Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 1-4

 ภาค 3 ฤดูใบไม้ผลิเมืองหลวง บทที่ 1 ร้องเพลงบทหนึ่งในอดีต

โดย

Ink Stone_Romance

 


เขากลับมาเวลานี้ได้อย่างไร?


กลับมาเวลานี้ก็ไม่มีอะไรแปลก อย่างไรเขาก็ตามติดไหวอ๋องมาก เหมือนกับตอนนั้นที่เฝ้ามองตนเอง ตลอดเวลาแทบจะไม่ห่าง


แต่เขากลับมาแล้วทำไมมาด้านนี้เล่า? เขาต้องรู้ว่าไหวอ๋องอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ไปดูไหวอ๋องก่อน หรือจะบอกว่าเขาต้องจับตาดูตนเองมากกว่า?


สิ่งนี้หากถูกเขาพบเข้า ยิ่งยืนยันสิ่งที่เขาคิดว่าตนเข้าใกล้ไหวอ๋อง เข้าใกล้องค์หญิงจิ่วหลีเพราะในใจมีเจตนาแอบแฝง


ถ้าอย่างนั้นต้องถูกลู่อวิ๋นฉีสังหารตายตรงนี้ทันทีแน่ ในวังไหวอ๋องย่อมไม่อาจมีจูจั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้


เวลานี้คิดถึงจูจั้นขึ้นมาทำอะไร ต่อให้ไม่มีเขา ตนเองก็ไม่ถูกลู่อวิ๋นฉีสังหารตายได้เหมือนกัน ตรงกันข้ามสังหารลู่อวิ๋นฉีตายได้ด้วย


เพียงแต่ชีวิตนี้อย่าได้คิดเข้าเมืองหลวงแล้ว ยิ่งไม่ต้องคิดปกป้องพี่สาวน้องชายอีกเลย ไม่แน่อาจทำให้ฮ่องเต้ฉวยโอกาสประหารพี่สาวกับน้องชายด้วย


ทำอย่างไร?


แม้หลบอยู่หลังต้นไม้ แต่ขอเพียงเขาเดินเข้ามาก็จะพบ ไม่แน่ว่าตอนนี้ก็อาจสังเกตเห็นแล้ว


ขอเพียงหยิบจดหมายของอาจารย์ได้ก็พอแล้ว คุณหนูจวินทำมือเท้าให้นิ่ง เร็วแต่ไม่ลนลาน ปิดหีบเหล็ก โกยดินชั้นแล้วชั้นเล่าทับ


เร็วหน่อย เร็วหน่อย เร็วอีกนิด


แต่เร็วเท่าไรก็ไม่อาจทำให้ที่แห่งนี้ฟื้นกลับสภาพเดิมได้ เพียงแค่เขาเข้ามาก็จะค้นพบความผิดปกติตรงนี้


ตอนนี้ที่สำคัญไม่ใช่ไม่ให้เขาพบว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่จะอธิบายการกระทำเช่นนี้ของตนว่าอย่างไร


อธิบายอย่างร?


อธิบายอย่างไรเขาถึงไม่เกิดความสงสัย?


หรือหยุดยั้งไม่ให้เขาไปคิด?


พลั่วของคุณหนูจวินถมกลบดินอย่างว่องไว รู้สึกเพียงคนทั้งร่างหายใจไม่ออก


เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที พร้อมกันนั้นยิ่งเร่งรีบ เห็นชัดว่าเขาค้นพบตนเองแล้ว เขาเพิ่มความเร็วฝีเท้า แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นยิ่งเย็นเยียบ มือของเขาดูเหมือนกุมดาบที่เอวแล้ว


คุณหนูจวินพลันเงยหน้าขึ้น


“พระแม่มาลา พระแม่ปัณณะ พระแม่ธรณี พระแม่ศิลา” นางเอ่ย


เสียงลากยาวอ่อนโยนแผ่วเบา ดั่งร้องเพลง


นางร้องเพลงออกมาจริงๆ


“พระแม่องค์ไหนมา พระแม่องค์ไหนไป”


นางร้องเพลงเสียงแผ่วเบาผ่อนคลาย เสียงกระจายออกไปใต้ต้นไม้อันเงียบสงบ


เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ด้านหลังร่างหยุดลงทันที


นางทิ่มพลั่วลงบนดินคุ้ยเหมือนกับเด็กน้อยกำลังเล่นดิน


“พระแม่ม่วง พระแม่ขาว พระแม่เขียว พระแม่เหลือง”


“พระแม่องค์ไหนมา พระแม่องค์ไหนไป”


นางฮัมเพลงมาถึงตรงนี้ก็ออกแรงปักพลั่วลงในดินอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเสียงทุ้มนุ่มของบุรุษก็ดังขึ้นด้านหลังร่าง


“เจ้ากำลังทำอะไร?”


“ข้ากำลังขุดพระแม่หนอน” คุณหนูจวินตอบสบายๆ พร้อมกันนั้นลุกขึ้นหันกลับมา “ท่านรู้ว่าสิ่งใดคือพระแม่หนอนไหม?”


ดวงหน้านางแย้มยิ้ม สีหน้าระรื่น เชิดคางเล็กน้ย เท้ามือไว้ที่เอวมองคนตรงหน้า


สายตาสบกับสายตาของลู่อวิ๋นฉี


สีหน้านางชะงักไป ร่างกายที่เดิมสบายผ่อนคลายพริบตาเกร็งเครียด ทิ้งมือลงหัวไหล่ตกยืนตรง


“ใต้เท้าลู่” นางเอ่ย เสียงอ่อนโยนแต่เฉยชา ทั้งยังแข็งกระด้างอยู่บ้าง นางถอยหลังก้าวหนึ่ง เท้าเหยียบลงบนดินโคลนที่ถูกขุดคุ้ย ราวกับพยายามใช้กระโปรงปิดบัง “ข้ากำลังรอองค์ชายกับบัณฑิตกู้มา พวกเขาไป…”


คำพูดนางยังเอ่ยไม่ทันจบลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ห่างไปหลายก้าวก็ก้าวยาวข้ามมา โอบทีเดียวกดนางไว้บนลำต้นต้นไม้


คุณหนูจวินไม่ทันร้องตกใจสักหน คนก็ถูกลู่อวิ๋นฉีรัดไว้ หน้าของเขาแทบจะติดกับหน้าของนาง ดวงตามองตาของนาง


ใบหน้าเย็นชาของเขาแทบจะไร้ลมหายใจ เหมือนกับงูจริงๆ ตัวหนึ่ง


ส่วนคุณหนูจวินเพราะตกใจเบิกตาโต หน้าอกพองยุบถี่เร็ว ลมหายใจถี่กระชั้น


“เจ้ากำลังทำอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีมองนางเอ่ยถามเสียงนุ่ม


คุณหนูจวินในที่สุดก็ได้สติกลับมาจากความตกใจ


“ท่านกำลังทำอะไร?” นางก็เอ่ยขึ้นด้วย เพียงแต่เสียงแหลมปรี๊ด พร้อมกันนั้นยกมือตีลู่อวิ๋นฉีสะเปะสะปะ เหมือนนกน้อยตื่นตกใจตัวหนึ่ง


ลู่อวิ๋นฉีกดแขนนางไว้อย่างง่ายดาย


“บอกข้า เมื่อครู่เจ้ากำลังทำอะไร?” เขามองคุณหนูจวินเอ่ยถามอีกครั้ง


ดวงหน้าขาวดั่งกระเบื้องของเขาใต้กิ่งไม้ซึ่งทอดเงาใต้แสงตะวันสลับเป็นลายเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ดวงตาที่เย็นเยียบมาตลอดกลายเป็นอ่อนโยนและจริงใจ แต่ดวงตานี้ปรากฏบนใบหน้าของเขา ทำให้คนรู้สึกเพียงประหลาด


สีหน้าคุณหนูจวินตระหนกและโกรธเกรี้ยว


“ใต้เท้าลู่ ท่าน ท่านทำอะไร ท่านปล่อยข้า” นางดิ้นรน ร้องตะโกน


ในมือของลู่อวิ๋นฉี นางก็เหมือนมดน่าสงสารตัวหนึ่ง การดิ้นรนนี้ไม่มีประโยชน์สักนิด


“ข้าเพียงแค่ถามเจ้า เมื่อครู่ทำอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีปรับเสียงให้อ่อนโยนลงอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็มองใต้เท้าทีหนึ่ง


ดินที่ถูกขุดจนร่วน ถูกเท้าของพวกเขาเหยียบเป็นรอยเท้าแล้ว พลั่วอันน้อยก็ถูกเตะออกไปด้านข้าง


คุณหนูจวินพยายามสุดกำลังทำให้ตนเองสงบลง ประหนึ่งในที่สุดก็เข้าใจว่าที่เขาถามหมายถึงอะไร


“ข้าไม่ได้ทำอะไร ข้าก็แค่รอองค์ชายมา ว่างจึงเล่นเท่านั้น” นางเอ่ย


“เล่นขุดดินรึ?” ลู่อวิ๋นฉีมองนางเอ่ยถาม


“ไม่ใช่ ก็แค่ขุดหนอนชนิดหนึ่ง หนอนชนิดนี้ตัวขาวอวบอ้วน ใส่ในยาได้” ร่างกายคุณหนูจวินแนบติดบนต้นไม้ อยากหลบเลี่ยงใบหน้าของบุรุษที่แนบชิดกับตน ตะโกนติดขัดลนลานอยู่บ้าง


ไกลออกไปเสียงฝีเท้าอลหม่านลอยมา พร้อมกับเสียงหัวเราะของไหวอ๋อง


บนหน้าคุณหนูจวินยิ่งร้อนรนลำบากใจ ในดวงตาน้ำตาคลอแวววาว


“ท่านปล่อยข้า” เสียงของนางเหมือนจะร้องไห้


ครั้งนี้ลู่อวิ๋นฉีรับคำ ปล่อยมือออก ยืนห่างออกไป


คุณหนูจวินโซเซถอยออกห่าง หวิดสะดุดดินใต้เท้ารวมถึงหีบยาของตนเองล้ม สีหน้าโกรธแค้นทั้งยังตื่นตระหนก


ขบวนคนของไหวอ๋องปรากฏในสายตา พร้อมกับเสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้าง


คุณหนูจวินเหมือนมองเห็นผู้ช่วยชีวิต หิ้วหีบยารีบร้อนวิ่งไปหาพวกเขา สายตาคู่หนึ่งข้างหลังร่างประหนึ่งความตายอยู่เบื้องหลัง


ก้าวเท้าของนางลนลานอยู่บ้าง แต่บนหน้าไม่มีความลนลานสักนิด ตรงกันข้ามกลับโล่งอก


ชนะเดิมพันแล้ว


นางไม่ต้องหันกลับไปและไม่ต้องกังวลใจแล้ว ลู่อวิ๋นฉีไม่ทันสนว่าดินใต้เท้านั่นมีอะไรให้ขุดหรือไปคาดเดาว่าทำไมต้องขุดดินแล้ว


นี่ไม่มีอะไรน่าแปลก เพราะเคยมีคนทำเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน


คุณหนูจวินมองไหวอ๋องที่บัณฑิตกู้จูงอยู่ ฝีเท้ารีบร้อน


นั่นน่าจะเป็นการพบหน้ากันเพียงลำพังตรงๆ ครั้งแรกระหว่างนางกับลู่อวิ๋นฉี เวลานั้นนางอยู่ที่วังไหวอ๋องเพราะถูกขังเบื่อหน่าย วันหนึ่งว่างไม่มีธุระจึงนั่งยองๆ ในสวนขุดหาหนอน คิดถึงตอนอาจารย์เอาหนอนชนิดนี้มาย่างกิน คิดแล้วก็ทั้งแสยงขนและชวนอาเจียนจริงๆ


อาการแสยงขนและชวนอาเจียนนี่ทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจนัก


นางฮัมเพลงพื้นบ้านที่อาจารย์หลุดปากร้องตอนขุดหนอนอย่างมีความสุข พลางใช้พลั่วน้อยทิ่มดิน


ตอนนี้เองลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ที่ประตู ยืนอยู่เนิ่นนานราวกับลังเลแล้วก็ราวกับอยากจากไป


เวลานั้นตนเองมองเห็นเขาแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจและคร้านจะสนใจ เพียงคิดว่าเป็นองครักษ์ที่สอดส่องพวกนางคนหนึ่งเท่านั้น


ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ก่อน


“ท่านกำลังทำอะไร?” เขาเอ่ยถาม


เวลานั้นนางนั่งยองจนเหนื่อยอยู่บ้างแล้ว จึงลุกขึ้นหันกลับไป


“ข้ากำลังขุดพระแม่หนอน เจ้ารู้ว่าอะไรคือพระแม่หนอนไหม?” นางถือโอกาสเอ่ยถาม มองลู่อวิ๋นฉี


นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามาถึงวังไหวอ๋อง หลังจากนั้นครั้งที่สองก็คือครึ่งปีให้หลังรับตัวนางแต่งเข้าบ้าน


คุณหนูจวินเดินมาถึงข้างกายพวกบัณฑิตกู้


บัณฑิตกู้ยิ้มให้นาง ไหวอ๋องยังคงไม่สนใจ เพียงแค่เล่นประทัดอย่างเบิกบาน


“คุณหนูจวิน ท่านไม่เป็นไรนะ?” นางข้าหลวงเอ่ยถาม มองสีหน้าของนาง


คุณหนูจวินส่ายศีระษะให้นาง


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางเอ่ย สีหน้าปิดบังความวิตกสุดกำลัง


นางข้าหลวงย่อมไม่เชื่อ นางมองลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ใต้ชิงช้าด้านนั้นทีหนึ่ง


คาดว่าสาวน้อยเล่นชิงช้าอยู่ถูกใต้เท้าลู่พบเข้า ในฐานะท่านหมอคนหนึ่งไม่ตามติดไหวอ๋อง แต่กลับเล่นอยู่ที่นี่ต้องถูกตำหนิแน่


ใต้เท้าลู่ไม่ตำหนิคนก็น่ากลัวมากอยู่แล้ว ไม่แปลกที่คุณหนูจวินผู้นี้จะตระหนกเช่นนี้


นางข้าหลวงยิ้มไม่ได้ถามต่อ มองไหวอ๋องต่อ


คุณหนูจวินก็มองไหวอ๋อง ราวกับพยายามผ่อนคลายตนเองให้สงบสุดกำลัง


แม้ไม่ได้มองด้านนั้นสักครั้ง แต่นางรู้สึกได้ว่าสายตาของลู่อวิ๋นฉีจับอยู่บนร่างของนางตลอด


สายตาเช่นนั้นนางคุ้นเคยนัก แล้วก็เคยชื่นชอบสบายใจกับมันเช่นกัน


แต่เวลานี้นาทีนี้นางกลับมีเพียงความสะอิดสะเอียน


……………………………………….


บทที่ 2 ไม่อาจไม่จากไป

โดย

Ink Stone_Romance

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง โคมห้องบรรทมของไหวอ๋องมืดลงแล้ว


“องค์ชายท่านควรบรรทมได้แล้วเพคะ” คุณหนูจวินมองไหวอ๋องที่ยังลืมตากลมดิกอยู่บนเตียง


ไหวอ๋องขานรับนอนลงไป ดวงตายังคมลืมอยู่


นี่คือเชื่อฟังแบบขอไปที


การแสดงเช่นนี้ของเขานางหรือจะไม่รู้ชัด


“องค์ชาย ไม่อย่างนั้นข้าเล่านิทานให้ท่านฟังไหมเพคะ?” คุณหนูจวินนั่งข้างเตียงเอ่ย


ไหวอ๋องขยับไปข้างในทันที


“ไม่” เขาเอ่ย เสียงเกรงใจและห่างเหิน “ไม่ต้อง”


คุณหนูจวินมองไหวอ๋องแล้วมองนางกำนัลขันทีที่ถอยออกไปจากห้องบรรทม


“องค์ชาย ท่านอยากฟังนิทานเรื่องต่อยพยัคฆ์ในเขาไหมเพคะ?” นางขยับไปข้างหน้า มองไหวอ๋องคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยเอ่ยเสียงเบา


นี่เป็นนิทานที่ก่อนหน้านี้ตนเองเล่าแล้วไหวอ๋องชอบฟังที่สุด


ฟังร้อยหนไม่เบื่อ ทุกครั้งที่ฟังล้วนตื่นเต้นดีใจ


ไม่รู้พูดเช่นนี้ เขาจะรู้สึกอะไรกับตนเองบ้างไหม? ไม่ใช่พูดกันว่าเด็กน้อยความรู้สึกไวที่สุดหรือ เด็กสาวที่จะเล่านิทานเรื่องเดียวกับพี่สาวของเขาคนนี้ จะทำให้เขาประหลาดใจดีใจได้ไหม?


คุณหนูจวินห้ามความตื่นเต้นมองจิ่วหรง


จิ่วหรงเอ๋ย เป็นพี่สาวเอง เป็นพี่สาวจิ่วหลิงมาเล่านิทานให้เจ้าฟังอีกครั้ง


“ไม่” ไหวอ๋องไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เอ่ยเด็ดขาดฉับไว พร้อมกับขยับไปข้างในอีกครั้ง “เจ้าขยับขึ้นมาหน่อยได้ไหม?”


เขายังพูดอีก ชี้ผ้าห่มที่คุณหนูจวินนั่งทับอยู่ใต้ร่าง


“เจ้าทับผ้าห่มของข้าแล้ว แบบนี้ข้านอนไม่สบาย”


เขาไม่เหมือนเด็กน้อยคนอื่นร้องไห้โวยวายตีโพยตีพายแสดงความไม่พอใจของตนเอง แม้กระทั่งความรังเกียจก็มีมารยาทยิ่งนัก มีท่าทางเช่นลูกหลานชนชั้นสูงผู้หยิ่งยโส


เด็กน้อยความรู้สึกไว ตั้งแต่กลายเป็นไหวอ๋องวันนั้น เขาก็น่าจะรู้สถานการณ์ที่ตนเองอยู่แล้ว บวกกับการสั่งสอนขององค์หญิงจิ่วหลี ทำให้เขาเหมือนกับองค์หญิงจิ่วหลีเช่นนั้น ใช้ความนิ่งสงบมาปกป้องศักดิ์ศรีเส้นสุดท้าย


เด็กน้อยก็เป็นเด็กน้อย เขาเพียงมองเห็นสิ่งที่เขามองเห็น เจ้าเป็นพี่สาวของเขา เขาก็สนิทสนมพึ่งพิงหมดทั้งหัวใจ เจ้าเป็นอีกคนหนึ่ง ต่อให้พูดคำพูดเหมือนกันอีกแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางเข้าใกล้สักครึ่งส่วน


เจ้าตัวแสบนี่ คุณหนูจวินพรูลมหายใจ อยากพูดอะไรอีกประโยคล่อเขา ด้านนอกก็มีคนเดินเข้ามา ร่างกายของนางแข็งทื่อ ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่วาลู่อวิ๋นฉีเข้ามาแล้ว


“องค์ชายวันนี้เล่นจนเหนื่อยแล้ว บรรทมเร็วหน่อยเถอะเพคะ เช่นนี้พรุ่งนี้ถึงมีกำลังวังชาเล่นต่อ” นางเอ่ย ลุกขึ้นจากเตียง ปลดม่านมุ้งลง


ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เดินเข้ามา แต่นั่งลงข้างนอก


หลายวันนี้เขาล้วนเป็นเช่นนี้


ตั้งแต่องค์หญิงจิ่วหลีจากไป เขาก็ไม่ได้ออกห่าง ยังคงค้างในห้องบรรทมไหวอ๋องทุกคืน ไม่รังเกียจแล้วก็ไม่หลีกเลี่ยงคุณหนูจวินที่อยู่ในห้องนี้ด้วยกันสักนิด


ในสายตาเขาคุณหนูจวินเป็นเพียงท่านหมอคนหนึ่ง บางทีเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง หรือถึงขั้นคนตายคนหนึ่ง


คุณหนูจวินรู้ชัดเจนมาก จุดนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรเช่นกัน


แต่วันนี้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว


โคมไฟในห้องบรรทมดับสนิท ในราตรีสายตาคู่หนึ่งหยุดอยู่บนร่างนางตลอด


และสายตานี้ก็แตกต่างกับก่อนหน้านี้แล้ว


นี่ย่อมเพราะวันนี้ตนเอง เรื่องที่นางพูดประโยคนั้นวันนี้


คุณหนูจวินนอนลงบนเตียง โชคดีอยู่บ้างผ่านวิกฤตนี้ไปได้ แตในใจก็ยังร้อนรนอยู่บ้าง


เรื่องนั้นผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เขายังจำไว้ทำอะไร


คิดอีกทีด้านในบ้านหลังนั้นรวบรวมบรรดาหญิงสาวที่เหมือนตนเองไว้มากมายอีก นางก็สะอิดสะเอียนขึ้นมาอีกวูบหนึ่ง


นางพลิกกายบนเตียง มือด้านในผ้าห่มกำแน่น


ทำเรื่องน่ารังเกียจ ท่าทางน่ารังเกียจเหล่านั้น เขาคิดจะทำอะไร!



แสงตะวันฤดูหนาวส่องเข้ามาในห้อง สว่างและอบอุ่น หน้าต่างหลายบานเปิดครึ่งหนึ่ง ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสะอาดบางเบา ไม่มีกลิ่นยาเข้มข้นและความอึดอัดอย่างหนึ่งเดือนก่อนหน้าสักนิด


ในห้องบรรทมคนก็เพิ่มมากขึ้นจากก่อนหน้านี้มาก บรรดาหมอหลวงที่สวมชุดขุนนางสีหน้ากังวลมองเจียงโหย่วซูที่กำลังจับชีพจรไหวอ๋อง


เจียงโหย่วซู่สีหน้าจริงจัง จับมือซ้ายเสร็จก็จับมือขวาอีก ครู่หนึ่งเสร็จจึงรั้งมือกลับ


“เป็นอย่างไร?” บรรดาหมอหลวงอดรนทนไม่ไหวเอ่ยถาม


เจียงโหย่วซู่พยักหน้า บนหน้าเผยรอยยิ้มยินดีออกมา


“หายแล้ว” เขาเอ่ย


สีน้าบรรดาหมอหลวงยุ่งยากอยู่บ้าง


ถึงกับรักษาหายจริงๆ


เจียงโหย่วซู่ยืนขึ้นมาประสานมือคำนับไปทางวังหลวง


“ฮ่องเต้กับไทเฮาในที่สุดก็วางพระทัยได้แล้ว” เขาถอนหายใจเอ่ย แล้วมองคุณหนูจวินคำนับสีหน้าจริงใจ “คุณหนูจวิน ข้าแซ่เจียงยอมรับความพ่ายแพ้”


ความจริงใจของหมอหลวงเจียง คุณหนูจวินไม่ได้ซาบซึ้งอะไร นางเพียงพยักหน้า


ท่าทางเช่นนี้ในสายตาของบรรดาหมอหลวงหยิ่งยโสยิ่งนัก เพิ่มความไม่พอใจเข้าไปอีกหลายส่วน


คุณหนูจวินไม่ได้สนใจความไม่พอใจของพวกเขา การถ่อมตนยอมแพ้ของเจียงโหย่วซู่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เจียงโหย่วซู่คนเช่นนี้นางจะเชื่อได้อย่างไร


เจียงเหย่วซู่มาจับชีพจรไหวอ๋อง สิ่งเดียวที่คุณหนูจวินจะได้ตอบรับก็คือนางต้องถูกไล่ออกจากวังไหวอ๋องแล้ว


แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำอันใดมิได้


วังไหวอ๋องไม่มีความลับ ร่างกายของไหวอ๋องหายดีแพร่ไปในวังรู้กันชัดเจนยิ่ง แม้นางมีวิธีการมากมายทำให้ร่างกายของไหวอ๋องแสดงอาการป่วยหนักออกมา เช่นนี้รั้งอยู่ข้างกายไหวอ๋องได้นานหน่อย แต่ร่างกายของไหวอ๋องไม่เหมาะ


นางมองไหวอ๋องที่นั่งกะปรี้กระเปร่าอยู่บนเตียง


ไม่แปลกที่หมอหลวงเจียงพวกเขาจะประกาศไปข้างนอกว่าไหวอ๋องเป็นฝีดาษยากรักษา หวัดครั้งนี้ของไหวอ๋องรุนแรงจริงๆ ร่างกายแทบจะถูกควักกลวง


นางไม่กล้าแล้วก็ไม่อาจให้ไหวอ๋องใช้ยาปิดบังอาการที่ดีขึ้นอีก


แม้นางอยากอยู่ข้างกายน้องชายยิ่งนัก แต่ไม่ใช่ด้วยค่าแลกเปลี่ยนมหาศาลอย่างการทำร้ายร่างกายน้องชาย


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กำลังจะสิ้นปีแล้ว ข้ากลับวังไปรายงานผล คุณหนูจวินก็กลับไปข้ามปีอย่างสบายได้แล้ว” เจียงโหย่วซู่ยิ้มเอ่ย


คุณหนูจวินไม่ได้พูด คำนับนิดหนึ่งให้เขาแสดงว่าขอบคุณ


เจียงโหย่วซู่ไม่ได้ไม่พอใจท่าทางของคุณหนูจวิน ยิ้มจากไป ส่วนบรรดาหมอหลวงรั้งอยู่


“คุณหนูจวิน เจ้ามีอะไรกำชับก็บอกกับพวกเรานะ” หมอหลวงคนหนึ่งคล้ายยิ้มคลายไม่ยิ้มเอ่ย


“ข้าไม่มีอะไรบอกพวกท่าน” คุณหนูจวินตอบทันที มองเขายิ้ม “องค์ชายข้ารักษาหายแล้ว มีเรื่องอะไรอีกก็เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ถึงเวลาอย่าโยนมาใส่หัวข้าก็พอ”


นี่มันคำพูดอะไรกัน! บรรรดาหมอหลวงสีหน้าคล้ำเขียว


“เจ้าใจกล้านัก นี่เจ้าแช่งองค์ชายไหวอ๋องรึ?” หมอหลวงคนหนึ่งคิ้วตั้งตวาด


คุณหนูจวินยิ้ม


“ไม่มีคำสาปแช่งทำให้คนป่วยได้ มีเพียงหมอไร้ฝีมือไม่รักษาไร้ความสามารถถึงทำให้โรครักษาไม่หาย” นางเอ่ย


เด็กสาวคนนี้! ช่าง!


บรรดาหมอหลวงในห้องสีหน้าโกรธเกรี้ยว ความยินดีนับถือที่เดิมทีฝืนทำออกมาล้วนทิ้งไปหมดแล้ว


บัณฑิตกู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้ม มองไปทางคุณหนูจวิน ในแววตาสนุกแวบผ่าน


คุณหนูจวินไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่เดินมาตรงหน้าไหวอ๋อง นางย่อตัวลงนั่งมองไหวอ๋องที่นั่งอยู่บนเตียง


“องค์ชาย ตอนนี้อาการป่วยท่านหายดีแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน” นางเอ่ยอ่อนโยน “ท่านต้องดูแลตนเองให้ดี อย่ากินของส่งเดช อย่า…”


นางยังไม่ทันเอ่ยจบ ไหวอ๋องก็ยิ้มพยักหน้าให้นาง


“ขอบคุณเจ้าแล้ว” เสียงเด็กน้อยใสกังวาน สีหน้าเป็นมิตรขัดนาง “ข้าซาบซึ้งและจะประทานรางวัลให้เจ้า”


คุณหนูจวินมองเขาอยากพูดอีก ไหวอ๋องกลับกวักมือให้บัณฑิตกู้


“ท่านอาจารย์กู้” เขาร้องเรียกดีใจ กระโดดลงมาจากบนเตียง “ตอนนี้ข้าหายป่วยแล้ว ไปเรียนหนังสือต่อได้แล้ว”


เขาก้าวไวๆ เดินไปหาบัณฑิตกู้ บัณฑิตกู้ก็เข้ามาหายิ้มพยักหน้าให้เขา


“ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ย


“ต้องรีบสิ ข้าเสียเวลาร่ำเรียนมามากแล้ว” ไหวอ๋องท่าทางตั้งใจทั้งกลัดกลุ้มเอ่ย


บรรดาหมอหลวงยิ้ม


“องค์ชายอุตสาหะจริงๆ”


“องค์ชายเฉลียวฉลาด ไม่นานต้องเสริมกลับมาได้แน่”


พวกเขาพากันยิ้มเอ่ย ในห้องบรรยากาศครึกครื้นและมีความสุข


คุณหนูจวินที่กึ่งนั่งยองๆ อยู่หน้าเตียงราวกับถูกลืมเลือน นางลุกขึ้นช้าๆ มองไหวอ๋องที่ยิ้มมีความสุขให้กับบัณฑิตกู้ทีหนึ่ง บัณฑิตกู้คงสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง เงยหน้ามองข้ามมา ในดวงตาเขายิ้ม เหมือนกับมีความนัยลึกล้ำอยู่


คุณหนูจวินหลุบตาลงคำนับให้เขา หิ้วหีบยาไม่หันหลับกลับเดินออกไปเช่นกัน


เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า เดินออกจากวังไหวอ๋อง บนถนนกลิ่นอายสิ้นปีอบอวลแล้ว


ไม่ว่าอย่างไร ความปรารถนาก็บรรลุแล้ว โรคของจิ่วหรงรักษาหายแล้ว จดหมายของอาจารย์ก็เอามาได้ราบรื่นแล้ว คุณหนูจวินตบหีบยา ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้แล้ว


เสียงกีบเท้าม้ารีบร้อนดังขึ้น ลู่อวิ๋นฉีท่ามกลางองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งคุ้มครองมาส่งถึงหน้าประตู ดึงบังเหียนม้ามองลงมาข้ามมาจากเบื้องสูง


คุณหนูจวินมองเขาเฉยชาทีหนึ่ง รั้งสายตากลับเดินผ่านเขาไปตามถนน ไม่ได้สนใจสายตาทิ่มแทงเบื้องหลัง


……………………………………….


บทที่ 3 พบพานก็คือวาสนา

โดย

Ink Stone_Romance

การกลับมาของคุณหนูจวินทำให้ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงครึกครื้นขึ้นมาทันที


หลิ่วเอ๋อร์ไกวข้อศอกของคุณหนูจวินทั้งยิ้มทั้งร้องเรียก เฉินชีก็ยิ้มถามนู่นถามนี่ ฟางจิ่นซิ่วแม้ไม่พูดไม่จาเหมือนเช่นเดิม แต่สีหน้าก็เบิกบานขึ้นอยู่หลายส่วน


“ทำไมไม่บอกล่วงหน้าสักคำจะได้ไปรับท่าน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วได้ข่าว มาถึงก็ดีใจอย่างยิ่งเช่นกัน ทั้งยังติดจะบ่นอยู่บ้าง


“ก็ไม่ไกลมาก อยู่ในบ้านเดือนหนึ่ง อยากเดินสักหน่อย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย


“ข้าพูดว่าบอกล่วงหน้า พวกเราจะได้ส่งจดหมายไปให้ที่บ้านเร็วขึ้นหน่อย” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องให้นายน้อยถามทุกวัน”


คุณหนูจวินยิ้ม รู้สึกผิดอยู่บ้าง


นางอยู่ที่วังไหวอ๋องได้พบจิ่วหรง แม้ล้มป่วยหนักหนา แต่เพราะได้เห็นด้วยตาตนเอง รักษาด้วยมือตนเอง ทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ ใจจึงสงบ ส่วนคนที่เป็นห่วงเป็นใยนางเหล่านั้นเพราะมองไม่เห็น ไม่ได้ยินต้องทรมานมากแน่


“ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปให้พวกเขาด้วยตัวเอง พอดีส่งไปด้วยกัน” นางเอ่ย คำนับให้ทุกคนอีกครั้ง “ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มไม่เอ่ยวาจา เฉินชีตบหน้าอก


“ไม่เป็นห่วง พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องรักษาหายแน่” เขาเอ่ย


“นี่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง เป็นหมอก็ต้องรักษาโรค” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย


คำพูดแม้กล่าวเช่นนี้ แต่จวินเจินเจินเดิมก็ไม่ควรเป็นหมอ และคนเหล่าก็ไม่ควรมาถึงที่นี่


คุณหนูจวินมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยและยินดีของพวกเขา ในใจซาบซึ้งนัก


ตอนนั้นนางต้องการลงเรือตระกูลฟางสักหน่อย ดังนั้นถึงช่วยเหลือพวกเขาซ่อมอุดรอยรั่วสักนิด คิดไม่ถึงเกี่ยวพันยิ่งลึกซึ้งทุกวัน เรือลำนี้คาดว่าคงลงไม่ได้แล้ว


ก็ไม่รู้ว่านี่สำหรับพวกเขาแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย


ประโยคนี้นางไม่เพียงคิด ยังเขียนไว้บนจดหมาย


จดหมายใช้ม้าเร็ววันคืนไม่หยุด ใช้สี่วันก็ส่งไปถึงหยางเฉิงแล้ว


“ประโยคนี้ทำให้คนปลื้มใจจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วมองจดหมายเอ่ยขึ้น “ในที่สุดจวินเจินเจินก็รู้แล้วว่าการมีอยู่ของนางเป็นโชคร้ายมากเพียงใดสำหรับพวกเรา”


ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะพรืด


“อย่าพูดเหลวไหล” นางเอ่ยตำหนิ หยิบจดหมายออกมาตั้งใจอ่านรอบหนึ่ง ตบหน้าอกเบาๆ ผ่อนลมหายใจออกมา “ยังดี ทุกสิ่งราบรื่น”


พูดพลางก็มองไปทางฟางเฉิงอวี่


“คราวนี้น้องเล็กก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว”


ฟางเฉิงอวี่กำลังหัวเราะเบาๆ รินชาให้ตนเอง ได้ยินเข้าก็เงยหน้าขึ้น


“ข้าไม่ได้กังวลใจนะ” เขาเอ่ย “ข้าเป็นถึงคนที่เคยเดินผ่านความเป็นความตายมาแล้ว หลังรอดพ้นจากความตายทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนราบรื่น ล้วนเป็นโชคดี”


ที่เดินผ่านความเป็นความตาย รอดพ้นความตายมาได้ ใช่แค่เขาที่ไหน ทั้งตระกูลฟางล้วนใช่


“ตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย วางมือลงบนหน้าอกเช่นกัน


ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ได้ดึงชายเสื้อของนาง


หัวใจของน้องเล็กคนในบ้านใครไม่รู้ นั่นคือสักนิดก็ทนให้คนอื่นว่าร้ายจวินเจินเจินไม่ได้


ส่วนพวกนางก็ย่อมยอมให้น้องเล็กไม่มีความสุขสักนิดไม่ได้


เฉิงอวี่ล้วนพูดเช่นนี้แล้ว เห็นชัดว่าไม่ยอมให้ประณามว่าจวินเจินเจินสร้างปัญหา


ฟางอวี้ซิ่วไม่ได้สนใจฟางอวิ๋นซิ่ว มือตรงหน้าอกตบเบาๆ


“แต่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าหัวใจไม่เต้นอกไม่ขยับ” นางเอ่ย


ฟางอวิ่นซิ่วหัวเราะพรืดทีหนึ่ง ยกมือตบหัวไหล่นางเบาๆ


“พูดจาดีๆ ไม่เป็น” นางเอ่ยตำหนิ


ฟางอวี้ซิ่วถือโอกาสเอนตัวพิงพนักพิง


“นี่โทษข้าไม่ได้ ใครให้นางไม่พูดจาดีๆ ก่อน” นางเอ่ย “ครอบครัวเดียวกันไม่พูดเหมือนเป็นคนอื่น นางพูดเช่นนี้ใยไม่ใช่ไม่นับพวกเราเป็นครอบครัว”


ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มพยักหน้า


“เฉิงอวี่ เจ้าเอาคำพูดของพี่รองเขียนจดหมายไปบอกนาง” นางเอ่ย


ฟางเฉิงอวี่ยิ้มขานรับ


ด้านนอกมีเสียงหัวเราะของบรรดาสาวใช้อายุน้อย พร้อมกับเสียงประทัดระเบิด พี่น้องสามคนมองไปข้างนอกผ่านหน้าต่างกระจก มองบรรดาสาวใช้ในลานกำลังเล่นประทัด


ก่อนหน้านี้ปีใหม่ในบ้านก็ทำท่าสุขสันต์มาก่อน แต่นั่นก็เป็นเพียงเสแสร้ง ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้เป็นจริงเช่นนี้


ฟางเฉิงอวี่ถือจดหมายมาที่โต๊ะ มองลายมือที่คุ้ยเคยจนลอกเลียนได้


พบนาง สำหรับพวกเขาแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย


เขามองประโยคนี้หลุบตาลงเล็กน้อย


ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าทำอะไร สำหรับฟางเฉิงอวี่แล้ว พบพานเจ้าก็คือโชคดี


……………………………………….


ห่างจากปีใหม่เพียงสองวันแล้ว เมืองหลวงอันครึกครื้นดูเหมือนจะเงียบสงบลงในพริบตา นอกเสียจากเสียงประทัดที่ดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ ฝูงชนมากมายบนท้องถนนล้วนหายไปแล้ว


คนทั้งหมดรวมตัวอยู่ในบ้าน เตรียมรับเทศกาลปีใหม่


เพราะเดือนสามก็จะมีสอบใหญ่แล้ว หนิงอวิ๋นเจาปีนี้จึงไม่ได้กลับหยางเฉิง หนิงอวิ๋นเจาย้ายมาอยู่ที่บ้านหนิงเหยียน


เขาจะอยู่ที่นี่จนถึงวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง


หนิงเหยียนแม้ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องราชสำนัก แต่งานสังสรรค์ของเทศกาลปีใหม่ก็ไม่น้อย นายหญิงรองหนิงพาลูกสาวทั้งหลายตระเตรียมซองแดงเทศกาลปีใหม่ หนิงเหยียนพาหนิงอวิ๋นเจากับหนิงสืออีเขียนเทียบเยี่ยมเยียน


ในห้องอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ บรรดาสาวใช้รินน้ำชาวางผลไม้แห้ง ห้องอีกด้านหนึ่งเสียงหัวเราะของเหล่าสตรีลอยมาเป็นระยะ


ตอนนี้เรื่องในราชสำนักแม้ทะเลาะเบาะแว้งกันแต่นับว่าค่อนข้างสงบ ชาวจินแม้อยากเคลื่อนไหวแต่ก็ไม่อาจก่อเรื่องใหญ่ได้ ปีนี้ที่ต่างๆ มีแจ้งภัยหิมะบ้าง แต่โชคดีคนเจ็บคนตายไม่มาก นับได้ว่าเป็นปีที่ดีปีหนึ่ง


นอกจากนี้ไหวอ๋องประชวรหนัก เดิมทีคิดว่าคงทนได้ไม่พ้นปีนี้ แต่หากประชวรสวรรคตล่ะก็ ราชสำนักก็คงเลี่ยงไม่ได้ต้องวุ่นอยู่พักหนึ่ง


โชคดีทุกสิ่งราบรื่นตกอกตกใจแต่ไม่เป็นอันตราย


หนิงเหยียนผู้สำรวมมาตลอดมุมปากอดไม่ได้แย้มยิ้มอยู่บ้าง มองหนิงสืออีที่เขียนอยู่อย่างไม่ใส่ใจนิดๆ แล้วมองหนิงอวิ๋นเจาที่เขียนเทียบอย่างจริงจัง


“วิชาแพทย์ของคุณหนูจวินไม่เลวจริงๆนะ” หนิงเหยียนเอ่ย


คำพูดกะทันหันนี้เรียกให้คนอายุน้อยสองคนเงยหน้ามองข้ามมา


“เช่นนี้ดูแล้ว ครั้งนั้นที่ท่านปู่ของพวกเจ้าได้นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลจวินช่วนรักษาคงไม่ใช่คำลวงเช่นกัน” หนิงเหยียนเอ่ยต่อ


นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเหยียนเอ่ยถึงท่านปู่กับตระกูลจวิน หนิงสืออีอดไม่ได้มองไปทางหนิงอวิ๋นเจา


“นั่นคือจะบอกว่า สัญญาหมั้นครั้งนั้นก็เป็นจริง” เขาเอ่ย


“สัญญาหมั้นย่อมเป็นจริง” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย “แน่นอนตอนนี้สัญญาหมั้นยกเลิกแล้วก็เป็นจริงเช่นกัน”


ส่วนสัญญาหมั้นยกเลิกได้อย่างไรสำหรับตระกูลหนิงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าเชิดชูอะไร ปีใหม่ทั้งทีหนิงสืออีย่อมไม่หาเรื่องลำบากให้ตนเอง ประเด็นนี้ยังไม่เริ่มก็จบลงแล้ว


“คาดว่าสองฝ่ายคงต่างไม่ยินดี ไม่เช่นนั้นท่านปู่ไม่พูดถึง ตระกูลจวินนานปีขนาดนี้ก็ไม่เคยพูดถึงไหม” เขาเอ่ย ถือเทียบในมือให้หนิงเหยียนดู “ท่านพ่อ ท่านดูเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่?”


ประเด็นนี้ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่เหมาะจริงๆ หนิงเหยียนถึงขนาดเสียใจที่เอ่ยขึ้นมาอยู่บ้าง เขามองหนิงอวิ๋นเจาทีหนึ่ง หนิงอวิ๋นเจาก้มศีรษะตั้งใจเขียนเทียบขอเยี่ยนเยียนต่อ


เขาพูดไม่ผิด สัญญามหมั้นนี้เป็นของจริง แต่สัญญาหมั้นนี้เขาไม่ชอบและยกเลิกแล้วก็เป็นเรื่องจริง


เรื่องที่ไม่ชอบไม่จำเป็นต้องพูดมาก


หนิงเหยียนมองเทียบเยี่ยมเยียนที่หนิงสืออีถือมา ไหลตามหัวข้อสนทนาชี้แนะ


สัญญาหมั้นเป็นของจริง นางไม่ชอบและยกเลิกสัญญาหมั้นก็เป็นเรื่องจริงด้วย


หนิงอวิ๋นเจายื่นมือไปหยินเมล็ดสนที่บ่าวหญิงปอกแล้วเม็ดหนึ่งในจานด้านข้างโยนเข้าปาก มือขวายกพู่กันไม่หยุด


……………………………………….


แม้สำนักศึกษาปิดอยู่ แต่บรรดาสหายเล่าเรียนที่รั้งอยู่ในเมืองหลวงยังมากยิ่งนัก เขียนเทียบเยี่ยนเยียนเสร็จ หนิงอวิ๋นเจาก็นำขนมจำนวนหนึ่งที่นายหญิงรองหนิงเตรียมไว้เสร็จแล้ว หิ้วไปมอบให้บรรดาสหายร่วมสำนัก


“คุณหนูจวินร้ายกาจจริงๆ รู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่เป็นไร” เสี่ยวติงตามอยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าบรรดาหมอหลวงนับถือจนหมอบกราบกับพื้น ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยมากเลยขอรับ”


หนิงอวิ๋นเจายิ้มไม่พูดจา


เสี่ยวติงมองสีหน้าของเขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้คุณชายชอบฟังเรื่องของคุณหนูจวินนัก ทำไมตอนนี้ไม่เพียงไม่ถามกลับไม่ชอบฟังเสียแล้วเล่า


“คุณชาย คุณหนูจวินกลับมาแล้ว พวกเราจะไปดูหน่อยหรือไม่” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


หนิงอวิ๋นเจาครั้งนี้เอ่ยปากแล้ว


“ต้องฉลองปีใหม่ ต่างยุ่ง ไม่ต้องไปรบกวนผู้อื่นตามใจ” เขาเอ่ยอ่อนโยน


รบกวนผู้อื่นตามใจหรือ? เสี่ยวติงงุนงน ที่ทำตามใจไปยังน้อยงั้นหรือ


ดวงตาเขาพลันทอประกาย


“คุณชาย นั่น…” เขาเอ่ย อดไม่ได้เสียมารยาทตีแขนของหนิงอวิ๋นเจา ชี้ไปข้างหน้า


หนิงอวิ่นเจามองข้ามไปอึ้งไปนิดหนึ่งเหมือนกัน


บนถนนด้านหน้ามีเด็กสาวสองคนกำลังคุยเล่นหัวเราะเดินมา หนึ่งในนั้นก็คือคุณหนูจวินที่ไม่ได้พบมาเนิ่นนาน


ไม่ได้พบมานานนักจริงๆ สี่สิบเจ็ดวันแล้วสินะ


คุณหนูจวินก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน ตะลึงไปนิดหนึ่งจากนั้นก็ฟื้นกลับมาสีหน้ายิ้มน้อยๆ


รอยยิ้มครั้งนี้ทำให้หนิงอวิ๋นเจายิ้มด้วย แม้สี่สิบเจ็ดวันไม่พบหน้า แต่หลังพบนางก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง


“บังเอิญจริง” เขาเอ่ย ไม่ได้ขบคิดคำพูดเปิดบทสนทนาอันใด แล้วก็ไม่ได้ให้เด็กสาวคนนี้เอ่ยปากก่อนอีก เดินเข้ามาพลาง เอ่ยไปพลาง


พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอีกครั้ง


“ครั้งนี้บังเอิญจริงๆ” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ


……………………………………….


บทที่ 4 เข้าเฝ้าพระราชทานรางวัล

โดย

Ink Stone_Romance

การเอ่ยย้ำเช่นนี้ทำให้คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว


เอ่ยย้ำว่าครั้งนี้เป็นความบังเอิญของจริง หรือก็คือจะบอกว่าความบังเอิญก่อนหน้านี้เป็นของปลอม


ก่อนหน้านี้ทำไมบังเอิญ ตอนนี้นางก็รู้แล้ว


ประโยคนี้ทั้งเอ่ยถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ทั้งยังอธิบายเรื่องตอนนี้วันนี้


คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว หนิงอวิ๋นเจานับว่าเป็นคนแรกที่สารภาพรักกับนาง ก่อนหน้านี้นางไม่เคยพบมาก่อน ยิ่งไม่รู้ว่าหลังปฏิเสธจะคบหากันอย่างไรต่อ


นางเป็นคนที่ไม่ต้องขบคิดเรื่องเหล่านี้สักนิด


หลังปฏิเสธหนิงอวิ๋นเจา บางครั้งนางก็คิดขึ้นมาเหมือนกัน รู้สึกว่าทำให้คนปวดหัวและอึดอัดอยู่บ้าง


แต่ตอนนี้พบเข้าจริงๆ แล้ว นอกจากนี้หนิงอวิ๋นเจายังเอ่ยวาจาเช่นนี้อีก จึงรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป


การรับมือกับคนเรื่องนี้ นางเองอับอายสู้ไม่ได้


“บังเอิญขนาดนี้ พอดีเยี่ยมปีใหม่เจ้าล่วงหน้า” คุณหนูจวินเอ่ย ย่อเข่าคำนับ


หนิงอวิ๋นเจารับคำนับอย่างสง่างาม พลางคำนับกลับ


“ข้ากำลังจะไปส่งของขวัญวันปีใหม่ให้แก่บรรดาสหายของข้า” เขาเอ่ย มองหีบที่หลิ่วเอ๋อร์หิ้วอยู่ในมือ


“ข้าไปเอาพวกของขวัญวันปีใหม่มาจากบ้านผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย


หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้วยกมือ


“ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ” เขาเอ่ย


คุณหนูจวินพยักหน้า เบี่ยงกายส่ง หนิงอวิ่นเจาก็พยักหน้าแย้มยิ้มเดินผ่านไป


เช่นนี้ก็ดี เพียงพยักหน้าทักทาย เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้


หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้หันกลับ ไม่รู้ว่านางหันกลับมาไหม


“นายน้อย คุณหนูจวินหันกลับมามองทีหนึ่ง ตอนนี้เลี้ยวหัวถนนไปแล้ว” เสี่ยวติงเอ่ย


เขาไม่ใช่คุณชาย ไม่ต้องสำรวมกิริยา ดังนั้นเดี๋ยวก็หันๆ กลับไปตลอด


หนิงอวิ๋นเจาตวัดตามองเขาทีหนึ่ง อยากจะหันกลับไปมองสักทีเช่นกัน


บนถนนไม่เห็นเงาของเด็กสาวคนนั้นแล้วจริงๆ


คิดไม่ถึงว่าจะได้พบนาง


นี่บังเอิญเกินไปจริงๆ แล้ว


ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ มักจะมีเรื่องประหลาดใจน่ายินดีเล็กน้อยยามไม่ใส่ใจอยู่เสมอ


นอกจากนี้ เมื่อครู่นางกับเขาก็พูดคุยกันด้วยดียิ่ง พยักหน้าทักทาย ตอนนี้ยังเป็นเช่นนี้ได้ไม่เลวจริงๆ


มุมปากหนิงอวิ๋นเจาผุดรอยยิ้มขึ้นมา ฝีเท้าเบาเร็วเดินไปข้างหน้า


แต่เมื่อครู่เขาลืมแสดงความยินดีที่นางรักษาไหวอ๋องหายดี


ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักไป แต่ก็ไม่มีอะไรน่ายินดี นางรักษาไหวอ๋องหายดีเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สมควรเกิดขึ้น อยู่ในความคาดคิด ไม่ควรค่าให้พูดถึงเท่านั้น


หนิงอวิ๋นเจาเดินทางต่อไปอีกครั้ง เสี่ยวติงก็ผ่อนลมหายใจฝีเท้ากลายเป็นกระฉับกระเฉง


ดีเหลือเกินจริงๆ ปีนี้ในที่สุดก็ผ่านไปด้วยดีแล้ว


พนักงานในโรงหมอจิ่วหลิงกลับไปฉลองปีใหม่แล้ว


เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วกำลังมองหญิงรับใช้สองคนเช็ดถูเก็บกวาดแขวนป้ายไม้ท้อ


“ท่านป้าหลิ่วทำของอร่อยอะไรหืม?” เฉินชีมองเห็นคุณหนูจวินนายบ่าวเข้ามา รีบยิ้มเอ่ยถาม


“ล้วนเป็นขนมของหยางเฉิง” คุณหนูจวินเอ่ยบอก พลางให้หลิ่วเอ๋อร์เปิดออก “พวกเจ้าลองชิม”


ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีเดินเข้ามา ร้องเรียกหญิงรับใช้สองคนนั้นมาชิมด้วย กำลงคุยเล่นกันอยู่ เสียเคาะประตูรีบร้อนก็ดังขึ้น


“เย็นขนาดนี้ใครกัน?” เฉินชีตกใจสะดุ้งเอ่ย


“ป่วยยังแบ่งเช้าค่ำรึ?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ป่วยไม่มีฉลองปีใหม่นี่”


พูดจบก็ไปเปิดประตู คนที่มากลับไม่ใช่คนที่มาตรวจ แต่เป็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วท่านมาได้ยังไง?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามไม่เข้าใจ


พวกนางเพิ่งกลับมาจากบ้านของเขา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยกมือเช็ดเหงื่อบางๆ บนหน้าผาก


“เพิ่งได้รับข่าว ไทเฮาเชิญเจ้าเข้าวังถวายพระพรพร้อมกับท่านหญิงบรรดาศักดิ์ในเดือนหนึ่ง”เขาเอ่ย


เข้าวังถวายพระพร นี่เป็นถึงของพระราชทาน


ในห้องเงียบไปพักหนึ่งหลังจากนั้นก็ปลื้มปิติ


“ก็บอกแล้วไหม ช่วยรักษาไหวอ๋อง จะให้แค่เงิน ไม่มีของพระราชทานได้อย่างไร” เฉินชีตบฝ่ามือเอ่ย “ที่แท้ของพระราชทานก็อยู่ที่นี่”


เข้าวังถวายพระพรกับบรรดาท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์ในราชสำนัก ถึงเวลาไทเฮาต้องตรัสกับคุณหนูจวินเพียงลำพังแน่ ต่อหน้าท่านผู้หญิงบรรดาศักดิ์มากมายเช่นนั้น ชื่อเสียงของคุณหนูจวินย่อมเลื่องลือแล้ว


ฟางจิ่นซิ่วก็เผยยิ้มที่ยากจะมีเช่นกัน


“เข้าวังครั้งนี้ต้องใช้ชุดพิธีการ ให้ข้าจัดการ คุณหนูจวินท่านไม่ต้องกังวล” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย แล้วถูมือไปมา “ข้าจะเชิญนางข้าหลวงในวังหลายคนออกมาด้วย ถึงเวลาจะมาอธิบายมารยาทพิธีการในการเข้าวังให้คุณหนูฟัง ท่านไม่ต้องตื่นเต้น”


คุณหนูจวินยิ้ม


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วท่านไม่ต้องตื่นเต้น” นางเอ่ย


ต่อมาเดิมอยากบอกว่าไม่ต้องให้คนมาสอน แต่เห็นความดีใจตื่นเต้นของทุกคน คุณหนูจวินก็รู้สึกฝาดเฝื่อนขึ้นมาอย่างประหลาดอยู่บ้าง


จะให้ตนเองแสดงออกว่าไม่มีปัญหาไม่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่สู้ให้พวกเขาได้ทำอะไรบ้างจะโล่งใจและผ่อนคลายมากกว่า


คิดถึงจุดนี้นางก็พยักหน้า


“เวลาฉุกละหุกอยู่บ้าง แต่ข้าจะตั้งใจเรียน”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วปลื้มปริ่มพยักหน้า


“นี่ข้าได้ข่าวมาจากเส้นสาย ไม่นานก็คงมีคนในวังมาแจ้งท่าน ครั้งนี้รักษาไหวอ๋อง พูดให้ถึงที่สุดแล้วเป็นการแข่งขัน พวกผู้สูงศักดิ์ไม่ค่อยชอบเรื่องเช่นนี้” เขาเอ่ยจริงจังอีกครั้ง “ครั้งนี้ต้องเข้าเฝ้าไทเฮา ฐานะหมอหญิงของท่านได้เปรียบอย่างที่สุด ถึงเวลาตอบรับอย่างเหมาะสมย่อมคลี่คลายสถานการณ์ไม่มั่นคงนั่นก่อนหน้านี้ได้”


คุณหนูจวินยิ้มขานรับ


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเคราสีหน้าเบิกบาน สายตากวาดผ่านโรงหมอจิ่วหลิง


ราชโองการของอดีตฮ่องเต้ที่ตระกูลฟางครอบครองก็อยู่ที่นี่ วันนี้ก็ยังกำลังจะได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทองค์ปัจจุบันอีก ครั้งนี้โรงหมอจิ่วหลิงยืนมั่นคงในเมืองหลวงได้โดยสมบูรณ์แล้ว


เวลาครึ่งปีเท่านั้น สำหรับคุณหนูจวินคนนี้อยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่ได้ยากนัก


“ปีนี้ผ่านไปด้วยดีแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถอนหายใจเอ่ย


เทียบกับความเบิกบานใจของผู้อื่น ท่านหมอเกิ่งแห่งสำนักแพทย์หลวงไม่เบิกบานมาก


สำนักแพทยหลวงเริ่มหยุดงาน เจียงโหย่วซู่ในฐานะหัวหน้าสำนักยังเฝ้าอยู่อย่างรับผิดชอบ นี่เป็นความเคยชินตลอดมาของเขา แล้วก็ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชมของทุกคนเช่นกัน


“อาจารย์ ทำไมท่านพูดชมคุณหนูจวินคนนั้น?” เขาเอย สีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “เห็นชัดๆ ว่าทุกคนล้วนบอกว่านางไม่ดี ท่านดันบอกว่านางดี”


เจียงโหย่วซู่ละมือจากบันทึกการตรวจ


“นางมีอะไรไม่ดี? ไม่ใช่แค่เอ่ยประโยคไม่เกรงใจหลายประโยคเท่านั้นหรือ?” เขาเอย “ไม่ดีอีกอย่างไร ไหวอ๋องก็เป็นนางรักษาหาย ไม่บอกว่านางดี ยังบอกว่าใครดี”


ตอนที่ทุกคนเห็นว่าดี เขาดันบอกว่าไม่ดี นี่ไม่เพียงไม่อาจทำให้คนผู้นั้นเปลี่ยนเป็นไม่ดีได้ ตรงกันข้ามจะแสดงว่าตนเองน่าขันนัก


ท่านหมอเกิ่งขัดเขิน


“อาจารย์ ท่านช่างใจคอกว้างขวางจริงๆ” เขาเอ่ยนอบน้อม “นางไม่เกรงใจต่อพวกเราขนาดนี้ อาจารย์ยังเอ่ยชมนาง นางดูแคลนวิชาแพทย์ของพวกเรา ท่านกลับพยายามยกย่องวิชาแพทย์ของนาง”


พูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมกรุ่นโกรธไม่ยอม


“ฝ่าบาทกับไทเฮาเดิมทีไม่ได้คิดเรียกนางเข้าเฝ้า ล้วนเป็นอาจารย์ ท่านชมนางร้ายกาจมากเพียงไร ไทเฮาถึงใคร่รู้อยากพบหน้า นั่นเป็นถึงไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าเชียวนะ แล้วยังเป็นยามถวายพระพรอีก นี่ให้หน้านางมากเท่าไร”


เจียงโหย่วซู่ยิ้ม


“ให้หน้ามากสิถึงดี” เขาเอ่ย


อนาคตเสียหน้าก็ง่ายแล้ว นอกจากนี้ถึงเวลาที่เสียย่อมใช่หน้าของนางแล้ว แต่เป็นหน้าของราชวงศ์


ผลลัพธ์นั่นย่อมต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าอยู่บ้างแน่นอน


โอกาสดีครั้งหนึ่งเช่นนี้ ก็เหมือนช่วงเวลาเทศกาล เขายิ่งชมชอบเฝ้าเวรอยู่ที่สำนักแพทย์หลวง เพราะช่วงเทศกาลคนป่วยน้อย เหล่าผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นล้วนมีข้อห้ามช่วงเทศกาล ป่วยก็ชอบยื้อไว้หลังเทศกาล เรื่องที่ทั้งสบายทั้งแลดูรับผิดชอบต่อหน้าที่เช่นนี้เขาย่อมต้องทำแน่นอน


นอกจากนี้ให้นางฉลองปีใหม่มีความสุขไปก่อนเถอะ



ต้นเดือนหนึ่งวันที่หนึ่งยามฟ้าสว่างขมุกขมัว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว เฉินชี ฟางจิ่นซิ่ว มองส่งรถม้าของคุณหนูจวินออกจากโรงหมอจิ่วหลิง ตรงไปยังวังหลวง


“รถม้าจะจอดอยู่ที่ถนน คุณหนูท่านลงจากรถอย่าได้เดินส่งเดช”


“พวกผู้ชายไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พวกผู้หญิงจะตรงไปยังวังหลัง”


“สถานที่ที่บรรดาท่านหญิงบรรดาศักดิ์ยืนอยู่ก็ไม่เหมือนกัน แบ่งเป็นท่านหญิงบรรดาศักดิ์ในกับท่านหญิงบรรดาศักดิ์นอกรวมถึงองค์หญิง คุณหนูท่านต้องอยู่ที่ตรงท่านหญิงบรรดาศักดิ์นอกที่นี่ อย่ายืนผิดตำแหน่ง”


บนรถม้านางกำนัลที่ถูกปล่อยออกจากวังซึ่งได้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเชิญมายังคงกำชับส่งท้าย


คุณหนูจวินถูกขัดตอนเหม่อลอย มองนางแล้วยิ้ม


“กฎเยอะปานนี้เชียว” นางเอ่ย


“ใช่แล้ว กฏของการเข้าเฝ้ามากมายนัก” นางกำชับเอ่ยจริงจัง “คุณหนูไม่รู้ล่ะสิ”


คุณหนูจวินพยักหน้า ใช่แล้ว นางไม่รู้จริงๆ


ก่อนหน้านี้นางเป็นคนผู้นั้นที่ถูกเข้าเฝ้า บ้างก็ถูกพระมารดาจูงไว้ บ้างก็นั่งอยู่ข้างกายฮองเฉา ไหนเลยจะรู้ว่ารอคอยด้านนอกเป็นอย่างไร


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม