Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 บทที่ 192-198
บทที่ 192 หวังว่าเจ้ารักษาหายได้
โดย
Ink Stone_Romance
หมอหลวงเจียงเคยมีข้อตกลงกับข้า คนที่เขารักษาไม่หายให้ข้ารักษา ตอนนี้ข้ามารับคำท้าตามข้อตกลงแล้ว
นี่หมายความว่าอย่างไร?
นี่เรียกท้าทาย!
ได้ยินนายประตูมาแจ้ง สีหน้าบรรดาหมอหลวงอึ้งจากนั้นก็โกรธเกรี้ยว
“เกินไปแล้วจริงๆ”
“ไม่ดูเสียบ้างว่านี่เวลาใด”
“ไล่นางไป ไล่นางไป”
ทุกคนพากันเอ่ยขึ้น เจียงโหย่วซูกลับยกมือห้ามไว้
“นางบอกว่ามาทำตามข้อตกลง?” เขามองนายประตูเอ่ยถาม “นางรู้ข้ากำลังรักษาโรคให้ใครไหม?”
น่าจะรู้ นายประตูพยักหน้า
เดิมทีอาจไม่รู้ แต่ตอนนี้ข่าวไหวอ๋องเป็นฝีดาษกระจายออกไปแล้ว คนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้แล้ว คุณหนูจวินต้องรู้ด้วยแน่นอน
“นางรู้สินะ” เจียงโหย่วซู่เอ่ยซ้ำรอบหนึ่ง เหมือนมีความนัย
นางรู้ว่าที่ป่วยตอนนี้คือไหวอ๋อง ถ้าอย่างนั้นนางรู้ว่าไหวอ๋องเป็นผู้ใดไหม?
นางคงไม่ได้คิดว่าองค์ชายฐานะสูงส่ง อาศัยโอกาสสร้างชื่อได้กระมัง?
เยาว์วัยเกินไป ไร้เดียงสาเกินไปแล้วจริงๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้นาง…” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบบรรดาหมอหลวงในห้องก็ยืนขึ้นมา
“ใต้เท้าไม่ได้นะ”
“ใต้เท้าจะให้นางรักษาไหวอ๋องได้อย่างไร”
ปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้? นี่คือโกรธหรือว่ากลัวไม่กล้ารับคำท้า?
นายประตูในใจประหลาดใจอยู่บ้าง
“ไหวอ๋องสูงศักดิ์เช่นนี้ จะให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้รับรักษาได้อย่างไร” หมอหลวงคนหนึ่งรู้สึกตัวว่าเสียกิริยา กระแอมทีหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น
นั่นก็ใช่ ฝีดาษโรคเช่นนี้เป็นโรคที่ไม่รักษา นายประตูก้มหน้าถอยออกไป
มองเห็นนายประตูออกไป บรรดาหมอหลวงในห้องลุกขึ้นเดินเข้ามาหลายก้าวทันที
“ใต้เท้า นี่ไม่อาจล้อเล่นได้” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “ไม่อาจให้คุณหนูจวินรับรักษาได้ อย่างไร…”
อย่างไรที่ไหวอ๋องเป็นก็ไม่ใช่ฝีดาษ
พวกเขาใช้ยาจำนวนหนึ่งทำให้ไหวอ๋องแสดงอาการของฝีดาษออกมาได้ หลอกคนอื่นได้ หรือถึงขั้นหมอคนอื่นได้ แต่คุณหนูจวินไม่กล้ารับประกัน
อย่างไรไม่ว่าจะชิงขังหรือไม่ยอมรับ ดูหลายวันมานี้ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าวิชาแพทย์ของคุณหนูจวินไม่เลวจริงๆ เทพขนาดนั้นอย่างที่นางโม้ไว้หรือไม่ตอนนี้ยังไม่พูด แต่มีความสามารถจริงๆ อยู่บ้างแน่นอน
อาการป่วยที่แท้จริงของไหวอ๋องไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้
จุดนี้เขาย่อมรู้เช่นกัน เจียงโหย่วซู่คิด แต่นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง
เขายกถ้วยชาขยับหมุนช้าๆ
“ก่อนอื่น อาการป่วยของไหวอ๋องร้ายแรงมากจริงๆ ต่อให้ไม่ใช่ฝีดาษ ก็เพียงพอถึงชีวิตเช่นเดียวกับฝีดาษ” เขามองบรรดาหมอหลวงเอ่ยขึ้น “ที่พวกเราบอกว่าเป็นฝีดาษ เพียงเพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจถึงความรุนแรงร้ายแรงของโรคครั้งนี้ของไหวอ๋องเท่านั้น”
ความหมายก็คือจะบอกว่าไม่กลัวถูกคุณหนูจวินชี้ออกมาว่าไม่ใช่ฝีดาษ?
บรรดาหมอหลวงมองดูเจียงโหย่วซู สีหน้าไม่เข้าใจ
“นางชี้ว่าพวกเราวินิจฉัยผิด นี่ไม่ใช่เรื่องเสียหน้าอะไร ขอแค่นางรักษาหายได้” เจียงโหย่วซู่เอ่ย “พวกเราเป็นหมอ ขอเพียงคนไข้รักษาหายดีได้ อย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น”
หมอหลวงหลายคนสบตากัน เหตุผลก็ใช่เหตุผลนี้ แต่…
“ถ้าหากนางรักษาไม่หายเล่า?” หมอหลวงคนหนึ่งหลุดปากเอ่ยถาม
เจียงโหย่วซู่ยกถ้วยชาจรดริมฝีปาก
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไร้หนทางแล้ว” เขาเอ่ย “โทษพวกเราไม่ได้แล้ว”
พูดจบซดน้ำชาคำใหญ่
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อาจกล่าวโทษพวกเราแล้ว
บรรดาหมอหลวงสบตากัน ที่แท้ก็เช่นนี้เอง
อาการป่วยของไหวอ๋องรักษาไม่หายแล้วแน่นอน ส่วนฐานะของไหวอ๋องอย่างไรก็พิเศษ แม้ตอนนี้เปลี่ยนอาการป่วยเป็นโรคที่ไม่รักษา แต่เกิดเรื่องขึ้นก็ขาดการถกเถียงสักรอบไม่ได้แน่นอน
มีคนจะออกมาเป็นแพะรับบาป พวกเขาใยไม่ยินดีรับ
…
คุณหนูจวินกับหลิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่นอกประตูได้พักหนึ่งแล้ว สำนักแพทย์หลวงกระทั่งประตูใหญ่ก็ยังปิดอยู่
“คุณหนู เขาจะกลัวไม่กล้ารับหรือไม่เจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เบะปากสีหน้าติดจะดูแคลนเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทยิ้ม
“ไม่มีทาง” นางเอ่ย “เขาไม่มีทางกลัว เขาจะดีใจมาก”
น้องชายของนางป่วยแล้ว คนมากมายล้วนดีใจ สำหรับคนมากมายแล้วนี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง
สำหรับนางแล้วก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่งเช่นกัน
เหยียบปลายดาบก้าวไปข้างหน้า แม้เจ็บปวดก็มีความสุขนัก
…
เห็นบรรดาหมอหลวงเข้าใจความหมายไปพบคุณหนูจวินคนนั้น เจียงโหย่วซู่ก็วางถ้วยชาลง สีหน้ายิ่งยุ่งยากกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน
บรรดาหมอหลวงเพราะคิดว่ารักษาไม่หาย มีคนจะออกมาเป็นแพะรับบาปจึงดีใจมาก
ส่วนเขาคิดมากกว่าหน่อย เขาถึงกับคิดว่านางรักษาหายดีได้
เจียงโหย่วซู่หยิบสมุดที่หนีบไว้ในบันทึกการรักษาเล่มหนึ่งบนโต๊ะออกมา นี่เป็นบันทึกเกี่ยวกับโรงหมอจิ่วหลิงที่องครักษ์เสื้อแพรส่งมา หลายเดือนนี้เขายังเติมเพิ่มไปอีกหน่อย
วิชาแพทย์ของเด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา แม้เขาไม่ยินดีนัก แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับความจริงนี้
นอกจากนี้เด็กสาวคนนี้ก็ไม่โง่ แม้มีใจกระหายชื่อเสียง ทำตัวดูแล้วประหลาดโอหัง แต่ในความหยาบมีความประณีต แต่ละก้าวยอดเยี่ยม
โรคนี้ ในเมื่อนางก้าวออกมาแล้ว ก็เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะรักษาหายดีได้
แต่ เขาไม่กังวลและไม่กลัวว่านางจะรักษาหายได้ เพราะนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คู่ควรดีใจอะไร
เจียงโหย่วซู่ปิดสมุด เพราคนที่ป่วยคนนี้คือไหวอ๋องนะ
ฮ่องเต้พิโรธเพราะอาการป่วยของไหวอ๋อง ส่วนไทเฮาปกป้องพวกหมอหลวง ดูไปแล้วเหมือนจะให้พวกเขาทุ่มเทรักษาโรคโดยไม่ต้องกังวลข้างหลัง แต่ความจริงแล้วก็คือบ่งบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หายก็ไม่กล่าวโทษพวกเขา
รักษาไม่หายไม่กล่าวโทษพวกเขา ถ้าอย่างนั้นรักษาหายดีเล่า? จะกล่าวโทษพวกเขาหรือไม่?
เจียงโหย่วซู่ยกถ้วยชาดื่มคำใหญ่อีกครั้ง กลิ่มหอมของชาอบอวลทำให้คนเป็นสุข
ชื่อเสียงบางอย่างต้องการได้ ชื่อเสียงบางอย่างกลับเป็นดาบสะบั้นศีรษะ
คนอายุน้อยยังเยาว์วัยไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ
…
เห็นหมอหลวงหลายคนเดินเข้ามา บรรดานายประตูรีบเอ่ยถามอยู่บ้าง
ต้องการให้เขาไล่คนไปหรือจับไว้?
“เปิดประตู เชิญนางเข้ามา” หมอหลวงคนหนึ่งที่นำมาเอ่ยขึ้น
ต้องการเชิญเข้ามา? เห็นด้วยจริงๆ หรือ? บรรดานายประตูในใจคิดรีบเปิดประตู แต่เปิดประตูไปแล้วกลับอึ้งไป
นอกประตูเงาคนสักคนก็ไม่มี
“คนล่ะ?” บรรดาหมอหลวงก้าวออกมาด้วย สีหน้าอึ้งเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้า เมื่อครู่อยู่ด้านนอกจริงๆ” บรรดานายประตูรีบเอ่ย
ไม่ใช่พวกเขาจงใจหลอกเหล่าใต้เท้าเล่นนะ
พวกเขารีบมองไปสองด้าน บนถนนประตูหกกรมกลางฤดูหนาวเงียบสงบไม่มีคน
หรือเมื่อครู่ตาฝาดไปหรือ? ฝันไปหรือ? ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่ทุกคนล้วนฝันเหมือนกันได้ไหม
“ดูท่าตนเองพูดแล้วเกิดกลัวขึ้นมา หนีไปแล้วกระมัง?” นายประตูคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
หนีไปแล้ว?
ล้อเล่นอะไร!
“ตอนนี้อยากหนี สายไปแล้ว!” หมอหลวงคนหนึ่งสีหน้าเขียวคล้ำเอ่ยขึ้น “ไปโรงหมอจิ่วหลิง”
คุณหนูจวินไม่ได้หนี นางเพียงแต่ถูกคนคว้าลากเข้ามาในตรอกด้านข้างกะทันหัน
หลิ่วเอ๋อร์ที่ถูกตีทีเดียวหมดสติโดนทิ้งไว้ข้างกำแพง คุณหนูจวินถูกกดไว้บนกำแพง
“จูจั้น ท่านตามหาข้ามีธุระหรือ?” นางไม่ตกใจ ไม่โมโห สีหน้านิ่งสงบเอ่ยถาม
ราวกับพวกเขาพบกันบนถนนใหญ่พยักหน้าทักทาย
จูจั้นคลายมือที่จับนางไว้ คนไม่ได้ถอยออก ยังคงขวางนางไว้ริมกำแพง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร ข้ากับหมอหลวงเจียงแค่จัดการเดิมพันที่ตกลงกันไว้” คุณหนูจวินเอ่ย
นางเผชิญหน้ากับเขาไม่เคยหวาดกลัว ทั้งราวกับมักจะเยือกเย็นยิ่งนัก
จูจั้นขมวดคิ้วก้มมองนางจากที่สูง
“เจ้ารู้ว่าไหวอ๋องเป็นผู้ใดไหม?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม ดังนั้นเขาต้องการห้ามหรือ?
คนทั้งหมดล้วนคาดหวังให้ไหวอ๋องตายไปซะงั้นหรือ?
นางอยากพูดอะไร จูจั้นกลับเอ่ยปากก่อนแล้ว
“ข้าจะแลกเปลี่ยนกับเจ้า” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวิน “เจ้ารักษาเขาหาย ข้าจะปกป้องชีวิตเจ้า เจ้ารักษาเขาไม่หาย ข้าจะปกป้องชีวิตตระกูลฟาง”
เขา…พูด…อะไร
คุณหนูจวินมองเขาอึ้งไป อยู่ดีๆ ดวงตาขัดเคืองขึ้นมา พริบตาเดียวเหมือนกับสิ่งใดล้วนมองไม่ชัดแล้ว
……………………………………….
บทที่ 193 ตกลง
โดย
Ink Stone_Romance
นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดคำนี้
คำพูดของเขาฟังดูพิลึกอยู่บ้าง
รักษาไหวอ๋องหาย เขาบอกเขาจะปกป้องชีวิตนาง รักษาไหวอ๋องหายดีนางต้องกังวลกับชีวิตงั้นหรือ? นางรักษาพระญาติราชวงศ์หายดี ไม่ใช่ชื่อเสียงลือลั่น ชื่อหมอเทวดายิ่งโด่งดังหรือ? ใยต้องการเขาปกป้องชีวิตนาง
แล้วรักษาไหวอ๋องไม่หาย เขาบอกจะปกป้องตระกูลฟาง รักษาไหวอ๋องไม่หายอาจถูกพาลโกรธ คนที่มีอันตรายคือนาง เขากลับไม่สนใจสักนิด บอกเพียงจะปกป้องตระกูลฟางกลับไม่สนใจความเป็นความตายของนาง
ข้อแลกเปลี่ยนนี่ฟังไปแล้วทำให้คนไม่ชอบจริงๆ
คุณหนูจวินก็ไม่รู้สึกชอบ นางเพียงอยากร้องไห้อยู่บ้าง
เจ้ารู้ว่าไหวอ๋องเป็นผู้ใดไหม?
ไหวอ๋องเป็นคนที่ไม่ควรอยู่ น่าจะตายไปเสียเร็วๆ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ขัดพระเนตรฮ่องเต้
เขาตายไปทุกคนล้วนปรีดายิ่ง เขาไม่ตายไม่มีสักกี่คนดีใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้ยิ่งไม่มีทางดีใจ
ทำให้ฮ่องเต้ไม่โสมนัส นางผู้ที่รักษาไหวอ๋องหายดีคนนี้ย่อมอันตรายอยู่บ้าง
ส่วนรักษาไหวอ๋องไม่หาย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดแล้ว ฮ่องเต้ต้องทรงโสมนัสยิ่งให้นางแบกรับผลลัพธ์ทุกสิ่งแน่นอน นอกจากนี้ยังพัวพันถึงผู้อื่น
นางเข้าไปในวังไหวอ๋องย่อมออกมาไม่ได้แล้ว หากฮ่องเต้ต้องการให้นางตาย นั่นก็ตายแน่นอนแล้ว ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดไปช่วยนาง ที่สำคัญที่สุดคือปกป้องครอบครัวที่นางห่วงใยไว้
เขากำลังปกป้องนาง หากนางไม่อยู่ก็ปกป้องคนที่นางห่วงใย บนโลกนี้มีข้อแลกเปลี่ยนที่ทำให้คนซาบซึ่งยิ่งกว่าสิ่งนี้อีกหรือ?
นอกจากนี้ที่ทำให้นางยิ่งซาบซึ้งก็คือ เป้าหมายของข้อแลกเปลี่ยนนี้คือเพื่อไหวอ๋อง เพื่อให้นางทุ่มเทสุดกำลังไปช่วยรักษาไหวอ๋อง
ช่วยรักษาน้องชายของนาง
เป็นน้องชายของนาง ไม่ใช่น้องชายของเขา
นอกจากนี้เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาสักนิด คนที่ทุกคนล้วนหลบเลี่ยง
เขาถามนางเจ้ารู้ว่าไหวอ๋องเป็นผู้ใดไหม? นางก็อยากถามเขารู้หรือไม่ไหวอ๋องคือผู้ใด
คุณหนูจวินมองเขา
“เพราะอะไร?” นางเอ่ยถาม
เพราะอะไรนี่เข้าใจไปได้มากมาย แต่จูจั้นคิดก็ไม่คิด
“ข้ายินดี เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เขาเอ่ยเรียบง่ายเด็ดขาด
เขายินดี
ยินดี
เขายินดีทำตามคำพูดล้อเล่นไปอย่างนั้นของเด็กน้อยให้เป็นจริง ยินดีให้ไหวอ๋องมีชีวิต
นางคิดว่ามีนางเพียงคนเดียวมาตลอด คิดไม่ถึงว่านอกจากนาง นอกจากพี่สาว ยังมีคนคิดถึงพวกนางอีก
คุณหนูจวินมองเขา ขยับปากไม่ได้เอ่ยวาจาอีก
สีหน้าจูจั้นรำคาญอยู่บ้าง
“เจ้าทำการค้าเป็นหรือไม่ ทำการค้ารู้ว่าตนเองจ่ายอะไรไป ได้อะไรมา ไม่ใช่ก็พอแล้วรึ ผู้อื่นเพราะอะไรสำคัญอะไร…” เขาเอ่ย
ใช่แล้ว ไม่มีอะไรสำคัญ เพียงเพราะเขายินดี
คุณหนูจวินยื่นมือโถมเข้าไปกอดไว้
จูจั้นกำลังพูด ฉับพลันก็ถูกเด็กสาวคนนี้กอดไว้ ร้องโวยวายขึ้นมา
“เจ้าทำอะไร!” เขาตะโกน
ร่างกายออกแรงต้องการผลักเด็กสาวคนนี้ออก แต่เพิ่งออกแรงก็คิดถึงเรื่องที่ตนเองขอร้องขึ้นมา เขาจึงฝืนรั้งไว้ดื้อๆ ยื่นมือบีบหัวไหล่ของเด็กสาวคนนี้ดึงออกไปข้างนอก
“ข้าว่าเจ้าอย่าได้เกินไปนักนะ…การค้าขายก็คือการค้าขาย…ข้าให้ราคาแล้ว…เจ้าตกลงก็ตกลง ไม่ตกลงก็ล้มโต๊ะ….อย่าได้คืบจะเอาศอก…” เขากัดฟันเอ่ย “ข้าไม่มีทางให้เจ้าเอาเปรียบเช่นนี้หรอก…”
คุณหนูจวินได้ยินเข้าก็หัวเราะ แรกสุดเป็นเสียงหัวเราะในคอ ต่อมาเป็นหัวเราะลั่น พลางยื่นมือตบแผ่นหลังกว้างแข็งแกร่งของจูจั้น
จูจั้นทั้งร่างเกร็งเครียด
“อย่าแตะนั่นแตะนี่คลำมั่วซั่ว!” เขากัดฟันคำราม
คุณหนูจวินยิ้ม ปล่อยเขา
จูจั้นถอยออกไปหลายก้าวทันที สีหน้ารังเกียจระแวง
เขาเพื่อให้ตนรับปากดังนั้นไม่ได้หนึ่งหมัดต่อยตนเองออก ก็นับว่าอดทนกับความอัปยศหนักหนาเช่นกัน
คุณหนูจวินมองเขาหัวเราะลั่นอีกครั้ง หัวเราะเข้า ก็มีน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
เป็นบ้าไปอีกแล้ว
จูจั้นยื่นมือชี้นาง ถอยหลังหลายก้าวอีกครั้ง หมุนตัวจะไป คุณหนูจวินหุบยิ้ม
“ได้ ตกลง” นางเอ่ย
จูจั้นหันกลับมามองนาง เด็กสาวยืนตัวตรง หุบรอยยิ้ม ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ไม่มองเขาอีก ก้มตัวบีบนวดหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง
หลิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดอยู่บ้าง ยื่นมือนวดหัวไหล่
“คุณหนู ข้าหลับไปได้อย่างไรเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามไม่เข้าใจ
ในตรอกไม่มีเงาร่างของจูจั้นแล้ว
“ไม่มี อาจจะเหนื่อยเกินไป เจ้าถึงเป็นลม” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน พยุงหลิ่วเอ๋อร์ขึ้นมา “พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
หลิ่วเอ๋อร์สีหน้ากังวล
“ข้าเหนื่อยจนเป็นลมไปหรือ? ข้าไม่ได้ทำอะไรนะ จะเหนื่อยได้อย่างไร” นางเอ่ย “ข้าถ่วงธุระของคุณหนูแล้วใช่หรือไม่?”
คุณหนูจวินยิ้มลูบศีรษะนาง
“ไม่หรอก ธุระของข้าทำเสร็จแล้ว” นางเอ่ย “พวกเรากลับไปรอเถอะ”
หลิ่วเอ๋อร์ตอนนี้ถึงพยักหน้าเดินออกจากตรอกไปกับคุณหนูจวิน เพิ่งเดินออกมา ก็มองเห็นหมอหลวงหลายคนท่าทางดุร้ายเดินมาบนถนน
บรรดาหมอหลวงมองเห็นคุณหนูจวินนายบ่าว หยุดฝีเท้า
ไม่ได้หนีเรอะ
สองฝ่ายสบตาครู่หนึ่ง
“เจ้ารักษาได้?” หมอหลวงที่นำหน้าเอ่ยถามเปิดเข้าประเด็น
“ข้าทำได้” คุณหนูจวินก็เอ่ยตอบเด็ดขาดฉับไว
หมอหลวงที่นำหน้ามองนาง
“เจ้ายินดีรักษา?” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
“ช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คน วิถีแพทย์ ข้าย่อมยินดี” คุณหนูจวินเอ่ย
เวลานี้อ้างช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คนแล้ว เจ้าช่วยคนไม่ใช่เลือกเอาคัดเอาหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ดี ครั้งนี้เจ้าเลือกเอง เจ้าอย่าเสียใจทีหลัง
“คุณหนูจวิน ใต้เท้าของพวกเราจะทูลแก่ฝ่าบาท โปรดรอสักครู่” หมอหลวงที่นำหน้าประสานมือหันไปทางวังหลวงเอ่ย
“ได้ ข้ารอ” คุณหนูจวินเอ่ย
นางเชื่อว่าหมอหลวงเจียงต้องทุ่มสุดใจสุดกำลังทำได้แน่
…
“เจ้าพูดอะไร? หมอหญิงคนหนึ่ง? ยังเพิ่งมาเมืองหลวงด้วย?”
ในวังหลวงฮ่องเต้ได้ยินคำกล่าวของหมอหลวงเจียง เลิกพระขนงตรัสขึ้น
“เจียงโหย่วซู่ เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้า” เจียงโหย่วซู่เอ่ย “ท่านหมอจวินคนนี้เป็นทายาทของชาวหรู่หนานนามจวินเฝิงชุน แล้วก็เป็นบุตรสาวของจวินอิ้งเหวินนายอำเภอแห่งฝู่หนิงคนก่อนด้วย”
ฮ่องเต้ตะลึงเล็กน้อย นายอำเภอคนหนึ่งเขาย่อมจำไม่ได้ แต่ในเมื่อเป็นลูกหลานของขุนนาง ท่าทีก็ดีขึ้นอยู่บ้าง
“ท่านปู่ของนางเป็นหมอชื่อดัง ก็ไม่แน่ว่านางจะเป็น” เขาเอ่ย “หมอไม่เหมือนกับอย่างอื่น ไม่อาจส่งเดชได้”
“กระหม่อมไม่กล้า” เจียงโหย่วซู่เอ่ยอย่างจริงใจ “คุณหนูจวินคนนี้วิชาแพทย์สูงส่งจริงๆ ที่หรู่หนานที่หยางเฉิงที่เมืองหลวงล้วนชื่อดัง กระหม่อมอยู่ที่หยางเฉิงยังเคยแลกเปลี่ยนความรู้กับนางมาก่อน”
แลกเปลี่ยนความรู้มาก่อนหรือ? ฮ่องเต้ติดจะประหลาดใจ
“รักษาโรคได้จริงรึ?” เขาเอ่ยถาม
เจียงโหย่วซู่ยิ้มแล้ว
“ฝ่าบาท ไหนเลยแค่รักษาโรคได้ วิชาแพทย์ของนางดียิ่งนัก” เขาเอย “กระหม่อมพบโรคที่รักษาไม่หาย นางรักษาหาย”
ฮ่องเต้สีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“กระหม่อมไม่เอ่ยโป้ปด นางไม่เพียงวิชาแพทย์สูงส่ง นอกจากนี้ยังถ่อมตนมีมารยาท จิตใจกว้างขวาง” เจียงโหย่วซู่เอ่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความนับถือและปิติยินดี “ที่หรู่หนานเป็นหมอผู้เมตตาทำกุศลเป็นประจำ ไม่คิดค่ารักษาแจกยา หลังมาเมืองหลวง กับเพื่อนร่วมอาชีพ รู้ไม่มีไม่บอก บอกก็หามีหมกเม็ด กำจัดอคติเรื่องสำนักครูศิษย์ มุ่งเพียงรักษาโรคช่วยคน”
ฮ่องเต้ขานอ้อทีหนึ่ง
“ถึงกับชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้เชียวหรือ?” พระองค์ตรัส เคาะโต๊ะเหมือนมีความคิด “ได้ เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้เอ่ยอีกขานรับคำหนึ่ง ถอยออกจากในตำหนักไป เห็นเพียงลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา
เจียงโหย่วซู่คำนับลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีหยุดฝีเท้า
“เจ้ารักษาไม่ได้จริงหรือ?” เขาเอ่ยถาม
เจียงโหย่วซู่ประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงลู่อวิ๋นฉีจะพูดกับตนเองในสถานการณ์เช่นนี้เวลาเช่นนี้
เห็นชัดว่าฮ่องเต้ต้องการให้เขาตรวจสอบความจริงลวงของเรื่องที่ตนเองกล่าวเมื่อครู่ เวลานี้เขาไม่ใช่ควรหลบเลี่ยงข้อสงสัยกับตนหรือ?
ไม่เพียงไม่หลบเลี่ยงข้อสงสัย ตรงกันข้ามถามเขาเรื่องอาการป่วย
นี่ไม่เหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้ หรือเขาอยากให้ฮ่องเต้สงสัย ปฏิเสธไม่ให้คุณหนูจวินคนนี้รักษาไหวอ๋องหรือ?
ไม่น่านะ เขาไม่ใช่คิดจะจัดการกับโรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้ด้วยหรือ?
หรือหวั่นเกรงตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางเบื้องหลังโรงหมอจิ่วหลิง?
เจียงโหย่วซู่สีหน้าเปลี่ยนไปมาครู่หนึ่ง
“ข้ารักษาไม่ได้จริงๆ” เขาเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง เจียงโหย่วซู่ร่างกายหนาวยะเยือก ไม่แปลกที่ใครๆ ล้วนกล่าวว่าลู่อวิ๋นฉีน่าขนลุกประดุจภูตผี เป็นอย่างที่ว่า…
แต่เขาไม่มีสิ่งใดหลบซ่อน อาการป่วยนี้ของไหวอ๋องเขารักษาไม่หายจริงๆ
เจียงโหย่วซู่เหยียดหลังตรงอยากจะพูดอะไร ลู่อวิ๋นฉีก็เดินผ่านเขาเดินจากไปแล้ว
เจ้าคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายยากจะจับทางคนนี้ เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้วเดินออกไป
…
ในตำหนักฮ่องเต้สีหน้าอบอุ่นมองลู่อวิ๋นฉี
“วิชาแพทย์ของคุณหนูจวินคนนี้ยอดเยี่ยมจริงอย่างที่ว่าไหม?” พระองค์ตรัสถาม
ลู่อวิ๋นฉีหลุบตา
“คุณหนูจวินคนนี้เป็นหลานสาวของตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางที่หยางเฉิง” เขาไม่ได้ตอบคำถามของฮ่องเต้ แต่เอ่ยขึ้น “ราชโองการของอดีตฮ่องเต้ ตอนนี้ก็อยู่ในโรงหมอของนาง”
ในตำหนักเงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้บนพระที่นั่งสีหน้ายังคงอบอุ่นดุจเดิม แต่ขันทีที่ยืนอยู่สองข้างกลับรู้สึกกดดันอย่างประหลาด พวกเขาอดไม่ได้ก้มศีรษะให้ต่ำลงอีก
ราวกับผ่านไปเนิ่นนาน แต่ก็ราวกับเพียงพริบตาเดียว สุรเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อคุณหนูจวินแห่งหรู่หนานคนนี้ชื่อเสียงเลื่องลือเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางลองดูแล้วกัน”
……………………………………….
บทที่ 194 ความลำบากของฝีดาษ
โดย
Ink Stone_Romance
“ข่าวดี ข่าวดี”
พนักงานคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขมวดคิ้ว
“ระวังหน่อย กระต่ายตื่นตูมไปได้” เขาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
พนักงานตัวน้อยอับอายรีบยืนให้ดี
“คุณหนูจวินด้านนั้นไม่ต้องให้พวกเจ้าตกอกตกใจ ผู้ชายมาเอายาก็ดี มาตรวจก็ดี คิดไปในทางที่ถูกที่ควรหน่อย” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสั่งสอนยกหนึ่ง หิ้วกาน้ำชารินชาถึงถาม “เรื่องอะไร?”
“ผู้ดูแลใหญ่ สำนักแพทย์หลวงขอให้คุณหนูจวินรักษาไหวอ๋อง” พนักงานน้อยรีบร้อนเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมือสั่น น้ำร้อนควันฉุยในกาน้ำชาสาดออกไปทันที กระเซ็นลงบนร่างเขา
“ผู้ดูแลใหญ่” พนักงานตัวน้อยรีบเข้าไปช่วย
ยังดีหน้าหนาวเสื้อผ้าที่ใส่หนา ไม่ถึงกับลวกบาดเจ็บ เพียงแค่เลอะเทอะนิดหน่อย แต่ตอนนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่มีเวลาสนเรื่องเหล่านี้
“เจ้าว่าอะไร?” เขารีบร้อนเอ่ยถาม “รักษาใคร?”
“ผู้ดูแลใหญ่ท่านยังจำได้ไหม? ตอนนั้นหมอหลวงเจียงของสำนักแพทย์หลวงเคยกล่าวกับคุณหนูจวินว่าโรคที่เขารักษาไม่ได้ให้คุณหนูจวินรักษา ตอนนี้เขาทำอย่างที่พูด…” พนักงานตัวน้อยหน้าตาตื่นเต้นเอ่ย
คำพูดของเขาเอ่ยไม่ทันจบ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ไม่สบอารมณ์ฝ่ามือหนึ่งผลักเขาออก
“ไป ไป ครึ่งวันแล้วพูดไม่กระจ่างสักเรื่อง” เขาตะโกน ไม่รอพนักงานคนนั้นเอ่ยวาจาอีก คนก็ก้าวไวๆ พุ่งออกไปแล้ว
“กระต่ายตื่นตูมเกินไปแล้วกระมัง ข้ายังไม่ทันบอกอะไรเลย” พนักงานตัวน้อยตอบสนองไม่ทัน สีหน้าไม่เข้าใจพึมพำเอ่ยกับตนเอง
ตอนที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเร่งเดินทางมาถึงโรงหมอจิ่วหลิง ที่ร้านก็กำลังวุ่นเก็บข้าวของที่คุณหนูจวินจะนำไป
“คุณหนู ข้าไปกับท่านไม่ได้จริงหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์สีหน้าเสียดายเอ่ยขึ้น
“หลิ่วเอ๋อร์ นั่นคือฝีดาษ ติดต่อได้นะ” เฉินชีอยู่ด้านข้างเอ่ยบอก
“คุณหนูของข้าไม่กล้ว ข้าก็ไม่กลัวเหมือนกัน” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตามองเขา
“คุณหนูของเจ้าร้ายกาจไหม” เฉินชีหัวเราะหึหึ แล้วมองคุณหนูจวิน “ครั้งนี้ไปกลับมาก็ยิ่งร้ายกาจแล้ว”
กลับมายิ่งร้ายกาจ ก่อนอื่นพูดถึงไปแล้วกลับมาให้ได้ก่อนเถอะ
“คุณหนูจวิน นั่นเป็นฝีดาษนะขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย “โรคเช่นนี้ไม่สะดวกรักษานะขอรับ”
คุณหนูจวินขานอืมทีหนึ่ง
“แต่ข้ารักษาได้” นางเอ่ย
นั่นเป็นฝีดาษนะ มั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร? ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่รู้ควรพูดอะไร
“คุณหนูจวิน ท่านรู้หรือไม่นั่นคือไหวอ๋อง…” เขาได้แต่ต้องเอ่ย
คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกคุณหนูจวินขัดแล้ว
“ข้ารู้” นางเอ่ย “นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องคนป่วยเป็นใคร สำนักแพทย์หลวงรักษาไม่หาย ข้าเคยพูดไว้โรคที่พวกเขารักษาไม่หายข้ารักษาได้ พวกเราตอนนี้มุ่งเป้าไปที่อาการป่วยนี้ ไม่ใช่คนผู้นี้”
เป็นวาจาของเด็กน้อยจริงๆ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยื่มเฝื่อนนิดหนึ่ง
คนผู้นี้หากรักษาไม่หาย ก็จะมีคนมุ่งเป้ามาที่เจ้าคนนี้แล้ว
แม้ไหวอ๋องล้มป่วยเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ที่สำนักแพทย์หลวงเสนอคุณหนูจวินไปรักษาย่อมจงใจ ดังนั้นโบราณว่าไว้ข้าวอย่ากินอิ่มแปล้วาจาอย่ากล่าวมั่นใจเกินถูกต้องแล้ว
ใครจะคิดว่าโรคที่อันตรายเช่นนี้โรคหนึ่งจะโผล่ออกมา แล้วคนที่เป็นโรคนี้ก็ยังเป็นคนที่อันตรายคนหนึ่งอีก
“คุณหนู รถของสำนักแพทย์หลวงมาแล้ว” พนักงานร้านเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้ายื่นมือหิ้วหีบยา หลิ่วเอ๋อร์อาลัยอาวรณ์ ฟางจิ่นซิ่วกังวลอยู่บ้าง
“ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไร” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
นั่นคือน้องชายของนาง นางมาเมืองหลวงก็เพื่อปกป้องเขาให้ปลอดภัย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองรถม้าที่คุณหนูจวินนั่งจากไป ถอนหายใจอีกครั้ง
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านก็อย่ากังวลเลย รักษาหายแล้วย่อมเป็นเรื่องดี” เฉินชีเอ่ย
“รักษาไม่หายเล่า?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยไม่สบอารมณ์
เฉินชีหัวเราะหึหึ
“นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ รักษาไม่หายมีอะไรแปลกอีกล่ะ” เขาเอ่ย “นี่เป็นการเดิมพันไหม รักษาหายก็ได้ชื่อเสียงมากมาย แพ้แล้วก็ไม่มีอะไร ฝีดาษรักษาไม่หายก็ไม่มีอะไรเสียหน้า”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแค่นเสียงเหอะ
“ชนะเดิมพันได้ชื่อเสียง พ่ายแพ้คงไม่ใช่แค่แพ้เสียหน้าง่ายดายปานนั้น” เขาเอ่ย
เฉินชียังคงยิ้ม
“แต่สำหรับพวกเราแล้วก็ง่ายดายเช่นนี้ เพราะยังมีราชโองการไหม” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าผ่อนคลายลงบ้าง ใช่สิ ยังมีราชโองการ มีราชโองการอยู่ หากถึงยามมีผู้สูงศักดิ์คนใดในวังร้องโวยวายไม่ฟังเหตุผลจริงๆ ก็เอาออกมาใช้ได้
แต่ราชโองการนี้ดูท่าคงต้องถูกเก็บคืนกลับไปแล้ว คิดถึงตรงนี้เขาก็ปวดใจอยู่บ้าง
พนันครั้งนี้เดิมพันไม่น้อยจริงๆ
“ไม่ต้องดูแล้ว พวกเราตอนนี้อย่างอื่นช่วยไม่ได้แล้วก็สร้างกระแสเถอะ” เฉินชีเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองเขาทีหนึ่ง สร้างกระแสอะไร?
“ฝีดาษ น่ากลัวปานใด” เฉินชีเอ่ย “รักษาลำบากมากเท่าใด”
…
“มีตุ่มที่ใบหน้ารวมถึงลำตัว ไม่นานก็ขึ้นไปทั่ว สภาพเหมือนตุ่มพอง หัวล้วนมีน้ำสีขาว ตายปุบเกิดปับ ผู้ป่วยส่วนมากตาย”
หนิงอวิ๋นเจาอ่าน วางหนังสือในมือลงถอนหายใจทีหนึ่ง
“ครั้งนี้พวกหมอหลวงลำบากแล้ว”
หนิงเหยียนที่สวมชุดเต้าผาว[1]ขมวดคิ้ว
“ฝีดาษเดิมทีก็รักษาลำบาก ไม่แปลกนักที่เหล่าหมอหลวงจะรู้สึกลำบากใจ” เขาเอ่ย มองหนังสือม้วนตำราที่กองบนโต๊ะของหนิงอวิ๋นเจา
เหล่านี้ล้วนเป็นบันทึกเกี่ยวกับฝีดาษที่หนิงอวิ๋นเจาใช้เวลาทั้งบ่ายค้นออกมาจากในห้องหนังสือของเขา
หนิงอวิ๋นเจาหยิบออกมาอีกเล่มหนึ่งอ่าน
“รัชสมัยหย่งฮุยปีที่สี่ ฝีนี้จากตะวันตกแพร่ไปตะวันออก แพร่ไปทั่วสมุทร ไม่มียารักษาได้” เขาอ่าน
หนิงเหยียนพยักหน้า
“ไม่มียารักษาได้ ทั้งยังเป็นโรคติดต่อ ก็คือโรคระบาดล่ะนะ” เขาเอ่ย “วันนี้เมืองหลวงมีคนใจหวาดหวั่นบ้างแล้ว ยังดีไหวอ๋องไม่เคยออกไปข้างนอก สถานการณ์ของโรคยังคงควบคุมอยู่ภายในจวนไหวอ๋องได้”
เขาพูดพลางมองไปทางหนิงสืออีที่นั่งอยู่ด้านข้างอีก
“กรมทหารม้าห้าเมืองเริ่มสาดปูนขาวทั่วเมืองแล้วสินะ?”
หนิงสืออีพยักหน้า
“เริ่มแล้ว” เขาเอ่ย ดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา “พี่สิบ ท่านอยู่ดีๆ ทำไมสนใจเรื่องนี้เล่า? ท่านไม่ใช่เก็บตัวอ่านหนังสือก่อนปีใหม่ไม่ออกมาหรือ?”
หนิงเหยียนก็มองมาด้วย
หนิงอวิ๋นเจาวางหนังสือในมือลง
“ข้าเพียงแค่ทอดถอนใจอยู่บ้าง” เขาเอ่ย “ไหวอ๋องเขาโชคร้ายนัก”
หนิงเหยียนสีหน้าเศร้าหมองอยู่บ้าง ส่วนหนิงสืออีกระแอมทีหนึ่ง
“พี่สิบท่านไม่ใช่กระมัง” เขาเอย “ศิษย์แห่งนักปราชญ์จะทอดถอนใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“จังหวะเวลาก็คือชะตา นี่ไม่อาจกล่าวว่าเส้นทางชีวิตโชคร้ายนักได้” หนิงเหยียนเอ่ย “ใต้หล้าเด็กที่สูญเสียบิดามารดามากนับไม่ถ้วน ใต้หล้าคนที่เป็นโรคซึ่งยากรักษามีทุกหนทุกแห่ง เจ้าจะเศร้าใจถอนใจเพราะเขามีฐานะเป็นไหวอ๋องได้อย่างไร?”
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นยืนตรงตั้งใจฟัง พลางค้อมกายขานรับ
หนิงสืออีก็ลุกขึ้นยืนทิ้งมือลงตั้งใจฟังตามด้วย
“ป่วยก็คือป่วย เรื่องเช่นนี้จะทอดถอนใจในชะตาได้อย่างไร” หนิงเหยียนเอ่ย “มีโรคก็รักษา บรรดาท่านหมอทุ่มเทใจรักษาสุดกำลัง ใต้หล้านี้คนเท่าไรล้มป่วยกระทั่งหมอก็ไปหาไม่ได้ มีอะไรน่าทอดถอนใจ”
หนิงอวิ๋นเจากับหนิงสืออีขานรับอีกครั้ง
หนิงเหยียนมองพวกเขาทีหนึ่ง
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว เรื่องที่เป็นประโยชน์กับชาติกับประชาชนมากมายนัก ไม่ต้องยุ่งเรื่องเด็กน้อยเหล่านี้แล้ว” เขาบอก
หนิงอวิ๋นเจากับหนิงสืออีขานรับ คำนับถอยออกไป
หนิงสืออีที่เดินออกมาแล้วพ่นลมหายใจทีหนึ่ง ยกมือต่อยหนิงอวิ๋นเจาหนึ่งหมัด
“ล้วนโทษเจ้า” เขาเอ่ย “อยู่ดีไม่ว่าดีทอดถอนใจอะไรส่งเดช ทำข้าต้องโดนด่าด้วย”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มโบกมือ
“อ่านหนังสืออ่านแล้วเบื่อก็คิดไปเรื่อยไหม” เขาตอบ
หนิงสืออียกเท้าเตะเขาทีหนึ่ง
“เบื่อก็ร้องเพลงดีดพิณร่ำสุราไป” เขาว่า
สองคนคุยเล่นออกไป นายหญิงรองหนิงยกน้ำแกงชามาถึงห้องหนังสือ เห็นหนิงเหยียนกำลังเก็บหนังสืออยู่
“อยู่ดีๆ สั่งสอนพวกเขาสองคนทำอะไรอีกเล่า” นางเอ่ยตำหนิ
หนิงเหยียนส่ายศีรษะ
“เพราะคนผู้หนึ่งเป็นฝีดาษก็โศกเศร้าเสียใจ ทำอย่างสตรีไร้ความรู้” เขาเอ่ย
นายหญิงรองหนิงยิ้มแล้ว
“ไหวอ๋องอย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง เป็นโรคเช่นนี้ ทุกคนยากเลี่ยงสงสาร บรรดาหมอหลวงยังบอกอีกว่ารักษาไม่ได้” นางว่า พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอีกครั้ง “แต่ เปลี่ยนหมอใหม่คนหนึ่งแล้ว ดูท่าคงรักษาได้”
หนิงเหยียนได้ฟังนางอยากจะพูดก็หยุด เงยหน้ามองนาง
“เป็นคุณหนูตระกูลจวินคนนั้น” นายหญิงรองหนิงเอ่ย
หนิงเหยียนขมวดคิ้ว
“บ้าบอ” เขาเอ่ย
“บ้าบออะไรเล่า เห็นชัดๆ ว่าถูกพวกหมอหลวงหลอกแล้ว” นายหญิงรองหนิงปิดปากยิ้มเอ่ย “รอนางรักษาไม่หาย ฮ่องเต้คงลงโทษนาง”
หนิงเหยียนวางหนังสือกลับไปบนโต๊ะ
“ฝีดาษเป็นโรคชนิดหนึ่ง พวกหมอรักษาไม่หาย เหตุใดต้องลงโทษ?” เขาเอ่ย “หรือฮ่องเต้จะกลายเป็นเครื่องมือขัดแข้งขัดขาของพวกเขารึ? ไม่เข้าท่าจริงๆ ข้าไม่ยอมให้เรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงของฝ่าบาทเด็ดขาด”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไป
อย่างไร…
“อะไรหรือ?” นายหญิงรองหนิงเอ่ยถาม
อวิ๋นเจาเด็กคนนี้ทอดถอนใจกับไหวอ๋อง หรือว่าทอดถอนใจกับคุณหนูจวินคนนี้? หนิงเหยียนขมวดคิ้วบางทีเขาคงคิดมากไปแล้ว
“ไม่มีอะไร” หนิงเหยียนเอ่ย รับน้ำแกงชาไปดื่มคำหนึ่ง
…
หนิงอวิ๋นเจาที่เดินออกมาจากบ้านตระกูลหนิงพรูลมหายใจออกมาเบาๆ มองไปทางวังไหวอ๋องครู่หนึ่ง รั้งสายตากลับมาเดินเชื่องช้าไปตามถนน
ส่วนเวลานี้รถม้าของคุณหนูจวินก็หยุดลงเบื้องหน้าวังไหวอ๋องแล้ว
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องปิดสนิท จมูกปากได้กลิ่นยาฉุนกึก บนถนนเส้นนี้ยิ่งคนน้อยนิด เงียบสงัดไปหมด
หมอหลวงคนหนึ่งเอาผ้าปิดปากจมูกเดินเข้าไปเคาะประตู คนเฝ้าประตูที่ได้ข่าวมาก่อนแล้วเปิดประตูออก
“คุณหนูจวินเชิญ” หมอหลวงผู้นั้นไม่ได้เข้าไป แต่ยืนอยู่ด้านนอกประตูเอ่ยขึ้น “ท่านจะเอา…”
ผ้าปิดปากยังไม่ทันเอ่ยออกมา คุณหนูจวินก็เดินผ่านเขาเข้าไปแล้ว
นางมองทางเดินปูหยกขาวตรงแน่ว ก้าวเดินช้า
จิ่วหรง ข้ามาแล้ว ข้ากลับมาแล้ว
……………………………………….
[1] เต้าผาว (道袍) เป็นชุดจีนแบบหนึ่งของสมัยหมิงที่พัฒนามาจากชุดสมัยฮั่น เป็นเสื้อตัวนอกที่บุรุษใส่ยามอยุ่บ้าน แล้วก็เป็นอาภรณืยามแต่งงานของชายชาวบ้านได้ด้วย
บทที่ 195 มองออกไม่เอ่ย
โดย
Ink Stone_Romance
ที่จริงวังไหวอ๋องนางก็ไม่ใช่จะคุ้ยเคยนัก
นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ถึงปีก็แต่งออก
คุณหนูจวินเดินอยู่บนทางเดินปูหินของวังไหวอ๋อง ตามขันทีผ่านตำหนักหน้าไปถึงวังหลัง
ภายในวังไหวอ๋องตกแต่งหรูหรา แต่เวลานี้ว่างเปล่าไม่มีสักคนประหนึ่งสุสาน
ที่นี่เดิมก็คือสุสาน
“คุณหนูจวิน ฝั่งนี้ขอรับ ท่านรอสักครู่ข้าจะไปแจ้ง” ขันทีเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้าขานรับ ยืนอยู่นอกตำหนัก กวาดตามองรอบด้านนิดหนึ่ง สถานที่ที่จิ่วหรงอยู่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจสิ่งนี้ นางมองไปทางประตูตำหนัก ขันทีกำลังผลักประตูเปิดออก
“องค์หญิง ท่านหมอที่สำนักแพทย์หลวงแนะนำมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ” เขาพูดกับคนข้างใน
ท่านพี่!
ท่านพี่ก็อยู่!
คุณหนูจวินอดไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“เชิญเข้ามาเถอะ”
เสียงผู้หญิงดังมาจากข้างใน
ขันทีหันกลับมาส่งสายตาให้นาง คุณหนูจวินก้าวไวๆ เข้ามา ข้ามธรณีประตูก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในสายตา
ฝีเท้าของคุณหนูจวินชะงัก มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ในตำหนักหน้าต่างปิดสนิทแสงมืดสลัว ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ข้างในยิ่งแลดูเย็นชา
คุณหนูจวินหลุบตาลงคำนับเล็กน้อย ก้มศีรษะเดินผ่านเขาเข้าไปข้างใน
ในห้องอบอวลด้วยกลิ่นยา แต่นางยังคงได้กลิ่นหอมเลือนรางท่ามกลางกลิ่นยานี้
นั่นเป็นเครื่องหอมที่ท่านพี่ใช้บ่อยๆ
นางก้มศีรษะมองหินเขียวก้อนใหญ่ใต้เท้าตนเอง เดินเข้าไปทีละก้าวๆ แม้ไม่ยกศีรษะนางก็เหมือนจะมองเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงด้านหน้า
“องค์หญิง…” นางก้มลงคุกเข่า
“ไม่ต้องมากพิธี”
เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังมาจากเหนือศีรษะ
คุณหนูจวินยังคงค้อมกายก้มศีรษะ พื้นดินเย็นเยียบทำให้ร่างกายที่เดือดพล่านของนางเย็นลง ไม่ให้นางโถมเข้าไปในอ้อมกอดพี่สาวร้องไห้โฮอย่างไม่อาจควบคุม
ในห้องสายตาเย็นชาคู่หนึ่งจับบนแผ่นหลังของนางอยู่ตลอด ราวกับมองทะลุวิญญาณของนาง
นางกำนัลสองคนม้วนม่านมุ้ง คุณหนูจวินลุกขึ้นเงยศีรษะมองคนตรงหน้า
องค์หญิงจิ่วหลีทั้งร่างสวมอาภรณ์เรียบง่ายสะอาดสะอ้าน เส้นเกศาเรียบร้อย ประทินโฉมบางเบา ไม่มีความเจ็บปวดสิ้นหวังหรือตระหนกยามเผชิญหน้าครอบครัวป่วยใกล้ตายสักนิด
นางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าเด็กผู้ชายบนเตียง สีหน้าสงบเหมือนที่มองอยู่ไม่ใช่คนป่วย แต่เป็นเด็กน้อยที่หลับลึก
ยังเหมือนก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นเวลาที่สับสนโกลาหลเท่าใด ท่านพี่ก็ผ่านมันไปอย่างสบายดั่งก้อนเมฆลอยละล่อง
คุณหนูจวินก้าวไปข้างหน้ามองดูจิ่วหรงบนเตียง
“ต้องจับชีพจรไหม?” องค์หญิงจิ่วหลีหันมามองนาง
สายตาของทั้งสองคนสบกัน คุณหนูจวินอดไม่ได้ร่างกายสั่นเล็กน้อย ชั่วขณะไม่อาจเคลื่อนสายตาออก
ใกล้ขนาดนี้เชียว นางยืนอยู่เบื้องหน้าพี่สาวอีกครั้งแล้ว
“คุณหนูจวิน ต้องจับชีพจรไหม?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามอีกครั้ง เสียงอ่อนโยน สีหน้าอบอุ่น ไม่ได้ไม่พอใจที่ถูกมองตรงๆ และไม่ได้ตกใจไม่เข้าใจ ยิ่งไม่ประหม่า
คุณหนูจวินหลุบตาขานรับ
องค์หญิงจิ่วหลีลุกขึ้นหลีกทาง ไม่สงสัยสักนิด ยิ่งไม่ได้เอ่ยถามความเป็นมาของนาง นี่คือความเชื่อถือหรือ?
หาใช่ไม่ เพียงแค่ไม่สนใจเท่านั้น
ให้สิ่งใดไม่อาจปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นก็รับ ที่นางทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือผ่านชีวิตที่ไม่อาจขัดขืนได้นี่ไปอย่างสงบ ไม่ดิ้นรน ไม่โวยวาย ไม่ก่อเรื่อง ไม่เศร้าโศก ไม่เสียใจ
คุณหนูจวินก้าวไปข้างหน้าหลุบสายตา ก้มตัวมองสำรวจจิ่วหรง
หนึ่งปีกว่าไม่พบหน้า โตขึ้นมากเชียว นางยื่นมือไล้หน้าผากของจิ่วหรง นี่คือสำรวจความร้อนของร่าง มือของนางไล้บนดวงตาของจิ่วหรง นี่คือมองดูตาดำตาขาว ลูบผ่านจมูกของเขาสำรวจลมหายใจ ลูบแก้มของเขา คลึงติ่งหูของเขา ท้ายที่สุดมือจับบนชีพจรของจิ่วหรง
นาทีนี้ หัวใจที่หวาดหวั่นมาหนึ่งปีกว่าสงบลงแล้ว
…
เจียงโหย่วซู่ก็เดินเข้าประตูวังไหวอ๋องมาเช่นกัน หมอหลวงหลายคนก้าวไวๆ ติดตาม
“ใต้เท้า ในเมืองแพร่ออกไปแล้ว ทุกหนทุกแห่งล้วนพูดกันว่าฝีดาษร้ายแรงมากเพียงไร” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “นี่ต้องเป็นแผนสกปรกที่โรงหมอจิ่วหลิงทำแน่”
“ไม่ผิด พวกเขาแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าฝีดาษร้ายกาจมากเท่าไร ถึงเวลารักษาไม่หายก็ไม่ใช่เรื่องของนาง” หมอหลวงอีกคนเอ่ย
“ถึงกับกล้าเผยแพร่เรื่องเช่นนี้ที่เมืองหลวง ให้กรมทหารม้าห้าเมืองจับพวกเขาซะ” ยังมีหมอหลวงอีกคนเอ่ย “นี่เป็นการทำให้จิตใจประชาชนสับสน”
“จะจับได้อย่างไร พวกเขาก็ไม่โง่ การเผยแพร่ข่าวลือเช่นนี้ กฏหมายไม่ลงโทษชาวบ้าน” มีหมอหลวงส่ายหัวเอ่ย “เพราะจับคนส่งเดชเช่นนี้ กลับกันถึงจะทำเมืองหลวงยิ่งวุ่นวาย”
ทุกคนกำลังถกเถียงกัน เจียงโหย่วซู่สีหน้านิ่งสงบ
“นี่มีอะไรเล่า” เขาเอ่ย “ไม่อนุญาตให้สนใจ พวกเขาอยากเผยแพร่อย่างไรก็เผยแพร่อย่างนั้น”
เขาพูดพลางหัวเราะ
“หากโรคนี้ไม่ใช่ฝีดาษเล่า”
มีหากที่ไหน มีแต่แน่นอน บรรดาหมอหลวงได้สติกลับมา ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ฝีดาษ คุณหนูจวินวิชาแพทย์สูงส่งเช่นนี้จะค้นไม่พบได้อย่างไร
ทุกคนได้สติกลับมา
“นางค้นพบข้อผิดหลาดของพวกเราได้ นี่ย่อมเป็นคุณงามความชอบครั้งใหญ่ทั้งยังเป็นหน้าเป็นตาครั้งใหญ่” หมอหลวงคนหนึ่งหัวเราะเอ่ย
“ถึงเวลาด้านนอกเล่าลือถึงฟ้าว่าฝีดาษน่ากลัวมากเพียงใดแล้วอย่างไร เล่าเสียเปล่าแล้ว” หมอหลวงอีกคนหนึ่งหัวเราะเอ่ย
“แม้วินิจฉัยผิดทำให้พวกเราเสียหน้ามาก” หมอหลวงคนหนึ่งลูบเคราเอ่ยขึ้น สีหน้าจริงใจ “แต่ขอเพียงรักษาโรคของไหวอ๋องหายได้ หน้าตานี่ยังมีอะไรเกี่ยวข้องอีก”
เจียงโหย่วซู่ตั้งแต่เอ่ยประโยคนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอีก เพียงฟังบรรรดาหมอหลวงคุยกัน มาถึงห้องบรรทมอย่างรวดเร็ว
เพราะการเข้ามาของพวกเจียงโหย่วซู่คนคณะหนึ่ง ห้องบรรทมที่เดิมทีหม่นหมองจึงกลายเป็นคึกคักขึ้นมาอยู่บ้าง
หมอหลวงคนหนึ่งมองคุณหนูจวินที่จับชีพจรอยู่บนเตียงแล้ว ก้าวเข้าไปข้างหน้า
“คุณหนูจวิน” เขาสีหน้าหนักใจเอ่ยขึ้น “ท่านคิดว่าโรคนี้ของไหวอ๋องเป็นอย่างไร?”
คุณหนูจวินเก็บหมอนรองจับชีพจร
“โรคของไหวอ๋องไม่เบา” นางเอ่ย
“ใช่แล้ว พวกเราอับจนหนทางจริงๆ คิดได้ว่าคุณหนูจวินวิชาแพทย์สูงส่ง” หมอหลวงถอนหายใจเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้งในดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “…ฝีดาษโรคเช่นนี้บางทีอาจมีวิธีแก้ไขได้”
เขายื่นหน้าออกมาแล้ว ต่อไปคุณหนูจวินก็ตบได้อย่างเบิกบานแล้ว
รีบพูดสิ ทำสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง พูดว่านี่ไม่ใช่ฝีดาษ พูดว่าพวกเราหมอหลวงเหล่านี้ตาบอดสิ
คุณหนูจวินเก็บหมอนรองจับชีพจรเข้าไปในหีบยา แล้วหยิบเข็มทองออกมาอีก ได้ยินถึงตรงนี้ก็เผยรอยยิ้ม
ยิ้มแล้ว
ยามไหวอ๋องประชวรเช่นนี้ ตอนที่องค์หญิงจิ่วหลีและยังมีลู่อวิ๋นฉีกอยู่ในเหตุการณ์ นางยังยิ้มออกมาได้
จับผิดท่านหมอคนอื่น ได้โอกาสสร้างชื่อให้ตนเอง ก็เมินความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนไข้ได้เบิกบานใจเช่นนี้
เจ้ายิ้มไปเถอะ ตอนนี้เจ้ายิ่งยิ้มเบิกบาน อนาคตร้องไห้ก็ยิ่งเจ็บปวด
บรรดาหมอหลวงมองเด็กสาวตรงหน้าสีหน้าอดกลั้น
เด็กสาวตรงหน้าก็มองพวกเขายิ้มไม่เลิก
“ใช่แล้ว ข้าศึกษาฝีดาษมาบ้าง” นางเอ่ยพยักหน้า ดึงเข็มทองเล่มหนึ่งออกมา “มีวิธีแก้”
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
นางพูดอะไร
บรรดาหมอหลวงอึ้งไป ตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง
“เจ้าบอกว่านี่คือฝีดาษ?” เจียงโหย่วซู่เอ่ยปากพูด เขาคิดอะไรออกแล้ว แต่ยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
คุณหนูจวินมองเขาพยักหน้า สีหน้าราวกับแปลกใจอยู่บ้าง
“แน่นอนต้องใช่สิ นี่ไม่ใช่ทุกคนวินัจฉัยออกมาหรือ หมอหลวงเจียงท่านยังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือ?”นางเอ่ย
ข้อสงสัยของข้าก็คือเจ้าตาบอดแล้วรึ? เจ้าดูจากตรงไหนว่านี่เป็นฝีดาษ?
เจียงโหย่วซู่สีหน้าคล้ำเขียวมองคุณหนูจวิน
เจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้
……………………………………….
บทที่ 196 ตรวจละเอียดค่อยๆ ให้ยา
โดย
Ink Stone_Romance
ใช่แล้ว นี่เป็นพวกปลิ้นปล้อนคนหนึ่ง
เจียงโหย่วซู่ไม่เชื่อว่าคุณหนูจวินมองไม่ออกว่าอาการของไหวอ๋องไม่ใช่ฝีดาษ
แต่นางไม่พูด กลับถ่อเรือตามน้ำ เห็นชัดว่าต้องการเหลือทางถอยทางหนึ่งไว้เหมือนกัน
รู้อาการป่วยที่แท้จริงของคนไข้ชัด กลับปิดบังไม่พูดยังมีคุณธรรมของหมอสักนิดไหม
แน่นอน พวกเขาปิดบังไม่พูดเพราะสถานการณ์พิเศษ แต่เจ้า หมอชาวบ้านคนหนึ่ง ทั้งยังคุยโม้เสียวิเศษวิโสเช่นนั้น ตามเข้ามาร่วมวงอะไรด้วย
สีหน้าเจียงโหย่วซู่เขียวแล้วเขียวอีก
หมอหลวงทั้งหมดขณะหนึ่งล้วนพูดอะไรไม่ออก
“ข้ารู้ว่าข้อสงสัยของหมอหลวงเจียงคืออะไร” คุณหนูจวินเหมือนจะมองเห็นสีหน้าของพวกเขา แล้วก็ราวกับไม่เข้าใจว่าข้อสงสัยของหมอหลวงเจียงหมายความว่าอะไร เอ่ยต่อคำพูดเมื่อครู่ “ฝีดาษโรคเช่นนี้รักษายากจริงๆ”
นางเอ่ยพลางยิ้ม
“แต่โรครักษายากอีกเท่าใดก็มียาที่ตอบรับกับโรค ไม่จำต้องขบคิดว่าโรคนี้ยากมากมายเท่าใด ที่สำคัญที่สุดก็คือรักษาโรคให้หาย ดังนั้นโรคของไหวอ๋องข้ารักษาได้จริงๆ หมอหลวงเจียงท่านวางใจ”
ไม่ว่าเป็นฝีดาษหรือโรคอื่นอะไร สำหรับนางแล้วที่สำคัญที่สุดก็คือรักษาหาย เป็นโรคอะไรไม่จำเป็นต้องแย่งชิงวัดฝีมือ
จริงแท้ นี่ยังไงก็ได้ รักษาหายไม่หาย จุดจบของเจ้าก็ไม่มีอะไรดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดิ้นรนช่วงเวลาหนึ่ง
เจียงโหย่วซู่พยักหน้ายิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นพวกเราก็วางใจแล้ว” เขาเอ่ย “ชาวบ้านมียาวิเศษมากมาย ข้าก็เชื่อว่าคุณหนูจวินในเมื่อกล้ามาก็ต้องมีแผนในใจแล้วเป็นแน่”
เขาพูดกลางเดินมาถึงข้างเตียงมองไหวอ๋อง สีหน้ากล่าวโทษตนเองทั้งคลายใจ คำนับองค์หญิงจิ่วหลีอีกครั้ง
“องค์หญิงโปรดวางพระทัย”
องค์หญิงจิ่วหลีพยักหน้าเล็กน้อยนับว่าคำนับคืน
ไม่ว่าเป็นตอนคุณหนูจวินจับชีพจร หรือที่ทั้งสองฝ่ายสนทนาโต้ตอบแฝงซ่อนไหวพริบเมื่อครู่ ต่อให้คุณหนูจวินบอกว่ารักษาหายได้ องค์หญิงจิ่วหลีก็เพียงนั่งอยู่ข้างเตียงมองไหวอ๋อง สีหน้าไม่มีเปลี่ยนแปลงสักนิด เหมือนกับสิ่งใดล้วนไม่ได้ยิน
เจียงโหย่วซู่คำนับให้ลู่อวิ๋นฉีอีกครั้ง แล้วมองไปทางคุณหนูจวิน
“ต้องการสิ่งใด ยาและคน สั่งมาได้เต็มที่” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินไม่ได้เอ่ยวาจา ยิ้มนับว่าตอบรับแล้ว
โบราณว่าไว้ไม่ยื่นมือตบคนสำนึกผิด ต่อให้ในใจแค้นเคืองข้า แต่ข้าเกรงใจให้เช่นนี้แล้วกระทั่งประโยคตามมารยาทก็ยังไม่ยอมพูด ยิ้มนิดหน่อยก็นับว่าผ่านไปแล้วหรือ?
เจ้าคิดว่าเจ้าก็เป็นองค์หญิงรึ
เจียงโหย่วซู่มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง คร้านจะพูดอีกหมุนตัวเดินออกไปแล้ว หมอหลวงคนอื่นย่อมตามไปด้วย
ห้องบรรทมของไหวอ๋องกลับมาเงียบสงบเช่นก่อนหน้า
ไม่รอใครเอ่ยปาก คุณหนูจวินก็หมุนกายเปิดกล่องเข็มทองออก ในมือเริ่มปุบก็หยิบเข็มทองเล่มนั้นออกมาเล็งตรงนิ้วมือของไหวอ๋องปั่นแทงเข้าไปช้าๆ
ในห้องเงียบกริบไร้เสียง ลู๋อวิ๋นฉีซ่อนอยู่ในเงามืด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เอ่ยสักประโยคราวกับรูปปั้นดินรูปหนึ่ง
องค์หญิงจิ่วหลียืนอยู่ข้างเตียง สีหน้าอ่อนโยนมองเพียงไหวอ๋อง แต่บางครั้งก็มีนาทีหนึ่งนั้นที่หางตาของนางเหลือบแลมาเล็กน้อย สายตาจับอยู่บนร่างของคุณหนูจวิน
เข็มทองชุดหนึ่งใช้หมด สิบนิ้วของไหวอ๋องล้วนมีเลือดสีแดงปนดำซึมออกมา บนร่างของคุณหนูจวินก็เหงื่อออกจนชื้นเช่นกัน แต่นี่ยังไม่เสร็จ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนงามเช็ดนิ้วมือของไหวอ๋องนิดหน่อย จนกระทั่งเลือดที่บีบออกมากลายเป็นสีแดง
มองหยดเลือดสีแดง คุณหนูจวินในที่สุดก็พรูลมหายใจ อดไม่ได้ยื่นมือลูบหน้าของไหวอ๋อง
เรียนวิชาแพทย์มาไม่อาจช่วยพระบิดาได้ ยังดีเร่งมาทันช่วยเจ้า
“คุณหนูจวิน” เสียงขององค์หญิงจิ่วหลีดังขึ้นด้านข้าง “ยังต้องทำอะไรอีกบ้าง?”
ส่วนอีกด้านหนึ่งสายตาเย็นเยียบก็จับอยู่บนมือของนาง
คุณหนูจวินร่างแข็งทื่อไปเล็กน้อย ตนเองเสียกิริยาไปบ้างแล้ว
“ไข้สูงลดลงไปบ้างแล้ว” นางลูบใบหน้าไหวอ๋องเบาๆ อีกครั้ง ราวกับกำลังลองสำรวจอุณหภูมิร่างกาย หลังจากนั้นเก็บมือกลับ หมุนตัวมององค์หญิงจิ่วหลี “ตอนนี้ข้าจะไปต้มยา”
นางไม่ได้พูดว่าสั่งยา แต่พูดว่าต้มยา
นางจะทำเอง
องค์หญิงจิ่วหลีมองนางทีหนึ่ง
“ลำบากคุณหนูจวินแล้ว” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ช่างเกรงใจจริงๆ นางยังไม่เคยเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับตนเองเลย
คุณหนูจวินมององค์หญิงจิ่วหลีนึกขึ้นมา เหมือนจะส่ายหัวอยู่ตลอดเวลาเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าทำเช่นนี้ไม่ดี
องค์หญิงจิ่วหลีสบสายตานางครู่หนึ่งก็เคลื่อนหลบไปอย่างรวดเร็ว จับบนร่างไหวอ๋องอีกครั้ง คนก็นั่งลงข้างเตียง
“คุณหนูจวินเชิญทางนี้” นางกำนัลคนหนึ่งก้าวเข้ามาข้างหน้าเอ่ย
คุณหนูจวินหิ้วหีบยาเดินตามนางออกไป
ยาแต่ละอย่างนางมองอย่างละเอียด ล้างหั่นตุ๋นต้มนางล้วนลงมือเอง ไม่ให้ยาออกจากสายตาสักชั่วครู่ ไม่ให้คนอื่นได้แตะสักครั้ง รอยกยาที่ต้มเสร็จมาถึงห้องบรรทมของวังไหวอ๋อง ฟ้าก็มืดแล้ว ในห้องบรรทมจุดโคมไฟสว่าง
องค์หญิงจิ่วหลีกับลู่อวิ๋นฉีล้วนยังอยู่ในห้อง คนหนึ่งยังคงยืนอยู่ คนหนึ่งก็ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง
“ฝ่าบาทกลืนไม่ได้แล้ว ต้องใช้กาพวยยาวกรอกยา” นางกำนัลเอ่ย หยิบกาพวยยาวที่วางไว้ด้านข้างเข้ามา
“ไม่ต้อง ข้าป้อนเอง” คุณหนูจวินเอ่ย “กรอกยาทรมานนัก”
นางกำนัลมองลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง ลู่อวิ๋นฉีไม่มีปฏิกิริยา นางกำนัลจึงก้มศีรษะถอยออกไป
“องค์หญิง ท่านโอบเขาลุกขึ้นนั่ง” คุณหนูจวินเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีลุกขึ้นนั่งบนหัวเตียงโอบไหวอ๋องไว้ในอ้อมแขน คุณหนูจวินมือหนึ่งยกถ้วยยา มือหนึ่งกดหน้าอกของไหวอ๋องไว้ ลูบลงเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ลูบอยู่ครู่หนึ่งไหวอ๋องที่หมดสติหลับใหลอยู่ก็พลันเรอออกมา คุณหนูจวินตักยาหนึ่งช้อนส่งไปจรดริมฝีปากเขาป้อนเข้าไปทันที
ยาหยดร่วงตามมุมปาก แต่หยุดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ไหลออกมาทั้งหมดเช่นนั้น
ป้อนลงไปได้จริงๆ แล้ว
บรรดานางกำนัลที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้สีหน้าประหลาดใจยินดี สายตาที่มองไปทางคุณหนูจวินก็ออกจะนับถืออยู่บ้าง
ท่านหมอคนนี้ดูไปแล้วก็มีความสามารถอยู่จริงๆ
แล้วก็ออกจะมีความอดทนด้วย
พวกนางมองคุณหนูจวินลูบกดหน้าอกของไหวอ๋องอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเรอออกมาอีกครั้งก็ป้อนยาอีกหนึ่งช้อนทันที หลังจากนั้นทำเช่นนี้ซ้ำๆ
ยาหนึ่งถ้วยนี้เช่นนี้เมื่อไรถึงจะป้อนได้หมด?
“ยาเช่นนี้เป็นเขากลืนลงไปเองย่อมยิ่งได้ผล” คุณหนูจวินเอ่ย พลางมองไหวอ๋องยิ้มน้อยๆ “รอเจ้าดื่มได้เร็วกว่านี้มากกว่านี้ จะให้ขนมเจ้ากินชิ้นหนึ่ง”
องค์หญิงจิ่วหลีที่หลุบตามองไหวอ๋องอยู่เงยหน้ามองนางทีหนึ่ง ไม่พูดจาก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
ยาถ้วยหนึ่งป้อนเสร็จ คุณหนูจวินก็เหงื่อออกเต็มตัวอีกครั้ง นางยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อพลาง พรูลมหายใจพลาง
“ผ่านด่านยากได้หรือไม่ ก็ดูคืนนี้ไข้ลดได้หรือไม่แล้ว” นางเอ่ย
“เช่นนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ค่อนข้างเร็วจริงๆ” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวิน “ลำบากคุณหนูจวินแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด”
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ข้าเป็นหมอ ข้าย่อมต้องเฝ้าดูคนไข้” นางเอ่ย “ข้าจะอยู่ที่นี่ องค์หญิงท่านไปพักเถิด”
องค์หญิงจิ่วหลียิ้ม
“ข้าเป็นพี่สาวของไหวอ๋องย้อมต้องอยู่เป็นเพื่อน” นางพูด ไม่เอ่ยกล่อมอีก มองไปทางนางกำนัล “จัดพัดเล่มหนึ่งให้คุณหนูจวินด้านนี้”
บรรดานางกำนัลรับคำ พาคนเข้าออกให้วุ่นคึกคักขึ้นมา
คุณหนูจวินก็ไม่ได้ว่าง มองไปรอบด้านในห้อง สั่งให้เปิดหน้าต่างด้านหนึ่ง ถาดไฟตั้งอยู่ที่ไหน ธูปหอมดับทิ้ง หยิบยาหอมที่ตนพกมาจุด
องค์หญิงจิ่วหลีเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ไหวอ๋อง บางทีเพราะในห้องแห่งนี้คึกคักไม่เหมือนเก่า ทำให้ปลายหางตาของนางมองข้ามมาเป็นระยะ
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ในตำหนัก แสงโคมบนร่างนางสว่างมืดตัดสลับกัน อาจเพราะรู้สึกถึงสายตา นางจึงหันหน้ามองข้ามมา
สายตาของทั้งสองคนสบกัน ชั่วขณะใครก็ไม่ได้เคลื่อนหลบ
องค์หญิงจิ่วหลีฉับพลันรู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง
เหมือนกับในความฝันนับไม่ถ้วน เห็นน้องสาวทั้งร่างโชกเลือดมองนางเช่นนี้ ไม่พูดไม่จา ไม่จากไป แล้วก็ไม่อาจเข้าใกล้
ความโศกเศร้านี้ประหลาดจริงๆ องค์หญิงจิ่วหลีเก็บสายตากลับไป ตบปลอบไหวอ๋องเบาๆ
……………………………………….
บทที่ 197 นอนค้างร่วมตำหนัก
โดย
Ink Stone_Romance
ราตรีสีเข้ม เตียงนอนจัดเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงจิ่วหลีลูบหน้าผากของจิ่วหรงมองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามา
“คุณหนูจวินไปอาบน้ำสักหน่อยเถอะ” นางเอ่ย
ฝังเข็มต้มยาป้อนยาเสื้อผ้าของคุณหนูจวินเหงื่อเปียกไปสามรอบแล้ว ได้ยินจึงไม่ปฏิเสธคำนับขอบพระทัย
“คุณหนูจวินเชิญด้านนี้” นางกำนัลคนหนึ่งนำทางเอ่ยขึ้น
ห้องอาบน้ำก็อยู่แค่ข้างๆ
นี่เป็นห้องสรงของจิ่วหรง คุณหนูจวินสายตาค่อยๆ กวาดผ่านทีหนึ่ง ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรจากก่อนหน้า
นางเดินผ่านตู้เสื้อผ้าใบหนึ่งช้าๆ ยื่นมือเข้าไปสำรวจเหมือนไม่ได้มีเจตนา ยื่นเข้าไปตรงซอกระหว่างตู้เสื้อผ้ากับผนังพอดี แตะถูกกล่องใบหนึ่ง
มุมปากคุณหนูจวินยกโค้งปรากฏรอยยิ้มบาง
เจ้าเด็กน้อยนี่ ยังเอากล่องของเล่นซ่อนไว้ที่นี่จริงๆ
แต่ จิ่วหลีแต่งงานออกไปแล้ว ไม่มีคนสนใจเขา แล้วก็ไม่มีทางถูกพบ เขายังจะซ่อนไว้ทำไม?
แววตาของคุณหนูจวินหม่นลง
ท่าทางตอนเล่นก็คงคาดหวังอย่างยิ่งให้มีคนค้นพบ มีคนดุว่าเขาสินะ
เล่นคนเดียวสิ่งใดก็ล้วนเหงาหงอยและน่าเบื่อ
“คุณหนูจวิน” นางกำนัลสองคนหมุนตัวมาจากด้านบ่ออาบน้ำ “น้ำพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
พูดคำนี้จบก็ก้าวเข้ามา คุณหนูจวินก็ไม่ขัดเขินสักนิดกางแขนออก ให้พวกนางปรนนิบัติถอดเสื้อ
อาภรณ์ถูกถอดออกไปทีละชิ้นๆ จนกระทั่งไม่เหลือสักชิ้น
นางกำนัลก้มศีรษะถอยหลัง มองคุณหนูจวินเดินทอดน่องก้าวลงไปในบ่อน้ำ คนทั้งร่างจมหายไปในน้ำ
คุณหนูจวินคนนี้ช่างสุขุมเป็นธรรมชาติจริงๆ นางกำนัลทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง มองเห็นความประหลาดใจในดวงตาของแต่ละคน
ในสถานที่แปลกหน้าเช่นนี้มีบ่าวหญิงแปลกหน้าปรนนิบัติอาบน้ำเช่นนี้ ถึงกับไม่ขัดเขินและไม่กระดากสักนิด ตรงกันข้ามเหมือนคุ้นเคย
เป็นนางกำนัลวังไหวอ๋องตัดขาดจากโลก ไม่รู้ข่าวข้างนอกสักนิด เพียงเพราะหลายวันนี้คนมากมายมาจากด้านนอก ผนวกกับคำพูดของบรรดาหมอหลวง พวกนางจึงรู้ว่าคุณหนูจวินคนนี้วิชาแพทย์ยอดเยี่ยมนัก ส่วนชาติกำเนิดเป็นอย่างไรก็ไม่รู้แล้ว
บางทีหมอที่วิชาแพทย์ดีคงล้วนสุขุมกระมัง
นางกำนัลสองคนปลดม่านโปร่งลงก้มศีรษะถอยหลังไปหลายก้าวยืนรอด้านข้างเงียบๆ
นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบกับทั้งสองคนหลายคำ ชี้ไปทางตู้เสื้อผ้าด้านอก นางกำนัลสองคนประหลาดใจอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็ขานรับ
คุณหนูจวินไม่ได้อาบน้ำนานนัก ออกมาอย่างรวดเร็ว นางกำนัลสองคนหยิบผ้าคลุมมาห่อเช็ดให้นาง ในเวลาเดียวกันก็พานางไปถึงด้านนอก นางกำนัลคนหนึ่งเปิดตู้ จัดเสื้อตัวในรวมถึงเสื้อตัวนอกเป็นระเบียบเรียบร้อย
คุณหนูจวินมองเสื้อผ้าผู้หญิงเหล่านี้ จิ่วหรงป่วย ท่านพี่ต้องกินอยู่ที่นี่หมดแน่ อาภรณ์ย่อมต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน
ตามหลักแล้วด้วยฐานะของนางวันนี้เสื้อผ้าของบรรดานางกำนัลก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาภรณ์ขององค์หญิงจิ่วหลี
แต่โชคดีที่เป็นนาง ถึงรู้ว่านี่คืออาภรณ์ขององค์หญิงจิ่วหลี เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่คิดเช่นนี้สักนิด คงคิดว่าเป็นของนางกำนัลบ่าวรับใช้
ท่านพี่ก็เป็นเช่นนี้มักจะมีเจตนาดีบางอย่างที่คนอื่นยากค้นพบ ยังบอกอีกว่ารดฉ่ำสรรพสิ่งแผ่วไร้เสียงอะไร[1]
คุณหนูจวินกางแขนออก ให้นางกำนัลปรนนิบัติสวมเสื้อผ้า พลันร่างกายนางก็แข็งทื่อ อดไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว
บรรดานางกำนัลไม่ทันตั้งตัวหวิดถูกเกี่ยวล้ม
“คุณหนูจวิน?” พวกนางรีบเอ่ยถาม มองคุณหนูจวินหยุดอยู่ด้านหน้าตู้เสื้อผ้า มองเสื้อผ้าชุดหนึ่ง
หรือนางอยากเลือกเสื้อผ้าเอง? นางกำนัลสองคนสบตากัน นี่ไม่รู้จักมารยาทเกินไปแล้ว
คุณหนูจวินมองเสื้อผ้าชุดตัวในในตู้เสื้อผ้า รู้สึกเพียงดวงตาขัดเคือง
นี่ไม่ใช่ของท่านพี่ นี่เป็นเสื้อตัวในของนาง
นี่เป็นเสื้อผ้าเก่าชุดหนึ่ง เป็นปีก่อนหน้าพระบิดากับพระมารดาสิ้นพระชนม์ ตอนวันเกิดของตน พระมารดาทำให้นางกับมือ
ต่อมานางใส่เสื้อตัวในชิ้นนี้แต่งงานออกไป
นางตายแล้ว กระดูกฝังอยู่ในสุสานสกุลลู่ ที่เหลืออยู่ข้างกายท่านพี่กับจิ่วหรงมีเพียงเสื้อตัวในชุดนี้หรือ?
คุณหนูจวินยื่นมือกดหน้าอก ก้มศีรษะไอแห้งๆ เพื่อปิดบังน้ำตาที่ทะลักออกมา
“คุณหนูจวินท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ” นางกำนัลสองคนรีบเอ่ยถามอย่างห่วงใย
คุณหนูจวินยื่นมือกดจุดชีพจรจุดหนึ่งบนข้อมือ ไอรุนแรงติดต่อกันหลายที นางกำนัลด้านนอกตกใจขยับตัวยกน้ำชาเข้ามา คุณหนูจวินกลับมาสงบช้าๆ
“อับอายแล้ว” นางเอ่ยเสียงแหบ พลางรับน้ำชาดื่มให้ชุ่มคอ พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “ข้ามีโรคประจำตัวไอแห้งๆ นี่อยู่”
นางรักษาไม่หายหรือ? นางกำนัลไม่กี่คนสบตากัน นี่ก็คือที่กล่าวกันว่าหมอไม่รักษาตัวเองใช่ไหม?
คุณหนูจวินสูดหายใจลึกทีหนึ่งวางถ้วยชาลง สีหน้าฟื้นกลับมาสงบ
“เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเถอะ” นางเอ่ย
โคมไฟในห้องบรรทมปรับสลัวลงหลายส่วน ข้างเตียงของไหวอ๋องมีเพียงโคมไฟกลางคืนดวงหนึ่ง องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังใช้ตะเกียบแตะน้ำทำให้ริมฝีปากไหวอ๋องชุ่มชื่น
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ด้านข้างมองคุณหนูจวินเดินออกมา
คุณหนูจวินไม่ได้สนใจสายตาของเขา เช่นที่ไม่สนใจเสื้อตัวในที่ตนเองใส่อยู่สักนิด เดินตรงไปถึงข้างเตียงแบบนั้น ก้มตัวมองไหวอ๋อง ลูบหน้าผากแก้มหูหลังคอครู่หนึ่งก็จับชีพจรอีกครั้ง
“ตอนนี้ยังดูอะไรไม่ออก” นางเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นก็รอเถอะ” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย ยิ้มให้คุณหนูจวิน “คุณหนูจวินพักผ่อนก่อนเถิด ท่านพักผ่อนดีแล้ว องค์ชายถึงดีขึ้นได้ด้วย”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปพักผ่อนก่อน” นางเอ่ย หมุนตัวเดินไปถึงเตียงที่วางไว้ด้านข้าง ถอดรองเท้าก็นอนลงไป
องค์หญิงจิ่วหลีมองลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง
“ท่านก็พักผ่อนเถอะ” นางเอ่ย
เหมือนภรรยาคนหนึ่งเอ่ยกับสามีด้วยความเป็นห่วง
ไม่ใช่แค่เหมือน พวกเขาเดิมก็เป็นสามีภรรยา
คุณหนูจวินที่นอนบนเตียงหันหน้าเข้าข้างในหันหลังให้อยู่ด้านนี้คิด
“ข้าจะอยู่ที่นี่” เสียงลู่อวิ๋นฉีดังมา เสียงทุ้มนุ่ม แต่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ เหมือนกับสามีเผด็จการคนหนึ่ง
เขาย่อมไม่ยอมไป จะต้องเฝ้าดู ไม่ให้แผนการของฮ่องเต้ผิดพลาดเหมือนตนเองครั้งนั้นอย่างนั้น
ท่านพี่ก็ไม่มีทางไปแน่นอน จากชั่วครู่สั้นๆ นี้เมื่อครู่ก็มองออก นางไม่ยอมห่างข้างกายจิ่วหรงแม้สักครู่แน่นอน ต่อให้ตาย นางก็จะมองเขาตายด้วยตาตนเอง ไม่เหมือนตนเองครั้งนั้นแบบนั้น
ก็ไม่รู้ว่าหลังตนเองตายไปกี่วันถึงให้นางรู้ แต่ต้องไม่ใช่ทันทีแน่นอน พวกเขาต้องปิดบัง ต้องตกแต่งศพของตนที่ถูกฟันกระจุย ทั้งหมดปกปิดดีแล้ว ถึงประกาศไปข้างนอกได้ ถึงให้พี่สาวมาร่ำไห้ให้น้องสาวได้
คุณหนูจวินหลับตาลง
นางก็ไม่มีทางไปพักที่อื่นเหมือนกัน นางต้องการอยู่ที่นี่ นางต้องการเฝ้าดูท่านพี่กับจิ่วหรงเหมือนกัน
องค์หญิงจิ่วหลีไม่ได้เอ่ยวาจาอีก ในห้องตกอยู่ในความเงียบ
แต่เมื่อฟ้าสว่าง ไข้ของจิ่วหรงก็หาได้ลดลง
“ไข้ของเขาไม่ลดลงง่ายๆ” องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ได้ร้อนใจตำหนิ ตรงกันข้ามท่าทางเข้าอกเข้าใจ
ต่อให้เวลานี้มองเห็นจิ่วหรงตายไป นางก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดิมทีเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว” บางทีนางอาจพูดเช่นนี้ด้วย
ยอมจำนนต่อชะตา ยอมถึงขั้นนี้แล้ว
คุณหนูจวินรู้สึกอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้ นางสูดหายใจลึก
แต่นางไม่เชื่อ นางเชื่อว่าสวรรค์มีความยุติธรรม ให้นางมีชีวิต นอกจากนี้ยังให้นางติดตามอาจารย์ร่ำเรียนวิชาแพทย์อันสูงส่ง ยังให้นางมาถึงเมืองหลวงในยามที่จิ่วหรงเกิดป่วย หยัดยืนได้มั่นคง มีเหตุผลสมเหตุสมผลมารักษาจิ่วหรง
จิ่วหรงจะตายได้อย่างไรเล่า? ไม่มีทาง
“ไม่เป็นไร ข้าจะทำอีกครั้ง ข้ารู้สึกว่าไข้ลดลงไปบ้างแล้ว” นางเอ่ย พลางหยิบเข็มทองออกมา “ข้า…ฝังเข็มให้องค์ชายก่อน หลังจากนั้นข้าค่อยไปต้มยา”
ได้ยินนางเอ่ยถึงตรงนี้ ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนนิ่งสงบอยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียงสักคำมาตลอดก็มองข้ามมา
“ทำไมไม่ให้คนอื่นไปต้มยา?” เขาเอ่ยถามเย็นชา
องค์หญิงจิ่วหลีก็มองไปทางนางเช่นกัน
“แบบนี้ไม่ใช่เร็วกว่าหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ ดวงตาคมกริบเย็นเยียบคู่หนึ่งมองนางอยู่
คุณหนูจวินยืนตรงเผชิญหน้ากับสายตาของเขา มองเขา
“เพราะข้าไม่วางใจ” นางเอ่ย “ใต้เท้าลู่ ท่านก็รู้ ข้ากับพวกหมอหลวงเดิมพันกันไว้ มีคนมากมายรอคอยข้าแพ้ แต่ข้าไม่อยากแพ้ นอกจากตัวข้าเอง ใครข้าก็ไม่ไว้ใจ”
ที่แท้ขัดแย้งกับพวกหมอหลวงนี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่จะระวังระไวเช่นนี้ องค์หญิงจิ่วหลียิ้มรั้งสายตากลับไป
ลู่อวิ๋นฉีมองนางครู่หนึ่งก็เคลื่อนสายตาหลบเช่นกัน แล้วโบกมือ
……………………………………….
[1] รดฉ่ำสรรพสิ่งแผ่วไร้เสียง (润物细无声) วรรคหนึ่งในบทกวีฝนหลังแล้งคืนฤดูใบไม้ผลิ (春夜喜雨) ของตู้ฝู่(杜甫) ยอดกวีคนหนึ่งของจีน หมายถึงสายฝนที่ตกลงมามอบความชุ่มฉ่ำแก่สรรพสิ่งอย่างแผ่วเบาไร้เสียง อุปมาถึงการทำดี ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นโดยเขาไม่รู้ตัว
บทที่ 198 รับคำอวยพรของข้า
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อฟ้าสว่างจ้า หมอหลวงหลายคนก็เดินทางมาเยี่ยม แต่กลับถูกคุณหนูจวินขวางไว้นอกห้องบรรทม
“คุณหนูจวิน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร?” หมอหลวงที่เป็นหัวหน้าเอ่ยไม่พอใจ
“ความหมายชัดเจนมาก ไม่อยากให้พวกท่านขโมยวิชา” คุณหนูจวินมองพวกเขาเอ่ย “หรือวางแผนร้าย”
สีหน้าของพวกหมอหลวงซีดขาวทันที
นี่คำพูดอะไรกัน!
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร”
“เจ้าเห็นการรักษาโรคช่วยเหลือคนเป็นอะไรไปแล้ว!”
บรรดาหมอหลวงพากันตำหนิ
“ข้าเดิมพันกับพวกท่านไว้ ไม่ขัดแย้งกับการรักษาโรคช่วยคน” คุณหนูจวินขัดพวกเขา “พวกท่านรักษาไหวอ๋องไม่หาย เรื่องนี้มอบให้ข้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องของที่นี่ย่อมให้ข้าตัดสินใจ หากฟังพวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นโรคนี้รักษาไม่หายโทษใคร?”
ไร้สาระ ย่อมโทษเจ้าสิ หมอหลวงหลายคนสีหน้าคล้ำเขียว
“โอหังจริงๆ เจ้าคิดว่านี่คือโรงหมอจิ่วหลิงของเจ้าหรือ” หมอหลวงคนหนึ่งตวาดขึ้น
ด้านในห้องบรรทม องค์หญิงจิ่วหลีที่เดิมทีไม่สนใจเรื่องภายนอกประตูทั้งสิ้นชะงักนิดหนึ่ง เคลื่อนสายตาออกจากบนร่างของไหวอ๋องมองไปทางประตู
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ตรงประตู ร่างกายเล็กๆ กลับเหมือนหนึ่งทหารเฝ้าด่าน หมื่นทหารไม่อาจผ่าน
โรงหมอ…จิ่วหลิง?
เงาร่างของลู่อวิ๋นฉีบังสายตาของนางไว้ คนก็เดินเข้าไป ยืนอยู่หลังร่างของคุณหนูจวิน ร่างของเขาสูงกว่าคุณหนูจวินอยู่มาก ยืนอยู่หลังร่างนางมองข้ามเหนือศีรษะนางไป
บรรดาหมอหลวงนอกประตูมองเห็นเขายิ่งเพิ่มความโกรธเกรี้ยว
“ใต้เท้าลู่ ท่านดูสิ ท่านฟังคำพูดของนาง”
“นี่มันก่อเรื่องชัดๆ”
พวกเขาพากันเอ่ยขึ้น
“ใครกำลังรักษา ฟังคนนั้น” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย สายตากวาดผ่านพวกเขา “พวกเจ้ายังอยากรักษาหรือ?”
พวกเขาย่อมไม่อยากรักษา ไม่อย่างนั้นจะให้คุณหนูจวินคนนี้มาทำไม
พวกหมอหลวงสีหน้าแข็งค้าง
“ข้าไม่สนว่าก่อเรื่องไม่ก่อเรื่อง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ “ก่อเรื่องหรือไม่ก่อเรื่องต้องดูผลลัพธ์”
หากรักษาไหวอ๋องหายได้ ต่อให้ก่อเรื่องไร้สาระอีกเท่าใดก็ไม่เป็นไร
หากรักษาไม่หาย เจ้าทำการรอบคอบอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์
บรรดาหมอหลวงสบตากันทีหนึ่ง รอไหวอ๋องเกิดเรื่อง ฮ่องเต้แม้ฟังคำกล่อมของไทเฮาไม่ทำอะไรกับคนที่รักษาจริงๆ แต่ยมราชลู่คนนี้ย่อมไม่สน
ครั้งนั้นฮ่องเต้ห้ามแล้วอย่างไร ไม่ใช่ตีขุนนางใหญ่ที่ขอชีวิตกลุ่มหนึ่งศีรษะแตกเลือดอาบ ตายตรงนั้นสองคนเหมือนเดิมรึ
ฮ่องเต้ทำอย่างไรกับเขา? ฮ่องเต้กลับมอบงานสำคัญให้เขา
นี่เป็นดาบเล่มหนึ่ง ไม่ถกกฎระเบียบไม่ถกเหตุผลไม่ถกน้ำใจ บอกฟันก็ฟัน บอกฆ่าก็ฆ่า
ช่างเถิด ช่างเถิด
“พวกเราก็แค่เป็นห่วงไหวอ๋อง” บรรดาหมอหลวงเอ่ย ท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม อับจนหนทาง “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
คุณหนูจวินมองนางกำนัลขันทีสองฝั่งด้านนอกประตู
“ของทุกอย่างของข้า พวกเจ้าใครก็ไม่อนุญาตให้แตะ” นางเอ่ย “ไม่อย่างนั้นรักษาไหวอ๋องไม่หาย ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบของข้า”
บรรดานางกำนัลขันทีมองหน้ากัน ความผิดนี้พวกเขาย่อมแบกรับไม่ไหว ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างพร้อมเพรียงทันที
คุณหนูจวินตอนนี้ถึงหมุนตัว มองเห็นลู่อวิ๋นฉีที่ยืนประหนึ่งกำแพงผืนหนึ่งด้านหลังร่าง
“รวมท่านด้วยใต้เท้าลู่” นางไม่ได้ถอยหลัง เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
ในดวงตาของลู่อวิ๋นฉีความงงงันเบาบางแล่นผ่านไป ก้มหน้ามองเด็กสาวคนนี้ มองเห็นใบหน้านี้ อารมณ์ของเขาจึงฟื้นคืนเป็นปกติ
จวินเจินเจินคนนี้ตั้งแต่เล็กหยิ่งยโส คำพูดคำจาไม่มีมารยาท ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ในสายตาไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ กระทำตามใจตนเองฝ่ายเดียว
นี่คือความโอหัง ไม่ใช่ใจกว้าง
ในดวงตาของเขาความชิงชังส่วนหนึ่งแล่นผ่านไป เพราะคนเช่นนี้จึงคิดถึงนาง หยามเกียรตินางโดยแท้
เขาเดินผ่านคุณหนูจวินออกไป
แม้บรรดาหมอหลวงไม่อาจมองเห็นไหวอ๋อง แต่วังไหวอ๋องไม่มีความลับ พวกเขายังคงรู้ว่าอาการป่วยของไหวอ๋องยังไม่บรรเทา
“รู้อยู่เชียวว่านางคุยโม้โอ้อวด”
“ครั้งนี้ทำไมไม่บอกว่าสามวันรักษาหายแล้วเล่า”
ได้ยินบรรดาหมอหลวงวิพากษ์วิจารณ์เห็นหายนะมีความสุข เจียงโหย่วซูกระแอมขัดทีหนึ่ง
“ขอเพียงรักษาไหวอ๋องหาย นางก่อเรื่องอย่างไรก็ได้” เขาเอ่ย “ขอเพียงนางมุ่งมั่นช่วยคน”
“ใต้เท้า ที่สำคัญก็คือนางไม่ได้มุ่งมั่นช่วยคนนะ” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย
“ช่วยคนหวังผลก็ได้” เจียงโหย่วซู่เอ่ย “ขอเพียงช่วยคนได้ ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้นางไม่ให้พวกเราดูนางรักษา รักษาหายดีแล้ว ให้ข้าไปคุกเข่าให้นาง ข้าล้วนยินดี”
“ใต้เท้าท่านช่างเป็นหมอจิตใจเมตตาจริงๆ” บรรดาหมอหลวงพากันอุทาน
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก หยิบบันทึกการรักษาเล่มหนึ่งขึ้นมา
บรรดาหมอหลวงเหล่านี้ไม่รู้ แต่เขารู้มาจากองครักษ์เสื้อแพรด้านนั้น ฮ่องเต้ไม่ชอบใจตระกูลฟางที่ถือราชโองการของอดีตฮ่องเต้อยู่ในมือนัก
ใครจะยินดีให้ครอบครัวพ่อค้าตระกูลหนึ่ง แล้วยังเป็นครอบครัวพ่อค้าที่โอหังอย่างนี้ถือราชโองการไว้เล่า
แค่จุดนี้ ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางรู้สึกดีคิดเมตตากับคุณหนูจวินคนนี้อย่างไรแน่
อีกอย่างย่อมไม่มีฮ่องเต้พระองค์ไหนยินดีให้บนโลกมีคนที่สืบทอดตำแหน่งฮ่องแต้ได้อย่างถูกต้องชอบธรรมคนอื่นอยู่
หมอต้องจิตใจเมตตา แต่ก่อนหน้าเมตตาผู้อื่น ยังคงต้องสนใจตนเองก่อนสิ ตนเองยังไม่รอด คนอื่นจะเป็นจะตายมีอันใดเกี่ยวข้องอีก
คุกเข่าแล้วอย่างไร? คุกเข่าให้คนที่กำลังจะตายคนหนึ่งเป็นอะไรไปเล่า รอนางตายแล้ว การกระทำเช่นนี้ยังจะเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์พิสูจน์คุณธรรมของตนเองด้วย
…
มองเห็นคุณหนูจวินยกยาเข้ามา องค์หญิงจิ่วหลีก็เป็นฝ่ายโอบไหวอ๋องไว้ในอ้อมกอดเอง
“เจ้าช่วยองค์ชายไล่ลม ข้าป้อนยาเอง” นางเอ่ย หยิบช้อนในชามยาที่คุณหนูจวินยกมา
คุณหนูจวินรับคำไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือกดลูบหน้าอกของไหวอ๋อง
หลังเสียงเรอทีหนึ่ง องค์หญิงจิ่วหลีก็ตักยาป้อนเข้าไปในปากไหวอ๋อง
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?” ทันใดนั้นนางก็เอ่ยถาม
คุณหนูจวินอึ้งไปนิดหนึ่ง มององค์หญิงจิ่วหลีทีหนึ่ง
จิ่วหรงป่วยอยู่ ยังมีอารมณ์คุยเล่นเหมือนพบบรรดาคุณหนูตระกูลขุนนางใหญ่อีกนะ
“สิบห้าแล้วเพคะ” นางเอ่ย ยื่นมือกดลูบหน้าอกของไหวอ๋องต่อ
“ถ้าอย่างนั้นปีหน้าก็จะสิบหกปีแล้ว” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย “เป็นสาวแล้ว”
คุณหนูจวินก้มหน้าขานรับ ลอบเบะปากกับตัวเอง
“โรงหมอนี่เป็นบรรพบุรุษของเจ้าสืบทอดมาหรือ?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามอีกครั้ง
ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้รึ เมื่อครู่ได้ยินพวกหมอหลวงพูดชื่อโรงหมอจิ่วหลิงสินะ
คุณหนูจวินก้มหน้ากดลูบหน้าอกของไหวอ๋อง มุมปากโค้งนิดๆ ท่าทางซุกซน
ตกใจละสิ? รู้สึกว่าบังเอิญมากใช่หรือไม่?
หลังร่างสายตาของลู่อวิ่นฉีกวาดมา ยิ่งฉายแววเย็นเยียบ
คุณหนูจวินก้มศีรษะต่ำลงไปอีกหน่อย
“เพคะ” นางเอ่ย
ไหวอ๋องเรอออกมาอีกครั้ง องค์หญิงจิ่วหลีป้อนยา ป้อนยาเสร็จเงยหน้ามองคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินก็กำลังมองนางอยู่
สายตาสบกัน องค์หญิงจิ่วหลียิ้มเล็กน้อย
“ชื่อนี้ น่าฟังนัก” นางเอ่ย
คุณหนูจวินในใจฝาดเฝื่อน มุมปากโค้งขึ้นยิ้มเล็กน้อยด้วย
“เพคะ ขอบพระทัยองค์หญิง” นางเอ่ย หลุบสายตาลงกดนวดไหวอ๋องให้ยาไหลลื่นอีกครั้ง
องค์หญิงจิ่วหลีไม่เอ่ยวาจาอีกสายตาจับอยู่บนร่างไหวอ๋องใหม่อีกครั้ง มือที่โอบเขาอยู่ตบหัวไหล่ของเขาเบาๆ
เมื่อป้อนยาลงไปอีกครั้ง คุณหนูจวินจึงเงยหน้าขึ้น
“บรรพบุรุษของข้าตั้งชื่อโรงหมอเพราะหวังว่าทุกคนจะอายุยืนยาว” นางเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีมองนาง สีหน้าอ่อนโยน
“ดังนั้น ข้าจึงหวังว่าองค์ชายไหวอ๋องจะอายุยืนยาว” คุณหนูจวินเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มแล้ว
“ขอบคุณคำอวยพรของเจ้า” นางตอบ
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น