Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 12-18

 บทที่ 12 พวกเราทำไม่ได้นี่

โดย

Ink Stone_Romance

นี่ก็คือไม่ใช่ไม่สนองแต่ยังไม่ถึงเวลา


ภายในใจของบรรดาหมอหลวงหัวเราะหยันเป็นคนไม่ไว้หน้าผู้อื่น วันหน้าย่อมไม่มีอะไรให้ร่วมมือกันแล้ว


เจ้าไม่ใช่ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้หรือ? เจ้าไม่ใช่ดูแคลนพวกเรารึ? คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ต้องใช้พวกเราล่ะสิ? เสียใจล่ะสิ? ร้อนรนล่ะสิ?


รักษาฝีดาษ ผู้ป่วยมากขนาดนั้น ดูสิเจ้าคนเดียวจะทำอย่างไร


คุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องโถงไม่ได้ลุกขึ้น ยิ้ม


“ไม่เป็นไร พวกท่านไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ มีข้าดูอยู่ย่อมไม่มีปัญหา” นางเอ่ย


นังคนหน้าไม่อายคนนี้!


บรรดาหมอหลวงสีหน้าเขียวคล้ำ เวลานี้แล้วยังดูหมิ่นผู้อื่นเช่นนี้


“ขอบคุณคุณหนูจวินที่ชื่นชม พวกเราความสามารถต่ำต้อยความรู้ตื้นเขินไม่กล้ารับคำสั่ง” หมอหลวงที่เป็นหัวหน้าท่าทางน่ากลัวเอ่ย “ท่านไปหาผู้ปราดเปรื่องท่านอื่นเถอะ”


พูดจบคนทั้งกลุ่มสะบัดแขนเสื้อจากไป


“หยุดนะ หยุดนะ” หลิ่วเอ๋อร์ร้องตะโกน ตบหีบยาในมือ “ก็ตอนนี้จะให้พวกเจ้ารับคำสั่งนี่ คุณหนูของข้ารับราชโองการให้รักษาโรค ฝ่าบาทตรัสว่าคนและของล้วนฟังคุณหนูของข้าจัดการ พวกเจ้าจะขัดราชโองการรึ?”


บรรดาหมอหลวงหันหน้ามองนาง สีหน้าคล้ำเขียวทั้งยังลังเลอยู่บ้าง


เดิมทีต้องการกลั่นแกล้งนางสักครู่ ให้นางยอมแพ้ ขอความเห็นใจ เสียหน้าสักหน คิดไม่ถึงนางไม่เพียงไม่ก้มหัว กลับยังคงโอหังเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม


ใช่สิ เด็กสาวคนนี้ถือราชโองการอยู่เชียวนะ ดังนั้นถึงโอหังเช่นนี้ได้ หากใช้ราชโองการเคลื่อนพวกเขาไปนอกเมืองรักษาโรคจริงๆ พวกเขามีเหตุผลอันใดยืนยันจะไม่ไป?


“คุณหนูจวินเข้าใจผิดแล้ว”


เสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอก บรรดาหมอหลวงสีหน้าดีใจยิ่งรีบหลีกทาง มองดูหมอหลวงเจียงพาหมอเกิ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก


คุณหนูจวินยืนขึ้นคำนับหมอหลวงเจียงนิดหนึ่ง


“คุณหนูจวินเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่พวกเราไม่ไป แต่ไปไม่ได้” หมอหลวงเจียงเปิดปากตรงประเด็นเอ่ย


คุณหนูจวินมองเขาไม่พูดจา


“พวกเราหมอหลวงเหล่านี้ตัวแบกรับคำสั่งของฮ่องเต้ ตรวจรักษาโรคให้พระสนมขุนนางผู้สูงศักดิ์ ต่างมีความรับผิดชอบของตน” หมอหลวงเจียงเอ่ย ชี้นิ้วไปยังหมอหลวงคนหนึ่ง “ตัวอย่างเช่นหมอหลวงเย่ผู้นี้รับผิดชอบองค์ชายสาม”


“หมอหลวงซุนผู้นี้เป็นพระชายาของเสียนอ๋องเจาะจงมา”


หมอหลวงเจียงชี้หมอหลวงในห้องทีละคนๆ แนะนำว่าคนนี้รักษาองค์หญิง คนนี้ตรวจรักษาสั่งยาให้องค์ฮองเฮา คนนี้เป็นขององค์ชาย ของพระสนมกุ้ยเฟยเป็นต้น


เมื่อเขาชี้ หมอหลวงคนนั้นก็จะก้าวออกมา ท่าทางยโสและกรุ่นโกรธอยู่บ้าง


“คุณหนูจวิน ครั้งนี้หากผู้ป่วยที่รวมตัวอยู่นอกเมืองเป็นโรคอื่นก็ยังทำเนา” หมอหลวงเจียงมองคุณหนูจวินอีกครั้ง สีหน้าจริงใจและสุขุม “ต่อให้พวกเราวิชาแพทย์ตื้นเขินก็จำต้องพยายามเต็มกำลัง เพียงแต่ครั้งนี้เป็นฝีดาษ พวกเราไปไม่สะดวกจริงๆ ประการแรกทุกคนล้วนมีผู้ป่วยผลัดเวรรับผิดชอบ ประการที่สองพูดแทงใจสักประโยค พวกเราไม่อาจไม่คำนึงถึงการติดต่อของโรคฝีดาษนี้ หากพวกเราไปรักษา แล้วกลับมารักษาบรรดาองค์ชายองค์หญิง หาก…”


หากเหล่าองค์ชายองค์หญิงติดโรคเล่า?


บรรดาหมอหลวงในที่นั้นสีหน้าเคร่งขรึมพากันพยักหน้า


“เจ้ากับข้าล้วนเป็นหมอ ต่างรู้ว่าฝีดาษน่ากลัวกับเด็กเพียงไร บรรดาผู้สูงศักดิ์ในวังไม่กล้าเสี่ยงอันตราย” หมอหลวงเจียงเอ่ยต่อ พลางหยิบป้ายที่เอวแผ่นหนึ่งออกมา “ไม่ปิดบังคุณหนูจวินมีผู้สูงศักดิ์หลายคนมาทักทายแล้ว บอกว่าเด็กที่บ้านตนร่างกายไม่เข้าที ต้องการให้พวกเราไปเยี่ยมเยือนตรวจรักษา หลายวันนี้ดีที่สุดอย่าได้จากไป”


เขามองคุณหนูจวิน


“คุณหนูจวิน นี่หมายความว่าอย่างไร ในใจเจ้าน่าจะเข้าใจดี”


คุณหนูจวินยิ้มไม่พูดจา


“คุณหนูจวิน ข้ารู้ว่าเจ้ามีราชโองการ ได้รับคำสั่งให้ทำงาน หากเจ้าบังคับให้พวกเราไป พวกเราย่อมไม่อาจขัดคำสั่งได้” หมอหลวงเจียงเอ่ย ค้อมกายคำนับคุณหนูจวิน “เพียงแต่พวกเราทำไม่ได้จริงๆ”


เห็นหมอหลวงเจียงค้อมกาย หมอเกิ่งโกรธจัด


“คุณหนูจวินเจ้าอย่ามากเกินไปนัก ทุกคนล้วนเป็นหมอ พวกเราลำบากใจมากอยู่แล้ว อาจารย์ของข้าพูดชื่นชมเจ้าไปทุกที่ เจ้ากลับรู้จักแต่หยิบราชโองการคำสั่งฮ่องเต้มาข่มคน” เขาตะโกน


บรรดาหมอหลวงก็ค้อมกายตามด้วย


“ท่านหัวหน้าสำนัก ท่านไม่ต้องขอร้องนาง พวกเราไปก็ได้” พวกเขาพากันเอ่ย สีหน้าคับแค้น ราวกับได้รับความอยุติธรรมใหญ่หลวง


คุณหนูจวินมองดูคนเหล่านี้แล้วยิ้ม สักประโยคก็ไม่พูดยกเท้าเดินออกไป หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตามองพวกเขาอย่างชิงชังทีหนึ่ง หิ้วหีบยาตามไป


มองเด็กสาวคนนี้เดินออกไปบรรดาหมอหลวงที่ก่อนหน้านี้ค้อมกายคับแค้นโกรธเกรี้ยวก็เหยียดกายขึ้นสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะลั่นไร้เสียงขึ้นมา


เจียงโหย่วซู่ลูบเครายิ้ม ในดวงตาเยาะหยัน


“คุณหนู”


หลิ่นเอ๋อร์ตามคุณหนูจวิน ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ


“จะจบแค่นี้หรือเจ้าคะ?”


พวกนางเดินออกมาจากประตูใหญ่สำนักแพทย์หลวงแล้ว พวกนางเพิ่งเดินออกมาประตูใหญ่ด้านหลังร่างก็ปิดลงดังปัง ยืนอยู่บนบันไดมองถนนด้านนอกที่ว่างเปล่าวังเวงยิ่งกว่าเมื่อวาน


“เอาราชโองการออกมากลัวพวกเขาไม่เชื่อฟัง” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยชิงชัง “ถึงกับกล้าไม่ฟังคำของคุณหนู ช่างไม่รู้จักถูกผิด”


คุณหนูจวินยิ้มแล้ว


“ช่างมัน ไปเถอะ” นางเอ่ย “แตงที่ฝืนปลิดไม่หวาน”


“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูท่านคนเดียวจะทำอย่างไรเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์ร้อนใจเอ่ย แม้นางไม่ได้เห็นกับตาก็ได้ยินเฉินชีพูดว่าผู้ป่วยนอกเมืองอย่างน้อยที่สุดก็หลายร้อยคนแล้ว


ยังดีสถานที่ต่างๆ ได้รับคำสั่งให้ตรวจตราผู้ป่วยฝีดาษอย่างเข้มงวด ห้ามพวกเขาไม่ให้วิ่งออกมา ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่ายังมีเท่าไรแหนะ


แต่ก็ไม่อาจขวางได้นานนัก เมืองหลวงฝั่งนี้ฮ่องเต้มีรับสั่งให้รักษาฝีดาษ ถ้าอย่างนั้นผู้ป่วยฝีดาษที่อื่นๆ รู้เข้าจะไม่เร่งเดินทางมาได้อย่างไร


เช่นนี้นับดูแล้วคุณหนูต้องเผชิญหน้าผู้ป่วยเท่าไร นางคนเดียวเหนื่อยจนตายก็ไม่พอใช้


คุณหนูหันกลับมามองสำนักแพทย์หลวงทีหนึ่ง


“ไม่เป็นไรข้า…” นางเอ่ย พูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าเร่งรีบดังขึ้น องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวบนถนนใหญ่


ลู่อวิ๋นฉีที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางมองเห็นนายบ่าวสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักแพทย์หลวง รั้งบังเหียนม้า มองจากที่สูงข้ามมา


คุณหนูจวินรั้งสายตากลับหลุบตาลง


“ไปเถอะ” นางเอ่ยกับหลิ่วเอ๋อร์ ยกเท้าก้าวลงบันได


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสียงลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม


นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อย หัวหน้ากองร้อยเจียงที่ติดตามอยู่ข้างกายลู่อวิ๋นฉีประหลาดใจเล็กน้อย หากใต้เท้าอยากรู้เรื่องใด ย่อมมีวิธีรู้ เขาย่อมไม่เอ่ยถามอีกฝ่ายตรงๆ เช่นนี้


สำหรับหัวหน้ากองพันลู่แล้ว เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเรื่องหนึ่งถือเป็นเรื่องเสียหน้าอย่างยิ่ง


ที่ยิ่งเสียหน้าก็คือคนที่ถูกเอ่ยถามคนนี้กลับยังแสร้งทำไม่ได้ยิน


“เฮ้ ใต้เท้าถามเจ้า…” หัวหน้ากองร้อยเจียงคิ้วขมวดตะโกนเอ่ย


ลู่อวิ๋นฉียกมือ เสียงของหัวหน้ากองร้อยเจียงหยุดลงทันที


“ไม่ใช่ให้เจ้าออกนอกเมืองไปรักษาโรคหรือ? ทำไมยังอยู่ที่นี่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ


นี่เป็นการตั้งคำถามหรือ? คุณหนูจวินไม่ได้เอ่ยวาจา หลิ่วเอ๋อร์กลับทนไม่ได้แล้ว


“พวกเราก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไป นี่ไม่ใช่มาหาคน แล้วคนเหล่านี้ไม่ไปรึ…” นางตะโกน


“หลิ่วเอ๋อร์” คุณหนูจวินเอ็ดห้าม


คำพูดของหลิ่วเอ๋อร์ชะงักไป สีหน้านิ่งสนิทของลู่อวิ๋นฉีมองคุณหนูจวิน หลังจากนั้นพลิกกายลงจากม้า


“ไป” เขาเอ่ย มองไปทางสำนักแพทย์หลวง “ให้พวกเขาออกมาทำตามคำสั่งระดมคน”


หัวหน้ากองร้อยเจียงตะลึง คุณหนูจวินก็อึ้งไปด้วยแล้ว


“ไม่ต้อง” นางรีบเอ่ย แต่หัวหน้ากองร้อยเจียงตอบสนองแล้ว พาองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งดั่งหมาป่าดั่งพยัคฆ์มุ่งไปทางสำนักแพทย์หลวง


เสียงปึงดังทีหนึ่ง


ประตูใหญ่สำนักแพทย์หลวงที่ปิดสนิทถึงกับถูกคนเหล่านี้ถีบออกทั้งอย่างนั้น


บานประตูชนบนกำแพงส่งเสียงดัง สะเทือนผืนดินสั่นไหว แล้วก็สะเทือนขัดคำที่คุณหนูจวินจะพูดด้วย


ทำอะไรน่ะ!


คุณหนูจวินมองไปทางลู่อวิ๋นฉี คิ้วขมวดประหลาดใจอยู่บ้าง


……………………………………….


บทที่ 13 ไม่ใช้ก็ได้

โดย

Ink Stone_Romance

ทำอะไรน่ะ?


จะบุกค้นสำนักแพทย์หลวงหรือ?


สำนักแพทย์หลวงไม่ใช่บ้านของใคร จะถูกบุกค้นได้อย่างไร


บรรดาหมอหลวงที่ยังคงหัวเราะอยู่ในห้องโถงฉับพลันมองเห็นองครักษ์เสื้อแพรที่พุ่งเข้ามาตกใจสะดุ้งโหยง กระทั่งสักประโยคก็ไม่ให้พูด ถูกทุบตีไล่ออกมา


บรรดาหมอหลวงไม่ได้เห็นองครักษ์เสื้อแพรทำแบบนี้มาครั้งแรก แต่ตนเองประสบเองเป็นครั้งแรก


ท่านหมอเกิ่งมององครักษ์เสื้อแพรคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า ช่วงก่อนหน้านี้เขาไปสอบถามเรื่องของโรงหมอจิ่วหลิงก็ติดต่อกับองครักษ์เสื้อแพรคนนี้ เวลานั้นสีหน้าของเขาแม้เย็นชาแต่ท่าทีก็มีมารยาทอย่างมาก


บางครั้งบนถนนพบกันยังทักทาย


แต่มาวันนี้กลับท่าทางประหนึ่งไม่รู้จักคน ตนเองเพิ่งอ้าปากตะโกนเรียกพี่เหวิน ก็ถูกเขาเอาฝักดาบตีหมอบลงบนพื้นแล้ว


“รีบไป รีบไป”


ท่านหมอเกิ่งถูกตีดวงตาเห็นดาวทอง ทั้งยังถูกหิ้วขึ้นมาอย่างน่าอเนจอนาถ โซซัดโซเซผลักไล่ไปด้านนอก


องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เป็นพวกญาติมิตรไม่รู้จักตัดรอนไร้หัวใจจริงๆ


หมอหลวงกลุ่มหนึ่งถูกขับไล่มาถึงนอกประตูทีละคนๆ สีหน้าหวาดกลัวหน้าตาดูไม่ได้


เจียงโหย่วซู่พอประคับประคองหน้าตาไว้ได้ มองลู่อวิ๋นฉีที่ปากทางเข้าประตูอย่างโกรธแค้น


“ใต้เท้าลู่ พวกเราทำผิดอะไร?” เขาเอ่ยถาม


“ไม่ได้ทำผิด” ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิทเอ่ย “เชิญพวกเจ้าไปทำงานเท่านั้น”


อะไร?


บรรดาหมอหลวงสีหน้าประหลาดใจ


เชิญพวกเขาไปทำงาน?


พวกเขาก้มศีรษะมองสภาพอเนจอนาถของตนเอง เชิญคนแบบนี้ได้รึ?


แต่องครักษ์เสื้อแพรคนพวกนี้ไม่อาจถกเหตุผลปกติกับเขาได้


เจียงโหย่วซู่สูดหายใจลึกทีหนึ่ง


“ใต้เท้าลู่มีอะไรสั่งหรือ?” เขายังคงเอ่ยอย่างสงบ


“ไปนอกเมืองรักษาฝีดาษ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเสียงเรียบ


เจียงโหย่วซู่ตะลึง บรรดาหมอหลวงที่อยู่ที่นั่นก็ตะลึงเช่นกัน หลังจากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปยังทิศหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง


เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ริมถนนตรงปากทางเข้าประตู


ที่จริงตอนเพิ่งออกมาพวกเขาก็มองเห็นเด็กสาวคนนี้แล้ว แต่ไม่ได้สนใจ ไม่ทันสนใจด้วย ยังไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือองครักษ์เสื้อแพรจะมีจุดจบอย่างไรเลยแหนะ ไหนเลยจะไปคิดว่าเด็กสาวคนนี้อยู่ที่นี่ทำอะไร


เด็กสาวคนนี้อยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกอะไร เห็นพวกเขาโชคร้ายมีความสุขกับหายนะของผู้อื่นน่ะสิ


แต่ตอนนี้ดูท่า…


เจียงโหย่วซู่พยายามรักษาความสงบ บนหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สายตามองลู่อวิ๋นฉีแล้วมองคุณหนูจวิน


พูดเช่นนี้หลังคุณหนูจวินถูกพวกเขากลั่นแกล้งไล่ออกมาก็ไปฟ้องขอความช่วยเหลือกับองครักษ์เสื้อแพรรึ?


บรรดาหมอหลวงคิดทันแล้ว มองข้ามมาหาคุณหนูจวินสีหน้าโกรธแค้น


เจียงโหย่วซู่ก็โกรธแค้น แต่นอกจากโกรธแค้นยังมีความไม่เข้าใจด้วย


หากบอกว่าคุณหนูจวินเอาราชโองการไปฟ้องกรมอื่น อย่างเช่นกรมทหารม้าอะไรก็ยังไม่แปลกอะไร แต่หาลู่อวิ๋นฉีที่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือฟ้องร้อง…


นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงลู่อวิ๋นฉีนอกจากฮ่องเต้สั่งโดยตรง คำพูดของผู้อื่นในสายตาเขาล้วนเป็นมูลสุนัข ลู่อวิ๋นฉีคนนี้ยังมีความแค้นกับคุณหนูจวินด้วย


คุณหนูจวินเสียใจเป็นบ้าคิดว่าราชโองการอยู่ในมือไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ไปชี้สั่งลู่อวิ๋นฉี


แต่ลู่อวิ๋นฉีก็น่าชังเห็นคุณหนูจวินทำงานพังแทบจะทนไม่ไหวสิ ทำไมฟังนางสั่ง มาสร้างความลำบากให้พวกเขาหมอหลวงเหล่านี้จริงๆ เล่า?


สงสารผู้ป่วยฝีดาษข้างนอก? หรือซาบซึ้งที่คุณหนูจวินรักษาน้องภรรยาของเขาหายดี? ล้อเล่นอะไร ลู่อวิ๋นฉียังไม่ได้เป็นบ้าเสียหน่อย


ถ้าอย่างนั้นนี่ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?


“ใต้เท้าลู่ พวกเราไม่ใช่ไม่ไปนะ”


“นี่มีคนมาให้ตรวจรักษาแล้ว พวกเรายังไงก็ไม่อาจทิ้งคนป่วยไม่ดูแลได้ใช่ไหม?”


“หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นคงต้องลำบากคุณหนูจวินไปพูดกับผู้อื่นสักคำแล้วไหม”


บรรดาหมอหลวงรู้ว่าไม่ใช่เพราะตนเองทำความผิด ในใจก็สงบลง ทั้งยังพากันเอ่ยอย่างโกรธแค้นทั้งได้รับความอยุติธรรม


ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ


“ให้พวกเจ้าพูดไร้สาระมากเช่นนี้รึ!” หัวหน้ากองร้อยเจียงตวาดเอ่ย


พร้อมกับเสียงด่าของเขา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็พุ่งเข้าไปเงื้อดาบในมือเข้าใส่ศีรษะใบหน้าของหมอหลวงเหล่านี้ทันที


พูดจาไม่เข้าหูก็จะตีคนจริงๆ!


บรรดาหมอหลวงร้องตกใจร้องเจ็บปวดหยุดพูด


เจียงโหย่วซู่โกรธจนสั่น กำลังจะเอ่ยปากด่า องครักษ์เสื้อแพรด้านข้างก็มองเขาอย่างมาดร้าย ดาบในมือจะร่วงลงมา


กับเดรัจฉานบ้าฝูงนี้ไม่อาจพูดเหตุผลได้อย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามจะมีแต่ทำให้ตนเองยิ่งลำบาก


เจียงโหย่วซู่กลืนคำพูดลงไปทั้งอย่างนั้น


“ให้พวกเจ้าทำงานก็ทำงาน พูดพร่ำไร้สาระ” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยด่า “ใครถามพวกเจ้าว่าทำไม”


พูดจบก็โบกมือ


“ไป ฟังคุณหนูจวินแจกงาน”


พร้อมกับคำพูดของเขา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็ยกดาบในมือขึ้นอีกครั้ง


“ไป” พวกเขาตวาดเอ่ยพร้อมกัน


ประหนึ่งไล่ฝูงแกะ


บรรดาหมอหลวงไม่อยากไปก็กลัวถูกตี ทั้งโกรธทั้งกลัวตัวสั่นระริก


คุณหนูจวินดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว


“พอแล้ว” นางเอ่ย มองลู่อวิ๋นฉี “ขอบคุณใต้เท้าลู่มาก เพียงแต่คนเหล่านี้ข้าไม่ใช้”


ไม่ใช้?


ในที่นั้นเงียบลง สายตาล้วนมองมาทางนาง


ลู่อวิ๋นฉีก็มองนางเช่นกัน


เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่รมถนน สีหน้านิ่งสงบ แต่ปิดความยโสในกระดูกไม่มิด


ไม่ นั่นไม่ใช่ความยโส แต่เป็นความทะนง


“เจ้าใช้ได้” เขาเอ่ย


คุณหนูจวินไม่มองเขาอีก กวาดตาผ่านหมอหลวงที่ถูกไล่เหล่านั้น


“ข้าย่อมมีคนให้ใช้” นางเอ่ย “ไม่ใช้พวกเขาก็ได้”


พูดจบหมุนตัวจากไป


หลิ่วเอ๋อร์เชิดหน้าแค่นเสียงเหอะใส่พวกเขา


“ไม่ใช้ก็ได้” นาเงอ่ย หมุนตัวตามไป


หน้าสำนักแพทย์หลวงตกอยู่ในความเงียบ


หัวหน้ากองร้อยเจียงมองลู่อวิ๋นฉี


มุมปากลู่อวิ๋นฉีโค้งหลุบตาลงหมุนตัวขึ้นม้า


“ไป” หัวหน้ากองร้อยเจียงอดกลั้นความตื่นตะลึงในใจ ยกมือส่งสัญญาณ


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรขึ้นม้าพรึบพรับห้อมล้อมลู่อวิ๋นฉีขี่เร็วไวจากไปดุจสายลมหอบหนึ่ง


หน้าสำนักแพทย์หลวงเงียบสงัดไปหมด บรรดาหมอหลวงที่บอกได้ว่าสะบักสะบอมกลุ่มหนึ่งยืนงงอยู่ที่เดิม


เกิดเรื่องอะไรขึ้น?


ข้าเป็นใคร?


ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน?


คนทั้งหมดในใจมีเพียงความคิดนี้ความคิดเดียว


เมื่อครู่เป็นฝันร้ายตื่นหนึ่งหรือ?


“ทำข้าโกรธแทบตายแล้วจริงๆ” เจียงโหย่วซู่พลันตะโกนขึ้นมา


เสียงนี้ทำให้บรรดาหมอหลวงคนอื่นตกใจตื่นมาจากฝันร้ายด้วย


“รังแกคนหนักหนาเกินไปแล้ว!”


“ข้าจะ ข้าจะฟ้องฮ่องเต้!”


“เอวข้าถูกตีหักแล้ว!”


“สวรรค์อา! ยังมีกฏจักรพรรดิอยู่หรือไม่!”


ด้านหน้าสำนักแพทย์หลวงเสียงร้องไห้เสียงตะโกนดังขึ้น บรรดาลูกศิษย์ขุนนางผู้น้อยที่หลบไปตอนนี้ถึงวิ่งออกมาตัวสั่นระริก


“นี่เป็นคุณหนูจวินคนนั้นอาศัยราชโองการใช้อำนาจบาตรใหญ่ อาศัยงานส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวรังแกพวกเรา” เจียงโหย่วซู่เอ่ยเสียงสั่น


“พูดเช่นนี้องครักษ์เสื้อแพรถูกนางชี้สั่งรึ?


หมอหลวงคนหนึ่งถูตาเอ่ย


“แน่นอน” เจียงโหย่วซู่เอ่ย


หรือจะเป็นลู่อวิ๋นฉียินดีออกหน้าให้นางเองได้หรือ?


แต่ดูไปแล้วก็เหมือนอยู่นะ…


“หัวหน้ากองพันลู่ย่อมถูกราชโองการบังคับสิ” เจียงโหย่วซู่เอ่ย


เช่นนี้ถึงแสดงว่าเด็กสาวคนนี้โอหังเพียงไร กระทั่งองครักษ์เสื้อแพรยังถูกนางบังคับ


ลู่อวิ๋นฉีย่อมต้องเพราะมีสาเหตุสักประการถึงทำเช่นนี้


นี่หากรายงานไปถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ถึงได้ผลยิ่งกว่า


ต้องใช่แน่


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราตอนนี้ไปฟ้องร้อง ไปฟ้องร้องนาง” หมอหลวงคนหนึ่งกุมหน้าเอ่ย เมื่อครู่ท่ามกลางความโกลาหลถูกฝักดาบฟาดเข้า เวลานี้ใบหน้าบวมขึ้นมาแล้ว


หากเป็นการเล่นละครพวกองครักษ์เสื้อแพรก็เล่นจริงเกินไปหน่อยแล้ว


“ตอนนี้ไม่ต้อง รอนางรักษาฝีดาษเสร็จค่อยว่ากัน” เจียงโหย่วซู่เอย มองดูเงาแผ่นหลังของเด็กสาวที่เดินไปไกลบนถนนสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งด้วยความชิงชัง


พวกเราจะได้เห็นดีกัน!


……………………………………….


“คุณหนู ท่านไม่ใช้หมอหลวงเหล่านั้นจริงหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์ตามนาง อดไม่ได้เอ่ยถาม


คุณหนูจวินยิ้มแล้ว


“เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะใช้พวกเขา” นางเอ่ย


หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ๋าทีหนึ่ง ทำหน้าไม่เข้าใจ


ถ้าอย่างนั้นยังไปเชิญพวกเขาทำไม?


คุณหนูจวินมองนางยิ้มทีหนึ่ง


“ก็แค่ให้โอกาสพวกเขาได้สำนึกเสียใจ” นางเอ่ย


โอกาสสำนึกเสียใจ?


คุณหนูยิ่งซุกซนขึ้นทุกทีแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปที่ไหนตามหาคนช่วยล่ะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย “หรือไม่ท่านสอนข้าเถอะ”


คุณหนูจวินยิ้มแล้ว


“เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ หมอมากไป” นางเอย “เรื่องดีขนาดนี้ โอกาสดีขนาดนี้ อยากได้คนมีมากไป”


นางพูดหยุดเท้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์ตามอยู่ก็หยุดมองข้ามไป มองเห็นร้านแห่งหนึ่งแขวนป้ายสำนักอยู่


โรงหมอไป๋เฉ่า


มองจากประตูเข้าไปด้านใน ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะคร่ำเคร่ง ตั้งใจพลิกอ่านตำราแพทย์


……………………………………….


บทที่ 14 งานนี้ไม่กล้าช่วย

โดย

Ink Stone_Romance

พร้อมกับม่านที่เลิกขึ้น ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาในโรงหมอจิ่วหลิง


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” ฟางจิ่นซิ่วมองดูคนที่มาลุกขึ้นยืนต้อนรับ


“นางไปที่โรงหมอไป๋เฉ่าของท่านหมอเฒ่าเฝิงที่นั้น ข้าคิดว่าความหมายของนางก็คือต้องการใช้บรรดาหมอในเมือง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย พลางโบกมือปฏิเสธชาที่ฟางจิ่นซิ่วส่งมา


แม้คุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์ไปสำนักแพทย์หลวง แต่เรื่องที่เกิดฝั่งนั้นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็รู้ตั้งแต่แรก


“บรรดาหมอหลวงไม่ยอมช่วยเหลือเป็นสิ่งที่คิดไว้อยู่แล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย


“แม้คิดไว้อยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงก็ไม่คิดว่าใจคนจะเลวร้ายได้ถึงขั้นนี้” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้ม


“คุณหนูสามยังเล็ก” เขาเอ่ย


เพราะอายุน้อยไม่เคยเห็นว่าใจคนน่ากลัวหรือ?


ฟางจิ่นซิ่วกำถ้วยชาในมือ


“ไม่ ข้ารู้” นางเอ่ย


เล่ากันว่าเสือร้ายไม่กินลูก นางเคยเห็นคนที่ความรักระหว่างแม่กับลูกสาวก็ไม่ต้องการมาก่อน บนโลกนี้ยังมีใจคนอย่างไรไม่อาจเข้าใจได้อีก


แต่เรื่องผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดอยู่เสมอ


“หมอเหล่านั้นยอมช่วยไหม?” นางเบี่ยงประเด็นเอ่ย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเครา สีหน้าหนักใจ


“เรื่องนี้ ทำไม่ง่ายนักจริงๆ” เขาเอ่ย


ฟางจิ่นซิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านรู้ว่าครั้งนี้นางไม่ได้มั่นใจมากนักใช่ไหม?” นางเอ่ย


ตอนนั้นคุณหนูจวินบอกว่าที่ไหวอ๋องเป็นไม่ใช่ฝีดาษ แม้ต่อมานางพูดว่านางรักษาฝีดาษได้ แต่เรื่องนี้พูดออกไปน่าตกใจเกินไปแล้ว ดังนั้นมีเพียงนางกับเฉินชีสองคนที่รู้ นอกจากนี้ตัดสินใจพ้องกันไม่อาจบอกให้ผู้อื่นรู้ได้อีก


แต่ดูสีหน้าของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเห็นชัดว่าไม่มั่นใจในเรื่องที่คุณหนูจวินกำลังจะทำสักนิด


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองนางยิ้ม


“ฝีดาษโรคเช่นนี้ตั้งแต่โบราณมาก็ไร้ทางแก้” เขาเอ่ย “ข้ารู้ว่าบนโลกนี้ผู้มีความสามารถผู้วิเศษมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอน แต่นางอย่างไรก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง นางไม่ใช่เทพเซียนนะ ด้วยกำลังของคนผู้หนึ่งจะทำเรื่องที่เทพเซียนถึงทำได้ ไหนเลยจะง่ายเช่นนั้นเล่า”



“คุณหนูจวินเชิญดื่มชา” ท่านหมอเฒ่าเฟิงประคองชาถ้วยหนึ่งส่งให้กับมือ


คุณหนูจวินรีบลุกขึ้นรับไป


สองคนแยกกันนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง


“ความหมายของคุณหนูจวินก็คืออยากให้ข้าไปร่วมรักษาฝีดาษด้วย?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถามต่อบทสนทนาเมื่อครู่


คุณหนูจวินพยักหน้า


“เพราะผู้ป่วยมาก นอกจากนี้โรคนี้อันตรายและรวดเร็วนัก ข้าคนเดียวทำไม่ไหว” นางเอ่ย “ดังนั้นอยากเชิญท่านช่วยเหลือ


นี่ยังใช่เด็กสาวที่ได้ชื่อว่าหัวแข็งคนนั้นที่ตอนนั้นบอกว่าเพราะวิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกเจ้าดังนั้นข้าจึงเก็บเงินแพง รวมถึงโรคที่พวกเจ้ารักษาไม่หายข้าถึงรักษาหรือ?


ดูท่าเรื่องครั้งนี้จะตึงมือมาก


ท่านหมอเฒ่าเฝิงลังเลครู่หนึ่ง


“คุณหนูจวิน วิชาแพทย์ของข้าท่านก็รู้” เขาเอ่ย ท่าทางอับอายอยู่บ้าง “ที่ตระกูลข้าเชี่ยวชาญโดยหลักก็คือการจัดกระดูก โรคฝียุ่งเกี่ยวน้อยนักจริงๆ”


เขาพูดพลางลุกขึ้นคำนับ


“อับอายนัก ข้าเกรงว่าคงช่วยคุณหนูจวินไม่ได้”


คุณหนูจวินยิ้มลุกขึ้นคำนับ


“ท่านหมอเฝิงถ่อมตัวแล้ว” นางเอ่ย “ข้าเพียงคิดว่าเรื่องครั้งนี้เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง อย่างไรเรื่องนี้ก็ยังไม่เคยมีคนทำมาก่อน คนมากสักหน่อยเรื่องก็ทำง่ายขึ้นบ้าง”


ไม่ง่ายจริงๆ ไม่เคยมีคนทำมาก่อน นั่นใยไม่ใช่บอกว่านางก็ไม่เคยทำเช่นกัน


กลางฝ่ามือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวของท่านหมอเฝิงเหงื่อออกเล็กน้อย


สวรรค์อา


“ใช่ ข้าอับอายนัก” ท่านหมอเฒ่าเฝิงค้อมกายเอ่ยอีกครั้ง


คุณหนูจวินคำนับให้เขา


“ขอตัวก่อน” นางเอ่ย


ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ลุกขึ้น เหมือนกับไม่อยากถูกเด็กสาวคนนี้มองเห็นใบหน้าสีแดง ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเด็กสาวคนนั้นเดินออกไปแล้ว ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงยืดตัวตรง อยู่ในร้านของตนองชัดๆ แต่ประหนึ่งโจรออกไปอย่างเงียบเชียบ


บนถนนเด็กสาวคนนั้นเดินเข้าไปในโรงหมอแห่งหนึ่งอีกครั้ง


เกรงว่าคงไม่ได้หรอก


ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเงาร่างของเด็กสาวคนนั้น ในใจถอนหายใจ



“สามร้านแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่ว โบกมือส่งสัญญาณให้พนักงานร้านถอยออกไป “ไม่มีหมอสักคนยอมเดินออกมากับนาง”


“บางทีพวกเขาอาจต้องการเวลาเก็บของเตรียมพร้อมสักหน่อย” ฟางจิ่นซิ่วคิดนิดหนึ่งพูดออกมา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถูกนางล้อเล่นหัวเราะแล้ว คิดอยากพูดอะไรกลับไม่ได้พูด พยักหน้า


เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็รอแล้วกัน



“น่าขันจริงๆ”


ความเคลื่อนไหวของคุณหนูจวินฝั่งนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งเมือง หมอหลวงที่ถูกดูหมิ่นยกหนึ่งเมื่อครู่ย่อมจ้องเขม็ง


เรื่องที่คุณหนูจวินหลังออกจากสำนักแพทย์หลวงก็ไปโรงหมอในเมือง พวกเจียงโหย่วซู่รู้อย่างรวดเร็ว


“นางอยากเชิญพวกหมอเหล่านี้ช่วยเหลือ นางคิดว่าพวกหมอเหล่านี้ล้วนเป็นคนโง่งั้นรึ?” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย


“นางไม่ไปเชิญยังเสแสร้งได้ นางไปเยือนถึงประตูเช่นนี้ ใครไม่รู้บ้างว่านางไม่มั่นใจรักษาฝีดาษไม่ได้” หมอหลวงอีกคนเอ่ย “พวกหมอเหล่านี้ไม่ได้บ้านะ จะไปตายพร้อมกับนางหรือ?”


“บางทีคงคิดจะบีบหมอเหล่านี้ให้เห็นแก่เรื่องที่ถ่ายทอดสั่งสอนวิชาแก้ข้อสงสัยช่วงก่อนหน้านี้” เจียงโหย่วซู่เอ่ย พลางลูบแขนเสื้อ “แต่น่าเสียดาย การถ่ายทอดสั่งสอนวิชาแก้ข้อสงสัยของนางนี่สั้นเกินไป”


คำสั่งอาจารย์ไม่อาจขัด แต่นางสุดท้ายก็ไม่ใช่อาจารย์ผู้มีพระคุณของหมอเหล่านี้ ไม่สร้างความลำบากให้นาง เคารพนางเพิ่มนิดหน่อยยังพอทำเนา ให้คนไปตายเป็นเพื่อน แค่อาศัยชี้แนะสูตรยาอันหนึ่งไม่กี่ครั้ง อายุน้อยเกินไปไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ


“รอดูไปเถอะ” เขาเอ่ย



“คุณหนูจวินโปรดรอก่อน”


เมื่อคุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์เดินออกมาจากโรงหมอที่เท่าไรไม่รู้อีกครั้ง ก็มีคนร้องเรียกนางจากข้างหลัง


คุณหนูจวินหันกลับไปมองเห็นท่านหมอเฒ่าเฝิง


“ท่านหมอเฒ่าเฝิง?” นางเอ่ย


“ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้ายุ่งยากใจอยู่บ้าง


“คุณหนูจวิน ท่าน” เขาอยากเอ่ยแล้วก็หยุด “ตอนท่านพูดกับพวกหมอ พูดเหมือนกับที่บอกกับข้าแบบนั้นหรือ?”


คุณหนูจวินยิ้ม เหมือนคำถามที่เขาถามประหลาดนัก


“แน่นอน” นางเอ่ย


จริงๆ ด้วย…ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้ายุ่งยาก ลังเลนิดหนึ่งก้าวเข้าไปข้างหน้า


“คุณหนูจวิน” เขาเหมือนจะตัดสินใจอะไรแล้ว เข้าไปใกล้กดเสียงเบาเอ่ย “ท่านอย่าพูดกับพวกเขาเช่นนั้น”


คุณหนูจวินไม่เข้าใจอยู่บ้างมองเขา


ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่มองนาง เหมือนไม่กล้ามอง ดวงตาหลบเลี่ยงหน้าก็แดง


เขามีชีวิตอยู่อายุมากขนาดนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องเช่นนี้


“ท่านพูดเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่กล้าไป ท่านบอกพวกเขาว่าท่านคนเดียวทำงานไม่ทันต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูด” เขาพูดออกมารวดเดียว กลั้นจนหน้าแดงก่ำ


คำพูดเหล่านั้นที่เด็กสาวคนนี้บอกกับเขาน่าสะพรึงเกินไปแล้วจริงๆ ในคำพูดนอกคำพูดล้วนแสดงว่าตนเองไม่เคยรักษาฝีดาษมาก่อน ครั้งนี้เป็นการทดลอง


นางยังพูดว่าลองเลย หมอคนอื่นใครยังกล้าไป


แล้วยังเป็นราชโองการของฮ่องเต้ ทั้งยังมีผู้ป่วยมากขนาดนั้นที่กอดความหวังมา หากนี่ล้มเหลว ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ลงโทษอย่างไร แค่ความหวังของชาวบ้านเหล่านี้ก็ท่วมทับคนตายแล้ว


เวลานี้นางทำไมไม่โอหังเช่นนั้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเล่า?


……………………………………….


บทที่ 15 คนถือโคมยามดึกดื่น

โดย

Ink Stone_Romance

หากยังเหมือนก่อนหน้านี้พูดจาโอหังเช่นนั้นว่าไม่มีปัญหานางรักษาได้ เรื่องก็คงทำง่ายแล้ว


นางพูดแค่คนป่วยมากเกินไป ต้องการทุกคนไปช่วยเป็นลูกมือสักหน่อย พูดเช่นนี้ก็คงมีคนไม่น้อยหวั่นไหว บางทีเห็นแก่ที่นางเคยชี้แนะ บางทีอยากอาศัยโอกาสสร้างชื่อ ไม่ว่าเพราะอะไรก็คงมีความกล้าติดตามไป


แต่หากขู่จนความกล้าของทุกคนไม่เหลือแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าเพราะอะไร ไม่มีชีวิตอยู่สิ่งใดย่อมไม่สำคัญแล้ว


เขาทนแล้วก็ทนอีก พูดวาจาเช่นนี้กับเด็กสาว พูดตรงๆ ก็คือจะสอนให้เด็กสาวคนนี้ไปหลอกหมอคนอื่น


นี่ช่างจิตใจชั่วช้าจริงหนอ


ทำเรื่องเช่นนี้เป็นการหลอกคนโดดเข้ากองเพลิงสินะ


ท่านหมอเฒ่าเฝิงหน้าแดงก้มหน้าอยากจะมุดเข้าดินไปเสีย


ข้างหูเสียงหัวเราะของคุณหนูจวินลอยมา


“ขอบคุณมาก” นางคำนับให้เขา สีหน้าจริงใจทั้งยังขอบคุณอยู่หลายส่วน


นางฟังเข้าใจแล้ว ท่านหมอเฝิงจิตใจหดหู่ ไม่รู้ควรดีใจหรือไม่ดีใจ สีหน้าสับสนนัก


ก็เหมือนเขาหวังให้นางทำเช่นนี้ แต่หากนางทำเช่นนี้จริงๆ เขาก็รู้สึกในใจผิดหวังนักด้วย


ประหลาดจริงๆ วิธีนี้เป็นเขาคิดออกมา เอ่ยออกมาก่อนแท้ๆ ทำไมเขายังไปตำหนิเด็กสาวคนนี้อีก


เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว เขารีบค้อมกายคำนับจะหมุนตัวจากไป


“แต่ ข้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เสียงคุณหนูจวินลอยมาต่อ


ไม่อาจทำได้หรือ?


ท่านหมอเฒ่าเฝิงก้าวเท้าหยุดชะงักเงยหน้าขึ้น


“ครั้งนี้ข้าต้องการขอความช่วยเหลือของทุกคน จำต้องพูดให้เข้าใจ” คุณหนูจวินเอ่ย “มีแต่ทำให้ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไรถึงสำเร็จได้”


ที่แท้นี่ก็เป็นความโอหังอย่างหนึ่งสินะ


ข้าจะบอกพวกเจ้าเรื่องนี้ทำขึ้นมาอันตรายนักเชื่อถือไม่ได้เกินไปแล้ว แต่ข้าก็ยังเชิญพวกเจ้า พวกเจ้ากล้ามาช่วยหรือไม่


คนอายุน้อยก็เป็นเช่นนี้หนา ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้ายุ่งยากใจ บางครั้งก็ซื่อไร้เดียงสาอยู่บ้าง


“แต่ท่านทำเช่นนี้มีปัญหานะ” เขายังเอ่ยเสียงเบา


“ข้าบอกเช่นนี้ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ต้องให้ทุกคนคิดเข้าใจ ตนเองตัดสินใจ” คุณหนูจวินเอ่ย “โรคนี้ข้าต้องการคนช่วยเหลือจริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าคนเดียวทำออกมาได้ แต่นี่ไม่ใช่ข้าไม่มั่นใจหรือข้าลองส่งเดช ในใจข้ามีทฤษฎี เพียงแต่ขาดลงมือทำจริงเท่านั้น”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองนาง


“แต่ ทำจริงใยไม่ใช่ยากที่สุด?” เขายิ้มเฝื่อน


“ยากก็ไม่ทำแล้วหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มแล้ว “แต่ละสูตร การรักษาสำหรับแต่ละโรคที่พวกเราใช้วันนี้ ไม่ใช่ล้วนจากไม่มีกลายเป็นมี ล้วนเป็นเหล่าบรรพบุรุษทดลองลงมือทำออกมาได้หรือ โบราณมีเสินหนงต่อมาก็มีหมอเทวดาเปียนเชวี่ย ล้วนได้สูตรยาวิชาแพทย์อันยอดเยี่ยมมาจากการทดลองทั้งสิ้น หากไม่มีการทดลองลงมือทำของพวกเขา พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพิษอูโถว[1]ใช้ได้ สารหนูช่วยคนได้”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองนาง ขยับริมฝีปากอยากพูดอะไรก็ไม่ได้พูดออกมา


คุณหนูจวินยิ้มให้เขาอีกครั้ง สีหน้าอ่อนโยน แววตาจริงใจ


“ข้ารู้เรื่องนี้เสี่ยงอันตรายจริงๆ ท่านหมอเฒ่าเฝิงท่านมากล่อมข้า พูดวาจาเหล่านี้กับข้า ข้าขอบคุณยิ่งนัก” นางเอ่ย ย่อเข่าคำนับ


ท่านหมอเฒ่าเฝิงถอนหายใจโบกมือไม่รับการคำนับ


“แต่เรื่องนี้ข้าจำต้องทำแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย หันกลับมองไปด้านนอกเมือง “พิษของฝีดาษ สังหารคนนับไม่ถ้วน ประหนึ่งมองทิศพายัพศัตรูดั่งสุนัขป่า ข้ารอจนข้าศึกถึงหน้าค่ายแล้ว เผชิญหน้ากองทัพแล้วจะล่าถอยได้หรือ? ต่อให้บุกฝ่าทางรอดเส้นหนึ่งไม่ได้ สังหารได้กี่คนก็เท่านั้น แสวงหาแนวทางบางอย่างเหลือไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง ก็นับว่าไม่เสียแรงเปล่าแล้ว”


พูดจบก็คำนับท่านหมอเฒ่าเฝิงครั้งหนึ่งหมุนกายก้าวยาวจากไป


“คุณหนูของข้าจะไม่เสียแรงเปล่า” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยกับท่านหมอเฒ่าเฝิง กอดหีบยาแน่นเชิดหน้าแค่นเสียงเหอะก้าวยาวตามไป


ท่านหมอเฒ่าเฝิงยืนอยู่ที่เดิมสีหน้ายุ่งยากไม่ขยับ



สีของราตรีค่อยครอบลงมา ม่านประตูส่งเสียงดัง มองเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับฟางจิ่นซิ่วรีบลุกขึ้น


“พวกเฉินชีไปจัดการนอกเมืองได้พอประมาณแล้ว วันนี้คงไม่กลับมา จัดการทั้งคืน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย


“สมุนไพรยาเหล่านั้นก็บรรทุกใส่รถส่งไปยังวัดกวงหวาตลอดทั้งคืน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย


ใครก็ไม่ถามว่านางออกไปทำอะไรทำเป็นอย่างไร


คุณหนูจวินพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าก็จะไป” นางเอ่ย ไม่ได้พูดถึงตนเองไปทำอะไรได้ผลอย่างไรเช่นกัน


“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเถอะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย แล้วมองผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรีบโบกมือ


“ข้ากลับก่อน ในร้านยังมีธุระบางเรื่อง ข้าไม่กินข้าวที่นี่ล่ะ” เขาเอ่ย “คนที่ต้องตามไปวันพรุ่งนี้ข้าเตรียมไว้บ้างแล้ว วันพรุ่งนี้จะส่งมาที่นี่”


หลิ่วเอ๋อร์ยิ้มพยักหน้าให้เขา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยิ้มหมุนตัวออกไป เดินออกจากโรงหมอจิ่วหลิงรอยยิ้มของเขาก็หายไป ที่มาแทนที่คือสีหน้าหนักใจ


เดินทั่วทั้งเมือง ท้ายที่สุดเชิญหมอไม่ได้สักคน


พวกหมอหลวงเหล่านั้นมีความแค้นกับคุณหนูจวิน ตัดสินใจแน่วแน่จะมองดูเรื่องตลก ไม่แน่ข่าวที่คุณหนูจวินรักษาฝีดาษของไหวอ๋องหายก็อาจเป็นพวกเขากระจายไปยังผู้ป่วยเหล่านี้ พวกเขาไม่มีทางมาช่วยเด็ดขาด


ส่วนหมอในเมืองหลวงเหล่านี้ แม้เริ่มแรกขัดแย้งกับคุณหนูจวิน ต่อมาล้วนคลี่คลายแล้ว ยังได้รับน้ำใจจากคุณหนูจวินเท่าไร ทุกคนเวลาปกติพูดุยก็นับถือโรงหมอจิ่วหลิงอย่างยิ่ง


แต่แค่นับถือก็ไม่ไหวเหมือนกัน เผชิญกับเวลาที่เกี่ยวพันถึงประโยชน์และการสูญเสีย ทุกคนก็ยังคงเลือกปกป้องตนเอง


นี่ก็ไม่มีอะไรให้กล่าวโทษ นี่เป็นปกติของมนุษย์


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพรูลมหายใจ สายลมยามค่ำของเดือนหนึ่งยังคงเย็นยะเยือก พัดจนเขาอดไม่ได้ซุกมือในเสื้อ


กลัวอะไร ต่อให้ท้ายที่สุดล้มเหลวแล้ว ก็ไม่พ้นหยิบราชโองการออกมา ปิดโรงหมอจิ่วหลิงออกจากเมืองหลวง ชีวิตนี้อย่างไรก็รักษาไว้ได้เหมือนกัน


กิจการของตระกูลที่บรรพบุรุษบุกเบิกมาก็ไม่ใช่เพื่อให้ลูกหลานล่มกิจการหรือ ล่มก็สร้างขึ้นใหม่ไหม


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วดึงหมวกลงมา มุดเข้าไปในรถจากไป


ราตรีครอบคลุมเมืองหลวง แสงโคมค่อยๆ สว่างขึ้น


ด้านในโรงหมอไป๋เฉ่าโคมไฟยังสว่าง พนักงานน้อยคนหนึ่งฟุบด้านหลังโต๊ะงีบ ท่านหมอเฒ่าเฝิงยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ด้านหน้าวางตำราแพทย์ไว้ ทว่าตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้พลิกผ่านเลยสักหน้า


โคมน้ำมันเต้นระริกหลายวูบ ส่องใบหน้าหนักใจของเขา ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน


เสียงนี้ทำพนักงานน้อยตกใจตื่น


“อาจารย์ จะกลับแล้วหรือขอรับ?” เขาขยี้ตาเอ่ย


ท่านหมอเฒ่าเฝิงขานรับ ไม่ได้ตอบรับ หยิบโคมดวงหนึ่งมายกขึ้นเดินออกไปแล้ว


พนักงานน้อยปิดประตูดีอกดีใจ ไม่เห็นว่าทิศทางที่ท่านหอมเฒ่าเฝิงเดินไปไม่ใช่บ้าน แต่ถือโคมเดินไปทางถนนใหญ่ที่ตกอยู่ในความเงียบสงัดของราตรี


หลังจากนั้นไม่นานเสียงเคาะประตูปึงปึงก็ดังทำลายความเงียบสงัดของถนน เสียงแกรกดังขึ้นทีหนึ่งประตูเปิดออกแล้ว


“ท่านหมอเฒ่าเฝิง? ดึกเช่นนี้ท่าน…” คนด้านในมองเห็นคนที่เคาะประตูประหลาดใจเล็กน้อย


“ท่านหมอหลิว พวกเราเข้าไปคุยกัน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยพลางดับโคม


หน้าประตูตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง


ราตรียิ่งมืดขึ้นทุกที โคมในห้องสว่างอยู่เนิ่นนาน ชาที่วางไว้บนโต๊ะตัวน้อยกลายเป็นเย็นเฉียบ


สองคนที่นั่งประจันหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด แต่กลับไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าสักนิด


“ตาเฒ่าเฝิงอา เรื่องนี้เสี่ยงอันตรายเกินไปแล้วจริงๆ” ในที่สุดบุรุษที่ประจันหน้าอยู่ก็ถอนหายใจเอ่ยขึ้น


ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเขาพยักหน้า


“ใช่สิ ข้ารู้” เขาเอ่ย


“นางมีหลักให้พึ่ง เกิดเรื่อง หยิบราชโองการของเต๋อเซิ่งชางตระกูลฟางออกมา ฮ่องเต้ก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว นางยังเป็นแม่นางคนหนึ่งถึงเวลาประตูปิดกลับไปในบ้าน แต่งงาน กินดื่มไม่ปวดหัวแล้ว พวกเราเล่า?” บุรุษคนนั้นเอ่ย “เมืองหลวงนี่คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว โรงหมอนี่ก็เปิดไม่ได้แล้ว ผู้เฒ่าลูกเล็กเด็กแดงทั้งบ้านคงจบสิ้นกันหมด”


“ข้ารู้ ข้ารู้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงพยักหน้าเอ่ยอีกครั้ง


“ในเมื่อล้วนรู้ ถ้าอย่างนั้นทำไมยังต้องตระเวนโน้มน้าวแทนนางให้ได้เล่า?” บุรุษเอ่ยขึ้นอย่างเสียไม่ได้


ท่านหมอเฒ่าเฝิงยกน้ำชาที่เย็นนานแล้วด้านหน้าดื่มคำหนึ่ง


“เพราะว่า ข้ารู้สึกว่านางเชื่อถือได้” เขาเอ่ย


……………………………………….


[1] อูโถว(乌头) พืชจำพวกหญ้าชนิดหนึ่ง มีพิษแต่ใช้ในการรักษาได้เช่นเป็นยาชา เป็นยากระตุ้นหัวใจ


บทที่ 16 ดังนั้นไปด้วยกัน

โดย

Ink Stone_Romance

บุรุษอึ้งไป


“ตาเฒ่าเฝิง พวกเราตอนนี้กำลังพูดถึงวิชาแพทย์ ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ เจ้าอย่าพูดถึงความน่าเชื่อถืออะไร อุดมการณ์อะไร เลือดร้อนอะไรสิ” เขาส่ายศีรษะเอ่ยอีกครั้ง “นี่ล้วนไม่เกี่ยวกัน”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว


“ตาเฒ่าหลิว เจ้าพูดถูก” เขาเก็บรอยยิ้ม วางถ้วยชาลง สีหน้าเป็นการเป็นงาน “ที่ข้าพูดก็คือความเป็นไปได้ ข้าเชื่อว่าหากเกิดเรื่องนางจะปกป้องพวกเรา”


ท่านหมอหลิวขมวดคิ้ว


“นั่นอยู่ที่ว่านางจะปกป้องได้หรือไม่” เขาเอ่ย


“ในเมื่อนางออกปากเชิญพวกเราช่วยเหลือ ข้าคิดว่านางต้องปกป้องได้แน่” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “ไม่อย่างนั้นนางไม่มีทางพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ปิดบังเจ้า ข้ายังสอนนางว่าหลอกพวกเจ้าอย่างไรด้วยซ้ำ แต่นางไม่ยอม”


พูดจบก็เล่าบทสนทนาเมื่อตอนนั้นใหม่รอบหนึ่ง สีหน้าท่านหมอหลิวอึ้งทั้งยังจนปัญญา


“เจ้านะเจ้า” เขายื่นมือชี้ท่านหมอเฒ่าเฝิง ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร


“อีกอย่าง ข้าเชื่อในวิชาแพทย์ของนาง” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย บนหน้าเขาเปล่งประกายอยู่บ้าง “ตาเฒ่าหลิว นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ เจ้าไม่อยากเอาชนะฝีดาษ อนาคตทิ้งชื่อไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หรือ?”


ท่านหมอหลิวหลุดหัวเราะ


“ตาเฒ่าเฝิง ใครไม่อยากเล่า” เขาเอ่ย “แต่ที่สำคัญก็คือเรื่องนี้อยากแล้วทำได้หรือ?”


“ข้าเชื่อว่านางทำได้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยทันที สีหน้าจริงจังทั้งยังตื่นเต้นอยู่บ้าง “ข้าเชื่อว่านางพูดได้ทำได้”


ไม่รอท่านหมอหลิวเอ่ยอะไร เขาก็เอ่ยปากต่ออีก


“มาเมืองหลวงนานขนาดนี้ เจ้าลองคิดดู นางไม่ใช่พูดได้ทำได้หรือ? นางบอกว่านางรักษาโรคที่พวกเรารักษาไม่ได้ นางเคยมีสักครั้งทำไม่ได้ไหม? นางบอกว่านางจะให้ร้อยแพทย์ช่วยหมื่นประชา นางถ่ายทอดวิชาฝีมือให้พวกเรามีปิดบังซ่อนเร้นสักนิดไหม? แต่ละครั้งที่นางถ่ายทอดวิชาล้วนถูกต้องแม่นยำถึงแก่นไม่อาจโต้แย้งได้ไม่ใช่หรือ”


เขายื่นมือกำมือท่านหมอหลิว


“ตาเฒ่าหลิว วันนี้นางกล้าพูดว่ารักษาฝีดาษได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำได้แน่ เจ้าเชื่อนางหรือไม่?”


ท่านหมอหลิวมองเขา รู้สึกว่ามือที่ถูกกำอยู่สั่นน้อยๆ ไม่รู้ว่าตาเฒ่าเฝิงคนนี้ตื่นเต้นหรือว่าตนเอง


“ข้าเชื่อ” เขาเอ่ยปากบอก


ท่านหมอเฒ่าเฝิงยกมือตบแขนของเขานิดหนึ่ง หัวเราะฮ่าๆ ยืนขึ้น


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเฒ่าทารกอย่างเจ้าเป็นคนห้าวหาญคนหนึ่ง” เขาเอ่ย “พวกเราพบกันพรุ่งนี้”


พูดจบหมุนตัวก็จากไป


ท่านหมอหลิวรีบลุกขึ้นยืน


“ข้าไปส่งเจ้า” เขาเอ่ย ท่านหมอเฒ่าเฝิงถือโคมเดินออกไปข้างนอกแล้ว


สายลมราตรีเย็นเยือก พัดสองคนที่เดินออกมาจากในห้องจนต้องหดคอ


ท่านหมอหลิวมองไปทางท่านหมอเฒ่าเฝิงผู้เดินไปอีกด้านหนึ่งของถนน


“เฮ้ ตาเฒ่าเฝิง บ้านเจ้าไม่ได้อยู่ด้านนั้น” เขารีบตะโกนบอก ตาเฒ่าคนนี้คงไม่ใช่ตื่นเต้นจนสมองมึนงงไปแล้วกระมัง?


ท่านหมอเฒ่าเฝิงถือโคมหันกลับมายิ้ม


“ข้าจะไปแวะอีกสักหลายที่” เขาเอ่ย


แวะอีกสักหลายที่?


ท่านหมอหลิวอึ้ง มองดูท่านหมอเฒ่าเฝิงที่เดินไปบนถนนยามดึกดื่น


สีท้องฟ้าค่ำคืนเข้มเย็นดุจธารา บนถนนเส้นยาวคนเดินเท้าถูกราตรีมืดมิดกลืนกิน มีเพียงโคมดวงหนึ่งแกว่งไกวเคลื่อนไปข้างหน้า


เห็นเพียงโคมไม่เห็นคน ในราตรีนี้ประหลาดนัก


ท่านหมอหลิวยืนอยู่ที่ปากทางเข้าประตูรู้สึกเพียงเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน พลันเขาก็กระทืบเท้าทีหนึ่ง


“ตาเฒ่าเฝิง เจ้ารอข้าด้วย” เขาร้องตะโกน หมุนตัวหยิบโคมไล่ตามไปทางถนนใหญ่อันมืดมิด


บนถนนท่ามกลางราตรีมืดโคมสองดวงลอยลิ่วเคลื่อนไป


ไม่รู้นานเท่าใด โคมไฟสองดวงบนถนนก็กลายเป็นสามดวง สี่ดวง ค่อยๆ ส่องสว่างค่ำคืนดึกสงัดของเมืองหลวง


ฟ้าสว่างแล้ว


คุณหนูจวินตื่นขึ้นตรงเวลา ต่อยหลักไม้รอบหนึ่งเหมือนเช่นวันวาน ตอนนี้ถึงทานอาหารเดินออกไปข้างนอกกับหลิ่วเอ๋อร์ที่สะพายหีบยา


ฟางจิ่นซิ่วรออยู่ที่โถงด้านหน้า


“มีเรื่องอะไรก็แค่บอก” นางว่า “ผู้ช่วยอะไรพวกเราก็จัดหาได้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเตรียมพร้อมไว้แล้ว”


คุณหนูจวินมองนาง


“เจ้าจำไว้ให้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่งคนไปตามหาของที่ข้าต้องการ” นางเอ่ย


นี่เป็นเรื่องที่เมื่อคืนวานคุณหนูจวินสั่งว่านางจำเป็นต้องทำ เขียนไว้บนกระดาษแล้ว


ฟางจิ่นซิ่วพยักหน้า เปิดประตูแทนนาง


“บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ไม่ใช่แค่หมอไม่กี่คนรึ” นางหยุดนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว


“ไม่ผิด” นางเอ่ย ก้าวออกจากประตู แต่นาทีต่อมานางก็ชะงักเท้า


หลิ่วเอ๋อร์ที่สะพายหีบยาอยู่ถูกขวางไว้ไม่เข้าใจอยู่บ้าง


“คุณหนู?” นางเอ่ยถาม


เกิดอะไรขึ้น?


ฟางจิ่นซิ่วก็ขมวดคิ้วมองออกไปข้ามไหล่คุณหนูจวิน หลังจากนั้นนางก็อึ้งไปด้วยแล้ว


นอกประตูไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรคนสิบกว่าคนยืนอยู่ มีชรามีอายุน้อย หน้าตาไม่เหมือนกันสวมอาภรณ์ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวก็คือที่ตัวสะพายหีบยาใบหนึ่งอยู่ มองเห็นประตูเปิดออกรวมถึงคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ตรงปากประตู คนสิบกว่าคนนี้ล้วนยิ้มก้าวมาข้างหน้า


“คุณหนูจวิน ไปได้แล้วสินะ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงที่เป็นคนนำเอ่ยขึ้น


ฟางจิ่นซิ่วรู้สึกเพียงดวงตาร้อนูบ พริบตาน้ำตาทำสายตาพร่ามัว


พวกเขา


ถึงกับ


มาแล้ว


คุณหนูจวินก้าวออกไป ไม่ได้เอ่ยวาจา แต่ย่อเข่าคำนับท่านหมอเหล่านี้


บรรดาท่านหมอก็รีบคำนับคืน


ไม่มีคำพูดจาไม่มีคำอธิบายยิ่งไม่มีการกระทำฟุ่มเฟือยอันใด คำนับครั้งหนึ่งและคำนับคืนครั้งหนึ่งเรียบง่ายเช่นนี้ ทำให้ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบ


ความเงียบสงบนี้ท่ามกลางเหมันต์หนาวเหน็บปลายเดือนหนึ่งแลดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ


“ดี พวกเราไปกันเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย แล้วมองไปทางรถที่จอดอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง


เดิมทีคิดไม่ถึงว่าท่านหมอเหล่านี้จะมา ดังนั้นจึงเตรียมรถไว้เพียงหนึ่งคัน


คงไม่อาจให้นางนั่งรถ หมอคนอื่นเดินเท้าตามได้หรอกกระมัง


ความลังเลของนางปรากฏอยู่ในสายตาของท่านหมอทั้งหลาย


“คุณหนูจวินท่านขึ้นรถเถอะ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “ท่านเด็กสาวคนเดียวเดิมทีก็ควรนั่งรถอยู่แล้ว”


ท่านหมอคนอื่นล้วนยิ้มพากันพยักหน้าเร่ง


ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่นั่นเองเสียงรถม้าเอะอะพักหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงพูดของผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว


“มาแล้ว มาแล้ว” เขาเอ่ยเสียงดัง “รถม้าเตรียมพร้อมหมดแล้ว”


มองดูรถม้าสิบกว่าคันที่มา บรรดาท่านหมอทั้งประหลาดใจทั้งแย้มยิ้ม


“ดูท่าคุณหนูจวินรู้ก่อนแล้วว่าพวกเราจะมา” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย “รถยังเตรียมไว้พร้อม ถ้าพวกเรามาช้ากว่านี้หน่อย คาดว่าคงไปรับที่บ้านแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นยังไม่สู้มาสายสักหน่อย ข้าจะได้อยู่ที่บ้านกินข้าวร้อนควันฉุยสักชาม” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยล้อ


คนที่อยู่ที่นั่นหัวเราะขึ้นมา


“มี มีข้าวอยู่ ที่วัดกวงหวาด้านนั้นผู้ดูแลใหญ่เฉินพาคนของกรมทหารม้าห้าเมืองไปจัดการเรียบร้อยแล้ว ที่อยู่ที่กินล้วนมีพร้อม” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยเสียงดัง “พวกท่านไปด้วยกัน มีสุรามีเนื้อ อยากได้สิ่งใดมีสิ่งนั้น”


ขอเพียงพวกเจ้าไปด้วยกัน พวกเจ้าต้องการอะไรก็จะให้สิ่งนั้น


คำพูดนี้โอหัง ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้พูดเช่นนี้มานานแล้ว เพราะนางไม่ใช่คุณหนูสามตระกูลฟางมานานแล้ว


แต่ตอนนี้ นาทีนี้ นางฟางจิ่นซิ่วอยากพูดเช่นนี้และกล้าพูดเช่นนี้


……………………………………….


บทที่ 17 คอยส่งสองข้างทาง

โดย

Ink Stone_Romance

คำพูดนี้ทำให้เสียงหัวเราะยิ่งดัง


“มีเงินทำสิ่งใดก็สะดวกจริงๆ” มีท่านหมอเอ่ย


คำพูดนี้ไม่ได้หมายความแง่ร้ายอะไร ฟางจิ่นซิ่วก็ไม่มีทางคิดว่าความหมายแง่ร้าย เพียงคิดว่าเป็นคำชม


“เงินก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ทุกเรื่อง แต่ทำงานขาดเงินไม่ได้” นางเอ่ย “ที่พวกท่านต้องทำเพียงรักษาโรคช่วยคน เรื่องอื่นพวกเราทำเอง”


บรรดาหมอหลวงมองเด็กสาวคนนี้


สังเกตเด็กสาวคนนี้เป็นครั้งแรก อายุไม่ต่างกับคุณหนูจวินมาก หน้าตาบรรยากาศก็เหมือนกัน ล้วนโอหังเป็นปกติ


ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันไม่อยู่บ้านเดียวกันจริงๆ


“ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจแล้ว” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย ตนเองขึ้นรถม้าคันหนึ่งไปก่อน บรรดาท่านหมอคนอื่นต่างหลีกให้กันและกันก่อนขึ้นรถของตนเองไป


ผู้ดูแลใหญ่โบกมือส่งสัญญาณให้พวกเด็กรับใช้ พวกเด็กรับใช้สะบัดแส้ทันที แส้เสียงใสกังวานสะท้อนก้องถนน รถม้าเดินหน้าชัดกระจ่าง


ฟางจิ่นซิ่วกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่หน้าโรงหมอจิ่วหลิงมองส่งขบวนรถจากไป


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านเคลื่อนไหวเร็วน่าดู” ฟางจิ่วซิ่วเอ่ย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเคราพรูลมหายใจยาว


เขาแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เช้าตรู่ได้ยินข่าวนี้ตกใจสะดุ้งโหยงจริงๆ เขาย่อมไม่ได้เตรียมไว้เช่นกัน


“ใครให้พวกเรามีเงินเล่า” เขาหัวเราะเอ่ย


มีเงินต่อให้เช้าตรู่ ต่อให้ไม่ได้เตรียมอันใดไว้ ก็รวมรถม้าสิบกว่าคันได้ทันที


ฟางจิ่นซิ่วยิ้มไม่ได้เอ่ยวาจามองรถม้าเคลื่อนไปตามถนน


“ข้าว่าข้าตามไปด้วยดีกว่า” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยอีก


ฟางจิ่นซิ่วเรียกเขาไว้


“เฉินชีอยู่ที่นั่นก็พอแล้ว คุณหนูจวินมีเรื่องอื่นขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” นางเอ่ย พลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรีบยื่นมือรับไปเปิดออกอ่าน สีหน้าตกใจ


“ต้องการของพวกนี้ทำอะไร?” เขาเอ่ยถาม


ฟางจิ่นซิ่วส่ายศีรษะ


“นางไม่ได้บอก” นางเอ่ยขึ้น


นางทำสิ่งใดย่อมมีความคิดของตนเอง ถามก็ไร้ประโยชน์ ทำตามก็พอแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเก็บแผ่นกระดาษไป


“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ย



การเคลื่อนไหวของโรงหมอจิ่วหลิงด้านนี้เป็นที่จับตาของคนทั้งเมืองอยู่ตลอด ผนวกกับเสียงแส้ม้าใสกังวานบนถนน ดึงคนมากมายแห่มาด้านนี้


เพราะความน่ากลัวของฝีดาษ วันนี้บนถนนไม่ครึกครื้นเหมือนวันวานแล้ว ทั้งยังเป็นเช้าตรู่บนถนนว่างเปล่าไม่มีคน ไม่จำเป็นต้องสะบัดแส้ม้าเตือนผู้คนให้หลีกทางอย่างสิ้นเชิง


นี่เห็นชัดว่าถูกกำชับให้จงใจสร้างกระแสแล้ว


แต่ตอนนี้ไม่มีคนสนใจรายละเอียเล็กน้อยนี่ ยิ่งไม่มีคนไปดูแคลนว่าคนรวยใจหยาบหน้าไม่อาย


“คุณหนูจวินพาหมอมากมายขนาดนี้ไปรักษาฝีดาษหรือ?”


“แน่นอนคุณหนูจวินคนเดียวย่อมไม่ไหว ด้านนอกมีผู้ป่วยมากมายเชียวนะ”


“ดีเหลือเกิน คนมากหน่อยก็ยิ่งมั่นใจแล้ว”


“แต่หมอพวกนี้ไหวหรือไม่นะ? นั่นไม่ใช่ท่านหมอเฒ่าเฝิงหรือ? เขาไม่ใช่หมอจัดกระดูกรึ?”


“ยังมีท่านหมอหลิว พวกนี้เป็นหมอในเมืองนี่”


“หมอในเมืองแล้วอย่างไร? ไม่ใช่มีคุณหนูจวินอยู่ด้วยหรือ?”


ในฝูงชนมีคนเอ่ยเสียงดังขึ้นมา


“หมอเหล่านี้กล้าตามคุณหนูจวินไปรักษาฝีดาษก็ยอดเยี่ยมแล้ว”


นั่นก็ใช่ อย่างไรนั่นก็เป็นฝีดาษ หมอมากมายไม่รับรักษาด้วยซ้ำ ผู้คนพากันพยักหน้า ในฝูงชนพลันมีผู้หญิงหลายคนพุ่งออกมา


“ผู้มีพระคุณ” พวกนางคุกเข่าให้ท่านหมอบนรถม้า “ขอบคุณพวกท่านขจัดภัยอันตราย ปกป้องความสงบสุขของลูกหลานในบ้านเรา ข้าจะตั้งป้ายอวยพรอายุยืนให้พวกท่าน”


การกระทำนี้ทำให้ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที


ใช่สิกำจัดฝีดาษแล้ว ย่อมปกป้องลูกหลานในบ้านของพวกเขาให้ปลอดภัยจริงๆ ตอนนี้เพราะหวาดกลัวฝีดาษ พวกเด็กๆ ล้วนถูกขังอยู่ในบ้าน กระทั่งลานหน้าเรือนก็ไม่กล้าไป


นั่นเป็นเด็กๆ นะ แต่ละคนถูกขังร้องไห้คร่ำครวญ ในบ้านก็ไม่ต้องสงบเหมือนกัน


มีแต่กำจัดภัยฝีดาษข้างนอกได้ พวกเขาถึงจบวันเวลาอันอกสั่นขวัญแขวนนี่ได้


ฉับพลันคนมากมายก็โถมออกมาคำนับเอ่ยขอบคุณไปทางรถม้า


ไม่รู้ผู้หญิงจากที่ไหนวิ่งออกมาอีกสองสามคนโยนผลไม้อาหารสุกที่ใส่ไว้ในตะกร้าไปด้านในรถ ชักนำให้บนถนนยิ่งเอะอะ


บรรดาท่านหมอที่นั่งในรถเพิ่งเคยพบการปฏิบัติเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่ละคนๆ หน้าแดงทั้งยังยากปิดบังความตื่นเต้น


“เกินไปแล้ว เกินไปแล้ว” พวกเขานั่งอยู่ในรถพึมพำกับตนเองพร้อมทั้งรู้สึกว่าถูกความเชื่อมั่น ความรู้สึกขอบคุณของชาวบ้านเหล่านี้ทำให้คนเลือดร้อนพลุ่งพล่านอย่างยิ่ง


“มารดามันเถอะ”


ท่านหมอเกิ่งที่ยืนอยู่มุมถนนมองเห็นภาพนี้ขบปากแตกร้องด่า


“มารดามันนี่เสแสร้งเกินไปแล้ว ไปหาคนเล่นละคนมาจากไหน หน้าไม่อายเหลือเกิน”



“อาจารย์ ท่านไม่ได้เห็นฉากนั้น โรงหมอจิ่วหลิงนี่หน้าไม่อายจริงๆ”


ในสำนักแพทย์หลวง ท่านหมอเกิ่งเล่าฉากที่ชาวบ้านมาส่งบรรดาท่านหมอออกจากเมืองให้ทุกคนฟัง ทั้งโกรธทั้งขำ


“ทำอะไรกัน พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นอะไร นี่ยังไม่ทันรักษาหายเลยนะก็กลายเป็นวีรบุรุษแล้ว?”


บรรดาหมอหลวงพากันพยักหน้า


“ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว”


“มีอย่างที่ไหน”


“ไร้ยางอายที่สุด”


เจียงโหย่วซู่เคาะโต๊ะทำให้ทุกคนเงียบลง


“แล้วแต่พวกเขาเถอะ ยิ่งทำฮือฮายิ่งดี” เขาเอ่ย “ตอนนี้ถูกคนชื่นชอบมากเท่าไร อนาคตก็ถูกคนชิงชังเท่านั้น”


พูดจบก็มองผู้คน


“ทุกคนไปทำงานของตนเองเสีย ไปที่พำนักของพวกท่านอ๋ององค์หญิงองค์ชายเดินๆ สักหน่อย อย่างไรเกิดเรื่องนี้ในบ้านมีเด็กคนล้วนใจหวาดหวั่น ทุกคนพยายามทำให้พวกเขาวางใจ”


นี่ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาสมควรทำตอนนี้ บรรดาหมอหลวงพยักหน้าถอยออกไป


ในห้องเหลือเพียงเจียงโหย่วซู่คนเดียว สีหน้าของเขาไม่สุขุมเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ติดจะแค้นชังอยู่บ้าง


คิดไม่ถึงพวกหมอจะถูกนางกล่อมสำเร็จมากขนาดนั้นจริงๆ


นางกล่อมได้อย่างไร? บอกว่าตนเองรักษาได้แน่ ไปครั้งนี้จะโด่งดังร่ำรวยหรือ?


หมอโง่ฝูงนี้ โง่จนถึงแก่นจริงๆ ก็แค่ผู้หญิงคนนั้นรักษาโรคที่พวกเขารักษาไม่หาย ชี้แนะพวกเขานิดหน่อย แต่ละคนๆ ก็บูชานางเป็นเทพเสียแล้ว


รอดูไปเถอะ จะมีเวลาที่พวกเจ้าร้องไห้ พวกตัวโง่เง่า



หลังรถม้าขับออกจากประตูเมืองบรรดาเด็กรับใช้ก็เก็บแส้ม้ากระโดดขึ้นรถ เร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้า


บนกำแพงเมืองคนหนุ่มหลายคนสายตามองรถม้าอยู่


“ใช้ได้นี่ คุณหนูจวินคนนี้หนึ่งร้องร้อยรับจริงๆ”


ซื่อเฟิ่งเอ่ย


จางเป่าถังตบหนึ่งฝ่ามือบนแผ่นหลังของเขา


“น้องสี่เจ้าแพ้แล้วจ่ายมา” เขาเอ่ย


ซื่อเฟิ่งแบมือ


“จน ไม่มีเงิน” เขาเอ่ย


จางเป่าถังหนีบเขาไว้ทันที กำลังเล่นสนุกกันก็มีคนเรียกพวกเขาไว้


“พวกเจ้าดู คนแซ่ลู่ก็ออกมาด้วยแล้ว”


จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งรีบมองไป จูจั้นที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หลุบสายตาเหมือนกัน


องครักษ์เสื้อแพรขบวนหนึ่งขี่ม้าออกจากประตูเมืองมา ลู่อวิ๋นฉีที่ถูกล้อมไว้ตรงกลางสะดุดตาเป็นพิเศษ รู้สึกถึงสายตาฝั่งนี้ เขาเงยหน้ามองข้ามมา


สายตาของจูจั้นกับเขาประสานกัน สองคนล้วนสีหน้าไร้อารมณ์


ลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ขี่ม้าเร็วรี่ไปท่ามกลางบรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ห้อมล้อม


“เจ้าสุนัขนี่ไปทำอะไร?” ซื่อเฟิ่งเอ่ย


เสียงยังไม่ทันจบ จูจั้นก็หมุนตัวเดินออกไปแล้ว


“เฮ้อ พี่รองเจ้าจะไปทำอะไร?” เขารีบตะโกนเรียก


จูจั้นโบกมือให้เขาไม่ได้เอ่ยวาจา ก้าวยาวเดินลิ่วลงจากกำแพงเมือง


……………………………………….


บทที่ 18 ฟังพระพุทธมีเมตตากรุณา

โดย

Ink Stone_Romance

วัดกวงหวาห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่แปดลี้ ออกจากเมืองไม่นานก็มองเห็นบนทางหลวงตั้งด่านอยู่ ยังตั้งป้ายบอกทางแก่ผู้ป่วยฝีดาษชี้สถานที่ต้องไปไว้ชัดเจน


รถม้าวิ่งไปตามทางไม่นานก็มองเห็นวัดกวงหวาที่ตั้งเด่นอยู่บนยอดเนินเขาลูกหนึ่ง


วัดกวงหวาพื้นที่มาก ทั้งภูมิประเทศสูง ขังผู้ป่วยเข้าไปในวัดห้ามไม่ให้พวกเขาวิ่งวุ่น


ขบวนรถมาถึงวัดกวงหวาในตอนบ่าย เฉินชีพาคนมารอรับแล้ว เข้าไปในวัดยิ่งมีครอบครัวผู้ป่วยยืนเรียงแถวอยู่ที่ปากประตู มองเห็นคณะของคุณหนูจวินเข้าประตูก็ฮือเข้ามาพร้อมเพรียง


“ท่านหมอจวินช่วยชีวิตด้วย”


มีคนร้องไห้ตะโกนเสียงดังเอ่ย


เฉินชีเอ็ดคนผู้นั้นทันที


“นี่ไม่ใช่มาช่วยชีวิตหรือ?” เขาถลึงตาเอ่ย


“ขอบคุณท่านหมอ ขอบคุณท่านหมอทั้งหลาย” คนอื่นรีบตะโกนตามทันที


เทียบกับชาวบ้านนอกเมืองที่เพียงกังวลว่าบุตรตนเองจะติดโรคเหล่านั้น คนที่นี่บุตรล้วนติดโรคหมดแล้ว คนเหล่านี้อารมณ์ยิ่งรุนแรง คนไม่น้อยร้องไห้จนสลบไปกับพื้น


ภาพนี้ทำให้บรรดาท่านหมอที่เห็นเข้าทั้งตื่นเต้นทั้งหนักใจ


“ถูกคาดหวังมากเช่นนี้ หากทำไม่ได้จะทำอย่างไรเล่า” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย มองดูชาวบ้านที่ถูกกล่อมให้ออกไป


คำพูดนั้นทำในใจทุกคนล้วนหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน


ใช่สิ ตลอดทางสนเพียงเลือดร้อนพลุ่งพล่าน ล้วนลืมไปแล้วว่าเรื่องที่พวกเขาจะทำเป็นเรื่องที่ไม่มั่นใจสักเท่าไร


ตอนนี้อามรณ์ร้อนแรงของชาวบ้านถูกจุดขึ้นมาอย่างสิ้นเชิงแล้ว ในสายตาของพวกเขาท่านหมอเหล่านี้ช่วยเหลือพวกเขาได้ ถ้าหากว่า…


บรรดาท่านหมอเพิ่งยืนอยู่ในอุโบสถวัดกวงหวาเงียบไป


ภิกษุในกุฏิล้วนถูกนิมนต์ออกไปหมดแล้ว พระพุทธรูปทองอร่ามสูงใหญ่น่าเกรงขามยังคงนั่งขัดสมาธิเงียบสงบ ภาพวาดทวยเทพโปรดสัตว์เต็มกำแพงสองด้าน


วัดกวงหวานี้เคยเป็นวัดประจำราชวงค์ของรัชกาลก่อน พระพุทธรูปกรวมถึงภาพจิตรกรรมทวยเทพโปรดสัตว์ด้านในมาตรฐาน ฝีแปรง การแต้มสี ระบบและขนาด เทียบกับวัดอื่นมีสง่าราศีกว่ามาก


ก่อนหน้านี้ที่นี่สายานุศิษย์ชายหญิงภิกษุทะลักเต็มแน่นมีเพียงเสียงเอะอะ เวลานี้ด้านในโถงเงียบสงบปรากฏความเคร่งขรึมน่าเกรงขามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบนี้ ดึงให้ทุกคนมองไป คุณหนูจวินเดินไปถึงตรงหน้าภาพวาดที่กำแพงด้านข้าง ท่าทางใคร่รู้อยู่บ้างมองไป


“นี่คือเก้าพระพุทธองค์สิบพระโพธิสัตว์สิบวิทยราชสิบหกพระอรหันต์” สายตานางกวาดรอบโถงเอ่ยออกมา “งดงามน่าเกรงขามเหมือนมีชีวิตจริงๆ”


ภาพจิตรกรรมทวยเทพโปรดสัตว์ของวัดกวงหวาชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เวลานี้ใช่เวลาจะชื่นชมสิ่งนี้หรือ


บรรดาท่านหมอมองดูคุณหนูจวินสีหน้าสับสนอยู่บ้าง


คุณหนูจวินดูเสร็จก็ละสายตากลับมาจากภาพวาดฝาผนัง ยืนอยู่ที่พระพุทธรูปตรงกลางเงยหน้าจับจ้อง


ในโถงตกอยู่ในความเงียบอีกรั้ง แต่บรรดาท่านหมอกลับสงบใจไม่ไหวแล้ว


นี่ทำอะไรน่ะ? มาแล้วอย่างไรก็ต้องบอกระเบียบข้อบังคับสักอย่างสิ เด็กสาวคนนี้ชื่นชมทิวทัศน์ได้อย่างไร?


“คุณหนูจวิน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงคุ้นเคยกับนางมากที่สุด เป็นฝ่ายเอ่ยปาก


เพิ่งเอ่ยปากพูด คุณหนูจวินก็หันหน้ามาหาพวกเขาส่งเสียงชู่ทีหนึ่ง


“พวกท่านฟัง” นางเอ่ย


ฟัง?


ฟังอะไร?


พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ยังคงเงียบเงี่ยหูฟัง ทุกคนล้วนอดไม่ได้กลั้นลมหายใจกลั้นเสียงจดจ่อ


ในโถงใหญ่ยิ่งเงียบแล้ว ราวกับทุกสิ่งล้วนไม่มีอยู่


ไม่รู้ว่าเหตุเพราะกลั้นลมหายใจกลั้นเสียงหรือความน่าเกรงขามของพระพุทธรูปกับรอบด้าน ทุกคนรู้สึกเพียงใจค่อยๆ สงบลงแล้ว


แต่…


“ฟังอะไรหรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งยังคงอดไม่ได้เอ่ยถาม


“พวกท่านไม่ได้ยินพระพุทธองค์กำลังเอ่ยวจนะหรือ?” คุณหนูจวินพูดขึ้น


พระพุทธ์องค์กำลังเอ่ยวจนะ?


บรรดาท่านหมอสีหน้าประหลาดใจ เล่นอะไรเนี่ย? พวกเขาล้วนเป็นหมอ แม้ไม่ใช่พวกบัณฑิตนับถือวิถีแห่งปราชญ์ แต่คนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดแก่เจ็บตาย ย่อมไม่พูดถึงพลังลี้ลับเทพงมงาย


พระพุทธองค์เอ่ยวจนะอันใด


คุณหนูจวินมองพวกเขายิ้ม


“พวกท่านไม่ได้ยินสินะ” นางเอ่ย


พวกเราได้ยินสิถึงแปลก


บรรดาท่านหมอมองนาง มีหลายคนอดไม่ได้หงุดหงิดคิ้วขมวดแล้ว


คุณหนูจวินประนมมือหลุบตาลงนิดหนึ่ง


“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกพวกท่าน” นางเอ่ย “ข้าได้ยินพระพุทธองค์ตรัสว่า เพียงทำความดีอย่าถามถึงอนาคต”


พระพุทธ์องค์ตรัสว่าเพียงทำความดีอย่าถามถึงอนาคต


บรรดาท่านหมอในโถงใหญ่อึ้งไปนิดหนึ่ง ในใจเอ่ยทวนประโยคนี้เงียบๆ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปมา


พวกเขาฟังความหมายของคุณหนูจวินเข้าใจแล้ว


“ใช่สินะ เพียงทำความดีอย่าถามถึงอนาคต” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย ท่าทางปลง “พวกเรารู้ว่าพวกเราตอนนี้กำลังทำอะไร ต้องทำอะไรก็พอแล้ว ส่วนทำได้หรือไม่ ทำเต็มที่แล้วปล่อยฟ้ากำหนด มีเพียงทำเต็มกำลัง พวกเราจึงไม่ละอายแก่ใจ ไม่เสียใจและรู้สึกผิด”


ท่านหมออีกคนหนึ่งก็พยักหน้าด้วย


“ใช่แล้ว ปราชญ์ในอดีตก็กล่าวไว้จงอย่าหลบเลี่ยงเส้นทางเขาชันอันตราย เช้าค่ำหนาวร้อน หิวโหยเหนื่อยล้า มุ่งมั่นไปช่วยเหลือ อย่าทำงานแต่เพียงเอาหน้า เช่นนี้จึงเป็นหมอผู้ช่วยสรรพชีวิตได้” เขาประสานหมัดเอ่ย “พวกเราในเมื่อรับรักษาผู้ป่วยมากขนาดนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งใจไปรักษาเท่านั้นก็พอ”


บรรดาท่านหมอล้วนพากันพยักหน้า สีหน้าไม่ได้ตื่นเต้นแล้วก็ไม่ได้ร้อนรนไม่สงบแล้ว พวกเขาเงยหน้ามองอุโบสถแห่งนี้ทีหนึ่ง เช่นเดียวกับที่คุณหนูจวินทำเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความงดงามน่าเกรงความนี่จริงหรือไม่ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าจิตใจสงบนิ่งลง แต่ละคนคลายความอึดอัดโดยไม่รู้ตัว


ความอึดอัดนี้ตั้งแต่เมื่อวานที่คุณหนูจวินมาเชิญให้พวกเขาช่วยเหลือถึงประตู รวมถึงกลางคืนที่ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยโน้มน้าวพวกเขาจนตกลง ไปจนถึงตลอดทางจากในเมืองมาถึงวัดกวงหวาสั่งสมต่อกันมา


ความอึดอัดนี้มีความตกตะลึงมีความตื่นเต้นมีความหวาดกลัวมีความยินดีหน่อยๆ เป็นต้นหลากรสผสมปนเป ทั้งหมดสั่งสมอยู่ในใจก่อกวนหัวใจจนวุ่นวายพาให้สมองพองขยายไปด้วย


ตอนนี้ความอึดอัดนี้ปล่อยออกไปแล้ว คนทั้งร่างประหนึ่งผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก


“คุณหนูจวิน พวกเราจะทำสิ่งใดก่อน?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองไปทางคุณหนูจวินเอ่ยถาม


“พวกเราไปดูผู้ป่วยเหล่านี้ก่อน” คุณหนูจวินเอ่ย “หลังจากนั้นรวมตัวกันหารือวิธีการรักษา”


บรรดาท่านหมอพยักหน้าขานรับ ตามคุณหนูจวินก้าวออกจากอุโบสถ


เฉินชีพาคนมารออยู่ด้านนอก


“ที่พักของทุกคนจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ย พลางยื่นมือชี้บอกทางด้วยตนเอง “พวกผู้ป่วยล้วนจัดให้อยู่ในโบสถ์ด้านหลัง”


คุณหนูจวินพาหมอทั้งหลายไปทางโบสถ์ด้านหลังตามการนำทางของเขา


“ผู้ดูแลใหญ่ชี หมอเหล่านี้ดูแล้วสีหน้าไม่ถูกต้องนักนะ” พนักงานคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเฉินชีเอ่ยเสียงเบา


“ไม่ถูกต้องอย่างไร?” เฉินชีเอ่ย ถลึงตามองพนักงานคนนั้นทีหนึ่ง “เรียกข้าว่าผู้ดูแลใหญ่เฉิน”


พนักางานหัวเราะหึหึ มองดูคนฝั่งนี้เดินเข้าไปใกล้โบสถ์ด้านหลัง ครอบครัวของผู้ป่วยตื่นเต้นนำทางเข้าไปในอาคาร


“ดูแล้วอารมณ์ไม่ดีหน้าบึ้ง” เขาเอยเสียงเบา


เฉินชีสบถ


“เจ้าเข้าใจอะไรเล่า” เขาเอ่ย “นั่นเป็นความสุขุมชัดๆ เจ้าเคยเห็นหมอคนไหนตรวจคนไข้หน้าตายิ้มแย้มดีใจไหมเล่า? รู้สึกดั่งเกิดกับตน เมตตากรุณาในอก ไม่หยิ่งยโสไม่รีบร้อน โศกเศร้ายินดีไม่เผย นี่ถึงทำให้ผู้ป่วยคลายกังวล นี่ถึงเป็นการตรวจรักษา”


พนักงานน้อยหัวเราะหึหึแล้ว


“ผู้ดูแลใหญ่ชีท่านรู้มากจริงๆ” เขาเอ่ย


เฉินชีคร้านจะสนใจเขา ลูบปลายคางมองบรรดาหมอเหล่านั้นเดินออกห้องหนึ่งเข้าอีกห้องหนึ่ง


ก็แปลกจริงๆ สีหน้าของหมอเหล่านี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว นี่ถึงเหมือนหมอที่มาตรวจโรค ไม่เหมือนก่อนหน้านี้สีหน้าท่าทางเหมือนไล่เป็ดขึ้นคอน[1]อย่างนั้น ดูท่าบรรดาหมอก่อนหน้าตรวจโรคไหว้พระก่อนก็มีประโยชน์เอาการ ไม่แปลกที่คุณหนูจวินเข้ามาปุบไม่ไปดูผู้ป่วย แต่นำพวกเขาตรงมาที่โถงพระพุทธรูปก่อน



เมื่อดูผู้ป่วยฝีดาษด้านในสิบกว่าห้องเสร็จ ท่านหมอทั้งหลายก็มารวมตัวกันที่ในโถงพระพุทธรูปอีกครั้ง


“เรื่องจะใช้ยารักษาอย่างไร พวกเราหลังจากนี้หารือกันที่นี่” คุณหนูจวินเอ่ย


อุโบสถนี่ใหญ่เกินไปแล้วกระมัง? ทำไมต้องที่นี่? โบสถ์ด้านหลังยังมีห้องว่างอีกหลายห้อง


บรรดาท่านหมอกวาดตามองโดยไม่รู้ตัว มองเห็นด้านในอุโบสถจัดโต๊ะเก้าอี้ไว้ วางไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั่นเอง ดูไปแปลกประหลาดอยู่บ้าง


แต่ก็ไม่มีอะไรแปลกที่นี่ก็ไม่ใช่โรงหมอ ทำอะไรก็ล้วนแปลก อย่าได้จู้จี้กับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เลย ยังคงถกการรักษาเรื่องใหญ่ที่สุดตรงนี้นี่เถอะ


“เกี่ยวกับฝีดาษนี้ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนป่วยมากกว่าสามวันแล้ว วิกฤติมากจริงๆ”


“ถ้าอย่างนั้นคนเหล่านี้ใช้ยาย่อมต้องไม่เหมือนกัน”


“ถ้าอย่างนั้นก็ใช้น้ำผึ้งหมาหวง[2]เถอะ”


พวกท่านหมอพากันปรึกษาหารือ คุณหนูจวินฟังแล้วก็ยกพู่กัน


“นอกจากน้ำผึ้งหมาหวง ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง” นางเอ่ย


นางมีวิธีรับมือจริงๆ


บรรดาท่านหมอในใจโล่งใจ มองไปทางนาง กลับไม่ได้จรดพู่กัน กลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง


“แต่วิธีนี้จะทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดมาก” นางเอ่ยบรรดาท่านหมอถอนหายใจ


“คุณหนูจวินเวลานี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย”


“รักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว ยังเจ็บปวดได้มากกว่าตายหรือ?”


คุณหนูจวินยิ้ม


“นั่นสิ” นางเอ่ย “แต่เอาอย่างนี้เถอะ วิธีนี้ใช้กับผู้ป่วยที่ป่วยน้อยกว่าสามวัน เรี่ยวแรงของพวกเขายังทนไหวอยู่ อาการหนักมากกว่าสามวันให้ใช้น้ำผึ้งหมาหวงแล้วกัน ใช้ยาจนพวกเขามีเรี่ยวแรงดีขึ้นบ้าง หลังจากนั้นค่อยใช้วิธีนี้ของข้า”


บรรดาท่านหมอพากันพยักหน้า


คุณหนูจวินยกพู่กันเขียนเทียบยา ท่านหมอทั้งหลายมาดูร่ำเรียนด้วย


“สูตรนี้ไม่เคยเห็นจริงๆ” ทุกคนเอ่ย สีหน้าตื่นเต้นมาก ไม่เคยเห็นต้องมีฤทธิ์มหัศจรรย์แน่ ตอนนั้นจึงพากันเดินออกไปข้างนอก “พวกเราจะไปจัดยาจ่ายยาตามสูตรนี้เดี๋ยวนี้”


คุณหนูจวินมองพวกเขาก้าวเท้าไวๆ ออกไป หันกลับมามองพระพุทธรูปสูงใหญ่ครั้งหนึ่ง หลุบตาเดินออกไป


……………………………………….


[1] ไล่เป็ดขึ้นคอน (赶鸭子上架) สำนวนหมายถึงบังคับให้ทำในสิ่งที่ทำไม่ได้


[2] น้ำผึ้งหมาหวง (蜜麻) น้ำผึงผสมกับสมุนไพรหมาหวง (麻黄)


———————————————–


จบ หวนชะตารัก 1

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม