Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 บทที่ 171-177

บทที่ 171 อยากถามเจ้าดูว่ายินดีหรือไม่

โดย

Ink Stone_Romance

ฟางจิ่นซิ่วยังสงสัยอยู่ว่าตนเองกำลังฝัน


ทำไมมาถึงเมืองหลวงแล้วยังพบหนิงอวิ๋นเจาอีก?


คนผู้นี้ไม่ใช่ควรหายไปจากสายตาของพวกนางแล้วหรือ?


“เพราะเดิมทีข้าก็อยู่ที่เมืองหลวงนี่” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย


เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นฟางจิ่นซิ่วเหมือนกัน


เห็นฟางจิ่นซิ่ว เขาก็คิดถึงก่อนหน้านี้ การรีบเดินในคืนนั้น การลอบพบกันอย่างลังเลในยามเที่ยงคืน


ตอนนั้นเพราะเรื่องที่หอจิ้นอวิ๋นจึงไม่มีใจสนสิ่งอื่น ตอนนี้คิดขึ้นมาการกระทำนี้ก็น่ากลัวอยู่จริงๆ


ไม่แปลกที่คุณหนูสามฟางผู้นี้จะตกใจ


แต่คุณหนูจวินกลับไม่เคยหวาดกลัวเลย


แน่นอนนางไม่เหมือนผู้อื่น


คิดถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็วิตกขึ้นมาบ้างอีกครั้ง


ฟางจิ่นซิ่วตกใจถอยไปเล็กน้อย ที่มาแทนที่คือความไม่พอใจ


นางย่อมรู้ว่าหนิงอวิ๋นเจาอยู่ที่เมืองหลวง


“เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?” นางเอ่ย “หรือเจ้ามีธุระจะพูดกับนางอีกแล้ว?”


เรื่องที่หอจิ้นอวิ๋นน่ะผ่านไปแปดร้อยปีแล้วนะ


หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า


“ใช่ ข้ามีธุระจะพูดกับนาง” เขาสีหน้าจริงจังอยู่บ้าง


ฟางจิ่นซิ่วหงุดหงิดเล็กน้อย


“เจ้ามีเรื่องอะไรต้องพูดกับนาง?” นางเอ่ย มองถนนมืดสลัว โคมไฟสีแดงแกว่งไกว “ดึกดื่นเช่นนี้เจ้ารู้สึกว่าเหมาะสมไหม?”


เหมาะสมไหม?


หมายถึงชายหญิงไม่สะดวกหรือ?


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม


“นี่มีอะไรไม่สะดวก? คุณชายของข้ามาเยี่ยมคุณหนูจวินบ่อยๆ ยังเคยร่วมร่ำสุรา…” เสี่ยวติงอดไม่ได้เอ่ยขึ้น


หนิงอวิ๋นเจาปรามเขาไม่ให้เขาพูดจนจบ แต่ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าตื่นตะลึงแล้ว


อะไรนะ? มาบ่อย?


ยังเคยร่ำสุรา?


“ใครน่ะ?” เสียงคุณหนูจวินดังมาจากด้านหลัง “เรื่องอะไร?”


นางเอ่ยวาจาแล้วเดินเข้ามา เดิมคิดว่าเป็นคนที่มาขอรักษาซื้อยา แต่อยู่ด้านหลังพักหนึ่งก็ไม่เห็นฟางจิ่นซิ่วกลับมา นางไม่วางใจจึงออกมาดูสักหน่อย


ได้ยินเสียงนาง เสี่ยวติงก็รีบโบกไม้โบกมือร้องเรียกคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินเดินเข้ามา มองเห็นหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ด้านนอกประตู


“คุณชายหนิงท่านนี่เอง” นางเอ่ย


หนิงอวิ๋นเจายิ้มให้นาง


“ที่แท้คุณหนูสามฟางก็เข้าเมืองหลวงมาแล้ว หลายวันนี้ข้าเก็บตัวอ่านหนังสือ ถึงกับไม่ทราบ” เขาเอ่ย


คำพูดนี้ฟังแล้วประหลาดจริงๆ ข้าเข้าเมืองทำไมเจ้าต้องรู้


สนิทกับเจ้าหรือ?


ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขา แล้วมองคุณหนูจวิน


ดูไปแล้ว พวกเขาเหมือนจะคุ้ยเคยกันมากอยู่


ฟางจิ่นซิ่วถอยหลังก้าวหนึ่งไม่เอ่ยวาจาอีก


“คุณชายหนิงตามหาข้ามีธุระหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม


นางเอ่ยถามประโยคนี้ มองเห็นสีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาราวกับลำบากใจนิดๆ สายตากวาดไปทางฟางจิ่นซิ่ว รวมถึงผู้ชายที่มองเห็นไม่ชัดยื่นศีรษะอยู่ตรงโถงด้านหลัง


หลายวันนี้เขาต้องการคิดเรื่องบางอย่างให้กระจ่าง ดังนั้นจึงไม่ได้ออกมาข้างนอก ยิ่งไม่ได้ตั้งใจฟังข่าวของโรงหมอจิ่วหลิง คิดไม่ถึงหลังคิดเข้าใจ มาโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้งคนก็เพิ่มขึ้นหลายคนแล้ว


แน่นอนว่าคนเพิ่มขึ้นมาบ้างเป็นเรื่องดียิ่ง ครึกครื้น นางก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวเช่นนั้น


เพียงแต่คำพูดบางอย่างก็ไม่สะดวกนัก


นี่ก็ไม่ใช่คำพูดอะไรที่เผยต่อหน้าผู้คนไม่ได้ พูดออกไปอย่างเปิดเผยได้อย่างสิ้นเชิง


ในเมื่อคิดเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอะไรว่าผู้อื่นจะคิดมาก


หนิงอวิ๋นเจายิ้มกำลังจะเอ่ยปาก คุณหนูจวินกลับเอ่ยปากก่อนก้าวหนึ่ง


“เข้ามาพูดเถอะ” นางเอ่ย พลางยื่นมือทำท่าเชิญ


ก็ใช่ ตอนนี้เขายังยืนอยู่นอกประตู


“เฮ้? คุณชายหนิง ท่านมาแล้ว?” หลิ่วเอ๋อร์เดินออกมาจากข้างใน มองเห็นเขาก็เอ่ยขึ้น “ท่านกลับมาจากบ้านท่านอาของท่าน บังเอิญผ่านทางมาหรือ?”


พอดี บังเอิญจริง ตั้งแต่นาทีนั้นที่พบกันกะทันหันบนถนนใหญ่ของเมืองหลวง การพบหน้ากันของเขากับนางล้วนบังเอิญเช่นนี้


บังเอิญผ่านทางมองเห็นนางอยู่ในโรงเตี๋ยม


พอดีผ่านทางเชิญนางมาทานอาหารด้วย


บังเอิญผ่านทางจริงๆ เอ่ยถามเป็นห่วงเป็นใยหนึ่งประโยค


ล้วนเป็นความต้องการของฟ้า ไม่ใช่คนกระทำ ไม่เกี่ยวข้องกับเขา


หนิงอวิ๋นเจามองหลิ่วเอ๋อร์ยิ้ม


“ไม่ใช่” เขาตั้งใจเอ่ย “ข้ามาหาคุณหนูของเจ้า”


หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้อ นางก็แค่เอ่ยถามไปตามเรื่องหนึ่งประโยค ตอนนี้คุ้นชินจนเฉยชากับการปรากฏตัวของหนิงอวิ๋นเจาแล้ว ไม่ว่าเขาจะบังเอิญหรือจงใจมาจะแตกต่างอะไรกันอีก


ฟางจิ่นซิ่วหมุนตัวเข้าไปแล้ว พลางร้องเรียกหลิ่วเอ๋อร์


“ของขวัญส่วนนั้นของข้าเก็บให้ข้าดีแล้วหรือไม่? ไม่ขาดใช่ไหม?” นางเอ่ยถาม


หลิ่วเอ๋อร์เบะปาก


“ใครจะอยากได้กัน” นางเอ่ย แต่ยังคงตามเข้าไป


เฉินชีที่ยังยืนยื่นศีรษะอยู่หลังม่านประตูถูกฟางจิ่นซิ่วมือเดียวคว้าดึงเข้าไป


“…นั่นมันคุณชายสิบหนิงนี่…ไม่ใช่พูดกันว่าเขาเกลียดคุณหนูจวินนัก…”


คำพูดที่เหลือพริบตาหายไป คิดดูก็รู้ว่าถูกอุดปาก


โรงหมอจิ่วหลิงกลับคืนสู่ความเงียบสงบ


ความเงียบนี้ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าอึดอัดหรือกระอักกระอ่วน


“เชิญนั่ง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย ยื่นมือทำท่าเชิญ แล้วยังจะหมุนตัวไปรินชา


หนิงอวิ๋นเจากลับไม่นั่งลง แล้วไม่คิดไปรินชาด้วย


“ไม่ต้องหรอก ข้ามาพูดเพียงหนึ่งประโยคก็ไปแล้ว” เขาเอ่ย แสดงเจตนาว่าจะไม่ถกยาว


คุณหนูจวินหยุดตามคำบอก มองเขานิ่งสงบรอคอย


สีหน้าของนางนิ่งสงบ ดวงตาทั้งคู่ยิ่งสุกสกาว ในโรงหมอจิ่วหลิงยามค่ำคืนดุจดั่งดวงดาราสว่างไสว


หนิงอวิ๋นเจาคิดถึงคำพูดที่ตนเองต้องการพูด มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำนิดๆ


เรื่องนี้เขาเพิ่งทำเป็นครั้งแรกจริงๆ


ก็ไม่รู้ทำเช่นนี้ถูกหรือไม่ ดีหรือไม่


แม้เรื่องนี้เขาคิดมาเกือบหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม


วันนั้นเขายืนอยู่นอกป่าไผ่ของกั๋วจื่อเจี้ยนสอดส่องถามใจตนเอง ผิดนัดร่ำเรียนกับท่านอาจารย์เป็นครั้งแรก


เขากดหน้าอกของตนเอง รู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่ตระหนกยามค้นเข้าไปถึงลึกสุดก้นหัวใจ


ก็เหมือนกับตอนนี้


เขาศึกษาคัมภีร์ที่ยากที่สุดใช้เวลานานสุดสามวัน แต่เพื่อศึกษาอาการใจเต้นนี่เขาใช้ไปเจ็ดวัน


นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดบนโลก แล้วก็เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดบนโลกด้วย


แต่ดีที่เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แล้วก็เป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง หลังศึกษามันเขาก็มั่นใจว่าตนเองตกหลุมรักแล้ว


ชายหนุ่มทุกคนล้วนมีเวลาที่ตกหลุมรัก รวมถึงเคยปรารถนาหญิงที่ตกหลุมรัก


หนิงอวิ๋นเจาก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเวลาที่ตกหลุมรักมาก่อน แล้วก็ไม่เคยปรารถนาหญิงสาวที่ทำให้ตนเองตกหลุมรักมาก่อน แต่เมื่อเขาเผชิญหน้าตรงๆ ขบคิดปัญหานี้ ก็เห็นชัดมากว่าผู้หญิงที่ทำให้เขาตกหลุมรักก็คือนาง


เรื่องที่ทำให้คนหงุดหงิดอยู่บ้างก็คือผู้หญิงคนนี้กับเขาความสัมพันธ์ซับซ้อนอยู่บ้าง


แรกเริ่มนางตกหลุมรัก เขาไม่รู้


วันนี้เขาตกหลุมรัก นางจะคิดอย่างไร?


เขาขบคิดการตัดสินใจของตนเองให้ชัดเจนได้ แต่ไม่อาจขบคิดการตัดสินใจของนางออก


เขาเป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง ในเมื่อขบคิดไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็มาลองถามดูเถอะ ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดเวลาที่เหมาะสมเวลาหนึ่ง ทำการเชื้อเชิญที่เหมาะสมครั้งหนึ่ง


เขามองดวงตาของนางนิ่งสงบ


“วันที่สิบห้ามะรืนนี้ เจ้ายินดีไปชมโคมกับข้าไหม?” เขาเอ่ยถาม


ชมโคมหรือ?


คุณหนูจวินคิดไป แน่นอนได้สิ นางเดิมทีก็ต้องการไปชมโคมเหมือนกัน


“เอาสิ” นางเอ่ย ท่าทางสบายๆ “พวกเราไปทานอาหารบ้านผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก่อน หลังจากนั้นก็จะไปชมโคม”


แล้วก็คิดถึงว่าเขาก็อยู่ต่างถิ่นไม่มีบิดามารดาตรงหน้าเหมือนกัน


“เจ้าจะไปทานอาหารที่บ้านท่านอาของเจ้าสินะ? ถึงเวลาพวกเรารวมตัวกันที่ไหน?”


นางเอ่ยตอบเอาสิอย่างเด็ดขาดฉับไว เสียงของนางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่านัดพบกันที่ไหน แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยินดีกับมัน


นางตอบฉับไวเกินไปแล้ว นางไม่ได้คิดถึงความหมายของคำพูดนี้ที่เขาถามเลย


บางทีสำหรับคนบางคนแล้ว เวลาเช่นนี้แสร้งทำมึนๆ งงๆ ผ่านไปก็ได้ รอคอยวันหน้าค่อยๆ ทำ


แต่เขาเป็นคนที่ทุกเรื่องล้วนต้องการคำตอบที่ชัดเจน เหมือนเช่นความหมายของคัมภีร์ ปกติไม่อาจให้คลุมเครือสักนิดได้ ดังนั้นคำถามนี้เขาตั้งใจว่าต้องถามให้กระจ่าง


“เจ้ายินดีไปชมโคมด้วยกันกับข้าจริงไหม?” เขามองนางเอ่ยถามอีกครั้ง


เสียงของเขาใสกังวานทั้งยังติดจะสั่นเทาอยู่เล็กน้อย อาการสั่นน้อยๆ นี้ทำให้เสียงต่ำแหบไปบ้าง ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัดได้ยินเสียงใจเต้นแรงเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง


แค่ชมโคม มียินดีไม่ยินดีอะไร?


คุณหนูจวินมึนงงไปครู่หนึ่ง


จำเป็นต้องเอ่ยย้ำถามซ้ำเช่นนี้หรือ?


คำพูดที่จำเป็นต้องเอ่ยย้ำย่อมไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นความนัยในคำพูด


ความนัยหรือ


คุณหนูจวินมองดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาคู่นี้สว่างไสวดุจเปลวเพลิง เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะเอ่ยชื่อ


คุณหนูจวินฉับพลันเข้าใจ


……………………………………….


บทที่ 172 คำถามนี้ตอบง่าย

โดย

Ink Stone_Romance

เรื่องนี้กะทันหันเกินไปแล้ว


ทำไมไม่เจอกันช่วงหนึ่ง อยู่ดีๆ เขาวิ่งมาแสดงเจตนานี้?


คุณหนูจวินลำบากใจอยู่บ้าง


แต่ตั้งใจคิดดูก็ไม่อาจนับได้ว่ากะทันหัน คิดให้ละเอียด ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา เขาก็ค่อนข้างดีกับนางจริงๆ


เพียงแค่นางคุ้นชินกับการที่ผู้อื่นดีกับนาง จึงไม่ได้คิดมาก


เวลานี้คิดดูอีกครั้ง คนผู้หนึ่งดีกับคนอีกผู้หนึ่งย่อมไม่ใช่ไร้เหตุผล


และคนผู้หนึ่งชอบคนอีกผู้หนึ่งก็ย่อมมองออกได้


เช่นดวงตาสุกสกาวของชายหนุ่มผู้นี้เวลานี้


คุณหนูจวินในใจรสชาติแปลกแปร่งอยู่บ้าง


“ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก” นางเอ่ย เงยหน้าสบดวงตาทั้งสองของชายหนุ่มผู้นี้


นางเข้าใจความหมายของตนแล้ว


หนิงอวิ๋นเจารู้สึกเพียงหัวใจเต้นเร็วขึ้น ร่างกายร้อนขึ้นนิดหนึ่ง


ส่วนที่นางเอ่ยว่าไม่ค่อยเข้าใจนัก เขากลับเข้าใจ


นางไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถามประโยคนี้ออกมา


โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ คนผู้นี้คือนาง


ก่อนหน้านี้ก็เวลานี้ปีที่แล้ว เด็กสาวคนนี้ยังคลั่งไคล้ไล่ตามเขา รอคอยพานพบเขาในเทศกาลโคมไฟ ได้ยินว่ายังเขียนบทกวีให้เขาบทหนึ่งด้วย


แต่สำหรับเขาแล้ว คุณหนูจวินผู้นี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ดุจเดียวกับบรรดาหญิงสาวที่ไล่ตามอยู่หลังร่างเขาเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจและไม่จำเป็นต้องคิดหยุมหยิมด้วย


ต่อมาเขาออกจากบ้านร่ำเรียนของตนเองต่อ ใจไม่วอกแวกมุ่งแสวงหาความสำเร็จ


คุณหนูจวินคนนั้นอยู่ที่บ้านก่อเรื่องอย่างไร ก่อเรื่องอะไรไป เขาที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงย่อมไม่มีทางรู้ แล้วก็ไม่มีคนบอกเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้กับเขา


ในสายตาของเขามีเพียงเส้นทางขุนนางเบื้องหน้า ไม่มีเวลาว่างสนใจข้างหลังข้างกาย


ต่อมานางถอนหมั้น ต่อมาสองบ้านขัดแย้งกัน ผูกแค้น


คนที่เคยเมินเฉยหลีกหลบแทบไม่ทัน คนที่ควรจะให้เกียรติอยู่ห่างๆ ทำไมกลับกลายเป็นชื่นชอบและปรารถนา? หากรู้วันนี้ล่วงหน้า ครานั้นใยต้อง?


สัญญาหมั้นยกเลิกแล้ว เรื่องในอดีตจบไปแล้ว เขาดันจะวิ่งกลับมา


นี่เป็นเรื่องที่ยากจะให้คนเชื่อ ยากจะเข้าใจจริงๆ


หนิงอวิ๋นเจาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ยิ้ม


“ข้าก็ไม่เข้าใจ” เขาเอ่ย “ต้องไม่ใช่รักแรกพบแน่นอน”


ไม่ใช่รักแรกพบ ถ้าอย่างนั้นย่อมเป็นนานวันหลงรัก


คำพูดที่ทำให้คนเขินอายเช่นนี้เขาก็เอ่ยออกมาตรงไปตรงมาเช่นนี้ เหมือนดั่งเอ่ยอธิบายข้อถกเถียงทางปรัชญาสักข้อ


ความตรงไปตรงมาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเหมาะนักกับคุณหนูจวิน ความลำบากใจเหล่านั้นสลายไป นางก็ยิ้มด้วยแล้ว คิดไปถึงการคุยเล่นเกี่ยวกับรักแรกพบของพวกเขาก่อนหน้านี้ไม่นาน


รักแรกพบย่อมไม่ใช่แน่นอน หากใช่จวินเจินเจินคงไม่ตาย แล้วก็คงไม่มีตนเองในวันนี้


คิดถึงจวินเจินเจิน คุณหนูจวินก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง


“เรื่องนี้พูดยากอยู่บ้าง” นางเอ่ย


สีหน้านางจริงจัง เหมือนศึกษาข้อถกเถียงทางปรัชญาอยู่บ้างเช่นกัน


นี่เป็นข้อถกเถียงทางปรัชญาอย่างหนึ่งจริงๆ


หากเวลานี้นาทีนี้เป็นจวินเจินเจิน ได้ยินประโยคเชิญชวนประโยคนี้ของหนิงอวิ๋นเจาต้องดีใจไม่หยุดแน่


แต่หากเวลานี้นาทีนี้เป็นจวินเจินเจิน หนิงอวิ๋นเจาก็คงไม่มีทางเอ่ยประโยคนี้ออกมา


จวินเจินจินผู้พบหน้ากันครั้งหนึ่งไม่ได้ทำให้เขาหลงรัก คนที่คบหาไปมาหาสู่จนทำให้เขาตัดสินใจเช่นนี้ในวันนี้คือฉู่จิ่วหลิง


แต่หากไม่มีจวินเจินเจิน เขาก็ไม่มีโอกาสรู้จักคบหากับฉู่จิ่วหลิง


ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนอื่นเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่หนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่าคุณหนูจวินเป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก


ไม่มีเอียงอายทำอันใดไม่ถูก ไม่มีตระหนกตกใจถอยหนี


เหมือนไม่กี่วันก่อนนั่งถกเรื่องรักแรกพบอย่างนั้น ชายหญิงกินดื่มตรงไปตรงมา ใจปรารถนาแต่ไม่หยามเกียรติ


เรื่องนี้พูดยากอยู่บ้างจริงๆ


สารพัดเรื่องก่อนหน้านี้ไม่พูดถึงได้ แต่สารพัดเรื่องหลังจากนี้ยังมีอีกมากมายนัก


ทว่าในเมื่อเขารู้ชัดความในใจแล้ว ตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นย่อมต้องทุ่มใจพยายามเพื่อมัน


“เจ้าไม่ต้องตอบตอนนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “เจ้าลองคิดดูได้”


เขาพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้ม


“ห่างจากคืนวันที่สิบห้ายังเหลืออีกสองวันหนึ่งคืน”


พูดหยอกล้อซุกซนเช่นนี้เป็นครั้งแรกน่าอายมากอยู่บ้าง แต่หวังว่านางจะไม่โมโห


คุณหนูจวินไม่ได้โมโห ได้ยินเข้าก็หัวเราะ


เห็นนางหัวเราะ หนิงอวิ๋นเจาในใจผ่อนคลายลงบ้างอีกครั้ง เรื่องยากอีกเท่าใดขอเพียงไปทำ ที่จริงก็ไม่ยาก


“ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน” เขาเอ่ย


คุณหนูจวินส่ายศีรษะ


“ไม่ต้อง คำถามนี้ตอนนี้ข้าก็ตอบได้” นางเอ่ย


นี่ที่จริงเป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก ไม่ต้องแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดนานขนาดนั้น


ไม่จำเป็นหรือ? หนิงอวิ๋นเจามองนาง


ก็ถูก เรื่องเช่นนี้ขอเพียงฟังหัวใจก็พอแล้ว เป็นเรื่องง่ายดายนักจริงๆ


“ขอบคุณคำเชิญของคุณชาย เพียงแต่ขออภัยยิ่ง” คุณหนูจวินเอ่ย


นางสีหน้านิ่งสงบ แววตาสุขุม เสียงอ่อนโยนทว่าเด็ดขาด


ขออภัยย่อมไม่ใช่เพราะรับคำเชิญของเขา


หนิงอวิ๋นเจาเงียบงันไปครู่หนึ่ง


“ข้าขอถามว่าทำไมได้ไหม?” เขาเงยหน้ายิ้มเอ่ยถาม


คำถามนี้ก็ยังคงง่ายดายนัก


คุณหนูจวิน มองเขาไม่ลังเลหรือขบคิดสักนิด


“ไม่เหมาะ” นางเอ่ย คิดนิดหนึ่งก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “ข้าไม่อยาก”


ไม่เหมาะคือพูดถึงสภาพจริงเหตุปัจจัยภายนอก ตัวอย่างเช่นบุญคุณความแค้นความขัดแย้งระหว่างตระกูลของนางกับตระกูลของเขา


ส่วนนางไม่อยากเป็นความเห็นส่วนตัวความปรารถนา นางฟังหัวใจ


คำตอบนี้ชัดเจนและจริงใจ สมเหตุสมผล ไม่มีสิ่งใดจับผิดและโต้แย้งได้


ก็เหมือนเช่นวิธีการเล่นหมากของนาง ดาบสุดท้ายสะบั้นเด็ดขาดฉับไวไม่ไว้ไมตรีสักนิด


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม


“เช่นนี้หรือ” เขาเอ่ย แล้วพยักหน้า “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”


คำตอบของเขาก็เด็ดขาดฉับไวเช่นกัน ยกมือคำนับลาคุณหนูจวิน


“ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน”


คุณหนูจวินคำนับตอบ มองหนิงอวิ๋นเขาเดินจากไป ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง


นี่ก็คือการถูกคนชอบ รวมถึงสารภาพความในใจหรือ?


เหมือนที่ก่อนหน้านี้เดินอยู่ข้างนอก บางครั้งเห็นชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นกั้นกลางด้วยต้นหลิวมองกันอยากพูดก็หยุด มองกันเงียบงัน


ชายหนุ่มชอบพอ หญิงสาวมีใจ ปรารถนาจะได้หัวใจของคนผู้หนึ่ง ศีรษะขาวโพลนไม่แยกจาก


คุณหนูจวินยกมือกุมใบหน้าตนเอง


เรื่องเช่นนี้นางเป็นผู้ชมมาโดยตลอด ยังไม่ทันชอบพอหรือถูกคนชอบพอมาก่อนก็แต่งงานหลังจากนั้นก็ตายเสียแล้ว


คิดไม่ถึงตอนนี้จะพบเรื่องเช่นนี้


มุมปากของนางผุดรอยยิ้มบาง


แต่น่าเสียดายนะ น่าเสียดายเวลานี้ไม่เหมาะสม


นางไม่ใช่จิ่วหลิงผู้ต้องการเพียงรักษาอาการป่วยของบิดา ไร้ห่วงไร้กังวลคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่นางแบกอยู่คือแค้นลึกล้ำโชกเลือด สิ่งที่ต้องการทำคือผลัดเปลี่ยนราชบังลังค์ เรื่องกบฏยิ่งใหญ่เช่นนี้


นางไม่มีเวลาและไม่อยากคิดถึงความรักหนุ่มสาว พูดถึงตบแต่งแต่งงาน


คุณหนูจวินหลุบสายตาลงก้าวไปข้างหน้าปิดประตู


โคมด้านในโถงถูกเป่าดับ เงาร่างของหญิงสาวเอนไหวหายไปในราตรี



คืนวันที่สิบห้าเดือนแปดมาเร็วเป็นพิเศษอยู่บ้าง ตอนที่หนิงอวิ๋นเจาพาเสี่ยวติงเดินทางมาบ้านของหนิงเหยียน บนถนนโคมไฟก็ดุจธารดาราแล้ว ฝูงชนเบียดเสียด


“คืนนี้ต้องครึกครื้นมากแน่” เสี่ยวติงเอ่ยดีใจ “ถึงเวลาพวกเราไปชมโคมที่ไหนขอรับ? นอกเมืองหรือว่าในเมือง?”


“คืนนี้ย่อมต้องชมโคมในบ้านของท่านอา” หนิงอวิ๋นเอ่ย


เสี่ยวติงงงไปครู่หนึ่ง


“คุณชาย ไม่ไปชมโคมด้วยกันกับคุณหนูจวินหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถาม


“จะไปด้วยกันกับคุณหนูจวินได้อย่างไรเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเอ่ย “สิบห้าเป็นวันครอบครัว นางก็มีธุระของตนเอง”


เสี่ยงติงร้องอ้อ เขานึกว่าวันก่อนคุณชายไปโรงหมอจิ่วหลิงกะทันหันก็เพื่อเชิญคุณหนูจวินชมโคมไฟเสียอีก ที่แท้ไม่ใช่หรือ


หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าสงบนิ่งมองไปข้างหน้า เหมือนมองไม่เห็นความสงสัยของเสี่ยวติง


……………………………………….


บทที่ 173 คำที่เคยเอ่ย กลัวหรือไม่

โดย

Ink Stone_Romance

งานเลี้ยงครอบครัวของตระกูลหนิงสงบสุขและรื่นเริง


ในเรือนแขวนโคมลวดลวยไว้เต็มไปหมด สาวใช้หญิงรับใช้เดินตัดผ่านข้างใน ในห้องโถงวางอาหารเรียงรายไว้สองโต๊ะ ภรรยา อนุภรรยา บุตรชาย บุตรสาวของหนิงเหยียนต่างนั่งล้อมคุยเล่นสนุกสนานอยู่


“ปีที่แล้วพี่สิบไม่ได้ฉลองเทศกาลที่เมืองหลวง” หนิงสืออีเอ่ยขึ้น ยกถ้วยสุราให้หนิงอวิ๋นเจา


หนิงอวิ๋นเจายิ้มยกขึ้นมา


“วันที่สิบห้าของหยางเฉิงครึกครื้นมากสินะ?” น้องสาวฝ่ายพ่อด้านข้างเอ่ยถามอย่างใคร่รู้


แทบทุกปีพวกนางจะต้องกลับบ้านเดิม แต่ล้วนเป็นปีใหม่หรือวันเกิดของท่านย่า วันที่สิบห้าเดือนแปดเวลาที่ไปทันกลับน้อย


“คึกคัก” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น “เมืองเล็กก็มีความครึกครื้นของเมืองเล็ก”


น้องสาวฝ่ายพ่อคนหนึ่งด้านข้างหัวเราะพรืดแล้ว


“เวลาอื่นไม่รู้ วันที่สิบห้าเดือนแปดปีที่แล้วพี่สิบต้องฉลองอย่างครึกครื้นแน่” นางเอ่ยพลางหลิ่วตาให้บรรดาพี่สาวน้องสาว “ถูกคนวิ่งไล่ตาม แล้วยังแต่งบทกวีให้พี่สิบอีกด้วย”


วันที่สิบห้าเดือนแปดปีที่แล้ว จวินเจินจินยังอยู่ที่หยางเฉิง ไล่ตามตระกูลหนิงทวงถามสัญญาแต่งงาน โวยวายจนหยางเฉิงเล่าลือกันทั้งเมือง ตระกูลหนิงบนล่างสุดจะทนกับการก่อกวนของนางปวดหัวไม่หมดไม่สิ้น


เรื่องเหล่านี้คนบ้านหนิงเหยียนที่เมืองหลวงต่างรู้เช่นกัน


เด็กๆ ที่โต๊ะล้วนหัวเราะ


“มิน่าพี่สิบรีบร้อนกลับมาจากหยางเฉิง”


“ปีนี้ดี อยู่ที่เมืองหลวงไม่ต้องกังวลใจแล้ว”


พูดถึงตรงนี้มีคนร้องเอ๋ทีหนึ่ง


“ไม่ถูก คุณหนูจวินคนนั้นก็มาเมืองหลวงแล้ว” เด็กสาวคนนี้เอ่ยขึ้น มองหนิงอวิ๋นเจา “พี่สิบ นางมากวนท่านอีกหรือไม่?”


หนิงสืออีที่ยกจอกสุราอยู่ด้านข้างกระแอมหลายที


หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าอบอุ่น


“จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาเอ่ย ดื่มสุราคำหนึ่ง


ที่จริงน่าจะเป็นเขากวนนาง


“พี่สิบอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยนนะ ไม่ใช่ใครก็เข้าไปได้” หนิงสืออีเอ่ย


ใช่แล้ว ไม่ใช่ใครก็เข้าไปได้ นางก็ย่อมไม่ไป มีเพียงตนเองมักจะออกมา


หนิงอวิ๋นเจาดื่มสุราคำโตอีกครั้ง


แม้เป็นเช่นนี้ แต่หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับคุณหนูจวินก็ยังคงดำเนินต่อไป


“คุณหนูจวินคนนั้นไม่ใช่เปิดโรงหมอ ต้องการอยู่ประจำที่เมืองหลวงรึ”


“เด็กสาวคนหนึ่งทำไมวิ่งมาถึงเมืองหลวงเปิดโรงหมอ นางก็ไม่ขาดแคลนเงิน ไม่แน่อาจยังไม่ตัดใจจากพี่สิบ”


“พี่สิบท่านต้องระวังไว้หน่อย”


“ได้ยินว่าร้ายกาจยิ่งนัก แม้กระทั่งหมอหลวงเจียงยังถูกด่าเลย”


“ตระกูลพวกเขามีราชโองการ..”


ได้ยินเสียงพูดคุยซ้ายขวา บนหน้าหนิงอวิ๋นเจายังคงมีรอยยิ้ม ถ้วยสุราที่ริมฝีปากยิ่งดื่มยิ่งช้า


“นั่งพักผ่อนเลิกพูดเรื่องของผู้อื่น” หนิงเหยียนได้ยินความครึกครื้นของฝั่งนี้ ขมวดคิ้วเอ่ยห้าม


บรรดาคนรุ่นเยาว์ที่ด้านนี้จึงเงียบลง บรรดาเด็กสาวซุกซนแลบลิ้นให้กัน ทานอาหารดื่มสุราต่อ


หยิบไหสุราขึ้นมากลับพบว่าไหสุราว่างเปล่าเสียแล้ว


“เอ๋? พี่สิบ ท่านดื่มสุราหมดแล้วหรือ?” เด็กสาวคนหนึ่งประหลาดใจเอ่ยขึ้น มองหนิงอวิ๋นเจาที่ยังยกถ้วยสุราดื่มอยู่


หนิงอวิ๋นเจามองถ้วยสุราของตนเอง


“สุราของบ้านเกิด ชั่วขณะไม่อาจยั้ง” เขายิ้มเอ่ย


“พี่สิบก็คิดถึงบ้านด้วย” บรรดาลูกพี่ลูกน้องหัวเราะ


หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะด้วย ดื่มสุราที่เหลือในถ้วยคำเดียวหมด


“ห่างจากสอบขุนนางไม่ถึงครึ่งปีแล้ว วันเดียวก็ไม่อาจเสียเปล่า” หนิงเหยียนเอ่ย “ต้องข่มใจ”


หนิงอวิ๋นเจาวางถ้วยสุราลงขานรับ ยิ้มทานอาหาร


งานเลี้ยงเลิกราอย่างรวดเร็ว บรรดาลูกพี่ลูกน้องก็เตรียมตัวไปชมโคม หนิงอวิ๋นเจาย่อมตามไปด้วย เหมือนเช่นคนรุ่นเยาว์ทั้งหลายจากเมืองทิศใต้อ้อมไปถึงเมืองทิศเหนือ ยามค่ำคืนดึกดื่นทุกคนยังไม่หายสนุกก็แยกย้าย


“ข้าจะกลับกั๋วจื่อเจี้ยนเลย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยกับพวกเขา “การเรียนวันพรุ่งนี้ยังต้องเตรียมก่อนสักหน่อย”


บรรดาลูกพี่ลูกน้องล้วนรู้ว่าเขาขยันขันแข็ง พยักหน้าบอกลา มองหนิงอวิ๋นเจาหายไปในราตรี เด็กสาวคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น


“พี่สิบดูไปแล้วไม่มีความสุขนะ” นางเอ่ย


คนอื่นร้องเอ๋


“เป็นไปได้อย่างไร? เขาก็ดูมีความสุขดีอยู่ตลอดนี่” ทุกคนเอ่ย


ก็ไม่มีอะไรแปลกนี่นา ทานอาหารดื่มสุราชมโคมแล้วยังทายปริศนาโคมเหมือนเดิม


ก็ใช่


แต่ตอนเห็นเขายิ้ม อย่างไรก็รู้สึกว่าเศร้าสร้อยอยู่บ้าง จะพูดถึงหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันก็ไม่มีอีก


เด็กสาวขมวดคิ้ว


“แค่ลางสังหรณ์ของผู้หญิง” นางเอ่ย


หนิงอวิ๋นเจาหยุดเท้าหันกลับไปมองทีหนึ่ง เวลานี้เขาออกจากถนนโคมไฟอันครึกครื้นมาแล้ว ยืนอยู่ในม่านราตรีสีเข้มทึบ มองไปทางฝั่งนั้นที่สว่างไสวดุจแดนเซียน


เขามองเงียบงันครู่หนึ่ง ถอยหายใจเบาๆ หนหนึ่ง หมุนตัวเดินหน้าต่อไป เข้าไปในม่านราตรี


คุณหนูจวินไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ทอดถอนใจครู่หนึ่ง แก้ข้อสงสัยสาเหตุการบังเอิญพานพบไม่กี่ครั้งระหว่างหนิงอวิ๋นเจากับนางแล้ว เรื่องนี้ก็จบลงเท่านี้


เทียบกับอารมณ์ของหนุ่มสาววัยเยาว์เหล่านี้ ปัญหาที่นางต้องเผชิญหนักหนายิ่งกว่า


“ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี่มีปัญหาหรือ?”


เสียงฟางจิ่นซิ่วดังขึ้นหลังร่าง


คุณหนูจวินหมุนตัวมองเห็นนางเดินเข้ามา


“เจ้ามองอยู่สักพักแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ข้าดูแล้ว ไม่ใช่ของปลอม”


ปลอมย่อมไม่มีทางเป็นของปลอม


คุณหนูจวินยิ้ม


“ค่ารักษาที่ออกไปรักษาวันนั้นคือสองพันตำลึง” นางเอ่ย


ถ้าอย่างนั้นที่เพิ่มมาแปดพันตำลึงเล่า? ต้องไม่ใช่ให้โดยไร้สาเหตุแน่ ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าเคร่งเครียด


“แปดพันตำลึงที่เพิ่มมาคือต้องการให้ข้าเปลี่ยนชื่อโรงหมอจิ่วหลิง” คุณหนูจวินเอ่ย มองฟางจิ่นซิ่วชี้ป้ายโรงหมอด้านนอกประตู


ฟางจิ่นซิ่วตะลึง


ข้อเรียกร้องประหลาดนี่


“คนที่เชิญข้าเยือนบ้านรักษาอาการป่วยวันนี้ก็คือ…ผู้หญิงของหัวหน้ากองพันลู่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ” คุณหนูจวินเอ่ย ในเมื่อตัดสินใจเป็นพรรคพวกแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ต้องบอกนางให้รู้


ถึงกับเป็นหัวหน้ากองพันลู่…ยังเป็นผู้หญิงของหัวหน้ากองพันลู่


ภรรยาของหัวหน้ากองพันลู่คือองค์หญิงจิ่วหลี องค์หญิงจิ่วหลีย่อมไม่ใช่คำแทนว่าผู้หญิง ถ้าอย่างนั้นความหมายของผู้หญิงก็ชัดเจนยิ่งนัก


ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว


“ถ้าอย่างนั้นทำไม…” นางเอ่ย คำพูดออกจากปากก็เข้าใจ “องค์หญิงจิ่วหลิง”


ได้ยินผู้อื่นกล่าวชื่อของตนเอง ส่วนตนเองที่จริงก็อยู่ตรงหน้าคนผู้นี้ แต่คนอื่นกลับไม่รู้ ความรู้สึกนี้น่าสนใจยิ่งนัก คุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่วอยากหัวเราะอยู่บ้าง นางรู้ว่านางนึกเหตุผลออกแล้ว


“รู้อยู่แล้วเชียวว่าชื่อนี้…” ฟางจิ่นซิ่วจะพูดอีก คิ้วขมวด


ตอนแรกอยู่ที่บ้านได้ยินว่าจวินเจินเจินเปลี่ยนชื่อเป็นจิ่วหลิง ฟางอวี้ซิ่วก็เคยพูดว่าชื่อซ้ำกับองค์หญิงจิ่วหลิง


พวกนางไม่รู้จักกับองค์หญิงจิ่งหลิงยังคิดได้ทันที หัวหน้ากองพันลู่เป็นสามีขององค์หญิงจิ่วหลิง ทั้งเป็นคนที่น่ากลัวขนาดนั้น ก็ไม่แปลกที่จะใส่ใจชื่อนี้ขนาดนี้


“กลัวหรือไม่?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย


ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนางทีหนึ่ง


“คิดไม่ถึงหัวหน้ากองพันลู่ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ยังให้เงินเจ้าอีก” นางว่า “หากเป็นข้าคงตีเจ้าสักยก เงินสักอีแปะก็ไม่ให้”


คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว


ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้หัวเราะอีก มองไปทางตั๋วเงินบนโต๊ะ


“พวกเราจะทำอย่างไร?” นางเอ่ยถาม


พวกเรารึ คุณหนูจวินยิ้ม


“ไม่รู้” นางเอ่ย “ข้ายังไม่ได้คิด เดินก้าวหนึ่งก็ว่ากันก้าวหนึ่งเถอะ”


ลู่อวิ๋นฉีคนนี้ ตอนนี้ไม่อาจใช้คนที่ตนเองเคยคุ้นคนนั้นมาคาดเดาการกระทำได้แล้ว จากคำพรรณนาและความหวาดกลัวของทุกคน การกระทำของลู่อวิ๋นฉีคนนี้ไม่อาจคาดเดา แล้วก็ไม่อาจหยั่งเชิงท้าทาย ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวแล้ว ศัตรูไม่ขยับข้าไม่ขยับ ศัตรูเคลื่อนไหวก็รู้รับมืออย่างไร


ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วอยากจะพูด ด้านนอกประตูเสียงเอะอะพักหนึ่งก็ลอยมา


“เป็นนางพูดงั้นรึ?”


เสียงผู้เฒ่าคนหนึ่งด้านนอกประตูติดจะโกรธเกรี้ยว


“ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าถามนางเอง”


ฟางจิ่นซิ่วกับคุณหนูจวินยืนขึ้นมา เห็นผู้เฒ่าสีหน้ากรุ่นโกรธคนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากนอกประตู ด้านหลังร่างเขาผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายสองคนตามมาด้วย นอกจากนั้นชาวบ้านไม่น้อยก็รวมตัวเข้ามา


“ท่านหมอจวิน เป็นเจ้าบอกกับผู้อื่นว่าโรคนี้ข้ารักษาได้หรือ? เจ้าบอกว่าข้ารักษาได้ข้าก็รักษาได้งั้นรึ? รักษาไม่หาย ข้าก็เป็นคนผิดหรือไง?” ผู้เฒ่าหน้าแดงสะบัดมือตะคอก “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้าพูดถึงตัวเจ้าเองก็ช่าง เจ้ายังจะยุ่งกับข้าทำอะไร?”


ฟางจิ่นซิ่วในใจถอนหายใจ


นี่ก็เป็นเรื่องช้าเร็ว ตั้งแต่หลังคุณหนูจวินเอ่ยว่าโรคที่คนอื่นรักษาไม่ได้ตนเองถึงจะรักษาคำพูดพรรค์นั้น


เมืองหลวงอยู่ไม่ง่ายเลยจริงๆ


……………………………………….


บทที่ 174 เจ้าทำได้เจ้าทำสิ

โดย

Ink Stone_Romance

ประโยคนี้ตอนนั้นก็ไม่ควรพูดเช่นนี้


โอหังเกินไปจริงๆ


แต่ไม่โอหังจะยังเป็นนางหรือ?


ฟางจิ่นซิ่วมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง คุณหนูจวินลุกขึ้นเดินมาถึงตรงหน้าผู้เฒ่าคนนี้แล้ว


“เกิดอะไรขึ้น?” นางเอ่ยถาม


“เจ้าถามข้า ข้าก็จะถามเจ้าอยู่” ผู้เฒ่าโกรธเกรี้ยวตวาด


“ท่านถามเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างเกรงใจ


ราวกับไม่ได้รู้สึกว่าผู้เฒ่าคนนี้เอ่ยด้วยความโมโห แต่เป็นเอ่ยถามจริงๆ นางก็ตั้งใจตอบ


ผู้เฒ่าถูกย้อนถามถลึงตาใส่ เพลิงโทสะยิ่งเพิ่ม ชี้ด้านหลังร่าง


“เป็นเจ้าบอกกับพวกเขาว่าข้ารักษาอาการป่วยของนางได้ใช่ไหม?” เขาเอ่ย


คุณหนูจวินมองไปด้านหลังร่างผู้เฒ่า ผู้หญิงคนหนึ่งสีหน้าลำบากใจก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง


“คุณหนูจวิน ไม่กี่วันก่อนหน้าข้ามาปรึกษาอาการ” นางเอ่ย พลางส่งป้ายชื่อมา “ท่านบอกข้าว่าอาการป่วยของนายหญิงบ้านข้าไม่หนักหนา รักษาหายดีได้”


คุณหนูจวินไม่ต้องมองป้ายชื่อก็จำนางได้ พยักหน้า


“ใช่แล้ว รักษาหายดีได้” นางเอ่ย


ผู้เฒ่าเป่าหนวดถลึงตาอีกครั้งทันที


“รักษาได้ เจ้าก็รักษาสิ” เขาตวาด “เจ้ารักษาได้ เจ้าไม่รักษา เจ้ายุให้คนเหล่านี้มาทะเลาะกันข้า!”


ผู้เฒ่าดูแล้วเกรี้ยวกราดยิ่งนัก ตวาดในโรงหมอจิ่วหลิงเสียงดังสะท้านหู คนที่ล้อมดูด้านนอกยิ่งมากขึ้นทุกที


ยังมีท่านหมอจำนวนหนึ่งเร่งเดินทางมาสอบถามข่าวด้วย


“เกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาเอ่ยถาม


“นี่คือท่านหมอเฒ่าเฝิงแห่งโรงหมอไป๋เฉ่า” คนเดินถนนคนหนึ่งที่ตามดูความเป็นไปมาตลอดทางบอกเล่าแก่คนผ่านทางอย่างอารี “ท่านหมอเฝิงทุกคนรู้จักสินะ ถนัดจัดกระดูกที่สุด”


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่พยักหน้า


ตระกูลเฝิงจัดกระดูกสืบต่อกันมาร้อยปีแล้ว ที่เมืองหลวงมีชื่อเสียงมาก


“นายหญิงของบ้านนี้น่ะ ตอนออกไปไหว้พระข้างนอกหกล้มขาหัก มาหาท่านหมอเฝิงต่อเสร็จ” คนเดินถนนเอ่ยบอก “แต่รู้สึกว่าเจ็บเดินไม่ได้มาตลอด ไม่ใช่โรงหมอจิ่วหลิงที่นี่มีหมอเทวดารึ เลยส่งคนมาปรึกษาอาการ กฎของหมอเทวดาโรงหมอจิ่วหลิงคืออะไร ทุกคนก็คงรู้สินะ?”


“มีเงิน” บรรดาชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ประสานเสียงตะโกน


โรงหมอจิ่วหลิงรักษาให้คนรวยเท่านั้น เป็นสิ่งที่คนเมืองหลวงรู้กันทั่วแล้ว คำเสียดสีมากมายยังแพร่ไปอย่างลับๆ


รักษาโรคเรื่องมีคุณธรรมเป็นบุญใหญ่หลวงเช่นนี้ถูกโรงหมอจิ่วหลิงเอาเงินมากำหนดแล้ว ไม่แปลกที่จะทำให้ผู้คนโกรธแค้น


บรรดาท่านหมอเบ้ปากยากปิดบังความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น


สมควร


คนเดินถนนคนนั้นโบกมือ


“มีเงินย่อมเป็นด้านหนึ่ง” เขาเอ่ย “ยังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือนางประกาศว่าจะรักษาเฉพาะโรคที่ท่านหมอคนอื่นรักษาไม่หายเท่านั้น เมื่อนายหญิงคนนี้ส่งหญิงรับใช้ไปปรึกษาอาการ คุณหนูจวินคนนี้ก็บอกว่าท่านหมอเฝิงรักษาหายดีได้ ดังนั้นนางไม่รักษา”


“ท่านหมอเฝิงย่อมรักษาหายดีได้แน่” มีชาวบ้านตะโกนเอ่ยขึ้น


ตามหลักแล้วเวลานี้ควรตะโกนเช่นนี้ แต่เรื่องที่จะเล่าต่อก็ดันเป็นเรื่องเพราะประโยคนี้อีก


คนเดินถนนกระแอมทีหนึ่ง


“โรคบางอย่างรักษาหายดีได้ อาการบาดเจ็บบางอย่าง นั่นบาดเจ็บแล้วก็พูดแน่นนอนไม่ได้ ตัวอย่างเช่นขาหักเป็นท่อนไปแล้ว ท่านหมอคนหนึ่งจะทำให้มันหายดีไม่เสียหายได้หรือ? นี่ลำบากคนแล้ว” เขาเอ่ย


ถ้าอย่างนั้นความหมายก็คือท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาไม่หาย?


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตะลึงไป


“ใช่แล้ว โรครักษาได้ บาดเจ็บบางครั้งทิ้งโรคฝังลึกเอาไว้ เป็นสิ่งที่ยากเลี่ยง” ท่านหมอคนหนึ่งรีบเอ่ยท่าทางติดโกรธเกรี้ยว


คุณหนูจวินคนนี้ประกาศไปทั่ว โรคที่ผู้อื่นรักษาได้นางไม่รักษา โรคในใต้หล้านี้มากนัก นางบอกว่าพวกเขารักษาได้พวกเขาก็รักษาได้รึ ชาวบ้านเหล่านี้ก็ดันฟังแล้วเชื่อคำของนาง ก็ได้แต่ทะเลาะกับพวกเขา นี่ย่อมไม่ไหว


คำพูดนี้ได้รับการยอมรับจากท่านหมอคนอื่นทันที ทุกคนพากันคล้อยตาม


“ดังนั้นก็เพราะโรงหมอจิ่วหลิงบอกว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาหายดีได้ ครอบครัวนี้จึงคิดว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงต้องรักษาหายดีได้แน่ ไม่ว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงอธิบายอย่างไร พวกนางก็ไม่ฟัง เอาแต่โทษท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ทุ่มเทใจ ยังพังโรงหมอของท่านหมอเฒ่าเฝิงอีกด้วย”


ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ฮือฮา


พังโรงหมอของผู้อื่น นี่เกินไปแล้ว


“ก็เพราะคุณหนูจวินพูดคำนี้”


“คุณหนูจวินบอกว่ารักษาหายดีได้ก็รักษาหายดีได้เรอะ”


“นางบอกว่ารักษาหายดีได้นางก็รักษาสิ นี่ไม่ใช่รังแกผู้อื่นหรือ”


เสียงถกเถียงของผู้คนดังโหวกเหวกทันที มองไปทางโรงหมอจิ่วหลิงสีหน้าล้วนโกรธแค้นด้วยคุณธรรมคับอก


เจียงโหย่วซู่ยืนอยู่มุมถนนสีหน้าก็ทะมึนเช่นกัน


“ท่านอาจารย์ พวกเราไปดูไหมขอรับ” ศิษย์ด้านข้างเอ่ยถามเสียงเบา “หนุนหลังท่านหมอเฒ่าเฝิง”


เจียงโหย่วซู่ส่ายศีรษะ


“พวกเราล้วนเป็นหมอ หนุนหลังเขานับว่าหนุนหลังอะไร” เขาเอ่ย สายตากวาดไปทางผู้คนที่รวมตัวอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิง “บรรดาชาวบ้านหนุนหลังเขาถึงนับว่าหนุนหลังจริงๆ”


ศิษย์พยักหน้า


“ไม่ผิด เป็นเวลาให้บทเรียนแก่โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้สักครั้งแล้ว” เขาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจเช่นกัน “ให้นางรู้ว่าคำพูดเหล่านี้พูดส่งเดชไม่ได้”



ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงท่านหมอเฒ่าเฝิงโกรธจนหายใจไม่ทัน


“เจ้าบอกสิรักษาอย่างไร? เจ้าบอกสิรักษาอย่างไร?” เขาอารมณ์พลุ่งพล่านคำพูดไม่เป็นประโยค


เขามีชีวิตนานขนาดนี้แล้ว เป็นหมอมาหลายปีขนาดนี้ ได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านอย่างมาก เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ถูกคนพังโรงหมอ


ที่ทุบคือหน้าของเขา คือเกียรติยศร้อยปีของโรงหมอไป๋เฉ่า


“เจ้าบอกว่ารักษาได้ เจ้ารักษา เจ้ารักษาสิ” ท่านหมอเฝิงเสียงสั่นเอ่ยขึ้นท่าทางเด็ดขาด “เจ้ารักษาหายดี ข้าคุกเข่าให้เจ้า ข้าปิดโรงหมอไป๋เฉ่าแห่งนี้ ข้าไม่เป็นหมออีกต่อไป”


ดูเอาเถิด บีบคั้นท่านหมอเฒ่าคนนี้ถึงขั้นไหน รังแกคนหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆ


ชาวบ้านด้านนอกส่งเสียงอื้ออึงทันที


“เจ้ารักษาสิ”


“เจ้าทำได้ เจ้าทำสิ”


เสียงตะโกนโถมเข้ามาในโรงหมอจิ่วหลิง แทบจะพลิกตลบหลังคา


เฉินชีจิ๊ปาก ส่วนฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ร้อนรนกังวล


เจ้าทำได้ เจ้าทำสิ


คำพูดนี้กับผู้อื่นเป็นการข่มขู่ แต่กับผู้หญิงคนนี้ย่อมไม่ใช่


นางลงมือนางย่อมทำได้ ดังนั้นที่หอจิ้นอวิ๋นจึงชนะเงินมากมายขนาดนั้น ทำให้คนที่สนุกกับการรอชมความทุกข์ของผู้อื่นกลุ่มหนึ่งแพ้กระอักเลือด


คุณหนูจวินมองท่านหมอเฒ่าที่อารมณ์พลุ่งพล่าน รวมถึงครอบครัวของผู้ป่วยที่ถูกการทะเลาะกันครั้งนี้ทำให้กลัวจนวิตกอยู่บ้าง


“ได้ อย่างนั้นพวกเราไปดูด้วยกันเถอะ” นางเอ่ย



และตอนที่ท่านหมอเฒ่าเฝิงกับครอบครัวคนป่วยยื้อๆ ยุดๆ ออกเดินทางนั่นเอง องครักษ์เสื้อแพรก็แจ้งข่าวไปถึงตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีแล้ว


เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยว่าไม่อยากเห็นชื่อโรงหมอจิ่วหลิงชื่อนี้


ก่อนหน้านั้นอีกเขาก็พูดแล้วว่าไม่ชอบชื่อนี้ วันนี้ยังพูดต่อว่าไม่อยากเห็น นั่นหมายความว่าเขาไม่คิดจะทนการมีอยู่ของโรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้แล้วจริงๆ


“ใต้เท้า นี่เป็นโอกาสหนึ่ง พวกเราแทรกเข้าไปเกี่ยวได้” ลูกน้องโค้งเอ่ย


หัวหน้ากองร้อยเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้างลู่อวิ๋นฉีพยักหน้าทันที


“ใต้เท้า ข้าจะไปจัดการ” เขาเอ่ย


ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ


“ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ย “บางทีอาจไม่จำเป็น”


หัวหน้ากองร้อยเจียงเข้าใจความหมายของเขา


โรงหมอจิ่วหลิงแห่งนี้ต้องยิ่งทะเลาะกับบรรดาท่านหมอคนอื่นร้ายแรงขึ้นทุกทีแน่ ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือก็เปิดที่เมืองหลวงต่อไปไม่ได้แล้ว


“เช่นนี้ดีกว่า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยสั้นๆ ออกมาอีกครั้ง


โรงหมอจิ่วหลิงเป็นเครือเดียวกับเต๋อเซิ่งชาง ตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางมีราชโองการ แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็หลบเลี่ยงไม่เอ่ยถึง


หากลงมือกับโรงหมอจิ่วหลิงจริงๆ เต๋อเซิ่งชางย่อมต้องออกหน้าปกป้อง ส่วนที่พึ่งของพวกเขาย่อมเป็นราชโองการ


ไม่ใช่จะบอกว่าพวกเขากลัวราชโองการของเต๋อเซิ่งชาง แต่ราชโองการหยิบออกมาสุดท้ายย่อมทำให้ฮ่องเต้ลำบากอยู่บ้าง


ทำให้ฮ่องเต้ลำบากเป็นเรื่องที่องครักษ์เสื้อแพรไม่ควรทำเด็ดขาด


แต่หากบรรดาท่านหมอรวมถึงบรรดาชาวบ้านออกหน้า โรงหมอจิ่วหลิงชื่อเสียงเหม็นโฉ่ย่อมไม่อาจลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหลวงได้ นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดแล้ว เต๋อเซิ่งชางหยิบเอาราชโองการออกมาห้ามการบังคับของทางการได้ แต่ควบคุมจิตใจคน บีบให้ทุกคนเชื่อถือให้เกียรติโรงหมอจิ่วหลิงได้หรือไม่


หัวหน้ากองร้อยเจียงขานรับพาคนถอยออกไป


ในห้องตกสู่ความเงียบ ลู่อวิ๋นฉีมองม้วนสารบนโต๊ะ ในหัวฉายภาพท่านหมอที่เรียกว่าคุณหนูจวินคนนั้น


จิ่วหลิง


ดวงตาของเขาจ้องนิ่ง


โรงหมอจิ่วหลิง


ในดวงตาของเขาปรากฏความเกลียดชังบางอย่างออกมาอีกครั้ง


เจ้าคู่ควรรึ


……………………………………….


บทที่ 175 ท่านรักษา ข้าดู

โดย

Ink Stone_Romance

คนบนถนนแห่แหนรวมตัวไปยังทิศทางหนึ่ง


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“ท่านหมอเฒ่าเฝิงต้องการให้ท่านหมอของโรงหมอจิ่วหลิงรักษาโรค”


“ท่านหมอของโรงหมอจิ่วหลิงโบ้ยว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาหายดีได้ คนป่วยเลยทำร้ายท่านหมอเฒ่าเฝิง”


หลังคำถามคำตอบแพร่กระจาย คนที่ตามมาบนถนนก็ยิ่งมากขึ้นด้วย จนกระทั่งมาถึงด้านหน้าจวนเรือนหลังหนึ่ง


ตระกูลใหญ่บ้านใหญ่โตหลังนี้ ยามเฝ้าประตูที่ได้ข่าวแล้วเตรียมป้องกันอย่างเคร่งเครียด ขวางชาวบ้านที่ตามมาไว้นอกตรอก แต่บรรดาชาวบ้านไม่ได้แยกย้ายกันไปแค่นี้ ตรงกันข้ามยิ่งรวมยิ่งมากวิพากษ์วิจารณ์ชี้มือชี้ไม้อยู่นอกตรอก


เทียบกับเสียงโหวกเหวกด้านอก ในจวนของตระกูลกลับเงียบสงบยิ่งนัก เพียงแต่ความเงียบสงบนี้ยังพาความเคร่งเครียดอยู่บ้างมาด้วย


ผู้ชายหลายคนถลึงตามองท่านหมอเฒ่าเฝิง


“เจ้าผู้เฒ่ายังกล้าสร้างเรื่องอีก” ผู้ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำเอ่ยชิงชัง “พวกเราพังร้านของเจ้ามีอันใดไม่ถูก? เจ้าดูสิเจ้ารักษานายหญิงบ้านข้า กระทั่งถนนหนทางก็เดินไม่ได้แล้ว”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงโกรธจนตัวสั่น


“ล้มขาหัก เวลาสั้นๆ อยากลุกขึ้นมาวิ่งได้หรือ? นั่นเทพเซียนถึงทำได้ พวกเจ้าไม่ควรมาหาหมอ ไปหาเทพเซียนนู่น” เขาตวาด


บรรพบุรุษของเขาเป็นหมออยู่ที่เมืองหลวง ชาวบ้านในเมืองไม่ว่ายากจนต่ำต้อยล้วนจริงใจอ่อนโยนด้วย ไม่เคยได้รับคำพูดเลวร้ายเกี่ยวกับหมอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกระทำเลวร้ายอย่างพังร้านมาก่อน ล้วนเป็นเพราะคุณหนูจวินคนนี้พูดดั่งประกาศิตแบบนั้น ทำให้ทุกคนกลายเป็นใจร้อนแคลงใจไปหมด


“เวลาสั้นๆ อะไร นี่นานมากแล้ว”


“เฝิงซื่อลิ่ว หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าเจ้าที่มีชื่อเสียงเฟื่องฟูมานาน พวกเราพังร้านเจ้าไปนานแล้ว”


มองเห็นสองฝ่ายกำลังจะทะเลาะกัน คุณหนูจวินจึงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง


“ดูคนป่วยก่อนเถิด” นางเอ่ย


“คุณหนูจวิน ท่านก็มีส่วนผิด” ชายวัยกลางคนผู้นั้นมองคุณหนูจวินสีหน้าไม่พอใจ “ตรวจอาการ ตรวจอาการก็ควรมาตรวจอาการ เพียงฟังอาการจะบอกว่าผู้อื่นรักษาหายดีได้อย่างไร”


“เอาล่ะ” คุณหนูจวินไม่ได้โต้แย้ง สีหน้าอ่อนโยน “ข้าขอดูคนป่วยก่อน”


ชายวัยกลางคนแค่นเสียงเหอะ สะบัดแขนเสื้อเดินนำ คุณหนูจวินตามไป ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็พาสีหน้ากรุ่นโกรธตามไปด้วย


คนเจ็บเป็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง เวลานี้นอนอยู่บนเตียงสีหน้าซีดเซียว แม้ไม่มีโรคอื่น แต่ความทรมานที่เดินไม่ได้เช่นนี้ก็ทรมานคนให้เป็นไม่สู้ตาย เมื่อเห็นท่านหมอเฒ่าเฝิง นางก็คว้าถ้วยชาหัวเตียงเขวี้ยงมา


“เจ้าสารเลวทำร้ายข้าเป็นเช่นนี้” นางเอ่ยด่า


ท่านหมอเฒ่าเฝิงหากไม่ใช่ต้องการดูให้เห็นกับตาว่าคุณหนูจวินคนนี้รักษาคนป่วยหายดีอย่างไร คงหันจากไปแล้วแน่นอน


“นายหญิง ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างอ่อนโยน พลางก้าวข้ามถ้วยชาที่แตกกระจาย “อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านย่อมไม่ใช่เพราะท่านหมอเฒ่าเฝิงทำร้าย”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงหัวเราะหยัน ต้องให้เจ้ามาเสแสร้งรึ


“ยังมีเจ้า เจ้ารักษาได้ทำไมเจ้าไม่รักษา ไม่ใช่แค่เงินรึ?” นายหญิงคนนั้นมองนางยิ้มหยันอีก “มานี่สิ ให้เงินนาง พันตำลึง สองพันตำลึง ต้องการเท่าไรก็ให้เจ้าเท่านั้น”


หญิงรับใช้สองข้างสีหน้ากระอักกระอ่วน เพียงก้มหน้า ชายวัยกลางคนไม่ได้เอ่ยวาจากอันใด แค่ยิ้มหยันเช่นกัน


“อาการบาดเจ็บที่กระดูกเช่นนี้ทำให้คนอารมณ์เกรี้ยวกราดได้มากที่สุด แสดงอารมณ์โกรธออกมาได้ก็ดีแล้ว บ่งบอกว่าเรี่ยวแรงยังดีนัก” คุณหนูจวินเอ่ย ยิ้มก้าวขึ้นไปข้างหน้า “ข้าขอดูขาของนายหญิง”


นายหญิงแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง พลันหลั่งน้ำตาอีกครั้ง หญิงรับใช้ด้านข้างรีบส่งผ้าเช็ดหน้าไป นางเช็ดน้ำตาเอียงศีรษะ


หญิงรับใช้เข้าใจความหมาย ดึงกระโปรงนายหญิงเผยขาออกมา


บนขาแผ่นไม้ขนาบอยู่ ห่อยาทาหนาเตอะไว้


“ตอนนั้น…” หญิงรับใช้อธิบายกระบวนการที่ได้รับบาดเจ็บ พูดยังไม่ทันจบ คุณหนูจวินก็ก้าวถอยไม่ดูแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบแค่มองทีเดียวล่ะมั้ง นี่เสร็จแล้ว? หญิงรับใช้ตะลึงคำพูดต่อไปก็หยุดไปแล้ว


“ประคองนายหญิงลงมาเดินให้ข้าดูหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ยอีก


“เดินไม่ไหวแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้เอ่ย แล้วมองท่านหมอเฒ่าเฝิงอีก “ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เคยกำชับว่าไม่ให้เดิน”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงแค่นเสียงเหอะ


“ตอนนี้ฟังข้าทำอะไร?” เขาเอ่ยไม่สบอารมณ์


“เดินไม่ไหวยืนสักหน่อยก็ได้” คุณหนูจวินยังไม่ถือสาเอ่ยขึ้น


ชายวัยกลางคนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง บรรดาหญิงรับใช้เข้าใจรีบก้าวเข้าไปพยุงนายหญิงลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง เมื่อนายหญิงลุกขึ้นก็ส่งเสียงครวญครางไม่หยุด คุณหนูจวินมองสีหน้า การเคลื่อนไหวของนางอย่างละเอียด


บางทีคนอื่นอาจไม่สังเกต ท่านหมอเฒ่าเฝิงกลับสังเกตเห็น ทั้งรู้ว่าตอนนี้นางกำลังมองตรวจอาการ


นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง คนป่วยก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ต้องมองตรวจอาการอะไร บรรดาผู้หญิงเรือนในเหล่านั้นประกาศไปทั่วไม่ใช่หรือเพราะนางเป็นผ้หญิงดูฟังถามจับสะดวก นอกจากนี้นี่ยังเป็นกระดูกบาดเจ็บ กระดูกบาดเจ็บที่สำคัญที่สุดคืออาศัยมือแตะต้องตรวจอาการบาดเจ็บรวมถึงจัดกระดูก


แม้ชายหญิงแตกต่าง แต่เวลารักษาคนเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผิวหนังแตะต้องกันได้ ในฐานะผู้หญิง นางทำเรื่องนี้ไม่ใช่ยิ่งสะดวกหรือ นางกลับแม้กระทั่งมือก็ยังไม่ยื่นไป เพียงยืนอยู่ตรงนั้นมองดู


คงตั้งใจทำท่าให้ดูวิเศษสินะ


ท่านหมอเฒ่าเฝิงยิ้มหยัน นี่มีอะไรแตกต่างจากพวกผู้หญิงกับพระสงฆ์แม่ชีเหล่านั้น เขาบ่ายหน้าคร้านจะดูต่อ


คุณหนูจวินมองนายหญิงที่เดินไม่ได้จริงๆ สีหน้ายิ่งทรมานขึ้นทุกทีก็ไม่บังคับอีก เชิญนางนอนลงอีกครั้ง


“คุณหนูจวิน เป็นอย่างไร?” หญิงรับใช้ข้างกายทนไม่ไหวเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านจะดูไหมเจ้าคะว่ากระดูกนี่ต่อกันหรือยัง?”


ขาที่หักเพราะหกล้มชนก้อนหินข้างหนึ่ง ไม่ใช่คนจงใจตีให้เสีย เขาเป็นหมอมาครึ่งชีวิต แม้กระทั่งเช่นนี้ยังต่อไม่ได้หรือ? ท่านหมอเฒ่าเฝิงได้ยินโกรธ ถลึงตาอีกครั้ง


มีชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้ว เพราะคำพูดไม่มีที่มาประโยคหนึ่งของแม่นางน้อยคนหนึ่ง เขาก็ถูกคนคลางแคลงส่งเดชเหมือนกับหมอเพิ่งออกจากสำนักคนหนึ่ง ฝันก็คิดไม่ถึงจริงๆ


คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ


“แน่นอนต่อดีแล้ว” นางเอ่ย “ท่านหมอเฝิงต่อดีมาก อาการบาดเจ็บรักษาได้ดีมาก”


คำพูดนี้หมายความว่าอะไร? คนที่อยู่ที่นั่นตะลึงไปเล็กน้อย


“ความหมายของข้าคือท่านหมอเฝิงรักษาโรคนี้ได้ นอกจากนี้รักษาได้ดีมาก” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “โรคนี้ไม่ต้องให้ข้ารักษา”


ได้ยินคำนี้ นายหญิงบนเตียงก็ร้องไห้เสียงดังขึ้นมาทันที


ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ยิ้มหยันด้วย


“เจ้าไม่ต้องพูดจาน่าฟัง แล้วเจ้าก็ไม่ต้องชมข้า ข้าพูดเอง อาการบาดเจ็บที่ขานี้ข้ารักษาไม่ได้” เขาเอ่ย “เจ้ารักษาสิ เชิญเจ้ารักษา”


คุณหนูจวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง


“เอาอย่างนี้แล้วกัน รบกวนท่านหมอเฒ่าเฝิงแสดงให้ข้าดูรอบหนึ่งว่าต่อกระดูกอย่างไร ข้าจะดูสิว่าวิธีเหมือนกับข้าหรือไม่” นางเอ่ย “แบบนี้ก็พอดีสะดวกตัดสินว่าข้าจะรักษาหรือไม่รักษา”


นี่ต้องการให้เขาแสดงฝีมือหรือ?


ท่านหมอเฒ่าเฝิงแค่นเสียงเหอะ


“ได้สิ” เขาเอ่ย “ข้าสอนจระเข้ว่ายน้ำแล้ว”


เขาพูดจบก็ก้าวเข้าไป หญิงรับใช้เลิกกระโปรงเผยขาอีกครั้ง ท่านหมอเฒ่าเฝิงยื่นมือลอยบนขาที่บาดเจ็บซึ่งห่อด้วยแผ่นไม้กับยาทาอยู่


“ก่อนอื่นดัน…” เขาขยับพลาง เอ่ยพลาง


เพิ่งพูดออกมาประโยคหนึ่งก็ถูกคุณหนูขัดแล้ว


“แบบนี้เห็นไม่ชัด ไม่สู้เอาแผ่นไม้ยาทาออกไป แสดงบนขา” นางเอ่ย


วุ่นวายจริงเชียว ท่านหมอเฒ่าเฝิงยิ้มหยันอีกครั้ง แต่เขาอะไรก็ไม่พูดทั้งนั้น ยื่นมือถอดแผ่นไม้จริงๆ ปลดผ้ายาทาผืนหนาที่ห่อไว้ออก เผยขาดำปิดปี๋ที่ถูกยาทาย้อม


“หนึ่งสำรวจ สองดัน” เขาวางมือบนขาของนายหญิง เคลื่อนไหวจำลองเบาๆ ไม่ใช่แรง


นี่เป็นวิชาลับการจัดกระดูกของตระกูลเฝิงของพวกเขา แต่เขาย่อมไม่กลัวคุณหนูจวินคนนี้ร่ำเรียนไป


วิชาลับเช่นนี้ก็ไม่ใช่มองดูไม่กี่ทีก็เรียนรู้ได้


คุณหนูจวินดูอย่างตั้งใจยิ่งนัก พยักหน้า


“หากข้าทำก็เป็นเช่นนี้” นางเอ่ย พลางยื่นมือชี้จุดหนึ่งบนขา “ต่อไปต้องนวดตรงนี้ใช่หรือไม่”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงหน้าบึ้งเคลื่อนมือมาถึงตรงที่นางชี้


“ไม่ใช่ ที่นี่ไม่ต้องนวด แต่ต้องกด…” เขาเอ่ย


มือของคุณหนูจวินยื่นเข้ามา กดบนมือของเขาราวกับประหลาดใจอยู่บ้าง ฉับพลันกดลงไป


“กดเช่นนี้หรือ?” นางเอ่ยถาม


ฉับพลันทันใดกดลงไป ทำให้นายหญิงส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา คนในห้องล้วนสะดุ้งโหยง ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ตกใจสะดุ้งด้วย


“เจ้า…” เขาเอ่ย คำเพิ่งออกจากปาก คนก็พลันแข็งทื่อ สีหน้าฉับพลันไม่อยากเชื่อ ในเวลาเดียวกันบนหน้าผากเม็ดเหงื่อชั้นหนึ่งก็ผุดออกมาทันที


เกิด อะไร ขึ้น?


กระดูกตรงนี้ทำไมยังหักอยู่?


……………………………………….


บทที่ 176 นี่เจตนาคืออะไร

โดย

Ink Stone_Romance

หรือตกหล่นไปรึ?


ครั้งนั้นต่อกระดูก ต่อไม่ติด?


ท่านหมอเฒ่าเฝิงจัดกระดูกมาทั้งชีวิต มือวางตรงไหนก็รู้ว่ากระดูกสมบูรณ์ดีหรือหักแตก


เขาไม่มีทางทำผิดพลาดเช่นนี้ได้


เขาจำได้ชัดเจนกระดูกที่หักบนขาบาดเจ็บข้างนี้ล้วนต่อดีหมดแล้ว


แต่ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?


หรือว่ากระดูกที่ถูกตนเองต่อนี่ถูกกดหักอีกแล้ว?


นี่ยิ่งเหลวไหล


หรือเขาตกหล่นกระดูกหักชิ้นนี้จริงๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมนายหญิงคนนี้ไม่ดีขึ้นสักที?


ท่านหมอเฒ่าเฝิงรู้สึกเพียงเสื้อตัวในถูกเหงื่อที่ผุดพรายออกมาทำชื้นทันที ในสมองว่างเปล่า ข้างใต้มือยังลูบขาของคนเจ็บ แต่ในใจไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น


ความรู้สึกนี้ก็เคยมีมาก่อน นั่นเป็นนาทีนั้นตอนที่เขาเพิ่งร่ำเรียนศาสตร์คลำกระดูกกับบิดาเป็นครั้งแรก


“เกิดอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


หญิงรับใช้ข้างตัวรวมถึงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบร้อนเอ่ยถาม


เกิดอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้าหม่นหมองอยู่บ้างมองไปทางคนเหล่านี้ พวกเจ้าพังร้านของข้าถูกต้องแล้ว ข้าไม่ได้ถูกใส่ร้าย


เขาอยากตอบเช่นนี้ แต่มีคนเอ่ยปากก่อนเขา


“ไม่มีอะไร เจ็บก็เป็นเรื่องดี บ่งบอกว่าอาการบาดเจ็บของนายหญิงกำลังดีขึ้น” คุณหนูจวินเอ่ย


ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองไปทางนางตกตะลึง


นางค้นพบแล้วใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นทำไมจะบังเอิญเช่นนี้?


ถามเขาว่าจัดกระดูกอย่างไร ยังบอกว่าวาดมือเท่านั้นไม่พอ ทำที่ขาอีกข้างก็ไม่ได้ ต้องการให้สาธิตใหม่อีกครั้งบนขาที่เจ็บข้างนี้ หลังจากนั้นก็บังเอิญขนาดนี้ชี้จุดหนึ่งออกมา หลังจากนั้นกดลงไปทำให้เขาพบปัญหาตรงนี้


นางตั้งใจทำอะไร?


“ท่านหมอเฝิง ตรงนี้ที่แท้ต้องกดหรอกหรือ” คุณหนูจวินกลับไม่ได้มองเขา สีหน้าตั้งใจมองขาของคนเจ็บ “กดอย่างนี้ก็ต่อเสร็จสมบูรณ์ดีแล้วหรือ? ข้าจำได้ว่ารวมบันทึกจัดกระดูกตระกูลต่งมีบันทึกตัวอย่างการรักษาอันหนึ่งไว้ บอกว่ามีอาการบาดเจ็บทางกระดูกชนิดหนึ่งรักษาแล้วแตกทีหลัง ไม่รู้ว่าวิธีกด ดันเหมาะจะใช้หรือไม่”


ประโยคนี้เอ่ยออกมา ท่านหมอเฒ่าเฝิงรู้สึกตรงหน้าสว่าง สมองกระจ่างทันที


รวมบันทึกจัดกระดูกตระกูลต่งไม่ใช่หนังสือแพทย์เล่มหนึ่ง พูดให้ชัดเป็นเรื่องสนุกนานาชนิดที่หมอแซ่ต่งคนหนึ่งรวบรวมไว้ตอนเป็นหมอ ไม่ได้อธิบายวิชาแพทย์ไว้ละเอียดนัก แต่เพราะยกตัวอย่างหายากประหลาดอยู่มาก ดังนั้นทุกคนล้วนอ่านๆ ดู แต่ส่วนใหญ่อ่านไม่แตกฉาน


เวลานี้คุณหนูจวินเอ่ยเช่นนี้ ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็คิดขึ้นมาได้ มีสภาพเช่นนี้จริงๆ กระดูกแรกเริ่มดูเหมือนหายดีไม่เสียหาย แต่กลับหักแตกเมื่อกระดูกบาดเจ็บที่อื่นประสานดี


สภาพเช่นนี้พบน้อยนัก แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี ขอแค่พบแล้วก็รักษาง่ายนัก ก็แค่ปะกระดูกใหม่อีกครั้งก็เรียบร้อยแล้ว


แต่หากหาไม่พบละก็…


มือของท่านหมอเฒ่าเฝิงที่นิ่งมาตลอดสั่นเล็กน้อย


ขาข้างนี้ก็เสียแล้ว


“ท่านหมอเฝิง ใช่หรือไม่เล่า?” เสียงของเด็กสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้งข้างหู


ท่านหมอเฒ่าเฝิงอดไม่ได้ฉุกคิดขึ้นมา มองคุณหนูจวินสีหน้าสับสนอยู่บ้าง


นาง ทำไม ไม่พูดออกมา? ยังแสร้งทำไม่รู้อีก?


คุณหนูจวินมองเขาสีหน้าอ่อนโยน


ท่านหมอเฒ่าเฝิงหลุบสายตาลง มือวางกลับลงบนขาของนายหญิงคนนี้ ครั้งนี้ไม่แตะเพียงทำท่าเป็นสิ้นสุดอีกแล้ว แต่กดนวดลงไป


“วิธีของข้าเป็นเช่นนี้ ข้าไม่รู้ของเจ้า” เขาเอ่ย เสียงยังคงสั่น แต่กลับแตกต่างจากอาการสั่นสะท้านเพราะความโกรธเกรี้ยวก่อนหน้านี้


เพราะการกดนวดของเขาครั้งนี้ นายหญิงจึงร้องเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง ทำให้คนในห้องเคร่งเครียดขึ้นมาอีกรอบ


“ขาของนางยังไม่หายดีนะ เจ้าก็กดสะเปะสะปะเช่นนี้ แบบนี้ใช้ได้หรือ?” ชายวัยพลางคนตั้งคำถามเอ่ย


สองสามทีท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เก็บมือแล้ว


“คุณหนูจวินจะลองไหม?” เขาไม่สนใจชายวัยกลางคน แต่ก้มหน้าเอ่ยเสียงหดหู่


คนในห้องล้วนมองไปทางคุณหนูจวิน ท่าทางคาดหวังอยู่บ้าง


คุณหนูจวินส่ายศีรษะ


“ไม่ต้องแล้ว วิธีรักษาของข้ากับเขาเหมือนกัน” นางเอ่ย


คนในห้องผิดหวังทันที นายหญิงคนนั้นหมอบอยู่บนเตียงร้องไห้ขึ้นมา


“ข้าไม่อยู่แล้ว” นางตะโกน ทุบเตียง


“คุณหนูจวิน นี่ไม่มีวิธีแล้วหรือ?” ชายวัยกลางคนรีบเอ่ย “ทนเช่นนี้จะทนได้อย่างไร”


“ก็ไม่ต้องทนนานนักหรอก ข้าคิดว่าผ่านไปอีกสามวันห้าวันต้องดีขึ้นแน่นอน” คุณหนูจวินเอ่ย


ชายวัยกลางคนแค่นเสียง


“สามวันห้าวัน สามวันหันวัน พวกเจ้าก็พูดเป็นแค่นี้” เขาเอ่ยโกรธ “นี่กี่สามวันห้าวันผ่านไปแล้ว”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงห่อยาทาใหม่ช้าๆ สวมประกบแผ่นไม้หลิวเสร็จ


“ข้าจะเปลี่ยนยาอีกสูตร ผ่านไปสามวันห้าวันยังไม่ดี ไม่ต้องให้พวกเจ้ามาพัง ข้าจะปิดร้านปลดป้ายโรงหมอเอง” เขาเอ่ย พลางหยิบกระดาษพู่กันในห้องขึ้นมาเขียนเทียบยา


เสียงของเขาไม่ได้อารมณ์รุนแรงเช่นก่อนหน้า หดหู่ราวกับใช้เรี่ยวแรงหมดสิ้น เขียนวางไว้ก็ประสานมือคำนับหมุนตัวจากไปแล้ว


คนในห้องมองแผ่นหลังของเขา แล้วก็มองคุณหนูจวิน


“คุณหนูจวิน ท่านดู” ชายวัยกลางคนหยิบเทียบยาเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินพยักหน้าให้เขา


“ท่านหมอเฒ่าเฝิงต้องรักษาหายดีได้แน่” นางเอ่ย “ใต้เท้าวางใจ”


ชายวัยกลางคนถอนหายใจ วาดมือสื่อความหมายให้ส่งแขก


ตอนคุณหนูจวินเดินออกประตู ท่านหมอเฒ่าเฝิงกำลังถูกบรรดาชาวบ้านล้อมอยู่


“ท่านหมอเฝิง เป็นอย่างไรเล่า?”


“ท่านหมอเฝิง คุณหนูจวินคนนั้นรักษาหายดีแล้วจริงๆ หรือ?”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่สนใจทั้งสิ้น ก้มหน้าเบียดฝูงชนเดินออกไป บรรดาชาวบ้านมองเห็นคุณหนูจวินเดินออกมาอีก อยากเข้าไปล้อมแต่ก็ไม่กล้า เพราะรถหนึ่งคันมารับแล้ว ที่ตามมายังมีคนคุ้มกันท่าทางดุร้ายหลายคน


เบื้องหลังของโรงหมอจิ่วหลิงคือเต๋อเซิ่งชาง เต๋อเซิ่งชางคือเทพแห่งเงินตรา ข้างใต้ก็มีคนจำนวนหนึ่ง


บรรดาชาวบ้านมองคุณหนูจวินนั่งรถจากไปแล้ว กลับตัดใจแยกย้ายไม่ได้ ยืนอยู่ที่เดิมถกเถียงคาดเดาอย่างสงสัยใคร่รู้


แต่การคาดเดาเช่นนี้ไม่ได้นานนัก ห้าวันให้หลังทุกคนก็รู้ผลลัพธ์ เพราะครอบครัวที่พังโรงหมอของท่านหมอเฒ่าเฝิงแห่งนี้ไปมอบของขวัญชดใช้ขอขมาให้แก่ท่านหมอเฒ่าเฝิง ชดใช้เครื่องเรือนที่ทุบทำลาย มอบป้ายชื่อ


ดังนั้นท้ายที่สุดคนป่วยบ้านนี้ก็ยังเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาหายดี


“ก็บอกแล้วท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาหายดีได้” มีชาวบ้านเอ่ยขึ้นด้วยโกรธแค้นเต็มอก


แต่คำพูดนี้ไม่ได้รับการร้องรับ ชาวบ้านที่ล้อมดูได้ยินเข้าแปลกใจอยู่บ้าง


“คุณหนูจวินก็บอกแล้วว่าได้ เขารักษาหายดีได้” คนผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำ


คำพูดนี้ทำให้บรรดาชาวบ้านเงียบไปพักหนึ่ง


ถ้าอย่างนั้นพูดว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงร้ายกาจ ใช่บอกว่าคุณหนูจวินพูดถูกด้วยใช่หรือไม่ หรือก็คือพูดว่าคุณหนูจวินร้ายกาจ?


“นี่จะเป็นนางร้ายกาจได้อย่างไรเล่า? นี่เป็นท่านหมอเฒ่าเฝิงร้ายกาจต่างหาก!”


“ใช่แล้ว ครั้งนี้เป็นนางบอกว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาหายได้ แสดงว่านางความเห็นปราดเปรื่อง หากนางบอกว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาไม่ได้เล่า?”


“ดังนั้นถึงบอกว่า นางบอกก็ส่วนนางบอก ท้ายที่สุดคนที่รักษาคนป่วยหายดีก็ยังเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิง ดังนั้นท่านหมอเฒ่าเฝิงร้ายกาจที่สุด”


คำพูดนี้ก็ถูก บรรดาชาวบ้านเอ่ยชมท่านหมอเฒ่าเฝิงอีกครั้ง น่าเสียดายสุดท้ายเขาก็ได้รับความอยุติธรรมครั้งหนึ่งเพราะคำพูดของคุณหนูจวินไปเปล่าๆ


ทุกคนคุยกันว่าจะเข้าไปปลอบท่านหมอเฒ่าเฝิงที่ได้รับความอยุติธรรม กลับพบว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ได้อยู่ในโรงหมอ


ไม่รู้เพราะความวุ่นวายหนนี้ร่างกายทนรับไม่ไหวกลับบ้านไปพักผ่อนแล้วหรือไม่


ความคึกคักของโรงหมอไป๋เฉ่าฝั่งนี้ เฉินชีรู้ตั้งแต่เวลาแรก ด้านในโถงพนักงานสองคนเบะปากยิ้ม


“ก็บอกแล้วว่าคุณหนูจวินของพวกเราไม่ผิดไหม” เขาเอ่ย พลางส่ายศีรษะ “คนเหล่านี้น้า ช่างไม่รู้จักดีเลวจริงๆ”


เขาเอ่ยถึงตรงนี้ พนักงานสองคนก็ร้องเอ๋ ใช้ข้อศอกถองเขา


“ทำอะไร? อย่าไร้ระเบียบเช่นนี้กับข้า” เฉินชีขมวดคิ้วเอ่ย “อย่างไรข้าก็เป็นผู้ดูแลใหญ่”


“ผู้ดูแลใหญ่ นั่นใครมา” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยขึ้น


ใคร? เฉินชีเงยหน้าสีหน้าตะลึง มองเห็นท่านหมอเฒ่าเฝิงยืนอยู่ตรงปากประตู


เอ๋ ทำไมเขามาอีกแล้วเล่า?


มาอวดหรือ?


เฉินชีรวมถึงพนักงานทั้งสองสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง คุณหนูจวินเดินออกมาจากด้านหลังเช่นกัน


“มีอะไร?” นางเอ่ยถาม จากนั้นมองเห็นท่านหมอเฒ่าเฝิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตู


นางยังไม่ทันเอ่ยวาจา ท่านหมอเฒ่าเฝิงพลันประสานมือขึ้นสูงก้มตัวคำนับจนสุดให้นาง จากนั้นหมุนตัวจากไปแล้ว


เฉินชีรวมถึงพนักงานทั้งสองคนล้วนสีหน้าอึ้ง


“ผู้เฒ่าคนนี้หมายความว่าอย่างไร?” เฉินชีเอ่ยขึ้น


คำนับยกมือขึ้นสูงเช่นนี้ แสดงความนับถืออย่างจริงใจที่สุดต่อเจ้านาย บิดาและอาจารย์ถึงจะใช้


นี่ไม่เพียงเป็นการขอบคุณ ยังเป็นความนับถือ


แต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นทำให้ท่านหมอเฒ่าที่ครั้งก่อนยังชิงชังไม่อาจอภัยโรงหมอจิ่วหลิง นับถือคนรุ่นหลังอายุน้อยเช่นนี้คนหนึ่งขนาดนี้?


“คงเพราะข้าบอกว่าเขารักษาหายได้กระมัง” คุณหนูจวินเอ่ย ส่งกล่องยาเม็ดที่เพิ่งห่อเสร็จข้ามมา


……………………………………….


บทที่ 177 เผยแพร่แนวคิด ถ่ายทอดความรู้ คลายข้อสงสัย

โดย

Ink Stone_Romance

เหลวไหล!


เฉินชีเอ่ยในใจ ยื่นมือมารับไป


“แต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็พูดเช่นนี้นี่” เขาเอ่ย


เพียงเพราะไปออกตรวจกับท่านหมอเฒ่าเฝิงครั้งหนึ่ง ผลที่ประโยคนี้นำมาให้ก็เปลี่ยนไปแล้ว? นั่นย่อมไม่ใช่เพราะประโยคนี้เป็นเหตุแน่ แต่เพราะเกิดเรื่องอะไรที่พวกเขาไม่รู้


ไปรักษาโรคที่บ้านหลังนั้นกับท่านหมอเฒ่าเฝิง พวกเขาไม่ได้ตามไปด้วย แต่หลังจากนั้นได้ยินว่าคุณหนูจวินยังคงไม่ได้รักษา เพียงแค่ดูท่านหมอเฒ่าเฝิงอธิบายว่ารักษาอย่างไรเท่านั้น


“คงเป็นความเชื่อถือกับความเชื่อใจกระมัง” คุณหนูจวินเอ่ย ท่าทางติดจะล้อเล่นอยู่นิดๆ


การล้อเล่นนี้เฉินชีทำอันใดไม่ได้ เห็นชัดว่าคือการบอกว่าข้าไม่บอกเจ้า


มีอะไรพูดไม่ได้งั้นหรือ? อย่างไรคนที่ขายหน้าก็ไม่ใช่นาง


ท่านหมอเฒ่าเฝิงเฮือกเดียวเดินไปถึงมุมถนนถึงหยุด


ใช่สิ มีอะไรพูดไม่ได้เล่า คนขายหน้าก็ไม่ใช่นาง นอกจากนี้ตนเองเป็นคนที่เดิมต้องการให้นางขายหน้า


แม้นางน้อยคนนี้ไม่รีบร้อนไม่ลนลานไม่โกรธเกรี้ยว หัวใจนิ่งสงบอ่อนโยนไม่เพียงตามเขาไป ยังช่วยเขาชี้และปกปิดความผิดพลาดด้วย รักษาหน้าของเขาไว้


ท่านหมอเฒ่าเฝิงคิดถึงตอนคุณหนูจวินตรวจอาการที่บ้านหลังนั้น เห็นชัดๆ ว่าเป็นผู้หญิงกลับไม่ยอมเข้าไป เพียงแค่มองตรวจ เขาคาดเดาว่านางตั้งใจทำท่าให้ดูน่าอัศจรรย์แสดงว่าตัวนางร้ายกาจมาก ตอนนี้ถึงเข้าใจ นางทำเพื่อให้ทุกคนเห็นว่านางไม่ได้มองฟังถามจับ ดังนั้นคนป่วยคนนี้ตลอดมาล้วนเป็นเขารักษา


ไม่อย่างนั้นหากนางลงมือมองฟังถามจับด้วยตนเอง คนป่วยคนนี้หลังจากหายดีไม่แน่ว่าอาจถูกเล่ากลายเป็นความดีความชอบของนาง


ท่านหมอเฒ่าเฝิงถอนหายใจอีกครั้ง คิดถึงท่าทีของเด็กสาวคนนั้นในเรื่องครั้งนี้ประโยคไม่กี่ประโยคนั่นที่นางเอ่ยออกมาโอหังจริงๆ แต่เรื่องที่นางทำกลับอ่อนโยนเช่นนี้


เปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงรอแทบไม่ไหวชี้จุดผิดพลาดที่น่าขันนี่ออกมาเสียนานแล้ว เพื่อแสดงว่าตนเองร้ายกาจเท่าใด นางกลับไม่ทำ ยังช่วยตนชี้และปกปิดได้รอบคอบยอดเยี่ยมเช่นนี้ หลังเรื่องยิ่งไม่ป่าวประกาศสักนิด


หัวใจเช่นนี้ทำให้ตนเองผู้เฒ่าคนนี้อับอาย


เขาสมควรอับอายจริงๆ คนป่วยคนนี้พังโรงหมอของเขาก็ไม่ใช่ผิด


เขาเป็นหมอมานานปีขนาดนี้อาศัยประสบการณ์วิชาเก่าๆ จนกลายเป็นเกียจคร้าน เมื่อคนป่วยคนนั้นอธิบายอาการเจ็บขาหลายครั้งเข้าก็ไม่ค้นหาสาเหตุให้ละเอียด ดันเป็นปฏิกิริยาปกติ นอกจากนี้ยังเพราะประโยคหนึ่งของคนป่วยที่ว่าคุณหนูจวินบอกว่าท่านรักษาหายดีได้ก็โกรธ คิดถึงแต่ตนเองถูกหยาม โกรธฮึดฮัดวิ่งไปตั้งคำถามผู้อื่น กลับลืมตั้งคำถามตนเองก่อนว่าตนเองทุ่มใจทุ่มกำลังทำสุดความสามารถหรือยัง


คำสอนที่บิดาให้เขาจดจำยามเริ่มแรกถ่ายทอดวิชาให้ เขาลืมสิ้นแล้ว


โชคดีที่เด็กสาวคนนี้ยื่นมือชี้ ชี้ความผิดพลาดของเขาออกมา แล้วก็เรียกสติของเขาขึ้นมาด้วย


นางคู่ควรเป็นอาจารย์ของเขา และคู่ควรแก่การคำนับของเขา


“ท่านหมอเฝิง”


มีคนขวางทางของเขาไว้


ท่านหมอเฒ่าเฝิงได้สติกลับมามองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เขาจำได้ว่านี่คือศิษย์เอกของเจียงโหย่วซู่ จึงพยักหน้า


“ท่านหมอเกิ่ง” เขาเอ่ย


ท่านหมอเกิ่งท่าทางห่วงใยอยู่บ้าง


“ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” เขาเอ่ย ไม่รอท่านหมอเฒ่าเฝิงตอบก็เป็นฝ่ายอธิบาย “เรื่องของท่าน ข้าได้ยินมาแล้ว ครั้งนี้ท่านพบหายนะโดยไม่คาดคิดจริงๆ การรักษาที่เดิมทีเป็นไปด้วยดีทุกคนมีความสุข เพราะละครตลกตรงกลางนี่ทำพังเสีย”


ท่านหมอเฒ่าเฝิงได้ยิน ไม่ได้โกรธแค้นเต็มอก ต่อว่าความวุ่นวายที่คุณหนูจวินก่อขึ้นด้วยอารมณ์รุนแรงอย่างที่เขาคาดคิด แต่สีหน้าไม่สบายใจโบกมือ


“ไม่กล้า ไม่กล้า” เขาเอ่ยหลายที สีหน้ายากปิดบังความละอาย “อับอายแล้ว อับอายแล้ว”


ท่านหมอเกิ่งตะลึงไปนิดหนึ่ง นี่มันปฏิกิริยาอะไร เขายังอยากจะพูด ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ยกมือขอตัวแล้ว


“ข้ายังมีโรคหลายโรคต้องศึกษาให้ดีสักหน่อย” เขาเอ่ย สีหน้าจริงจังและจริงใจ “ทะเลความรู้ไม่มีสิ้นสุด ไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลังนี่นะ”


พูดจบก็ก้าวไวๆ เดินผ่านท่านหมอเกิ่งไป


ทะเลความรู้ไม่มีสิ้นสุด ไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลังอะไร? ท่านหมอเกิ่งสีหน้าอึ้ง


“ท่านหมอเฝิง..” เขาร้องเรียก


ท่านหมอเฒ่าเฝิงศีรษะไม่หันกลับเดินจากไปแล้ว


ประหลาดจริงๆ ปฏิกิริยานี้หมายความว่าอย่างไร?


ได้ยินคำบรรยายของท่านหมอเกิ่ง เจียงโหย่วซู่ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หัวเราะแล้ว


“มีอะไรประหลาดได้เล่า” เขาเอ่ย “นอกเสียจากติดค้างน้ำใจคนแล้ว”


ท่านหมอเกิ่งประหลาดใจเล็กน้อย


“อาจารย์ ความหมายของท่านคือ ท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาโรคนี้ไม่หายดีจริงๆ” เขาเอ่ยถาม


เจียงโหย่วซู่พยักหน้า


“เขาน่าจะทำผิดพลาดสักอย่าง ไม่ได้ตั้งใจตรวจซ้ำ ผลสุดท้ายพบกับกระดูกงอกแตก” เขาเอ่ย


ท่านหมอเกิ่งย่อมรู้จักกระดูกงอกแตกคืออะไร


“ไม่ใช่กระมัง อาการป่วยง่ายดายเช่นนี้เขากลับค้นไม่พบ?” เขาเอ่ย


“ก็เพราะง่ายดาย เรื่องมากมายจึงกลับถูกละเลย” เจียงโหย่วซู่เอ่ย วางหนังสือแพทย์ในมือลง หัวเราะ “คุณหนูจวินคนนี้ที่แท้ก็วางตัวเป็นนี่”


นางย่อมต้องพบข้อผิดพลาดของท่านหมอเฒ่าเฝิงแล้วแน่นอน แต่ไม่เพียงไม่ชี้ออกมา ยังปกปิดแทนท่านหมอเฒ่าเฝิงด้วย ความสัมพันธ์นี้บังเกิดขึ้น เรื่องที่รักษาชื่อเสียงไว้ให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงย่อมขอบคุณนางไม่จบสิ้น หรือก็คือไม่มีทางบอกว่าคุณหนูจวินไม่ถูกสักครึ่งประโยคอีกต่อไป


ท่านหมอเกิ่งคิดเข้าใจแล้ว ขมวดคิ้วอีกครั้ง


“เป็นขยะคนหนึ่งจริงๆ” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง


เป็นหมอชื่อดังคนหนึ่งแท้ๆ กลับดันทำผิดพลาดโง่เง่าเช่นนี้ ไม่เพียงกู้หน้ากลับมาไม่ได้ ตรงกันข้ามกลับยื่นด้ามดาบให้ผู้อื่น


“คุณหนูจวินคนนี้ย่อมไม่ใช่ขยะแล้ว” เจียงโหย่วซู่เอ่ย มองข้อมูลเกี่ยวกับโรงหมอจิ่วหลิงเล่มนั้นที่อยู่กลางกองบันทึกการรักษากองหนึ่ง


คิดไม่ถึงโรคของนายน้อยคนนั้นของตระกูลฟางจะถูกรักษาหายดีจริงๆ ตั้งแต่อ่านสิ่งนี้เขาก็ตั้งใจศึกษาโรคของนายน้อยตระกูลฟางอย่างจริงจัง ตามสภาพเมื่อตอนนั้นเขาอับจนหนทางจริงๆ


โรงหมอจิ่วหลิงนี่มีความสามารถแท้จริงอยู่บ้างจริงๆ


“กล้ามาเมืองหลวงอยู่ย่อมมีความสามารถจริง แต่นางจะโรคอะไรก็รักษาได้ได้อย่างไร” ท่านหมอเกิ่งเอ่ย พูดถึงประโยคนี้ไม่ทันรู้ตัวก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง คนที่มาดุจเทพเซียนแล้วก็ล่องลอยจากไปไม่รู้อยู่หนใดดุจเทพเซียนอีกครั้ง คำพูดของเขาหลุดออกจากปากไป “นางก็หาใช่หมอเทวดาจาง”


ชื่อนี้มักจะโผล่มาโดยไม่ทันสนใจเสมอ ข่าวคราวเงียบหายไปนานปีขนาดนั้นแล้วแท้ๆ


เจียงโหย่วซู่สีหน้าทะมึนไปเล็กน้อย


พูดไปแล้วคุณหนูจวินคนนี้ก็เหมือนจางชิงซาน พิลึกพิลั่น ไม่ปกติ แต่ดันโชคดีครั้งแล้วครั้งเล่า


“ครั้งนี้เป็นท่านหมอเฒ่าเฝิงผิดพลาดทำพังเอง” ท่านหมอเกิ่งเอ่ย “ทั้งเมืองหลวงหมอมากมายขนาดนี้ คำพูดของนางเอ่ยออกไป เรื่องเช่นนี้หลังจากนี้คงไม่ขาด นางจะพบความผิดพลาดในการตรวจของผู้อื่นได้หมดหรือ”


เจียงโหย่วซู่ลูบเคราไม่พูดจา นั่นก็ต้องดูกันต่อไปแล้ว ดูว่านางจะเดินไปได้ไกลเท่าใด


ก็เหมือนกับที่ท่านหมอเกิ่งเอ่ย เรื่องเช่นนี้เริ่มปรากฏขึ้นไม่ขาดแล้วจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังท่านหมอเฒ่าเฝิงรักษาคนบ้านนั้นหายดี


“คุณหนูจวินบอกว่ารักษาได้ก็รักษาได้ เจ้ารักษาไม่หาย เพราะไม่ทุ่มเทใจหรือเปล่า? ใช่อยากได้เงินเพิ่มหรือไม่?”


ท่านหมออายุน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงเลียนแบบคำร้องตะโกนของคนป่วย เทียบกับท่านหมอเฒ่าเฝิงที่อายุมากไม่มีเรี่ยวแรง อารมณ์ของเขารุนแรงยิ่งกว่า เกลียดจนกระทืบเท้า


“ก็ข้ารักษาไม่หาย ข้ารักษาไม่หาย เจ้าก็ไม่ใช่ข้า เจ้าอาศัยอะไรมาบอกว่าข้ารักษาได้?”


เฉินชีกับพนักงานสองคนยื่นมือแคะหู วันนี้แม้กระทั่งตกใจพวกเขาก็คร้านจะตกใจแล้ว


คุณหนูจวินที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสีหน้านิ่งสงบ


“ท่านรักษาได้นะ ท่านทำได้” นางเอ่ย เสียงแผ่วเบาอ่อนโยนเหมือนกับเผชิญหน้าคนป่วยที่มาตรวจ “ร้านของพวกท่านเป็นสูตรยาก่อนสมัยฮั่น ท่านต้องเคยเรียนบทว่าด้วยโรคจากสิ่งภายนอก จับชีพจร รู้จุดฝืน รักษาตามอาการ ท่านจะบอกว่าทำไม่ได้ได้อย่างไรเล่า? ท่านเพียงแค่ชั่วขณะคิดไม่ออกเท่านั้น ข้าจำได้ในบทว่าด้วยโรคจากสิ่งภายนอกมีพูดถึงสูตรยาอันหนึ่ง พูดถึงโรคที่เสมหะเหลืองไม่หายชนิดนี้เหมือนกัน”


ท่านหมอหนุ่มอึ้งไป


“แต่คนป่วยคนนี้ไม่ใช่โรคเสมหะเหลืองนี่” เขาเอ่ยออกมาไม่ทันรู้ตัว “เขาไม่มีเสมหะเหลือง…”


พูดถึงตรงนี้คนก็พลันชะงักไป จากนั้นก็เข้าใจดั่งบรรลุ


“มี มี” เขาเอ่ยอย่างตื่นเต้น คำพูดไม่เป็นประโยค “ตอนแรกมีเสมหะเหลือง แรกสุดเป็นเสมหะเหลือง เป็นเสมหะเหลือง”


เขาไม่รอเอ่ยจบหมุนตัวก็วิ่งไปแล้ว


เฉินชีกลอกตา หัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง


“ข้าว่า ที่นี่เป็นโรงหมอเสียที่ไหน นี่เป็นโรงเรียนหมอแล้ว” เขาเอ่ย


พูดถึงตรงนี้เขาก็พลันกระจ่าง ร้องอ้ออ้อหลายที


โรงเรียนแพทย์นี่เอง


ที่แท้ที่บอกว่าเจ้ารักษาได้เจ้าก็รักษาได้ ก็ทำเช่นนี้ได้นี่


แม้ดูไปแล้วเพียงแค่เอ่ยเตือนหนึ่งประโยค แต่บางครั้งเอ่ยเตือนหนึ่งประโยคก็สำคัญยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวว่าอาจารย์คำเดียวได้อย่างไร


นี่เป็นการเผยแพร่ความรู้ถ่ายทอดวิชาแล้ว


รักษาโรคที่ผู้อื่นรักษาไม่ได้ปราดเปรื่อง แต่กลายเป็นอาจารย์คำเดียวของหมอทั้งเมืองยิ่งปราดเปรื่องยิ่งกว่า


เช่นนี้ต่อไปใครยังสะดวกใจว่าร้ายนางอีก ขอบคุณยังแทบไม่ทันเลย


เฉินชีมองคุณหนูจวินที่สีหน้านิ่งสงบนั่งอยู่หลังโต๊ะยกพู่กันเขียนอะไรอยู่ อดไม่ได้ยกนิ้วโป้งให้


ปราดเปรื่อง ปราดเปรื่องจริงๆ


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม