ตอนนี้ใครจะนอนหลับได้ เฉินชีเอ่ยกับตนเองในใจ
“ลองดูว่ามีอะไรช่วยได้บ้าง” เขายิ้มเฝื่อนเอ่ยบอก
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“มีสิ” นางเอ่ย คิดนิดหนึ่ง “ข้าอยากทานผลซิ่ง”
……………………………………….
[1] ผลซิ่ง (杏) ผลไม้ชนิดหนึ่งผลกลมรี สีเหลืองแดง รสเปรี้ยวอมหวาน
บทที่ 11 วิถีของผู้อื่นสนองคืนแก่ตัวผู้นั้น
โดย
Ink Stone_Romance
ยามท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว เฉินชีเดินก้าวออกมาจากในห้องพลางนวดหน้า ในลานเสียงต่อยหลักไม้ดังลอยมา
“นางยังคึกคักเอาเรื่อง” เฉินชีหาวอีกครั้งเอ่ย “ดูท่าคงกินผลซิ่งจนสำราญใจมาก”
เมื่อคืนวานคุณหนูจวินอยู่ดีๆ ก็อยากกินผลซิ่ง แล้วยังไม่กินผลซิ่งตากแห้งผลซิ่งอบแห้ง จะต้องกินทั้งลูก ที่ดีที่สุดคือสดใหม่
เดือนหนึ่งอย่างนี้ไปหาผลซิ่งสดจากที่ไหน ทำคนลำบากแท้ๆ
ฟางจิ่นซิ่วกับหลิ่วเอ๋อร์กลับไม่โต้แย้ง ดึกดื่นเที่ยงคืนดันทุกรังออกไปเคาะร้านแห่งหนึ่งซื้อผลซิ่งแช่อิ่มกระปุกหนึ่งมาพอแทนกันได้
“ที่แท้กำลังคิดอะไรอยู่นะ? ทำไมไม่บอกว่าจะทำอะไร กลับจะกินนั่นนี่” เฉินชีเอ่ย “เหมือนกับภรรยาท้องจริงๆประหลาดพิกล”
หลิ่วเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากครัวได้ยินเข้าสบถทีหนึ่ง
“คุณหนูของข้าคิดเรื่องต่างๆ อยู่นะ เวลาคิดเรื่องต่างๆ กินนู่นนี่บ้างเป็นอะไร? รู้น้อยชอบประหลาดใจ”
“ถ้าอย่างนั้นนางคิดอะไรได้บ้างแล้ว?” เฉินชีเอ่ยถาม
สองคนกำลังจะโต้คารม คุณหนูจวินก็เดินออมาจากเรือนหลัง
“เฉินหลิน” นางเอ่ยพลางปลดแขนเสื้อลง “กินข้าวเสร็จแล้ว เจ้าไปกรมทหารม้าห้าเมืองให้พวกเขาทำอย่างไรข้าเขียนไว้แล้ว เจ้ารับผิดชอบจัดการให้พวกเขาทำงาน”
เฉินชีขานรับ มองคุณหนูจวินเดินผ่านเขาเข้าไปในโถง
“นางเรียกข้าว่าเฉินหลิน” เขาเอ่ยอีกครั้ง สีหน้าพิกลอยู่บ้าง
หลิ่วเอ๋อร์กลอกตา
“เจ้าไม่ได้ชื่อเฉินหลินหรือ?” นางเอ่ย
เฉินชีลูบศีรษะ
“ข้าชื่อเฉินหลินนั่นแหละ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกข้าเช่นนี้” เขาเอ่ย ยักไหล่ “ได้ยินแล้วแปลกๆ ข้ายังนึกไม่ออกเลยว่าเป็นตนเอง”
นอกจากนี้เฉินหลินชื่อนี้แทบไม่มีใครเรียกอีกแล้ว ทั้งยังเขียนไว้ในบันทึกตระกูลเท่านั้น ตัวเขาเองยังแทบจะลืมแล้ว
เรียกเสียทางการเช่นนี้ น่าขนลุกจริงๆ
หวังว่าเรื่องต่อมาจะไม่สะพรึงคน
…
“ให้พวกเขารับผิดชอบแค่เรื่องเหล่านี้ หลักๆ ก็คือรักษาระเบียบ” คุณหนูจวินเอ่ย “เจ้ายังมีอะไรไม่เข้าใจไหม?”
เฉินชีถือกระดาษหลายแผ่นในมือก้มศีรษะลงอ่าน ได้ยินก็พยักหน้า
“ไม่มี อ่านเข้าใจหมดแล้ว ง่ายมาก” เขาตอบ
“พูดขึ้นมาง่าย ทำไม่แน่ว่าจะง่าย” ฟางจิ่นซิ่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ย “เจ้าตั้งใจหน่อย”
“ข้าย่อมจริงจัง ศีรษะยังอยู่บนลำคอ ข้าไม่ตั้งใจได้รึ” เฉินชีเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วยิ่งถลึงตา
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ” นางเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“เขาพูดถูก พวกเราตอนนี้กำลังเล่นกับชีวิต เล่นได้ดีทุกคนก็อยู่ดี เล่นไม่ดีก็จบสิ้นกันหมด” นางเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วมองนาง
“เจ้ากินผลซิ่งมากรึ? เศร้าขนาดนี้” นางเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว เฉินชีก็หัวเราะด้วย เก็บกระดาษไป
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปกรมทหารม้าแล้ว” เขาเอ่ย พูดจบก็เดินออกไป
คุณหนูจวินหิ้วหีบยาขึ้นมา
“เจ้าไปสำนักแพทย์หลวงหรือ? ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่ง
“ให้หลิ่วเอ๋อร์ตามข้าไป เจ้าอยู่ที่บ้านดูไว้” นางเอ่ย “ต่อไปตรงที่ต้องใช้เงินกับใช้คนต้องมากมายแน่”
“ไม่ใช่ทางการออกหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยสอด
ฟางจิ่นซิ่วกลับพยักหน้า
“เรื่องเร่งด่วน แต่คนและเงินของทางการล้วนต้องมีการพิจารณาต่างๆ ไม่สู้พวกเราเคลื่อนไหวเร็ว นางเอ่ย “เจ้าไปเถอะข้าจะอยู่ที่ร้าน มีเรื่องข้าจะจัดการด้วยกันกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว”
คุณหนูจวินพยักหน้าสะพายหีบยาเดินออกไปกับหลิ่วเอ๋อร์
ในจวนสกุลลู่เวลานี้ องค์หญิงจิ่วหลีกับลู่อวิ๋นฉีเพิ่งเตรียมรับประทานอาหารเช้า
บรรดาสาวใช้เข้าออกกันเงียบเชียบ บนโต๊ะวางอาหารเช้ามากมายไว้
องค์หญิงจิ่วหลีกับลู่อวิ๋นฉีนั่งประจันหน้ากัน ต่างทานอาหารของตนอย่างเงียบสงบ
“บัณฑิตกู้เพิ่มวิชาขี่ม้ายิงธนูให้แก่ไหวอ๋องแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยขึ้น
เพิ่มวิชาขี่ม้ากับยิ่งธนูได้ ย่อมหมายความว่าร่างกายหายดีอย่างสิ้นเชิงแล้ว
องค์หญิงจิ่วหลีพยักหน้า
“เขาก็ควรร่ำเรียนเรื่องนี้แล้ว” นางเอ่ยแล้วก็ยิ้ม “บัณฑิตกู้รอบรู้มากความสามารถจริงๆ”
ลู่อวิ๋นฉีร้องอืม
ไหวอ๋อง บทสนทนานี้ต่อให้เป็นระหว่างพวกเขาสามีภรรยาคู่นี้ก็ยังพูดมากไม่ได้
ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยต่อ องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ได้ถามต่อ สองคนกินอาหารเงียบๆ ต่อไป
“นอกเมืองผู้ป่วยฝีดาษมากมายมาหรือ?”
แต่หลังหยุดไปครู่หนึ่ง องค์หญิงจิ่วหลีก็เงยหน้าขึ้นเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีประหลาดใจเล็ก้อย
องค์หญิงจิ่วหลีแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเอ่ยถามเรื่องภายนอก
แต่จากนั้นก็ไม่รู้สึกผิดปกติ
ฝีดาษเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงที่ชื่อจิ่วหลิงทั้งยังประสบความสำเร็จในการดึงความสนใจขององค์หญิงจิ่วหลีคนนั้น
“องค์หญิงไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทจัดการแล้ว” เขาเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีตอบรับ แต่กลับไม่เงียบงันไร้คำถามดังเช่นก่อนหน้านี้
“คุณหนูจวินคนนั้นรับราชโองการมีอำนาจเต็มในการรับผิดชอบหรือ” นางเอ่ยถามอีกครั้ง
ลู่อวิ๋นฉีกำตะเกียบมือเกร็ง
“ใช่” เขาเอ่ย
ไม่รอองค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยอีกเขาก็วางตะเกียบลุกขึ้นยืน
“ข้าจะไปกรมสืบสวนแล้ว”
องค์หญิงจิ่วหลีวางตะเกียบลง ยิ้มพยักหน้า มองลู่อวิ๋นฉีหมุนกายเดินออกไป
หญิงรับใช้สองข้างท่าทางกังวลก้าวเข้ามาจะเก็บ องค์หญิงจิ่วหลีกลับถือตะเกียบขึ้นมากินต่ออีกครั้ง บรรดาหญิงรับใช้รีบถอยออกไปมองดูองค์หญิงจิ่วหลีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย
หลายวันนี้ใต้เท้าลู่ไม่ได้ไปที่จวนข้างนอกอีก ไม่อยู่ที่กรมสืบสวนก็อยู่ในบ้าน แต่ความสัมพันธ์กับองค์หญิงจิ่วหลีไม่ดีขึ้นสักนิด ยังคงเคารพกันประหนึ่งแขกเช่นนี้ นอกจากนี้วันนี้ดูท่าองค์หญิงยังทำให้ใต้เท้าลู่ไม่พอใจอยู่บ้างแล้วด้วย
ในบ้านล้วนรู้ว่าใต้เท้าลู่ไม่ชอบโรงหมอจิ่วหลิง องค์หญิงก็ดันจะเอ่ยขึ้นมา ต่อให้โรงหมอจิ่วหลิงรักษาไหวอ๋องหายดี องค์หญิงก็น่าจะสนใจความชมชอบของสามีสักหน่อยสิ
องค์หญิงจิ่วหลีกินข้าวอีกถ้วยถึงวางตะเกียบลง ลุกขึ้นเดินออกมา หยุดแล้วมองออกไปด้านนอก
“คุณหนูจวินคนนี้น่าสนใจจริงๆ” นางเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ผู้ที่รู้สึกว่าคุณหนูจวินน่าสนใจไม่ใช่แค่องค์หญิงจิ่วหลีคนเดียว ผู้คนของสำนักแพทย์หลวงก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
การเคลื่อนไหวของโรงหมอจิ่วหลิงด้านนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งเมือง และก็เหมือนอย่างที่คุณหนูจวินสัญญาไว้เช่นนั้น ประกาศความคืบหน้ารวมถึงแผนการจัดการอย่างชัดเจน
บรรดาทหารเมื่อครู่อ่านประกาศตามถนนบอกว่าราชสำนักจะใช้วัดกวงหวานอกเมืองหลวงเป็นที่พักผู้ป่วยโรคฝีดาษ ในเวลาเดียวกันเส้นทางต่างๆ ก็จะตั้งด่านนำทางไว้ ดักผู้ป่วยที่ได้ยินข่าวอยู่ระหว่างเร่งเดินทางมา ป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าเมือง
ในเวลาเดียวกันก็เตรียมน้ำยาขับไล่หายนะขจัดความชั่วร้ายพร้อมแจกจ่ายรวมถึงสาดพรมแล้ว
ผู้คนของสำนักแพทย์หลวงก็ย่อมรับรู้การจัดการเหล่านี้ด้วย
“สมุนไพรที่ต้องการและการต้ม มอบให้แก่กรมยาตามคำสั่งของคุณหนูจวิน” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย มองดูคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ในห้อง ท่าทางเกียจคร้านอยู่บ้าง “อย่างช้าที่สุดตอนบ่ายก็จะทำเสร็จพร้อมแจกจ่ายและสาดพรม”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปคุณหนูจวินยังต้องการยาอะไรก็เพียงแค่สั่งมา พวกเราจะส่งไปถึงวัดกวงหวาด้วยกัน” หมอหลวงเอ่ยต่อ
คุณหนูจวินส่งใบรายการใบหนึ่งข้ามไป
“ยาที่ต้องการไล่เรียงเสร็จแล้ว” นางเอ่ย
หมอหลวงคนนั้นยื่นมือรับไป ดูก็ไม่ดูส่งให้ขุนนางผู้น้อยด้านข้าง
“พวกเราจะเตรียมให้เรียบร้อยทันที” เขาเอ่ย ลุกขึ้นยืน
คุณหนูจวินยังนั่งอยู่ไม่ขยับ
“คุณหนูจวินยังมีอะไรสั่งอีก?” หมอหลวงไม่เข้าใจอยู่บ้างมองนางเอ่ยถาม
“นอกจากยา ข้ายังต้องการคน” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าต้องการหมอไม่น้อยกว่าสิบคนช่วยคนป่วยกับข้า”
หมอหลวงคนนั้นสีหน้าประหลาดใจราวกับนางเอ่ยเรื่องที่ประหลาดมากมายออกมา
“นี่จะได้อย่างไร” เขาเอ่ย “พวกเราจะติดตามคุณหนูจวินไปรักษาคนป่วยได้อย่างไร พวกเราเป็นคนที่รักษาโรคฝีดาษไม่ได้ หากพวกเราไปแล้ว ไม่แน่ว่าจากที่คุณหนูจวินรักษาหายได้อาจกลายเป็นรักษาไม่หาย ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องกลายเป็นคนผิดแล้ว”
คำพูดนี้คุณหนูไม่แปลกหู ก็ปีก่อนนี่เองตอนที่รักษาไหวอ๋องหายดีแล้วถูกไล่ออกมา นางก็พูดกับบรรดาหมอหลวงที่มาขอคำชี้แนะเหล่านั้นแสดงความหมายคล้ายๆ กัน
“ข้าไม่มีอะไรบอกพวกท่าน องค์ชายข้ารักษาหายแล้ว มีเรื่องอะไรอีกก็เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ถึงเวลาอย่าโยนมาใส่หัวข้าก็พอ”
คิดไม่ถึงเร็วขนาดนี้หมอหลวงเหล่านี้ก็ใช้ประโยคนี้มาโต้นางเสียแล้ว
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น