Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอน 164-170

 บทที่ 164 คนผู้นี้ชื่อนี้ไม่ชอบ

โดย

Ink Stone_Romance

เจียงโหย่วซู่ก็มองเด็กสาวคนนี้ สีหน้าตะลึง


ฉับพลันรู้สึกว่าคำพูดนี้คุ้นเคยอยู่บ้าง


ก่อนหน้านี้เนิ่นนานก็เคยมีคนที่อยู่ดีๆ โผล่ออกมาถูกเล่าลือว่าเป็นดั่งเทพเซียนเช่นนี้ปรากฏตัวที่เมืองหลวง


เชิญเขารักษายากเหมือนปีนขึ้นฟ้าจริงๆ


นี่ไม่ใช่ท่าทีที่หมอคนหนึ่งควรมีสักนิด


ทุกคนล้วนเป็นหมอ ทำไมเขาจำต้องท่าทีเช่นนี้?


“นั่นย่อมเป็นเพราะวิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกเจ้า” เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง


หน้าไม่อายจริงๆ นะ


คนหน้าไม่อายคนนี้ชื่อจางชิงซาน ต่อมาในที่สุดเขาก็ออกไปจากเมืองหลวง หายไปจากโลกมนุษย์


คิดไม่ถึงหลายปีขนาดนี้ถึงกับพบคนเช่นนี้คนหนึ่งอีก


แล้วยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง


“ดังนั้น”


แม่นางน้อยคนนั้นยังเอ่ยต่อ


“ข้าจะรักษาแค่โรคที่พวกท่านรักษาไม่หาย อาการป่วยของครอบครัวท่านป้าคนนี้ ไม่ใช่ว่าข้ารักษาไม่ได้ ไปตรวจกับพวกท่านก็รักษาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเสียเงินที่นี่”


เจ้าบอกว่าตนเองวิชาแพทย์สูงส่งก็แล้วไป เจ้าโอ้อวดตนเอง คนอื่นก็ยุ่งไม่ได้


แต่อะไรเรียกว่ารักษาโรคที่พวกเรารักษาไม่หาย?


“เหลวไหล!” เจียงโหย่วซู่ตวาดเสียงทะมึน “อะไรเรียกโรคที่พวกเรารักษาไม่หาย? เจ้า…


แต่ครั้งนี้คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ คุณหนูจวินก็มองเขายิ้มอีกครั้ง


“โรคที่รักษาไม่หาย อย่างเช่นโรคของนายน้อยตระกูลฟางแห่งหยางเฉิง แล้วอย่างเช่นโรคของภรรยาของติ้งหยวนโหว” นางเอ่ย


ภรรยาของติ้งหยวนโหวยังทำเนา ท่านหมอที่อยู่ที่นั่นล้วนรู้ นายน้อยตระกูลฟางแห่งหยางเฉิงเป็นใคร พวกเขาไม่รู้แล้ว


นอกจากนี้โรคของสองคนนี้เป็นอย่างไร? รักษายากมากหรือ? ใครรักษา?


บรรดาท่านหมอมองหน้ากันสอบถาม ส่วนเจียงโหย่วซู่อึ้งไปแล้ว มองคุณหนูจวิน ความทรงจำเลือนรางปรากฏภาพเด็กสาวนั่งดื่มชาเดียวดายไม่อินังขังขอบอยู่บ้างท่ามกลางความโกลาหลเอะอะคนนั้นด้านในห้องของตระกูลฟางแห่งหยางเฉิง


“อ้อ เจ้านั่นเอง” เขายื่นมือชี้หลุดปากเอ่ยออกมา


รู้จัก? บรรดาท่านหมออึ้งมองหมอหลวงเจียงแล้วมองคุณหนูจวิน


“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง หมอหลวงเจียง ไม่พบกันนาน” คุณหนูจวินคำนับเอ่ยขึ้น


เจียงโหย่วซู่ใบหน้าตกตะลึงมองประเมินนาง


“เจ้า เจ้าคือนายหญิงน้อยฟาง?” เขาเอ่ย แล้วมองไปรอบโถงท่าทางเข้าใจขึ้นมาบางส่วน “ที่นี่คือโรงหมอของเต๋อเซิ่งชาง?”


“ไม่ใช่ ข้าทั้งไม่ใช่นายหญิงน้อยฟาง แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่โรงหมอของเต๋อเซิ่งชาง นี่คือโรงหมอจิ่วหลิงของตระกูลจวินของข้า” คุณหนูจวินเอ่ย “เวลานี้เล่าแล้วยาว ทั้งยังเป็นเรื่องในครอบครัวคงไม่พูดละเอียด เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมอหลวงเจียงท่านมีเพียงเรื่องเดียว ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ โรคของนายน้อยฟางหายดีแล้ว”


เจียงโหย่วซู่ไหนเลยจะรู้เรื่องของนายน้อยตระกูลฟาง เขาพบคนมากมายขนาดนั้นไหนเลยจะสนใจทุกคนได้ตลอดเวลา


แต่นายน้อยตระกูลฟางนี่เพราะเวลายังไม่นาน ทั้งโรคก็หนักมากจึงยังจดจำได้ยู่


โรคของนายน้อยตระกูลฟางหายดีแล้ว?


“นี่เป็นไปไม่ได้ !” เขาหลุดปากเอ่ย


นายน้อยคนนั้นเส้นปราณตีบตัน อวัยวะภายในทั้งห้าเสียหาย บ่งชี้ว่าชีวิตหมดสิ้น ตอนนี้น่าจะฝังลงดินไปนานแล้ว


นอกเสียจากมีเทพเซียนอยู่บนโลก ไม่มีทางหายดีได้เด็ดขาด


“หมอหลวงเจียง”


เสียงดังขึ้นด้านหลัง


ทุกคนหันมองไป เห็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแห่งเต๋อเซิ่งชางที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร เวลานี้ก้าวมาข้างหน้าคำนับ


“นายน้อยของพวกเราหายดีแล้วจริงๆ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย “เข้ามารับผิดชอบกิจการของตระกูลแล้ว ท่านสืบดูหน่อยก็จะรู้ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก”


นี่ไม่มีอะไรให้หลอกจริงๆ คนคนหนึ่งอยู่ดี หรือว่าตาย ถามทีเดียวก็รู้แล้ว หลอกไม่ได้


เจียงโหย่วซู่รู้สึกเพียงไม่น่าเชื่อ แล้วจากนั้นก็คิดตามคำพูดของคุณหนูจวินทัน


“เจ้า เจ้ารักษาหายดี?” เขาเอ่ยถาม


คุณหนูจวินพยักหน้า


“ใช่แล้ว” นางเอ่ย “ข้ารักษาหายดีเหมือนกัน”


นางเติมคำว่าเหมือนกันคำหนึ่ง ย่อมเตือนเจียงโหย่วซู่ ภรรยาของติ้งหยวนโหวก็เป็นนางรักษาหายเหมือนกัน


เจียงโหย่วซู่อ้าปากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่บ้าง


“ต่อให้เป็นเช่นนี้ หมอก็ไม่ควรกระทำการเช่นนี้” เขาเอ่ย “เจ้ารักษาได้แต่ไม่รักษา เพียงเพื่อเงิน”


“ก็ไม่นับว่าเพียงเพื่อเงิน นี่ก็เป็นความยุติธรรม” คุณหนูจวินเอ่ย “อย่างไรที่ข้ารักษาก็ล้วนเป็นโรคที่พวกท่านรักษาไม่ไหว”


ประโยคนี้ไม่ต้องพูดบ่อยนักดีหรือไม่?


บรรดาท่านหมอที่อยู่ที่นั่นมองนางสีหน้าอับอาย


“เรื่องยากย่อมต้องจ่ายเพิ่มอีกหน่อย โรคร้ายรักษายากไม่รักษาย่อมถึงชีวิต นี่เท่ากับซื้อชีวิต ย่อมต้องแพงอยู่บ้าง” คุณหนูจวินเอ่ย “อย่างไรชีวิตก็ประมาณค่าไม่ได้ เอาเงินทองกองเท่าภูเขาออกมาก็ไม่เกินไป”


ได้ฟังเหมือนจะมีเหตุผล


ท่านหมอที่อยู่ที่นั่นชั่วขณะไม่รู้จะพูดอะไรดี


เจียงโหย่วซู่เพ่งมองนาง


“ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความหมายของเจ้าก็คือโรคที่พวกเรารักษาไม่ได้ เจ้ารักษาหายดีได้?” เขาเอ่ย


นี่จะประกาศสงครามหรือ?


คำพูดนี้หากตอบรับ ย่อมเป็นการสู้กับท่านหมอทั้งเมืองแล้ว


ทุกคนล้วนมองไปทางคุณหนูจวิน


เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วในดวงตาคัดค้านอยู่หลายส่วน แต่คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า


“ใช่” นางเอ่ย “โรคที่พวกท่านหมดหนทางจริงๆ มาลองดูที่นี่ของข้าได้”


นางเน้นเสียงหนักที่จริงๆ สองคำ


อะไรเรียกจริงๆ?


หรือพวกเขารักษาได้ไม่ได้ไม่ใช่พวกเขาบอก แต่เป็นนางบอก?


ถึงเวลาจะบอกว่าพวกเขาไม่ตั้งใจรักษาดีๆ ไม่ทุ่มเทใจรึ?


เด็กสาวคนนี้ใช่แค่หน้าไม่อายที่ไหนยังเจ้าเล่ห์อีกด้วย


บรรดาท่านหมอมองนาง


“ดี” เจียงโหย่วซู่เอ่ย มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง ไม่พูดจาอะไรอีก หมุนตัวจากไป


เขาจากไป ท่านหมอคนอื่นก็เจ้ามองข้าข้ามองเจ้ารีบตามออกไปด้วย


ชาวบ้านที่ล้อมอยู่ตรงประตูเป็นชั้นๆ มองพวกเขาชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์


คำสนทนานี้เมื่อครู่ยังทำให้อารมณ์ของชาวบ้านเปลี่ยนมาซับซ้อน


เดิมทีที่คุณหนูจวินบอกว่าคนมีวาสนาก็คือความหมายนี้หรือ


ที่แท้ค่ารักษาของคุณหนูจวินก็แพงขนาดนี้เชียว


ความลึกลับเกินจริงที่เล่าลือเหล่านั้นถูกเปิดเผยแล้ว บวกกับความจริงเรื่องเงิน คนที่ต่อแถวก็สลายตัวไปมาก


มองชาวบ้านที่ส่องอยู่นอกประตูไม่เข้ามาอีก เฉินชีวิตกอยู่บ้างมองคุณหนูจวิน


ไม่คิดว่างานใหญ่ยังไม่เริ่มต้นก็ถูกหมอหลวงอะไรคนนี้ก่อกวนเสียแล้ว


ความแค้นของเพื่อนร่วมอาชีพสินะ ที่สำคัญก็คือเพื่อร่วมอาชีพคนนี้ยังเป็นหมอหลวงคนหนึ่ง ขุนนางคนหนึ่งอีก


เมืองหลวงอยู่ไม่ง่ายจริงๆ นะ


“แบบนี้ หลังจากนี้เกรงว่าคนที่มาหาหมอคงน้อยแล้ว” เขาว่า


คุณหนูจวินส่ายศีรษะ


“ไม่มีทางหรอก” นางว่า “ไม่ว่ามีคนหรือไม่มีคนต่อแถว คนที่ข้าจะรักษาก็ยังเป็นคนบางคน”


นอกจากนี้นางก็ไม่ใช่รักษาเพื่อรักษาด้วย


ก็เหมือนอย่างที่เจียงโหย่วซู่พูด นางใช้เงินวาดเส้นแบ่ง รับรักษาเพียงครอบครัวที่มั่งคั่งและมียศศักดิ์เหล่านั้น


นางไม่ได้มาช่วยโลกช่วยชาวประชา นางเพียงมาช่วยตนเองและครอบครัวของตนเองเท่านั้น


นางหมุนตัวกลับไปยังที่นั่ง ในเมื่อไม่มีคนมาปรึกษาอาการ ถ้าอย่างนั้นก็เขียนบันทึกการแพทย์เถอะ


มองเด็กสาวที่ยกพู่กันอย่างสงบ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็สบตากับเฉินชีทีหนึ่ง


“ฟังนางเถอะ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย


แม้ทุกครั้งรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ แต่ความเป็นไปของเรื่องราวมักจะเหนือความคาดคิดของผู้คนเสมอ นอกจากนี้ที่เหนือความคาดคิดของผู้คนนี้ล้วนเป็นเรื่องดี


ไม่ฟังนางแล้วจะเป็นอย่างไร เฉินชีพึมพำในใจ ขยิบตาให้ฟางจิ่นซิ่ว


อย่างไรก็ได้มากกว่าขายน้ำตาลปั้น


ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้สนใจเขาหมุนตัวเข้าไป นอกจากทำบัญชี นางยังทำยาด้วยกันกับหลิ่วเอ๋อร์ด้วย


ก็ไม่ต่างกับขายน้ำตาลปั้นเท่าไรนัก



“ข้ารู้สึกว่าคำพูดของโรงหมอจิ่วหลิงฟังอย่างไรก็พิลึก”


บรรดาท่านหมอที่ออกจากโรงหมอจิ่วหลิงเดินจับกลุ่มสองคนสามคน ในนั้นคนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“ตามที่นางว่าโรคที่พวกเรารักษาไม่หายนางล้วนรักษาได้ ส่วนที่พวกเรารักษาหายได้ก็ย่อมรักษาหายได้แน่นอน ไม่มีอะไรแปลก?”


หมออีกคนหนึ่งพยักหน้าด้วย


“ฟังดูแล้วพวกเราเหมือนเป็นผู้ช่วยของนางเลย?” เขาเอ่ย


“คำพูดโอ้อวดใครก็พูดได้ ดูไปก่อนเถอะว่านางทำได้หรือไม่ได้” หมออีกคนหนึ่งยิ้มหยัน “หาเรื่องหมอหลวงเจียงนางลำบากแล้ว”


“ในมือหมอหลวงเจียงโรคร้ายรักษายากเท่าไร นอกจากนี้ล้วนเป็นผู้มียศศักดิ์ ถึงเวลาผลักมาให้นาง รับไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นนางก็รอเถอะ” ท่านหมอคนหนึ่งที่พูดก่อนหน้านี้หัวเราะเอ่ยขึ้นเหมือนกัน พลางลูบเครา “เป็นคนต้องเหลือทางถอย วันหน้าเผื่อพบกันใหม่ พูดจากระทำล้วนไม่อาจมั่นใจเต็มเปี่ยม คนเยาว์วัยไม่เข้าใจหลักการข้อนี้”


และเวลานี้เจียงโหย่วซู่กลับมาถึงสำนักแพทย์หลวงแล้ว ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดลมไม่ลอด บางทีอาจเป็นจวนติ้งหยวนโหวจงใจทำ เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ทุกคนก็ล้วนรู้เรื่องที่เจียงโหย่วซู่ถูกถากถางที่จวนติ้งหยวนโหวแล้ว


ลูกน้องก็ดีบรรดาศิษย์ก็ดีมองเจียงโหย่วซู่อย่างระมัดระวัง


เจียงโหย่วซู่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยเรียกศิษย์คนหนึ่ง


“เจ้าไปกรมสืบสวนฝ่ายเหนือถามเรื่องนายน้อยตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางที่หยางเฉิงสักหน่อย” เขาเอ่ย


พูดถึงรายละเอียดความจริงลวงของข่าว ที่พึ่งพาได้ที่สุดก็ยังเป็นกรมสืบสวนฝ่ายเหนือที่น่ากลัวที่สุดแห่งนี้


ความสัมพันธ์ระหว่างหมอหลวงเจียงกับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือยังนับว่าใช้ได้ ตอนที่ได้ยินคำร้องขอของเขา เพราะเกี่ยวข้องกับตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางซึ่งฮ่องเต้ตรัสด้วยองค์เองว่าไม่ต้องถามอีกแล้ว องครักษ์เสื้อแพรที่รับเรื่องจึงแจ้งไปเบื้องบนทันที จนกระทั่งมาถึงต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี


“เจียงโหย่วซู่? เขาถามเรื่องนี้ทำอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม ในมือพลิกบันทึกหนาปึกเล่มแล้วเล่มเล่า


ลูกน้องย่อมสืบมาชัดเจนแล้ว เล่าเรื่องราวโดยละเอียดออกมา เพิ่งเอ่ยถึงโรงหมอจิ่วหลิง มือของลู่อวิ๋นฉีก็ชะงัก


“โรงหมอจิ่วหลิง?” เขาเอ่ยถาม


ลูกน้องถูกขัดก็ส่งเสียงตอบรับ


“โรงหมอที่รักษาภรรยาของติ้งหยวนโหวหายดีคือโรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ย มองลู่อวิ๋นฉี รอเขาสอบถามต่อ


ลู่อวิ๋นฉีกำบันทึก สีหน้านิ่งสนิทราบเรียบ


“ข้าไม่ชอบชื่อนี้” เขาเอ่ย


……………………………………….


บทที่ 165 นางย่อมมีราคามีตลาด

โดย

Ink Stone_Romance

สิ่งที่ลู่อวิ๋นฉีชอบไม่มาก สิ่งที่เขาไม่ชอบก็ไม่มาก


ที่ชอบไปคว้ามา ส่วนที่ไม่ชอบก็ให้มันหายไป


ลูกน้องยืนอยู่อย่างนอบน้อม


“พวกเราจะไปทำทันที” เขาเอ่ย


“ไม่ใช่เจียงโหย่วซู่ต้องการทำหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย


เจียงโหย่วซู่เสียหายเพราะโรงหมอจิ่วหลิง แล้วยังพนันกับโรงหมอจิ่วหลิง ตอนนี้มาสืบความเป็นมาของโรงหมอจิ่วหลิง ย่อมต้องการรู้เขารู้เราจะปะทะกับโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว


ในเมื่อเจียงโหย่วซู่ออกหน้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาออกหน้า


โรงหมอเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ต้องให้พวกเขาออกหน้า


ลูกน้องขานรับถอยออกไป


ในห้องเหลือเพียงลู่อวิ๋นฉีคนเดียว เขากำบันทึกแต่กลับไม่ได้พลิกอ่านอีก


“ข้าไม่ชอบชื่อนี้” เขาเอ่ยอีกครั้ง



เจียงโหย่วซู่มองเอกสารที่องครักษ์เสื้อแพรส่งมาประหลาดใจนัก เขาคิดว่าองครักษ์เสื้อแพรจะเพียงพูดกับเขาสักหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าถึงกับยังส่งเอกสารมาให้ด้วย


ข้อมูลที่บันทึกอยู่ในเอกสารนี่ละเอียดอย่างที่สุด เขาจำได้ว่าขุนนางบางพวกถกเรื่องนี้กันลับๆ องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้หน้าไม่อายสอดส่องความลับของผู้อื่น แม้กระทั่งคืนนี้นอนกับอนุคนนั้นเป็นเวลานานเท่าไรก็บันทึกไว้ในแฟ้ม


“ข้อมูลเกี่ยวกับโรงหมอจิ่วหลิงไม่มาก หลักๆ ก็ไม่มีข้อมูลอะไร พวกเรายังไม่ได้สืบลึกลงไปอีก” ผู้ที่มาเอ่ยขึ้น


แน่นอนโรงหมอเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่คุ้มค่าให้สืบอย่างละเอียดจริงๆ


ต่อให้เป็นเช่นนี้ บันทึกเหล่านี้ก็ไม่มีทางเอาออกมาให้คนดูง่ายๆ


ลู่อวิ๋นฉีครั้งนี้ทำไมพูดง่ายเช่นนี้ได้?


ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเขาดีขนาดนี้หรือ?


“ใต้เท้าหัวหน้ากองพันบอกว่าหมอหลวงเจียงเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง เกี่ยวพันกับองค์ฮ่องเต้ไทเฮาฮองเฮาบรรดาผู้สูงศักดิ์ แต่เรื่องทั่วไปที่เกี่ยวกับการแพทย์ก็ไม่อาจละเลย” ผู้มาเอ่ยขึ้น


เช่นนี้หรือ ลู่อวิ๋นฉีเป็นสุนัขตัวหนึ่งของฮ่องเต้จริงๆ ขอเพียงเป็นเรื่องของฮ่องเต้เขาถึงสนใจ


เจียงโหย่วซู่ยิ้มรับเอ่ยขอบคุณ


ในเวลาเดียวกัน เรื่องค่ารักษาแพงลิบลิ่วของโรงหมอจิ่วหลิงก็แพร่ออกไปแล้ว นี่ไม่ใช่แสดงชัดว่าไม่เห็นหัวคนจนหรือ


หวังเฉาซื่อที่เคยถูกหยามได้ยินข่าวนี้ก็โกรธแค้นโพนทะนาเป็นนานที่ถนนอีกครั้ง


หนิงอวิ๋นเจาได้ยินคำบอกเล่าของเสี่ยวติงก็ขมวดคิ้ว


เรื่องราวทำไมเปลี่ยนเป็นเช่นนี้?


ที่จริงตอนเริ่มต้นก็ไม่ค่อยดี ขงจื่อไม่กล่าวถึงสิ่งลี้ลับ การใช้กำลังและกบฏ


ชื่อเสียงเช่นนี้แม้เร็ว แต่ยากเลี่ยงถูกคนประณาม แต่สร้างชื่อโด่งดังดึงผู้ป่วยมาก่อน ค่อยสั่งสมชื่อเสียงให้มั่นคงช้าๆ ก็ดี


แต่คิดไม่ถึงว่านางจะประกาศค่ารักษาสูงขนาดนี้รวมถึงเรื่องที่ผู้อื่นรักษาไม่ได้นางถึงรักษาต่อหน้าผู้คน


เด็กสาวคนนี้กระทำการช่างดุดันทั้งไม่ถูกผูกมัดเหมือนก่อนหน้าจริงๆ


เขาไม่สงสัยวิชาแพทย์ของนาง ก็เหมือนครั้งนั้นที่หอจิ้นอวิ๋น นางลงสนามทำเรื่องท้าทายเช่นนั้นก็เพราะตนเองมีความเชื่อมั่น


“คุณชาย ข้าไปพูดกับหวังเฉาซื่อสักคำให้นางอย่าพูดเหลวไหลดีไหมขอรับ?” เสี่ยวติงเอ่ย


หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ


“นั่นก็ไม่เรียกพูดเหลวไหล” เขาเอ่ย “เจ้าไม่ให้นางพูด แล้วทำให้ทุกคนไม่พูดได้หรือ?”


“ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรขอรับ?” เสี่ยวติวหน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ยขึ้น


หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะ


“เจ้าวิตกอะไรเล่า นางยังไม่วิตกแลย” เขาเอ่ย “ทำอย่างไรได้ ทหารมาต่อต้านน้ำมากั้นเขื่อน”


เสี่ยวติงร้องอ้อ


“ข้าก็วิตกแทนคุณหนูจวินไหมเล่าขอรับ นางเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง แต่งงานให้แก่คนดีๆ จะดีสักเท่าไร ทรมานเช่นนี้ไปใยเล่า” เขาเอย


เป็นเด็กสาว ก็ไม่ทำเรื่องบางเรื่องเพราะลำบากได้หรือ?


“ดังนั้นนางถึงเป็นนาง” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น


เสี่ยวติงเบะปาก


อย่างไรไม่ว่าคุณหนูจวินทำอย่างไร ในสายตาคุณชายก็ดีที่สุดไปหมด



“นี่คุณหนูจวินพูดเช่นนี้”


ด้านในโรงน้ำชาหลังเที่ยงพวกกางเกงผ้าไหมลอยชายกลุ่มหนึ่งเอนซ้ายเอนขวา คู่กับหญิงนักดนตรีด้านข้างดีดบรรเลงคุยเล่นร่ำสุรา


“ค่ารักษาหนึ่งพันตำลึงล่ะ”


มีคนตบไหล่จางเป่าถัง


“เจ้าหนูรวยเรอะ ถึงกับตัดใจไปหาหมอแพงขนาดนี้ลง”


จางเป่าถังส่ายศีรษะ


“ไม่นะ” เขาเอย “คุณหนูจวินไม่ได้เก็บเงินข้า”


สายตาของผู้คนจึงมองไปทางจูจั้น


“เป็นมิตรภาพจริงๆ?” ทุกคนเอ่ยถาม


จูจั้นแค่นเสียง โยนชามสุราในมือลงบนโต๊ะ


“มิตรภาพผายลม” เขาเอ่ย “นางเป็นคนดีขนาดนั้นเรอะ?”


หนึ่งพันตำลึงค่ารักษา


ต้นเซียนจื่ออิงต้นหนึ่งราคาสูงกว่านี้อีก


ที่สำคัญที่สุดก็คือของสิ่งนี้อยากได้ก็หาไม่ได้


“ที่แท้พี่รองท่านก็จ่ายค่ายาแทนข้าหรือ?” จางเป่าถังรีบเอ่ยขึ้น


จูจั้นรับคำงึมงำทีหนึ่ง จางเป่าถังดึงเขาจะให้เงินเขา ถูกจูจั้นไล่ออกไปท่าทางรำคาญ


“แต่พูดจริงๆ” อีกคนหนึ่งเอ่ย “ค่ารักษาหนึ่งพันตำลึง นี่บอกชัดว่าไม่รักษาให้คนจน แม้ท่านหมอมากมายในใจอยากได้เงิน แต่กล้าพูดออกมาเปล่าเปลือยเช่นนี้ไม่มาก


“ใครว่าเป็นหมอจำต้องช่วยโลกช่วยผู้คนเล่า?” จูจั้นเอ่ย “หน้าไม่อายอยากเอาเงินไม่ได้หรือ?”


ชายหนุ่มในห้องมองเขา


“ไม่รู้ว่าเจ้าชมหรือว่าด่า” ทุกคนหัวเราะเอ่ย


“ไม่ใช่ชมแล้วก็ไม่ใช่ด่า สรุปคือไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา” จูจั้นเอ่ย “นอกจากนี้จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ค่ารักษาของนางเท่าไรมีจิตเมตาของหมอหรือไม่ แต่เป็นประกาศว่าวิชาแพทย์ของนางสูงส่ง”


ยื่นมือถือไหสุรารินสุราไปพลาง


“อย่าลืมว่าบนโลกนี้ยังมีคนมากมายที่ไม่สนค่ารักษา”


คนที่ควักค่ารักษาออกมาไม่ได้หลับตาโวยวายเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับนาง อย่างไรนางเดิมทีก็ไม่คิดคบหาคนเหล่านั้นอยู่แล้ว


เด็กสาวคนนี้ เจ้าเล่ห์นักล่ะ


ที่เทศกาลโคมไฟกล้าใช้เงินห้าพันตำลึงหลอกคน เก็บต้นเซียนจื่ออิงไม่ต้องการชีวิต ยังใช้อาวุธลับระแวงป้องกันผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ยังทำให้เขาขายหน้าเป็นสัตว์เลี้ยงคาบกิ่งไม้ ที่หรู่หนานทำท่าเป็นผู้เสียหายทำคนที่รังแกนางหน้าดำคล้ำเครียด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเอาตัวมาเป็นเหยื่อล่อบุกฝ่ากองทัพสังหาร


อย่าได้ถูกท่าทางบอบบางของนางหลอกเอาล่ะ


เป็นจริงเช่นนั้น มีคนมากมายไม่สนใจค่ารักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข่าวแพร่ไปถึงในบ้านในเรือนใน


“หมอหลวงเจียงคนใหญ่โตเช่นนี้ โกรธอะไรกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง”


“ใช่ อย่างไรก็มีโรคมากมายจริงๆ ที่พวกเขาหมอชายพวกนี้ตั้งแต่เริ่มก็ไม่สะดวกตรวจไหม”


“โรคนี่ทรมานมากเพียงใด ผู้อื่นย่อมไม่รู้ คนเป็นหมอเหล่านี้เห็นมากเข้าก็มักพูดว่าโรคไปดุจสาวไหม”


“หากทำให้โรคของข้าหายดีได้ทันที อย่าพูดถึงหนึ่งพันตำลึงเลยหนึ่งหมื่นตำลึงข้าก็ยินดี”


บรรดาผู้หญิงอยู่ในบ้านตนคุยเล่นกัน ยามเยี่ยมครอบครัวมิตรสหายก็เอาเป็นเรื่องคุยสนุกสนานด้วย ชื่อเสียงคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงรักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายากยิ่งขจรขจายแล้ว


ในห้องหรูหราแห่งหนึ่ง หญิงสาวที่หวีผมอยู่หน้ากระจกหันกลับมา


นางอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี


“ร้ายกาจเช่นนี้จริงหรือ?” นางเอ่ยถาม


เสียงของนางแหบพร่าอยู่บ้าง แหบราวกับถูกยัดผ้าขาดก้อนหนึ่งไว้


“เจ้าค่ะ คุณนายสาม ล้วนบอกกันเช่นนี้ นอกจากนี้ภรรยาของติ้งหยวนโหวก็ได้นางรักษาหายดี ” หญิงรับใช้เอ่ยเสียงเบา “ภรรยาของติ้งหยวนโหวกินยาของหมอหลวงเจียงสิบวันครึ่งเดือนไม่ได้ผล นี่ถึงตามคุณหนูจวินคนนี้”


นางยื่นมือออกมา


“สามวันยาสามเทียบก็หายแล้ว”


สามวันก็หายแล้ว?


เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าคุณนายสามยื่นมือจับลำคอ


“ถ้าอย่างนั้นเสียงของข้าก็รักษาหายดีได้รวดเร็วเหมือนกันกระมัง” นางว่า


หญิงรับใช้พยักหน้า มองถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะ


“คุณนายสาม ยานี่ท่านดื่มมาหลายวันแล้วก็ไม่เห็นดีขึ้น ท่านหมอคนนั้นบอกแต่ว่าท่านต้องดื่มต่อไป” นางเอ่ยเสียงเบา ชี้ไปด้านนอก “แต่พวกเรารอไม่ได้นะเจ้าคะ”


ด้านนอกเสียงหัวเราะแว่วหวานของบรรดาหญิงสาวลอยมา


“นี่เป็นที่ใต้เท้าให้หรือ? ช่างเป็นปิ่นที่สวยจริงนะ เป็นของที่บรรดาสนมในวังถึงจะใส่ได้สินะ?”


เสียงพูดคุยวุ่นวายของเหล่าหญิงสาวแทรกมา


เสียงนี่เห็นได้ชัดว่าทำให้คุณนายสามสีหน้าไม่มีความสุข นางหงุดหงิดอยู่บ้างโยนหวีลงหน้าโต๊ะกระจก


“คุณนายสาม ตั้งแต่เสียงของท่านแหบไป ใต้เท้าก็ไม่มาพบท่านหลายวันแล้ว” หญิงรับใช้เอ่ยต่อ หยิบหวีมาหวีผมแทนนาง “วันนี้คนในบ้านยิ่งเพิ่มยิ่งมาก ท่านมาแรกสุด อย่าได้ตกอยู่เบื้องหลังคนอื่น ท่านคิดดูใช้ชีวิตอย่างทุกวันนี้ นี่เป็นสิ่งที่คนเท่าไรปรารถนาแต่ไม่ได้มา”


คุณนายสามก้มหน้ามองชายเสื้อของตนไม่เอ่ยวาจา


ชุดหรูหรานี่เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้นางไม่เคยได้เห็นมาก่อน วันนี้สวมบนร่างตนได้สบายๆ ยังมีสมบัติมีค่าเต็มหีบ กินดื่มใช้ล้วนเป็นของดีที่สุด


ทุกคนล้วนบอกว่าคนผู้นั้นน่ากลัว แต่เขาอยู่ต่อหน้าพวกนางอ่อนโยนสนิทสนม ขอสิ่งใดเป็นต้องรับปาก ไม่ขอสิ่งใดก็ล้วนคิดรอบคอบ


ชีวิตเช่นนี้ ยังมีชีวิตที่ครอบครัวของตนเองได้รับไปด้วย เหมือนฝันอยู่ชัดๆ


ฝันดีไม่มีผู้ใดปรารถนาจะตื่น


“ได้ ไปบอกเวรยาม ข้าต้องการเชิญหมอผู้หนึ่งมา” นางเงยหน้าเอ่ยขึ้น


……………………………………….


บทที่ 166 เป็นกฏแต่ก็ไม่ใช่กฏ

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่รถม้าขโยกเขยกมาถึงหน้าโรงหมอจิ่วหลิง หน้าประตูโรงหมอจิ่วหลิงก็มีรถม้าจอดอยู่สองคันแล้ว


โรงหมอจิ่วหลิงแม้ทำให้ท่านหมอมากมายและชาวบ้านโกรธแค้นด้านหน้าไม่มีคนต่อแถวแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังมีลูกค้าไม่ขาด นอกจากนี้ที่มาก็เห็นชัดว่าล้วนเป็นรถม้าของผู้มั่งคั่งสูงศักดิ์


ที่ไม่เปลี่ยนยังมีกฎที่คุณหนูจวินรับตรวจ


หญิงรับใช้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเล่าอาการป่วยของนายหญิงตระกูลตนเองจบก็มีท่าทางคาดหวังมองคุณหนูจวิน


แต่คุณหนูจวินครุ่นคิดนิดหนึ่งก็ส่ายศีรษะ


“โรคนี้ไม่ต้องให้ข้ารักษา” นางเอ่ย


หญิงรับใช้สีหน้ามีความหวัง


“แต่โรคของนายหญิงตระกูลข้าเป็นมาช่วงหนึ่งแล้ว” นางเอ่ย “คุณหนูจวินท่านไม่ใช่รักษานายหญิงของติ้งหยวนโหวหายหรือ?”


“ข้ารักษาให้นางเพราะโรคของนางรักษาเช่นนี้ได้” คุณหนูจวินเอ่ย “นายของท่านไม่เหมาะ โรคของนายของท่านต้องค่อยๆ รักษา รักษาเร็วกลับไม่ดี ยาที่ท่านหมอคนนี้ให้เหมาะสมมากแล้ว พวกท่านอย่ารีบร้อน”


นางเอ่ยอย่างมีมารยาททั้งยังมีเหตุมีผล แม้เชิญนางไปรักษาไม่ได้ก็ยังปลอบประโลมหญิงรับใช้ได้


“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณคุณหนูจวินมาก” นางเอ่ย


“มีปัญหาอะไรมาปรึกษาข้าได้ตลอดเวลา” คุณหนูจวินเอ่ย “ตัวอย่างเช่นตรงไหนที่ไม่สะดวกเล่าให้ท่านหมอฟัง ก็พูดกับข้าได้ ข้าจะขบคิดสูตรยากับท่านหมอให้ได้”


มีบางครั้งจริงๆ ที่พบโรคบางอย่างซึ่งไม่สะดวกเอ่ยกับบรรดาท่านหมอ แล้วก็ไม่สะดวกดูฟังถามจับ


หญิงรับใช้ได้ฟังดีใจมาก ขอบคุณหลายครั้ง


เห็นนางออกไป หญิงรับใช้คนต่อไปก็รีบเข้ามา


“ข้าเป็นคนของตระกูลบัณฑิตเฉิงหนานหยาง” นางเอ่ย พลางส่งป้ายชื่ออันหนึ่งให้


นี่ก็เป็นหนึ่งในกฎการพบหมอของคุณหนูจวิน ต้องแจ้งชาติตระกูล


หญิงรับใช้คนนี้นั่งลงเอ่ยกระซิบกระซาบกับคุณหนูจวินราวกับกลัวถูกคนอื่นได้ยิน


เฉินชีที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะเข้าใจ


“ข้าดูท่าหลังจากนี้นางคงเป็นหมอของพวกผู้หญิงแล้ว” เขาหัวเราะเอ่ยเสียงเบากับฟางจิ่นซิ่ว


“นี่ก็ดีนะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “แบบนี้ก็ไม่ขัดแย้งอะไรกับท่านหมอเหล่านั้นแล้ว อย่างไรพวกเขาผู้ชายพวกนั้นตรวจโรคของผู้หญิงก็ไม่สะดวก”


“นอกจากนี้เงินของผู้หญิงก็หาง่าย” เฉินชีหัวเราะเอ่ยเสียงเบา


ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขา


“ด้านในโรงหมออย่ายิ้มระรื่น” นางเอ่ย


เฉินชีรีบเก็บรอยยิ้ม รับคำ ส่วนหญิงรับใช้ด้านนั้นเล่าอาการป่วยกับคุณหนูจวินจบแล้ว


“นี่ไม่ต้องให้ข้ารักษา เจ้าเอายาไปขวดหนึ่งก็ได้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย พลางยกพู่กันเขียนเทียบยา “กินยาขวดนี้หมดก็ไม่เป็นไรแล้ว”


แม้เชิญไปรักษาถึงบ้านไม่ได้ แต่ได้ยาก็ดีใจมากแล้วเหมือนกัน


ได้ยินท่านหญิงของติ้งหยวนโหวแนะนำ ท่านหญิงผู้เฒ่าของเป่าหนิงกงก็ได้ยาสงบจิตของคุณหนูจวินไปเหมือนกัน หลังกินเข้าไป นางที่เดิมทีเดินต้องมีคนประคองก็เดินเล่นวนทั้งสวนดอกไม้ได้ แม้กระทั่งผมดำก็งอกออกมา


เสียดายเพียงยาของคุณหนูจวินก็ซื้อยากนักเหมือนกับปรึกษาอาการ


หญิงรับใช้ดีใจหยิบใบสั่งยาไปที่โต๊ะที่นี่ พนักงานสองคนคนหนึ่งรับเงินคนหนึ่งหยิบยาขวดหนึ่ง มองหญิงรับใช้คนนั้นขอบคุณฟ้าขอบคุณดินเดินจากไป


หญิงรับใช้ด้านนี้จากไป ด้านนั้นมีหญิงรับใช้เข้ามา


“ท่านหมอจวิน คุณนายน้อยของบ้านข้าเสียงแหบ” นางเอ่ย “ท่านไปดูหน่อยเถอะ”


คุณหนูจวินทำท่าให้นางนั่ง


“เจ้ามาจากบ้านไหน?” นางเอ่ยถาม


“เมืองฝั่งตะวันตก” หญิงรับใช้เพียงเอ่ยนั่งลง


ไม่ได้เอาป้ายชื่อออกมา แล้วก็ไม่แจ้งชื่อตระกูล


คุณหนูจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย


“แหบอย่างไรตั้งแต่เมื่อไร” นางเอ่ยถาม “เจ้าเล่ามาก่อนเถอะ”


หญิงรับใช้ขานรับเล่าอาการป่วย กินยาอะไรรอบหนึ่ง


คุณหนูจวินยิ้มแล้ว


“นี่ไม่มีปัญหา” นางว่า “ยาที่ท่านหมอผู้นั้นให้ถูกแล้ว กินไปก็หาย”


นางพูดจบก็มองด้านนอกประตูคนปรึกษาอาการเดินเข้ามาอีก เตรียมรับคนต่อไป


แต่หญิงรับใช้คนนี้กลับยังคงนั่งไม่ขยับ


“ท่านหมอจวิน ยังไงก็ไปดูหน่อยเถอะ” นางเอ่ย


คุณหนูจวินยังไม่ทันพูด หญิงรับใช้ที่เข้ามาใหม่ก็ไม่พอใจแล้ว


“เจ้าคนนี้ ไม่รู้กฎของคุณหนูจวินหรือ?” นางเอ่ย “ความหมายนี่ก็คือคนของบ้านเจ้าไม่เป็นไร ไปหาหมอคนอื่นดูสิ”


หญิงรับใช้คนนั้นเบะปากยิ้ม


“บ้านข้าจะให้ท่านหมอจวินตรวจ” นางเอ่ย พลางกระแอมเบาๆ ตะโกนออกไปข้างนอก “เข้ามา เชิญคุณหนูจวินไปตรวจ”


นี่เป็นคนหาเรื่องคนหนึ่งนี่ เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว


“เฮ้ เจ้าคนนี้ อาศัยอำนาจรังแกคนเรอะ” หญิงรับใช้ที่เข้ามาใหม่ดูต่อไปไม่ได้เอ่ยขึ้น “คนมากมายขนาดนี้มาใครไม่ทำตามกฏระเบียบบ้าง แม้กระทั่งจวนติ้งหยวนโหวยังเป็นเช่นนี้ เจ้ามาจากที่ไหน…”


คำพูดของนางพูดมาถึงตรงนี้ฉับพลันก็หยุดลง มองคนหลายคนที่ก้าวเข้าประตูมา สีหน้าฉับพลันหวาดผวา


เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วก็สีหน้าแข็งทื่อไป


คนเหล่านี้ร่างสวมชุดปลาบินเอวห้อยดาบปักวสันต์สีหน้าทะมึน ทำให้บรรยากาศด้านในโถงใหญ่ฉับพลันชะงักค้าง


เป็นองครักษ์เสื้อแพรนี่


ความนิ่งเงียบด้านในโถงรวมถึงสีหน้าของทุกคน หญิงรับใช้เห็นได้ชัดว่าพอใจมาก


“ท่านหมอจวิน เชิญเถอะ” นางมองคุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบเหมือนเก่า ไม่ได้ตกใจกลัวรวมถึงโกรธเกรี้ยวที่ถูกขู่บังคับ


“แบบนี้เอง” นางยืนขึ้นเอ่ย “จิ่นซิ่ว เอาหีบยาให้ข้า”


นี่คือตกลงแล้ว?


หญิงรับใช้ยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่บ้าง นับว่าเจ้ารู้จักดูสถานการณ์ พูดเรื่องกฏ องค์ชายองค์หญิงชนชั้นสูงเหล่านั้นต้องมีหน้าตาทำตามกฏกับเจ้า พวกเขาหาต้องถกเรื่องกฏกับเจ้าไม่


ใต้เท้าของพวกเราก็คือกฎ


“ไหวหรือไม่น่ะ?” ฟางจิ่นซิ่วส่งหีบยาให้นางเอ่ยถามเสียงเบา “ข้าไปหาผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไหม?”


“ไหว ไม่มีปัญหา ไม่มีโรคที่ข้ารักษาไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย


นอกจากนี้ก็รู้อยู่ว่าที่เมืองหลวงช้าเร็วย่อมต้องมีวันหนึ่งที่ข้องเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อแพรแบบนี้ เพียงแค่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้เท่านั้น


“ท่านหมอจวินเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว” หญิงรับใช้ยิ้มเอ่ย เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนนำทาง


มองคุณหนูจวินนั่งรถม้าจากไป หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านในโถงถึงกล้าผ่อนลมหายใจ


ดูท่าคุณหนูจวินพูดถึงกฎคึกคักเช่นนี้ กับบรรดาหมอหลวงก็ยังกล้าเถียง แต่เห็นองครักษ์เสื้อแพรอะไรก็ไม่กล้าพูดแล้ว ไม่พูดถึงกฎแล้วด้วย


กฎนี่ อย่างไรก็มองคนจริงๆ


แต่ นี่เป็นองครักษ์เสื้อแพรใต้เท้าท่านไหนเล่า ใช้องครักษ์เสื้อแพรมาคุ้มครองรถม้าได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่


คุณหนูจวินนั่งอยู่ในรถม้าไม่ได้มองไปข้างนอก จนกระทั่งรถหยุดลง


“ท่านหมอจวิน ถึงแล้ว” หญิงรับใช้เอ่ย เลิกม่านรถ


คุณหนูจวินมองไปด้านนอก มือที่ประสานอยู่ด้วยกันคลายออก ในมือเหงื่อบางๆ


ไม่ใช่มั้ง


นางมองประตูบ้านไม่สะดุดตาเบื้องหน้า หลุบสายตาลง ก้มหน้าลงจากรถ


ที่เดินเข้าไปตอนนี้เป็นประตูหลัง นายทหารเฒ่าคนหนึ่งเปิดประตู เสตามองประเมินนางทีหนึ่งก็ไม่สนใจอีก


เห็นประตูไม่ใหญ่ แต่บ้านนี่กลับไม่เล็ก คนดูเหมือนก็ไม่น้อย ไกลออกไปได้ยินเสียงคุยเล่นหัวเราะ อ้อมกำแพงดอกไม้อันหนึ่งไป ก็มองเห็นเงาร่างผู้หญิงใต้ร่วมไม้เขียวขจีดั่งนกนางแอ่นบินขยับขึ้นมา


เสียงหัวเราะดุจกระดิ่งเงินดังขึ้นพร้อมอาภรณ์ที่ขยับพลิ้วไหว


นี่คือพวกผู้หญิงกำลังเล่นชิงช้ากันอยู่นี่


คุณหนูจวินมองทีหนึ่งก็รั้งสายตากลับมา ดวงตาไม่วอกแวก แต่ผู้หญิงหลายคนนั้นกลับมองเห็นนางเข้าแล้ว


“ป้าหวง นี่คือใครหรือ?” มีเสียงผู้หญิงเอ่ยถาม


คุณหนูจวินมองตามเสียงไปโดยไม่รู้ตัว เห็นผู้หญิงสี่คนยืนอยู่ใต้คานชิงช้าฝั่งนั่น มองไปทีหนึ่งบุปผาอวดโฉมหน้าตาแตกต่างกัน


เท้าของนางพลันหยุดกะทันหัน


ความรู้สึกประหลาดนัก


ผู้หญิงพวกนี้…เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?


……………………………………….


บทที่ 167 นางแอ่นหวนมาดั่งเคยรู้จัก

โดย

Ink Stone_Romance

แต่คิดถี่ถ้วนก็เหมือนไม่มีความทรงจำ หญิงรับใช้ไม่ได้หยุด กระแอมทีหนึ่ง


“นี่คือหมอที่เชิญมาใหม่” นางเอ่ย


ผู้หญิงไม่กี่คนนั้นยิ้มแล้ว


“อาการป่วยของพี่สามยังไม่ดีหรือ”


“ต้องรักษาหายดีล่ะ ใต้เท้าชอบฟังนางพูดที่สุดแล้ว”


“ใช่แล้ว ครั้งนี้เสียบแหบไป ใต้เท้าไม่ชอบเห็นนางแล้ว น่าผิดหวังนักเชียว”


“บอบบางจริงนะ นานขนาดนี้ยังไม่หายดี เปลี่ยนท่านหมอมาสามคนแล้ว”


“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ขายชาหรือ? เดิมทีตากแดดตากลมป่วยไข้ง่ายขนาดนี้เชียวรึ”


หญิงรับใช้เพียงทำไม่ได้ยินเงียบเดินไปข้างหน้า คุณหนูจวินก็ก้าวตามไปด้วย


คนในบ้านนี้เหมือนไม่ค่อยกลมเกลียวกันนัก บรรยากาศประหลาดอยู่บ้าง


รอเห็นหญิงสาวผู้ถูกหญิงรับใช้เรียกว่าคุณนายสามที่ต้องการปรึกษาอาการคนนี้ ความรู้สึกประหลาดยิ่งมากขึ้น


คุณนายสามคนนี้อยู่ในห้องหรูหรา สิ่งที่สวมใส่ก็หรูหรา เพียงแต่กิริยาหน้าตาอย่างไรก็ขัดอยู่บ้าง


เหมือนกับสิ่งที่สวมใส่ที่อยู่นี่ไม่ใช่ของปกติของนาง


แต่อาการป่วยของนางไม่ได้ประหลาด ก็แค่ร้อนรนจนร้อนในดังนั้นจึงเสียงแหบธรรมดา


“อยากมีเสียงเร็วที่สุด?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “ที่จริงดูแลไปอีกสองสามวันก็หายดีแล้วเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากขนาดนี้”


“อั้ยยะ ท่านหมอจวิน ใครสนใจเงินไม่เท่าไรนั่นเล่า” หญิงรับใช้เอ่ย “คุณนายสามของพวกเราแค่อยากหายดีเร็วขึ้นบ้าง”


คุณนายสามก็มองคุณหนูจวินพยักหน้า


คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจาอีก เปิดหีบยาหยิบผงยาห่อหนึ่งออกมา เอาน้ำละลาย


“ดื่มเจ้านี่ เวลาต้มชาหนึ่งกาก็ใช้ได้แล้ว” นางเอ่ย


คุณนายสามดีใจรับไปดื่มอึกใหญ่ เพิ่งดื่มเสร็จก็ร้องอ๊อกทีหนึ่งอาเจียนออกมา หญิงรับใช้ตกใจสะดุ้งโหยง


“เป็นอะไรแล้ว? เป็นอะไรแล้ว?” นางตะโกนสุดเสียง


คุณนายสามกลับพูดไม่ออก ยื่นมือกุมลำคอ สีหน้าหวาดผวาทรมาน


ผู้หญิงคนอื่นเวลานี้ก็ตามเข้ามาหมดด้วย พอดีเห็นฉากนี้ หัวเราะออกมาทันใด


“ข้าว่าพี่สาม ท่านอย่าใจร้อนเกินไปนักเลย เชิญหมอพเนจรหมอชาวบ้านพวกนี้มา กลับจะทำให้เสียงพังเสีย”


“ใช่น่ะสิ ท่านหมอที่ใต้เท้าเชิญมาให้ท่านก็ออกจะดี ท่านไม่เชื่อใต้เท้าหรือ?”


พวกนางพูดคุยหัวเราะ


พี่สามเพียงกุมลำคอพูดไม่ออก หญิงรับใช้ร้อนใจจนกระทืบเท้า


นี่เกี่ยวพันถึงอนาคตของตัวนางและครอบครัวเหมือนกันนะ


“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” นางมองคุณหนูจวินร้อนใจเอ่ยขึ้น “เจ้าเอาอะไรให้นางกิน?”


คุณหนูจวินสีหน้าสงบ


“ไม่เป็นไร รอสักครู่ก็หายดีแล้ว” นางว่า


สิ้นเสียง พี่สามด้านนั้นก็ไอออกมาหลายทีจริงๆ


“ป้าหวง” นางร้องเรียก


เสียงใสกังวาน


คนด้านในด้านนอกห้องล้วนอึ้งไป หญิงรับใช้กับพี่สามดีใจเหมือนเป็นบ้า


“ข้าพูดได้แล้ว” พี่สามร้อง “เสียงข้าไม่เป็นไรแล้ว”


ป้าหวงดีใจพยักหน้า พวกผู้หญิงคนอื่นก็มองคุณหนูจวินอุทานตกตะลึง


“นี่ทำให้นางอาเจียนออกมาก็หายดีแล้ว?” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ย ประเมินคุณหนูจวิน “มหัศจรรย์อยู่นะ”


คุณหนูจวินกำลังจะเอ่ยวาจาก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก


“อะไรมหัศจรรย์?”


นี่เป็นเสียงผู้ชายทุ้มเข้มเสียงหนึ่งทำให้คนได้ยินเข้าจิตใจสงบ


แต่คุณหนูจวินกลับดั่งสายฟ้าฟาด พริบตาร่างแข็งทื่อ ดวงตาของนางหมุนเคลื่อน มองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตู


คนผู้นั้นยังไม่ถอดชุดขุนนางสีแดงสด ดวงหน้าขาวดุจกระเบื้องใต้แสงตะวัน ยืนอยู่ด้านหลังบรรดาหญิงสาวบุปผาอวดโฉม ราวกับรูปสลักศิลารูปหนึ่ง


ลู่อวิ๋นฉี


ถึงกับได้พบลู่อวิ๋นฉีแล้ว


ตอนแรกสุดนางคิดถึงลู่อวิ๋นฉีจริงๆ


เมื่อองครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นปรากฏตัวที่โรงหมอจิ่วหลิง


แน่นอนที่นางอยากพบไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉี แต่เป็นไปบ้านของลู่อวิ๋นฉี พบพี่สาว


แต่โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้น ดังนั้นบ้านที่นางเห็นตรงหน้าจึงไม่ใช่จวนสกุลลู่


แต่คิดไม่ถึง บนโลกนี้ก็มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ ถึงกับได้พบลู่อวิ๋นฉีที่นี่


ที่นี่…


สายตาของคุณหนูจวินเคลื่อนไปรอบๆ ช้าๆ อีกครั้ง กวาดตามองพวกผู้หญิงเหล่านี้ ในใจพลันเข้าใจ


ที่นี่ย่อมเป็นจวนสกุลลู่เหมือนกัน


คือสถานที่ซึ่งคนข้างนอกพูดกันว่าลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิงมากมายเอาไว้


พวกนางดีใจลิงโลดโถมเข้าใส่ลู่อวิ๋นฉี


“อวิ๋นฉี”


“ลู่อวิ๋นฉี”


พวกนางพากันเอ่ยเรียก


พวกนางเรียกชื่อของเขารึ


คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉีที่ถูกเหล่าหญิงสาวรุมล้อม สีหน้าหวาดผวาอยู่บ้าง


“ลู่อวิ๋นฉี”


เสียงใสกังวานของผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้นอีก กลบเสียงหวานของผู้หญิงเหล่านั้น


คุณหนูจวินร่างกายแข็งทื่อห้ามไม่ได้อีกครั้ง


ก่อนหน้านี่เอ่ยวาจาไม่รู้สึกอย่างไร แต่เรียกชื่อลู่อวิ๋นฉีคำนี้ฟังดูแล้วทำไมคุ้ยเคยอยู่


นางมองไปทางคุณนายสามที่เพิ่งได้ตนรักษาหายดีคนนั้น


คุณนายสามคนนั้นมองลู่อวิ๋นฉีเอียงอาย


ลู่อวิ๋นฉีก็มองไปทางนาง บนหน้าเผยรอยยิ้ม


“มา” เขายื่นมือออกมา


นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองนางตรงๆ ตั้งแต่หลังเสียงนางแหบ ในที่สุดก็ยิ้มให้นางเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง


คุณนายสามดีใจโถมเข้าไป


ผู้หญิงคนอื่นถูกเบียดออก เผยสีหน้าริษยาและไม่ได้รับความยุติธรรมออกมา


“อวิ๋นฉี อวิ๋นฉี” พวกนางพากันร้องเรียกเบียดเข้ามาอีกครั้ง


มองภาพถูกสาวงามรุมล้อมกอดซ้ายกอดขวา คุณหนูจวินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพังรู้สึกอยากหัวเราะอยู่บ้าง แล้วก็รังเกียจอย่างประหลาดอยู่บ้าง


ภาพนี้ก็คุ้ยเคยนักเช่นกัน


ตอนนั้นนางทำได้เพียงอยู่ในบ้าน แม้ลู่อวิ๋นฉีจะจัดแต่งในบ้านให้กว้างขวาง สร้างภูเขาลำธารทะเลสาบจำลองไว้ แต่นั่นก็เป็นโลกที่ล้อมไว้ในเรือนใบหนึ่ง


นอกจากนี้เรื่องที่ตั้งแต่เล็กจนโตต้องการทำก็ไม่มีแล้ว นางที่ไม่มีเป้าหมายไม่รู้ว่าควรทำอะไร ทั้งวันไม่มีสิ่งใดทำ กับพวกสาวใช้หญิงรับใช้ก็ไม่มีอะไรพูดด้วย ทุกวันยามที่ลู่อวิ๋นฉีคุยกับนาง เล่าเรื่องราวข้างนอกเป็นเวลาที่นางเบิกบานใจที่สุด


ลู่อวิ๋นฉีน้อยครั้งนักจะออกจากบ้าน เมื่อออกไปกลับมา นางก็จะเรียกชื่อเขาเหมือนเช่นนี้


ส่วนเขาก็จะยื่นมือออกมาหานางอย่างดีใจเช่นกัน เหมือนกับชมชอบมากมาย


ความชมชอบเช่นนี้ที่แท้ใครก็เหมือนกัน


บางทีที่ชมชอบก่อนหน้านี้อาจเป็นของปลอมทั้งหมด เพียงเวลานี้ถึงชมชอบจริงๆ


คุณหนูจวินหลุบสายตา ในเวลาเดียวกันสายตาคู่หนึ่งก็หยุดบนร่างนาง


ลู่อวิ๋นฉีที่เหล่าหญิงสาวรุมล้อมอยู่มองไปยังเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คนนี้


ราวกับจนกระทั่งเวลานี้ถึงเพิ่งสังเกตว่าคนแปลกหน้าเพิ่มมาคนหนึ่ง


“นางเป็นใคร?” เขาเอ่ยถาม


เจ้าไม่มีวันรู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว


คุณหนูจวินหลุบสายตาลุกขึ้นยืน ย่อเข่าคำนับ


“อวิ๋นฉี นี่เป็นท่านหมอที่ข้าเชิญมา เป็นนางรักษาเสียงของข้าหายดี” คุณนายสามดึงแขนของลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น


“ใช่แล้ว ร้ายกาจมากจริงๆ”


“เพิ่งเชิญมา ก็รักษาหายแล้ว”


“คุณนายสามพบดาวช่วยเหลือแล้วจริงๆ ใต้เท้าก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว”


บรรดาผู้หญิงคนอื่นไม่ยอมถูกทิ้งอยู่ข้างหลังพากันร่วมวงเอ่ยขึ้น


ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สนใจพวกนาง เพียงมองคุณหนูจวิน


สายตาของเขาเหมือนกับงูตัวหนึ่งลอบมองเหยื่อ เย็นเยียบและน่าขนลุก สายตานี้จับบนร่างเหมือนดั่งถูกงูเลื้อยผ่านร่าง


“เป็นเจ้า” เขาเอ่ย


คุณหนูจวินหนาวสันหลังขนลุกชัน


เป็นไปไม่ได้


ตนเองห่มหนังผืนนี้อยู่ เขาไม่มีทางจดจำตนเองได้


……………………………………….


บทที่ 168 เปลี่ยนชื่อนี่

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่อวิ๋นฉีพูดสองคำนี้ออกมา ทำให้ทั้งห้องตกหยุดนิ่ง


บรรดาหญิงสาวล้วนหยุดเอ่ยวาจา มองคุณหนูจวินสีหน้ายุ่งยาก ในดวงตาเผยความกังวลริษยา


ต้องตามาก่อนแล้วรึ?


เหมือนกับที่พวกนางถูกต้องตาด้วยรักแรกพบอันประหลาดแบบนั้น


“เจ้าเป็นคนตระกูลหนิงของเป่ยหลิวรึ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย


เสียงทำลายบรรรยากาศนิ่งค้างในห้อง คุณหนูจวินรู้สึกเพียงหายใจคล่องขึ้นมา


ตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว


หนิงอวิ๋นเจา


เคยเห็น


ด้วยกัน


ร้านเต้าหูทอด


รถม้าเล่นผ่านไป


หนิงอวิ๋นเจาในฐานะคนที่โดดเด่นในหมู่ศิษย์ตระกูลหนิง ลู่อวิ๋นฉีย่อมต้องรู้จัก


เวลานั้นตนกับหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่คู่กัน ดังนั้นเขาจึงจำได้


ความจำของลู่อวิ๋นฉีดีนัก เรียกได้ว่าผ่านตาแล้วไม่มีวันลืม ตนเองฝึกมาจากการอ่านหนังสือร่ำเรียนกับอาจารย์ ส่วนเขาย่อมเพราะทำงานนี่ขององครักษ์เสื้อแพรบังคับตนเองฝึกออกมา


นางก้มศีรษะย่อเข่าอีกครั้ง แต่มีคนเอ่ยปากก่อนนาง


“ไม่ใช่เจ้าค่ะ นางคือคุณหนูจวินท่านหมอของโรงหมอจิ่วหลิง” คุณนายสามรีบร้อนเอ่ยขึ้น


สายตาของลู่อวิ๋นฉีไม่เคลื่อนออกไป กลับทะมึนขึ้นหลายส่วน


“โรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ยสามคำนี้ออกมา มองเด็กสาวที่ก้มศีรษะอยู่ตรงหน้า


บรรยากาศในห้องนิ่งค้างอีกครั้ง


บรรดาหญิงสาวสั่นเทา


ก่อนหน้านี้พวกนางได้ยินฉายาของลู่อวิ๋นฉีมาเท่าไร รู้ว่าเขาน่ากลัวมาเพียงใด


ทุกคนตอนเพิ่งถูกรับมาที่นี่ล้วนกลัวแทบตาย แต่กลับถูกปฏิบัติอย่างอ่อนโยน หน้าตาแย้มยิ้ม


อาหารอาภรณ์ฟุ่มเฟือย เงินทองใช้สอยตามใจ เป็นไก่สุนัขได้ขึ้นสวรรค์


นี่เป็นคนดีที่สุดในใต้หล้าอย่างแท้จริง


พวกนางถึงขนาดไม่เคยเห็นเขาโกรธ


พวกนางล้วนลืมคำเล่าลือก่อนหน้านี้เกียวกับลู่อวิ๋นฉีไปแล้ว จนกระทั่งตอนนี้นาทีนี้ถึงนึกขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง


ไม่ต้องพูดอะไร เพียงแค่เขาไม่พูดไม่ยิ้ม สีหน้าเย็นชาก็เพียงพอทำให้คนหวาดกลัว


สิ่งใดทำให้เขาไม่ชอบใจ?


เป็นคุณหนูคนนี้หรือว่าโรงหมอแห่งนี้?


บรรดาหญิงสาวในห้องไม่รู้ คุณหนูจวินรู้


“เจ้าค่ะ โรงหมอจิ่วหลิงแห่งหรู่หนาน” นางเอ่ย


เจ้าต่อให้ไม่พอใจอีกเท่าใด ไม่ชอบอีกเท่าใด ชื่อนี้ก็ยังปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง คงอยู่ต่อไป


ลู่อวิ๋นฉีไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง บรรดาหญิงสาวคนอื่นอดเปิดปากไม่ได้แล้ว


แม้ตามหลักแล้วพวกนางควรดีใจมากที่ลู่อวิ๋นฉีโกรธท่านหมอคนนี้ หลังจากนั้นพาลโกรธคุณนายสาม จากนี้ในเรือนนี้ผู้หญิงที่แย่งชิงความรักก็จะน้อยลงไปได้คนหนึ่ง


แต่คิดถึงว่าความโกรธของลู่อวิ๋นฉีเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ ก็เกรงว่าเมืองไฟไหม้ปลาในบ่อจะพลอยตายตาม


“ที่แท้ก็เป็นโรงหมอจิ่วหลิงนี่เอง”


“เป็นโรงหมอจิ่งหลิงที่ร่ำลือว่ามหัศจรรย์นักแห่งนั้น”


“ค่ารักษาครั้งหนึ่งพันตำลึง”


“มิน่าครู่เดียวก็รักษาหายแล้ว ร้ายกาจมากจริงๆ นะ”


“ที่แท้ท่านหมอเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งจริงๆ”


พวกนางพากันเอ่ยขึ้น พยายามคลี่คลายบรรยากาศประหลาดนี้


คำพูดของเหล่าหญิงสาวเหมือนจะเกิดประโยชน์ ลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมา


“ค่ารักษาหนึ่งพันตำลึง?” เขาเอ่ย


คุณนายสามรีบขานรับ


“ไม่ใช่” คุณหนูจวินเอ่ย “ค่ารักษาหนึ่งพันตำลึง ค่ายาหนึ่งพันตำลึง”


บรรดาผู้หญิงในห้องล้วนจิ๊ปาก


แพงจริงๆ นะ


“เอาหมื่นตำลึงให้นาง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย


หมื่นตำลึง!


บรรดาหญิงสาวตื่นตะลึงอีกครั้ง


“อั้ยยะ นี่เป็นใต้เท้าให้เกียรติท่าน” ป้าหวงเอ่ยเสียงเบากับคุณนายสาม คิ้วดวงตาล้วนยินดี


ใช่สิ รักษาเสียงของนางหายดี ลู่อวิ๋นฉีพอใจ ดังนั้นจึงให้รางวัลหนักกับท่านหมอคนนี้สินะ


เห็นได้ว่านี่ก็เป็นความใส่ใจที่ลู่อวิ๋นฉีมีต่อคุณนายสาม


บรรดาหญิงสาวในห้องสีหน้ายากปิดบังความริษยา ส่วนคุณนายสามตื่นเต้นดีใจจนทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง


“ขอบคุณใต้เท้า เพียงแค่ควรเป็นเท่าไรก็ยังเป็นเท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย


ลูกน้องหนิบตั๋วเงินออกมาแล้ว ป้าหวงถือเข้ามาด้วยตนเองยัดให้คุณหนูจวิน


“คุณหนูจวินท่านก็อย่าเกรงใจเลย” นางได้ใจทั้งดีใจเอ่ยขึ้น “นี่เป็นใต้เท้าของพวกเราอารมณ์ดี ท่านก็อย่าขัดอารมณ์เลย”


ตั๋วเงินถูกยัดเข้ามือคุณหนูจวิน


“สองพันตำลึงเป็นค่ารักษา เงินที่เหลือให้เจ้าเปลี่ยนชื่อโรงหมอซะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น


สีหน้าคนทั้งหมดตะลึงอีกครั้ง


เปลี่ยนชื่อโรงหมอ?


เพื่อเปลี่ยนชื่อโรงหมอ? ไม่ใช่เพื่อคุณนายสามหรือ


สายตาของบรรดาหญิงสาวมองไปทางคุณนายสาม ยากจะปิดบังการถากถางและความยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่น


คุณนายสามสีหน้าอับอาย


อยู่ดีๆ เปลี่ยนชื่อโรงหมอทำอะไร?


“อ้อ” ผู้หญิงคนหนึ่งพลันหลุดเสียงออกมา เอ่ยขึ้น “นั่นสินะ โรงหมอจิ่วหลิง นั่นล่วงเกินชื่อต้องห้ามขององค์หญิง”


องค์หญิง


องค์หญิงจิ่วหลิง


นั่นเป็นภรรยาที่เสียไปของลู่อวิ๋นฉี


บรรดาหญิงสาวพากันคิดตามทัน


ที่แท้ก็เพื่อคนตายคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่งในพวกนาง ทุกคนล้วนมีความสุขขึ้นมา


“ใช่แล้ว แบบนี้จะได้อย่างไร…”


“เจ้ารีบเอาเงินไป เปลี่ยนชื่ออื่นเสีย”


“ไม่ต้องใช้ชื่อนี้แล้ว นั่นเป็นถึงชื่อขององค์หญิงเชียวนะ”


พวกนางพากันเอ่ยขึ้น แสดงออกว่าร้องรับและประจบ


คุณหนูจวินยิ้ม


ล่วงเกินชื่อต้องห้าม แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีกฎล่วงเกินชื่อต้องห้ามขององค์หญิงประการนี้


แค่ล่วงเกินเรื่องต้องห้ามของเจ้าเท่านั้น


“ใต้เท้าลู่ โรงหมอจิ่วหลิงเป็นกิจการที่สืบทอดของตระกูลข้า” นางเอ่ย “ถึงวันนี้ก็สืบทอดมาร้อยปี…”


คำพูดของนางเอ่ยยังไม่ทันจบก็ถูกลู่อวิ๋นฉีขัดแล้ว


“เรื่องนี้ข้ารู้” เขาเอ่ย โบกมือ “เอาเงินไป เปลี่ยนชื่อ”


เขาเอ่ยสั้นตรงประเด็น น้ำเสียงไม่ได้แข็งกระด้าง เสียงก็ไม่ได้น่ากลัวด้วย แต่ฟังแล้วกลับทำให้คนใจผวา


บรรดาผู้หญิงในห้องท่าทางเคร่งเคียด


“เจ้าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไปเล่า?”


“รีบไปเถอะ”


พวกนางเอ่ยไม่พอใจ


ลู่อวิ๋นฉีไม่มองนางอีก ดึงคุณนายสามไปแล้ว


“หายดีเล้วจริงหรือ?” เขาเอ่ยถามดวงหน้าปรากฏรอยยิ้มใหม่อีกครั้ง


คุณนายสามวางใจทันที


“จริง” นางเอ่ยตอบเสียงอ่อนหวาน


“ถ้าอย่างนั้นหนังสือที่ให้เจ้าเรียนอ่านได้แล้วหรือไม่?” ลู่อวิ๋นฉียิ้มเอ่ยถาม


คุณนายสามพยักหน้าหลายที


“ไป” ลู่อวิ๋นฉีคล้องแขนนางเดินไปข้างนอก


บรรดาผู้หญิงคนอื่นทั้งริษยาทั้งอิจฉาทั้งย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไป


“อวิ๋นฉี ข้าก็อยากฟัง” พวกนางพากันตามไป


คุณหนูจวินยืนเดียวดายอยู่ในห้องราวกับถูกทิ้ง แลดูกระอักกระอ่วนอยู่มาก


ป้าหวงยิ้มพอใจเหมือนกัน ตอนที่มองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้งก็กลายเป็นยโสอยู่บ้าง


“คุณหนูจวิน ขอบคุณท่านมาก เชิญเถอะ” นางเอ่ย


คุณหนูจวินสะพายหีบยาเดินไปข้างนอก


“ครั้งนี้ท่านโชคดีแล้ว เจอใต้เท้าของพวกเราอารมณ์ดีขนาดนี้”


“ท่านจำไว้เล่า หลังกลับไปต้องเปลี่ยนชื่อทันที”


“ทำให้ใต้เท้าเคือง ต่อให้เป็นคุณนายสามของพวกเราขอร้องก็ไม่แน่ว่าจะปกป้องท่านได้นะ”


หญิงรับใช้พร่ำพูดตลอดทาง


คุณหนูจวินเพียงเดินเงียบสงบไม่ได้เอ่ยตอบสักครึ่งประโยค นอกจากหญิงรับใช้คนนี้พูดกับตนเอง ด้านหลังก็มีเสียงหัวเราะของบรรดาหญิงสาว รวมถึงเสียงอ่านคัมภีร์กังวานใส


คุณหนูจวินไม่ได้หันกลับไป มองกำแพงเงาเบื้องหน้ามีเด็กรับใช้หลายคนเลี้ยวเข้ามา ร่วมแรงยกโต๊ะกระจกสลักดอกไม้บานหนึ่ง ทองเงินอัญมณีประดับใต้แสงตะวันระยิบระยับจับตา


“อั้ยยะ โต๊ะกระจกของคุณนายสามของพวกเราส่งมาแล้ว” ป้าหวงดีใจเอ่ยขึ้นมา สะบัดคุณหนูจวินทิ้งก้าวไวไปข้างหน้า วนรอบโต๊ะกระจกมองซ้ายมองขวางเอ่ยชมเจื้อยแจ้ว พลางกำชับเด็กรับใช้ “ระวังหน่อย ช้าหน่อย”


คุณหนูจวินอยู่ข้างทางหยุดหลีกให้ มองโต๊ะกระจกผ่านข้างกายไป สายตาจับบนกระจกทองแดง มองตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก


โฉมหน้าของเด็กสาวอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้า งดงามอ่อนหวานไร้เดียงสาทั้งยังสง่าอยู่บ้าง นี่คือจวินเจินเจินสีนะ หน้าตาไม่เหมือนกับตนเองจริงๆ


ตนเอง…


เสียงกึกดังขึ้น ราวกับมีสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงกลางศีรษะ


คุณหนูจวินหันหน้าขวับมองบรรดาหญิงสาวที่ล้อมลู่อวิ๋นฉีอยู่ตรงทางเดิน


นางรู้แล้วว่าทำไมรู้สึกว่าเหมือนเคยพบพวกนางที่ไหนมาก่อน


สายตาของนางกวาดผ่านผู้หญิงเหล่านี้ นั่นดวงตาของนาง นั่นหน้าของนาง นั่นก็จมูกของนาง…


“อวิ๋นฉี ข้าอ่านถูกหรือไม่?” คุณนายสามที่ถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่เอ่ยถามหวาดๆ


ยังมี เสียงของนาง


คุณหนูจวินมองบรรดาหญิงสาวที่ทางเดิน มองท่าทางยิ้มแย้มของลู่อวิ๋นฉี ลมหายใจนางถี่เร็วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ฝีเท้าถอยหลังช้าๆ หันก้าวไวๆ พุ่งออกไป


พุ่งออกประตูแล้ว ความรู้สึกที่ถาโถมตลบในร่างก็กดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางยันกำแพงอาเจียนอยู่พักหนึ่ง


สารเลว สารเลว


น่ารังเกียจ น่ารังเกียจ


……………………………………….


บทที่ 169 ที่เก่าคนเก่าไม่รู้จัก

โดย

Ink Stone_Romance

คุณหนูจวินไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้น


นางควรคิดอะไรบ้าง แต่สักนิดนางก็ไม่อยากคิด


ถึงเป็นเช่นนี้ นางก็อาเจียนไม่หยุด บนร่างเหงื่อกาฬแตกพลักเหมือนจมลึกอยู่ใต้น้ำ


หญิงรับใช้กับคนรถที่ตามออกมาล้วนตกใจสะดุ้งโหยง


“อั้ยโยะ คุณหนูจวินท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” ป้าหวงรีบเอ่ยถาม


คุณหนูจวินพยายามกลับมาสงบลมหายใจ กดหน้าอกโบกมือให้นาง


“ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางเอ่ย สั่นเทาไปพลางมือเปิดหีบยาหยิบยาเม็ดหนึ่งเคี้ยวแหลกกลืนลงคอไปพลาง


ป้าหวงหัวเราะหึหึแล้ว


“ท่านหมอก็ไม่สบายได้เหมือนกันนะ” นางว่า พลางยื่นมือทำท่าเชิญ “ถ้าอย่างนั้นท่านรีบขึ้นรถเถอะ”


คุณหนูจวินส่ายหน้าให้นาง


“ไม่ล่ะ ข้าเป็นเช่นนี้นั่งรถยิ่งไม่สบาย ข้าจะเดินไปเอง เดินกลับไปก็แล้วกัน” นางเอ่ย


ได้ยินนางว่าเช่นนี้ป้าหวงก็ไม่เกรงใจอีก


คุณนายสามของนางวันนี้ได้รับความรักใหม่อีกครั้งแล้ว นางต้องทุ่มใจประคอง วันนี้ให้ดีที่สุดให้ใต้เท้าลู่ค้างอยู่ให้ได้


มาบ้านแห่งนี้นานขนาดนี้แล้ว ใต้เท้าลู่ยังไม่เคยค้างคืนสักครั้ง


คิดแล้วสุดท้ายก็คงเป็นเพราะแต่งงานกับองค์หญิง ไม่สะดวกค้างคืนนอกบ้าน


ตอนนี้แต่งงานมาเวลาหนึ่งแล้ว วันนี้ก็ดีใจที่คุณนายสามหายดีปานนี้ ให้คุณนายสามออดอ้อนขอร้อง ไม่แน่คืนนี้อาจค้างต่อก็ได้


คุณนายสามผู้ชาติกำเนิดมาจากครอบครัวขายชาคนนี้แม้กระทั่งเทียบกับสาวใช้ยังสู้ไม่ได้ เรื่องอะไรก็ทำไม่เป็น นางไม่สอนสักหน่อยไม่ไหว


“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินท่านก็ระวังตนเองหน่อย” นางเอ่ย ไม่เกรงใจสักนิดหมุนตัวเข้าไปแล้ว


เห็นนางเป็นเช่นนี้ คนรถย่อมไม่เกรงใจอีกเดินตามเข้าไปด้วย


คุณหนูจวินพยุงกำแพงยืนตรงครู่หนึ่งจึงก้าวเดินช้าๆ ไม่ทันสนฝีเท้าที่เบาหวิวอยู่บ้าง ยิ่งเดินยิ่งเร็ว


รีบออกไปจากที่นี่เร็วหน่อย


ออกไปจากที่นี่


ในใจนางมีเพียงความคิดนี้


แต่หลังเดินมาระยะหนึ่งกลับสับสนอยู่บ้าง


ตอนมานางนั่งรถม้า ไม่ได้สังเกตเส้นทางที่เดินทาง เมื่อครู่ก็ก้มหน้าก้มตาเดินมั่วซั่ว ตอนนี้ชั่วขณะไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน


นางสะพายหีบยาเดินช้าๆ อยู่ครู่หนึ่งพลันมองเห็นประตูจวนหลังหนึ่ง ความรู้สึกคุ้นเคยโถมเข้าใส่ทันที


นี่คือจวนของเฉิงกั๋วกงนี่


นั่นเป็นสถานที่ไกลที่สุดที่นางมาถึงตอนออกจากวังครั้งแรก


คุณหนูจวินเดินช้าๆ เข้าไป


เทียบกับสิบปีก่อนจวนเฉิงกั๋วกงเห็นได้ชัดว่าเก่าลงไปบ้าง เฉิงกั๋วกงเดิมทีก็ไม่ได้อยู่ที่นี่บ่อย สิบปีนี้แทบจะไม่เคยกลับมา แม้ทิ้งข้ารับใช้ไว้ดูแลบ้าน แต่จวนหลังนี้ก็ต้องการกลิ่นไอคนมาหล่อเลี้ยง


คุณหนูจวินเดินเข้าไปจวน เดินช้าๆ ไล่ไปตามกำแพงสูงใหญ่ เดินไปช่วงหนึ่งก็หยุดเท้าแหงนศีรษะ


มียอดไม้สีเขียวครึ้มยื่นออกมาเหนือกำแพงกระดำกระด่าง แผ่ร่มเงาแถบหนึ่งข้างกำแพง


มุมปากนางอดไม่ได้เม้มทีหนึ่ง


เวลานั้นนางก็เหวี่ยงเชือกปีนขึ้นไปจากตรงนี้


ถ้าอย่างนั้นใกล้ๆ นี้ก็ต้องมีโพรงสุนัขโพรงหนึ่ง ไม่รู้ยังอยู่หรือไม่ นางอดไม่ได้ก้มศีรษะสอดส่อง กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาด้านหลังร่าง พร้อมกับมีคนร้องเอ๋


จูจั้น


คุณหนูจวินรีบหันกลับไป เห็นเป็นจูจั้นจริงๆ


เขาไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างกายมีสหายอ้วนกลมคนหนึ่งเดินมาด้วย


แต่จูจั้นร้องเอ๋แล้วกลับไม่ได้มองนาง


“เอ๋….พวกเจ้าไปตั้งแต่ตอนไหนทำไมข้าไม่รู้?” เขาเอ่ยต่อ


เสียงเอ๋นั่นราวกับไม่ได้เพราะเห็นนางเข้า


สหายอ้วนข้างกายเขาก็ร้องเอ๋ทีหนึ่งด้วย


“โธ่ ไม่ได้เพิ่งบอกเจ้าหรือ? ตอนนั้นข้ายังไม่กลับมาเลย” เขาเอ่ย “เจ้าไม่ได้ฟังรึ?”


จูจั้นร้องอ้อ


“ข้าลืมไปแล้ว” เขาเอ่ย สายตาไม่เหลือบแล สีหน้าจดจ่อเดินไปข้างหน้า “อย่างไรข้าก็เป็นคนรอรับโทษ ค่อนข้างวิตกความทรงจำถดถอยแล้ว”


สหายคนนั้นหัวเราะฮ่าฮ่า


คุณหนูจวินก็หัวเราะด้วยแล้ว มองจูจั้นที่เดินผ่านตนเองไปทางประตูจวน


เจ้าหมอนี่ทุกครั้งที่เห็นตนล้วนทำเป็นมองไม่เห็น


กลัวตนเองเกาะเขาขนาดนี้เชียว?


“จูจั้น” นางเอ่ยเรียก


จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่า กอดไหล่สหาย


“…อาหารของหอเต๋อเยว่มีอะไรน่ากินบ้าง..พวกเราไปนอกเมืองกินขาแกะกัน” เขาเอ่ยเสียงกังวาน


สหายคนนั้นหัวเราะฮ่าฮ่ายื่นมือดึงแขนเขา


“ขาแกะประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้มาพูดกันว่าแม่นางน้อยข้างหลังเป็นใครเถอะ” เขาเอ่ย พลางหมุนร่างกลับมา


รูปร่างอ้วนฉุ ดวงตาแทบจะถูกเนื้อบนหน้าบีบเป็นรอยแยกเส้นหนึ่ง สายตาจับอยู่บนร่างคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินก็มองเห็นเขา สีหน้าตะลึงเล็กน้อย


ท่านอาสิบสอง


ท่านอาสิบสองโอรสองค์เล็กของพระอัยกาผู้ถูกแต่งตั้งเป็นเสียนอ๋อง ได้รับพระราชกรุณาอนุญาตให้อยู่ในเมืองหลวงไม่ไล่ไปชนบท


หรือก็คือองค์ชายสิบสองที่ทะเลากับจูจั้นคนนั้นเมื่อตอนนั้น


ยังคิดว่าหลังทะเลาะคงไม่ไปมาหาสู่ตราบจนวันตายแล้ว คิดไม่ถึงเขาถึงกับกอดคอกอดไหล่คุยเล่นอยู่กับจู่จั้นเช่นนี้


เสียนอ๋องมองคุณหนูจวินก็ตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน ดูท่าคงเป็นเพราะหีบยาที่นางสะพายอยู่


“คุณหนูท่านนี้นามว่าอะไรหรือ?” เขาตบพุงหรี่ตาเอ่ยถาม “รู้จักกับท่านชายจูด้วยรึ?”


คุณหนูจวินมองเขาในใจรสชาติแปลกแปร่ง


แม้อายุห่างเพียงไม่กี่ปี แต่อย่างไรก็คนละรุ่น ตั้งแต่เล็กไม่ได้ไปมาหาสู่กับท่านอาสิบสองนัก ต่อมานางไม่อยู่บ้าน ทุกปีก็มีปีใหม่แค่ไม่กี่วันที่ได้พบหน้ากันอยู่บ้าง คำที่พูดกันนับนิ้วได้


ครอบครัวที่คิดว่าไม่ต้องเอ่ยวาจาก็เคยคุ้นทั้งชีวิตเหล่านั้น ทันใดนั้นก็เปลี่ยนกลายเป็นคนแปลกหน้า แย้มยิ้มเอ่ยถามชื่อแซ่ความเป็นมา


“ข้า…” นางอ้าปากจะเอ่ยคำ จูจั้นขายาวสามก้าวก้าวเข้ามาแล้ว จับแขนนางดันไปข้างหลัง


คำพูดของนางถูกขัด


จูจั้นพานางถอยไปหลายก้าวก็หยุด ยื่นมือชี้ปลายจมูกของนาง


“ข้าบอกอะไรกับเจ้า? เจ้าลืมแล้วใช่หรือไม่?” เขากัดฟันเอ่ยเสียงเบา “เจ้ายังตามมาบ้านข้าอีก เอาเรื่องนี่เจ้า”


“ข้าไม่ได้เจตตนาเดินมาที่นี่จริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่เป็นเรื่องบังเอิญ”


จูจั้นสบถ หันกลับไปมองทีหนึ่ง เสียนอ๋องด้านนั้นยื่นศีรษะมองมาทางพวกเขาด้านนี้


“พูดอะไรกระซิบกระซาบกันน่ะ?” เขายังยิ้มตาหยีเอ่ย


จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง ค่อยมองไปทางคุณหนูจวิน


“คนแซ่จวิน เจ้าก็ไม่ใช่คนโง่ บนโลกนี้ไหนเลยมีเรื่องบังเอิญ ล้วนเป็นคนกระทำ” เขาเอ่ย


“เจ้าจะพูดเช่นนี้ก็ถูก ข้ามีธุระถึงเดินมาที่นี่จริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ยพูดถึงตรงนี้ก็คิดขึ้นมาได้อีกครั้งว่าตนเองเพราะอะไรจึงเดินมาถึงตรงนี้


ความรู้สึกที่เดิมทีกดลงไปแล้ว ทะลักออกมาอีกครั้งในทันที โหมกระหน่ำถาโถมพุ่งออกมา


นางก้มตัวอ้าปากก็อาเจียนรุนแรง น้ำตาทะลักตามออกมา


จูจั้นตกใจสะดุ้งโหยง


“เจ้าทำอะไร?” เขาร้องตะโกน


คุณหนูจวินอะไรก็ไม่อยากทำทั้งนั้น เพียงอยากอาเจียน อาเจียนเอาความรู้สึกน่ารังเกียจนั่นออกมาให้หมด


นางยื่นมือกดหน้าอกอาเจียนไม่หยุด น้ำตาก็ไม่หยุดไหลออกมาเช่นกัน


สภาพทุเรศทุรังเช่นนี้เดิมทีนางไม่อยากให้คนเห็น แต่ก็รู้สึกว่ามองไปก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน


เดิมทีก็ทุเรศทุรังเช่นนี้ ไม่ให้คนอื่นเห็นก็จะไม่ทุเรศทุรังแล้วหรือ?


จูจั้นมองสภาพของนาง ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว


“เฮ้ เจ้าไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยติดจะรังเกียจอยู่บ้าง “เจ้าอย่าคิดว่าแบบนี้จะเกาะข้าได้นะ”


“เกาะ?” เสียนอ๋องเดินเข้ามาได้ยินประโยคนี้ แล้วมองคุณหนูจวินที่ร้องไห้พร้อมอาเจียน สีหน้าตกตะลึง “เจ้าทำนางท้องหรือ?”


“เห้ย” จูจั้นได้ยินเข้าเบิกตา “ท่านพูดเหลวไหลอะไรกัน !”


……………………………………….


บทที่ 170 เสียใจแต่ไหนแต่ไรเป็นเรื่องเล็กน้อย

โดย

Ink Stone_Romance

คำพูดของเสียนอ๋อง คุณหนูจวินก็ได้ยินด้วย คงเพราะเป็นคำพูดของท่านอาสิบสอง นางจึงไม่รู้สึกถูกล่วงเกิน เพียงรู้สึกน่าขำยิ่ง ดังนั้นนางจึงหัวเราะลั่น


ทั้งอาเจียนทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะลั่น


นี่เหมือนเป็นบ้าจริงๆ


เสียนอ๋องจิ๊ปาก


“ดูสิเจ้าทำร้ายคนเสียอเนจอนาถ” เขาตายิบหยีเอ่ย


“เสียสติจริงๆ!” จูจั้นตะโกน หมุนตัวสะบัดมือเหมือนจะจากไป


แต่ไม่ทันก้าวเดินก็หันร่างกลับมายืนอยู่ด้านหน้าคุณหนูจวิน ดึงนางที่นั่งยองกับพื้นขึ้นมา หยิบผ้าเช็ดหน้าโปะบนหน้านาง เช็ดมั่วสั่วส่งเดชพักหนึ่ง


“เจ้าตั้งสติหน่อย ต้องกินยาอะไรเจ้าก็รีบกิน” เขาเอ่ย


คุณหนูจวินถูกเขาเช็ดหวิดหายใจไม่ออก แต่นี่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน นางหยุดอาเจียนแล้ว น้ำตากับเสียงหัวเราะลั่นก็ถูกขยี้สลายไปด้วย


จูจั้นสีหน้ารังเกียจทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้บนตัวนาง


“เจ้าเสแสร้งแกล้งบ้าก็ไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ย “ออกไปให้ไกลข้าหน่อย”


เสียนอ๋องก็พยักหน้าติดจะเวทนาอยู่บ้าง


“ใช่แล้ว แม่นางน้อย ไม่ต้องพูดถึงเจ้ามีลูก ต่อให้เจ้าตายเพื่อเขา เขาก็ไม่มีทางสนใจหรอก” เขาเอ่ย “เจ้าไม่รู้เด็กสาวที่ตายเพื่อเขาในแดนเหนือมีไม่ขาด เขาตายังไม่กะพริบสักนิด”


จูจั้นถลึงตาสบถทีหนึ่ง คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง


ที่แท้ท่านอาสิบสองกับจูจั้นหลังจากนั้นไม่ใช่ไม่ไปมาหาสู่กันจนตายนี่ ความสัมพันธ์ไม่เลว


“ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว” นางเอ่ย พลางเปิดหีบยา หยิบกระจกบานน้อย ผ้าเปียก หวี ออกมาจากช่องในหีบยา ถึงขนาดยังมีแป้งฝุ่น หันข้างเช็ดอย่างฉับไว


แทบจะพริบตาเดียวก็จัดการใบหน้าเรียบร้อย หมุนตัวมาอีกครั้งคำนับน้อยๆ


“เสียมารยาทแล้ว” นางเอ่ย


จูจั้นกับเสียนอ๋องถูกการเคลื่อนไหวลื่นไหลชุดนี้ของนางทำตื่นตะลึง ยังไม่ทันเอ่ยวาจา คุณหนูจวินก็สะพายหีบยาเดินออกไปแล้ว


“เด็กสาวคนนี้เหมือนคนเจนโลกคนหนึ่งเลย” เสียนอ๋องตอนนี้ถึงได้สติกลับมาเอ่ยขึ้น


“แน่นอนเป็นคนเจนโลกคนหนึ่ง” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ยขึ้น


“แต่คนเจนโลกคนหนึ่งเสียกิริยาเช่นนี้ ดูท่าคงจะเสียใจมากจริงๆ” เสียนอ๋องจิ๊ปากเอ่ย มองจูจั้น “เจ้าช่างเป็นตัวหายนะของสาวงามจริงๆ”


“เกี่ยวอะไรกับข้า” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ย มองแผ่นหลังของเด็กสาวคนนั้น “นางวันจรดค่ำล้วนท่าทางเสียใจแบบนี้”


เสียนอ๋องร้องเอ๋


“สนิทมากจริงๆ ด้วย” เขาเอ่ย กะพริบตาที่ตี่จนแทบจะไม่มี “ทำไมนางเสียใจขนาดนี้เล่า?”


จูจั้นหัวเราะ


“เกิดเป็นคน ใครไม่มีเรื่องเสียใจสักเรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ย มือใหญ่สะบัดไพล่หลังเดินไปทางประตูบ้าน “มีอะไรหนักหนากัน”


เสียนอ๋องหัวเราะ มองแผ่นหลังของเด็กสาวคนนั้นไกลออกไปทีหนึ่ง ตามจูจั้นไป


“…อย่าคิดว่าเจ้าทอดถอนใจพร่ำปรัชญาชีวิตสองประโยคจะปัดเรื่องนี้พ้น”


“…คุณหนูคนนี้ก็คือคุณหนูจวินที่ซื่อเฟิ่งพูดถึงสินะ?”


“…เจ้าเสียท่าอะไรในมือนาง?”


“…หน้าตาไม่เลวนะ…”



ตอนที่คุณหนูจวินกลับมาถึงโรงหมอจิ่วหลิง อารมณ์ก็ฟื้นกลับมาแล้ว มองไม่เห็นสภาพผิดปกติใด เห็นนางกลับมา เฉินชี ฟางจิ่นซิ่วรวมถึงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่เร่งออกมาก็โล่งใจ


“เป็นครอบครัวของใต้เท้าท่านไหนหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถามเป็นห่วงเป็นใย


“ลำบากอะไรหรือไม่?” เฉินชีเอ่ยถาม


ฟางจิ่นซิ่วไม่พูดจา มองดวงตาของนางขมวดคิ้วเล็กน้อย


“ก็แค่ขุนนางเล็กๆ คนหนึ่ง คนในบ้านก็ป่วยไม่หนักหนา แค่เจ็บคอ” คุณหนูจวินเอ่ย “ยาชุดเดียวก็หายดีแล้ว เพราะไม่ไกล ข้าก็เลยเดินกลับมาเอง”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพยักหน้า


“เดินกลับมาก็ดี” เขาเอ่ย


“รถม้าขององครักษ์เสื้อแพรยังไงก็นั่งน้อยหน่อย อัปมงคล”


คุณหนูจวินหัวเราะ


“ของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ของที่บ้าน ข้าส่งมาให้คุณหนูจวินแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย ตัดสินใจไม่สานต่อหัวข้อสนทนาที่ไม่นับว่ามีความสุขนั้น


เทศกาลไหว้พระจันทร์หรือ


วันมะรืนก็สิบห้าแล้ว


เร็วจริงหนอ เวลานี้ปีที่แล้ว นางยังไม่ตายเลย


คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า


“ดูสิท่านยายส่งอะไรมาให้ข้า” นางยิ้มเอ่ย


“รถคันโตเชียว” เฉินชีก็เข้ามาร่วมวงด้วยเอ่ยขึ้น “เพิ่งเข้ามาในเรือนหลัง หลิ่วเอ๋อร์กำลังเก็บอยู่”


คุณหนูจวินยิ้มเดินเข้าไป หยางเฉิงส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์มาคันรถใหญ่จริงๆ จัดเก็บกันอย่างสนุกสนานเสร็จก็ค่ำมืดแล้ว ราตรีทอดตัวลงมา


เพราะตอนนี้มีเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วมาแล้ว บรรดาพนักงานจึงไม่ค้างคืนที่นี่ ปิดประตูจากไป สี่คนกินข้าวแล้วก็นั่งอยู่ในเรือนหารือว่าจะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์วันมะรืนอย่างไร


ท้ายที่สุดตัดสินใจไปกินข้าวบ้านผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก่อน หลังจากนั้นไปชมโคมไฟบนถนน


“โคมไฟของเมืองหลวงต้องน่าสนใจกว่าหยางเฉิงแน่” เฉินชีเอ่ยอย่างดีใจ


“พวกเราจะทำเองบ้างไหมเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม


“แน่นอนต้องทำเองบ้างสิ นี่ถึงเข้ากับเทศกาล”เฉินชีเอ่ย


มองเฉินชีเล่นกับหลิ่วเอ๋อร์ ฟางจิ่นซิ่วนั่งอยู่ข้างคุณหนูจวิน


“เรื่องนั้น” นางเอ่ย เสียงอดกลั้นอยู่บ้าง “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่ง


“อะไร?” นางเอ่ยถาม


นางไม่เคยมีประสบการณ์คบหากับเด็กสาว ฟางจิ่นซิ่วก็ไม่ชอบพูด ตั้งแต่มาถึงทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดจากันอย่างไร ทันใดนั้นได้ยินนางถามเช่นนี้ คุณหนูจวินตามไม่ทันอยู่บ้าง


“ที่นี่ไม่เหมือนหยางเฉิง องครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ใช่ตระกูลหลินจะเทียบได้ ถูกรังแกหรือเปล่า?” ฟางจิ่นซิ่วกำนิ้วมือจ้องต้นไม้ใหญ่ในลานเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินเข้าใจแล้ว ยื่นมือนวดหางตา แม้แป้งฝุ่นปิดไว้ แต่สำหรับเด็กสาวผู้ละเอียดรอบคอบย่อมยังคงค้นพบความผิดปกติ


“เปล่า” นางยิ้มตอบ “ข้าเป็นหมอ คนป่วยจ่ายเงินใจป้ำเป็นใช้ได้ ส่วนวาจาเกรงใจไม่ได้เรียกร้อง ดังนั้นจึงไม่มีถูกรังแกเรื่องเช่นนี้”


ฟางจิ่นซิ่วร้องอ้อ


นั่นแน่นอน อย่างเช่นตนเองขายน้ำตาลปั้น คนซื้อน้ำตาลปั้นจ่ายเงินก็คือยุติธรรม ส่วนท่าทีเป็นอย่างไรก็ช่างมันแล้ว


“ที่ข้าทุกข์ เป็นเรื่องอื่น” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ


ฟางจิ่นซิ่วผิดคาดอยู่บ้าง คิดไม่ถึงคุณหนูจวินจะพูดกับนางต่อ นางร้องอ้อเกี่ยวนิ้วมือ ไม่ได้เอ่ยวาจา


“ส่วนเรื่องอะไรนั้น สถานการณ์ไม่ต่างจากเจ้าเท่าไร ก็คือไม่ได้ทำอะไรผิดชัดๆ กลับประสบพบโชคร้าย”


“ทั้งโกรธแค้นทั้งจนปัญญาทั้งไม่มีที่ให้โต้แย้ง ดังนั้นรู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรม”


ได้ยินคุณหนูจวินพูดถึงตรงนี้ ฟางจิ่นซิ่วก็คลายนิ้วออกมองต้นไม้ใหญ่หัวเราะแล้ว


ใช่สิ เป็นคุณหนูตระกูลฟางอยู่ดีๆ ทุ่มเททั้งใจเคียดแค้นศัตรูด้วยกัน กลับคิดไม่ถึง ท้ายที่สุดสวรรค์จะให้จุดจบเช่นนี้กับนาง


ทั้งโกรธแค้นทั้งจนปัญญาทั้งไม่มีที่ให้โต้แย้งจริงๆ หลายครั้งดึกดื่นเที่ยงคืนสะดุ้งตื่นขึ้นมา คิดดูแล้วช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ


ส่วนจวินเจินเจิน เป็นคุณหนูตระกูลขุนนางอยู่ดีๆ บิดาตายกะทันหัน ไม่อาจไม่วิ่งมาพึ่งพิงตระกูลฝั่งแม่ เดิมคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตสุขสบาย ผลสุดท้ายต้องหวาดผวารับมือแผนร้ายนานาชนิดทั้งที่ลับที่แจ้ง


ไม่ง่ายกว่าเรื่องที่บ้านท่านยายจะคลี่คลาย ยังต้องตรากตรำสืบทอดกิจการของตระกูล คบค้าสมาคมกับคนสารพัด


คิดขึ้นมาชาติกำเนิดนี่ ก็ช่างเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้อยุติธรรมนัก


“ที่จริงก็ไม่มีอะไรนะ อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ดี” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “คนมีชีวิตอยู่ มีบางอย่างให้ทำก็ไม่เลวนะ”


นั่นก็ใช่ คิดเช่นนี้ก็ไม่ทุกข์เพราะอยุติธรรมแล้ว อย่างน้อยสวรรค์ก็ให้นางมีชีวิตอยู่ ให้นางไปจัดการความอยุติธรรมนี้ได้


“ข้าเขียนจดหมายเรียกเจ้ามา ตอนเจ้าเห็นกลัวหรือไม่?” คุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่วยิ้มเอ่ยขึ้น “เจ้าดู ทำสิ่งใดที่นี่ออกจะน่ากลัวจริงๆ”


ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาใส่นาง


“ข้ากลัวไม่กลัวในใจเจ้าไม่กระจ่างหรือ?” นางเอ่ย


คุณหนูจวินมองนาง ยิ้มแล้ว


“ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบข้า ต้องช่วยข้า” นางเอ่ย


คนหน้าไม่อายคนนี้


ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนาง


“เจ้า เจ้าดูจากตรงไหนว่าข้าชอบเจ้าน่ะ” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์


คุณหนูจวินกำลังจะพูด ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูลอยมา ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง ฟางจิ่นซิ่วก็โดดขึ้นมาแล้ว


“ข้าไปดูว่าใคร” นางทิ้งประโยคถัดไปไว้วิ่งออกไป


เฉินชีส่ายศีรษะยิ้มพูดกับหลิ่วเอ๋อร์ต่อ


ฟางจิ่นซิ่วเดินเข้าโถงด้านหน้า จุดโคมไฟสว่างพลาง พรูลมหายใจขานรับเปิดประตูไปพลาง


ด้านนอกประตูชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ก้าวมาข้างหน้าหลังนางเปิดประตู


สองฝั่งเห็นหน้ากันต่างสีหน้าตะลึง


“คุณหนูสามฟาง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น บนหน้าผุดรอยยิ้ม “ท่านมาแล้วรึ”


ฟางจิ่นซิ่วมองเขาสีหน้ายังคงตื่นตะลึง


“คุณชายสิบหนิง” นางเอ่ย “ท่านมาได้ยังไง?”


คงไม่ใช่…


“ข้ามาหานาง” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย


เอาอีกแล้ว!


มาถึงเมืองหลวงยังเป็นเช่นนี้อีกรึ?


นี่จะจบไม่จบ!


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม