Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 91-110

 บทที่ 91 ความจริงใจนี้เดิมทีไม่เคยคิด

โดย

Ink Stone_Romance

ใช่แล้ว นางขบคิดเรื่องมากมาย เรื่องมากมายล้วนเข้าใจ มีเพียงเรื่องนี้ไม่เข้าใจ


ตอนที่นางวิ่งสุดชีวิตอยู่ในราตรีมืดมิด คิดไม่ถึงว่ามีใครจะมาช่วยเหลือตนเอง


นางคิดว่าผู้ชายคนนั้นที่ศาลาพักม้าจะสังเกตความผิดปกติ นางคิดว่าผู้ชายคนนั้นต้องไล่ตามมาแน่


ดังนั้นที่นางคิดจึงมีแต่ตนเองวิ่งให้เร็ว เร็วหน่อย เร็วอีกหน่อย วิ่งยิ่งเร็วก็ยิ่งมีโอกาสชนะ


นางเตรียมเสื้อผ้าไว้แล้ว เตรียมอุปกรณ์เก็บสมุนไพรไว้แล้ว แล้วก็เตรียมหลักฐานยืนยันทั้งหมดไว้รอบคอบแล้วเช่นกัน ขอเพียงหนีออกจากที่นี่กลับไปถึงในเมืองได้ ทุกสิ่งก็จะลื่นไหลไม่มีจุดใดน่าสงสัย


แต่ก่อนอื่นนางต้องหนีรอดไปจากที่นี่


ไม่เช่นนั้นถูกจับได้ในเหตุการณ์ เตรียมการไว้พร้อมอีกเท่าใด ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว


ในใจนางตอนที่วิ่งไม่คิดอยู่สำนึกเสียใจนิดๆ คิดไม่ถึงว่าหยวนเป่าที่ในความทรงจำซื่อยิ่งนักคนนั้นจะฉลาดขนาดนี้ ตอนที่เขามองสำรวจนางจากปากประตูห้อง นางขนลุกขึ้นมาจริงๆ


บางทีไม่ควรบุ่มบ่ามเช่นนี้ ในเมื่อคาดเดาได้แล้ว บางทีไม่ควรรีบร้อนบุ่มบามมาหาหลักฐานเพิ่มเพียงลำพังคนเดียว


อันตรายเกินไปแล้ว


อันตราย ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประสบ


ก่อนหน้านี้ซ่อนดาบเหยียดหลังตรงเดินเข้าไปในวังหลวง นางไม่รู้ว่าด้านหน้าอันตรายหรือ?


นางเดียวดายมุ่งหน้าสู่อันตรายหลังจากนั้นก็เดียวดายตายจากไป


ครั้งนี้จะเป็นเช่นนั้นอีกหรือไม่?


ท่ามกลางราตรีมืดมิดมุ่งหน้าไปสืบเดียวดายเพียงลำพังเช่นนี้ หลังจากนั้นก็ถูกสังหารตายเดียวดายเพียงลำพังในราตรีมืดมิด


นางแทบจะได้ยินเสียงกีบเท้าม้าด้านหลังร่าง หรือถึงขั้นเสียงน้าวสายธนูหลายครั้งนัก


นางวิ่งไม่หยุด วิ่งไม่หยุด คิดไม่ถึงวิ่งจนฟ้าสว่าง วิ่งมาถึงในเมือง เหมือนเช่นที่นางวางแผนไว้


ทำได้แล้ว


นางทำได้แล้ว


หลังจากนั้นนางก็มองเห็นหยางเฉิงเอะอะ ถึงรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


เพื่อค้นหานาง ตระกูลฟางถึงกับหยิบราชโองการออกมา เคลื่อนไหวใหญ่โตค้นเมือง


ราชโองการหรือ


แล้วก็เป็นราชโอการนี้เองที่ดึงบรรดาขุนนางเหล่านั้นในศาลาพักม้า ทำให้ผู้ชายคนนั้นไม่ทันสนใจสืบหาอะไรต่อ คนทั้งหมดราวกับสัตว์ร้ายที่ขยับด้วยได้กลิ่นคาวเลือดวิ่งไปทางหยางเฉิง โถมเข้าใส่ตระกูลฟาง


ตระกูลฟางมีราชโองการ นางตกใจอยู่บ้างจริงๆ แต่เดิมทีก็คาดเอาไว้อยู่แล้วว่าตระกูลฟางซ่อนความลับเอาไว้ ในความตกใจนี้ที่มากกว่าคือการยืนยันว่าเป็นเช่นนี้ดังที่คิดจริงๆ


ส่วนที่ทำให้นางตกใจจริงๆ คือพวกนางดีกับนางขนาดนี้


ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจอยู่บ้างจริงๆ ทำไมนายหญิงผู้เฒ่าฟางหยิบราชโองการออกมาได้


ในมือถือราชโองการ รักษาความลับที่ไม่อาจพูด เผชิญกับการที่ครอบครัวตายจากไปตามต่อกัน อันตรายนานับประการ ศัตรูซ่อนเร้นในเงามืด ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งไม่อาจไม่ค้ำจุนตระกูล ค้ำกิจการ ยังต้องอดทนกับคำสาปแช่งอีก


ระหว่างสิบกว่าปีนี้ทุกข์อีกเท่าใดลำบากอีกเท่าใดแค้นอีกเท่าใดล้วนไม่ได้หยิบราชโองการออกมา ตอนนี้เพียงเพราะหลานสาวคนนี้คืนหนึ่งไม่กลับก็เป็นห่วงจนเสียสติ ไม่เสียดายทุกสิ่ง ยินดีนำความลับที่ไม่อาจและไม่ควรพูดออกมาแสดงต่อหน้าประชาชนก็ต้องตามหานางให้พบ


ที่จริงตามหานาง สำหรับตระกูลฟางแล้วมีมากวิธีนัก หยิบราชโองการค้นเมืองเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่ควรและไม่ฉลาดที่สุดด้วย


หากฟางเฉิงอวี่ยังรักษาไม่หาย ทำเช่นนี้อาจเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ฟางเฉิงอวี่รักษาหายดีแล้ว


ขอเพียงคิดอย่างมีเหตุผลสักนิด ก็คงไม่น่าเลือกทำเช่นนี้


นายหญิงผู้เฒ่าฟางบอกว่าเพราะนางรักษาหลายชายของตนเองจนหายดี ภายหลังอาจใช้นางได้ ดังนั้นจึงทำเช่นนี้


คนอื่นอาจเสียสติกับการคาดเดาสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ผู้หญิงเหล่านี้ของตระกูลฟางไม่มีทาง สำหรับพวกนางที่เตรียมพร้อมว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ อดทนข้ามผ่านวันเวลามาแล้ว ไม่คิดถึงข้างหลัง เพียงแต่สนใจตอนนี้ตรงหน้า


ที่พวกนางทำเช่นนี้ เรียบง่ายยิ่งนัก เพราะตอนนี้เวลานี้ พวกนางเป็นห่วงถึงว้าวุ่น ห่วงใยจึงคลุ้มคลั่ง


พวกนางห่วงใยนางขนาดนี้แล้ว


แม้ต้นเหตุเพราะนางรักษาฟางเฉิงอวี่หายดี แต่นี่ก็ไม่ใช่เพียงเพราะนางรักษาฟางเฉิงอวี่หายดีเช่นกัน


เพื่อนาง นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่สนใจผลที่ตามมา เพื่อนางคนของตระกูลฟางไม่สนทุกสิ่ง


นี่นางคิดไม่ถึงจริงๆ


เดิมทีนางเพียงต้องการเงินของตระกูลฟางเท่านั้น คิดไม่ถึงพวกนางกลับมอบความจริงใจให้นาง


ความจริงใจหรือ


ที่คุณหนูจวินไม่เคยสนใจและไม่เคยคิดต้องการมาก่อนก็คือความจริงใจ


ฐานะของนางตัดสินว่านางไม่ต้องการและไม่อาจได้รับความจริงใจ ไม่ว่ามีหรือไม่มีความจริงใจ ผู้คนล้วนต้องเคารพหวั่นเกรงนาง ประจบนางรวมถึงระแวงนาง รังเกียจนาง ความจริงใจมีความจำเป็นอันใดเล่า


ทว่าความรู้สึกที่มอบความจริงใจแก่ผู้คนไม่เลวเลย


พูดไปแล้วนางยังไม่เคยกอดผู้ใหญ่ในครอบครัวเช่นนี้มาก่อนเลย


มารดาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทดูแลพระบิดาต้องจัดการวังตะวันออกธุระวุ่นวาย นอกจากนี้มีแม่นมนางกำนัลขันที นางจึงไม่ได้ดูแลอุ้มชูพวกนางพี่น้องด้วยมือตนเอง


ตอนพี่หญิงยังเล็กรู้สึกว่านางน่าชัง จ้องตนเองไม่อนุญาตให้ทำสิ่งนี้ไม่อนุญาตให้ทำสิ่งนั้น พี่สาวน้องสาวสองคนมักจะเจ้าตามหาข้าซ่อน ยิ่งไม่มีเวลาที่กอดกัน


ที่จริงวันนั้นที่แต่งงาน นางหวาดกลัวนิดหน่อย พี่หญิงคงมองความกลัวของนางออก อยากกอดนางสักหน่อย แต่นางไม่คุ้นชินจริงๆ จึงหลีกออก


คุณหนูจวินหนุนศีรษะไว้บนไหล่ของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง


ที่จริงกอดสักหน่อยรู้สึกดียิ่งนัก ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกไม่สบาย อบอุ่นยิ่ง โดยเฉพาะตอนหนีรอดมาจากอันตรายอย่างที่สุด


นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้รู้สึกสบาย แต่แข็งทื่ออย่างยิ่ง ไม่สบายอย่างยิ่ง


ท่านย่า ท่านดีกับข้าจริงๆ


ประหลาดจริง! ทำอะไรล่ะนี่! ฟังไม่เข้าใจพูดหมายความว่าอะไร!


อยู่ดีๆ กอดผู้อื่นทำอะไร! ไม่ใช่เด็กน้อยสามขวบเสียหน่อย!


“พวกเราย่อมต้องดีกับเจ้า พวกเรามีเฉิงอวี่เป็นผู้ชายคนเดียว หากเขาป่วยอีกประสบภัยอีกเล่า ใครจะรักษาเขา” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ยื่นมือดันเด็กสาวที่กอดตนเองอยู่ออก “ขยับออกไป ไม่ต้องกอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้ว ดูไม่ได้”


ฟางเฉิงอวี่อยู่ด้านข้างยิ้มมองอยู่


คุณหนูจวินปล่อยนางออก


“อย่าคิดว่าแบบนี้เจ้าก็เรื่องอันใดล้วนไม่เป็นไรแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางหน้าบึ้งเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้เจ้าทำตัวเหลวไหลเกินไปแล้ว พูดไม่ชัดเจนบอกว่าไม่ชอบมาพากล ทำทุกคนตกใจเป็นเช่นนี้ นี่ล้วนเป็นความผิดของเจ้า”


“ทราบแล้ว ครั้งนี้เป็นความผิดของข้าจริงๆ” คุณหนูจวินยอมรับพยักหน้า คำนับนายหญิงผู้เฒ่าฟางอีกครั้ง “เป็นข้าคิดไม่รอบคอบ กระทำการเสี่ยงอันตรายแล้ว”


นายหญิงผู้เฒ่าฟางตอบรับอืม สีหน้ายังคงเหลือความไม่สบายอยู่บ้าง


“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้จะทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้น


นี่เป็นเพียงแค่นางหาคำพูดมาคลายความประดักประเดิดเท่านั้น นางผู้เฒ่าคนหนึ่งยังจะต้องถามเด็กสองคนนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไรหรือ


ถามคำถามนี้ออกมาสีหน้านางยิ่งประดักประเดิด


“ตอนนี้ที่พวกท่านต้องทำก็คือกำจัดความยุ่งยากของราชโองการ” คุณหนูจวินไม่ได้สนใจความลำบากใจของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง แต่เอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ “รวมถึงฉวยโอกาสนี้หยุดพักรักษาตัว”


นายหญิงผู้เฒ่าฟาง พยักหน้า แล้วกระแอมเบาอีกทีหนึ่ง


“ราชโองการเป็นเรื่องดี ยุ่งยากอันใด อย่าพูดส่งเดช” นางเอ่ยแย้ง


“บนโลกนี้โชคกับหายนะเคียงคู่ เรื่องดีก็คือเรื่องร้าย เรื่องร้ายก็คือเรื่องดี” คุณหนูจวินว่า พูดพลางก็ยิ้มอีกครั้งท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง “จุดนี้ไม่มีใครสัมผัสมาเท่าข้าแล้ว”


คนอายุน้อยพูดดั่งผู้เฒ่าผู้แก่ โศกเศร้าเจ็บปวดมากมายขนาดนั้นมาจากไหน


นายหญิงผู้เฒ่าฟางถลึงตามองนางทีหนึ่ง


“เรื่องราชโองการข้าจะจัดการ” นางว่า “คลี่คลายพร้อมกับเรื่องเก่าก่อนเหล่านั้นที่ตามมากับการประหารครั้งนี้ พวกเจ้าไม่ไปพักผ่อน คนแก่อย่างข้าทนไม่ไหวไปพักก่อนแล้ว”


พูดจบราวกับกลัวจะถูกกอดอีกครั้งรีบร้อนจากไป


ฟางเฉิงอวี่กับคุณหนูจวินมองหน้ากันยิ้มทีหนึ่ง


“พวกเราก็กลับบ้างเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่กลับเดินมาถึงตรงหน้านาง หมุนตัวย่อเข่าลง


นี่คือ?


คุณหนูจวินงงไปครู่หนึ่ง


“จิ่วหลิง เท้าของเจ้าวิ่งทั้งคืน บาดเจ็บแล้วสินะ?” ฟางเฉิงอวี่ผินหน้ามาเล็กน้อยเอ่ยขึ้น


……………………………………….


บทที่ 92 ใจเจ้าไปที่ใดข้ารู้

โดย

Ink Stone_Romance

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว


เป็นเด็กที่เฉียบแหลมคนหนึ่งจริงๆ


เขาเห็นนางเดินช้ามาก มองเห็นเมื่อครู่นางทนไม่ไหวแล้วนั่งลงพูดจา


“เรียกเกี้ยวนุ่มมาก็แลดูเกินไปอยู่นิดๆ เลี่ยงถูกคนคิดไม่ดีเดาสุ่ม” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น “ไม่สู้ให้ข้าแบกเจ้ากลับไปเถอะ พวกเราเป็นสามีภรรยานี่ แม้เกินไปอยู่บ้าง แต่ก็เป็นรสนิยม”


คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว ยื่นมือโอบลำคอของเขาเอนกายไปบนแผ่นหลังของเขา


“เจ้าแบกข้าไหวหรือ?” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น บีบหัวไหล่ที่ผอมบางอยู่บ้างของเขา


ฟางเฉิงอวี่แบกนางขึ้นหลังอย่างมั่นคง


“พี่สาว ข้ายังไงก็เป็นลูกผู้ชายนะ” เขาเอ่ยโต้แย้งเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมนิดๆ “ท่านอย่าดูถูกข้า”


คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง


ฟางเฉิงอวี่แบกนางก้าวออกจากประตู เดินไปตามทาง ภาพนี้ชักพาให้หญิงรับใช้สาวใช้ในบ้านจ้องมองอย่างที่คิด จากนั้นก็เขินอายหลบไปหัวเราะคิกคัก


กับสายตาเหล่านี้ฟางเฉิงอวี่ทำเป็นมองไม่เห็นทั้งสิ้น ยิ่งเดินยิ่งคึก เพียงแต่ก้าวเท้าไม่เร็ว


“ไหวไม่ไหวหืม? ยังมีแรงอยู่ไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้คุยเล่นอย่างก่อนหน้านี้ แต่ก้มหน้าเงียบ


“เดินไม่ไหวก็ไม่น่าอายหรอก ให้ข้าลงเดินเองเถอะ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น กดหัวไหล่ของเขา “ยังไงร่างกายของเจ้าก็เพิ่งหายดี”


ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้วางนางลง แต่เบี่ยงศีรษะมองนาง


“จิ่วหลิง เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตอนนี้ที่พวกเราต้องทำคือขจัดความยุ่งยากของราชโองการรวมถึงอาศัยโอกาสนี้หยุดพักรักษาตัว” เขาว่า


คุณหนูจวินพยักหน้า


“ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเจ้าที่สำคัญที่สุดก็คือทำเรื่องนี้” นางว่า


เด็กคนนี้จะไม่รู้ว่าหยิบราชโองการออกมาจะมีปัญหายุ่งยากเชียวหรือ?


ฟางเฉิงอวี่หยุดฝีเท้ามองนาง


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะทำอะไร?” เขาเอ่ยถาม


ก่อนหน้านี้คุณหนูจวินพูดตลอดว่าพวกเรา พวกเรา มีเพียงตอนพูดประโยคนี้อยู่ดีๆ ที่พูดก็คือพวกเจ้าต้องทำ


ถ้าอย่างนั้นนางเล่า?


คุณหนูจวินยิ้ม ช่างเป็นเด็กที่เฉียบแหลมคนหนึ่งจริงๆ นางตบไหล่เขา มองไปทางท้องฟ้าทิศใต้


“ข้าหรือ ต้องทำอีกเรื่องหนึ่ง” นางว่า “เรื่องส่วนตัว”


“เจ้าต้องออกจากบ้านหรือ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น “ไปเมืองหลวงสินะ”


ไม่ใช่คำถามเป็นประโยคบอกเล่า


คุณหนูจวินคิดไม่ถึงอยู่บ้าง


“เจ้าพูดถึงเมืองหลวงอยู่หลายครั้งนี่” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น


หลายครั้ง? ไม่มั้ง อย่างมากที่สุดก็ในบ้านเคยถามผู้ดูแลเกาว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกอะไร แต่เพื่อหลีกเลี่ยงทำให้คนตระกูลฟางคิดวุ่นวาย นางจึงไม่เคยเอ่ยขึ้นอีก


เด็กคนนี้ทั้งฉลาดทั้งใส่ใจ


คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า


“ใช่” นางว่า “ข้าไปเมืองหลวงเป็นเรื่องส่วนตัว”


ไปเมืองหลวงเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ เพื่อดูพี่หญิงกับจิ่วหรง แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นความลับที่ไม่อาจพูดได้


เหตุผลที่นางคิดไว้แล้วคือตอนนั้นยามบิดาจากโลกไปมอบหมายธุระเรื่องหนึ่งให้นางไปทำ


เพราะมีโอกาสก่อนหน้านี้ในเหตุการณ์ที่หอจิ้นอวิ๋นกับอาลักษณ์หลิน นายหญิงผู้เฒ่าฟางมีความหวั่นเกรงจวินอิ้งเหวินอยู่บ้าง รู้สึกว่าเส้นสายของจวินอิ้งเหวินลึกลับมากเช่นกัน


นางจะคิดว่าเรื่องที่คุณหนูจวินบอกจะไปทำที่เมืองหลวงเกี่ยวเนื่องกับคนที่ทำให้อาลักษณ์หลินตกใจกลัวถอยไปที่หอจิ้นอวิ๋น


แต่มองดวงตาทั้งสองข้างที่ตั้งใจและใสกระจ่างของฟางเฉิงอวี่ คุณหนูจวินไม่อยากเอ่ยข้ออ้างนี้อยู่บ้าง นางลังเลนิดหน่อย หรือจะอ้างเรื่องผู้ติดตามขันทีต่อ? พูดหยวนเป่าชื่อนี้ออกมา? รวมถึงตัวตนของหยวนเป่า?


นอกจากนี้ตนเองเข้าเมืองหลวงก็จะถือโอกาสดูว่าหยวนเป่าคนนี้ปรากฏตัวที่เมืองหลวงมาก่อนด้วยหรือไม่


ที่จริงนางไม่ชอบโกหกเลยจริงๆ เพราะพูดโกหกเรื่องหนึ่งก็ต้องมีคำโกหกนับไม่ถ้วนมาประกอบ ยุ่งยากเกินไป สิ้นเปลืองเวลาเกินไป องค์หญิงจิ่วหลิงไหนเลยจะทำเช่นนี้


เพียงแต่จวินจิ่วหลิงได้แต่ทำเช่นนี้


นางกำลังจะเอ่ยปากพูด ฟางเฉิงอวี่ก็ชิงเอ่ยปากก่อน


“เจ้าไปคนเดียว ต้องระวัง ดูแลตนเองให้ดี” เขาว่า


คุณหนูจวินยิ้ม


“ไม่ใช่คนเดียวนะ ข้าพาหลิ่วเอ๋อร์ไปด้วย”นางว่า


ฟางเฉิงอวี่ร้องอ้อทีหนึ่ง


“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องดูแลหลิ่วเอ๋อร์ด้วย ยิ่งต้องดูแลตนเองให้ดีล่ะ” เขาเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว


“มีสิ่งใดต้องการก็ตามหาร้านแลกเงินก็พอ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย” ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้หัวเราะ เอ่ยต่อ


เขาไม่ได้ต้องการรู้ว่านางไปเมืองหลวงทำไม ไปเมืองหลวงทำอะไร


คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า


“ได้” นางบอก


ฟางเฉิงอวี่ก้มศีรษะไม่พูดจาก้าวเดินต่อ


เห็นท่าทางนี้ของเขา คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่ง


“เจ้ามีสิ่งใดอยากถามขอแค่ถามออกมาก็พอ” นางว่า


คนหากคลี่คลายความสงสัยในใจได้ ก็ไม่มีสิ่งใดพะวงแล้ว


ฟางเฉิงอวี่ก้มศีรษะ


“หากข้าไม่ถาม เจ้าจะไม่บอกข้าสักคำก็ไปเลยหรือไม่” เขาเอ่ยขึ้น เสียงเศร้าสร้อยอยู่บ้าง


คุณหนูจวินหลุดยิ้ม


“ได้อย่างไร ข้าคิดว่ากลับถึงห้องก็จะบอกกับเจ้า” นางว่า “หลังจากนั้นค่อยบอกท่านย่ากับท่านป้า”


ฟางเฉิงอวี่เงยหน้าขึ้นยิ้ม ความเศร้าสร้อยเต็มหน้าถอยหายไป ราวกับฟ้ากระจ่างหลังสายฝน


“ยังมีอีกไหม?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถาม


ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ


ไม่มีแล้ว? ดังนั้นมีแต่บอกลาปัญหานี้?


“ยังมีอีกอย่าง” เขาคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีก พูดไปก็ยิ้ม “แม้ข้ารู้สึกว่าปัญหานี้ไม่ควรถาม แต่ข้ายังคงอยากเอ่ยถาม”


“ไม่มีคำถามอะไรควรไม่ควรถาม มีเพียงควรหรือไม่ควรตอบ” คุณหนูจวินยิ้มบอก “ดังนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรวิตก เป็นเรื่องที่ควรให้ข้าวิตก”


ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม


“เจ้าจะยังกลับมาไหม?” เขาเอ่ยถาม


คุณหนูจวินตะลึงไปนิดหนึ่ง


เขาไม่ได้ถามว่าเจ้าจะไปไหม? ไม่ได้ถามว่าทำไมเจ้าจะไป เพียงแค่ถามว่าจะบอกลาเขาไหมรวมถึงจะกลับมาหรือไม่


เขาไม่ถามจากลา เพียงถามเวลากลับ


“คำถามนี้ทำให้เจ้ากลุ้มหรือไม่?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้นวิตกนิดหน่อย


คุณหนูจวินยิ้ม


คำถามนี้แต่ไหนแต่ไรไม่เคยทำให้นางกลุ้ม


คำถามนี้เป็นคำถามที่ง่ายดายที่สุด กลับหรือว่าไม่กลับ


“ไม่” นางเอ่ยขึ้น “ข้าย่อมต้องกลับ”


คำตอบของนางเหมือนกับตอนแรกที่ตัดสินใจเด็ดขาดฉับไวว่าไม่กลับ


ตอนนั้นที่นางคิดไว้ก็คือตนเองทำเรื่องที่สัญญาไว้ได้ หรือก็คือรักษาฟางเฉิงอวี่หายดีแล้ว หลังจากนั้นให้นายหญิงใหญ่ฟางรักษาสัญญา อย่างน้อยก็แบ่งความมั่งครั่งครึ่งหนึ่งของเต๋อเซิ่งชางให้แก่นาง ส่วนศัตรูของตระกูลฟางกวาดหมดหรือไม่ นางกลับไม่ได้คิดจะสนใจอีก นางเอาเงินแล้วคนก็จะไป


เพียงแต่แผนการไม่ทันความเปลี่ยนแปลง คิดไม่ถึงตระกูลฟางถึงกับเกี่ยวข้องกับพระอัยยิกา ยิ่งคิดไม่ถึงว่าคนตระกูลฟางจะปฏิบัติกับนางเช่นนี้


พวกเขานับนางเป็นครอบครัวเป็นคนสำคัญ ถ้าอย่างนั้นนางย่อมต้องนับพวกเขาเป็นครอบครัวเป็นคนสำคัญเช่นกัน นี่คือความยุติธรรม


“ที่นี่คือบ้านของข้านี่” นางเอ่ยต่อ


ใบหน้าของฟางเฉิงอวี่แย้มยิ้ม



เสียงครืนครางของสายฟ้าลอยมา เม็ดฝนที่ใหญ่เท่าถั่วเหลืองตกลงมา บนถนนใหญ่วุ่นวายไปหมดทันที


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ขับไล่ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่บนถนนไม่ได้


เรื่องตระกูลฟางหยิบราชโองการออกมาค้นเมืองผ่านไปสองวันแล้ว จวนขุนนางแสร้งทำหูหนวก ตระกูลฟางแสร้งเป็นใบ้ จนวันนี้ยังไม่มีใครออกมาอธิบาย


ชาวบ้านเพียงแต่คาดเดาและสืบถามกันเอง ข่าวนานาชนิดปรากฏออกมาไม่สิ้นสุดว่อนเต็มท้องฟ้า


เพราะสายฝนกระหน่ำ หลายวันนี้ด้านในโรงน้ำชาที่เดิมทีกิจการดีอยู่แล้วจึงยิ่งเบียดเสียด นอกจากคนที่ดื่มชา ยังมีคนหลบฝนเบียดเข้ามามากมาย ทุกหนทุกแห่งล้วนพูดคุยกันเสียงดัง เสียงโหวกเหวกกลบเสียงสายฝนด้านนอก


ที่พูดกันแน่นอนย่อมเป็นเรื่องของตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชาง


“….ราชโองการนั่นเป็นของปลอม…”


“…เจ้าเลิกพูดเถอะ ถ้าเป็นของปลอมเจ้าเมืองหม่าใยไม่จับพวกนาง…”


“…ที่จริงนี่ล้วนเป็นแผนของจวนขุนนาง…นอกจากนายอำเภอหลี่ ยังมีสายลับชาวจินอีก ดังนั้นจึงต้องค้นเมือง…”


“…นายอำเภอหลี่คนนั้นไม่ใช่ศัตรูของตระกูลฟางหรือ?”


กลุ่มคนสามคนห้าคนพูดถกกัน ถึงขนาดที่มีคนโต้เถียงจนหน้าแดงหูแดง หวิดม้วนแขนเสื้อต่อยตีกันขึ้นมา ท่ามกลางความวุ่นวายนี้มีคนเข้ามาสบทบ


“ที่พวกเจ้าพูดล้วนไม่ถูก เรื่องนี้ที่จริงง่ายดายยิ่งนัก”


ไม่ถูก? ง่ายดาย? ไม่กี่คำนี้ทำให้ผู้คนที่โต้เถียงกันอยู่มีศัตรูร่วมกันทันที หมุนไปหาคนที่เอ่ยวาจา


“เจ้ารู้อะไร? ที่พวกเราพูดไม่ถูกต้องอย่างไร?” พวกเขาตั้งคำถามเสียงพร้อมเพรียง


ผู้ที่พูดเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หรี่ตาลูบหนวดเครา ท่าทางลึกล้ำหยั่งไม่ถึง


“ข้า? ข้าย่อมรู้ เพราะข้าเป็นคนตงผิงซานตง” เขาพูดเสียงเข้ม


……………………………………….


บทที่ 93 ละครบอกเล่าต้นเหตุ

โดย

Ink Stone_Romance

ตระกูลฟางภูมิลำเนาเดิมซานตงตงผิง คนหยางเฉิงต่างรู้


“คนซานตงแล้วอย่างไร? ที่เจ้ารู้จะถูกรึ?” ผู้คนที่ประสบกับข่าวลือนานาชนิดเจิมมาไม่เชื่อง่ายๆ


ผู้ชายคนนั้นไม่รีบไม่หงุดหงิดยิ้มทีหนึ่ง


“ถูกไม่ถูก พวกเจ้าฟังข้าเล่าก็รู้แล้ว” เขาว่า “พวกเจ้ารู้ว่าตระกูลฟางบ้านเดิมอยู่ซานตง แต่รู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษตระกูลฟางทำการค้าอันใดไหม?”


ชาวบ้านที่เดิมทีเงียบลงไปร้องประสานเสียงขึ้นมา


“เครื่องหอม!”


“เจ้าโง่เรอะ!”


“นี่ไม่ใช่รู้กันหมด!”


“เจ้าหยอกพวกเราเล่นเรอะ!”


ชายวัยกลางคนรีบหัวเราะสองที


“ทุกคนรู้กันหมดจริงๆ สินะ” เขาเอ่ยคลายบรรยากาศ


เสียงนี้ชักนำให้คนบริเวณอื่นมองมา พากันเอ่ยถามเกิดอะไรขึ้น


ยังไม่ทันตอบ ชายวัยกลางคนผู้นั้นราวกับถูกโวยวายจนร้อนรน ตบโต๊ะที่หนึ่งแล้วเหยียบเก้าอี้ยืนขึ้น


“แต่ พวกเจ้ารู้ว่ากิจการเครื่องหอมตระกูลฟางที่สำคัญที่สุดส่งไปที่ไหนไหม?”


ครั้งนี้ไม่รอเหล่าชาวบ้านเอ่ยตอบ เขายื่นมือชี้ทิศเหนือ


“มณฑลเหอหนานเหอเป่ย”


“เมื่อครั้งเมืองหลวงเก่ายังอยู่ ดินแดนเหนือยังไม่วุ่นวาย กิจการของตระกูลฟางไปมาอยู่กับแดนเหนือ”


“ต่อมาชาวจินลงใต้ ฮ่องเต้เฉิงจงนำทัพออกรบด้วยพระองค์เองถูกจับ ราชสำนักวุ่นวายครั้งใหญ่ อดีตฮ่องเต้ขึ้นครองราชรับตำแหน่งย้ายลงใต้


เรื่องราวในอดีตช่วงนี้บรรดาชาวบ้านล้วนล่วงรู้ แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้เล่าได้บรรยากาศอย่างที่สุดคำพูดก็เร็ว ชั่วขณะหนึ่งทุกคนฟังจนหยุดโหวกเหวก


“นี่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฟาง?” มีคนอดไม่ได้ถามขึ้น


ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง


“ยามนั้นอดีตฮ่องเต้ย้ายเมืองหลวงลงใต้ ด้านหลังไม่ใช่แค่มีกองทัพใหญ่ชาวจินไล่โจมตี ยังมีสายลับปะปนนับไม่ถ้วน อดีตฮ่องเต้ไม่อาจไม่ปลอมตัวลอบเดินทาง ทว่า”


เขาพูดถึงตรงนี้ก็พลันหยุดกะทันหัน


ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นตกใจตัวสั่นนิดหนึ่ง


“ยังคงถูกสายลับไล่ตามทัน ถูกล้อมอยู่ที่เรือนแห่งหนึ่งในชนบบท ตอนนี้เองมีคนผู้หนึ่งผ่านทางมา ไม่สนอันตรายขัดขวางโจมตีสังหารสายลับ ช่วยอดีตฮ่องเต้”


ผู้ชายวัยกลางคนเล่าถึงตรงนี้ก็หยุดอีกครั้ง มองชาวบ้านรอบด้าน


“และคนผู้นี้ ก็คือบิดาของฟางโส่วอี้ ฟางเต๋อชางผู้ก่อตั้งเต๋อเซิ่งชาง”


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตาโตจากนั้นก็ฮือฮา


“…เล่าแล้วยาว แต่เวลานั้นเร็วนัก…ฟางเต๋อชางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง หนึ่งเท้าถีบโจรคนนั้นล้มลง แบกอดีตฮ่องเต้ขึ้นหลังได้ก็วิ่ง…”


“…ตอนนั้นมืดครึ้มสายลมพัดหวีดหวิว พัดจนไม่เห็นท้องฟ้าดวงตะวัน..”


“…ฟางเต๋อชางคนนั้นไม่รู้ว่าคนที่ตนช่วยเป็นผู้ใด เพียงรู้สึกว่าคนที่แบกอยู่บนหลังหนักเหมือนดั่งทองพันชั่ง พระวรกายมังกรของโอรสสวรรค์ย่อมไม่เหมือนคนธรรมดา ฟางเต๋อชางนิสัยซื่อสัตย์ภักดี ใจคิดช่วยคนแล้วไม่มีทางทอดทิ้งทีหลัง กัดฟันวิ่งเร็วรี่ตลอดทาง…”


“…ฟางเต๋อชางมองคนที่ล้อมเข้ามา ยังคิดว่าโจรยังไม่ตายจะไล่ตามมาอีก กำลังคิดว่าหนีไม่รอดแล้ว จึงถอนหายใจกับผู้ชายคนนั้นบอกว่า พวกเราพี่น้องสองคนครั้งนี้ดูท่าติดปีกยากหนีแล้ว…”


“…แต่คิดไม่ถึงผู้ชายคนนั้นยิ้มทีหนึ่ง ยกมือให้คนที่ล้อมเข้ามา ผู้คนก็คุกเข่าลงพรึบพรับร้องเสียงดังทรงพระเจริญหมื่นปี ฟางเต๋อชางแทบจะตกใจตายอยู่กับที่…”


“…อดีตฮ่องเต้ตรัสว่าเจ้าเรียกข้าว่าพี่น้อง แม้ข้าไม่อาจเป็นพี่น้องกับเจ้าได้ แต่ข้าประทานสิ่งอื่นที่เจ้าต้องการได้…”


“…ฟางเต๋อชางโขกศีรษะขอบคุณ กลับไม่ได้ร้องขอพระราชทาน…”


“…อดีตฮ่องเต้ชมชอบความซื่อตรงภักดีของเขา ตอนนั้นจึงยกพู่กันเขียนราชโองการดุจพระองค์เสด็จเองแผ่นหนึ่งประทานให้ฟางเต๋อชาง กำชับว่าภายหน้าหากประสบวิกฤต ก็เหมือนดั่งเช่นเจ้าช่วยข้าจากวิกฤตวันนี้ ข้าคลี่คลายความลำบากให้เจ้า…”


“…นี่คือวันวานอวี๋เหลียงพบฮ่องเต้ วันนี้เต๋อชางพบเจ้ามังกร หากเป็นคนบุญบารมีมาก ความมั่งคั่งเกียรติยศช้าเร็วใยจะไม่มา”


เสียงตบมือทีหนึ่ง นิทานตอนหนึ่งเล่าจบ แขกผู้มาดื่มน้ำชาในโรงน้ำชาพากันร้องเยี่ยม บรรดาพนักงานโรงน้ำชาฟังจนเคลิ้มตอนนี้ถึงพากันถือกาน้ำชาเดินตัดเติมชา บรรดาแขกผู้ดื่มชาบ้างวิพากษ์วิจารณ์ บ้างล้อมนักเล่านิทานเอ่ยถามต่อ


แขกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนชั้นสองพิงระเบียงลุกขึ้นยืน ข้างกายผู้คุ้มกันสี่ห้าคนติดตามประชิดอยู่ เปิดทางพลางปกป้องเขาพลาง ไม่เพียงการกระทำนี้ ยังมีหน้าตาของเขา เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนดึงดูดสายตาคน


เพราะนิทานตอนหนึ่งจบลงแล้วโรงน้ำชาที่วุ่นวายจึงกลับมาเอะอะขึ้นอีกครั้ง


“นายน้อยฟาง”


“เป็นนายน้อยฟาง”


“นายน้อยฟาง จริงหรือไม่?”


“นายน้อยฟาง ท่านปู่ทวดของท่านเคยช่วยอดีตฮ่องเต้จริงหรือไม่?”


ผู้คนล้วนเข้ามาเอ่ยถามเสียงดัง


ฟางเฉิงอวี่ยิ้มไม่พูดจา ผู้คุ้มกันอารักขาลงชั้นล่างไป


เมื่อถึงชั้นล่างคนที่ล้อมยิ่งมากแล้ว หลายวันขนาดนี้ นี่เป็นคนตระกูลฟางคนแรกที่โผล่หน้าเชียวนะ


“นายน้อยฟาง ที่แท้จริงหรือไม่เล่า?” ทุกคนพากันพูดขึ้น “เคยช่วยอดีตฮ่องเต้จริงไหม? ท่านบอกพวกเราเถิด”


ฟางเฉิงอวี่หยุดเท้า ยิ้มมองคนเหล่านี้


“นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ที่จริงไม่สำคัญ” เขาเอ่ย “ทุกคนรู้ว่าราชโองการของพวกเราเป็นของจริงก็เพียงพอแล้ว ใช่หรือไม่?”


คนที่อยู่ที่นั่นงุนงงไปครู่หนึ่ง งั้นรึ?


“สรุปก็คือราชโองการเป็นของจริง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น ยกมือประสานหมัดไปทางเมืองหลวง “น้ำพระทัยกว้างขวางขององค์ฮ่องเต้ก็เป็นของจริง ทุกคนยังต้องถามจำแนกความจริงลวงอันใดอีกเล่า?”


พูดจบผู้คุ้มกันก็ห้อมล้อมตรงดิ่งออกไปแล้ว ทิ้งผู้คนในโรงน้ำชาสีหน้าตะลึง


ใช่สิ นอกจากนี้ยังต้องถามจริงลวงอันใดอีก? เอ่ยถามว่าคุณความดีที่ตระกูลฟางได้ราชโองการมาจริงหรือปลอม ยังไม่ใช่ถามว่าน้ำพระทัยที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานราชโองการมาจริงหรือปลอม?


ความจริงลวงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผลัดมาถึงพวกเขาตั้งคำถามได้ ไม่เห็นหรือแม้กระทั่งเหล่าองครักษ์เสื้อแพรยังไม่ถาม?


ไม่เช่นนั้นนักเล่านิทานเหล่านี้จะนั่งอยู่ที่นี่สงบมั่นคงเล่าน้ำลายกระเซ็นกระสายได้อย่างไร?


เรื่องเหล่านี้ย่อมถูกแจ้งไปยังหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ที่เมืองหลวงแล้ว


เป็นจริงหรือปลอม ใครพูดล้วนไม่นับ ฮ่องเต้พูดถึงนับ


ฮ่องเต้พูดอย่างไร?


ห้องรอเข้าเฝ้าแห่งหนึ่งในวังหลวง มีคนกำลังรอคอยข่าวอยู่เช่นกัน


ห้องรอเข้าเฝ้ามืดทึมคับแคบ แม้ด้านนอกตะวันเดือนหกร้อนแรง ด้านในยังคงมืดสลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแวบแรกที่เดินเข้ามาจากด้านนอก มองเห็นคนด้านในไม่ชัดสักนิด


ที่เข้ามาคือขันทีอ้วนขาวเนื้อนิ่มผิวละเอียดคนหนึ่ง เขาหรี่ตาอยู่พักหนึ่งถึงหาพบว่าคนในห้องนั่งอยู่ตรงไหน


ด้านหลังโต๊ะตัวหนึ่ง ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีแดงสดรูปร่างผอมเพรียวดุจดาบกำลังก้มหน้าอ่านเอกสารราชการอยู่


“โอ๊ะโอ๋ ใต้เท้าลู่ของข้า ห้องนี้มืดเหลือเกิน เพ่งอ่านทำร้ายดวงตา” ขันทียิ้มเริงร่าเกินไปอยู่บ้างเอ่ยขึ้น


ได้ยินคำพูดนี้ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น ในห้องมืดสลัว บนใบหน้าขาวเผือด ดวงตาดำหม่นคู่นั้นยิ่งแลดูเย็นเยียบ


“ที่แท้เป็นกัวกงกง” เขาเอ่ยขึ้น


เสียงของเขากับหน้าตาของเขาช่างต่างกัน ทุ้มเข้ม แล้วยังติดจะซื่อบื้ออยู่บ้าง


ฟังเพียงเสียงนี้คงไม่มีใครคิดเชื่อมโยงเขากับลู่อวิ๋นฉีหัวหน้ากองพันลู่แห่งหน่วยราชทัณฑ์กรมสืบสวนฝ่ายเหนือผู้ฆ่าคนตาไม่กะพริบ เลือดเปื้อนเต็มมือ ทำให้คนหวาดกลัว บรรดาขุนนางได้ยินชื่อก็หัวหดคนนั้น


คิดว่าเป็นนายทหารที่ซื่อๆ ตรงไปตรงมาคนหนึ่งเท่านั้น


ที่จริงเดิมทีเขาก็ชาติกำเนิดเป็นนายทหารซื่อตรงคนหนึ่ง


บิดาของเขาทั้งชีวิตซื่อตรงไร้ชื่อเสียง ทุกคนไม่รู้แม้กระทั่งเขาชื่อว่าอะไร


ใครจะคิดว่าคนที่สืบทอดอาชีพของบิดา เดิมทีควรตามรอยบิดาใช้ชีวิตซื่อตรงธรรมดาไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่ง ถึงกับทีหนึ่งกระโดดข้ามมาเป็นบุคคลที่ชาวบ้านราชสำนักได้ยินชื่อหน้าถอดสี


……………………………………….


บทที่ 94 ค่อยๆ คุยผลที่ตามมา

โดย

Ink Stone_Romance

ดูท่าก็คงเป็นเพราะเหตุนี้ หัวหน้ากองพันลู่จึงเอ่ยวาจาต่อหน้าคนน้อยนัก


มีคนพูดกันเป็นการส่วนตัวว่าโบราณมีหลานหลินหวัง[1]รูปงามปิดบังโฉมหน้า วันนี้มีหัวหน้ากองพันลู่เสียงเฉื่อยสงบคำ


แน่นอนว่าการนำขุนนางโหดเหี้ยมที่ใส่ร้ายสังหารชีวิตคนพวกเดียวกับจวิ้นเฉินโจวซิ่ง[2]คนหนึ่งกับหลานหลินหวังที่ปกบ้านป้องเมืองมาเทียบกัน ย่อมชักพาคำเสียดสีและด่าทอสาปแช่งของคนจำนวนหนึ่ง


แน่นอน นี่ล้วนเป็นการส่วนตัว


และแน่นอนอีก แม้ว่าเป็นการส่วนตัว คนเหล่านี้ก็เกิดเรื่องอย่างน่าประหลาดเช่นกัน เป็นซิ่วไฉถูกค้นพบว่าพกโพยในการสอบ จากนั้นสูญเสียเส้นทางบัณฑิต เป็นขุนนางถูกค้นพบว่าทุจริตรับสินบน บ้างถูกตัดสินคดีอยุติธรรมใส่ร้ายผิดพลาด ที่ลดขั้นลดขั้นที่ปลดขุนนางเป็นประชาชนเป็นประชาชน นานาชนิดเช่นนี้เห็นได้ทั่วไป ท้ายที่สุดล้วนต้องตอบแทนคำพูดที่ตนเองเอ่ย


เพียงแต่การตอบแทนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาปรารถนาจริงๆ แต่เรื่องราวบนโลกนี้ก็ยากจะได้ครบทั้งสองเช่นนี้


ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืนคำนับ


พูดถึงตำแหน่งขุนนางเขาไม่สูง ขันทีแซ๋กัวชื่อหนูเอ๋อร์คนนี้ตรงหน้าเป็นขันทีข้างกายองค์ฮ่องเต้ ด้านขันทีพิธีการก็เป็นอันดับหนึ่งอันดับสองเช่นกัน


เห็นลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้น กัวกงกงก็ยิ้มก้าวไวๆ มาข้างหน้า สีหน้านอบน้อม


“ฝ่าบาทมีรับสั่งหรือ?” เขาเอ่ยถามขึ้นตรงๆ


กัวกงกงขานรับ


“ฝ่าบาทตรัสว่าเรื่องนี้ท่านทราบแล้ว เรื่องผ่านไปนานเกินไป ท่านก็จดจำไม่ได้แล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” เขาพูด


“ข้าน้อยจะไปสืบ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น ก้าวเท้าจากไป


กัวกงกงอุทานตกใจรีบดึงแขนเขาไว้


“ใต้เท้าของข้า ข้ายังพูดไม่จบเลย” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “แต่ฝ่าบาทตรัสว่าราชโองการนี้มีอยู่จริง อดีตฮ่องเต้เคยเขียนราชโองการดุจพระองค์เสด็จเองทั้งหมดสองฉบับ ฉบับหนึ่งซ่อนเร้นชื่อไว้ ฉบับหนึ่งมอบให้เฉิงกั๋วกง ตอนนี้ดูท่าฉบับที่ซ่อนเร้นชื่อนั้นก็คงเป็นตระกูลฟางแห่งหยางเฉิงนี้”


ลู่อวิ๋นฉีมองเขา ใบหน้าไร้อารมณ์


“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ต้องการให้พวกเขาเร้นหายไปตลอดกาลหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม


กัวกงกงรีบยิ้มส่ายศีรษะ


“ใต้เท้า ฮ่องเต้ตรัสว่าเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก การแต่งงานของใต้เท้าท่านกับองค์หญิงจิ่วหลีถึงเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องอื่นล้วนไม่ต้องสนใจมัน” เขาเอ่ยขึ้น


ฝ่าบาทตรัสว่าท่านทราบแล้ว ฝ่าบาทตรัสว่าเรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ


ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า


“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอตัว” เขาเอ่ยขึ้น


พูดจบก็ยกเท้าก้าวเดิน กัวกงกงยังไม่ทันตอบรับ ลู่อวิ๋นฉีก็ก้าวออกประตูไปแล้ว


นี่เป็นดาบที่คมกริบทั้งใช้ง่ายเล่มหนึ่งจริงๆ หนา มิน่าฮ่องเต้ถึงให้ความสำคัญกับเขาเช่นนี้


“ใต้เท้าลู่ ใต้เท้าลู่” กัวกงกงรีบตามออกมา มองลู่อวิ๋นฉีทั้งร่างอาภรณ์สีแดงสดยืนอยู่ใต้แสงตะวัน


ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้าหันกลับมามอง


ต่อให้ยืนอยู่ใต้แสงตะวัน ต่อให้ที่ใส่อยู่คือสีแดงสดเข้ม ทั้งร่างของเขาก็แลดูเย็นเยือก ราวกับแม้กระทั่งแสงตะวันก็หลบเลี่ยงเขา


ท่าทางคงเป็นเพราะสีหน้าอ่อนโยนทั้งเฉยชาดุจศิลาแกะสลักของตัวเขา แล้วก็คงเป็นเพราะเรื่องเร้นลับที่เขาทำคนที่เขาสังหารมากเหลือเกิน


ทุกคนล้วนพูดว่าคนผู้นี้หาเรื่องไม่ได้ ที่จริงพูดให้ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง เทียบกับพวกเขาขันทีเหล่านี้ดีกว่าถึงที่ไหน?


กัวกงกงเค้นรอยยิ้มที่เปี่ยมไมตรีออกมา


“ถึงเวลาพวกเราก็จะไปขอสุรามงคลของใต้เท้ากับองค์หญิงสักจอกด้วยนะขอรับ” เขายิ้มเอ่ยขึ้น


ลู่อวิ๋นฉีมองเขา มุมปากเม้มนิดหนึ่ง


นี่คงจะเป็นรอยยิ้ม?


ที่แท้ใต้เท้าลู่ก็ไม่ได้หน้าไร้อารมณ์ ยังยิ้มเป็นด้วย


กัวกงกงก็รีบยิ้มกว้างขึ้น


“ในบ้านเก็บเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “มีสิ่งใดต้องการความช่วยเหลือใต้เท้าเพียงแค่เอ่ยปาก”


ลู่อวิ๋นฉีหรุบตา ก้มศีรษะคำนับเล็กน้อย


“ขอบคุณกงกง” เขาเอ่ยขึ้น “ล้วนเก็บเรียบร้อยแล้ว”


“ถ้าเช่นนั้นรีบไปเถิด รีบไปเถิด” กัวกงกงยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทตั้งพระทัยพระราชทานอนุญาตให้พักงานหนึ่งเดือน ใต้เท้าอย่างเพิ่งว้าวุ่นใจเรื่องเหล่านี้ แต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด”


ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจาอีก คำนับหมุนตัวก้าวเดินจากไป


เงาร่างสีแดงสดใต้แสงตะวันค่อยๆ เดินไกลออกไป


กัวหนูเอ๋อร์ตอนนี้ถึงสั่นเทา เนื้อทั่วร่างสั่นระริก


“ช่างแปลกจริงประหลาดจริง คนผู้นี้ดูอย่างไรก็ทำให้คนกลัว ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นองค์หญิงจิ่วหลิงใช้ชีวิตกับเขาอย่างไร” เขาพึมพำกับตนเอง แล้วส่ายศีรษะหัวเราะคึคึ “บางทีก็คงเพราะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงรนหาที่ตายด้วยตนเอง ยังจะรักภรรยาดุจชีวิต ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกจริงๆ”


หัวเราะครู่หนึ่งก็ปรับสีหน้า เดินพลางฮัมเพลงไปยังด้านในพระราชวัง ไม่ทันสังเกตขันทีตัวน้อยที่ยืนรอคำสั่งก้มหน้าอยู่หลังร่างเขาตลอดเงยหน้าขึ้น แววตาสว่างวูบจ้องเงาแผ่นหลังของเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็หลุบตาก้มศีรษะก้าวสั้นๆติดตามไปอย่างถ่อมตนและระมัดระวัง



ลู่อวิ๋นฉีเดินออกประตูวัง ด้านนอกทหารขององครักษ์เสื้อแพรที่ร่างสวมชุดปลาบิน เอวห้อยดาบปักวสันต์กลุ่มหนึ่งก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เห็นเขาเข้ามาก็คำนับกันอย่างพร้อมเพรียง


ลู่อวิ๋นฉียังไม่ทันขึ้นม้าก็มีองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งออกมาจากในราชวัง


องครักษ์เสื้อแพรก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ของฮ่องเต้เช่นกัน ในวังก็แบ่งกะเข้าเวรด้วย


องครักษ์เสื้อแพรผู้นี้ก้าวไวๆ มาข้างหน้า คำนับหมอบกราบตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง ตอนนี้ถึงลุกขึ้นตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีกระซิบริมหูหลายประโยค


หน้าของลู่อวิ๋นฉีไม่เปลี่ยน ราวกับถูกแสงตะวันส่องจนร้อนยกมือกดเบาๆ ที่มุมปาก


“เขาบอกว่าเขามองไม่ออกหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น


องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นถอยหลังหลุบตานิ่งรอคำสั่งของเขา


“ถ้าเช่นนั้นก็ให้เขามองไปเถอะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น พูดจบก็พลิกกายขึ้นม้า


องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นขานรับถอยหลังไปอีกครั้ง มองม้าของลู่อวิ๋นฉีเหยียบบย่างไปข้างหน้า ส่วนคนอื่นก็ออตามไปสองข้างด้านหลัง


เพราะด้านหน้าราชวังไม่มีพวกคนวุ่นวายเท่าไร แต่ผ่านประตูกรมต่างๆ สองข้าง คณะของพวกเขาก็ดึงคนไม่น้อยเหลือบสายตามา


“ไม่ใช่จะแต่งงานแล้วหรือ?”


“ยังจะออกมาเดินอีกหรือ?”


“ไม่รู้ที่ไหนจะโชคร้ายอีก”


“ตอนนี้จะงานมงคลครั้งใหญ่แล้ว ยังจะลงมือหรือ”


“แต่งงาน แต่งงานเขาก็ยังเป็นยมราชนี่ ยมราชออกจากบ้านย่อมต้องช่วงชิงชีวิต”


หลังขบวนคณะนี้เดินผ่านไป ทิ้งเสียงซุบซิบนินทาไว้ตลอดถนน


คำซุบซิบเหล่านี้ด้านหลังร่าง คณะของลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจสักนิด มาถึงด้านหน้าประตูกรมแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ที่แห่งนี้แตกต่างกับด้านหน้าประตูกรมเหล่านั้นก่อนหน้านี้ที่คึกคัก แลดูเก่าผุพังทั้งยังวังเวง ป้ายอันหนึ่งที่แขวนอยู่ด้านบนไม่สะดุดตาสักนิด ป้ายไม่สะดุดตาอย่างมากแต่อักษรด้านบนกลับทิ่มแทงดวงตายิ่งนัก


กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ


มีหัวหน้าหน่วยหลายคนก้าวมาข้างหน้าคำนับ เตรียมรับม้าอยู่ก่อนแล้ว


ลู่อวิ๋นฉีกลับทำท่าว่าไม่ต้อง เขาตรงเข้าไปข้างหน้า ผู้คนที่ติดตามก็ตามต่อ


เดินออกจากถนนใหญ่ของกรมขุนนาง ก็มาถึงบนถนนค่อนข้างเปลี่ยวสายหนึ่ง ที่แห่งนี้มีจวนหลังหนึ่งอยู่ แล้วยังมีวังอ๋องหลังหนึ่งอยู่ด้วย แยกตั้งอยู่ที่สุดปลายฝั่งตะวันออกกับตะวันตกของถนน


ที่แห่งนี้แทบจะวังเวงยิ่งกว่ากรมสืบสวนฝ่ายเหนือเมื่อครู่ มีเพียงเสียงกีบเท้าม้าของพวกเขาคนม้าหนึ่งคณะสะท้อนก้อง


ที่ผ่านไปแรกสุดคือวังอ๋อง เหมือนดังเช่นวังอ๋องทั้งหมดสร้างขึ้นอย่างหรูหรางดงาม ป้ายหน้าประตูแขวนไว้สูงเขียนว่า วังไหวอ๋อง สามคำ


ทว่าแตกต่างจากวังอ๋องที่อื่น ที่แห่งนี้ไม่มีคนเฝ้าประตูมากมาย ยิ่งไม่มีข้ารับใช้ไปมา ประตูใหญ่ปิดสนิทราวกับร้างไม่มีคนอาศัย


ลู่อวิ๋นฉีหยุดที่หน้าประตูครู่หนึ่ง


กำหนดการแต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีใกล้เข้ามาแล้ว ว่าที่สามีพบหน้าว่าที่ภรรยาก็ไม่มีสิ่งใดตำหนิได้ นอกจากนี้เขายังเป็นลู่อวิ๋นฉี


ผู้คนที่ติดตามหยุดรอคำสั่ง แต่เพียงชั่วครู่ลู่อวิ๋นฉีก็กระตุ้นม้าเดินหน้าอีกครั้ง มาถึงด้านหน้าจวนสุดฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็ว


ที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับวังอ๋องด้านนั้น มีคนมากมายยุ่งวุ่นวายเข้าๆ ออกๆ จวนที่เดิมทีหรูหราถูกจัดแต่งจนยิ่งงดงามโอ่อ่า อักษรจวนสกุลลู่บนป้ายที่แขวนอยู่สูงถูกทาสีเสียใหม่


“ใต้เท้า”


“ใต้เท้ากลับมาแล้ว”


มองเห็นลู่อวิ๋นฉีคนมากมายก็ทะลักออกมาพากันคำนับ เด็กรับใช้เฝ้าประตูก็จะมารับม้าเช่นกัน


ลู่อวิ๋นฉียังคงไม่ลงจากม้าเช่นเดิม เขามองจวนที่คึกคักนี่ครู่หนึ่งก็รั้งสายตากลับไป กระตุ้นม้าอีกครั้ง


คนม้าเลี้ยวผ่านตรอกหลายสายเดินมาถึงถนนใหญ่


การปรากฏตัวของพวกเขาคนกลุ่มนี้ทำให้ความครึกครื้นบนถนนใหญ่เปลี่ยนกลายเป็นยิ่งครึกครื้น แต่ความครึกครื้นชนิดนี้คือการลอบมอง หลบซ่อน หลีกหลบ คิดแค้น หลีกเลี่ยง แปลกประหลาด


ทุกสิ่งลู่อวิ๋นฉีมองแต่แสร้งไม่เห็น เพียงแค่มองด้านหน้าเร่งม้าเดินเท่านั้น ราวกับจะไปที่ไหนแล้วราวกับไม่ได้ไปที่ใด เพียงแต่เดินไปตามทางเท่านั้น


คนคณะนี้ตัดผ่านไปตามถนนผ่านประตูเมืองหายลับไปจากในสายตา คิ้วของหนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ด้านข้างถนนขมวดแน่น


“เจ้าวายร้ายคนนี้จะไปทำสิ่งใดอีก?”


“พักนี้ไม่ได้ยินว่ามีเรื่องใหญ่อะไรนะ?”


บรรดาสหายด้านข้างเอ่ยถก หันหน้ามองเห็นหนิงอวิ๋นเจาที่ท่าทางราวกับขบคิดอยู่


“อวิ๋นเจา เจ้ารู้ว่าเป็นเรื่องอะไรไหม?” พวกเขาเอ่ยถาม


หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ


“ไม่รู้” เขาเอ่ย


บรรดาสหายสำรวจเขา


“ตอบฉับไวเช่นนี้ ใช่ปิดบังเรื่องใดกับพวกเราอยู่หรือไม่?” พวกเขายิ้มเอ่ย


หนิงอวิ๋นเจารั้งสายตากลับมายิ้ม


“ข้าเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ด้วยกันกับพวกเจ้าทุกวัน ที่พวกเจ้ารู้ข้ารู้ ที่ข้ารู้พวกเจ้าก็รู้” เขาเอ่ย “มีสิ่งใดปิดบังพวกเจ้าเล่า”


พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง พยักหน้า


“มีก็มีอยู่หรอก”


สหายสองคนดวงตาสว่างวาบ


“อะไร?” พวกเขาเอ่ยถาม


หนิงอวิ๋นเจามองเด็กรับใช้อายุน้อยวิ่งหอบแฮกๆอยู่กลางฝูงชนบนถนนใหญ่


“เรื่องที่บ้าน” เขาว่า พลางยกมือส่งสัญญาณ “เสี่ยวติง”


เด็กรับใช้อายุน้อยคนนั้นเข้ามาหาด้วยความดีใจ ส่งจดหมายฉบับหนึ่งในมือข้ามมา


“คุณชาย จดหมายมาแล้วขอรับ” เขาเอ่ย ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่โชกเต็มศีรษะ


……………………………………….


[1]หลานหลินหวัง (兰陵王) หนึ่งในสี่ยอดบุรุษรูปงามของจีน เป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจผู้มีใบหน้างดงามอ่อนหวาน ดังนั้นเล่ากันว่ายามออกรบ หลานหลิงหวังจึงต้องสวมหน้ากากปิดบังรูปโฉมที่งดงามจนไม่อาจสร้างความหวาดกลัวให้ศัตรูได้ของตนเองไว้


[2] จวิ้นเฉิน (俊臣) และ โจวซิ่ง (周兴) เป็นขุนนางโหดเหี้ยมในสมัยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน


95 เป็นจดหมายของที่บ้านรึ


บรรดาสหายปัดความสงสัยลงไป


“มีจดหมายของที่บ้านอีกแล้วหรือ” พวกเขายิ้มเอ่ยขึ้น “หลายวันนี้เจ้าได้จดหมายจากที่บ้านไม่ขาด เจ้าก็ไม่ได้ออกจากบ้านครั้งแรกแล้ว ท่านลุงท่านป้าไม่วางใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”


“เพราะปีหน้าจะสอบใหญ่แล้ว…” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น พลางรับจดหมายมา “ข้าจะเก่งกล้าสามารถสักเท่าไร ในสายตาบิดามารดาก็ยังเป็นลูกโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น”


บรรดาสหายหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา


หนิวอวิ๋นเจาผู้เก่งกล้าสามารถคนนี้กลับไม่ถือตัว เก่งนักในการผูกสัมพันธ์กับคน ไม่เสียทีเป็นลูกหลานที่เกิดมาในตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว


พวกเขาไม่จี้ถามต่อคุยเล่นกลับมายังที่พัก หนิงอวิ๋นเจากลับมาถึงห้องของตน นั่งลงด้านหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ


บนโต๊ะเขียนหนังสือ หนังสือกองอยู่เต็มจนพู่กันหมึกกระดาษที่ฝนหมึกเบียดอยู่ได้หวุดหวิด ยังมีตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งรวมถึงโคมไฟลวดลายดวงหนึ่ง


เด็กรับใช้ยกน้ำชามา


หนิงอวิ๋นเจาไม่ทันสนใจดื่มชา หยิบจดหมายออกมากวาดทีหนึ่งสิบบรรทัดก่อน สีหน้าประหลาดใจแล้วเคร่งเครียดท้ายที่สุดก็หัวเราะตามจดหมาย


หลังจากนั้นถึงพรูลมหายใจเบาๆ ยกน้ำชาขึ้นดื่มหลายคำ อ่านอย่างตั้งใจทีละตัวๆ ใหม่อีกครั้ง


“คุณชาย ข้าถามมาแล้ว” เสี่ยวติงยืนอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ที่เล่าลือกันในหยางเฉิงล้วนเป็นครั้งนั้นฟางเต๋อซางช่วยจักรพรรดิได้ราชโองการมา ตระกูงฟางไม่เกิดเรื่อง ทั้งหมดเหมือนเดิม ก็ไม่รู้ว่านี่จริงหรือไม่จริง”


หนิงอวิ๋นเจาวางจดหมายลงแล้วยิ้ม


“ราชโองการเป็นของจริง เช่นนั้นเรื่องอื่นย่อมเป็นจริงด้วย” เขาว่า สีหน้าทอดถอนใจอยู่บ้าง มือค้ำผิวโต๊ะ “คิดไม่ถึงตระกูลฟางถึงกับมีราชโองการ”


เด็กรับใช้พยักหน้า


“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ” เขาเอ่ย “ตอนแรกหากพวกนางหยิบราชโองการออกมา บังคับตระกูลเราให้ยอมรับสัญญาหมั้นระหว่างท่านกับคุณหนูจวินจะทำอย่างไร?”


หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้ามองเขา


เด็กรับใช้กระดากอาย


เช่นนั้นย่อมจัดการง่ายแล้ว


เช่นนั้นคุณชายก็ไม่ต้องเป็นเช่นตอนนี้ห่วงหาแต่ไม่อาจถามโจ่งแจ้ง ได้แต่เกาะหน้าต่างปีนประตูสืบถามข่าวคราว


“ตระกูลพวกเขามีราชโองการ สื่อถึงเรื่องมากมายที่คิดไม่ถึง”


หนิงอวิ๋นเจามองเด็กรับใช้ อดทนเอ่ยขึ้น


“เรื่องคิดไม่ถึงเหล่านี้เกี่ยวพันด้านต่างๆ มากมาย เจ้าอย่าคิดเพียงความรักชายหญิงเรื่องเล็กน้อยของหนุ่มสาว ตระกูลฟางเป็นตระกูลที่จะหยิบราชโองการมากระทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”


เด็กรับใช้ขานรับ ตั้งใจคิด


“แต่ว่า” เขายื่นมือเกาศรีษะ สีหน้าสงสัยไม่คลาย “เพราะไปเก็บสมุนไพรไม่บอกคนที่บ้านค่ำมืดไม่กลับที่พักก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะขอรับ”


เปรียบเทียบกันแล้ว งานแต่งงานกับคุณชายของตนกลับสำคัญกว่าอยู่หน่อยกระมัง


“นางไม่กลับบ้านคืนหนึ่งเป็นเรื่องไม่กลับบ้านคืนหนึ่งหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น ตบโต๊ะ “เวลานี้ นางอยู่ดีๆ หายตัวไป เป็นเรื่องใหญ่มาก!”


เด็กรับใช้รีบพยักหน้า


สำหรับคุณชายแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ไหมเล่า


“ขอรับ ขอรับ คุณหนูจวินหายไป เป็นเรื่องใหญ่” เขาเอ่ยหลายครั้ง


หนิงอวิ๋นเจาย่อมมองออกว่าเด็กรับใช้คิดอะไร เขาจะอธิบายก็รู้สึกว่าคนโง่พูดไปย่อมไม่กระจ่าง ยังคงอย่าเสียเวลาดีกว่า


“แต่คุณชาย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายขอรับ?” เด็กรับใช้เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “ตระกูลฟางเคยช่วยอดีตฮ่องเต้ไว้จริงหรือ?”


หนิงอวิ๋นเจามองจดหมายบนโต๊ะ กุมถ้วยชา


“ลาภเคราะห์เคียงคู่ เรื่องดีอาจเป็นเรื่องร้าย เรื่องร้ายก็อาจเป็นเรื่องดี” เขาว่า “ส่วนที่ตระกูลฟางเคยช่วยอดีตฮ่องเต้นี่เป็นเรื่องดีมาก กับตระกูลฟางก็ดี กับอดีตฮ่องเต้ก็ดี”


ดี?


“ถ้าเช่นนั้นสรุปแล้วเป็นจริงหรือหลอกล่ะขอรับ?” เด็กรับใช้เอ่ยถามไม่เข้าใจ


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม วางถ้วยชาลง


“ในเมื่อเป็นเรื่องดี ใยต้องถกจริงลวง” เขาเอยขึ้น


เด็กรับใช้ฟังไม่เข้าใจจึงไม่คิดต่ออีกเสียเลย


“คุณชาย จะบอกว่าคุณหนูจวินพวกนางจะไม่มีเรื่องแล้วสินะขอรับ?” เขาเอ่ยถามขึ้นตรงๆ


หนิงอวิ๋นเจาครุ่นคิดครู่หนึ่ง


“ไม่เป็นไร” เขาว่า “เรื่องนี้ตอนนี้คลี่คลายเช่นนี้สำหรับทุกคนล้วนค่อนข้างดีแล้ว”


อย่างน้อยตอนนี้ก็ค่อนข้างดี


เด็กรับใช้โล่งอกยื่นมือเช็ดเหงื่อ


“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว…” เขาเอ่ยขึ้น


หนิงอวิ๋นเจามองเขาแล้วยิ้ม


“เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าก็รีบไปพักผ่อนเถิด” เขาว่า


“คุณชายก็พักผ่อนดีๆ นะขอรับ” เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น “คุณชายวางใจ คนหยางเฉิงด้านนั้นข้าจัดการอย่างเหมาะสมที่สุด มีข่าวคราวอันใดจะส่งมาทันที”


ไม่รอหนิงอวิ๋นเจาเอ่ยวาจาอีก วิ่งเริงร่าออกไปแล้ว


หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะอับจนปัญญาอยู่บ้าง


“คนหนอ มักจะคิดมากเสมอ” เขาเอ่ยขึ้น สายตาจับอยู่บนโคมไฟลวดลายที่หัวโต๊ะ “นายน้อยตระกูลฟางถึงกับรักษาหายดีแล้ว”


เขาคิดครู่หนึ่ง พบว่านึกหน้าตาของเด็กสาวคนนั้นไม่ออกแล้ว


เหมือนกับครั้งยืนถือโคมไฟอยู่ท่ามกลางราตรีมืดสลัวในเทศกาลโคมไฟ แล้วเหมือนกับครั้งยื่นมือส่งสาลี่ในจวนตระกูลฟางยามเที่ยงคืน มักจะกั้นขวางด้วยราตรีสลัวมองไม่ชัดอยู่เสมอ


ไม่ว่าความมั่งคั่งของตระกูลฟางนี้จะคับฟ้าหรือไม่ ไม่ว่าพูดอย่างไร มีสามีที่แข็งแรงคนหนึ่งอย่างไรก็เป็นเรื่องดี


เช่นนี้ค่อนข้างดี


ตอนนี้นางควรเบิกบานใจมากสินะ?


จะเขียนจดหมายแสดงความยินดีสักหน่อยหรือไม่?


ความคิดนี้แล่นผ่านไป หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้ว


ไร้สาเหตุไร้ที่มาเขียนจดหมายทำอะไร ก็ไม่ใช่คุ้นเคยกันนัก


แล้วยังเป็นเวลานี้ อย่าให้ถูกนางมองว่าตนหวั่นเกรงราชโองการของตระกูลฟางจะไม่ดีต่อตระกูลหนิง ตนเองใจคอคับแคบเลย


หนิงอวิ๋นเจายื่นมือไปจุดโคมไฟ


ราชโองการหรือ


หากตอนนั้นตระกูลฟางหยิบราชโองการมาบังคับให้ยอมรับสัญญาหมั้นจริงๆ ตอนนี้จะเป็นอย่างไร?


เขาพลันผุดความคิดนี้ขึ้นมา


จากนั้นเขาก็กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ยกน้ำชาดื่มคำหนึ่ง น้ำชาเย็นแล้ว นี่ทำให้เขายิ้มขึ้นมา ส่ายศีรษะ เก็บจดหมายขึ้น หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาก้มหน้าก้มตาตั้งใจศึกษา


นอกหน้าต่างเขียวครึ้มร่มเย็น จักจั่นร้องระงม


ณ หยางเฉิงที่ห่างไปกว่าพันลี้ ฟางเฉิงอวี่หลังตระเวนสอดส่องรอบหนึ่งก็กลับมาถึงในบ้าน


นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางล้วนเฝ้าคอยอย่างเป็นห่วง คนหนึ่งสั่งให้โบกพัด คนหนึ่งสั่งให้ยกน้ำชาเย็น


ฟางเฉิงอวี่ยิ้มรับความห่วงใย ความเอาอกเอาใจของพวกนาง


“ไม่มีปัญหาแล้ว ตอนนี้ทั้งเมืองล้วนกำลังแสดงเล่าอยู่” เขาว่า “ข่าวส่งมาจากร้านแลกเงินต่างๆ ในซานซีว่าสถานที่อื่นก็แพร่ออกไปแล้ว ยังมีในเขตเหอหนานเส้นทางการย้ายเมืองหลวงของอดีตฮ่องเต้ก็เตรียมเรื่องเล่าเก่าแก่ของท้องถิ่นไว้แล้ว”


ได้ยินเขาพูดถึงตรงนี้ นายหญิงใหญ่ฟางก็ยิ้ม


“ท่านแม่ ท่านไม่ทราบ เฉิงอวี่ยังจัดการเตรียมบ่อน้ำแห่งหนึ่งไว้ยังสถานที่เก่านั่น เล่าว่าตอนอดีตฮ่องเต้ได้ท่านปู่แบกหนีภัยสะดุดล้ม เตะตาน้ำออกมา ต่อมาถูกชาวบ้านล้อมทำเป็นบ่อน้ำ” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น


“แต่งเรื่องไหมเล่า อย่างไรก็ต้องแต่งให้รอบคอบ” ฟางเฉิงอวี่พูด แล้วมองนายหญิงผู้เฒ่าฟางอีก “ท่านย่า ข้าจัดการเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่?”


นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขาดวงตาเต็มไปด้วยความคลายใจ


“เจ้าจัดการดีมาก รอบคอบนัก” นางว่า ท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำได้ดีเช่นนี้”


ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม


“ก็ไม่ได้ดีมากนัก ข้าอ่านหนังสือมามาก” เขาว่า “บนหนังสือเขียนเรื่องราวเช่นนี้ไว้มากมาย ข้าจึงครูพักลักจำมา”


ครูพักลักจำรึ


แต่งเรื่อง ร่ำเรียนง่ายๆ ได้ สังเกตคำพูดมองสีหน้าอย่างไร บริหารร้านแลกเงินอย่างไร ลงมือสังหารคนอย่างไร ย่อมไม่ได้ร่ำเรียนง่ายดายเช่นนั้น


นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองฟางเฉิงอวี่ในดวงตาอดไม่ได้ขัดเคือง


ตั้งแต่หลังฟางเฉิงอวี่กลับมา นางรู้สึกเหมือนในใจวางภาระหนักอึ้งลง แวบเดียวก็มีที่พึ่ง


ส่วนเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง ไม่เคยเลย แม้สายไปสิบปี เขายังคงเหมือนเช่นจินตนาการที่นางวาดหวังไว้ ยอดเยี่ยมเช่นนั้น


นายหญิงใหญ่ฟางอยู่ด้านข้างอดไม่ไหวเช็ดน้ำตา


ประหลาดจริง ตอนนี้ทุกสิ่งล้วนดีแล้วชัดๆ นางกลับยิ่งชอบร้องไห้แล้ว


“ท่านย่า ท่านแม่ ตอนนี้ดูท่าเรื่องนี้คงไม่มีปัญหาแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยบอก


นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้า


“ใช่แล้ว ทางการก็ดี องครักษ์เสื้อแพรก็ดีล้วนไม่มีความเคลื่อนไหว หรือก็คือพวกเขาก็ยอมรับคำอธิบายเช่นนี้ด้วย” นางเอ่ยขึ้น “ด่านนี้นับว่าผ่านไปแล้ว”


“ถ้าเช่นนั้นต่อไปเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยถาม


เรื่องราชโองการนี่นางก็รู้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ส่วนนายหญิงผู้เฒ่าฟางก็บอกกับนางและเฉิงอวี่อย่างตรงไปตรงมาว่าที่มาที่แท้จริงของราชโองการไม่อาจพูดได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ไม่อาจพูด


ไม่รู้ อย่างไรก็ทำให้ใจคนวิตกอยู่เสมอ


“ต่อไปพวกเราก็บริหารร้านแลกเงินให้ดี ทำหน้าที่ให้ดีก็พอแล้ว” ฟางเฉิงอวี่รับช่วงเอ่ยต่อ


ไม่รู้ สำหรับเขาแล้วดูเหมือนแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นปัญหา


“ข้าป่วยนานปีขนาดนั้น นอกจากเหตุใดล้มป่วยที่ทำให้ข้ากลัดกลุ้ม เรื่องอื่นใดล้วนปลงตกแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ปัญหาเพียงอย่างเดียวของข้าแก้ออกแล้วย่อมไม่มีปัญหาแล้ว”


นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้าทั้งโล่งอกทั้งปลง


“ไม่รู้ว่าพี่สาวตอนนี้เดินทางไปถึงที่ไหนแล้ว” ฟางเฉิงอวี่พลันเอ่ยออกมาอีก


หากเขาไม่รู้ พวกนางก็ยิ่งไม่รู้แล้ว


นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางสบตากัน


“ครั้งก่อนข่าวบอกว่าผ่านเหอหนานแล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นสีหน้ากังวลอีกครั้ง “เด็กคนนี้เดินทางเร็วขนาดนี้ หรือทั้งวันทั้งคืนไม่พัก?”


“พี่สาวจัดการเองต้องไม่เป็นไรแน่” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น “ท่านย่ากับท่านแม่ไม่ต้องกังวล”


ที่จริง ประโยคนี้เจ้าพูดกับตนเองจะเหมาะกว่ากระมัง


นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมองเขา บนหน้าของเด็กหนุ่มรอยยิ้มดั่งดวงตะวันร้อนระอุ


“เฉิงอวี่ เรื่องราชโองการตกลงจัดการเรียบร้อยแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งข้าต้องบอกเจ้า” นายหญิงผู้เฒ่าฟางพลันเอ่ยขึ้น


นายหญิงใหญ่ฟางสะท้านทีหนึ่ง


“ท่านแม่!” นางหลุดปากร้อง “อย่า…”


อย่าพูด อย่างน้อยตอนนี้ก็อย่าเพิ่งพูด จะแข็งใจพูดได้อย่างไร มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ดีใจขนาดนี้ จะทำลายได้อย่างไร


นายหญิงผู้เฒ่าฟางชะงักไปครู่หนึ่ง มองฟางเฉิงอวี่


“เฉิงอวี่ การแต่งงานของเจ้ากับพี่สาวของเจ้าเป็นเรื่องหลอก” นางยังคงเอ่ยปากพูด


รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเฉิงอวี่แข็งค้าง


96 เรื่องหลอก


ฟางเฉิงอวี่รู้ว่าเรื่องราวมากมายล้วนหลอกลวง


นางทารุณตนเองเป็นเรื่องหลอก


นางอาละวาดเพราะสาวใช้เป็นเรื่องหลอก


นางวางอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเป็นเรื่องหลอก


นางอวดดีไร้มารยาทหยาบคายน่าชังก็เป็นเรื่องหลอก


แต่แต่งงานนี่ ก็เป็นเรื่องหลอกได้ด้วยหรือ?


ในห้องเงียบงันไปพักหนึ่ง


“เฉิงอวี่ เจ้านั่งลงก่อน” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นอย่างวิตกพลางมองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “ท่านแม่ เรื่องนี้เล่าแล้วยาวนัก ไม่สู้รอเจินเจินกลับมาทุกคนอยู่พร้อมกันค่อยพูดดีกว่าหรือ”


เรื่องนี้ให้จวินเจินเจินบอกกับบุตรชายเองถึงจะดีไหมเล่า


“เรื่องนี้เจินเจินทำเพื่อพวกเรา ย่อมต้องเป็นพวกเราพูดให้กระจ่าง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขึ้น “งานให้นางทำเอง ยังให้นางพูดเองอีก อย่างไรก็รู้สึกน่าสงสารเกินไปแล้ว”


แต่บุตรชายของนางน่าสงสารยิ่งกว่านี่


นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางเฉิงอวี่ บุตรชายคนนี้ของนางเห็นชัดๆ ว่านับจวินเจินเจินเป็นภรรยาแล้ว นอกจากนี้ยังรักลึกซึ้งอีกด้วย


บอกว่านี่เป็นเรื่องหลอกกะทันหันตอนนี้ เขาจะรับได้อย่างไรกันเล่า


บุตรชายของนางเคยเสียทุกสิ่งไป วันนี้เพิ่งครอบครองทุกสิ่งใหม่อีกครั้ง กลับจะต้องถูกควักมุมหนึ่งไป แล้วยังเป็นมุมหนึ่งบนหัวใจอีก


มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลก ไม่อาจสมปรารถนาทุกเรื่องได้งั้นหรือ?


เวลาแห่งความดีใจเช่นนี้ ไม่อาจยาวนานขึ้นอีกนิดหรือ?


“หลอกได้อย่างไรเล่า?” ฟางเฉิงอวี่พลันยิ้ม เอ่ยถาม “เรื่องนี้หลอกได้อย่างไรเล่า”


“เฉิงอวี่ นี่เพียงเพื่อปิดหูปิดตาคนรักษาอาการป่วยให้เจ้า” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขึ้น “เจ้าก็รู้นางรักษาอาการป่วยให้เจ้าอย่างไร เรื่องเหล่านั้นมีแต่ให้สามีภรรยาที่แต่งงานกันมาทำเหมาะสมที่สุด”


ฟางเฉิงอวี่มองนางไม่พูดจา


นายหญิงใหญ่ฟางอดไม่ไหวร้องวิงวอนท่านแม่คำหนึ่งอีกครั้ง


ผู้หญิงตระกูลฟางไร้หัวใจ ผู้ชายตระกูลฟางย่อมไม่อาจมากรัก


คือสิ่งใดก็คือสิ่งนั้น อย่าได้เหลือภาพลวงตาไว้ให้แก่ตนเอง


นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเคร่งขรึม


“เจ้าอยู่ด้วยกันกับนางนานขนาดนั้น นอกจากรักษาอาการป่วยให้เจ้า นางเคยทำเรื่องที่สามีภรรยาควรทำกับเจ้ารึ?” นางเอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่สีหน้าอึ้งไป นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าย่ำแย่


นี่ คำพูดนี่พูดได้…


“ท่านแม่ เฉิงอวี่เขาป่วยอยู่นะเจ้าคะ” นางอดไม่ได้หลุดปากออกมา


จะทำเรื่องอย่างนั้นได้อย่างไร


“ถ้าอย่างนั้นมีความรักระหว่างสามีภรรยาไหมเล่า?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถามอีกครั้ง จ้องฟางเฉิงอวี่ “เจ้าเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง มีหรือไม่มี ในใจเจ้าย่อมกระจ่าง”


ฟางเฉิงอวี่เงียบงันไม่พูดจา


นางดีกับเขามาก ดีมาก ดีมากเลย


“มีเรื่องหนึ่งเจ้าไม่เคยเอ่ยถาม พวกเราก็ไม่เคยบอกกล่าว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่หยุดเอ่ยต่อ “ตอนแรกทำไมนางบอกว่าจะรักษาอาการป่วยให้เจ้า เจ้ารู้ไหม?”


“ท่านแม่” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ก้าวเข้าไปข้างหน้าจับแขนเสื้อของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง ส่ายศีรษะวอนขอ


นายหญิงผู้เฒ่าฟางสะบัดมือของนางออก มองเพียงฟางเฉิงอวี่


“เพราะนี่เป็นการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง” นางว่า “รักษาอาการป่วยของเจ้าหายดี นางต้องการค่าตอบแทน”


ค่าตอนแทนรึ


ฟางเฉิงอวี่มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางยังคงไม่พูดจา


นี่โหดร้ายเกินไปแล้วจริงๆ


“ไม่ใช่นะ ท่านแม่ เจินเจินนางไม่ได้ต้องการค่าคอบแทน นางต้องการใช้ชีวิตสุขสบายไปด้วยกันกับพวกเรา” นายหญิงใหญ่ฟางรีบร้อนเอ่ยขึ้น พูดพลางมองฟางเฉิงอวี่


“ถ้าอย่างนั้นตอนเจ้าพูดว่าหากรักษาชีวิตของเฉิงอวี่ไว้ได้จริงๆ ยินดีประเคนทุกสิ่งที่เฉิงอวี่ควรได้รับมอบให้นางประโยคนั้น นางตอบว่าอย่างไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนายหญิงใหญ่ฟาง


“ท่านแม่ นั่นก็เพียงแค่ล้อเล่นตามน้ำเท่านั้น” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น “เพื่อแสดงถึงความแน่วแน่ว่าทุกคนเชื่อมั่นในกันและกัน”


นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนาง


“ล้อเล่น? เจ้าคิดเช่นนี้รึ?” นางขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “แต่ข้ามองว่าเจินเจินนางไม่ได้นับเรื่องนี้เป็นการล้อเล่นนะ”


นายหญิงใหญ่ฟางยังต้องการพูดอะไรอีก ฟางเฉิงอวี่ก็เอ่ยปากขึ้น


“ท่านแม่ ตอนนั้นนางตอบว่าอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม สีหน้าติดจะอยากรู้


นายหญิงใหญ่ฟางมองไปทางเขาส่ายหน้า


“นางบอกว่าตกลง ท่านป้าอย่าได้ลืมสิ่งที่พูดล่ะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางตอบออกมาตรงๆ


ในที่สุดก็พูดออกมาแล้ว นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้ากังวลและเศร้าโศกมองฟางเฉิงอวี่


ความปิติและความจริงใจของเขาที่แท้มอบให้แก่การแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง สำหรับเด็กหนุ่มแรกรุ่นคนนี้คงเป็นการทำร้ายจิตใจใหญ่หลวงสินะ


สีหน้าของฟางเฉิงอวี่เข้าใจขึ้นมาบ้าง


“แบบนี้เอง” เขาเอ่ยขึ้นแล้วก็ยิ้ม “แบบนี้หรือ?”


“เฉิงอวี่ เจ้าไม่ต้องคิดมาก เวลานั้นความสัมพันธ์ของเจินเจินกับตระกูลเราไม่ดีนัก ยามความสัมพันธ์ไม่ดีคำพูดล้วนเย็นชาง่าย” นายหญิงใหญ่ฟางรีบยื่นมือไปพยุงเขารีบร้อนเอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่ยิ้มให้นาง สีหน้าเศร้าสร้อยพรูลมหายใจ


“ที่แท้นางก็เคยวางแผนไว้เช่นนั้นจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น


เคยวางแผนอะไร?


นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมึนงง


“แต่เฉิงอวี่เจ้าอย่าคิดมากเกินไป ที่จริงเรื่องไม่ใช่เช่นนี้…” นายหญิงใหญ่ฟางกำแขนของเขาไว้เอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่พลิกมือกำแขนของนาง เอ่ยขัดคำพูดของนาง


“ท่านแม่ ใช่แล้ว เรื่องไม่ใช่เช่นนี้แล้ว” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “นางไม่ได้คิดเช่นนี้แล้ว”


หมายความว่าอย่างไร?


นายหญิงใหญ่ฟางตะลึงไปอีกครั้ง


ส่วนนายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้ว


“เฉิงอวี่ ลูกผู้ชายโตแล้ว อย่าได้หมกมุ่นกับความรักชายหญิงเหล่านี้” นางว่า “ทำสิ่งใดต้องทำได้ปล่อยวางเป็น เมื่อควรตัดก็ตัด เมื่อควรทิ้งก็…”


คำพูดของนางยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฟางเฉิงอวี่ขัด


“ท่านย่า ใช่แล้ว เรื่องนี้ต้องให้คำอธิบายสักอย่าง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้หลอกได้อย่างไร?”


พูดตั้งนานยังพูดไม่เข้าใจหรือ?


นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วแน่นขึ้น


“เรื่องหลอกก็คือเรื่องหลอก” นางร้อนรนโมโหขึ้นมา “มีทำไมมากมายขนาดนั้นที่ไหน”


“เรื่องหลอกก็กลายเป็นจริงได้เหมือนกัน” นายหญิงใหญ่ฟางอดไม่ได้รีบร้อนเอ่ยขึ้น “เฉิงอวี่ พวกเราพูดกับเจินเจินดีๆ หากนางรู้ใจจริงของเจ้า ละครหลอกลวงนี้ก็กลายเป็นจริงได้เหมือนกัน…”


ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว


“ท่านแม่ ท่านย่า ข้าหมายถึงว่า เรื่องนี้จะหลอกได้อย่างไร” เขาเอ่ยขึ้น “นี่คือการแต่งงาน ไม่ใช่แสร้งป่วย แต่งงานต้องคารวะฟ้าดิน บูชาเทพ คนทั้งเมืองชมพิธีการ”


นี่หลอกได้อย่างไร?


“เรื่องนี้ไม่ใช่พวกเรารู้ว่าหลอกก็คือเรื่องหลอก” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยว่า “เรื่องนี้ต่อให้พวกเรารู้ก็ไม่ยุติธรรมกับพี่สาว”


นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมองเขา


ก็ใช่ เด็กสาวคนหนึ่งคารวะฟ้าดินเข้าห้องหอกับผู้อื่น คนทั้งเมืองล้วนรู้ว่าแต่งงาน ใครสนว่านางทำเพื่อรักษาอาการป่วย ร่วมห้องเป็นสามีภรรยากันจริงหรือไม่ ในสายตาคนทั้งโลกนางก็แต่งงานกับผู้อื่นแล้ว เป็นภรรยาของผู้อื่น


“เฉิงอวี่ ถ้าเช่นนั้นความหมายของเจ้าคือ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม


“ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เพียงต้องให้ข้ารู้ชัดเจน” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น สีหน้ายิ้มแย้ม มีชีวิตชีวา “ยังต้องให้คนทั้งเมืองล้วนรู้ ยังต้องให้ฟ้าดินรู้ด้วย ต้องให้เทพเทวารู้ให้หมด”


เพื่อเขา นางหลอกฟ้าดิน หลอกเทพ หลอกชาวบ้านเต็มเมือง ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องบอกฟ้าดิน บอกเทพ บอกชาวบ้านทั้งเมืองว่านางเป็นคนดีคนหนึ่งอย่างไร แล้วทำคุณงามความดีอย่างไร


นี่ถึงยุติธรรมกับนาง


97 สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ


นายหญิงสามหนิงโบกพัดดังพรึบพรับ


“ยังจะสละชีวิตช่วยโอรสสวรรค์” นางเอ่ยขึ้น “นี่มันอะไรกับอะไรเล่า”


นายหญิงสี่หนิงนั่งขัดสมาธิบนเตียงเตา แม้ไม่ได้โบกพัด แต่กลับสะบัดผ้าเช็ดหน้า


“แต่งเรื่องส่งเดชช่องโหว่มากมาย” นางว่า “ช่างไร้เหตุผลน่าหัวเราะจริงๆ”


นายหญิงใหญ่หนิงที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะเตาสีหน้ายังคงนิ่งสงบ ดวงตาสีหน้ามีความเมตตาหลายส่วน


“ก็กล่าวได้ว่าเป็นเวรกรรมมีจริงคุณพระคุณเจ้าช่วยคนจิตใจดี” นางว่า


“พี่สะใภ้” นายหญิงสามหนิงร้องไม่พอใจ “คนจิตใจดี มีคนจิตใจดีโดยสมบูรณ์อะไรที่ไหน พวกนางดีต่อโอรสสวรรค์ กับพวกเราหาได้มีจิตใจดีอะไร ท่านดูเรื่องที่พวกนางทำสิเรียกว่าอะไร”


“สังหารคนค้นเมือง หวิดจะวางเพลิงอยู่แล้ว” นายหญิงสี่หนิงเอ่ยเสริม “หรือราชโองการของฮ่องเต้เพื่อให้พวกเขาใช้กร่างเช่นนี้หรือ?”


“ไม่ใช่เพื่อหาคนรึ” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เด็กในบ้านหายไป ผู้ใหญ่ยากเลี่ยงร้อนใจ”


“ใช่สิ แค่เด็กอายุสิบห้าคนหนึ่งคืนหนึ่งไม่กลับบ้าน” นายหญิงสี่หนิงเน้นเสียงหนักที่อายุสิบห้าปี “ก็ตีโพยตีพายจนปั่นป่วนทั้งเมือง ค้นเมืองบุกบ้านเหมือนหมาป่าเหมือนเสือ”


“เรื่องเหล่านี้พี่ใหญ่บอกกับพี่รองแล้วไหม? ตระกูลฟางทำเช่นนี้จำเป็นต้องทูลองค์ฮ่องเต้ให้รู้” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น


ตอนที่พวกนางพูดถึงตรงนี้ นายท่านใหญ่ก็เข้ามา หลังร่างหนิงอวิ๋นเยี่ยนก็ตามมาด้วย


หลายเดือนไม่ออกจากบ้าน อยู่ในเรือนทำงานเย็บปักถักร้อยจัดการธุระในบ้าน ทั้งร่างของนางดูแล้วอิ่มเอิบขึ้นมาก


แล้วก็ดูแล้วเบื่อหน่ายนิ่งเฉยไร้ชีวิตชีวาอยู่บ้าง


หลังเข้าประตูก็คำนับมารดากับท่านน้าทั้งสอง สักคำก็ไม่พูดยืนอยู่ด้านข้าง


“เรื่องนี่จะให้น้องรองพูดได้อย่างไร” นายท่านใหญ่หนิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้น้องรองพูด พวกองครักษ์เสื้อแพรเมืองไท่หยวนย่อมรายงาน”


“ถ้าอย่างนั้นผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทำไมเบื้องบนเบื้องล่างความเคลื่อนไหวสักนิดก็ไม่มี?” นายหญิงสี่หนิงเอ่ยขึ้น “พวกองครักษ์เสื้อแพรครั้งนี้ทำไมเชื่องราวกับแมวเล่า?”


“นั่นแน่นอนเพราะองค์ฮ่องเต้ใต้ฝ่าพระบาทไม่ให้เคลื่อนไหว” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “นี่ยังต้องพูดรึ”


นี่แน่นอนว่าไม่ต้องพูด พวกผู้หญิงตระกูลหนิงก็ไม่ได้โง่เดาไม่ออก แต่ยืนยันความจริงเรื่องนี้ก็ยังกรุ่นโกรธไม่คลาย


“ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น สะบัดพัดแค้นนัก


“พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปเยาะหยันตระกูลฟางแต่งเรื่องนี้ส่งเดชได้น่าขำ” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น นั่งลงบนเก้าอี้


หนิงอวิ๋นเยี่ยนรินชายกเข้ามาทันที


นายท่านใหญ่หนิงรับมาดื่มคำหนึ่ง


“เรื่องนี้ให้ชาวบ้านฟัง ย่อมเหมาะกับรสนิยมของพวกเขา ประหลาดพิสดาร” เขาเอ่ย มองนายหญิงใหญ่หนิง “กงเกวียนกำเกวียน ทำดีได้ดี มีเทพ มีพระพุทธองค์ มีโอรสสวรรค์ มีอันตราย มีคลี่คลายอันตรายเป็นปลอดภัย มีการทำไม่คาดหวัง มีได้ผลตอบแทนไม่คาดฝัน พลิกผันเหนือคาดถึงดึงดูดคน เรื่องนี้ถึงแพร่ออกไปได้ ส่วนช่องโหว่ไร้เหตุผล ชาวบ้านไม่สนใจหรอก”


“ถ้าอย่างนั้นบรรดานายท่านขุนนางก็ไม่สนใจหรือ?” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น


นายท่านใหญ่หนิงยิ้มแล้ว


“นายท่านขุนนางย่อมสนใจ” เขาว่า “พวกเขาจำต้องสนใจเพียงราชโองการนี้เป็นจริงหรือไม่ก็เพียงพอแล้ว ส่วนราชโองการได้มาอย่างไร ส่วนตัวถามได้ถกได้ แต่จะยังยกข้อสงสัยออกมาอีกหรือ? นั่นเป็นเรื่องตั้งสมัยอดีตฮ่องเต้”


เขาดื่มชาคำหนึ่งอีกครั้ง


“ฝ่าบาทย่อมเป็นบุตรกตัญญู” เขาเอ่ยขึ้นทอดความนัยลึกซึ้ง


องค์ฮ่องเต้ตอนแรกที่ขึ้นครองราชย์ก็เพราะเผชิญวิกฤติได้รับคำสั่ง ชั่วขณะมีคำตำหนิมากมาย ได้ยินว่าถูกบีบบังคับด้วยความกตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้ถึงตกลง ไม่เช่นนั้นเวลานั้นคงฆ่าตัวตายแสดงเจตนารมณ์ไปแล้ว


ในเมื่อตระกูลฟางบอกว่านี่เป็นราชโองการที่อดีตองค์ฮ่องแต่ประทานให้ ฮ่องเต้จะสงสัยได้อย่างไร


อีกอย่างก็ผ่านการพิสูจน์แล้ว เป็นลายพระหัตถ์และตราพระราชลัญจกรหยกของอดีตฮ่องเต้จริงๆ ทั้งยังจดบันทึกไว้อีก


นายหญิงสามหนิงกับนายหญิงสี่หนิงสบตากันทีหนึ่ง ไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ทำอันใดไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้นตระกูลฟางแห่งนี้ก็ไม่มีใครหาเรื่องได้จริงๆ แล้ว…” พวกนางเอ่ยขึ้น


“หาเรื่องได้หรือไม่ได้ย่อมไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น แต่อยู่ที่ตัวพวกเขาเอง” นายท่านใหญ่หนิงลูบเคราเอ่ยขึ้น “กระทำไร้คุณธรรมมากย่อมฝังตนเอง”


“เขตหยางเฉิงปรากฏของสิ่งนี้ได้อย่างไร” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น กรุ่นโกรธยิ่งนัก


ที่สำคัญที่สุดก็คือของสิ่งนี้ยังมีความเกี่ยวโยงกับพวกเขาตระกูลหนิงอยู่บ้าง


“ช่างเขาสิ หากเขามาค้นตระกูลของพวกเรา ข้าจะเปิดประตูให้พวกเขาค้น อยากค้นอย่างไรก็ค้นอย่างนั้น” นายท่านใหญ่หนิงหัวเราะเอยขึ้น “ยึดทรัพย์ตระกูลของพวกเราก็ได้”


พูดพลางเขาก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังขึ้นมา


“คนที่ถือราชโองการกับคนที่เขียนราชโองการ ย่อมไม่เหมือนกัน อย่าได้เสียความเหมาะควรลืมหน้าที่”


เรื่องเก่าราชวงศ์ก่อนๆ ขุนนางชั้นสูงผู้ทำคุณงามความชอบมากเท่าไร ถือป้ายทองอาญาสิทธิ์ ที่สุดกระทำการเหิมเกริมมีสักกี่คนหนีพ้นความตาย


ตระกูลฟางถือราชโองการแก้แค้นล้างความอยุติธรรมเคลื่อนทหารม้าขุนนาง หรือค้นเมืองหนึ่งตามหาคนผู้หนึ่ง แม้กำแหงแต่ก็ทนรับได้อยู่ แต่เรื่องเช่นนี้หนึ่งได้สองได้ไม่อาจมีสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถือราชโองการก่อเรื่องข้องเกี่ยวกับราชสำนัก ถ้าอย่างนั้นคนที่ออกมาพูดและตั้งคำถามย่อมไม่ใช่แค่เหล่าชาวบ้านแล้ว


นายหญิงใหญ่หนิง นายหญิงสามหนิง นายหญิงสี่หนิงบนหน้าเผยรอยยิ้ม


“แต่ หากพวกเขาไม่ใช่ต้องการค้นตระกูลของพวกเรา แต่ถือราชโองการบีบพวกเราให้ยอมรับสัญญาแต่งงานของตระกูลจวินเล่า?” หนิงอวิ๋นเยี่ยนที่เงียบไม่พูดขึ้นมาตลอดทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น


เสียงหัวเราะในห้องพลันสลายไป สี่คนสีหน้าเคร่งขรึม


พูดให้ถึงที่สุดแล้วพวกนางทำไมสนใจเรื่องที่ตระกูลฟางมีราชโองการเรื่องนี้เช่นนี้ ที่สนใจเช่นนี้ยังไม่ใช่เพราะความขัดแย้งในอดีตครั้งนั้นรึ


ความขัดแย้งนั่นเดิมทีเพราะยศศักดิ์ฐานะไม่เท่ากัน พวกนางเดิมควรครองความได้เปรียบ


แต่ครั้งหนึ่งสองครั้งดันล้วนเสียท่าพูดไม่ออก หาเรื่องไม่ได้หลบหลีกไป ถอยก้าวหนึ่งทะเลไพศาลท้องนภากว้างใหญ่พวกเราเดินดูท่ากันไปชั่วคราว


ผลปรากฏว่านี่ยังไม่ทันเดินสักกี่ก้าว ยังไม่ทันวางแผนยาวนาน ตระกูลฟางก็ถือราชโองการออกมาอีก


ผู้ที่เปิดร้านแลกเงินคนหนึ่งกลับได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับผู้ที่ทำคุณงามความชอบก่อตั้งประเทศ


นี่ทำให้คนหดหู่จริงๆ


นายท่านใหญ่หนิงลูบเครา ร้องเอ๋ขึ้นมา


“เจ้าว่าตอนแรกที่ท่านพ่อสัญญาแต่งงานกับตระกูลจวิน ใช่เพราะรู้ว่าตระกูลฟางมีราชโองการ ความเป็นมาไม่ธรรมดาหรือไม่?” เขาพลันเอ่ยขึ้น


นายหญิงใหญ่หนิงเอามือตบบนโต๊ะดังปัง


การกระทำนี้ทำให้คนในห้องสะดุ้งโหยงอีกครั้ง


นายหญิงใหญ่หนิงน้อยนักจะบันดาลโทสะเสียกิริยาเข่นนี้


“ท่าน ท่านคิดถึงท่านพ่อเช่นนี้ได้อย่างไร?” นายหญิงใหญ่หนิงโกรธเอ่ยขึ้น “ท่านมองท่านพ่อเป็นคนอย่างไรแล้ว”


ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้


บรรยากาศในห้องคลายลง นายท่านใหญ่หนิงยิ้มเขินอายบ้างแล้ว


พูดถึงนายท่านผู้เฒ่าหนิงเช่นนี้ไม่เคารพจริงๆ เขากระแอมทีหนึ่งแก้อาย


“เรื่องนี้เยี่ยนเยี่ยนไม่ต้องกังวลใจ” เขามองหนิงอวิ๋นเยี่ยนเอ่ยขึ้น “ราชโองการของตระกูลฟาง ก็มีเพียงนายหญิงผู้เฒ่าฟางคนเดียวที่รู้ ตอนแรกคุณหนูจวินคนนั้นก็ไม่รู้ ตอนแรกคุณหนูจวินคนนั้นโวยวายเช่นนั้น นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ไม่ได้หยิบสิ่งนี้ออกมาใช้บีบบังคับ ตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีทาง”


“ใช่แล้ว ตอนนี้คุณหนูจวินคนนี้เป็นสะใภ้ตระกูลฟางแล้ว” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น ส่ายพัดสีหน้ารังเกียจ “หากนายน้อยตระกูลฟางคนนั้นตายก็เป็นแม่ม่าย ถือราชโองการมาบีบให้นางได้แต่งงานใหม่มายังตระกูลของพวกเราจะว่าไปก็เป็นเรื่องหน้าไม่อายที่นางทำออกมาได้ แต่นายน้อยตระกูลฟางตอนนี้หายป่วยแล้วไม่ตายแล้ว หรือว่าจะถือราชโองการมาสวมหมวกเขียว[1]ให้ตนเองรึ?”


“พูดส่งเดชอะไรเล่า” นายหญิงใหญ่หนิงถลึงตามองนางตำหนิทีหนึ่งเอ่ยขึ้น “ต่อหน้าเด็กนะ”


นายหญิงสามหนิงมองหนิงอวิ๋นเยี่ยน


“เยี่ยนเยี่ยน ดังนั้นถึงบอกว่าไม่ให้เจ้าออกจากบ้าน ถูกคุณหนูจวินคนนั้นเกาะติด สกปรกตัวเจ้าเอง” นางเอ่ยขึ้น


หนิวอวิ๋นเยี่ยนยิ้มเอ่ยขอบคุณ


“ข้าทราบน้าสะใภ้” นางเอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง แล้วตบหน้าอก ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความโล่งใจ “ยังดี พี่ชายหนีพ้นภัยไปได้ ก็บอกแล้ว พี่ชายคนดีเช่นนี้ไม่มีทางโชคร้ายเช่นนี้ได้”


“พูดถึงตรงนี้ ไม่ได้เขียนจดหมายให้อวิ๋นเจานานแล้วสินะ?” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “เจ้าเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถามเขาดูสิ พักนี้อยู่ดีหรือไม่”


“ก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ท่านยังต้องเป็นห่วงเช่นนี้” นายหญิงใหญ่หนิงหัวเราะเอ่ยขึ้นพลางมองหนิงอวิ๋นเยี่ยน “เจ้าเขียนจดหมายสักฉบับให้พี่ชายของเจ้าเถอะ”


หนิงอวิ๋นเยี่ยนขานรับ


พูดถึงคนและเรื่องที่ตระกูลของตนเองควรค่าหยิ่งทะนง บรรยากาศในห้องก็เบิกบานขึ้นมา ตอนนี้เองด้านนอกประตูเสียงฝีเท้ารีบร้อนก็ลอยมา มีหญิงรับใช้คนหนึ่งเลิกม่านขึ้นสีหน้าตระหนกเดินเข้ามา


“นายหญิง นายหญิง เรื่องของตระกูลฟางเริ่มพูดกันอีกแล้ว” นางรีบร้อนเอ่ยขึ้น


เรื่องของตระกูลฟางไม่ใช่พูดอยู่ตลอดหรือ? มีอะไรน่าตกใจ


“น่ารำคาญ” นายหญิงสี่หนิงเอยขึ้นไม่สบอารมณ์ “ฟังจนหูหนอนจะขึ้นแล้ว”


“ไม่ใช่ ครั้งนี้ไม่ได้พูดเรื่องราชโองการของตระกูลฟางแล้ว” หญิงรับใช้รีบพูด “แต่พูดเรื่องของนายหญิงน้อยฟาง”


นายหญิงน้อยฟาง?


คำพูดนี้ทำให้คนในห้องสีหน้าอึ้ง


จวินเจินเจิน? เรื่องของนางมีอะไรให้เล่า?



เสียงป้าบดังกังวาน ในโรงน้ำชาซึ่งผู้คนเต็มแน่นเงียบเสียงลง สายตาทั้งหมดมองไปบนเวทีสูง


นักเล่านิทานบนเวทีสูงเปิดพัด


“วันนี้เล่าเรื่องตระกูลฟางเจ้าเก่า เรื่องใหม่เกี่ยวกับคนผู้ชาญฉลาด”


……………………………………….


98

“เรื่องเล่ายามว่างโบร่ำโบราณตราบจนวันนี้ มีผู้ชายเก่งกล้ามากมาย เผชิญอันตรายมักมีอุบายฉลาดเฉลียว แต่ไม่เพียงผู้ชาย ผู้หญิงก็มีอุบายชาญฉลาดเช่นกัน”


“ถีอิ๋งช่วยบิดา[1]โบราณจนวันนี้ล้วนหายาก ถืออาวุธออกรบแทนบิดายิ่งแปลก หญิงสาวไม่ธรรมดาผู้นี้ที่จะเล่าวันนี้ ก็คือนายหญิงน้อยของตระกูลฟางนี้ บุตรสาวของขุนนางใจซื่อมือสะอาดจวินอิ้งเหวิน คุณหนูจวิน”


ในโรงน้ำชาคนนั่งอยู่เต็ม ทานอาหารบนโต๊ะไปพลาง มองบนเวทีไปพลาง พนักงานร้านหิ้วกาน้ำชาเดินตัดระหว่างกลาง เพราะเป็นนิทานเรื่องใหม่ พวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นฟังเป็นพักๆ


คุณหนูจวิน สำหรับชาวบ้านหยางเฉิงแล้วไม่แปลกหน้า เป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ


ตั้งแต่มาถึงหยางเฉิง คุณหนูจวินคนนี้ก็เพิ่มความสนุกและหัวข้อสนทนานับไม่ถ้วนให้แก่ชีวิตของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกี่ยวข้องกับนางก็เป็นคนที่ชาวบ้านหยางเฉิงคุ้นเคยและสนุกที่ได้พูดถึงที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน


“…ในที่สุดวันที่สิบห้าเดือนแปดในเทศกาลโคมไฟคุณหนูจวินก็ได้พบคุณชายสิบหนิง เวลานั้นตกตะลึงนึกว่าเป็นชาวสวรรค์จริงแท้ ตั้งแต่นั้นยิ่งคะนึงหาจนว้าวุ่น ยามนั้นจึงเขียนบทกวีนับไม่ถ้วน…”


นักเล่านิทานสะบัดพัดหุบ ทำท่าหญิงสาวครุ่นคิดเขินอาย ยกพู่กันเขียนบทกวี


“ตะวันออกโคมหนึ่งดวง ตะวันตกโคมหนึ่งดวง แค้นใจนักไม่อาจเป็นโคมแสงจันทร์ ส่องจับดวงหน้าคนงาม”


ในโรงน้ำชาประสานเสียงหัวเราะครืนหนึ่ง



เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่ง นายหญิงใหญ่หนิงตบโต๊ะอีกครั้ง


หญิงรับใช้ที่เล่าอยู่เงียบไป


นายหญิงสามหนิงและนายหญิงสี่หนิงก็หยุดยิ้มเช่นกัน


“เรื่องน่ารังเกียจอะไรกัน ยังเอามาให้คนเล่าเช่นนี้ นางไม่รังเกียจขายหน้า อวิ๋นเจายังขายหน้าอยู่นะ” นายหญิงใหญ่หนิงสีหน้าเย็นชาเอ่ยขึ้น


นายหญิงสามหนิงกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง


“จริงๆ เลย ตระกูลฟางเพื่อหันเหความสนใจถึงกับหยิบเอาเรื่องเช่นนี้มาพูด นี่เป็นลูกสะใภ้ตระกูลพวกนางเชียวนะ ขายหน้าคนหรือไม่” นางเอ่ยเหยียดหยาม


“พูดเรื่องตระกูลพวกนาง พูดอย่างไรก็ได้ ลากมาเกี่ยวกับคนอื่นทำอะไร” นายหญิงสี่หนิงก็เอ่ยขึ้นอย่างโมโหเช่นกัน


“นายท่าน พวกนางหากเป็นเช่นนี้ต่อไปโยงมาถึงอวิ๋นเจาของพวกเรา ไม่ได้นะเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น มองนายท่านใหญ่หนิง


นายท่านใหญ่หนิงกลับสีหน้าดั่งเดิม ยกมือให้สัญญาณหญิงรับใช้คนนั้น


“เล่าต่อ ตระกูลฟางยังจะลากเรื่องหญิงไม่ธรรมดาคนนี้ไปอย่างไร ข้ากลับอยากลองฟัง” เขาพูด


หญิงรับใช้รับคำ มองไปทางนายหญิงใหญ่หนิงอย่างขลาดๆ ทีหนึ่ง นายหญิงใหญ่หนิงหลับตาสงบใจไม่สนใจ หญิงรับใช้ตอนนี้ถึงเอ่ยปากต่อ


เรื่องเหลวไหลของคุณหนูจวินก่อนหน้านี้ไม่ได้แปลกประหลาด เป็นตอนที่โวยวายเพราะสัญญาหมั้นจนฮือฮา ผูกคอบ้าง ไปจวนขุนนางโวยบ้างเหล่านั้น


เรื่องเหล่านี้ผ่านการพรรณนาของนักเล่านิทานยิ่งเกินจริง ทำให้ในโรงน้ำชาหัวเราะครืน


“เอ๋ เอ๋ ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องสิ” มีคนหัวเราะไปหัวเราะไปก็คิดขึ้นมาได้ ตบสหายที่อยู่ข้างตัว “นี่ นี่เอาเรื่องของนายหญิงน้อยตระกูลฟางมาเป็นเรื่องสนุก ตระกูลฟางตอนนี้มีราชโองการเชียวนะ นี่จะได้อย่างไร!”


พวกพ้องก็คิดขึ้นมาได้ด้วย


“ใช่สิ นี่เกินไปหน่อยแล้ว” เขาเอ่ยสีหน้าหวาดผวาอยู่บ้าง “ตระกูลฟางแม้กระทั่งนายอำเภอบอกจะฆ่าก็ฆ่าเชียวนะ พวกเราอย่าเป็นปลาติดหลังแหเลย”


ความคิดแล่นผ่าน ด้านในโถงใหญ่เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เงียบลง ในโถงใหญ่มีเพียงเสียงสูงกังวานของนักเล่านิทานก้องไปมา แลดูประหลาดอยู่บ้าง


ภาพนี้คุ้นตาอยู่นิดๆ


ไม่นานก่อนหน้านี้ตอนที่คุณหนูจวินคนนั้นยังเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ตระกูลฟางที่หยางเฉิงก็เป็นเพียงพ่อค้าที่ร่ำรวยตระกูลหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มอำนาจที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุดในหยางเฉิงเพื่อแสดงความยินดีให้กับลู่อวิ๋นฉีที่พึ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาที่เมืองหลวง บีบนักเล่านิทานกลุ่มหนึ่งให้ประกาศเรื่องงานแต่งงานของลู่อวิ๋นฉีกับองค์หญิงจิ่วหลีในเหลาสุราและโรงน้ำชา ต้องการให้คนทั้งหมดร่วมฉลองร่วมยินดี ผู้ที่กล้าไม่ยินดีไม่อวยพร ให้หลังจะพบกับโชคร้ายไร้สาเหตุไปตามระเบียบ


ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ ดูท่าคงต้องการให้ทุกคนร่วมฉลองร่วมยินดีที่นายหญิงน้อยตระกูลฟางผ่านพ้นอดีตมาได้


อดีตที่ผ่านมาของนายหญิงน้อยตระกูลฟางหาใช่เรื่องน่าเชิดชูอะไร


เรื่องในอดีตที่น่าขันของเด็กสาวเหลวไหลคนหนึ่งถูกคนนำมาเล่า นี่ย่อมไม่ใช่การกระทำเจตนาดีอะไร


ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นความตั้งใจของตระกูลฟางหรือว่าองครักษ์เสื้อแพร?


พวกเขาที่แท้ควรร่วมขำหรือว่าร่วมเห็นใจ? นี่เป็นปัญหาประการหนึ่งจริงๆ



“ถ้าหากเป็นเจตนาขององครักษ์เสื้อแพร ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเบื้องบนก็ไม่พอใจกับการกระทำของตระกูลฟาง” นายท่านใหญ่หนิงเคาะผิวโต๊ะเอ่ยขึ้นช้าๆ


หญิงรับใช้ที่เล่าอยู่หยุดไปอีกครั้ง ยืนนิ่งสงบอยู่ในห้อง ตั้งใจฟังคำพูดของนายท่านใหญ่หนิง


นายหญิงใหญ่หนิง นายหญิงสามหนิงและนายหญิงสี่หนิง เผยสีหน้ายินดีอยู่บ้างออกมา


“แต่น้องรองฝั่งนั้นไม่ได้บอกมาเช่นนี้” นายท่านใหญ่หนิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นอีก


“องครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านั้นกระทำการ เดิมทีก็มองหน้าผู้คนไม่ได้ น้องรองไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น


นายท่านใหญ่หนิงไม่ได้เอ่ยต่อ เงียบไปครู่หนึ่ง


“หากไม่ใช่เจตนาขององครักษ์เสื้อแพร ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเจตนาของตระกูลฟาง” เขาว่า “ตระกูลฟาง…”


เขาเคาะผิวโต๊ะ


“ตระกูลฟางไม่ต้องการนายหญิงน้อยคนนี้แล้วสินะ”


หนิวอวิ๋นเยี่ยนที่ว่านอนสอนง่ายยืนอยู่ราวกับไม่อยู่ตรงด้านข้างมาตลอด ดวงตาพลันสว่างวาบขึ้นมา


จวินเจินเจินที่ต่ำช้าน่าชังคนนั้น ในที่สุดก็จะถูกตระกูลฟางเตะออกจากประตูเหมือนกับทิ้งผ้าขี้ริ้วใช้แล้วแล้วรึ?



“สุดท้ายคุณหนูจวินผู้นี้โวยวายไม่เลิกรา เชือกเส้นหนึ่งแขวนคอตายในโรงเตี๊ยม โชคดีผู้คนค้นพบทันเวลาจึงช่วยชีวิตไว้ได้”


“นายหญิงผู้เฒ่าฟางเร่งมากอดคุณหนูจวินร้องไห้ยกใหญ่ ข้าเสียสามีทั้งเสียลูกเสียลูกสาว เหลือเพียงเจ้ากับเฉิงอวี่สายเลือดสองคน เฉิงอวี่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ เจ้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่”


“พอเถิด พอเถิด ชะตาไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟ้าขึ้นอยู่กับคน ข้ายอมรับโชคชะตาคนผมขาวต้องส่งคนผมดำนี้แล้ว เจ้าอยากตายก็ไปตายเถอะ ยามเป็นเจ้าไม่อาจเข้าประตูตระกูลหนิง ตายไปข้าจะส่งเจ้าเข้าสุสานตระกูลหนิง”


นักเล่านิทานยืนอยู่บนเวทีสูงทุบอกระทืบเท้าราวกับหญิงเฒ่า พร่ำบอกความในใจต่อสวรรค์ อับจนหนทางทั้งยังโศกสลด


แม้คนด่านล่างเวทีเงียบสนิทอารมณ์เคร่งเครียด แต่ก็อดไม่ได้โศกเศร้าเสียใจตามเขาอยู่บ้าง


คนผมขาวส่งคนผมดำเป็นเรื่องสลดที่สุดในโลกจริงๆ และอยากมีชีวิตแต่มีชีวิตไม่ได้ มีชีวิตได้แต่ไม่อยากมีชีวิตแล้วก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในโลกเช่นกัน


โศกเศร้าและเจ็บปวดนายหญิงผู้เฒ่าฟางล้วนพานพบ เป็นความโชคร้ายที่ไม่อาจพูดอะไรได้แล้ว


แต่เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกโศกเศร้าเจ็บปวดนี้ หลายครั้งก็เป็นเพียงความรู้สึกของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ตัวอย่างเช่นสำหรับนายหญิงใหญ่หนิงแล้ว ไม่เพียงไม่โศกเศร้าเจ็บปวดสักนิด ตรงกันข้ามมีเพียงความโกรธแค้น


“อะไรเรียกว่าตายแล้วส่งเข้าสุสานตระกูลหนิงของข้า?” นางเลิกคิ้วเอ่ยอย่างโมโห “ตระกูลหนิงของข้าผลัดถึงตานางตัดสินใจเมื่อไร?”


“ก็ไม่แน่ว่าจะทำไม่ได้นะ” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “ตระกูลฟางมีราชโองการนี่”


ถือราชโองการยึดทรัพย์บ้านของตระกูลหนิงของพวกเขาทำไม่ได้ แต่ถือราชโองการบีบพวกเขาตระกูลหนิงให้ยอมรับสัญญาหมั้นฉบับนั้นไม่ใช่เรื่องทำไม่ได้อะไร


อย่างไรสัญญาหมั้นก็เป็นจริง


นายหญิงใหญ่หนิงจนคำพูด ถือพัดออกแรงสะบัด


“ยังมีอีกไหม? ยังเล่าอะไรอีก?” นางมองหญิงรับใช้เอ่ยขึ้น น้ำเสียงที่อ่อนโยนมาตลอดกลายเป็นร้อนรนอยู่บ้าง


“ต่อมาก็เป็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางร้องไห้ตำหนิยกหนึ่ง คุณหนูจวินที่กลับมาจากยมโลกได้ยินพลันสำนึก คิดถึงบิดามารดาตายไปทั้งคู่ คิดถึงท่านยายครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ดังนั้นทิ้งความยึดติด ไม่ตอแยตระกูลหนิงอีก” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น “หลังจากนั้นก็ตัดสินใจแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องฟางเฉิงอวี่ ครอบครัวยิ่งแน่นแฟ้น ทำความปรารถนาในใจของท่านยายและท่านป้าให้เป็นจริง แล้วยังเพื่อเสริมมงคลให้น้องชาย”


“หลังจากนั้นเล่า?” นายหญิงสี่หนิงยิ้มหยันเอ่ยขึ้น “เรียกได้ว่าทำดีได้ดี สวรรค์ลืมตา ตระกูลฟางตั้งแต่นี้พ้นจุดต่ำสุดพลิกฟื้น แค้นใหญ่หลวงได้ชำระ นายน้อยฟางร่างกายป่วยรักษาหายดี นี่ล้วนเป็นคุณงามความดีของการเสริมมงคลของคุณหนูจวินหรือ?”


“พูดมาตั้งนานก็ยังประกาศว่าตระกูลฟางของพวกเขาสวรรค์ช่วยเหลือมากมาย คุณงามความดีมากมายนับไม่ถ้วนโชคดีไม่ขาด” นายหญิงสามหนิงก็หัวเราะเยาะเอ่ยขึ้นมาด้วย “ใยต้องเปลืองแรงขนาดนี้ เอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งออกมา ให้ภิกษุเนี่ยนจื้อบอกไปเลยสิว่าตระกูลฟางของพวกนางเทพเทวาคุ้มครองเป็นดาราสวรรค์กลับชาติมาเกิด ไม่ใช่คนจะเชื่อมากขึ้นรึ”


“ไร้สาระจริงๆ” นายหญิงใหญ่หนิงสะบัดพัดหัวเราะเอ่ยขึ้น “ข้าว่าตระกูลฟางเสียสติไปแล้ว”


……………………………………….


[1] ถีอิ๋งช่วยบิดา (缇萦救父) เรื่องเล่าหนึ่งในสื่อจี้ เล่าว่าบิดาของถีอิ๋งถูกตัดสินโทษข้อหารับสินบน ต้องถูกลงโทษตัดแขนขา ถีอิ๋งจึงยื่นหนังสือต่องค์ฮ่องเต้ขอเอาตัวเองเป็นสาวใช้ไถ่โทษแทนบิดา กล่าวถึงความทุกข์โศกและข้อเสียของการลงโทษตัดแขนขา จนองค์ฮ่องเต้ยกเลิกการลงโทษเช่นนี้ในที่สุด


 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 99

 

บทที่ 99 เรื่องนี้ต้องการอะไร

โดย

Ink Stone_Romance

ไร้สาระไม่ไร้สาระ เสียสติไม่เสียสติ ก็แค่เรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่งเท่านั้น


นักเล่านิทานหุบพัด เสียงใสกังวาน


“นี่เรียกได้ว่าดีชั่วสุดท้ายย่อมคืนสนอง ทำดีอย่างไรก็ครอบครัวพร้อมหน้า” เขาเอ่ยเสียงกังวาน “คุณหนูจวินผู้นี้ในที่สุดก็สำนึกเดินทางถูก ได้สามีดีครอบครัวดี”


ผู้คนที่ฟังในโรงน้ำชาก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงท่าทีดีใจหรือโศกเศร้า สีหน้านิ่งสนิทมองนักเล่านิทานบนเวที ในใจหวนคิดถึงการจัดการขององครักษ์เสื้อแพรครั้งนั้นอยู่นิดหน่อย จำได้ว่าครั้งนั้นยังจงใจมีแม่นางน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นยืนเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นเองกระตุ้นบรรยากาศ ทำให้ทุกคนรู้ด้วยว่าควรตอบสนองอย่างไร


ครั้งนี้ทำไมไม่จัดการให้รอบคอบหน่อยเล่า? ต่อไปต้องมีปฏิกิริยาอย่างไรถึงจะถูก?


เสียงปังดังกังวานขึ้นทำผู้คนตกใจสะดุ้งโหยงที่แท้เป็นนักเล่านิทานคนนั้นตบพัดที่หุบไปลงบนโต๊ะ


“แต่ผู้กล้าตลอดมามีมากมาย เพียงเว่ยเหนียง[1]ความสามารถโดดเด่น ทำดีได้โชคตอบแทนเช่นนี้ใครๆ ก็ทำได้ ยังนับเป็นหญิงไม่ธรรมดาอะไรได้” เขาเอ่ยขึ้น “หากจะเล่าว่าคุณหนูจวินเป็นหญิงไม่ธรรมดาอย่างไร ต้องเล่าย้อนไปก่อนหน้ายิ่งกว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นคลั่งรักคุณชายตระกูลหนิง หรือวิปลาสหยาบคายไร้มารยาท จนถึงขั้นท้ายที่สุดแต่งงานกับคุณชายฟาง เดิมล้วนเป็นแผนการที่คุณหนูจวินวางไว้ก่อนแล้ว”


นี่หมายความว่าอะไร?


คนในโรงน้ำชาอึ้งไปอีกครั้ง


“นี่ต้องเล่าจากความเป็นมาของคุณหนูจวิน”


“พวกเจ้าคงรู้ว่าคุณหนูจวินผู้นี้เป็นใคร?”


“พวกเจ้ารู้เพียงนางเป็นหลานสาวของตระกูลฟาง บิดาของนางคือขุนนางมือสะอาดผู้จงรักภักดีอุทิศตนจนตัวตายเพื่อชาติเพื่อประชา แต่ควรรู้ว่าตระกูลจวินของนางรุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นหมอ สืบทอดนับร้อยปี ท่านปู่ของนางจวินเฝิงชุน ก็เป็นหมอมีชื่อแห่งหรู่หนาน”


“นางก็คือจวินจิ่วหลิงหมอเทวดาแห่งหรู่หนานผู้สืบทอดมรดกวิชาสานต่อกิจการของตระกูลตนตัวจริงผู้ซ่อนตัวอยู่ในห้องหอ”


คนในโรงน้ำชาตาโตอ้าปากค้าง


หมอเทวดา?


หมอเทวดา!



คนหลายคนในห้องตระกูลหนิงสีหน้าอึ้งเช่นกัน มองหญิงรับใช้บรรยายเนื้อหาที่นักเล่านิทานเล่าไว้


“เรื่องเหลวไหลไร้สาระอะไรกัน!” นายหญิงสามหนิงได้สติกลับมาก่อน “นี่แต่งได้หลุดโลกเกินไปแล้ว”


“ยังจะหมอเทวดาอะไร ไม่สู้บอกว่านางเป็นเทพเซียนเสียเลยเล่า” นายหญิงสี่หนิงก็หลุดหัวเราะออกมาด้วย “หมอเทวดาทุกวันนี้ใครบอกว่าตนเองเป็นก็เป็นได้หรือ?”


นายหญิงใหญ่หนิงไม่พูดอะไร มุมปากยิ้มบางเหยียดหยาม


“หลังจากนั้นเล่า?” นายท่านใหญ่หนิงกลับเหมือนจะสนใจมาก “ดังนั้นอย่างไร? บิดามารดาของนางทำไมตายเสียล่ะ?”


สิ้นเสียงของเขา นายหญิงสามหนิงกับนายหญิงสี่หนิงในห้องก็หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา รอยยิ้มมุมปากของนายหญิงใหญ่หนิงก็ยิ่งกว้างขึ้นเช่นกัน


“อย่าพูดเช่นนี้สิ ชีวิตคนล้วนถูกลิขิตไว้ ไม่ใช่บอกว่าเป็นหมอเทวดาก็เปลี่ยนแปลงได้” นางเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนเสียงเบา


เสียงหัวเราะในห้องยังคงไม่หยุด


“เล่าต่อ” นายท่านใหญ่หนิงสะบัดมือเอ่ยขึ้น



“คุณหนูจวินผู้นั้นปรารถนาช่วยบิดาทว่าไร้กำลังฝืนสวรรค์ เจ็บปวดไม่คลาย นับจากนั้นยิ่งทุ่มเทศึกษาวิชาแพทย์ เดิมต้องการกลับหรู่หนาน แต่ในตอนนี้เองท่านยายตระกูลฟางก็เดินทางมารับ”


“คุณหนูจวินต้องการสืบสานกิจการของตระกูลกลับหรู่หนานเปิดโรงหมอจิ่วหลิงขึ้นใหม่ เดิมปฏิเสธเจตนาดีของตระกูลฝั่งมารดา แต่เมื่อได้ฟังผู้มาเยือนรำพันถึงความโศกเศร้านานาของตระกูลฟาง ทั้งได้ยินว่าท่านตา ท่านลุงล้วนถูกคนทำร้าย และน้องชายก็หาใช่เป็นโรคที่รักษาไม่หายทว่าต้องพิษ ชีวิตไม่ยืนแล้ว”


“คุณหนูจวินรับรู้ถึงความทุกข์ของครอบครัว ทั้งรู้ว่าตระกูลฟางวิกฤติหนักหนา จึงตัดสินใจช่วยรักษาน้องชาย ช่วยเหลือตระกูลฟางให้พ้นวิกฤติ ตอนนี้จึงวางกลอุบายอย่างหนึ่งขึ้น”


“ตั้งแต่ตอนนั้นก็มาถึงหยางเฉิง ก่อนอื่นขัดแย้งโวยวายเรื่องแต่งงานกับตระกูลหนิงจนทุกคนล้วนรู้ ต่อมาจึงไหลตามน้ำแต่งงานกับน้องชายเหมือนดั่งตระกูลฟางและนางสิ้นไร้หนทางทำอันใดไม่ได้ เรียกได้ว่าไม่มีใครคิดสงสัย ศัตรูก็กระหยิ่มยิ้มย่องไม่คิดสนใจ”


“คุณหนูจวินอาศัยฐานะสามีภรรยา ปิดหูปิดตาคนแก้พิษรักษาอาการป่วยให้นายน้อยฟาง นี่ก็คือเรื่องต่างๆนานาที่ท่านและข้าได้เห็น ความน่าขันต่างๆ นานาล้วนเป็นละครฉากหนึ่งที่คุณหนูจวินผู้นี้วางเอาไว้”


“เพื่อดึงหลี่ฉางหงตัวการหลักเบื้องหลังผู้ดูแลใหญ่ซ่งออกมา คุณหนูจวินถึงขนาดไม่เสียดายเอาตัวเองเข้าเสี่ยง”


“หนีบคนป่วยอ่อนแอ พาคนเฒ่าพิการ ระหกระเหินกลับหรู่หนาน เผชิญการดักซุ่ม ฝ่ากับดัก โซเซบุกฝ่าผ่านมาได้”


“เช่นนี้ถึงคราวเดียวเปิดโปงคดีใหญ่สิบกว่าปีที่หลี่ฉางหง หวังเจียงขุนนางทหารหกคนสมคบคิดลงมือกระทำออกมาได้”


“นี่ก็คือเสแสร้งแกล้งโง่ทำเป็นเสียสติ บุตรสาวตระกูลจวินแต่งงานหลอกๆ วางอุบายชาญฉลาด!”


“นี่ก็คือทำไมหญิงสาวผู้ชาญฉลาดคืนหนึ่งไม่กลับ นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่เสียดายใช้ราชโองการค้นเมือง!”


“นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมคุณหนูจวินผู้นี้จึงเป็นผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลฟางแห่งนี้”


เสียงปั้บดังกังวานทีหนึ่ง นักเล่านิทานเก็บพัดจัดเสื้อผ้ายืนเคร่งขรึม


ในโรงน้ำชาเงียบกริบ จากนั้นก็ฮือฮาร้องเยี่ยมขึ้นมา



นายหญิงใหญ่หนิงอยู่ในห้องก็เงียบกริบเช่นกัน สีหน้าอึ้งมองหญิงรับใช้คนนั้น


“เยี่ยมจริงๆ” นายท่านใหญ่หนิงพึมพำพยักหน้า “ห่วงหนึ่งคล้องห่วงหนึ่ง ห่วงหนึ่งอธิบายห่วงหนึ่ง ทั้งอธิบายการวางแผนต่างๆ นานาที่ตระกูลฟางลอบวางแผนชำระแค้น ทั้งอธิบายว่าทำไมนานปีขนาดนี้ไม่เคยเห็นราชโองการแต่เพื่อเด็กสาวคนเดียวที่ไม่กลับบ้านคืนหนึ่งกลับก่อเรื่องใหญ่โต ไม่ใช่ไร้สาระน่าหัวร่อ ไม่ใช่ก่อกวนด้วยดื้อรั้น ทุกสิ่งล้วนมีเหตุมีผล มีตอบแทนมีชดใช้”


นายหญิงใหญ่หนิงเป็นต้นไม่มีรอยยิ้มแล้ว


“พูดไปพูดมาก็ยังเป็นแต่งเรื่องขึ้น” นายหญิงสามหนิงออกแรงสะบัดพัดเอ่ย “ทุกคนต่างรู้ว่าตระกูลฟางของพวกเขาดีมากเพียงไร ร้ายกาจมากเพียงไรแล้ว ยังแต่งสารพัดนิทานขึ้นซ้ำไปซ้ำมา มีความหมายอะไร”


“ความหมายก็คือจะบอกว่าคุณหนูจวินไม่ใช่นายหญิงน้อยของตระกูลฟาง การแต่งงานเป็นเรื่องหลอก” เสียงของหนิงอวิ๋นเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง


ในห้องชะงักไปอีกครั้ง


“นั่นแล้วอย่างไร?” เสียงนายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง กำพัดในมือแน่น


“ถ้าอย่างนั้นก็คือจะบอกว่าจวินเจินจินยังไม่ได้แต่งงาน ยังแต่งงานกับผู้อื่นได้” หนิงอวิ๋นเยี่ยนกุมมือเข้าด้วยกัน เบิกตาโต “นางยังมาตอแยพี่ชายได้”


เสียงปังทีหนึ่ง นายหญิงใหญ่หนิงเคาะพัดลงกับโต๊ะ ด้ามพัดหักขาด


“นางคิดว่านางเป็นใคร!” นางตวาด “นางอาศัยอะไร!”


ครั้งนี้อาศัยราชโองการได้แล้ว


ในใจคนอื่นในห้องผุดความคิดนี้ขึ้นมาพร้อมกัน


นายหญิงใหญ่หนิงเห็นได้ชัดว่าก็คิดออกแล้ว สีหน้าของนางแข็งค้าง


“ราชโองการ ราชโองการก็ไม่มีทางทำให้พวกเราตระกูลหนึ่งแต่งสะใภ้คนหนึ่งของผู้อื่นเข้าบ้านได้” นางเอ่ยขึ้น “แค่อาศัยเรื่องแต่งส่งเดชหมอเทวดารักษาโรคอะไรก็คิดจะเปลี่ยนผู้หญิงที่คำนับฟ้าดินผ่านเรือนหอมาแล้วคนหนึ่งกลายเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ของตระกูลใหญ่คนหนึ่งยัดให้พวกเรา ฟ้าไม่มีทางยอม”


“ใช่แล้ว รังแกคนเกินไปแล้วชัดๆ” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้นกรุ่นโกรธ “เห็นอวิ๋นเจาของพวกเราเป็นอะไรไปแล้ว”


“ไม่ต้องกังวล ตระกูลฟางของพวกเขาแต่งเรื่องมาหลอกชาวบ้านเล่นก็เท่านั้น ไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะกล้าถือเป็นเรื่องจริงเอาเอง วิ่งมาประตูตระกูลพวกเราโวยวาย” นายหญิงสี่หนิงเอ่ยขึ้น มองไปทางนายท่านใหญ่หนิง “พี่ใหญ่ ท่านว่าจริงหรือไม่?”


นายท่านใหญ่หนิงกลับไม่ได้โกรธแค้นและตื่นเต้นปานนั้นอย่างนายหญิงใหญ่หนิง


“แน่นอน” เขายิ้มเอ่ยขึ้น


คำพูดที่เจ้าบ้านเอ่ยทำให้พวกผู้หญิงในใจสงบลง บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงไปมาก สั่งหญิงรับใช้คนนั้นให้จับตาความเคลื่อนไหวของตระกูลฟางในเมืองต่อไป โบกมือให้นางถอยออกไป


“ถ้าอย่างนั้น ในจดหมายที่เขียนให้พี่ชายจะเขียนเรื่องนี้ไหมเจ้าคะ?” หนิงอวิ๋นเยี่ยนพลันเอ่ยถามขึ้นอีก


นายหญิงใหญ่หนิงที่เดิมทีสีหน้าผ่อนคลายลงแล้ว โกรธจัดขึ้นมาอีกครั้ง


“จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้พี่ชายเจ้าฟังทำไม! เกี่ยวข้องอันใดกับเขา!” นางเอ็ด


หนิงอวิ๋นเยี่ยนถูกเอ็ดกะทันหันตัวสั่นนิดหนึ่ง ทำหน้าไม่ได้รับความยุติธรรมก้มหน้าไป


ตั้งแต่หลังนางหมั้น มารดาก็ไม่ตามใจนางเหมือนเช่นก่อนหน้าขนาดนั้นอีกแล้ว บุตรสาวที่แต่งออกไปเป็นน้ำสาดออกไปจริงๆ ตนเองยังไม่ทันแต่งออกไป คนในบ้านก็ไม่ใกล้ชิดนางขนาดนั้นอีกแล้ว


แม้คนในบ้านล้วนไม่พูด แต่นางก็คิดออก ที่อยู่ดีๆ หมั้นนางต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องหอจิ้นอวิ๋นวันที่สามเดือนสามแน่


ดูท่าเรื่องที่นางหลอกหลินจิ่นเอ๋อร์ไว้เหล่านั้นคงเปิดเผยแล้ว


หลินจิ่นเอ๋อร์ผู้หญิงต่ำช้าคนนี้ก่อนตายยังจะลากนางไปด้วยอีก


แล้วที่หลินจิ่นเอ๋อร์ลากนางไปด้วยได้ ย่อมเป็นเพราะจวินเจินเจินผู้หญิงต่ำช้าคนนี้ทำร้ายคน


วันนี้นางหน้าตาหม่นหมอง จวินเจินเจินกลับกลายเป็นหญิงไม่ธรรมดาแล้ว


หนิงอวิ๋นเยี่ยนทั้งกล้ำกลืนทั้งคับแค้น ถูกมารดาเอ็ดเช่นนี้ก้มศีรษะลง แต่กลับไม่ได้โกรธ ตรงข้ามใจสงบลงมากแล้ว


หญิงไม่ธรรมดาแล้วอย่างไร? อย่าได้คิดจะปีนขึ้นมาเกี่ยวดองกับตระกูลของพวกเขา ในสายตามารดากับพี่ชาย นางก็เป็นเพียงคางคกตัวหนึ่งเท่านั้น


……………………………………….


[1]เว่ยเหนียง (韦娘) ตัวละครจอมยุทธ์หญิงจากตำนานเว่ยสืออีเหนียง《韦十一娘传》นิยายจอมยุทธ์เรื่องหนึ่งสมัยราชวงศ์หมิง

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 100

 

บทที่ 100 หรู่หนานเป็นข้อพิสูจน์

โดย

Ink Stone_Romance

ไม่ว่าพูดอย่างไร พูดถึงคุณหนูจวินคนนี้บรรยากาศในห้องก็ไม่ดี นายหญิงสามหนิงยิ้มลุกขึ้นยืนแก้บรรยากาศ


“เอาละ ไปเถอะ ข้าจะไปเขียนจดหมายให้พี่ชายเจ้ากับเจ้า” นางโอบไหล่หนิงอวิ๋นเยี่ยนเอ่ยขึ้น พาหนิงอวิ๋นเยี่ยนออกไป


นายหญิงสี่หนิงก็ลุกขึ้นขอตัวเช่นกัน ออกจากประตูห้องเหล่าสาวใช้หญิงรับใช้ก็รีบติดตาม


โรงน้ำชาในหยางเฉิงนักเล่านิทานเล่าทุกวันไม่ขาด หัวถนนปลายตรอกทุกที่ก็ล้วนพูดถึงเช่นกัน บรรดาหญิงรับใช้ตระกูลหนิงที่หมู่บ้านเป่ยหลิวย่อมรู้กันหมดด้วย


“ยังจะเป็นหมอเทวดา” นายหญิงสี่หนิงเบะปากเอ่ยกับหญิงรับใช้ “ไม่รู้ยังจะเปิดโรงหมอออกตรวจหรือเปล่า? ให้ทุกคนได้ทัศนาฝีมือมหัศจรรย์ของนางสักหน่อย”


เหล่าหญิงรับใช้ล้วนหัวเราะ


“นางกล้าที่ไหนเล่าเจ้าคะ” พวกนางเอ่ยขึ้น “หลบอยู่ในบ้านเป็นหญิงผู้ไม่ธรรมดาง่ายๆ ดีกว่า”


นายหญิงสี่หนิงหัวเราะฮ่าฮ่าพาคนไป


และหยางเฉิงเวลานี้ก็กำลังครึกครื้นยิ่งนัก


ความสดใหม่ของนิทานฟางเต๋อชางช่วยอดีตฮ่องเต้ผ่านไปแล้ว แต่นิทานคุณหนูจวินนายหญิงน้อยของตระกูลฟางจุดความฮือฮาระลอกใหม่ขึ้นอีกครั้ง


“ถ้าอย่างนั้นพูดเช่นนี้ที่คุณหนูจวินมายังหยางเฉิงของพวกเราไม่ใช่เพราะไร้ที่พึ่งหมดหนทางมาพึ่งญาติ?”


“ใช่สิ บอกว่าเดิมทีจะกลับหรู่หนาน หรู่หนานมีบ้านมีกิจการแล้วยังมีชื่อเสียง ที่มาก็เพื่อรักษาอาการป่วยของนายน้อยตระกูลฟาง”


“นั่นก็คือจะบอกว่าที่ถือหนังสือหมั้นมาเอย พัวพันยุ่งเหยิงกับตระกูลหนิงเอยล้วนเป็นเรื่องหลอก?”


“หนังสือหมั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องหลอก”


“อะไร? คุณหนูจวินคนนั้นเพื่อรักษาอาการป่วยให้น้องชาย เพื่อช่วยตระกูลฟางชำระแค้น แม้กระทั่งสัญญาหมั้นก็ทิ้งแล้ว?”


“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นจะบอกว่าเป็นหญิงผู้ไม่ธรรมดาเรอะ”


“ข้ารู้สึกว่านี่เหลวไหลทั้งเพ”


เพิงน้ำชาที่ประตูเมืองผู้คนพักเท้าหลบร้อนนั่งอยู่เต็ม ที่ถกกันคึกคักย่อมเป็นนิทานเรื่องใหม่ที่สุด ในเมื่อเป็นนิทานย่อมมีความเห็นต่างๆ นานา


“แต่งเรื่องก็ต้องมีขอบเขตบ้าง อย่างเช่นตอนนี้พวกเขาตระกูลฟางไม่เหมือนในอดีต อยากได้นายหญิงน้อยที่เชิดหน้าชูตาคนหนึ่งก็เข้าใจได้อยู่ แต่ตั้งฉายาอย่างอื่นสักอันก็ได้ ต่อให้บอกว่าแค่อยู่ที่นี่ทนอัปยศแบกภาระหนักหน่วงเพื่อช่วยสนับสนุนรักษาอาการป่วยนายน้อยตระกูลฟางก็ได้นี่ ใยต้องพูดว่าเป็นหมอเทวดาด้วยเล่า?” คนผู้นี้เอ่ยขึ้น พลางส่ายศีรษะ “พวกเขารู้หรือไม่หมอเทวดาหมายความว่าอะไร?”


คำวิจารณ์เช่นนี้ตั้งแต่เรื่องคนฉลาดอุบายปราดเปรื่องเล่าวันแรกก็มีแล้ว


นิทานยอดเยี่ยมพลิกผันน่าอัศจรรย์ แต่คำว่าหมอเทวดาสองคำในนั้นก็ไม่ได้ถูกผู้คนละเลย


ดังนั้นจะบอกว่านายน้อยฟางไม่ใช่เสริมมงคลจนหายดี แต่ได้คุณหนูจวินคนนี้รักษาหายดี?


ที่จริงคำพูดนี้ตอนที่ตระกูลฟางหยิบราชโองการออกมาถูกเจ้าเมืองหม่าตั้งคำถามบนถนนก็เคยพูดไปแล้ว แต่ทุกคนคิดว่านี่เป็นเพียงคำพูดขายผ้าเอาหน้ารอดของตระกูลฟางต่อทางการเท่านั้น


นายน้อยตระกูลฟางช่วงเวลาสิบปีหมอมีชื่อมากมายขนาดนั้นวินิจฉัยว่าไม่อาจรักษาอยู่ไม่พ้นอายุสิบห้า ได้คุณหนูจวินคนนี้รักษาหายดีแบบนี้?


บรรดาหมอมีชื่อเหล่านี้ในช่วงสิบปีนี้ก็เล่นละครด้วย หรือหมอมีชื่อเหล่านี้วิชาแพทย์ไม่แตกฉานกันเล่า


ล้อเล่นรึ นี่ไม่ใช่…


“ล้อเล่นไม่ล้อเล่น ไปหาคุณหนูจวินตรวจโรคดูไม่ใช่ก็รู้แล้วเรอะ…” มีคนหัวเราะเอ่ยขึ้น


คำพูดนี้ชักนำให้คนพากันกลอกตาเป็นพรืด


“ล้อเล่นน่ะ เจ้าลองไปหาดูสิ”


“นั่นเป็นถึงตระกูลฟาง ในมือมีราชโองการเชียวนะ รักษาไม่หายบอกว่ารักษาหายแล้ว เจ้าทำอย่างไรได้?”


ในเพิงน้ำชาพูดคุยกันครึกครื้น บนถนนใหญ่รถคันหนึ่งกุกกักๆ มาจากที่ไกล หยุดด้านหน้าเพิงน้ำชา


ผู้ที่คุมรถมาเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่ง ดวงตะวันดวงโตอยู่เหนือหัวเร่งเดินทางเหงื่อเต็มหน้าเต็มศีรษะ ตากแดดจนหน้าแดงไปหมด


“ผู้ดูแล น้ำชาสามถ้วย” เขาเอ่ยเสียงดัง


ผู้ดูแลขานรับ รินชาพลางทักทายเด็กหนุ่ม


“เข้ามานั่งสิ” เขาเอ่ยขึ้น


เด็กหนุ่มคนนั้นกลับไม่เข้ามา แต่เลิกม่านรถอย่างระมัดระวัง


“ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม


ผู้ดูแลกำลังยกน้ำชามามองเข้าไปในรถด้วยความสงสัยทีหนึ่ง ตกใจอดไม่ได้ร้องออกมา ทำให้ความครึกครื้นของเพิงน้ำชาหยุดชะงักไปด้วย ทุกคนล้วนมองข้ามมา


สีหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งแดงก่ำแล้ว ท่าทางกระดากอายปล่อยม่านรถลง


“ขออภัยด้วย บิดาข้าป่วยอยู่…” เขาเอ่ยขึ้นมองผู้ดูแลที่ถอยไปด้านหลัง ลังเลไม่ยื่นมือไปรับชา


ผู้จัดการได้สติกลับมาแล้ว เอ่ยขออภัยหลายครั้งส่งน้ำชาไปให้


“เป็นข้าตกอกตกใจกับเรื่องเล็กน้อยแล้ว” เขารีบเอ่ยขึ้น


เด็กหนุ่มกระหายน้ำอย่างที่สุดแล้ว ไม่ได้ปฏิเสธต่อ ส่งน้ำชาไปในรถให้บิดามารดาสองถ้วย ตนเองก็ยกถ้วยขึ้นดื่มคำใหญ่ด้วย


“เจ้าหนู ฟังสำเนียงพวกเจ้าเป็นคนเหอหนานรึ?” ผู้ดูแลอดไม่ได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย


เด็กหนุ่มยิ้มซื่อ


“ใช่ ข้าเป็นคนหรู่หนานไช่โจว” เขาบอก


หรู่หนาน?


สองคำนี้ดังออกมา ด้านในเพิงน้ำชาที่เงียบสงบเสียงเอ๋ก็ดังขึ้น


“คนหรู่หนานมาหยางเฉิงของพวกเราได้อย่างไร?” ผู้ดูเลถามออกมาก่อนแล้ว มองรถม้าทีหนึ่ง “นอกจากนี้ยังพาผู้เฒ่าล้มป่วยมาด้วย”


เขาถามประโยคนี้ออกมา เด็กหนุ่มกลับเผยสีหน้าประหลาดใจ ราวกับคำถามของเขาถึงจะทำให้คนไม่เข้าใจ


“มาหาหมอสิ” เขาว่า “จวินจิ่วหลิงคุณหนูจวินตอนนี้ไม่ได้มาบ้านท่านยายของนางที่หยางเฉิงเรอะ”


ด้านในเพิงน้ำชาเงียบไปชั่วครู่


เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจ วางถ้วยชาลงส่งเงินให้


“ขอถามคุณหนูจวินพักอยู่ที่ใด?” เขาเอ่ยถาม


ไม่มีใครตอบเขา


เด็กหนุ่มมองคนเหล่านี้ก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง


“หรือพวกเจ้าไม่รู้?” เขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินชื่อดังปานนั้น”


คุณหนูจวินชื่อดังจริงๆ แต่ชื่อดังที่ทุกคนเข้าใจดูเหมือนจะไม่ใช่ความหมายเดียวกัน


ผู้ดูแลได้สติเป็นคนแรก ชี้ทางให้เขา เด็กหนุ่มคนนั้นขอบคุณเป็นการใหญ่บังคับรถเข้าเมืองไป


รอเขาจากไปแล้ว มีคนคว้าผู้ดูแลถามว่าคนในรถเป็นอย่างไร ทำไมทำเขาตกใจสะดุ้งโหยง


“บนหน้ามีฝีขนาดใหญ่เม็ดหนึ่ง” ผู้ดูแลยื่นมือวาดเทียบ ทำท่าเหมือนยังผวาอยู่บ้าง “ใหญ่ขนาดนี้”


ด้านในเพิงน้ำชาฮือฮาทันที


“จริงหรือหลอก?”


“มาจากหรู่หนาน”


“เหมือนกับที่นักเล่านิทานว่า เป็นหน้าม้าที่ตระกูลฟางจ้างมาสินะ”


“เพิ่งบอกว่าเป็นหมอเทวดา ก็มีคนมาขอรักษา บังเอิญขนาดนี้ไม่ใช่หน้าม้าคืออะไร?”


“ก็ไม่รู้ว่าตระกูลฟางจ้างมาเท่าไร? จ้างคนนี้คนเดียวย่อมไม่มีความหมายอะไร”


คำพูดถากถางของคนผู้นี้ถูกทดสอบอย่างรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากนี้เองก็มีคนหรู่หนานมากมายทยอยมาถึงหยางเฉิง คนทั้งหมดถามทางล้วนเป็นประโยคเดียวกัน


ที่พักของจวินจิ่วหลิงคุณหนูจวินอยู่ที่ไหน?


นี่ทำให้ข่าวครึกโครมที่เพิ่งจุดขึ้นในหยางเฉิงหนักกว่าเดิม


“หลอกลวง? พวกข้ากินอิ่มว่างเรอะมาไกลขนาดนี้มาหลอกพวกเจ้า!” เผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของชาวบ้าน คนหรู่หนานที่เร่งเดินทางมาทั้งเหนื่อยทั้งร้อนถามทางด้านหน้าประตูเมืองก็หงุดหงิดยิ่งนัก “คุณหนูจวินเป็นหมอเทวดามีอะไรหลอกได้กัน”


พูดจบก็ทั้งโมโหทั้งเหยียดหยันทั้งเวทนามองคนเหล่านี้


“พวกข้าเดิมยังอิจฉาพวกเจ้าเลย ที่คุณหนูจวินอยู่กับพวกเจ้าที่นี่ พวกเจ้าช่างเอาเปรียบนัก ไม่คิดเลยพวกเจ้ากลับล้วนตาบอดไม่รู้”


พูดจบก็ทำท่าดูแคลนเหมือนคนท้องถิ่นมองคนต่างถิ่น คนในเมืองมองคนบ้านนอกนิดๆ


“ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ”


อะไรเรียกไม่รู้เรื่องรู้ราว? พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องสักนิดเลยต่างหากตกลงมั้ย!


คุณหนูคนหนึ่งที่ทำเป็นแต่โวยวายจะแต่งงานกับคุณชายผู้มีชื่อเสียงที่สุดของหยางเฉิงจะเป็นหมอเทวดาได้อย่างไรเล่า?


ต่อให้คนที่รอบรู้อีกเท่าใดก็ไม่มีทางนำสองอย่างนี้มาโยงกันได้หรอก


คนหยางเฉิงรู้สึกทั้งไม่ได้รับยุติธรรมทั้งโกรธแค้นเป็นเท่าตัว


“ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาด้วยหน่อยสิ”


คนหยางเฉิงที่ไม่ยอมรับจึงตามคนมาหาหมอซึ่งมาจากหรู่หนานเหล่านี้มาถึงตระกูลฟาง


แต่น่าเสียดายตอนนี้ใครก็เปิดหูเปิดตาไม่ได้แล้ว เพราะคุณหนูจวินไม่อยู่บ้าน


คนหรู่หนานที่เดินทางมาหาหมอเหล่านั้นล้วนได้ตระกูลฟางจัดการอย่างเหมาะสม นายน้อยตระกูลฟางมารับด้วยตนเอง ทั้งยังสัญญาว่าจะบรรรยาอาการป่วยของพวกเขาเขียนจดหมายส่งไปให้คุณหนูจวิน หากยินดีรอก็ให้อยู่ที่นี่รอคุณหนูจวินกลับมา อาหารที่พักตระกูลฟางรับผิดชอบเอง


คำสัญญานี้ทำให้คนหยางเฉิงฮือฮาอีกครั้ง


“นี่ไม่ใช่หน้าม้าคืออะไร!”


“มีคนมาหาหมอที่ไหน ถูกดูแลประหนึ่งบรรพบุรุษ!”


“ให้กินให้ดื่ม แล้วจะรักษาไม่คิดเงินแจกยาด้วยหรือไม่เล่า?”


แต่ความฮือฮาของคนหยางเฉิงต่อหน้าคนหรู่หนานที่มาหาหมอก็ถูกดูแคลนอีกครั้ง คนที่มาจากหรู่หนานล้วนสีหน้านิ่งสงบกับคำสัญญาของตระกูลฟาง ไม่ได้ตื่นเต้นจนเป็นลมไป


“นี่เกินไปนักรึ?” พวกเขามองคนหยางเฉิงที่ตื่นเต้น ท่าทางดูแคลนเหมือนมองลงมาจากข้างบน “พวกเจ้าช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ”


นี่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกได้อย่างไร?


เรื่องเช่นนี้หรือพวกเขาเคยเห็นมาก่อนด้วยรึ?


คนหรู่หนานได้ยินคำถามนี้ล้วนหัวเราะ


“แน่นอนเห็นมาก่อน” พวกเขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินกับนายน้อยฟางตอนอยู่ที่หรู่หนานก็ทำแบบนี้”


ตอนอยู่ที่หรู่หนาน


บรรดาชาวบ้านของหยางเฉิงคิดอออกแล้ว นักเล่านิทานเล่าว่าหญิงผู้ไม่ธรรมดาหนีบคนป่วยอ่อนแอ พาคนเฒ่าพิการ ระหกระเหินกลับหรู่หนาน


ถ้าอย่างนั้นที่หรู่หนานก็มีเรื่องเล่าเรื่องเก่าด้วยรึ?


“แน่นอนว่ามี” บรรดาคนของหรู่หนานทำท่าย้อนความหลัง “เรื่องในอดีตที่หรู่หนานนั้นเป็นตำนานเรื่องหนึ่ง”


…………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 101

 

บทที่ 101 นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัย

โดย

Ink Stone_Romance

บรรดานักเล่านิทานของหยางเฉิงพักนี้ไม่ดีใจเป็นอย่างมาก


คนฉลาดวางอุบายปราดเปรื่องเพิ่งเปิดเรื่องเล่าได้ไม่กี่วัน เดิมทีควรเป็นเวลาที่ได้รับความนิยมที่สุดเป็นที่พูดถึงที่สุด ผลปรากฏว่าในโรงน้ำชาในเหลาสุราคนฟังกลับน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง


นี่ก็เพราะคนต่างถิ่นมากมายในเมือง แม้คนต่างถิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นักเล่านิทาน แต่ก็แย่งกิจการของพวกเขา


คนเหล่านี้เป็นคนหรู่หนาน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเรื่องตอนหนึ่งในนิทานตอนคุณหนูจวินหนีบคนป่วยอ่อนแอ พาคนเฒ่าพิการ ระหกระเหินหลับหรู่หนานที่พวกเขาเล่า


แต่ที่คิดไม่ถึงคือที่หรู่หนานคุณหนูจวินมีเรื่องเล่าซึ่งเป็นที่เล่าลือยิ่งกว่าเล่าอยู่


หลายวันนี้มีคนหรู่หนานรวมถึงแถบใกล้หรู่หนานมาหาหมอไม่ขาด


ระเห็จมาไกลขนาดนี้เพื่อหาหมอ คนจำนวนมากย่อมเป็นผู้ที่ตระกูลทรัพย์สินมั่งคั่ง ถึงจะรับประกันได้ว่าคนป่วยจะสะดวกสบายระหว่างทางไม่ถึงกับเหน็ดเหนื่อยลำบากเกินไป อาการป่วยหนักขึ้น


นอกจากนี้เดินทางยาวไกลได้ก็ย่อมไม่ใช่ป่วยหนักกำลังจะตายอะไร เช่นนั้นยังไม่ทันเดินทางมาถึงหยางเฉิงย่อมไม่เหลือชีวิตแล้ว


ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าคุณหนูจวนิไม่อยู่ที่หยางเฉิง แม้ฟางเฉิงอวี่เสนอที่พักอาหารให้ แต่คนส่วนมากก็ยังคงจากไป คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ไม่ขาดแคลนเงิน อีกทั้งแทนที่จะรออยู่ที่นี่ยังมีเวลาไปตามหาหมอชื่อดังคนอื่นอีก


แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งรั้งอยู่ บ้างก็ไม่มีแรงเดินทางไปรักษา บ้างเงินน้อยหมดไปแล้ว


ก็เป็นคนที่รั้งอยู่เหล่านี้เองว่างไม่มีธุระ โดยเฉพาะเมื่อค้นพบว่าคนหยางเฉิงถึงกับไม่รู้จักความร้ายกาจของโรงหมอจิ่วหลิง ทั้งโกรธแค้นคับอก ทั้งเป็นเกียรติ เล่าเรื่องราวต่างๆ นานาของโรงหมอจิ่วหลิงตามสถานที่พักซึ่งตระกูลฟางจัดให้หรือที่หัวถนนแก่ชาวบ้านหยางเฉิงอย่างคึกคัก


คุณหนูจวินกลับบ้านเก่า นายท่านเหยียนทุบบ้านล้มกำแพง


คุณหนูจวินไม่ถอยไม่หลีก ณ ซากปรักหักพังเปิดโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้ง


สัญญาดุจทองพันชั่ง ทำบุญสร้างชื่อ


คนพิการทั้งบ้านรอความตาย ยาสามชุดฝังเข็มสองครั้งจอมพลังหวนคืน


แม่เฒ่าเหยียนสั่งสอนบุตร บูรณะโรงหมอจิ่วหลิง


บังเอิญพบพานสหายเก่าบนถนน คุณหนูจวินบังคับรั้งชายผู้มีวาสนา


“หยุด หยุด อันนี้เล่าไม่ได้”


ตอนที่ชายผู้โม้ติดลมอยู่พูดเรื่องประโยคก่อนหน้าออกมาก็ถูกสหายร่วมถิ่นหรู่หนานด้านข้างตวาดด่าทันที


ผู้ชายตอนนี้ถึงรู้สึกตัวว่าหลุดปากหน้าแดงกระแอมทีหนึ่ง


“เรื่องนี้ไม่เล่าแล้ว…” เขาว่า


ชาวบ้านหยางเฉิงที่กำลังฟังตาวาวหูตั้งร้องโห่ทันที


“เล่า เล่า เล่าตอนนี้แหละ” พวกเขาเอ่ยกล่อม


“ตอนนี้ไม่มี ตอนนี้ไม่มี” คนหรู่หนานโบกมือปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง ทำสีหน้าไม่อาจก้มหัวให้อำนาจไม่อาจหวั่นไหวกับความร่ำรวย


คุณหนูจวินเป็นคนหรู่หนานของพวกเขา ไม่ว่าเล่าอย่างไร เรื่องกอดบังคับรั้งชายหนุ่มผู้หนึ่งกลางถนนอย่างไรก็ไม่งาม พวกเขารู้เรื่องดื้อรั้นของเด็กน้อยในบ้านของตนเองก็พอแล้ว ต่อหน้าคนนอกยังไงก็ต้องปกป้อง


“ตระกูลฟางออกเงินเท่าไรจ้างพวกเจ้ามาล่ะ ยังแบ่งอะไรเล่าได้อะไรเล่าไม่ได้อีก ไม่ได้แต่งมาก่อนให้ดีใช่หรือไม่ล่ะ”


แต่ในความคึกคักนี้ก็ย่อมขาดคำเยาะหยันถากถางไปไม่ได้


ที่จริงแล้วตั้งแต่คนมาหาหมอจากหรู่หนานทยอยมา คำถามและคำถากถางเช่นนี้ก็ไม่เคยขาด


นี่ก็เป็นเรื่องยากจะเลี่ยง อย่างไรคุณหนูจวินเป็นหมอเทวดาเรื่องนี้ก็กะทันหันเกินไปแล้ว


ทุกครั้งที่เกิดคำถามและคำถากถางขึ้น คนหรู่หนานล้วนจะไม่เข้าใจและโกรธแค้น ทั้งสองฝ่ายก็จะเกิดทะเลาะถกเถียงกันเพราะเหตุนี้


แต่เมื่อคนหรู่หนานได้รู้เรื่องราวต่างๆ นานาช่วงนี้เกี่ยวกับตระกูลฟางจากปากคนหยางเฉิง คนหรู่หนานก็เปลี่ยนเป็นสงบลง


“ที่จริงพวกเจ้าจะคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลก”


ครั้งนี้ชาวหรู่หนานผู้หนึ่งหยุดการถกเถียงของบรรดาสหายร่วมภูมิลำเนาไว้ ก้าวออกมายืนสีหน้าอ่อนโยนมองผู้คนด้านหน้าที่สีหน้าดูแคลน


“ตอนที่คุณหนูจวินเพิ่งพานายน้อยฟางมาถึงหรู่หนานก็ไม่มีใครเชื่อว่านางจะเปิดโรงหมอจริงๆ” เขาเอ่ย “แล้วก็ไม่มีใครเชื่อว่านางจะยืนหยัดอยู่ที่หรู่หนานได้ ดังนั้นหูกุ้ยคนนั้นถึงกล้าขายบ้าน นายท่านเหยียนคนนั้นถึงกล้าล้มบ้าน เพราะนางเด็กสาวกำพร้าเพียงลำพัง อายุก็น้อย บิดามารดาล้วนเสียแล้ว ญาติครอบครัวล้วนไม่มี ตัวคนเดียวเช่นนี้ ยากจะเชื่อว่านางมีความสามารถจะต่อต้านการรังแกเช่นนี้จริงๆ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าอย่าดูคนที่หน้าล่ะนะ”


คำพูดนี้ทำให้คนที่หัวเราะครึกครื้นค่อยๆ สงบลง


“การคาดเดาต่างๆ เกี่ยวกับตระกูลฟางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่เช่นนี้รึ?”


เขาเอ่ยต่อ


“เพราะพวกเขาเป็นพ่อค้า ทหารชาวนาแรงงานพ่อค้า ต้อยต่ำที่สุด แม้มีเงิน ก็เพียงแค่มีเงินเท่านั้น จะถือราชโองการ ทำให้ขุนนางมากขนาดนั้นก้มหัวเชื่อฟังเคลื่อนย้ายได้อย่างไร”


“แต่พวกเจ้าที่แท้สงสัยอะไรเล่า?”


“ราชโองการไม่ใช่ของจริงหรือ? พวกเจ้าล้วนมองเห็นแล้วนี่ บรรดาขุนนางก็ยอมรับแล้วนี่ เป็นของจริง”


“ก็เหมือนกับตอนแรกที่หรู่หนาน คุณหนูจวินประกาศเปิดโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้งบนบ้านที่ล้มถล่ม ไม่มีค่าถามอาการค่าหมอค่ายาได้ยาโรคหายฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี พวกเราก็ไม่เชื่อเหมือนกันแหละ”


“นางรักษาหายคนหนึ่ง รักษาหายสองคน พวกเราล้วนคิอว่านางใช้เงินตระกูลฟางซื้อเทียบยาหมอชื่อดังมา”


“แต่นางรักษาหายคนที่สาม คนที่สี่ คนที่นางรักษาล้วนรักษาหายแล้ว คนทั้งหมดล้วนมองอยู่ ไม่มีลูกเล่นอันใดหลบซ่อนปิดบังได้ ล้วนเป็นนางคนเดียวทำจนได้”


“ก็เพราะพวกเรามองเห็นแล้ว ดังนั้นพวกเราถึงเชื่อนาง”


“พวกเจ้าที่ไม่เชื่อก็เพราะไม่ได้เห็นเรื่องที่นางทำที่หรู่หนานกับตา ถ้าอย่างนั้นหากพวกเจ้าไม่เชื่อที่พวกเราพูด ทำไมไม่ไปหรู่หนานลองถามดูเล่า?”


“หรู่หนานก็ไม่ไกล สินค้าไปมาก็มีไม่น้อย บางทีพวกเจ้าก็อาจไปลองดูได้”


“แน่นอนว่าเรื่องราวผ่านไปแล้ว ได้ยินผู้อื่นพูดพวกเจ้าก็ยังคงไม่เชื่อ แต่พวกเจ้าก็ได้เห็นด้วยตาแล้วนี่”


“นายน้อยตระกูลฟางไม่ใช่ตัวอย่างตัวเป็นๆ รึ?”


“ตอนที่พวกเราอยู่ที่หรู่หนานเห็นนายน้อยฟาง คิดว่าเขาเป็นแค่คนง่อยคนหนึ่ง คิดไม่ถึงสักนิดว่าที่จริงเดิมทีเขาเป็นคนง่อยที่กำลังจะตายคนหนึ่ง”


“แต่พวกเจ้ารู้นี่ พวกเจ้ามองเห็นเขาโตขึ้นมา นายน้อยฟางในอดีตเป็นอย่างไรพวกเจ้ารู้ชัดเป็นที่สุด ตอนนี้นายน้อยฟางเป็นอย่างไรพวกเจ้าก็ล้วนเห็นกับตาแล้วนี่”


“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าที่แท้สงสัยอะไรกันเล่า? แค่เพราะพวกเจ้ารู้สึกว่านางไม่มีทางทำได้ ดังนั้นที่นางทำได้แล้วก็คือเรื่องหลอก ก็คือหลอกลวงคนรึ?”


“จะเชื่อเรื่องหนึ่งต้องหาเหตุผลที่ตนเองจะเชื่อพบถึงจะยอมเชื่อรึ? สิ่งที่พวกเจ้าไม่เชื่อก็คือเรื่องหลอกลวง ก็คือไม่มีอยู่งั้นรึ?”


“แต่บนโลกนี้มีเรื่องน่าเหลือเชื่อมากมายนักจริงๆ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีอยู่รึ”


“ไม่อาจเพราะพวกเจ้าไม่เชื่อก็จะต้องเยาะหยันตั้งคำถามกับมันนี่”


บนถนนเงียบกริบ หน้าของคนที่เดิมทีหัวเราะเยาะถางถางขึ้นสีแดง หลบสายตา


ฟางเฉิงวี่ที่ยืนอยู่ไกลๆ เผยรอยยิ้ม


“เฉิงอวี่ คนผู้นี้จ่ายเงินไปมากใช่หรือไม่?” ฟางอวี้ซิ่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามเสียงเบา


“พี่รอง” ฟางเฉิงอวี่มองนาง ร้องเรียกทีหนึ่งดั่งไม่ได้รับความยุติธรรม “คนเหล่านี้ไม่ใช่ข้าจ่ายเงินจ้างมาจริงๆ นะ คนเหล่านี้ล้วนเป็นความดีความชอบของจิ่วหลิง ทุกคนล้วนมาเพื่อนางจริงๆ”


ฟางอวี้ซิ่วเม้มปากยิ้ม


“ใช่ ข้ารู้ จิ่วหลิงร้ายกาจนัก จิ่วหลิงไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ เรียกคำหนึ่งร้อยขานรับ” นางเอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่ยิ้มอีกครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ


“ใช่แล้ว” เขาเอ่ย


ฟางอวี้ซิ่วยื่นมือทิ่มหน้าผากของเขา


“นาง คนร้ายกาจขนาดนี้ ไม่ไปเรียกหรอก ที่เรียกนี่อย่างไรก็เป็นเจ้าทำล่ะสิ?” นางเอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักไม่ยอมรับแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ


“พวกเขามักจะสงสัยว่าพวกเราหลอกลวง” เขามองไปยังกลุ่มคนด้านนั้นอีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม “แต่พวกเขาลืมไปเรื่องหนึ่ง บนโลกนี้ไม่ใช่ใครคิดหลอกใครก็หลอกได้ หลอกคนก็ต้องมีความสามารถจริงๆ ด้วย หากไม่ใช่จิ่วหลิงทำเรื่องเหล่านี้จริงๆ เพียงแค่อาศัยเงินจะทำได้ถึงขั้นหนึ่งคนเรียกร้อยคนขานรับเช่นนี้ได้อย่างไร”


ฟางอวี้ซิ่วมองกลุ่มคนด้านนั้นก็ยิ้มด้วย


ใช่สิ หากไม่มีความสามารถจริงๆ รักห่วงใยจริงๆ พวกนางจะจริงใจกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร


แรงล้วนส่งผลต่อกัน


พี่สาวน้องชายสองคนกำลังพูดคุย บนถนนพลันมีเสียงประทัดดังรัวขึ้นระลอกหนึ่ง


อะไร?


คนบนถนนก็มองตามเสียงไปด้วย เห็นเพียงมีคนวิ่งไปทางสถานที่ซึ่งมีเสียงประทัดอยู่


“ไปดูเร็ว มีคนเปิดสำนักคุ้มภัยใหม่แห่งหนึ่ง !”


สำนักคุ้มภัย?


เจ๋อโจวร้านแลกเงินมากมาย สำนักคุ้มภัยก็มากมาย แต่เปิดสำนักคุ้มภัยแห่งหนึ่งไม่ง่าย จำต้องมีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีผู้คุ้มกันเพียงพอถึงทำให้คนเชื่อถือได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็จะเปิดตามใจได้


ไม่รู้ว่าเป็นอาจารย์มีชื่อคนไหนจะก่อตั้งสำนักเอง


ผู้คนล้วนรุมเข้าไปด้วยสงสัยใคร่รู้ เห็นเพียงบนถนนด้านหน้าประตูบานหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกลทั้งยังเก่าพังอยู่บ้างกำลังจุดประทัดเกิดหมอกควันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า หมอกควันสลายไป ผู้ชายรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งเหยียบบันไดกำลังใช้มือข้างเดียวแขวนป้ายสำนักแผ่นหนึ่งไว้บนประตูอยู่


ป้ายสำนักเก่าอยู่บ้างเหมือนเช่นบ้านหลังนี้ อักษรด้านบนทาสีน้ำมันใหม่แล้ว


อี้โหย่วสิง สามคำแวววาวใต้แสงตะวัน


……………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 102

 

บทที่ 102 นี่ออกมาจากที่ไหนอีก

โดย

Ink Stone_Romance

อี้โหย่วสิง


คนอายุน้อยมากมายที่ล้อมเข้ามาไม่รู้ แต่คนอายุมากจำนวนหนึ่งยังคงจดจำได้อยู่บ้าง


นั่นเป็นสำนักที่จางเผิงปรมาจารย์หมัดเฒ่าแห่งซานซีสร้างขึ้น หมัดคู่ของจางเผิงโด่งดังในซานซี ผู้คนเรียกว่ากำปั้นจาง


กำปั้นจางผู้กล้ารักคุณธรรมใจบุญสุนทาน ไม่มีบุตรไม่มีธิดารับศิษย์ไว้กลุ่มหนึ่ง ปล่อยเวลาผ่านไปครึ่งชีวิตก็เปิดสำนักคุ้มภัยแห่งหนึ่งขึ้นที่เจ๋อโจว ผ่านไปอีกครึ่งชีวิตก็สู้ทำให้สำนักคุ้มภัยมีชื่อเสียงมีหน้าตาเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองได้


ก็เพราะเช่นนี้เองสิบสี่ปีก่อนถึงได้ความสามารถโดดเด่นจากหมู่สำนักคุ้มภัยถูกตระกูลฟางเลือกมาคุ้มกัน เดิมคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ยกชื่อขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ใครจะคิดว่าเรื่องราวบนโลกลาภเคราะห์เคียงคู่ ก็เพราะการคุ้มกันเที่ยวนี้เอง ศิษย์มีความสามารถสิบกว่าคนที่อี้โหย่วสิงพิถีพิถันคัดเลือกล้วนเสียไปหมดสิ้น


นายท่านตระกูลฟางก็บาดเจ็บหนักรักษาไม่ได้เสียชีวิต


ฮือฮากันทั้งซานซี


ผู้คุ้มกันสิบกว่าคนล้มตายในมือโจรภูเขากลุ่มหนึ่ง อี้โหย่วสิงกลายเป็นเรื่องตลก


กำปั้นจางทั้งโกรธทั้งร้อนใจทั้งเศร้าโศกกระอักเลือดสิ้นลม อี้โหย่วสิงตั้งแต่นั้นตกต่ำคนกระจัดกระจายหายไปจากสายตาของผู้คน


คิดไม่ถึงผ่านไปสิบสี่ปี จะได้เห็นอี้โหย่วสิงเปิดกิจการใหม่อีกครั้งได้


อี้โหย่วสิงแห่งนี้ยังคงเป็นอี้โหย่วสิงของกำปั้นจางหรือเปล่า?


สายตาของผู้คนจับอยู่บนร่างของผู้ชายที่ลงมาหลังแขวนป้ายสำนักเสร็จดีแล้วคนนั้น มีคนร้องเอ๋ขึ้นมา


“นี่ไม่ใช่ตาเฒ่าเหลยเรอะ?”


แม้ไม่สะดุดตาสักนิดคุมรถอยู่ที่เต๋อเซิ่งชางสิบกว่าปี ผู้คนก็ยังคงพบเจอจนคุ้นตาอยู่บ้าง


ตาเฒ่าเหลยคนคุมรถของเต๋อเซิ่งชางแขวนป้ายสำนักที่นี่ หรือจะบอกว่าเป็นสำนักคุ้มภัยที่เต๋อเซิ่งชางเปิด?


ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องหายากจริงๆ แต่ที่จริงก็ไม่นับว่าหายาก


ตระกูลพ่อค้ามั่งคั่งที่อื่นจะประกอบกิจการมากมาย เต๋อเซิ่งชางกลับทำแค่กิจการร้านแลกเงินมาตลอด


ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เต๋อเซิ่งชางประหารศัตรูแล้ว นายน้อยฟื้นคืนแข็งแรง ดังนั้นจะเติบโตก้าวหน้าเปิดกิจการใหม่แล้วรึ?


“นี่เป็นเต๋อเซิ่งชางเปิดหรือ?” คำถามแย่งกันพูดดังขึ้น


เหลยจงเหลียนมองกลุ่มคนแล้วส่ายศีรษะ พลางขนบันได


“ไม่ใช่ นี่คืออี้โหย่วสิง” เขาเอ่ย “นี่คืออี้โหย่วสิงของอาจารย์หมัดเฒ่าจางอาจารย์ข้าเปิดกิจการใหม่อีกครั้ง”


เป็นอี้โหย่วสิงจริงๆ!


คนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้เรื่องราวทั้งประหลาดใจทั้งผิดคาด


นอกจากนี้เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาคือกำปั้นจาง?


“ตาเฒ่าเหลยเจ้าไม่ใช่คนคุมรถเรอะ? เกี่ยวข้องอะไรกับกำปั้นจาง?” มีคนไม่เข้าใจเอ่ยถามขึ้น


เหลยจงเหลียนมือเดียวคว้าบันไดไว้ ได้ยินก็หันกลับไปมองคนผู้นั้น


“เดิมทีข้าเป็นคนคุมรถของอี้โหย่วสิง กราบอาจารย์จางร่ำเรียนวิชาในสำนัก สิบสี่ปีก่อนรับคุ้มกันส่งคนของตระกูลฟาง ตลอดมายังไม่ได้ทำคำไหว้วานให้สำเร็จ จนกระทั่งถึงเวลาก่อนหน้านี้นิดหน่อยข้าคุ้มครองนายน้อยฟางกับนายหญิงน้อยฟางกลับมาจากหรู่หนานได้อย่างปลอดภัย จนตอนนี้อี้โหย่วสิงถึงทำคำมั่นรับคุ้มกันสำเร็จ” เขาเอ่ยขึ้น “ดังนั้นข้าจึงบูรณะอี้โหย่วสิงใหม่อีกครั้งได้แล้ว”


คนรอบด้านได้ยินตาโตอ้าปากค้าง


นี่ฟังดูแล้วก็เป็นนิทานที่พลิกผันคาดไม่ถึงอีกเรื่องหนึ่งนะ


“คนรับคุ้มกัน? ข้าคิดออกแล้ว! ตอนนั้นที่นายท่านตระกูลฟางถูกจู่โจมท้ายที่สุดมีคนสามคนลากออกมา คนหนึ่งในนั้นก็คือผู้คุ้มกันที่โชคดีรอดชีวิต”


“ใช่ ใช่ มีอยู่คนหนึ่ง ผู้คุ้มกันคนนั้นยังเรียกร้องความยุติธรรมไปทั่วบอกว่าไม่ได้ถูกโจรภูเขาปล้นทรัพย์ แต่ถูกทหารปล้นฆ่า”


“ที่แท้ผู้คุ้มกันคนนั้นก็คือเจ้าเรอะ”


สายตาของผู้คนรวมอยู่บนร่างเหลยจงเหลียนอีกครั้ง


นี่เป็นเรื่องในอดีตอีกตอนหนึ่ง นี่ก็เป็นคนเก่าคนแก่คนหนึ่งด้วย


“เอ๋ เจ้าว่าเจ้าคุ้มกันส่งนายน้อยฟางกับนายหญิงน้อยฟางกลับมาจากหรู่หนาน” มีคนคิดอะไรขึ้นมาได้ ร้องตะโกนเสียงดังเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าพิการที่นักเล่านิทานเล่าว่าคุณหนูจวินหนีบคนป่วยอ่อนแอ พาผู้เฒ่าพิการ ระหกระเหินกลับหรู่หนาน หรือว่าก็คือเจ้า?”


เหลยจงเหลียนมองเขาทีหนึ่งไม่เอ่ยคำพูด มือหนึ่งแบกบันได อีกมือหนึ่งประคองไว้ แขนเสื้อไหลลงมาเผยแขนขวาที่แข็งทื่อ แห้งเหี่ยวและบิดเบี้ยว


คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มองเห็นเขาอดไม่ได้ร้องออกมาเบาๆ


แขนนี่เห็นได้ชัดมากว่าพิการแล้ว


เขาก็คือผู้เฒ่าพิการคนนั้นจริงๆ


แต่ในเมื่อแขนพิการกลายเป็นเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางตวัดดาบจับหอกได้สิ? จะเปิดสำนักคุ้มภัยได้อย่างไร? เป็นตระกูลฟางออกเงินให้เขาเป็นเจ้าสำนัก หลังจากนั้นประกาศรับคนคุ้มกันจำนวนหนึ่งหรือ?


“ไม่ใช่” หลังเหลยจงเหลียนวางบันไดไว้ด้านในประตูหันมาเอ่ยตอบว่า “ข้าไม่จ้างผู้คุ้มกัน แต่จะประกาศรับศิษย์จำนวนหนึ่ง สอนวรยุทธ์พวกเขาค่อยนำพวกเขาเดินทางคุ้มกัน”


เขา? สั่งสอนศิษย์? พาศิษย์เดินทางคุ้มกัน?


คนที่อยู่ที่นั่นยิ่งอึ้ง


เรื่องประหลาดมีอยู่ทุกปีจริงๆ ปีนี้เยอะเป็นพิเศษ


คนพิการแขนเดียวคนหนึ่งก็สอนศิษย์ออกเดินทางคุ้มกันได้ด้วยรึ?


เหลยจงเหลียนเดินเข้าไปแล้ว เสียงถกเถียงนอกประตูดังวุ่นวาย


“ในเมื่อเขาก็คือผู้เฒ่าพิการที่คุณหนูจวินพาไป ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องผ่านประสบการณ์เผชิญหน้าการดักซุ่ม ฝ่ากับดัก โซเซข้ามลานสังหารด้วยตนเองสิ”


“ประสบมาแล้วอย่างไรเล่า? หรือสภาพเขาเช่นนี้ยังเข้าสนามรบเองได้อีกรึ?”


“ข้าว่าก็แค่เต๋อเซิ่งชางตอบแทนเขา ให้เงินเขายกร้านให้เล่น เลี้ยงดูให้มีความสุขยามแก่เท่านั้น”


ฝั่งนี้กำลังถกกัน บนถนนก็มีเสียงกีบเท้าม้ารีบเร่งมา


“หลีก หลีก หลีก หลีก” พร้อมกับเสียงตวาด


ผู้คนมองไปเห็นทหารสี่ห้านายล้อมแม่ทัพคนหนึ่งเร่งรีบมา แม่ทัพและทหารเหล่านี้องอาจผึ่งผายบรรยากาศดุดัน


ทหารที่หยางเฉิงช่วงนี้ ไม่ใช่ทุบประตูจวนที่ว่าการอำเภอก็ประหารตัดศีรษะคนตามใจ ทำให้เหล่าชาวบ้านหวาดกลัวนักรีบหลีกหลบออกไปให้พ้น


ทหารคณะหนึ่งหยุดอยู่หน้าประตูอี้โหย่วสิง ลงม้าอย่างพร้อมเพรียง อาวุธชุดเกราะกระทบดังเกรียวกราว สะพรึงคนยิ่งนัก


บรรดาทหารกระจายตัวยืนอยู่ด้านหน้าประตู สีหน้าเคร่งขรึม แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้าไม่ได้บุกฝ่าประตูเข้าไป แต่กลับจัดเสื้อผ้า


“อาจารย์เหลย” เขาเร่งเสียงตะโกนเรียก


เหลยจงเหลียนได้ยินเสียงเดินออกมาจากข้างใน มองเห็นแม่ทัพผู้นี้ก็ขมวดคิ้ว


“แม่ทัพเถียน” เขาเอ่ยขึ้น “ทำไมท่านมาอีกแล้วเล่า?”


คนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพเถียนหัวเราะ


“ใต้เท้าของพวกข้าบอกว่า ต้องเยือนกระท่อมฟางสามหน” เขาเอ่ยขึ้น “ดังนั้นข้าจึงมาเชิญท่านอีกครั้ง”


แม้กระทั่งเยือนกระท่อมฟางสามหน[1]ก็ออกมาแล้ว! กับคนพิการคนหนึ่ง?


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่เบิกตาโตไม่อยากเชื่อ


เหลยจงเหลียนไม่มีท่าทางตกใจเพราะได้รับความเมตตาอันใด ตรงกันข้ามกลับกลุ้มอยู่บ้าง


“แม่ทัพใหญ่เถียน ข้าบอกไปแล้ว ได้รับความโปรดปรานจากใต้เท้า แต่ข้าไม่อาจไปเป็นกำลังให้ใต้เท้าในกองทหารเมืองหวยชิ่งได้จริงๆ ” เขาถอนหายใจเอ่ยขึ้น ยื่นมือขวาของตนเองออกมา “แขนของข้าพิการแล้ว”


แม่ทัพใหญ่เถียนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าแสร้งทำเป็นสุภาพชนต่อไปไม่ไหว ได้ยินก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า ในดวงตาฮึกเหิมอยู่บ้าง


“อาจารย์เหลย ท่านอย่าถ่อมตนไปเลย ที่หุบเขาไป๋เห่อเหลียงวรยุทธ์ที่ท่านสังหารศัตรู พวกข้าล้วนเห็นกับตา” เขาเอ่ยขึ้น “พวกข้าสืบถามมาแล้ว เดิมทีท่านก็คือหอกคู่ดอกบัวนี่เอง ความสามารถด้านหอกคู่นี้ท่านกล่าวว่าเป็นที่สอง ย่อมไม่มีใครกล้ากล่าวว่าเป็นที่หนึ่งแล้ว”


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ฮือฮา มองเหลยจงเหลียนอย่างไม่อยากเชื่อ


ชื่อเสียงของหอกคู่ดอกบัวกับกำปั้นจางใกล้เคียงกัน คนที่เคยได้ยินไม่ใช่จำนวนน้อย แต่ว่าใครก็ไม่เคยคิดเชื่อมโยงหอกคู่ดอกบัวกับตาเฒ่าเหลยคนรถที่ไม่สะดุดตาคนนี้ของเต๋อเซิ่งชางเข้าด้วยกัน


เหลยจงเหลียนถอนหายใจเบาๆ


“ใต้เท้า มือของข้าใช้หอกคู่ไม่ได้นานแล้ว สิบสี่ปีก่อนคุ้มครองส่งนายท่านฟางพบโจรร้าย มือของข้าก็ได้รับบาดเจ็บเสียไปจับหอกยาวไม่ได้อีก ศึกนั้นที่หุบเขาไป๋เห่อเหลียง เป็นนายหญิงน้อยฟางใช้เข็มทองทะลวงเส้นชีพจรให้ข้า ทำให้ข้าได้ต่อสู้ครั้งสุดท้าย หลังศึกผ่านพ้นมือของข้าก็พิการโดยสมบูรณ์” เขาเอ่ยขึ้น “ดังนั้นตัวข้าที่พวกท่านได้เห็นในศึกที่หุบเขาไป๋เฮ่อเหลียง ไม่มีทางปรากฏขึ้นอีกแล้ว ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”


เสียงอื้ออึ้งด้านหน้าประตูฉับพลันเงียบหาย คนทั้งหมดมองเหลยจงเหลียน


มือพิการ นายหญิงน้อยฟางฝังเข็มทองฟื้นกลับคืน หนึ่งศึกตะลึงผู้คน


ทำไมสุดท้ายดูเหมือนจะจบอยู่ที่ตัวนายหญิงน้อยฟางอีกแล้ว?


ข้อมูลในนี้มากเกินไป ทุกคนฟังจนมึนงงอยู่บ้าง


“นี่ นี่ก็เป็นหน้าม้าที่ตระกูลฟางใช้เงินซื้อมาหรือ?” มีคนพึมพำเอ่ยขึ้น “นี่หาหน้าม้ามามากเกินไปหรือไม่ อ้อมโลกใหญ่เกินไปแล้วไหม?”


……………………………………….


[1] เยือนกระท่อมสามหน (连三顾茅) สำนวนที่มาจากเรื่องสามก๊กตอนที่เล่าปี่ไปเยือนกระท่อมของขงเบ้งสามครั้งเพื่อเชิญขงเบ้งมาเป็นกุนซือให้ฝั่งตน

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 103

 

บทที่ 103 ผู้คนล้วนมีอดีต

โดย

Ink Stone_Romance

บรรดาชาวบ้านคิดมากเกินไปฟังจนสับสน แต่แม่ทัพใหญ่เถียนที่ความคิดเรียบง่ายกลับเข้าใจอย่างยิ่ง


เพราะเขารู้ว่าตนเองต้องฟังอะไร ดังนั้นบนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความเสียดาย


ต้องเสียไปเช่นนี้แล้วหรือ?


“ใต้เท้าเถียนไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย” เหลยจงเหลียนเอ่ยขึ้น บนใบหน้าที่นิ่งสนิทมาเสมอปรากฏรอยยิ้ม “ข้าทำความปรารถนาในใจสำเร็จแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก แม้ต้องจ่ายราคาก็คุ้มค่าแล้ว”


นั่นก็ใช่ ในสนามรบสังหารศัตรูได้คนหนึ่ง ก็นับว่าตายไม่เสียดายแล้ว


แม่ทัพใหญ่เถียนยิ้มสบายอารมณ์แล้ว


“แต่อาจารย์เหลยแม้ท่านไม่อาจเข้าสนามรบด้วยตนเองได้ แต่ก็สั่งสอนบรรดาทหารได้นะ” เขาเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นผู้ฝึกสอนคนหนึ่งได้นิ”


เหลยจงเหลียนพยักหน้า


“ใช่ข้าก็คิดไว้เช่นนี้เหมือนกัน แม้มือของข้าพิการแล้ว ไม่อาจควงหอกคู่เผชิญศัตรูได้แล้ว แต่ตัวข้ายังไม่พิการ ใจก็ยังไม่พิการ ข้ายังสั่งสอนศิษย์ได้ ถ่ายทอดหอกคู่ต่อไป” เขาเอ่ยขึ้น


ก่อนหน้านี้แขนของเขาเสีย คนทั้งคนก็เสียตามไปด้วย แต่ตอนนี้มือเสียไปจริงๆ แล้ว คนกลับยิ่งมีชีวิตชีวา


แม่ทัพใหญ่เถียนยินดียิ่ง


“ถ้าเช่นนั้นอาจารย์เหลยรีบไปกับพวกข้าเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าของพวกเราขอหนังสือรับตำแหน่งจากเบื้องบนมาแล้ว อาจารย์ท่านมาก็จะได้รับตำแหน่งขุนนางครึ่งขั้นเก้าได้ทันที”


แม้เป็นขุนนางทหารครึ่งขั้นเก้าคนหนึ่ง แต่นั่นก็ยังเป็นขุนนาง คนมากน้อยเท่าไรทั้งชีวิตเป็นทหารก็ ไม่อาจได้มา


เหลยจงเหลียนผู้นี้ถึงกับได้คำมั่นเช่นนี้ จากประชาชนรากหญ้ากระโดดทีหนึ่งเป็นขุนนาง


ดวงตาของชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่เบิกกว้างแล้ว


นี่เป็นเรื่องดีงามขนมสอดไส้ร่วงลงมาจากฟ้าชัดๆ คนโง่ยังรู้จักรับไว้


เหลยจงเหลียนไม่ใช่คนโง่ แต่ยังคงไม่รับไว้ เขาคำนับเอ่ยขอบคุณ


“ขอบพระคุณใต้เท้าส่งเสริม ผู้แซ่เหลยยังคงไม่อาจรับคำสั่งได้” เขาเอ่ยขึ้น


แม่ทัพใหญ่เถียนผู้ตรงไปตรงมาทนไม่ไหวโมโหหงุดหงิดแล้ว


“ท่านก็เป็นคนฝึกยุทธ์ ลูกผู้ชายในยุทธภพคนหนึ่ง ทำไมปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่าพูดพร่ำต่อรองราคาเหมือนเช่นบัณฑิตพวกนั้นเล่า” เขาเอ่ยขึ้น “ก็ไม่กลัวบอกแก่เจ้า ขุนนางครึ่งขั้นเก้านี่เป็นขีดสุดที่ใต้เท้าของพวกข้าทำได้แล้ว ให้หนทางก้าวหน้าใหญ่กว่านี้ให้เจ้าไม่ได้แล้ว”


เหลยจงเหลียนไม่ได้โกรธ


“ใต้เท้าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าไม่อาจรับคำสั่ง ประการที่หนึ่งหอกคู่ของข้าเหมาะกับการท่องยุทธภพต่อสู้ตัวต่อตัว ไม่เหมาะกับบรรดาทหารร่ำเรียน บรรดาทหารยังคงร่ำเรียนวิชาหอกที่เรียบง่ายหน่อยแต่ได้ผลจำนวนหนึ่งแล้วพิถีพิถันกับกระบวนทัพและการร่วมมือกันในสนามรบจะดีกว่า เช่นนี้เทียบกับหอกคู่ของข้ากลับร้ายกาจยิ่งกว่า” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ


แม่ทัพใหญ่เถียนสีหน้าผ่อนคลายลง


“ท่านพูดก็ถูก” เขาเอ่ยขึ้น “ร่ำเรียนวิชาหอกของท่านต้องทุ่มเวลาและความตั้งใจมากยิ่งนัก ทหารเหล่านี้ของพวกเราไม่มีเวลาเช่นนี้จริงๆ แต่ท่านก็ทำให้วิชาหอกของท่านง่ายลงได้นี่ เช่นนี้ใช้กับกระบวนทัพการต่อสู้เป็นหมู่ต้องมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแน่”


เหลยจงเหลียนขอบคุณอีกครั้ง


“ขอบพระคุณความเมตตาของใต้เท้า” เขาเงยหน้าขึ้น “นอกจากประการแรกแล้ว ยังมีที่สำคัญยิ่งกว่าอีกหนึ่งประการก็คือข้าต้องการทำอี้โหย่วสิงขึ้นมาอีกครั้ง จะได้ไม่ผิดต่ออาจารย์และเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เสียไป”


พูดถึงตรงนี้เสียงก็ขมขื่นไปบ้าง


“ข้าให้พวกเขารอมาสิบสี่ปีแล้ว ไม่อาจรอต่อไปได้อีกแล้ว”


จงรักภักดีกตัญญูยึดถือธรรมเนียมคุณธรรม นี่เป็นความเชื่อที่แม่ทัพใหญ่เถียนเคารพเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่บีบบังคับคนให้ฝืนความเชื่อนี้ เอ่ยประโยคเคารพเหลยจงเหลียนอีกหลายประโยคก็ขึ้นม้าพาทหารเร่งรีบจากไปอย่างฉับไว


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่หน้าประตูรุมเข้ามา


“ตาเฒ่าเหลย จะเชิญเจ้าไปเป็นขุนนางจริงหรือ?”


“นี่เรื่องอะไรกัน? มือของเจ้าพิการจริงๆ แล้วหรือ?”


“เจ้าคือหอกคู่ดอกบัว? เจ้าเป็นหอกคู่ดอกบัวจริงๆ?”


คำถามนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่เหลยจงเหลียน เหลยจงเหลียนไม่ได้ตระหนกทำอะไรไม่ถูก แต่แปะประกาศรับสมัครลูกศิษย์ใบหนึ่งไว้นอกประตู หลังจากนั้นก็ปิดประตูดังปัง


ถึงกับไม่มีเจตนาจะคุยสักนิด


“เหลยจงเหลียนคนนี้ก็เป็นเช่นนี้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยกับฟางอวี้ซิ่ว “คนแข็งทื่อยิ่งนัก ให้เขาทำอะไรเขาก็ทำอันนั้น ประโยคหนึ่งไม่ได้พูดถึงเขาก็จะไม่พูดเพิ่มสักประโยคไม่ทำเพิ่มสักก้าว”


“ให้เงินก็ไม่ได้?” ฟางอวี้ซิ่วตั้งใจเอ่ยถาม


ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า


“ให้เงินก็ไม่ได้” เขาตอบอย่างตั้งใจ


ฟางอวี้ซิ่วเม้มปากยิ้ม


“คุณหนูจิ่วหลิงร้ายกาจจริงๆ นะ” นางถอนหายใจพูดออกมาอีกครั้ง


“ใช่ นางร้ายกาจมาก” ฟางเฉิงอวี่ก็ถอนหายใจตาม ดูชาวบ้านที่รวมตัวถกเถียงกันครึกครื้น บนหน้ารอยยิ้มยิ่งกดลึก “ทุกคนควรรู้ความร้ายกาจของนาง”


แม้เหลยจงเหลียนไม่ได้พูดเรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างละเอียด แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางเรื่องไม่ให้แพร่ออกไป อย่างไรนอกจากเหลยจงเหลียน ตระกูลฟางก็ยังมีผู้คุ้มกันคนอื่นเข้าร่วมด้วย


นักเล่านิทานหยางเฉิงดีใจอีกครั้งในทันที เสียเงินทองร่อนได้รายละเอียดของเหตุการณ์ตอนเผชิญการดักซุ่ม ฝ่ากับดับ โซเซผ่านสนามรบ โครงเรื่องของช่วงเวลาอันตรายแสดงพลังเช่นนี้ยิ่งดึงดูดคน พัดตลบไปทั้งเมืองทันที แย่งพื้นที่ซึ่งถูกคนหรู่หนานยึดครองไปคืนมาได้ใหม่อีกครั้ง


แม้นิทานเรื่องนี้ตัวเอกคือเหลยจงเหลียน แต่ภาพลักษณ์ของคุณหนูจวินกลับถูกเสริมให้เพิ่มความลึกลับและร้ายกาจ


คนมากมายรู้สึกว่าคุณหนูจวินที่ตนเองรู้จักคุ้นเคยที่แท้ไม่ใช่เช่นนี้ รอคอยยิ่ง อยากเห็นคุณหนูจวินตอนนี้นัก ทว่าน่าเสียดายที่คุณหนูจวินออกจากบ้านไปแล้ว


นี่ยิ่งยืนยันว่าการแต่งงานของคุณหนูจวินเป็นเรื่องหลอก


ไม่เช่นนั้นจะวิ่งวุ่นทุกแห่งตามใจเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มีแต่ญาติที่มาเป็นแขกถึงจะเป็นเช่นนี้ได้ เป็นสะใภ้ของผู้อื่นย่อมไม่อิสระเช่นนี้


“คุณหนูจวินมีธุระสำคัญต้องทำ”


“ได้ยินมาว่าถูกเชิญไปรักษาโรค”


“ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน พวกเราช้าไปก้าวหนึ่งไม่ทันให้คุณหนูจวินตรวจโรคสั่งยาให้”


“คุณหนูจวินต้องกลับมาสิ รอคุณหนูจวินกลับมาพวกเราก็ไปลองดู”


“แต่คุณหนูจวินกลับมาเมื่อไรเล่า”


นายหญิงน้อยฟางคำเรียกนี้ค่อยๆ ไม่มีใครพูดถึง คนหยางเฉิงก็เริ่มเรียกขานว่าคุณหนูจวินหรือคุณหนูจิ่วหลิงตามความคุ้นชินของชาวหรู่หนาน นอกจากนี้ยังรอคอยการกลับมาของคุณหนูจวินอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย


เทียบกับคนหยางเฉิงที่รอคอยคุณหนูจวินกลับมาด้วยความอยากรู้ คนตระกูลฟางกลับเป็นห่วงยิ่งกว่าว่าคุณหนูจวินไปถึงที่ใดแล้ว


“วันนี้ควรถึงที่ใดแล้ว…” ฟางเฉิงอวี่กางแผนที่มองด้านบนอย่างละเอียดหลายรอบ ถึงชี้จุดหนึ่งเอ่ยขึ้น


ฟางอวี้ซิ่วและฟางอวิ๋นซิ่วยังไม่ทันก้าวเข้ามาดูให้ละเอียด ฟางเฉิงอวี่ก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง


“ไม่ถูก” เขาเอ่ย มือไหลเลื่อนไปบนแผนที่ “ควรเป็นที่นี่ จิ่วหลิงคุ้นเคยกับการเดินทางข้างนอก ครั้งนี้ไม่พาข้าตัวถ่วงคนนี้ไปด้วย นางต้องยิ่งเดินทางเร็วแน่นอน”


ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ไหวหัวเราะขึ้น


“นางร้ายกาจขนาดนี้จริงหรือ อะไรก็รู้?” นางเอ่ยถาม


“แน่นอน…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบไม่ลังเลสักนิด “นางร้ายกาจมาก”


ฟางอวี้ซิ่วสะบัดพัดกลับไปนั่ง


“จำได้ว่าไม่นานก่อนหน้านี้น้องเล็กยังสาบานจากใจอยู่เลยว่าพี่สาวสองคนเป็นคนร้ายกาจที่สุด” นางเอ่ย “นี่เพิ่งนานเท่าไรกันหืม คนใหม่ก็เปลี่ยนคนเก่าแล้ว”


ฟางอวิ๋นซิ่วเม้มปากยิ้ม ฟางเฉิงอวี่มองข้ามไป


“พี่รอง คำพูดนี้ท่านไม่มีเหตุผล” เขาประหลาดใจและตั้งใจเอ่ยขึ้น “ใครบอกว่าผู้อื่นร้ายกาจแล้ว พวกท่านจะไม่ร้ายกาจแล้วเล่า?”


ฟางอวี้ซิ่วตะลึง ส่ายพัดยิ้มแล้ว


“มีเหตุผล…” นางเอ่ยขึ้น “ข้าผิดจริงๆ”


กำลังคุยเล่นกันอยู่ นายหญิงใหญ่ฟางเดินเข้ามา


“มีความสุขขนาดนี้?” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น


วันนี้ในบ้านทุกที่ล้วนเป็นเสียงหัวเราะ บรรยากาศทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นความสุข


“กำลังดูว่าน้องสาวเดินทางไปถึงที่ไหนเจ้าค่ะ…” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มตอบ


“เด็กคนนี้ตัวคนเดียวพาสาวใช้คนนั้นไปคนเดียว ช่างทำให้คนเป็นห่วงเหลือเกินจริงๆ…” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น


“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล น้องสาวแจ้งผ่านร้านแลกเงินกลับมาว่าเรียบร้อยดีทันท่วงทีเสมอ เห็นได้ว่ารู้สมควรอยู่มาก…” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มเอ่ย


นายหญิงใหญ่ฟางดวงตามีรอยยิ้ม


“ใช่ รู้ความกว่าก่อนหน้านี้มากแล้วจริงๆ…” นางยิ้มเอ่ยขึ้น


ฟางอวิ๋นซิ่วยังต้องการพูดอะไร ฟางอวี้ซิ่วก็เอ่ยปากก่อนก้าวหนึ่ง


“ท่านแม่พวกเราควรไปตรวจบัญชีแล้ว ทุกวันนี้แม้มีเฉิงอวี่ทำงาน แต่พวกเราร่ำเรียนมานานปีขนาดนี้ก็ไม่อาจเสียเปล่าได้นะเจ้าคะ…” นางยิ้มเอ่ยขึ้น


นายหญิงใหญ่ฟางพยักหน้า


“แน่นอนว่าไม่ได้ พวกเจ้าพี่น้องคนน้อย ย่อมต้องประคับประคองกันและกัน…” นางเอ่ย


ฟางอวี้ซิ่วกับฟางอวิ๋นซิ่วคำนับขอตัว


“เป็นอะไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเดินออกมาก็เอ่ยถาม


แม้ความคิดในใจนางไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่สังเกตสีหน้าไม่เป็น เห็นได้ชัดว่าฟางอวี้ซิ่วจงใจขอตัวออกมา


“ท่านแม่มีธุระจะพูดกับเฉิงอวี่…” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น มองสาวใช้สองคนที่เดินออกมาด้านนอกประตูบานหนึ่ง “พวกเราไม่เหมาะอยู่”


มีเรื่องอะไรพวกนางไม่เหมาะจะอยู่? ฟางอวิ๋นซิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง มองตามสายตาของฟางอวี้ซิ่วไป สีหน้าฉับพลันเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงด้วยทันที


สาวใช้คนหนึ่งกำลังนำสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา สาวใช้ที่เดินอยู่ด้านหลังก้มศีรษะขลาดกลัว หลิงจือที่ไม่ได้เห็นมานานนั่นเอง


……………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 104

 

บทที่ 104 ในสิบมีแปดเก้าสิ่งไม่สมหวัง

โดย

Ink Stone_Romance

ตั้งแต่ตอนนั้นที่จับภรรยารองซูออกมาได้ หลิงจือกับฟางจิ่นซิ่วก็ถูกคุมตัวไว้เหมือนกัน


เวลานั้นเพื่อล่อซ่งอวิ้นผิงออกมาจึงประกาศออกไปว่าหลิงจือตั้งครรภ์แล้วถูกภรรยารองซูทำร้าย


แน่นอนว่าวันนี้คนในบ้านล้วนรู้แล้วว่าหลิงจือท้องหลอก


แต่ท้องหลอกๆ นี่เป็นนางยินยอมหรือว่าถูกจัดการไม่แน่ชัด ดังนั้นต่อมาจึงไม่ได้ดูแลนางดีๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติแย่ๆ กับนาง เพียงหลงลืมนางไป


“อยู่ดีๆ พานางเข้ามาทำไม…” ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้ายุ่งเหยิงเอ่ยขึ้น


ฟางอวี้ซิ่วมองหลิงจือที่ก้มหน้าเดินเข้าไปในเรือนของฟางเฉิงอวี่


“เรื่องอย่างไรก็เกิดขึ้นแล้ว หลงลืมจะทำเป็นไม่มีอยู่ได้จริงๆ หรือ?” นางเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ก็คงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรน่ะ อย่างไรตอนแรกเรื่องก็เป็นเฉิงอวี่เขาก่อขึ้นมาเอง”


ใช่สิ เรื่องนี้ช่างทำให้คน…


“น้องเล็กก็จริงๆ เลย ทำไมถึง…” ฟางอวิ๋นซิ่วทั้งร้อนใจทั้งทอดถอนใจ


ฟางอวี้ซิ่วพรูลมหายใจ


“ใครจะรู้ภายหลังได้เล่า…” นางว่า


ใครจะรู้ว่าภายหลังคนที่ทำให้เขาเกลียดชังคนนั้นถึงกับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าบนยอดดวงใจของเขา


ฟางเฉิงอวี่ตั้งแต่กลับมาก็เปล่งประกายจับตาไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้มาตลอด แต่ไม่รู้ว่าเขามองเห็นหลิงจือจะหนักใจหรือไม่


คิดถึงตรงนี้ฟางอวี้ซิ่วก็อยากหัวเราะอยู่บ้าง


“ดังนั้นถึงพูดกันว่าเรื่องราวในชีวิตคนนี้ไม่มีงดงามสมบูรณ์พร้อม ในสิบมีแปดเก้าสิ่งไม่ได้ดั่งใจ…” นางเอ่ยขึ้น


ฟางเฉิงอวี่ในใจก็ผุดประโยคนี้ขึ้นมาเช่นกัน เมื่อเขามองเห็นหลิงจือยืนอยู่ตรงกรอบประตู


เขาไม่ได้หลงลืมเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดจริงๆ ว่าข้ามไปแบบนี้ต่อไปจะไม่ถูกยกขึ้นมาอีก เพียงแต่ตลอดมาไม่ไปคิดเท่านั้น


ก็ไม่อาจพูดได้ว่าไม่ไปคิด เขาเคยคิดมาหลายครั้ง หลายครั้งตอนที่มองเห็นคุณหนูจวินอยากพูดเรื่องนี้


ครั้งนั้นคุณหนูจวินบุกป่าฝ่าดงกลับมา เขาอ้างว่ามีธุระพูดกับนางหลอกนอนบนเตียงเดียวด้วยกันกับนางเหมือนเก่า ที่จริงไม่ใช่แสร้งมีข้ออ้าง เขาอยากพูดเรื่องนี้กับนาง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยปาก


ยังมีตอนที่คุณหนูจวินจะออกจากบ้านไปยังเมืองหลวง คุณหนูจวินถามเขาว่ายังมีเรื่องอะไรอยากถามอยากพูดอีก ที่จริงเขาก็คิดจะพูดเรื่องนี้อยู่นิดๆ แต่ก็…


ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจ คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดกลัดกลุ้มลำบากใจ


พูดแล้วมีประโยชน์อะไร เรื่องก็ทำไปแล้ว ความเกลียดชังในอดีตก็เป็นของจริงเช่นกัน


มองฟางเฉิงอวี่ขมวดคิ้วถอนหายใจ นายหญิงใหญ่ฟางก็วิตกอยู่บ้าง


“เฉิงอวี่ ข้าไม่ได้จะมาให้เจ้าลำบากใจ…” นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “อย่างไรตอนแรกเจ้ากับหลิงจือ…”


คำพูดนี้พูดออกจากปากไม่ลงจริงๆ โชคดีที่ฟางเฉิงอวี่เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังเหมือนกัน


“อา ใช่…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยปากขัดนาง


ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง


“เฉิงอวี่ ข้าไม่ได้จะเพิ่มความหนักใจให้เจ้า…” นายหญิงใหญ่ฟางสูดหายใจลึกเอ่ยขึ้นเด็ดขาด


นางไม่ใช่มองไม่เห็นความชมชอบที่ฟางเฉิงอวี่มีต่อคุณหนูจวิน นางไม่ใช่เด็กน้อยไม่เดียงสาเรื่องโลก แล้วฟางเฉิงอวี่ก็ไม่ได้ปิดบังความรักชอบของตนเองสักนิด


“เพียงแต่ตอนที่นางยังไม่ได้ยกขึ้นมาพูด เจ้าก็ประกาศไปข้างนอกว่าเจ้ากับนางไม่ได้แต่งงานกัน การแต่งงานของพวกเจ้าเป็นเรื่องหลอก…” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยจึ้น “พวกเจ้าไม่ใช่สามีภรรยา พวกเจ้าเป็นเพียงพี่สาวกับน้องชาย ข้า ข้าไม่รู้ว่าในใจเจ้าคิดอย่างไร ดังนั้นเรื่องหลิงจือ ข้าก็ไม่กล้าตัดสินใจแทนเจ้าแล้ว…”


หากฟางเฉิงอวี่แสดงความต้องการออกมาชัดๆ ในฐานะมารดาคนหนึ่ง จัดการเรื่องเหลวไหลไร้สาระยามเยาว์วัยสักเรื่องแทนบุตรชายนั่นย่อมไม่มีอะไรง่ายดายและสมเหตุสมผลไปมากกว่านี้


นางมีร้อยวิธีทำให้หลิงจือหายไป แต่นางกลับไม่อาจทนให้บุตรชายมีความเสียใจแม้แต่น้อยในหัวใจ


ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือมานวดใบหู


“ไม่ ไม่ ท่านแม่ ที่ท่านทำไม่ผิด…” เขาสูดหายใจลึกทีหนึ่งยิ้มเอ่ยขึ้น “นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องของข้า จะให้ท่านแม่ตัดสินใจแทนข้า แบกรับผลที่ตามมาแทนข้าได้อย่างไร”


นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางเฉิงอวี่ดีใจ หัวใจอบอุ่นจนจะละลายแล้ว ยื่นมือลูบหัวไหล่ของฟางเฉิงอวี่


นี่คือบุตรชายของนางล่ะ นี่คือบุตรชายที่ดีที่สุดในใต้หล้าล่ะ


“เรื่องนี้ท่านแม่ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว…” ฟางเฉิงอวี่คล้องแขนนายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเอ่ยขึ้น “มอบให้ข้าเถอะ ท่านทำให้สบายเป็นนายหญิงมีความสุขเถอะขอรับ”


นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มจิ้มหน้าผากเขานิดหนึ่ง ตอนนี้ถึงมองตรงไปยังหลิงจือที่คุกเข่าอยู่ที่มุมประตู


“ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปก่อน เจ้าก็ระวังเรื่องการพักผ่อน ร่างกายเพิ่งหายดีนะ พี่สาวของเจ้าก็บอกแล้ว เจ้ายังต้องค่อยๆ บำรุง…” นางว่า


เรื่องที่พี่สาวบอกย่อมต้องเชื่อฟัง ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า


มองนายหญิงใหญ่ฟางจากไป รอยยิ้มบนหน้าของฟางเฉิงอวี่ก็ค่อยๆ หายไป ม่ายตงกับไป๋เสาเงยหน้าอย่างระวังระไวอยู่ด้านนอกประตู เหล่มองหลิงจือที่คุกเข่าอยู่บนพื้นทีหนึ่งเป็นพักๆ


หลิงจือไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือตื่นเต้น ทั้งร่างสั่นเทา


คืนนั้นที่เรื่องเกิดขึ้นคิดว่าตนเองตายแน่แล้ว คิดไม่ถึงมีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้ แต่มีชีวิตอยู่นี่ก็ทนทรมานจริงๆ


จนกระทั่งถูกนายหญิงใหญ่ฟางพาออกมา นางถึงรู้ว่าฟางเฉิงอวี่กลับมาแล้ว


นางตกใจจริงหวิดจะก้าวเดินไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าอีก


ในใจนางยังหวังโชคดีอยู่น้อยนิด ตอนแรกคนเหล่านั้นไม่ได้บอกว่ามีคนเกิดสภาวะครรภ์หลอกได้หรือ อย่างไรนางก็ทำเรื่องใกล้ชิดขนาดนั้นกับนายน้อยแล้ว แม้ท้ายที่สุดไม่ได้ไปถึงขั้นสุดท้าย แต่นางยังเล็กย่อมไม่เข้าใจ คิดว่าลูบคลำใกล้ชิดจะตั้งครรภ์ก็ไม่แปลก


อีกอย่าง นายน้อยก็คงจะชอบนางด้วยล่ะมั้ง


หลิงจือคุกเข่าอยู่บนพื้นตั้งแต่เข้าประตูมาก็ไม่กล้าเงยศีรษะ ได้ยินเพียงเสียงพูดใสกังวานของเด็กหนุ่ม รวมไปถึงชายเสื้อที่สะบัดไหวตามการเดิน รองเท้างดงาม รวมถึงกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ


นายน้อยก่อนหน้านี้นางชอบ นายน้อยเช่นนี้ตอนนี้นางย่อมยิ่งชอบ


นางอดไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา ฟุบศีรษะลงบนพื้น


ไป๋สาวม่ายตงด้านนอกประตูรีบหดกลับไปยืนดีๆ


“เจ้าออกไปเถอะ”


ราวกับผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ราวกับผ่านไปพริบตาเดียว เสียงของฟางเฉิงอวี่ก็เอ่ยขึ้น


ไม่ได้ดุด่าไม่ได้เอ่ยถามไม่มีอะไรทั้งสิ้น หลิงจือไม่รู้ควรทำอย่างไรอยู่บ้าง


หลังจากนั้นให้นางออกไป ออกไปไหน?


ไป๋เสา ม่ายตงอยู่ด้านนอกก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน


“นายน้อย…” หลิงจือในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นเอ่ยเรียกเสียงเครือ


คำพูดเพิ่งออกจากปากก็ถูกฟางเฉิงอวี่เอ่ยขัด


“ออกไปเถอะ จัดห้องห้องหนึ่งให้นาง ไม่ต้องรับใช้ข้า…” เขาเอ่ย พูดจบคนก็หมุนตัวเข้าไปห้องด้านใน


หลิงจือเงยหน้าเห็นแต่แผ่นหลังเหยียดตรงสง่างามของนายน้อย


“เจ้ารีบไปเถอะ…” ม่ายตงและไป๋เสาไม่กล้าชักช้า เข้ามากดเสียงเบาเอ่ยเร่ง


พวกนางเคยถูกหลิงจือลากลงโคลนไปแล้ว ถูกหลิ่วเอ๋อร์สาวใช้คนนั้นด่าเหมือนสุนัข ตอนนี้อย่าถูกนางลากลงโคลนให้นายน้อยไล่ออกไปเลย


หลิงจือก็ไม่กล้าชักช้า กลัวจะทำให้ฟางเฉิงอวี่โกรธ ถ้าอย่างนั้นหนทางรอดสักนิดนางก็คงไม่มีแล้ว


ฟางเฉิงอวี่ยืนอยู่ที่ห้องด้านใน บนหน้าไม่มีรอยยิ้มสำราญใจ มองสาวใช้คนนั้นในลานผ่านหน้าต่าง


อืม อืม นี่ควรทำอย่างไรเล่า


เขาหันหน้ามองไปด้านในห้องอีกครั้ง


เตียงว่างเปล่า ห้องว่างเปล่า ไม่เคยรู้สึกว่าความเงียบสงบน่าชังเช่นนี้


“จิ่วหลิงอา…” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่ได้รับความยุติธรรมทั้งน่าสงสาร “เมื่อไรเจ้าจะกลับมานะ”


สายลมร้อนกลางเดือนหกพัดปะทะใบหน้าตามการเร่งฝีเท้าของม้า แม้สวมผ้าคลุมหน้าสวมหมวก หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงต้องหรี่ตา กอดคุณหนูจวินด้านหน้าตัวไว้แน่นกว่าเดิม


“คุณหนู ท่านกระหายหรือไม่เจ้าคะ?”


แม้ตลอดทางได้คุณหนูดูแล แต่หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังพยายามสุดกำลังทำหน้าที่ของสาวใช้


ด้านหน้าคุณหนูจวินที่แต่งกายเช่นเดียวกับนางคุมบังเหียนม้าไว้สบายๆ ขาเท้าแตะท้องม้าเป็นจังหวะปรับความเร็ว


“ไม่กระหาย อีกเดี๋ยวก็จะมองเห็นเมืองหลวงแล้ว…” นางเอ่ยขึ้น


จะถึงแล้วหรือ?


หลิ่วเอ๋อร์ผู้เหน็ดเหนื่อยจากการโคลงเคลงบนม้า ฉับพลันยืดหลังตรงมองไปข้างหน้าทันที


ใต้แสงตะวันร้อนระอุ เมืองแห่งหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากใต้เส้นขอบฟ้า ปรากฏในสายตาของนาง


“คุณหนู คุณหนู พวกเราต้องไปที่ไหนก่อนเจ้าคะ?”


แม้ตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดทาง แต่นาทีนั้นเมื่อมองเห็นเมืองหลวงเข้าจริงๆ หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงตื่นเต้นลนลาน


ถามคำนี้ออกมานางก็เสียใจแล้ว


คุณหนูก็เพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรกเหมือนกันนี่ ตนเองไม่รู้จะไปที่ไหน คุณหนูก็ย่อมไม่รู้


หลิ่วเอ๋อร์กำลังจะพูดต่อ คุณหนูจวินด้านหน้าร่างก็ผ่อนสายบังเหียน หยิบม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากบนหลังม้ากางออก ปล่อยมือปล่อยม้าเดินอย่างนั้น


หลิ่วเอ๋อร์เบิกตาโตมองม้วนกระดาษแผ่นนั้นข้ามหัวไหล่ของคุณหนูจวิน


“แผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวง” นางอ่านตัวหนังสือตัวใหญ่สะดุดตาที่เบี้ยวโย้เย้ด้านบนนั้น


……………………………………….


บทที่ 105 ที่เล็กน้อยก็ใส่ใจยิ่ง

โดย

Ink Stone_Romance

แผนที่แผ่นนี้หลิ่วเอ๋อร์ไม่แปลกหน้า


แผ่นที่นี่ผู้ดูแลเกาส่งมาให้ ต่อมาคุณหนูสั่งให้นางคืนแผนที่แผ่นนี้ให้ผู้ดูแลเกา คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะเอากลับมาอีก


แต่นางไม่แน่ใจนักว่าแผนที่นี้ใช้ทำอะไร


“แผนที่นี้น่ะ ที่วาดไว้คือสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นในเมืองหลวง…” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น มุมปากแต้มรอยยิ้ม “แม้ไม่สวย หยาบอยู่มาก แต่ก็ชัดเจนกระจ่างแจ้ง สำหรับพวกเราคนที่มาเมืองหลวงครั้งแรกเหล่านี้แล้วมีประโยชน์ยิ่งนัก”


หลิ่วเอ๋อร์พิงหัวไหล่นางมองแผนที่


“เอ คุณหนูท่านดู…” นางยื่นมือชี้บนแผนนที่ “ตรงนี้ยังมีห้องส้วมด้วย…”


พูดพลางหัวเราะคิกคัก


“ดีเหลือเกิน พวกเราไม่ต้องกลัวหาห้องส้วมไม่เจอแล้ว นี่สำคัญที่สุดเชียว”


กิจเร่งด่วนทั้งสามของคน[1]สำคัญที่สุดอย่างแท้จริง นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมแผนที่นี้ถึงได้รับความนิยมเช่นนี้


คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า


จูจั้น


นางเงยหน้ามองไปทางด้านหน้า


ตลอดทางที่เดินทางมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าใกล้เมืองหลวง ศาลาพักม้าก็ดี โรงเตี๊ยมก็ดี ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแผนที่นี้ขายอยู่


แผนที่นี้แม้ทางการจะตรวจสอบ แต่เวลาส่วนมากก็ลืมตาข้างหลับตาข้าง เพราะแผนที่จำนวนหนึ่งก็เป็นคนที่ศาลาพักม้าขายอยู่


นายศาลาในศาลาพักม้าส่วนมากฐานะเป็นนายทหาร เห็นได้ชัดว่าถูกจูจั้นใช้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์แบบ


จูจั้นได้เงินทองกองย่อมๆ กองหนึ่งแล้ว อย่ามองว่าหนึ่งอีแปะสองอีแปะไม่นับเป็นเงิน สู้จำนวนมากไม่ได้หรอก


คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม


แม้มองเห็นตัวเมืองของเมืองหลวงแล้ว แต่เดินทางขึ้นมาก็ยังมีระยะห่างช่วงหนึ่ง


เมืองหลวงแม้บอกว่าเป็นบ้านของนาง แต่บ้านก็มีเพียงสถานที่ผืนน้อยนั่นในพระราชวังเท่านั้น เวลาอื่นนางล้วนอยู่ต่างถิ่น เมืองหลวงนางไม่คุ้นเคยนักจริงๆ


นางเคยระหกระเหินอยู่ข้างนอกไปมาเร่งรีบไม่มีเวลาเดินเที่ยวเมืองหลวง ต่อมาแต่งงานไม่ออกไประหกระเหินแล้ว ลู่อวิ๋นฉีบอกว่าจะพานางไปกินดื่มเที่ยวเล่นในเมืองหลวง เพียงแต่แต่งงานปีแรกนางไม่มีกะจิตกะใจ ปีที่สองนางก็ตายเสียแล้ว


คุณหนูจวินก้มศีรษะลงมองแผนที่ในมืออีกครั้ง


แต่ตอนนี้ดีแล้ว มีแผนที่แผ่นนี้ นางก็ไปเดินเที่ยวสนุกสนานเองได้แล้วเหมือนกัน


“หลิ่วเอ๋อร์ เหนื่อยหรือไม่?” นางหันกลับไปมองสาวใช้ตัวน้อยเอ่ยขึ้น


ขี่ตะบึงมาตลอดทางเช่นนี้ แม้กระทั่งผู้ชายตัวใหญ่บางคนยังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับสาวใช้ที่นั่งนอนยืนเดินถูกประคบประหงมจนชินเหมือนคุณหนูตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง


ตอนแรกเริ่มหลิ่วเอ๋อร์ลงจากม้าเดินยังไม่ไหว แต่ตลอดทางมานี้นางก็อดทนมาได้


หลิ่วเอ๋อร์ส่ายศีรษะให้นาง


“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ…” นางเอ่ยเสียงดัง รู้แล้วว่าคุณหนูต้องการทำอะไร นางยื่นมือกอดเอวคุณหนูจวินไว้แน่น “คุณหนู พวกเรารีบเดินทางกันเถอะ”


คุณหนูจวินตบเบาๆ บนมือของนาง


“หลิ่วเอ๋อร์เก่งจริงๆ…” นางเอ่ยขึ้น “นั่งให้ดี”


เก็บแผนที่เข้าไป กำสายบังเหียนแน่น ม้าห้อตะบึงบนถนนใหญ่ฝุ่นฟุ้งเป็นควันลอยตลบ



ด้านในโรงน้ำชาซึ่งรายล้อมด้วยร่มไม้ในเมืองหลวง ความร้อนระอุถูกลดทอนลงไปมาก


หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ข้างหน้าต่างมองถนนที่ร่มไม้กระจายไปทั่ว น้ำชาในมือถือไว้เนิ่นนานแล้ว


“อวิ๋นเจา อวิ๋นเจา เติมน้ำชา”


บรรดาสหายด้านหลังร่างร้องเรียก


หนิงอวิ๋นเจาหันหน้ามามองผู้คนยกถ้วยน้ำชาขึ้น


“อย่างไรเจ้าก็นั่งไม่ลง ไม่สู้เติมน้ำชาให้พวกเรา…” พวกเขาหัวเราะเอ่ยขึ้น


หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะแล้ว เดินไปด้านข้างตามคำบอกชงน้ำชาด้วยตนเอง


“อวิ๋นเจา ที่บ้านเจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม…” สหายคนหนึ่งเดินมาเอ่ยถามเสียงเบาอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ข้าเห็นเจ้าช่วงนี้รอจดหมายจากที่บ้านอยู่ตลอด”


หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะแล้ว


“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยตอบอย่างจริงใจ มองความเป็นห่วงของสหายแล้วคิดนิดหนึ่ง “ไม่ใช่เรื่องของบ้านข้า เป็นเรื่องอื่นบางอย่าง”


คำตอบเช่นนี้จริงใจยิ่งนัก สหายก็รู้จักสมควร แม้ในใจสงสัยอยากรู้ แต่ก็เข้าใจว่าหากถามต่ออีกจะเสียมารยาท ทำให้ทุกคนกระอักกระอ่วน


“ไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว…” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น


สิ้นเสียงด้านนอกประตูเสียงฝีเท้าดังตึงตึง ตามติดด้วยประตูถูกดึงเปิด บัณฑิตคนหนึ่งเหงื่อโชกศีรษะวิ่งเข้ามา


“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่…” เขากดเสียงลงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น


คนในห้องล้วนตกใจมองที่เขา


“ขุนนางหัวหน้าผู้คุมสอบของเดือนสามปีหน้ากำหนดแล้วหรือ?”


“เร็วขนาดนี้หัวข้อก็หลุดออกมาแล้วหรือ?”


“สอบใหญ่ยกเลิกรึ?”


ยิ่งถามยิ่งไม่เข้าท่า ผู้ที่มาสบถทีหนึ่งโบกมือ ไม่ทันนั่งลงก็ยกน้ำชาถ้วยหนึ่งดื่มคำใหญ่


“เป็นข่าวใหญ่ของหัวหน้ากองพันลู่…” ตอนนี้เขาถึงกดเสียงเอ่ยขึ้น


คนที่นั่งอยู่นั่งตัวตรงทันที


“จอมวายร้ายถูกยึดทรัพย์แล้วรึ?”


“จอมวายร้ายถูกแทงสังหารแล้วรึ?”


มีคนโพล่งถาม ไม่รอผู้ที่มาตอบสหายอีกคนก็หัวเราะแล้ว


“เป็นไปไม่ได้…” เขาเอ่ย “พวกเจ้ายังไม่ได้ยินหรือ? กัวเหล่าหนูขันทีพิธีการ นั่นเป็นถึงขันทีที่ติดตามองค์ฮ่องเต้มาตั้งแต่ตำหนักเดิม หลายวันก่อนหน้าเพิ่งถูกองค์ฮ่องเต้ใช้แท่นฝนหมึกทุบศีรษะแตก ถูกลากออกไปลงโทษโบยเกือบตายเดี๋ยวนั้น ไล่ไปเฝ้าสุสานของอดีตองค์ฮ่องเต้แล้ว”


“นี่ได้ยินมาแล้ว เพราะกัวเหล่าหนูรับเงินคนจงใจเก็บฏีกาไว้นาน ถูกฝ่าบาทค้นพบเข้า ฝ่าบาทเกลียดขันทีที่สร้างอำนาจที่สุดถึงลงโทษหนักหนาเช่นนี้” คนเอ่ยตอบ


วิธีปฏิบัติเช่นนี้ของฮ่องเต้บรรดาขุนนางใหญ่ชื่นชอบยิ่งนัก ทำให้ฮ่องเต้เพิ่มชื่อเสียงสุจริตไปอีก


“ทำไม? หรือนี่เกี่ยวข้องกับจอมวายร้าย?” มีคนเอ่ยถาม


สหายที่พูดทำท่าทางลึกลับมองทุกคน


“แน่นอน หากไม่ใช่จอมวายร้ายลงมือ กัวเหล่าหนูขันทีจากตำหนักเดิมที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อย่างยิ่งเช่นนั้นจะถูกผลักล้มง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงเบา


“กัวเหล่าหนูคนนี้ไปหาเรื่องจอมวายร้ายได้อย่างไรเล่า? คนเหล่านี้ยังไม่รู้ความร้ายกาจของจอมวายร้ายหรือ?”


“นั่นก็ไม่แน่ จอมวายร้ายคนเช่นนี้ก็เป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่ง กัดคนต้องการเหตุผลรึ?”


ในห้องเสียงถกเถียงวุ่นวาย


แย่งความสนใจไปจากคนที่มาผู้ต้องการเล่าข่าวใหญ่อย่างสิ้นเชิง จนเขาอดไม่ได้ต้องเคาะโต๊ะ


“ฟังข้าเล่า ฟังข้าเล่า” เขาเอ่ย


ตอนนี้ทุกคนถึงมองไปทางเขาใหม่อีกครั้ง


“จอมวายร้าย สำหรับขันทีตำหนักเดิมคนหนึ่งก็ไม่ใช่อะไรยิ่งใหญ่นัก พวกเจ้ารู้ว่าพักนี้เขาทำเรื่องอะไรไหม?” คนมากระแอมเบาๆ เอ่ยขึ้น


“ไม่ต้องกั๊กแล้ว”


“เล่าเร็ว”


ทุกคนมองเขากันเอ่ยเร่ง


“เขาซื้อบ้านหลังหนึ่งด้านในตรอกอู๋หมี่” คนที่มาเอ่ยขึ้น


คำพูดนี้ออกมาบรรดาสหายก็ส่งเสียงโห่พร้อมเพรียง


“เขาซื้อบ้านหลังหนึ่งมีอะไรแปลกเล่า?”


“เขามีทรัพย์สมบัติเท่าไรอยู่ข้างนอกที่แจ้งที่ลับ ทุกคนใครไม่รู้”


“ถ้าเข้าบ้านสักหลังก็ไม่มีสิถึงจะแปลกน่ะ”


ตาเห็นในห้องหัวเราะครืน


“พวกเจ้ารู้ว่าบ้านหลังนั้นของเขาไว้ทำอะไรไหม?” คนที่มาแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้น


“สถานที่คุมขังสอบสวนอย่างไม่เป็นทางการ?”


“ซ่อนสมบัติ?”


ทุกคนคาดเดาเรื่องราวต่างๆ นานา


ผู้ที่มาเพียงส่ายศีรษะ หลังไม่มีใครคาดเดาแล้วถึงเอนตัวไปข้างหน้าเอ่ยเสียงเบา


“เขาเลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งไว้ในบ้านหลังนั้น” เขาเอ่ยช้าๆ


บรรดาสหายเงียบไปวูบหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา สีหน้าไม่อยากเชื่อ


“นี่เป็นไปได้อย่างไร?”


“เดือนนี้เขาก็จะแต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว”


“ต่อให้จะรับภรรยาน้อยเลี้ยงบ้านเล็ก ก็ต้องรอหลังแต่งงานสิ”


ผู้ที่มาพอใจกับอากัปกิริยาตื่นตะลึงของทุกคนอย่างยิ่ง


“จริงแท้แน่นอน” เขาเอ่ย “พวกเจ้ารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครไหม?”


นี่ใครจะรู้เล่า!


แต่คนอื่นเลี้ยงผู้หญิงไว้เท่าไร ค่อนข้างดีกับคนไหน ลู่อวิ๋นฉีล้วนรู้ได้


บรรดาสหายนิ่งเงียบมองเขา


“ทุกคนยังจำตอนอิงฮวาเดือนสี่ได้ไหม เขาก็ออกมาริมทะเลสาบชมบุปผาด้วยใช่ไหม?” ผู้ที่มาเอ่ยขึ้น


ผู้คนพยักหน้า ลู่อวิ๋นฉีออกมาเดินถนนกลางวันน้อยนัก ดังนั้นทุกคนจดจำได้แม่น


“วันนั้นเขาเข้าไปในเพิงน้ำชาแห่งหนึ่งใช่หรือไม่?” ผู้ที่มาเอ่ยต่อ


ผู้คนพยักหน้าอีกครั้ง


ผู้ที่มานั่งตัวตรงยิ้มติดจะมีเลศนัย


“ที่หัวหน้ากองพันลู่ใช้บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงเก็บไว้ก็คือเด็กสาวที่ชงชาในเพิงน้ำชาแห่งนี้เอง” เขาเอ่ยขึ้น


……………………………………….


[1] กิจเร่งด่วนทั้งสามของคน(人的三急) หมายถึงถ่ายเบา ถ่ายหนักและผายลม


บทที่ 106 คุยเล่นก็มีปรัชญา

โดย

Ink Stone_Romance

สาวน้อยชงชา!


เด็กหนุ่มในห้องล้วนอึ้งไปจากนั้นสีหน้าตื่นเต้น


นี่เป็นข่าวใหญ่เหนือความคาดคิดอันหนึ่งจริงๆ


“นี่มันเรื่องอะไรกัน? สานต่อรักเก่าหรือแรกพบชมชอบ?”


“ข้ารู้สึกว่าเป็นรักเก่า หัวหน้ากองพันลู่คนนี้ฐานะไม่ใช่ยากจนหรือ? ไม่แน่อาจเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับสาวน้อยชงชาก็ได้”


“ใช่ใช่ใช่ เป็นไปได้ หัวหน้ากองพันลู่คนนั้นเพื่ออนาคตการงานไม่อาจไม่สู่ขอองค์หญิงจิ่วหลิง ตอนนี้องค์หญิงจิ่วหลิงไม่อยู่ก็ไม่มีใครขวางพวกเขาได้แล้ว”


“ไม่ใช่ยังมีองค์หญิงจิ่วหลีหรือ?”


“พูดว่าเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง เฮ้อ ก็ไม่นับว่าเป็นองค์หญิงคนหนึ่งแล้ว”


“แต่ไม่ว่าอย่างไร ทำเรื่องเช่นนี้เวลานี้ตอนที่กำลังจะแต่งงานก็เหิมเกริมเกินไปแล้วเหมือนกัน”


“เดิมทีก็เหิมเกริมอยู่แล้วไหม”


ในห้องพากันถกเถียง ไม่ว่าพูดอย่างก็ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีที่ตรากตรำอ่านหนังสือบ้าคลั่งเพื่อการสอบใหญ่ปีหน้า ยากนักจะออกมาพักผ่อนสักวัน ทั้งยังเกี่ยวข้องไปถึงขุนนางทรงอำนาจในราชสำนัก ความรักชายหญิงย่อมสนใจอย่างยิ่ง


“พวกเจ้าระวังหน่อย” เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้นท่ามกลางความคึกคัก


ผู้คนหันหน้ามองไป เห็นหนิงอวิ๋นเจากำลังชงชาอยู่ เวลานี้กำลังนำผงชาร่อนลงในน้ำ สีหน้าผ่อนคลาย


“ข้ารู้สึกว่าเรื่องเกี่ยวกับหัวหน้ากองพันลู่คนนี้ยังไงถกเถียงน้อยไว้ดีกว่า หลีกเลี่ยงนำปัญหามา” เขาเอ่ยขึ้น “อย่าโชคร้ายเหมือนกัวเหล่าหนูคนนั้น”


ท่านอาของหนิงอวิ๋นเจาคือหนิงเหยียน ฐานะตำแหน่งไม่ธรรมดา คำพูดที่เขาพูดมักจะมีความนัยมากมายเสมอ


บรรดาสหายสบตากันทีหนึ่ง


“อวิ๋นเจา ควาหมายของเจ้าคือเรื่องนี้หัวหน้ากองพันลู่ทำจิรงๆ?” สหายคนหนึ่งเอ่ยถาม


หนิงอวิ๋นเจารินชาออกมาทีละถ้วยๆ


“ข้าเพียงรู้สึกว่า” เขาเงยหน้ายิ้มเอ่ยขึ้น “ต่อให้เป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่งก็ไม่มีทางกัดคนผู้หนึ่งโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่คนผู้นี้หาเรื่องเขา ไม่เช่นนั้นก็เบื้องบนมีคำสั่ง อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนผู้นี้เดินไปถึงตรงหน้าเขา หรือกล่าวได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีความรักที่ไร้ต้นสายปลายเหตุและไม่มีความแค้นที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลอยู่เสมอ”


บรรดาสหายพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นตามที่เจ้าว่า หัวหน้ากองพันลู่คนนี้เวลานี้เลี้ยงเมียเก็บไว้คนหนึ่ง สาเหตุคืออะไรอีกเล่า?” มีคนยิ้มเอ่ยถาม


“ไม่ว่าสาเหตุอะไร เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ไม่ต้องเข้าใจ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น


คำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเหล่าสหายสลายไป


“ถ้าอย่างนั้นตามที่พี่หนิงพูดเช่นนี้” เขาอ่ยขึ้น วางถ้วยชาในมือลง “พบพานเรื่องลำบากไม่เกี่ยวข้องกับตนจะชักภัยสู่ตนก็ต้องมองเห็นแสร้งไม่เห็นได้ยินแสร้งไม่ได้ยินรึ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราร่ำเรียนหนังสือเพิ่มพูนความรู้สอบเข้าเป็นขุนนางยังจะเพื่ออะไรเล่า?”


แม้เป็นสหาย แต่เด็กหนุ่มนั่งถกเถียงกันก็เป็นเรื่องที่มีเป็นประจำ


ทุกคนค่อนข้างสนใจคำตอบของหนิงอวิ๋นเจา


แม้บรรยากาศไม่ได้เคร่งเรครียด แต่คำตอบของหนิงอวิ๋นเจาก็ส่งผลกับมุมมองและความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อเขาเช่นกัน อย่างใกล้ก็ส่งผลกับความใกล้ชิดห่างเหินในความสัมพันธ์กับเขา


หลักการต่างกันไม่คบหากันก็คือหลักการนี้ กรีดเสื่อตัดสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องที่คนหนุ่มมักจะมีเช่นกัน


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม วางอุปกรณ์ชงชาในมือลง สีหน้าจริงจังเอ่ยตอบ


“แน่นอนว่าไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น “ความหมายของข้าคือพบพานความลำบากก็คิดวิธีการคลี่คลายความลำบาก แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องปกป้องตนเองด้วย อย่าได้ปณิธานแรงกล้าแต่ไร้ผลตัวตายเสียก่อน เช่นนี้ไม่อาจคลี่คลายปัญหาได้”


“ข้าเข้าใจแนวคิดของเจ้า ข้าก็รู้ว่าวิธีการเช่นนี้เป็นวิธีที่คนมากมายขุนนางมากมายล้วนยอมรับ แต่ข้าก็นับถือคนเหล่านี้ผู้รู้ชัดว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ ยินดีใช้ความตายของตัวเป็นเครื่องเตือนคนบนโลก” สหายเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม


หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า


“ข้าก็นับถือ” เขาเอ่ยจึ้น “วิธีการของข้าเป็เพียงวิธีการของข้า ข้าไม่ได้มองว่าวิธีการของข้าถูก แล้วก็ไม่ได้มองว่าวิธีการของคนอื่นก็คือผิด ถูกผิดปราชญ์เท่านั้นถึงตัดสินได้ ข้าหาใช่ปราชญ์ไม่”


เขายิ้ม


“ความหมายของข้าคือ หัวหน้ากองพันลู่จะคะนึงถึงรักเก่าเพื่อนสมัยเด็กก็ดี ละโมบหญิงงามมัวเมาโลกีย์ก็ดี นี่สุดท้ายก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านเมือง”


เขาเอ่ยต่อ


“ในเมื่อเขากล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาย่อมต้องไม่กลัวถูกคนรู้ ส่วนฮ่องเต้เห็นได้ชัดว่าก็ไม่สนพระทัย พวกเรานำคุณธรรมส่วนตัวเรื่องนี้มาโจมตีเขาก็ไม่ได้ทำร้ายเขาได้อย่างใด ตรงกันข้ามกลับจะทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย ข้ารู้สึกว่านี่น่าเสียดายและไม่คุ้มค่าไปอยู่บ้าง”


“ไม่เพียงข้าจะคิดเช่นนี้ หัวหน้ากองพันลู่คนนี้เห็นได้ชัดว่าเข้าใจหลักการนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าลองคิดดู ตลอดมาจัดการกับใครเขาก็ไม่เคยเอาศีลธรรมส่วนบุคคลบกพร่องของคนผู้นั้นมาใช้”


“อย่างเช่นกัวเหล่าหนู กัวเหล่าหนูเพราะทำเรื่องละเลยหน้าที่ผิดกฎ ตอนนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้เป็นจริงหรือหัวหน้ากองพันลู่สร้างขึ้น อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมศีลธรรมส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับกฎความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงถูกฮ่องเต้ลงโทษ”


หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยิ้มแล้ว


“ยังคงเป็นประโยคนั้น นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของข้า ไม่ใช่ว่าจะถูก” เขาหยุดไปชั่วครู่อีกครั้ง แม้ยิ้มแย้มแต่ในดวงตาล้วนเป็นความเคร่งขรึม “แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าข้ากลัว”


เสียงของเขาเงียบไป สหายด้านข้างหัวเราะแล้ว


“นี่ก็คือทำไมวิญญูชนหลอกลวงด้วยคุณธรรมได้” เขาลูบพัดพับ “ใจกว้างเช่นนี้ ต่อให้เป็นขุนนางกลิ้งกลอก พวกเราก็ไม่มีทางใช้วิธีการลับหลังต่ำช้ากับเขา”


หนิงอวิ๋นเจายิ้มส่ายศีรษะ


“ไม่ใช่” เขาเอ่ยขึ้น จริงจังอยู่บ้างแล้วก็ขำขันอยู่บ้าง “ไม่ใช่ไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ แต่เป็นวิธีการเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ หากมีประโยชน์”


เขายักคิ้ว


“ข้าจะไปประกาศบนถนนใหญ่ด้วยตนเอง”


พูดจบก็ยื่นแขนเสื้อข้างหนึ่ง ทำท่านักเล่านิทาน


“จะบอกว่าหัวหน้ากองพันลู่คนนี้ฉุดสาวชาวบ้าน มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม หยามหมิ่นองค์หญิงเป็นความชั่วช้ายิ่งใหญ่ไม่อาจละเว้น”


บรรดาสหายหัวเราะประสานเสียงขึ้นมา สหายที่ตั้งคำถามคนนั้นก็ยิ้มส่ายศีรษะเช่นกัน ความบาดหมางในดวงตาสลายหมดสิ้น


“ไม่พูดไม่ได้ อวิ๋นเจา” เขาเอาคำเรียกกลับคืนอีกครั้ง “เลียนแบบท่าทางนักเล่านิทานนี้ได้พอตัว ทำได้สบายเชียวนะ”


บรรดาสหายคนอื่นล้วนหัวเราะด้วย


“ใช่แล้ว ไม่เคยเห็นเจ้าไปฟังเล่านิทานเลย”


พวกเขาเหมาห้องดื่นชาร่ำสุราสรรหาความเงียบสงบ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยไปโถงใหญ่ร่วมความคึกคัก ดังนั้นแทบไม่เคยดูการแสดงเล่านิทานเหล่านั้น


ในดวงตาหนิงอวิ๋นเจาทอประกายลำบากใจผิดคาดบางๆออกมา แล้วก็ขำอยู่บ้าง


นั่นเป็นเพราะที่เขียนในจดหมายที่อ่านพักนี้พูดถึงนักเล่านิทานมากเหลือเกินเป็นเหตุละมั้ง


คิดถึงตรงนี้สายตาก็อดไม่ได้มองไปด้านนอกหน้าต่าง แววตาสว่างวูบ


“ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน” เขาเอ่ยขึ้น


พูดพลางคนพูดก็เดินออกไปข้างนอก ดึงประตูเปิดก้าวไวๆไปไม่เห็นแล้ว


บรรดาสหายในห้องล้วนยังไม่ทันตอบสนองทัน


“นี่ทำอะไร?”


สหายที่อยู่ใกล้หน้าต่างมองออกไปข้างนอก มองเห็นหนิงอวิ๋นเจาเดินออกจกโรงน้ำชายืนอยู่บนถนนใหญ่


“คงไม่ใช่จะไปประกาศเรื่องหัวหน้ากองพันลู่ฉุดสาวชาวบ้านจริงๆใช่ไหม?” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น


ทุกคนล้วนหัวเราะขึ้นมา


“แน่นอนว่าไม่ใช่ จดหมายภรรยาบนเมฆมาอีกแล้ว” คนหหนึ่งชี้เด็กรับใช้คนหนึ่งที่เดิมมาท่ามกลางฝูงชนไม่ไกลออกไปบนถนน


ทุกคนล้วนจำได้ นั่นเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวของหนิงอวิ๋นเจา


หลายวันนี้ ก็เป็นเขาส่งต่อจดหมายจากบ้านหนิงอวิ๋นเจามาถึงเมือนหลวงไม่ขาด


หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ตรงกรอบประตูกวักมือให้เด็กรับใช้ เด็กรับใช้ที่อยู่ในหมู่คน ส่ายศีรษะตามหาว่าโรงน้ำชาร้านไหนในที่สุดก็มองเห็นเขา ดีใจเพิ่มความเร็วฝีเท้า


และในเวลาเดียวกันนี้คุณหนูจวินที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองเมืองหลวงกลับหยุดชะงัก


“คุณหนู พวกเราไม่เข้าไปหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม


คุณหนูจวินมองรอบด้าน


“อย่าเพิ่งเข้าเมือง บนแผนที่บอกว่านอกเมืองมีโรงเตี๊ยมสะอาดและสงบ นอกจากนี้อยู่ข้างร้ายเลกเงินถนนใหญ่” นางเอ่ยขึ้น พลางหันม้า “พวกเราไปพักที่นั่น”


……………………………………….


บทที่ 107 คิดถึงหาได้ห่างไกล

โดย

Ink Stone_Romance

สถานที่ใกล้เมืองหลวงในระยะสิบลี้เจริญเหนือกว่าเมืองที่พวกนางพบมาตลอดทาง


สถานที่ซึ่งเรียกกันว่าด่านเหนือนี้ร้านรวงเรียงราย ผู้คนเบียดเสียด


คุณหนูจวินจูงหลิ่วเอ๋อร์กับม้าเดินผ่านอยู่ข้างใน หลิ่วเอ๋อร์สองตาล้วนมองไม่หมด พยายามสุดกำลังรักษาหน้าตาของสาวใช้ใหญ่ของคุณหนูตระกูลขุนนางไว้ เลี่ยงไม่ให้ถูกคนหัวเราะเยาะเป็นพวกบ้านนอก


“บอกว่าร้านเนื้อตากแห้งที่อร่อยที่สุดของเมืองหลวงก็คือที่นี่” คุณหนูจวินแกว่งมือของหลิ่วเอ๋อร์ มองไปยังทิศทางหนึ่งเอ่ยขึ้น


หลิ่วเอ๋อร์เบิกตามองไป เห็นแผงร้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ตรงมุม ปังธงลายผืนหนึ่งเขียนอักษรต่งไว้


“นี่คือนั่น…” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น แล้วกดเสียงลง “เครื่องหมายบนแผนที่นั่นใช่ไหมเจ้าคะ?”


คุณหนูบอกว่าแผนที่นี้ที่เมืองหลวงถูกห้าม ดังนั้นนางไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้


เด็กน้อยรู้ความนัก คุณหนูจวินพยักหน้าชื่นชมนาง


หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะหึหึ ยืดหลังตรง


“แต่ คุณหนูท่านจำได้ชัดเจนจริงๆ” นางกดเสียงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


นอกจากดูเมื่อครู่แวบหนึ่ง คุณหนูก็ไม่ได้หยิบแผนที่แผ่นนั้นออกมาอีก


แผนที่แผ่นนั้นทั้งอักษรทั้งภาพวาดมากมายถี่ยิบสารพันสิ่งไม่น้อย


คุณหนูจดจำโรงเตี๊ยมร้านแลกเงินอะไรได้ปกติยิ่ง ทำไมแม้กระทั่งของกินเล่นไม่สะดุดตาก็จดจำได้ด้วยเล่า?


คุณหนู ใช่หิวหรือไม่?


คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม


“ข้าเพียงความทรงจำดีเท่านั้น” นางเอ่ยขึ้น


แน่นอนว่า ก็เพราะชื่นชอบกินด้วย


ติดตามอาจารย์อยู่ข้างนอก แม้ตอนไม่มีที่พักแน่นอนไม่ได้กินตรงเวลา แต่อาจารย์ก็ยังคงชื่นชอบเสาะหาของกินยิ่งนัก หญ้าต้นหนึ่ง ไก่ภูเขาตัวหนึ่งก็ยังถูกเขาทำเป็นอาหารโอชะยั่วน้ำลายคนได้


นางติดตามอาจารย์หกปี ถูกเลี้ยงให้อะไรก็กินได้อะไรก็กล้ากิน ทั้งยังค่อนข้างชอบกินด้วย


เหลาสุราร้านไหนในเมืองหลวงดี ขนมอะไรเยี่ยม นางก็เคยฟังลู่อวิ๋นฉีแนะนำ เพียงแต่เนื้อตากแห้งตระกูลต่งแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในนั้น


ดูท่านี่เป็นรสนิยมของจูจั้น


เพียงแต่ไม่รู้รสนิยมของเขาได้รับความนิยมหรือไม่


คุณหนูจวินมองแผงเนื้อตากแห้งตระกูลต่งด้านหน้าล้อมไปด้วยผู้คน เห็นได้ชัดว่าเกินครึ่งล้วนเป็นคนต่างถิ่นที่บนหน้าเปื้อนฝุ่นดินรวมถึงสีหน้าสงสัยใคร่รู่


คิดว่าในมือทุกคนคงล้วนมีแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวง


“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”


เฒ่าแก่ผู้วุ่นวายเหงื่อโชกเต็มศีรษะปลอบผู้คนที่รอคอยอยู่ วางเนื้อตากแห้งชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ย่างเสร็จแล้วเข้าไปในถุงกระดาษอย่างฉับไวยิ่ง


“อร่อยจริงไหม?” ผู้คนที่รอคอยอู่เอ่ยถามไม่หยุด


“แน่นอนอร่อย ข้าขายอยู่ตรงนี้มายี่สิบปีแล้ว” เฒ่าแก่เอ่ยตอบ “ไม่เชื่อไปถามในเมืองหลวงดู ใครไม่รู้”


เด็กหนุ่มคนหนึ่งรับเนื้อตากแห้งไป


“เมืองหลวงพูดว่าอย่างไรข้าไม่รู้ ข้าไม่มีเวลาไปถามด้วย แผนที่บอกว่าร้านเจ้าที่นี่ดี ข้าก็มาลองๆ ดู” เขาเอ่ยขึ้น “คงไม่ใช่เจ้าให้เงินโฆษณาเกินจริงใช่ไหม?”


เฒ่าแก่สีหน้ามึนงง


“แผนที่? แผนที่อะไร?” เขาเอ่ยถาม


เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจะพูดคนด้านข้างก็กระแอมเบาๆ ถลึงตาเป็นการเตือน


อย่างไรแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงก็เป็นของต้องห้ามของเมืองหลวง แม้ทางการลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง แต่เจ้าก็ไม่อาจหยิบออกมาโจ่งแจ้งได้เหมือนกัน


เด็กหนุ่มหัวเราะขัดเขิน กัดเนื้อตากแห้งคำหนึ่ง เคี้ยวสองทีคิ้วก็เลิกขึ้น


“อื้ม อร่อย” เขาอุทานชมงึมงำ


ไม่รอเขาพรรณนาอีก ฝูงชนที่รอไม่ไหวก็เบียดเขาออกไปแล้ว


“เฒ่าแก่ของข้า”


“เฒ่าแก่ข้าเอาสองอัน”


หลังจากรอคอยพักหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์ก็ถือเนื้อตาแห้งที่ซื้อได้แล้วเบียดออกมาได้ ส่งให้คุณหนูจวินที่รอคอยอยู่ด้านข้างอย่างดีใจ


คุณหนูจวินรีบไปทานคำหนึ่ง ก็พยักหน้าอย่างพอใจ


“อร่อยจริง อร่อยจริง” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้นต่อกันหลายที


ใช่ อร่อยจริงๆ แต่จะบอกว่าเฒ่าแก่ไม่รู้เรื่องที่เนื้อตากแห้งของตนถูกชี้บอกไว้ในแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงดูท่าคงไม่ใช่เรื่องจริง


คุณหนูจวินมองเฒ่าแก่ที่ส่งลูกค้าระลอกหนึ่งไปรับลูกค้าระลอกหนึ่งมายิ้มปากหุบไม่ลง


ไม่รู้ว่าจูจั้นได้ส่วนแบ่งในนั้นเท่าไร


วันเวลาสั่งสมย่อมต้องไม่ใช่เงินจำนวนน้อยก้อนหนึ่งเหมือนกัน


นอกจากนี้สถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นบนแผนที่แผ่นนี้ก็ไม่ได้มีแค่ที่นี่ที่เดียว


คุณหนูจวินกัดเนื้อตากแห้งที่กรอบหอม ทั้งขำขันอยู่บ้าง ทั้งใคร่รู้อยู่บ้าง


จูจั้นคิดถึงวิธีหาเงินเช่นนี้ได้อย่างไร?


เขาก็ไม่ใช่คนเมืองหลวง คนผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ที่แถบเหนือถึงกับมาหาเงินที่เมืองหลวง


นอกจากนี้เฉิงกั๋วกงจนมากงั้นรึ?


เพราะมีความทรงจำน่าหวาดกลัวรวมถึงความเจ็บปวดที่สงครามถูกบีบให้ย้ายเองหลวงครั้งนั้นทิ้งไว้อยู่ ไม่ว่าเป็นพระอัยยิกาหรือพระบิดารวมถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบ้น ล้วนเพิ่มความเมตตาให้แก่เฉิงกั๋วกงผู้เฝ้าแถบเหนือรับประกันความมั่นคงของบ้านเมือง ต้องการเงินให้เงิน ต้องการของให้ของ ไม่เคยโหดร้ายมาก่อน


เฉิงกั๋วกงเลี้ยงบุตรที่ละโมบทรัพย์ชมชอบเงินทองเช่นนี้คนหนึ่งออกมาได้อย่างไร?


“คุณหนูยังมีอะไรอร่อยอีกเจ้าคะ?”


หลิ่วเอ๋อร์กินเสร็จแล้ว เอ่ยถามติดใจไม่หาย ขัดการเหม่อลอยของคุณหนูจวิน


มองใบหน้าที่ถูกตากแดดจนแดงของนาง คุณหนูจวินยิ้มจูงม้า


“มีมากนักล่ะ” นางเอ่ยขึ้น “พวกเราไปโรงเตี๊ยมกันก่อน อาบน้ำแต่งตัวพักผ่อน ค่อยไล่กินทีละอย่าง”


จูงหลิ่วเอ๋อร์ที่ดีอกดีใจกับม้าเดินต่อไปตามถนน


คุณหนูจวินเงยหน้ามองไปทางทิศทางของเมืองหลวง ตั้งแต่ปีที่แล้วตายไปจนถึงตอนนี้กลับมาใหม่อีกครั้งผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น ห่างจากสถานที่ซึ่งครอบครัวพี่สาวน้องชายอยู่ระยะทางมีเพียงครึ่งชั่วยาม ห่างจากศัตรูก็แค่เอื้อมมือเช่นกัน


นางรู้สึกว่าตนเองควรคิดอะไรบ้าง แต่เวลานี้นาทีนี้ในใจกลับไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น


ไม่มีความคิดอะไรเลย


ที่หดสั้นลงมีเพียงระยะทาง ที่ยากข้ามคือขุนเขาใหญ่แห่งฐานะตำแหน่ง


ยังคงห่างไกลเอื้อมไม่ถึงดังเดิม



ราตรีมืดมิด วันนี้เมืองหลวงไม่ได้ใช้กฎห้ามออกจากบ้านยามกลางคืน ตลาดกลางคืนยังคงคึกคักครึกครื้น แต่ต้นไม้เก่าแก่ที่ยืนต้นอยู่ตรงกำแพงสำนักของสำนักวิชาอันใหญ่โตขวางกั้นเสียงเอะอะนี้ไว้


ความเงียบสงบด้านในหาใช่น้ำนิ่งไปหมด ในความมืดแสงโคมนับไม่ถ้วนสว่างไสว นั่นคือบรรดานักเรียนที่ตรากตำอ่านหนังสืออยู่


บนโต๊ะของหนิงอวิ๋นเจาจุดโคมสว่างสองดวง ที่ใช้คือน้ำมันโคมชั้นดี มีเพียงกลิ่นหอมสะอาดไม่มีควันดำ ไม่ทำร้ายดวงตา


แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ก้มหน้ากับโต๊ะตรากตรำอ่านอยู่ ม้วนหนังสือกางเปิดเรียงรายอยู่บนโต๊ะ เขากลับพิงเก้าอี้หลับตาราวกับหลับใหล


คนที่หลับใหลฉับพลันก็แค่นหัวเราะพรืดออกมาอีก


ดวงตาลืมขึ้น ไม่มีง่วงงุนงัวเงีย ตรงกันข้ามสุกสว่างดุจดารา


“คิดไม่ถึงจริงๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยขึ้น มองจดหมายที่กระจัดกระจายอยู่ใต้ม้วนหนังสือ


นั่นเป็นจดหมายที่ส่งมาตอนกลางวัน เขาไม่ต้องอ่านอีกครั้ง เนื้อหาในจดหมายก็จำแม่นขึ้นใจ ที่เล่าย่อมเป็นการวางอุบายชาญฉลาดของคุณหนูจวิน


ที่แท้เป็นการแต่งงานหลอก


“ต่อให้ไม่แต่งให้นายน้อยฟาง ข้าคิดว่าตระกูลฟางก็ต้องดูแลเจ้าอย่างดี”


เขาคิดถึงคำพูดที่ครั้งนั้นตนเองว่านาง


เวลานั้นนางกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขาคิดว่านางกระอักกระอ่วนเพราะคำตำหนิในคำพูดของตน


ตำหนินางเป็นคนไม่เชื่อใจตระกูลท่านยายดังนั้นจึงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แบบนั้น


เขาย่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น และนางก็ไม่ใช่คนประเภทนั้นจริงๆ ด้วย


“คุณชายหนิงคิดมากแล้ว” นางตอนนั้นยิ้มเอ่ยตอบ “เรื่องนี้ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว”


ที่แท้ตอนนั้นความจริงที่นางอยากพูดก็คือเขาคิดมากไปแล้ว


นี่คือเกมหมากชาญฉลาดที่นางวางไว้ ตอนนั้นกำลังวางทหารตั้งค่าย ไม่อาจบอกกับคนนอก ดังนั้นนางทำได้เพียงพูดประโยคหนึ่งกับตนเองว่าคิดมากแล้วแฝงความนัย


แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดมาก


เขาเพียงแต่สังเกตว่านางพูดเรื่องนี้ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องพูด คิดว่าที่นางพูดหมายถึงไม้กลายเป็นเรือแล้วพูดอีกไร้ประโยชน์


ที่แท้นางไม่ใช่ความหมายนี้


เป็นเกมหมากที่ชาญฉลาดนักเกมหนึ่ง


หนิงอวิ๋นเจายืนขึ้น อดไม่ได้เดินกลับไปมาหลายก้าว รู้สึกเพียงในใจทั้งตะลึงทั้งยินดี รู้สึกเพียงความร้อนอบอ้าวในคืนฤดูร้อนนี้เปลี่ยนกลายเป็นทำให้คนสำราญใจไปด้วย


นี่ถึงเป็นเรื่องที่นางจะทำ


เด็กสาวที่ดวลหมากบอดใต้ต้นไม้ ความสนใจชักนำให้เกิด มอบโคมชอบพอ


นางก็เป็นคนเช่นนี้ แบบนั้นเหมือนที่เขาคิด


แต่งงานเป็นเรื่องหลอก


นางบ้าบอก่อเรื่อง หยาบคายน่าขัน ทั้งทิ้งสัญญาหมั้น


เพียงเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่ เพื่อหลอกล่อศัตรู


แต่งงานเป็นเรื่องหลอก


หนิงอวิ๋นเจาอยู่ในห้องก้าวเดินไปมา


แม้ทุกคนบนเส้นทางการศึกษาล้วนเป็นนักเรียน แต่สุดท้ายก็เกิดมาต่างกัน หนิงอวิ๋นเจามีเงินทั้งยังเป็นลูกหลานของตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว ห้องที่เขาพักเป็นห้องดีที่สุดที่นี่ ไม่คับแคบปานนั้นเหมือนนักเรียนคนอื่น


ด้านในห้องนี้มีห้องข้างในแล้วยังแยกห้องหนังสือห้องหนึ่งออกมาได้ เขาที่เดินไปเดินกลับเดินสิบกว่าก้าว


แต่เขายังรู้สึกว่าไม่พอ อยากเดินไกลกว่านี้


เดินไปถึงตรงหน้านางได้ ฟังนางเล่าถึงเกมหมากเกมนี้ด้วยตนเอง คงจะบรรยายได้ชัดเจนยิ่งกว่าตัวหนังสือเกินจริงของนักเล่านิทานกระมัง


เป่ยหลิวถึงหยางเฉิงขี่ม้าคืนเดียวไปกลับได้


เมืองหลวงถึงหยางเฉิงเล่า?


นอกจากนี้หนิงอวิ๋นเจาหยุดฝีเท้ามองไปยังกระดาษจดหมายบนโต๊ะ


ในจดหมายบอกว่า ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่หยางเฉิง


ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ที่ไหนเล่า?



ท่ามกลางราตรี คุณหนูจวินบนเตียงในโรงเตี๊ยมลืมตา มองม่านมุ้งสลัว ฟังเสียงอื้ออึ้งสูงๆ ต่ำๆ ใกล้ๆ ไกลๆ ด้านนอก


พริบตาหนึ่งราวกับไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ใด


……………………………………….


บทที่ 108 เดินเที่ยวยามค่ำ

โดย

Ink Stone_Romance

ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงไม่เหมือนหยางเฉิง ราวกับว่าไม่มีเวลาที่เงียบสงบตลอดกาล


เป็นเมืองที่ไร้ราตรีแห่งหนึ่งจริงๆ


คุณหนูจวินฟื้นลมหายใจกลับมาสงบครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นลงจากเตียง


หลิ่วเอ๋อร์ที่นอนอยู่บนเตียงริมหน้าต่างหลับลึก


นี่เป็นโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งหนึ่ง มีเตียงสองหลังได้ก็เป็นห้องที่ดีที่สุดแล้ว แต่ก็สะอาดมาก เหมือนกับที่บนแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงทำเครื่องหมายไว้เช่นนั้น เจ้ามีเงินนิดหน่อยไม่อยากอยู่ลำบากทั้งอยากไม่เด่นนิดหนึ่ง ที่นี่เป็นตัวเลือกแรก


พวกนางจากถนนมาเข้าพัก อาบน้ำสะอาดเกลี้ยงเกลาก็ให้เด็กรับใช้สั่งเส้นหมี่น้ำสองชาม เป็ดตัวหนึ่ง เครื่องเคียงสองอย่างมาจากร้านเส้นหมี่น้ำนั้นด้านข้าง นายบ่าวสองคนนั่งตรงข้ามกันในห้องกินอย่างสุขสบายอุรา หลังจากนั้นล้มตัวลงนอนหลับสบายไป


เพราะเคยเดินทางไปหรู่หนานก่อนหน้านี้ ร่างกายของคุณหนูจวินร่างนี้จึงปรับตัวได้แล้ว ดังนั้นหลับไปงีบหนึ่งก็ฟื้นกำลังวังชากลับมาแล้ว แต่หลิ่วเอ๋อร์ไม่ไหว


คุณหนูจวินยืนอยู่ข้างเตียง มองหลิ่วเอ๋อร์ที่หลับลึกอยู่ หยิบผ้าห่มบางที่นางเตะลงจากเตียงมาคลุมเอวให้นาง


หน้าต่างเปิดกว้าง แสงจันทร์อาบไล้ฟ้าดินส่องสว่างล้อกับแสงโคมที่ไม่มอดดับตลอดทั้งคืน


ที่นี่คือเมืองหลวง ที่นี่ก็คือเมืองหลวง


นางมาถึงเมืองหลวงแล้ว


คุณหนูจวินหมุนตัวสวมเสื้อดึงประตูเปิดเดินออกไป


โรงเตี๊ยมกลางวันกลางคืนมีคนมาพักตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ปิดประตู แขกที่ดื่มด่ำกับชีวิตยามค่ำคืนที่ไหนๆ ก็มี คุณหนูจวินเดินผ่านโถงใหญ่ที่มีคนเข้าๆ ออกๆ เดินเข้าไปในม่านราตรี


พ้นเที่ยงคืน แม้บนถนนยังมีคนเดินอยู่ แต่อย่างไรก็สู้กลางวันไม่ได้ นอกจากถนนที่ครึกครื้นบางสายรวมถึงสถานที่ซึ่งหอคณิกาตั้งอยู่ สถานที่อื่นล้วนจมดิ่งสู่การหลับใหล


คุณหนูจวินผ่านประตูเมือง ไปตามถนนใหญ่ที่มุ่งไปทางตะวันออกทะลุตรอกสายหนึ่งที่มุ่งไปทางเหนือ


ที่นี่ไม่มีโคมไฟสว่างไสว มีเพียงแสงจันทร์ส่องถนน ที่นี่ไม่ใช่เขตครึกครื้น แผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงก็ไม่มีสัญลักษณ์บอกว่าที่นี่มีสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นที่มีเอกลักษณ์อันใด


ทะลุผ่านถนนเส้นหนึ่ง ตรงหน้าก็ปรากฏโลกสองใบที่ต่างกัน


ข้างหนึ่งไฟโคมสว่างไสวดั่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์ อีกด้านหนึ่งกลับหลับใหลเงียบสงบไม่อาจบุกรุก


ไม่ใช้แผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวง นางก็รู้ว่าด้านนี้เป็นถนนตลาดกลางคืนที่เจริญที่สุด เป็นศูนย์กลางของเมืองหลวง ส่วนด้านนั้นเป็นถนนเสด็จพระราชดำเนิน[1]


ด้านนั้นมีจวนราชการศาลาว่าการ มีวังหลวง แล้วก็มีบ้านของนาง


คุณหนูจวินยืนอยู่ในความมืดนิ่งไม่ขยับมอง


พี่สาวเป็นคนยึดแบบแผนคนหนึ่ง ทำงานพักผ่อนเป็นระเบียบ ดูแลจิ่วหรงก็เข้มงวดมากด้วย


ตอนนี้เวลานี้พวกนางต้องนอนหลับแล้วแน่


แต่ไม่รู้ว่าจิ่วหรงจะแอบหลบไปเล่นในห้องน้ำหรือไม่ เหมือนกับนางก่อนหน้านี้


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องถูกพี่สาวพบเข้าอยู่ดี ขาดคำสั่งสอนพร่ำบ่นรอบหนึ่งไปไม่ได้


มุมปากคุณหนูจวินผุดรอยยิ้ม


ไม่รู้ยืนอยู่นานเท่าใด ทหารตรวจการณ์เมืองกองหนึ่งก็เดินเข้ามาจากม่านราตรีด้านนั้น


ด้านนั้นที่แจ้งมีทหารตรวจการณ์เมือง ที่ลับยังมีองครักษ์มากยิ่งว่า มีองครักษ์เสื้อแพร มีราชองครักษ์


คุณหนูจวินก้มศีรษะหมุนตัวเดินไปทางถนนใหญ่ตลาดกลางคืน กองทหารตรวจการณ์เมืองด้านหลังร่างเดินผ่านข้างกายไป โคมไฟด้านหน้าอาชาส่องสว่างที่แห่งนี้ ยังมีคนเห็นนางเจตนายกโคมไฟหันมา


คุณหนูจวินบ่ายศีรษะหลบไปด้านข้างถนนหลายก้าว


หญิงสาวที่เดินบนถนนใหญ่ยามค่ำคืนไม่ใช่หญิงคณิกาที่เรียกแขกหรือถูกเชิญมาที่บ้านส่วนตัว ก็เป็นลูกสาวที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวในตลาดกลางคืน


เด็กสาวหน้าตางดงามไม่แต่งเติม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่ท่าทางงดงาม เห็นชัดยิ่งว่าไม่ใช่พวกแรก


บรรดาทหารตรวจการณ์รั้งสายตากลับเดินผ่านข้างร่างนางไป


คุณหนูจวินตอนนี้ถึงเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา สถานที่ซึ่งพวกเขาไปก็คือถนนใหญ่ตลาดกลางคืน


ถนนใหญ่ค่ำคืนฤดูร้อนไฟโคมสว่างไสว กลางแม่น้ำที่ตัดผ่านถนนย่อยเรือบุปผางดงามเปล่งประกาย เสียงดนตรีเสียงหัวเราะลอยล่องบนผิวน้ำ


คุณหนูจวินยืนอยู่บนสะพานมองเรือบุปผาใต้สะพาน กลิ่มสุรากลิ่นเครื่องหอมติดตามสายลมราตรีโถมปะทะใบหน้า


เรือบุปผาเช่นนี้ทำสิ่งใดนางรู้ชัดยิ่งนัก ดังนั้นไม่ได้สงสัย แต่ก็ไม่ได้หลีกหลบขัดเขิน


นี่มีอันใดให้หลีกหลบขัดเขิน นางไม่เพียงแค่รู้ ยังเคยขึ้นไปด้วย


เรื่องเช่นนี้แน่นอนเป็นท่านอาจารย์พานางไป


มองเห็นนางที่อยู่หลังร่างท่านอาจารย์ เฒ่าแก่ของเรือบุปผาประหลาดใจยิ่งนัก


“เด็กน้อยไหมเล่า สิ่งใดๆ ล้วนต้องรู้ เช่นนี้ภัยร้ายร้อยประการถึงไม่อาจกล้ำกรายได้” ท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน


แน่นอนนางรู้ว่าเป้าหมายของท่านอาจารย์คือต้องการให้นางองค์หญิงผู้ร่างกายดั่งทองพันชั่งผู้นี้เขินอายจากไป


แต่นางเป็นคนที่ถูกทำให้เขินอายง่ายดายเช่นนั้นรึ?


องค์หญิงร่างกายดุจทองพันชั่งสิถึงจะร้อยภัยไม่กล้ำกราย


นางไม่เกรงใจสักนิดนั่งอยู่ในเรือบุปผาอย่างสง่าผ่าเผย มองบรรดานางคณิกาที่สวมใส่เปิดเปลือยร้องรำทำเพลง


การร้องรำบนเรือบุปผาไม่น่าเกลียด อาหารก็ออกจะอร่อยด้วย


คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินอดไม่ได้เม้มปากยิ้มทีหนึ่ง ไม่รู้กลิ่นหอมย่างไฟที่ไหนลอยมาอีก นางรั้งสายตากลับจากเรือบุปผา ก้าวว่องไวกระโดดลงสะพานไป เลี้ยวไปถึงด้านข้างถนนใหญ่


บนถนนใหญ่ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดแล้ว ส่วนมากเป็นแผงลอยที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราวริมถนน ไฟเตาลุกโชน ตะเกียงเจ้าพายุแกว่งไกวส่องคนสองคนสามคนที่เดินมาบนถนน


แผงลอยเหล่าานี้ขายอาหารสารพัดอย่าง คุณหนูจวินยังมองเห็นทหารตรวจการณ์กลุ่มนั้นที่ผ่านไปเมื่อครู่ก็กำลังนั่งอยู่ที่แผงแห่งหนึ่งกินดื่มคุยเล่น


“คุณหนู อยากลองไหมขอรับ?” เฒ่าแก่แผงลอยร้องเรียก


คุณหนูจวินส่ายศีรษะมองข้ามถนนไป


นางที่จริงก็อยากเดินกินตลอดถนน แต่ออกมาลวกๆ ไม่ได้พกเงินมา


แต่ถนนสายนี้ดูไปแล้วก็ค่อนข้างน่าสนใจเหมือนกัน


ใครจะคิดถึงว่านางจะออกมาเดินเล่นบนถนนใหญ่ของเมืองหลวงหลังเที่ยงคืน


พี่สาวและน้องชายคิดไม่ถึง ลู่อวิ๋นฉีคิดไม่ถึง องค์ฮ่องเต้ก็คิดไม่ถึง


นางเองก็คิดไม่ถึง


ด้านข้างผู้ชายเมามายสามสี่คนยิ้มบิดเบี้ยวร้องเพลงที่ไม่รู้เรียนมาจากที่ใดโซเซผ่านมา เรียงหน้ากระดานครองเต็มถนน คุณหนูจวินหลบถอยไปที่ปากตรอกแห่งหนึ่ง มุมปากยิ้มมองผีขี้เมากลุ่มนี้ผ่านไป


ที่แท้ค่ำคืนของเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้


กำลังพักเท้ายืนอยู่ที่ปากตรอก คิดว่าจะกลับไปหรือว่าเดินต่อสักหน่อยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบามาจากด้านในตรองข้างหลังร่าง


ด้านนี้เป็นถนนครึกครื้น มีคนน้อยนักอาศัยอยู่ ไม่ใช่โรงน้ำชาร้านสุราก็เป็นร้านเครื่องหอมเครื่องประทินโฉม คุณหนูจวินหันกลับไปมองทีหนึ่ง ด้านในตรอกมืดสลัวอยู่บ้าง มีเพียงโคมไฟไม่กี่ดวงแขวนอยู่ไม่ไกลแกว่งไกว


มีเสียงหัวเราะเลือนรางดังมาจากด้านใน


ด้านในตรอกมีคนสี่ห้าคนกำลังเดินอยู่ รูปร่างมีสูงมีเตี้ยมีอ้วนมีผอม ล้วนเป็นผู้ชาย


ไม่รู้ว่าเดินออกมาจากบ้านหลังไหน แต่ไม่ได้เดินมาทางถนนใหญ่ด้านนี้ หันหลังให้เดินเข้าไปด้านใน


คุณหนูจวินมองผ่านทีหนึ่งรั้งสายตากลับยกเท้า


“…ข้าหลอกพวกเจ้าทำอะไร? พวกเจ้าได้ยินข้าไม่ผิด…”


เสียงผู้ชายลอยมาจากด้านในตรอก ราวกับไม่พอใจอยู่บ้าง เสียงขึ้นสูงนิดหนึ่ง


คุณหนูจวินวางเท้าลง หมุนตัวไปอีกครั้ง มุมถนนมีคนยกตะเกียงเจ้าพายุเดินเข้ามา ส่องใบหน้าประหลาดใจของคุณหนูจวิน


บังเอิญขนาดนี้?


จูจั้น?


นางมองเงาคนร่างสูงใหญ่ที่สุดในหมู่คนไม่กี่คนนั้นด้านในตรอกมืดสลัว


แม้มืดสลัวมองไม่ชัด แม้ยิ่งเดินยิ่งไกล แต่ตั้งใจมองก็จดจำได้


จูจั้น


ทำไมเขาก็มาเมืองหลวงด้วยแล้วเล่า


ฮ่องเต้ให้องครักษ์เสื้อแพรจับเขาเข้าเมืองหลวง เขาหนีไปครึ่งทางแล้ว


ต่อให้สถานที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ปลอดภัยที่สุด แต่ก็ไม่ควรมาเมืองหลวงสิ ต่อให้เตร็ดเตร่อยู่เหอหนานซานซีก็ยังปลอดภัยกว่า


เจ้าหมอนี่ คิดทำอะไรกัน?


คุณหนูจวินมองคนไม่กี่คนยิ่งเดินยิ่งไกลไปตามตรอก ลังเลนิดหนึ่งก็หมุนตัวติดตามไป


……………………………………….


[1] ถนนเสด็จพระราชดำเนิน (御街) ถนนที่เชื่อมตรงออกมาจากประตูชั้นต่างๆของวังจนออกนอกเขตวัง เป็นเส้นทางที่ราชรถขององค์ฮ่ฮงเต้จะเสด็จพระราชดำเนินเข้าออกวัง


บทที่ 109 บังเอิญพบสหายเก่า

โดย

Ink Stone_Romance

ทะลุผ่านตรอกก็มาถึงถนนอีกเส้นหนื่ง เทียบกับถนนใหญ่ด้านนี้ ถนนสายนี้เล็กแคบและสงบมากกว่า ทิวทัศน์ยามราตรียิ่งมืดมิด บนถนนเส้นหนึ่งมีเพียงโคมไฟส่องสว่างของแผงลอยกระจายบางตา


เฒ่าแก่กำลังนั่งอยู่ด้านหลังเตาไฟงีบหลับ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ขยี้ตาลุกขึ้นมา


“พวกท่านกินอะไรหน่อยไหม?” เขาเอ่ยถาม มองผู้ชายสี่คนที่นั่งลงที่โต๊ะด้านข้างแล้ว


“ขนม หั่นเนื้อจานหนึ่งมาแล้วเอาเหล้าไหหนึ่ง” ผู้ชายคนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเสียงแจ่มใสพลางลูบหนวดดกครึ้มใต้คาง


เฒ่าแก่ขานรับรีบไปจัดการ ตักเนื้อพะโล้จากในหม้อหั่นเสร็จอย่างรวดเร็ว เทสุรา จัดขนมหนึ่งจาน ยกมาด้วยกัน


ผู้ชายมีหนวดที่สั่งอาหารนั่งอยู่ในกลุ่มใต้แสงโคมใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถูฝ่ามือท่าทางทนรอไม่ไหว


“ไม่ได้กินขนมร้านนี้ตั้งนานแล้ว” เขาว่า ยิ้มให้กับคนอื่นในโต๊ะยื่นมือ “เร็ว ทุกคนลองชิม แม้ว่าพวกเจ้าจะเป็นคนเมืองหลวง แต่น่ากลัวจะไม่รู้ว่าขนมร้านนี้อร่อยที่สุด”


เฒ่าแก่ได้ยินประหลาดใจทั้งยิ้มยินดี


“ท่านลูกค้าชมเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น


เดิมทียังคิดอยากพูดพร่ำสักหลายประโยค แต่สีหน้าอีกสามคนบนโต๊ะท่าทางรำคาญ


“ไป ไป” หนึ่งในนั้นโบกมือเอ่ยขึ้น


เฒ่าแก่รีบร้อนถอยออกไป


ชายหนุ่มมีหนวดที่เอยชมขนมอร่อยต่างจากสามคนนี้ จิตใจเบิกบานหยิบตะเกียบกินคำโต พลางรินสุรา


“กินกิน ดื่มดื่ม” เขาร้องเรียกอย่างกระตือรือร้น “วันนี้ข้าจ่ายเงิน”


เขาจ่ายเงินเรอะ นั่นเป็นเรื่องหายากจริงเชียว


แต่สามคนบนโต๊ะกลับไม่รู้สึกดีใจมากเท่าไรนัก แล้วก็ไม่ได้รู้สึกยินดี แต่ละคนๆ คิ้วขมวดกลัดกลุ้มอยู่บ้าง


“ข้าว่าเบื้องบนพวกเจ้าที่แท้มีหนังสืออนุญาตหรือไม่?” ผู้ชายอ้วนเตี้ยอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบา


ผู้ชายมีหนวดที่กำลังเคี้ยวเนื้อพะโล้อยู่ ใช้สุราถ้วยหนึ่งให้เนื้อไหลลื่นลงไป


“คำพูดนี้ของเจ้าดูถูกคนเล้ว” เขาว่า “หัวหน้าของพวกข้านั่นเป็นบุคคลใด? หนึ่งวาจาเอื้อนเอ่ย สี่อาชายากตามกลับคืน วันนี้พูดว่าจะตัดฟืนแปดสิบท่อน พรุ่งนี้ก็ขาดไม่ได้แม้แต่ท่อนดียว”


เฒ่าแก่ผู้นั่งยองๆ อยู่ข้างเตาไฟร้องโอ้ในใจ ที่แท้เป็นคนตัดฟืนรึ?


เห็นชัดว่าเป็นกิจการใหญ่ อย่างน้อยกับสามคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ สีหน้าของพวกเขาก็จริงจังยิ่งนัก


“เงินพวกเราล้วนมอบให้ได้ พวกเราต้องการของ พวกเจ้าต้องระวังความปลอดภัยหน่อย” ผู้ชายอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “อย่าถ่วงเวลาให้นานนัก”


“ก็บอกแล้วว่าไม่มีทาง”ผู้ชายมีหนวดสบถทีหนึ่ง “หัวหน้าของพวกเรานั่นเป็นผู้ใด จะทำเรื่องไม่รักษาสัจจะเช่นนี้ได้อย่างไร”


“หัวหน้าพวกเจ้าที่แท้เป็นบุคคลใด เจ้านับถือเขาขนาดนี้?” ผู้ชายอีกคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถามอย่างสงสัย


ผู้ชายมีหนวดสีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม


“เขาเป็นคนผู้ร้ายกาจเป็นที่หนึ่งของใต้หล้า” เขาเอ่ยขึ้นเป็นจริงเป็นจัง


“ข้าไม่สนหรอกว่าเขาร้ายกาจเป็นที่หนึ่งหรือร้ายกาจเป็นที่สอง ขอแค่ส่งมอบของที่ข้าต้องการตามเวลา” ผู้ชายอ้วนเตี้ยขมวดคิ้วหน้าบึ้งเอ่ยขึ้น


“หลิวสื่อ เจ้าดูหัวใจดวงนี้ของเจ้าสิ ทำการค้า ใจกว้างหน่อย” ผู้ชายมีหนวดถือตะเกียบ ยื่นมือตบหัวไหล่ของเขาเอ่ยขึ้น


ฝ่ายที่ถูกเรียกว่าหลิวสื่อยังไม่ทันเอ่ยคำพูด มือที่ตกลงมาบนหัวไหล่เขาก็ยกขึ้นไปทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว


ตะเกียบสองข้างราวกับศรคมบินหายไปในความมืด


เสียงปึกเหมือนชนเข้ากับกำแพงข้างถนน


“ออกมาซะ” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น คนก็หันไป


เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแต่นั่งวางมาด มองไปทิศทางหนึ่ง


“ลับๆ ล่อๆน่าเกลียดนักก็ไม่ใช่หลบได้ชาญฉลาดมากเท่าไร” เขาเอ่ยต่อ


ผู้ชายอีกสามคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะลุกขึ้นยืนเคร่งเครียด


ใคร?


คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูบ้านหลังหนึ่งก็ร่างเกร็งเครียดเช่นกัน มองตะเกียบสองข้างที่ตกอยู่ไม่ไกลผ่านราตรีมืดสลัว


ตะเกียบหักตกกระจาย


เห็นได้ว่าแรงที่เขวี้ยงออกมามากปานใด หากเป็นคนล่ะก็ คิดว่าคงทะลุเนื้อเข้าไปแล้ว


นางกลั้นลมหายใจนิ่งไม่ขยับ ในเวลาที่ทำให้คนหายใจไม่ออกนี่เอง ในที่สุดเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในหู คนห้าหกคนปรากฏตัวขึ้นกะทันหันท่ามกลางความมืดของถนนใหญ่


ในใจคุณหนูจวินพรูลมหายใจ คนยังคงกลั้นหายใจนิ่งไม่ขยับเหมือนเดิม


“ใคร?”


มองคนหลายคนนี้ล้อมเข้ามา ผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างชายมีหนวดสีหน้าตะลึงงันเอ่ยถาม


“ยังเป็นใครได้ เจอหน้าก็ชักอาวุธออกมา เห็นอยู่ว่าไม่ใช่คนดีอะไร” ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น


เสียงตึงตังด้านนั้น ที่แท้เป็นเฒ่าแก่แผงลอยสับเท้าวิ่งไปแล้ว


และในเวลาเดียวกันนี้แผงลอยอีกสองร้านที่สว่างอยู่บนถนนก็ดับโคมเช่นกัน ถนนเส้นนี้พริบตาเหลือเพียงคนของพวกเขาสองฝั่งประจันหน้ากัน


“เห็นไหม นี่ก็คือนิสัยของคนเมืองหลวง” เสียงของผู้ชายมีหนวดติดจะชื่นชมอยู่บ้าง “เรื่องของยุทธภพทำอย่างยุทธภพ ไม่มีทางพบเรื่องเล็กน้อยก็ตกใจโหวกเหวกโวยวาย ที่แท้เมืองใหญ่ก็เห็นเรื่องใหญ่จนคุ้นแล้ว”


เวลานี้เจ้ายังมีกะจิตกะใจวิจารณ์ผู้อื่นอีก?


ผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาสีหน้ายุ่งเหยิงราวกับไม่รู้ควรจะตอบสนองอย่างไร


“สหายพวกท่านคิดจะทำอะไร?” ผู้ชายอ้วนเตี้ยตะโกนเสียงสั่น “เข้าใจผิดอะไร?”


ฝั่งนั้นไม่ตอบคำถาม ผู้ชายมีหนวดก็สบถทีหนึ่งอีก


“เจ้าตาบอดรึไง จะคิดทำอะไรได้เล่า? เอาดาบหั่นเนื้อให้เจ้า ปรนนิบัติเจ้าดื่มสุรารึ?” เขาเอ่ยขึ้น ถลึงตามองสามคนนี้อีกครั้ง “บอกให้พวกเจ้าระวังหน่อย พวกเจ้าเข้าเมืองก็ถูกพบแล้วใช่หรือไม่? นำทางศัตรูตระกูลฝั่งตรงข้ามของพวกเจ้าตามมาด้วยแล้ว?”


ใช่ ใช่รึ?


“ค้าขายเช่นนี้เป็นเรื่องไม่อาจเปิดเผยแต่ก็เย้ายวนคน ก็บอกกับพวกเจ้าก่อนแล้วกี่ตระกูลแย่งกันทำอยู่ พวกที่ทำงานสายนี้อย่างพวกเจ้าคนไหนไม่ใช่คนเหี้ยม? จัดการปัญหาเรียบง่ายป่าเถื่อน จัดการพวกเจ้า กิจการก็เป็นของพวกเขาแล้ว” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น


จริง จริงด้วย


สีหน้าสามคนไม่สงบทั้งยิ่งหวาดกลัวเพิ่มหลายส่วน


“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไร?” คนหนึ่งเอ่ยถาม


“ยังดีข้าคนนี้เป็นคนยึดถือกฏเกณฑ์และคุณธรรม” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าทำการค้ากันแล้ว พวกเราย่อมเป็นพวกเดียวกัน”


เขาพูดพลางยื่นมือชักดาบเล่มหนึ่งบนหลังออกมา คนก็ลุกขึ้นยืน


“ข้าฟันพวกเขาเอง”


สามคนโล่งใจ ยังไม่ทันเอ่ยปาก ผู้ชายมีหนวดก็หันกลับมาอีกครั้ง


“แต่ พวกเจ้าต้องจ่ายเงินนิดหน่อย” เขาว่า


คุณหนูจวินที่ยืนอยู่มุมกำแพงกลอกตาอยู่ในความมืด


ฮ่ะฮ่ะ


นางเอ่ยขึ้นในใจ


รู้อยู่แล้วเชียว


นางรู้แต่สามคนนั้นเห็นได้ชัดว่าตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง


“เพื่อ เพื่ออะไร?” ผู้ชายอ้วนเตี้ยหลุดปากเอ่ยถาม


ไม่ได้บอกว่ากฏเกณฑ์กับคุณธรรมอะไรรึ…กฏเกณฑ์และคุณธรรมยังต้องจ่ายเงินด้วยรึ?


“พวกเจ้าก็รู้กฏเกณฑ์ของพวกเรา” ผู้ชายมีหนวดสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเรานอกจากตัดฟืน ตัดอย่างอื่นล้นต้องคิดเงิน ข้าถึงไม่ผิดต่อดาบของข้า รวมถึงกฎของหัวหน้าของพวกกเรา”


เช่นนี้รึ


“พวกเจ้าคิดดูอีกทีก็ได้…” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น เก็บดาบถึงกับท่าทางเหมือนจะเสียบกลับไป


ต่อให้ร้องโวยวายเสียงดังดึงทหารตรวจการณ์เมืองมาก็ไม่กล้ารับประกันว่าทหารตรวจการณ์เมืองจะมาทันช่วยพวกเขาจากคมดาบหรือไม่


ต่อให้วิ่งหนี ก็วิ่งไม่พ้นอีก


ผู้ชายสามคนมองผู้มาเยือนที่เงียบงันไร้เสียงราวกับภูตผีบีบเข้ามาใกล้ทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธที่แวววาวอยู่ในมือพวกเขา รู้สึกเพียงขนหัวลุก


นี่ย่อมไม่ใช่เวลาจะคิดหรือพิจารณาแล้ว


“ตกลง ตกลง จ่ายเงิน” พวกเขารีบร้อนเอ่ย


“ถ้าเช่นนั้นก็ตามกฎ รวมถึงคนเหล่านี้…” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น ประเมินบรรดาผู้ชายที่บีบเข้ามาใกล้เหมือนกับประเมินสินค้าอย่างหนึ่ง “ฝีมือไม่เลว อาวุธก็ไม่เลว แม้นับไม่ได้ว่าเป็นของชั้นดี แต่ชั้นกลางก็ใกล้เคียง ถ้าอย่างนั้นเก็บพวกเจ้าคนละห้าร้อยตำลึงแล้วกัน”


เขาพูดจบก็หันหน้าไปมองผู้ชายสามคนนี้


“จ่ายสดหรือว่าจดบัญชีไว้”


พี่ใหญ่!


ขอเหอะ!


“จ่ายสด!” ชายสามคนใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว พวกเขาเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง พลางควักตั๋วเงินในแขนเสื้อออกมาสั่นเทิ้ม “จ่ายสด”


ผู้ชายมีหนวดรับตั๋วเงินไปคลี่ออก เหมือนยังจะส่องกับโคมดูสักหน่อย


“พี่ใหญ่!” ผู้ชายสามคนร้องตะโกนพร้อมกัน คนก็ถอยหลบไปข้างหลังด้วย


ผู้ชายห้าหกคนนั้นบีบเข้ามาใกล้แล้ว อาวุธในมือฟันมาหาพวกเขาพร้อมกัน


ผู้ชายมีหนวดไม่ได้ก้มตัวหลบ ยัดตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อ คนหนึ่งก้าวก้าวเข้าไปเผชิญหน้า ดาบในมือฟันเข้าไปตรงๆ


เสียงเคร้งดังขึ้น อาวุธปะทะกันเกิดประกายไฟแถบหนึ่ง


……………………………………….


บทที่ 110 ดึกดื่นเดินไม่หยุด

โดย

Ink Stone_Romance

บนถนนใหญ่พริบตาราวกับตกอยู่ในความมืด


คุณหนูจวินแนบร่างไปกับมุมกำแพงสิ่งใดล้วนมองไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงอาวุธปะทะกันด้านนอก เคียงคู่กับเสียงทึบตันยามอาวุธตัดเข้าเนื้อ


แต่ไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดร้องโอดโอยสักนิด เหมือนกับไม่มีคนฟาดฟันดาบกระบี่เอาชีวิตกันอยู่


คนที่มาเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดา


คุณหนูจวินคิด


ต้องไปช่วยไหมนะ?


แต่ความคิดเพิ่งผุดขึ้น เสียงด้านนอกก็พลันหยุดลง


จบแล้วหรือ?


“รีบไป รีบไป” ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น


ผู้ชายสามคนที่เบียดอยู่ตรงแท่นตั้งเตาของแผงลอยตอนนี้ถึงตัวสั่นระริกยืนขึ้นมา มองผู้ชายหกคนที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น


บางคนไม่ขยับแล้ว บางคนยังกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน บนถนนใหญ่มืดสลัว ตอนนี้เสียงครวญครางเบาๆถึงเพิ่งดังขึ้น


“เงินนี้จ่ายคุ้มค่าหรือไม่เล่า?”


ตอนที่สามคนมองดูใจสั่นขวัญสะท้าน เสียงของผู้ชายมีหนวดก็เอ่ยขึ้น


ผู้ชายสามคนฉีกริมฝีปากฝืนยิ้มออกมาบางๆ


“คุ้ม คุ้ม” พวกเขาเค้นเสียงเอ่ยขึ้น


ผู้ชายมีหนวดโบกมือให้พวกเขา


ผู้ชายสามคนตอนนี้ถึงขยับออกมา


ผู้ชายคนหนึ่งบนพื้นทันใดนั้นก็จับดาบลุกขึ้นยืน ผู้ชายสามคนตกใจกลัวส่งเสียงร้อง


ผู้ชายคนนั้นโงนเงน ใช้ดาบค้ำร่างพอฝืนไม่ล้มลง


ผู้ชายมีหนวดโบกมือใส่ผู้ชายสามคนอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจต่อ ตนเองพาพวกเขาเดินไปข้างหน้า


“เจ้าคิดว่าเจ้าหนีพ้นรึ?” เสียงแหบพร่าของผู้ชายคนนั้นเอ่ยปากขึ้น


ผู้ชายสามคนตกใจสะดุ้งโหยง ผู้ชายมีหนวดก็ทำท่าตกใจสะดุ้งโหยงออกมาด้วย


“ฮ่า” เขาเอ่ย “เจ้ารู้จักข้ารึ?”


ผู้ชายราวกับถูกคำพูดนี้ทำให้อับจนวาจาไปบ้าง เพียงแค่มองเขา


ผู้ชายมีหนวดโบกมือ


“เอาล่ะ ข้าหนีพ้นไม่พ้นเป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าจับข้าได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องของพวกเจ้า พวกเราทุกคนต่างก็เป็นห่วงธุระของตนเองเถอะ” เขาเอ่ย


“มีความสามารถเจ้าก็สังหารพวกเราเสีย” ผู้ชายยิ้มหยันร้องตะโกน ใช้ดาบชี้คนบนพื้น


คนเหล่านี้หรือว่าไม่ได้ฆ่าให้ตายรึ?


ผู้ชายสามคนอดไม่ได้มองไปบนพื้น


ท่ามกลางราตรีมืดมิดมืดสลัวไม่สว่างมองไม่ชัดว่าเป็นอย่างไรเช่นกัน ข้างหูได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของผู้ชายมีหนวด


“อยากตายในมือข้าก็ต้องจ่ายเงิน พวกเจ้าไม่ได้จ่ายเงิน ไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ” เขาเอ่ย เสียงติดจะเยาะหยันอยู่บ้าง


พูดจบก็ไม่สนใจพวกเขาอีก ก้าวใหญ่เดินไป


ผู้ชายสามคนก็รีบติดตาม แม้ยังไม่หายจากอาการตกใจกลัว แต่ในใจมีความคิดบางอย่าง


“คุณชายจิ่ว” ผู้ชายอ้วนเตี้ยก้าวไวๆตามเขามา “ท่านรู้จักกับพวกเขารึ?”


ผู้ชายมีหนวดก็ไม่ได้หันมาตอบว่าอืมสักคำ ก็ไม่รู้ว่ารู้จักหรือว่าไม่รู้จัก


ผู้ชายอีกคนหนึ่งได้สติกลับมาบ้างแล้ว


“คุณชายจิ่ว คนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อพวกเรา แต่มาเพื่อท่านกระมัง?” เขาว่า


ผู้ชายมีหนวดมองพวกเขาทีหนึ่ง


“ทำไม?” เขาเอ่ยขึ้น “นี่มีอะไรแตกต่างหรือ?”


แตกต่าง?


แตกต่างมากเลย!


“เจ้า เพราะเป็นพวกเราเรียกมา เจ้าคลี่คลายอันตรายแทนพวกเรา…” ผู้ชายอ้วนเตี้ยก็ได้สติกลับมาเอ่ยขึ้น สายตาจับอยู่บนหน้าอกของผู้ชายมีหนวด


ตรงนั้นยัดตั๋วเงินไว้หลายใบ


ที่เก็บไปเป็นเงินของพวกเขา


ผู้ชายมีหนวดสบถทีหนึ่ง


“นี่อะไรกัน? ข้าเก็บเงินไม่ถูกรึ?” เขาเอ่ย “คนเหล่านี้มาเพื่อข้าแล้วอย่างไร? พวกเจ้าไม่ใช่มาเพื่อข้าเหมือนกันรึ? พวกเจ้ามาหาข้า ไม่ใช่เอาตนเองเข้ามาเกี่ยวด้วยเองรึ? หรือว่าข้าบีบพวกเจ้ามารึไง?”


เขาเอ่ยถามติดกันเป็นพรืด ถามจนทั้งสามคนที่เพิ่งประสบความตระหนกตกใจมาสมองสับสนไปบ้าง


เหมือนจะอย่างนั้นนะ


“ข้าเก็บเงินพวกเจ้าแล้วอย่างไร? พวกเจ้ามองเห็นว่าข้าร้ายกาจมากเท่าไรแล้วไหม?” ผู้ชายมีหนวดคิ้วตั้งเอ่ยขึ้น “ข้าร้ายกาจขนาดนี้ หากไม่ใช่เพราะเก็บเงินพวกเจ้า ข้ายังต้องสู้กับพวกเขาไหม? ข้าจะไปข้าก็ไปได้ พวกเจ้าเล่า? พวกเจ้าหนีรอดจากมือพวกเขาได้งั้นรึ?”


ผู้ชายสามคนส่ายศีรษะ


ยังไงก็ไม่ได้จริงๆ


“นี่ไม่ใช่ได้ข้อสรุปแล้วรึ” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น ส่ายศีรษะถลึงตามองพวกเขา “นั่นยังไม่รีบหนีอีก! คนเหล่านี้เป็นพวกตั๊กแตน มาทีหนึ่งมาเป็นฝูงใหญ่ รอคนของพวกเขามาแล้ว ต่อให้พวกเจ้าให้เงินหมื่นพวงกับข้า ข้าก็คลี่คลายปัญหาให้พวกเจ้าไม่ได้แล้วเหมือนกัน”


ผู้ชายสามคนเหมือนจะฟังเข้าใจแต่ก็เหมือนจะฟังไม่เข้าใจ ถูกเขาตะโกนใส่ว่ายังไม่รีบหนีอีกเช่นนี้ จิตใต้สำนึกก็เพิ่มฝีเท้าให้เร็วขึ้น แยกย้ายกันวิ่งไปสามทิศทาง พริบตาหายลับไปในความมืดของราตรี


บนถนนใหญ่จากนั้นก็กลายเป็นวุ่นวายขึ้นมา ที่วุ่นวายไม่ใช่แค่ถนนเส้นนี้ ดูเหมือนทั้งเมืองจะวุ่นวายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


แต่ความวุ่นวายเหล่านี้อย่างไรก็สลัดไว้ด้านหลังร่างแล้ว


คุณหนูจวินมองเงาร่างที่ลัดเลาะถนนตรอกซอกซอยอย่างว่องไวเบื้องหน้า อุทานชื่นชมอีกครั้ง สู้ได้ทั้งยังหนีได้ นี่ถึงเป็นคนอย่างที่ปากอาจารย์จะเอ่ยชมว่าเป็นชายชาตรี


ตัดทะลุวกวนหลายรอบ ประตูเมืองก็อยู่ตรงหน้า


ประตูเมืองยังเปิดอยู่ แต่ด้านหน้าประตูเมืองทหารตรวจการณ์เมืองจำนวนหนึ่งยืนอยู่ โคมไฟสว่างส่องสีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขา เห็นชัดว่าพวกเขาได้รับข่าวบางอย่างแล้ว


อยากออกจากเมืองน่ากลัวว่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น


คุณหนูจวินคิดในใจ ความคิดเพิ่งแวบผ่านไป กลับเห็นเงาร่างตรงหน้าหยุดก็ไม่หยุดพุ่งตรงไปยังประตูเมือง


“พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ทำอะไร? ไม่ใช่ให้พวกเจ้าค้นเมืองรึ?” เขาตะโกนเสียงดังเอ่ยขึ้น


มองเห็นคนผู้หนึ่งที่พุ่งออกมากะทันหัน บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองก็ตกใจสะดุ้งโหยง กำลังจะตวาดด่าผู้ชายมีหนวดก็ยกป้ายห้อยเอวในมือขึ้นมา


“ขยับตัวไวหน่อย แต่ไม่ต้องยกพลเอิกเกริก” เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “สหายรักขุนพลเก่าของเฉิงกั๋วกงในเมืองหลวงมากมาย หากให้พวกเขารู้ว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงมาต้องขัดขวางการจับกุมแน่”


บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองมองเห็นป้ายห้อยเอว ทั้งได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายทั้งยังเข้าใจทันที


“ที่แท้ก็จับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงมาแล้ว” ทหารตรวจการณ์เมืองที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “มิน่าเบื้องบนบอกแค่ว่าให้เข้มงวด กลับไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ถ้าเช่นนั้นพวกเราต้องปิดประตูเมืองหรือไม่?”


พวกเขาพูดหันไปทางผู้ชายมีหนวดที่ประจันหน้าเข้ามา


“ไม่ต้องปิด ท่านชายในเมื่อเข้าเมืองหลวงมาแล้วต้องไม่กล้าออกมาแล้วแน่ ย่อมมีคนในเมืองปกป้องเขา” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น


เป็นเช่นนี้จริงๆ มาถึงเมืองหลวงในเมื่อร่องรอยเปิดเผยแล้ว หลบอยู่ในเมืองกลับจะปลอดภัยที่สุด หลบอยู่ในจวนหลังใหญ่ของขุนนางชั้นสูงในเมืองชั่วขณะย่อมหาไม่พบ แต่หากออกจากเมือง ถ้าอย่างนั้นย่อมขวางร่องรอยเปิดเผยไม่ได้สักนิด


อย่างไรช่วงนี้ก็คงไม่หนีออกจากเขตเมืองหลวงกลับไปถึงตอนเหนือ


“ใต้เท้ายังมีอไร…” บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองเอ่ยคำ


เสียงยังไม่ทันจบก็เห็นผู้ชายมีหนวดตรงหน้าพวกเขาฟันมือมาอย่างแรง ทหารตรวจการณ์เมืองหลายคนฉุกละหุกไม่ทันป้องกันล้มลง ด้านหน้าประตูเมืองอลหม่านทันที


“ปิดประตูเมือง!”


เสียงร้องตะโกนวุ่นวายดังขึ้น แต่ชายผู้มีหนวดแย่งม้าตัวหนึ่งมาแล้ว ดาบในมือสะบัดเป็นประกายเย็นเยียบแถบหนึ่งบุกฝ่าทางเส้นหนึ่งอย่างเร็วรี่


“ปิดประตูเมืองสิเจ้าพวกโง่เง่าพวกนี้” เขาหัวเราลั่นทะลุผ่านประตูเมืองดุจสายฟ้าแลบ ทิ้งเสียงหัวเราะที่ยังไม่กระจายหายไว้


บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองล้วนขึ้นม้าทันทีเช่นกัน แต่กลับมองเห็นด้านนอกประตูเมืองวัวแพะหมูฝูงหนึ่งส่งเสียงร้องพุ่งเข้ามา


ที่แท้ชายผู้มีหนวดเปิดคอกแพะม้าข้างล่างประตูเมือง สัตว์เลี้ยงที่ถูกขังรอคอยอยู่ข้างในเหล่านั้นล้วนวิ่งออกมา


นี่ทำให้ทหารตรวจการณ์เมืองที่ไล่ตามออกมาถูกชนโจมตีคนหงายม้าพลิก ทหารที่เฝ้าเมืองรีบไล่ต้อนสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ ด้านหน้าประตูเมืองตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่กว่าเดิม


“พ่อจ๋า พ่อจ๋า แพะหนีแล้ว แพะหนีแล้ว”


ท่ามกลางความโกลาหลยังได้ยินเสียกรีดร้องของเด็กสาว ทหารหน้าประตูเมือง ทหารตรวจการณ์เมืองได้ยินมองทีหนึ่ง เห็นเด็กสาวตะลีตะลานตกอยู่ท่ามกลางฝูงวัวแกะหมู


ส่วนด้านนอกประตูเมืองคนมากกว่าเดิมโถมเข้ามา


คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มาขายสัตว์เลี้ยง เดิมทีกำลังนอนหลับสบายอยู่ในเพิงหญ้าด้านนอกคอกวัวม้า เพราะเสียงดังนี้ล้วนตกใจตื่นกันหมด


ทหารตรวจการณ์เมืองด่าทอคนเหล่านี้ให้รีบจัดการสัตว์เลี้ยงที่วิ่งวุ่น ไม่ได้สนใจเด็กสาวที่ร้องเรียกพ่อจ๋าคนนั้นว่าไม่ได้เข้ามาอีก


ไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไร กลิ่นเหม็นของสัตว์เลี้ยววัวแพะสลายไปแล้ว คุณหนูจวินออกแรงสูดดมทีหนึ่ง รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมเดี๋ยวโผล่เดี๋ยวหายบางๆสายหนึ่ง


นี่เป็นผงยาที่นางพกติดตัวไว้ตลอด ประโยชน์หลักๆคือป้องกันตัว แต่ก็ใช้ในการตามรอยได้ เพราะมันมีกลิ่นพิเศษทั้งยังถูกพบไม่ได้ง่ายนักอยู่


ตอนที่จูจั้นอยู่ในเมืองต่อสู้กับคน นางก็ฉวยโอกาสโยนไว้บนถนนใหญ่ จูจั้นที่วิ่งเร็วรี่อยู่เหยียบไปบนนั้น


ทว่า…


คุณหนูจวินมองด้านหน้า ราตรีมืดมิดดั่งก้นหม้อ นี่เป็นช่วงเวลามืดสนิทที่สุดก่อนฟ้าสาง แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคกับการจำแนกทิศทางของนาง


ทิศนี้ไม่ใช่เหนือ ไม่ใช่ใต้ ถึงขนาดไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไกลสักเท่าใดแม้แต่นิด


เขาไม่ได้หนีจากไปไกล หรือว่าจะทำตามหลักสถานที่ซึ่งอันตรายที่สุดคือสถานที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด?


คุณหนูจวินราวกับสัมผัสได้ถึงเสียงกีบเท้าม้าของทหารที่ไล่ตามหลังร่าง


สายตาของนางจับบนเงาร่างที่ค่อยๆปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นางยังคงก้าวเดิน ดูท่าตอนที่พังคอกวัวม้าตอนออกจากเมือง ม้าคงถูกเขาไล่หนีไปแล้ว


เขาจะไปไหน?


……………………………………….


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม