Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 33-46
บทที่ 33 ในที่สุดก็กล้าทำ
โดย
Ink Stone_Romance
บรรดาท่านหมอล้อมเข้ามาตั้งใจฟังคุณหนูจวินพูด
“ข้ารู้สึกว่าเป็นเพราะปากแผลที่มีเลือดสัมผัสกับพิษฝี” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่เกิดผลเร็วยิ่งกว่ายัดเข้าจมูก”
เป็นเช่นนี้หรือ?
บรรดาท่านหมอมองเด็กๆ ฝั่งนี้
“หากเป็นเช่นนี้หลังจากนี้พวกเราจะเลือกใช้วิธีนี้” คุณหนูจวินเอ่ย “ส่วนที่ฝีบนร่างเขาน้อย บ่งบอกว่าพิษฝีครั้งนี้ดีกว่า ครั้งนี้ที่ให้พวกเขาใช้คือหน่อฝีที่เอามาจากตัวพวกท่านหมอชวี่”
บรรดาท่านหมอพยักหน้า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” พวกเขาเอ่ย “นี่ก็คือที่ท่านบอกว่าพิษฝีอยู่บนตัวคนจะค่อยๆ ถูกขจัดพิษ ดังนั้นยิ่งปลอดภัยมากขึ้น”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาหรอก” นางเอ่ย “พวกท่านจัดคนดูแลพวกเขาก็พอแล้ว”
บรรดาท่านหมอพยักหน้า ทิ้งคนไว้ดูแล ตามคุณหนูจวินไปพลาง หารืออาการป่วยของเด็กคนนี้ต่อพลาง แล้วจากไป
เด็กทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างสบตากันทีหนึ่ง เมื่อครู่คุณหนูจวินพูดกับท่านหมอเหล่านี้ต่อหน้าพวกเขา ตั้งใจอธิบายให้พวกเขาฟังสินะ
“พวกเขาว่าน้องชายไม่เป็นไร” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
สีหน้าของเด็กทั้งหลายผ่อนคลายลงไปมาก
“ท่านปู่บอกว่าท่านชายพูดได้ทำได้ พวกเราจะไม่เป็นไร” เด็กผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา มือน้อยกำแน่น
“ท่านชายก็บอกแล้ว คุณหนูคนนี้ร้ายกาจนัก” เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา มองร่างที่ไกลออกไปด้านนั้น “ท่านชายเชื่อนาง พวกเราก็เชื่อ”
…
“ข้ากินผลไม้เชื่อมได้หรือยัง?”
เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้นในเรือนยามเช้าตรู่
ท่านหมอคนหนึ่งมองเด็กน้อยข้างต้นขา ยิ้มนั่งยองๆ ลงไป
“เหมาเหมา เจ้ากินข้าวเสร็จแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
โจวเหมาเหมาวันนั้นเป็นไข้อยู่แค่วันเดียว วันที่สองก็เป็นอย่างที่คุณหนูจวินว่าจริงๆ หายดีแล้ว
โจวเหมาเหมาพยักหน้า ท่านหมอก็มองไปทางคนงานด้านหลังอีกครั้ง
นี่เป็นคนที่เฉินชีส่งมาดูแลโจวเหมาเหมาที่หายป่วยแล้ว
คนงานยิ้มพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้” ท่านหมอยิ้มเอ่ย “เจ้าช่วยข้าไปส่งข้าวให้พวกพี่ชายพี่สาวของเจ้า หลังจากนั้นข้าจะให้ผลไม้เชื่อมเจ้าเม็ดหนึ่ง”
โจวเหมาเหมาพยักหน้าติดๆ กัน เป็นฝ่ายวิ่งไปยังห้องที่พวกพี่ชายพี่สาวอยู่ก่อนแล้ว
เด็กคนอื่นของตระกูลโจวต่างก็ตัวร้อนหลังหนึ่งวันสองวัน เทียบกับโจวเหมาเหมาอาการป่วยของพวกเขาเบากว่า
แม้ตัวร้อน แต่กำลังวังชากลับไม่เลว ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแต่นั่งอยู่
มองเห็นท่านหมอเข้ามาก็ยังลุกขึ้นคำนับ
โจวเหมาเหมาวิ่งเข้าไปแล้ว
“พี่สาว ท่านรีบกินข้าว ท่านกินข้าวดีๆ ถึงจะหายไวๆ” เขาตั้งใจพูด
เด็กผู้หญิงพยักหน้า ไม่ได้ลูบศีรษะน้องชาย จงใจนั่งอีกด้านหนึ่ง
นางรู้ว่าอาการป่วยบนร่างนางคือฝีดาษ ฝีดาษย่อมติดต่อได้
บรรดาท่านหมอตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้โจวเหมาเหมายังมาที่นี่ แต่คุณหนูจวินบอกว่าไม่เป็นไร ก็ได้แต่ฟังนางแล้ว
สามวันให้หลัง เด็กตระกูลโจวทั้งหมดล้วนหายจากอาการตัวร้อน เร็วจนบรรดาท่านหมอล้วนไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“ไม่สำเร็จใช่หรือไม่?” บรรดาท่านหมอถึงกับสงสัย “มีฝีเกิดขึ้นมาแค่ไม่กี่เม็ดเท่านั่นเอง”
“เพราใช้หน่อฝีที่ดีขึ้นน่ะสิ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย แล้วก็หยุดไปนิดหนึ่ง “สำเร็จไม่สำเร็จ พิสูจน์ดูก็รู้แล้ว”
ต้องพิสูจน์อีก?
บรรดาท่านหมอได้ยินคำนี้ล้วนหวาดกลัวอยู่บ้าง อดไม่ได้มองไปรอบด้าน
“ยังต้องพิสูจน์อย่างไรอีกหรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งกดเสียงเบาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
“ที่นี่ของพวกเราเป็นที่ไหนเล่า” นางเอ่ย “พวกเรามีผู้ป่วยฝีดาษตั้งมากมกาย”
ดังนั้น…
บรรดาท่านหมอหัวใจหยุดเต้นไปวูบหนึ่ง
“ดังนั้นให้พวกเขาไปอยู่กับผู้ป่วยฝีดาษด้านนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าจะถูกฝีดาษเล่นงานอีกหรือไม่” คุณหนูจวินเอ่ย
นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว
แต่ครั้งนี้ทั้งไม่มีองครักษ์เสื้อแพรโดดออกมา แล้วไม่มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงเดินออกมาคว้าเด็กหลายคนนี้ปุบก็ไป
บรรดาท่านหมอจึงไม่ตื่นเต้นเช่นนั้นอย่างสองครั้งก่อนแล้ว แต่เงียบงันไปครู่หนึ่ง
“แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงหรือ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถาม
นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ ผู้ใหญ่ไม่หลบเลี่ยงได้ แต่บ้านใครมีเด็กเป็นฝีดาษ เด็กข้างบ้านรอบด้านล้วนหลบไปไกลโพ้น แต่เด็กหลายคนนี้ไม่เพียงไม่หลบ ยังต้องส่งไปอยู่ท่ามกลางผู้ป่วยฝีดาษอีก
ได้ฟังทำให้คนกลัวนักจริงๆ
“ไม่มีปัญหา” คุณหนูจวินเอ่ย
ประโยคนี้เริ่มตั้งแต่นางประกาศว่ามีวิธีป้องกันฝีดาษก็พูดมาหลายครั้งแล้ว
หลายครั้งก่อนหน้าพิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้พูดโกหก
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองไปทางนางพยักหน้า
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูเถอะ” เขาเอ่ย
…
ตั้งแต่ได้รู้ว่าคุณหนูจวินกับบรรดาท่านหมอค้นพบวิธีป้องกันฝีดาษ คนทั้งหมดในวัดกวงหวาก็สนใจความเป็นไปของฝั่งนี้
“ให้เด็กหลายคนปลูกพิษฝีแล้ว”
“สวรรค์ เอาเด็กโชคร้ายที่ไหนมา”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่? เด็กพวกนั้นไม่เป็นไรจริรงๆ”
“หรือว่าพิษฝีนี่ไม่เป็นไรจริงๆ?”
“บางทีอาจไม่ใช่พิษฝีก็ได้นะ ใครจะรู้ว่าพวกเขาทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร”
คนฝั่งนี้พากันถกเถียง แต่ไม่นานการถกเถียงนี้ก็หยุดลง คนทั้งหมดมองไปทางประตูเรือน
ครั้งนี้นอกจากพวกท่านหมอเช่นคุณหนูจวินที่มาให้ยาตามปกติ ยังเพิ่มเด็กมาห้าคน
นี่ก็คือเด็กไม่กี่คนนั้นที่ทดลองพิษฝีมา
พวกเขามาทำอะไรที่นี่?
ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ เด็กๆ มาได้นะ
คนในเรือนล้วนเงียบไป
แต่คนในเรือนเงียบลง เรือนแห่งนี้กลับไม่เงียบ ในปากจมูกล้วนเป็นกลิ่นเหล้ากลิ่นยาเข้มข้นรวมถึงกลิ่นเน่า หูได้ยินเสียงร้องไห้ครวญครางลอยมาจากในห้องแถบนั้น
มีคนงานยกแผ่นกระดานเดินออกมาจากในห้อง คลุมผ้าสีขาวไว้เห็นชัดว่าเป็นรูปร่างของเด็กที่ตายไปแล้ว ข้างกายครอบครัวที่ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งจิตใจสลายติดตาม
เด็กหลายคนอดไม่ได้จับมือกันแน่น พวกคนงานผ่านไป บรรดาท่านหมอหลีกทางก้มศีรษะไว้อาลัยเงียบงันเหมือนเช่นเคย
สายลมต้นฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาอย่างแรงผ่านช่องประตูที่เหล่าคนงานยกแผ่นกระดานผ่านไป พลิกผ้าขาวนั่นเปิด หลายคนที่ไม่กล้ามองดู อดไม่ไหวปลายหางตามองไปยังเด็กๆ ที่บังเอิญมองเห็นสภาพของคนตายพอดีอีกครั้ง ฝีดำโหดร้ายเต็มหน้านั่น เด็กหลายคนอย่างไรก็เป็นเด็ก หลุดเสียงร้องตกใจ
นอกจากโจวเหมาเหมาที่ร่างสูงแค่ขาคนนั้น
เพราะตัวเตี้ยเขาจึงมองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดเรียกหวาดกลัว หัวเราะฮิฮะมองมาด้านนี้อย่างสงสัย
บรรดาท่านหมอจูงเด็กเหล่านี้เพื่อแสดงการปลอบขวัญ พร้อมกันนั้นบนหน้าก็ทนไม่ไหวมากด้วย
ให้เด็กๆ มาที่นี่น่ากลัวเกินไป แล้วก็โหดร้ายเกินไปแล้วจริงๆ
“เอาล่ะ เก็บกวาดห้องห้องหนึ่งให้พวกเจ้าแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยสั่งบรรดาคนงาน “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะอยู่ที่นี่ช่วยทำงาน”
อยู่ที่นี่ช่วยทำงาน? เด็กไม่กี่คนนี้ทำงานอะไรได้?
คนในเรือนยิ่งประหลาดใจแล้ว
ที่นี่ล้วนเป็นผู้ป่วยฝีดาษ เผชิญหน้ากับผู้ป่วยผีดาษ เด็กๆ คนอื่นหลบยังหลบไม่ทันเลย ยังให้เด็กเข้าไปใกล้อีกได้อย่างไร?
นี่เป็นการฆ่าคนนะ
ล้อเล่นใช่ไหม?
……………………………………….
บทที่ 34 ใกล้ไม่รู้ไกลรู้
โดย
Ink Stone_Romance
แต่คุณหนูจวินไม่มีเจตนาล้อเล่น นางกวักมือให้เด็กๆ
“พวกเจ้าทำเรื่องที่กำลังทำได้บางอย่างก็พอแล้ว ส่งยาช่วยแจกอาหารอะไรพวกนี้” นางเอ่ยพลางเดินไปทางห้องหนึ่ง
ท่านหมอคนหนึ่งมองหีบยาที่หิ้วอยู่ในมือ ลังเลทนส่งให้เด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้
บนหน้าเด็กๆ ความตกใจกลัวยังไม่ทันสลายไป ยืนอยู่ที่เดิมกำมือแน่น
“กลัวอะไร” โจวจิงพลันเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ยังน่ากลัวว่าตายในคุกอีกหรือ?”
เขาพูดจบสูดหายใจลึกทีหนึ่ง ยื่นมือรับหีบยาไปจากมือท่านหมอ ตามคุณหนูจวินเดินเข้าไปในห้อง
เด็กๆ คนอื่นแม้มีสีหน้าหวาดกลัว แต่ก็ตามไปโดยที่ไม่ลังเลสักนิด
“ข้าก็จะหิ้ว ข้าก็จะหิ้ว” โจวเหมาเหมาก้าวขาสั้นๆ วิ่งตาม กางมือออก
ยังมีเด็กทารกคนหนึ่งด้วย คนในเรือนสีหน้ายิ่งสับสน
จะทำอะไรกันแน่?
“คุณหนูจวินเหมือนเคยบอกว่า คนที่ปลูกฝีสำเร็จชีวิตนี้จะไม่กลัวฝีดาษเล่นงานอีก แล้วก็จะไม่เป็นฝีดาษอีกแล้ว” คนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น “หรือว่าพูดจริง?”
…
“อะไรจริงอะไรหลอก?”
เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้วมองบรรดาหมอหลวงที่รวมตัวพูดคุยเสียงเบากันอยู่
บรรดาหมอหลวงรีบล้อมเข้ามา
“หมอหลวงเจียง ท่านได้ยินมาหรือไม่?”
“วัดกวงหวาด้านนั้นพักนี้สร้างเรื่องใหม่ออกมาแล้ว”
“บอกว่าค้นพบวิธีที่ทำให้คนไม่ต้องเป็นฝีดาษ”
ทุกคนพากันเอ่ยเสียงเบา
“โรคบนโลกนี้มีที่ป้องกันได้ที่ไหน” หมอหลวงเจียงขมวดคิ้วเอ่ย “เลิกฟังคำพูดไร้สาระของพวกเขาได้แล้ว”
ใช่สิ นี่ฟังแล้วน่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ได้ยินว่าพวกหมอเหล่านี้เอาตัวเองทดลองมาก่อนแล้ว”
“ยังมีบุตรชายเฉิงกั๋วกงขอพระราชทานราชโองการพาเด็กหลายคนของตระกูลโจวที่ต้องโทษสบคบศัตรูในห้องขัง ไปทดลองยาด้วย”
บรรดาท่านหมอเอ่ยต่อ
เรื่องนี้หมอหลวงเจียงย่อมได้ยินมาเหมือนกัน เขาหัวเราะแล้ว
“ดูท่าฝีดาษนี่พวกเขาคงรักษาไม่ได้จริงๆ แล้ว” เขาเอ่ย “เริ่มคิดวิธีการแปลกประหลาดเช่นนี้แล้ว พวกเขาทำเช่นนี้แสดงว่าตนเองทุ่มเทใจกับฝีดาษแล้วหรือ? เช่นนี้ก็เลี่ยงโทษได้รึ?”
พวกเขาลูบเครา
“ส่วนเด็กตระกูลโจว โจวเปิ่นถังสมคบศัตรูจนเมืองเจินติ้งถูกยึด ทำให้แนวป้องกันแถบเหนือของเฉิงกั๋วกงถูกฉีกขาดเป็นรูแห่งหนึ่ง เสียหน้ามากนัก นอกจากนี้ยังถูกฮ่องเต้ตำหนิลงโทษ ส่งแม่ทัพใหม่ไป เฉิงกั๋วกงถูกแย่งเนื้อชิ้นโตชิ้นหนึ่งที่แถบเหนือไป ให้ครอบครัวของโจวเปิ่นถังถูกตัดศีรษะตายอย่างสงบ ไหนเลยจะระบายโทสะได้”
กล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผลมากอยู่เหมือนกัน บรรดาท่านหมอล้วนพยักหน้า
“ใช้ยาก็ไม่เป็นฝีดาษได้ ล้อเล่นจริงๆ” พวกเขาหัวเราะเอ่ย “ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ากินยาอะไรแล้วจะไม่เป็นโรคอะไรได้”
ท่านหมอคนหนึ่งพลันร้องเอ๋
“ก็พูดไม่ได้ว่าไม่มีนะ” เขาเอ่ย สีหน้าตั้งใจ
ทุกคนมองไปทางเขา ในดวงตาเจียงโหย่วซู่ความไม่พอใจบางๆ แล่นผ่าน
“อย่างเช่นภิกษุชั้นสูงในวัด อย่างเช่นผู้ปราดเปรื่องจากต่างแดน อย่างเช่นแม่ชีวัดผู่หนิง ล้วนมียาที่ให้คนกินแล้วไม่เป็นโรคอีกได้นะ” หมอคนนั้นเอ่ยสีหน้าจริงจัง
คำพูดนี้ทำให้บรรดาท่านหมออึ้งไปจากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้หัวเราะ สีหน้าเรียบเฉย
“คุณหนูจวินเรียกตนเองว่าหมอเทวดา ทำยาเช่นนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลกนี่” เขาเอ่ยเฉยชา “เพียงแต่อย่าคิดว่าคนในใต้หล้านี้ล้วนเป็นตาสีตาสา”
แม้วัดกวงหวาจะถูกทหารกับองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้แน่นหนา แต่เมืองหลวงแห่งนี้น้อยนักจะมีเรื่องที่เป็นความลับ ไม่รู้ว่าจากสำนักแพทย์หลวงหรือจากเต๋อเซิ่งชาง หรือจากทหารที่ตั้งด่านสกัด หรือจากเหล่าพัศดีในคุกหลวง หรือจากที่บุตรชายเฉิงกั๋วกงพานักโทษตายในคุกเดินอาดๆ ผ่านเมือง นานาวิธีข่าวแพร่ออกไปแล้ว
พวกหมออย่างคุณหนูจวินรักษาฝีดาษไม่ได้ผล คนที่ตายกองสุมทีละคนๆ ข่าวนี้ทำให้คนทั้งเมืองหลวงอกสั่นขวัญแขวน มีคนไม่น้อยเริ่มเก็บข้าวของเตรียมออกจากเมืองหลวงไปหลบยังสถานที่อื่นแล้ว แต่จากนั้นก็มีข่าวว่าคุณหนูจวินค้นพบวิธีทำให้คนไม่เป็นฝีดาษแพร่มาอีก
“หลอกกันละมั้ง?”
“ต้องหลอกกันแน่ เหมือนกับที่นางพูดว่ารักษาฝีดาษได้ต่อมารักษาไม่ได้ เป็นเรื่องหลอกลวง”
“จะมีวิธีการเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“วิธีการอะไรทำให้คนไม่เป็นฝีดาษได้?”
คำวิพากษ์วิจารณ์การคาดเดาสารพันแพร่ออกไปดั่งสายลม
วิธีอะไร? ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเครา พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นวัวฝูงหนึ่งล่ะนะ
พูดความจริง ตอนเขาเพิ่งได้ยินข่าวนี้ ตนเองก็ยังไม่เชื่อ
วัวนะ วัวก็ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษได้ แค่วัวก็จัดการฝีดาษอันน่าหวาดกลัวที่ตั้งแต่โบราณมาทุกคนหวาดกลัวแต่อับจนหนทางได้?
นี่ใครจะคิดถึงเล่า คุณหนูจวินคนนี้คิดออกได้อย่างไร?
“ดูท่าจะวุ่นวายจริงๆ แล้ว” เขาเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่ว
“ในเมื่อนางกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ย่อมต้องมั่นใจอยู่” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “คนเช่นนาง ไม่มีทางให้ตนเองเสียเปรียบหรอก”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกังวลใจมาตลอดจนกระทั่งนาทีนี้ถึงผ่อนคลายลงบ้าง ยกถ้วยชาดื่มคำหนึ่ง
“หากทำเรื่องเช่นนี้สำเร็จจริงๆ ถ้าอย่างนั้นโรงหมอจิ่วหลิงก็สร้างบุญกุศลใหญ่หลวง ชื่อดังทั่วหล้าแล้ว” เขาเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะ วางรางลูกคิดในมือลง
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรีบเอาเวลาไปหาวัวมากกว่าเดิมส่งไปเถอะ” นางว่า “เกรงว่าต้องมีคนมากมายมาหานางปลูกฝีแน่”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะ
“ชื่อดังทั่วหล้าคงไม่เร็วปานนั้น” เขาเอ่ย “คนในใต้หล้านี้ไม่เชื่อง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
“คนในใต้หล้าง่ายหรือไม่ง่ายข้าไม่รู้” ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะเอ่ย “แต่คนหยางเฉิงเชื่อแน่”
…
เมืองหยางเฉิงกลางเดือนสองยังคงหนาวอยู่ แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกับความครึกครื้นในตลาด เทียบกับบนถนน ในเหลาสุราโรงน้ำชาแลดูซบเซาอยู่บ้าง
ครึ่งปีมานี้ไม่มีเรื่องใหม่อะไรเลย
“นี่ก็จะวันที่สามเดือนสามแล้ว คิดว่าหอจิ้นอวิ๋นคงต้องคิดถึงคุณหนูจวินมากแน่”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะวันที่สามเดือนสามปีก่อนคุณหนูจวินชนะโยนศรที่หอจิ้นอวิ๋นได้เงินมากมาย หอจิ้นอวิ๋นก็เลยร่ำรวยไปด้วย”
คำพูดนี้ทำให้ผู้คนในโรงน้ำชาพูดถึงเรื่องเก่าปีก่อนขึ้นมา แต่เรื่องเก่าเล่ามากเกินไป ความสนใจของทุกคนอย่างไรก็น้อยลงไปบ้าง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ฉับพลันมีคนวิ่งร้องตะโกนเข้ามาจากด้านนอก
คำพูดนี้ทำให้คนเต็มโรงน้ำชาล้วนตื่นตัว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ทุกคนเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
คนที่มาสีหน้าแดงวิ่งหอบฮักฮักยกสองมือขึ้นสองตาเป็นประกาย
“คุณหนูจวินอยู่ที่เมืองหลวงทำยาป้องกันฝีดาษออกมาได้แล้ว!” เขาตะโกนบอก
ฝีดาษ?
ฝีดาษ!
ในโรงน้ำชาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฮือฮา
…
ด้านในเรือนยามต้นฤดูใบไม้ผลิอันเงียบสงบ สาวใช้อายุน้อยหลายคนกำลังนั่งยองอยู่กับพื้นมองดูว่าในรอยแตกของก้อนอิฐมีหญ้าเขียวผลิยอดออกมาหรือไม่ พลางหัวเราะคิกคักเสียงเบา
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากด้านนอก เหมือนมีคนวิ่งอยู่
คุณชายกำลังจะสอบใหญ่แล้ว นายหญิงใหญ่ก็เริ่มกินเจ ทุกวันสวดคัมภีร์ขอพรให้คุณชาย ใครกล้าวิ่งเอะอะเช่นนี้ในเรือนนายหญิงใหญ่
เหล่าสาวใช้อายุน้อยเงยหน้าขึ้น มองเห็นหญิงรับใช้เฒ่าประจำตัวคนหนึ่งของนายหญิงใหญ่ สีหน้านางตื่นตระหนกอยู่บ้างวิ่งตรงเข้ามาในห้องของนายหญิงใหญ่หนิง
เกิดเรื่องอะไรขึ้นทำให้แม่เฒ่าผู้นี้เสียกิริยาเช่นนี้
บรรดาสาวใช้อายุน้อยสบตากัน
บทที่ 35 คนที่เชื่อย่อมเชื่อ
โดย
Ink Stone_Romance
“เจ้าพูดอะไร? ป้องกันฝีดาษได้?”
นายหญิงใหญ่หนิงวางลูกประคำในมือลงเอ่ยถาม
“ใช่เจ้าค่ะ ในเมืองลือกัน พูดว่าจริงแท้แน่นอน” หญิงรับใช้รีบร้อนเอ่ย
นายหญิงใหญ่หนิงยิ้มเฉยชา
“จริงแท้แน่นอนอะไรกัน” นางเอ่ย “ช่วงก่อนหน้านี้ก็บอกว่านางรักษาฝีดาษของไหวอ๋องหายได้ ก็ลือว่าจริงแท้แน่นอนเหมือนกัน ความจริงเป็นอะไร คนอื่นไม่รู้ พวกเรายังไม่รู้หรือ?”
แม้ไหวอ๋องเป็นสิ่งต้องห้ามที่ผู้คนหลบเลี่ยงไม่พูดถึง แต่จดหมายจากครอบครัวหนิงเหยียนบอกเล่าว่าอาการป่วยของไหวอ๋องไม่เบา หมอหลวงเหล่านี้อับจนหนทาง ถึงขั้นปัดบอกว่าเป็นฝีดาษไม่รักษา
ปัดบอกสองคำนี้ก็บ่งบอกแล้วว่าที่ไหวอ๋อองเป็นหาใช่ฝีดาษ
ทุกคนก็แค่มองออกแต่ไม่พูดเท่านั้น
ดังนั้นต่อมาคุณหนูจวินผู้นั้นไปรักษาโรคของไหวอ๋อง รักษาหายสร้างเรื่องฮือฮา ตระกูลหนิงจึงไม่รู้สึกว่านางรักษาฝีดาษหายได้จริงๆ
โรงหมอที่สืบทอดมาร้อยปี มีสูตรลับที่รักษาโรคร้ายรักษายากสักหลายอันก็ไม่แปลกอะไร เพียงแต่ว่าฝีดาษรึ….
“ใครลือ? เป็นคนตระกูลฟางอีกแล้วรึ?” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหยันอยู่บ้าง “ตระกูลฟางหนึ่งปีนี้แอบอ้างชื่อใหญ่โตยังน้อยหรือ? ขาดก็แต่บอกว่าตระกูลพวกเขาเป็นทายาทเทพเซียนแล้ว”
หญิงรับใช้อับอาย
“แต่คนบางพวกเชื่อไปแล้ว ยังมีผู้ดีชนบทจำนวนหนึ่งจับกลุ่มไปเมืองหลวงเชิญคุณหนูจวินกลับมา ปลูกฝีให้เด็กๆ หยางเฉิง” นางเอ่ย
นายหญิงใหญ่หนิงหัวเราะอีกครั้ง ยกถ้วยชา
“ค่าเดินทางเข้าเมืองหลวงเป็นตระกูลฟางออกล่ะสิ?” นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย
“ข้าก็ว่าแล้วเชียว ฝีดาษนี่จะป้องกันได้อย่างไร? โรค ตลอดมามีเพียงรักษา ไม่เคยได้ยินป้องกันมาก่อน” หญิงรับใช้หัวเราะตามเอ่ย “ก็ไม่รู้จริงหรือหลอก ในเมืองเล่าลือกันจนผู้คนจิตใจสับสน”
“พวกเขาอยากเล่าก็เล่าไป อวดอ้างหลอกลวงประชาชนให้เดินทางไปเมืองหลวง ถึงเวลาต่อให้มีราชโองการ ราชสำนักก็ไม่มีทางละเว้น” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ย จิบชาอีกคำหนึ่ง ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ในดวงตาของนางไม่ปิดบังความเกลียดชัง “ตระกูลหยาบช้าเช่นนี้ ควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง”
เวลาเดียวกันในจวนเรือนตระกูลฟางแห่งหยางเฉิน นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางที่ไม่ออกจากเรือนด้านในมานานแล้วก้าวเดินเร็วไว สาวใช้หญิงรับใช้ด้านหลังก้มหน้าติดตาม บรรยากาศเคร่งเครียดอย่างมาก
ฟางเฉิงอวี่กลับไม่ได้อยู่ในเรือน นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ไม่ได้ให้พวกสาวใช้ไปเรียก ตนเองตรงมาถึงลานฝึกซ้อม
ฟางเฉิงอวี่กำลังฝึกฝนยิงธนูภายใต้การชี้แนะของอาจารย์หลายคนอยู่ มองเห็นท่านย่ากับท่านแม่ก็รีบเช็ดเหงื่อเข้ามารับ
“เรื่องที่เจินเจินนางป้องกันฝีดาษได้ เป็นเจ้าให้คนประกาศออกไปข้างนอกหรือ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถามตรงๆ
ฟางเฉิงอวี่ร้องอ้อทีหนึ่งพยักหน้า
“ใช่ขอรับ ในเมืองหลวงส่งจดหมายมาบอกแล้ว พี่สาวนางหาวิธีพบแล้ว” เขายิ้มเอ่ย “นี่สำหรับชาวประชาแล้วเป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวง”
“จดหมายที่มาจากในเมืองหลวงกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร?” นายหญิงใหญ่ฟางขมวดคิ้วเอ่ย “พวกเราถามแล้ว ข่าวในเมืองหลวงบอกว่าฝีดาษรักษาไม่หาย ตอนนี้เริ่มพูดว่ารักษาไม่หายป้องกันได้ ก่อนอื่นเป็นบรรดาท่านหมอกลุ่มหนึ่งใช้ตนเองลองยา หลังจากนั้นใช้นักโทษประหารลองใช้อีก ที่แท้เป็นอย่างไร ยังไม่มีข้อสรุปเลยนะ ทำไมเจ้าประกาศโจ่งแจ้งแล้วเล่า?”
“นี่ยังต้องพูดอีกหรือ?” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย
“นางพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้นสินะ?” นายหญิงใหญ่ฟางอดกลั้นความโกรธไม่อยู่เอ่ยขึ้น “เจ้ายังมีสมองอยู่หรือไม่? เจ้าคิดสักนิดหนึ่งได้หรือไม่? เรื่องนี้ทำเช่นนี้ได้หรือ?”
“ท่านแม่” ฟางเฉิงอวี่คล้องแขนนางยิ้มเอ่ย “ข้าคิดแล้วสิ ข้าตั้งใจคิดแล้ว”
“เจ้าคิดอะไรแล้ว?” นายหญิงใหญ่ฟางไม่สบอารมณ์สลัดแขนเขาออก
ฟางเฉิงอวี่วันนี้ฝึกฝนยิงธนู แขนกลายเป็นมีแรงแล้ว นายหญิงใหญ่ฟางถึงกับสลัดไม่หลุด
“ข้าคิดแล้วว่าพี่สาวนางเป็นคนที่มีสิ่งใดถึงพูดสิ่งนั้นน่ะสิ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย “ในเมื่อนางพูดแล้วย่อมทำได้แล้วเช่นกัน นั่นก็คือต้องไม่มีปัญหาแน่”
อย่างไรพูดว่านางเป็นอย่างไรๆ กับเขาก็ไม่มีประโยชน์ นายหญิงใหญ่ฟางโกรธถลึงตา
“เจ้าจะ… เจ้าจะ…” นางยื่นมือทิ่มหน้าผากฟางเฉิงอวี่ โกรธจนไม่รู้ควรพูดอะไรดี “เจ้าปลุกระดมคนหยางเฉิงไปเมืองหลวง หากไปถึงที่นั่นอะไรก็ไม่มีจะเก็บกวาดอย่างไร!”
ฟางเฉิงอวี่เอนศีรษะไปตามแรง
“ไม่มีทาง ไม่มีทาง” เขายิ้ม “จิ่วหลิงไม่มีทางทำให้ทุกคนผิดหวัง”
นายหญิงใหญ่ฟางยังจะพูดอะไรอีก นายหญิงผู้เฒ่าฟางยกมือห้ามนางไว้ มองฟางเฉิงอวี่ แล้วมองไปยังทิศทางที่เมืองหลวงอยู่
“พวกเจ้านี่นะ” ในที่สุดนางก็เอ่ยออกมา “เล่นกับชีวิตกันเสียจริง”
“เพราะไม่อยากตายไหมเล่า” ฟางเฉิงอวี่ตั้งใจเอ่ย “อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงได้แต่กล้าเล่น”
ไม่อยากตายก็ต้องกล้าเล่น
ไม่กล้าเล่นก็มีเพียงตาย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบงันไปครู่หนึ่ง ตบหัวไหล่ของเขา
“ไปก็ไปเถอะ แต่อย่าเกินไปนัก คนที่ไปอย่ามากขนาดนั้น คืบหน้ารุกได้ ถอยป้องกันได้” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ขานรับคำ
“ที่จริง ท่านย่า ข้าเพียงบอกให้ทุกคนเล่าเรื่องที่จิ่วหลิงทำที่เมืองหลวงสักหน่อยเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นเป็นอิทธิพลของนางเองแล้ว” เขาเอ่ย
นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” นางเอ่ย
“ความหมายของข้าก็คือคนมากมายที่ได้ยินข่าวนี้เดินทางไปเมืองหลวง ข้าหาได้รู้เรื่องไม่” ฟางเฉิงอวี่จิ้มนิ้วเข้าหากัน ท่าทางประหนึ่งเด็กน้อยวิตกเอ่ยบอก “อย่างไรจิ่วหลิงก็ร้ายกาจปานนั้น”
…
เสียงฆ้องบนถนนใหญ่ของหรู่หนานตีดัง นี่ไม่ใช่ข้ามปีข้ามเทศกาล ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้คนบนถนนตกใจสะดุ้ง
อะไรกัน? อะไรกัน? หรือชาวจินบุกมารึ?
ผู้คนสีหน้าซีดขาวแห่ออกมา มองดูคนที่ตีฆ้อง
หูกุ้ย?
“หูกุ้ย เจ้าทำอะไรน่ะ?” ทุกคนตะโกนอย่างโมโหอยู่บ้าง
“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่” หูกุ้ยเก็บฆ้องมองคนที่มารวมตัวกันตะโกนเสียงดัง “เด็กๆ ที่หรู่หนานของเรามีบุญแล้ว”
เด็กๆ?
ผู้คนยิ่งสมองตกอยู่ในม่านหมอก
“พวกเจ้ารู้จักฝีดาษไหม?” หูกุ้ยตะโกนถาม
ฝีดาษ?
สีหน้าผู้คนซีดขาวทันที ทุกคนถอยหลังพรึบพร้อมเพรียง
หรือว่าในเมืองมีฝีดาษระบาด? นั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว คนที่ในบ้านมีเด็กล้วนรีบเร่งหลบออกไป
“ฝีดาษ!” หูกุ้ยสีหน้าตื่นเต้น ชูฆ้องขึ้นสูง “โรงหมอจิ่วหลิงแห่งหรู่หนานของพวกเรา คุณหนูจวินของพวกเรา ค้นพบวิธีที่ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษแล้ว”
ผู้คนที่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตะลึง จากนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึง
“จริงหรือ?”
คนทั้งหมดส่งเสียงประสานกัน
“จริง คุณหนูจวินเคยหลอกพวกเราเมื่อไร” หูกุ้ยตะโกนบอก “คนหยางเฉิงฝั่งนั้นเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว บอกจะเชิญคุณหนูจวินกลับหยางเฉิง”
พวกชาวบ้านได้ยินถึงตรงนี้ส่งเสียงอื้ออึงอีกครั้ง
“อาศัยอะไรจะให้ไปหยางเฉิง”
“คุณหนูจวินเป็นคนหรู่หนานของพวกเรา!”
“เชิญคุณหนูจวินกลับมา!”
“ไปเมืองหลวง!”
“ไปเมืองหลวง!”
ไม่มีใครสงสัยอีกต่อไปกระทั่งไม่ถามรายละเอียด ทุกคนเชื่อมั่นไม่สงสัย มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
เดือนสองต้นวสันต์ บนถนนใหญ่สายลมวสันตฤดูหนาวเล็กน้อย ราวกับพริบตาเดียวคนม้ามากมายเพิ่มขึ้นมาก
มีบุรุษมีสตรีมีขี่ม้ามีนั่งรถ จากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกัน บนถนนใหญ่ค่อยๆ คนเดินขวักไขว่
ฝูงชนขวักไขว่ต่างเพศต่างอายุต่างฐานะเหล่านี้ทิศทางที่ไปเป็นทิศทางเดียวกัน เมืองหลวง
……………………………………….
บทที่ 36 รอวสันต์มา
โดย
Ink Stone_Romance
สายลมวสันต์เดือนสองดั่งกรรไกร
สือชิงพันผ้าโพกหัวไว้รอบใบหน้าใหม่ เงยหน้ามองไปด้านหน้ามองเห็นด่านและทหารที่ตรวจตราคนเดินทางอยู่เลือนรางแล้ว
ใกล้ถึงแล้ว
สือชิงมองตะกร้าไม้ไผ่ด้านหน้าร่าง
สือชิงไม่ใช่พ่อค้าที่เข้าเมืองหลวง ที่วางอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ก็ไม่ใช่ผักผลไม้ธัญพืชที่บ้านผลิต แต่เป็นเด็กที่ถูกผ้าคลุมห่อไว้คนหนึ่ง
ไม่ใช่แค่เด็กคนหนึ่ง ในตะกร้าด้านหน้าด้านหลังสองใบต่างมีเด็กน้อยคนหนึ่ง คนหนึ่งโตหน่อย คนหนึ่งเล็กหน่อย
“ต้าหนิวเอ๋ย ใกล้ถึงแล้วนะ เจ้าอดทนอีกหน่อย” สือชิงยื่นมือยัดผ้าห่มนิดหนึ่ง เอ่ยกับเด็กน้อยด้านใน
เด็กไม่มีปฏิกิริยาสักนิด ราวกับหลับอยู่
สือชิงถอนหายใจ หันหลังมามองด้านหลังร่าง
“เอ้อหนิว?” เขาตะโกนเรียก
ศีรษะหนึ่งยื่นออมาจากในผ้าห่ม เผยเด็กน้อยใบหน้ากลมแห้งแดงคนหนึ่ง ดวงตาโตกะพริบปริบๆ
บนหน้าสือชิงเผยรอยยิ้ม
“นั่งดีๆ ล่ะ พวกเราจะเร่งเดินทางต่อ” เขาเอ่ย
เด็กน้อยพยักหน้าแล้วหดกลับไปในผ้าห่มอีกครั้ง
“คนบ้านเดียวกันท่านนี้” คนเดินถนนคนหนึ่งพลันก้าวเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าจะไปวัดกวงหวาหรือ?”
คนเดินถนนนคนนี้ก้าวเข้ามา แต่ก็รักษาระยะห่างไว้ สายตาที่กวาดมองตะกร้าไม้ไผ่หน้าหลังสองใบยากปิดบังความระแวง
เมืองหลวงด้านนี้ถูกผู้ป่วยฝีดาษปิดล้อม วันนี้มีน้อยคนนักจะพาเด็กมาใกล้ๆ เมืองหลวง นอกเสียจากคนเหล่านั้นที่เดิมทีลูกๆ เป็นฝีดาษ
สือชิงก็ไม่คิดปิดบังเช่นกัน
“ใช่” เขาเอ่ย
คนเดินถนนคนนั้นสีหน้าเวทนาอยู่บ้าง
“เจ้าอย่าไปเสียดีกว่า” เขากดเสียงเบาเอ่ย ท่าทางวิตกมองไปด้านหน้า “เจ้ายังไม่รู้หรือ”
ไม่รู้? ไม่รู้อะไร?
“ข้ารู้ว่าคุณหนูจวินหมอเทวดาอยู่ที่วัดกวงหวารักษาฝีดาษ” สือชิงเอ่ย
คนเดินถนนคนนั้นโบกมือ
“นั่นล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง” เขากดเสียงเอ่ย “ฝีดาษด้านนั้นรักษาไม่หายสักนิด”
รักษาไม่หาย? หลอกหลวง? สือชิงสีหน้าตกตะลึง เป็นไปได้อย่างไรเล่า….
“ตอนนี้ด้านนั้นไม่พูด กลัวพวกเจ้าวิ่งส่งเดช ไปแล้วก็จะถูกขัง” คนเดินถนนกดเสียงเอ่ย “ได้ยินว่าคนที่ตายด้านในวัดกวงหวากองสุมพะเนิน”
ถึงกับเป็นเช่นนี้หรือ?
สือชิงไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“คำพูดนี้ก็ไม่ให้พูด ทางการที่อื่นล้วนเริ่มห้ามผู้ป่วยฝีดาษออกจากบ้านแล้ว ใกล้ๆ เมืองหลวงไม่ให้พูดก็เพราะกลัวพวกเจ้าวิ่งหนีส่งเดช” คนเดินถนนกดเสียงเบา หน้าตาเวทนาอยู่บ้าง “รีบกลับไปเสียเถอะ ไปที่นั่นก็รอความตาย”
เขาพูดจบก็หดหัวก้าวเร็วไวจากไปแล้ว
สือชิงยืนอยู่ที่เดิมนิ่งงัน
รักษาไม่หายงั้นหรือ? ไปที่นั่นก็รอความตายงั้นหรือ
เขามองเด็กในตะกร้าไม่ไผ่ด้านหน้าร่าง ไปที่ไหนก็รอความตายเหมือนกัน เขากัดฟันก้มร่างแบกหาบ ก้าวยาวโงนเงนมุ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าเล่ากันน่ากลัวปานใด วัดกวงหวาก็เป็นสถานที่เดียวที่มีความหวัง
ผ่านด่านอย่างราบรื่น สือชิงแบกความวิตกเล็กน้อยสอบถามทหารว่าที่วัดกวงหวารักษาฝีดาษได้ไหม? บรรดาทหารเอ่ยหนักแน่นเด็ดขาดว่าได้ หลังจากนั้นอารักขาเขามาส่งถึงวัดกวงหวา
หากไม่ได้พบคนเดินถนนคนนั้นก่อนหน้านี้ การปฏิบัติเช่นนี้สือชิงคงขอบคุณไม่หมดสิ้น แต่ตอนนี้ในใจเขากลับเพียงยิ่งรัวกลอง
นี่จริงๆ ไม่ใช่อารักขามาส่ง เป็นคุมตัวมาส่งสินะ เหมือนอย่างที่คนเดินถนนคนนั้นพูดกลัวพวกเขาวิ่งวุ่น
ไม่ว่าอย่างไร สือชิงก็แบกเด็กน้อยสองคนมาถึงวัดกวงหวา
“มาด้านนี้ลงทะเบียน”
มีพวกคนงานที่สวมเสื้อผ้าเหมือนกันเรียกเขา ดูไปแล้วเป็นระบบระเบียบ สีหน้าก็ผ่อนคลายอ่อนโยน ไม่กดดันเหมือนนรกบนดินอย่างนั้น
“เด็กทั้งสองคนของเจ้าล้วนเป็นหรือ?” คนงานคนหนึ่งเอ่ยาม
สือชิงส่ายศีรษะ
“คนโตคนนี้เป็น คนเล็กไม่ได้ติดโรค” เขาเอ่ย สีหน้าโศกศัลย์อยู่บ้าง มองดูเด็กน้อยที่นั่งอยู่ในตะกร้า “แม่ของพวกเขาไม่อยู่แล้ว บ้านข้าก็ไม่มีคนอื่น คนโตป่วย คนอื่นล้วนหวาดกลัว คนเล็กคนนี้ข้าก็ไม่มีที่ส่งไปฝาก ได้แต่พามากับตนเอง”
ไม่อย่างนั้นใครจะกล้าพาเด็กแข็งแรงมายังสถานที่ชุมนุมของผู้ป่วยโรคฝีดาษเช่นนี้ หลบยังหลบไม่ทัน
สิ้นเสียงของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“พี่ชาย พี่ชาย” เสียงเด็กร้องเรียก “ท่อไม่ไผ่ยังมีที่ไหนอีกไหม?”
สือชิงมองไปโดยไม่ทันคิด เห็นเด็กผู้ชายอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งวิ่งมา บางทีอาจเพราะขยับตัววิ่งดวงหน้ากลมจึงแดงระเรื่อ
นี่เป็นเด็กที่แข็งแรงคนหนึ่ง
ที่นี่ยังใช้เด็กทำงานด้วยหรือ? สือชิงตกตะลึงยิ่ง
“เสี่ยวซื่อรึ” คนงานกวักมือให้เด็กคนนั้น “ท่อไม้ไผ่ข้าไปส่ง เจ้ามาพาคุณลุงคนนี้กับลูกของเขาเข้าไปให้ท่านหมอตรวจก่อน”
เด็กที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวซื่อรับคำ กวักมือให้สือชิง สือชิงสีหน้าไม่สงบแบกคานหาบตามไป ตลอดทางสายตาหมุนรอบตัวเด็กคนนี้ไม่หยุด
“เจ้ามาที่นี่นานเท่าไรแล้ว?” เขาอดไม่ได้เอ่ยถาม
เสี่ยวซื่อเดินกระโดดโลดเต้นได้ยินเข้าก็หันมา
“สิบกว่าวันแล้วกระมัง” เขาคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “จำไม่ค่อยได้แล้ว”
สิบกว่าวันแล้ว
“เจ้ามาที่นี่ทำงานหรือ?” สือชิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ก็ไม่นับว่าใช่” เสี่ยวซื่อเอ่ย
สือชิงยังอยากถามอะไรอยู่ก็เห็นเสี่ยวซื่อก้าวเท้าไวขึ้น
“ท่านหมอควั่ง” เขาร้องเรียก “มีคนป่วยมาอีกแล้ว”
ท่านหมอคนหนึ่งได้ยินเสียงเดินมา มองเห็นสือชิงก็ยิ้มอ่อนโยนให้ เอ่ยทักทาย แล้วค้อมกายสำรวจดูเด็กในตะกร้าไม้ไผ่ของสือชิง
“เวลาที่ป่วยไม่น้อยแล้ว” ท่านหมอควั่งเอ่ย
สือชิงพยักหน้าขมขื่น
“ขอร้องท่านหมอท่านช่วยเด็กด้วย” เขาสะอื้นเอ่ย กำลังจะคุกเข่า
ท่านหมอควั่งรีบพยุงเขาไว้
“พวกเราจะพยายามเต็มที่” เขาเอ่ย “แต่เจ้าก็รู้ฝีดาษรักษาไม่ง่าย”
ไม่บอกว่ารักษาได้จริงๆ ด้วย ในใจสือชิงผิดหวังอยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้อีก เขาพยักหน้า
“ข้าดูเด็กคนนี้หน่อยซิ…” ท่านหมอควั่งเอ่ย แล้วไปที่ตะกร้าไม้ไผ่อีกด้านหนึ่ง ร้องเอ๋
“เด็กคนนี้ไม่ป่วย” สือชิงเอ่ย
“ไม่ป่วยสินะ” ท่านหมอควั่งเอ่ย มองดูเด็กคนนี้ เหมือนคิดอะไรอยู่ “เจ้าก็พาเขามาด้วย”
สือชิงรีบบอกความลำบากของตนเอง สายตามองไปทางเสี่ยวซื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างอีกครั้ง ยิ่งคิดยิ่งอดกลั้นไว้ไม่อยู่
“ท่านหมอ เด็กที่ไม่ได้เป็นโรคอยู่ที่นี่ไม่เป็นไรหรือ?” เขาเอ่ย
ท่านหมอควั่งหัวเราะแล้ว มองไปทางเสี่ยวซื่อด้วย
“เด็กที่ไม่เป็นโรคน่ะหรือ อยู่ที่นี่ของพวกเราไม่เป็นไรจริงๆ” เขาเอ่ย มองไปทางสือชิงอีกครั้ง “แม้พวกเราไม่แน่ว่าจะรักษาเด็กที่ป่วยเป็นโรคให้หายดีได้ แต่พวกเราทำให้เด็กที่ไม่ป่วยไม่ถูกฝีดาษเล่นงานได้”
อะไรนะ?
สือชิงประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด
ทำให้เด็กที่ไม่ป่วยเป็นโรคไม่ถูกฝีดาษเล่นงานได้! ทำได้จริงหรือ?
“ทำได้แน่นอน” ท่านหมอควั่งยิ้มเอ่ย ยื่นมือชี้เสี่ยวซื่อ “เขาก็ใช่นะ ไม่ใช่แค่เขา พวกเราที่นี่ยังมีเด็กอีกสี่คนแหนะ”
ราวกับเพื่อพิสูจน์คำพูดของเขา เสียงพูดคุยหัวเราะของเด็กลอยมาจากด้านใน สือชิงมองเห็นเด็กสี่คนแบกเสื้อผ้ากะละมังใหญ่เดินออกมา เหมือนกับจะไปตากแดด
เด็กสี่คนนี้คนที่โตที่สุดอายุสิบเอ็ดสิบสองปี คนที่เล็กที่สุดเพิ่งอายุสามสี่ปี วิ่งดุกดิกตาม
“ท่านพี่ ท่านพี่ ให้ข้ายกด้วย ให้ข้ายกด้วย”
เสียงอ้อแอ้ดังขึ้นในหู
สือชิงทั้งร่างชาหนึบ เขาพลันคุกเข่าดังตึกลงมา
“ท่านหมอ โปรดช่วยลูกของข้าด้วย ให้ลูกของข้าก็ไม่ถูกฝีดาษเล่นงานด้วยเถอะ” เขาตะโกน
หากชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลกับฝีดาษอีก นี่ก็คือความหวัง นี่สิถึงเป็นความหวัง
…
“คุณหนูจวิน”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงก้าวเข้ามาในโถงพระพุทธรูป มองเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าหีบยาชั้นแล้วชั้นเล่า
นี่ล้วนเป็นหน่อฝีที่รวบรวมมาในช่วงนี้
“เด็กที่มาใหม่ถูกปลูกฝีคนนั้นเป็นอย่างไรแล้ว?” คุณหนูจวินหมุนตัวมาเอ่ยถาม
ท่านหมอเฒ่าเฝิงพยักหน้า
“ไม่เป็นปัญหา กระทั่งล้มหมอนนอนเสื่อยังไม่มี เมื่อวานตัวร้อน วันนี้ก็วิ่งเล่นกับโจวเหมาเหมาไปทั่วแล้ว” เขาอมยิ้มเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนยังมีอะไรกังวลสงสัยอีกไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
ท่านหมอเฒ่าเฝิงส่ายศีรษะ
“ไม่มีแล้ว” เขาเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ประกาศข่าวนี้เถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย ยืนอยู่หน้าประตูโถงพระพุทธรูมองออกไป “ให้คนทุกคนได้รู้ พวกเราที่วัดกวงหวาแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่สังหารคน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ช่วยชีวิตคนเป็นมาตลอด”
……………………………………….
บทที่ 37 เชื่อครึ่ง
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่แสงอรุณขมุกขมัวสว่าง บรรดาขุนนางที่มาประชุมเช้าก็มาถึงด้านในวังหลวงแล้ว แม้ไม่ใช่ประชุมใหญ่ แต่ขุนนางที่มาก็ไม่น้อย อย่างไรการสอบใหญ่ที่สามปีมีครั้งก็กำลังจะมาถึง
ผู้คุมสอบกำหนดแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายให้หารือ
แต่เมื่อทุกคนมาถึงหน้าตำหนักกลับไม่ได้ถูกเรียกเข้าไปในทันที ไม่ใช่ฮ่องเต้ยังไม่มา แต่เป็นฮ่องเต้อยู่ด้านในหารือธุระอยู่
มีเรื่องใดสำคัญยิ่งกว่าการสอบใหญ่?
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่? เรื่องของวัดกวงหวา” ขุนนางคนหนึ่งพลันเอ่ยเสียงเบากับคนข้างตัว
คนอื่นมองมาสีหน้าลังเล
“เรื่องที่ฝีดาษรักษาไม่หายไม่อาจควบคุมได้หรือ?” ข้าราชสำนักรูปหน้าเที่ยงตรงคนหนึ่งเอ่ย หว่างคิ้วไม่พอใจมาก “เรื่องหลอกลวงศรัทธาชาวบ้านเช่นนี้สร้างเรื่องจนมาถึงวันนี้ยังไม่อาจเก็บกวาดได้”
แต่ครั้งนี้ไม่มีคนคล้อยตามเขา
“ใต้เท้ากัว ไม่ใช่เรื่องนั้น” คนที่เอ่ยก่อนหน้านี้เอ่ยเสียงเบา “ที่พูดคือวัดกวงหวามียาที่ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษ”
“เรื่องนี้ก็แค่หลอกหลวงศรัทธาชาวบ้านเหมือนกัน” ใต้เท้ากัวขมวดคิ้วเอ่ย “เชื่อได้อย่างไร”
“แต่เล่ากันว่าบรรดาท่านหมอเหล่านั้นล้วนลองใช้แล้ว นอกจากนี้บุตรชายเฉิงกั๋วกงยังนำเด็กหลายคนของตระกูลโจวที่สมคบศัตรูนั่นส่งไปลองยาแล้ว ก็ปลอดภัยไม่เป็นไรเหมือนกัน” คนด้านข้างมาร่วมวงเอ่ยเสียงเบา
คำพูดนี้นำคนมากกว่าเดิมเข้ามาแล้ว
“ใช่ไหม? ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
“อยู่ในสถานที่แบบนั้น เด็กหลายคนนี้ไม่ติดโรคจริงๆ”
ทุกคนถกเถียงเสียงเบา
“ใครเห็นบ้างเล่า?” ใต้เท้ากัวขมวดคิ้วเอ่ย “นี่ล้วนเป็นคำเล่าลือ”
สิ้นเสียงของเขาก็เห็นประตูตำหนักใหญ่เปิดออก ลู่อวิ๋นฉีเดินออกมา
เสียงถกเถียงของบรรดาขุนนางพลันเงียบ แม้ลู่อวิ๋นฉีทำให้คนหวาดกลัวจนเด็กน้อยหยุดร้องได้ แต่พวกเขาขุนนางใหญ่เหล่านี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น ที่ทำให้พวกเขาเงียบลงคือเด็กห้าคนที่ตามติดมาข้างหลังร่างลู่อวิ๋นฉี
เด็กทั้งห้าคนล้วนยังไม่โต คนหนึ่งในนั้นถูกเด็กคนที่โตที่สุดอุ้มไว้ในอ้อมแขน มองเห็นขุนนางมากขนาดนี้อยู่ด้านนอก เด็กทั้งห้าคนล้วนก้มหน้าก้าวเท้าตามลู่อวิ๋นฉี
มีขันทีก้าวไวตามมาด้านหลัง
“ใต้เท้าลู่ องค์ไทเฮาประสงค์จะพบเด็กๆ ตระกูลโจวพวกนี้” เขาเอ่ยเรียกไว้
ลู่อวิ๋นฉีขานรับ พาเด็กๆ พวกนั้นไปทางวังหลัง
มองดูพวกเขาเดินจากไป เหล่าขุนนางหน้าประตูตำหนักฉับพลันฮือฮาทันที
“นี่ก็คือเด็กพวกนั้น?”
“ดูแล้วไม่เป็นไรจริงๆ”
“รายงานถึงฝ่าบาทที่นี่แล้วนะ”
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรฝีดาษเรื่องนี้ก็ไม่แบ่งชะตาคนสูงต่ำรวยจน พวกเขาบ้านใครมีลูกหลาน ก็ถูกคุกคามจากฝีดาษเหมือนกันทั้งนั้น
สีหน้าของใต้เท้ากัวผู้นั้นยิ่งแข็งทื่อ
ขันทีด้านในตำหนักเดินออกมากระแอมหนักๆ สองที บรรดาขุนนางจึงเงียบลง เดินเรียงแถวตามตำแหน่งสูงต่ำเข้าไปในตำหนัก
แต่ในใจทุกคนล้วนไม่ได้อยู่กับการสอบใหญ่ที่กำลังจะมาถึงแล้ว แต่อยู่กับเรื่องฝีดาษป้องกันได้
นอกจากนี้ไม่พูดถึงการถกเถียงในราชสำนัก ในวังหลังไทเฮา ฮองเฮาก็มองเด็กห้าคนอย่างละเอียดหลายต่อหลายรอบ
“นี่คือตรงที่เกิดฝีหรือ?” ไทเฮายื่นมือชี้จุดด่างบนแขนของเด็กคนหนึ่ง
ฝีดาษตกสะเก็ดร่วงไปแล้ว เหลือเพียงจุดด่างจางๆ
ฮองเฮายังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง ดึงแขนไทเฮาไว้โดยไม่รู้ตัว
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีค่อนข้างมาก” โจวจิงเอ่ย
“นี่ยังเรียกมากหรือ” ฮองเฮาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น “ที่ซานตงเคยเห็นผู้ป่วยฝีดาษพวกนั้น เป็นไปหมดทั้งตัว”
ไทเฮามองรอยฝีบนแขนของโจวจิงอีกครั้ง แล้วกวักมือให้เด็กอายุน้อยที่สุดคนนั้นเข้ามา
“เด็กคนนี้ก็ปลูกฝีด้วยหรือ?” นางตรัสถาม
ไม่รอเหล่าขันทีตอบ โจวเหมาเหมาก็พยักหน้า เป็นฝ่ายชี้ที่ลำคอ
“ทูลไทเฮา ของกระหม่อมอยู่ตรงนี้ มีแค่สามอัน” เขาเอ่ย
ไทเฮาถูกทำให้ขำแล้ว มองดูรอยฝีบนลำคอของเขา นั่งตัวตรง
“ใช้ยากันมาหมดแล้วจริงๆ สินะ?” นางตรัส
ลู่อวิ๋นฉีรับว่าใช่
“อยู่ด้วยกันกับผู้ป่วยฝีดาษเหล่านั้นตลอดจริงหรือ?” ไทเฮาตรัสถามอีกครั้ง
ลู่อวิ๋นฉีขานใช่อีกครั้ง
“รายละเอียดทำอย่างไร?” ฮองเฮาอดไม่ได้ตรัสถาม “เจ้าพูดละเอียดสักหน่อยสิ”
“ก็แค่ปลูกฝีพ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
ไทเฮาหัวเราะแล้ว
“เขาน่ะกลัวดออกพิกุลจะร่วง เจ้าถามเขา เท่ากับไม่ได้ถาม” นางตรัส มองโจวเหมาเหมา “เจ้าลองพูดซิ เจ้าปลูกฝีอย่างไร?”
เด็กน้อยแม้อาจถูกผู้ใหญ่สอนให้พูดโกหกเล่นละครได้ แต่เด็กน้อยอายุสามสี่ขวบก็คือเด็กน้อย พวกเขามักจะเผยช่วงโหว่เสมอ
“พวกพี่ชายพี่สาวถูกยัดจมูก” โจวเหมาเหมาไม่ได้ติดขัดสักนิด วาดมือวาดไม้เอ่ยเสียงอ้อแอ้ “จมูกของข้าเล็กยัดไม่เข้า เลยผ่าแผลที่หนึ่งบนแขนฝังเข้าไป”
ฮองเฮากับไทเฮาสีหน้าตะลึง
“ยังต้องกรีดเปิดปากแผลด้วยรึ?” พวกนางตรัสถาม
โจวจิงรีบดึงเสื้อของโจวเหมาเหมาเผยแขนออกมา
“ไม่ใหญ่ แค่แผลเล็กแผลหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เลือดไหลอะไร” เขาเอ่ย
ฮองเฮากับไทเฮาล้อมเข้าไปดูตั้งอกตั้งใจ
“น้องเอ้อหนิวก็กรีดแขนเหมือนกัน” โจวเหมาเหมาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง
“เอ้อหนิวเป็นใครอีก?” ไทเฮาตรัสถาม
“เป็นลูกชายของคนที่มาขอรักษาที่ไม่ได้ป่วยคนหนึ่ง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ
“วันนี้ก็ไม่เป็นไรเหมือนกันรึ?” ไทเฮาตรัสถาม
ลู่อวิ๋นฉีขานรับว่าใช่
ไทเฮานั่งตัวตรงครุ่นคิดครู่หนึ่งโบกมือ
ลู่อวิ่นฉีคำนับพาเด็กห้าคนถอยออกไป พวกเขาจากไปปุบฮองเฮาก็อดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง
“ไทเฮา นี่ดีเหลือเกินแล้ว หากไม่เป็นไรจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวเหล่าองค์ชายองค์หญิงติดโรคอีกต่อไปแล้ว” นางเอ่ยเสียงสั่น “ไทเฮาท่านก็ทรงทราบ ที่ซานตงโอรสองค์โตของข้ากับท่านอ๋องก็ติดฝีดาษถึง…”
นางพูดพลางเช็ดน้ำตา
ไทเฮาขมวดคิ้วมองนางทีหนึ่ง
“ร้องไห้ฮือฮือทำอันใด? ดูไม่ได้สักนิด” นางเอ่ย
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสงสัย ฉีอ๋องไม่ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่สูงศักดิ์ แค่สู่ขอผู้หญิงในตระกูลระดับกลางในท้องถิ่นซานตงมา ผู้หญิงคนนี้ได้เป็นชายาของฉีอ๋องดีใจยิ่งนักแล้ว ยิ่งไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้กลายเป็นฮองเฮา แม้จะได้รับการสั่งสอนจากองค์ไทเฮาเองมาหลายรอบ แต่ก็ยังคงยากเลี่ยงขลาดกลัวตัวสั่นระริก
ถูกไทเฮาตำหนิฮองเฮาก็ก้มศีรษะอย่างขลาดๆ
ไทเฮาคร้านจะสนใจนาง
“หากมีวิธีดีๆ ปราบฝีดาษได้จริง ถ้าอย่างนั้นก็เป็น…” ไทเฮาเอ่ยกับพระองค์เอง “เรื่องใหญ่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง โบกมือให้ขันที
“ไปลองถามฝ่าบาททรงคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
ขันทีรับคำสั่งจากไป ครู่หนึ่งก็กลับมา
“ในราชสำนักถกเถียงกันไปแล้ว เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง ต้องรอบคอบ ให้ขุนนางใหญ่พาบรรดาหมอหลวงเดินทางไปพิสูจน์” เขาทูล
นี่เป็นกระบวนการที่สมควรเป็น ไทเฮาคร้านจะฟัง โบกมือทันที
“บรรดาขุนนางราชสำนักพิสูจน์ก็พิสูจน์อะไรออกมาไม่ได้ บอกฝ่าบาทเรื่องใหญ่เป็นบุญของพสนิกรเช่นนี้ ประกาศข่าวบอกชาวบ้าน ให้ลูกชายลูกสาวของพวกเขาปลูกฝี หลีกเลี่ยงอันตรายของโรคร้าย” นางเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม
ขันทีกับฮองเฮาล้วนตัวสั่น
นี่ก็คือจะให้เด็กๆ ทั้งใต้หล้าทดลองยาแทนเหล่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์
ขันทีก้มศีรษะค้อมกายขานรับ
…
เพราะวัดกวงหวาถูกปิดคนด้านในไม่อาจออกมาข้างนอกได้ ดังนั้นข่าวจึงประกาศออกไปผ่านองครักษ์เสื้อแพร
คุณหนูจวินเดินออกมาสอบถามฟังข่าวคราวก็มองเห็นจูจั้นที่นั่งอยู่บนก้อนหินข้างนอกวัด
นางอมยิ้มเดินผ่านไป
…………………………………………………………………
บทที่ 38 ไม่เชื่อครึ่ง
โดย
Ink Stone_Romance
จูจั้นเหมือนไม่ได้ยินว่ามีคนเดินเข้าใกล้ เพียงแค่มองด้านล่างวัด ในมือกำหญ้าหนึ่งฝ่ามือต้นแล้วต้นเล่าโยนไป
“ครั้งนี้ทำไมเจ้าใจกว้างเช่นนี้เล่า ไม่ใช่มาที่นี่สร้างคุณงามความชอบชดใช้โทษหรือ?” คุณหนูจวินเดินมายืนอยู่ข้างหลังจูจั้นเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าไม่พาเด็กตระกูลโจวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเองเล่า?”
ศีรษะของจูจั้นยังไม่หันกลับมา “นั่นเป็นให้เขาทำงานแทนข้า” เขาเอ่ย “พูดถึงโทษคน เป็นงานของพวกเขา”
ใช่แล้ว เทียบกับจูจั้น ฮ่องเต้ยอมเชื่อเขามากกว่าแน่
คุณหนูจวินนั่งลงบนก้อนหินด้านข้างจูจั้น ยังไม่ทันนั่งมั่นคงก็ถูกจูจั้นยื่นมือผลัก
“ไปไป ไปไกลหน่อย” เขาขมวดคิ้วเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มขยับออกห่างตามคำบอก
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่กลัวเขาปิดบังข่าวที่นี่หรือ? กลับดำเป็นขาว?” นางเอ่ย “เรื่องเช่นนี้ก็เป็นงานของพวกเขาเหมือนกันไม่ใช่รึ”
จูจั้นหันหน้ามองนางเลิกคิ้วหัวเราะ
“แม้เขาเป็นเดรัจฉานตัวหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ย่อมมีโอรสธิดา” เขาเอ่ย “ไม่มีฮ่องเต้ กระทั่งเดรัจฉานเขาก็เป็นไม่ได้แล้ว”
ใช่สินะ ฮ่องเต้ย่อมใส่พระทัยโอรสธิดาของตนเอง ไม่มีโอรสธิดา แผ่นดินที่แย่งชิงมานี้จะมีความหมายอะไรอีก ยังคงต้องตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น
คุณหนูจวินยิ้มมองไปทางเมืองหลวง
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราที่นี่คงมีชาวบ้านมาเต็มประตูแล้ว” นางเอ่ย
แต่ที่ทำให้คุณหนูจวินกับบรรดาหมอผิดคาดก็คือสถานการณ์เช่นนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้น
สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีอะไรผิดคาด
ฝีดาษคืออะไร? ด่านประตูผี ไม่พูดถึงใต้หล้านี้ แค่พูดถึงเมืองหลวงแห่งนี้ ทุกปีคนที่ตายไปเพราะฝีดาษก็ไม่น้อย
คุณหนูจวินก่อนหน้านี้พูดว่ารักษาฝีดาษของไหวอ๋องได้ ทุกคนเชื่อในตัวนางอย่างที่สุด ทั้งยังมีผู้ป่วยฝีดาษมากมายมาขอให้ช่วยรักษาทันที แต่คิดไม่ถึงผลลัพธ์กลับไม่เหมือนดั่งเช่นที่ทุกคนคิดไว้ คุณหนูจวินกลับไม่ใช่ได้ยาโรคหายฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี
นี่ทำให้ชื่อเสียงที่คุณหนูจวินสั่งสมมาจากการเป็นหมอเร่ตระเวณเมืองหลวง วิชาสูงส่งสอนร้อยแพทย์หดหายในฉับพลัน
ฝีดาษรักษาไม่หาย ตอนนี้พูดอีกว่ามียาป้องกันฝีดาษ คำพูดที่ยิ่งน่าเหลือเชื่อนี้ทุกคนไหนเลยจะเชื่อง่ายดายเช่นนี้ได้
“ข้าไม่กล้าให้ลูกของข้าไปวัดกวงหวาหรอก”
“ปลูกฝีเข็มหนึ่งคิดเงินร้อยอีแปะ”
“ยาที่ร้ายกาจปานนี้ถึงกับคิดเงินเค่นี้หรือ?”
“โรงหมอจิ่วหลิงของคุณหนูจวินไม่ใช่พันตำลึงตรวจ พันตำลึงขายยารึ?”
“ดูท่าไม่มีประโยชน์อะไร”
“ใครจะรู้ว่าเด็กไม่กี่คนนั้นใช้ยาจริงหรือเปล่า”
“ราชสำนักกับสำนักแพทย์หลวงไปดูแล้วมีประโยชน์อะไร ก็ไม่เห็นลูกหลานของพวกเขาไป”
บรรดาชาวบ้านที่ล้อมมุงดูประกาศที่ทางการติดไว้บนถนนชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองดูครู่หนึ่งก็หมุนตัวจากไป
“ราคาทำไมตั้งน้อยเช่นนี้เล่า?” เขาเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่ว
เพราะวัดกวงหวาถูกปิด ข่าวทั้งหมดล้วนถูกองครักษ์เสื้อแพรควบคุม ประกาศข่าวปลูกฝีป้องกันฝีดาษก็เป็นพวกคุณหนูจวินเขียนเสร็จมอบให้ทางการไปจัดการ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฝั่งนี้ไม่ได้สอดมือเข้ายุ่งสักนิด
“นี่เป็นการป้องกัน ต้องให้คนทั้งหมดในใต้หล้าล้วนมาปลูกฝี ไม่ใช่ให้เพียงกับคนมีเงิน ดังนั้นต้องให้ชาวบ้านธรรมดาล้วนได้ใช้” ฟางจินซิ่วเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะ
“ข้าเข้าใจเจตนาของนาง แต่หากทุกคนล้วนเชื่อนาง ทำเช่นนี้ย่อมเป็นเมตตาบุญกุศลใหญ่หลวง ตอนนี้ที่สำคัญคือทุกคนล้วนไม่เชื่อ ราคาตั้งต่ำเช่นนี้ กลับผิดปกติ ย่อมยิ่งไม่เชื่อแล้ว” เขาเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วเห็นได้ชัดว่ารู้คำวิพาษ์วิจารณ์ของผู้คนในเมืองหลวง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“อย่างไรก็ต้องมีคนเชื่อ” นางเอ่ย
ใช่อย่างไรก็ต้องมีคนเชื่อ แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่อยากรอแล้ว ฝีดาษนี้ลากนานเกินไปแล้ว พวกคุณหนูจวินเหนื่อยยากเกินไปแล้ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วออกจากที่ของฟางจิ่นซิ่ว ตรงกลับมาถึงในบ้านก็ให้คนเตรียมรถ ให้คนอุ้มหลานตัวน้อยมา
“ท่านจะพาเขาไปทำอะไร?” นายหญิงผู้เฒ่าหลิ่วร้องถาม
“แน่นอนไปปลูกฝี” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย เร่งคนรถขับรถ
นายหญิงผู้เฒ่าหลิ่วโถมมาดึงเขาไว้
“เจ้าบ้าไปแล้ว ตระกูลหลิ่วของพวกเราสามรุ่นทายาทเพียงคนเดียว” นางร้องบอก
ลูกสะใภ้ที่ตามมาก็ไม่กล้าเอ่ยวาจา เพียงแค่น้ำตาคลอเบ้ามองบุตรชายที่ถูกกอดไว้ในอ้อมแขนของผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
“เจ้าวางใจ คุณหนูจวินบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย “วิชาแพทย์ของนางพวกเรายังไม่รู้อีกหรือ”
นายหญิงผู้เฒ่าหลิ่วนั่งลงกับพื้นร้องไห้โฮ
“วิชาแพทย์ของนางข้าไม่รู้ ข้ารู้แต่นั่นเป็นฝีดาษ” นางตบขาร้องไห้ตะโกน “เจ้าลืมแล้วรึลูกชายสองคนของพวกเราตายยังไง”
“ก็เพราะข้ารู้ ดังนั้นถึงไม่อยากให้เสี่ยวเป่าได้รับอันตรายจากฝีดาษเหมือนกัน ปลูกฝีให้เขาก็วางใจได้แล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย ไม่สนใจภรรยาอีกตนเองยกแส้เร่งม้า
รถม้าวิ่งเร็วไวไป เด็กน้อยในอ้อมแขนไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาชอบม้าวิ่งเร็วที่สุด อยู่ในอ้อมแขนท่านปู่หัวเราะเอิ้กอ้าก ประสานกับเสียงร้องไห้ของผู้หญิงในบ้านที่ลอยมา
แม้บรรดาชาวบ้านไม่เชื่อเรื่องที่ทางการประกาศให้มาวัดกวงหวาปลูกฝีป้องกันฝีดาษ แต่ทุกคนยังคงสนใจว่ามีใครไป ดังนั้นการกระทำของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วทุกคนล้วนรู้แล้ว แต่นี่ไม่ได้ชักนำให้เกิดเรื่องครึกโครมมากมาย
“เต๋อเซิ่งชางกับคุณหนูจวินเป็นพวกเดียวกัน เขาไม่ไปใครจะไป” ทุกคนพากันเอ่ย
มองเห็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมา พวกคุณหนูจวินไม่ได้ผิดคาด
“คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะระวังเช่นนี้” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย นั่งอยู่บนเก้าอี้ แม้พยายามสงบอารมณ์สุดกำลัง แต่ในดวงตาก็ยังคงมีความเคร่งเครียดอยู่บ้าง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงปลูกฝีให้กับหลานชายตัวน้อยของเขา แขนของเด็กน้อยถูกจิ้มทะลุนิดหนึ่ง เพิ่งเบะปากจะร้องไห้ คุณหนูจวินก็ส่งน้ำตาลปั้นตัวหนึ่งให้เขา
เด็กน้อยรีบรับไป น้ำตายังเปรอะอยู่บนหน้าลืมร้องไห้ ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ใช้ผ้าพันแขนของเด็กน้อยอย่างฉับไวแล้ว
“ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะระวัง” เขาลุกขึ้นยืนยิ้มเอ่ย “ตอนแรกพวกเราหมอเหล่านี้ระวังยิ่งกว่าทุกคนเสียอีก”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรับเด็กไปกอดเขาไว้ในอ้อมแขน
เด็กน้อยลืมความเจ็บปวดและหวาดกลัวไปนานแล้ว เลียน้ำตาลปั้นดีอกดีใจ
“หลังข้ากลับไปค่อยอธิบายให้ทุกคนฟังมากหน่อย” เขาเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงกลับไม่รีบร้อน
“เผยแพร่ยาใหม่เดิมก็ต้องให้ทุกคนค่อยๆ ยอมรับ” เขาเอ่ย
แม้ในใจผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็กังวลอยู่เหมอืนกัน แต่เพื่อแสดงความเชื่อมั่นของตนเองยังคงอุ้มเด็กน้อยที่ปลูกฝีแล้วจากไป
วัดกวงหวาแม้ยังคงปิดอยู่ แต่จัดสถานที่สำหรับคนที่มาปลูกฝีไว้ด้านนอกวัด ไม่ได้ห้ามคนเหล่านี้ไปมา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพาเด็กกลับมาถึงในเมือง ที่ประตูเมืองก็ถูกคนรุมล้อมแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ไม่หลบเลี่ยง เป็นฝ่ายให้ทุกคนมองดูผ้าขาวที่พันบนแขนของเสี่ยวเป่า
“บอกว่าพรุ่งนี้จะตัวร้อน มีฝีขึ้นไม่กี่เม็ดก็เสร็จแล้ว” เขาเอ่ย “พรุ่งนี้ทุกคนมาดูที่บ้านข้าได้”
ผู้คนตามผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตลอดจนกระทั่งมองเขาเข้าประตูบ้านไป ยังคงล้อมอยู่หน้าประตูถกเถียง
…
บรรดาหมอหลวงในสำนักแพทย์หลวงก็รวมตัวกันถกเถียงเสียงเบาด้วย เทียบกับความเริงร่าช่วงก่อนหน้านี้ วันนี้พวกเขาล้วนวิตกอยู่บ้าง
หลายวันนี้พวกเขาตามบรรดาข้าราชสำนักรับคำสั่งไปวัดกวงหวา มองเห็นคนที่ได้หมอทั้งหลายปลูกฝี
นอกจากเด็กตระกูลโจวที่ถูกเชิญมาในวัง ยังมีเด็กที่มาด้วยกันกับครอบครัวผู้ป่วยที่มาขอรักษา รวมถึงครอบครัวของผู้ป่วยก็มีบางส่วนได้ปลูกฝีแล้ว ท่านหมอทั้งหลายแสดงการปลูกฝีให้ดูตรงนั้นสดๆ รวมถึงนำน้ำฝีจากตัวของผู้ป่วยฝีดาษมาถูบนตัวของเด็กที่ปลูกฝีแล้วก็ยังคงปลอดภัยไม่เป็นไร
หากบอกว่าไม่เชื่อ พวกเขาก็ไม่อาจอธิบายได้เช่นกัน
หากบอกว่าเชื่อ….
นี่ย่อมเป็นบุญกุศลใหญ่หลวง ต้องถูกคนทั้งใต้หล้าบูชาเป็นเทพยาดาพระพุทธองค์แน่นอน
“เรื่องปลูกฝีเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง พวกเราจะขอพระราชโองการให้สำนักแพทย์หลวงรับช่วงต่อ” เจียงโหย่วซู่พลันเอ่ยขึ้น
บรรดาหมอหลวงในที่นั้นดวงตาทอประกายนั่งตัวตรง
……………………………………….
บทที่ 39 พวกเขามาแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
ถูก ไม่ผิด
บรรดาท่านหมอหลวงที่นั่นสีหน้าตื่นเต้น
อาศัยจังหวะที่ชาวบ้านทั้งหลายเพิ่งรู้ข่าว มองดูด้วยความไม่เชื่อ พวกเขารับช่วงต่อเผยแพร่การปลูกฝีให้แพร่หลาย เช่นนั้นวิชาการปลูกฝีนี้ก็อยู่ในกำมือของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ใต้เท้า พวกเราตอนนี้เข้าวัง…” บรรดาหมอหลวงพากันเอ่ยลุกขึ้นยืน ในเวลานี้เองด้านนอกประตูเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น
ท่านหมอเกิ่งหอบฮักฮักวิ่งเข้ามา
“อาจารย์ แย่แล้ว คนมากมายไปวัดกวงหวาปลูกฝีแล้ว” เขาเอ่ย
เป็นไปได้อย่างไร?
บรรดาหมอหลวงสีหน้าตกตะลึง เจียงโหย่วซู่ก็ลุกขึ้นยืนด้วย
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอาหลานไปปลูกฝีคนเดียว คนทั้งเมืองก็เชื่อแล้วรึ?” เขาเอ่ย
คนเมืองหลวงโง่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ท่านหมอเกิ่งส่ายหน้าโบกมือ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นนอกเมือง คนมากมายมาจากนอกเมืองหลวงมุ่งไปทางวัดกวงหวาแล้ว” เขาเอ่ย
นอกเมือง?
…
“ล้วนมาจากนอกเมืองหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วประหลาดใจอยู่บ้าง
หลานชายของเขาเมื่อคืนวานก็เริ่มตัวร้อนแล้ว คนแก่คนอายุน้อยในบ้านหวิดร้องไห้ขาดใจ ดีที่เขากัดฟันไล่พวกผู้หญิงไปเรือนด้านหลัง กลัวว่าวันนี้มีคนมาเห็นจะไม่ส่งผลดี
แต่ไม่คิดว่าใกล้จะเที่ยงอยู่แล้ว ไข้ของหลานชายก็ลดไปหมดแล้วก็ไม่เห็นมาสักคน
กลัวใช่หรือไม่? ไม่เชื่อใช่หรือไม่? ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคาดเดา ให้บรรดาพนักงานไปบอกทุกคนว่าหลายชายของเขาเริ่มมีฝีแล้ว ไม่คิดว่าพนักงานดันวิ่งกลับมาบอกว่าคนในเมืองล้วนไปดูนอกเมืองแล้ว
“คนมากมายเดินทางไปวัดกวงหวาต้องการปลูกฝี”
“ล้วนเป็นสำเนียงต่างถิ่น”
สำเนียงต่างถิ่น?
ไม่รอเหล่าพนักงานเล่ารายละเอียด ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ตบขาลุกขึ้นยืน
“พวกเขามาแล้ว!” เขาร้องตะโกน
…
ตอนที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอุ้มหลายชายตัวน้อยไปถึงวัดกวงหวาก็มองเห็นด้านหน้าวัดกวงหวาอันเงียบเหงาที่ไม่เห็นมาหนึ่งวันสองคืน ต่อแถวเป็นมังกรยาวแล้ว
“นี่ล้วนเป็นใครกัน?” เขาเอ่ยถามตกตะลึง
เขาตกตะลึงจริงๆ ดูไปแล้วเหมือนคนทั้งหยางเฉิงมากันหมด
คุณชายถึงกับทำถึงเช่นนี้เชียวรึ? นั่นต้องลงทุนลงแรงมากเท่าใดกัน
นอกจากนี้คนเหล่านี้จำนวนมากยังพาเด็กมาด้วย เห็นชัดว่ามาเพื่อปลูกฝี ไม่ใช่มาเชิญคุณหนูจวินกลับหยางเฉิงช่วยโลกช่วยผู้คน
พาเด็กมาเชียว นั่นย่อมเป็นซื้อชีวิตแล้ว
ที่จริงชีวิตของเด็กก็ขายง่ายอยู่ มีข่าวลือมาอยู่เลือนรางว่าเพราะไม่มีชาวบ้านเป็นฝ่ายมาปลูกฝี ในราชสำนักจึงตัดสินใจให้เด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์เด็กมาปลูกฝีแล้ว
นี่พูดไปก็คือเอาพวกเด็กกำพร้ามาลองยา
ราชสำนักมีอำนาจเด็ดขาด ส่วนคุณชายมีเงิน
“ฟังสำเนียงแล้วเป็นของซานซี”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีของเหอหนานด้วย”
พวกชาวบ้านได้ยินการสอบถามพากันเอ่ยตอบ
คุณหนูจวินเป็นชาวหรู่หนาน ให้คนบ้านเกิดนางมามีเหตุมีผล ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพยักหน้า คุณชายจัดการได้รอบคอบยิ่งนัก
“ยังมีของเฉินหลิวด้วย”
“ยังมีของเมืองอิ่งชาง”
“ไช่โจว โซ่วโจว หลูโจว…”
สถานที่แต่ละแห่งๆ แจ้งออกมา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฟังจนตะลึงไปอยู่บ้าง นี่เหมือนจะเป็นสถานที่ผ่านตามรายทางสินะ
คนในสถานที่เหล่านี้ก็มาด้วยแล้ว? คนของหยางเฉิงกับหรู่หนานแห่มาทางเมืองหลวง ย่อมต้องพักระหว่างทางแน่นอน เหลาสุราโรงน้ำชาศาลาพักม้าร้านแวะพัก ทานอาหารดื่มน้ำชาคุยเล่น ต้องพูดถึงว่ามาจากไหนไปที่ไหนไปทำอไรแน่นอน เรื่องปลูกฝีป้องกันฝีดาษนั่นเป็นถึงเรื่องใหญ่หลวง ต่อให้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ไม่มีทางปล่อยความหวังน้อยนิดนี้ไป
ดังนั้นหนึ่งเรียกร้อยขานรับ คนที่ตามมายิ่งมากขึ้นทุกที
นี่ก็สมเหตุสมผล
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอุ้มเด็กสีหน้าเต็มไปด้วยความนับถือและประหลาดใจ หรือเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คุณชายจัดการไว้?
“คนเหล่านี้เชื่อขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”
“พวกเขาไม่กลัวกันรึ?”
“พวกเขาเป็นใครกัน?”
บรรดาชาวบ้านเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ผู้ชายอ้วนคนหนึ่งจูงเด็กสี่คนกำลังเบียดไปข้างหน้าได้ยินเข้า อดไม่ได้แค่นเสียงหัวเราะ
“พวกเจ้าช่างไม่มีความรู้จริงๆ” เขาเอ่ย
แม้เขามาเมืองหลวงครั้งแรก แต่เวลานี้นาทีนี้มองเห็นชาวบ้านเมืองหลวงตระหนกตกใจกับเรื่องเล็กน้อยประหนึ่งไก่ไม้เหล่านี้ก็อดสนุกไม่ได้ ความขลาดกลัวสักนิดก็ไม่มีกลับรู้สึกเหนือกว่าอย่างยิ่ง
“คุณหนูจวินร้ายกาจมากเพียงไรพวกเจ้าไม่รู้รึ?” เขาเอ่ยต่อ เหยียดมองจากเบื้องบนมองด้วงดินเมืองหลวงฝูงนี้
เจ้าหมอนี่
ชาวบ้านเมืองหลวงถลึงตา
คุณหนูจวินร้ายกาจมากเท่าใดพวกเขาเดิมทีก็รู้
“แต่นางรักษาฝีดาษไม่หาย” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ย “นางพูดว่ารักษาได้ต่อมาก็พูดว่ารักษาไม่ได้”
คนที่กลับกลอกไปมาคุยโวใหญ่โตเช่นนี้จะเชื่อได้อย่างไร
เจ้าคนบ้านนอกคนนี้อะไรก็ไม่รู้ล่ะสิ ได้ยินคนอื่นยุยงปุบก็ไม่กลัวตายวิ่งมา โง่ไม่โง่ มาลองยาให้คนอื่น
ผู้ชายอ้วนตบพุงหัวเราะแล้ว
“คุณหนูจวินบอกว่ารักษาไม่หาย ถ้าอย่างนั้นก็รักษาไม่หายสิ” เขาเอ่ย
นี่เรียกคำพูดอะไร? ชาวบ้านเมืองหลวงดวงตาเล็กๆ ถลึงโต สมองคนผู้นี้มีปัญหาใช่ไหม
“พวกเจ้าน่ะ ตัวมีบุญยังไม่รู้ตัว คุณหนูจวินร้ายกาจมากเท่าใด พวกเจ้ายังไม่รู้” ผู้ชายอ้วนเอ่ย มองพวกเขาจิ๊ปากส่ายศีรษะ ยื่นมือจูงเด็กๆ ข้างตัวอีกครั้ง
คุณหนูจวินร้ายกาจมากเท่าใด….
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองผู้ชายคนนี้ เขาผ่านประสบการณ์มามากดูออกว่าผู้ชายคนนี้เอ่ยคำนี้ด้วยความจริงจากใจ หากไม่ใช่นับถือคุณหนูจวินจริงๆ ถ้าอย่างนั้นทักษะการแสดงของคนผู้นี้ก็ใต้หล้าไร้คู่ต่อกรจริงๆแล้ว
นี่เป็นชาวหรู่หนาน
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดถึงเรื่องของคุณหนูจวินที่หรู่หนานในคำเล่าลือ สู้ผู้ดีชนบทเปิดโรงหมอจิ่วหลิงบนซากปรักหักพัง งดเว้นค่าตรวจแจกยาให้เปล่าฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี
เดิมทีคิดว่าว่าเรื่องเหล่านี้เล่าเกินจริง แต่ตอนนี้ดูแล้วชื่อเสียงของคุณหนูจวินที่หรู่หนานคงไม่ธรรมดา
บางทีคนเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ถูกนายน้อยยุยงมา
พวกเขาที่แท้เป็นใครกัน?
ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก พวกคุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เดินออกมาด้วย มองเห็นข้างล่างบันไดคดๆเคี้ยวๆ ด้านนอกวัดคนอออยู่เต็ม ทหารของกรมทหารม้าห้าเมืองกำลังรักษาระเบียบอยู่
กวาดตาคร่าวๆ ทีหนึ่ง ไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคน
พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ตกใจสะดุ้งโหยง
“ทำไมคนมากมายขนาดนี้?” พวกเขาเอ่ย อดไม่ได้มองคุณหนูจวิน
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วของเต๋อเซิ่งชางพาหลานชายมาทำเป็นตัวอย่าง ถึงกับมีพลังเรียกคนมากขนาดนี้เชียวหรือ?
เวลานี้มีคนตาแหลมมองมาด้านนี้
“คุณหนูจวิน!” หูกุ้ยร้องเสียงดัง ยกมือตื่นเต้น “คุณหนูจวิน!”
คำพูดนี้ทำให้คนอื่นล้วนมองมาด้วย โบกมือร้องตะโกนเสียงดังตื่นเต้นขึ้นทันที
“คุณหนูจวินเชิญกลับไปกับพวกเราเถอะ!”
“คุณหนูจวินสหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลายรอท่านมาปลูกฝีช่วยชีวิตอยู่นะ!”
“คุณหนูจวิน!”
“คุณหนูจวิน!”
เสียงแล้วเสียงเล่ากระจายออกไปดั่งคลื่นน้ำ เสียงเชื่อมกลืนด้านนอกวัดทั้งหมดไป
พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงตะลึงตาโตอ้าปากค้าง
คุณหนูจวินมุมปากปรากฏรอยยิ้ม
“พวกเขามาแล้วนี่เอง” นางเอ่ย
พวกเขา?
พวกเขาเป็นใคร? พวกเขาคือเขากับพวกเขา
เขารวมถึงพวกเขาเป็นคนที่ได้นางช่วยชีวิตไว้ เคยได้ความเมตตาจากนางไป เขารวมถึงพวกเขาคือคนที่เชื่อในตัวนาง ฟังหนึ่งคำเรียกของนางร้อยคนขานรับ
……………………………………….
บทที่ 40 แย่งชิงกันเชื่อ
โดย
Ink Stone_Romance
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองตีนเขาอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ยืนยันเรื่องหนึ่งได้
คนเหล่านี้มุ่งมาหาคุณหนูจวินจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน ก็มองเห็นผู้ชายอ้วนคนนั้นจูงเด็กสี่คนเดินกลับมา
ว่องไวเช่นนี้ก็ปลูกฝีอย่างไม่สงสัยสักนิดจริงๆ แล้ว?
คนที่อยู่ที่นั่นมองดูผู้ชายคนนี้สีหน้าสับสน
ไม่รู้ว่าควรพูดว่าโง่หรือนับถือดี
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มก้าวเข้าไปขวางเขาไว้
“สหายร่วมบ้านเกิดท่านนี้ ท่านเข้าเมืองหาที่พักสักแห่งก่อนเถอะ เด็กๆ ปลูกฝีราวๆ คืนนี้เที่ยงคืนจะตัวร้อน” เขาเอ่ย “แต่ไม่ต้องกังวลใจ ให้พวกเขาดื่มน้ำมากๆ พรุ่งนี้จะเกิดฝีสองสามจุดก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ผู้ชายอ้วนตาทอประกาย มองเด็กที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน คาดเดาอะไรได้ทันที
“เด็กน้อยคนนี้ของเจ้าปลูกแล้วรึ?” เขาเอ่ยถาม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มพยักหน้า ส่งหลานชายตัวน้อยไปข้างหน้า
“ดูที่คอฝีสองสามจุด” เขาเอ่ย “วันนี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ชาวบ้านของเมืองหลวงก็รีบล้อมเข้ามาหมด ทั้งประหลาดใจทั้งตั้งใจมองดู จนกระทั่งหลานชายตัวน้อยของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถูกมองจนร้องไห้ขึ้นมา
“มีอะไรดูเล่า” ผู้ชายอ้วนกลับไม่สนใจ สะบัดมือใส่ชาวบ้านที่ล้อมดู “คุณหนูจวินก็บอกแล้วว่าจะมีปฏิกิริยาเหล่านี้”
พลางประสานมือให้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
“ขอบคุณสหายร่วมบ้านเกิด ตอนนี้ข้าจะไปหาที่พักสักแห่งแล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดนิดหนึ่งก็เรียกเขาไว้อีกครั้ง
“หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าจัดการที่พักให้เจ้าได้” เขาเอ่ย
ผู้ชายอ้วนเบิกตา
“เจ้า เจ้าใครล่ะเจ้า?” เขาเอ่ยถาม
“ข้าเป็นคนของเต๋อเซิ่งชาง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย กำลังจะแนะนำตัวต่อ ผู้ชายอ้วนก็ร้องอ้อแล้ว
“ที่แท้เป็นคนเครือเดียวกับคุณหนูจวิน” เขาเอ่ย โบกมือ “พวกเจ้าจะทำบุญอีกแล้ว ไม่ต้องไม่ต้อง ครั้งนี้ปลูกฝีให้ทุกคนก็เป็นบุญใหญ่หลวงแล้ว บ้านข้าเหล่าเหยียนรวย พวกเจ้าไม่ต้องสนข้าหรอก”
พูดจบก็จูงเด็กสี่คนเดินส่ายอาดๆ ไป
พาเด็กน้อยเร่งเดินทางมาเมืองหลวงไกลขนาดนี้ได้ย่อมต้องเป็นคนมีเงิน
แต่ก็ยังมีคนมากมายไม่มีเงิน โดยเฉพาะคนที่ได้ยินข่าวตามรายทางเร่งเดินทางมาจากที่ไกล
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตบเด็กในอ้อมแขนเบาๆ
“ไปจัดการ โรงเตี๊ยมทั้งหมดนอกประตูเมือง พวกเราเต๋อเซิ่งชางเหมา” เขาเอ่ยกับพนักงาน “ขอเพียงพาคนที่ปลูกฝีกับโรงหมอจิ่วหลิงมา เข้าพักได้ไม่เสียเงิน หนึ่งวันให้อาหารสามมื้อ”
ชาวบ้านรอบด้านเบิกตา
นี่คือคนรวยยิ่งกว่า
ถึงกับกล้าทำเช่นนี้ นี่ติดสินบนคนที่มาปลูกฝีหรือ? ไม่กลัวถูกเอาไปพูดว่าเรียกมาเล่นละครรึ?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกวาดมองผ่านผู้คน บนใบหน้ามีรอยยิ้ม
“เรื่องที่สั่งสมบุญกุศลใหญ่หลวงเช่นนี้ยากจะมีสักหน” เขาเอ่ย “นี่เป็นเกียรติของเราเต๋อเซิ่งชาง”
พูดจบก็ไม่กังวลใจสักนิดอีก หมุนตัวเยื้องย่างจากไป ทิ้งชาวบ้านเมืองหลวงสีหน้าต่างๆ กันไปกลุ่มหนึ่งไว้
ฝั่งนี้เกิดเรื่องดั่งลมม้วนตลบทั้งเมือหลวง ทุกคนก็ไม่ต้องไปดูหลานชายตัวน้อยของบ้านผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแล้ว ชาวบ้านที่ปลูกฝีเหล่านั้นล้วนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมนอกเมือง เกือบร้อยสองร้อยคน อยากไปดูเท่าไรก็มีเท่านั้น
ข่าวแพร่ออกไปยิ่งมากขึ้นทุกที คนที่ต่อแถวด้านหน้าวัดกวงหวายังคงไม่ขาดสาย ไม่นานชาวบ้านเมืองหลวงก็พบว่ามีเหล่าขุนนางในราชสำนักไปต่อแถวด้วยแล้ว แม้ข้าราชสำนักเหล่านั้นไม่ได้ไปเอง แต่ข้ารับใช้ที่หลบๆ ซ่อนๆ พาเด็กๆ ไปคิดจะแทรกแถวถูกกรมทหารม้าห้าเมืองที่ไม่รู้จักด่า
ข้ารับใช้คนนั้นหน้าแดงแจ้งชื่อเสียงเบา
ชื่อนี้อยู่ที่อื่นเวลาอื่นใช้ได้ดีนัก แต่ทำอันใดกรมทหารม้าห้าเมืองที่ในเวลานี้มีจูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงคุมอยู่ไม่ได้
“เจ้าเป็นราชบัณฑิตฮั่นหลินขุนนางใหญ่ผู้ดูแลท้องพระคลังอะไรก็ช่าง ไปต่อแถวให้หมด”
ราชบัณฑิตฮั่นหลินขุนนางใหญ่ผู้ดูแลท้องพระคลัง! ลูกชายลูกสาวของขุนนางใหญ่เช่นนี้ก็มาแล้ว คนที่ล้อมดูอยู่อารมณ์ยิ่งตะลึงงัน
อีกข่าวหนึ่งแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
หน่อฝีที่ป้องกันฝีดาษของวัดกวงหวาใกล้หมดแล้ว
นอกจากคนที่มาปลูกฝีเหล่านั้น ผู้ดีชนบทมากมายของหยางเฉิงหรู่หนานก็มาด้วย มาเชิญคุณหนูจวินกลับไปปลูกฝีให้ชาวบ้านในท้องที่ อย่างไรคนที่มาเมืองหลวงได้ก็เป็นจำนวนน้อย
ได้ยินว่าเพื่อเรื่องที่คุณหนูจวินจะกลับไปที่ไหนก่อน คนหยางเฉิงกับหรู่หนานถึงกับตีกันขึ้นมา
คราวนี้ชาวบ้านที่มองดูอยู่นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว พากันแห่ไปที่วัดกวงหวา
ไม่นานวัดกวงหวาก็ประกาศจำกัดการปลูกฝี แม้ราคาของการปลูกฝีไม่เปลี่ยน แต่กลับเหมือนกฎของโรงหมอจิ่วหลิงตอนแรก จำกัดเวลาจำกัดวันจำกัดจำนวนคน
หน่อฝีจะไม่มีแล้ว คุณหนูจวินจะไปแล้ว เร่งรีบไม่ทันแล้ว พลาดแล้ว คิดไม่ถึงเฝ้าอยู่ใต้หนังตา ถึงกับปล่อยให้พวกบ้านนอกคอกนาจากต่างถิ่นฝูงนี้มาแย่งชิงเอาเปรียบไปก่อน
ความคิดสารพันแพร่ไปในหมู่ชาวบ้านเมืองหลวง เมืองหลวงดั่งน้ำในหม้อเดือดพล่านขึ้นมา
ฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง มองดูผู้คนบนถนนจับกลุ่มคุยถกเรื่องการปลูกฝีของวัดกวงหวา ความยินดีที่ปลูกฝีแล้ว ความหงุดหงิดที่ต่อแถวไม่ทัน ใบหน้าที่นิ่งขรึมอยู่หนึ่งเดือนกว่าของนางค่อยๆ แย้มรอยยิ้ม เงยหน้าขึ้น มองนกกาเหว่าโฉบผ่านท้องฟ้า
ทนผ่านพ้นอีกหนึ่งเหมันต์ วสันต์มาแล้ว
กิ่งระย้าของต้นหลิวบนถนนราวกับชั่วคืนเดียวแต้มสีเขียว
ความหนาวเย็นคลายไปมากนัก สายลมที่พัดผ่านบนถนนก็อ่อนโยนขึ้นมาก ผู้คนเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ แต่บนถนนไม่มีคนมากมายออกันเพราะเรื่องนี้ เพราะผ่านไปอีกสามวันก็จะเป็นการสอบของกรมพิธีการแล้ว บัณฑิตที่เตรียมตัวสอบล้วนเตรียมพร้อมช่วงสุดท้าย
แต่เทียบกับความสำคัญที่ชาวบ้านกับราชสำนักให้กับการสอบขุนนางก่อนหน้านี้ ครั้งนี้กลับพูดถึงน้อย วันนี้สายตาและความคิดของคนทั้งหมดล้วนอยู่ที่วัดกวงหวานอกเมือง
ขุนนางใหญ่ในราชสำนักหลังไปปลูกฝีที่วัดกวงหวาตามต่อกัน อ๋องกงชนชั้นสูงในเมืองหลวงก็นั่งไม่ติดแล้วเช่นกัน เมื่อวานนี้เองเสียนอ๋องเข้าวังขอฮ่องเต้ยกเลิกคำสั่งปิดวัดกวงหวา สะดวกให้คุณหนูจวินมาปลูกฝีให้แก่เด็กในวังเสียนอ๋อง
อย่างไรเด็กของวังเสียนอ๋องก็ไม่อาจไปต่อแถวกับพวกชาวบ้านได้กระมัง
“พูดเช่นนี้คือฮ่องเต้ทรงพระราชทานอนุญาตแล้ว?”
“อนุญาตไม่อนุญาตไม่ได้พูด แต่ส่งขันทีคนหนึ่งไปวัดกวงหวาแล้ว”
ข่าวแพร่ออกไปรวดเร็วยิ่ง ขันทีทำไมไปวัดกวงหวา? ประกาศยกเลิกการปิดล้อมวัดกวงหวาหรือ?
“ท่านขันที ล้อเล่นแล้ว”
คุณหนูจวินเอ่ย
“แน่นอนไม่อาจให้เสียนอ๋องมาต่อแถวได้ นอกจากนี้วัดกวงหวาก็ไม่ใช่ไม่ให้ออกไปข้างนอกสักหน่อย เพียงแต่คนป่วยที่นี่มาก ทั้งยังเป็นฝีดาษ พวกเราไม่สะดวกออกไป”
ขันทีได้ยินวาจาดีใจยิ่ง
ถูกถูก ไม่ผิดก็เป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทออกคำสั่งห้ามเข้าออกย่อมไม่ใช่กับพวกเขา แต่เพราะคนป่วยมากและฝีดาษโรคที่สถานะพิเศษเช่นนี้ จึงเลี่ยงไม่ให้ทุกคนตระหนก
“ตอนนี้ทุกวันจำกัดจำนวนคน พวกเราท่านหมอหลายคนยังวุ่นวายกันไม่ทัน” คุณหนูจวินเอ่ย “ในเมื่อเสียนอ๋องต้องการปลูกฝี ถ้าอย่างนั้นก็ให้ท่านหมอคนหนึ่งไปวังเสียนอ๋องก็ได้แล้ว”
ขันทีพยักหน้าดีใจอีกครั้ง
ล้วนพูดกันว่าคุณหนูจวินพูดจาไม่น่าฟังขี้โมโหยิ่งยโส ล้วนเป็นข่าวโคมลอยทั้งนั้น
“ยังมีไม่ทราบว่าหน่อฝีนี่พอใช้หรือไม่?” เขากดเสียงเบาถาม พูดจบก็ท่าทางปิดบังอยู่บ้าง “ตลอดทางมาพวกเราเห็นคนปลูกฝีนี่ไม่น้อยทีเดียว”
“หน่อฝีเกิดได้ ใช้แล้วเกิด เกิดแล้วใช้” คุณหนูจวินเอ่ย “ท่านขันทีโปรดวางใจ”
แม้สงสัยว่าหน่อฝีเกิดอย่างไรใช้อย่างไร แต่ขันทีก็รู้ว่านี่เป็นวิชาลับของโรงหมอจิ่วหลิงเขา สอบถามวิชาลับของตระกูลแพทย์เป็นข้อห้ามใหญ่หลวง อีกอย่างได้คำตอบที่ตนเองต้องการถาม เขาก็วางใจแล้ว
คุณหนูจวินจัดท่านหมอคนหนึ่งตามขันทีไปวังเสียนอ๋อง
“ยังไงคุณหนูจวินไปเองสักครั้งดีกว่า” ขันทีลังเลนิดหนึ่งเอ่ย
“ที่จริงตลอดมาล้วนเป็นท่านหมอเหล่านี้ปลูกฝี พูดถึงทักษะการปลูกฝี พวกเขาชำนาญกว่าข้ามาก” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ข้าแค่ทำหน่อฝีเท่านั้น”
ขันทีเสียใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อครู่เขาเห็นกับตาเองแล้ว ก่อนมาก็สอบถามคนที่ปลูกฝีเหล่านั้นมาแล้วด้วย คนที่ปลูกฝีด้านนอกวัดล้วนเป็นท่านหมอคนอื่น คุณหนูจวินอยู่ในวัดตลอด
มองดูท่านหมอคนหนึ่งตามขันทีจากไป พวกท่านหมอเฝิงสีหน้ายุ่งยากอยู่บ้าง
การมาเยือนของขันทีคนนี้หมายถึงอะไร ทุกคนล้วนรู้ หมายความว่าในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงยอมรับการปลูกฝีแล้ว
ครั้งนี้ให้หมอไปปลูกฝีกับเด็กในครอบครัวเสียนอ๋อง ครั้งต่อไปก็คงปลูกฝีให้บรรดาองค์ชายองค์หญิงแล้ว
นี่ก็หมายความว่า ในที่สุดการปลูกฝีก็เผยแพร่ไปทั่วใต้หล้าได้แล้ว
และการเผยแพร่ไปทั่วใต้หล้าย่อมต้องการคนทำงาน คุณหนูจวินบอกกับขันทีเองว่าตนเองไม่ปลูกฝี ให้ท่านหมอเหล่านี้มาทำ เห็นได้ชัดยิ่งว่าต้องการให้พวกเขามาทำเรื่องนี้
“คุณหนูจวิน แม้ท่านน้อยครั้งนักจะปลูกฝีเอง แต่พูดถึงความชำนาญในการปลูกฝี ใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบท่านได้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“ก็ใช่ข้าชำนาญมาก” นางเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านยังให้พวกเราไปทำ?” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย
“เพราะพวกท่านทำได้ไงเล่า” คุณหนูจวินเอ่ย มองพวกเขาทีหนึ่ง “ข้าพูดไว้นานแล้ว ข้ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ แล้วก็ทำเรื่องที่พวกท่านทำไม่ได้เท่านั้น”
………………………………………
บทที่ 41 เชิญพวกท่านไปทำ
โดย
Ink Stone_Romance
ข้ารักษาเพียงโรคที่พวกเจ้ารักษาไม่ได้ ทำเพียงเรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้เท่านั้น
ท่าทางนี่คำพูดนี่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด แต่ท่านหมอทั้งหลายไม่โกรธแค้นคุณธรรมคับอกอย่างนั้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ตรงกันข้ามกลับยิ้ม ยิ้มด้วยอารมณ์หลากหลายอยู่บ้าง
ใช่สิ เรื่องเหล่านี้พวกเขาทำได้ แต่เพราะพวกเขาทำได้ก็จะให้พวกเขาไปทำหรือ?
นี่เป็นงานอะไรหืม? ปลูกฝี ช่วยเด็กๆ พันหมื่นไม่ให้ถูกฝีดาษเล่นงาน ชีวิตคนเป็นๆ บุญกุศลใหญ่หลวง ถูกคนนับไม่ถ้วนกราบกรานขอบคุณ
แม้คุณหนูจวินไม่ออกหน้า ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นนางทำ แต่เอาเกียรติยศแบ่งให้คนอื่นได้ยากยิ่งนัก
ต่อให้นางไม่แบ่งให้ ทุกคนก็ไม่มีคำตำหนิ อย่างไรฝีดาษเรื่องนี้เป็นนางสู้มา
เริ่มแรกพวกเขายังมีความคิดว่ามาช่วยงานนาง แต่เมื่อนางบอกว่าเดิมก็ไม่คิดรักษาฝีดาษหายแต่ต้องการป้องกันฝีดาษ พวกเขาในใจเข้าใจสักเท่าไร ต่อให้ไม่มีพวกเขาช่วย ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็ไม่มีทางเปลี่ยน
เป็นใครช่วยใคร เป็นใครกำลังตอบแทนใครอยู่?
ทุกคนรู้สึกว่ามีคำพูดมากมายต้องการพูด แล้วก็รู้สึกว่าไม่มีคำใดต้องพูด
“คุณหนูจวิน พวกเราไม่ได้มาเสียเปล่า” ท่านหมอเฒ่าเฝิงคำนับคุณหนูจวิน เอ่ยเพียงเท่านี้
บรรดาท่านหมอคนอื่นก็คำนับตาม
“จะมาเสียเปล่าได้อย่างไรเล่า ทำงานย่อมไม่มีทางทำเสียเปล่า นี่คือความยุติธรรม” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “แค่เพียงทำความดี ไม่ถามถึงอนาคต เพราะสวรรค์ย่อมมีความยุติธรรม”
ดังเช่นที่ทุกคนคาดเดาเช่นนั้น สองวันให้หลังฮ่องเต้ก็เชิญคุณหนูจวินเข้าวังปลูกฝีให้องค์ชายองค์หญิง นี่จึงประกาศว่าเรื่องฝีดาษคราวนี้จบลงแล้ว
แม้การรักษาฝีดาษไม่เป็นดั่งคนหวัง แต่ตอนนี้ใครยังสนใจเรื่องนี้อีก แม้รักษาฝีดาษไม่ได้ แต่นางทำให้คนไม่เป็นฝีดาษได้ นี่ถึงมหัศจรรย์ยิ่งกว่าอย่างแท้จริง
สำหรับชาวบ้านแล้ว เป็นฝีดาษเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ให้ตนเองเป็นฝีดาษถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เทียบกับเรื่องของคนอื่น ทุกคนยิ่งใส่ใจเรื่องของตนเอง
วัดกวงหวาเพราะยังมีผู้ป่วยฝีดาษไม่น้อย แม้ไม่มียาให้ผลวิเศษ แต่พวกท่านหมออย่างคุณหนูจวินไม่เคยทอดทิ้งไม่ดูแล ดังนั้นที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่ปลูกฝีชั่วคราว
ผู้คนที่เสียผู้ป่วยไปเหล่านั้นเก็บข้าวของเริ่มเตรียมตัวจากไป เทียบกับความยินดีของโลกข้างนอก สีหน้าของพวกเขาโศกศัลย์อยู่บ้าง เดินออกมากลับเห็นคุณหนูจวินพาท่านหมอกลุ่มหนึ่งยืนอยู่นอกอาคารส่ง
มองเห็นพวกเขา คุณหนูจวินกับท่านหมอทั้งหลายก็คำนับ
“ละอายใจแล้ว” พวกเขาเอ่ยพร้อมเพรียง
การคำนับทีหนึ่งเสียงคำว่าละอายใจคำหนึ่งนี้ ทำให้พวกเขาจมูกขัดเคืองขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ พวกผู้หญิงน้ำตาหลั่งริน ความหดหู่ที่สั่งสมในใจพริบตาเดียวสลาย
พวกเขาวุ่นวายคำนับคืน
“คุณหนูจวินพวกท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลย” ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเอ่ย เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง “รักษาโรคไม่หายย่อมไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน พวกท่านทำมากพอแล้ว”
“ใช่แล้ว พวกท่านยังปลูกฝีให้พวกเราทั้งหมดด้วย”
“ดูแลให้กิน ดูแลให้ดื่มทำมากขนาดนั้น”
ทุกคนพากันเอ่ย
คุณหนูจวินกับท่านหมอทั้งหลายส่งทุกคนอีกครั้ง
“ในบ้านของพวกเจ้าหากยังมีลูกชายลูกสาว พามาปลูกฝีได้ ถือเชือกเหล่านี้ไม่ต้องต่อแถว” คุณหนูจวินเอ่ย
เฉินชีรีบพาคนงานสองคนก้าวเข้ามา ในมือคนงานถือเชือกสีแดงเส้นแล้วเส้นเล่าไว้ ด้านบนเขียนว่าโรงหมอจิ่วหลิงสามคำ นอกจากนั้นยังมีประทับตรา
ถึงกับยังมีเรื่องดีเช่นนี้
วันนี้คนปลูกฝีมากมายนัก พวกเขารู้ดีกว่าใคร ได้ยินว่ามีคนถึงกับเริ่มขายหมายเลขแล้ว กรมทหารม้าห้าเมืองตรวจเข้มอยู่ช่วงหนึ่งถึงห้ามปรามได้
ผู้คนอดไม่ได้สีหน้าซาบซึ้ง
“คนตายจากไปแล้ว แต่ทุกคนยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี” คุณหนูจวินเอ่ย
“ยังมีอีก ตอนที่พวกเจ้าพาลูกของพวกเจ้ามา ค่าใช้จ่ายในการปลูกฝีเต๋อเซิ่งชางออกให้” เฉินชีเอ่ยตาม
ผู้คนยิ่งคำนับขอบคุณซาบซึ้ง ความโศกเศร้าและความเสียใจสลายไปมากนักแล้ว รับเชือกสีแดงคำนับคุณหนูจวินกับบรรดาท่านหมอแล้วจากไป
เทียบกับวัดกวงหวาอันคึกคัก สำนักแพทย์หลวงยิ่งเงียบเหงา คนมาคนไปกลั้นลมหายใจไม่ให้เกิดเสียงแววตาทอประกาย
เจียงโหย่วซู่ก้มหน้าเดินออกมาจากในห้อง เห็นหมอหลวงสองคนยืนอยู่หน้าประตูสำนัก
“พวกเจ้าทำไมยังอยู่อีก?” เจียงโหย่วซู่เอ็ดเสียงต่ำ “ไม่ใช่ควรไปวังองค์หญิงผิงหนิงรึ?”
หมอหลวงสองคนสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ใต้เท้า พวกเราไปแล้ว” พวกเขาเอ่ย อยากพูดแล้วก็หยุด “เพียงแต่ ถูกไล่ออกมา”
ไล่ออกมา?
เจียงโหย่วซู่รู้สึกเพลิงโทสะผุดพรายทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เขาตวาด “พวกเจ้าอ้างนู่อ้างนี่ อธิบายอาการป่วยคลุมเครืออีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่รึ ทำงานต้องรู้จักสมควร…”
ไม่รอเขาเอ่ยจบสองหมอหลวงรีบส่ายศีรษะ
“ใต้เท้าไม่ใช่ พวกเราทำตามกฏเคร่งครัด” พวกเขาเอ่ยพกสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “เพียงแต่วังองค์หญิงจะให้เด็กในวังปลูกฝี นัดหมอฝั่งนั้นของวัดกวงหวาไว้แล้ว กลัวพวกเรามาเยือนถูกคนเข้าใจผิดว่าเด็กในบ้านร่างกายไม่แข็งแรง จึงไล่พวกเราออกมา”
เพราะวัดกวงหวาด้านนั้นประกาศเรื่องที่ต้องระวังในการปลูกฝีมากมายต่างๆ นานาออกมา ในนั้นมีข้อหนึ่งบอกว่าเด็กที่ร่างกายไม่สบายงดปลูกฝีชั่วคราว
แต่คนมากมายทนรอไม่ไหว กลัวว่าพลาดโอกาสปลูกฝีไปแล้ว เด็กจะติดโรคขึ้นมา ปิดบังไปเข้าแถว แน่นอนหลังถูกท่านหมอตรวจพบก็ยังถูกปฏิเสธ
แต่เพื่อข้อห้ามของการปลูกฝีถึงขนาดหมอหลวงยังไม่ให้เหยียบประตูก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
นี่ไม่ใช่กลัวเด็กป่วยส่งผลต่อการปลูกฝีแต่อย่างใด แต่กลัวทำคุณหนูจวินคนนั้นของวัดกวงหวาไม่พอใจส่งผลต่อการปลูกฝีชัดๆ
การทะเลากันระหว่างคุณหนูจวินกับสำนักแพทย์หลวงแม้ไม่ได้โวยวายจนทุกคนล้วนรู้ แต่ชนชั้นสูงตระกูลสูงศักดิ์ที่เฉลียวฉลาดพวกนี้ในใจย่อมกระจ่างยิ่ง
ช่างเป็นพวกมีนมก็นับเป็นแม่ฝูงหนึ่งจริงๆ
เจียงโหย่วซู่ในใจชิงชังด่าประโยคหนึ่ง
เพื่อปลูกฝีเรื่องเดียว ประโยชน์ของพวกหมอหลวงล้วนลืมหมดแล้ว
เจียงโหย่วซู่ไม่สบอารมณ์ไล่หมอหลวงสองคนไป ไม่รั้งอยู่ที่นี่ต่อเดินออกมา เพิ่งเดินมาถึงประตูสำนักแพทย์หลวงก็มองเห็นรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ของวังหลวงคันหนึ่งวิ่งมา ขันทีที่นำทางหน้ารถ เจียงโหย่วซู่ก็รู้จัก เป็นขันทีใหญ่ที่ติดตามองค์ไทเฮา
นี่มารับผู้ใดถึงกับให้ขันทีผู้ตางอกอยู่บนกระหม่อมคนนี้มารับเอง
เจียงโหย่วซู่ยืนอยู่หน้าประตูตะลึงอยู่บ้าง จากนั้นสีหน้าเขียวคล้ำ มองผ่านม่านรถที่ถูกลมฤดูใบไม้ผลีพัดเลิกเห็นคนสองคนที่นั่งอยู่ด้านใน สองคนนี้เขารู้จักหมด คนหนึ่งคือจวินจิ่วหลิง คนหนึ่งคือท่านหมอเฒ่าเฝิง
สองคนนี้ล้วนไม่ใช่ตัวดีอะไร!
รถม้าหยุดลงหน้าประตูวัง คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงลงจากรถ
แม้พวกเขาถูกเชิญมาปลูกฝีให้แก่องค์ชายองค์หญิงหลายพระองค์ในวังก็ไม่มีสิทธินั่งรถเข้าพระราชวัง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงยืนอยู่หน้าประตูวังสีหน้ายากปิดบังความตื่นเต้น
“คุณหนูจวิน ที่อื่นพวกเราไป ต่อหน้าฮ่องเต้ไทเฮาชายานางสนมนี่ ท่านจัดการเองก็พอแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้ารอท่านอยู่ข้างนอกดีกว่า”
คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงเวลานี้เหมือนลูกศิษย์คนรุ่นหลังถูกมองตัวสั่นระริก
“ไม่อย่างนั้นข้าหิ้วหีบยาให้ท่านแล้วกัน” เขาเปลี่ยนคำเอ่ยขึ้น ยื่นมือมาแย่งหีบยาในมือคุณหนูจวินไป
“ถ้าหิ้วหีบยาล่ะก็ เฉินชียังรอทำอยู่นะ” คุณหนูจวินเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบางๆ บนหน้าผาก
“คุณหนูจวินข้ารู้นี่ท่านจะยกย่องข้า” เขาเอ่ยเสียงเบา “นี่ไม่ต้องจริงๆ ยกย่องที่อื่นก็เพียงพอแล้ว”
คุณหนูจวินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง เข้าวังเท่านั้น ท่านกลัวอะไรเล่า” นางเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้างเหมือนกันแล้ว
“คุณหนูจวิน เข้าวังเชียวนะ” เขาว่า “ท่านทำไมไม่เคร่งเครียด เหมือนกับเข้าบ้านตัวเอง”
เพราะว่าเดิมทีก็เป็นบ้านของนาง
คุณหนูจวินเงียบไป
……………………………………….
บทที่ 42 เยี่ยนเยือนคนในอดีต
โดย
Ink Stone_Romance
แน่นอนตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ท่านเป็นหมอคนหนึ่ง นี่คือท่านมารักษาคน” นางเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงถอนหายใจ มองประตูวังโอ่อ่าบานนี้ตรงหน้า
นี่คือวังหลวงสินะ รออีกประเดี๋ยวผู้ที่เขาจะได้เข้าเฝ้าก็คือฮ่องเต้ โอรสสวรรค์เชียวนะ คนที่สูงศักดิ์ที่สุดใต้หล้าแห่งนี้
“โถ่คุณหนูจวิน ที่จริงข้าเป็นเพียงแค่หมอจัดกระดูกคนหนึ่ง” เขาเอ่ย “อยู่ในเมืองหลวงอาศัยวิชานี้ดูแลครอบครัวเลี้ยงปากท้อง คนที่ต้องจัดกระดูกส่วนมากล้วนเป็นคนยากจนทำงานแรงงาน ในสายตาคนในวงวิชา พวกเราหมอจัดกระดูกถึงกับไม่นับเป็นหมอคนหนึ่งด้วยซ้ำ”
คิดไม่ถึงเขาหมอที่ไม่นับเป็นหมอคนนี้กลับมีวันหนึ่งได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
นี่ทำได้อย่างไร? ทำไมเดินมาถึงขั้นนี้ได้? เหมือนว่าก็ไม่ได้ทำอะไรนะ ท่านหมอเฒ่าเฝิงชั่วขณะใจลอยอยู่บ้าง
“เอาล่ะ ท่านหมอเฝิง หากท่านยังกระสับกระส่ายเช่นนี้ต่อไป ทำฮ่องเต้บันดาลโทสะเข้า ท่านจะไม่ได้เป็นท่านหมอต่อไปจริงๆ แล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย ยื่นมือรับหีบยาของตนเองกลับไปวางไว้บนรถ “พวกเราใครก็ไม่ต้องถือหีบยาทั้งนั้น ในวังสิ่งใดล้วนมีทั้งสิ้น พวกเราเพียงแต่ถือหน่อฝีไปก็พอแล้ว”
คำพร่ำพูดท่อนนี้ทำให้จิตใจของท่านหมอเฒ่าเฝิงสงบลงมาก ยิ้มขัดเขินอยู่บ้างให้คุณหนูจวิน ไม่พูดอีก
ตรงประตูวัง ขันทีผู้พิสูจน์ตัวตนแล้วยิ้มตาหยีกวักมือให้พวกเขา คุณหนูจวินพาท่านหมอเฒ่าเฝิงเดินผ่านไป
ตอนที่มาถึงในวังไทเฮา เหมือนคนในวังหลวงทั้งหมดล้วนรวมตัวอยู่ที่นี่
นอกจากลูกๆ ของพระชายานางสนมที่เคยเห็นตอนถวายพระพรปีใหม่ ยังเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
คุณหนูจวินมองบุรุษวัยกลางคนสวมฉลองพระองค์มังกรที่นั่งอยู่ตรงกลาง หลุบตาคุกเข่าลง
“เข้าเฝ้าฝ่าบาท” นางเอ่ย
ตอนยังเล็กไม่มีความประทับใจอันใดกับพระปิตุลาองค์นี้ อย่างไรก็ไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่ทุกปีใหม่ของขวัญที่ส่งมาจากซานตงล้วนใช้ได้จริงที่สุด ไม่เหมือนกับเงินทองแพรพรรณของบรรดาท่านอ๋องท่านกงคนอื่น ที่ฉีอ๋องส่งมามีเพียงอาหารเครื่องดื่มเครื่องใช้ผลิตผลท้องถิ่นของซานตง
ตอนนางกับพระบิดาไปเข้าเฝ้าพระอัยกาเคยได้ยินขุนนางใหญ่ชื่นชมว่าฉีอ๋องทั้งใส่ใจหน้าที่ทั้งไม่ละเลยความรักต่อเลือดเนื้อ
แม้ไม่ค่อยเข้าใจข้อสรุปของพวกเขานัก แต่นางยังคงชอบของขวัญปีใหม่ที่พระปิตุลาองค์นี้ส่งมายิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหมักเกลืออร่อยมาก
ในความประทับใจของนาง พระปิตุลาก็เป็นคนที่เหมือนกับพ่อค้าหาบเร่อ้วนฉุยิ้มตาหยีบนภาพวาดวันตรุษ
จีนต่อมาพระบิดาพระมารดาไม่อยู่แล้ว นางจึงได้พบพระปิตุลาองค์นี้ เหมือนกับในจินตนาการ รูปร่างของเขาอ้วนฉุสีหน้าอ่อนโยน เพียงแต่ไม่ได้ยิ้มตาหยี แต่หน้านิ่วคิ้วขมวด นิดๆ หน่อยๆ ก็ร้องไห้
เพราะเขาบอกว่าตนเองถูกขึงย่างอยู่บนไฟ เขาทนไม่ไหวจริงๆ อยากกลับซานตง แต่กลับไปก็อกตัญญู รั้งอยู่ก็ไม่ภักดี เขาโศกเศร้าที่ตนเองกลายเป็นคนไร้ความภักดีอกตัญญูคนหนึ่ง
เวลานั้นคุณหนูจวินก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสารนักจริงๆ เทียบกับเป็นฮ่องเต้ที่ถูกขุนนางใหญ่รุมล้อมด่า คุกเข่าโวยวายคนนั้น ยังไม่สู้เป็นฉีอ๋องอยู่ที่ซานตงอันไกลโพ้น
เมื่อฉีอ๋องผู้นี้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ในที่สุด พวกนางก็ย้ายไปอาศัยที่วังไหวอ๋อง จึงรู้ว่าจากนี้ไปชีวิตไม่เหมือนเดิมแล้ว แล้วก็รู้ว่าไม่ว่าฉีอ๋องยินดีหรือไม่ยินดี สำหรับคนที่เป็นฮ่องเต้แล้ว ตัวตนของพวกนางไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีนัก ดังนั้นวังไหวอ๋องจึงถูกตีตัวออกห่าง ถูกสอดส่อง ถูกลืมเลือน นางก็ไม่ได้แค้นเคืองอันใด แล้วก็ไม่เคยสงสัยอะไรด้วย
ตอนนี้คิดดูแล้ว ตนเองช่างโง่จริงๆ
ครอบครัวของตนช่างโง่จริงๆ
พระบิดาช่างโง่จริงๆ
จริงใจกับคนจนหมดหัวใจ กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกหมาป่าทะเยอทะยาน
“พระบิดาของข้าตายอย่างไร? พระมารดาของข้าตายอย่างไร?”
เวลานั้นนางคุกเข่านั่งอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เมื่อเขาตีสีหน้ารักใคร่เมตตาดั่งเช่นวันวานเอ่ยถามนางว่ามีเรื่องอันใด นางพลันตั้งคำถามชักกระบี่ออกมา
นี่เป็นกระบี่อ่อนเล่มหนึ่ง ของที่นางเหลือไว้ป้องกันตัวไม่มาก เหลือเพียงแค่กระบี่เล่มนี้ เพราะอาจารย์ตีขึ้นมางดงามยิ่งนัก กระบี่มีสองชั้น ฝักกระบี่ยามปกติใช้เป็นสายคาดเอว ยากจะถูกพบยิ่งนัก
ขันทีด้านในโถมเข้ามา ฎีกาแท่นหมึกราวพู่กันเหวี่ยงเข้ามา โต๊ะเก้าอี้ถูกพลิกคว่ำ บรรดาองครักษ์พุ่งเข้ามา ดาบรุมฟันลงมา
นางยังไม่ทันได้คำตอบ
พระบิดาข้าตายอย่างไร? พระมารดาข้าตายอย่างไร?
“ลุกขึ้น” สุรเสียงอ่อนโยนของฮ่องเต้ดังอยู่เหนือศีรษะ
คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยขอบพระทัยลุกขึ้นมา
ไทเฮาทนรอไม่ไหวแล้ว เรียกคุณหนูจวินสอบถามรายละเอียดของการปลูกฝีจำนวนหนึ่ง สำเร็จเท่าไร ปลูกฝีเกิดเหตุไม่คาดฝันเท่าไร ที่จริงเรื่องโดยละเอียดเหล่านี้องครักษ์เสื้อแพรคงรวบรวมไว้พร้อม รายงานไปนานแล้ว
คุณหนูจวินเอ่ยตอบทีละอย่าง ไทเฮาจึงมองไปทางฮ่องเต้
“ฝ่าบาท” นางท่าทางคล้ายขออนุมัติ
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณหนูจวินปลูกฝีให้บรรดาองค์ชายองค์หญิงเถอะ” พระองค์ตรัส
คุณหนูจวินขานรับ หมุนตัวเรียกท่านหมอเฒ่าเฝิง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงแม้ยากปิดบังความตื่นเต้น แต่ยังคงก้าวเข้าไปตามคำบอก
“ทำไมไม่ใช่คุณหนูจวินเจ้าปลูกฝีเล่า?” ฮองเฮาอดไม่ได้ตรัสถาม
“ตอบฮองเฮา ตลอดมาข้าไม่เคยปลูกฝี ข้าเพียงแค่ทำยา ปลูกฝีล้วนเป็นพวกท่านหมอเฝิงทำ” คุณหนูจวินทูลตอบ
นี่ก็เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ไทเฮาทรงทราบแล้ว ได้ยินเข้าไม่แย้งอะไรอีก
ท่านหมอเฒ่าเฝิงสั่นเทาปลูกฝีให้องค์ชายองค์หญิงหลายคน องค์ชายองค์หญิงแม้ร้องไห้กระจองอแงแต่ก็นับว่าสำเร็จราบรื่น แต่หลังปลูกเสร็จพวกเขาไม่อาจจากไปได้ทันที
“ตอนนี้พักอยู่ในวังไปก่อน เตรียมพร้อมเผื่อเวลาต้องการ” ฮ่องเต้ตรัส
นี่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล อยู่ในความคาดคิด คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงขานรับ
…
ฮองเฮาพาพระชายานางสนมกับเด็กๆ ขอตัวไป คุณหนูจวินกับท่านหอมเฒ่าเฝิงติดตามไปด้วย ในท้องพระโรงเหลือเพียงฮ่องเต้กับฮองเฮา
สายตาของฮ่องเต้จับอยู่บนแผ่นหลังของคุณหนูจวิน สีหน้าอ่อนโยนสลายไป กลายเป็นหนักใจอยู่บ้าง
“อะไรๆ ก็ดี” เขาพลันเอ่ยขึ้น “มีแต่ชื่อนี้ไม่ดี”
ฮองเฮาสีหน้าราบเรียบ
“อะไรๆ ก็ดี ชื่อยังมีอะไรได้อีก” นางเอ่ย “ไม่คิดเรื่องดีๆ ลบทิ้งไปก็ถูกแล้ว คนถ้าไม่ถนอมวาสนาของตนเอง โทษใครได้”
นางมองฮ่องเต้ยิ้มทีหนึ่ง
“ฮ่องเต้ท่านมีบุญอย่างที่สุด ได้ขจัดฝีดาษ สี่สมุทรสงบสุข ฟ้าคุ้มครอง”
ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นคำนับไทเฮา
“ขอบพระทัยพระมารดา” เขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
…
ราตรีโรยลงมา โคมไฟจุดสว่างข้างในทำให้วังหลวงซึ่งในยามกลางวันน่าเกรงขามแลดูอ่อนโยนลงบ้าง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงได้ยินเสียงประตูดัง ลุกขึ้นยืนเคร่งเครียดทันที กลับเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา
“ไม่มีอะไร ข้าแค่มาบอกท่าน ท่านพักผ่อนให้สบาย คืนนี้ข้าเฝ้าเอง” นางยิ้มเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงพยักหน้า เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“ได้ได้ ท่านเฝ้าอยู่ยิ่งดี” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินไม่ได้พูดอะไรอีกจากไปแล้ว นางกำนัลน้อยที่มาเป็นเพื่อนยกโคมนำทางนางไปทางตำหนักอีกด้านหนึ่ง
พวกองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายก็ไม่ได้กลับที่พักของตนเอง ให้อยู่ด้วยกันในตำหนักแห่งหนึ่ง สะดวกดูแล
ตะเกียงเจ้าพายุใต้ชายคาแกว่งไกว สอดประสานกับโคมที่นางกำนัลน้อยถืออยู่ ลากเงาคุณหนูจวินให้ทอดยาว
พลันคุณหนูจวินก็โงนเงนทีหนึ่ง นางกำนัลน้อยตาไวมือไวประคองไว้
“คุณหนูจวิน ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามอย่างห่วงใย
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางเอ่ย ท่าทางอับอายนิดๆ “ข้าค้างคืนในวังเป็นครั้งแรก”
นี่เป็นถึงวังหลวงเชียวนะ กระทั่งองค์หญิงที่แต่งงานออกไปแล้วเหล่านั้นยังไม่อาจค้างคืนได้ ได้ค้างที่นี่คืนหนึ่ง สัมผัสบรรยากาศสูงส่งมหาศาล ความตื่นเต้นเคร่งเครียดของคุณหนูจวินนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
นางกำนัลน้อยเม้มปากยิ้ม
“พี่สาวเป็นคนของวังไทเฮาหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
อาจเพราะการเสียกิริยาครานี้ดึงระยะห่างระหว่างคนเข้าใกล้ หรืออาจเพราะค่ำคืนเป็นเหตุ ทำให้คนยินดีพูดมากขึ้นหลายประโยค
นางกำนัลน้อยส่งเสียงตอบในคอ
“ครั้งก่อนไม่เห็นพี่สาว” คุณหนูจวินเอ่ย
ครั้งก่อนรึ นางกำนัลน้อยคิดขึ้นมาได้ เดือนก่อนคุณหนูจวินก็เคยถูกเรียกเข้าเฝ้า
“ข้าไม่มีคุณสมบัติเข้าไปรับใช้ในตำหนักหลักหรอกเจ้าค่ะ” นางกำนัลน้อยยิ้มเขินอาย
ตำแหน่งของนางต่ำต้อยอยู่บ้าง นี่คือความจริง แต่การเป็นฝ่ายยอมรับกับคนแปลกหน้าก็เป็นความกล้าหาญและเจตนาดีมากยิ่ง
“ในบ้านของพี่สาวมีเด็กต้องปลูกฝีไหม?” คุณหนูจวินพลันเอ่ย
“มีมี” นางรีบพยักหน้าเอ่ย
แม้ไม่ได้ออกไปดู แต่ก็ได้ยินว่าตอนนี้สิทธิการปลูกฝีสักสิทธิยากจะได้มา
“ท่านกลับไปเขียนที่อยู่ให้ข้า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
นางกำนัลน้อยพยักหน้าไม่หยุด
“โอ้ แล้วยังมีพี่สาวที่ชื่อปิงเอ๋อร์หรืออะไรที่รินสุราให้ข้าที่ตำหนักหลักครั้งก่อนด้วย” คุณหนูจวินคิดอะไรได้อีกครั้ง มองนางกำนัลน้อย“ไม่รู้ว่าในบ้านนางมีเด็กต้องปลูกฝีหรือไม่”
……………………………………….
บทที่ 43 กึ่งยินดีกึ่งกังวล
โดย
Ink Stone_Romance
ที่นี่คือตำหนักข้างในวังไทเฮา ระยะห่างระหว่างห้องกับห้องไม่ไกล เวลานี้พวกนางเดินมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะเอะอะของเหล่าองค์ชายองค์หญิงแล้ว
คุณหนูจวินเอ่ยถามคำนี้ออกมา สายลมราตรีเดือนสามก็พัดไล้นางขนลุก ยื่นมือลูบขนที่ลุกตั้ง อีกมือหนึ่งลูบเสื้อกระโปรงที่ที่ยุ่งเหยิงจากที่หวิดหกล้มเมื่อครู่ สีหน้าสบายๆ
นางกำนัลน้อยร้องเอ๋
“ไม่มีกระมัง” นางเอ่ย
ปิงเอ๋อร์มีพี่สาวเพียงคนเดียว ในบ้านพี่สาวมีเด็กหรือไม่ก็ไม่รู้ หรือว่าจะไม่มี?
มือของคุณหนูจวินกำเบาๆ
“คุณหนูจวินท่านคงจำผิดแล้วกระมังเจ้าคะ” นางกำนัลน้อยเอ่ยต่อ “คนที่รินสุราให้ท่านที่ตำหนักหลักต้องไม่ได้ชื่อปิงเอ๋อร์แน่”
คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง
“น่าจะใช่นะ เวลานั้นข้ากังวลมากเกินไปก็ฟังไม่ชัดเหมือนกัน” นางเอ่ยขึ้นท่าทางขออภัยอยู่นิดๆ “ได้ยินคลับคล้ายว่าเป็นปิงเอ๋อร์”
นางกำนัลน้อยพยักน้า
“ต้องผิดแล้วแน่ ไม่มีทางเป็นปิงเอ๋อร์” นางเอ่ย
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มพลางก้าวเดินไปข้างหน้า
“ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เหมือนจะมีคนที่ชื่อปิงเอ๋อร์จริงๆ?” นางเอ่ยถาม
นางกำนัลน้อยพยักหน้า ใต้แสงโคมวังสาดส่อง บนใบหน้าความโศกศัลย์จางๆ แล่นผ่าน
“ใช่มีอยู่คนหนึ่ง” นางเอ่ย “เพียงแต่เมื่อปีก่อนป่วยตายไปแล้ว”
ฝีเท้าของคุณหนูจวินชะงักไปวูบหนึ่ง เหยียบลงบนบันไดขั้นหนึ่ง
ป่วย ตาย ไปแล้ว
ปีก่อน
หลังจากที่ตนเองตายงั้นหรือ?
ถูกพบเข้างั้นรึ?
แต่ไม่ถูกต้องสิ หากถูกพบเข้าจริงๆ ทำไมพี่สาวของปิงเอ๋อร์ถึงเพิ่งหายไปตอนนี้? ไม่ใช่ควรถูกกำจัดไปด้วยกันหรือ?
ความคิดของคุณหนูจวินสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษจริงๆ” นางรีบเอ่ยท่าทางรู้สึกผิดอยู่บ้าง
นางกำนัลน้อยส่ายศีรษะให้นาง
“เหมันต์หนาว เป็นหวัดง่าย” นางเอ่ยเสียงเบา “บางคนร่างกายอ่อนแอยากเลี่ยงทนไม่ไหว”
เหมันต์
เป็นหลังจากตนเองตายจริงๆ
คุณหนูจวินยิ้มให้นางกำนัลน้อยก้าวเท้าขึ้นบันได นางกำนัลในตำหนักก็ออกมารับ ผลักประตูตำหนักเปิด เด็กๆในห้องหัวเราะส่งเสียงเอะอะ เสียงตำหนิของบรรดาพระชายานางสนมเล็ดลอดออกมา ครึกครื้นยิ่งนัก
สามวันให้หลัง คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เดินออกมาจากวังหลวง ที่มาด้วยกันกับพวกเขาคือรางวัลพระราชทานกองใหญ่ รวมถึงท่านอ๋องท่านกงผู้สูงศักดิ์ที่รุมล้อมเข้ามาที่ประตูวัง
“ท่านหมอเฝิง ท่านต้องไปบ้านของพวกเราก่อนนะ”
“คุณหนูจวิน พวกเราต่อแถวได้หมายเลขแล้ว”
ผู้คนที่กินดีอยู่ดีเหล่านี้ไม่สนเสียเกียรติ แต่ละคนๆ เดินทางมาเชิญด้วยตัวเอง อยากจะยื่นมือมาคว้าท่านหมอเฒ่าเฝิงหิ้วเขากลับไปทั้งอย่างนี้ จนปัญญาด้วยกลัวจะทำเขาโมโห แม้ร้อนรนก็ไม่กล้าล่วงเกิน
“มีหมดมีหมด ทุกท่านไม่ต้องรีบร้อน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย สีหน้าเขาสงบ ไม่ได้ถูกคนมากมายเช่นนี้ทำให้กลัว แล้วก็ไม่ได้ตกใจเพราะได้รับความโปรดปราณ
ไม่มีอะไรทำให้เขากลัวและทำให้เขาตกใจได้อีกแล้ว เขาเป็นถึงคนที่เคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ขยับตะไบกับพวกองค์ชายองค์หญิง ค้างในวังหลวงมาแล้วสามวันเชียวนะ
“ทุกคนไม่ต้องรีบร้อน การปลูกฝีพวกเรามีแผนการและการจัดเตรียม ไม่มีทางตกหล่นใครแล้วก็ไม่มีทางล่าช้าด้วย” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย
ความสงบของเขาทำให้ฝูงชนที่วุ่นวายจำนวนหนึ่งเงียบสงบลง ฟังท่านหมอเฒ่าเฝิงอย่างตั้งใจ
บางคนรู้ว่าคุณหนูจวินจะไม่ปลูกฝีให้คนด้วยตนเอง ผู้คนก็ไม่สนใจนาง
คุณหนูจวินเดินผ่านฝูงชน มองเห็นจูจั้นที่อยู่บนถนนเสด็จพระราชดำเนิน
ไม่ใช่แค่จูจั้น ยังมีเด็กหลายคนนั้นของตระกูลโจวด้วย
เขาเหมือนกำลังรอคนอยู่ แล้วก็เหมือนพอดีปรากฏตัวอยู่ที่นี่เท่านั้น เพราะเมื่อมองเห็นคุณหนูจวินมองข้ามมา จูจั้นก็เคลื่อนสายตาออกทันที
ตอนที่เขาหมุนตัวไล่เด็กหลายคนของตระกูลโจวจะไป คุณหนูจวินก็ยิ้มไล่ตามมา เหมือนดั่งเดิม
“ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องกังวล”
คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
จูจั้นหยุดฝีเท้าหันมา
“เอาคำว่าท่านทิ้งไปซะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“หากกระทั่งความสามารถแค่นี้ยังไม่มี ยังกล้าเข้าวังหลวงปลูกฝี ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตายไปแปดร้อยหนแล้ว ไหนเลยยังต้องให้ผู้อื่นกังวลใจ” จูจั้นเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ท่านพูดถูก” นางเอ่ย สายตามองไปทางเด็กไม่กี่คนของตระกูลโจว
เด็กๆ ของตระกูลโจวก็กำลังลอบมองนาง เห็นนางมองข้ามมาล้วนหลบเลี่ยงสายตาอย่างขัดเขินอยู่บ้าง
“เรื่องของพวกเขาจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
ตอนแรกจูจั้นบอกว่าให้เด็กตระกูลโจวมาทดลองยา สำเร็จก็งดเว้นโทษตายของพวกเขา ตอนนี้คำสั่งปิดล้อมวัดกวงหวายกเลิกแล้ว เป็นเวลาจัดการเรื่องนี้แล้ว
จูจั้นขานรับทีหนึ่ง
“ข้าจะส่งพวกเขาไปแล้ว” เขาเอ่ย
“กลับเจินติ้งหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“เจ้าถามมากมายปานนั้นทำอะไร?” จูจั้นคิ้วกระตุกเอ่ย “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ข้าไม่คิดจะทำอะไร เอาล่ะ ข้ารู้ว่าท่านจะออกจากบ้านแล้ว เดี๋ยวพบกัน” นางยิ้มเอ่ย โบกมือ
จูจั้นมองนางส่ายศีรษะ
“เจ้านี่มันคิดไปเองจริงๆ” เขาเอ่ย หมุนตัวก้าวยาวเดินไป
สำหรับจวินจิ่วหลิงแล้ว ใช่จริงๆ
แต่สำหรับฉู่จิ่วหลิงแล้ว ไม่ใช่
ทุกสิ่งในวันนี้ในมุมมองของจูจั้นล้วนเริ่มมาจากการรักษาโรคให้ไหวอ๋อง และเขารับปากไว้ รักษาไหวอ๋องหาย ปกป้องชีวิตนาง
ไมตรีนี้มีให้กับไหวอ๋อง ให้กับครอบครัวของพวกนาง
คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของจูจั้นไม่เอ่ยวาจาอีก เด็กน้อยที่ก้าวเดินตามจูจั้นไม่กี่คนนั้นพลันหยุด
แรกสุดคนเดียว ต่อมาคนอื่นๆ ก็ล้วนหยุดไปด้วย ต่อมาโจวจิงที่นำอยู่ก็หันกายมา
โจวจิงค้อมกายคำนับคุณหนูจวิน เด็กคนอื่นที่เหลือก็ล้วนค้อมกาย โจวเหมาเหมาที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนก็ถูกวางลง คำนับอย่างเป็นการเป็นงาน
พวกเขาค้อมกายต่ำ คำนับยาวๆ หนหนึ่ง
“นี่ไม่ต้องขอบคุณข้าจริงๆ” คุณหนูจวินส่ายศีรษะเอ่ย “สำหรับข้า ผู้ใดล้วนเหมือนกัน คนที่เลือกพวกเจ้าไม่ใช่ข้า”
พวกโจวจิงยังคงไม่ยืดตัวขึ้น จูจั้นหมุนตัวมามือใหญ่ยื่นมาคว้าพวกเขาไว้
“เรื่องมากอะไรปานนั้น ยังจะเดินทางหรือไม่?” เขาเอ่ย
เด็กๆ ตระกูลโจวถูกเขารวบ ไล่ ประหนึ่งลูกเจี๊ยบเดินจากไปแล้ว
ท่านหมอเฒ่าเฝิงปลอบผู้คนที่รุมล้อมเหล่านั้นแล้วจึงเดินเข้ามา คุณหนูจวินกับเขาขึ้นรถม้าด้วยกัน ออกจากวังท่ามกลางบรรดาผู้คนที่ห้อมล้อม
เจียงโหย่วซู่ยืนอยู่ด้านนอกสำนักแพทย์หลวงอีกครั้ง หลายวันนี้เขาล้วนยืนอยู่ที่นี่ เขายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่รอใครอยู่ แต่คาดหวังว่าจะไม่มีวันมองเห็นสองคนนั้นอีก
คนที่เข้าไปในวังหลวงสองคนนั้น ดีที่สุดไม่ต้องออกมาอีกแล้ว หรือไม่ถูกพวกขันทีแบกออกมา หรือถูกพวกองครักษ์เสื้อแพรหิ้วออกมา
ขอให้พวกเขาพลาดระหว่างปลูกฝีให้บรรดาองค์ชายองค์หญิง
ในใจเจียงโหย่วซู่คาดหวังอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ เขาไม่ใช่ไม่เคยลองเข้าวังไปดู แต่เพราะการปลูกฝีสำคัญยิ่งยวด ไทเฮาเคร่งเครียดมาก สองวันนี้ไม่ยอมให้ผู้ใดก็ตามเข้าวัง
ผู้ใดก็ตาม
เขาเจียงโหย่วซู่ หมอที่ดีที่สุดในใต้หล้าวันนี้ เจ้าสำนักของสำนักแพทย์หลวง หมอที่ฮ่องเต้ไทเฮาเชื่อใจที่สุด ผู้คนล้วนอยากขอร้องให้เขารักษาโรค
ถึงกับมีวันหนึ่งที่ถูกปฏิบัติเป็นผู้ใดก็ตาม
ไม่ ในอดีตก็เคยมีครั้งหนึ่ง จางชิงซานผู้นั้นมาถึงเมืองหลวง ได้ฮ่องเต้ยกย่องเป็นแขกคนสำคัญ เขาก็ถูกผลักไปด้านข้างเช่นเดียวกับหมอคนอื่น
ที่โชคดีก็คือจางชิงซานคนนี้เป็นแค่คนคุยโวใหญ่โตคนหนึ่ง รักษาโรคขององค์รัชทายาทไม่หายหนีไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเงียบงันไร้ร่องรอย
คนเหล่านี้สร้างเรื่องครึกโครมประหนึ่งดอกไม้ไฟดึงดูดให้ชาวบ้านกรีดร้องไล่ตาม แต่ก็ครึกโครมอยู่เพียงประเดี๋ยวเดียวนั้นก็สลายหายไปดั่งหมอกควัน กลายเป็นเถ้าธุลีกองหนึ่ง
มีเพียงเขา ยังยืนอยู่ตรงนี้ และจะยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไป
เจียงโหย่วซู่พรูลมหายใจยาวๆ เอาความหงุดหงิดในอกออกมา แต่ยังไม่ทันพรูหมด เสียงกีบเท้าม้าเอะอะก็ดังมาจากบนถนน
รถม้าคันนั้นปรากฏขึ้นอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่รถม้าคันเดียว ยังเพิ่มรถคันหนึ่งที่กองของพระราชทานคลุมผ้าต่วนสีเหลืองสดไว้เต็มคันหนึ่งอีกด้วย
ส่วนด้านหลังพวกเขายังมีคนผู้อาภรณ์หรูหรางดงามท่าทางน่าเกรงขามหยิ่งยโสกลุ่มหนึ่งตามมาอีก
พวกเขาคนเหล่านี้ก่อนหน้านี้ย่อมไม่เคยเดินตามหลังผู้อื่น เวลานี้นาทีนี้อยู่ด้านหลังรถม้าเชื่องช้าสองคันนั้นกลับไม่มีรำคาญสักนิด ตรงกันข้ามท่าทางมีความสุข
สวรรค์ช่างไม่มีตาจริงๆ
ความโกรธที่เหลืออยู่ของเจียงโหย่วซู่จุกอยู่ในลำคอ หมุนตัวสะบัดแขนเสื้อเข้าไปแล้ว
ขุนนางผู้น้อยที่หลบอยู่ด้านข้างตอนนี้ถึงเดินออกมาอย่างระมัดระวัง ยื่นศีรษะมองดูรถม้าที่เล่นไปไกลแล้วบนถนน หันกลับมามองดูประตูใหญ่ของสำนักแพทย์หลวงอีกครั้ง
ประตูใหญ่ที่เคยถูกองครักษ์เสื้อแพรทุบเสีย เวลานี้ย่อมซ่อมเสร็จดีแล้ว
มองผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้านในสำนัก เป็นกลางวันแท้ๆ แต่กลับแลดูเงียบสงัดยิ่ง
“ต่อไปคาดว่าคงยิ่งเงียบแล้ว” เขาเอ่ยกับตนเอง
……………………………………….
บทที่ 44 วิชานี้ก็สอนแก่ใต้หล้าได้
โดย
Ink Stone_Romance
แต่วัดกวงหวาด้านนี้ยิ่งไม่ได้สงบ
ฮ่องเต้ให้บรรดาองค์ชายองค์หญิงปลูกฝี ประกาศว่าการปลูกฝีได้ผลอย่างสิ้นเชิงแล้ว คนเมืองหลวงไม่แบ่งแยกสูงศักดิ์ต่ำศักดิ์ล้วนแห่แหนมา และผู้คนสถานที่อื่นที่ได้ยินข่าวก็เร่งเดินทางมาเช่นกัน
ไม่เหมือนชาวบ้านผู้ดีชนบทจากหยางเฉิงกับหรู่หนานที่มาตอนแรกแบบนั้น แต่เป็นขุนนางของทางการ
ยังไม่ต้องพูดถึงการปลูกฝีเกี่ยวพันกับชีวิตประชาชน ฮ่องเต้ยอมรับการปลูกฝี พวกเขาบรรดาขุนนางเหล่านี้ยังไม่ทำตามทันทีก็ขัดพระบัญชาเกินไปแล้ว
ความต้องการของชาวบ้าน พระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ยิงนกทีเดียวได้นกสองตัวยังไม่รีบมาทำ ถ้าอย่างนั้นคนผู้นี้ก็ไม่ต้องเป็นขุนนางแล้ว กลับบ้านไปปลูกมันเทศเถอะ
“พวกเรามาเป็นพวกแรกสุด ต้องไปที่นั่นของพวกเราก่อน”
“เรื่องแบบนี้ยังแบ่งไกลใกล้รึ? ควรแบ่งหนักเบาเร่งด่วนไม่เร่งด่วนสิ พวกเราซู่โจวประชากรเด็กมากที่สุด”
ด้านในวัดกวงหวาเสียงโวยวายไม่หยุดสักวัน วัดที่เดิมเงียบสงบประหนึ่งตลาดเอะอะ ไล่เรียงยกตัวอย่าง เทียบไกลใกล้ บรรดาขุนนางโต้เถียงไม่เลิกรา
“คุณหนูจวิน อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง อย่างไรท่านก็ต้องกลับไปดูที่บ้านบ้างนะขอรับ”
ยังมีบางคนยกภูมิลำเนาลากเข้าความรักครอบครัวแล้ว
หน้าไม่อาย
นี่ทำให้บรรดาขุนนางคนอื่นในใจชิงชังเอ่ยด่า
แต่ขุนนางที่พูดคำนี้ออกมาไม่ได้กระหยิ่มยิ้มย่องนานนัก ด้านข้างมีขุนนางอ้วนฉุคนหนึ่งกระแอมเบาๆ ขึ้น
“ใช่แล้ว คุณหนูจวิน ศาลบรรพชนตระกูลจวินบูรณะซ่อมแซมใหม่แล้ว ทุกคนรอคอยให้ท่านกลับไปจุดธูปอยู่” เขาเอ่ยเชื่องช้า เวลาเดียวกันก็เหล่สายตามองขุนนางด้านข้างทีหนึ่ง
แข่งความรักครอบครัว คุณหนูจวินแซ่จวิน แซ่ฟางต้องไปข้างหลังสักหน่อย
ในโถงเสียงทะเลาะดังขึ้นอีกครั้ง
คุณหนูจวินที่ยกพู่กันเขียนอักษรอยู่หยุดมือ ยกศีรษะกดหน้าผาก ท่านหมอเฒ่าเฝิงตบโต๊ะทันที
“ทุกคนไม่ต้องทะเลาะกัน” เขาเอ่ย “เรื่องนี้พวกเราย่อมวางแผนไว้แล้ว ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ปลูกฝีทั่วใต้หล้า ล้วนผลัดกันทั่วถึง”
คำพูดเช่นนี้สำหรับพวกขุนนางแล้วคุ้นเคยเกินไปแล้วจริงๆ
ล้วนผลัดกันทั่วถึง? หลังหนึ่งเดือนผลัดถึง หลังหนึ่งปีผลัดถึง ใครยินดีรอคอยถึงสุดท้ายเล่า
เสียงเอะอะในโถงพระพุทธรูปยังคงไม่หยุด
“พวกเราจะเรียกรวมตัวหมอมากกว่าเดิมทันที ให้คนมากกว่าเดิมเรียนการปลูกฝีให้เป็น หลังจากนั้นรับรองว่าทุกที่ล้วนส่งหมอคนหนึ่งไปปลูกฝี สอนหมอในท้องที่ของพวกเจ้า” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย
วิธีนี้ก็ไม่เลว
แต่จะรับประกันได้อย่างไรว่าหมอที่เรียกมาใหม่เหล่านั้นจะพึ่งได้อย่างพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงเช่นนี้?
ในโถงพระพุทธรูปเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เอะอะต่อ
“ย่อมพึ่งได้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยไม่ลังเลสักนิด “ขอเพียงคุณหนูจวินบอกว่าหมอผู้หนึ่งทำได้ ถ้าอย่างนั้นเขาย่อมต้องทำได้”
ด้านในโถงพระพุทธรูปเงียบลง สายตาทั้งหมดมองไปทางคุณหนูจวิน
ตั้งแต่ต้นจนจบคุณหนูจวินผู้นี้ล้วนเงียบสงบ แทบจะถูกคนเมินไป
แต่แน่นอนไม่มีใครเมินนาง บรรดาท่านหมอปลูกฝีได้สำคัญยิ่ง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือหน่อฝี
หน่อฝีนี้เป็นมือของนางวิจัยสร้างออกมา
วิชาการปลูกฝีท่านหมอเหล่านี้ล้วนทำเป็น แต่หน่อฝีไม่ใช่ว่าใครก็จะผลิตได้
นางบอกว่าท่านหมอทำได้ก็คือทำได้ คำพูดนี้พวกเขาไม่รู้สึกว่ามีปัญหา
วันนี้เรื่องของโรงหมอจิ่วหลิง ขุนนางทั้งหมดล้วนสอบถามมาชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
คุณหนูจวินผู้นี้มีกฎเครื่องหมายการค้าอยู่ข้อหนึ่ง กฎนี้กับท่านหมอคนอื่นเป็นเช่นนี้ กับบรรดาหมอหลวงของสำนักแพทย์หลวงก็เป็นเช่นนี้ นอกจากนี้ยังพูดจริงทำจริง
กฎนี้คือข้าบอกว่าเจ้าทำได้เจ้าย่อมทำได้ เจ้าทำไม่ได้ข้าทำได้
ข่าววัดกวงหวาต้องการหาหมอร่ำเรียนวิชาการปลูกฝีสั่นสะเทือนเมืองหลวงอีกครั้ง
ใต้หล้ากว้างใหญ่ เด็กน้อยมากมายนับไม่หมดไม่สิ้น วันนี้หมอที่ปลูกฝีเป็นมีไม่กี่คนเท่านี้ คิดดูก็รู้ว่าวิชานี้ขาดแคลนเพียงใด แม้ปลูกฝีครั้งหนึ่งเพียงแค่เงินไม่กี่ร้อยอีแปะ แต่สิ่งที่บรรดาท่านหมอได้รับย่อมไม่ใช่เพียงเท่านี้
ความเคารพ ความนับถือ ความชื่นชม ถูกครอบครัวที่ได้ปลูกฝีกำชับเด็กๆ ให้จดจำชื่อท่านหมอคนนี้ไว้ นี่เป็นวิธีที่ชาวบ้านทั้งหลายแสดงความรู้สึกของตนเอง ส่วนเหล่าผู้สูงศักดิ์แสดงความรู้สึกของตนเองยิ่งพรั่งพร้อมกว่าอยู่บ้าง
ฮ่องเต้ไทเฮาฮองเฮารวมถึงบรรดาชายาสนมพระราชทานเงินทองเกียรติยศแก่ท่านหมอเฒ่าเฝิง ส่วนสิ่งที่บรรดาองค์ชายองค์หญิงประทานแก่ท่านหมอทั้งหลายที่ปลูกฝีให้ก็เหนือกว่าของขวัญขอบคุณไม่กี่ร้อยอีแปะไปไกลโพ้น
แม้ท่านหมอเหล่านี้ยุ่งไม่มีใครได้กลับบ้านมาตลอด แต่ครอบครัวของพวกเขาของขวัญนานาชนิดกองพะเนินเต็ม
แน่นอน ความหมายของเรื่องนี้ไม่อาจใช้เงินมาวัดค่าได้
“วิชาเช่นนี้คุณหนูจวินจะสอนให้แก่หมอมากกว่านี้จริงหรือ?”
“สอนพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงปกติยิ่ง อย่างไรพวกเขาก็ติดตามคุณหนูจวินไม่สนอันตรายมารักษาฝีดาษ”
ตอนที่บรรดาชาวบ้านถกเถียงกันอย่างสงสัย ท่านหมอทั้งเมืองก็ไม่ลังเลสักนิดวิ่งตรงมายังวัดกวงหวาแล้ว
วิชา? คุณหนูจวินสั่งสอนวิชาให้ผู้อื่นนับเป็นเรื่องประหลาดอันใดหรือ? คุณหนูจวินก็ทำเช่นนี้มาตลอดไม่ใช่รึ? นี่เป็นเรื่องปกติยิ่ง ต่อให้วิชานี้เป็นการปลูกฝีก็เถอะ
คุณหนูจวินพูดไว้ตั้งนานแล้ว หนึ่งแพทย์รักษาหนึ่งคน ร้อยแพทย์ช่วยหมื่นประชา
…
“เรื่องเช่นนี้ควรให้พวกเราสำนักแพทย์หลวงทำ”
“เรื่องปลูกฝีเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง ทางการแต่ละที่ออกหน้า นั่นย่อมควรเป็นพวกเรารับช่วงต่อ เช่นนี้ถึงยิ่งปลอดภัย”
มองดูเหล่าหมอหลวงที่โกรธแค้นคับอกเหล่านี้ตรงหน้า ขุนนางราชวิทยาลัยฮั่นหลินในห้องทำงานสีหน้านิ่งสงบ
สำนักแพทย์หลวงเป็นส่วนหนึ่งของราชวิทยาลัยฮั่นหลิน นี่เป็นครั้งที่สามของพวกเขาแล้ว
“แต่พวกชาวบ้านยอมรับเพียงโรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ย ชี้เชือกสีแดงไม่กี่เส้นบนโต๊ะ
นี่ไม่ใช่เชือกแดงธรรมดา เชือกแดงเช่นนี้เส้นเดียวแบ่งเป็นสอง เด็กที่ปลูกฝีจะได้รับด้านหนึ่ง ข้างบนประทับตราของโรงหมอจิ่วหลิง รวมถึงตราของท่านหมอที่รับผิดชอบปลูกฝีไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเหลือเก็บไว้ในมือโรงหมอจิ่วหลิงบันทึกชื่อภูมิลำเนาของเด็กที่ปลูกฝี
ละเอียดปานนี้ก็เพราะการปลูกฝีเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง ต้องรอบคอบระมัดระวังให้มาก
ต่อให้ไม่มีสัญลักษณ์เชือกแดงเส้นนี้ นอกจากโรงหมอจิ่วหลิง นอกจากหมอที่บรรดาชาวบ้านจำชื่อได้ขึ้นใจไม่กี่คนนั้นที่วัดกวงหวา คนอื่นอย่าได้คิดปลูกฝีให้ใคร
แน่นอน อนาคตย่อมมีหมอมากกว่าเดิม แต่หมอเหล่านี้อยากได้รับการยอมรับจากบรรดาชาวบ้าน ย่อมต้องถือใบรับรองที่โรงหมอจิ่วหลิงให้
ขุนนางมองบรรดาหมอหลวงเหล่านี้
หมอหลวงทั้งหลายย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน เดิมอยากอาศัยจังหวะที่ชาวบ้านยังไม่ทันยอมรับการปลูกฝีสำนักแพทย์หลวงเข้าไปอยู่ในวัดกวงหวา แต่ก็สายไปก้าวหนึ่ง
แค่สายไปก้าวเดียวนั่น
ในเมื่อแย่งซึ่งหน้าไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามกฎก็ได้
ขอเพียงราชสำนักเอ่ยปาก ยังไม่มีวิธีอีกหรือ?
“แน่นอนก็ไม่ใช่ไม่มีวิธี” ขุนนางมองพวกเขา สีหน้านิ่งสงบเอ่ย “ให้ชาวบ้านทั้งหลายยอมรับสำนักแพทย์หลวง”
บรรดาท่านหมอที่นั่นดวงตาเป็นประกาย
“นั่นก็คือให้คุณหนูจวินเป็นเจ้าสำนักของสำนักแพทย์หลวง”ขุนนางเอ่ย
บ้าอะไร!
บรรดาหมอหลวงสีหน้าเขียวคล้ำทันที
ให้คุณหนูจวินมาเป็นเจ้าสำนัก นั่นที่แท้เป็นสำนักแพทย์หลวงแย่งโรงหมอจิ่วหลิง หรือโรงหมอจิ่วหลิงยึดครองสำนักแพทย์หลวงเล่า?
“ข้าคิดว่าด้วยชื่อเสียงวันนี้ของคุณหนูจวิน แม้ฐานะที่เป็นสตรีจะผิดแปลกไปบ้าง แต่ฮ่องเต้บางทีอาจพระราชทานอนุญาตนางเป็นพิเศษสักหน” ขุนนางเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค
ให้ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นหมอหลวงเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ แต่ปลูกฝีป้องกันคนเป็นฝีดาษก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกัน ดังนั้นบนโลกนี้มีเรื่องประหลาดมากมายก็ไม่ใช่ไม่อาจเกิดขึ้นได้
บรรดาหมอหลวงหน้าเขียวคล้ำพาท่าทางอับอายโกรธเกรี้ยวจากไปแล้ว
มองดูคนเหล่านี้จากไป ขุนนางของราชวิททยาลัยฮั่นหลินผู้สีหน้านิ่งสงบก็เบะปาก มองเชือกแดงที่มีตราโรงหมอจิ่วหลิงบนโต๊ะเผยรอยยิ้ม เก็บเชือกแดงอย่างระมัดระวังอยู่บ้างขึ้นมา
ล้อเล่นอะไรกัน ลูกน้อยสามคนหลายชายหนึ่งคนหลายชายฝั่งภรรยาสองคนของเขายังเพิ่งต่อแถวได้ลำดับมา คุณหนูจวินส่งท่านหมอเฒ่าเฝิงมาปลูกฝีให้เองเป็นพิเศษ
ให้เจ้าพวกนี้ของสำนักแพทย์หลวงที่กระทั่งวัดกวงหวาเพิ่งไปเพียงครั้งเดียว ฝีดาษก็ไม่เคยรักษาสักครั้งรับผิดชอบสั่งการการปลูกฝี?
ได้สิ รอลูกๆ หลานๆ ของเขาอย่างน้อยสามรุ่นปลอดภัยไร้อันตรายค่อยว่ากันแล้วกัน
……………………………………….
บทที่ 45 เดือนสามวสันต์อันน่ายินดีมาเยือน
โดย
Ink Stone_Romance
หลังฝนฤดูใบไม้ผลิติดต่อกันสองห่า นอกเมืองหลวงยามค่ำคืนก็กลายเป็นกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิเข้มข้น ด้านในวัดกวงหวาดอกชาภูเขาบานสะพรั่ง
บรรดาหมอที่ร่ำเรียนวิชาการปลูกฝีกลุ่มแรกผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น แขวนเครื่องหมายการปลูกฝีของโรงหมอจิ่วหลิงไว้หน้าโรงหมอ รับปลูกฝีให้ชาวบ้านที่มาได้ นอกจากวิชาการปลูกฝี ประสบการณ์การรักษาผู้ป่วยฝีดาษที่วัดกวงหวาก็สั่งสอนให้พวกเขาในเวลาเดียวกันด้วย
เพราะมีการปลูกฝีเด็กๆ คนอื่นจึงไม่ต้องหลบเลี่ยงฝีดาษดั่งสัตว์ป่าผจญน้ำหลากแล้ว ดังนั้นผู้ป่วยฝีดาษหลังจากนี้จึงรับการรักษาที่โรงหมอได้โดยตรง
ภิกษุทั้งหลายในวัดกวงหวาที่ถูกไล่ออกไปในที่สุดก็กลับมาแล้ว เวลาห่างไปหนึ่งเดือนครึ่งควันธูปเสียงระฆังรวมถึงเสียงสวดคัมภีร์ก็ปรากฏขึ้นในวัดใหม่อีกครั้ง
หลิ่วเอ๋อร์ถือร่มคันหนึ่งอยู่ เด็กสาวที่เดินลงบันไดใต้ร่มฉับพลันหยุดฝีเท้าหันกลับไปมอง
“บรรดาภิกษุของวัดกวงหวากำลังสวดคัมภีร์ทำพิธีให้กับเหล่าผู้ป่วยที่ตายไป” ท่านหมอเฒ่าเฝิงที่ตามมาข้างหลังเอ่ย
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยังบริจาคเงินน้ำมันตะเกียงด้วย” เฉินชีเอ่ยเสริม
เพราะเหตุนี้ในวัดจึงตั้งป้ายไว้แผ่นหนึ่ง เจ้าอาวาสของวัดกวงหวาเขียนเรื่องราวของผู้ป่วยฝีดาษด้วยตนเอง ชื่อของคุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ล้วนอยู่บนนั้นด้วย
คุณหนูจวินยิ้ม รั้งสายตากลับเดินลงบันไดต่อไป
ทหารขององครักษ์เสื้อแพรด้านนอกวัดถอนกำลังไปนานแล้ว ที่นี่เงียบสงบอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน
แต่เมื่อถึงประตูเมืองยังคงคึกคักยิ่งนัก ฝนตกก็มีรถม้าไม่น้อยเข้าออก นอกจากนี้รถมากมายล้วนมีตราของทางการ
“นี่คือบรรดาท่านหมอที่ออกจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเมืองต่างๆ วันนี้เดินทางไปพอสมควรแล้ว” ท่านหมอเฒ่าเฝิงบอก
แม้สถานที่มากมายล้วนอยากให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงไป แต่เนื่องด้วยความสำคัญของการปลูกฝี ราชวิทยาลัยฮั่นหลินจึงเสนอฮ่องเต้ให้ก่อตั้งกรมฝีขึ้นมาโดยเฉพาะแห่งหนึ่ง รับผิดชอบจัดการกิจการการปลูกฝีในที่ต่างๆ ฮ่องเต้เห็นด้วยแล้ว นอกจากนี้อนุมัติให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงดูแลเรื่องนี้
ท่านหมอเฒ่าเฝิงได้รับฐานะเป็นขุนนางแพทย์ แม้เป็นเพียงตำแหน่งขุนนางต่ำต้อยอันหนึ่ง แต่ก็เป็นขุนนาง
สำหรับเขาที่เตรียมตัวให้ลูกๆ หลานๆ เป็นหมอจัดกระดูกแล้วเป็นเรื่องที่ฝันก็ยังคิดไม่ถึง
“ที่จริงขุนนางแพทย์นี่ควรเป็นคุณหนูจวินท่านมาเป็น” แม้ผ่านไปหลายวันแล้ว ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ยังคงยากปิดบังความตื่นเต้น ท่าทางละอายนิดหน่อยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“ขุนนางนี่ท่านทำได้ ไม่ต้องให้ข้าทำ” นางยังคงเอ่ยประโยคนั้น
ท่านหมอเฒ่าเฝิงรู้นิสัยของนาง ก็ไม่เอ่ยคำพูดเกรงอกเกรงใจอีก อีกอย่างขุนนางนี่ใครมาทำก็ไม่สำคัญ เรื่องนี้เป็นใครทำมา บรรดาชาวบ้านกระจ่างใจยิ่งนัก
“คุณหนูจวินกลับมาแล้ว!”
ไม่รู้คนไหนเห็นเข้าก่อนตะโกนเอ่ย ประตูเมืองที่เดิมทีเบียดเสียดฉับพลันแหวกทางออก คนทั้งหมดล้วนมองนางทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี
เหมือนเช่นตอนเป็นหมอเร่เดินผ่านเมืองครั้งนั้น แน่นอนเป็นหมอเร่ที่หลังมีชื่อแล้ว ไม่ใช่หมอเร่ตอนแรกสุดที่ถูกมองเป็นพวกขอทานนักต้มตุ๋น
คิดถึงเรื่องตอกแรก คุณหนูจวินก็เผยรอยยิ้มซุกซนอย่างแม่นางน้อยอันหายากมานิดหน่อย
“ลำบากคุณหนูจวินแล้ว”
“ขอบคุณคุณหนูจวินมาก”
ตามทางผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยคำพูดเหมือนกันลอยเข้าหูไม่ขาด ทางก็หลีกให้เอง ให้รถม้าของนางแล่นผ่าน จนกระทั่งเดินมาถึงด้านหน้าถนนเส้นหนึ่ง ถนนก็ถูกขวางไว้ แม้ฝนตกพรำๆ แต่ถนนเส้นนี้กลับคนเดินเบียดเสียด ร่มกระดาษชนกัน เสียงด่าเสียงหัวเราะเสียงตะโกนไม่ขาด ประหนึ่งกำลังเกิดสงครามวุ่นวายครั้งหนึ่งอยู่
“นี่เกิดอะไรขึ้น?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย เสียงไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะคนเหล่านี้ถึงกับไม่สังเกตคุณหนูจวิน
ท่านหมอเฒ่าเฝิงตะลึงครู่หนึ่ง
“วันนี้คือวันที่สิบแปดเดือนสาม” เขาตบศีรษะท่าทางเข้าใจ “เป็นวันประกาศผลของกั๋วจื่อเจี้ยน”
คุณหนูจวินสีหน้าเข้าใจขึ้นมาบ้าง มองไปด้านหน้าจากใต้ร่ม
“ในภูเขาไม่รู้วันคืนจริงๆ ที่แท้การสอบของกรมพิธีการก็จบแล้ว” นางเอ่ย มองฝูงชนที่เดินเบียดเสียดรวมถึงเสียงร้องยินดีเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ จินตนาการได้ว่าด้านหน้ากระดานประกาศมีอารมณ์ของคนเท่าไรปั่นป่วน
นางพลันคิดถึงชายหนุ่มคนนั้น คนหนุ่มที่แสดงความรักต่อแม่นางคนหนึ่งก็ยังตรงไปตรงมาได้
“ไม่รู้คุณชายหนิงสอบเป็นอย่างไร?” นางเอ่ย
โรงหมอจิ่วหลิงท่ามกลางฝนวสันตฤดูไม่ขาดสายยิ่งแลดูเงียบสงบ
“คุณหนูกลับมาแล้ว!”
เสียงตะโกนของหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นหน้าประตู
ฟางจิ่นซิ่วที่ยืนอยู่ด้านในโถงตื่นเต้นยินดีนิดหน่อยลุกขึ้นยืน มองเด็กสาวที่เดินเข้ามา
“ทำไมไม่บอกสักคำเล่า” นางหลุดปากเอ่ย แล้วมองไปด้านนอก มีเพียงพวกนางนายบ่าวสองคน กระทั่งเฉินชีก็ไม่ได้ตามมา
“เฉินหลินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงไปราชวิทยาลัยฮั่นหลินแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “การเผยแพร่การปลูกฝีต้องจัดการสิ่งต่างๆ มากมาย เขาไปช่วยท่านหมอเฒ่าเฝิง”
ฟางจิ่นซิ่วพยักหน้า
“เรื่องปลูกฝีทั้งยากแล้วก็ง่าย ต้องป้องกันไม่ให้คนชั่วใช้ประโยชน์จากใจรีบร้อนของชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลกับประสิทธิภาพของการปลูกฝี ไม่อาจไม่ระวัง” นางเอ่ย
ตั้งแต่แรกสุดที่มีคนรับซื้อลำดับ จนถึงตอนนี้เล่าลือกันอยู่เลือนรางว่ามีคนวิจัยทำหน่อฝีเองด้วย
แม้ที่มาของหน่อฝีคุณหนูจวินบอกเพียงท่านหมอเฒ่าเฝิงสิบกว่าคน นอกจากนี้สิบกว่าคนนี้ก็สาบานไม่เผยแพร่ไปภายนอกเด็ดขาด แต่หลักการปลูกฝีใช้พิษต้านพิษกลับมีคนมากมายเคยพูดมาก่อน
หลักการนี้ง่ายนักทำให้คนรู้ว่าควรทำอย่างไร กลัวก็แต่จะนำผลลัพธ์โหดร้ายยิ่งนักตามมาภายหลัง
“เรื่องนี้ข้าบอกกับพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงแล้ว พวกเขาจะจัดการเหล่าขุนนางให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวด” คุณหนูจวินเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วรู้ เรื่องเหล่านี้นางต้องมีแผนรับมือแน่ เอ่ยประโยคหนึ่งก็ไม่พูดถึงอีก แม้วางใจนานแล้ว แต่เห็นคุณหนูจวินยืนอยู่ตรงหน้าก็ยังคงโล่งอก ทั้งยังรู้สึกปลงอย่างประหลาดด้วย
คุณหนูจวินมองนาง ยิ้มแล้ว
“เหนื่อยเกินใช่หรือไม่?” นางเอ่ยถาม
กังวล ผวา หวาดกลัว ระลอกหนึ่งยังไม่ทันสงบระลอกใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีก
ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาให้นาง
“เจ้ารู้ก็ดี” นางเอ่ย
กำลังคุยเล่นกันอยู่ก็มีคนวิ่งเข้ามาจากนอกประตู
“คุณหนูจวิน ติดแล้ว” เขาตะโกนบอก
ฟางจิ่นซิ่วถูกเสียงตะโกนเรียกให้คิ้วกระตุก จำพนักงานคนนี้ได้ เป็นคนที่ติดตามเฉินชี
ทายปริศนาอะไร? อะไรติด? แล้วยังไง? นี่เพิ่งกลับมา…
“ที่เท่าไร?” คุณหนูจวินกลับเห็นชัดว่าเข้าใจความหมายของปริศนานี้ อมยิ้มมองคนติดตามผู้นี้
…
จวนของหนิงเหยียนแม้กว้างขวางเทียบกับคฤหาสน์เก่าที่หยางเฉิงไม่ได้ แต่งดงามประณีต เวลานี้ท่ามกลางสายฝนวสันตฤดูไม่ขาดสายเรือนด้านหลังสะพานน้อยสายน้ำยิ่งทำให้คนเจริญตาเจริญใจ
แต่เวลานี้หนิงอวิ๋นเจาที่นั่งอยู่ในศาลารับลมกับหนิงเหยียนกลับไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ชื่นชมทิวทัศน์
สองคนนั่งประจันหน้า ด้านหน้าวางพู่กันกระดาษหมึกแท่นฝนไว้ บนโต๊ะก็วางกระดาษที่เขียนอักษรเต็มสองสามแผ่นไว้ ในมือหนิงเหยียนถืออยู่แผ่นหนึ่งกำลังอ่าน หนิงอวิ๋นเจายังคงตั้งใจเขียนรวดเร็ว
คนหนึ่งอ่านคนหนึ่งเขียน ไม่นานหนิงเหยียนก็อ่านกระดาษสามแผ่นบนโต๊ะจบ หนิงอวิ๋นเจาก็หยุดพู่กัน
หนิงเหยียนไม่รอหมึกแห้งก็หยิบขึ้นมา ตั้งใจอ่านจนจบ
“แม้การสอบของกรมพิธิการเจ้าได้เพียงที่สาม แต่ยังไม่ถึงการสอบหน้าพระที่นั่งทุกสิ่งก็ยังไม่กำหนด” เขาเอ่ย “บทความไม่กี่บทนี้ข้าจะไม่วิจารณ์ก่อน เจ้าลองแก้ดูเอง รอค่ำเอามาพวกเราค่อยคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง”
หนิงอวิ๋นเจาขานรับ ลุกขึ้นส่ง มองหนิงเหยียนไม่ถือร่มจากไปท่ามกลางสายฝนพรำ
เสี่ยวติงที่ยืนอยู่ไกลออกไปยื่นหัวยื่นศีรษะ
หนิงอวิ๋นเจายิ้มกวักมือให้เขา เสี่ยวติงเริงร่าเข้ามาทันที บนหน้ายากปิดบังความตื่นเต้น
เทียบกับคนที่ดูประกาศด้านนอก เมื่อวานหนิงอวิ๋นเจาก็รู้ลำดับแล้ว
ที่สามของการสอบกรมพิธีการเชียวนะ
นี่หมายความว่าการสอบหน้าพระที่นั่งต้องอยู่สิบลำดับแรกแน่
แม้การสอบหน้าพระที่นั่งจะเป็นหลายวันให้หลัง แต่หนิงเหยียนยังคงใช้ม้าเร็วส่งลำดับของการสอบกรมพิธีการมาถึงที่บ้านทันที บนจดหมายย่อมกำชับด้วยประโยคหนึ่งว่าโปรดอย่าเสียกิริยา แม้เขาเดิมทีรอคอยหลังการสอบหน้าพระที่นั่งสิ้นสุดค่อยส่งข่าวท้ายที่สุดกลับไปก็ได้ เช่นนี้ย่อมไม่ต้องกำชับประโยคนี้แล้ว แต่หนทางเบื้องหน้าของลูกหลานตระกูลหนิงเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่อย่างการสืบต่อความรุ่งโรจน์ของครอบครัวตระกูลหนิง ต่อให้เป็นหนิงเหยียนที่คร่ำหวอดในวงขุนนางมาหลายปีก็ไม่อาจทำถึงไม่เสียกิริยาได้
หนิงเหยียนยังทำไม่ได้ เสี่ยวติงข้ารับใช้คนนี้ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำได้แล้ว
“คุณชาย ท่านอยากทานอะไร? ข้าไปข้างนอกซื้อให้ท่าน” เขากดเสียงเบาเอ่ย
เพื่อต้อนรับการสอบหน้าพระที่นั่ง หนิงอวิ๋นเจาหลายวันนี้ไม่ได้ผ่อนคลายกว่าช่วงเวลาหลายวันก่อนหน้า ร่ำเรียนก็ไม่น้อย
“ข้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยจอมตะกละ” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย “ข้าไม่มีอะไรอยากกินหรอก”
เสี่ยวติงร้องอ้อ ถูมือยืนไม่มั่นคงอยู่บ้าง อย่างไรรู้สึกว่าตนเองควรทำอะไรบ้าง หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของคุณชายดังขึ้นอีกครั้ง
“วัดกวงหวาด้านนั้นเป็นอย่างไรแล้ว?”
เสี่ยวติงยืนมั่นคง ร้องอ้อทีหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบทกวีวรรคหนึ่ง ใช้สิ่งใดคลายทุกข์มีเพียงเมรัย
……………………………………….
บทที่ 46 รู้จักกันย่อมคิดถึง
โดย
Ink Stone_Romance
ในฐานะเด็กรับใช้ของคุณชาย เขาย่อมรู้ว่าเมรัยคือเหล้า
เขารู้สึกว่าที่บทกวีบทนี้พูดก็ใช้ตรงนี้ได้ คนอื่นคลายทุกข์ใช้เหล้า สำหรับคุณชายแล้วหญิงงามก็คือเหล้า
“คุณหนูจวินน่าจะกลับโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว ไม่มีใครไปวัดกวงหวาแล้ว” เสี่ยวติงเอ่ย “ตลอดทางที่ข้าเดินมาเห็นโรงหมอหลายแห่งจุดประทัด ท่านหมอของโรงหมอหลายแห่งนี้ล้วนเป็นคนที่ติดตามคุณหนูจวินไปรักษาฝีดาษตั้งแต่แรก ตอนนี้แขวนป้ายหน่อฝีโรงหมอจิ่วหลิง รับปลูกฝีให้คนได้แล้ว”
นับเวลาก็พอประมาณแล้ว หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย พรูลมหายใจ
ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนน่าตระหนกอันตรายไร้หนทาง แต่สตรีผู้นี้กลับเดินออกมาได้เสมอ นอกจากนี้ดูไปแล้วยังง่ายดายทั้งยังสมควรเป็นเช่นนั้นอีกด้วย
ไม่มีเรื่องก็ดี
เขาเงยหน้ามองสีหน้าพิกลของเสี่ยวติง
คนเหล่านี้ไม่มีวันเข้าใจ ต่อให้ไม่อาจสองฝ่ายสมปรารถนา เขาก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นสหาย สหายที่เคยร่วมร่ำสุราถกเรื่องรักแรกพบ
พูดให้ง่ายขึ้นหน่อย พวกเขารู้จักกัน
คิดถึงคนที่รู้จักกันคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติยิ่ง ไม่เกี่ยวกับเพศ ยิ่งไม่เกี่ยวกับปรารถนาแต่ไม่ได้มา
เพียงแค่
หนิงอวิ๋นเจายังคงหยุดชะงักนิดหนึ่ง เคร่งเครียดอยู่เล็กน้อย
ไม่รู้ว่านางรู้ผลคะแนนของการสอบกรมพิธีการหรือไม่
ความคิดนี้ทารุณอยู่บ้างแล้ว
คนในตระกูลของนางไม่มีคนสอบขุนนาง นางก็ยุ่งกับเรื่องของตนเองเรื่องใหญ่เกี่ยวกับความเป็นความตายของปวงประชาในใต้หล้า นางเป็นสตรีตัวน้อยคนหนึ่ง แต่กลับสนใจเรื่องที่เขาบุรุษคนนี้ยังไม่เคยสนใจและไม่เคยประสบมาก่อน
มุมปากหนิงอวิ๋นเจาผุดรอยยิ้มบาง เพิ่งหยิบงานเขียนที่เขียนเสร็จแล้วแผ่นหนึ่งขึ้นมา ก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งก้าวไวๆ เข้ามาจากด้านนอก
“คุณชายสิบ มีของขวัญของท่าน”
วันนี้ประกาศลำดับแล้ว สหายร่วมสำนักมารมากมายได้เห็นล้วนส่งถ้อยคำแสดงความยินดีมา แม้การสอบหน้าพระที่นั่งยังไม่เริ่ม ผลลัพธ์ท้ายที่สุดยังไม่กำหนด แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นจิ้นซื่อคนหนึ่งแล้ว สำหรับคนมากมาย นี่ก็เพียงพอให้เฉลิมฉลองแล้ว
หนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้า ส่งสัญญาณให้เสี่ยวติงรับมา กลับไม่ได้มีเจตนาจะดู รอหลังการสอบหน้าพระที่นั่งสิ้นสุดค่อยส่งของขวัญตอบกลับเถอะ
เสี่ยวติงรับสาส์นแนบของขวัญมากวาดอ่านทีหนึ่งสีหน้าตะลึง ร้องเอ๋
“คุณชาย เป็นของขวัญแสดงความยินดีของคุณหนูจวิน” เขาเอยพลางส่งข้ามมา
หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไปเล็กน้อย มองดูสาส์นในมือเสี่ยวติง ด้านบนตัวอักษรเล็กงดงงามรวมถึงตราประทับของโรงหมอจิ่วหลิง เขายิ้ม
สู้นางไม่ได้ ตนเองสู้นางไม่ได้
เขายังคาดเดาว่านางจะดูลำดับในการสอบกรมพิธีการสักนิดหรือไม่ พวกเขาเป็นสหายเก่าสหายร่วมบ้านเกิด ถามสักนิดแสดงความยินดีสักหน่อยไม่ใช่เรื่องสมควรหรือ?
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยื่นมือไปรับสาส์น ยิ้มให้เสี่ยวติง
“เอาล่ะ เก็บไปก่อนเถอะ” เขาเอ่ย หยิบบทความบนโต๊ะขึ้นมา เพ่งสมาธิอ่าน พลางยกพู่กันแก้ไข
…
“สนเขาสอบทำไม” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย เคาะโต๊ะ “เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“ไม่เกี่ยวกับข้าหรอก” คุณหนูจวินเอ่ย ยิ้มให้ฟางจิ่นซิ่ว “แต่พวกเรารู้จักกัน”
ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียง
“ใยแค่รู้จักกัน ยังเป็นศัตรูด้วย” นางเอ่ย
คุณหนูจวินได้ยินส่ายศีรษะ
“กับเขานับไม่ได้ว่าเป็นศัตรู” นางเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วอยากพูดอะไร มีพนักงานสีหน้าเคร่งเครียดเดินมาจากโถงด้านหน้า
“คุณหนูจวิน หัวหน้ากองพันลู่มา” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองพันลู่รึ
คุณหนูจวินยันมุมโต๊ะยืนขึ้น
ด้านนอกโรงหมอจิ่วหลิงองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้ นี่เป็นกองพลที่มีประจำยามลู่อวิ๋นฉีเดินทาง
คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านในโถง ก้มศีรษะคำนับ
สำหรับคุณหนูจวิน ลู่อวิ๋นฉีไม่นับว่าแปลกหน้าแล้ว
ความขัดแย้งก่อนหน้า การสอดส่องที่วังไหวอ๋อง การคุมเข้มที่วัดกวงหวา แม้ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งน่าพอใจนัก แต่นอกจากความขัดแย้งครั้งแรกสุดแล้ว คิดดูให้ดีๆ สองเรื่องหลังเขาก็ไม่ได้ขัดขวางหรือข้องเกี่ยวอะไรกับการกระทำของตนเอง ตรงกันข้ามการคุมเข้มนี้ก็เป็นสิ่งที่นางต้องการพอดี
แม้นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของลู่อวิ๋นฉีเองก็ตาม
วังไหวอ๋องกับวัดกวงหวาเพราะการมีอยู่ขององครักษ์เสื้อแพรกั้นขวางการสอดส่องของโลกภายนอกไว้ ไม่มีใครได้ข่าวที่ตนเองต้องการไปจากการกีดกัดขององครักษ์เสื้อแพรได้ นอกจากฮ่องเต้
เรื่องเหล่านี้ที่คุณหนูจวินทำแน่นอนย่อมไม่คิดปิดบังฮ่องเต้ ดังนั้นนี่จึงเพียงพอแล้ว
ตอนที่ไม่ขัดแย้ง นางย่อมไม่อาจสร้างความขัดแย้งได้ ยั่วโมโหคนบ้าผู้หนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าใช้หลักปกติคาดเดาไม่ได้ย่อมไม่ใช่ความกล้าหาญ
“ใต้เท้ามีอะไรสั่งเจ้าคะ?” นางหลุบตาเอ่ย
หน้าตาของนางสงบน้ำเสียงอ่อนโยน กิริยาท่าทางยังอ่อนน้อมอยู่บ้าง
แต่สำหรับลู่อวิ่นฉีแล้วยังคงมองเห็นการหลบเลี่ยงเบื้องหลังความอ่อนน้อมชัดเจน
แต่เหล่านี้สำหรับเขาเห็นมาจนชินแล้ว หาได้สำคัญ
ท่าทีที่ผู้อื่นมีต่อเขา เขาจะสนใจได้อย่างไร
ความคิดแล่นผ่าน สีหน้าของเขาก็ชะงักไปนิดหนึ่งอีกครั้ง นอกจากคนผู้นั้น
คนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว
“ไหวอ๋องตรวจซ้ำได้หรือยัง?” เขาเอ่ยถาม
ได้ยินประโยคนี้ คุณหนูจวินที่หลุบตาอยู่ขนตาพลันกระพือไหว
นางรู้ประโยคนี้หมายความว่าอะไร เมื่อการพิสูจน์ปลูกฝีของวัดกวงหวาสำเร็จ จูจั้นก็เคยพูดประเด็นนี้
แต่จูจั้นพูดค่อนข้างตรงไปตรงมา
“ไปปลูกฝีให้ไหวอ๋องก่อน” เขาเอ่ย
เวลานั้นวัดกวงหวายังคงปิดอยู่
“ปิด? ปิดนับเป็นอะไร พุทราน้อยลู่คนเหล่านี้ยังขวางข้าได้? พวกเขาหากขวางข้าได้ ตอนนี้ข้าก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว ข้าเป็นใคร? คนที่ทำข้อแลกเปลี่ยนรับหนึ่งหมื่นตำลึง เจ้าใช้สายตาเช่นนี้มองข้าได้รึ?”
น่าจะเพราะพูดถึงตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง จูจั้นจึงเริ่มพูดมากอย่างหาได้ยากอย่างเช่นตอนอยู่ที่หรู่หนานแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ความหมายของข้าก็คือ ตอนนี้ยังไม่อาจปลูกฝีให้ไหวอ๋องได้” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขัดเขา “พิษฝีอย่างไรก็เป็นพิษ คนที่ร่างกายไม่แข็งแรงอายุน้อยเกินไปล้วนอันตราย ดังนั้นต้องรออีกสักหน่อย”
ไม่ว่าพูดตรงไปตรงมาก็ดี พูดอ้อมค้อมก็ดี ล้วนคือไหวอ๋องก็ต้องการปลูกฝี ความหมายก็คือไหวอ๋องตอนแรกที่เป็นย่อมไม่ใช่ฝีดาษ
นี่คือความจริงที่คนมากมายรู้กระจ่างแก่ใจ แต่กลับเป็นความจริงที่ไม่มีคนกล้ารวมถึงต้องการพูดออกมา
ในใจคุณหนูจวินหัวเราะหยันทีหนึ่ง
แต่ไปวังไหวอ๋อง อย่างไรนางก็ยินดี
“ควรตรวจซ้ำแล้ว” นางเอ่ย “ข้าจะไปดู”
ลู่อวิ๋นฉียิ้มให้นาง แม้ยังคงก้มศีรษะนางจึงไม่ได้เห็น แต่หลิ่วเอ๋อร์มองเห็นแล้ว เบิกตาประหลาดใจอยู่บ้างมองลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวเดินออกไปก่อน
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ คนผู้นี้ยังยิ้มเป็นด้วยเจ้าค่ะ” หลิ่วเอ๋อร์ไปหยิบหีบยา แล้วอดไม่ได้ดึงคุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
เขาย่อมยิ้มเป็น ความจริงแล้วนางยังประหลาดใจนิดๆ ด้วยซ้ำที่เขาไม่ยิ้ม
คุณหนูจวินคิดไป แล้วชะงัดนิดหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์ไม่มีทางพูดคำนี้ขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ดังนั้นเมื่อครู่เขายิ้มให้ตนหรือ?
ก่อนหน้านี้เห็นรอยยิ้มของเขาเบิกบานใจนัก แต่ตอนนี้นางย่อมไม่เบิกบานใจสักนิดแล้ว
คุณหนูจวินคิ้วขมวด
“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์ส่งหีบยาข้ามมาเอ่ย ขัดอาการเหม่อลอยของคุณหนูจวิน
ฟางจิ่นซิ่วก็เปิดม่านเดินออกมาจากโถงด้านหลังด้วย
คุณหนูจวินคลายคิ้ว ยิ้มให้พวกนางรับหีบยาหมุนตัวเดินออกไป
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น