Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 บทที่ 179-184

 บทที่ 179 มองขุนเขาไม่เห็นขุนเขา

โดย

Ink Stone_Romance

 


ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกมาหลายวันในที่สุดก็หยุด พนักงานร้านสองคนเพิ่มอาภรณ์หลายตัวอีกครั้ง อยู่ด้านหลังเรือนเฝ้าเตาโบกพัด


“ไฟนี่แรงเกินไปแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์อยู่ด้านข้างขบเมล็ดแตงเอ่ยขึ้น


ตอนนี้นอกจากเฝ้าร้าน พวกเขาก็เริ่มถูกเรียกให้ทำยาด้วยกันแล้ว งานที่แบ่งมาให้ก็คือเฝ้าเตา


ในเมื่อพนักงานร้านได้เงินเดือนก็ควรทำงานให้มาก แต่ทำไมเขาที่เป็นผู้ดูแลใหญ่คนนี้ก็ต้องทำงานด้วยเล่า?


เฉินชีนำสมุนไพรที่ตัดเสร็จแล้วกองหนึ่งเทลงในน้ำ หยิบแท่งไม้ขึ้นมากวน


“กวนไปทางเดียวกัน อย่ากวนมั่วซั่ว” ฟางจิ่นซิ่วเดินออกมาเอ่ยขึ้น นำสมุนไพรที่ล้างเสร็จแล้วยกเดินมา


นางรับผิดชอบอบแห้งสมุนไพรอยู่ในห้อง ร้อนอบอ้าวที่สุด


เฉินชีเบะปาก เหยียดตัวตรงกวนดีๆ เงยหน้ามองเห็นคุณหนูจวินเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง


“หลิ่วเอ๋อร์พวกเราออกไปข้างนอก” นางเอ่ย


หลิ่วเอ๋อร์ขานรับ เก็บเม็ดแตงขึ้น


“พวกเจ้าไปที่ไหนกัน?” เฉินชีรีบเอ่ยถาม


วันนี้โรงหมอจิ่วหลิงยังคงทำตามกฎรักษาวันที่สามหกเก้าตามเดิม ที่เหลือปิดร้านทำยา ช่วงนี้คุณหนูจวินแทบไม่ออกจากบ้าน


“ไม่ได้เป็นหมอเร่นานนักแล้ว ข้าออกไปเดินเสียหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ย


หมอเร่?


ว่างจริงนะ


เฉินชีพูดในใจ แน่นอนย่อมไม่กล้าเอ่ยออกมา มองคุณหนูจวินนายบ่าวเดินออกไป


“อย่าแอบขี้เกียจล่ะ วันนี้พวกนี้ต้องทำเสร็จนะ” หลิ่วเอ๋อร์ยังไม่ลืมหันกลับมาเอ่ยกำชับ


กินข้าวเขาเถียงไม่ออก รับของเขาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เฉินชีส่ายศีรษะ ออกแรงกวนหม้อใบใหญ่


เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งรวมถึงเห็นคุณหนูจวินเดินมา ชาวบ้านบนถนนฉับพลันดีใจออเข้ามา


แววตาเป็นอริไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็สลายไปตามเรื่องของบรรดาท่านหมอเหล่านั้นด้วย


คุณหนูจวินไม่รักษาให้คนมากนักก็จริง แต่นางก็หาใช่ทอดทิ้งพวกเขาไม่สนใจ ท่านหมอที่รับรักษาคนใดพบปัญหายากล้วนไปหานางได้ และนางก็สอดหมดเปลือก


ก็เหมือนเช่นที่คุณหนูจวินเอ่ย นางคนเดียวร้ายกาจเท่าไรก็รักษาคนทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้นยังคงให้ท่านหมอคนอื่นซึ่งจำนวนมากยิ่งกว่าช่วยเหลือคนอื่น ส่วนนางเพียงรับผิดชอบโรคร้ายรักษายากเหล่านั้นก็พอ


นี่ไม่เพียงเป็นโชคดีของบรรดาท่านหมอ ยังเป็นบุญใหญ่หลวงของชาวบ้านเหล่านี้อย่างพวกเขาด้วย


คุณหนูจวินสนแต่เงินไร้เมตตาเสียที่ไหนเล่า คุณหนูจวินคนนี้มีคุณธรรมดีงามใหญ่หลวงช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คนต่างหาก


คุณหนูจวินไม่ออกมานานแล้ว ตอนนี้จะเป็นหมอเร่อีกแล้วหรือ?


ไม่รู้คนไหนจะโชคดีได้คุณหนูจวินบอกว่ามีลางร้าย


แต่ทุกคนต่างรู้กฎของคุณหนูจวิน ไม่กล้าเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง ได้แต่มองนางอย่างระมัดระวังและคาดหวัง


“คุณหนูจวิน”


“ท่านหมอจวิน”


เดินผ่านตลอดทางล้วนเป็นคำทักทายอย่างเป็นมิตรเช่นนี้ คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้านิดหนึ่งผ่านไป


ยิ่งนางเดินผ่านคนที่ได้ข่าวก็ยิ่งมาก ข้างทางแทบจะขนาบด้วยแถวต้อนรับ


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่ด้านในเต๋อเซิ่งชางมองภาพนี้ส่ายศีรษะ


“ท่านผู้ดูแลใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ?” พนักงานเอ่ยถาม “หนักใจเรื่องคุณหนูจวินอีกแล้วหรือ?”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว


“ข้าจะหนักใจกับคุณหนูจวินได้อย่างไร ข้าไม่มีทางหนักใจกับนางเด็ดขาด” เขาเอ่ย สีหน้าทอดถอนใจ “เวลาครึ่งปีนางยืนมั่นคงได้ ข้ายังขบคิดไม่เข้าใจว่านางทำได้อย่างไร”


“ทำได้อย่างไรหรือ แน่นอนย่อมเป็นเพราะมีความสามารถจริงไงขอรับ” พนักงานยิ้มเอ่ย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะอีกครั้ง


“ใช่ ไม่ผิด” เขาเอ่ย


มีบางเรื่องก็ง่ายดายเช่นนี้ มีความสามารถจริงๆ ก็หยัดยืนได้


แต่มีบางครั้งเรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเหมือนกัน คนมีความสามารถมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับความเป็นธรรม


ดังนั้นเขาถึงไม่รู้ว่าควรทอดถอนใจอย่างไรกับคุณหนูจวินคนนี้ มีความสามมารถจริงก็ใช่ มีโชคดีก็ใช่


คุณหนูจวินวนไปครึ่งเมืองแล้ว ฝั่งนี้เงียบเหงาอยู่บ้าง เพราะทั้งถนนไม่มีใครถูกชี้ว่ามีลางร้าย ทุกคนรู้ว่าตามไปก็ไม่มีความหมาย นอกจากพวกคนว่างงานที่รอดูว่าคนโชคดีคนไหนมีลางร้าย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปแล้ว


“คุณหนูด้านนั้นคือศาลเทพเจ้ากวนอู” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยบอก พลางส่งกระติกน้ำมาให้


คุณหนูจวินรับกระติกน้ำไป อาศัยตอนดื่มน้ำหยุดฝีเท้ามองด้านหน้า


เวลาห่างไปสองเดือน นางมาที่นี่อีกครั้งแล้ว ครั้งก่อนไม่ได้เดินไปถึงสถานที่ซึ่งต้องการไป ครั้งนี้ลองดูได้แล้ว แม้ที่นี่เงียบเหงากว่าที่อื่นอยู่บ้าง แต่เมื่อคนมากมายขนาดนี้ออเข้ามา ในตรอกด้านนี้ก็กลายเป็นคึกคัก


ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงเดินออกมา มองเห็นคุณหนูจวินก็ดีใจยิ่ง พากันขนาบสองข้างทางต้อนรับ


“คุณหนูจวิน ท่านดูหน่อยสิข้ามีลางร้ายหรือไม่” ยังมีคนใจกล้าร้องเรียก ในน้ำเสียงติดจะคาดหวัง


พนักงานน้อยคนหนึ่งที่หิ้วตะกร้าร้องขายเกี๊ยวนึ่งอยู่ไม่ไกลได้ยินเข้าอดไม่ได้หัวเราะ


“น่าขำจริง ถึงกับมีคนชอบมีลางร้าย” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น


ชาวบ้านที่อยู่ด้านข้างถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง


“เจ้าเข้าใจอะไร ได้คุณหนูจวินมองเห็นลางร้าย ทั้งชีวิตจะสงบสุข” พวกเขาเอ่ย พูดจบก็ตามไปอย่างคึกคัก


พนักงานน้อยหัวเราะหึหึไม่ได้ตามไปดูความคึกคัก ยืนอยู่ริมถนนเค้นเสียงร้องขายของ


ตอนที่ทุกคนคิดว่าครั้งนี้คุณหนูจวินจะเดินผ่านตลอดถนนไปเหมือนเดิมนั่นเอง คุณหนูจวินพลันหยุด มองบ้านหลังหนึ่งเหมือนคิดบางอย่าง


มีลางร้ายแล้ว!


รอบด้านเงียบไปทันที ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าบ้านตรงนั้นกลับรู้สึกว่าผมบนศีรษะลุกตั้ง


บอกไม่ได้ว่าดีใจหรือหวาดกลัว


“ท่าน ท่านหมอจวิน” นางเอ่ยติดๆ ขัดๆ “ข้า ข้า มีลางร้ายงั้นหรือ?”


คุณหนูจวินมองนางครู่หนึ่ง


“เข้าไปคุยได้หรือไม่?” นางเอ่ย


จริงด้วย!


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่ก็รู้สึกว่าเสียดายนัก ไม่ได้ยินกับหูตนเองว่าที่จริงเป็นลางร้ายอะไร มองผู้หญิงคนนั้นก้าวยาวก้าวสั้นพาคุณหนูจวินเข้าไปในเรือนปิดประตู


หลังยืนอยู่ด้านในเรือนเอ่ยถามพักหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้าหลายที


“ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง คุณหนูจวินท่านพูดถูก ข้าก็มีอาการเช่นนี้” นางว่าสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นจะช่วยอย่างไร”


ในใจกลับนับสมบัติของที่บ้าน


คุณหนูจวินคนนี้รักษาครั้งหนึ่งต้องการหนึ่งพันตำลึง จ่ายยาก็เริ่มต้นหนึ่งพันตำลึง


นางย่อมเอาเงินขนาดนี้ออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ยินดีไม่รักษาโรครอความตาย


“เรื่องนี้ของเจ้าง่ายมาก ไม่ต้องกินยา” คุณหนูจวินเอ่ย นางยื่นมือชี้กำแพงเรือน “เพื่อนบ้านของเจ้าก็ช่วยรักษาเจ้าหายได้”


ผู้หญิงตะลึง เพื่อนบ้าน?


“ต้นไม้ต้นนี้ในเรือนเพื่อนบ้านของเจ้า หากตัดเสีย หวงจุ้ยบ้านนี้ของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป หยินหยางลื่นไหล โรคของเจ้าก็จะดีขึ้นได้” คุณหนูจวินเอ่ย


ผู้หญิงได้ยินดีใจมาก


“เช่นนี้ก็ได้แล้วหรือ?” นางเอ่ยอย่างดีใจ “ถ้าอย่างนั้นก็จัดการง่ายนักแล้ว”


เรียกเพื่อนบ้านของเจ้ามาปรึกษาสักนิดสิ มีข้าอยู่ยิ่งโน้มน้าวนางง่าย


คุณหนูจวินยิ้มรอคอย


“ไม่ต้องปรึกษาแล้ว เพื่อนบ้านของข้าย้ายไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็ขายให้ข้าแล้วด้วย” ผู้หญิงยิ้มเอ่ยบอก “เดี๋ยวข้าไปตัดต้นไม้นั่นตอนนี้เลย”


รอยยิ้มของคุณหนูจวินแข็งค้างอยู่บนหน้า


ย้าย ไป แล้ว



“ใต้เท้า ไม่ทราบว่าบ้านของพวกเขาย้ายไปเวลาใด แล้วก็ไม่รู้ว่าไปที่ใด ไม่มีข่าวสักนิด”


องครักษ์เสื้อแพรสองคนก้มหน้ายืนอยู่เบื้องหน้าลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น


หลังพูดจบประโยคนี้ รู้สึกได้ว่าในห้องยิ่งเงียบจนทำให้คนอึดอัด รวมถึงสายตาที่หยุดบนร่างพวกเขาก็ทำให้พวกเขาหนาวยะเยือกด้วย


เหมือนเนิ่นนาน เสียงของลู่อวิ๋นฉีถึงดังขึ้น


“ไม่มีข่าวสินะ” เขาเอ่ยเฉยชา “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ไปได้แล้ว”


คำพูดประโยคนี้ออกจากปาก ร่างกายขององครักษ์เสื้อแพรสองคนนี้พลันแข็งทื่อ แม้ก้มศีรษะอยู่ก็มองเห็นโคนหูและลำคอกลายเป็นซีดขาว


ไปนี่ ย่อมไม่ใช่ให้พวกเขาเดินออกจากในห้องนี้ไป แต่จากเป็นเดินไปสู่ตาย จากโลกคนเป็นเดินไปถึงโลกคนตาย


……………………………………………………………..


บทที่ 180 ใครลงมือ

โดย

Ink Stone_Romance

“คนย้ายไปเมื่อไร พวกเจ้าไม่รู้”


“คนไปไหน พวกเจ้าก็ไม่รู้”


“ทำงานเช่นนี้ พวกเจ้ายังมีอะไรพูดอีก?


“ใต้เท้าให้พวกเจ้าไป ไม่พัวพันถึงครอบครัวของพวกเจ้า นี่ยังไม่เมตตาอีกหรือ?”


มองศพขององครักษ์เสื้อแพรสองคนถูกยกออกไป สีหน้าของคนในจวนไม่ได้เปลี่ยนอย่างไร


ทุกคนล้วนต้องแบกรับผลที่ตามมาจากเรื่องที่ตนเองทำผิด ไม่พัวพันไปถึงครอบครัวก็โชคดีล้นพ้นแล้ว


ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ต้องอารมณ์ไม่ดีมากแน่ หัวหน้ากองร้อยเจียงอยู่นอกประตูลังเลครู่หนึ่ง เสียดายข่าวที่ตนเองนำมาก็ไม่ใช่ข่าวดีที่ทำให้คนเบิกบานใจอะไร


เขายกเท้าก้าวเข้าไปกำลังจะเอ่ยวาจาก็มีคนตามเข้ามาด้วย


นี่เป็นคนอายุน้อยที่แต่งตัวเป็นหาบเร่แผงลอยคนหนึ่ง ในมือยังหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ ด้านในไม่รู้วางอะไรไว้ ส่งกลิ่นหอม


กลิ่นหอมนี้ไม่ได้ก่อประโยชน์ทำให้ในห้องอึมครึมแห่งนี้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเลย สีหน้าลู่อวิ๋นฉีนิ่งเฉยมองสองคนที่เข้ามา


“ใต้เท้ารอบด้านไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ และไม่มีคนผิดปกติเข้าใกล้” หาบเร่แผงลอยเอ่ย


ลู่อวิ๋นฉีขานรับ ไม่ได้เอ่ยถามหรือพูดจา


หาบเร่ตัวน้อยขานรับกำลังจะถอยออกไป กลับคิดอะไรได้หยุดลง


“แต่” เขาอยากพูดกลับหยุดไป


ลู่อวิ๋นฉีมองเขา


“พูด” เขาเอ่ย


“แต่วันนี้มีหมอเร่คนหนึ่งมาที่ตรอกหลังศาลเทพเจ้ากวนอู” หาบเร่เอ่ยขึ้น “ตรวจโรคให้เพื่อนบ้านของบ้านนั้น”


หมอเร่?


“เป็นคุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิงแห่งนั้นใช่ไหม?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยแทรกถาม


พ่อค้าหาบเร่พยักหน้า


“นางนั่นแหละ” เขาเอ่ย “พูดว่าผู้หญิงคนนั้นมีลางร้ายอะไร”


นี่ไม่แปลก คุณหนูจวินคนนี้ก็มุกนี้ตลอด


“ดูท่าพักนี้ไม่มีคนไข้ เป็นอาจารย์หมอจนเบื่อเสียแล้ว” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ย พลางอาศัยโอกาสกล่าวเรื่องโรงหมอจิ่วหลิงช่วงนี้กับลู่อวิ๋นฉี “ดังนั้นตอนนี้ดูแล้วท่านหมอเหล่านั้นไม่มีทางโกรธแค้นเป็นอริกับโรงหมอจิ่วหลิงอีกแล้ว”


ลู่อวิ๋นฉีร้องอ้อ มองไปทางหัวหน้ากองร้อยเจียง


“โรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ย “นางยังใช้ชื่อนี้หรือ?”


หัวหน้ากองร้อยเจียงอึ้งพยักหน้า


“แน่นอนขอรับ” เขาเอ่ย


ชื่อนี่ปั้นขึ้นมาแล้ว จะเปลี่ยนได้อย่างไร


แต่สร้างชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ลู่อวิ๋นฉีหวังจะเห็น


“ใต้เท้า แม้ท่านหมอจำนวนหนึ่งจะเปลี่ยนความคิดต่อนางแล้ว แต่ท่านหมอจำนวนหนึ่งไม่ ข้าจะไปตามหาพวก…” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยต่อ


ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน ขยับคอเล็กน้อย เหมือนจะคลายความแข็งตึงที่อยู่ท่าเดียวมานาน


“อ้อ” เขาเอ่ย “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น”



คุณหนูจวินเดินเชื่องช้าไปบนถนน กระดิ่งในมือยังคงส่ายอยู่ รอบด้านยังคงเป็นฝูงชนทักทายอย่างเป็นมิตร สีหน้าของนางแม้ยิ้ม แต่ในแววตาปิดบังความร้อนรนบางส่วนไว้


ไม่อยู่แล้วได้อย่างไ?


พี่สาวของปิงเอ๋อร์ไม่อยู่แล้วได้อย่างไร?


ครั้งก่อนตนไม่ได้เดินเข้าใกล้ไม่กล้าไปสอบถาม ตอนนี้ในที่สุดเวลาเหมาะสถานที่เหมาะคนพร้อม อาศัยชื่อของโรงหมอจิ่วหลิงกับหมอเร่เข้าใกล้ที่นี่ เข้าใกล้พี่สาวของปิงเอ๋อร์โดยไม่ชักนำให้เกิดความสงสัย


แต่คิดไม่ถึงคนกลับไม่อยู่แล้ว


หากบอกตั้งแต่แรกว่าไม่อยู่แล้วก็ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง หนึ่งปีก่อนตนเองเข้าวังลอบสังหารฮ่องเต้กะทันหัน การเคลื่อนไหวประหลาดเช่นนี้ย่อมต้องถูกตรวจสอบ ไม่แน่ว่าปิงเอ๋อร์อาจถูกพบตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่สาวของปิงเอ๋อร์ก็ย่อมถูกหาพบแล้วด้วย เช่นนั้นไม่มีทางเหลือพวกนางทิ้งไว้เด็ดขาด


แต่สอบถามดูจากปากของผู้หญิงคนนั้นเมื่อครู่ ครอบครัวพี่สาวของปิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่มาตลอด เพิ่งย้ายไปไม่กี่วันนี้


นี่ย่อมบอกชัดว่าเรื่องนั้นน่าจะยังไม่แดงออกมา


แต่ทำไมเร็วไม่เกิดเรื่อง ช้าไม่เกิดเรื่อง ดันมาเกิดเรื่องหลังตนเองมาถึงเมืองหลวง? บอกชัดว่าต้องมีคนรู้เรื่องนี้เหมือนกัน


หรือตนเองชักนำให้เกิดความสงสัยแล้ว?


นี่เป็นไปไม่ได้


เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ตนเองกระทำการระวังพอแล้ว


ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?


“คุณหนู คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์ร้องเรียก


คุณหนูจวินหยุดเท้า สงบจิตใจลงนิดหน่อย มองไปทางหลิ่วเอ๋อร์


“คุณหนู ท่านยังจะเดินอีกหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามสีหน้าไม่เข้าใจอยู่บ้าง


คุณหนูจวินตอนนี้ถึงเห็นว่าตนเองเดินมาถึงตรงหน้าโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว


เสียอาการแล้วจริงๆ


สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นยุ่งยากอยู่บ้างแล้ว จำต้องเพิ่มความระมัดระวัง


“พอเถอะ เหนื่อยเหลือเกินแล้ว วันนี้ไม่เดินแล้ว” นางยิ้มเอ่ย


หลิ่วเอ๋อร์ดีใจรับหีบยาของนางมา เดินเข้าไปก่อน คุณหนูจวินถอนหายใจก้มหน้าเข้าไปด้วย


“พวกเจ้ากลับมาแล้ว กำลังจะกินข้าวพอดี” เฉินชีอยู่ในเรือน สะบัดแขนหัวเราะเอ่ย


คำพูดนี้ของเขาติดจะอิจฉาอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายคุณหนูจวินใจไม่อยู่กับตัวไม่สนใจ หลิ่วเอ๋อร์ก็ฟังไม่เข้าใจสักนิด


“งานเจ้าทำเสร็จแล้วหรือ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม “อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องกินข้าวสิ”


เฉินชีถูกถลึงตาใส่ก็กลอกตา


กำลังจะเอ่ยวาจา ด้านนอกประตูเสียงเอะอะพักหนึ่งพลันดังขึ้นพร้อมกับเสียงกีบเท้าม้าและเสียงฝีเท้า เหมือนคนมากมายมาถึงหน้าประตู


“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน” พนักงานที่เฝ้าหน้าร้านสีหน้าซีดขาววิ่งเข้ามา ยื่นมือชี้ด้านนอก “ไม่ดีแล้ว องครักษ์เสื้อแพรมาแล้ว”


องครักษ์เสื้อแพร?


คนในเรือนสีหน้าแข็งทื่อไปนิดนึ่ง


“ประหลาดอะไรเล่า ก็ไม่ใช่มาครั้งแรกเสียหน่อย” เฉินชีเอ่ยอย่างสุขุม “ต้องเป็นมารักษาโรคอีกแน่”


เขาพูดพลางส่ายศีรษะ ท่าทางจนปัญญาอยู่บ้าง


“กฎของพวกเราไม่มีประโยชน์กับพวกเขา ได้แต่ลำบากคุณหนูจวินแล้ว อย่างไรต่อให้ฝ่าฝืนกฎ คนอื่นก็ไม่มีทางพูดอะไรได้ ยังไงก็เป็นองครักษ์เสื้อแพรไหม ทุกคนล้วนเข้าใจ ข้าไปดูเสียหน่อย”


เขาพูดพลางเดินออกไปข้างนอก ฟางจิ่นซิ่วรีรอนิดหนึ่งก็นำสมุนไพรเทลงบนกระบุงต่อ ปลายหางตามองคุณหนูจวินทีหนึ่ง มือนางชะงักอีกครั้ง


สีหน้าของคุณหนูจวินแข็งทื่ออยู่บ้างเหมือนยังไม่ได้สติกลับมา


นางไม่เคยมีสีหน้าเช่นนี้มาก่อน


ไม่ว่าเผชิญหน้ากับความคลางแคลงของคนในบ้านหรือเผชิญหน้ากับการหาเรื่องของบรรดาคุณหนูเหล่านั้นที่หยางเฉิง แม้กระทั่งเผชิญหน้ากับอาลักษณ์หลินและองครักษ์เสื้อแพร สีหน้าล้วนสบายๆ เหมือนปกติ


แต่เวลานี้นางถึงกับตระหนกอยู่บ้าง


เรื่องนี้ต้องหนักหนามากแน่


หรือว่าเรื่องครั้งก่อน…


ฟางจิ่นซิ่ววางสมุนไพรในมือลง สะบัดแขนเสื้อก้าวไวๆ ออกไปข้างนอก


คุณหนูจวินก็สูดหายใจลึกทีหนึ่ง ไม่ว่าเป็นอะไร ในเมื่อมาแล้วก็เผชิญหน้าเถอะ


นางยกเท้าเดินออกไปข้างนอกตามฟางจิ่นซิ่วไป แซงหน้านาง


ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนางทีหนึ่ง ดูสิเจ้าทำได้


คุณหนูจวินเดินมาถึงด้านในโถง ด้านในโถงไม่มีคน เฉินชียืนอยู่ปากประตูมองไปด้านนอก สีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง


คุณหนูจวินเดินเข้ามา ด้านนอกประตูองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งยืนเคร่งขรึมอยู่ ชาวบ้านที่ล้อมดูบนถนนไม่น้อย แต่เสียงเอะอะไม่มีสักนิด สายตาของคนทั้งหมดล้วนติดจะหวาดกลัวและหลบเลี่ยงจับอยู่ที่ผู้ชายซึ่งยังคงขี่อยู่บนม้าด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง


ผู้ชายบนม้ายังคงสวมชุดปลาบินห้อยดาบปักวสันต์ ใต้แสงตะวันปลายฤดูใบไม้ร่วงดวงหน้ายิ่งดูขาวดุจกระเบื้อง ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา


ลู่อวิ๋นฉี


เขาถึงกับมาด้วยตนเอง


เกี่ยวข้องกับเรื่องพี่สาวปิงเอ๋อร์วันนี้หรือ?


คุณหนูจวินมองเขา


ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มองนาง สายตาที่ราวกับไม่มีจุดสนใจอยู่เป็นนิจกวาดผ่านป้ายชื่อโรงหมอจิ่วหลิง


“ปลดซะ” เขาเอ่ย


พร้อมกับที่เสียงของเขาสิ้นลง องครักษ์เสื้อแพรสองคนของเขาก็ก้าวเข้าไปทันที ชักดาบปักวสันต์ในมือออกมา กระโดดใช้สันดาบตีบนป้ายโรงหมอ


เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงร่วงหล่นลงมาทันที


ชาวบ้านบนถนนรวมถึงเฉินชี หลิ่นเอ๋อร์ ฟางจิ่นซิ่นส่งเสียงร้องตกใจ


ป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงร่วงหล่นบนพื้น ส่งเสียงทึบตันเสียงดัง ฝุ่นฟุ้งปลิวกระจาย


……………………………………….


บทที่ 181 โกรธจนระเบิด

โดย

Ink Stone_Romance

ป้ายโรงหมอร่วงหล่นอยู่บนพื้น เสียงร้องตกใจเอะอะรอบด้านก็สลายหายไปตามด้วย ในเหตุการณ์เงียบกริบ


เฉินชีมองป้ายโรงหมอที่สมบูรณ์ดีไม่เสียหายบนพื้น แล้วกลืนน้ำลาย


ป้ายโรงหมอนี่ทนทานดีแท้


เขาคิดในใจ


นี่ข่มขวัญคนเกินไปแล้วจริงๆ ข่าวคราวสักนิดก็ไม่มี องครักษ์เสื้อแพรถึงกับมาทำลายป้ายโรงหมอของพวกเขา


นี่มันพังร้านนี่


โรงหมอจิ่วหลิงของพวกเขาไม่ใช่ขุนนางแล้วก็ไม่ใช่คนสูงศักดิ์ ไม่มีทุจริตแล้วก็ไม่ทำผิดกฏหมาย ลำบากองครักษ์เสื้อแพรมาเยือนถึงประตูได้อย่างไร


นอกจากนี้หัวหน้ากองพันลู่ที่ไม่เผยหน้าง่ายดายยังมาเองอีกด้วย


นี่เรียกว่าเป็นเกียรติได้ไหม?


หรือเพราะเรื่องที่องครักษ์เสื้อแพรพาคนมาขอให้ตรวจรักษาครั้งก่อนเกิดปัญหาแล้ว?


นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้


เฉินชีสีหน้ายากปิดบังความหวาดหวั่นวิตก ส่วนฟางจิ่นซิ่วแววตายุ่งยาก


แต่หัวใจของคุณหนูจวินเหมือนจะร่วงหล่นตามป้ายโรงหมอที่ร่วงหล่นนี้ไปแล้ว


“ใต้เท้าลู่” นางมองลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”


ลู่อวิ๋นฉีสายตากดลงมองนางจากเบื้องสูง


“เจ้ารู้” เขาเอ่ย


นางรู้? นางรู้อะไร?


นางไปพบกับลู่อวิ๋นฉีตอนไหน?


ระหว่างพวกเขามีเรื่องอะไรเจ้ารู้ข้ารู้ พวกเขาไม่รู้?


เฉินชีมองคุณหนูจวินดวงตาแทบจะส่องแสง


สีหน้าของคุณหนูจวินกลับมาเฉยชา


“ครั้งก่อนเรื่องที่ใต้เท้าลู่เอ่ย ข้าขออภัยอย่างยิ่ง” นางเอ่ยขึ้น “อภัยด้วยข้าทำไม่ได้”


ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางนางอีกครั้ง


เด็กสาวคนนี้ใจกล้าไม่น้อยจริงๆ แต่นี่สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรควรค่าให้สนใจและประหลาดใจ


คนที่กล้าเปิดร้านยาในเมืองหลวง กล้าเอ่ยคำพูดใหญ่โตพรรค์นั้นแล้วยังแย่งหมอเหล่านี้คืนไปได้อีก แน่นอนย่อมไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่ง


“ทำไม่ได้ ตอนนั้นทำไมไม่พูด?” เขาเอ่ยเย็นชา


“ตอนนั้น ไม่กล้า” คุณหนูจวินเอ่ย


ตอนนั้นนางเอ่ยออกไปคิดว่าคงเดินออกจากจวนสกุลลู่ไม่ได้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่รู้กัน ก็มีเหตุผลมากอยู่


“เจ้าเก็บเงินไปแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย


“ตอนนั้น ไม่กล้าไม่รับ” คุณหนูจวินเอ่ย คิดครู่หนึ่งก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “ต่อมา ไม่กล้าส่งคืน”


นับถือ


เฉินชีที่ได้ยินประโยคนี้มองคุณหนูจวิน ในใจชูนิ้วโป้ง


พูดเรื่องที่ไม่มีเหตุผลให้มีเหตุผลเช่นนี้ได้ทำให้คนนับถือจริงๆ


แม้คำพูดของลู่อวิ๋นฉีสั้นจนทำให้คนโมโห แต่จากหนึ่งคำถามหนึ่งคำตอบนี้ คนรอบด้านก็เข้าใจเรื่องราวคร่าวๆแล้ว


ดูท่าหัวหน้ากองพันลู่ต้องการให้คุณหนูจวินทำสิ่งหนึ่ง ยังให้เงินแล้วด้วย แต่คุณหนูจวินรับเงินแล้วกลับไม่ทำ


บรรดาชาวบ้านมองไปทางคุณหนูจวินสีหน้าเต็มไปด้วยความนับถือเช่นกัน


กล้าพบกับหัวหน้ากองพันลู่ก็ร้ายกาจนักแล้ว ยังกล้ารับเงินไม่ทำงานอีก นอกจากนี้รับเงินไม่ทำงานยังมีเหตุผลเช่นนี้


ลู่อวิ๋นฉีมองนางครู่หนึ่ง พลิกตัวลงม้า


“นี่เจ้าไม่กล้า นั่นก็ไม่กล้า แต่กล้ารับปากไม่รักษาคำพูด เอาเงินไม่ทำงาน” เขาเดินเข้ามาช้าๆ พลางเอ่ยเชื่องช้า “เจ้ากล้านักนะ”


ก่อนหน้านี้ตอนเขามองเห็นนาง จะเข้าใกล้ด้วยความเร็วที่สุดเสมอ ไม่เคยเชื่องช้าเช่นนี้ เหมือนจะเดินเข้าใกล้แต่ก็ราวกับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ประดุจสัตว์ร้ายที่กำลังหยอกเหยื่อเล่นตัวหนึ่ง


เอวของเขาห้อยดาบไว้ แม้กั้นด้วยฝักดาบ บรรดาชาวบ้านก็เหมือนจะได้กลิ่นคาวเลือด


มองเขาเดินเคลื่อนไหวทีละก้าวๆ ยิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวน


ราวกับอีกเดี๋ยวหัวหน้ากองพันลู่ก็จะฉับพลันสังหารคน


นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน หัวหน้ากองพันลู่ไม่ชอบพูด ดังนั้นเรื่องที่ลงมือได้ก็จะลงมือคลี่คลาย


ก็เหมือนตอนนั้นหน้าพระราชวังฟาดไม้กระบองทำร้ายเหล่าขุนนางที่คัดค้านพวกนั้น และเหมือนกับที่จุดไฟเผาบ้านของผู้ที่ขวางการบุกบ้านเสียดื้อๆ สะบัดดาบใส่บรรดาศิษย์ของปราชญ์ที่ขวางทาง


หัวหน้ากองพันลู่หยุดตรงหน้าคุณหนูจวิน รูปร่างของเขาผอมสูง บดบังแสงตะวันทอดเงาทับคุณหนูจวินไว้


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร?” เขาเอ่ย


ที่เขาพูดคือคำถาม แต่ฟังไปแล้วกลับเป็นคำบอกเล่า ไม่มีอารมณ์สักนิด ไม่สนใจคำตอบของอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง


ตรงกันข้ามกับตอนที่เขาพบหน้ากับตนโดยสิ้นเชิง


เปลี่ยนเปลือกนอกร่างหนึ่ง เปลี่ยนตัวตนอย่างหนึ่งมาดู คนที่เปลี่ยนเปลือกนอกก็หาใช่นางคนเดียวไม่


คุณหนูจวินหลุบตา


“โรงหมอจิ่วหลิงเป็นกิจการบรรพบุรุษตระกูลจวิน ท่านปู่ ท่านพ่อของข้าล้วนไม่อยู่แล้ว ในบ้านมีเพียงข้าคนเดียว แบกรับความปรารถนาสุดท้ายของท่านปู่กับท่านพ่อ ข้าจำต้องสืบทอดโรงหมอจิ่วหลิงต่อไป” นางเอ่ย ย่อเข่าคำนับลู่อวิ๋นฉี “ขอใต้เท้าโปรดอภัย อภัยที่ข้าไม่อาจสละชื่อโรงหมอจิ่วหลิง”


ที่แท้ลู่อวิ๋นฉีก็ต้องการให้โรงหมอจิ่วหลิงเปลี่ยนชื่อหรือ?


คนที่ล้อมดูอยู่ในเหตุการณ์ได้ยินล้วนสีหน้าประหลาดใจ เสียงถกเถียงแผ่วเบาดังขึ้นมาด้วย


ตอนที่คุณหนูจวินย่อเข่านี่เอง ฟางจิ่นซิ่วก็ก้าวไปข้างหน้ายกตั๋วเงินใบหนึ่งก้มศีรษะทูนให้


ที่แท้นางก็รู้ อย่างไรก็เป็นพี่น้องแท้ๆ เรื่องเช่นนี้ก็ปิดบังเพียงตนเองคนนอกคนนี้


เฉินชีคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่บ้าง


ฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ข้างกายคุณหนูจวินก้มศีรษะสองมือทูนส่งตั๋วเงิน ลู่อวิ๋นฉีกระทั่งมองยังไม่มองสักที


“ไม่ได้” เขาเอ่ยเด็ดขาด


คุณหนูจวินยังไม่เอ่ยวาจา ฟางจิ่นซิ่วก็เงยหน้าขึ้นก่อน


“ใต้เท้าลู่ โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้เป็นกิจการตกทอดของตระกูลจวิน ใต้เท้าจวินภักดีกับประเทศจนสิ้นลมไม่อยู่แล้ว เหลือบุตรสาวกำพร้าสืบทอดกิจการ ท่านได้โปรดละเว้นด้วยเถิด” นางเอ่ย


ตัวตนที่มาของคุณหนูจวิน พร้อมกับชื่อเสียงดีๆ ร้ายๆ ขึ้นๆ ลงๆ ของนาง ชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนรู้กันหมดแล้ว โรงหมอจิ่วหลิงตระกูลจวินแห่งหรู่หนาน ใต้เท้าจวินนายอำเภอของฝู่หนิงภักดีกับประเทศจนสิ้นใจ นี่เป็นทายาทของตระกูลอันดีงามที่ช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คนแห่งหนึ่ง


นอกจากนี้ตอนนี้คุณหนูจวินยังจิตใจเมตตากระทำความดีที่เมืองหลวง


ชาวบ้านรอบด้านวุ่นวายขึ้นมานิดหน่อย


“ทำไมไม่ให้ผู้อื่นเปิดเล่า”


“ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อด้วยล่ะ”


เสียงถกเถียงแผ่วเบาดังขึ้นรอบด้าน


นี่เป็นสถานการณ์ที่ก่อนหน้านี้ปรากฏน้อยครั้งนักต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพร ผ่านบทเรียนน่าสะพรึงขนาดนั้น ไม่มีชาวบ้านกล้าส่งเสียงเบื้องหน้าบรรดาองครักษ์เสื้อแพรแล้ว


นี่คือหัวใจประชาชนงั้นรึ?


โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้ตอนนี้ได้หัวใจประชาชนเช่นนี้แล้วหรือ?


นี่เพิ่งเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ก็ทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ลืมเลือนความหวาดหวั่นและความกลัวกล้าตั้งคำถามกับบรรดาองครักษ์เสื้อแพรแล้วรึ?


เฉินชีกำมือแน่น อดไม่ได้ฮึกเหิม


หัวใจประชาชน หัวใจประชาชน อาศัยบรรดาชาวบ้านแล้ว


ลู่อวิ๋นฉีหน้าไร้อารมณ์หันมองชาวบ้านด้านข้างฝั่งหนึ่งทีหนึ่ง


มองหนึ่งทีนี้ เสียงตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ด้านข้างพลันหายสิ้น


ไม่รอลู่อวิ๋นฉีมองอีกฝั่งหนึ่ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ฝั่งนั้นก็หายไปในทันใด


รอบด้านเงียบกริบ


เฉินชีในใจหัวเราะขมขื่นสองที


หัวใจประชาชนของชาวบ้านเมืองหลวงนี่ช่างเปลี่ยนง่ายเสียจริง


“ใต้เท้าลู่ ใต้เท้าลู่” เสียงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วดังขึ้นจากด้านนอก ตามติดด้วยคนก็เบียดเข้ามา คำนับให้ลู่อวิ๋นฉีติดกันหลายที “ใต้เท้า ใต้เท้า คุณหนูจวินยังเด็ก มีโทษอะไรท่านโปรดอภัยด้วย ท่านกล่าวกับข้าเถอะ”


องครักษ์เสื้อแพรล้อมโรงหมอจิ่วหลิงไว้ พนักงานสองคนล้วนไม่มีโอกาสเดินออกไปจากด้านในโถง ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยังคงเร่งมาในทันที เห็นได้ว่ายามปกติฝั่งนี้ล้วนส่งคนมาจับตาอยู่


ในใจเฉินชีโล่งอกอีกครั้ง มีเต๋อเซิ่งชางออกหน้าคงไม่มีเรื่องแล้ว


อย่างไรเต๋อเซิ่งชางก็เป็นตระกูลที่มีราชโองการ


ลู่อวิ๋นฉีไม่สนหัวใจประชาชน ไม่สนขุนนางใหญ่คนสูงศักดิ์ ถึงอย่างนั้นอำนาจของฮ่องเต้อย่างไรก็คงต้องสนกระมัง


มองผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ลู่อวิ๋นฉีถอยหลังหลายก้าว


“ไม่มีอะไรต้องพูด” เขาเอ่ย พูดจบประโยคก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีก แทบจะกะพริบตาทีหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าป้ายโรงหมอบนพื้น


เขายกเท้าขึ้น เหยียบลงไปบนป้ายโรงหมออย่างแรง


ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้กะทันหัน คนทั้งหมดยังไม่ทันตอบสนอง มองเห็นภาพนี้แม้กระทั่งเสียงอุทานตกใจยังไม่ทันหลุดออกจากปาก


แต่ก็มีคนโถมเข้าไปในเวลาเดียวกัน


“เจ้ากล้า!”


พร้อมกันเสียงตวาดดังของเด็กสาว เงาคนก็ตรงดิ่งเข้าชนลู่อวิ๋นฉี


ลู่อวิ๋นฉียกมือ สองมือของคุณหนูจวินผลักบนแขนของเขา ไม่อาจผลักออกไปได้ง่ายๆ แต่ก็หยุดลู่อวิ๋นฉีไม่ให้เหยียบได้


ลู่อวิ๋นฉีถอยหลังก้าวหนึ่ง เท้าที่ยกขึ้นวางลงบนพื้น ฝุ่นดินฟุ้งขึ้นมา


คนที่ยืนอยู่ใกล้แทบจะรู้สึกว่าพื้นดินสั่นนิดๆ


เห็นได้ว่ากำลังของเท้าข้างนี้มากเพียงไร คิดดูก็รู้เตะป้ายปลิวชนบนกำแพงต้องหักเป็นสองท่อนแน่


ป้ายโรงหมอถูกฟาดลงมาก็ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวแล้ว หักแตกอีกก็ไม่มีอะไรน่าตกใจแล้ว เวลานี้ตอนนี้ที่ทำให้พวกเขาตกอกตกใจก็คือเด็กสาวคนไหนถึงกับกล้าทำร้ายลู่อวิ๋นฉี


ก็ไม่ใช่ไม่มีใครกล้าทำร้ายลู่อวิ๋นฉี คนที่อยากทำร้ายลู่อวิ๋นฉีก็เคยมี แต่คนเหล่านั้นจุดจบล้วนอนาถนัก


เด็กสาวคนนี้น่ากลัวว่าคงถูกฆ่าตายตรงนี้แล้ว


รอบด้านชะงักนิ่งไปหมด


ลู่อวิ๋นฉีกลับราวกับหยุดนิ่งไปแล้ว เขามองสองมือนี่ที่จับแขนของตนไว้ ในหูเจ้ากล้าประโยคนั้นยังสะท้อนก้อง


เจ้ากล้า!


เสียงนี้ไม่ได้คุ้นหู แต่ทำไมตะโกนออกมาพริบตานั้นเขาเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง เหมือนกับมีคนผู้หนึ่ง มีวิญญาณดวงหนึ่งโถมเข้ามาอย่างรุนแรง โถมลงบนตัวเขา


วิญญาณที่ไม่อาจพบได้อีกแล้วดวงนั้น


……………………………………….


บทที่ 182 บนถนนพบความอยุติธรรมร้องคำราม

โดย

Ink Stone_Romance

“คุณหนูจวิน”


เสียงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วดังขึ้นข้างหูติดจะสั่นอยู่บ้าง


เสียงนี้ทำให้ลู่อวิ๋นฉีได้สติกลับมา สายตาของเขาหยุดบนหน้าเจ้าของมือสองข้างนี้


ใบหน้าไม่คุ้นเคย


ไม่มีความเหมือนสักนิด


คนพรรค์นี้เขามองยังคร้านมองเพิ่มสักที ตอนนี้กลับเพราะสิ่งนี้คิดถึงวิญญาณของนาง


นี่เป็นมลทิน


นี่ล้วนเพราะชื่อนี้เป็นเหตุ


โรงหมอจิ่วหลิงนี่เขาไม่อนุญาตให้มีอยู่เด็ดขาด


มองแววตาของผู้ชายตรงหน้า ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรู้สึกสันหลังเย็นวูบ


แย่แล้ว


ในใจเขากรีดร้อง คนก็โถมเข้าไป แต่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง มือของลู่อวิ๋นฉีพลิกขยับ


แขนที่เดิมทีถูกคุณหนูจวินจับอยู่ไม่รู้หลุดไปได้อย่างไร พร้อมกันนั้นมือก็ยื่นมาทางลำคอของคุณหนูจวิน


ลำคอบอบบางของคุณหนูจวินหากถูกบีบเข้าคงบีบทีเดียวหักแน่


ถึงเวลา ต่อให้หยิบราชโองการออกมาก็ไม่มีประโยชน์แล้วเหมือนกัน


ใครจะคิดว่าลู่อวิ๋นฉีถึงกับเป็นเช่นนี้ ไม่ถูก ลู่อวิ๋นฉีแน่นอนย่อมเป็นเช่นนี้


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผู้อายุเกินครึ่งร้อยเผชิญวิกฤติน้อยใหญ่มาแล้ว พริบตาในสมองว่างเปล่าไปหมด


พร้อมกับที่ข้างหูเสียงสายลมเร็วพัดผ่าน ก็เห็นมือที่เดิมจะกำลำคอของคุณหนูจวินปัดไปด้านข้างอย่างแรง


ลู่อวิ๋นฉีถอยหลังสองก้าว มือที่ทิ้งตัวลงมามีหยดเลือดหยดร่วง


ทั้งเหตุการณ์เงียบสนิทไปหมดจากนั้นก็วุ่นวาย


ใคร?


คนในเหตุการณ์มองไปรอบด้านอย่างวุ่นวาย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วได้สติกลับมาก่อน โถมเข้าไปปกป้องคุณหนูจวินทันที ในเวลาเดียวกันนี้เสียงพูดของผู้ชายก็ดังขึ้นข้างหู


“ใต้เท้าลู่ ท่านช่างองอาจจริงๆ นะ รังแกแม่นางน้อยกลางถนน”


สายตาของลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มองไปทางคนที่พูด แต่มองก้อนหินก้อนหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น บนก้อนหินยังเปื้อนเลือดของเขาอยู่


คนอื่นมองเห็นคนที่เอ่ยวาจาแล้ว บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก้าวล้อมลู่อวิ๋นฉีเอาไว้อย่างรวดเร็ว


ถนนเส้นหนึ่งหลีกทางให้ ชายหนุ่มหลายคนปรากฏตรงหน้าบรรดาชาวบ้าน


มองเห็นคนไม่กี่คนนี้ บรรดาชาวบ้านก็หลีกออกดุจคลื่นน้ำทันที


ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงมีที่กว้างผืนหนึ่งเกิดขึ้นมา


“คุณหนูจวินท่านไม่เป็นไรนะ?” จางเป่าถังก้าวเร็วไวเข้ามาเอ่ยถามอย่างห่วงใย


คุณหนูจวินส่ายศีรษะยิ้มให้เขา


“คนแซ่ลู่ เจ้ายังมียางอายหรือไม่?” จางเป่าถังมองไปทางลู่อวิ๋นฉีเอ่ยโกรธเกรี้ยว


“ใช่แล้ว ใต้เท้าลู่ ท่านผู้ใหญ่เช่นนี้คนหนึ่ง ทำไมรังแกแม่นางน้อยได้?” ซื่อเฟิ่งเดินเข้ามาส่ายหัวสีหน้าปวดใจ


ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางเขา


“หลี่ซานปิง ข้ารังแกแม่นางน้อยมีอะไรแปลกงั้นรึ?” เขาเอ่ยขึ้น


ซื่อเฟิ่งที่ถูกเรียกชื่อแซ่ว่าหลี่ซานปิงตะลึงจากนั้นก็หัวเราะพรืดแล้ว


“ใช่สิ ในสายตาใต้เท้าลู่ท่านมีแบ่งแค่คนกับคนผิด ไม่มีแบ่งแยกชายหญิงผู้เฒ่าเด็กน้อย” เขาเอ่ย พยักหน้า “นี่ไม่แปลกอะไรจริงๆ”


คำล้อเล่นนี่ไม่ได้น่าขำ ในเหตุกการณ์ก็ไม่มีใครหัวเราะ


จางเป่าถังก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอีกครั้ง


“ใต้เท้าลู่ คุณหนูจวินเปิดโรงหมอรักษาคนตายหรืออย่างไร? ทำไมท่านต้องพังป้ายโรงหมอของผู้อื่น” เขาเอ่ย


ลู่อวิ๋นฉีมองเขาไม่ได้เอ่ยวาจา องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งข้างกายเอ่ยปากอย่างเย็นชา


“พวกเราทำสิ่งใดต้องให้เหตุผลเจ้างั้นรึ?” เขาเอ่ย


จางเป่าถังสีหน้าทะมึน ซื่อเฟิ่งถอนหายใจ


“ใต้เท้าลู่ พวกพี่น้องล้วนหวังดีกับท่าน แม้ท่านหน้าไม่อายมานานแล้ว แต่พวกพี่น้องก็ปวดใจแทนท่านนะ” เขาเอ่ยอย่างเจ็บปวดหัวใจ


ดูเหมือนคำพูดห่วงใยแต่พูดออกมากลับเป็นถ้อยคำทำให้อับอาย บรรยากาศยิ่งชะงักนิ่งกว่าเดิม


“พูดไร้สาระอะไร” จูจั้นเอ่ย พลางก้าวยาวเข้ามา


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ล้อมลู่อวิ๋นฉีอยู่สีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง กำดาบในมือแน่น


จูจั้นเดินเข้าใกล้ลู่อวิ๋นฉี สายตาของคนทั้งหมดมองเขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง


เขาเดินไปถึงชั้นล่างของบันไดยื่นมือหยิบป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงขึ้นมาค้ำตั้งไว้บนพื้น ตอนนี้ถึงมองไปทางลู่อวิ๋นฉี


“ทำอะไร ไม่ต้องการเหตุผล” เขาเอ่ย ยื่นมือกวัก “มาสิ เจ้าจะพัง ข้าไม่ให้เจ้าพัง ใครร้ายกาจคนนั้นก็สมปรารถนา ก็ง่ายๆ เช่นนี้”


นี่จะตีกันแล้ว?


ชาวบ้านรอบด้านร้องประสานเสียงถอยหลังไปอีกครั้ง


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรชักดาบออกมา จางเป่าถัง ซื่อเฟิ่งยืนนิ่ง แลกสายตากัน ต่างมองไปสองทาง ส่วนชายหนุ่มสูงใหญ่กำยำสองคนที่ยืนอยู่กับจูจั้นก่อนหน้านี้แต่ไม่ได้เดินตามมา แววตาคมกริบจ้องเขม็งอยู่ที่บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ล้อมอยู่ด้านนอกนานแล้ว


แม้พวกเขาจะไม่ได้พกอาวุธ ร่างกายเกร็งเครียดขึ้นมา กล้ามเนื้อก็ปูดนูนแทบจะดันเสื้อผ้าขาด เห็นได้ว่าขอเพียงตีกันขึ้นมาก็จะสู้สุดชีวิต


ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงชักกระบี่ง้างคันศรแตะนิดเดียวก็จะปะทุ


ลู่อวิ๋นฉีมองจูจั้นทีหนึ่ง มุมปากขยับนิดหนึ่ง สักประโยคก็ไม่เอ่ยพลันหมุนตัวขึ้นม้า


มองเห็นการกระทำของเขา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรล้วนเก็บอาวุธระแวดระวังพากันขึ้นม้า ความเคร่งเครียดของศึกที่กำลังจะปะทุฉับพลันสลายไป ชาวบ้านบนถนนหลีกทาง มองขบวนของลู่อวิ๋นฉีเร่งม้าวิ่งรี่จากไป


ไม่รู้คนไหนอ้าปากร้องดีใจออกมาก่อน แม้เสียงนี้เบายิ่ง แต่ก็พบเห็นน้อยยิ่งนัก หลังจากนั้นก็มีเสียงร้องดีใจกระจัดกระจายดังขึ้นเบาๆ แม้เสียงเบามาก แต่เสียงเบาๆ รวมกันบนถนนก็กลายเป็นเอะอะขึ้นมาเหมือนกัน


“น่ากลัว” ซื่อเฟิ่งส่ายศีรษะเอ่ยกับเงาแผ่นหลังขบวนคนของลู่อวิ๋นฉี “น่ากลัวขึ้นทุกที สู้ตอนเด็กไม่ได้เลย”


ไม่ว่าใครน่ากลัว เรื่องนี้คลี่คลายไปชั่วคราวก็ดีแล้ว


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองจูจั้นที่ยังค้ำป้ายโรงหมอจิ่วหลิงอยู่ ทั้งขอบคุณทั้งตื่นเต้น


พูดถึงในเมืองหลวงนี้คนที่ต่อต้านหัวหน้ากองพันลู่อย่างไม่หวั่นเกรงเช่นนี้ได้ทั้งยังไม่ตกเป็นรองก็คงมีแค่เขาแล้ว


คุณหนูจวินเดินมาถึงตรงหน้าจูจั้น


“ขอบคุณท่าน” นางเอ่ย


จูจั้นมองนางทีหนึ่ง ไม่ปกปิดความรังเกียจสักนิด


“อย่าคิดไปเองล่ะ พวกเราย่อมไม่ได้ทำเพื่อเจ้า” เขาเอ่ย


จางเป่าถังเดินเข้ามาเช่นกัน


“ข้าใช่ ข้าใช่” เขาเอ่ยต่อทันที “คุณหนูจวินรักษาโรคให้ข้า ทั้งยังเป็นหมอที่ดีขนาดนี้ ถูกคนรังแกพวกเราย่อมไม่มีทางนิ่งดูดาย”


จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง


“นั่นมันเจ้าไม่ใช่ข้า” เขาเอ่ย ผลักป้ายโรงหมอในมือทีหนึ่ง


คุณหนูจวินตาไวมือเร็วรับไว้มั่น


“ข้าก็แค่ชอบให้พุทราน้อยลู่ไม่มีความสุขเท่านั้น” จูจั้นเอ่ยต่อ มองคุณหนูจวินอีกทีหนึ่ง “ไม่ต้องพูดถึงครั้งนี้เป็นเจ้า ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นสักคนก็เป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าคิดมากไป”


คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า


“ข้าไม่ได้คิดมากนะ ที่ข้าขอบคุณก็คือท่านชาย ที่ท่านไม่ว่าเป็นใครพบเห็นความอยุติธรรมก็ชักดาบช่วยเหลือเช่นนี้” นางเอ่ย “ไม่ว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นข้าหรือผู้อื่น ข้าล้วนต้องขอบคุณ”


จางเป่าถัง ซื่อเฟิ่งรวมถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่เดินเข้ามาได้ยินเข้าก็หัวเราะแล้ว


“คำพูดนี้พูดได้ดี” ซื่อเฟิ่งเอ่ยชม


ดีกับผีสิ วาจากะล่อนชัดๆ


คิ้วของจูจั้นเลิกขึ้น


“เจ้าคิดว่าสนิทกับข้ามากแล้วจริงๆสินะ พูดจายิ่งมากขึ้นทุกที” เขาเอ่ย


ตอนแรกที่หรู่หนาน ท่าทีของนางก็ประหลาดมากเช่นกัน แต่ประการที่หนึ่งเพราะความขัดแย้งเรื่องเกมหมากโคมไฟกับต้นเซียนจื่ออิง ผนวกกับท่าทางคุ้นเคยยามแรกพบของนางดูอย่างไรก็ติดจะระแวงและหยั่งเชิงอยู่บ้าง ก็เข้าใจได้


ทว่าตั้งแต่หลังเข้าเมืองหลวงพบหน้ากัน ท่าทีของเด็กสาวคนนี้ที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไปมากอย่างชัดเจน เหมือนกับพูดอะไรก็ไม่เป็นไร จริงใจจนน่ากลัว


พวกเขาสนิทกันขนาดนั้นที่ไหน!


พวกผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ ยิ้มให้นางทีหนึ่งก็แต่งละครใหญ่โตสะเทือนฟ้าดิน ภูตผีเทวาร่ำไห้ได้


ทำหน้าดีๆ ใส่พวกนางไม่ได้จริงๆ


ไม่รอคุณหนูจวินพูดจาอีกครั้ง จูจั้นก็ก้าวเดียวผ่านนางเดินออกไปแล้ว


……………………………………….


บทที่ 183 ไม่หวาดกลัวไม่ถอยหลัง

โดย

Ink Stone_Romance

เทียบกับความเย็นชารังเกียจของจูจั้น จางเป่าถังจริงใจมีไมตรีอย่างยิ่ง


“คุณหนูจวินท่านอย่ากลัว มีเรื่องก็ให้คนมาหาข้า บ้านข้าอยู่ที่เมืองฝั่งตะวันออก เจ้าหาตระกูลจางถามทีหนึ่งก็รู้” เขาเอ่ย


ตระกูลจางแห่งหลินชวน คุณหนูจวินย่อมรู้จัก


ตระกูลแม่ทัพรุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้เน้นพลเรือนไม่เน้นทหาร แต่เทียบกับตระกูลหนิงตระกูลขุนนางพลเรือนเช่นนี้ ตระกูลของตระกูลจางก็ไม่อาจดูแคลน


อย่างไรการสืบตระกูลของขุนนางพลเรือนจำนวนหนึ่งอาศัยการสอบขุนนาง แต่แม่ทัพทหารอาศัยคุณงามความชอบทางการทหาร คุณงามความชอบทางการทหารเทียบกันแล้วง่ายกว่าสอบขุนนางอยู่บ้าง ตระกูลก็สืบทอดกันปลอดภัยมั่นคงมากกว่า ไม่เหมือนตระกูลบัณฑิตไม่มีจิ้นซื่อสองรุ่น ตระกูลก็ตกต่ำแล้ว


คุณหนูจวินยิ้มให้เขาพยักหน้าคำนับขอบคุณอีกครั้ง


“ไปได้แล้ว ไปได้แล้ว” ซื่อเฟิ่งยิ้มเอ่ย เร่งจางเป่าถัง สองคนตามจูจั้นที่เดินออกไประยะหนึ่งแล้วไป


หลังกลุ่มของจูจั้นจากไป บนถนนก็เปลี่ยนเป็นยิ่งคึกคักแล้ว ทุกคนออเข้ามาเอ่ยถาม บ้างใคร่รู้ บ้างห่วงใย


สถานการณ์เช่นนี้คนของโรงหมอจิ่วหลิงไม่สะดวกอยู่ข้างนอกต่ออีก ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วให้พนักงานขวางชาวบ้านที่ออเข้ามาไว้ กันคุณหนูจวินเข้าไป


คุณหนูจวินที่ในมือยังประคองป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงกลับไม่ขยับ ก้มหน้ามองป้าย


เพราะเมื่อครู่ถูกฟาดร่วงลงมาจากบนประตูจึงเปื้อนฝุ่น


นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาก้มตัวเช็ดถู


“ยังไงก็เข้าไปเช็ด…” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา


เฉินชีกลับดวงตาเป็นประกายขัดเขา


“เช็ดมันตรงนี้แหละ” เขาเอ่ยเสียงเบา


เด็กสาวถูกรังแกน้ำตาคลอ อดกลั้นต่อความอับอายเช็ดป้ายโรงหมอที่ตกทอดมาในตระกูลของตนทีละนิดๆ ถึงจะยิ่งแลดูเศร้าสลด และยิ่งทำให้คนสงสารได้


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็คิดได้เหมือนกัน แต่เขาขมวดคิ้ว


อยู่ที่อื่นบางทีอาจได้ผลดียิ่ง แต่ที่เมืองหลวง คนที่เผชิญหน้ายังเป็นองครักษ์เสื้อแพรอีก หัวใจประชาชนสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแล้วไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น


แต่มีอย่างไรก็ดีกว่าไม่มี นอกจากนี้บรรดาขุนนางที่ประสบหายนะเหล่านั้นก่อนหน้านี้สำหรับชาวบ้านแล้ว อย่างไรก็อยู่เบื้องบนสูงส่ง ไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงอะไรกัน มากที่สุดก็มองด้านข้างทอดถอนใจเวทนา


แต่คุณหนูจวินไม่ใช่ขุนนางใหญ่คนสูงศักดิ์ แต่เป็นหมอที่รักษาโรคช่วยเหลือผู้คน นี่เกี่ยวพันกับประโยชน์ของชาวบ้านทุกคนเอง อย่างไรก็ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าตนเองทั้งชีวิตจะไม่ป่วย


นอกจากนี้วิชาแพทย์ของคุณหนูจวินสูงส่งขนาดนี้ ทั้งยังมีใจเมตตากรุณายิ่งใหญ่ให้ร้อยหมอรักษาคนทั่วใต้หล้า หัวใจประชาชนนี้หากได้มาแล้วบางทีอาจปกป้องนางได้จริงๆ ก็ได้


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถอยไปยืนข้างหลังหลายก้าว หลบจากการบดบังสายตาของชาวบ้าน ทำให้ทุกคนมองเห็นการกระทำของคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินไม่ได้สนใจความคิดการกระทำของเฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว นางเพียงแค่มองฝุ่นที่เปื้อนบนป้ายชื่อ คิดถึงลู่อวิ๋นฉีแทบจะเหยียบทำลายป้ายโรงหมอของนาง นางลำบากมากกว่าจะได้ชื่อนี้กลับมาใหม่ นางไม่คิดอะไรทั้งนั้น แค่คิดจะเช็ดมันให้สะอาด


“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์โถมเข้ามา หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วย เช็ดน้ำตาพลางเช็ดตามด้วยพลาง “นี่เป็นของนายท่าน นี่เป็นของนายท่านผู้เฒ่า นี่เป็นของตระกูลเรา”


คนอื่นช่างเถิด นางเป็นถึงคนตระกูลเดียวกับคุณหนู นางเป็นคนตระกูลจวิน ป้ายโรงหมอของตระกูลจวินหวิดถูกคนทำลายแล้ว น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ


“นายท่านไม่อยู่แล้ว นายท่านตายเปล่าแล้ว”


หลิ่วเอ๋อร์ยิ่งคิดยิ่งเสียใจ ร้องไห้เสียงดังออกมาเสียเลย


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่มองเห็นฉากนี้ไม่มีใครสะดวกใจเข้าไปเอ่ยถามอีก ทั้งเวทนาทั้งเศร้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้นของหลิ่วเอ๋อร์ที่ว่านายท่านตายเปล่าแล้ว ผู้หญิงจำนวนหนึ่งก็อดไม่ได้น้ำตาร่วงตามไปด้วย


คุณหนูจวินกลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วเอ๋อร์จะเสียใจปานนี้ เช็ดป้ายโรงหมอหลายทีหัวใจก็ฟื้นกลับมาสงบ รีบกอดนางไว้ปลอบประโลม


“คุณหนู นี่จะทำอย่างไร?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอยู่ด้านข้างเอ่ยถามเสียงเบา


คุณหนูจวินมองเขาชี้ป้ายโรงหมอในมือตน


“แขวนขึ้นไป” นางเอ่ย


จะแขวนขึ้นไปหรือ?


เฉินชีลังเลนิดหนึ่ง


“แขวนขึ้นไป” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย กำชับพนักงานสองคน “ป้ายโรงหมอนี่เป็นถึงสิ่งที่บุตรชายเฉิงกั๋วกงปกป้องไว้”


บุตรชายเฉิงกั๋วกงปกป้องป้ายโรงหมอให้พวกเขา พวกเขากลับไม่กล้าแขวน ใยไม่ใช่แสดงว่าพวกเขากลัวแล้ว นี่จะให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


แม้เป็นคนทำการค้าคนหนึ่ง แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแต่ไหนแต่ไรไม่ศรัทธาความกลิ้งกลอก ไม่ดำก็ขาว ไม่สนับสนุนคนนี้ก็ฉีกหน้าคนนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีเรื่องสองหัวมีผลประโยชน์เอาได้หมด


เพื่อป้ายโรงหมอแผ่นนี้ ลู่อวิ๋นฉีล้วนออกหน้าเองแล้ว ความขัดแย้งนี้ผูกแล้วแก้ไม่ง่าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแก้มันเสียเลย


อาศัยบุตรชายเฉิงกั๋วกง หลังจากนั้นยังมีราชโองการของตระกูล ผนวกกับคุณหนูจวินทำลงไปมากมายขนาดนี้ ไม่เชื่อว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะอยู่ไม่ง่ายจริงๆ


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตัดสินใจเด็ดขาด สั่งเสร็จตนเองก็ย้ายป้ายโรงหมอเสียเอง พนักงานสองคนยกบันไดมาแล้ว รับป้ายโรงหมอแขวนขึ้นไป


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วประสานมือให้ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ พาพวกคุณหนูจวินเข้าไปข้างใน ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ไม่ได้แยกย้ายไป มองดูป้ายโรงหมอที่แขวนขึ้นไปใหม่อีกครั้ง สีหน้าหลากอารมณ์วิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเดิมทีต้องการปลอบคุณหนูจวิน แต่คุณหนูจวินปลอบตัวเองแล้ว


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่ต้องกังวล” นางยังปลอบผู้ดูแลใหญ่หลิ่วด้วย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วในใจถอนหายใจ ก็รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ เด็กสาวคนนี้เมื่อไรก็มีความคิดของตนเองเสมอ


“ไม่รู้ว่าเพราะอะไร?” เขาเพียงเอ่ยถาม


คุณหนูจวินยิ้ม


“เพียงเพราะชื่อ” นางเอ่ย


เพียง เพราะชื่อ?


นี่มีอะไรน่าขำ? นี่ควรค่าแก่การดีใจนักรึ?


เมื่อครู่นางหวิดจะถูกลู่อวิ๋นฉีบีบคอตายแล้ว


นี่ย่อมควรค่าแก่การดีใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าวันนี้นางพบกับความตกใจกลัวมากเท่าไร ความกลัวจากการหายไปของพี่สาวปิงเอ๋อร์ หรือถึงขั้นตัวตนถูกเปิดโปง ตอนที่ได้ยินว่าลู่อวิ๋นฉีมาถึงด้านหน้าโรงหมอจิ่งหลิง นางหวาดกลัวจริงๆ


ความหวาดกลัวอันไร้ทางช่วยเช่นนั้น


ดังนั้นนาทีนั้นที่ได้ยินว่าลู่อวิ๋นฉีต้องการให้ปลดป้ายโรงหมอ หัวใจของนางก็ร่วงลงไปที่พื้นแล้ว


ที่แท้ไม่ใช่เพื่อตัวตนของนาง แต่เพียงเพื่อชื่อจิ่วหลิงชื่อนี้


แม้เรื่องนี้ก็ทำให้โกรธนักเช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นไร้ทางถอย ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องโชคดีในความโชคไม่ดี


ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การดีใจ


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยากจะเข้าใจ แต่ผ่านมาครึ่งปีกว่าเขาคุ้นชินกับการกระทำของคุณหนูจวินคนนี้แล้ว ก็เหมือนที่นายน้อยฟางกำชับมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้น ปล่อยให้นางทำตามใจนาง


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขอตัวออกจากโรงหมอจิ่วหลิงบ้าง ชาวบ้านที่ยืนอยู่รอบนอกประตูยังไม่แยกย้ายไปหมด เขาเงยหน้ามองป้ายโรงหมอ ในใจหวาดกลัวทีหลังวูบหนึ่งอีกครั้ง


โชคดีเป็นล้นพ้นที่วันนี้บุตรชายเฉิงกั่วกงมา ไม่อย่างนั้นเรื่องไม่รู้จะจบอย่างไร


นี่ก็บังเอิญจริงๆ


เขาลูบเครา บุตรชายเฉิงกั๋วกงบังเอิญปรากฏตัวได้อย่างไรเล่า? หรือเขาเหมือนกับตนวางคนไว้ด้านนี้เฝ้าดูคุณหนูจวิน?


ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงต้องรู้จักกันแน่ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ยังไม่ตื้นเขิน


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” พนักงานคนหนึ่งออกมาจากด้านในโถงเข้ามาใกล้เขาอย่างระมัดระวังเอ่ยเสียงเบา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถูกขัดความคิดมองพนักงานทีหนึ่ง


“บุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้ก็คือผู้ชายคนนั้นที่คุณหนูจวินส่งออกมาจากโรงหมอจิ่วหลิงเช้าตรู่วันนั้น” พนักงานกดเสียงเบาเอ่ย


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสูดปากทีหนึ่ง ดึงเคราหลุดหลายเส้น


ความสัมพันธ์นี่ไม่ตื้นเขินจริงๆ!


……………………………………….


บทที่ 184 เพียงเพราะชื่อ

โดย

Ink Stone_Romance

และในเวลาเดียวกันนี้ซื่อเฟิ่งก็ขบคิดคำถามเดียวกัน มองจูจั้นที่เดินอยู่ข้างตัวเป็นระยะ


“มองอะไร มีอะไรก็รีบพูด” จูจั้นเอ่ย


ซื่อเฟิ่งหัวเราะคิกคักก้าวไปข้างหน้า


“คิดไม่ถึงคุณหนูจวินคนนี้ร้ายกาจทีเดียว ไม่พูดถึงไม่กี่เดือนสร้างชื่อในเมืองหลวง ยังถึงกับหาเรื่องลู่อวิ๋นฉีได้” เขาเอ่ย “ข้าคิดว่าหาเรื่องเจ้าก็ร้ายกาจพอแล้ว”


จูจั้นแค่นเสียง


“หาเรื่องลู่อวิ๋นฉี เจ้าช่างยกย่องนางเสียจริง” เขาเอ่ย


จางเป่าถังได้ยินก็ก้าวตามขึ้นมาด้วย


“พี่รอง ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะอะไร?” เขาเอ่ย พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็โกรธอยู่บ้าง “ใช่ลู่อวิ๋นฉีเจ้าลูกสุนัขนี่คิดอะไรกับคุณหนูจวินหรือไม่? เจ้าหนูนี่ตอนนี้ไม่ใช่คนแล้ว วันๆ แย่งชิงผู้หญิงมาไว้ในบ้านลับ บ้านลับของเขาผู้หญิงมากกว่ากรมสังคีตศิลป์เสียอีก…”


“เจ้าลูกสุนัขตัวนี้คิดว่าตนเองเหยียบขึ้นฟ้าแล้วจริงๆ…” ชายหนุ่มคนอื่นเอ่ยทันที


จูจั้นโบกมือ


“พวกเจ้าคิดเรื่องถูกทำนองคลองธรรมหน่อยได้ไหม?” เขาเอ่ย “ลากไปไหนแล้ว”


“นี่โทษพวกเราไม่ได้ ใครให้คนแซ่ลู่ไม่ทำเรื่องถูกทำนองคลองธรรม” ซื่อเฟิ่งเอ่ย


“พี่รอง ถ้าเช่นนั้นที่แท้เป็นเพราะอะไร?” จางเป่าถังเอ่ยถาม


จูจั้นมองด้านหน้าหัวเราะ


“ไม่มีอะไร เพียงเพราะชื่อเท่านั้น” เขาเอ่ย


เพียงเพราะชื่อเท่านั้น?


ซื่อเฟิ่งเข้าใจทันที


“โรงหมอจิ่วหลิง จิ่วหลิง…” เขาเอ่ย


โรงหมอจิ่วหลิง


ชายหนุ่มคนอื่นก็ล้วนเข้าใจแล้ว สีหน้าพิกลอยู่บ้าง


“เขาเสียสติรึ” จางเป่าถังร้องตะโกน “ใต้หล้าคนที่ชื่อจิ่วหลิงมีตั้งมาก เขา เขา…”


เขาติดอ่างอยู่เป็นนานก็หาคำที่เหมาะสมไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงถุยทีหนึ่ง


“เสียสติจริงๆ”


“พี่รอง เพราะสิ่งนี้จริงรึ? นี่น่าขำเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ลู่อวิ๋นฉีเขาบ้าไปแล้วหรือ? มีเหตุผลอื่นหรือไม่? ข้าได้ยินว่าผู้หญิงของลู่อวิ๋นฉีมาหาคุณหนูจวินรักษาโรค เพราะเรื่องนี้ทำเขาโกรธหรือไม่?”


“นางจะรักษาไม่หายรึ? นางจะให้คนหาข้อตำหนินางในด้านโรคได้หรือ?” จูจั้นเอ่ย “ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว ก็เหตุผลนี้แหละ”


เขาหยุดไป


“นี่ก็ไม่ได้น่าขำ”


เพราะที่เขาสนใจโรงหมอจิ่วหลิง ปกป้องป้ายโรงหมอแผ่นนั้น ก็ไม่ใช่เพราะชื่อนี้หรือ?


นี่คือเสียสติหรือ?


หากเสียสติ รักษาหายได้หรือไม่?



“อวิ๋นฉี”


“อวิ๋นฉี”


เห็นลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา หญิงสาวด้านในเรือนก็รุมเข้ามารอบด้านล้อมเขาไว้


ลู่อวิ๋นฉีแย้มยิ้มมองพวกนางทีละคนๆ ยื่นมืออกมารับเหล่าหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอด


พลันหญิงสาวคนหนึ่งก็ร้องตกใจขึ้น


“อวิ๋นฉีมือของท่านเป็นอะไร?” นางตะโกน


พวกผู้หญิงมองไป ตอนนี้ถึงมองเห็นบนหลังมือขวาที่ยื่นออกมาของลู่อวิ๋นฉีมีรอยเลือดแถบหนึ่ง เนื้อหนังแหวะเปิดไปก้อนหนึ่ง


เหล่าหญิงสาวส่งเสียงกรีดร้องตรงนั้นตรงนี้


“เกิดอะไรขึ้น?”


“ใครมานี่เร็วเข้า”


ลู่อวิ๋นฉีแย้มยิ้มส่งเสียงชู่ให้พวกนาง


“ไม่ต้องร้องโหวกเหวก” เขาเอ่ย


แค่เขายิ้มเอ่ยประโยคนี้ พวกผู้หญิงก็เงียบลงทันที


“อวิ๋นฉี เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มีคนร่ำไห้เป็นดอกสาลี่เปียกฝนเอ่ยถาม


ลู่อวิ๋นเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยวาจา


“อวิ๋นฉี เจ็บหรือไม่?” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม


ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางคนพูด


ผู้หญิงคนนี้ถูกเบียดไปข้างนอก กำลังเบิ่งตามองเขาอยู่


ลู่อวิ๋นฉีผลักผู้หญิงในอ้อมกอดข้างหน้าออก ยื่นมือไปทางนางเดินไป


ผู้หญิงคนนี้เพราะตะลึงยินดีอย่างยิ่งชั่วขณะหนึ่งลืมขยับ จนกระทั่งถูกลู่อวิ๋นฉีกอดไว้


ศีรษะของลู่อวิ๋นฉีซุกอยู่บนหัวไหล่ของนาง


“เจ็บ” เขาตั้งใจเอ่ย


ผู้หญิงคนอื่นจึงได้สติกลับมา รุมเข้ามาอีกครั้ง


“อวิ๋นฉี ข้าพันแผลให้เจ้าเอง”


“อวิ๋นฉี ยังมียา รีบไปเอายามา”


พวกผู้หญิงแย่งกันพูด ลู่อวิ๋นฉีเพียงแค่ซบอยู่บนหัวไหล่ของหญิงสาวที่กอดไว้นิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้พวกนางจัดการกับมือของเขาตามใจ



เหตุการณ์ครั้งนี้ที่โรงหมอจิ่วหลิงเพราะเกี่ยวพันถึงลู่อวิ๋นฉีกับจูจั้นจึงแพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วยิ่งนัก


หนิงอวิ๋นเจาที่เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาถึงขั้นโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างขัดคำพูดของเสี่ยวติง


“ทำไมตอนนี้เพิ่งมาบอกข้า?” เขาเอ่ย


เสี่ยวติงไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งหวาดกลัวมองเขา


คุณชายสง่าทรงภูมิมาตลอด น้อยนักจะบันดาลโทสะ ยิ่งไม่เคยใช้คำพูดเลวร้ายกับคนรับใช้


“คุณชาย ท่านเคยบอกว่าไม่ให้รบกวนท่าน จะตั้งใจอ่านหนังสือ” เขาเอ่ยอย่างระวัง


เขาเคยพูด เขาก็เป็นคนลงมือทำได้ปล่อยวางเป็นคนหนึ่ง ในเมื่อคุณหนูจวินพูดชัดแล้วว่าไม่เหมาะสมไม่อยาก เขาย่อมไม่ไปกวนนางอีก แน่นอนไม่ให้เสี่ยวติงไปสืบข่าวนางต่อด้วย


แต่…


ไม่กวนนาง ไม่สืบข่าวของนาง กับเรื่องนี้ตอนนี้ไม่เหมือนกัน


นี่นางพบอันตรายแล้ว


อันตรายเกินไปแล้ว ลู่อวิ๋นฉีคนผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว


“เรื่องเช่นนี้ไม่บอกได้หรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย


เรื่องเช่นนี้ทำไมไม่บอกไม่ได้? เสี่ยวติงไม่เข้าใจ แต่ในฐานะคนรับใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเช่นกัน


“ขอรับๆ” เขาขานรับหลายคำ“ข้าผิดไปแล้ว”


หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ตั้งคำถามต่อ ออกห่างจากโต๊ะเดินไปมาหลายก้าว


“มีคนบอกว่าคุณหนูจวินรักษาผู้หญิงของใต้เท้าลู่ไม่หาย” เสี่ยวติงเอ่ยต่ออย่างระมัดระวัง


“เหลวไหล” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย


“แล้วก็มีคนบอกว่า ใต้เท้าลู่ต้องตาคุณหนูจวินเข้า บุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ต้องตาคุณหนูจวินเหมือนกัน ดังนั้น…” เสี่ยวติงเอ่ยอีกครั้งอย่างระมัดระวัง


คำพูดครั้งนี้ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหนิงอวิ๋นเจาขัดแล้ว


“ไร้สาระน่าหัวร่อ” เขาเอ่ย “คนใต้หล้าล้วนเป็นเช่นนี้จริงๆ แค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายคนหนึ่งทะเลาะกันก็ต้องคิดถึงเรื่องนี้”


เสี่ยวติงขัดเขิน


“นี่ไม่ใช่ไม่รู้เหตุผลทุกคนก็คาดเดามั่วหรือขอรับ” เขาเอ่ย “ยังไงลองไปถามคุณหนูจวินไหมขอรับ?”


หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ


“นี่ยังต้องถามหรือ? นี่ไม่ใช่เห็นชัดๆ รึ” เขาเอ่ย “เพียงเพราะชื่อเท่านั้น”


ชื่อ?


เสี่ยวติงไม่เข้าใจมองหนิงอวิ๋นเจา


เพราะโรงหมอจิ่วหลิงสินะ เรื่องนี้เริ่มแรกเขาก็เอ่ยกับนางแล้ว ตอนนี้ก็เป็นดังว่าจริงๆ


ลู่อวิ๋นฉีเป็นคนที่เสียใจจนเสียสติเป็นบ้าคนหนึ่งไม่อาจเอาสามัญสำนักมาขบคิดได้


ยังดีครั้งนี้มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงคลี่คลายสถานการณ์ไป


“ถ้าอย่างนั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงเพราะอะไรอีกเล่าขอรับ?” เสียวติงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม


“เพื่อ ลู่อวิ๋นฉีล่ะมั้ง” เขาเอ่ย


นี่หมายความว่าอย่างไร?


เสี่ยวติงสีหน้าไม่เข้าใจ


“หมายความว่าไม่มีเหตุผล แค่เพราะลู่อวิ๋นฉี ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำให้ลู่อวิ๋นฉีไม่สบายใจได้ เขาล้วนจะไปทำ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย ท่าทางหมดความสนใจอยู่บ้าง “ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว”


เสี่ยวติงร้องอ้อเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ


“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินด้านนั้น คุณชายจะไปดูไหมขอรับ?” เขาเอ่ยถาม


หนิงอวิ๋นเจามองใบไม้ที่ร่วงหล่นหมุนคว้างกลางสายลมนอกหน้าต่าง


“นางไม่ต้องการ” เขาเอ่ย “แล้วก็ไม่จำเป็น”


เขาเก็บสายตากลับมา เดินกลับมาหน้าโต๊ะ หยุดไปอีกครั้ง คิ้วขมวด


“ครั้งนี้ลู่อวิ๋นฉีทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จในครั้งเดียว หากตระกูลฟางยอมย่อมไม่ให้โอกาสกับเขาอีกได้”


เงื่อนไขก่อนหน้าคือ หากตระกูลฟางยอมน่ะนะ



ในเรือนด้านหลังของตระกูลฟาง แม้ปลายฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็น แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางยังคงนั่งอยู่ในศาลารับลมอย่างกะปรี้กระเปร่า ดูละครที่กำลังครึกครื้นบนเวทีแสดง


นี่เป็นคณะละครชื่อดังที่เพิ่งมาจากเมืองไท่หยวน เป็นฟางเฉิงอวี่ตั้งใจเชิญมาเป็นของขวัญ


ดูท่าควบคุมกิจการมานานเกินไป พวกผู้หญิงตระกูลฟางกลับไม่ชอบละครร้องเล่นแล้ว แต่ชอบดูละครผาดโผน เวลานี้เสียงกลองประสานดาบหอกบนเวทีเคลื่อนไปมาโถมซัดโครมครามตื่นเต้น ดึงสาวใช้หญิงรับใช้มารวมตัวดูที่นี่มากมาย


นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้สนใจ ก่อนหน้านี้เพราะในบ้านเงียบเหงา จึงตั้งใจให้คนมากสร้างภาพว่าคึกคัก แต่ความจริงดูแล้วในใจรำคาญนัก ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว มองเห็นความคึกคักเหล่านี้ในใจสบายยิ่งนัก


ตัวตลกบนเวทีถูกเตะไปที่พื้น ทำท่าทางประหลาดหายาก ชักนำให้ทุกคนหัวเราะครืน นางหยวนยิ่งหัวเราะจนเกาะหัวไหล่นายหญิงผู้เฒ่าฟาง


นายหญิงผู้เฒ่าฟางก่อนหน้านี้รำคาญการกระทำผู้หญิงๆ เช่นนี้ที่สุด เวลานี้กลับไม่ได้สนใจ


คนที่กำลังหัวเราะเวทีละครอยู่ ฉับพลันหยุดลง พากันถอยออกไปตามสัญญาณจากผู้ดูแลด้านข้าง


นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่เข้าใจมองไป เห็นฟางเฉิงอวี่เดินเข้ามา


ส่วนหญิงผู้ดูแลที่เข้ามาก็โบกมือให้สาวใช้หญิงรับใช้รอบด้าน คนด้านนี้แยกย้ายไปดุจน้ำทันที พริบตาก็เหลือเพียงนายหญิงผู้เฒ่าฟาง นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนสามคน


“เกิดอะไรขึ้น?” นายหญิงใหญ่ฟางรีบเอ่ยถาม


ฟางเฉิงอวี่ยกเสื้อคุกเข่าให้นายหญิงผู้เฒ่าฟาง


“ท่านย่า” เขาเอ่ยเงยหน้ามองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “โปรดส่งราชโองการไปให้โรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงด้วยเถิด”


ส่งราชโองการไปให้โรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวง?


นายหญิงใหญ่ฟางฉับพลันสีหน้าตกใจลุกขึ้นยืน


“เฉิงอวี่ เจ้าเสียสติแล้วหรือ?” นางเอ่ยขึ้น


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม