Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 บทที่ 199-201

 บทที่ 199 ถามชื่อแซ่ของเจ้า

โดย

Ink Stone_Romance

คำอวยพรนี้เป็นจริงเร็วยิ่งนัก


ผ่านไปอีกหนึ่งคืน ยามเช้าตรู่มาเยือน คุณหนูจวินผู้กึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงไม่รู้เวลาใดเหน็ดเหนื่อยจนงีบหลับไปก็ถูกคนเขย่าหัวไหล่


นางจับมือที่แตะโดนหัวไหล่ไว้โดยไม่ทันรู้ตัว


“คุณหนูจวิน”


เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูพร้อมกัน


ท่านพี่


คุณหนูจวินอาศัยมือที่จับองค์หญิงจิ่วหลีอยู่ยืนขึ้นมา ปล่อยกำไลที่กำลังเปิดออกลงไป


เพราะลุกขึ้นกะทันหันเกินไป พริบตาหนึ่งจึงวิงเวียนอยู่บ้าง


มือขององค์หญิงจิ่วหลีประคองนางไว้อีกครั้ง


คุณหนูจวินยืนตั้งหลักได้ ยื่นมือกดหน้าผาก


“องค์หญิง ขออภัย หม่อมฉันเผลอหลับแล้ว” นางเอ่ยท่าทางรู้สึกผิดและวิตก


“เจ้าเฝ้ามาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย


ความหมายคือไม่กล่าวโทษที่นางหลับ


เช่นเดียวกับองค์หญิงและสตรีสูงศักดิ์ทั้งหมด นางเอ่ยวาจาเพียงครึ่งหนึ่งเช่นกัน


เอ่ยว่าอภัยหรือเคืองแค้นอีกฝ่ายออกมาจากปากตนเองนั่นล้วนเป็นท่าทางอันไร้ความงามอย่างยิ่ง


ก่อนหน้านี้นางมองเห็นสิ่งนี้ไม่คุ้นชินเสียที หาโอกาสได้ต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านพี่เสมอ


ตอนนี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง


คุณหนูจวินยิ้ม หันหน้าไปมองไหวอ๋อง


องค์หญิงจิ่วหลีไม่มีทางปลุกนางตื่นโดยไร้สาเหตุ ยิ่งไม่มีทางกล่าวโทษนางท่านหมอคนนี้ว่าเกียจคร้านนอนหลับ ต้องเป็นเรื่องของไหวอ๋องแน่


ไหวอ๋องยังคงหลับไหลเหมือนเดิม แต่ดูไปแล้วหลับสนิทกว่าวันก่อนๆ


คุณหนูจวินรีบยื่นมือไปสำรวจที่หน้าผากของไหวอ๋อง


“ข้ารู้สึกว่าไม่ร้อนขนาดนั้นแล้ว” องค์หญิงจิ่วหลีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น


แต่เหมือนที่ไหน ใช่แน่แท้


คุณหนูจวินยื่นมือจับชีพจร รอยยิ้มบนหน้าคลายไป นางอดไม่ได้ก้มตัวลงไปแนบหน้ากับใบหน้าของไหวอ๋อง


เจ้าตัวเล็ก ในที่สุดเจ้าก็ทนผ่านด่านหนึ่งมาได้แล้ว


“ไข้ลดแล้วรึ?”


เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังขึ้นด้านหลัง ท่าทางก็อดนอนมานานแล้วเช่นกัน เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง


คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน องค์หญิงจิ่วหลีรั้งสายตากลับมาจากบนตัวนาง มองไปทางไหวอ๋อง


“ใช่ ไข้ลดแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย


“ถ้าอย่างนั้นก็หายแล้วหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม


คุณหนูจวินไม่ได้เอ่ยวาจา หนิบหีบยาด้านข้างเปิดออก


ลู่อวิ๋นฉีมองหีบยาของนาง ด้านในไม่ใช่แบบที่ท่านหมอมักใช้ แต่เป็นช่องเล็กกะทัดรัดเรียงรายอยู่เต็ม เมื่อมือคุณหนูจวินแตะกดก็มีช่องหนึ่งเปิดออก ด้านในใส่ขวดยาใบหนึ่งไว้


หีบยาที่ทำเอาไว้ประณีตเช่นนี้กลับซ่อนกลไลเอาไว้ คนนอกหยิบไปเกรงว่าชั่วเวลาหนึ่งคงเปิดไม่ออก


คุณหนูจวินไม่สนใจลู่อวิ๋นฉีที่สำรวจหีบยาของนาง เทยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในขวดแยกออกมา ประคองไหวอ๋อง องค์หญิงจิ่วหลีส่งน้ำมาแล้ว มองดูคุณหนูจวินป้อนยาลูกลอนเข้าไป


“ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ยาลูกกลอนก็กลืนลงไปเองได้แล้ว” นางเอ่ย คำพูดแม้เอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของนางกลับไม่ได้มีความตื่นเต้นดีใจสักเท่าไร ราวกับคุ้นชินจนเฉยชา กระทั่งความตื่นเต้นดีใจก็ทำไม่เป็นแล้ว


“ยังไม่หายดี เพียงแค่ไม่ต้องห่วงชีวิตเท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย “ตื่นขึ้นมายังต้องรออีกช่วงเวลาหนึ่ง”


พูดจบก็หิ้วหีบยาขึ้น


“ข้าไปปรุงยาอีก”



ข่าวไหวอ๋องไข้ลดอาการดีขึ้นแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก


บรรดาหมอหลวงสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก


“ไข้ลดไม่นับว่ารักษาหาย” พวกเขาเอ่ย


แต่สามวันให้หลังข่าวไหวอ๋องได้สติ ทำให้พวกเขาหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง


หรือว่ารักษาหายได้จริงๆ? นี่เพิ่งเจ็ดแปดวันเท่านั้นเองนะ


“องค์ชาย?”


คุณหนูจวินยื่นมือออกมาแกว่งหน้าไหวอ๋อง


“มองเห็นชัดไหมเพคะ?”ไหวอ๋องกลอกลูกตา ไม่ได้มองมือนาง แต่มองมาทางนาง


“เจ้าเป็นใครกัน?” เขาเอ่ยถาม


เพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาเสียงจึงอ่อนระโหยโรยแรง แทบจะไม่ได้ยิน


คุณหนูจวินมองเขาทั้งดีใจทั้งเสียใจ อดไม่ได้ยื่นมือลูบไล้ใบหน้าของเขา


“นี่คือท่านหมอที่รักษาเจ้าหาย คุณหนูจวิน” จิ่วหลีที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้น นั่งลงลูบหน้าผากของไหวอ๋อง


คุณหนูจวินเก็บสีหน้าไว้ ใช่สิ นางเป็นหมอ ทำได้เพียงเผยสีหน้าผ่อนคลายของท่านหมอออกมาเท่านั้น ไม่ใช่ความรักลึกซึ้งระหว่างพี่สาวกับน้องชายอย่างองค์หญิงจิ่วหลีเช่นนี้


ไหวอ๋องไม่ได้มองไปทางนางอีก หันหน้ามองจิ่วหลี


“ท่านพี่” เขาร้องเรียกเหมือนอยากร้องไห้ “ข้าฝันเห็นท่านกับ…ท่านมาอยู่เป็นเพื่อนข้าแหนะ”


เขาพูดว่าท่านกับ…ท่าน เหมือนเด็กน้อยตะกุกตะกัก แต่คุณหนูจวินกลับฟังแล้วใจเต้น


บางทีที่เขาอยากพูดก็คือท่านกับพี่รอง


จิ่วหลีราวกับไม่สังเกต เพียงแค่ลูบหน้าของเขา


“ไม่กลัว ไม่กลัว” นางว่า “พี่สาวอยู่นี่นะ”


ไม่ได้ดีใจจนร้องไห้แล้วก็ไม่ได้ยิ้มเพราะเสียไปแล้วได้กลับมา พี่สาวน้องชายสองคนอิงพิงกันเหมือนสิ่งใดล้วนไม่เคยเกิดขึ้น ไหวอ๋องเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่ฝันร้ายสะดุ้งตื่นแล้วได้พี่สาวปลอบประโลม


ได้รู้ว่าไหวอ๋องได้สติ คนในวังรีบมาเยี่ยมทันที หลังคุณหนูจวินให้พวกเขาแสดงความเป็นห่วงจากคนเช่นฮ่องเต้ไทเฮาฮองเฮาที่มีต่อไหวอ๋องแล้ว ก็แนะนำผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นยังคงไม่ต้องมาเยี่ยม


“องค์ชายเพียงได้สติเท่านั้น ยังไม่หายดี หากติดไปถึงผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นย่อมไม่ดีแล้ว” นางเอ่ย


คำพูดนี้ทำบรรดาขันทีรีบขอตัวถอยออกไปจากวังไหวอ๋อง


จิตใจของไหวอ๋องดีขึ้นทุกที เพราหลังได้สติทานยาจึงสะดวกขึ้น


เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนสิบสอง ไหวอ๋องก็ลงจากเตียงเดินได้หลายก้าวแล้ว องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ข้างเตียง มองไหวอ๋องที่เดินกลับไปมาหลายก้าว ใบหน้าแย้มยิ้ม


“ท่านพี่ ข้าหิวแล้ว” ไหวอ๋องเอ่ย ดึงมือขององค์หญิงจิ่วหลี


องค์หญิงจิ่วหลียิ้มจูงเขาเดินไปบนเตียงอีกด้านหนึ่งช้าๆ ที่นี่วางโต๊ะเตาไว้แล้ว


“ยกสำรับมาเถอะ” นางสั่งบรรดานางกำนัลแล้วนั่งลง


ไม่ว่าเวลาอาหารหรือไม่ หลายวันนี้องค์หญิงจิ่วหลีล้วนกินด้วยกันอยู่ด้วยกันกับไหวอ๋อง


มองอาหารที่ยกมา องค์หญิงจิ่วหลีหยิบถ้วยตะเกียบก่อน ไหวอ๋องก็ดีใจเตรียมกินด้วย คุณหนูจวินยกถ้วยยาเข้ามามองเห็นภาพนี้รีบห้าม


“องค์ชาย ข้าขอดูก่อนว่าอาหารนี่เสวยได้หรือไม่” นางเอ่ย


บรรดานางกำนัลด้านข้างเสตาหลบ


ตั้งแต่หลังไหวอ๋องทานอาหารได้ คุณหนูจวินคนนี้ทุกมื้อต้องดูต้องชิม


หมายความว่าอย่างไรกัน? หรือกลัวมีคนใส่ยาพิษรึ?


“องค์ชายกำลังเสวยโอสถอยู่ ต้องเลี่ยงของต้องห้าม” คุณหนูจวิน


“คุณหนูจวินบอกของต้องห้ามให้พวกเราได้หรือไม่ พวเราจะได้สะดวกหลบเลี่ยงด้วย” นางกำนัลคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินกำลังจดจ่อใช้ตะเกียบค่อยๆ ชิมอาหารที่ส่งมาทีละอย่าง ได้ยินก็มองนางกำนัลคนนั้นทีหนึ่ง


“มากเกินไป” นางเอ่ย “ทุกวันล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่สะดวกบอก”


นางเป็นท่านหมอนางพูดเป็นเด็ดขาด นางกำนัลได้แต่หุบปากแล้ว


“เอาล่ะ เสวยได้แล้ว” คุณหนูจวินตรวจสอบเสร็จก็ยิ้มเอ่ย วางถ้วยยาไว้บนโต๊ะ “เสวยพระกายาหารเสร็จก็เสวยโอสถได้”


องค์หญิงจิ่วหลียิ้ม ไม่ได้ห้ามปรามการกระทำของคุณหนูจวินแต่ก็ไม่ได้ชมเชย เหมือนกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือเป็นเรื่องอย่างไรก็ได้


ทานอาหารกับยาเสร็จ ไหวอ๋องก็วิ่งวุ่นหลับไป ส่วนองค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ข้างเตียงเหมือนเช่นทุกที หยิบเข็มด้ายขึ้นมา


ยังเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิด วันวันเย็บปักถักร้อย ทำทั้งปีก็ไม่เห็นนางทำอะไรออกมาได้


คุณหนูจวินยืนอยู่ด้านข้างมององค์หญิงจิ่วหลีเหม่อลอยนิดๆ


แต่สำหรับท่านพี่แล้วนอกจากเย็บปักแล้วยังทำอะไรได้อีกเล่า


“เจ้าชื่ออะไร?” ทันใดนั้นองค์หญิงจิ่วหลีก็เอ่ยถาม


คุณหนูจวินที่เหม่อลอยอยู่ถูกถามงงงันไปครู่หนึ่ง สบสายตาองค์หญิงจิ่วหลี


องค์หญิงจิ่วหลีเพียงมองนางทีหนึ่งก็ก้มศีรษะเย็บปักต่อ เหมือนกับคุยเล่นเรื่อยเปื่อย


หลายวันนี้พวกนางคุยเล่นกันน้อยนัก องค์หญิงจิ่วหลีไม่ใช่คนชอบพูดโดยเฉพาะไถ่ถามผู้อื่น ส่วนนางไม่พูดได้ก็ไม่พูด อย่างไรที่นี่อยู่ใต้หนังตาของฮ่องเต้กับลู่อวิ๋นฉี แล้วยังเผชิญหน้ากับครอบครัวที่ตนเองคิดถึงอยู่ทุกวี่วัน


ความแค้นปกปิดได้ ความอ่อนโยนและความคิดถึงยากปกปิดนักจริงๆ


คิดไม่ถึงคุยเล่นขึ้นมา องค์หญิงจิ่วหลีก็เอ่ยถามคำถามนี้


ทำไมนางต้องถามชื่อตนล่ะ? ใช่สังเกตอะไรได้ อยากพิสูจน์บางอย่างหรือไม่?


ถ้าอย่างนั้นนางเล่า? ต้องปกปิดอะไรไหม?


ไม่จำเป็น


อย่างไรชื่อนี้ที่นางใช้ก็เพื่อวันนี้ ให้คนที่อยากลืมเลือนและคนที่ไม่อยากลืมเลือนตนเองเหล่านั้น จดจำชื่อนี้ได้อีกครั้ง


คุณหนูจวินมององค์หญิงจิ่วหลี


“ข้าชื่อจิ่วหลิง” นางเอ่ย


มือที่ถือเข็มขององค์หญิงจิ่วหลีชะงักเงยหน้ามองไปทางคุณหนูจวิน


“จวินจิ่วหลิง” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ


องค์หญิงจิ่วหลีมองนางยิ้มเล็กน้อย ก้มศีรษะแทงเข็มร้อยด้ายต่ออีกครั้ง


“บังเอิญจริง” นางเอ่ย “ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง ก็ชื่อจิ่วหลิง”


“งั้นหรือเพคะ บังเอิญขนาดนี้” คุณหนูจวินเอ่ย หลุบสายตาลง


เสียงขององค์หญิงจิ่วหลีหยุดชะงักไป


“แต่” นางเอ่ยแล้วถอนหายใจ “นางไม่ได้ว่านอนสอนง่ายเช่นนี้อย่างเจ้า นางเป็นเด็กที่ทำให้คนปวดหัวนักคนหนึ่ง”


มั่วแล้ว ไม่ใช่สักหน่อย ว่าร้ายนางอีกแล้ว


คุณหนูจวินหลุบสายตาเบ้ปาก ในดวงตากลับมีน้ำแวววาวไหลคลอ


……………………………………….


บทที่ 200 เวลาไม่คอยท่า

โดย

Ink Stone_Romance

นางจะเป็นเด็กที่ทำให้คนปวดหัวได้อย่างไร?


นางเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายรู้ความมากคนหนึ่งชัดๆ เพียงแต่ท่านพี่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบนางเท่านั้น


คุณหนูจวินหลุบตา ลำคอขัดเคืองอยู่บ้าง


องค์หญิงจิ่วหลีกลับไม่ได้พูดต่อ


ที่จริงข้าก็ทำให้คนปวดหัวมากเหมือนกัน“ คุณหนูจวินกลับไม่อยากจบหัวข้อสนทนานี้ นางเป็นฝ่ายเอ่ย “น้องสาวขององค์หญิง…”


คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบด้านหลังร่างเสียงฝีเท้าก็ลอยมา ในเวลาเดียวกันเสียงของลู่อวิ๋นฉีก็ดังขึ้น


“องค์หญิง ไหวอ๋องเป็นอย่างไร?” เขาเอ่ย


คุณหนูจวินหลุบตา


องค์หญิงจิ่วหลีวางเข็มด้ายลงยิ้มมองเขา


“ดีขึ้นมากแล้ว” นางเอ่ย


ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญองค์หญิงกลับบ้านเถิด” เขาเอ่ย


กลับบ้าน?


กลับบ้านอะไร? ที่นี่ถึงเป็นบ้านของนาง


มือของคุณหนูจวินที่ทิ้งอยู่ข้างตัวถูกแขนเสื้อปิดไว้กำหมัด


“องค์ไทเฮาจะส่งคนมาดูแลองค์ชาย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย


องค์หญิงจิ่วหลียืนขึ้น


นางไม่ได้ไม่พอใจสักนิด ยิ่งไม่ได้เอ่ยปากสักครึ่งประโยคขอรั้งอยู่ หมุนตัวลูบหน้าผากไหวอ๋อง


“ได้” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปแล้ว”


ลู่อวิ๋นฉีเบี่ยงกายหลีกทาง


ท่านพี่…


คุณหนูจวินย่อเข่าคำนับองค์หญิงจิ่วหลี


นางก็ไม่อาจไม่พอใจ ยิ่งไม่อาจรั้ง


องค์หญิงจิ่วหลีไม่ได้มองนางอีก ถึงขั้นที่ไม่ได้เอ่ยรบกวนดูแลไหวอ๋องให้ดีสักประโยค


ดูแลไหวอ๋องให้ดีเรื่องนี้ นางไม่มีสิทธิ์และไม่อาจขอร้อง ดีหรือไม่ดี ล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางตัดสินได้


คุณหนูจวินมององค์หญิงจิ่วหลีเดินออกมาจากห้องบรรทม จากไปท่ามกลางนางกำนัลกลุ่มหนึ่งห้อมล้อม


ลู่อวิ๋นฉีขวางสายตาของนางไว้ ทีละก้าวๆ เดินเข้าใกล้ ยืนอยู่ตรงหน้านาง กดสายตามองนางอย่างเย็นเยียบ


“เจ้าชื่อจิ่วหลิง” เขาเอ่ยซ้ำรอบหนึ่ง


คุณหนูจวินมองเขายิ้ม


“ใช่ข้าชื่อจิ่วหลิง” นางเอ่ย


ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท


“จวินเจินเจิน เจ้าทำไมชื่อจิ่วหลิง” เขาเอ่ย


แม้ที่พูดคือคำถาม แต่น้ำเสียงของเขากลับเป็นการบอกเล่า เขาไม่ต้องการคำตอบ เขามีคำตอบแล้ว


หลายวันนี้ไม่ว่าตนเองปกปิดระมัดระวังเท่าใด ในสายตาของลู่อวิ๋นฉีคนขี้ระแวงคนนี้ ตนเองย่อมต้องน่าสงสัยมากแน่


โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามเช่นนี้ แล้วตนเองยังตอบชื่อนี้ออกมาอีก


ในสายตาของลู่อวิ๋นฉีนี่เป็นการมีเจตนาอื่นอย่างโจ้งแจ้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลไล่องค์หญิงจิ่วหลีไปสินะ


คุณหนูจวินสีหน้าสงบ


“นี่เป็นความปรารถนาก่อนตายของท่านปู่ข้า” นางเอ่ย “ข้าต้องสืบทอดกิจการทำให้โรงหมอจิ่วหลิงเจริญรุ่งเรือง”


ลู่อวิ๋นฉีมองนาง


“เจ้าจะสมหวัง” เขาเอ่ย


เสียงทุ้มนุ่มนี่ฟังแล้วเดิมคงทำให้คนดีใจ แต่ประกอบกับใบหน้านิ่งสนิทดั่งกระเบื้องขาวไม่มีอารมณ์แม้แต่นิดนี่ มีแต่ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนชัน


เขาพูดจบก็หมุนกายจากไปแล้ว


คุณหนูจวินยืนอยู่ในห้องบรรทมอันเงียบสงบพรูลมหายใจช้าๆ


ไม่ใช่องค์หญิงจิ่วหลิง ลู่อวิ๋นฉีตรงหน้าน่ากลัวยิ่งนักจริงๆ นางถึงขนาดไม่รู้ว่านาทีต่อไปเขาจะชักดาบฟันตนเองตายหรือไม่


หากเขาคิดจริงๆ ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะทำเช่นนั้นไม่ลังเลสักนิดแน่นอน


คุณหนูจวินเชื่อจุดนี้โดยไม่สงสัย เหมือนกับครั้งก่อนนอกโรงหมอจิ่งหลิง เขาจะสังหารตนเองตายจริงๆ


นี่เป็นคนน่ากลัวที่นางไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง และไม่อาจควบคุมได้อย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง



“ท่านพี่ไปแล้วหรือ?”


ไหวอ๋องที่ตื่นขึ้นมาไม่พบองค์หญิงจิ่วหลี สีหน้าตระหนกอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ร้องไห้โวยวาย ทว่าเพียงเสียงสั่นเอ่ยถาม


นางข้าหลวงที่ได้รับคำสั่งมาจากในวังแย้มยิ้มขานรับ


“เพคะ องค์ชาย” พวกนางเอ่ย “องค์หญิงทรงเป็นผู้ที่แต่งงานแล้ว มีบ้านของตนเองต้องดูแล องค์ชายอยู่ที่นี่มีฮ่องเต้กับไทเฮานะเพคะ”


ในดวงตาของไหวอ๋องน้ำตาแวววาว


“อืม ขอบพระทัยฮ่องเต้กับพระอัยยิกา” เขาเอ่ย


เช่นเดียวกับองค์หญิงจิ่วหลี การจัดการใดๆ เขาล้วนยอมรับ ไม่มีทางร้องไห้โวยวายตีโพยตีพายเหมือนเด็กจริงๆคนหนึ่ง


รอยยิ้มบนหน้าบรรดานางข้าหลวงยิ่งเอ็นดู


“องค์ชายรู้ความจริงๆ”


“องค์ชายต้องรีบหายนะเพคะ ไปคารวะฮ่องเต้กับไทเฮา”


“ดูสิเพคะ นี่เป็นขนมที่องค์ชายชอบเสวยที่สุด ไทเฮาให้นำมา”


พวกนางยิ้มเอ่ย ชี้ขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ


“องค์ชายอยากชิมไหมเพคะ?”


ไหวอ๋องลุกขึ้นนั่ง แม้ในดวงตายังมีน้ำตาแวววาวอยู่บาง สีหน้ากลับเรียบเฉย เหมือนกับองค์หญิงจิ่วหลีอีกหนึ่งคน


“ได้” เขาเอ่ย ไม่เอ่ยปฏิเสธสิ่งที่จัดการไว้ให้


คุณหนูจวินก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง


“นายหญิง องค์ชายยังเสวยโอสถอยู่ ของหวานเหล่านี้ไม่อาจเสวยได้ชั่วคราว” นางเอ่ย


นางข้าหลวงสองคนมองนางทีหนึ่งร้องอ้อ


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ฟังท่านหมอแล้วกัน” พวกนางยิ้มเอ่ย ส่งสายตาให้นางกำนัลหยิบขนมออกไป “องค์ชายต้องรีบหายดีนะเพคะ ถึงเวลาจะเสวยอะไรก็เสวยอันนั้น”


ไหวอ๋องพยักหน้าอย่างว่าง่าย นอนลงบนเตียง สงบเงียบ


เหมือนกับเด็กน้อยที่ระวังกิริยายามมาเป็นแขกบ้านคนอื่นคนหนึ่ง


“องค์ชาย นอนตลอดไม่ได้นะเพคะ” คุณหนูจวินก้าวเข้าไปเอ่ย “ต้องเดินให้มาก เช่นนี้ถึงยิ่งมีกำลัง”


จนถึงตอนนี้ไหวอ๋องถึงมองมาทางนาง


“เช่นนั้นหรือ?” นางข้าหลวงสองคนเอ่ย มองไหวอ๋องยื่นมือพยุง “ถ้าอย่างนั้นก็ฟังท่านหมอเถอะ”


ไหวอ๋องยิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นอย่างเงียบสงบ บรรดานางกำนัลรีบก้าวเข้าไปสวมเสื้อผ้าสวมรองเท้า มองไหวอ๋องเดินช้าๆ ในห้อง


คุณหนูจวินเห็นย่างก้าวของเขามั่นคงกว่าก่อนหน้ามาก ก็หันสายตามองไปด้านนอกห้องบรรทม


“องค์ชาย วันนี้อากาศดี ไปข้างนอกเดินเล่นกันเถอะเพคะ” นางเอ่ย


ไปข้างนอก?


บรรดานางข้าหลวงนางกำนัลมองไปทางคุณหนูจวิน


ไม่กลัวหนาวหรือ?


“องค์ชายอยู่ในห้องนานเกินไปแล้ว ควรไปรับอากาศบ้าง” คุณหนูจวินเอ่ย


เช่นนี้หรือ? ที่นางพูดมีเหตุผลหรือไม่?


นางข้าหลวงสองคนสบกัน น่าจะมีเหตุผลล่ะมั้ง อย่างไรนางก็รักษาไหวอ๋องหาย


นางข้าหลวงสองคนพยักหน้า บรรดานางกำนัลวุ่นวาย สวมอาภรณ์หนาให้ไหวอ๋อง สวมผ้าคลุมสวมหมวก


“ไม่จำเป็นจะต้องเดินเลย นั่งเกี้ยวปรับตัวสักหน่อยก่อนก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ย


บรรดานางกำนัลรีบไปให้ขันทีน้อยหามเกี้ยวมา ไหวอ๋องปล่อยให้พวกนางจัดการไม่พูดไม่จา ไม่นานก็ถูกจัดให้นั่งอยู่บนเกี้ยว นางข้าหลวงนางกำนัลกลุ่มหนึ่งพรึบพรับห้อมล้อมแบกออกจากห้องบรรทม


“คุณหนูจวินไปเดินเล่นที่ไหนดีเจ้าคะ?” นางข้าหลวงเอ่ยถาม


เอ่ยถามจบก็รู้สึกว่าคำถามนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง คุณหนูจวินท่านหมอที่มาจากข้างนอกคนหนึ่งทั้งไม่คุ้นเคยกับวังไหวอ๋อง นางจะรู้ได้อย่างไรว่าไปไหน


“เดินไกลสักหน่อยหรือว่าเดินวนใกล้ๆ?” นางข้าหลวงจึงเอ่ยเสริมอีก


คุณหนูจวินเงยหน้ามองรอบด้านทีหนึ่ง ราวกับค้นหาอะไร


“มีสวนดอกไม้หรือเปล่า?” นางเอ่ย “สถานที่โล่งแจ้งพื้นดินมากแล้วมีต้นไม้มากทำนองนั้นเป็นใช้ได้”


นางข้าหลวงร้องอ้อ


“ย่อมมี” นางยิ้มเอ่ย สั่งบรรดาขันทีที่แบกเกี้ยว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปสวนหนิงชุ่ยแล้วกัน ที่นั่นไม่ไกลจากที่นี่และต้นไม้เก่าแก่มาก”


บรรดาขันทีขานรับยกเกี้ยวก้าวเดิน


“คุณหนูจวินท่านก็ตามมาด้วยกันเถอะ” นางข้าหลวงมองคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้างอีกครั้ง “อย่างไรองค์ชายก็เพิ่งดีขึ้น ท่านอยู่ข้างกายติดตามทุกคนย่อมวางใจ”


คุณหนูจวินขานรับหิ้วหีบยาก้าวช้าๆ ติดตามอยู่ท้ายขบวน


สวนหนิงชุ่ยไม่ใช่สวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดของวังไหวอ๋อง แล้วก็ไม่ใช่ที่ใกล้ห้องบรรทมของไหวอ๋องมากที่สุด พูดให้ชัดเป็นสถานที่ซึ่งระยะทางใกล้กับห้องบรรทมขององค์หญิงจิ่งหลิงมากที่สุด


ดอกไม้ต้นหญ้าไม่มาก ที่มากคือต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า คุณหนูจวินมองเห็นต้นไม้เก่าแก่ที่หนาที่สุดต้นนั้นแต่ไกล ข้างล่างต้นไม้ยังมีชิงช้าอยู่อันหนึ่ง


ปีนั้นที่เพิ่งย้ายเข้ามาในวังไหวอ๋อง นางมักจะนั่งอยู่บนชิงช้าแกว่งไกวเอื่อยเฉื่อย ด้านข้างต้นไม้ฝังอดีตของอาจารย์รวมถึงตนเองเอาไว้


ลู่อวิ๋นฉีสงสัยแล้ว ท่านพี่ถูกไล่ไปแล้ว ตนเองก็ถูกไล่ไปได้ตลอดเวลาดังนั้นต้องรีบเอาจดหมายของอาจารย์ที่ฝังซ่อนเอาไว้ออกมาให้เร็วที่สุด


……………………………………….


บทที่ 201 ของเก่าปรากฏใหม่

โดย

Ink Stone_Romance

สายลมเดือนสิบสองพัดผ่านเรือน หิมะบางบนพื้นถูกหอบพัดขึ้นมา พร้อมกับเสียงปั้บกังวานดังขึ้น ทำหลิ่วเอ๋อร์ที่เดินออกจากห้องอุปกรณ์ทำยาตกใจสะดุ้ง


“เฉินชี เจ้าทำอะไรน่ะ?” นางเลิกคิ้วเอ็ด


เฉินชีแกว่งประทัดในมือ


“นี่ไม่ใช่ปีใหม่รึ ครึกครื้นหน่อยสิ” เขาหัวเราะเอ่ย


หลิ่วเอ๋อร์เบะปาก


“งานของเจ้าทำเสร็จแล้วรึ? คุณหนูของข้าไม่อยู่ เจ้าอย่าได้แอบขี้เกียจ” นางเอ่ย ยกยาที่คั่วเสร็จแล้วเดินออกไป


“ใครจะรู้ว่าคุณหนูของเจ้าจะกลับมาเมื่อใด” เฉินชีพึมพำประโยคหนึ่ง


“สิ้นปีก็น่าจะกลับมาได้กระมัง” เสียงของฟางจิ่นซิ่วดังขึ้นข้างหลัง


เฉินชีรีบแย้มยิ้มหมุนตัว


“ใช่แล้ว ได้แน่ ข่าวแพร่ออกมาแล้ว อาการป่วยของไหวอ๋องไม่มีปัญหาใหญ่แล้ว ดีขึ้นทุกวัน” เขาเอ่ย พลางตามฟางจิ่นซิ่วเดินไปโถงด้านหน้า “ไหวอ๋องคนสูงศักดิ์ขนาดนั้นไม่มั่นใจทั้งหมด ต้องไม่ปล่อยคุณหนูจวินออกมาแน่ ข้าว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ที่วังไหวอ๋องถึงยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าถึงกลับมา”


ฟางจิ่นซิ่วอืมทีหนึ่ง


“ตัวเจ้าเองก็รู้ว่าไม่เป็นไร เจ้าก็วางใจกลับไปฉลองปีใหม่เถอะ” นางเอ่ย


“พ้นปีใหม่ข้าค่อยกลับไป ถึงเวลาผ่านวันที่สามเดือนสามค่อยมาเหมาะสมกว่า” เฉินชีเอ่ย ขยิบตายิ้ม “สำหรับพวกเราตระกูลเฉินแล้ว วันที่สามเดือนสามสำคัญเสียยิ่งกว่าปีใหม่”


ฟางจิ่นซิ่วหยุดฝีเท้ามองเขา


“เฉินชี พวกเขาให้เงินเจ้าเท่าไร?” นางพลันเอ่ยถาม


เฉินชีร้องอ้อ


“นั่นไม่ใช่พวกเขากำหนด” เขาเอ่ย “นั่นต้องดูกิจการของหอจิ้นอวิ๋นวันนั้น


ฟางจิ่นซิ่วยิ้ม


“ข้าพูดถึงที่เจ้าดูแลข้า ตระกูลฟางให้เงินเจ้าเท่าไร?” นางเอย


เฉินชีอึ้งจากนั้นก็ยิ้มแห้งๆ


“เจ้าพูดอะไรน่ะ ตระกูลฟางให้เงินข้าทำอะไร ข้ากับเจ้าเป็นหุ้นส่วนขายน้ำตาลปั้นด้วยกันนะ พูดถึงเงินก็เป็นเงินที่เจ้าให้ข้า” เขาเอ่ย


ฟางจิ่นซิ่วมองเขาไม่เอ่ยคำ


เฉินชีหุบรอยยิ้ม


“ก็ไม่เท่าไร” เขาเอ่ย “น้องชายเจ้าบอกว่าสักหมื่นตำลึงเงิน”


ฟางจิ่นซิ่วกลอกตา


“ข้าช่างราคาถูกจริงๆ” นางเอ่ย


เฉินชีหัวเราะหึหึ


“ไม่ใช่ ไม่ใช่” เขาโบกมือ “เป็นข้าราคาถูกเกินไปแล้ว”


ฟางจิ่นซิ่วไม่พูดจาก้าวเข้าไปในโถงด้านหน้า เฉินชีตามเข้าไป


“เฮ้อ ตอนนี้เจ้ารู้แล้ว ให้น้องชายของเจ้าเบี้ยวค่าจ้างไม่ได้นะ…” เขาเอ่ย


“ไม่เบี้ยวค่าจ้าง ถึงเวลาเจ้าแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง” ฟางจิ่นซิ่วคล้องมือไขว้หลังเอ่ย มุมปากยิ้มบาง


เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว


“จิ่นซิ่ว ข้ารู้สึกว่าคนตระกูลเจ้าล้วนเป็นคนดี” เขาเอ่ย


“คนดี?” ฟางจิ่นซิ่วมองเขาทีหนึ่ง “นั่นแล้วอย่างไร?”


คนดียังถูกวางแผนร้ายมาตลอดสิบกว่าปี คนในครอบครัวจบชีวิต ตนเองก็เป็นตัวตนที่ประดักประเดิดคนหนึ่ง


“คนดีได้ดีตอบแทน” เฉินชียิ้มเอ่ย “นี่คือความยุติธรรม”


ฟางจิ่นซิ่วเบะปาก


“มีความยุติธรรมหรือ?” นางเอ่ยถาม


เฉินชีพยักหน้าหนักแน่น


“มี” เขาเอ่ย


มีความยุติธรรม ศัตรูในที่สุดถูกปราบ หนี้เลือดชำระแล้ว แม้คนจากไป แต่หัวใจของคนในบ้านยังคงรักใคร่กลมเกลียว


นี่ก็คือความยุติธรรม


จวินเจินเจินคนนั้นนางทำดีรักษาโรคช่วยเหลือคนก็เป็นคนดี ย่อมต้องได้ดีตอบแทน สวรรค์ต้องให้ความยุติธรรมกับนางแน่


นางจะต้องปลอดภัยไร้อันตรายกลับมา


ฟางจิ่นซิ่วพรูลมหายใจไม่พูดอีก ดึงตู้ยาเปิดออกเริ่มสำรวจดู


ก่อนหน้าคุณหนูจวินไปวังไหวอ๋อง นางทิ้งสูตรยาลับของนางไว้ให้ ให้นางรับผิดชอบคั่วสมุนไพรประจำวัน พนักงานร้านสองคน เฉินชีและหลิ่วเอ๋อร์ล้วนถูกสั่งสอนแบ่งงานมาแล้ว ยาหลายชนิดจึงทำออกมาได้ตามสูตรลับ


โรงหมอจิ่วหลิงแม้ไม่มีท่านหมอออกตรวจ แต่ยาขายได้ไม่หยุด กิจการไม่หยุดพักสักวัน วันๆ หนึ่งโรงหมอจิ่วหลิงก็อยู่ได้


เสียงประทัดดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ในเมืองหลวง


ไหวอ๋องที่นั่งอยู่บนเกี้ยวหามยืดตัวตรง


“ข้าได้ยินเสียงประทัด” เขาเอ่ย


“ใช่แล้ว ใกล้ปีใหม่แล้ว เด็กน้อยทั้งหลายล้วนเล่นประทัด” คุณหนูจวินบอก


ไหวอ๋องมองนางทีหนึ่ง หันหน้าไป


“ท่านอาจารย์กู้ ท่านอาจารย์กู้” เขาเอ่ย “พวกเราจุดประทัดบ้างได้ไหม?”


บัณฑิตกู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินก็ยิ้ม


“ได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมเตรียมไว้พร้อมแล้ว” เขาเอ่ย


บนหน้าไหวอ๋องแย้มรอยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันตอนนี้เลย” เขาอดรนทนไม่ไหวเอ่ย


บัณฑิตกู้มองไปทางคุณหนูจวิน


“นี่ต้องฟังการจัดการของท่านหมอ” เขาเอ่ย


ไหวอ๋องตอนนี้ถึงมองไปทางคุณหนูจวิน แต่เทียบกับความร่าเริงต่อหน้าบัณฑิตกู้ สีหน้าของเขาเป็นทางการและห่างเหิน


หลังองค์หญิงจิ่วหลีถูกไล่ออกไป คนที่อยู่เคียงข้างไหวอ๋องทุกวันทุกคืนล้วนเป็นนาง แม้ไหวอ๋องเชื่อฟังคำพูดของนาง แต่ท่าทีก็ห่างเหินอยู่ตลอด


ท่าทางคงเป็นเพราะตนเองเป็นคนที่สำนักแพทย์หลวงกับฮ่องเต้ส่งมากระมัง แม้ไหวอ๋องเป็นเช่นเดียวกับองค์หญิงจิ่วหลีไม่ขัดขืนอย่างใดต่อการจัดการ แต่ก็ห่างเหิน


ส่วนบัณฑิตกู้ ไหวอ๋องพึ่งพิงด้วนน้ำใสใจจริงไม่ปิดบังสักนิด


บัณฑิตกู้คนนี้เป็นถึงคนของลู่อวิ๋นฉี อยู่ข้างๆ น่ากลัวจริงๆ เด็กน้อยคนหนึ่งแบ่งแยกไม่ออกสักนิดว่าใครดีใครเลว


คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ แล้วยิ้มอีกครั้ง


อย่างน้อยก็รักษาชีวิตไว้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยๆ ทีหลังเถอะ


“ได้” นางเอ่ย


ไหวอ๋องผงกศีรษะให้นาง หันไปทำสีหน้าเริงร่ากับบัณฑิตกู้


“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์รีบไปเอา” เขาเอ่ย


“องค์ชายไม่สู้ไปเองล่ะเพคะ” คุณหนูจวินเอ่ย “เดินไป”


ตอนนี้คุณหนูจวินต้องการให้ไหวอ๋องเดินขยับเพิ่ม เด็กน้อยกระตือรือร้นกับเรื่องที่ชอบ นี่เป็นโอกาสดีมากครั้งหนึ่งจริงๆ


บัณฑิตกู้ยิ้มกว้างให้ไหวอ๋องบนเกี้ยวห้าม ไม่รอเหล่าขันทีย่อตัววางเกี้ยวก็ยื่นมือออกมา


ไหวอ๋องดวงตาเป็นประกายกางแขนออก


“บินแล้ว” บัณฑิตกู้ยิ้มเอ่ย กอดไหวอ๋องไว้


ไหวอ๋องหัวเราะคิกคักลงพื้นจูงมือบัณฑิตกู้


ภาพนี้มองดูแล้วจุกหัวใจอยู่บ้าง ไหวอ๋องวันนี้เพิ่งอายุเจ็ดแปดขวบ องค์หญิงจิ่วหลีถูกไล่ไปจากข้างกาย ความทรงจำยามยังเล็กจืดจางลืมเลือนง่ายดายนัก ส่วนบัณฑิตกู้ที่เคียงข้างเขาเติบโตคนนี้ความรู้สึกยิ่งลึกซึ้งขึ้นทุกที


“ยังไงก็มาที่นี่จุดประทัดเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย ชี้พื้นที่ว่างผืนหนึ่งด้านหน้า “ที่นี่ที่กว้าง”


นอกจากนี้ยังเดินไปกลับได้รอบหนึ่งด้วย


บัณฑิตกู้ได้ยินพยักหน้า ไหวอ๋องทนรอไม่ไหวก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้ว บรรดาขันทียกเกี้ยว บรรดานางกำนัลซอยเท้าติดตาม คนกลุ่มใหญ่เคลื่อนไปข้างหนาอย่างคึกคักรวดเร็ว


คุณหนูจวินไม่ได้ตามมา นางข้าหลวงคนหนึ่งหันกลับมองทีหนึ่ง เห็นคุณหนูจวินนั่งอยู่บนชิงช้า แล้วไกวขึ้นมาเบาๆ


คุณหนูจวินปีนี้อายุสิบห้าสิบหกปีสินะ ความจริงก็เป็นเด็กคนหนึ่งเหมือนกัน


นางข้าหลวงยิ้ม รั้งสายตากลับไป


มองคนกลุ่มนี้หายไปจากสายตา คุณหนูจวินบนชิงช้าก็ลดความเร็วลงช้าๆ


นางพาไหวอ๋องมาออกกำลังที่นี่เจ็ดแปดวันแล้ว จนทุกคนคิดว่าปกติ


ที่พักของบัณฑิตกู้อยู่ห่างจากที่นี่เดินเป็นเวลาต้มชาหนึ่งกา แม้ไหวอ๋องกระตือรือร้นจะเล่นประทัด แต่บัณฑิตกู้ไม่ให้เขาเดินเร็วเกินไปแน่นอน เช่นนี้นับเวลาไปกลับก็มีเวลาสองเค่อ


เพราะฝีดาษเป็นเหตุ นางกำนัลขันทีของวังไหวอ๋องจึงน้อยลงไปมาก คนไม่มากนี้ไม่ขยับตามไหวอ๋องก็อยู่ที่ห้องบรรทมของไหวอ๋อง สวนหนิงชุ่ยฝั่งนี้ไม่มีคน


เมื่อครู่ลู่อวิ๋นฉีออกไปข้างนอกแล้ว


เวลานี้วันนี้ในที่สุดก็รอจนได้เวลาเหมาะสม


ชิงช้าหยุดลง คุณหนูจวินหิ้วหีบยาก้าวเร็วไววิ่งไปทางต้นไม้เก่าแก่ อ้อมไปด้านหลังต้นไม้คุกเข่าลงเปิดหีบยาออกกดตรงจุดหนึ่ง ช่องหนึ่งดีดออกมา เผยพลั่วอันน้อย


คุณหนูจวินหยิบพลั่วอันน้อยออกมาขุดพื้นดินอย่างรวดเร็ว ดินฤดูหนาวเย็นแข็งโป้กสะท้านจนมือชา ใช้แรงทีละนิดๆ ขุดลงไป


หน้าผากคุณหนูจวินเหงื่อออกบางๆ ชั้นหนึ่ง เร็วหน่อย เร็วหน่อย เร็วอีกนิด หูของนางเงี่ยฟังรอบด้าน หางตามองสี่ทิศ นางเหมือนจะได้ยินเสียงนกร้องมองเห็นใบไม้เหี่ยวแห้งร่วงหล่น


ในที่สุดเสียงชิ้งก็ดังขึ้น พลั่วในมือในที่สุดก็ถูกขวางสั่นไหว


คุณหนูจวินดีใจมากรีบขุดรอบด้าน หีบเหล็กหนังใบหนึ่งปรากฏตรงหน้าอย่างรวดเร็ว นางไม่ทันเอาออกมาก็เปิดออกทั้งอย่างนั้น


สี่ปีก่อนนางเพิ่งเข้ามาในวังไหวอ๋อง คืนจันทร์กระจ่างคืนหนึ่งนางฝังหีบไว้ที่นี่ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเปิดออกอีก ถึงขนาดลืมเลือนไปแล้ว


นางคิดว่าอดีตเหล่านั้นความทรงจำเหล่านั้นไร้ประโยชน์แล้ว โยนทิ้งได้ ละทิ้งได้ กลับคิดไม่ถึงอดีตเหล่านี้ถึงกับควบคุมชะตาของนางได้ ทั้งยังไม่ใช่แค่ชะตาของนางเท่าน้น


คุณหนูจวินกวาดมองข้าวของกระจุกกระจิกจำนวนหนึ่งที่กองวางอยู่ในหีบ ของเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องคุ้มกันตัวที่อาจารย์มอบให้นางตอนนางท่องโลก ท้ายที่สุดสายตาของนางก็จับอยู่บนสมุดหนาเล่มหนึ่ง


สมุดนี้นางไม่เคยเปิดออกมาก่อน


นางหยิบสมุดออกมาวางไว้ในหีบยา ตอนที่จะหยิบของอย่างอื่นในหีบอีก หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา พร้อมกันนั้นไม่ทันรู้ตัวหางตาก็มองเห็นเงาคนผู้หนึ่งปรากฏตัวบนทางเดินปูหิน


ลู่อวิ๋นฉี


คุณหนูจวินชาไปทั่วตัวทันที


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม