Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 26-32
บทที่ 26 กล้าถามใจหน้าองค์พระพุทธ
โดย
Ink Stone_Romance
ประโยคนี้พวกเขาย่อมยังจำได้
ครั้งแรกที่ได้ยินประโยคนี้ รู้สึกว่าน่าขันทั้งยังน่าโมโห
แต่ต่อมาพวกเขาก็ไม่ถือสาแล้ว ไม่เพียงไม่ถือสา ตรงกันข้ามยังหวังให้นางพูดประโยคนี้ได้อยู่บ้าง
ตัวอย่างเช่นตอนที่ถูกเชิญให้ช่วยเหลือรักษาฝีดาษ ตัวอย่างเช่นตอนที่เผชิญหน้าคำถามของครอบครัวผู้ป่วยที่อาการป่วยไม่ดีขึ้น
ผลสุดท้ายนางกลับไม่พูด
นางอ่อนน้อมมีมารยาทจริงใจ
นี่ทำให้ทุกคนล้วนยอมรับแล้วว่าตอนนั้นประโยคโอหังนั่นของนางเป็นเพียงความเป็นเด็กไม่รู้ความ
ไม่คิดว่าตอนที่ทุกคนกำลังจะลืมเลือนประโยคนี้ นางกลับพูดออกมาอีกครั้ง
บรรดาท่านหมอมองเด็กสาวคนนี้สีหน้ายุ่งยาก รสชาติก็แปลกแปร่ง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงหัวเราะเฝื่อนนิดหนึ่ง
“คุณหนูจวิน ท่านพูดเช่นนี้ นี่เป็นการเถียงกันของเด็กน้อยแล้ว” เขาเอ่ย “ท่านพูดท่านทำได้ เขาพูดว่าทำไม่ได้ พูดไปพูดมา ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“นี่จะเป็นการเถียงได้อย่างไรเล่า?” นางเอ่ย “วิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกเจ้า ข้ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ ไม่ใช่เป็นข้อพิสูจน์แล้วหรือ?”
มาอีกแล้ว..
บรรดาท่านหมอที่นั่นอับจนวาจาอยู่บ้าง
เวลาที่ไม่ได้เชิญพวกเขาให้ช่วย นิสัยโอหังนี่ก็โผล่มาอีกแล้ว
แต่ก่อนหน้านี้เจ้าโอหังก็ช่างเถิด ตอนนี้เวลานี้แล้วเจ้าเอาความมั่นใจที่ไหนมาโอหังเช่นนี้อีกเล่า?
“วิชาแพทย์ของท่านสูงส่ง โรคที่พวกเรารักษาไม่หายท่านรักษาหาย ถ้าอย่างนั้นฝีดาษนี่ทำไมท่านรักษาไม่หาย” ท่านหมอคนหนึ่งโมโหเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด
โบราณว่าผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งศอกข้าเคารพผู้อื่นหนึ่งจ้าง ในสายตาของท่านหมอเหล่านี้ตอนแรกคุณหนูจวินคนนี้แสดงท่าทีไม่เกรงใจก่อน พวกเขาย่อมไม่เกรงใจนางเช่นกัน
ต่อมาเมื่อพวกเขาพบโรคที่ไม่อาจรักษาเข้าจริงๆ คุณหนูจวินไม่ได้เยาะหยันนอกจากนี้ยังชี้แนะวิชา พวกเขาย่อมขอบคุณและเคารพ
ต่อมานางมาเชิญพวกเขาช่วยเหลืออย่างจริงใจนอบน้อม พวกเขาจึงยอมรับอย่างจริงใจ
ตอนนี้นางวางท่าทางโอหังเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง เช่นนี้ท่านหมอเหล่านี้ย่อมทนไม่ได้ไม่เกรงใจบ้างแล้ว
“โรคบางอย่างรักษาได้ โรคบางอย่างรักษาไม่ได้ ข้าพูดว่ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ได้ ที่พูดถึงหมายถึงแค่โรคที่เดิมรักษาได้แต่พวกท่านวิชาไม่แตกฉานจึงรักษาไม่ได้เท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย
รักษาได้รักษาไม่ได้พรวนหนึ่งนี้ฟังแล้วบรรดาท่านหมอมึนงงอยู่บ้าง
แต่มีจุดหนึ่งพวกเขาฟังเข้าใจแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าท่านพูดอย่างไรท่านล้วนมีเหตุผลงั้นสิ” ท่านหมอหลายคนเอ่ยกรุ่นโกรธ
“เพราะข้าพูดมีเหตุผล” คุณหนูจวินเอ่ย
บรรยากาศในอุโบสถเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง ค่ำคืนไม่รู้เวลาใดแล้ว ไฟเทียนในโถงยิ่งแลดูสว่างบาดตาขึ้นทุกที
“คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” เสียงของท่านหมอเฒ่าเฝิงพลันดังขึ้น
ตั้งแต่การตั้งคำถามแรกสุดชักนำให้บรรดาหมอเอ่ยปากวุ่นวายตามหลัง เขากลับไม่ได้เอ่ยวาจาอีก เงียบอยู่จนกระทั่งตอนนี้
ได้ยินเขาเอ่ยปาก หมอคนอื่นล้วนมองไป
“คุณหนูจวิน บางเรื่องท่านอาจไม่รู้” ท่านหมอคนหนึ่งพลันเอ่ยแทรก
“ที่พวกเรามา หนึ่งคือได้รับคำเชิญของท่าน สองยังเพราะท่านหมอเฒ่าเฝิงไปเชิญ”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงรีบร้องเฮ้ยขัด
“ไม่มีสักหน่อย พูดเรื่องนี้ทำไม” เขาเอ่ย
แต่บรรดาท่านหมอคนอื่นพากันเอ่ยปากด้วยแล้ว
“ใช่แล้ว ท่านหมอเฒ่าเฝิงเที่ยงคืนมาถึงบ้านตามหาข้า”
“ท่านหมอเฒ่าเฝิงพูดกับข้าตั้งนาน”
คุณหนูจวินมองพวกเขาในดวงตาความประหลาดใจเบาบางแล่นผ่าน บรรดาท่านหมอเหล่านี้ไม่รู้ ที่นางเชิญพวกเขาดูไปแล้วเป็นการเชิญพวกเขามาช่วยเหลือ ที่จริงนอกจากช่วยเหลือที่สำคัญยิ่งกว่าคือให้โอกาสใหญ่หลวงครั้งหนึ่งกับพวกเขา
ดังนั้นความเชื่อถือฮึกเหิมสละตนของทุกคน นางขอบคุณนักและย่อมต้องตอบแทนกลับคืน แต่ไม่ได้ไปถามพวกเขาว่าทำไมตัดสินใจ
ที่แท้ก็ยังมีเหตุผลนี้
คุณหนูจวินมองท่านหมอเฒ่าเฝิงย่อเขาต่ำคำนับ
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ท่านหมอเฒ่าเฝิงโบกมือ “ข้า นี่เป็นการตัดสินใจของตัวข้าเอง ไม่ใช่เพื่อท่าน เป็นตัวข้าตาแก่เกิดฮึกเหิมเป็นหนุ่มครั้งหนึ่ง คิดว่าหากรักษาฝีดาษได้ ชีวิตนี้ได้ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ นับว่าคุ้มแล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขาก็หน้าแดงอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ที่จริงในใจพวกเขาก็เพราะเรื่องนี้ ช่วยโลกช่วยเพื่อมนุษย์อะไรล้วนลวงหลอกอยู่บ้าง”
บรรดาท่านหมออดไม่ได้หัวเราะ
“นี่มีอะไรลวงหลอก ข้าก็คิดเช่นนี้”
“ใช่แล้ว ช่วยโลกช่วยชีวิตเป็นหน้าที่ ข้าอยากทิ้งชื่อไว้ก็เป็นปกติของมนุษย์ ไม่ขัดแย้ง”
ทุกคนพากันเอ่ย
บางทีเพราะพูดถึงตอนแรก อารมณ์ของทุกคนจึงอ่อนลงไป จิตใจสงบนิ่งลงไปบ้าง
“คุณหนูจวิน” ท่านหมอที่เอ่ยแทรกคนนั้นเอ่ยปากอีกครั้ง “เจตนาที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ไม่ใช่จะเผยความดีความชอบให้ท่านหอมเฒ่าเฝิง ข้าแค่จะบอกท่านว่า พวกเราทำตามการตัดสินใจของท่านหมอเฒ่าเฝิง”
คำพูดนี้ออกมาปุบ หมอคนอื่นก็ได้สติกลับมา คิดถึงคำพูดที่ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถามหลังเงียบไปพักหนึ่ง
คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องนี้หรือ?
ความหมายนี้บ่งบอกว่าเป็นการเกลี้ยกล่อมครั้งสุดท้ายแล้ว หากกล่อมไม่ไหว เขาก็จะถอยแล้ว
แม้เวลานี้ทอดทิ้งเดินจากไปไร้น้ำใจยิ่ง แต่ยังมีวิธีใดอีกเล่า เด็กสาวคนนี้เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่สุ่มสี่สุ่มห้า พวกเขาผิดหวังแล้วจริงๆ
บรรดาท่านหมอแม้ไม่ได้เอ่ยวาจา แต่ก็ล้วนพยักหน้า แสดงว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้
คุณหนูจวินมองไปทางท่านหมอเฒ่าเฝิง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็มองนาง
“คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องนี้หรือ?” เขาหน้าขรึมเอ่ยถามอีกครั้ง
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“แน่นอน ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำเรื่องนี้” นางเอ่ย
“ท่านเชื่อมั่นเพียงนี้เชียวว่าท่านทำได้?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “ท่านบอกเองว่าท่านไม่เคยพิสูจน์มาก่อน”
คุณหนูจวินมองหลอดทองแดงบนโต๊ะทีหนึ่ง
ใช่แล้ว ไม่เคยพิสูจน์มาก่อน
ทำไมถึงเชื่อมั่นว่าจะทำได้ ปลอดภัยไม่มีเรื่อง?
“ข้าน่ะ ข้าเป็นใครกัน ข้าร้ายกาจปานนี้ พูดอะไรย่อมเป็นอย่างนั้น”
ผู้ชายคนนั้นเลิกคิ้วเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“แน่นอนเชื่อมั่น” นางเอ่ย มองท่านหมอเฒ่าเฝิง
“เพราะอะไร?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถาม
ท่านหมอเฒ่าเฝิงถามประโยคนี้ออกมา บรรดาท่านหมอคนอื่นในใจแทบจะมีคำตอบผุดขึ้นมาโดยแทบไม่ต้องคิด
เพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง เพราะโรงหมอจิ่วหลิงมุ่งรักษาโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย
ความคิดของพวกเขาแล่นผ่านไป หูก็มีเสียงอ่อนโยนใสกังวานของเด็กสาวดังขึ้น
“เพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง เพราะโรงหมอจิ่วหลิงมุ่งรักษาโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย”
ดูสิ รู้อยู่
ในใจบรรดาท่านหมอหัวเราะขมขื่นทำอันใดไม่ได้อยู่บ้าง
แต่มีคนหัวเราะออกมาจริงๆ แล้ว พร้อมกันนั้นเสียงปรบมีอก็ดังขึ้น
“ดี”
ดี?
ดีจริงหรือดีปลอม?
บรรดาท่านหมอตะลึงมองข้ามไป มองเห็นคนที่หัวเราะปรบมือถึงกับเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิง
นี่ประชดรึ?
สีหน้าของท่านหมอเฒ่าเฝิงกวาดความเคร่งขรึมก่อนหน้าไปสิ้น ที่มาแทนที่คือความฮึกเหิม
“คุณหนูจวิน ในที่สุดก็รอจนท่านพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว” เขาเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องพูดประโยคนี้ออกมา ข้ารู้อยู่แล้วเรื่องครั้งนี้ไม่มีทางจบเช่นนี้”
หมายความว่าอะไร?
บรรดาท่านหมอตะลึง คุณหนูจวินกลับเข้าใจความหมายของท่านหมอเฒ่าเฝิง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้าง
“ใช่แล้ว เรื่องครั้งนี้ไม่เพียงยังไม่จบ แต่เพิ่งเริ่มต้น” นางเอ่ย
บรรดาท่านหมอนับว่าฟังเข้าใจแล้ว ไม่มองคุณหนูจวินแล้ว ฟังนางเสียสติทั้งคืนจนชาหนึบแล้ว เพียงแต่ทำไมท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เสียสติตามไปด้วยเล่า?
“ตาเฒ่าเฝิง เรื่องนี้ เจ้าเชื่อหรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ย
“ข้าย่อมเชื่อ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้าตื่นเต้นเอ่ย “ทำไมข้าจะไม่เชื่อ? คำพูดที่คุณหนูจวินพูดครั้งไหนเชื่อไม่ได้?”
บรรดาท่านหมอตะลึงไป มองท่านหมอเฒ่าเฝิง
“นางบอกว่านางวิชาแพทย์สูงส่ง รักษาโรคที่พวกเรารักษาไม่ได้ได้ ไม่ใช่เคยพิสูจน์มาแล้วหรือ? เป็นจริงหรือว่าลวง?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถาม
ครึ่งปีนี้พิสูจน์มาแล้วจริงๆ
แต่..
“แต่เป็นฝีดาษสินะ ก่อนหน้าจะมาคุณหนูจวินก็ไม่ได้บอกว่านางรักษาโรคนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่พิสูจน์แล้วเหมือนกันหรือว่านางไม่ได้พูดโกหกน่ะ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงผายมือเอ่ย
ก็จริงอยู่
บรรดาท่านหมอคนอื่นถูกหยอกเล่นแล้ว
พวกเรายังคิดว่าผู้อื่นถ่อมตัว ตอนนี้ดูท่าผู้อื่นเตรียมถมหลุมทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าพูดอย่างไรนางล้วนมีเหตุผล
“นี่ไม่ได้นะ”
“นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
“นี่ไม่เคยมีมาก่อน…”
ในโถงพระพุทธรูปทยอยถกเถียง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงจะเอ่ยวาจา แต่คุณหนูจวินกดแขนของเขาไว้ ท่านหมอเฒ่าเฝิงหันกลับ มองคุณหนูจวินส่ายศีรษะให้เขา
ข้าเอง…
สีหน้าของนางบอก
ท่านหมอเฒ่าเฝิงยิ้มไม่เอ่ยอีก ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองมือของคุณหนูจวินเคาะโต๊ะอีกครั้ง
“ใช่น่าเหลือเชื่อ ใช่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่นั่นแล้วอย่างไร” คุณหนูจวินเอ่ย “เรื่องใดๆ ล้วนจากไม่มีกลายเป็นมี ไม่ว่าคนแรกที่คิดเอาสารหนูผสมเข้าไปในยาคิดอย่างไรและคนรอบด้านมองเขาอย่างไร”
บรรดาท่านหมอค่อยๆ หยุดถกเถียง
“คุณหนูจวิน ฝีดาษนี่ไม่เหมือนกับสารหนูนะ สารหนูคนป่วยใช้ ฝีดาษนี่ของท่านจะใช้กับตัวคนที่ไม่ป่วยนะ” ท่านหมอคนหนึ่งถอนหายใจ “ท่านทำไมกล้ามั่นใจเช่นนี้ล่ะ?
คุณหนูจวินไล้มุมโต๊ะเดินเชื่องช้าหลายก้าว มายืนตรงหน้าพระพุทธรูป
“เพราะข้าถามใจไม่ละอาย” นางเอ่ย มือยกขึ้นช้าๆ “ทุกสิ่งที่ข้าทำแม้ไม่มีการพิสูจน์ แต่ข้ากล้าสาบานต่อหน้าฟ้าดินเทพยาดาองค์พระพุทธ ข้าจวินจิ่วหลิงเพียงทำดีไม่ถามถึงอนาคต ข้าจวินจิ่วหลิงช่วยคนหรือสังหารคน ต่อให้คนไม่รู้ ย่อมมีฟ้ารู้ดินรู้เทพยาดาพระพุทธองค์รู้”
แสงโคมด้านในโถงพระพุทธรูปสว่างไสว เด็กสาวคนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปพอดี เบื้องหลังพระพุทธองค์ผู้เมตตากรุณาหลุบตาอมยิ้ม ภาพวาดทวยเทพโปรดสัตว์สองข้างสีสันยังคงอยู่ดั่งมีชีวิต
บรรดาท่านหมอมองฉากนี้รู้สึกเพียงชาไปทั้งร่าง
เฉินชีที่ยืนอยู่ด้านนอกเกือบวิญญาณหลุดออกจากร่างเหมือนกัน
มิน่าคุณหนูจวินจะต้องให้หารืออาการป่วยในโถงพระพุทธรูปนี่ ที่แท้ก็เพื่อนาทีนี้นี่เอง
……………………………………….
บทที่ 27 เอ้า ให้เจ้าใช้ตามใจ
โดย
Ink Stone_Romance
ด้านในอุโบสถเงียบไม่มีเสียง มีเพียงน้ำมันโคมส่งเสียงชี่ๆ
สายตาของบรรดาท่านหมอล้วนมองคุณหนูจวิน สีหน้าจากตื่นตะลึงฟื้นสภาพกลับมา สีหน้ากลายเป็นยุ่งเหยิง
ทุกคนเหมือนอยากพูดอะไรสักหน่อย แต่ก็เหมือนกับไม่รู้จะพูดอะไร บ้างก็ไม่รู้ควรหรือไม่ควรเป็นตนเองพูด สายตาของบรรดาท่านหมอเริ่มสบกันเอง
ในที่สุดก็ยังเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยปากก่อน
“เรื่องนี้จะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถามขึ้นมาเด็ดขาดฉับไว
“ก็ปลูกฝีให้คนที่ไม่ได้ป่วย” คุณหนูจวินเอ่ย
นี่ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดแล้ว ท่านหมอคนหนึ่งลังเลนิดหนึ่ง
“ให้ทุกคนหรือ?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง” นางเอ่ย “ที่สำคัญคือเด็ก เด็กถูกฝีดาษเล่นงานง่าย”
“เรื่องนี้พวกเรารู้” ท่านหมออีกคนหนึ่งเอ่ย สีหน้าอับจนปัญญา “แต่ตอนนี้ที่สำคัญคือทำอย่างไร?”
“ใช่แล้ว นี่จะอธิบายกับคนอย่างไรเล่า?”
“หรือจะบอกกับคนว่ามามานี่เป็นพิษฝี เอาไปติดเจ้า หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ต้องกลัวฝีดาษแล้ว?”
“นั่นจะไม่ถูกคนตีออกมารึ”
บรรดาท่านหมอในโถงพระพุทธรูปเริ่มถกเถียงกันอีกครั้ง แต่การถกเถียงครั้งนี้ไม่ใช่การตั้งคำถามว่าเรื่องจริงหรือหลอกอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นถกเถียงว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไร
ราวกับคำถามพวกนั้นการโต้เถียงความโกรธเกรี้ยวก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาก็พูดถกกันว่าจะทำเรื่องนี้อย่างไร ไม่ใช่จะทำหรือไม่ทำ
ท่านหมอเฒ่าเฝิงเผยรอยยิ้ม
“พิษฝีนี่ปลอดภัยแน่นอน” คุณหนูจวินเอ่ย
“คุณหนูจวิน คำพูดนี้ท่านพูดกับพวกเราไม่มีประโยชน์” ท่านหมอคนหนึ่งยิ้มเฝื่อนเอ่ย “วิชาแพทย์ของท่านสูงส่ง พวกเราเชื่อแล้ว แต่งานตอนนี้ไม่ใช่พวกเราเชื่อก็ทำได้ ต้องให้พวกชาวบ้านเชื่อ”
“จะให้พวกชาวบ้านเชื่อก็ง่ายอยู่ ก็คือให้พวกเขาเห็นว่าฝี…วัวนี่ใช้ได้ นั่นก็คือต้องพิสูจน์ว่ามันได้ผล แต่จะพิสูจน์อย่างไรเล่า?” ท่านหมออีกคนหนึ่งเอ่ย
ใช่สิ บรรดาท่านหมอพยักหน้า เพิ่งกำลังจะขานตอบรับกัน ก็ได้ยินเสียงกระแอมทีหนึ่งดังมาจากด้านนอก
“จะพิสูจน์หรือ นั่นง่ายดายยิ่ง”
เสียงนี้น่าขนลุกราวกับฉับพลันทะลวงออกมาจากใต้ดิน ดึกดื่นเที่ยงคืนนี่ทำให้คนฟังแล้วอดไม่ได้ตัวสั่น
ผู้คนมองตามเสียงไปโดยไม่รู้ตัว ความหนาวเย็นพลันบังเกิด
ด้านนอกประตูอุโบสถไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ แต่ละคนคลุมผ้าสีแดงหน้าตาน่ากลัว ดาบปักวสันต์ที่เอวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ยามผ้าคลุมโบกสะบัด
ส่วนเฉินชียืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา ถูกองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งยกแขนพาดไหล่ ร่างกายเหมือนแข็งทื่อไปแล้วนิ่งไม่ขยับ เห็นทุกคนมองมาก็เค้นรอยยิ้มออกมา
เทพแห่งความตายฝูงนี้มาตั้งแต่เมื่อไร?
แน่นอน พวกเขารู้ พร้อมกับที่พวกเขาเข้ามาในวัด องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ก็ดุจเงาตามตัว
แต่หลายวันนี้พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวด้านในวัด ทั้งอุโบสถด้านหน้าฝั่งนี้เป็นสถานที่หารืออาการป่วยเก็บบันทึกการรักษา ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้
เอาเถอะ องครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ใช่คนไม่เกี่ยวข้อง แม้พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวที่วัดตลอดเวลา แต่พวกเขาย่อมไม่มีที่ใดไม่อยู่ และในสายตาองครักษ์เสื้อแพรมีความลับอะไรที่ไหน
บรรดาท่านหมอสบตากัน ดูท่าคำพูดก่อนหน้านี้องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ล้วนรู้แล้ว
“พวกท่านมีธุระอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม มองคนที่เห็นชัดว่าเป็นหัวหน้าซึ่งยืนอยู่ข้างกายเฉินชี
หัวหน้ากองร้อยเจียงหัวเราะ
“พวกเราไม่มีธุระหรอก นี่ไม่ใช่ได้ยินว่าคุณหนูจวินพวกท่านมีธุระจึงมาช่วยเหลือหรือ” เขาเอ่ย
องครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ขยับปุบไม่ทำลายตระกูลก็ถล่มสำนัก เวลาใดเคยช่วยงานผู้อื่น
บรรดาท่านหมอในโถงสีหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีขาว
พวกเขาต้องรู้เรื่องที่พวกเขาพูดก่อนหน้านี้แน่
พิษฝี
ใช้พิษฝีรักษาโรคเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่เชื่อ ไม่แน่ว่าอาจฉวยโอกาสนี้กำจัดพวกเขาด้วย
ทหารล้อมวัดไว้แล้ว อนุญาติให้เข้าเท่านั้นไม่อนุญาตให้ออก เห็นชัดยิ่งว่าคนด้านในวัดกวงหวาแห่งนี้กลายเป็นแกะรอเชือดแล้ว หากสถานการณ์ของโรคด้านในควบคุมไม่อยู่ปุบ พวกเขาก็จะถูกทอดทิ้งไปด้วยกัน
คนที่มารักษาฝีดาษ ไหนเลยจะไม่รู้เหตุการณ์สลดพิษฝีดาษที่หลิ่งหนานครั้งนั้นเล่า ไม่ว่าติดโรคหรือไม่ติดโรค คนที่สัมผัสกับคนที่ติดโรคล้วนถูกสังหารหมู่ทั้งอย่างนั้น
ครั้งนั้นเป็นผู้บัญชาการคนนั้นรับชื่อเสียงเลวร้ายไว้ ชื่อเสียงเลวร้ายครั้งนี้ไม่ต้องให้ทางการราชสำนักแบกรับแล้ว เพราะมีพวกเขาบรรดาท่านหมอที่ขอเสนอตัวเองเหล่านี้
พวกเขาบอกแล้วว่ารักษาได้ แต่ท้ายที่สุดรักษาไม่ได้ นั่นไม่ใช่พวกเขามีความผิดหรือ?
นอกจากนี้ตอนนี้ยังมีพิษฝีนี่อีก
จินตนาการดูสิว่าเมื่อครู่พวกเขารวมตัวพูดถึงเรื่องอะไรกัน
ฝีดาษนี่ไม่อาจรักษา รักษาไม่หาย
นี่เป็นพิษฝี เอามาจากตัววัว
ให้คนที่ไม่ป่วยติดพิษฝี
คำพูดนี้พวกเขาฟังยังใกล้ตกใจตาย หากแพร่ไปถึงหูชาวบ้าน นั่นใยไม่ใช่กลัวจนเสียสติไปแล้ว
ไม่ต้องรอจนตัดสินโทษพวกเขาที่รักษาโรคไม่สำเร็จ สิ่งนี้ก็เพียงพอให้พวกเขาถูกประหารเก้าชั่วโคตร ยังถูกชาวบ้านทั้งหลายร้องประสานเสียงกันว่าดี
ก็ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ได้เหมือนกัน เพียงแต่ทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ให้คนประณามไว้
บรรดาท่านหมอมององครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ ในใจลอบสำนึกเสียใจอยู่บ้าง คำพูดเมื่อครู่น่าสะพรึงเกินไป ไม่ควรพูดออกมาเช่นนี้จริงๆ พวกเขาตะโกนเอะอะอยู่ในอุโบสถ ไม่ต้องพูดถึงองครักษ์เสื้อแพรที่แอบซ่อนอยู่ คนทั้งวัดล้วนดึงดูดมาแล้ว
คราวนี้จบสิ้นแล้ว
“ช่วยงานอะไร?” คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบเอ่ยถาม
หัวหน้ากองร้อยเจียงยิ้มกลับไม่พูด เบี่ยงกายโบกมือ พวกองครักษ์เสื้อแพรหน้าประตูยืนแบ่งออกเป็นสองด้านอย่างพร้อมเพรียง ทิวทัศน์ค่ำคืนเผยเบื้องหน้าบรรดาท่านหมอ
ท่ามกลางทิวทัศน์ค่ำคืนนี้คนสิบกว่าคนคุกเข่าอยู่ล้มคว่ำอยู่ มีผู้ชายมีผู้หญิง
นี่ทำอะไรกัน?
บรรดาท่านหมอก้าวไปข้างหน้า อาศัยแสงสว่างที่ส่องลอดมาจากในอุโบสถมองไปทางคนเหล่านี้
“เฮ้ นี่ไม่ใช่ครอบครัวของคนป่วยรึ?” ทุกคนจำได้แล้ว เอ่ยขึ้นประหลาดใจ
ได้ยินเสียงนี้ ผู้ชายผู้หญิงสิบกว่าคนนั้นที่ถูกมัดมือเท้าอุดปาก ได้ยินคำถามของพวกท่านหมอพวกเขาก็เงยหน้าดิ้นรนน้ำตาไหลนองหน้าสีหน้าหวาดกลัวขอร้องในลำคอ
“พวกเจ้าทำอะไร?” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“พิสูจน์ไง” เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังมาจากในความมืด
ทุกคนตอนนี้ถึงมองเห็นเขาเดินออกมาจากห้วงราตรีที่แสงและความมืดสอดผสมกันอยู่
ลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามาใกล้ยืนอยู่ด้านหน้าประตูอุโบสถ มองคุณหนูจวิน
“คนเหล่านี้ พอใช้ไหม?” เขาเอ่ย
บรรดาท่านหมอในที่สุดก็ได้สติกลับมา สีหน้าตะลึงงันไม่อยากเชื่อมองลู่อวิ๋นฉี
เขา…หมายความว่า…
พวกเขามองไปทางชายหญิงสิบกว่าคนที่ถูกมัดไว้บนพื้นอีกครั้ง
จะเอาคนเหล่านี้มาทดลองใช้พิษฝีของคุณหนูจวิน
นี่ นี่ คนเป็นๆ
“ไร้สาระ” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ย “คนตายพิสูจน์อะไรได้อีก? ไม่ใช่บอกว่าต้องการดูว่าอะไรนะ..วัวอะไรนี่มีไม่มี คนตายไม่ตายรึ”
เขาพูดพลางยื่นมือชี้ชายหญิงสิบกว่าคนที่อยู่บนพื้น
“มา ลองดูสิ”
หลังเขาชี้ องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก็หิ้วผู้หญิงคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้า
ผู้หญิงคนนั้งร่างสั่นสะท้านกลัวจนแทบเป็นลมทรุดฮวบ
“พวกเจ้าทำอะไร!” ท่านหมอเฒ่าเฝิงอดไม่ได้ตวาดตำหนิ “ทำเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?”
เขาเอ่ยปากท่านหมอคนอื่นก็อดไม่ได้เอ่ยบ้าง
“ใช่แล้ว นี่ ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
“พวกเขาเป็นครอบครัวของคนป่วยที่มาขอรักษานะ”
“พวกท่านจับพวกเขามาทำอะไร?”
สายตาของหัวหน้ากองร้อยเจียงกวาดผ่านหมอเหล่านี้ สีหน้าเย็นชา ทำให้เสียงตั้งคำถามของบรรดาหมอชะงักไป
ลู่อวิ๋นฉีตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ได้สนใจท่านหมอเหล่านี้ มองเพียงคุณหนูจวิน
“ไม่พอ ยังมี” เขาเอ่ย
……………………………………….
บทที่ 28 ใช้ตนเองทดลองยา
โดย
Ink Stone_Romance
ไม่พอยังมี?
อะไรไม่พอ? คนเหล่านี้ใช้แล้วตายแล้ว ค่อยไปจับคนอื่น?
สวรรค์ นี่แตกต่างอะไรกับครั้งนั้นที่ป้องกันฝีดาษสังหารหมู่คนไม่ติดโรค
นี่มันสังหารคนแล้ว นี่มันสังหารคนแล้ว
สีหน้าบรรดาท่านหมอยุ่งเหยิงแล้ว
คุณหนูจวินก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
นางไม่เคยคิดว่าเรื่องที่นี่จะปิดบังองครักษ์เสื้อแพรได้ แล้วก็ไม่เคยคิดจะปิดพวกเขาด้วย
นี่ก็ไม่มีอะไรให้ปิดบัง
แต่นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลู่อวิ๋นฉีจะทำเช่นนี้
เขาได้ยินคำที่ตนพูด ได้ยินการตั้งคำถามของบรรดาท่านหมอก็ถึงกับหิ้วคนกลุ่มหนึ่งมาทันทีทันใด
พิษฝีดาษนี่ใช้ได้ไม่ได้ ทำให้คนถึงตายหรือไม่ พูดไปพูดมาไม่รู้ชัด ทดลองดูสักทีไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ
คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี สีหน้าสับสนอยู่บ้าง
เรื่องนี้ยังไงก็ต้องแก้เช่นนี้
แต่….
ลู่อวิ๋นฉีเห็นนางในที่สุดมองมาทางตนเอง มุมปากโค้งขึ้นนิดๆ
คุณหนูจวินรู้สึกเพียงเลือดลมปั่นป่วนวูบหนึ่ง
นางไม่อยากเห็นเขา ไม่อยากเห็นรอยยิ้มของเขา อย่าให้นางมองเห็นรอยยิ้มเช่นนี้อีกเลย
นางเคลื่อนสายตาหลบ ยกเท้าก้าวไปข้างหน้า
“คุณหนูจวิน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเห็นร้องเรียกทันที
คุณหนูจวินหยุดเท้าอีกครั้งมองไปทางเขา
“คุณหนูจวิน ทำเช่นนี้ไม่ได้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย สีหน้าตระหนก “ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาเป็นครอบครัวของคนป่วย เป็นคนที่มาขอรักษา จะทำเช่นนี้กับพวกเขาได้อย่างไร เอาพวกเขามาลองพิษได้อย่างไร”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยปาก ท่านหมอคนอื่นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เรื่องมาถึงวันนี้ ยื่นศีรษะก็เป็นดาบหดศีรษะก็เป็นดาบเหมือนกัน ไม่สนแล้ว หลับหูหลับตาออกไปเลย
“ใช่แล้ว ทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
“นี่น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ”
“พวกเขาเป็นคนนะ”
บรรดาท่านหมอพากันร้องเอ่ย
คน? สำหรับองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้แล้ว คนกับสัตว์ไม่มีอะไรต่างกัน
คุณหนูจวินมองคนที่ถูกมัดอยู่บนพื้น พวกเขาเดิมทีอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เที่ยงคืนอยู่ดีๆ ถูกจับมัดไว้ แต่ละคนๆสีหน้าหวาดกลัว ตอนนี้ฉับพลันได้ยินว่าลองพิษสองคำ กลัวเข้าจริงๆ สลบไปหลายรายทันที
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง พิษฝีของข้าไม่…” นางหันกลับมาเอ่ยกับท่านหมอเฒ่าเฝิงเสียงเบา
ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยขัดนาง
“ไม่ว่าท่านจะมั่นใจในพิษฝีของท่านเท่าไร เรื่องนี้ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เขาสีหน้าจริงจัง “นี่ไม่เกี่ยวกับมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา นี่เป็นเรื่องที่ขัดฟ้าดินมนุษยธรรม
“ใช่แล้ว คุณหนูจวิน จะจับคนมาลองยาเช่นนี้ได้อย่างไร” ท่านหมอคนอื่นพากันเอ่ยขึ้น
“ทำเรื่องเช่นนี้ล้วนเป็นตนเองยินยอม โบราณมีเสินหนงลองชิมร้อยสมุนไพรเพื่อผู้คน ยุคก่อนมีฮัวโต๋ใช้ตนทดลองยาชา วันนี้ให้ข้าทดลองพิษฝีนี่เอง” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย หมุนตัวก็เดินไปทางโต๊ะด้านหน้าพระพุทธรูป
บรรดาท่านหมอฮือฮาทันที ทุกคนสีหน้าตกตะลึง ดวงตาสบกันครู่หนึ่งก็มีหลายคนกัดฟัน
“ข้าด้วย” พวกเขาเอ่ย เดินตามท่านหมอเฒ่าเฝิงมาถึงด้านหน้าโต๊ะ
ใต้แสงโคมสว่างไสว หลอดทองแดงมันด้านแวววาว
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองไปทางคุณหนูจวินที่ยังยืนอยู่ตรงปากทางเข้าประตู
“มาเถอะ คุณหนูจวิน ให้ข้าลองก่อน” เขาเอ่ย
หมอคนอื่นหลายคนก็พากันเอ่ยปากด้วย
“ให้ข้าลองก่อน”
“ให้ข้าลอง ปกติข้าก็ช่วยงานไม่มาก คนป่วยที่นี่ขาดพวกท่านไม่ได้”
ภาพนี้ทำให้หมอมากกว่าเดิมลุกขึ้นมาด้วยแล้ว
“ข้าเอง”
“ข้าเอง”
“ทุกคนอย่าทะเลาะกัน ยังไงก็ไม่อาจลองกันหมดได้ พวกเรายังต้องดูแลคนป่วย”
“ทุกคนฟังข้า พวกเราจับฉลาก”
ด้านในโถงพระพุทธรูปบรรยากาศหวาดกลัวฉับพลันสลาย ที่มาแทนที่คือความฮึกเหิมรวมถึงความแน่วแน่
มองเห็นท่านหมอเหล่านี้แย่งกันเอาตนเองลองพิษก่อน เฉินชีที่ยังถูกองครักษ์เสื้อแพรจับไว้ก็อดไม่ได้จมูกขัดเคือง
“ล้วนบอกกันว่าหมอจิตใจเมตตา วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าอะไรคือใจเมตตา” เขาหันไปสะอึกสะอื้นเอ่ยกับคนข้างตัว “ท่านว่าใช่หรือไม่พี่ใหญ่”
องครักษ์เสื้อแพรด้านข้างสีหน้านิ่งสนิท ราวกับรูปปั้น สิ่งใดล้วนไม่ได้ยินและไม่พูดไม่จา
พูดถึงจิตใจเมตตากับคนพวกนี้ใยไม่ใช่สีซอให้ควายฟัง? เฉินชีเบะปากไม่พูดจาแล้ว
คุณหนูจวินมองบรรดาท่านหมอที่แย่งกันลองยาก่อนเหล่านี้ คำนับให้อีกครั้ง
“ดี ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ให้ตัวเอง…” นางเอ่ย
คำพูดนางยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกท่านหมอทั้งหลายขัด
“คุณหนูจวินท่านอย่าเลย” ท่านหมอพากันเอ่ย
“ต่อให้ท่านไม่ต้องดูแลคนป่วย หากพวกเรากลุ่มนี้ไม่ไหวแล้ว ท่านยังต้องปลูกฝีให้กลุ่มต่อไปนะ” ยังมีคนเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา
คุณหนูจวินก็หัวเราะแล้ว นางไม่ลังเลเดินตรงเข้าไป หยิบหลอดทองแดงเรียวอันหนึ่งขึ้นมา
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง ท่านก่อนเถอะ” นางเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ลังเลสักนิด
“บอกแล้วว่าไงเป็นข้า” เขายิ้มเอ่ย
“ท่านนั่งลง” คุณหนูจวินเอ่ย ชี้เก้าอี้ด้านข้าง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงนั่งลงตามคำบอก มองคุณหนูจวินหยิบหลอดทองแดงเดินเข้ามาใกล้
“เงยหน้า” นางเอ่ย พลางถือหลอดทองแดงขึ้นมา
แม้เตรียมพร้อมมาแล้ว แต่เห็นหลอดทองแดงเรียวเล็กนี่เข้าใกล้ปากจมูก ไม่ใช่แค่คนรอบด้าน กระทั่งท่านหมอเฒ่าเฝิงก็อดไม่ได้ร่างกายเกร็งเครียด
คุณหนูจวินไม่ได้เคร่งเครียดสักนิด ถึงขั้นที่ไม่ให้เวลาพวกเขาตอบสนอง หยิบที่อุดสองด้านออกก็วางหลอดทองแดงเข้าไปในจมูกข้างหนึ่งของท่านหมอเฒ่าเฝิง เป่าลมจากอีกด้านหนึ่งของหลอดทองแดง
เมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็หลับตาถอยหลังโดยไม่ทันรู้ตัว คุณหนูจวินหยิบหลอดทองแดงออกมาแล้วยืนตัวตรง
“เสร็จแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย
บรรดาท่านหมอคนอื่นมองท่านหมอเฒ่าเฝิงกังวล
“รู้สึกอย่างไร?” ทุกคนอดไม่ได้เอ่ยถาม
ท่านหมอเฒ่าเฝิงใช้มือกดจมูก
“เหม็นนิดหน่อย” เขาคิดนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น
บรรดาท่านหมออดไม่ได้หัวเราะขึ้นมา
“ปฏิกิริยาไม่เร็วขนาดนั้น คงต้องประมาณวันที่เจ็ด ท่านหมอเฒ่าเฝิงจะตัวร้อน แต่ก็แค่ตัวร้อน ไข้ลดลงก็ไม่เป็นไรแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย
บรรดาท่านหมอพยักหน้าสีหน้าต่างกันไปไม่พูดจา
“ข้าบ้าง” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย ตนเองนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ท่าทางแน่วแน่
หลังการกระทำของเขาท่านหมอ อีกหลายคนก็พากันดึงเก้าอี้ของตนเข้ามานั่งลง
“ในเมื่อจะพิสูจน์ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพิสูจน์เพิ่มสักหลายคน” พวกเขาเอ่ย
คุณหนูจวินก็ไม่ได้ห้าม หยิบหลอดทองแดงแท่งแล้วแท่งเล่าออกมาค่อยๆ เป่าฝีวัวเข้าไปในจมูกของพวกเขาทีละคนๆ ระหว่างนี้ไม่ได้ราบรื่นไปเสียหมด ท่านหมอบางคนก็จามออกมาเดี๋ยวนั้น จามพิษฝีที่ยัดเป่าเข้าไปออกมาด้วย อีกสองคนเป่าเข้าไปแล้ว แต่น้ำมูกไหลออกมาไม่หยุด ผงพิษฝีก็ล้วนถูกชะออกมาด้วย
“แบบนี้ใช้ไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาผงมาทำเป็นแท่งสอด”ท่านหมอคนหนึ่งเสนอขึ้นมา
วิธีนี้ไม่เลว คุณหนูจวินพยักหน้า บรรดาท่านหมอจึงวุ่นวายขึ้นมาเดี๋ยวนั้น หาแผ่นสำลี เอาน้ำมา มองคุณหนูจวินเทผงพิษฝีออกมาผสมทาลงบนแผ่นสำลีม้วนเป็นแท่ง
“ใช่ใช่ อย่างนี้แหละแล้วยัดเข้าไป” ท่านหมอคนหนึ่งหยิบแผ่นสำลีที่พันผงฝีดาษจนเหมือนเมล็ดพุทรายัดเข้าไปในจมูกของท่านหมอคนหนึ่ง เหลือเพียงสายที่หัวเส้นหนึ่งไว้ข้างนอก
ท่านหมอคนนั้นสูดจมุกอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้จามออกมา
“นี่ดีกว่าเมื่อครู่มากแล้ว” เขาพยักหน้าเอ่ย
บรรดาท่านหมอล้วนดีใจมากโล่งใจปลื้มปริ่ม ราวกับแก้ไขโรคร้ายยากลำบากอะไรได้ ที่จริงพวกเขากำลังทำให้ตนเองติดโรคฝีดาษอยู่นะ เรื่องน่ากลัวเช่นนี้ปฏิกิริยาเช่นนี้ประหลาดนัก
เฉินชีที่ยืนอยู่นอกประตูไร้คำพูด
บรรดาท่านหมอเหล่านี้ปล่อยวางอย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ แล้วทำอย่างไรได้อีก ถอยก็ถอยไม่ได้แล้ว มีเพียงไปข้างหน้า วิจัยสร้างวิธีที่ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษอีกต่อไปออกมาได้จริงๆ นั่นถึงพลิกสถานการณ์พ่ายแพ้ได้
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง
นอกจากพูดสองประโยคนั้น เขาก็ไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงมองการกระทำของเด็กสาวคนนั้นในโถงพระพุทธรูป
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองชายหญิงสิบกว่าคนที่ถูกโยนไว้บนพื้นอีกหน
“ใต้เท้า” เขายังคงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวโบกมือทีหนึ่ง ตนเองก้าวออกไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว
หัวหน้ากองร้อยเจียงโล่งอก ช่างเถอะ บรรดาท่านหมอเหล่านี้ยินดีสละตนเอง พวกเขาใยต้องขวาง อย่างไรบรรดาท่านหมอก็ดี คนเหล่านี้ก็ดีล้วนเหมือนกัน
เขาก็โบกมือ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรหิ้วชายหญิงบนพื้นจากไปอย่างพร้อมเพรียง
ค่ำคืนกำลังถดถอยไป ทิศตะวันออกค่อยๆ สว่าง ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่นอกเขาวัดมองขอบฟ้า
“ใต้เท้า” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งดุจเงาภูตผีพลันปรากฏตัวข้างกายเขาเอ่ยเสียงเบา “เมื่อครู่บุตรชายเฉิงกั๋วกงก็อยู่”
ด้านนี้เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เขาไม่อยู่ถึงแปลก ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท
“ตอนนี้เขาจากไปแล้ว มุ่งไปในเมือง” องครักษ์เสื้อแพรเอ่ยเสียงเบา แล้วก้มศีรษะ “พวกเด็กๆ ขวางไม่อยู่”
สายตาของลู่อวิ๋นฉีกรอกเล็กน้อย มองไปทางบันไดยาวนอกวัด
“พวกเจ้าขวางเขาไม่อยู่หรอก” เขาเอ่ย
นี่ก็หมายความว่าไม่สั่งให้ไล่ล่าและจับตัว องครักษ์เสื้อแพรค้อมกายอีกครั้งเร้นกายหายไป
……………………………………….
บทที่ 29 ปลอบขวัญ
โดย
Ink Stone_Romance
พร้อมกับเสียงฝีเท้า กลิ่นสุรารุนแรงก็ลอยตามมา สำหรับผู้คนในเรือนด้านนี้คุ้นเคยยิ่งแล้ว
แต่ครั้งนี้มองเห็นคุณหนูจวินกับท่านหมอหลายคนเข้ามา ใบหน้าของทุกคนสีหน้าหวาดกลัว
ไม่มีความกระตือรือร้นไม่มีความคาดหวังถึงขั้นร้องไห้โศกเศร้าก็ไม่มีแล้ว
คุณหนูจวินยังดี ท่านหมอหลายคนในใจถอนหายใจ
คืนวานองครักษ์เสื้อแพรไม่บอกไม่กล่าววิ่งมาจับคนสิบกว่าคนหิ้วไป คนที่ถูกจับไม่ได้ถูกจับล้วนตกใจกลัวหมดแล้ว คนที่ถูกจับเหล่านี้ให้หลังก็ถูกส่งกลับมา เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนั้นเมื่อคืนวานนั่นต้องปิดไม่อยู่แล้วแน่นอน
องครักษ์เสื้อแพรน่าจะไม่ได้กำชับพวกเขาว่าห้ามบอกสินะ?
มีอะไรให้น่ากำชับกันล่ะ สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแล้วคนที่นี่ล้วนเป็นคนตาย คนตายจะกลัวความลับรั่วไหลอะไร
บรรดาท่านหมอไม่พูดจา ตามคุณหนูจวินเข้าห้องไปตามปกติ มองเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างเตียงก็ลุกขึ้นมาทันที สีหน้าหวาดกลัวปกป้องเด็กน้อยบนเตียงโดยไม่ทันรู้ตัว
“พวกเจ้า พวกเจ้ากำลังจะทำอะไร?” นางเอ่ยถามเสียงสั่น
“พวกเราย่อมจะรักษาโรคให้ยาเขา” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีท่าทางจะหลีกไป สีหน้าหวาดกลัวมองพวกเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความระแวง และยังมีความสิ้นหวัง
“นี่เป็นยารักษาโรค หรือว่ายาพิษสังหารคน?” นางเอ่ยเสียงสั่น
เรื่องเมื่อคืนวานแพร่ออกไปแล้วจริงๆ ด้วย นอกจากนี้แพร่ออกไปอย่างคาดไม่ถึง อย่างไรคนสิบกว่าคนนั้นก็ได้ยินแค่คำกระท่อนกระแท่นเท่านั้น แล้วยังเป็นช่วงเวลาที่หวาดกลัวขนาดนั้นด้วย
“บอกว่าจะให้พวกเราล้วนติดฝีดาษ”
ได้ยินคำถาม ผู้คนด้านในเรือนด้านนี้ก็ทำใจกล้าตะโกนเอ่ย
ล้วนเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็ตาย ยังกลัวอะไร พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ ความหวาดกลัวที่สั่งสมไว้ก็ระเบิดออกมา คนมากมายร้องไห้ออกมาแล้ว
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยเสียงดัง สายตาค้นหาคนที่ถูกมัดไปเมื่อคืนท่ามกลางฝูงชน หยุดอยู่บนตัวพวกเขา “พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว พวกเราไม่ได้ให้พวกเจ้ามาลองยา แต่พวกท่านหมอเฝิงมาลองด้วยตนเอง หากใจอยากทำร้ายพวกเจ้าจริงๆ จะทำเช่นนี้ไปทำไมอีก”
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของทุกคนผ่อนคลายลง
“ก่อนอื่นเป็นพวกเจ้าท่านหมอเหล่านี้ หลังจากนั้นก็ถึงตาพวกเราแล้ว” มีคนร้องไห้เอ่ย
คำพูดนี้ทำให้เสียงร้องไห้เพิ่มมากขึ้นอีกคร้ง
“ไม่ใช่นะ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น” บรรดาท่านหมอรีบเสียงดังเอ่ยปลอบ “ที่พวกเราทดลองคือยาเพื่อช่วยเหลือทุกคน”
แต่อยู่ตรงหน้าคนหลายสิบคนนี้เสียงของพวกเขาเบาเกินไปแล้ว
“พวกเจ้าอย่ามาหลอกพวกเราเลย”
“ถ้าเพื่อช่วยพวกเรา ทำไมนานขนาดนี้รักษาไม่หาย คนตายยังมากขึ้นทุกทีๆ”
“พวกเจ้าที่แท้ใช้ยาอะไรกับพวกเรากันแน่?”
เสียงตะโกนเสียงร้องไห้ดังขึ้นรอบด้าน
ท่านหมอหลายคนรับมือไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
คืนวานพวกเขาอดนอนมาทั้งคืน พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงห้าคนก็ออกมาไม่ได้แล้ว พวกเขาที่เหลือแบ่งงานกัน บางคนไปพักผ่อน บางคนทนแจกจ่ายยารอบเช้าให้เสร็จ
ตอนนี้พวกเขาทั้งคนน้อย จิตใจก็เหนื่อยล้า ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจห้ามปรามเกลี้ยกล่อมคนเหล่านี้ได้
“ทุกคนฟังข้าพูด” พวกเขาได้แต่เอ่ยซ้ำๆ เสียงดัง “ทุกคนฟังพวกเราอธิบาย”
ขณะที่เอะอะนี่เอง เสียงฝีเท้าก็ลอยมา
“ทำอะไรกัน?” พร้อมกับเสียงตวาดเย็นชา
เสียงนี้ทำให้ฝูงชนที่วุ่นวายสงบลงทันที สีหน้าหวาดกลัวมองพวกองครักษ์เสื้อแพรที่เดินเข้ามา
พวกองครักษ์เสื้อแพรอยู่ในเรือนกระจายออกล้อมคนเหล่านี้ไว้ แต่ไม่พูดจาอีก เพียงจ้องพวกเขาอย่างเย็นชา
ในเรือนตกอยู่ท่ามกลางความเงียบพิกล
พวกเขาจะทำอะไร?
ในใจบรรดาท่านหมอคำถามนี้ลอยมา
คุณหนูจวินมองฝูงชนที่สีหน้าหวาดกลัวกลับไม่กล้าร้องไห้ตะโกนต่อ ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง
“ข้าอธิบายเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังสักหน่อย” นางเอ่ย
ในเรือนเงียบสงบ เสียงกังวานใสของสตรีดังขึ้น เล่าไม่รีบไม่ช้าฟังไม่เบื่อ นางพูดละเอียดมาก อธิบายความอันตรายและความยากในการรักษาฝีดาษโรคนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่นางอธิบายชัดว่าฝีดาษโรคนี้ ยาเพียงช่วยเสริม หายได้หรือไม่ยังคงดูโชคชะตาของแต่ละคน
แม้หลายวันนี้ในใจล้วนเข้าใจแล้ว แต่ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนก็ยังคงยากปิดบังความสิ้นหวัง ไม่มีคนถามหรือตะโกน เพียงแต่ยั้งเสียงร้องไห้ไม่ให้ดังขึ้นอีกเท่านั้น
เพราะองครักษ์เสื้อแพรด้านข้างข่มขวัญ กระทั่งร้องไห้ก็ไม่มีใครกล้าร้องไห้เสียงดัง
“แม้ฝีดาษรักษายาก แต่มันป้องกันได้” เสียงของคุณหนูจวินเอ่ยต่อ “วิธีนี้พวกเราค้นพบแล้ว ตอนนี้กำลังพิสูจน์”
สายตาของนางมองไปทางฝูงชนแล้วก็จับอยู่บนร่างของคนเหล่านั้นที่ถูกจับไปเมื่อคืนวาน
“พวกเราจะไม่ใช้พวกเจ้ามาพิสูจน์ บรรดาท่านหมออาสาเอง ก็อย่างที่พวกเขาเห็นเมื่อคืนวานอย่างนั้น” นางเอ่ย “หากพิสูจน์สำเร็จ”
นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไป ผู้คนที่ถูกวาจาของนางดึงดูดไว้หยุดร้องไห้ไปแล้ว สีหน้าสงสัยมองข้ามมา
“หากพิสูจน์สำเร็จ ผู้คนบนโลกนี้จะไม่ต้องถูกพิษฝีดาษทำร้ายอีกต่อไป” นางเอ่ย
ผู้คนจะไม่ถูกฝีดาษทำร้ายอีกต่อไป? จริงหรือหลอก?
ผู้คนมองเด็กสาวคนนี้สีหน้าสงสัยไม่มั่นใจ
“จริงหรือหลอก ทุกคนล้วนอยู่ในวัด พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงใช้ยาไปแล้ว ทุกคนไปดูได้ตลอดเวลา” คุณหนูจวินเอ่ย
ผู้คนถกเถียงกันเบาๆ ขึ้นมา
“พวกเรารู้ว่าตอนนี้ทุกคนเสียใจมากทุกข์ใจมาก แต่ไม่ถึงนาทีสุดท้ายยังคงต้องยืนหยัดต่อไป” ท่านหมอคนหนึ่งก้าวออกมาเอ่ย คิดถึงพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงห้าคน ขอบตาอดไม่ได้แดงเรื่อ “ที่อดทนไม่ใช่แค่พวกเจ้า ยังมีพวกเราด้วย”
พวกผู้ชายไม่พูดแล้วก้มศีรษะไป ส่วนพวกผู้หญิงเช็ดน้ำตาอีกครั้ง แม้ยังคงเงียบ แต่บรรยากาศผ่อนคลายไปมากแล้ว
คุณหนูจวินมองไปทางพวกท่านหมอข้างกาย
“พวกท่านทำต่อเถอะ” นางเอ่ย
บรรดาท่านหมอพยักหน้าติดตามคุณหนูจวินเดินไปด้านในห้อง คนที่ยืนอยู่หน้าประตูลังเลนิดหนึ่งก็หลีกทาง
บรรดาท่านหมอปลื้มปิติ หากคนเหล่านี้ก่อนหลีกทางไม่มององครักษ์เสื้อแพรครั้งหนึ่งคงยิ่งยินดีแล้ว
ไม่รู้คำพูดของคุณหนูจวินปลอบขวัญพวกเขา หรือพวกองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนอยู่ด้านนี้ข่มขวัญพวกเขา บางทีคงทั้งคู่กระมัง ตอนนี้ไม่ทันสนเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้แล้ว
ปฏิกิริยาของพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ได้ให้ทุกคนรอถึงเจ็ดวัน
ตั้งแต่วันที่สามก็เริ่มแล้ว มีท่านหมอคนหนึ่งเริ่มตัวร้อน ไม่นานวันที่สองบนร่างก็ปรากฏจุดแดง
เป็นฝีดาษออกฤทธิ์แล้วจริงๆ
ในวัดกวงหวากลายเป็นตึงเครียดขึ้นมา
ท่านหมอบางคนมองท่านหมอที่นอนอยู่บนเตียงหายใจกระชั้นท่าทีเซี่ยงซึม ทนไม่ไหว
“ให้เขาใช้ยาเถอะ” เขาเอ่ยเสียงสั่น
ท่านหมอที่เหลือสีหน้ายุ่งยากใจมองไปทางคุณหนูจวิน
“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร” คุณหนูจวินเอ่ย
ท่านหมอคนนี้ยังไม่ทันดีขึ้น ท่านหมอคนอื่นก็เริ่มตัวร้อนล้มหมอนนอนเสื่อด้วยแล้ว ท้ายที่สุดเหลือเพียงท่านหมอเฒ่าเฝิงที่ยังปลอดภัยไม่เป็นไร
“ของข้านี่ใช่ไม่ได้ผลหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถาม “ไม่สู้เพิ่มให้ข้าอีกสักอันเถอะ”
คำพูดนี้ทำให้บรรดาท่านหมอที่เคร่งเครียอยู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“เอาล่ะ ไม่ได้ผลก็คือปลูกไม่สำเร็จ หากพ้นเจ็ดวันแล้วยังไม่ตัวร้อนเกิดฝี ข้าจะให้ท่านเพิ่มอีกอัน” คุณหนูจวินกลับเอ่ยจริงจัง
……………………………………….
บทที่ 30 ต่อ
โดย
Ink Stone_Romance
ความผ่อนคลายของท่านหมอเฒ่าเฝิงทำให้บรรดาท่านหมอผ่อนคลายลงบ้าง แต่ความผ่อนคลายนี้ไม่ได้คงอยู่ต่อนานนัก วันที่หกท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ล้มหมอนนอนเสื่อบ้างแล้ว
เพราะคุณหนูจวินเคยพูดไว้ เรื่องนี้ไม่ได้ปิดบังคน ไม่นานครอบครัวของผู้ป่วยฝีดาษเหล่านั้นก็รู้ ยังมีคนใจกล้าวิ่งมาดู กั้นด้วยหน้าต่างมองบรรดาหมอที่ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บนเตียง
“เป็นฝีดาษออกฤทธิ์จริงๆ ด้วย ข้ามองเห็นบนแขนของพวกเขามีฝีโผล่ขึ้นมา”
“บรรดาท่านหมอก็ไม่ให้ยาพวกเขา บอกว่าอาศัยตนเองรักษาหายดีให้หลังถึงไม่ถูกฝีดาษเล่นงานอีก”
“น่ากลัวจริงหนอ เรื่องนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำไมกล้าทำเช่นนี้”
“นั่นน่ะสิ คุณหนูจวินไม่กลัวสักนิด ยังเลือกฝีดาษบนตัวท่านหมอคนนั้น บอกว่านี่เป็นสมบัติ”
ไม่เคยได้ยินว่าฝีดาษบนร่างเป็นสมบัติมาก่อน คำพูดนี้ทำให้คนที่ได้ยินล้วนหนาวสะท้านไปวูบหนึ่ง
คนที่ได้ยินหนาวสะท้าน คนที่เห็นด้วยตาตนเองยิ่งทั้งร่างชาหนึบ
“…หน่อฝีย่อมไม่ใช่เลือกตามใจได้…ไม่ใช่ว่าฝีทุกเม็ดล้วนทำเป็นหน่อฝีได้ ตัวอย่างเช่นแบบนี้ใช้ไม่ได้…แบบนี้ก็ไม่ไหว…”
บรรดาท่านหมอที่ยืนอยู่ข้างเตียงมองเด็กสาวคนนี้ถือตะไบ มือหนึ่งหยิบเข็มทองเคลื่อนไปบนร่างของท่านหมอที่ป่วย ตั้งใจมองเม็ดฝีที่ประสานสนิทนูนขึ้นมาเหล่านั้น
เข็มทองหยุดบนฝีเม็ดหนึ่ง คุณหนูจวินเผยรอยยิ้ม
“พวกท่านดู นี่คือหน่อฝีที่ดีที่สุด ฝีมันวาว บวมใหญ่แข็งแรง ตอนนี้เวลายังสั้น เลี้ยงอีกหน่อยก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง” นางเอ่ย พร้อมกับที่พูด ตะไบในอีกมือหนึ่งก็ยืนไปตะไบฝีที่ปิดสนิทนี้ลงมาอย่างฉับไว ใส่ไว้ในหลอดทองแดง
“ดู นี่ก็คือการเก็บรวบรวมพิษฝีที่ปลูกได้” นางเอ่ย “พวกท่านดูเข้าใจไหม?”
บรรดาท่านหมอที่ล้อมอยู่สีหน้ายุ่งยาก บางคนหน้าผากเหงื่อผุดพราย
“คุณหนูจวิน พวกเราพูดถึงอาการป่วยของพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงก่อนเถอะ นี่ก็สองวันแล้ว…” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย
คนยังไม่รู้จะเป็นอย่างไรเลยนะ พวกเขาไม่อาจสงบจิตสงบใจเอาคนป่วยมาเป็นของศึกษาฝึกฝนได้จริงๆ
คุณหนูจวินมองท่านหมอที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงทีหนึ่ง
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว” นางเอ่ย
ยังอีกเดี๋ยวก็หายอีก อีกเดี๋ยวนานเท่าไรเล่า เดี๋ยวนี้ไหม?
ค่ำคืนโปรยลงมา อีกหนึ่งวันผ่านไปแล้ว คุณหนูจวินนวดหัวไหล่ หิ้วหีบหลอดทองแดงที่ใส่สะเก็ดฝีรอบใหม่ไว้จำนวนหนึ่งเดินออกจากที่พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงห้าคนอยู่
โคมวัดกวงหวาสว่างขึ้นแล้ว เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ วันนี้ที่นี่แลดูวังเวง เสียงร้องไห้ก็น้อยลงไปมากแล้ว ราวกับร้องจนน้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว
“คุณหนู นี่เอากลับไปยังต้องบดเป็นผงหรือเจ้าคะ?” หลิ่นเอ๋อร์เอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ใช่แล้ว” นางเอ่ย ฝีเท้าพลันชะงัก
หลิ่วเอ๋อร์ไม่เข้าใจมองไปก็ตกใจสะดุ้งโหยงด้วย
“อั้ยโยะ ตกใจแทบตาย” นางร้อง มองลู่อวิ๋นฉีที่ไม่รู้ยืนอยู่ข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไร
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สนใจนาง มองคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินหลุบตาคำนับนิดๆ ทีหนึ่ง ดึงหลิ่วเอ๋อร์เดินไปข้างหน้าต่อ กำลังจะเดินผ่านลู่อวิ๋นฉีก็ยื่นมือรั้งไว้
“เจ้าคิด…” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตากระโดดขึ้นมาทันที
คุณหนูจวินกำข้อมือนางแน่น ยื้อนางไว้ที่เดิม
“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” ลู่อวิ๋นฉีเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของหลิ่วเอ๋อร์ บางทีอาจพูดได้ว่าในสายตาเขาไม่เคยมองเห็นคนผู้นี้ เขามองเพียงคุณหนูจวิน “จะไม่เกิดเรื่องอะไรกับเจ้าทั้งนั้น”
เสียงของเขาไม่เร็วไม่ช้า ทุ่มนุ่มและมั่นคง ค่ำคืนบดบังใบหน้าของเขา ทำให้เสียงนี้ยิ่งทำให้คนเคลิ้มอยู่บ้าง
แต่คุณหนูจวินกลับไม่รู้สึก นางไม่อาจฟังเสียงนี้ได้จริงๆ ดังนั้นจึงเอ่ยปากแทบจะพร้อมกัน
“ข้าย่อมไม่กังวล ข้าจะไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” นางเอ่ย “ใต้เท้าลู่ข้าจะกลับไปทำงานต่อแล้ว”
มือของลู่อวิ๋นฉีรั้งกลับไป มองคุณหนูจวินดึงหลิ่วเอ๋อร์เดินจากไป
“คนผู้นี้น่าชังจริงๆ”
เสียงของสาวใช้ตัวน้อยแหลมเล็ก
“ไม่เป็นไร” นางเอ่ย “พวกเราทำงาน”
ค่ำคืนมืดมิด คนมากมายล้วนกำลังทำงาน ไม่รู้กี่คนได้นอนหลับ ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ผ่านไปช้ามากแต่ก็เร็วมาก
ท่านหมอที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้คนหนึ่งฉับพลันหน้าทิ่มหวิดล้มคว่ำ คนตื่นขึ้นมา มองเห็นห้องสว่างไปแถบหนึ่งแล้ว
ฟ้าสว่างแล้ว?
ท่านหมอยื่นมือลูบหน้า ว่าจะงีบแวบเดียวถึงกับหลับไปนานขนาดนี้ ดูท่าอดนอนใกล้จะไม่ไหวแล้วจริงๆ
ไม่รู้ท่านหมอบนเตียงยังทนได้นานเท่าใ?
เขานวดใบหน้าลุกขึ้นยืนมองไปข้างหลัง ทันใดนั้นตาก็เบิกโต ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง ออกแรงขยี้ตา ลืมตาขึ้นอีกครั้งบนเตียงก็ยังว่างเปล่าไม่มีคน
“ไม่มี ไม่มีแล้ว” คนตะโกนร้อง สีหน้าซีดขาว
ท่านหมอที่เดิมทีนอนอยู่บนเตียงเป็นฝีตัวร้อนทำไมไม่เห็นแล้วเล่า?
หรือว่าไม่…ไม่ไหวแล้ว ดังนั้นถูกยกจากไปแล้ว ตนเองนอนหลับสนิทเกินไปทุกคนจึงไม่สะดวกใจปลุกเขา?
เขาหมุนตัวพุ่งไปนอกห้อง
“ใครก็ได้..” เขาตะโกนเสียงสั่น เสียงกลับพลันชะงักไป ถลึงตามองคนที่ยืนอยู่ประตูห้องอีกครั้ง
คนผู้นี้เหมือนเพิ่งตื่นนอน กำลังขยับมือเท้าร่างกายอยู่ ท่าทางสบายๆ ได้ยินเสียงข้างหลังร่าง เขาก็หันกลับมา
“ตาเฒ่าหวง เจ้าตื่นแล้ว” เขาเอ่ย เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง
ท่านหมอที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าหวงสีหน้านิ่งไป
“เจ้า เจ้า ทำไม ..ลุกขึ้นมา…” เขาเอ่ยเสียงสั่น
ท่านหมอด้านนอกหัวเราะแล้ว
“เช้านี้ข้าตื่นมารู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นอะไรแล้ว ทั้งไม่สลึมสลือทั้งร่างกายไม่อ่อนยวบ ข้าก็เลยออกมาเดินสักหน่อย” เขาเอ่ย พูดไปยังขยับท่าบริหารร่างกายห้าสรรพสัตว์[1]รอบหนึ่ง “สบาย”
สบาย…
ท่านหมอหวงมองเขา พลันยกมือตบตนเองหนึ่งฝ่ามือ
“อั้ยโยะ ตาเฒ่าหวงเจ้าทำอะไรเล่า?” ท่านหมอด้านนอกห้องตกใจสะดุ้งโหยง
ท่านหมอหวงร้องตะโกนส่งเสียงแล้ว
“ใครก็ได้มานี่เร็วเข้า”
เสียงตะโกนสั่นเครือนี่ทำลายความสงบเงียบยามเช้าครู่ เสียงฝีเท้าวุ่นวายโถมมาจากสี่ด้านแปดทิศ
เรือนที่เดิมทีเมฆหมอกแห่งความกังวลโศกเคร้าปกคลุมบรรยากาศเคร่งเครียดชะงักนิ่งกลายเป็นเอะอะ
ตอนที่คุณหนูจวินเข้ามาก็มองเห็นท่านหมอที่ถูกคนตื่นเต้นกลุ่มหนึ่งล้อมไว้
นี่คือท่านหมอแซ่ชวี่ที่ทดลองยาตัวร้อนเกิดฝีเป็นคนแรก
มองเห็นคุณหนูจวินเข้ามา ท่านหมอทั้งหลายยิ่งตื่นเต้นแล้ว
“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน ท่านดู ท่านดู ท่านหมอชวี่หายดีแล้วจริงๆ” ทุกคนตะโกน
คุณหนูจวินเดินเข้ามา ท่านหมอชวี่ถูกทุกคนผลักมาอยู่ตรงหน้านาง
“คุณหนูจวิน” ท่านหมอชวี่สีหน้าตื่นเต้นอยู่บ้างเหมือนกัน มองมือของตนเองแล้วคลำหน้า “ไม่มีตะปุ่มตะป่ำแล้วล่ะ”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“พิษของฝีวัวถูกกำจัดลงมากแล้ว ไม่เหมือนกับฝีของคน แน่นอนย่อมไม่รุนแรงขนาดนั้น” นางเอ่ย แล้วคิดครู่หนึ่ง “ท่านตัวร้อนสองวันก็รุนแรงมากแล้ว แต่ได้บุญคุณจากท่าน คนต่อไปที่ใช้พิษฝีซึ่งเอามาจากร่างของท่านจะไม่นานขนาดนี้แล้ว”
“เก็บพิษฝีจากร่างของข้าไปแล้วหรือ?” ท่านหมอชวี่ยิ้มเอ่ยถาม “ข้าไม่รู้เลยนะ”
ท่านหมอคนอื่นล้อมเข้ามาอีกครั้ง
“เอาไปแล้ว พวกเราเห็นกับตา” ทุกคนยิ้มเอ่ย
ต่อมาประดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสองนี้พัดความเย็นที่วนเวียนอยู่เนิ่นนานสลาย วัดกวงหวาอบอุ่นหล่อเลี้ยงชีวิต ท่านหมอห้าคนที่เป็นฝีหายดีตามต่อกัน กระทั่งท่านหมอเฒ่าเฝิงที่อายุมากที่สุดก็ไม่เว้น
ท่านหมอทั้งหลายรวมตัวกันในโถงพระพุทธรูปใหม่อีกครั้ง โคมไฟสว่างตลอดอีกหน
“พิษฝีนี้ไม่ทำให้คนถึงตายจริงๆ”
“ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่ามันใช่พิษฝีหรือไม่”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไรล่า? พวกเราเห็นมากับตาเชียวนะ”
บรรดาท่านหมอยิ้มแย้มดีใจพูดคุยเรื่องตอนที่ท่านหมอห้าคนเป็นฝี
ท่านหมอเฒ่าเฝิงปรบมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง
“คุณหนูจวินตอนนี้พิสูจน์เล้วว่าพิษฝีพวกนี้ปลอดภัย” เขาเอ่ย ยั้งความตื่นเต้นชี้หลอดทองแดงเรียวที่วางอยู่ด้านในหีบ “แต่ยังมีปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง”
คุณหนูจวินมองเขา
“ก็คือพิสูจน์ว่าทำเช่นนี้จะไม่มีทางเป็นฝีดาษอีก” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น
บรรดาท่านหมอคนอื่นพากันพยักหน้าด้วย นี่ถึงเป็นปัญหาสำคัญที่สุด
คุณหนูจวินยิ้ม
“นี่ง่ายมาก ปลูกให้เด็กๆ ที่ยังไม่ป่วย หลังจากนั้นให้พวกเขามาที่นี่อยู่ด้วยกันกับเด็กที่ป่วยก็พิสูจน์ได้แล้ว” นางเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงอึ้งไป
“รอเดี๋ยว” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวิน “ท่านบอกว่าเด็กๆ? จะใช้เด็กๆ มาพิสูจน์”
“แน่นอนสิ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “เดิมทีก็ต้องการให้เด็กๆ ใช้ ผู้ใหญ่เดิมทีก็ไม่เป็นฝีดาษง่ายๆ อยู่แล้ว ฝีดาษเล่นงานเด็กๆ เป็นหลัก”
ในโถงเงียบไปหมด บรรดาท่านหมอทั้งหมดล้วนมองคุณหนูจวิน
ความรู้สึกเช่นนั้นมาอีกแล้ว เหมือนฟังเข้าใจแต่ก็เหมือนฟังไม่เข้าใจ
“พูดเช่นนี้ พวกเราทดลองพิษฝีที่จริงก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะพวกเราเดิมทีก็ไม่ถูกพิษฝีเล่นงานง่ายๆ อยู่แล้ว ที่จริงหากพิสูจน์ น่าจะหาเด็กๆ มาพิสูจน์” ท่านหมอคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น
สิ้นเสียงของเขา สีหน้าของบรรดาท่านหมอที่นั่นก็แข็งทื่อ พลันประหนึ่งถูกฟ้าผ่า กระโดดโถมเข้ามาหาท่านหมอคนนั้นทันที
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”
“รีบหุบปากนะ คำพูดนี้พูดออกมาไม่ได้”
ทุกคนพากันกดเสียงร้องขึ้นมา ไปปิดปากท่านหมอคนนั้นวุ่นวาย
ครั้งก่อนก็เพราะทุกคนบอกว่าต้องการหาคนมาลองยา ดังนั้นพวกองครักษ์เสื้อแพรถึงจับครอบครัวที่มารักษาที่นี่มา
ตอนนี้ท่านหมอคนนี้พูดว่าต้องการเด็กมาพิสูจน์ ถ้าอย่างนั้นพวกองครักษ์เสื้อแพรเสียสติอีกครั้งออกไปจับเด็กๆที่ยังไม่ป่วยมาจะทำอย่างไร?
พวกเขาล้วนเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีเหตุผลเป็นฝ่ายเสนอตัวลองยาเองแล้ว
ในโถงพระพุทธรูปเงียบไป คนทั้งหมดท่าทางหวาดกลัวมองไปด้านนอกโถง
โคมไฟด้านในอาคารแกว่งไว แสงสว่างเงามืดเกี่ยวกระหวัดกัน
แม้องครักษ์เสื้อแพรมีอยู่ทุกที่ แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็ไม่ได้โผล่มาตรงหน้า
ใจทุกคนค่อยๆ ผ่อนคลาย ปล่อยท่านหมอที่ถูกจับไว้
“เจ้านี่…” มีคนเอ่ยปากจะตำหนิเขา แต่ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้น
มีคนมาแล้ว
เสียงของคนผู้นั้นหยุดลง ทุกคนมองไปด้านนอกโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“เฮ้ หมอเล่า?”
มีคนร้องตะโกนเสียดัง
“เอาของที่ทำให้คนไม่กลัวฝีดาษได้อะไรนั่นของพวกเจ้ามาให้คนลองสิ”
จูจั้น?
คุณหนูจวินเดินเข้ามาหลายก้าวจากด้านใน มองผู้ชายที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าโถง เขาก็คือจูจั้นที่ไม่เห็นเสียหลายวัน
นางยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นจูจั้นชี้ด้านหลังร่าง บรรดาทหารด้านหลังเขากระจายตัวออก เผยเงาคนกลุ่มหนึ่งออกมา
เงาคนนี่เตี้ยม่อต้อตัวเล็กผอมอ่อนแอ ดูแวบเดียวขนาดเหมือนกับถุงผ้า
เงาคนส่ายเอนก้าวมาข้างหน้า ยืนอยู่ในแสงโคม ทำให้ทุกคนมองหน้าตาชัด
“เด็ก!”
บรรดาท่านหมอในโถงพริบตาขนลุก
……………………………………….
[1] ท่าบริหารร่างกายห้าสรรพสัตว์(五禽戏) ท่าออกกำลังกายรักษาสุขภาพของจีนโบราณ ทำท่าทางเลียนแบบสัตว์ห้าชนิดได้แก่เสือ กวาง หมี ลิง นก
บทที่ 31 คนตายที่มีชีวิต
โดย
Ink Stone_Romance
เด็กห้าคนนี้ มีชายมีหญิง ที่โตที่สุดไม่พ้นสิบสามปี ที่เล็กที่สุดดูไปแล้วแค่สองสามขวบ
“มา ให้ยาพวกเขาสิ” จูจั้นเอ่ยอีกครั้ง ชี้เด็กๆ เหล่านี้
มาอีกแล้วจริงๆ
เรื่องเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาอีกแล้วจริงๆ
รู้อยู่เชียวว่าที่นี่ไม่มีความลับ รู้อยู่เชียวว่าวาจาไม่อาจพูดส่งเดชได้
พูดประโยคหนึ่งว่าให้เอาคนมาพิสูจน์? หัวหน้ากองพันลู่ก็หิ้วคนมาให้พวกเขาลองยา
พูดประโยคหนึ่งว่ายานี่ให้เด็กน้อยใช้ บุตรชายเฉิงกั๋วกงก็หิ้วเด็กหลายคนมาอีก
หูของคนเหล่านี้ยาวขนาดนี้ได้อย่างไร หูยาว มือก็ยาว พูดว่ามาก็มาได้อย่างไร?
บรรดาท่านหมอสีหน้าร้อนรน
“ท่านชาย ทำเช่นนี้ไม่ได้นะ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย
“พิษฝีนี่ของข้าไม่…” คุณหนูจวินอดไม่ได้เอ่ย
พิษฝีของนางที่จริงไม่ต้องพิสูจน์ ใช้เลยก็ได้ ดังนั้น…
ท่านหมอเฒ่าเฝิงถลึงตาขัดนาง
“ไม่ได้ ใช้คนเป็นมาลองยาไม่ได้เด็ดขาด” เขาเอ่ย “เพื่อช่วยคนสังหารคนก่อน พวกเราผู้รักษาทำไม่ได้เด็ดขาด นี่ทำไม่ได้เด็ดขาด”
คุณหนูจวินเงียบไป
นางไม่ใช่ผู้รักษา ไม่ใช่หมอ ดังนั้นเรื่องเอาคนเป็นมาลองยาเช่นนี้ นางเคยทำมาก่อนตั้งนานแล้ว
แต่พวกหมอเหล่านี้ก็เพราะใจเมตตาจึงติดตามนางมาถึงที่นี่ ช่วยเหลือนางเช่นนี้ นางตอนนี้ไม่อาจตำหนิใจเมตตาของพวกเขาได้
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนลำบากใจจริงๆ
“ใครบอกว่าให้พวกเจ้าใช้คนเป็นลองยา” จูจั้นเอ่ย ท่าทางรำคาญอยู่บ้าง
หา?
คนในโถงพระพุทธรูปตะลึง
ไม่ใช้คนเป็น? ถ้าอย่างนั้นใช้คนอะไร?
“แน่นอนต้องใช้คนที่ตายแล้ว” จูจั้นเอ่ย มือยาวยื่นออก คว้าเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบคนหนึ่งเข้ามา เพยิดคางให้พวกหมอ “เอ้า เขานี่แหละ”
คนผู้นี้ล้อเล่นอะไร?
พวกท่านหมอถลึงตามองจูจั้น แล้วมองเด็กผู้ชายที่เขาลากมาอีกครั้ง
ร่างกายของเด็กผู้ชายผอมแห้งอยู่บ้าง เส้นผมก็สกปรกรุงรังอยู่นิดๆ ดูไปแล้วเหมือนขอทานข้างถนนคนหนึ่ง เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นที่ผมปรกอยู่เปล่งประกายอยู่เลือนราง
นี่ไปลากขอทานข้างถนนมาหรือ?
เทียบกับองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ที่ไม่ถือว่าคนเป็นคน ลูกหลานผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ยังดีกว่าอยู่บ้าง ในสายตาพวกเขาขอทานเหล่านี้ก็ไม่นับเป็นคน
แต่ในสายตาของพวกเขาหมอเหล่านี้ ขอทานก็เป็นคนนะ
ท่านหมอเฒ่าเฝิงถอนหายใจ
“ท่านชาย ขอเพียงเขายังมีชีวิต ไม่ว่าชีวิตต้อยต่ำเท่าไรก็คือคนเป็น” เขาเอ่ย
จูจั้นแค่นเสียงหัวเราะ ตบไหล่เด็กผู้ชาย
“เอ้า เจ้าบอกพวกเขา เจ้าเป็นคนตายหรือคนเป็น” เขาเอ่ย
เด็กผู้ชายมองไปทางหมอทั้งหลาย
“ข้าชื่อโจวจิง ชาวเจินติ้ง” เขาเอ่ย
นั่นแล้วอย่างไร?
บรรดาท่านหมอมองเขาไม่เข้าใจ เด็กคนนี้สีหน้านิ่งสงบแนะนำตนเอง ไม่ได้หวาดกลัวอย่างคนที่ถูกหัวหน้ากองพันลู่จับมาพวกนั้น เขาน่าจะรู้แล้วว่าตนเองมาทำอะไรสินะ?
หรือว่าใช้เงินซื้อชีวิตเขามา?
“ท่านปู่ของข้าคือโจวเปิ่นถัง” เด็กผู้ชายโจวจิงเอ่ยต่อ
โจวเปิ่นถัง?
ชื่อนี้คุ้นอยู่บ้าง
ในใจบรรดาท่านหมอเกิดความคิดนี้
เป็นใครนะ?
ทันใดนั้นท่านหมอคนหนึ่งก็ร้องอ๋าขึ้นมา มองเด็กคนนั้นสีหน้าประหลาดใจ
“โจวเปิ่นถัง? ตระกูลโจวตระกูลชนชั้นสูงของเมืองเจินติ้งแห่งนั้น!” เขาเอ่ย “โจวเปิ่นถังที่ถูกตัดสินว่าสมคบศัตรูคนนั้น?”
สมคบศัตรูมีโทษหนักยึดทรัพย์ประหารทั้งตระกูล เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่มีทุกวัน ดังนั้นหลังท่านหมอคนนี้ร้องออกมา ท่านหมอคนอื่นก็คิดออกแล้วว่าโจวเปิ่นถังคนนี้เป็นใคร
ตอนต้นฤดูหนาวปีที่แล้ว ภายใต้การป้องกันอย่างแน่นหนาของเฉิงกั๋วกง ชาวจินก็ยังรุกรานเมืองเจินติ้งได้ ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายมากมาย เจ้าเมืองปกป้องเมืองจนตัวตาย ราชสำนักกราดเกรี้ยว ท้ายที่สุดสืบออกมาได้ว่าข้างในมีไส้ศึกสมคบศัตรู ไส้ศึกคนนี้ก็คือโจวเปิ่นถังตระกูลชนชั้นสูงของเมืองเจินติ้ง
ท้ายที่สุดคุมตัวเข้าเมืองหลวง ถูกตัดสินให้ยึดทรัพย์ประหารทั้งตระกูล รอหลังการสอบใหญ่เดือนสามปีนี้ก็จะประหาร
ยึดทรัพย์ประหารทั้งตระกูลเชียวนะ ลูกหลานของโจวเปิ่นถังคนนั้นย่อมเข้าคุกรอประหารไปด้วยกันหมด
เด็กคนนี้…
เดิมทีก็เป็นนักโทษที่รอความตายคนหนึ่ง
ท่านหมอสีหน้ายุ่งยาก
“พวกเขาล้วนเป็น” จูจั้นเอ่ย ยื่นมือชี้เด็กหลายคนที่เหลือ “นี่ล้วนเป็นเด็กตระกูลโจว พวกเจ้าคิดว่าพวกเขายังเป็นคนเป็นหรือ?”
แม้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่รออีกหนึ่งเดือนก็จะตายแล้ว นี่เป็น…คนตายจริงๆ
แม้เด็กเหล่านี้ดูแล้วยังมีชีวิต แต่ไม่นานก็จะต้องตายไป
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็นับไม่ได้ว่าเป็นคนเป็นจริงๆ
บรรดาท่านหมอเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“ข้าทูลฝ่าบาทแล้ว หากพวกเขามาทดลองยามีชีวิตรอดก็จะละโทษตายให้พวกเขาเหล่านี้ หากไม่มีชีวิตรอดมา…” จูจั้นตบหัวไหล่เด็กผู้ชาย “พวกเจ้าก็ไม่เสียอะไรเหมือนกัน”
ไม่เสียอะไรจริงๆ
สีหน้าของบรรดาท่านหมอยุ่งยาก ไม่รู้พูดอะไรดี
“แม้ข้าถามพวกเจ้าในห้องขังแล้ว” จูจั้นมองเด็กไม่กี่คนนี้ “ที่นี่ต่อหน้าท่านหมอทั้งหลายเหล่านี้ ข้าจะถามอีกรอบ พวกเจ้ายินดีลองหรือไม่?”
“ยินดี” โจวจิวเอ่ยเสียงดังออกมาคนแรก
เด็กหลายคนข้างหลังร่างเขาก็พากันเอ่ยปากด้วย
“ยินดี” พวกเขาเอ่ยเสียงดัง
ในเสียงนี้ยังสอดแทรกเสียงอ้อแอ้
“ข้าจะหาท่านแม่” เด็กน้อยอายุสองสามขวบคนนั้นเอ่ยเสริมอีกประโยค แกว่งแขนเสื้อพี่สาวข้างกาย
เด็กผู้หญิงคนนั้นรีบจูงมือเขาไว้
“รอเสร็จธุระก็ไปหาท่านแม่ได้แล้ว” นางปลอบเสียงเบา
ในเสียงนี้ขมขื่นอยู่บ้าง
ความจริงแล้วพวกเขาจะไม่ได้พบหน้ามารดาอีกต่อไปแล้ว
บรรดาท่านหมอใครก็ไม่เอ่ยวาจา
สีหน้าโจวจิงวิตกอยู่บ้าง เขาอดไม่ได้ก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“พวกเรายินดีจริงๆ พวกเรายินดีจริงๆ ให้พวกเราลองเถอะ” เขาเอ่ย น้ำเสียงร้อนรนและแหบพร่าสั่นระริก
ลองเถอะ ลองดูสักครั้งยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ให้พวกเขาลองรักษาสายเลือดตระกูลโจวไว้เถอะ
ท่านหมอเฒ่าเฝิงพลันแสบเคืองจมูกนิดๆ เขาอดไม่ได้หันหน้าเคลื่อนสายตาหลบ
สมคบศัตรูเป็นโทษหนัก ทำร้ายชาวบ้านพวกเขาก็ชัง แต่เด็กๆ เหล่านี้อย่างไรก็บริสุทธิ์
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง ลองดูสักครั้งเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ได้เอ่ยวาจา หมอคนอื่นก็ไม่พูดเช่นกัน
ความเงียบก็คือตกลงแล้ว
คุณหนูจวินกวักมือให้เด็กหลายคนนั้น
“มา” นางเอ่ย
สองตาของโจวจิงฉายแววยินดี ไม่ลังเลก้าวไปข้างหน้า เด็กๆ คนอื่นก็ไม่ลังเลก้าวตามเขาไป เด็กน้อยก็ถูกจูงก้าวเข้ามาด้วย
“ไม่ต้องกลัว ง่ายมาก” คุณหนูจวินเอ่ย ทำท่าให้พวกเขานั่งลง
“พวกเราไม่กลัว” เด็กทั้งหลายเอ่ยเสียงดัง สีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่กลัว” เด็กน้อยก็เลียนแบบเอ่ยบ้าง เขาถูกพี่สาวอุ้มนั่งอยู่บนเก้าอี้
คุณหนูจวินยิ้ม หยิบหลอดทองแดงหลอดหนึ่งออกมา มองไปทางท่านหมอเฒ่าเฝิงอีกครั้ง
“ท่านหมอเฝิง ครั้งนี้พวกท่านมาทำสิ” นางเอ่ย “จะได้คุ้นชินโดยเร็ว อนาคตเกรงว่าพวกเราคนคงไม่พอใช้ ทุกคนต้องคุ้นแคยและชำนาญ”
นี่เป็นการลองใช้จริงๆ แล้ว กระทั่งพวกเขาท่านหมอเหล่านี้ก็ต้องถือโอกาสลองทำด้วย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงสูดหายใจลึก ตอบรับ
……………………………………….
บทที่ 32 ช่วยเหลือและเชื่อมั่น
โดย
Ink Stone_Romance
ผู้ใหญ่กับเด็กน้อยลองยาไม่เหมือนกันจริงๆ
อย่างที่คิด ตอนยัดฝีเด็กโตหน่อยยังว่าง่าย มีแต่เด็กน้อยสามขวบคนนี้เพราะอายุน้อย ในจมูกยัดสิ่งแปลกปลอมเข้ามา ยังคงจาม รวมถึงไม่ระวังก็ใช้มือดึงออกมา
“ไม่สู้เช่นนี้เถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย “ฝีดาษติดต่อกันผ่านสัมผัส ห้าทวารเชื่อมต่อในร่าง ไม่ใช้ห้าทวาร ถ้าอย่างนั้นก็เปิดช่องสักแห่งขึ้นมา”
ผู้คนยังไม่ทันเข้าใจหมายความว่าอะไร คุณหนูจวินก็ดึงเสื้อเก่าขาดของเด็กคนนี้ลงเผยแขนออกมา หยิบตะไบเล่มหนึ่งกรีดลงไป
ปากแผลขนาดเล็กอันหนึ่งปรากฏขึ้นทันที ยังไม่ทันเลือดไหล คุณหนูจวินก็เอาเมล็ดพิษฝีในหลอดทองแดงแนบไว้บนปากแผล แล้วใช้ผ้าพันแขนของเด็กคนนี้ไว้อย่างฉับไวอีกครั้ง
เด็กคนนี้ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้สึกตัว เบะปากร้องไห้ขึ้นมา
ปากแผลที่ตะไบกรีดเปิดไม่ใหญ่มาก พันไว้ไม่นานเลือดก็ไม่ไหลแล้ว แต่บรรดาท่านหมอยังคงตกใจสะดุ้งโหยง ยิ้มเฝื่อนส่ายศีรษะอีกครั้ง
คุณหนูจวินตบหัวไหล่ของเด็กคนนี้
“เด็กดี ไม่ร้อง ไม่ร้อง” นางเอ่ย เหมือนเล่นกล ผลไม้เชื่อมชิ้นหนึ่งพลันวางอยู่บนมือตรงหน้าเด็กน้อย
เด็กน้อยหยุดร้องไห้ทันที น้ำตาเอ่อคลอมองผลไม้เชื่อมนี่
“ผลซิ่งเชื่อม” เขาเอ่ยเสียงอ้อแอ้
ดูทีเดียวก็รู้ว่าเป็นอะไรเชื่อม เห็นได้ว่าคงเป็นของที่กินบ่อย ตระกูลโจวเป็นตระกูลชนชั้นสูงของเมืองเจินติ้ง บรรดาเด็กทั้งหลายในตระกูลย่อมกินดีอยู่ดี
เด็กน้อยไม่ได้ยื่นมือมา กลืนน้ำลายหันไปมองเด็กผู้หญิงด้านข้าง
“ท่านพี่ ผลซิ่งเชื่อม” เขารีบร้อนเอ่ย “ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว…”
คนที่ถูกขังอยู่ในคุกรอความตาย นั่นยังมีผลไม้เชื่อมกินที่ไหน
บรรดาท่านหมอด้านข้างในใจหดหู่
เด็กผู้หญิงคนนั้นมองคุณหนูจวิน กัดริมฝีปาก
“ขอบคุณท่านหมอ” นางเอ่ย พยักหน้าให้เด็กน้อย
เด็กน้อยตอนนี้ถึงดีใจยื่นมือคว้าไป
“ขอบคุณท่านหมอ” เขาเอ่ยเลียนแบบพี่สาว พลางยัดผลไม้เชื่อมเข้าปากอย่างอดรนทนไม่ไหว
ยัดเข้าไปปุบก็คิดอะไรได้รีบถ่มออกมาอีก ยื่นให้เด็กผู้หญิงด้านข้าง
“ท่านพี่กินด้วยกัน” เขาเอ่ย
เด็กผู้หญิงรีบส่ายศีรษะ
“ข้าไม่กิน ข้าไม่กิน” นางตอบ
ท่านหมอคนหนึ่งดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ยังมีอีก ยังมีอีก” เขาเอ่ย “ผลไม้เชื่อมมากไป อีกเดี๋ยวเอามาให้พวกเจ้า มีทุกคน”
บรรดาท่านหมอคนอื่นก็พากันเอ่ย
ในบ้านของพวกเขาล้วนมีเด็กอายุเท่านี้ มองเห็นเด็กน้อยทุกข์ทรมานไม่ไหว
“เอาล่ะ ยังเหมือนกับครั้งก่อน พาพวกเขาไปเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงเป็นต้นจึงเรียกเด็กๆ แล้วถามอีกว่าห้องด้านนั้นเก็บกวาดเสร็จหรือยัง เฉินชีที่แอบอยู่ข้างประตูตอนนี้ถึงเดินออกมาตอบ พาคนเหล่านี้ไป
คนด้านในโถงพระพุทธรูปสลายตัวไป กลายมาเป็นเงียบสงบ
หัวหน้ากองร้อยเจียงที่ยืนอยู่ไม่ไกลอดไม่ได้ขมวดคิ้ว
“ใต้เท้า ถึงกับเอาครอบครัวของโจวเปิ่นถังออกมาได้…” เขาเอ่ย “พวกเราไม่ต้องสนหรือ?”
“พวกเราฟังฝ่าบาท” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
ก็ใช่ ไม่มีคำอนุญาตของฝ่าบาท จูจั้นความสามารถมากอีกเท่าใดก็เอาคนออกมาไม่ได้
หัวหน้ากองร้อยเจียงกอดอกขมวดคิ้ว
ที่แท้เจ้าหนูนี่ก็ไปทำสิ่งนี้ ยังคิดว่าเขาหนีไปแล้วเสียอีก
เจ้าเล่ห์จริงๆ เอานักโทษตายคนหนึ่งมาก็หลอกท่านหมอพูดมากเหล่านี้ได้แล้ว
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เอ่ยวาจากอีก เพียงมองเด็กสาวด้านในโถงพระพุทธรูป เด็กสาวเดินเข้ามายืนตรงหน้าจูจั้น
“นี่นับว่าข้าช่วยท่านอีกครั้งแล้วหรือไม่?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถาม
จูจั้นคิ้วกระตุก
“เจ้าช่างกลับดำเป็นขาวเก่งจริงนะ” เขาเอ่ย “ใครช่วยใครกัน?”
คุณหนูจวินมองเขาเม้มปากยิ้ม พลันยกมือขึ้นตบหน้าอกเขาทีหนึ่ง
จูจั้นไม่ทันตั้งตัวร้องโอ้ยทีหนึ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“เจ้าทำอะไร? ลงไม้ลงมือ” เขาร้อง
คุณหนูจวินเดินผ่านเขาไปแล้ว ได้ยินก็แหงนหน้าหัวเราะลั่นไร้เสียงไม่หันกลับมามองเดินจากไป
…
“ท่านหมอเฝิง ท่านหมอเฝิง”
วัดยามเช้าตรู่ถูกน้ำเสียงร้อนรนของท่านหมอทั้งหลายทำลาย
“เด็กที่อายุน้อยที่สุดคนนั้นตัวร้อนแล้ว”
บรรดาท่านหมอแบ่งเวรดูแลเด็กห้าคนนี้ตามอย่างครั้งก่อนอย่างนั้น เพิ่งผ่านไปหนึ่งคืนก็เกิดตัวร้อนแล้ว
ครั้งก่อนยังต้องผ่านไปตั้งหลายวัน
ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เคร่งเครียดอยู่บ้างด้วย พยักหน้าอีก
“คุณหนูจวินเคยบอก เด็กกับผู้ใหญ่มีปฏิกิริยาต่อพิษฝีแตกต่างกัน ผู้ใหญ่เดิมก็ไม่ถูกเล่นงานง่ายๆ เด็กๆ ถึงป่วยเป็นฝีดาษง่าย” เขาเอ่ย
ขณะที่พวกเขาพูดอยู่ คุณหนูจวินที่ได้ยินข่าวก็เดินเข้าก็ตอบว่าใช่
ทุกคนมองไปที่เด็กน้อยคนนั้นด้วยกัน
เด็กน้อยนอนอยู่บนเตียงสีหน้าแดงเล็กน้อยลมหายใจถี่กระชั้น แต่คนยังมีสติ กะพริบตามองบรรดาท่านหมอที่ล้อมตนเอง มองดูถามไถ่จับชีพจรอยู่
“ข้าป่วย ต้องกินยา ต้องกินผลไม้เชื่อม” เขาเอ่ยปากอีก
เมื่อวานท่านหมอทั้งหลายเอาของกินอร่อยเครื่องดื่มอร่อยมาให้พวกเขาจริงๆ แต่ผลไม้เชื่อมกลับไม่ได้ให้เด็กกินมาก
ได้ยินเด็กคนนี้เอ่ยเช่นนี้ บรรดาท่านหมอก็ทั้งขำทั้งปวดใจ
“เจ้าป่วย แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องกินยา” คุณหนูจวินเอ่ย ลูบศีรษะเขา มองฝีไม่กี่เม็ดจางๆ บนร่างเขาอย่างละเอียด “พรุ่งนี้ก็หายดีแล้ว รอหายแล้วค่อยกินผลไม้เชื่อม”
ปลอบเด็กน้อยแล้ว เดินออกไปแล้วท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่สบายใจอยู่บ้าง
“พรุ่งนี้จะหายดีได้จริงหรือ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา “นอกจากนี้ฝีบนตัวเด็กคนนี้ทำไมน้อยเช่นนี้?”
คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ย ก็มองเห็นเด็กหลายคนยื่นศีรษะออกมาจากหน้าต่างด้านในห้องถัดไป สีหน้าพวกเขายากปิดบังความกังวล
คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่งก็เดินเข้าไป
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล น้องชายของพวกเจ้าอาการเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ พรุ่งนี้ก็หายดีแล้ว” นางเอ่ย
เด็กหลายคนมองนาง ส่ายศีรษะพร้อมเพรียง
“พวกเราไม่กังวล พวกเราเชื่อท่านชาย…” เด็กคนหนึ่งพลันหลุดปากเอ่ย
คำพูดของเขาออกจากปากปุบก็ถูกเด็กคนอื่นหลายคนถลึงตาใส่ ยังมีคนด้านหลังกระทุ้งเขา
“พวกเรายินดี พวกเรายินดี ไม่เสียใจ” โจวจิงรีบเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้ม ส่วนท่านหมอเฒ่าเฝิงหันหน้ามาแต่ทำเป็นไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร ในใจประหลาดใจเล็กน้อย
คนตระกูลโจวเชื่อท่านชาย?
ตามหลักแล้วคนตระกูลโจวสมคบศัตรูทำลายชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกง คนที่ชิงชังตระกูลโจวที่สุดควรเป็นเฉิงกั๋วกง ทำไมฟังดูความหมายนี้ตระกูลโจวกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงดูเหมือนจะคุ้นเคยกันมาก? นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นมากด้วย?
เชื่อมั่นว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงจะช่วยเหลือตระกูลโจวให้เหลือทายาทไว้ได้หรือ?
บุตรชายเฉิงกั๋วกงพูดได้ทำได้ แต่ทำไมบุตรชายเฉิงกั๋วกงถึงทำเช่นนี้? นักโทษตายในคุกมากมายนัก เด็กๆ ก็ไม่ใช่ไม่มี ทำไมดันเลือกเด็กของตระกูลโจวได้?
เรื่องเหล่านี้ซับซ้อนเกินไป ไม่ใช่เขาหมอคนหนึ่งจะคิดส่งเดชได้ แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย
“ท่านหมอเฝิง” เสียงคุณหนูจวินดังขึ้นข้างหู
ท่านหมอเฒ่าเฝิงรีบหันมา
“ท่านถามว่าทำไมตัวร้อนเร็วเช่นนี้ ก็เพราะว่าเขาอายุน้อย” คุณหนูจวินเอ่ย แล้วมองเด็กๆ คนอื่นที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างทีหนึ่ง เห็นพวกเขาฟังตั้งใจนัก “นอกจากนี้ข้าคิดว่ายังมีสาเหตุเรื่องวิธีการด้วย”
“วิธีการ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถาม
หมอคนอื่นก็ล้อมเข้ามา
นี่ไม่ใช่แค่ลองยาอย่างเดียวแล้ว ยังเป็นการทำความเข้าใจและทดลองยาใหม่ชนิดนี้ของพวกเขาท่านหมอเหล่านี้ด้วย
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น