Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 19-25

 บทที่ 19 เจ็บปวดจากโรคยังทำอันใดได้

โดย

Ink Stone_Romance

วัดกวงหวายามเช้าตรู่หมอกบางปกคลุม ไม่มีคนไหว้พระแห่แหนมาและไม่มีบรรดาภิกษุเคาะระฆังทำวัตรเช้า มองไปจับต้องไม่ได้ดุจแดนเซียน


คนที่ยืนอยู่ข้างในชั่วเวลาหนึ่งรู้สึกไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด ทั้งยังรู้สึกดั่งหลุดพ้นโลกีย์กลายเป็นเซียนอีกด้วย


เสียงร้องไห้เจ็บปวดเสียงหนึ่งทำลายความเงียบสงบนี้ เสียงร้องไห้นี้กรีดแหลมประหนึ่งกำลังได้รับโทษทัณฑ์ ทำให้คนฟังร่างอดไม่ได้ขนลุก


ความรู้สึกฝึกตนเป็นเซียนเมื่อครู่ของเฉินชีพริบตาหายไปแล้ว


“เริ่มต้นอีกแล้ว” เขาพึมพำกับตนเอง “แดนเซียนเปลี่ยนเป็นนรก”


หลังเสียงร้องไห้นี้เริ่มต้น เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นตามมาติดๆ เสียงร้องไห้โอดโอยของเด็กโต เสียงกรีดร้องของเด็กเล็กพริบตาปกคลุมทั้งวัดกวงหวา ต่อให้เป็นเฉินชีที่ฟังมาแล้วหลายวันก็ทนไม่ได้รีบร้อนใช้ผ้ายัดอุดหู


เสียงฝั่งนี้ที่โบสถ์ด้านหลังยิ่งดังระงม ไม่เพียงเสียงร้องไห้ของเด็กๆ บรรดาผู้ใหญ่ก็กำลังหลั่งน้ำตา


ในห้องวางเตียงไว้สามตัวเด็กน้อยสามคนที่อายุไม่เท่ากันนอนอยู่ แม้มีเด็กเพียงสามคน แต่ในห้องกลับมีคนยืนอยู่สิบกว่าคน แลดูเบียดเสียดยัดเยียด


หน้าเตียงแต่ละหลังคนสี่ห้าคนยืนอยู่ สามคนกดเด็กไว้ ท่านหมอสองคนยุ่งกับงาน


ในห้องกลิ่นยาและกลิ่นสุราเข้มข้นอบอวล


คุณหนูจวินก็อยู่ข้างในด้วย ปิดปากจมูก ตั้งใจจดจ่อใช้ผ้าฝ้ายผืนหนึ่งเช็ดบนปากแผลบนร่างเด็กคนนี้ อีกด้านหนึ่งยังมีท่านหมออีกคนหนึ่งกำลังทำเช่นนี้อยู่เช่นกัน ข้างตัวพวกเขาวางชามยาไว้ใบหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยน้ำยาสีดำสนิท น้ำยานี้ยังส่งกลิ่นสุราเข้มข้นออกมาด้วย


ทุกครั้งที่ผ้าฝ้ายจุ่มน้ำยาแตะลงบนบาดแผล เสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกกดไว้ก็จะดังขึ้น ร่างกายบิดดิ้นอย่างรุนแรง ท่านหมอสามคนแทบจะกดไว้ไม่อยู่ เห็นได้ว่าเจ็บปวดมากเพียงไร


“ไม่รักษาแล้ว ไม่รักษาแล้ว”


ในที่สุดในห้องก็มีเสียงร้องไห้ตะโกนใจสลายของหญิงคนหนึ่งดังขึ้น คลุ้มคลั่งผลักหมอที่ล้อมเตียงอยู่ออก โผเข้าไปกอดเด็กน้อยไว้แน่นร้องไห้เสียงดัง


“พวกเราไม่รักษาแล้ว ทุกข์ทรมานปานนี้ ยังไม่สู้ตายไปเลยให้จบ”


คุณหนูจวินถูกผลักไปด้านข้าง ท่านหมออีกคนก็ยืนอยู่ด้านข้าง ทุกคนไม่เอ่ยวาจาเพียงมองผู้หญิงคนนี้


สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดครั้งแรก


เสียงร้องไห้ใจสลายฝั่งนี้ไม่ได้ส่งผลไปถึงอีกสองเตียง ครอบครัวด้านนั้นแม้น้ำตานองหน้ามานานแล้ว แต่กัดฟันแน่นกดลูกของตนไว้ หมอสองคนนั้นยังคงใช้ผ้าฝ้ายชุบน้ำยาเช็ดบนบาดแผลของคนป่วยอย่างมั่นคงไร้หัวใจ เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีก


ท่ามกลางเสียงร้องไห้นี้ ผู้หญิงหน้าเตียงด้านนี้ค่อยๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรง นางมองเด็กน้อยที่อ้าปากหายใจกระชั้นในอ้อมกอด มองบาดแผลบวมแตกหนองไหลซึ่งกระจายไปทั่วร่างของเขา บนหน้าเด็กน้อยแดงดำกระด่าง มองหน้าตาดั้งเดิมไม่ออกแล้ว


นางยื่นมืลูบหน้าของเด็กน้อย


แม้โรคฝีดาษส่วนมากเกิดกับเด็กๆ แต่ผู้ใหญ่ก็ติดได้เหมือนกัน เพียงแต่จะไม่อันตรายเช่นนั้น ผนวกกับฝีดาษนี้สภาพยามเป็นโรคน่าหวาดกลัว นอกจากบิดามารดาของตน คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูบคลำหน้าแนบหน้าเช่นนี้


เด็กน้อยเป็นฝีดาษ กระทั่งครอบครัวก็หวาดกลัวถอยหนี ไม่มีท่านหมอรับรักษา ได้แต่ถูกขังอยู่ในห้องรอความตาย


ตอนนี้มีคนรักษาให้เขาแล้ว มีคนยินดีทดลองสักครั้งแล้ว


นางยกมือเช็ดน้ำตา นั่งตัวตรงจับหัวไหล่ของเด็กน้อยไว้


“ก็ได้ ท่านหมอ เชิญเถอะ” นางเอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่า


ผู้ชายสองคนที่ยืนห่างออกไปก้าวเข้ามากดเด็กน้อยไว้ใหม่อีกครั้ง เด็กคนนั้นรู้จักการเคลื่อนไหวนี้ดี ร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาทันที


เด็กน้อยก็คือเด็กน้อย ไม่เข้าใจความเจ็บปวดของชีวิต ไม่รู้จักความเศร้าโศกของความตาย


คุณหนูจวินกับท่านหมอก็ไม่ได้เอ่ยวาจา ทำเช่นก่อนหน้าต่ออีกครั้ง


เทียบกับเสียงร้องไห้โหยหวนดุจดั่งชดใช้บาปในนรกฝั่งนี้ ในห้องอีกแถบหนึ่งเงียบกว่าบ้าง แต่ก็ไม่ผ่อนคลายเช่นกัน


“ซานหนิว รีบดื่มนะ ดื่มต่อนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งพยุงเด็กโตที่หลับตาราวกับไม่รู้สึกตัวคนหนึ่งอยู่ ร้องไห้เอ่ยกระตุ้น ส่งถ้วยยาในมือไปยังริมฝีปากของเขา


เด็กคนนั้นแน่นิ่งไม่ขยับ


“มารดามัน กรอกลงไป” ผู้ชายด้านข้างเอ่ย


ผู้หญิงพยุงเด็กน้อยขึ้นมานิดหนึ่ง จับถ้วยยากรอกลงไป เด็กน้อยคนนั้นยังคงมีสติกลืนอยู่ แต่อย่างไรก็เรี่ยวแรงไม่พอ สำลักติดๆ กันจนชักดิ้น


ผู้หญิงมองดูร้องไห้หนักกว่าเดิม


ท่านหมอเดินเข้ามา มองถ้วยยาที่วางอยู่


“ห่างหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ให้ดื่มยาอีก” เขากำชับพลางหยิบถ้วยออกมาใบหนึ่ง แตกต่างจากเสียงร้องไห้ครวญครางด้านนั้น ที่นี่ไม่มีกลิ่นสุราเข้มข้น ตรงกันข้ามกลับมีกลิ่นหอมหวานบางๆ


ในถ้วยยานี้เต็มไปด้วยน้ำผึ้ง


ท่านหมอใช้ผ้าฝ้ายจุ่มน้ำผึ้งทาบนบาดแผลของผู้ป่วยคนนั้น นี่ไม่ได้ชักนำเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้ป่วย เพราะน้ำผึ้งนี่แสบน้อยมาก หรือบางทีอาจเพราะผู้ป่วยที่นี่ชีวิตวิกฤติจนไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว



“หมอหลวงเจียง ท่านได้ยินมาไหมว่าวัดกวงหวาด้านนั้นประหนึ่งคุกของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ โหดร้ายจนไม่อาจมองดู” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเวทนา


“คนที่ตีนเขากลัวหนีไปหมดแล้ว ได้ยินเข้าทำให้ฝันร้าย” อีกคนหนึ่งก็เอ่ยตามด้วย


“รักษาฝีดาษต้องน่าหวาดกลัวปานนี้หรือ?” เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้วเอ่ย “นางรักษาอย่างไร?”


บรรดาหมอหลวงสบตากันทีหนึ่ง


“ยังจะรักษาอย่างไรได้ก็น้ำผึ้งเซิงหม๋า[1]น่ะสิ นางเอาน้ำผึ้งกับเซิงหม๋าไปมากมายขนาดนั้น ต้องใช้เช่นนี้แน่” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย


“ยังเอาสุรามากมายไปด้วย” หมอหลวงอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริม


“สุราใช้ขับไล่ความชั่วร้ายกระมัง” หมอหลวงอีกคนหนึ่งเอ่ย


สุราแรงปูนขาวอะไรพวกนี้มักใช้กับเรื่องนี้ ฝังผู้ป่วยที่ตายป้องกันโรคความชั่วร้ายแพร่ต่อ นี่ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาทำกันปกติ


ทุกคนพยักหน้า


“คนตายมากหรือ?” เจียงโหย่วซู่สังเกตุจุดนี้ได้


“น่าจะไม่น้อย” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย


เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้ว


“อะไรเรียกน่าจะ?” เขาเอ่ยถาม แล้วคิดได้ว่าก่อนหน้านี้หมอหลวงคนนี้พูดประโยคนั้นว่าได้ยินมาว่าในวัดกวงหวาเป็นอย่างไรๆ “พวกเจ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตนเองรึ?”


บรรดาหมอหลวงสบตากันทีหนึ่ง สีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง


“ใต้เท้าท่านยังไม่รู้” พวกเขาเอ่ย


ตั้งแต่วันนั้นที่คุณหนูจวินยุองครักษ์เสื้อแพรให้มาก่อเรื่องที่สำนักแพทย์หลวง เจียงโหย่วซู่แม้ไม่ให้ทุกคนไปฟ้อง แต่กลับให้ลาป่วยกลับบ้านพักสองวัน


เช่นนี้ในอนาคตพูดขึ้นมาก็เป็นหลักฐานได้ นอกจากนี้ยังแสดงว่าอดกลั้นถอยให้แล้ว


“หัวหน้ากองพันลู่ก็อยู่ที่วัดกวงหวา ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าออก”หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “กระทั่งรถส่งยาของพวกเราไปก็ยังไม่ให้คนเข้า พวกเขาด้านในมีคนออกมารับรถ”


ดังนั้นในวัดที่แท้สภาพเป็นอย่างไร พวกเขาก็ได้แต่อาศัยฟังมาคาดเดา


ลู่อวิ๋นฉีถึงกับพาคนไปด้านนั้นแล้ว? เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้ว เขาว่างขนาดนี้รึ?


เขาย่อมไม่ว่างขนาดนี้ ปิดกั้นด้านนั้นแน่นหนา ด้านนอกไม่รู้สภาพแท้จริงด้านใน อนาคตถึงเวลากล่าวโทษก็ใส่สีได้ตามใจ นี่เป็นรูปแบบการกระทำประจำขององครักษ์เสื้อแพร


เจียงโหย่วซู่พยักหน้า ต้องเป็นเช่นนี้แน่



“คุณหนู คุณหนูท่านรีบนั่งลง น้ำจะต้มเสร็จแล้ว ท่านทานอะไรสักหน่อยก่อน”


หลิ่วเอ๋อร์ล้อมหน้าล้อมหลังคุณหนูจวินรีบร้อนเอ่ยบอก


คุณหนูจวินก็เหนื่อยจริงๆ นั่งลงบนเสื่อกลมตรงทางเดินสักที่


หลิ่วเอ๋อร์ไปยกน้ำแกงโสมถ้วยหนึ่งมาอีก


“นี่เป็นของที่บ้านเราหรือว่า…” คุณหนูจวินเอ่ยถาม


หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิก


“ย่อมเป็นของสำนักแพทย์หลวง” นางเอ่ย “ฮ่องเต้ตรัสว่าสมุนไพรใช้ได้ตามใจไหมเล่า เฉินชีจึงขอโสม เขากวางอะไรพวกนี้ติดมาหน่อยด้วย ให้คุณหนูกับพวกท่านหมอบำรุงร่างกาย เฉินชีบอกว่านี่ก็เป็นการรักษาโรค”


คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว ฉับพลันรอยยิ้มก็ชะงักค้างมองไปทางหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์มองไปบ้างสีหน้าบึ้งตึงทันที


ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ใต้ประตูทางเชื่อมบานน้อย เขากำลังเอามือไพล่หลังมองคุณหนูจวิน


“คนผู้นี้น่าชังจริงๆ มาอีกทำไม?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย


“เขาไม่ใช่บอกว่ารับคำสั่งฮ่องเต้ปิดวัดกวงหวารึ” คุณหนูจวินพูด หลุบตาดื่มน้ำแกงโสมช้าๆ คิ้วยังขมวดอยู่


คนผู้นี้หลอกหลอนไม่เลิกจริงๆ


หนึ่งการกระทำหนึ่งประโยควันนั้นของตนถึงกับมีผลมากปานนี้


ทำให้คนใจว้าวุ่นนัก


บางครั้งนางก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่นิดๆ อยากตะโกนเสียงดังโหดเหี้ยมใส่เขา อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้า


สายตาที่จับอยู่ด้านหลังร่างพลันเคลื่อนออกไป พร้อมกันนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น คุณหนูจวินเงยหน้ามองไป เห็นลู่อวิ๋นฉีราวกับถูกคนชนออกไปหลายก้าวไปยืนด้านในลาน ใต้ประตูทางเชื่อมมีคนใหม่มายืน


จูจั้น


เขาทำไมมาด้วยเล่า?


คุณหนูจวินมองเขาอดไม่ได้ยิ้มนิดๆ


……………………………………….


[1] เซิงหม๋า (升麻) สมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน


———————————————-


บทที่ 20 ต่างกังวล

โดย

Ink Stone_Romance

สายตาของลู่อวิ๋นฉีจับอยู่บนร่างคุณหนูจวินอีกครั้ง มองรอยยิ้มของนาง ใบหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์


“วัดกวงหวาปิดอยู่” เขาเอ่ย


แม้ไม่ได้หันกลับ แต่คำพูดนี้ย่อมพูดกับจูจั้น


จูจั้นก็ไม่ได้มองเขา ยืนอยู่ใต้ประตูทางเชื่อมเลิกคิ้ว


“เจ้าหยุดคิดเถอะ ข้าจะโง่ขนาดนั้นให้ข้าอ้างเจ้ามาจับรึ?” เขาเอ่ย “ข้าก็ได้รับคำสั่งมาเหมือนกัน”


ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางเขา แต่มีคนเอ่ยปากก่อนเขา


“ท่านรับคำสั่งอะไรหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ย


“ทำความชอบชดใช้โทษสิ” จูจั้นเอ่ย


คุณหนูจวินหัวเราะพรืด


เกือบลืมแล้วว่าเขายังมีโทษติดตัว คิดไม่ถึงมีโทษติดตัวจะมีประโยชน์เช่นนี้ อยากทำอะไรก็อ้างว่ามีโทษติดตัวได้ ไม่อยากทำอะไรก็อ้างว่ามีโทษติดตัวได้


“หัวเราะอะไร” จูจั้นเอ่ย มองดูคุณหนูจวินสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ายังหัวเราะออก”


คุณหนูจวินมองเขา ดื่มน้ำแกงโสมคำเดียวหมด


“ทำไมเล่า?” นางเอ่ย


จูจั้นยื่นมือชี้ด้านหลัง


“ตอนนี้ตายไปกี่คนแล้ว? เจ้ามารักษาใช่ไหม?” เขาหน้าถมึงทึงเอ่ย


ตอนเขาหน้าบึ้ง สีหน้าเคร่งขรึม ดูไปแล้วน่ากลัวนัก นอกจากนี้คำพูดนี้ของเขาก็น่ากลัวด้วย


บรรยากาศในลานนิ่งค้าง หลิ่วเอ๋อร์ที่ตลอดมาฟ้าไม่กลัวดินไม่กลัวยังกำมือแน่น พร้อมกันนั้นในใจก็ประหลาดใจอยู่บ้าง


แม้บุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้ไม่ปกติเท่าไร แต่เทียบกับลู่อวิ๋นฉีแล้วก็ยังดีกว่าบ้าง อย่างไรตอนนั้นที่ลู่อวิ๋นฉีรังแกคุณหนู ก็เป็นเขาปกป้องคุณหนูไว้


แต่วันนี้ประโยคนี้ทำไมเป็นเขาเอ่ยออกมาเล่า?


ประโยคนี้คิดอย่างไรก็น่าจะเป็นลู่อวิ๋นฉีเอ่ยออกมาสิ อย่างไรลู่อวิ๋นฉีก็ตั้งใจจะจัดการกับคุณหนู รักษาไม่ได้ผลเป็นโทษหนักอย่างที่สุด


ทำไมบุตรชายเฉิงกั๋วกงมาตั้งคำถามเล่า?


มีโทษติดตัว? หรือว่าเขาอยากสร้างความชอบชดใช้โทษ จับผิดคุณหนูจะได้สร้างความชอบหรือ?


หลิ่วเอ๋อร์สีหน้าโกรธเกรี้ยวทันที ดวงตาโกรธแค้นมองไปทางจูจั้น


คุณหนูจวินไม่ได้โกรธแค้น แล้วก็ไม่ได้หวาดกลัว แต่พยักหน้าถอนหายใจ


“ใช่ คนตายไม่น้อยแล้ว” นางเอ่ย นั่งลงอีกครั้ง ถือโอกาสวางถ้วยน้ำแกงลง


ในลานเงียบกริบไปชั่วครู่


ก็ตอบไปแบบนี้หรือ?


หลิ่วเอ๋อร์อยู่ด้านข้างตะลึง


จูจั้นเดินเข้ามาหลายก้าว ขมวดคิ้วมองนาง


“ที่แท้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เขาตั้งคำถามอีกครั้ง


คุณหนูจวินมองเขา ยิ้มแล้ว


“ข้ากำลังคิดวิธี ไม่ต้องเป็นห่วง” นางเอ่ย


จูจั้นถลึงตา ก้าวเข้ามาอีกก้าว


“ใครเป็นห่วง?” เขาเอ่ย “เจ้าดูตรงไหนว่าข้าเป็นห่วงเจ้า?”


คุณหนูจวินเงยหน้ายิ้มมองเขา


“เปล่านี่” นางเอ่ย เก็บรอยยิ้ม สีหน้าเป็นการเป็นงานอีกครั้ง “ข้าไม่ได้บอกว่าท่านเป็นห่วงข้า ข้าแค่บอกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงผู้ป่วยเหล่านี้ ข้ากำลังพยายามคิดวิธีอยู่”


จิ๊จิ๊ เจ้าดูสิท่าทางไม่ปกติของยัยคนนี้


จูจั้นหรี่ตามองนาง เขาแค่นเสียงหัวเราะ


“เจ้าดีที่สุดเร็วหน่อย รอคนที่นี่ตายหมด คนที่ตามมาทีหลังก็คงไม่มาที่วัดแห่งนี้อย่างเชื่อฟังเช่นนี้แล้ว” เขาเอ่ย “คนเหล่านี้จะไม่เชื่อฟังเจ้า จะวุ่นวาย ถึงเวลาเจ้าก็จะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว”


คุณหนูจวินส่งเสียงอืมทีหนึ่ง


“ข้ารู้แล้ว” นางเอ่ย


จูจั้นถลึงตามองนางทีหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวก้าวยาวเดินออกมา


เดินมาถึงปากประตูก็หยุดลงอีกครั้ง เหมือนเวลานี้เพิ่งสังเกตลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านข้าง


“ใต้เท้าลู่ เดินสิ” เขาเอ่ย “ตอนนี้ไม่ต้องจับตานางแล้ว นางหนีไม่ได้แล้ว”


ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง ไม่พูดจาหมุนตัวยกเท้าเดินออกไปก่อน


จูจั้นตามติดข้างหลังเขา


ในลานกลับมาเงียบอีกครั้ง


“ใต้เท้าลู่คนนี้มองดูแล้วกลัวบุตรชายเฉิงกั๋วกงมากจริงๆ นะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์โล่งอกเอ่ย แต่คิดถึงการตั้งคำถามของบุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ไม่พอใจมากอีกครั้ง “เขาก็ไม่ใช่คนดีคนหนึ่งเหมือนกัน”


คุณหนูจวินยิ้ม


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง” นางเอ่ย พลางลุกขึ้นยืน “ข้าไปอาบน้ำก่อน”


วัดกวงหวาในยามค่ำคืนจุดโคมไฟสว่าง เทียบกับวัดในอดีตแลดูคึกคักขึ้นมาก เพียงแต่เสียงร้องไห้ก็มากมาย ยามค่ำคืนมืดมิดลอยออกไปน่าสยองยิ่ง


“ตายอีกคนแล้วหรือ?”


ทหารสองนายที่ปิดจมูกอยู่ในห้องแห่งหนึ่งยกศพร่างหนึ่งออกมา ครอบครัวที่ยืนตัวตรงไม่อยู่ ร้องไห้ตามออกมาข้างหลัง


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไม่ใช่บอกว่ารักษาหายได้หรือ?” ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เอ่ย


“เป็นอย่างนี้ คนนี้ป่วยหนักเกินไปแล้ว พวกเจ้ามาสายเกินไป” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยออกมา


ผู้หญิงคนนั้นอยากพูดอะไรสุดท้ายก็กลืนลงไป ร้องไห้เดินตามศพไป


ศพนี้ไม่อาจนำกลับไปได้ จะเผาฝังอยู่ด้านหลังวัดกวงหวาตรงนี้


เสียงร้องไห้ยามค่ำคืนพร่างพรมไปตามทาง


ท่านหมอยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ


“ท่านหมอ เวลาไม่เช้าแล้ว ท่านไปพักกินอะไรหน่อยเถอะ” เฉินชีเอ่ย


ท่านหมอหวังได้สติกลับมา ราวกับไม่มีกำลังพูดแล้ว พยักหน้าให้เฉินชีเดินออกไป


ด้านในอุโบสถก็จุดโคมน้ำมันกับคบไฟสว่าง ส่องในอุโบสถสว่างดุจกลางวัน


ในห้องท่านหมอมากมายรวมตัวอยู่ กำลังคุยกันเสียงเบา มองเห็นท่านหมอหวังเดินเข้ามาก็มีคนเรียกเขาให้รีบนั่งลง


ท่านหมอหวังโบกมือ เดินตรงไปตรงหน้าคุณหนูจวินที่ก้มศีรษะพลิกอ่านบันทึกการรักษาของหลายวันนี้อยู่


“คุณหนูจวิน อาการป่วยเหมือนจะไม่บรรเทาอะไรเลยนะ” เขาเอ่ย


คำพูดนี้ทำให้ในอุโบสถเงียบลง บรรดาท่านหมอที่พูดคุยเสียงเบาก็มองข้ามมาด้วย สีหน้าลำบากใจอยู่บ้าง


ท่านหมอเฒ่าเฝิงกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง


“เวลายังสั้นอยู่” เขาเอ่ย


แต่ครั้งนี้คำพูดของเขาถูกขัดแล้ว


“ท่านหมอเฒ่าเฝิง ฝีดาษรุนแรง เจ็ดวันก็จบชีวิตได้” ท่านหมอคนหนึ่งสีหน้าแดงเล็กน้อยเอ่ย “รักษาโรคเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่มีคำพูดว่าเวลายังสั้นอยู่อะไร”


คำพูดนี้ทำให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงเงียบงันไป


“ใช่แล้ว หลายวันนี้คนตายมากขึ้นทุกที”


“เริ่มมีคนตั้งคำถามแล้วว่าทำไมรักษาไหวอ๋องหายดี”


หมออีกหลายคนเอ่ยตาม มองคุณหนูจวินด้วยสีหน้าร้อนรนอยู่บ้าง


“ใช้สุรา เซิงหม๋าของคุณหนูจวินอย่างไร อาการป่วยของคนมากมายก็ยังคงเลวร้ายขึ้น” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย


หรือสูตรยาใหม่นี่ของคุณหนูก็ใช้ไม่ได้?


“วันนี้คนที่ตั้งคำถามว่าทำไมไหวอ๋องรักษาหายได้ แต่พวกเขารักษาไม่หายยิ่งมากขึ้นทุกที” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย


คุณหนูจวินไม่ได้เงยหน้า ยื่นมือพลิกบันทึกการรักษาหน้าหนึ่ง


“ฝีดาษโรคนี้ ที่จริงเดิมทีก็ไม่มีทางแก้” นางเอ่ย “ยาเป็นเพียงตัวช่วย รักษาได้หรือไม่ได้ ที่จริงยังคงเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตของแต่ละคน”


ชะตาฟ้าลิขิตของแต่ละคน?


บรรดาท่านหมอสบตากันทีหนึ่ง


“คุณหนูจวิน ท่านจะบอกว่ายาของท่านไร้ประโยชน์หรือ?” คนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถาม


คุณหนูจวินหยุดมือเงยหน้า


“ก็ไม่อาจพูดได้ว่าไร้ประโยชน์ กับคนที่ใช้ได้ก็มีประโยชน์ดั่งมอบถ่านกลางหิมะ กับคนใช้ไม่ได้กลับไร้ประโยชน์ เช่นการเติมลายบนผ้าดิ้นเท่านั้น” นางเอ่ย


นี่มันสับสนวุ่นวายอันใด บรรดาท่านหมอคิดในใจ มองดูพระพุทธรูปภาพทวยเทพโปรดสัตว์รอบด้าน


หรืออยู่ที่นี่นานเข้าจะกลายเป็นบ้าๆ บอๆ เหมือนพวกพระแล้ว?


“ก็มีคนดีขึ้น” คุณหนูจวินเอ่ย ชี้การรักษากรณีหนึ่ง “ข้าดูท่าผู้ป่วยคนนี้น่าจะใกล้ผ่านพ้นไปได้แล้ว”


นี่เป็นข่าวที่ให้กำลังใจคนข่าวหนึ่ง บรรดาหมอรีบล้อมเข้ามาดูที่นางชี้ ลืมความทุกข์ชั่วคราว


“ไข้สูงของเขาลดลงแล้ว แผลที่มีหนองก็เริ่มสมานแล้ว” คุณหนูจวินชี้เอ่ย


จริงแท้ ความน่ากลัวของฝีดาษก็คือปากแผลรักษาไม่หาย หนองไหล ไข้สูง หากลดความร้อนและรักษาปากแผลได้ นั่นย่อมดีขึ้นจริงๆ แล้ว


ทุกคนมองอย่างดีใจ


“ต้องเปลี่ยนห้องให้เขา”


“คืนนี้ก็ย้ายไปเลย”


คุณหนูจวินกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง


“ที่จริงไม่ต้อง ก็ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละ” นางเอ่ย


ที่นั่นยังมีคนป่วยวิกฤติใกล้ตายอยู่หลายคน หากติดอีกครั้งอาการหนักขึ้น…


คุณหนูจวินส่ายศีรษะ


“ไม่เป็นไร” นางเอ่ย แล้วเสริมอีกหนึ่งประโยค “ไม่มีทาง”


นางพูดแล้วช่างเถิด ไม่อย่างนั้นจะอย่างไรได้อีก บรรดาท่านหมอไม่โต้แย้งอันใดอีก พูดคุยถึงกรณีของผู้ป่วยคนนี้เสียงเบา ค่ำคืนดึกดื่นคนสงบ บรรดาท่านหมอค่อยๆ แยกย้าย ในอุโบสถเหลือเพียงคุณหนูจวินคนเดียว ไฟโคมยังคงสว่างไสว


เฉินชีเดินเข้ามาจากด้านนอก สีหน้าวิตกอยู่บ้าง


“ยาของเจ้าไม่ได้ผลจริงๆ หรือ?” เขากดเสียงเอ่ยถาม


ยาได้ผลหรือไม่เป็นเรื่องที่เห็นชัดยิ่ง นี่ปิดบังไม่อยู่


คุณหนูจวินยืนขึ้นพยักหน้า


“ไม่กล้ารับประกันว่าได้ยาโรคหาย” นางเอ่ย


จริงๆ ด้วย เฉินซีสีหน้ากังวลอยู่บ้าง ถูมือ


“นี่จะทำอย่างไร?” เขาพึมพำเสียงเบาเอ่ย “เดิมทีเจ้าก็รักษาไม่หายนี่”


คุณหนูจวินหันหน้ากลับมามองพระพุทธรูปในอุโบสถ


นางรักษาฝีดาษที่อาการของโรคปรากฏแล้วไม่หาย นอกจากนี้เดิมนางก็ไม่ได้มาเพื่อรักษาฝีดาษให้หาย


…………………………………………………………………


บทที่ 21 ข้าผิดหวังนัก

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่เจียงโหย่วซู่เดินเข้ามาในวังไทเฮา พระสนมหลายคนพาองค์ชายองค์หญิงมาเล่นอยู่ที่นี่


เห็นเจียงโหย่วซู่เดินเข้ามา พระสนมคนหนึ่งก็ตกใจสะดุ้งโหยง รีบยื่นมือกอดบุตรไว้


“หมอหลวงเจียง พักนี้ท่านไปที่วัดกวงหวาหรือเปล่า?” นางเอ่ยถาม สีหน้าระแวง


เจียงโหย่วซู่ยืนอยู่ที่ปากทางเข้าประตูคำนับ


“พระสนมวางพระทัย ข้าไม่ได้ไปวัดกวงหวา” เขาเอ่ย “พวกข้าวิชาฝีมือไม่ชำนาญ คุณหนูจวินไม่ต้องการ”


พระสนมคนนั้นตอนนี้ถึงวางใจส่งสัญญาณให้เขาเข้ามา


ไทเฮาที่เอนพิงหมอนอิงอยู่ขมวดคิ้ว


“หมอหลวง นางรังเกียจว่าฝีมือไม่ถึง ถ้าอย่างนั้นฝีดาษนี่นางรักษาเป็นอย่างไร?” นางตรัสถาม


เจียงโหย่วซู่คำนับนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าไทเฮา หยิบหมอรองจับชีพจรมาตรวจชีพจรให้ไทเฮา


“เรื่องนี้กระหม่อมไม่ทราบ” เขาเอ่ยตอบ


พระสนมด้านข้างหัวเราะ


“หมอหลวงไม่รู้ได้อย่างไรเล่า?” นางตรัสขึ้น


เจียงโหย่วซู่หลุบตา


“วัดกวงหวาระวังเคร่งครัด หัวหน้ากองพันลู่องครักษ์เสื้อแพรเฝ้าด้วยตนเอง สภาพด้านในไม่เปิดเผยกับข้างนอก” เขาเอ่ย “พวกเราส่งเครื่องยาตามที่นางสั่งทุกวันก็ไม่อาจเข้าไปในวัดได้”


ไทเฮาทรงพระสรวลแล้ว


“บุญกุศลใหญ่เช่นนี้ ทำไมซ่อนเล่า” นางตรัส ขันทีข้างกายโบกมือ “ไป ถามฝ่าบาทดู บอกว่าข้าอยากรู้ ผู้ป่วยฝีดาษนี่คุณหนูจวินรักษาหายดีเท่าไรแล้ว?”


ขันทีรับคำสั่งออกไป ส่วนเจียงโหย่วซู่เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาบอกกับไทเฮาเรื่องที่ต้องระวังในประจำวัน แล้วดึงองค์หญิงน้อยองค์ชายน้อยมาฟังดูถามจับชีพจรด้วย


“ดีอยู่ ดีอยู่ ดีกันหมด” เจียงโหย่วซู่ท้ายที่สุดยิ้มเอ่ย


บรรดาไทเฮาพระสนมดีใจมาก


“ตั้งแต่กินยาของหมอหลวง องค์หญิงน้อยก็ไม่โวยวายร้องไห้ตอนกลางคืนแล้ว” พระสนมคนหนึ่งเอ่ย


“วิชาแพทย์ของหมอหลวงเจียงนั่นวางใจได้อย่างแท้จริง” ไทเฮาสรวลตรัสขึ้น


เจียงโหย่วซู่รีบยิ้มเอ่ยไม่กล้า


กำลังยิ้มอยู่ขันทีคนนี้ก็กลับมา สีหน้าวิตกอยู่บ้าง อยากพูดก็หยุด


“เป็นอย่างไร?” ไทเฮาขมวดพระขนงตรัสถาม


“ตอบพระนาง ฝ่าบาทตรัสว่าตั้งแต่วัดกวงหวารับรักษามาถึงตอนนี้ รักษาหายแล้ว…” ขันทีค้อมกายเอ่ย เสียงยิ่งเบาลงๆ


“เท่าไร?” ไทเฮาเร่งสุรเสียงดังขึ้น


ขันทีตัวสั่นนิดหนึ่ง


“เจ็ดคน” เขาก็เอ่ยตอบเสียงดังด้วย


ในตำหนักเงียบกริบ คนที่อยู่ที่นั่นสีหน้าอึ้ง


เจ็ดคน?


เสียงป้าบดังกังวาน ไทเฮาปัดถ้วยน้ำชาด้านหน้าตกลงพื้น


“เหลวไหล!” นางคิ้วตั้งตวาดเอ่ย ยกมือพลิกโต๊ะอีก


คนในตำหนักคุกเข่าลงพรึบ ก้มตัวกับพื้นสั่นสะท้าน


“ไทเฮาโปรดระงับโทสะ” พวกเขาเอ่ยเสียงสั่น


เจียงโหย่วซู่ก็คุกเข่าลงด้านข้างด้วย บนใบหน้าที่ก้มต่ำรอยยิ้มบางแล่นผ่าน


โทสะนี่ระงับไม่อยู่แล้ว


“ข้าผิดหวังเหลือเกินจริงๆ!” ไทเฮาคิ้วตั้งตวาดเอ่ย



“วัดกวงหวาถึงวันนี้รับรักษาหนึ่งร้อยสามสิบคน”


“ถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วสิบวัน คนตายมากถึงสามสิบคน รายงานยืนยันว่ารักษาหายเจ็ดคน”


“นี่เรียกรักษาได้อะไรกัน? นี่เรียกรักษาได้รึ?”


“ด้านในวัดกวงหวาเสียงร้องไห้โหยหวน เรือนด้านหลังเผาศพคนตายแทบจะไม่ขาดดุจดั่งนรกบนดิน”


“ได้ยินว่ามีผู้ใหญ่ที่ดูแลคนป่วยติดโรคแล้ว”


ฝีดาษโดยทั่วไปเป็นเด็กๆ ป่วยเสียมาก ผู้ใหญ่ติดก็มีอยู่ แต่เทียบกับเด็กดีกว่าอยู่บ้าง หากไม่แบ่งแยกผู้ใหญ่เด็กล้วนติดโรคหมด ถ้าอย่างนั้นฝีดาษนี่ก็ร้ายกาจนักจริงๆ แล้ว


นี่เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะกลายเป็นโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ไม่ได้คุกคามแค่เด็กๆ


หลังการตั้งคำถามของไทเฮา ข่าวก็แพร่ไปทั่วในราชสำนัก จุดคลื่นความสับสนลูกใหญ่ขึ้นทันที


“คนเหล่านี้ พวกเขาที่แท้ทำอะไรอยู่ข้างใน?”


“เอานางมาถาม”


ลู่อวิ๋นฉีที่ได้ยินประโยคนี้มองไปทางคนเอ่ยวาจา


“หลังจากนั้นเล่า?” เขาเอ่ยขึ้น


หลังจากนั้นที่ควรตัดสินโทษก็ตัดสินโทษ ควรปลอบประโลมประชาชนก็ปลอบประโลมประชาชนสิ ขุนนางใหญ่ขมวดคิ้ว


“เวลานี้วัดกวงหวายังมีผู้คนอีกหลายสิบและคนที่เร่งเดินทางมาจากที่อื่นนับไม่ถ้วน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “หากจับนางไป ตัดสินโทษท่านหมอเหล่านี้ ชาวบ้านเหล่านี้จะจัดการอย่างไร?”


จะให้คนรับรักษาอีกย่อมไม่ได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นคนเหล่านี้อลหม่านขึ้นมา วิ่งไปทุกหนทุกแห่งคงจะ…


ในท้องพระโรงเงียบลง


“พิษฝีดาษรวดเร็วรุนแรง เมื่อควบคุมไม่อยู่ปุบก็ประหนึ่งน้ำไหลบ่าสัตว์ร้าย ใต้พระบาทโอรสสวรรค์ไม่อาจให้ผิดพลาด” ขุนนางคนหนึ่งสีหน้าเคร่งขึมเอ่ย “เรื่องนี้จำต้องเก็บเป็นความลับดีกว่า”


เก็บเป็นความลับ?


“หลังจากนั้นบอกทางการทุกที่ ตรวจสอบผู้ป่วยฝีดาษที่ควรกักตัว” ขุนนางคนนั้นเอ่ยต่อ “ชาวบ้านที่อยู่ระหว่างเดินทางจัดการให้ไปถึงวัดกวงหวาให้ราบรื่น”


หลังจากนั้นเล่า?


“หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ย


จะไม่มีอะไรแล้วได้อย่างไร? ขุนนางในที่นั้นตะลึง แต่จากนั้นก็ล้วนคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


บนหนังสือประวัติศาสตร์บันทึกการระบาดของฝีดาษครั้งหนึ่งที่หลิ่งหนานไว้ ฝีดาษครั้งนั้นไม่เพียงเด็กน้อยตายมากมาย ผู้ใหญ่ก็ติดไปด้วย จู่โจมร้ายกาจจนเจ้าผู้ปกครองไร้หนทาง ตอนนั้นผู้บังคับบัญชาทหารประจำการจึงออกคำสั่งให้รวมผู้ป่วยทั้งหมดสังหารหมู่ หลังเหตุการณ์ผู้บัญชาการทหารถูกราชสำนักกำหนดโทษ แต่วิธีของผู้บัญชาการทหารก็เป็นการกระทำที่ต้องทำไร้ทางเลือกเช่นกัน


ถ้าอย่างนั้นลู่อวิ๋นฉีคงจะไม่ทำเช่นนี้ด้วยหรอกกระมัง


ไม่เสียทีที่เป็นเจ้าวายร้ายจริงๆ เลือดเย็นไร้หัวใจ นั่นเป็นถึงชาวบ้านร้อยกว่าคนเชียวนะ


บรรดาขุนนางสีหน้าหวาดกลัว


ขุนนางที่ก่อนหน้านี้เสนอความเห็น ลูบเคราไม่พูดจา ประหนึ่งตนเองไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ฟังไม่เข้าใจว่าลู่อวิ๋นฉีพูดอะไร


“โรงหมอจิ่วหลิงบอกว่ารักษาฝีดาษได้ ชาวบ้านเชื่อถือ” ขุนนางคนหนึ่งกระแอมเอ่ย “ตอนนี้ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ไม่บอกว่ารักษาไม่ได้ พวกเราตอนนี้บอกว่านางรักษาไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์”


ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเขา เรื่องนี้ล้วนเป็นผู้หญิงคนนั้นก่อขึ้น ผลที่ตามมาย่อมต้องให้นางแบกรับเช่นกัน


บรรดาขุนนางส่ายศีรษะถอนหายใจ ไม่เอ่ยเร่งให้เอาตัวคุณหนูจวินมาตัดสินโทษอีก ตอนที่กำลังถกกันเสียงเบา ขันทีก็ประกาศว่าฮ่องเต้เสด็จ บรรดาขุนนางรีบจัดอาภรณ์เก็บวาจา วางสีหน้าเข้าไปในท้องพระโรง


ลู่อวิ๋นฉีกลับตรงกันข้าม มองขุนนางทั้งหลายเหล่านี้เดินเรียงแถวเข้าไปก็หมุนตัวจากไป


สายลมใบไม้ผลิเดือนสองดุจดาบฟันตัด พัดจนบนหน้าคนเจ็บแปลบ


หนิงอวิ๋นเจาดึงหน้าต่างปิด คิ้วขมวดแน่น


“คุณชาย ยังห่างจากการสอบเหลืออีกหนึ่งเดือน ท่านอย่าเคร่งเครียด” เสี่ยวติงอยู่ข้างหลังตื่นเต้นเอ่ยขึ้น


หนิงอวิ๋นเขามองเขาทีหนึ่งยิ้ม


“ในใจมีแผนการมีอะไรให้เคร่งเครียด” เขาเอ่ย


เสี่ยวติงหัวเราะหึหึ


“อีกอย่าง ปีนี้ไม่สำเร็จ สามปีให้หลังค่อยมา ก็ไม่ใช่ว่าไร้ทางถอย มีอะไรให้เคร่งเครียด” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย


เสี่ยวติงร้องอั้ยโยะ


“คุณชาย พวกเราพูดจาท้อถอยเช่นนี้ไม่ได้” เขาเอ่ย


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม


นี่เป็นถ้อยคำท้อถอยอะไร นี่กลับเป็นคำพูดให้กำลังใจ นอกจากชีวิตและความตายไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องใหญ่ มีอะไรให้เคร่งเครียด เทียบกับเด็กสาวที่เผชิญหน้ากับความเป็นความตายเรื่องใหญ่คนนั้นไม่คู่ควรพูดถึง


ขอพรให้นางผ่านการทดสอบครั้งใหญ่ครั้งนี้อย่างราบรื่น


ก็ได้แต่ขอพรแล้ว อย่างอื่นเขาล้วนช่วยไม่ได้



“คุณหนูจวิน”


ด้านในโถงพระประธานเฉินชีสีหน้าวิตกเข้ามา มองเห็นท่านหมอหลายคนอยู่ก็หยุดพูดไปอีกครั้ง


ท่านหมอมองเห็นเขาแล้ว แล้วก็มองออกว่าเขาอยากพูดก็หยุดไป


“มีอะไรก็พูดเถอะ ทุกคนตอนนี้เป็นมดบนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย


เวลานี้ยังมีกะจิตกะใจพูดเล่นอีก


เฉินชีหัวเราะฝืดๆ ทีหนึ่ง


เอาล่ะ จิ่นซิ่วบอกแล้ว ทุกอย่างทำตามที่นางว่า


“นอกจากพวกองครักษ์เสื้อแพร ทหารจำนวนมากก็มาด้วย ตอนนี้ไม่ให้ออกไปข้างนอกแล้ว” เขาเอ่ย “ก่อนหน้านี้พวกพนักงานยังออกไปผลัดเวรพักผ่อนได้ ตอนนี้ล้วนถูกไล่ให้กลับมา”


ไม่ให้ออกไปแล้ว?


ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าที่นี่ปิดตายแล้ว


ที่นี่ก่อนหน้านี้ก็ปิดอยู่แล้ว แต่การปิดเวลานั้นแค่เฉพาะกับผู้ป่วยฝีดาษ ตอนนี้เห็นชัดว่ากับพวกเขาด้วยแล้ว


บนหน้าท่านหมอทั้งหลายสีหน้าสับสน


“นี่ก็ไม่มีอะไร วันนี้รักษาไม่ได้ดังใจคน คนตายยิ่งมากขึ้นทุกที คนข้างนอกคงเริ่มตั้งคำถามแล้ว” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “คงเริ่มกลัวแล้วด้วย”


“ไม่อย่างนั้น พวกเราบอกว่ารักษาไม่ได้เถอะ” เฉินชีอดไม่ได้เอ่ย “เป็นฝ่ายยอมรับ ให้ราชสำนักคิดหาวิธีเถอะ”


“ถ้าพวกเขาคิดวิธีได้แต่แรก ยังต้องให้พวกเรามาอยู่ที่นี่หรือ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย


เฉินชีไร้คำพูดแล้ว


“ที่คุณหนูจวินบอกกับพวกเราตอนเริ่มแรกก็คือขอความช่วยเหลือให้มาด้วยกัน นางก็ไม่ได้บอกว่ามั่นใจแน่นอน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “สถานการณ์วันนี้เวลานี้ ทุกคนก็คงคิดไว้แล้ว”


บรรดาท่านหมอยิ้ม


“ตาเฒ่าเฝิงเจ้าไม่ต้องปลอบหรอก” ท่านหมอคนหนึ่งยิ้มเอ่ย มองไปด้านนอก ได้ยินเสียงร้องไห้ที่ไม่เคยหยุดลงในหู “มาถึงวันนี้พวกเราเองก็ไม่คิดจากไป”


“ใช่แล้ว พวกเราไปก็ไม่มีใครดูแลพวกเขาจริงๆ แล้ว” ท่านหมออีกคนเอ่ย


เฉินชีมองบรรดาท่านหมอเหล่านี้ สีหน้าหลากหลายอารมณ์ยิ่งนัก


ตอนแรกคุณหนูชื่อเสียงโด่งดังเชิญพวกเขามายังต้องเปลืองวาจา วันนี้เวลาที่ยากลำบากที่สุดท่านหมอเหล่านี้ถึงกับไม่ต้องเอ่ยกล่อม


……………………………………….


บทที่ 22 ตอนนี้รอดูไปก่อน

โดย

Ink Stone_Romance

สีหน้าสับสนและปลงของเฉินชี บรรดาท่านหมอไม่สนใจ พลิกอ่านบันทึกการรักษาหารือยาที่ใช้ต่อ


เฉินชีนิ่งงันมองอยู่ครู่หนึ่ง


“ข้าไปทำงานล่ะ” เขาเอ่ยหมุนตัวออกไป


คุณหนูจวินไม่ได้อ่านบันทึกการรักษาต่อ ลุกขึ้นยืนเดินออกไป เพิ่งมาถึงปากประตูก็มองเห็นจูจั้นก้าวยาวมา


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่ถูกปิดไว้แล้ว?” เขาเอ่ย


“เพิ่งรู้” คุณหนูจวินเอ่ย สีหน้ายังคงไม่รีบร้อนไม่ลนลาน


“ที่แท้เจ้าไหวหรือไม่ไหวฮะ?” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย


คุณหนูจวินไม่ได้ตอบคำถามมองออกไปด้านนอก


“นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้าจริงๆ” นางเอ่ย


อะไรนะ? จูจั้นอึ้งไปนิดหนึ่ง ไหวไม่ไหวไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาง? ขึ้นอยู่กับใคร? ยังแสร้งทำลึกลับทำอะไร?


เขากำลังจะถาม เฉินชีที่เพิ่งเดินออกไปก็วิ่งเข้ามาอีกครั้ง


“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมาแล้ว” เขาเอ่ยสีหน้าพิกล “เขายังเอาวัวมากมายมาด้วย”


วัว?


วัวก็เอามาทำยาได้หรือ?


จูจั้นคิด พลันเห็นบนหน้าเด็กสาวคนนี้เผยรอยยิ้ม ประหนึ่งบุปผาแย้มบาน


“ตอนนี้ไหวแล้ว” นางเอ่ย



ด้านนอกวัดกวงหวากลายเป็นครึกครื้นมาก


ด้านนอกวัดกวงหวาครึกครื้นมาตลอด ทุกวันล้วนมีผู้ป่วยฝีดาษที่ได้ข่าวเร่งเดินทางมาขอรักษา


แม้ฝีดาษร้ายแรง บิดามารดาเหล่านี้ก็ยังคงพาเด็กน้อยเร่งเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยความเร็วเร็วที่สุด เพื่อขอโอกาสรอดเส้นสุดท้าย


ความครึกครื้นที่โศกเศร้าเช่นนี้ทำให้คนประหลาดใจ


แต่ตอนนี้ด้านนอกวัดกวงหวาไม่ใช่ผู้ป่วยฝีดาษ และไม่ใช่คนงานของสำนักแพทย์หลวงที่มาส่งยาส่งของ แต่เป็นคนของเต๋อเซิ่งชาง ไม่ใช่มีแค่คน ยังมีวัวสิบกว่าตัวด้วย


ด้านหน้าวัดกวงหวาคนสัตว์วุ่นวายเอะอะไปหมด


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว”


คุณหนูจวินพาเฉินชีออกมารับ จูจั้นก็เดินตามมาข้างหลังด้วย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพาใบหน้าเหน็ดเหนื่อยเดินมาข้างหน้า


“คุณหนูจวิน ตามที่ท่านสั่ง หาได้แค่เท่านี้ หายากนักจริงๆ ข้ากลัวมาไม่ทันจึงส่งกลุ่มแรกมาก่อน” เขาเอ่ย


“ลำบากแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย ไม่ทันสนใจพูดจา เดินผ่านเขาตรงไปดูวัวเหล่านี้


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เฉินชีรีบดึงเขาไว้


“ช่วงนี้เร่งด่วนมากจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเบา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้ม


“ข้าย่อมรู้ ข้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่ยังสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้” เขาเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินยืนอยู่ด้านหน้าวัวแล้ว


วัวเหล่านี้ขนาดไม่เท่ากัน พันธุ์ต่างกัน น่าจะพาตรงมาที่นี่เลย บนร่างทั้งสกปรกทั้งเหม็น


คุณหนูจวินกลับวางมือบนตัววัวที่ใกล้ที่สุดตรงๆ มองสำรวจบนล่างอย่างละเอียด



“เจ้าดูตรงนี้”


ผู้ชายคนนั้นเหมือนอยู่ตรงหน้าหันกลับมา ชี้ท้องวัวที่กำลังกินหญ้าอยู่ตัวหนึ่ง


นางบีบจมูกยืนห่างไปหลายก้าว


“มองอะไร?” นางเอ่ยถามเสียงอู้อี้


“มองอะไร? มองบุญกุศลครั้งใหญ่” ผู้ชายเอ่ยขึ้นกวักมือให้นางอีกครั้ง


นางเดินเข้าไปอย่างไม่สมัครใจยินยอม นั่งยองๆ มองข้ามไป



มือของคุณหนูจวินหยุดลง มองจุดฝีลายพร้อยบนท้องของวัว


นางลุกขึ้นแล้วไปดูอีกตัวหนึ่ง ตัวหนึ่งแล้วก็อีกตัวหนึ่ง ตั้งใจมองวัวทั้งสิบสามตัวจนเสร็จ ตอนนี้ถึงลุกขึ้นยืนมองไปทางผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” นางเอ่ย “ท่านเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของปวงชน”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้ม รู้สึกว่าคำพูดนี้เกินจริงมากไปอยู่บ้าง แล้วก็รู้สึกว่าในใจอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด


เด็กคนนี้ เอาใจคนให้เบิกบานเก่งจริงๆ หากนางยินดีน่ะนะ


“คุณหนูจวิน พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านต้องการไหม?” เขาเอ่ยถาม


คุณหนูจวินพยักหน้า


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วจัดการธุระ คนวางใจได้จริงๆ” นางเอ่ย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มอีกครั้ง เฉินชีก้าวไปข้างหน้า


“ถ้าอย่างนั้นวัวเหล่านี้ต้อนไปในวัดหมดเลยไหม?” เขาเอ่ยถาม


คุณหนูจวินพยักหน้า


เฉินชีจึงรีบกวักมือเรียกคนมาต้อนวัว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็รีบให้พวกพนักงานมาช่วย เฉินชีกลับห้ามเขาไว้


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเรื่องเหล่านี้พวกเราจัดการเอง พวกท่านลำบากมานานขนาดนนี้ล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ย


“ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก อย่างไรข้าก็ต้องส่งเข้าไป” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย


เฉินชียื่นมือขวาง ยืนยันไม่ให้เข้าอีกครั้ง


“พอแล้ว กลับไปเถอะ ตอนนี้วันนี้วัดกวงหวาอนุญาตให้เข้ามาเท่านั้นไม่ให้ออก” เสียงของจูจั้นดังมาจากบนบันไดสูงขึ้นไป


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วร่างแข็งทื่อ เดิมทีไม่ได้ตั้งกฎไว้เช่นนี้ สายตาของเขากวาดรอบด้าน


มิน่าทหารเพิ่มขึ้นมามากมายเช่นนี้


ถึงกับอนุญาตให้เข้าเท่านั้นไม่ให้ออก ถ้าอย่างนั้นสภาพด้านในวัดกวงหวาเลวร้ายมากใช่หรือไม่?


เฉินชีตบแขนเขา


“ท่านกลับไปเถอะ ท่านอยู่ข้างนอกสะดวกกว่า” เขาเอ่ยเสียงเบา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองไปทางคุณหนูจวิน คุณหนูจวินยกเท้าเดินเข้าไปในวัดแล้ว ได้ยินจึงหยุดยืนบนบันไดหันกลับมามอง


“ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างล้วนไม่มีปัญหา” นางยิ้มเอ่ย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มบ้างแล้ว


ท่าทางนี้ยังเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าสถานการณ์วิกฤติมากเท่าไร คนอื่นล้วนเป็นห่วงร้อนใจดังไฟลน นางก็ยังคงเหมือนไม่มีเรื่องทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ


แต่ตลอดมาก็พิสูจน์ว่าทุกสิ่งอยู่ในกำมือนางจริงๆ


“ดี ถ้าอย่างนั้นข้าพาคนกลับไปพักก่อน ยังมีสิ่งใดต้องการค่อยแจ้งพวกเรา” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย ไม่ได้ก้าวเข้าไปข้างหน้าอีก


คุณหนูจวินพยักหน้าหมุนตัวก้าวไวๆ ตามบันไดขึ้นไป


ส่วนเฉินชีร้องเรียกเหล่าทหารรอบด้าน


“มามามา นายท่านทหารทั้งหลายมาช่วยงาน” เขาเอ่ย


พวกนายทหารสบตากันทีหนึ่งเหมือนไม่รู้ว่าควรช่วยหรือไม่


“ช่วยงาน” เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังขึ้นข้างหลัง


ทุกคนมองข้ามไป เห็นเขาพาองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา


มีคำพูดของเขา บรรดานายทหารก็ก้าวเข้าไปทันที


บันไดที่มุ่งไปยังวัดกวงหวากลายเป็นเอะอะทันที เสียงตะโกนโหวกเหวกเสียงวัวปะปนกัน แม้วัวเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่ยังดีที่นิสัยเชื่อง วัวสิบกว่าตัวต้อนเข้ามาในวัดอย่างรวดเร็ว


ด้านนอกวัดเหลือเพียงพวกผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว รวมถึงองครักษ์เสื้อแพรที่ลู่อวิ๋นฉีพามา ยังมีจูจั้นที่ยืนพิงต้นไม้อยู่บนบันได


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเก็บสายตากลับ พาคนจากไปแล้ว


ลู่อวิ๋นฉีเดินขึ้นมาตามบันได พวกองครักษ์เสื้อแพรตามอยู่ข้างหลังเขา ตอนที่ผ่านจูจั้น จูจั้นฉับพลันก็หยัดร่างขึ้นยื่นมือคล้องหัวไหล่ลู่อวิ๋นฉีไว้


พวกองครักษ์เสื้อแพรขยับพร้อมเพรียง บนเส้นทางขึ้นภูเขาบรรยากาศนิ่งค้าง


มือของลู่อวิ๋นฉีกดอยู่บนแขนของจูจั้น สองคนสีหน้าราบเรียบ แต่เสื้อผ้านูนขึ้นมา เห็นชัดว่าลอบใช้แรงอยู่


“เจ้าพุทราน้อย มามามา พวกเราคุยกันหน่อยซิ” จูจั้นเอ่ย มือคล้องไหล่ลู่อวิ๋นฉีลากเขาเข้ามาก้าวหนึ่ง


ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ข้างหน้าเขา


สองคนศีรษะไล่เลี่ยกัน แต่ลู่อวิ๋นฉีผอม จูจั้นบึกบึนจึงแลดูสูงกว่าอยู่บ้าง


ลู่อวิ๋นฉีมองเขาหน้าไร้อารมณ์


ส่วนจูจั้นยิ้มดั่งสหายที่คุ้นเคยสนิทสนมคนหนึ่ง


“ข้าอยากถามเจ้ามาตลอด เรื่องไร้มนุษยธรรมทำลายจิตใจดีงามทำมากเข้า” เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง “เจ้าฝันร้ายได้หรือไม่?”


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรสองด้านโกรธ อยากขยับอีกครั้ง ลู่อวิ๋นฉียกมือห้าม


“ไม่” เขาเอ่ยตอบ


“เพื่อทำลายชื่อชื่อหนึ่ง เจ้าเอาคนมากมายขนาดนี้ลงสุสานไปด้วย ในใจไม่รู้สึกผิดสักนิดจริงรึ?” จูจั้นเอ่ยถาม ยังยื่นมือตบหน้าอกของลู่อวิ๋นฉี


“ไม่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบอีกครั้ง แล้วมองจูจั้น “ข้ายังทำลายชื่อคนได้มากกว่านี้ ตัวอย่างเช่นเฉิงกั๋วกง”


จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่า ยกมือต่อยลู่อวิ๋นฉีหนึ่งหมัด


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรโถมขึ้นมา จูจั้นถอยไปข้างหลัง หลบไปแล้ว


ลู่อวิ๋นฉียกมือห้ามพวกองครักษ์เสื้อแพรที่ชักดาบออกมา


“ข้าจะรอ” จูจั้นเอ่ย หมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป


ลู่อวิ๋นฉียกมือเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก สายตาเย็นเยียบมองแผ่นหลังของจูจั้น



คุณหนูจวินก็จดจ่อกับการจ้องมองวัวในลาน


ตั้งแต่นำวัวต้อนเข้ามา นางก็มองอยู่อย่างนี้ครึ่งวันแล้ว


หลิ่วเอ๋อร์ก็สงสัย เบนศีรษะมองตามไปด้วย


“คุณหนู ท่านหมอเฝิงพวกเขารอท่านอยู่นะเจ้าคะ” นางเอ่ยเตือน ทั้งกดเสียงเบา “ท่านอยากกินเนื้อวัวหรือเจ้าคะ?”


คุณหนูจวินหลุดยิ้ม


“อยากกินก็ไม่เป็นไร อยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้าเข้ามา” หลิ่วเอ๋อร์กดเสียงเบาเอ่ย


ทุกวันนี้ราชวงศ์ต้าโจวมีกฎหมายห้ามสังหารวัว


คุณหนูจวินยิ้ม


“ไม่ใช่ เจ้าบอกทุกคนตอนนี้ให้รอก่อน” นางเอ่ย “มีของดีจะให้ทุกคนดู”


……………………………………….


บทที่ 23 สิ่งที่จะทำ

โดย

Ink Stone_Romance

คุณหนูจวินก้มตัวมองส่วนท้องของวัว ข้างกายเหมือนมีคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา


“เจ้าดู สิ่งนี้แหละ”


ผู้ชายคนนั้นใช้ตะไบชี้รอยฝี หลังจากนั้นทิ่มอย่างแรงจนแตก แล้วเอาก้านกกก้านหนึ่งรับ


มีน้ำหนองไหลออกมาช้าๆ


“สิ่งนี้ทำไม?” นางเอ่ยถามไม่เข้าใจ


ผู้ชายหมุนตัวส่ายก้านกกในมือไปมา


“สิ่งนี้น่ะนะ จะทำให้คนชีวิตนี้ไม่ถูกฝีดาษทำร้าย นอกจากนั้นน่าจะปลอดภัยกว่าฝีของคนอยู่บ้าง” เขาเอ่ย


“จริงหรือหลอก?” นางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเอ่ยถาม พลางบีบจมูก


ในคอกวัวเหม็นจริงๆ นะ


ผู้ชายยักคิ้วให้นาง ยื่นก้านกกมา


“จริงหรือหลอก เจ้าไปลองดูไม่ใช่ก็รู้แล้วรึ” เขาเอ่ย


นางรีบถอยหลังหลีกหลบ ถลึงตาหงุดหงิดอยู่บ้าง


“ท่านทำไมไม่ลอง?”


ผู้ชายจิ๊ปากผายมือ


“ข้าเป็นหมอเทวดาอยู่ดีๆ ก็พอแล้ว ไม่อยากถูกคนไล่ตี” เขาเอ่ย


สิ้นเสียงของเขา ด้านนอกเสียงตะโกนก็ลอยมา


“พวกเจ้าสองคนทำอะไร?”


พร้อมกับที่ผู้ชายชาวนาสามสี่คนเดินเข้ามา


ผู้ชายรีบยิ้มลุกขึ้นยืน


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ผ่านทางทำเลดีจึงหยุดพักผ่อนสักครู่” เขาเอ่ย


ทำเลดีพักผ่อน?


“วิ่งมาในคอกวัวบ้านข้าพักผ่อน?” พวกผู้ชายชาวนานสีหน้าอึ้ง


พลันผู้ชายคนหนึ่งก็ยื่นมือชี้วัว


“พี่ ท่านดู ท้องวัวเลือดไหลแล้ว” เขาร้องบอก


ผู้ชายรีบโบกมือ


“ไม่ใช่เลือดไหล ไม่ใช่เลือดไหล” เขาเอ่ย “พวกเจ้าฟังข้าพูด นี่เป็น…


ได้ยินเขาจะอธิบาย บรรดาผู้ชายชาวนาจึงกดความโกรธชั่วคราว แต่กลับเห็นผู้ชายคนนี้คว้าเด็กผู้หญิงที่บีบจมูกคนนั้นไว้กระโดดข้ามคอกวัว วิ่งหนีประหนึ่งบินไปแล้ว


หนีไปแล้ว…


“มีโจรขโมยวัวเจ้าข้า!”


“มาช่วยกันเร็ว!”


“จับเขาไว้!”


หลังร่างเสียงตะโกนโหวกเหวก เสียงตีฆ้องตีกลอง หมู่บ้านภูเขาทั้งหมดถูกป่วนวุ่นวาย



เสียงฝีเท้ารัวสับสนดังมาจากด้านหลังร่าง


“คุณหนูจวิน”


คุณหนูจวินหันกลับมามองพวกท่านหมอเฝิง


บรรดาท่านหมอกำลังมองวัวเต็มลาน สีหน้าประหลาดใจ


พวกเขาได้ยินว่าเต๋อเซิ่งชางส่งวัวสิบกว่าตัวมา คุณหนูจวินยังให้ลิ่วเอ๋อร์มาบอกให้พวกเขารอดูของดี นี่ประหลาดจริงๆ นะ หรือวัวนี่มีตรงไหนใช้เป็นยาได้หรือ?


“คุณหนูจวิน บันทึกการรักษาของวันนี้เรียบเรียงเสร็จแล้ว” ท่านหมอเฝิงเอ่ย


คุณหนูจวินกลับไม่ได้ไปดูบันทึกการรักษากับพวกเขาทันทีเหมือนเมื่อวานเช่นนั้น


“บันทึกการรักษาเหล่านี้พวกท่านดูไปก่อนเถิด” นางว่า พูดจบก็หมุนตัวมองวัวอีก


พวกท่านหมอเฝิงมองหน้ากัน แลกสายตากันแล้วได้แต่จากไป


จนกระทั่งถึงเช้าวันที่สอง คุณหนูจวินก็ยังไม่ปรากฏตตัว


“ดูวัวอยู่ตลอด?”


“วัวมีอะไรน่าดูรึ?”


พวกท่านหมอถกกันเสียงเบา แต่เห็นชัดว่าวัวนี่สำหรับคุณหนูจวินแล้วน่าดูยิ่งนัก หนึ่งวันนี้นางล้วนไม่ได้มาให้ยาไถ่ถามผู้ป่วย


“คุณหนูจวินล่ะ? หรือคุณหนูจวินไม่สนพวกเราแล้ว?” ครอบครัวผู้ป่วยที่อารมณ์ยิ่งร้อนใจขึ้นทุกทีเอ่ยถามอยู่เป็นระยะ


บรรดาท่านหมอแต่ละคนเอ่ยปลอบ ในใจความแค้นก็ค่อยๆ บังเกิดขึ้นบ้าง


เวลานี้นางไม่ใช่ควรปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนมากขึ้นหรือ?


หรือรู้ว่าไม่มีความหวังอะไรแล้ว จึงไม่สนอีกต่อไป?


คงไม่ใช่วันไหนไม่เห็นนางขึ้นมา นางทิ้งพวกเขาหนีไปหรอกนะ? หมอบางคนถึงขั้นเกิดความสงสัยนี้


โชคดีที่คุณหนูจวินไม่ได้หายตัวไปอีกวันหนึ่ง ตกค่ำพวกท่านหมอก็ถูกเชิญไปถึงในอุโบสถ ยังไม่ทันเข้าประตูก็เห็นคุณหนูจวินยืนอยู่ในโถง


ในโถงโคมไฟสว่างตลอด ขับเด่นท่ามกลางสีของค่ำคืนด้านนอก พระพุทธรูปแลดูเรืองรองสว่างไสวดุจเทวาปรากฏ คุณหนูจวินผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูปยิ่งแลดูตัวเล็กบอบบาง


ได้ยินทุกคนเข้ามา นางก็หมุนตัวมาจากหน้าพระพุทธรูป


“ทุกท่านมาแล้ว” นางเอ่ย


บรรดาท่านหมอพยักหน้า จะวางบันทึกการรักษาในมือลง ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งกลับมองเห็นบนโต๊ะที่วางบันทึกการรักษาไว้ ด้านบนบันทึกวางหลอดทองแดงเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าอยู่ มากมายถี่ยิบมีนับร้อยกว่าแท่ง


นี่คืออะร?


ในใจทุกคนคำถามแล่นผ่าน เสียงของคุณหนูจวินลอยตามมา


“วันนี้ข้าจะพูดกับทุกคน เรื่องที่พวกเรามาทำอะไรที่นี่”


เรื่องที่พวกเรามาทำอะไรที่นี่? ไม่ใช่รักษาฝีดาษหรือ? นี่ยังมีอะไรต้องพูดอีก?


บรรดาท่านหมอมองไปทางคุณหนูจวินสีหน้าไม่เข้าใจ


คุณหนูจวินมองพวกเขา ยิ้ม


“พวกเรามาที่นี่ เรื่องที่จะทำ จริงๆ ไม่ใช่รักษาฝีดาษ” นางเอ่ย


ในโถงพระพุทธรูปเงียบไปวูบหนึ่งจากนั้นก็อื้ออึง


อยู่ที่นี่ทุ่มเทความคิดวุ่นวายมาสิบวัน ถึงกับบอกว่ารักษาฝีดาษไม่ใช่เรื่องที่จะทำ?


ถ้าอย่างนั้นคืออะไร?


เล่นหรือ?


บรรดาท่านหมอสีหน้าสับสน ใบหน้ายากปิดบังความโกรธ


พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนางจึงมาทำเรื่องนี้ ต้องรู้ว่าฝีดาษโรคเช่นนี้ท่านหมอทั้งหลายล้วนไม่รับรักษา พวกเขาเผชิญหน้ากับสภาพน่ารันทดของผู้ป่วย ได้เห็นผู้ป่วยทั้งหลายตายจากไปด้วยความทุกข์ทรมาน ทนรับคำวิงวอนและความผิดหวังของพ่อแม่คนป่วย เผชิญหน้ากับจุดจบที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย สิ่งที่ค้ำจุนพวกเขาไม่ใช่ประโยคที่ว่าทำดีประโยคหนึ่งนั้นหรือ?


นางไม่มียาวิเศษฟื้นตายกลับเป็นได้ พวกเขาไม่เคืองแค้น พวกเขารู้ว่าฝีดาษนี่รักษายากจริงๆ


แต่คนที่บอกให้พยายามด้วยกันก็คือเจ้า ตอนนี้คนที่บอกว่าไม่ทำเรื่องนี้ก็คือเจ้าอีก


ที่แท้เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?


“ข้าเคยพูดว่าฝีดาษโรคนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการให้ยาและการรักษา เมื่อเป็นโรคนี้ปุบ เจ็ดส่วนแล้วแต่ฟ้าลิขิต” คุณหนูจวินเอ่ย


นางเคยพูดจริง พวกเขาก็ยอมรับ


พวกท่านหมอมองนาง


คุณหนูจวินยื่นมือยันมุมโต๊ะเดินช้าๆหลายก้าว


“ดังนั้นฝีดาษ กุญแจสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่รักษาแต่เป็นการป้องกัน” นางเอ่ย


ป้องกัน?


บรรดาท่านหมอขมวดคิ้ว


“โรคจะป้องกันได้อย่างไร?” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย “พิษฝีดาษไร้รูปไร้สี”


“พิษฝีดาษไร้รูปไร้สี แต่ใช้พิษต้านพิษได้” คุณหนูจวินเอ่ย “ไม่รู้พวกท่านมีความเห็นอย่างไร ข้าพลิกบันทึกเบ็ดเตล็ดหนังสือแพทย์บันทึกการรักษาที่มีมา…”


นางชี้ชั้นหนังสือในโถงที่วางกองไว้ นอกจากยาที่ขอมาจากสำนักแพทย์หลวง นางยังขอหนังสือมามากมาย


คลังหนังสือของสำนักแพทย์หลวง ไม่ใช่หมอคนใดก็แตะต้องได้ คุณหนูจวินวางหนังสือแพทย์เหล่านี้ไว้ในโถง ให้ท่านหมอทั้งหลายพลิกอ่านได้ตามใจ ตนเองก็พลิกดูอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน


แต่ทุกคนล้วนคิดว่าพลิกอ่านหนังสือแพทย์เหล่านี้เพื่อหาวิธีรักษาฝีดาษ เพราะเหตุนี้ยังถูกคนของสำนักแพทย์หลวงหัวเราะลับหลังว่าข้าศึกประชิดลับทวน


“ในบันทึกเบ็ดเตล็ดอันหนึ่งเขียนเรื่องหนึ่งไว้ ครั้งนั้นหลิ่งหนานฝีดาษระบาด คนป่วยตาย ในสิบมีแปดเก้าคน” นางเอ่ยต่อ


บรรดาท่านหมอที่นั่นพยักหน้า


ทุกคนมากน้อยล้วนรู้ว่าฝีดาษที่หลิ่งหนานรวดเร็วร้ายแรงมาก คนตายนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดบีบให้กองทหารประจำการสังหารหมู่คนป่วยติดโรค รันทดอย่างที่สุด


“ในนั้นข้าค้นพบเรื่องหนึ่ง คือในหมู่บ้านจำนวนมากที่คนทั้งหมู่บ้านล้วนติดโรค แต่ในนั้นกลับมีคนโชคดีไม่เป็นไร และคนเหล่านี้ก็คือคนที่ตอนยังเล็กเคยเป็นฝีดาษแล้วรอดมาได้” คุณหนูจวินเอ่ย “คนเหล่านี้ยังคงปลอดภัยไร้อันตราย ในขณะที่แทบทั้งหมู่บ้านติดพิษฝีดาษรวดเร็วและรุนแรง”


พวกท่านหมอตะลึง ยังมีเรื่องนี้? พวกเขาไม่ได้สังเกตุ แต่นี่บ่งบอกอะไรเล่า?


“นี่บ่งบอกว่าคนที่เคยเป็นฝีดาษจะไม่ถูกพิษฝีดาษเล่นงานอีกต่อไป” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่บ่งบอกว่าพิษฝีดาษใช้พิษต้านพิษได้”


บรรดาท่านหมอพากันถกเถียง


“ต่อให้ท่านพูดถูก” ท่านหมอเฒ่าเฝิงปรามการถกเถียงของทุกคน เอ่ยกับคุณหนูจวิน “ถึงอย่างนั้นแล้วอย่างไร? ต้องหาคนที่เคยเป็นโรคฝีดาษมาดูแลคนป่วยหรือ?”


คุณหนูจวินยิ้ม


“ไม่ใช่ ให้ทุกคนเป็นฝีดาษครั้งหนึ่ง เช่นนี้ย่อมไม่มีวันถูกพิษฝีดาษเล่นงานอีกต่อไป” นางเอ่ย


คำพูดนี้ออกมาปุบ บรรดาท่านหมอตกตะลึงจากนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึงอีกครั้ง


……………………………………….


บทที่ 24 ทำอย่างไร

โดย

Ink Stone_Romance

เฉินชียืนอยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงเอะอะด้านนี้อดไม่ได้มองเข้ามา สีหน้ากังวลอยู่บ้าง


คงไม่ใช่ท่านหมอเหล่านี้ในที่สุดก็ทนภาพอนาคตที่ยิ่งไร้ความหวังขึ้นทุกทีไม่ไหวหรอกนะ


ด้านในโถงพระพุทธรูปโคมไฟล้วนดั่งถูกปั่นกวน ลอยลิ่วปลิวส่ายเงานับไม่ถ้วน


“ท่าน นี่ไม่ใช่การก่อกวนใช่ไหม?”


“ต่อให้คนที่เคยเป็นฝีดาษไม่กลัวฝีดาษ ถึงอย่างนั้นคนที่เป็นฝีดาษมีสักกี่คนรอดชีวิตมาได้?”


“คุณหนูจวิน ท่านคิดวิธีไม่ออกก็ไม่ต้องบีบคั้นตนเองมากเกินไป”


บรรดาท่านหมอบางคนโกรธตั้งคำถาม บางคนถอนหายใจปลอบ แรงกดดันช่วงนี้มากอย่างแท้จริง แรงกดดันมหาศาล การกระทำและวาจาของคนเสียสติได้


คุณหนูจวินเคาะผิวโต๊ะ


“ข้ารู้ความหมายของพวกท่าน พิษฝีดาษดุร้าย ใครกล้ารับประกันว่าติดโรคแล้วยังจะรอดได้” นางเอ่ย “แต่หากมีพิษชนิดหนึ่งทำให้คนเกิดฝี แต่พิษอ่อนแอไม่ถึงชีวิตเล่า?”


เสียงในโถงใหญ่เงียบไปอีกครั้ง


“เช่นนี้คนผู้นี้ก็นับว่าเป็นฝีดาษไปแล้ว ในร่างมีพิษฝีดาษแล้ว เมื่อมีพิษฝีดาษมาโจมตีอีกเขาก็จะไม่ได้รับอันตรายอีกต่อไป” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ


ในโถงใหญ่ยังคงเงียบอย่างยิ่ง บรรดาท่านหมอต่างสีหน้าประหลาด ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงสงสัย


ฟังดูแล้วเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่…


“มีพิษฝีชนิดนี้หรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยถาม


ใช่แล้ว มีพิษฝีชนิดนี้หรือ? ทำให้คนป่วยแต่ไม่ถึงตาย ใช่ มีคนบางคนที่ติดฝีดาษแต่อาการของโรคไม่รุนแรงรอดมาได้ ทว่าก็พบยากเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าฝีดาษที่ใครติดไม่รุนแรงบ้าง นี่ก็อย่างที่คุณหนูจวินพูดมาตลอด นั่นเป็นฟ้ากำหนด กำลังคนไม่อาจเลือกได้แม้แต่นิด


คุณหนูจวินพยักหน้า


“มีสิ” นางเอ่ย


มี?


ผู้คนอึ้งไปอีกครั้ง ทันใดนั้นท่านหมอคนหนึ่งก็มองตามมือของคุณหนูจวิน มือของคุณหนูจวินวางอยู่ที่มุมโต๊ะ มองตามมือของนางไป ข้างมือวางหลอดทองแดงเรียวยาวแท่งหนึ่งอยู่


ไม่ใช่แค่หลอดทองแดงแท่งหนึ่ง บนโต๊ะวางอยู่มากมายเรียงราย


หรือว่า…


ท่านหมอคนนั้นลุกขึ้นทั้งร่างขนลุกชัน คนไม่ทันรู้ตัวก็ก้าวถอยหลังก้าวหนึ่ง


คนอื่นถูกการกระทำนี้ของเขาชักนำ คิดอะไรได้มองไปบนโต๊ะบ้าง จากนั้นก็ถอยหลังพร้อมเพรียง สีหน้าสะพรึง


“นี่ นี่…” ท่านหมอเฒ่าเฝิงยังคงควบคุมตนเอง ชี้หลอดทองแดงบนโต๊ะ สั่นไม่อาจเอ่ยเป็นประโยค


คุณหนูจวินยื่นมือหยิบหลอดทองแดงเรียวแท่งหนึ่งขึ้นมา


“ใช่ ข้างในนี้เก็บพิษฝีไว้” นางเอ่ย


แม้เดาได้แล้ว แต่ได้ยินนางพูดยืนยันออกมา บรรดาท่านหมอก็ถอยหลังอีกก้าวหนึ่งสีหน้าหวาดกลัว


“ไม่ต้องกลัว นี่เป็นพิษฝีชนิดนั้นที่ข้าบอก ทำให้คนเกิดฝีแต่ไม่ถึงชีวิต” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย วางหลอดทองแดงลง


หลอดทองแดงเรียวกระทบกันเสียงกังวานใส อันหนึ่งชนอันหนึ่งเสียงดังขึ้นต่อกันพักหนึ่ง ในโถงใหญ่ที่เงียบสงบฟังดูแล้ววิกเวกวังเวงเป็นพิเศษ


เสียงหลอดเงียบลง ในอุโบสถก็ยังคงไร้เสียง


นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว บรรดาท่านหมอในสมองวุ่นวายล้วนไม่รู้ควรพูดอะไร ควรถามอะไร


“คุณหนูจวิน” ยังเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยปากก่อน แม้สีหน้าของท่านหมอเฒ่ายังคงสะพรึงไม่คลาย “ท่าน ท่านคิดจะทำอย่างไร?”


“ปลูกฝี” คุณหนูจวินเอ่ย “ให้เด็กที่ยังไม่ติดโรคปลูกฝี ให้พวกเขาหลังจากนี้ไม่ต้องถูกฝีดาษเล่นงาน ให้ผู้คนไม่ต้องกลัวอันตรายของฝีดาษอีกต่อไป”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงรู้สึกเพียงเสียงแหบแห้ง


“ปลูกฝี หมายความว่าอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม


“ก็ตามชื่อ” คุณหนูจวินเอ่ย ยื่นมือหยิบหลอดทองแดงเรียวอันหนึ่งวางไว้ริมปาก


การกระทำนี้ทำให้บรรดาท่านหมอในห้องใจผวาเนื้อตัวสั่นไปวูบหนึ่ง


นั่นเป็นถึงพิษฝีเชียวนะ


“จ่อตรงจมูกของคนที่ยังไม่ป่วย” คุณหนูจวินไม่ได้สนใจ “เป่าพิษฝีเข้าไปข้างใน”


พร้อมกับสิ้นเสียงของนาง ปากก็เป่าลมใส่หลอดทองแดงเรียวนั้น


เสียงพูดของเด็กสาวอ่อนนุ่ม ลมเป่ายิ่งเหมือนกล้วยไม้ แต่เวลานี้ลมเป่าเบาๆ ดุจกล้วยไม้นี่ ดังไปถึงในหูของบรรดาหมอในโถงพระพุทธรูปอันเงียบงันกลับประดุจถูกเข็มแทงเข้าที่ดวงใจ


ตัวสั่นทีหนึ่งหนาวขึ้นมา วูบหนึ่งทั้งร่างขนลุกชัน


“หลังจากนั้นคนผู้นี้ก็จะติดพิษฝี เริ่มขึ้นฝีสินะ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเสียงสั่นเอ่ยถาม


คุณหนูจวินพยักหน้า


“ใช่” หน้านางมีรอยยิ้มเอ่ยตอบ


ถึงกับยังยิ้มออก?


นางรู้ว่านางกำลังพูดอะไรไหม?


สายตาของท่านหมอเฒ่าเฝิงมองผ่านคุณหนูจวินไปหยุดบนพระพุทธรูปเบื้องหลังร่างนาง


พระพุทธรูปนั่งสงบนิ่งอยู่ หลับตาเมตตากรุณา


“คุณหนูจวิน ท่านเคยคิดไหมว่า ท่านทำเช่นนี้กำลังสังหารคนหรือช่วยคน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงสูดหายใจลึก สีหน้าเคร่งขรึมมองคุณหนูจวินเอ่ยถาม


สังหารคนหรือช่วยคน คำถามนี้ท่านหมอเฒ่าถามนาง นางก็เคยถามผู้อื่น


ไม่เพียงถาม นอกจากนี้ยังได้คำตอบด้วย


สังหารคน


นางก็เคยเห็นกับตามาก่อนว่าเด็กสองคนของครอบครัวนั้นตายอย่างไร


แม้อาจารย์บอกว่าเด็กสองคนนั้น ในบ้านมีเด็กป่วยอยู่ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจติดโรคแล้ว แต่อย่างน้อยตอนที่อาจารย์เป่าพิษฝีเข้าไปในจมูกของเด็กสองคนนั่น พวกเขาก็ยังไม่ป่วย พวกเขายังคงแข็งแรง


คุณหนูจวินหลุบตา


อาจารย์ ท่านสังหารเด็กสองคน ช่วยเด็กคนหนึ่ง


นี่คือสังหารคนหรือช่วยคน?


นี่คือสังหารคนก่อน ช่วยคนทีหลัง


แต่นี่ก็เปลี่ยนความจริงที่สังหารคนไม่ได้


คุณหนูจวินมองท่านหมอเฒ่าเฝิงแล้วกวาดตามองทุกคนในโถงพระพุทธรูป


“นี่ไม่ใช่ข้าคนแรกที่เสนอให้ทำเช่นนี้” นางเอ่ย “ในหมู่ชาวบ้านมีคนเอาเสื้อชั้นในของผู้ป่วยที่เป็นฝีดาษมาห่อเด็กที่ไม่ได้ป่วยไว้ แสร้งทำว่าเด็กคนนี้ติดโรค หวังว่าจะหลอกพิษฝีร้ายได้มานานแล้ว”


มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?


บรรดาท่านหมอสบตากัน พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน


สถานที่ที่พวกเขาเคยไปน้อยนัก ไม่รู้คนในสถานที่มากมายขาดหมอขาดยา พวกเขาได้แต่อาศัยตนเองต่อสู้ไขว่คว้าโอกาสเอาชีวิตรอด รับมือกับหายนะของโรคร้าย


นางโชคดีมีอาจารย์พาเดินทางไปยังสถานที่มากมาย แล้วก็โชคดีต่อให้ไม่ได้เห็นกับตา ก็ได้ฟังอาจารย์เล่าเรื่องมากมาย


“ผลลัพธ์ของเรื่องนี้แน่นนอนว่าคนมากมายล้วนตายไป แต่ก็มีคนรอด นี่คือสังหารคนหรือช่วยคน? ข้าก็ไม่รู้” คุณหนูจวินเอ่ย


นี่ไม่ใช่สังหารคนแล้วก็ไม่ใช่ช่วยคน แต่เป็นทหารไร้ทางเลือกตัดมือ บรรดาท่านหมอก็ไม่รู้ควรตอบอย่างไร


ในโถงพระพุทธรูปเงียบไปครู่หนึ่ง


“คุณหนูจวินข้าเข้าใจความหมายของท่าน” หมอคนหนึ่งเอ่ยปากบอก “เพียงแต่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ฝีดาษน่ากลัว แต่ไม่ใช่ทุกคนล้วนจะติดโรค เพื่อโรคที่ไม่แน่ว่าจะติด เป็นฝ่ายไปติดโรคล้มป่วยเอง เห็นชัดๆ ว่าอาจไม่ตายก็ได้ กลับจะไปทดลองให้ตาย นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว นี่ไม่มีทางมีคนยินดีทำแน่นอน”


บรรดาท่านหมอพยักหน้า


“ใช่แล้ว คุณหนูจวิน นี่ทำ…ทำให้คนยากจะยอมรับเกินไปแล้ว”


“…ต่อให้เป็นฝีดาษแล้วจะไม่มีทางเป็นอีก แต่เพื่อสิ่งนี้กลับจะเป็นฝ่ายไปเป็นฝีดาษเอง? นั่นเป็นการไปตายจริงๆนะ”


คุณหนูจวินยิ้มแล้ว


“ไม่ พวกท่านยังไม่เข้าใจความหมายของข้า” นางส่ายศีรษะเอ่ย “ที่ข้าพูดถึง เป็นการทดลองก่อนหน้านี้ที่ทุกคนยังคลำสำรวจและไม่มีวิธีการ ผ่านไปเนิ่นนานขนาดนี้ หาวิธีที่ดีกว่า พิษฝีที่ปลอดภัยยิ่งกว่าได้แล้ว”


……………………………………….


บทที่ 25 ต้องการคำอธิบาย

โดย

Ink Stone_Romance

พิษฝีที่ปลอดภัยกว่า?


พิษฝียังมีที่ปลอดภัยด้วยหรือ?


ด้านในโถงพระพุทธรูปเงียบไป


“อูโถว สารหนูก็เป็นพิษเหมือนกัน ก็ใช้เป็นยาอย่างปลอดภัยได้นี่” คุณหนูจวินเอ่ย ยื่นมือหยิบหลอดทองแดงเรียวขึ้นมาอีกครั้ง “สิ่งนี้ที่จริงก็เป็นหลักเดียวกัน”


สิ่งนี้ฟังดูแล้วเหมือนกัน แต่ แต่นี่เป็นฝีดาษนะ


บรรดาท่านหมอสีหน้ายุ่งเหยิง


“พิษฝีดาษนี้ปลอดภัย คุณหนูจวินมีหลักฐานพิสูจน์ไหม?” ท่านหมอคนหนึ่งพลันคิดคำถามสำคัญได้ เอ่ยถาม


ใช่แล้ว มีหลักฐานพิสูจน์?ไหม? หากพิสูจน์มาแล้ว นั่นก็คงไม่มีปัญหาแล้ว


ดวงตาของบรรดาท่านหมอทอประกายรวมอยู่ที่ตัวคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ



ผู้ชายคนนั้นหยุดอยู่ข้างหน้าตบหน้าอกหอบหายใจ


“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องวิ่งแล้ว สลัดพ้นแล้ว” เขาเอ่ย พลางหันหน้ามองนาง “จิ่วหลิงเอ๋ย เห็นไหม อันตรายมากเพียงไร”


นางอดไม่ได้กลอกตา


“นี่มีอะไรอันตราย ท่านอธิบายกับคนให้ชัดก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านวิ่งหนีทำอะไรเล่า?”


ผู้ชายส่ายศีรษะจิ๊ปาก


“เรื่องบางเรื่องอธิบายขึ้นมาถึงยิ่งอันตราย” เขาเอ่ย มองก้านกกที่กำอยู่ในมือ “จะอธิบายอย่างไรเล่า? อธิบายว่าบนตัววัวที่บ้านเจ้ามีพิษฝี แต่ไม่ต้องกลัว พิษฝีนี้ไม่มีทางทำร้ายคนกลับช่วยคนได้ มามา…”


เขาว่าพลางทำท่าทำทางพลาง


“ให้ข้าปลูกพิษฝีให้กับครอบครัวของเจ้า เช่นนี้ครอบครัวของเจ้าก็ไม่มีวันกลัวโรคฝีดาษอีกตลอดไป”


เขาพูดจบหันหน้ามองมา ใบหน้าที่หันหลังให้แสงตะวันซ่อนอยู่ในเงามืด เผยรอยยิ้มพร่ามัว


“จิ่วหลิงเอ๋ย เจ้าว่าพวกเขาจะตีพวกเราตายหรือไม่ เวลานั้นพวกเราวิ่งยังทันอยู่หรือ?”


นางมองผู้ชายคนนี้ เขาปัดแขนเสื้อ โยนก้านกกในมือทิ้งไป มันลอยละล่องร่วงตกไปท่ามกลางแสงตะวัน


“โลกนี้สิ่งใดน่ากลัวที่สุด ไม่รู้น่ากลัวที่สุด”


“จะให้ไม่รู้เปลี่ยนเป็นรู้ ยากเหลือเกินแล้ว”


ดังนั้นเขาถึงไม่ยอมไปทำเรื่องนี้


“วิธีนี้ที่มาโหดร้ายมากและก็น่าเวทนามาก” เขาหมุนตัวไปเหลือภาพแผ่นหลังส่ายไปมาอันหนึ่งให้นาง “นี่เป็นการไขว่คว้าทางรอดของคนที่ถูกบีบจนตรอกไร้หนทาง บอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิด พูดไม่ได้ว่าดีหรือชั่ว ยากเกินไป ยากเกินไป”


แต่จะทำอย่างไรได้อีก รอความตายหรือ?


“แน่นอนว่าไม่มีทาง พวกเราเป็นมนุษย์นี่” ผู้ชายคนนั้นหันหน้ากลับมา “มนุษย์ ในสายตาฟ้าเป็นเช่นดียวกับสุกกรสุนัขไม่แตกต่าง แต่มนุษย์ท้ายที่สุดกลับต่างจากสุกรสุนัข เพราะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนนต่อชะตา”


เขามองนางแล้วยิ้มทีหนึ่ง


“ดังนั้น เสี่ยวจิ่ว เจ้าว่างไม่มีอะไรทำก็ลองทำดูสักหนได้”


ว่างไม่มีอะไรทำก็ลองทำสักหนได้


คุณหนูจวินมองร่างที่ค่อยๆ สลายหายไปจากสายตา หัวเราะ


ความหมายของคำว่าว่างก็อาจพูดได้ว่าไม่มีสิ่งใดทำได้แล้ว


นอกจากเรื่องนี้ ตอนนี้นางไม่มีเรื่องอื่นทำได้แล้ว


“คุณหนูจวิน สิ่งนี้เคยสำเร็จจริงมาก่อนไหม? หากพลาดเล่า?”


ด้านในโถงพระพุทธรูปหมอมากกว่าเดิมเอ่ยถามอยู่


ยังมีคนไม่เข้าใจอยู่มาก


“ในเมื่อท่านมีสิ่งนี้อยู่ก่อนแล้ว ทำไมตอนนี้เพิ่งหยิบออกมา?”


ใช่สิ เสียงเอ่ยถามของทุกคนยิ่งดัง


คุณหนูจวินมองไปทางพวกเขาส่ายศีรษะ


“อย่างแรกก่อนหน้านี้ข้าไม่มีสิ่งนี้ ตั้งแต่เมื่อวานข้าถึงเพิ่งรวบรวมได้” นางเอ่ย


สิ้นเสียงท่านหมอคนหนึ่งก็คิดถึงอะไรได้ สีหน้าตะลึง


“เมื่อวาน? รวบรวม?” เขาหลุดปากเอ่ย “หรือว่าวัวพวกนั้น?”


วัว?


สายตาของผู้คนมองไปทางคุณหนูจวิน


“ใช่แล้ว” คุณหนูจวินพยักหน้า “วัว


บรรดาท่านหมอฮือฮา


“ท่านพูดอะไร? พิษฝีนี้เอามาจากตัววัว?”


“วัวก็เป็นฝีดาษได้หรือ?”


“พิษฝีของวัวใช้กับตัวคน?”


คำพูดของคุณหนูจวินคืนนี้พลิกความรู้ของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ ท้าทายความสามารถในการยอมรับของพวกเขา ทำให้คนหายใจไม่ออกโดยแท้


“คนเป็นสิ่งมีชีวิต วัวก็เป็นสิ่งมีชีวิต โรคบางอย่างไม่ใช่เพียงมนุษย์ที่เป็นได้”


“วัวก็เป็นฝีดาษได้เช่นกัน แต่วัวก็ไม่เหมือนกับมนุษย์อีก ฝีดาษสำหรับวัวแล้วไม่ได้มีผลมากมายอะไร ไม่อันตรายถึงชีวิต”


“ใช่แล้ว จะใช้สิ่งนี้กับตัวคน เพราะพิษของสิ่งนี้ถูกวัวกำจัดไปแล้ว ดังนั้นความเป็นพิษจึงน้อยมาก ใช้กับตัวคนได้พอดี”


คุณหนูจวินตอบคำถามของบรรดาท่านหมอทีละคำถามๆ


เทียบกับบรรยากาศแข็งทื่อก่อนหน้านี้ บรรยากาศด้านในโถงพระพุทธรูปกลายเป็นครึกครื้น


เฉินชีที่ยืนอยู่ไม่ไกลเงี่ยหูสนใจด้านนี้อยู่หันมา


“ฟังดูแล้วโต้เถียงกันรุนแรงมากนะ” เขาพึมพำกับตนเอง “คงไม่ใช่ตีกันแล้วใช่ไหม?”


หลิ่วเอ๋อร์หาวทีหนึ่ง


“ใครกล้าตีคุณหนูของข้า” นางเอ่ยดูแคลน


สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงเอะอะด้านในโถงพระพุทธรูปหยุดลงไปแล้ว


หลิ่วเอ๋อร์ยิ้มได้ใจ เชิดคางใส่เฉินชี


“ดู เป็นอย่างไร?” นางเอ่ย


ข้ายังพูดอะไรได้ เฉินชียักไหล่ไม่เอ่ยวาจาแล้ว ไม่รู้คุณหนูจวินพูดอะไรไปทำให้คนเหล่านี้สงบลง?


เฉินชีเงี่ยหูฟัง แม้เช่นนี้ได้ยินคำพูดไม่ชัดเจน แต่มากน้อยก็ยังโล่งใจ


ท่านหมอเฒ่าเฝิงปรามการตั้งคำถามของพวกท่านหมอ มองคุณหนูจวิน


“ความเป็นมาไม่ต้องพูดแล้ว” เขาเอ่ย “จะถามสิ่งที่สำคัญที่สุด ฝีดาษ…ฝีดาษวัวนี่ได้ผลเป็นอย่างไร? คุณหนูจวินก่อนหน้านี้เคยทดลองมาก่อนหรือไม่?”


เอาล่ะ ตอนนี้ไม่ต้องถกว่าฝีของวัวนี่น่าเหลือเชื่อมากเพียงไร พวกเขาเป็นหมอ เคยเห็นสูตรยาน่าเหลือเชื่อมากมาย ขอเพียงได้ผล พวกเขาก็กล้าใช้


ด้านในโถงพระพุทธรูปเงียบไป สายตาทั้งหมดรวมอยู่บนร่างคุณหนูจวินอีกครั้ง


ที่จริงคำถามนี้ตอบง่ายยิ่งนัก เรื่องนี้ก็คลี่คลายง่ายนักด้วย ขอเพียงนางพยักหน้าพูดว่าเคยคำเดียว


คุณหนูจวินมองท่านหมอเหล่านี้


“ไม่เคย” นางเอ่ยตอบนิ่งสงบ


ด้านในโถงพระพุทธรูปยังคงเงียบ ทุกคนเหมือนฟังไม่เข้าใจคำพูดของนาง


“อะไรไม่เคย?” ท่านหมอคนหนึ่งยังคงเอ่ยถามตะกุกตะกัก


“เมื่อครู่ข้าบอกว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่มีสิ่งนี้ ตั้งแต่เมื่อวานข้าเพิ่งรวบรวมมาได้ ดังนั้น” คุณหนูจวินมองพวกเขา “ดังนั้นก่อนหน้านี้ไม่เคยลองพิสูจน์มาก่อน”


ด้านในโถงพระพุทธรูปเงียบกริบ คนทั้งหมดมองนาง ครั้งนี้ฟังเข้าใจแล้ว แต่ในสมองของทุกคนว่างเปล่าไปหมด


“คุณหนูจวิน ท่านล้อเล่นรึ?”


ในที่สุดท่านหมอคนหนึ่งก็ได้สติกลับมา ตะโกนเสียงดัง


ประโยคนี้ดั่งเทน้ำใส่น้ำมันในกระทะ ทำให้ด้านในอุโบสถวุ่นวายทันที


เฉินชีที่เงี่ยหูฟังถูกเสียงเอะอะกะทันหันทำตกใจสะดุ้ง แม้ห่างมาไกลขนาดนี้ เขายังถอยหลังก้าวหนึ่ง


“ข้ารู้สึกว่าตีกันขึ้นมาอีกแล้ว!” เขาเอ่ย


ท่านหมอด้านในโถงพระพุทธรูปไม่ได้ตีกันขึ้นมา แต่โถมมาถึงตรงหน้าคุณหนูจวิน วาดมือวาดไม้ สีหน้ากรุ่นโกรธ


“คุณหนูจวิน ที่ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่?


“คุณหนูจวิน ท่านอย่าก่อเรื่องได้หรือไม่?”


“สวรรค์ ตอนนี้เวลาใดแล้ว? นี่ที่แท้กำลังทำอะไร?”


“คุณหนูจวิน ท่านอะไรก็ไม่เคยลองพิสูจน์มาก่อน ทำไมมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ กล้าเอาสิ่งนี้ออกมา?”


คำถามนับไม่ถ้วนโถมเข้ามา ประโยคนั้นเมื่อครู่ของคุณหนูจวินเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐคว่ำ ทำให้อารมณ์ที่ท่านหมอทั้งหลายเหล่านี้พยายามสุดกำลังระงับไว้ฟุ้งขึ้นมาหมดสิ้นแล้ว


ความเครียด ความหวาดกลัว ความกังวล ความทุกข์โศกยินดีของพวกเขาพริบตาทั้งหมดทะลักออกมา เพียงอยากตะโกนโหวกเหวกระบาย


พวกเขาที่แท้กำลังทำอะไร? พวกเขาทำเช่นนี้ที่แท้คุ้มค่าหรือไม่?


เสียงปังดังขึ้น พร้อมกับเสียงหลอดทองแดงเรียวเล็กกระทบกันพักหนึ่ง


เสียงนี้ไม่ได้ทำให้ท่านหมอทั้งหลายเงียบลงทั้งหมด ดังนั้นพร้อมกันคุณหนูจวินจึงเพิ่มเสียงขึ้น


“นี่มีอะไรประหลาดหรือ?” นางเอ่ย


ยังมีอะไรประหลาดหรือ? บรรดาท่านหมอสีหน้ายิ่งดุเดือด


“ทำไมท่านสิ่งใดล้วนไม่เคยลองพิสูจน์ก็พูดว่าพิษฝีนี้ป้องกันฝีดาษได้?” ท่านหมอคนหนึ่งตะโกนเสียงสั่น


คุณหนูจวินมองไปทางเขา เชิดคางเล็กน้อย


“เพราะวิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง เพราะโรงหมอจิ่วหลิงมุ่งรักษาโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย” นางเอ่ย


ประโยคนี้….


มาอีกแล้ว….


ด้านในโถงพระพุทธรูปเงียบลงไปแล้ว คนทั้งหมดล้วนมองเด็กสาวคนหนึ่ง พริบตาไม่รู้วันรู้คืน


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม