Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 บทที่ 185-191
บทที่ 185 ความรักมอมเมาปัญญาหรือ
โดย
Ink Stone_Romance
ราชโองการเป็นของล้ำค่าที่สุดของตระกูลฟาง แล้วก็เป็นความลับใหญ่ที่สุดด้วย
หากฟางเฉิงอวี่บอกว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ตัวก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรเขาก็เป็นเจ้าตระกูลของตระกูลฟาง
แต่เขาถึงกับต้องการให้ส่งราชโองการไปที่โรงหมอจิ่วหลิง
ส่งไปเต๋อเซิ่งชางที่เมืองหลวงก็ยังเข้าใจได้ ส่งไปที่โรงหมอจิ่วหลิงหมายความว่าอย่างไร
นายหญิงใหญ่ฟางยังคิดว่าตนเองฟังผิดแล้ว แต่นางก็ตระหนักชัดมากว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด
ฟางเฉิงอวี่ทำเช่นนี้ได้ แล้วก็กล้าทำเช่นนี้จริงๆ
“เจ้า เจ้า ความรักมอมเมาปัญญาใช่หรือไม่?” นายหญิงใหญ่ฟางโกรธยื่นมือทิ่มหน้าผาก ท้ายที่สุดพูดออกมาหนึ่งประโยค
นายหญิงผู้เฒ่าฟางห้ามนางไว้
“ลุกขึ้นมาพูด” นางมองฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น
แม้ฟางเฉิงอวี่หายดีแล้ว แต่ทุกคนก็ยังอดไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าให้เขานั่งคุกเข่าเรื่องเช่นนี้
ฟางเฉิงอวี่ได้ยินก็ลุกขึ้นยืนไม่ได้เอ่ยอะไรอย่างไม่รับปากข้าข้าจะไม่ลุกขึ้น
นายหญิงใหญ่ฟางในใจแค่นเสียง กลับยิ่งโกรธหงุดหงิด
บุตรชายคนนี้ฉลาด ฉลาดเกินแล้ว แต่ความฉลาดนี้ใช้กับอารมณ์ชั่ววูบเรื่องรักใคร่ชายหญิงเช่นนี้ ทำให้คนโมโหจริงๆ
มองเห็นฟางเฉิงอวี่ลุกขึ้นมา ทั้งยังนั่งลงข้างตนเอง สีหน้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางก็อ่อนโยนลงอยู่บ้าง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางที่เมืองหลวง?” นางเอ่ยถาม
ตั้งแต่ฟางเฉิงอวี่รับช่วงกิจการของตระกูล นางก็ไม่ได้ออกหน้าอย่างไร ฟางเฉิงอวี่มาเล่าเรื่องกิจการให้นางฟังตามกำหนดเวลา เรื่องจวินเจินเจินอยู่ที่เมืองหลวงเปิดโรงหมอจิ่วหลิงก็ย่อมต้องบอกด้วย
นี่สำหรับนายหญิงผู้เฒ่าฟางแม่สามีลูกสะใภ้ไม่มีอะไรให้กังวลใจ พวกนางรู้ วิชาแพทย์ของจวินเจินเจินสุดยอด พูดอีกแง่หนึ่งก็คือไม่เห็นว่าจวินเจินเจินเปิดโรงหมอเป็นเรื่องใหญ่อะไร ต่อให้หาเงินไม่ได้ เลี้ยงโรงหมอแห่งหนึ่งสำหรับเต๋อเซิ่งชางก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร แล้วก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่ด้วย ฟางเฉิงอวี่ก็ไม่ได้เล่าละเอียด
เวลานี้ได้ยินคำถาม ฟางเฉิงอวี่จึงเล่าเรื่องที่คุณหนูจวินอยู่ที่เมืองหลวงเป็นหมอเร่ ถูกชาวบ้านสงสัยจนกลายเป็นสนับสนุนอย่างไร ทั้งยังประกาศค่ารักษาพันตำลึงรักษาเพียงโรคที่รักษาไม่ได้ชักนำให้เกิดความอิจฉาเกลียดชังจนกลายเป็นชี้แนะวิชาแพทย์ให้ท่านหมอในเมืองหลวงจนได้รับความเคารพนับถือโดยละเอียด
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางได้ฟังประเดี๋ยวตื่นเต้นตกใจประเดี๋ยวดีใจ รู้สึกว่าเหลือเชื่อทั้งรู้สึกว่าสมเหตุสมผล
“เด็กคนนี้ไปถึงที่ไหนก็เป็นเช่นนี้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางถอนหายใจเอ่ย
ไปถึงที่ไหนก็ก่อเรื่องไปถึงที่นั่น ทุกครั้งทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนแต่ก็เป็นบุปผาสะพรั่งใต้ร่มหลิว[1]
“ถ้าอย่างนั้นนี่ไม่ใช่ดีหมดแล้วหรือ?” นายหญิงใหญ่ฟางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบางๆ ยกถ้วยชาดื่มให้ชุ่มคอ “ไม่ต้องการชื่อราชโองการก็นั่งมั่นคงแล้ว เจ้ายังจะส่งราชโองการไปทำอะไร?”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม
“เพราะหัวหน้ากองพันลู่ขององครักษ์เสื้อแพรต้องการพังป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ย “หัวหน้ากองพันลู่คนผู้นี้ ข้าคิดว่ามีเพียงราชโองการอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิงถึงปรามเขาได้”
เขาพูดเรียบเรื่อย เทียบกับเสียงสูงๆ ต่ำๆ ที่เล่าก่อนหน้านี้ เหมือนกับตอนนี้ที่พูดถึงคือละครวันนี้เป็นอย่างไร
องครักษ์เสื้อแพร หัวหน้ากองพันลู่ พังโรงหมอจิ่วหลิง
เนื้อหานี่กับน้ำเสียงนี้ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางชั่วขณะหนึ่งตอบสนองไม่ทัน
องครักษ์เสื้อแพร หัวหน้ากองพันลู่ พังโรงหมอจิ่วหลิง
นายหญิงใหญ่ฟางทะลึ่งลุกขึ้นยืน
“นาง นางไปหาเรื่องอะไรหัวหน้ากองพันลู่?” นางร้อง เหงื่อบางๆ ที่เพิ่งเช็ดไปผุดออกมาอีกครั้ง
นี่ย่อมไม่ใช่วางกับดักลูกสาวอาลักษณ์หลินในหอจิ้นอวิ๋นแล้ว นั่นคือเมืองหลวง นั่นคือยมราชลู่ที่ใครๆ ได้ยินก็หน้าถอดสี
นี่เพิ่งกี่วัน นางทำอะไรเข้าเล่า
สมองนายหญิงใหญ่ฟางว้าวุ่นไปแล้ว
“ท่านแม่ อย่าร้อนใจ ไม่มีเรื่องอะไร” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย ลุกขึ้นคว้าแขนของนางปลอบประโลม
“เป็นเด็กทะเลาะกันอีกแล้วหรือ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย สีหน้ายุ่งยากอยู่บ้าง
ตั้งแต่ให้จั่วเยี่ยนจือซื้อปิ่นไม้แดง จนถึงทำให้หนิงอวิ๋นเยี่ยนบื้อใบ้ไร้วาจา แล้วไปถึงทำให้หลินจิ่นเอ๋อร์พ่ายแพ้ชื่อเสียงเสียหาย ครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องเหล่านี้ในวาจาของนางล้วนเป็นการทะเลาะกันของเด็กน้อย
ฟางเฉิงอวี่เมื่อครู่เล่าเรื่องเหล่านั้นของนางที่เมืองหลวง เล่าจากปากของเขาทำคนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางรู้หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูจวินมาพูด ย่อมมีเพียงประโยคเดียวอธิบาย
“ไม่เป็นไร แค่ทะเลาะกันเท่านั้น”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเฝื่อนนิดหนึ่ง ใช่ เรื่องเหล่านี้ก็นับว่าเป็นคดีทะเลาะเบาะแว้งได้จริงๆ แต่นางตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ประเดี๋ยวผ่านไปอีกปีก็เป็นหญิงสาวอายุสิบหกแล้ว
นอกจากนี้เรื่องคอขาดบาดตายบางอย่างพูดไปก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะการทะเลาะ
นางที่แท้กำลังคิดอะไร? ที่แท้ต้องการทำอะไร? ปัญหาชอบเรียกหาตั้งแต่เกิดหรือนางจงใจ?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางรู้สึกว่าสมองสับสนอยู่บ้าง
ฟางเฉิงอวี่ยังคงสีหน้ายิ้มแย้ม เดินเข้าไปคล้องแขนนายหญิงผู้เฒ่าฟางอีก
“ท่านย่า ไม่ใช่หรอก” เขาเอ่ย “แม้กระทั่งทะเลาะก็ไม่มี ไม่มีความขัดแย้งจริงๆ”
พูดเหลวไหล ไม่ขัดแย้งหัวหน้ากองพันลู่จะไปสอยป้ายโรงหมอของนางรึ?
“ไม่มีจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “เพียงเพราะชื่อเท่านั้น”
ชื่อ?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางชะงัก
“โรงหมอจิ่วหลิง …จิ่วหลิง…” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิดทันเอ่ยออกมาคนแรก “องค์หญิงจิ่วหลิง?”
นายหญิงใหญ่ฟางตอนนี้ถึงเข้าใจ ทั้งยังไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“แค่เพราะชื่อโรงหมอจิ่วหลิงเหมือนกับองค์หญิงจิ่วหลิง?” นางเอ่ย เกือบหลุดหัวเราะอยู่นิดๆ “นี่มันเหตุผลอะไร?”
หัวหน้ากองพันลู่รักภรรยาที่เสียไปอย่างลึกซึ้ง? แม้กระทั่งผู้อื่นใช้ชื่อนี้ก็ยังไม่อนุญาต?
แต่นั่นก็แค่องค์หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่คนอื่นชื่อซ้ำต้องหลบเลี่ยง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใต้หล้า แค่ในเมืองหลวงคนที่ชื่อจิ่วหลิงก็คงไม่น้อย ในราชสำนักฝ่ายพลเรือนทหารย่อมต้องมีเช่นกัน
หรือหัวหน้ากองพันลู่จะบีบคนเหล่านี้ให้ล้วนเปลี่ยนชื่อได้หรือ?
เรื่องเช่นนี้ทำได้ที่ไหน นี่ไม่ใช่เสียสติหรือ?
ฟางเฉิงอวี่กลับไม่ยิ้ม แต่พยักหน้าจริงจัง
“แม้น่าขำยิ่งนัก แต่ก็เพราะเหตุผลนี้” เขาเอ่ย “ใต้หล้าคนที่ชื่อนี้มากนัก แต่โรงหมอจิ่วหลิงถูกเขาเห็นเข้าแล้ว”
ใช่สิ โรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงสร้างเรื่องเป็นพรวนเดี๋ยวโผล่ตรงนี้โผล่ตรงนั้นนี้ ชื่อเสียงโด่งดัง
ชื่อเสียงโด่งดังก็มีดีมีร้ายเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่ลู่อวิ๋นฉีจะเห็นมันเป็นหนามในตาต้องถอนออก
มีตัวอย่างเช่นนี้ คนกับของที่ชื่อจิ่วหลิงชื่อนี้คนอื่นย่อมต้องรู้ตัวแล้ว
นายหญิงใหญ่ฟางกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบงันครู่หนึ่ง สีหน้ายุ่งยาก
“นี่มันเรื่องอะไร!” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย
“ดังนั้นเรื่องนี้ก็ไม่นับเป็นเรื่องอะไร จิ่วหลิงนาง…” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น
คำพูดเขายังเอ่ยไม่ทันจบ นายหญิงใหญ่ฟางก็ตบโต๊ะขัด
“ยังจะเรียกจิ่วหลิง จิ่วหลิงอีก นางชื่อเจินเจิน เปลี่ยนชื่ออะไรส่งเดชเล่า” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
บรรยากาศในห้องนิ่งชะงักไป
“ท่านแม่” เสียงของฟางเฉิงอวี่จริงใจทั้งยังติดจะนิ่งสงบอยู่บ้าง “นางเปลี่ยนชื่อ ก็เพราะชื่อนี้ ชื่อนี้คือกิจการมรดกของตระกูลจวิน เป็นนางต้องการแสดงความมุ่งมั่นว่าจะแบกรับสุดกำลัง นี่คือป้ายจารึก นี่ไม่ใช่เล่นก่อเรื่องส่งเดช ท่านแม่ นางไม่เคยเที่ยวหาเรื่องเหลวไหลมาก่อน นางพยายามทำงานอยู่ตลอด ทำงานเพื่อชื่อนี้”
นายหญิงใหญ่ฟางตะโกนประโยคนี้ออกมาด้วยความโมโหก็เสียใจอยู่บ้างแล้ว นางก็รู้เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของจวินเจินเจินที่เปลี่ยนชื่อ เพียงแค่ความโกรธอดกลั้นอยู่ในใจอย่างไรก็ต้องหาข้ออ้าง
เหตุผลที่ฟางเฉิงอวี่พูดนางย่อมเข้าใจเหมือนกัน แต่เหตุผลก็ส่วนเหตุผล…นางมองไปทางฟางเฉิงอวี่
ตั้งแต่หลังหายป่วย ฟางเฉิงอวี่ก็โตขึ้นเร็วนัก เวลาสั้นๆ ครึ่งปีร่างกายก็สูงพรวดพราดหนึ่งช่วงศีรษะแล้ว ร่างกายแม้ยังผอมอยู่บ้าง แต่บนหน้าเนื้ออุดมสมบูรณ์ สีหน้ากระปรี้กระเปร่า มาถึงเวลาที่คนหนุ่มเฉิดฉายน่าจับตาที่สุด
วันนี้สำหรับสาวๆ ในหยางเฉิง เพราะคุณชายหนิงไม่อยู่เนิ่นนานกลายเป็นดาวบนฟ้าอันห่างไกล ส่วนฟางเฉิงอวี่เพราะใกล้เพียงเอื้อมมือจึงกลายเป็นคนที่ทุกคนไล่ตามและชมชอบที่สุดแล้ว
ตระกูลฟางเดิมทีทุกคนหลบเลี่ยงมองว่าบุตรชายบุตรสาวไม่มงคล ตอนนี้กลายเป็นคู่แต่งงานที่ได้รับความนิยมที่สุดในหยางเฉินไปจนถึงซานซี ก่อนหน้านี้ต้องกังวลใจเพราะคู่สู่ขอชั้นเลวต่างๆ นานา ส่วนตอนนี้ก็เพราะคนที่มาสู่ขอมากทั้งยังมั่งคั่งสูงศักดิ์รำคาญสุดจะทน
การแต่งงานของฟางเฉิงอวี่กลายเป็นสิ่งที่แย่งชิงกันมากที่สุด
“สรุปคือครั้งนี้หัวหน้ากองพันลู่เพื่อชื่อ เจินเจินก็เพื่อชื่อ ใครก็ไม่ยอมถอยสักก้าว ความขัดแย้งนี้ก็ผูกขึ้นมาเช่นนี้ใช่หรือไม่” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “จิ่วหลิงไม่มีทางยอมทิ้งชื่อนี้แน่”
จิ่วหลิงไม่มีทางยอมทิ้งชื่อนี้ เขาก็ไม่มีทางย่อมทิ้งถูกหรือไม่? นายหญิงใหญ่ฟางมองเขา
พูดเหตุผลมากมายเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะนางเป็นคนที่เขาชอบรึ
“นางต้องการอะไรเจ้าก็ให้สิ่งนั้นนาง? ครั้งนี้เป็นราชโองการ ครั้งหน้าหากเป็นชีวิตคนทั้งตระกูลของพวกเราเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยถาม
“นั่นย่อมให้เช่นกัน” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบไม่ลังเลสักนิด
นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจัดอีกครั้ง
“ความรักมอมเมาปัญญาเจ้าแล้วใช่หรือไม่?” นางเอ่ย
……………………………………….
[1]บุปผาสะพรั่งใต้ร่มหลิว (柳暗花明) ใต้ร่มเงาของต้นหลิว บุปผาสดสวยบานสะพรั่ง อุปมาถึงยามยากลำบากเหตุการณ์พลิกผันกลับเป็นดี
บทที่ 186 มีเพียงความจริงใจให้ไม่เสียเปล่า
โดย
Ink Stone_Romance
ความรักมอมเมาปัญญา
เพื่อนางสิ่งใดล้วนไม่ต้องการได้
แม้กระทั่งไม่เอาชีวิตของคนทั้งตระกูลก็พูดออกมาได้
นี่ไม่ใช่เหมือนกับละครจุดไฟสัญญาณหลอกเจ้าผู้ครองรัฐที่เล่นเมื่อวานหรือ?
เพื่อผู้หญิงคนเดียวแม้กระทั่งบังลังค์ประเทศชาติล้วนไม่สนแล้ว
“พวกเราตระกูลฟางลำบากเท่าไร เดินมาถึงวันนี้ลำบากเท่าไร เจ้า เจ้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ย พูดไม่ถูกว่าโกรธเกรี้ยวหรือว่าผิดหวัง
ทั้งหัวใจทั้งดวงตาล้วนเป็นนาง อายุน้อยรักมากก็เข้าใจได้ ใช้เงินอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่น่าสูญเสียสติปัญญาจนสิ่งใดก็ไม่สน ไม่ใส่ใจกระมัง?
ฟางเฉิงอวี่มองนายหญิงใหญ่ฟาง ไม่ได้ตระหนกแล้วไม่ได้ลนลาน
“ท่านแม่ ข้าไม่ใช่คิดเช่นนี้” เขาเอ่ย ท่าทางจริงจังอยู่บ้าง “ชีวิตของครอบครัวเราไม่ใช่ล้วนเป็นเพราะนางถึงยังอยู่หรือ? นางไม่อยู่ พวกเราไม่ใช่ก็ไม่อยู่ด้วยหรือ ดังนั้นรอดด้วยกันอยู่ด้วยกัน หาใช่สละเพื่อนาง”
นายหญิงใหญ่ฟางมองเขา
คิดเช่นนี้หรือ?
เรื่องต้องคิดเช่นนี้หรือ?
นางช่วยชีวิตพวกเขาครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ต้องตอบแทนไม่หมดไม่สิ้นหรือ?
“นี่ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการตอบแทนหรือติดค้าง ข้ารู้สึกว่านางเป็นดาวนำโชคของตระกูลเรา ท่านดูสิตั้งแต่นางมา โรคของข้าหายดีแล้ว ศัตรูประหารแล้ว ท่านแม่ นางกับพวกเราสุขทุกข์พึ่งพากัน พวกเราต้องทุ่มสุดกำลังปกป้องชีวิตของนาง เพราะเช่นนั้นก็เป็นการทุ่มสุดกำลังปกป้องชีวิตของพวกเราเองด้วย” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ สีหน้าจริงใจ
นายหญิงใหญ่ฟางมองเขาครู่หนึ่ง
“เจ้าอย่าเอาเหตุผลยิ่งใหญ่เหล่านี้มาปั่นหัวข้า เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าไม่ใช่เพราะนาง เจ้าไม่ใช่ชอบนาง?” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“แน่นอนข้าชอบนาง ท่านแม่” เขาเอ่ยติดจะขัดเขินอยู่บ้างแล้วก็ตรงไปตรงมาอยู่บ้าง
นายหญิงใหญ่ฟางหมดคำพูด
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้ายังต้องเป็นฝ่ายพูดเองว่าเจ้ากับนางแต่งงานกันหลอกๆ เล่า?” นางเอ่ย
“เพราะนั่นเป็นแค่งานแต่งงานหลอกๆ นี่” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย สีหน้าจริงใจ “เพราะข้าชอบนางจริงๆ ดังนั้นต้องให้ทุกคนได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นการแต่งงานหลอกๆ หลังจากนั้นสักวันข้าจะแต่งงานกับนางจริงๆ”
ที่แท้เขาก็คิดเช่นนี้
นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางเฉิงอวี่ ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกรสชาติแปร่งปร่า
“เจ้า…” นางเอ่ย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เงียบงันไม่เอ่ยวาจามาตลอดขัดคำพูดของนาง
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว” นางเอ่ย
นายหญิงใหญ่ฟางกับฟางเฉิงอวี่ล้วนมองไปทางนาง
“ส่งราชโองการไปให้นาง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางลุกขึ้นยืนเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่ผุดรอยยิ้ม ส่วนนายหญิงใหญ่ฟางวิตกอยู่บ้าง
“ท่านแม่” นางเอ่ยท่าทางไม่เห็นด้วย
“หากเป็นเจ้า เจ้าจะทอดทิ้งโรงหมอจิ่วหลิงชื่อนี้หรือ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนางเอ่ยถาม
นายหญิงใหญ่ฟางอึ้งไป
“ก็เหมือนกับพวกเราทุกข์ขนาดนี้ลำบากขนาดนี้ เจ้าเคยยอมแพ้ไหม?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม
นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือจับหน้าอกท่าทางเศร้าสร้อยอยู่บ้าง
“เคยคิด” นางเอ่ย
เวลานั้นเคยคิดกินยาพิษตายไปด้วยกันกับเฉิงอวี่ให้จบๆ ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ทุกข์ทรมานขนาดนี้
“แต่เจ้าไม่ยอมแพ้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย “เพราะอะไรเล่า?”
นายหญิงใหญ่ฟางจับหน้าอก ยิ้มช้าๆ
“เพราะไม่ยินยอม” นางเอ่ย
“ไม่ผิด ไม่ยินยอม” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย “อาศัยอะไรมาให้พวกเราถอยให้ อาศัยแค่เพราะชื่อเท่านั้น พวกเราก็ต้องยอมแพ้”
นางโบกมือให้ฟางเฉิงอวี่
“ไปเถอะ เอาราชโองการ ตั้งไว้ที่โรงหมอจิ่วหลิง ฟ้าไม่รังแกคน คนอย่าคิดรังแกคน”
ฟางเฉิงอวี่ในดวงตาแย้มรอยยิ้ม ยิ้มให้นายหญิงผู้เฒ่าฟาง หมุนตัวเริงร่าวิ่งออกไปประดุจเด็กน้อย
นี่ไม่ใช่เหมือนพวกเด็กๆ ก่อเรื่องวุ่นวายรึ?
นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้ายุ่งยาก
“ก็เหมือนที่เฉิงอวี่บอก ก่อนหน้านี้ไม่เคยขัดแย้ง แต่เพราะชื่อนี้ ความขัดแย้งจึงผูกขึ้นมา เวลานี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย ตบมือนายหญิงใหญ่ฟาง “ไม่ว่าโรงหมอจิ่วหลิงชื่ออะไร จวินเจินเจินนางก็เป็นครอบครัวเดียวกับเรา นางเกิดเรื่อง พวกเราก็ยากหนี ช่วยคนก็คือช่วยตนเอง ไม่ต้องคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เล็กน้อยเหล่านั้นแล้ว”
นายหญิงใหญ่ฟางอับจนอยู่บ้าง
“แต่เฉิงอวี่เขาแบบนี้ไม่ให้ใจไปเสียเปล่าหรือ?” นางเอ่ย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม ปรบมือ
หญิงรับใช้ด้านนอกได้ยินก็เข้าใจ ส่งสัญญาณให้คณะละครขึ้นเวทีใหม่ทันที แล้วเรียกบรรดาสาวใช้หญิงรับใช้รวมตัวกันใหม่ด้วย
“หัวใจจะนับว่าให้ไปเสียเปล่าได้อย่างไรเล่า” นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มเอ่ย “ขอเพียงให้ไปมันย่อมคงอยู่ แค่ทำให้คนมีความสุขก็คุ้มค่า ส่วนหัวใจเก็บไว้ในใจ ให้ยังไม่ให้นั่นถึงน่าเศร้า เฉิงอวี่ของพวกเราไม่ใช่เด็กที่เสียเวลาอยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆ เช่นนั้น”
นี่คือจะบอกว่าตนเองเสียเวลากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกินไป นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเฝื่อน เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะ
“ท่านแม่ ยังจะเล่นละครตอนนี้ต่อไหมเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม มองคณะละครที่กำลังรอคอยสัญญาณอยู่บนเวที
“ไม่ล่ะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย นั่งลงบนเก้าอี้ “เปลี่ยนเป็นตอนด่านตู๋มู่”
บรรดาหญิงรับใช้รีบขานรับ บอกละครที่เลือกกับบนเวที
บนเวทีเสียงกลองดังขึ้นพักหนึ่ง
“…ใต้แสงจันทราข่มขวัญวีรบุรุษแตกสลาย คิดถึงบ้านเกิดกลับคืนมาตุภูมิยากเย็นแสนเข็ญ…”
“…ข้ากับแม่ทัพอวี้ไร้เคืองไร้แค้น อยู่ดีๆ ใยทำกับข้าเช่นนี้?”
เสียงสูงดังสะท้อนก้องเวทีละครในสวน ไกลออกไปมีบรรดาสาวใช้หัวเราะร่าวิ่งมาไม่ขาด
ตระกูลฟางปลายฤดูใบไม้ร่วงในบ้านไม่เห็นความงียบเหงาสักนิด ครึกครื้นและเบิกบาน
ส่วนตระกูลหนิงที่หมู่บ้านเป่ยหลิวก็เฉลิมฉลองปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน
ปีนี้ผลผลิตไม่เลว ร้านค้ากิจการของตระกูลก็ไม่เลวเช่นกัน หนิงเหยียนในเมืองหลวงก็ส่งข่าวแน่ชัดมาว่าก้าวไปข้างหน้าได้อีกก้าว รวมถึงการสอบใหญ่ปีหน้ายิ่งใกล้เข้ามาทุกที นี่ก็สื่อว่าห่างจากการมีชื่อบนกระดานทองใกล้เข้าไปทุกที
นี่เป็นเวลาที่น่าฉลองและทั้งทำให้คนเบิกบานช่วงหนึ่งจริงๆ
บรรดาเด็กสาวเยาว์วัยเบียดอยู่ในห้องนั่งล้อมกินเต้าหู้ปิ้ง บรรดาพี่น้องสะใภ้ของตระกูลหนิงล้อมโต๊ะเล่นไพ่ บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ยกน้ำชาขนมเดินตัดผ่าน ในห้องเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ
“…เฮ้อยังมีที่น่าหัวเราะกว่า พวกเจ้าได้ยินไหมเรื่องของจวินเจินเจินคนนั้นที่เมืองหลวง” ผู้หญิงคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น
หากเป็นช่วงก่อนหน้านี้ชื่อนี้นายหญิงใหญ่ที่นี่ไม่อนุญาตให้พูดถึง แต่ครั้งนี้นางเอ่ยปากกลับไม่ถูกแอบส่งสัญญาณห้ามปราม
“นางมีเรื่องอะไรอีก?” นายหญิงสามวางไพ่ใบหนึ่งในมือออกไป คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยถาม
“นางน่ะอยู่ที่เมืองหลวงชักพาหัวหน้ากองพันลู่ขององครักษ์เสื้อแพรกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงให้ตีกันยกใหญ่เพื่อนาง” ผู้หญิงคนนั้นกดเสียงเอ่ย
นายหญิงสี่แค่นเสียงหัวเราะ หยิบไพ่ในมือ
“ดูเอาเถอะ นางเป็นใครกัน ร้ายกาจขนาดนี้” นางหัวเราะเอ่ย
“นายหญิงสี่อย่าคิดว่าแม่นางน้อยคนนี้หน้าตาธรรมดา ผู้หญิงบางคนหน้าตาธรรมดาก็ดึงดูดคนได้” ผู้หญิงคนนั้นรีบเอ่ย พลางจิ๊ปากสองที “ความสามารถนี้ไม่น้อยจริงๆ ถึงกับดึงดูดคนสองคนนี้ได้”
“นี่เรียกความสามารถอะไร” นายหญิงสามเอ่ยดูแคลน “น่าขายหน้า ชื่อเสียงดีงามของบิดานางนับว่าถูกนางทำลายสิ้นแล้ว”
“นี่ไม่นับเป็นความสามารถอะไร สองคนนั้น…” นายหญิงสี่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย “ก็เรียกได้ว่าของเน่าเหม็นมักอยู่ด้วยกัน”
แม้นางไม่ได้บอกชัด แต่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนรู้ความหมายของนาง
แม้สำหรับชาวบ้านแล้ว เฉิงกั๋วกงปกบ้านป้องเมืองเป็นมหาวีรบุรุษ ท่านชายจูก็เป็นยอดวีรบุรุษด้วย
แต่สำหรับครอบครัวขุนนางแล้ว มุมมองของพวกเขาย่อมมีจุดตั้งต้นไม่เหมือนกัน
เฉิงกั๋วกงค่อนข้างรวบอำนาจสงวนท่าที ท่านชายจูก็โอหังไม่สนกฎสนสวรรค์
แม้นิสัยต่างกัน แต่เทียบกับลู่อวิ๋นฉีสุนัขรับใช้กรงเล็บเหยี่ยวเช่นนี้ ก็ไม่นับว่าดีอะไร
นายหญิงสามยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นน่ะสิ” นางเอ่ย “ไม่อย่างนั้นก่อกวนอวิ๋นเจาของพวกเราปานนั้น อวิ๋นเจายังไม่มองนางเพิ่มสักที”
นายหญิงใหญ่กระแอมทีหนึ่ง วางไพ่ในมือลง
“เด็กๆ อยู่ข้างในกันหมด อย่าพูดถึงเรื่องไร้สาระเหล่านี้เลย” นางเอ่ย
ผู้หญิงคนนี้รีบยิ้มประจบขานรับ
“คุณชายสิบของตระกูลเราเป็นใคร แน่นอนไม่อาจเทียบเคียงกับคนเหล่านั้นได้ รอข้ามปีไปพวกเราก็รอรับข่าวดีแล้ว” นางเอ่ย
นายหญิงใหญ่ยิ้มไม่เอ่ยวาจา วางไพ่ในมือใบต่อไป
“อั้ยย่ะ นายหญิงใหญ่ชนะแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นยื่นศีรษะยิ้มเอ่ยขึ้น
นายหญิงสาม นายหญิงสี่ ล้วนวางไพ่
“อั้ยย่ะ พี่ใหญ่ทำไมชนะอีกแล้วเล่า”
“สะใภ้ใหญ่มือขึ้นทุกทีแล้ว”
“ไมได้ ข้าต้องเปลี่ยนที่นั่งกับสะใภ้ใหญ่”
ทุกคนพากันคุยเล่นหัวเราะ บรรยากาศในห้องยิ่งเบิกบาน
นายหญิงใหญ่ยังคงยิ้มอ่อนโยนแบบเดิม นางก็รู้สึกว่าโชคของตนเองดีขึ้นทุกทีแล้วเช่นกัน คงเป็นตั้งแต่หลังจวินเจินเจินคนนั้นออกจากหยางเฉิงกระมัง
ก่อเรื่องเถอะ ทำลายชื่อเสียงที่เมืองหลวง หลังจากนี้ทุกคนพูดถึงนางก็ไม่มีทางพัวพันถึงบุตรชายของนางได้อีกต่อไปแล้ว
บุตรชายของนาง คือคนที่ดีที่สุดของที่สุด ไม่ควรแปดเปื้อนสักนิด
……………………………………….
บทที่ 187 มั่นคงรอต้นหนาว
โดย
Ink Stone_Romance
ฤดูหนาวปีนี้เย็นกว่าปีก่อนเล็กน้อย เพิ่งเข้าเดือนสิบเอ็ดก็หิมะตกมาหนหนึ่งแล้ว ทำฟ้าดินพริบตาเย็นยะเยือก
คนเดินบนถนนห่อตัวในเสื้อนวมหดหัวเดินผ่าน ยามเดินผ่านร้านแห่งหนึ่ง มีคนเดินออกมาจากข้างใน เลิกม่านหนาขึ้น กลิ่นอายอุ่นร้อนพุ่งออกมาจากข้างใน ให้คนผ่านทางอดไม่ได้สั่นสะท้าน
ร้านที่ด้านในจุดไฟจนอุ่นขนาดนี้ย่อมมั่งคั่งใหญ่โต
คนผ่านทางเงยหน้ามองเห็นป้ายโรงหมอ โรงหมอจิ่วหลิง
นี่ย่อมไม่ใช่เพียงแค่มั่งคั่งใหญ่โต คนผ่านทางห่อไหล่อีกครั้ง ร้านแห่งนี้ถึงกับวางราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไว้
แม้ทุกคนไม่ได้เคยเห็นราชโองการกับตาอย่างไร แต่ก็เล่ากันเป็นตุเป็นตะแล้ว
“ตระกูลฟางเต่อเซิ่งชางนี่ไม่ธรรมดาเลย ตอนนั้นเคยช่วยอดีตฮ่องเต้ไว้”
“ราชโองการนั่นเขียนไว้ว่าดุจพระองค์เสด็จเอง”
“ตอนนั้นที่หยางเฉิง คุณหนูจวินคนนี้เพราะเก็บสมุนไพรหนึ่งคืนไม่กลับ ตระกูลฟางเร่งรีบตามหาคนหยิบราชโองการออกมา พลิกหยางเฉิงทุกซอกทุกมุมยันสว่าง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลก เก็บสมุนไพรไม่กลับบ้านตระกูลฟางยังใช้ราชโองการ นี่หัวหน้ากองพันลู่หวิดจะทำลายป้ายของโรงหมอจิ่วหลิง ตระกูลฟางไหนเลยจะยอม”
ยิ่งคนหยางเฉิงมาเมืองหลวง เรื่องเกี่ยวกับตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางก็ค่อยๆ แพร่ออกไป เรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นที่หยางเฉิงสำหรับคนเมืองหลวงผู้เห็นโลกมากว้างขวางเดิมทีก็ไม่มีอะไรให้สนใจนัก แต่เพราะเดือนก่อนหัวหน้ากองพันลู่แห่งองครักษ์เสื้อแพรอยู่ดีๆ จะปลดป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิง ส่วนจูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงกลับปกป้อง หลังก่อเรื่องจนครึกโครม ทุกคนเดิมคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงตรงนี้ ตอนที่เตรียมตัวรับเรื่องสนุกใหญ่กว่าเดิม เรื่องกลับจบลงแล้ว
นี่ไม่สมกับนิสัยของหัวหน้ากองพันลู่เลยจริงๆ
แม้บุตรชายเฉิงกั๋วกงร้ายกาจมากไม่กลัวองครักษ์เสื้อแพร แต่หากองครักษ์เสื้อแพรคิดร้ายสักนิดกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ไม่ใช่ไม่มีวิธี
แต่ป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงก็แขวนไว้เหนือประตูมั่นคงเช่นนี้ เรื่องก่อนหน้านี้เหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่ถึงทำให้ชาวบ้านเมืองหลวงซักถามขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องของราชโองการก็แพร่ออกไปเช่นนี้เอง
เฉินชีซุกมือในแขนเสื้อยืนอยู่ในโถง มองฟางจิ่นซิ่วดีดลูกคิด
“ข้าเช่าบ้านเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ย ท่าทางเริงร่าอยู่บ้าง “ปีใหม่จะรับแม่ข้ามา”
ห่างจากปีใหม่เพียงเดือนกว่าแล้ว เฉินชีต้องการกลับไปฉลองปีใหม่ ฟางจิ่นซิ่วกับคุณหนูจวินเหมือนกันต่างวางแผนว่าไม่กลับหยางเฉิงแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นวันที่สามเดือนสามเจ้าไม่ใช่ยังต้องกลับไปอีกรอบ?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
เฉินชีตบเอวหัวเราะ
“เรื่องเช่นนี้ให้คนอื่นเก็บแทนข้าก็ได้แล้ว ชื่อเสียงหอจิ้นอวิ๋นยังไงก็ไม่เลว” เขาเอ่ย
นอกจากนี้วันนี้คนล้วนรู้ว่าเขาทำงานให้ตระกูลฟาง อย่างไรก็ต้องไว้หน้าสามส่วน
“ปีใหม่พวกเจ้าคิดจะฉลองอย่างไร? ฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงนี่ต้องคึกคักมากแน่สินะ?” เฉินชีเอ่ยขึ้นอย่างรื่นเริงอีกครั้ง “หรือว่าข้าจะพาแม่ข้าเร่งเดินทางมาข้ามปีที่เมืองหลวงด้วยเลยดี”
กำลังคุยเล่นกันอยู่ ผู้ชายคนหนึ่งก็เลิกม่านเข้ามา เฉินชีรีบทำหน้าเคร่งขรึม
“วันนี้ไม่ตรวจ” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน
คนมารีบพยักหน้า
“ข้าอยากซื้อยาสักชุด” เขาก็เอ่ยอย่างเกรงใจเช่นกัน พลางยื่นเทียบยาใบหนึ่งมา “นี่เป็นเทียบยาที่ออกกับท่านหมอซุนโรงหมอเป่าเหอ”
ท่านหมอของโรงหมอออกเทียบยาให้คนป่วยไปซื้อยาที่โรงหมออื่น ที่เมืองหลวงก็คงแค่โรงหมอจิ่วหลิงที่เดียวแล้ว
เฉินชีสีหน้าเรียบเฉยรับไป ไม่รอเขาไปเอายา คนที่มาก็ประคองส่งตั๋วเงินให้อย่างเคารพแล้ว
ฟางจิ่นซิ่วรับไป เฉินชีก็ส่งขวดใบน้อยใบหนึ่งให้คนที่มา คนที่มาดีอกดีใจจากไป
“ยานี่ไม่มากแล้ว” เฉินชีเอ่ย อาศัยผ้าม่านที่คนที่มาคนนั้นเลิกขึ้นมองออกไปข้างนอก “ไม่อยู่บ้านทำยา นางพาหลิ่วเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีก? นี่ฟ้าก็ใกล้จะหิมะตกแล้ว”
“ไม่ใช่เที่ยวเล่น ทุกเดือนนางต้องออกไปเป็นหมอเร่ครั้งหนึ่ง” ฟางจิ่นซิ่วไม่แม้แต่จะเงยศีรษะเอ่ยขึ้น
“ไปแล้วก็ไม่รับตรวจ ที่จริงก็คือเดินถนนเที่ยวเล่น” เฉินชีพึมพำหนึ่งประโยค สำรวจดูตู้ยาต่อ คำนวนว่าควรทำยาชนิดใด ต้องซื้อสมุนไพรเท่าไร
…
“คุณหนู หิมะใกล้ตกแล้วเจ้าค่ะ” หลิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองท้องฟ้าเอ่ย
คุณหนูจวินชะงักฝีเท้ามองดูด้านหน้า
“พวกเราตัดผ่านที่นี่ไป”นางเอ่ย ยื่นมือชี้ด้านหน้า
หลิ่วเอ๋อร์มองไปเห็นตรอกเส้นหนึ่ง นางเดิมทีก็ไม่จำทาง คุณหนูเดินถึงไหนนางเดินถึงนั่นก็ใช้ได้แล้ว จึงพยักหน้าขานรับทันที ยกธงเดินไปก่อน
ตรอกเส้นนี้เป็นทางแคบต่อให้ได้ยินเสียงกระดิ่งก็ไม่มีคนออกมาล้อมดู นายบ่าวสองคนตัดผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ยืนอยู่ปากตรอกหลิ่วเอ๋อร์ก็ร้องเอ๋
“คุณหนูนี่ไม่ใช่…” นางเอ่ย “สถานที่นั่น ที่องค์หญิงแต่งงานหรือเจ้าคะ?”
ใช่แล้ว ที่นี่แหละ นางมาเมืองหลวงเกือบครึ่งปีแล้ว ครั้งก่อนอาศัยพระราชพิธีสมรสขององค์หญิงปกปิดมาถึงที่แห่งนี้ ส่วนตอนนี้อาศัยบทหมอเร่ที่ชาวบ้านรู้กันดีแล้ว
คุณหนูจวินในใจสูดหายใจลึกทีหนึ่ง จะยกเท้าก้าวกลับอดไม่ได้ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ครั้งนี้คงไม่มีเรื่องกระมัง?
อย่างเช่นพี่สาวปิงเอ๋อร์อย่างนั้น ตนเองทดลองไปพบครั้งแรกไปไม่ถึง ครั้งที่สองไปก็ไม่พบพี่สาวปิงเอ๋อร์แล้ว
ความคิดแล่นผ่านไป นางยิ้มหยันอีกครั้ง เรื่องพี่สาวของปิงเอ๋อร์ย้ายไปอย่างประหลาดยืนยันแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับตน ยิ่งไม่มีทางเป็นตัวตนของตนชักนำให้เกิดความสงสัย น่าจะเป็นพี่สาวของปิงเอ๋อร์เองเดิมถูกสงสัยอยู่แล้ว
ที่เมืองหลวงนางควรรอบคอบ แต่ก็ไม่อาจระวังมากเกินไป เห็นเงาศรในถ้วยเป็นงู ระแวดระวังตรงกันข้ามจะเผยพิรุธเสียเอง
“ใช่แล้ว ไปเถอะ” คุณหนูจวินยิ้มให้หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “จากที่นี่ผ่านไปทางถนนด้านซ้ายมีร้านร้านหนึ่ง หม้อไฟขาแกะอร่อยมาก”
อากาศที่กำลังจะหิมะตกนี่กินสิ่งนี้เหมาะที่สุด หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้าดีใจ
นายบ่าวสองคนก้าวไปข้างหน้า
ถนนด้านนี้เดิมไม่มีคนผ่าน เวลานี้อากาศหนาวกำลังจะหิมะตกยิ่งแลดูเงียบเชียบวังเวง เสียงกระดิ่งที่สะท้อนก้องตามจังหวะก้าวเดินใสกระจ่างเป็นพิเศษ
เสียงนี้แม้ดังไปไม่ถึงเรือนด้านในลึกๆ แต่คนเฝ้าประตูด้านหลังประตูใหญ่ยังได้ยินชัดเจน
“นี่คือเสียงอะไร?” คนเฝ้าประตูคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ลุกขึ้นมองออกไปด้านนอกจากรอยแยกประตู สีหน้ายิ่งประหลาดใจ “นั่นมันหมอเร่ใช่ไหม? เป็นหมอเร่คนนั้นใช่ไหม?”
คำพูดนี้ทำให้คนอื่นล้อมเข้ามาด้วยทันที
หมอเร่คนนั้น สำหรับคนในจวนสกุลลู่ มีเพียงคนเดียว
“นี่ก็คือหมอเร่คนนั้นที่ทำให้ใต้เท้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟรึ?”
“ยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งอยู่เลย”
ทุกคนมองดูพลางซุบซิบเสียงเบาพลาง
“เพรานางรักษาผู้หญิงด้านนั้นย่ำแย่ ดังนั้นใต้เท้าถึงบันดาลโทสะเช่นนี้…” ยิ่งมีคนโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง
แต่คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกคนอื่นขัดหลายเสียง
“อย่าพูดเหลวไหล”
“เจ้าคันผิวเรอะ อะไรด้านนี้ด้านนั้น”
เสียงด่าทอของทุกคนดังต่อกัน แม้เรื่องลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิงมากมายข้างนอกคนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้ แต่ในจวนสกุลลู่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเอ่ยถึงได้
ครั้งก่อนมีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งไปพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าองค์หญิงจิ่วหลีจะเอาผลงาน วันที่สองสาวใช้คนนี้ก็หายไปแล้ว
ผู้คนด้านหลังประตูใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง
“แต่แม่นางน้อยคนนี้ถึงกับเป็นหมอเร่มาถึงด้านหน้าประตูพวกเราเชียว” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีก ทำลายความเงียบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเช่นกัน “นี่นางตั้งใจท้าทายหรือ?”
ไม่ใช่ได้รึ ถนนเส้นนี้แม้ยาวแต่กลับมีเพียงคฤหาสน์ของสองตระกูล หลังหนึ่งจวนสกุลลู่หลังหนึ่งวังไหวอ๋อง แล้วประตูใหญ่ของสองบ้านนี้ก็แทบไม่เปิดออก ยิ่งไม่มีทางเรียกหาหมอเร่อะไร นี่คนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้
คุณหนูจวินคนนี้ก็ไม่มีทางไม่รู้ แต่ตอนนี้กลับวิ่งมาที่นี่สั่นกระดิ่ง ไม่ใช่แสดงชัดว่าท้าทาย
เจ้าลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่จะพังป้ายโรงหมอของข้าหรือ เจ้าพังสิ
“มีราชโองการอยู่ในมือยังมีวิธีอะไรอีก”
“ที่จริงมีราชโองการก็ไม่มีอะไร เรื่องตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ต่อมามีราชโองการก็ไร้ประโยชน์ หากไม่ใช่ท่านชายจูสอดมือ ตอนนี้นางก็ไม่มีโอกาสมาหน้าประตูพวกเราท้าท้ายแล้ว”
“น่าสนุก คุณหนูจวินคนนี้โอหังเอาการ”
คนอื่นพบเรื่องนี้ต่อให้ไม่กลัวก็คงต้องเก็บตัวสักหน่อย นางดีนัก กลับมาหน้าประตูหาเรื่อง
“ก็คล้ายกับท่านชายจูผู้นั้นอยู่”
“ไม่แน่นางกับท่านชายจูอาจมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนไม่กระจ่างอยู่บ้างจริงๆ”
พวกคนด้านหลังประตูพากันวิพากษ์วิจารณ์หัวข้อสนทนายิ่งเบี่ยงออกไปทุกที เสียงกระดิ่งด้านนอกประตูก็ค่อยๆไกลออกไปด้วย
ใกล้สถานที่ซึ่งคุณหนูจวินคะนึงหาที่สุดเข้าไปทุกที
แม้เมฆอึมครึมแผ่ปกคลุม ป้ายของวังไหวอ้องในสายตานางก็ชัดเจนยิ่ง สายตาของคุณหนูจวินจับอยู่บนประตูอีกครั้ง
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องตกแต่งหรูหราเหมือนมีคนเช็ดถุกทุกวันสะอาดเหมือนใหม่
นั่นแล้วอย่างไร ประตูใหญ่ใหม่เช่นนี้กลับเป็นประตูสุสานแห่งหนึ่ง ต้องการขังคนข้างในนั้นให้ตาย
นางอยากพุ่งเข้าไปผลักประตูบานนี้เปิดจริงๆ
คุณหนูจวินกำมือแน่น เสียงกระดิ่งหยุดชะงัก
และประตูใหญ่เวลานี้เองก็เปิดออกแล้ว
ประตูเปิดแล้ว
คุณหนูจวินร่างกายแข็งทื่อ
ทำไม…ประตูเปิด?
ตอนนี้เองเกล็ดหิมะพรมลงมาเปาะแปะ พรมลงบนร่างของชายผู้เดินออกมาจากประตู
อายุของเขาราวสามสิบปี สวมชุดผ้าฝ้ายสีครามเข้มเรียบง่าย ปิ่นไม้ไผ่เกล้าผม หน้าตาสง่าสองตาหนักแน่น เขาปิดประตูมองไปบนท้องฟ้า
“หิมะตกแล้วสิ” เขาเอ่ยกับตนเอง หลังจากนั้นรั้งสายตากลับมองไปบนถนน
กั้นห่างด้วยเกล็ดหิมะที่ยิ่งตกยิ่งเร็ว มีผู้หญิงสองคนกำลังมองเขาอยู่
……………………………………….
บทที่ 188 สหายเก่ายืนกลางลมหิมะ
โดย
Ink Stone_Romance
เขาไม่รู้จักนาง
นางรู้จักเขา
เขาคือบัณฑิตกู้
ตอนพระบิดากับพระมารดาสิ้น จิ่วหรงยังไม่เต็มสี่ขวบ ยังไม่ถึงวัยเริ่มเรียน ดังนั้นไม่ได้จัดการการเรียนไว้
หลังพวกนางมาถึงวังไหวอ๋อง พี่สาวก็รับผิดชอบเริ่มสอนหนังสือจิ่วหรง
ฮ่องเต้ก็ใส่พระทัยการเรียนของไหวอ๋องเช่นกัน กำชับให้เลือกครูแก่ไหวอ๋อง แต่เลือกไปเลือกมาก็ไม่ได้ตัวเลือกที่เหมาะสม
ทำไมไม่มีคนที่เหมาะสม พวกนางพี่น้องก็เข้าใจเช่นกัน วังไหวอ๋องสถานที่เช่นนี้ใครยินดีมาคลุกคลีด้วย
ต่อมานางกันลู่อวิ๋นฉีแต่งงาน ลู่อวิ๋นฉีหาอาจารย์คนหนึ่งให้จิ่วหรง
อาจารย์คนนี้ชื่อกู้ชิง คนหูโจว เป็นบัณฑิตชั้นก้งเซิงที่สอบไม่ได้จิ้นซื่อ ลู่อวิ๋นฉีว่าความรู้ไม่เลว
นางกับพี่สาวก็ดูแล้ว รู้สึกพอใจมาก ที่จริงต่อให้ไม่พอใจก็ไร้หนทาง
สำหรับพวกนางแล้ว ไม่มีสิทธิเลือกอย่างใด มีแต่ต้องยอมรับ
บัณฑิตกู้จึงมายังวังไหวอ๋องเริ่มสอนจิ่วหรง แม้เวลานั้นนางออกจากวังไหวอ๋องไปแล้ว แต่ปีใหม่ตอนพบจิ่วหรง จิ่วหรงก็มีความสุขมาก ระหว่างที่คุยกันมักจะเอ่ยถึงบัณฑิตกู้เป็นอย่างไรๆ ดูไปแล้วชอบบัณฑิตกู้ยิ่งนัก
จิ่วหลีก็บอกว่าดีมากไม่เลวเลย
อย่างไรออกมาจากปากจิ่วหลีก็ไม่มีสิ่งใดไม่ดี นางยังคงไม่วางใจ มาดูบัณฑิตกู้กับตาตนเองอีกครั้ง บัณฑิตกู้พูดจาอ่อนโยนมีอารมณ์ขัน เข้าหาถอยห่างท่าทางมีมารยาท
ที่จริงถามก็ถามอะไรออกมาไม่ได้ ต่อให้เขาเป็นคนที่ฮ่องเต้จัดให้มาสอนจิ่วหรงนิสัยเสีย พวกนางห้ามได้งั้นหรือ?
ขวางคนนี้ได้ ยังมีคนที่สอง
จิ่วหลิงหดหู่อยู่บ้าง
ดูท่าเขาคงเห็นความหดหู่ของนาง บัณฑิตกู้ที่เดิมทีจะขอตัวไปจึงหยุดอีกครั้ง
“อาจารย์ขององค์หญิงคือท่านหมอจางใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม
เรื่ององค์หญิงจิ่วหลิงติดตามเรียนวิชาแพทย์กับจางชิงซาน เก็บเป็นความลับกับภายนอก ยังไงองค์หญิงองค์หนึ่งจะติดตามคนวิ่งออกไปเรียนวิชาแพทย์ได้อย่างไร คำอธิบายที่พระบิดากับพระมารดาให้กับพระอัยยิกาและทุกคนก็คือ เพื่อขอพรให้แก่องค์รัชทายาท จึงฝากเลี้ยงองค์หญิงจิ่วหลิงไว้ที่วัดของราชวงศ์
สถานที่ไปขององค์หญิงคนหนึ่งคนไม่ใส่ใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำนี้ยังถูกทุกคนมองว่าองค์หญิงจิ่วหลิงไม่ได้รับความโปรดปราน
องค์หญิงจิ่วหลิงเดิมทีก็ไม่ได้รับความโปรดปราน เทียบกับองค์หญิงจิ่วหลี ชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ผู้คนห่างไกลเทียบไม่ได้กับองค์หญิงจิ่วหลี
แต่บัณฑิตกู้เอ่ยสิ่งนี้ออกมา นางก็ไม่ได้ตะลึงอะไรเหมือนกัน
หากเป็นคนที่ลู่อวิ๋นฉีหามา รู้เรื่องเหล่านี้ก็ปกตินัก
แม้เรื่องที่ตนเองร่ำเรียนวิชาแพทย์คนอื่นไม่รู้ ลู่อวิ๋นฉีน่าจะค้นหาพบ
“ท่านหมอจางเป็นยอดอัจฉริยะ” บัณฑิตกู้เอ่ย “ได้เดินทางกับท่านหมอจางช่วงเวลาหนึ่ง เป็นเรื่องโชคดีของชีวิตจริงๆ”
ตอนนั้นนางไม่รู้ว่านี่มีอะไรโชคดี ตนเองพูดให้ชัดแล้วน่าจะเป็นโชคไม่ดีมาก
“เห็นขุนเขาเห็นสายน้ำเห็นโลกสรรพสิ่ง รู้จักมิตรภาพรู้จักเรื่องสนุกลองลิ้มร้อยรสในโลกมนุษย์ นี่ไม่ใช่ผู้ใดล้วนมีได้” บัณฑิตกู้ยิ้มเอ่ย “คนเกิดเป็นคน ต้องมีชีวิตอยู่เช่นคนผู้หนึ่ง นี่คือโชคดียิ่งของชีวิตมนุษย์”
นี่ก็คือเรื่องโชคดีของชีวิตมนุษย์หรือ?ถ้าอย่างนั้นเรื่องโชคดีนี่ก็เรียบง่ายเกินไปแล้วกระมัง
“เรียบง่าย? แต่มีคนมากมายทำไม่ได้ เรื่องยิ่งเรียบง่ายยิ่งยาก” บัณฑิตกู้หัวเราะเอ่ย “ดังนั้นข้าหวังว่าองค์ชายจะกลายเป็นคนโชคดียิ่งคนหนึ่ง ใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นคนที่แท้จริงคนหนึ่ง”
พูดตรงๆ ก็คือให้จิ่วหรงอย่าคิดเรื่องตำแหน่งฮ่องเต้อีก เป็นองค์ชายทำตัวดีๆ คนหนึ่งก็พอแล้ว
เรื่องนี้พวกนางพี่น้องก็คิดเช่นนี้นานแล้ว แต่คิดไม่ถึงยังมีคนพูดให้เรื่องเช่นนี้มีความสุขและโชคดีเช่นนี้ได้
ไม่ว่าพูดอย่างไร ท่าทีเช่นนี้ของบัณฑิตกู้ก็นับว่าตรงไปตรงมาทั้งยังจริงใจ อย่างน้อยจิ่วหรงก็มีความสุขมาก
พี่สาวพูดถูก จิ่วหรงมีความสุขก็พอ
บัณฑิตกู้จึงอยู่ที่วังไหวอ๋อง เช่นเดียวกับไหวอ๋องและท่านพี่ไม่ออกจากบ้านอีก อย่างน้อยตอนนางมีชีวิตอยู่สองปีนั้นบัณฑิตกู้สักครั้งก็ไม่เคยออกมา กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับวังไหวอ๋องเช่นเดียวกับพี่สาวและน้องชาย
วันนี้ทำไมเขาออกมาข้างนอกแล้วเล่า?
เขาก็เสแสร้งมาตลอดเหมือนกันหรือ?
ตอนนี้ตนเองตายแล้ว พี่สาวแต่งงานแล้ว เขาก็ไม่ต้องแสร้งทำต่ออีกแล้ว?
กั้นด้วยเกล็ดหิมะ อาศัยใบหน้าใหม่ดวงนี้และหีบยา คุณหนูจวินไม่หลบเลี่ยงสักนิดมองเขา
บัณฑิตกู้กลับไม่มองนางอีก เพราะใบหน้าแปลกหน้าดวงนี้กับหีบยา
เขาไม่รู้จักพวกนาง เขามองว่าพวกนางเป็นหมอเร่
สายตาของเขากวาดผ่านทีหนึ่ง รั้งกลับไป ลงบันไดก้าวไวๆ ไปทางตะวันออก
สายตาของคุณหนูจวินไล่ตามเขาไป ทิศทางที่เขาไปคือจวนสกุลลู่?
“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์กางธงยกขึ้นเหนือศีรษะคุณหนูจวิน “คนผู้นั้นมีลางร้ายหรือเจ้าคะ?”
คุณหนูจวินมองประตูใหญ่วังไหวอ๋องที่ถูกปิดลง จิ่วหรง…อยากพุ่งเข้าไปนัก ใกล้เพียงนี้
นางสูดหายใจลึกหลายทีมองไปทางบัณฑิตกู้อีกครั้ง
บัณฑิตกู้ยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลลู่จริงๆ
“พวกเรากลับเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย
ไม่รอหลิ่วเอ๋อร์ตอบสนองทัน คนก็ย้อนกลับไปทางเดิม เดินไปทางจวนสกุลลู่แล้ว
กลับ? หลิ่วเอ๋อร์อึ้ง นางไม่ทันคิดมากรีบยกธงไล่ตามไป
ส่วนคนเฝ้าประตูจวนสกุลลู่ด้านนี้ก็ถูกทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง
น้อยนักจะเห็นคนที่ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพรมาร้องตะโกนที่จวนสกุลลู่
“เจ้าเป็นใคร?” คนเฝ้าประตูเอ่ยถามจากด้านใน
“ข้าเป็นคนของวังไหวอ๋อง” บัณฑิตกู้เอ่ยขึ้นด้านนอก
วังไหวอ๋อง?
หลังประตูเงียบไปครู่หนึ่ง
ฟ้าดินพริบตาได้ยินเพียงเสียงเกล็ดหิมะแสกสาก
“ข้าเพียงอยากพบใต้เท้าลู่” บัณฑิตกู้เอ่ย
ด้านในยังคงเงียบไปพักหนึ่ง
มองเห็นแผ่นหลังผู้ชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะถูกขวางไว้นอกประตูคนนี้ คุณหนูจวินหยุดฝีเท้า
เขาก็เหมือนกับพวกนาง ไม่อาจพบคนได้ตามใจรึ? ส่วนคนอื่นก็ไม่พบเขาง่ายๆ รึ? ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่พบหรือ?
ด้านในไม่มีเสียงตอบอีก บัณฑิตกู้ก็ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก แค่ยืนอยู่ข้างประตู
เกล็ดหิมะค่อยๆ กลายเป็นปุยหิมะ ลมเหนือพัดหอบมา เป่าปุยหิมะขยับเริงระบำระหว่างฟ้ากับดิน
หิมะบนร่างพริบตาปกคลุมชั้นหนึ่ง
แม้พวกนางสวมเสื้อผ้าหนา ฝ่าเท้าก็เริ่มหนาวอยู่บ้างแล้ว
คุณหนูจวินค่อยๆ เดินผ่านไป ปลายหางตามองเห็นบัณฑิตกู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูกระทืบเท้านิดๆ
เสื้อผ้าที่เขาสวมบางอยู่บ้าง ดูท่าคงรีบร้อนออกมา แม้กระทั่งผ้าคลุมก็ไม่สวม ใต้เท้าก็ยังเป็นรองเท้าที่สวมในจวนเรือนนี่?
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
คุณหนูจวินเดินมาถึงด้านในตรอกเล็กอย่างช้าๆ หยุดยืน แม้ที่นี่หลบเลี่ยงสายตาของบัณฑิตกู้ได้ แต่นางรู้ว่าที่นี่หลบสายตาขององครักษ์เสื้อแพรไม่ได้
แต่นางก็ไม่อยากไป อาศัยใบหน้านี้ หีบยานี้รวมถึงความขัดแย้งตอนนี้เสี่ยงสักครั้งเถอะ
คนผู้นี้ต้องมีลางร้ายหนักแน่ หลิ่วเอ๋อร์คิด ออกแรงกางธงผืนน้อยออกขวางเหนือศีรษะคุณหนูจวิน แม้นี่ขวางอะไรไม่ได้สักนิดก็ตาม
แต่รอไม่นานนัก เสียงกีบเท้าม้าเร่งร้อนก็ดังมาจากบนถนน ท่ามกลางสายลมและหิมะลู่อวิ๋นฉีขี่ม้าเร็วรี่มา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่เดิมทีล้อมอยู่หน้าหลังซ้ายขวาตลอดถูกสลัดทิ้งไว้ข้างหลัง
ไม่รอม้าหยุดนิ่งเขาก็กระโดดลงมา บนร่างบนศีรษะก็เป็นหิมะชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่เช่นกัน เช่นเดียวกันกับบัณฑิตกู้ เขาก็ไม่ได้สวมผ้าคลุมหรือหมวก ดั่งรีบร้อนพุ่งออกมาจากในจวน
จวน
จวนของเขาเดิมทีก็คือที่นี่ แต่กลับมาจากด้านนอก นั่นย่อมเป็นจวนอีกแห่งหนึ่ง
คุณหนูจวินนิ่งไม่ขยับ แม้รู้ดีว่าการมาถึงของลู่อวิ๋นฉี สายตาที่วางอยู่ในที่แห่งนี้จะยิ่งทั่วทุกหนแห่ง
ตอนที่บัณฑิตกู้ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าก็ก้าวไวๆ เข้ามารับจากประตู
คุณหนูจวินมองพวกเขายืนอยู่ด้วยกัน บัณฑิตกู้พูดอะไร ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยถามต่อพลิกตัวขึ้นม้าไปข้างหน้า บัณฑิตกู้ก้าวไวติดตามทันที
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็ตามพวกเขาไป
คนม้าขบวนหนึ่งแทบจะไม่หยุดเคลื่อนไปข้างหน้า
ทิศทางคือวังไหวอ๋อง
คุณหนูจวินมองคนกับม้ากลางสายลมหิมะ
แม้ไม่ได้ยินว่าบัณฑิตกู้พูดอะไร แต่นางมองรูปปากสองคำของบัณฑิตกู้ออก
ไหวอ๋อง
จิ่วหรง
ไม่โชคร้ายขนาดนี้กระมัง หรือจิ่วหรงเกิดเรื่องเหมือนกันแล้ว?
นางหมุนตัวโดยพลันจากไปตามตรอก หลิ่วเอ๋อร์ตอบสนองไม่ทันอีกครั้ง สลัดแขนที่ปวดล้ารีบตามไป
ท่ามกลางสายลมหิมะ สายตาเย็นเยียบที่จ้องคุณหนูจวินอยู่รั้งกลับไป
“ทำไมไปหักขานางไม่ได้เล่า?”
“ใช่แล้ว หักขานางจะเป็นไร? ราชโองการนางก็คงไม่พกติดตัวเสมอหรอกกระมัง”
“ถ้าหากพกติดตัวเล่า”
“ถึงกับมาท้าทายหน้าประตูใต้เท้าเช่นนี้ ทนไม่ได้จริงๆ”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่สนนาง ใต้เท้ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าทำ”
เสียงเบาๆ กระจายไป เงาร่างคนหลายคนก็เร้นหายไปท่ามกลางสายลมและหิมะอีกครั้งด้วย
……………………………………….
บทที่ 189 ไหวอ๋องประชวร
โดย
Ink Stone_Romance
หิมะตกลงมาเพียงวันเดียว แต่อากาศหนาวหลังหิมะกลับทำให้ผู้คนในเมืองหลวงหลบอยู่ในบ้านเสียหลายวัน
หน้าหนาวของปีนี้เย็นเป็นพิเศษ
เรือนหลังของจวนติ้งหยวนโหวไออุ่นกลิ่นหอมโถมโจมตีผู้คน ด้านในห้องเต็มไปด้วยบรรดาสตรีผู้สวมเครื่องประดับหรูหรา
ภรรยาติ้งหยวนโหวสวมเสื้อนวมผ้าไหมสีแดงลายกิ่งบุปผา กำลังอยู่หน้ากระจกผัดแป้งบางๆ หลังร่างสาวใช้หลายคนต่างถือถาดเครื่องประดับมุกรอคอยหญิงรับใช้เฒ่าที่หวีผมเลือก
“คุณหนูจวินมาแล้ว”
เสียงบรรดาสาวใช้ดังมาจากนอกประตู ตามติดมาด้วยม่านประตูถูกเลิกเปิดขึ้น
ไม่รอท่านหญิงติ้งหยวนโหวอนุญาตก็เข้ามา นี่เป็นคำสั่งที่ท่านหญิงติ้งหยวนโหวกำชับไว้ก่อนแล้ว แสดงถึงการให้ความสำคัญกับคุณหนูจวิน
การปฏิบัตินี้ตามทันอาจารย์ผู่หนิงแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่อาจารย์ผู่หนิงทุ่มเทความจริงใจผูกมิตรสามสี่ปีถึงได้มา คุณหนูจวินกลับใช้เพียงสามวัน
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวมองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามาจากในกระจกยิ้มเล็กน้อย
“ด้านนอกหนาวหรือไม่?” นางเอ่ยถาม
คุณหนูจวินคำนับ
“หนาวเล็กน้อย” นางเอ่ย
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวยิ้ม รอแม่เฒ่าหวีผมปักปิ่นดอกเบญจมาศทองเล่มหนึ่งบนมวยผมจึงหมุนตัวกลับมา
“ข้าได้ยินว่าคนทางเหนือล้วนขี้หนาว” นางยิ้มเอ่ย
ก็คงใช่นะ แต่นางอยู่ทางใต้มาตลอด ดังนั้นยังดี
คุณหนูจวินยิ้มไม่ได้เอ่ยวาจาเพิ่มอีก วางหีบยาลง
“ท่านหญิงสีหน้าดีมาก” นางเอ่ย พลางหยิบหมอนรองจับชีพจรออกมา
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวยกมือวางบนแก้ม รอยยิ้มเต็มดวงตา
“ล้วนพูดเช่นนี้ กินยาลูกกลอนของคุณหนูจวินท่านแล้ว สีหน้าของข้ายิ่งดีขึ้นทุกทีจริงๆ” นางเอ่ย พลางยื่นมือวางไว้บนหมองรองอย่างเป็นธรรมชาติ “ทุกคนล้วนปรารถนายาลูกกลอนของท่านนะ”
“ยาย่อมไม่อาจกินส่งเดช” คุณหนูจวินเอ่ย ยกมือจับชีพจร “นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ยาลูกกลอนของข้าเป็นเหตุ เป็นโรคของท่านหญิงหายดีแล้ว ร่างกายจิตใจมีความสุขกินอิ่มนอนหลับพร้อม ย่อมสีหน้าดี”
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวยิ่งยิ้มกว้าง ไม่เอ่ยวาจาอีกมองคุณหนูจวินจับชีพจร
ในห้องเงียบสงบครู่หนึ่ง คุณหนูจวินรั้งมือกลับ
“ร่างกายของท่านหญิงไม่มีปัญหาแล้ว” นางเอ่ย เก็บหมอนรองลุกขึ้น “ยาหลังจากนี้ไม่ต้องกินแล้ว ธูปสงบจิตก็ไม่ต้องใช้แล้วด้วย”
พูดจบก็คำนับขอตัว
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวอยากหัวเราะอยู่บ้าง คนอื่นเข้าจวนโหวอยากพูดมากเกาะมาก คุณหนูจวินนี่ดี ตรวจเสร็จก็ไป นอกจากพูดเรื่องอาการป่วยนอกนั้นไม่พูดมาก
“คุณหนูจวินท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ท่านหญิงผู้เฒ่าบอกว่าพักนี้ไม่ค่อยสบายนัก ท่านมาพอดีตรวจนางหน่อยเถอะ” นางเอ่ย
ตรวจรักษาท่านหญิงผู้เฒ่าจวนติ้งหยวนโหวคนเท่าไรอยากได้ทำไม่ได้ คุณหนูจวินกลับยืนนิ่งไม่ขยับ
“ท่านหมอคนอื่นตรวจแล้วหรือไม่?” นางเอ่ยถาม
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวยิ้มแล้ว
“คุณหนูจวิน ท่านวางใจเถิด ท่านหญิงผู้เฒ่าเพียงขอประโยคหนึ่งจากท่านให้สบายใจ ไม่ตอแยท่านทลายกฏของท่านหรอก” นางยิ้ม ยื่นมือจูงนางด้วยตัวเอง “มา มากับข้ามา”
คุณหนูจวินได้แต่ตามท่านหญิงติ้งหยวนโหวมาถึงท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวที่นี่
ฤดูหนาวว่างเว้นไร้กิจธุระ ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ชอบความครึกครื้น ในห้องผู้หญิงมากมายรวมตัวอยู่ด้วยกันเล่นไพ่คุยเล่น
ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวไม่ได้เล่นไพ่ แต่มองดูสาวใช้อายุน้อยหลายคนร้อยไข่มุก เห็นคุณหนูจวินมาก็ดีใจนัก ชี้แนะนำกับผู้หญิงหลายคน
“นี่คือหมอเทวดา ไม่ใช่ใครก็โชคดีได้นางรักษา” นางเอ่ยท่าทางโอ้อวดอยู่บ้าง
เหล่าสตรีเห็นชัดว่าต่างรู้จักชื่อเสียงของคุณหนูจวิน ยิ้มมองนาง
คุณหนูจวินจับชีพจรให้ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวก็ลุกขึ้น
“ท่านหญิงผู้เฒ่าร่างกายไม่สบายเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตามแพทย์หลวงสักคนออกยาให้ไม่กี่เทียบก็ดีแล้ว” นางเอ่ย
ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวถลึงตามองคุณหนูจวินทีหนึ่ง
“เด็กคนนี้นี่ไม่ไว้หน้ากันสักนิด ข้าเพิ่งพูดจาโอ้อวดไป เจ้าก็ฉีกหน้าข้าเสียแล้ว” นางเอ่ยอย่างไม่พอใจ
แม้สีหน้าน้ำเสียงไม่พอใจ แต่ในดวงตากลับเป็นรอยยิ้ม
คนในห้องก็ล้วนหัวเราะขึ้นมา
คุณหนูจวินก็หัวเราะขึ้นมาบ้างไม่เอ่ยต่อ ก้มศีรษะเก็บหีบยา
บนโต๊ะด้านนั้นยังเล่นกันต่อ เสียงคุยเล่นขนาบด้วยเสียงวางไพ่
“…พูดถึงหมอเทวดา ข้าว่าสำนักแพทย์หลวงคราวนี้พบเรื่องลำบากแล้ว…”
“….เรื่องไหวอ๋องประชวรหรือ?”
มือที่จับหีบยาของคุณหนูจวินชะงักเล็กน้อย สาวใช้ด้านข้างที่กระตือรือร้นจะช่วยมองนางไม่เข้าใจ
“คุณหนูจวิน…” นางเอ่ยถาม
มือของคุณหนูจวินที่ดึงออกมายื่นเข้าไปในหีบยาอีกครั้ง หยิบขวดใบน้อยใบหนึ่งออกมา
“ท่านหญิงผู้เฒ่ามีโรคประจำคือปวดศีรษะสินะ” นางว่า
สาวใช้พยักหน้า ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวก็ได้ยินเหมือนกันดีใจมาก ยื่นมือจะรับขวดไป
“โรคประจำของข้ารักษาได้อีกหรือ?” นางเอ่ย
คุณหนูจวินตอบนางทีละคำถาม แล้วกำชับสาวใช้หญิงรับใช้ด้านข้างว่าใช้ยาอย่างไร หูกลับตั้งใจฟังการคุยเล่นของโต๊ะไพ่ด้านข้างอยู่ตลอด
“…บอกว่าเป็นหวัด ไม่หนักหนานัก…”
“…หวัด เขาเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ทั้งไม่มีพ่อแม่ดูแล…”
“…เจ้าพูดอะไร รีบวางไพ่ของเจ้าเสีย…”
บทสนทนามาถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนเรื่องหนีทันที หญิงสาวหลายคนเริ่มพูดถึงผู้หญิงบ้านไหนสวมอาภรณ์อย่างไร ทำร้องเท้าอย่างไร งานเลี้ยงวางดอกไม้สดอะไร พวกเรื่องซุบซิบในเรือนหลัง
คุณหนูจวินพูดจบ สะพายหีบยาคำนับขอตัวไปแล้ว
ทุกคนก็รู้นิสัยของนาง ไม่รั้งไว้อีกมีหญิงรับใช้ออกไปส่ง
รอคนที่เล่นไพ่แยกย้ายไปแล้ว ท่านหญิงติ้งหยวนโหวก็ปรนนิบัติท่านหญิงผู้เฒ่าพักกลางวันด้วยตนเอง
“ท่านแม่ วิชาแพททย์ของคุณหนูจวินข้าไม่กล้าพูดว่าดีที่สุด แต่ข้าว่ารับมือผู้หญิงกับเด็ก นางมีความสามารถมากอยู่บ้าง โรคของไหวอ๋อง…” นางคิดถึงอะไรพลันเอ่ยขึ้น
คำพูดยังไม่ทันจบก็ถูกท่านหญิงผู้เฒ่าจวนติ้งหยวนโหวถลึงตาใส่
“คำพูดนี้พวกเราพูดได้หรือ?” นางเอ่ย
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวเห็นชัดว่ารู้เช่นกัน หลุบสายตาลง
“ข้าเพียงรู้สึกว่าเด็กเล็กเช่นนี้ ช่างน่าสงสาร” นางเอ่ยเสียงเบา
“บนโลกนี้คนน่าสงสารมากมายนัก แล้วทำอะไรได้?” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวโหวเอ่ย “พวกหมอหลวงล้วนไม่ยอมเหยียบน้ำขุ่นนี้ ลำบากลากผู้อื่นมาไปใย”
ท่านหญิงติ้งหยวนโหวได้ยินประโยคนี้หัวใจเต้นสองที
พูดเช่นนี้…
ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวกลับหลับตาไม่เอ่ยอีก ท่านหญิงติ้งหยวนโหวก็ไม่กล้าถามต่อ คลุมผ้าห่มเรียบร้อย กำชับเหล่าสาวใช้เฝ้าให้ดี ตนเองถอยออกไป
ในม่านมุ้งท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวลืมตาอีกครั้ง แววตาหม่นหมอง
“น่าสงสาร น่าสงสาร มีชีวิตอยู่ก็น่าสงสาร ไม่สู้หลุดพ้นเร็วหน่อย ชีวิตหน้าอย่าได้เกิดมาในตระกูลฮ่องเต้นี้อีกเลย”
นางพึมพำไม่กี่ประโยคก็หลับตาลงอีกครั้ง
…
นางก็รู้ ต้องเกิดเรื่องแน่
คุณหนูจวินก้าวไวๆ เดินไปบนถนน ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นสักนิด
นางปฏิเสธไม่ให้รถม้าจวนติ้งหยวนโหวมาส่ง นางเดินมั่นคงออกจากจวนติ้งหยวนโหวไม่ได้ง่าย ตอนนี้นางจำต้องเดินสักหน่อย ให้ลมหนาวพัด ไม่อย่างนั้นนางนั่งในรถม้าต้องสติแตกแน่
ตั้งแต่ออกจากตรอกจวนสกุลลู่วันนั้น นางก็คิดวิธีสืบข่าวอยู่ตลอด แต่วังไหวอ๋องเป็นสิ่งต้องห้ามที่ถูกลืมเลือนแห่งหนึ่งของเมืองหลวง เรื่องของวังไหวอ๋องยิ่งแพร่ออกมาไม่ได้สักนิด ไม่มีที่ใดให้ลงมืออย่างสิ้นเชิง
ยังดีมีเรือนหลังของตระกูลใหญ่สูงศักดิ์ที่คุ้นเคยแล้วเหล่านี้ นางอ้างว่ากลับมาเยี่ยมตรวจอาการซ้ำเดินทางไปหลายบ้าน เวลาไม่ทรยศคนตั้งใจ ในที่สุดก็ได้ยินข่าวกระท่อนกระแท่นที่จวนติ้งหยวนโหว
ต่อให้เป็นข่าวกระท่อนกระแท่น ก็เพียงพอยืนยันว่าจิ่วหรงเกิดเรื่องแล้ว
ป่วยแล้ว?
ผู้หญิงเหล่านั้นบอกว่าประชวร?
ป่วยจริงๆ หรือว่าเพียงแค่ข้ออ้าง?
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องที่ปิดสนิท ตัวตนของไหวอ๋องที่ตัดขาดข่าวคราวทั้งปวง ไม่ต้องพูดถึงฐานะของนางไม่มีหนทางสืบข่าวได้ ต่อให้ไปสืบข่าวก็ไม่มีใครจะบอกนาง
คุณหนูจวินมองถนนตรงหน้าที่วังไหวอ๋องตั้งอยู่หยุดฝีเท้า กดหีบยาที่สะพายอยู่ข้างตัว
หากตนเองตอนนี้ไปที่ประตูวังไหวอ๋องสั่นกระดิ่งบอกว่ามีลางร้าย โอกาสที่จะถูกเชิญเข้าไปมากเพียงไร?
……………………………………….
บทที่ 190 ห่างพันลี้ทุ่มสุดใจ
โดย
Ink Stone_Romance
ด้วยความขัดแย้งระหว่างโรงหมอจิ่วหลิงกับลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ โอกาสที่จะถูกฟันตายอยู่นอกวังไหวอ๋องมีมากนัก
คุณหนูจวินกำหีบยาแน่นยืนอยู่ครู่หนึ่งหมุนตัวจากไปแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์มองเห็นนางเข้ามาก็รีบยกชาสมุนไพรร้อนควันฉุยมา
เหมันต์นี้หนาวเป็นพิเศษ คนมากมายล้วนร่างเย็นเป็นหวัด คุณหนูจวินจึงผสมชาสมุนไพรให้ทุกคนชงดื่ม ตนเองยิ่งไม่ลืมดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกลับมาจากข้างนอก
นางไม่อาจให้ตนเองป่วยได้
ใครก็ป่วยได้ นางไม่ได้
“หนาวขนาดนี้ ยังออกไปทุกวัน ออกไปก็ช่างเถิด ทำไมไม่ให้รถม้าส่งกลับมา” ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วเอ่ย “หากเจ้าป่วย ไม่มีใครรักษาเจ้าหรอกนะ”
หลิ่วเอ๋อร์ได้ยินไม่พอใจทันที
“แช่งคุณหนูของข้าให้ล้มป่วยทำไม?” นางเอ่ย
“ล้มป่วยย่อมไม่ใช่เพราะคนอื่นแช่ง ล้วนเป็นเรื่องของตนเอง” ฟางจิ่นซิ่วก็พูดอย่างไม่เกรงใจ
ได้ยินสองคนปะทะคารม คุณหนูจวินยกชาสมุนไพรชามใหญ่ใบหนึ่งดื่มคำเดียวหมด หน้าผากเหงื่อผุดพรายออกมา แก้มกลายเป็นแดงระเรื่อ
“เอาล่ะ ข้ารู้ ข้ารู้จักพอดี” นางมองฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วเม้มปากไม่เอ่ยวาจาต่อ ยื่นมือรับชามชาสมุนไพรกำลังจะเข้าไป ก็มีคนพาร่างและลมหนาวฝ่าเข้ามา
“คุณหนูจวิน จดหมายของนายน้อย” คนที่มาไม่ถามไถ่ทักทายรีบเอ่ยขึ้น ส่งจดหมายในมือมา
เขาสวมเสื้อผ้าหนา เหนื่อยล้ามอมแมม บนหน้าบนมือมีรอยความเย็นทำร้าย สำเนียงชัด เห็นชัดมากว่าไม่ใช่พนักงานของเต๋อเซิ่งชางเมืองหลวง แต่เร่งมาจากหยางเฉิง
ก่อนหน้านี้จดหมายล้วนส่งไปมาผ่านร้านแลกเงิน ทำไมครั้งนี้กลับให้คนในบ้านส่งมาโดยตรง?
ดูท่ายังรีบร้อนมากด้วย
“เสี่ยวโม่” ฟางจิ่นซิ่วจำคนที่มาได้ นี่เดิมทีเป็นพนักงานของร้านแลกเงิน ถูกฟางเฉิงอวี่เลือกเป็นคนรับใช้ข้างกาย ได้รับความสำคัญมาก
เห็นเขามา สีหน้าฟางจิ่นซิ่วก็อดเคร่งเครียดไม่ได้
“เฉิงอวี่ยังสบายดีไหม?” นางหลุดปากเอ่ยถาม
“นายน้อยสบายดียิ่ง” เสี่ยวโม่ยิ้มซื่อบื้อให้นาง
คุณหนูจวินรับจดหมายไปเปิดออก เพียงอ่านแวบเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หมุนตัวก้าวไวๆ เข้าไปข้างใน
ฟางจิ่นซิ่วกับหลิ่วเอ๋อร์ไม่ทันตอบสนอง คุณหนูจวินก็เดินเข้าไปถึงประตูหยุดฝีเท้าอีกครั้ง
“หลิ่วเอ๋อร์ชงชาให้เสี่ยวโม่ด้วย ทายารักษาความเย็นกัดให้เขา จัดที่ให้เขาพักผ่อน” นางหันกลับมาเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ขานรับ เสี่ยวโม่รีบเอ่ยขอบคุณ คุณหนูจวินเข้าไปแล้ว
ประตูที่ปิดลงบดบังสายตา ฟางจิ่นซิ่วสีหน้ายุ่งยาก
คุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องมองจดหมายในมือ สีหน้าก็ยุ่งยากมากเช่นกัน จดหมายฉบับนี้ตามหลักแล้วน่าจะอดทนรอไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน เพราะเมื่อครู่นางกวาดตาผ่านในนั้นพูดถึงไหวอ๋ออง แต่ก็เพราะเช่นนี้ นางไม่กล้าเปิดอยู่บ้าง
ฟางเฉิงอวี่ที่อยู่ไกลถึงหยางเฉิงจะเอ่ยถึงไหวอ๋องได้อย่างไร?
แล้วยังเวลาบังเอิญขนาดนี้?
คุณหนูจวินสูดหายใจลึกทีหนึ่ง เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่อ่านจะไม่มีงั้นหรือ? นางเปิดจดหมายตั้งใจอ่าน
ฟางเฉิงอวี่พูดถึงเรื่องไหวอ๋องจริงๆ
นอกจากนี้เปิดบทมาก็ชี้ชัด ไหวอ๋องประชวร ทั้งยังตึงมือมาก
ส่วนเขารู้ได้อย่างไร อ่านผ่านสมุดบัญชี
เพราะการมาถึงของคุณหนูจวิน สมุดบัญชีของเมืองหลวงจึงถูกเรียกให้ส่งมอบสิบวันครั้ง หลังคุณหนูจวินเปิดโรงหมอ ความต้องการของฟางเฉิงอวี่ก็เพิ่มมากขึ้นสองข้อ ข้อที่หนึ่งคือความเคลื่อนไหวของบรรดาท่านหมอในเมืองหลวงที่ร้านแลกเงิน ข้อสองคือความเคลื่อนไหวของบรรดาร้านยา ล้วนต้องสนใจจดบันทึกอย่างละเอียด
สิบวันก่อนนี่เองฟางเฉิงอวี่ได้รับสมุดบัญชีของเมืองหลวงมาตามปกติ เห็นเงินเข้าเงินออกหลายรายการ
นี่เป็นตั๋วเงินของหมอจากสำนักแพทย์หลวงหลายคน จำนวนมากนัก เหมือนกับทรัพย์สินตระกูลทั้งหมดเอาเข้าบัญชี ผู้ดูแลสนิทกับหมอหลวงคนหนึ่งอยู่มาก แม้พวกเขาทำตามกฎไม่เคยถามเรื่องใดของลูกค้า แต่หมอหลวงคนนี้เป็นฝ่ายถอยหายใจบอกเองว่าเมืองหลวงอาจอยู่ต่อไม่ได้แล้ว เพราะรับคนไข้ที่ค่อนข้างตึงมือคนหนึ่งเข้า ผู้ดูแลเลียบเคียงถามหลายประโยค ถึงได้รู้ว่าคนไข้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นไหวอ๋อง
ไหวอ๋อง เป็นบุคคลที่ตึงมือมากคนหนึ่งจริงๆ
ส่วนที่ยิ่งตึงมือก็คือ คุณหนูจวินเคยพูดถึงไหวอ๋อง
“จิ่วหลิง ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดถึงไหวอ๋อง”
มองเห็นประโยคนี้บนจดหมายของฟางเฉิงอวี่ คุณหนูจวินขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
เขาจำได้หรือ? แต่นางไม่เคยพูดกับเขามาก่อน ตั้งแต่เกิดใหม่มานางเคยพูดถึงชื่อวังไหวอ๋องนี่เพียงครั้งเดียว….
“…เจ้าไม่อยู่บ้าน ข้าว่างไม่มีธุระก็ชอบฟังทุกคนเล่าเรื่องเก่าในอดีตของเจ้า…”
“…เจ้าเคยถามผู้ดูแลเกาเรื่องเมืองหลวง ยังเคยพูดถึงไหวอ๋อง ตอนนั้นทำท่านย่ากับท่านแม่ตกใจแทบแย่…”
คนไม่พูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไร้สาเหตุ
ฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ มองราตรีนอกหน้าต่าง ในห้องอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ สถานที่ที่เขานั่งอยู่ก็คือห้องหนังสือของคุณหนูจวินเมื่อตอนนั้น ตอนนี้ถูกเขาเอามาเป็นห้องหนังสือ
แน่นอนว่าเพียงชั่วคราว รอนางกลับมา เขาก็คืนให้นาง
หากนางยังจะกลับมาน่ะนะ
ฟางเฉิงอวี่ไล้ดอกจินซ่านอวี้ไถที่แย้มบานวางอยู่บนหัวโต๊ะ นี่เป็นพันธุ์ล้ำค่าของจางโจว ในห้องฤดูหนาวเบ่งบานส่งกลิ่นดอกไม้หอมสดชื่น
เขาคิดถึง มีครั้งหนึ่งนั้น ในห้องอาบน้ำนางพลันหมุนตัวมา
เฉิงอวี่ ข้านึกเรื่องหนึ่งออก
นางเอ่ย แต่ต่อมานางก็กลืนกลับลงไปอีกครั้ง นางไม่ได้เอ่ยอีก
เพราะว่าพูดไม่ได้ หรือพูดไปก็ไร้ประโยชน์สินะ
นางต้องการไปเมืองหลวง คิดอยากไปอยู่ตลอด
สถานที่ซึ่งคิดอยากไปอยู่ตลอด ย่อมต้องเพราะมีคนหรือเรื่องที่คะนึงหา
นางเปิดโรงหมอไม่ใช่เพื่อรักษาผู้คน นางยินดีถ่ายทอดวิชาให้หมอคนอื่นก็ไม่ใช่เพื่อรักษาชาวบ้าน จดจ่อมุ่งเฉพาะคนสูงศักดิ์ จดจ่อมุ่งไปสถานที่สูงศักดิ์นั่นเท่านั้น
ฟางเฉิงอวี่ยกพู่กัน
“…หมอหลวงบอกว่าอาการป่วยของไหวอ๋องตึงมือมาก พวกเขาแลกทรัพย์สินของตระกูลเป็นตั๋วเงินเพื่อสะดวกถอนถ่ายโอน..”
เขาเขียนถึงตรงนี้ก็หยุดอีกครั้ง
เขาอยากเขียนเจ้าไม่ต้องไปยุ่ง แต่ก็รู้สึกว่าพูดเช่นนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนัก โรงหมอจิ่วหลิงมีชื่ออีกเท่าใด อาการป่วยของไหวอ๋องก็เป็นความรับผิดชอบของสำนักแพทย์หลวง สำนักแพทย์หลวงไม่มีทางมาหาหมอชาวบ้านคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมอหญิงที่ได้ชื่อว่าโอ้อวดหลอกความนับถือจากชาวบ้านคนหนึ่ง
แต่ หากนางอยากเข้าไปยุ่งเล่า?
ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจเบาๆ จรดพู่กัน
“…ตามที่หมอหลวงบรรยาย อาการป่วยของไหวอ๋องเดิมทีไม่หนักหนา แต่ซ้ำไปมามากเกินไปกลายเป็นป่วยหนัก…”
พู่กันถึงประโยคนี้ก็หยุดชะงัก แต่หลังครู่หนึ่งก็ท่าทางเด็ดขาดจรดลงไปอีกครั้ง
“..จิ่วหลิง รักษาโรคง่าย รักษาชีวิตยาก เจ้าจงระวัง…”
คุณหนูจวินอ่านจบบรรทัดสุดท้าย รู้สึกเพียงในใจรสชาติแปร่งปร่า
บนโลกนี้มีเด็กที่ฉลาดคล้ายปีศาจได้อย่างไร? หรืออาจพูดว่า ที่ตนเองคิดว่ามั่นใจมาตลอดที่จริงในสายตาของคนใส่ใจช่องโหว่ข้อสงสัยมากมายหรือ?
นางหยิบจดหมายโยนเข้าไปในเตาไฟ มองมันกลายเป็นเถ้าช้าๆ
หาเรื่องลู่อวิ๋นฉีน่ากลัวมากเพียงใด ใครๆ ก็รู้ แต่เขาก็ส่งราชโองการรักษาชีวิตของตระกูลฟางมาให้นาง
เข้าใกล้วังไหวอ๋องอันตรายมากเพียงใด ใครๆ ก็รู้ แต่เขาก็สืบข่าวอาการป่วยมาให้นาง เพียงพูดประโยคเดียวจงระวัง
นี่คือมีชีวิตได้เพราะเจ้า ดังนั้นตายเพราะเจ้าก็ไม่กลัวด้วยงั้นหรือ?
เหมันต์นี้หนาวยิ่ง แต่ก็อบอุ่นนัก
…
วังหลวงฤดูหนาวยิ่งแลดูเคร่งขรึม
เสียงซ่ากังวานทีหนึ่ง
ทำให้บรรดาขันทีตรงทางเดินนอกห้องก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าราบเรียบ ฟังเสียงด่าท่อโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ดังออกมาจากข้างใน
“…จะรักษาไม่ง่ายนักได้อย่างไร? ไม่ใช่แค่หวัดรึ? พวกเจ้าตัวไร้ประโยชน์ฝูงนี้แม้กระทั่งหวัดก็รักษาหายไม่ได้หรือ? ได้ชื่อว่าหมอหลวงชื่อนี้อับอายหรือไม่ฮะ?”
ฮ่องเต้สุภาพอ่อนโยน มีมารยาทต่อผู้มีความรู้มาตลอด ครั้งนี้เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา เห็นได้ว่าโกรธและร้อนรนมากเพียงใด
“ฝ่าบาท” เสียงของเจียงโหย่วซู่ดังออกมาจากด้านในติดจะเหน็ดเหนื่อย “วันนี้องค์ชายไม่ใช่แค่เป็นไข้หวัดธรรมดาๆ อีกแล้ว อาการป่วยเกิดซ้ำไปมานานเกินไป วันนี้จึงยากรักษาจริงๆ”
“เกิดซ้ำไปมา เกิดซ้ำไปมาโทษใครเล่า? ยังไม่ใช่โทษพวกเข้า เริ่มแรกรักษาให้เขาดีๆ จะกลายเป็นป่วยหนักได้อย่างไร” ฮ่องเต้พิโรธตรัส
“ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจโทษพวกหมอเสียทั้งหมดได้” เสียงสตรีแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
นี่คือไทเฮา
สายตาของลู่อวิ๋นฉียังคงมองไปข้างหน้า ฟังเสียงของไทเฮาต่อ
“…เด็กน้อยเดิมทีก็ป่วยง่าย ป่วยแล้วก็ไม่เหมือนผู้ใหญ่ ไม่ชอบกินยา ดีขึ้นนิดหน่อยก็กระโดดโลดเต้นตามใจ ไม่รู้ความ เหมันต์ปีนี้ก็หนาว คนป่วยมากมายนัก ในวังหลวงของพวกเราก็หลายคน”
“พวกคนรับใช้ที่วังไหวอ๋องเหล่านี้ล้วนเป็นตัวไร้ประโยชน์ ดูแลไหวอ๋องอย่างไร? ลงโทษให้หมด” ฮ่องเต้ตรัสอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องลงโทษเลย ยังไงรักษาให้หายดีก่อนเถิด” ไทเฮาตรัสขึ้น “โมโหมีประโยชน์อะไร ท่านหมอคนไหนไม่อยากรักษาคนไข้ให้หายดี แต่บางครั้งโรคนี่ก็ไม่เป็นดั่งใจคน ฮ่องเต้ ท่านทำเช่นนี้โหดร้ายแล้ว”
หรือก็คือบอกว่ารักษาไม่หายไม่อาจโทษหมอหลวงได้
ในห้องเสียงคุกเข่ากับพื้นตึงๆ ดังขึ้น
“กระหม่อมมีความผิด” เสียงเหล่าหมอหลวงดังขึ้นพร้อมกัน
ฮ่องเต้เมตตากตัญญู คำพูดของไทเฮาย่อมไม่โต้เถียง ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น
“พวกเจ้าจงจำไว้ ไหวอ๋องเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของอดีตองค์รัชทายาท พวกเจ้าต้องทุ่มเทใจ หากไม่เช่นนั้น ข้าคงผิดต่ออดีตฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแล้ว”
ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกลวงของลู่อวิ๋นฉีเองหรือไม่ หลังจบประโยคนี้ฟ้าดินราวกับเงียบสงัดไปครู่หหนึ่ง จากนั้นทุกสิ่งก็ฟื้นกลับมาดั่งปกติ
ข้างหูเสียงโขกศีระดังขึ้น
“พวกกระหม่อมจะทุ่มเทใจทำสุดกำลังแน่นอนพะย่ะค่ะ”
……………………………………….
บทที่ 191 นี่เป็นโรคที่ไม่รักษา
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ลู่อวิ๋นฉีกลับมา ท้องฟ้าก็มืดสลัวแล้ว ด้านในเรือนโคมไฟสว่างไสว แต่เพราะเงียบสงบเกินไปจึงดูวังเวง
ยามเขายืนอยู่หน้าประตูเรือนหยุดชะงักไปนิดหนึ่งครู่หนึ่งถึงก้าวเข้าไป
โคมไฟสีแดงใต้ชายคาฉายส่ององค์หญิงจิ่วหลียืนนิ่งสงบอยู่ สวมผ้าคลุม เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ข้างนอกนานมากแล้ว
นางมองลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา ไม่ได้ตระหนกขวัญหายแล้วไม่ได้โกรธเกรี้ยวร้อนรน เพียงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“เขาเป็นอย่างไร?” นางเอ่ยถาม น้ำเสียงสงบนิ่งอ่อนโยน
“ไม่ดีนัก” เขาเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีร้องอ้อทีหนึ่ง
“ไม่ค่อยดีหรือ” นางเอ่ย เหมือนทอดถอนใจ เหมือนกลัดกลุ้ม
ไม่มีความโศกเศร้าแล้วไม่มีความโกรธแค้น ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่ลู่อวิ๋นฉีที่เห็นความเจ็บปวดความโกรธแค้นความเศร้าเสียใจมาจนชินกลับรู้สึกว่าเสียงถอนหายใจนี้ยากทานทน
“องค์หญิง ท่านไปดูองค์ชายได้” เขาเอ่ย
ดวงหน้าอ่อนโยนขององค์หญิงจิ่วหลีพริบตาสว่างไสวขึ้นมา นางมองเขาก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
“ได้หรือ?” นางเอ่ยถาม ในน้ำเสียงในที่สุดก็มีความหวั่นไหวจางๆ
ลู่อวิ๋นฉีมองนางพยักหน้า
“ได้” เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มแล้ว
“นั่นดีเหลือเกิน” นางเอ่ย “ขอบคุณท่านมากจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดคนก็ต้องไปยังที่พำนักสุดท้าย เพียงแต่ก่อนจากลาได้มีครอบครัวเคียงข้าง ก็นับเป็นความสุขยิ่งแล้ว”
ขอเพียงก่อนตายได้พบครอบครัว ก็เป็นความสุขงั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นเวลานี้เมื่อปีก่อน คนผู้นั้น โชคไม่ดีมากเพียงไร
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวก้าวยาวเดินไปด้านนอก
…
ตอนที่ท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้ยินเสียงต่อยหลักไม้ที่ได้ยินเป็นประจำ นางลุกขึ้น ออกมามองเห็นคุณหนูจวินยืนอยู่หน้าหลักไม้
คุณหนูจวินหันหลังให้ยืนนิ่ง ดูไปแล้วเหมือนกับนิ่งอึ้งทั้งเหมือนหนาวจนแข็งไปแล้ว
ใส่น้อยขนาดนั้น ยังเช้าตรู่ยืนนิ่งไม่ขยับ คิ้วฟางจิ่นซิ่วขมวด
“เหนื่อยก็ไม่ต้องต่อยแล้ว” นางเอ่ย
คุณหนูจวินหันกลับมายิ้มให้นาง ยกมือโจมตีบนหลักไม้
เสียงต่อยตีดั่งเช่นปกติดังขึ้นในลาน
ฟางจิ่นซิ่วอยู่ในลานเดินขยับเป็นวงกลม รอคุณหนูจวินหยุดนางก็หยุด ขยับเคลื่อนไหวร่างกาย
“วันนี้ยังต้องออกไปไหม?” นางเอ่ย
คุณหนูจวินยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ส่ายศีรษะ
“ไม่ราบรื่นหรือ?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถามอีกครั้ง
ไม่ใช่ไม่ราบรื่น แต่เป็นไปไม่ได้
คนเหล่านี้ที่ไปหาหลายวันนี้ แม้พูดถกเกี่ยวกับอาการป่วยของไหวอ๋องไม่กี่ประโยคได้ แต่ก็เพียงพูดถกไม่กี่ประโยคก็ทิ้งไปแล้ว
ไม่มีใครคิดอยากแนะนำนางให้รักษาไหวอ๋อง
ไม่ น่าจะเป็นคนมากมายล้วนคิด แต่พวกนางไม่มีทางและไม่กล้าทำเช่นนี้
ไหวอ๋องเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างหนึ่ง ใครจะยอมไปแตะต้อง
คุณหนูจวินตอบอืมทีหนึ่ง
“ดังนั้นวันนี้ข้าไม่ออกไปแล้ว” นางมองฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น
คำตอบนี้ไม่เพียงตอบประโยคนั้นที่ว่าวันนี้ออกไปไหม ยังตอบว่าไม่ราบรื่น แล้วก็ยอมรับด้วยว่าที่หลายวันมานี้นางออกจากบ้านมีสาเหตุ
ฟางจิ่นซิ่วอยากถามสุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ถามได้
“อย่ารีบร้อน ค่อยคิดวิธีอื่น” นางเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้าน้อยๆ
“ข้าคิดวิธีออกแล้ว” นางเอ่ย
คิดออกแล้ว?
ฟางจิ่นซิ่วมองนาง
…
แม้ฟ้าเพิ่งสว่าง แต่ด้านในสำนักแพทย์หลวงคนที่เดินไปมากลับไม่น้อย มีคนคณะหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ท่าทางเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
ที่นำมาคือเจียงโหย่วซู่ สีหน้าทะมึน เห็นชัดว่าอารมณ์ไม่ดีมาก
ศิษย์หลายคนรีบเข้ามาปรนนิบัติ
ผู้คนในห้องใช้ผ้าร้อนเช็ดมือเช็ดหน้า ดื่มชาร้อนคลายความเหนื่อยล้าไปบ้าง
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาการป่วยนี้ของไหวอ๋องจะตึงมือเช่นนี้” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย
“วิธีที่ควรคิดก็ใช้หมดแล้ว ยานี่ก็ไม่ได้ผล แล้วมีวิธีอะไรอีก” หมอหลวงอีกคนเอ่ย บนหน้าเขาวิตกอยู่บ้าง “ข้าดูแล้ว คงไม่พ้นไม่กี่วันนี้แล้ว”
คนพูดนี้ออกมาบรรดาศิษย์ในห้องรีบถอยออกไป เฝ้าอยู่นอกประตูให้ดี
เจียงโหย่วซู่วางถ้วยชาในมือลง
“ทุกคนศึกษาต่ออีกสักหน่อยค่อยลองคิดดู เพราะหวัดง่อยๆ ครั้งหนึ่งก็รักษาไม่หายเสียชีวิตพูดออกไปพวกเราก็เสียหน้าเหมือนกัน” เขาเอ่ย
หมอหลวงหลายคนสบตากัน
“คนที่ตายเพราะหวัดก็มากไป” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“แต่คนนี้คือไหวอ๋อง” เจียงโหย่วซู่มองเขาเอ่ยขึ้น
คนอื่นตายก็ตายไป นอกจากครอบครัวของตนใครจะสน แต่ไหวอ๋องอยู่ไม่มีคนสนใจ ตายไปคนทั้งใต้หล้าล้วนมองเห็น
ไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล ไม่รู้ว่าจะชักนำคำพูดเหลวไหลมากเท่าไรขึ้นมา
แม้ไทเฮาเอ่ยปากปกป้องบรรดาหมอหลวงแล้ว แต่นี่เป็นฮ่องเต้บุตรกับมารดาเล่นไม้อ่อนไม้แข็ง ชะตาชีวิตของพวกเขาพูดตรงๆ แล้วยังไม่มั่นคง
ถึงเวลาไม่แน่พวกเขาอาจต้องเป็นแพะรับบาป
หากไม่อยากเป็นแพะรับบาป นั่นก็จำต้องให้อาการป่วยของไหวอ๋องสมเหตุสมผล ไม่อาจให้เป็นหวัดธรรมดาได้ หวัดมีหลายชนิดนักจริง หวัดก็ถึงชีวิตได้จริง แต่นี่สำหรับชาวบ้านแล้วยังเข้าใจยากเกินไป ยากจะยอมรับได้ยิ่งนักเช่นกัน
หมอหลวงคนหนึ่งวางมือที่ลูบเคราลง
“ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่หวัด” เขาเอ่ย
…
ในวังไหวอ๋อง เทียบกับก่อนหน้า คนวังไหวอ๋องเห็นชัดว่าเพิ่มขึ้นมาก นางกำนัลขันทีในห้องบรรทมยกน้ำร้อนยาเข้าๆ ออกๆ
ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นยาข้นคลัก
องค์หญิงจิ่วหลีบิดผ้าเช็ดหน้าในอ่างน้ำที่นางกำนัลยกมา วางไว้บนหน้าผากจิ่วหรงอย่างระมัดระวัง
เทียบกับก่อนแต่งงาน จิ่วหรงทั้งร่างผอมไปรอบหนึ่ง สีหน้าซีดขาว สองตาปิดสนิท ลมหายใจถี่กระชั้น
“องค์หญิง” นางกำนัลคนหนึ่งยกถ้วยยาเข้ามา
จิ่วหลีลุกขึ้นไปที่หัวเตียง กอดจิ่วหรงไว้ในอ้อมกอด พลางหยิบช้อนป้อนยา
จิ่วหรงไม่อ้าปาก ยาไหลลงมาตามมุมปาก นางกำนัลรีบเช็ด
“องค์หญิงไม่ไหว ใช้กากรอกยาเถอะเพคะ” นางเอ่ย
เมื่อวานป้อนยังกลืนได้อยู่เลย วันนี้ไม่ได้เสียแล้ว จิ่วหลีมองใบหน้าขาวซีดของจิ่วหรงในอ้อมกอด ยื่นมือลูบปลอบนิดหนึ่ง
“ได้” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ไม่ว่าโรคของจิ่วหรงดูแล้วหนักหนามากเพียงไร ตั้งแต่มาองค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ร้องไห้และไม่ตระหนก ยิ่งไม่กล่าวโทษบรรดาหมอหลวง นางเพียงเฝ้าอยู่ข้างกายจิ่วหรง ป้อนยาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าวันคืนไม่ห่าง
บรรดาหมอหลวงอยู่เพียงข้างห้อง นางกำนัลรีบไปเอากาพวยยาวที่ใช้สำหรับกรอกยา องค์หญิงจิ่วหลีโอบจิ่วหรงไว้ในอ้อมแขน ลูบใบหน้าเขาเบาๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งด้านนอกประตูเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายดังขึ้น นางกำนัลหลายคนสีหน้าตื่นตระหนกวิ่งเข้ามา
“องค์หญิง องค์หญิงไม่ดีแล้วเพคะ” พวกนางเอ่ย “พวกหมอหลวงบอกว่าองค์ชายเป็นฝีดาษ”
ฝีดาษ?
มือขององค์หญิงจิ่วหลีชะงักไปนิดหนึ่ง มองดูจิ่วหรงในอ้อมกอด
ใบหน้าของจิ่วหรงแม้ผอมลงไปรอบหนึ่ง แต่ผิวหน้าขาวกระจ่าง ไม่ใช่แค่ผิวหน้า บนร่างก็เป็นเช่นนี้ด้วย
ฝีดาษ
มุมปากขององค์หญิงจิ่วหลีผุดรอยยิ้มบางๆ ลูบหน้าผากใบหน้าของจิ่วหรงต่อ
“ไม่กลัว ไม่กลัว พี่อยู่นี่นะ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ในวังไหวอ๋องบรรดาขันทีนับไม่ถ้วนใช้ผ้าขาวปิดปากจมูกหิ้วถังยาพรมน้ำยาทั่วทุกแห่ง ยังมีขันทีนางกำนัลไม่น้อยถูกไล่ เสียงร้องไห้เสียงร้องดังไม่ขาด เอะอะและสับสน
“รีบแจ้งในวัง…”
“เหล่าองค์ชายองค์หญิงล้วนไม่ต้องมาเยี่ยมอีก…”
“คนที่เคยมาเยี่ยมพวกนั้นล้วนต้องบอก รีบดื่มยาเข้า…”
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ด้านนอกประตูใหญ่ มองดูคนที่แห่ออกมาจากด้านในไม่ขาดสายผ่านข้างตัวไป ยืนนิ่งไม่ขยับ
…
“ถึงกับเป็นฝีดาษ”
“มิน่าหวัดรักษาอย่างไรก็รักษาไม่หาย ไข้สูงไม่ลด ที่แท้เป็นฝีดาษ”
“นี่จบแล้วจบแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รักษาไม่ได้แล้ว”
ในสำนักแพทย์หลวงก็ได้รู้ข่าวล่าสุด นายประตูหลายคนอยู่หน้าประตูวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งใสกังวานก็ลอยมา นายประตูหลายคนเดิมทีไม่สนใจ จดจ่อซุบซิบข่าวใหม่ล่าสุดนี้ แต่เสียงกระดิ่งยิ่งเข้ามาใกล้ทุกที พวกเขาอดไม่ได้เงยหน้ามองหาเสียง เห็นด้านหนึ่งของถนนมีคนสองคนกำลังเดินมาช้าๆ หลังจากนั้นหยุดหน้าประตูสำนักแพทย์หลวง
บรรดานายประตูมองไปทางนาง กวาดผ่านหีบยาที่นางสะพายอยู่ กระดิ่งในมือ รวมถึงสาวใช้ตัวน้อยที่ยกธงข้างกาย รู้ทันที
นี่ก็คือหมอเร่คนนั้นของโรงหมอจิ่วหลิง
แม้ชาวบ้านกับท่านหมอทั้งเมืองล้วนสรรเสริญนาง แต่สำนักแพทย์หลวงด้านนี้หามีไม่
“เจ้ามาที่นี่ทำอะไร?” บรรดานายประตูหน้าทะมึนท่าทางยโสอยู่บ้างเอ่ยขึ้น พลางโบกมืออย่างรำคาญ “รีบไปรีบไป ที่นี่ไม่มีใครอยากให้เจ้าดูลางร้าย”
“ข้าไม่ได้มาดูลางร้าย” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้ามาหาหมอหลวงเจียง”
นายประตูอึ้งไป
“เจ้ามาหาใต้เท้าเจียงทำอะไร?” นายประตูคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย
“หมอหลวงเจียงเคยมีข้อตกลงกับข้า คนที่เขารักษาไม่หายให้ข้ารักษา” นางเอ่ย “ตอนนี้ข้ามารับคำท้าตามข้อตกลงแล้ว”
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น