Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอน 157-163
บทที่ 157 เป็นรสชาติเก่านั่น
โดย
Ink Stone_Romance
เป็นเจ้าอีกแล้ว
คุณหนูจวินก็อยากพูดประโยคนี้เหมือนกัน
“ท่านชายจู บังเอิญจริงเชียว” นางมองจูจั้นเอ่ยขึ้น
จูจั้นถลึงตามองนาง ยื่นมือชี้
“เจ้าพอได้แล้ว” เขาเอ่ย “ข้าไม่สนใจผู้หญิงที่มีสามีแล้ว”
คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ
คำเปิดบทสนทนาแต่ละครั้งไม่รู้เขาคิดออกมาได้อย่างไร
“ข้าไม่ใช่ผู้หญิงมีสามีแล้วสักหน่อย” นางหัวเราะเอ่ย “ท่านไปสืบข่าวเรื่องที่เกิดในหยางเฉิงดูก็รู้แล้ว”
จูจั้นแค่นเสียงยืนห่างออกไป
“เจ้าใช่ก็ช่างไม่ใช่ก็ช่าง ข้าไม่สนใจเรื่องราวของพวกเจ้า” เขาเอ่ย ถลึงตามองคุณหนูจวินทีหนึ่ง “อย่าตามข้าอีก”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป
คุณหนูจวินหัวเราะ แต่เขามาที่นี่ทำอะไร?
นางมองจูจั้นที่เดินออกไป แล้วมองตรอกด้านหลังศาลเทพเจ้ากวนอูที่อยู่ไม่ไกลออกไปอีกด้านทีหนึ่ง ตามไป
“จูจั้น” นางร้องเรียก
จูจั้นยังคงเหมือนไม่ได้ยิน เพิ่มความเร็วฝีเท้า
“จูจั้น” คุณหนูจวินหัวเราะ ร้องเรียกอีกครั้ง แล้วก็เร่งฝีเท้า
จูจั้นวิ่งขึ้นมาแล้ว คุณหนูจวินก็วิ่งขึ้นมาด้วย
“จูจั้น ท่านหนีอีกข้าจะตะโกนแล้ว” นางร้องบอก
ตะโกน?
ตะโกนอะไร?
ตะโกนว่าผิดผี? ตอนนั้นที่หรู่หนานเขาเคยตะโกน ผลลัพธ์เล่า?
“ที่นี่คือเมืองหลวง เจ้าอย่าคิดว่าเป็นหรู่หนาน” จูจั้นหยุดฝีเท้าหมุนตัวกลับมาหยุดยิ่งอยู่ตรงหน้าคุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินมองเขาหัวเราะ
“ใช่ ข้ารู้อยู่” นางเอ่ย
“เจ้าคิดทำอะไร?” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“บังเอิญจริงเชียว เดินมาที่ไหนๆล้วนพบท่านได้อย่างไร” คุณหนูจวินหัวเราะเอ่ยถาม “นี่คือ วาสนาหรือ?”
จูจั้นแค่นหัวเราะ
“บนโลกนี้ไม่มีวาสนา มีเพียงจงใจกระทำ” เขาเอ่ยเก็บเสียงแค่นหัวเราะไป “เจ้าตามข้า ที่แท้คิดทำอะไร?”
จงใจ?
นางไม่ได้จงใจตามเขาสักหน่อย ใครจะรู้ว่าทำไมมักจะพบกัน
จงใจกระทำ หรือพวกเขาอยากกระทำสิ่งเดียวกันงั้นรึ?
นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้
คุณหนูจวินยิ้ม
“ข้าไม่มีอะไร เพียงแค่อยากถามท่าน” นางเอ่ย “ท่านรู้ว่าขนมถั่วแดงร้านไหนในเมืองหลวงอร่อยที่สุดไหม?”
จูจั้นถลึงตามองนาง หันไปสบถทีหนึ่ง
“ข้าไม่รู้” เขาบอก หมุนตัวก้าวไวๆจากไปอีกครั้ง
“ท่านรู้สินะ ท่านคุ้นเคยกับเมืองหลวงขนาดนั้น” คุณหนูจวินหัวเราะเอ่ย
จูจั้นไม่หันกลับมาอีกทะลุเข้าตรอกเส้นหนึ่งแผ่นหลังหายไป
คุณหนูจวินหัวเราะ จิตใจไม่เพียงไม่ถูกทำลาย แต่เพราะการขัดจังหวะครั้งนี้ ความหดหู่จึงสลายหายไป นางเดินตามถนนไปช้าๆ
ขนมถั่วแดงสิ่งนี้ไม่อร่อยสักนิด ท่านพี่ดันชอบกินเจ้านี้ เป็นรสนิยมที่ประหลาดจริงๆ
……………………………………….
องค์หญิงจิ่วหลีมองสาวใช้คนหนึ่งวางจานใบน้อยไว้ด้านหน้า มองขนมถั่วแดงสี่เหลี่ยมก้อนน้อยๆที่ถูกหั่นแบ่งไว้ด้านในก็ยิ้ม
“องค์หญิง ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้คนหนึ่งยิ้มแย้มเอ่ยประจบ
องค์หญิงจิ่วหลีหยิบตะเกียบคีบชิ้นน้อยชิ้นหนึ่งเข้าปาก
“อืม เป็นของบ้านติ้งหยวนโหว” นางเงยหน้ามองไปด้านข้าง
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ด้านข้างได้ยินก็ขานรับ
“องค์หญิงสัมผัสไวนักจริงๆ นี่เป็นใต้เท้าตั้งใจเชิญแม่ครัวบ้านติ้งหยวนโหวมาทำเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้หัวเราะเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลีไม่ได้เอ่ยวาจา กินต่อกันไปสองชิ้นถึงวางตะเกียบลง
“รสชาตินี้ไม่เปลี่ยนจากเมื่อก่อนสักนิด” นางเอ่ย “ท่านก็ลองชิมดูสิ”
ลู่อวิ๋นฉีไม่ขยับ
“ข้าไม่ชอบเจ้านี่” เขาเอ่ย “องค์หญิงพอพระทัยก็พอ”
องค์หญิงจิ่วหลีหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าก็ไม่กินเจ้านี่เหมือนกันหรือ ของอร่อยขนาดนี้พวกเจ้ากลับไม่ชอบ รสนิยมแปลกประหลาดจริงๆ” นางเอ่ย หัวเราะ มองไปทางลู่อวิ๋นฉี “ขอบคุณเจ้าที่ใส่ใจ จดจำคำพูดที่นางเคยบอกได้”
นางผู้นี้คือใคร แม้ไม่ได้ชี้ชัด แต่ในใจคนตรงนั้นล้วนเข้าใจ
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ก้มศีรษะ
บรรยากาศในห้องนิ่งเงียบ สามีภรรยาสองคนหนึ่งนั่งหนึ่งยืนด้านใน ให้เกียรติดุจแขก
พวกเขาให้เกียรติกันดุจแขกอย่างแท้จริง
จนวันนี้ก็ไม่ได้ร่วมหอ
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ต่างรู้ ส่วนพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง ราวกับสิ่งนี้ล้วนเหมาะสมสมควร
“องค์หญิงพอพระทัยก็พอ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มแล้ว พยักหน้า
“ดี” นางเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีคำนับ
“ข้าขอตัวก่อน” เขาเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มพยักหน้า มองลู่อวิ๋นฉีเดินออกไป
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ในห้องกลั้นลมหายใจเก็บเสียง องค์หญิงจิ่วหลีสีหน้าสงบทานขนมถั่วแดง
“แต่งงานก็ดีอยู่นะ” นางว่า ยิ้มกับหญิงรับใช้ข้างกาย “หลังจากนี้กินขนมถั่วแดงได้ทุกเมื่อแล้ว”
คำพูดนี้คือมุกตลกใช่ไหม?
หญิงรับใช้หัวเราะรับ
“หากองค์หญิงชอบให้ใต้เท้าให้แม่ครัวจากจวนติ้วหยวนโหวอยู่เสียก็ได้แล้ว” นางหัวเราะ
“วิญญูชนไม่แย่งของชอบของผู้อื่น” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยขึ้น กินขนมถั่วแดงก้อนสุดท้ายจนหมด “นอกจากนี้ของดีอีกเท่าไรกินบ่อยๆก็ต้องเบื่อหน่าย”
ไม่ว่าพูดอย่างไร องค์หญิงจิ่วหลีก็อารมณ์ค่อนข้างดี มีบรรยากาศสูงศักดิ์อย่างองค์หญิง กลับไม่มีบรรยากาศหยิ่งยโสเหยียดมองผู้คน ไม่เคยตำหนิสร้างความลำบากให้คนรับใช้
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้อยู่ต่อหน้านางค่อยๆไม่ระมัดระวังขนาดนั้น
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ล้วนหัวเราะออกมา
“องค์หญิงตรัสมีเหตุผล” พวกนางล้วนเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีวางตะเกียบลง หยิบเข็มด้ายด้านข้างขึ้นมา นั่งลงด้านหน้าโครงปักต่อ
องค์หญิงจิ่วหลีไม่เหมือนองค์หญิงคนอื่นที่ชอบอ่านหนังสือเขียนอักษรอยู่คนเดียว นางเพียงชอบทำงานเย็บปักถักร้อย ทั้งวันเวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้เย็บปักถักร้อย
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ในห้องรู้เองเก็บกวาดชามตะเกียบออกไปอย่างว่องไว
ด้านในเรือนมีสาวใช้เข้ามา
“ใต้เท้าออกไปอีกแล้ว” นางเอ่ยเสียงเบา
หญิงรับใช้ส่ายศีรษะ
“ไปฝั่งนั้นอีกแล้วสินะ?” นางเอ่ยถามเสียงเบา
สาวใช้พยักหน้า
หญิงรับใช้ถอนหายใจอีกครั้ง หันไปมองที่ซึ่งองค์หญิงจิ่วหลีอยู่ทีหนึ่ง
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ใต้เท้าไม่เคยค้างคืนด้านนอก” นางเอ่ยเสียงเบา “นี่เพิ่งแต่งงาน ทั้งยังเป็นพี่สาวภรรยา ก็ไม่แปลกที่จะปรับตัวไม่ได้ ชีวิตยังอีกยาวนาน คุ้นเคยกันอีกหน่อยก็ดีแล้ว”
สาวใช้ขานรับ ในดวงตายังคงกังวล
“แต่ผู้หญิงพวกนั้นข้างนอก…” นางอดไม่ได้เอ่ยเสียงเบา “มากขึ้นทุกทีแล้ว”
หญิงรับใช้ถลึงตามองนางทีหนึ่ง
“มากแล้วอย่างไร? ก็แค่ข้างนอก ชื่ออะไรก็ไม่มีทั้งนั้น เป็นแค่ของเล่น” นางว่า “เทียบกับองค์หญิงของพวกเราได้รึ? นั่นเป็นองค์หญิง ทั้งเป็นฮ่องเต้พระราชาทานสมรส”
สาวใช้ขานรับ
“อย่าคิดเหลวไหล พูดเหลวไหลไป” หญิงรับใช้เอ็ดเสียงเบา
สาวใช้รีบหมุนตัวจากไป
หญิงรับใช้หันกลับไปมองทีหนึ่ง ด้านในห้ององค์หญิงจิ่วหลีเงียบสงบจนเงียบเหงาอยู่บ้าง
ส่วนเวลานี้บนถนนใหญ่คนเดินไปเดินมาเอะอะครึกครื้นดั่งเช่นวันวาน
คุณหนูจวินยืนอยู่ในกลุ่มคนรอคอยแผงร้านด้านหน้า ขนมถั่วแดงร้อนควันฉุยเพิ่งออกจากหม้อ ถูกวางอยู่บนถาดใช้มีดเล่มใหญ่ตัดเป็นชิ้นเล็กอย่างว่องไว ใส่ในกล่องกระดาษ
ฝูงชนที่รุมล้อมค่อยๆส่งเงินถือกล่องกระดาษใบหนึ่งออกไป
ในที่สุดคุณหนูจวินก็ได้ชิ้นสุดท้ายของหม้อนี่มา
เวลานี้บนถนนเสียงกีบเท้าม้าเร่งรีบระลอกหนึ่ง ฝูงชนเบียดเสียดดุจคลื่นน้ำแหวกออก คุณหนูจวินยืนอยู่ด้านในฝูงชนถูกเบียดเอนซ้ายเอนขวา ขนมถั่วแดงในมือตกลงพื้น
“เฮ้ อย่าเหยียบ”
นางร้องพยายามสุดกำลังขวางฝูงชนรอบด้านไว้
“อย่าเสียงดัง อย่าเสียงดัง หัวหน้ากองพันลู่มาแล้ว” ฝูงชนร้องโหวกเหวก
เสียงนี้ทำให้ฝูงชนที่เบียดเสียดฉับพลันยิ่งอลหม่าน คุณหนูจวินที่ก้มตัวอยู่ถูกเบียดถอยหลัง มองขนมถั่วแดงด้านในกล่องกระดาษนั่นถูกเหยียบเละ
นางเงยหน้ามองบนถนนถูกลู่อวิ๋นฉีที่องครักษ์เสื้อแพรรุมล้อมเร่งรีบผ่านไป
หลังลู่อวิ๋นฉีขี่ม้าผ่านไป ฝูงชนก็ออกลับมาบนถนนใหม่อีกครั้ง ชี้มือชี้ไม้ใส่บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ไกลออกไปวิพากษ์วิจารณ์
หน้าร้านด้านนี้กลับโล่งไปมาก
คุณหนูจวินยืนอยู่ที่เดิมมองขนมถั่วแดงที่ถูกเท้าเหยียบเละ
มีครั้งหนึ่งทะเลาะกับพี่สาว นางก็จงใจปัดขนมถั่วแดงของพี่สาวร่วง หลังจากนั้นก็หนีไป ท่านแม่กับพระพี่เลี้ยงไล่จับนางที่สวนดอกไม้อยู่รอบหนึ่งต้องการจะตีนาง
คุณหนูจวินก้มหน้านั่งยองบนพื้นระมัดระวังอยากจะเก็บขนมถั่วแดงที่ถูกเหยียบเละขึ้นมา
เท้าสองข้างหยุดข้างขนมถั่วแดงที่เละกลายเป็นโคลน
เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นมาแตะหัวเข่าของนาง
“เฮ้เฮ้”
เสียงของจูจั้นร่วงใส่เหนือศีรษะ
คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้น มองจูจั้นที่ยืนอยู่ข้างกายบดบังแสงตะวัน แสงสว่างเงามืดตัดกันมองใบหน้าไม่ชัด
“อย่าขายขี้หน้าคนขนาดนั้นสิ” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “คุณหนูแห่งเต๋อเซิ่งชางผู้เชี่ยวชาญการหว่านเงินเล่นทั้งคน แสร้งทำประหยัดอะไรกันเล่า”
……………………………………….
บทที่ 158 ทิวทัศน์งามยากเมามาย
โดย
Ink Stone_Romance
เวลานี้คุณหนูจวินไม่อยากพูดกับเขา
นางก้มศีรษะลุกขึ้นมาหมุนตัวเดินออกไป
ด้านหลังร่างเสียงฝีเท้าติดตามมา คุณหนูจวินหันกลับไป
“ท่านชายครั้งนี้ไม่ใช่ข้าตามท่านแล้ว” นางเอ่ย
“ข้าถามเจ้า เจ้าตามข้าทำอะไร?” จูจั้นเอ่ยขึ้น ในดวงตาท่าทางพินิจพิจารณา
“ข้าไม่ได้ตามท่าน” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ย
“เจ้าพูดคำนี้ ตนเองเชื่อไหม?” จูจั้นเอ่ย “เจ้าลองใช้จิตใจดีงามคิดๆดู คั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ทำไมข้าไปถึงที่ไหนเจ้าก็ไปถึงที่นั่น?”
คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ
“คงเป็นวาสนากระมัง” นางเอ่ย
จูจั้นจิ๊ปาก กำลังจะพูดคุณหนูจวินก็เดินต่อไปแล้ว
“เฮ้เฮ้” เขาตามมาอีก ไม่กี่ก้าวยืนอยู่ตรงหน้าคุณหนูจวิน “ข้าพูดกับเจ้าให้ชัด เจ้ากับข้าสองฝ่ายไม่ยุ่งเกี่ยว ข้าไม่ขุดคุ้ยว่าเจ้าคิดทำอะไร หลังจากนี้อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก”
สองฝ่ายไม่ยุ่งเกี่ยว
อะไรก็ไม่เกี่ยวกับนางทั้งน้น
คนที่รู้จักเหล่านั้นก็ล้วนไม่รู้จักนางอีกแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้คนอยากเป็นบ้าจริงๆ
คุณหนูจวินไม่ได้เป็นบ้า น้ำตาของนางร่วงเปาะแปะลงมา
จูจั้นสะดุ้งโหยง เหมือนแมวแตะโดนน้ำกระโดดออกห่าง
“โว้ย เจ้าเอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว” เขาเอ่ย มองซ้ายขวา “นี่ไม่ใช่หรู่หนานของพวกเจ้านะ”คุณหนูจวินอดไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมาอีกครั้ง ถลึงตามองจูจั้นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
“เจ้ากับข้าเดิมทีก็ไม่ข้องเกี่ยวกันอยู่แล้ว เจ้ามีอะไรให้ร้องห่มร้องไห้ เจ้าคิดว่าร้องไห้นิดหน่อย ข้าก็จะใจอ่อนหรือ? เรื่องราวจะเป็นอย่างที่เจ้าหวังหรือ?” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ยขึ้น
นั่นก็ใช่
ร้องไห้นิดหน่อย คนอื่นก็ไม่ใจอ่อน เรื่องราวก็ไม่มีทางเป็นอย่างที่ตนเองปรารถนา
คุณหนูจวินยกมือเช็ดน้ำตา
“ข้าแค่ร้องไห้ให้ขนมถั่วแดงของข้า” นางว่า “ท่านอย่าคิดมากสิ”
จูจั้นแค่นเสียงอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ยื่นมือส่งกล่องกระดาษใบหนึ่งไปให้
คุณหนูจวินงงงันไปครู่หนึ่ง
นี่คือ…
ขนมถั่วแดง?
นางมองจูจั้นประหลาดใจอยู่บ้าง
เมื่อครู่เขาซื้อมา?
ให้นางหรือ?
“อย่าคิดไปเอง” จูจั้นเอ่ย ยื่นมืออีกข้างมากวัก “เอาเงินมา”
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง หยิบถุงเงินออกมาจริงๆ ตั้งใจนับเงินสิบอีแปะวางในมือเขา
จูจั้นตอนนั้นถึงส่งขนมถั่วแดงให้นาง หนึ่งประโยคไม่พูดหมุนตัวจากไป
“เฮ้” คุณหนูจวินจะเอ่ยวาจา
จูจั้นไม่แม้แต่จะหันกลับมายกมือขึ้น
“จำไว้ล่ะ สองฝ่ายไม่ยุ่งเกี่ยว อย่าตามข้ามาอีก” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินไม่ได้ตามไปอีก ส่ายศีรษะหัวเราะ ก้มหน้ามองขนมถั่วแดงในมือ เปิดออกบิก้อนเล็กๆวางเข้าปาก
ชิ…
ยังไม่อร่อยเหมือนเก่า
เป็นรสชาติประหลาดจริงๆ
นางเคี้ยวช้าๆเดินไปตามถนน
……………………………………
พวกองครักษ์เสื้อแพรล้อมปกป้องสี่ด้านในตรอกเส้นหนึ่งอยู่ ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ถึงลงจากม้าเดินเข้ามา หน้าประตู องครักษ์เสื้อแพรสองคนเปิดประตู
ลู่อวิ๋นฉีเดินเข้าไป หน้าประตูเทียบเชิญกองพะเนินอยู่ด้านหน้า
“ใต้เท้านี่คือเทียบเชิญเยี่ยมเยือนที่ส่งมาหลายวันนี้” เขาเอยขึ้น
ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน หัวหน้ากองพันลู่ผู้แต่ไหนแต่ไรมาไม่รับการเยี่ยมเยือนฉับพลันก็ต้อนรับบรรดาขขุนนางที่นี่
คงเป็นเพราะวันนั้นพบกับขุนนางบ้านนอกคนหนึ่งพาสาวใช้งดงามเดินทางมา และสาวใช้งามคนนั้นได้หัวหน้ากองพันลู่รับไว้กระมัง
แม้ลู่อวิ๋นฉีชื่อเสียงเลวร้าย แต่อำนาจตำแหน่งของเขาก็สูงมาก นี่ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่คนมากมายต้องการเกาะเขา
หลังจากนั้นคนมากกว่าเดิมก็ส่งเทียบเชิญมา ลู่อวิ๋นฉีพบบ้างเป็นบางครั้ง แต่มักจะเห็นคนเหล่านี้พาคนงามมาเป็นบ่าวหญิง
แม้สิบลี้แทบจะมีเพียงคนเดียวที่ถูกลู่อวิ๋นฉีต้องตา ก็เพียงพอให้บรรดาขุนนางบ้าคลั่ง
แต่วันนี้ไม่รอให้เวรยามอ้าปากอ่านเทียบเชิญเหล่านี้ ลู่อวิ๋นฉีก็โบกมือห้ามแล้ว
เวรยามรีบกลั้นเสียง
ถอยไป มองลู่อวิ๋นฉีตรงเข้าไปยังเรือนด้านหลัง
เข้าไปในเรือนใน ท่ามกลางร่มไม้เขียวมีเงาร่างหญิงสาว บางคนพิงราวกั้นมองมา บางคนวนออกมาจากหลังต้นไม้ บางคนวิ่งออกมาจากห้อง
หญิงเหล่านี้บ้างอวบบ้างผอม บ้างอายุสิบหกสิบเจ็ดปี บ้างยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี สีหน้าบ้างกังวล บ้างเขินอาย แล้วก็มีกระตือรือร้น
สายตาของลู่อวิ๋นฉีกวาดมองผู้หญิงเหล่านี้ทีละคนๆ
“ข้ากลับมาแล้ว” เขาเอ่ย บนหน้าเผยรอยยิ้ม
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวไว้เข้ามารับ
“อวิ๋นฉี” นางร้องเรียก ปิดบังความกระตือรือร้นไม่มิด
ลู่อวิ๋นฉียื่นมือรับนางไว้ โอบนางไว้ในอ้อมกอด ส่วนผู้หญิงคนอื่นแม้มีดูแคลนบ้างหงุดหงิดบ้าง แต่ก็ทยอยกันรุมเข้ามา
“อวิ๋นฉี”
“อวิ๋นฉี”
เสียงอ่อนเสียงหวานประสาน กลิ่นหอมดุจกล้วยไม้เลื้อยพัน
ลู่อวิ๋นฉียิ้มกางสองแขนออก โอบซ้ายกอดขวา
“จัดงานเลี้ยงเถอะ” เขาเอ่ย
ม่านราตรีทอดตัวลงมา ทั้งเรือนจุดไฟสว่างไสว บรรดาบ่าวหญิงเข้าออกเป็นระยะ ขนสุราอาหารยกขึ้นมาไม่ขาด
“อวิ๋นฉี เจ้าดื่มอีกจอกสิ”
ผู้หญิงคนหนึ่งพิงลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเสียงหวาน พลางยื่นจอกสุราไปถึงปากของเขา
ลู่อวิ๋นฉีไม่ลังเลสักนิดอ้าปากดื่มจากมือผู้หญิงคนนี้คำเดียวหมด ดื่มหมดยังไหลไปจุมพิตบนมือของหญิงสาวทีหนึ่ง
นางดีใจโอบคอของเขาไว้
ผู้หญิงสองข้างมอง บางคนอาย บางคนชิงชัง บางคนไม่ยอม
ตอนนั้นก็มีสองคนเบียดเข้ามา
“อวิ๋นฉี ยังมีข้าด้วย” พวกนางเอ่ยเสียงหวาน
ผู้หญิงที่จงใจส่งมาเหล่านี้ล้วนสั่งสอนมาโดยเฉพาะ ส่วนบนโต๊ะยังมีคนที่ไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อน แม้อายหน้าแดงมือไม้ไม่รู้จะวางตรงไหน แต่คิดถึงคำสั่งกับความคาดหวังของที่บ้านก็ล้วนถือจอกสุราขึ้นมาตามเข้าไป
ลู่อวิ๋นฉีไม่ปฏิเสธคนที่มา สุราไม่ปฏิเสธ คนก็ไม่ปฏิเสธ ผู้หญิงทั้งหมดล้วนเบียดมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา เสียงหวานคำหวานเต็มไปหมด สอดแทรกด้วยเสียงหัวเราะดังของลู่อวิ๋นฉี ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกดังขึ้น บรรดาหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างร้องเสียงแหลม เก้าอี้ที่ลู่อวิ๋นฉีนั่งอยู่เพราะถูกชนเบียดจึงล้มลงไป
บรรดาหญิงสาวในอ้อมกอดล้วนถูกดึงล้มลงไปด้วย ล้มนั่งซ้อนทับกันเป็นชั้นๆในอ้อมกอดของลู่อวิ๋นฉี
เสียงหัวเราะของลู่อวิ๋นฉียิ่งดัง กอดพวกนางกลิ้งบนพื้นดินเสียอย่างนั้น
เสียนหวีดร้องเสียงหัวเราะของบรรดาหญิงสาวยิ่งสับสน ทำให้เรือนทั้งหมดกลายเป็นเริงโลกีย์
กำลังหัวเราะกำลังโวยวายอยู่ ทันใดนั้นลู่อวิ๋นฉีก็ดันผู้หญิงบนร่างในอ้อมกอดออก
“ยามใดแล้ว?” เขาเอ่ยถาม
“ยามไฮ่[1]แล้ว” บรรดาสาวใช้เอ่ยขึ้น
เป็นเวลาหยุดพักแล้ว
สีหน้าของบรรดาหญิงสาวเคร่งเครียดทันที คาเหวังมองไปยังลู่อวิ๋นฉีที่ยังนั่งอยู่บนพื้น
ลู่อวิ๋นฉีได้ยินก็กระโดดลุกขึ้น
“ดึกขนาดนี้แล้ว ควรไปแล้ว” เขาเอ่ย
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปข้างนอก
บรรดาหญิงสาวทยอยลุกขึ้น
“อวิ๋นฉี”
พวกนางร้องเรียกติดตามไป
ลู่อวิ๋นฉีก้าวพ้นธรณีประตูไปแล้ว ได้ยินเสียงหมุนกลับมา
บรรดาหญิงสาวก็หยุดเท้ามองเขาอย่างคาดหวังอาลัยอาวรณ์
“อวิ๋นฉี” ผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียก สีหน้าเอียงอาย
ลู่อวิ๋นฉีมองนางแล้วกวาดมองหญิงสาวเหล่านี้ บนหน้าเผยรอยยิ้ม
บรรดาหญิงสาวสีหน้าค่อยๆยินดี อดไม่ได้จะก้าวมาข้างหน้าอีกก้าว
“ข้าไปล่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย ใต้แสงโคมแกว่งไกวแววตาอ่อนโยน สีหน้ายังคงอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง พูดจบหมุนตัวก้าวจากไป ทิ้งคำเอ่ยรั้งของบรรดาหญิงสาวด้านหลังไว้หลังร่าง
ฝั่งนี้ไม่ใช่เมืองคึกคัก ยามไฮ่บนถนนใหญ่ว่างเปล่าไม่มีสักน
ลู่อวิ๋นฉีมีองครักษ์เสื้อแพรกองหนึ่งปกป้องเดินทางไปตามถนน
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรแม้ไม่ได้เคลื่อนไหวเสียงดัง แต่เทียบกับกลางวันเคร่งเครียดกว่าอยู่มาก
ลู่อวิ๋นฉีมักเผชิญกับการลอบสังหาร กลางวันเดินทางยังทำเนา ค่ำคืนเดินทางอันตรายยิ่งมาก
ลูกศิษย์ลูกหาของบรรดาขุนนางเหล่านั้นที่ถูกทำร้าย บางทีก็เป็นพวกที่รับเงินมาตาย อาศัยราตรีซุ่มซ่อน รอคอยโจมตีคนชั่วช้าคนนี้
“ใต้เท้า หลังจากนี้กลางคืนค้างคืนที่ด้านนั้นเถอะ” ผู้ติดตามข้างกายอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่หลายครั้งแล้ว ยังตัดผ่านจุดนี้ไปมาระหว่างบ้านสองหลัง คุ้นชินกับความสะดวก ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
สีหน้าของลู่อวิ๋นฉีบางทีอาจเพราะดื่มสุราเป็นเหตุ เทียบกับยามกลางวันลุ่มลึกกว่ามาก เขาปรือตานั่งอยู่บนม้าโยกไปมาเบาๆ ท่าทางเมามายอยู่นิดหน่อย
“ไม่” เขาเอ่ยตอบกระชับชัดเจน
คนติดตามไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก ดาบปักวสันต์ในมือกำแน่นระแวดระวังสี่ด้านแปดทิศ
บนถนนใหญ่มีเพียงเสียงกีบเท้าม้าก้องกังวาน ยังดีตลอดทางไม่มีการเคลื่อนไหวผิดแปลก ด้านหน้าแสงโคมค่อยๆสว่างไสว มองเห็นประตูใหญ่จวนสกุลลู่
ด้านหน้าประตูมีบรรดาองครักษ์เสื้อแพรทรอคอยมองมาทางคนฝั่งนี้อยู่ก่อนแล้ว คนกลุ่มหนึ่งเข้ามารับ อีกหลายกลุ่มเปิดประตู
คนและม้ากระจายตัวอยู่ด้านหน้าประตู ลู่อวิ๋นฉีได้องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งพยุงลงจากม้า
เขายิ่งเมามายหนัก ก้าวเท้าโซเซอยู่บ้าง ไม่อาจไม่ใช้มือเกาะหัวไหล่คนติดตาม ตอนที่จะก้าวเท้าขึ้นบันไดนั่นเอง ท่ามกลางความมืดเสียงคมอาวุธพร้อมกับเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น
องครักษ์เสื้อแพรสองข้างได้ยินเสียงเคลื่อนไหวทันที องครักษ์เสื้อแพรที่พยุงลู่อวิ๋นฉีผลักลู่อวิ๋นฉีไปด้านหลังม้าในเวลาเดียวกัน
ม้าส่งเสียงร้องยกขาหน้า ลูกศรดอกหนึ่งจมเข้าไปในตัวม้า
“มีมือสังหาร”
เสียงตะโกนดังรอบด้าน ดาบกระบี่ออกจากฝัก ที่แจ้งที่ลับคนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปตรงที่ลูกศรออกมา ในเวลาเดียวกันคนมากกว่าเดิมก็ล้อมลู่อวิ๋นฉีไว้
……………………………………….
[1] ยามไฮ่ (亥时) เวลา 21.00 -23.00 น.
บทที่ 159 กลับบ้าน บ้านอยู่ไหน
โดย
Ink Stone_Romance
มือสังหารนี่ตลอดทางไม่ออกมาเข่นฆ่า ถึงกับมาหน้าประตูจวนสกุลลู่ซุ่มซ่อน
ใจกล้ามากจริงๆ เดิมพันหมดหน้าตักพอตัวด้วย
ม้าที่ต้องศรอาละวาดแล้ว บรรดาองครักษ์เสื้อแพรปกป้องลู่อวิ๋นฉีถอยออกไป ในเวลาเดียวกันคนสองคนก็โบกดาบอย่างพร้อมเพรียง สังหารม้าที่อาละวาดทันที
พร้อมกับในเวลานี้ในความมืดเสียงร้องเจ็บปวดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากนั้นเงียบหาย
หน้าประตูฟื้นกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ไม่มีพวกที่รุมล้อมเข้ามาตาย แล้วไม่มีลูกศรวิ่งเข้ามาอีก
“ใต้เท้า แค่คนเดียว” บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่โจมตีสังหารกลับมา ลากศพไร้ศีษะร่างหนึ่งกลับมารายงาน
ศพถูกดาบรุมฟันจนไม่เหลือสภาพ
ไม่ต้องยืนยันก็ตายจนไม่อาจตายได้แล้ว ย่อมไม่นำมาต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีมองก็ไม่มองศพบนพื้น โงนเงนจะเดินเข้าประตูบ้าน ไกลออกไปความวุ่นวายอีกพักหนึ่งเกิดขึ้นอีก
นั่นเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ซุ่มซ่อนอยู่ในที่ลับค้นพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรฝั่งนี้ก็เคลื่อนไหวอีกครั้งทันที ในเวลาเดียวกันองครักษืเสื้อแพรคนหนึ่งก็ก้าวไวๆ ไปยืนข้างกายลู่อวิ๋นฉี จะยื่นมือพยุงหรือยามจำเป็นใช้ตนต่างโล่มนุษย์
นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ทุกคนล้วนคุ้นชิน
มือขององครักษ์เสื้อแพรคนั้นกำลังจะพยุงลู่อวิ๋นฉีที่ร่างกายไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้เองในมือของเขาฉับพลันมีดาบสั้นเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แสงวาววับแทงตรงเข้าไปที่หัวใจของลู่อวิ๋นฉี
ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้เป็นเรื่องพริบตาเดียว บรรดาองครักษ์เสื้อแพรรอบด้านมองเห็นเข้าก็ขยับไม่ทันแล้ว
“ใต้เท้า!”
เสียงอุทานตกใจดังขึ้นรอบด้าน แต่นาทีต่อมาไม่ได้เห็นลู่อวิ๋นฉีถูกแทงล้มกับพื้น
ลู่อวิ๋นฉียืนตรงมั่นคง ดาบสั้นนั่นหยุดอยู่หน้าร่างของเขา ชิดกับเสื้อผ้าของเขาแต่เข้ามาไม่ได้อีกสักก้าว
ลำคอขององครักษ์เสื้อแพรคนนี้ถูกลู่อวิ๋นฉีมือเดียวบีบไว้
ร่างกายกำยำถูกลู่อวิ๋นฉียกขึ้นมาทั้งอย่างนั้น มือที่บีบลำคอเขาราวกับคีมเหล็ก พริบตาทำให้สีหน้าคนผู้นี้เขียวคล้ำส่งเสียงอึกอักออกมา
ความทรมานของการขาดลมหายใจไม่ได้ดำเนินต่อไปยาวนานนัก อีกมือหนึ่งของลู่อวิ๋นฉียื่นมากดศีรษะเขาสะบัดลงพื้นอย่างแรง
องครักษ์เสื้อแพรคนนี้เหมือนกับถุงกระสอบขาดๆ ร่วงลงบนพื้น คนทั้งร่างไม่ร้องสักแอะก็ตายสนิทไม่ขยับแล้ว
ลำคอผิดรูป ปากจมูกเลือดพุ่งออกมาย้อมผืนดิน สาดไปถึงเท้าของลู่อวิ๋นฉีด้วย
เห็นได้ว่าหนึ่งบิด หนึ่งทุ่มนี้กำลังมากเพียงใด
เพราะลู่อวิ๋นฉีน้อยนักจะออกจากบ้านรวมถึงเวลาออกจากบ้านมักจะมีองครักษ์เสื้อแพรนับไม่ถ้วนรุมล้อม ทุกคนล้วนคิดว่าเขาอ่อนแอดังนั้นถึงป้องกันเช่นนี้ แต่ความจริงหาใช่เช่นนั้น
ไม่ว่าด้านหน้ามีปราการปกป้องมากเท่าใด ท้ายที่สุดปราการที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเขาเอง ฝากความหวังไว้ที่ผู้อื่นมักจะพึ่งไม่ได้เกินไป
เหล่าองครักษ์เสื้อแพรล้อมเข้ามา หนึ่งในนั้นมองคนบนพื้น
“ไม่ใช่คนของพวกเรา” เขาเอ่ย คุกเข่าหน้าลู่อวิ๋นฉี “ผู้น้อยทำงานพลาดให้คนปะปนเข้ามาได้”
ลู่อวิ๋นฉีมองเขา ยื่นมือหยิบดาบปักวสันต์ในมือเขา ยกมือขึ้นฟันลงไป
องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นร่างกายแข็งทื่อ แต่กลับนิ่งไม่ขยับ จิตใจแน่วแน่ก้าวเท้าหาความตาย
ลมจากดาบแล่นผ่านร่างเขาไป ตกใส่บนร่างคนตายบนพื้น
นี่เป็นวิธีฟันที่ไม่มีแบบแผนใดๆ ไม่เหมือนคนฝึกดาบคนหนึ่ง แต่เหมือนคนฆ่าสัตว์ที่แผงเนื้อคนหนึ่ง
เผชิญหน้ากับสุกรตายรวมถึงศพที่ไม่อาจต่อต้าน ความเอาแต่ใจดุร้ายสาดออกมา เวลาครู่เดียวคนตายบนพื้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงกลายเป็นกองเลือดเนื้อแหลกเหลวกองหนึ่ง
กลิ่นคาวเลือดกระจายท่ามกลางราตรี เข้มข้นทั้งน่าสะพรึง
ลู่อวิ๋นฉีทิ้งดาบในมือ สีหน้ายังคงนิ่งสนิท ราวกับตรงหน้าเป็นเพียงเนื้อหมูสับกองหนึ่ง
“ข้าแค่จะกลับบ้าน ข้าจะกลับบ้าน กล้าขวางทางข้า” เขาเอ่ย พูดจบก็พาร่างเต็มไปด้วยเลือดเดินเข้าไปในบ้าน
หญิงรับใช้สาวใช้ที่เข้ามารับพาสีหน้าหวาดกลัวมองเลือดเนื้อที่กระเซ็นทั่วทั้งร่างเขา
“เร็วรีบไปบอกองค์หญิง ใต้เท้ากลับมาแล้ว” พวกนางเอ่ยเสียงเบา
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่หน้าประตูเรือนขององค์หญิงจิ่วหลีแล้ว แต่ได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งก็หยุดอีกครั้งหมุนตัวจากไป
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ที่ออกมารับในเรือนล้วนงงงันทันที สบตากันทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
ด้านในสวนดอกไม้ยามค่ำคืนแสงโคมสลัวไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเดินตัดผ่านไปในนั้นนานเท่าไรในที่สุดลู่อวิ๋นฉีก็เหน็ดเหนื่อยนั่งลงกับพื้น แหงนหน้าทิ้งตัวลงอีกครั้ง กางแขนกางขา มองท้องนภายามราตรีสีดำสนิท
“กลับบ้าน” เขาพึมพำเอ่ยประโยคหนึ่ง หลับตาลง
…
แสงตะวันสาดส่องผืนดินตามปกติ ทิวทัศน์งดงามความรุ่งเรืองครึกครื้นเห็นอยู่ทั่ว เมืองหลวงเดือนแปดยิ่งรุ่งเรืองคึกคัก
“ถึงแล้ว!” บนรถม้าคันหนึ่ง คนคุมรถชี้ด้านหน้าร้องตะโกนยินดี ปลดหมวกลงเผยใบหน้าอิดโรย ตื่นเต้นราวกับจะกระโดดโลดเต้น “ข้ามองเห็นเมืองหลวงแล้ว”
ฟางจิ่นซิ่วยื่นตัวออกมาจากในรถ ขมวดคิ้วมองเขา
“เฉินชี เจ้าอย่าทำขายหน้าคน นั่งดีๆ ได้แล้ว” นางเอ่ย ตนเองเงยสายตาขึ้นมองไปเหมือนกัน “จากตรงนี้ถึงเมืองหลวงยังต้องเดินทางอีกไกลแหนะ”
แบบนั้นเรอะ เฉินชีมองคนเดินทางสองข้างที่เผยรอยยิ้มมีเลศนัยทำนองว่าพวกบ้านนอกล้วนเป็นเช่นนี้ เขามองไปยังเมืองด้านหน้าอีกครั้ง ยิ้มเขินนั่งลงมา
“ดูแล้วเหมือนจะใกล้ แต่มองเห็นภูเขาวิ่งจนม้าตาย” เขาว่า
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้เอ่ยวาจา แล้วก็ไม่ได้เข้าไปในรถอีก
“ในที่สุดก็ถึงได้สักที ไม่คิดว่าต้องเดินทางไกลขนากนี้ เหนื่อยตายแล้วจริงๆ” เฉินชีเอ่ยอีกครั้ง บิดขี้เกียจ ทุบหัวไหล่
“ใครให้เจ้าตามมาเล่า? ขี่ม้าก็ไม่เป็นอีก” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ถ้าข้าขี่ม้ามาเองก็ถึงนานแล้ว”
หลังตัดสินใจจากหยางเฉิงมาเมืองหลวง ฟางจิ่นซิ่วก็ไปบอกกับเฉินชีรวมถึงมารดาของเฉินชี อย่างไรช่วงนี้ก็ได้พวกเขาดูแล ไม่คิดว่าวันที่สองออกเดินทาง เฉินชีก็ตามมาด้วย
“พาข้าไปเมืองหลวงมั่งคั่งด้วยสิ” เขาเอ่ยขอร้อง “ได้ยินว่าคนขายน้ำตาลปั้นที่เมืองหลวงล้วนร่ำรวยได้”
ฟางจิ่นซิ่วหน้าด้านสู้เขาไม่ได้ ได้แต่ให้เขาตามมา
เพราะเฉินชีขี่ม้าไม่ได้ ฟางจิ่นซิ่วจึงได้แต่ซื้อรถม้าคันหนึ่ง สองคนเดินทางด้วนกัน วันคืนไม่หยุดครึ่งเดือนกว่าในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง
เมืองหลวงหรือ ฟางจิ่นซิ่งมองเมืองด้านหน้า นางก็ไม่คิดว่าจะมาถึงแล้วจริงๆ
บอกว่าจะมาก็มา จากหยางเฉิงถึงเมืองหลวงไกลขนาดนี้ นางก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อน
เจ้ามีปีก ต่อให้ร่วงลงบนดินก็บินได้
ฟางจิ่นซิ่วสูดหายใจลึกยาว หยิบจดหมายมาอ่านทีหนึ่ง
ที่อยู่บนจดหมายจำขึ้นใจนานแล้ว
เดินทางหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนในที่สุดก็เข้ามาในเมืองหลวง ในนั้นรุ่งเรืองน่าตกตะลึงไม่อาจไล่เรียงพูดถึงทีละอย่าง เฉินชีจูงม้าลากรถ สอบถามถึงถนนนที่โรงหมอจิ่วหลิงตั้งอยู่ทันที แต่ไม่ใช่โรงหมอจิ่วหลิงโรงหมอแห่งนี้
“ไม่รู้ว่าโรงหมอของคุณหนูจวินเป็นอย่างไรบ้าง?” เฉินชีหันกลับมาเอ่ยถาม “นับดูแล้วเพิ่งเปิดมาไม่ถึงสองเดือน เมืองหลวงที่แห่งนี้ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้มีความช่วยเหลือของเต๋อเซิ่งชาง โรงหมออย่างไรก็อาศัยวิชาแพทย์หยัดยืน ไม่ใช่วันเดียวคืนเดียวจะสร้างชื่อได้ ถามถึงโรงหมอจิ่วหลิงต้องไม่มีสักกี่คนรู้แน่”
ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะ
“นั่นก็ไม่แน่” นางว่า “เจ้าไม่รู้จักนาง”
“ข้ารู้ คนหยางเฉิงล้วนรู้ คุณหนูจวินเป็นหมอเทวดา” เฉินชีเอ่ย “แต่นั่นก็ลงแรงมากมายเงินมากมายถึงถูกคนล่วงรู้ ตอนนี้ยังไม่เร็วขนาดนั้นไหมเล่า”
ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะอีกครั้ง
เจ้าไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ความคิดประหลาดมากมายขนาดไหน
ครั้งไหนก็ทำเรื่องให้คนตะลึง
ขอเพียงนางคิด ย่อมทำได้
รถม้ามาถึงถนนที่โรงหมอจิ่วหลิงอยู่
“สถานที่นี้ค่อนข้างห่างไกลนะ” เฉินชีเอ่ย มองรอบด้านขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “น่าจะเปิดในที่คึกคักกว่านี่หน่อยไหม เต๋อเซิ่งชางไม่ใช่เช่าร้านไม่ไหวสักหน่อย”
ฟางจิ่นซิ่วสบถทีหนึ่ง
“จะเก็บไม่เก็บเจ้าไว้ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ทำตัวให้สมเป็นผู้ดูแลได้แล้ว” นางเอ่ย
เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่า จูงม้ามองซ้ายมองขวา ดวงตาเป็นประกายอย่างรวดเร็ว
“อยู่ที่นั่น” เขาเอ่ยดีอกดีใจ ยื่นมือชี้
ฟางจิ่นซิ่วมองข้ามไป ป้ายโรงหมอจิ่วหลิงปรากฏอยู่ในสายตา ในใจนางอดไม่ได้ร้อนวาบ
ระหกระเหินนานขนาดนี้ ในที่สุดก็ถึงบ้านแล้ว
ความคิดนี้แวบมานางก็สบถอีกครั้ง
ประหลาด ทำไมนางนับที่นี่เป็นบ้าน
……………………………………….
บทที่ 160 กิจการนิ่งรอคอยได้
โดย
Ink Stone_Romance
เฉินชีดึงม้าหยุดด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง หันกลับไปจะประคองฟางจิ่นซิ่ว ฟางจิ่นซิ่วก็กระโดดลงมาแล้ว
“ที่นี่เงียบเชียบอยู่นะ” เฉินชีเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“โรงหมอก็ไม่ใช่ตลาดสักหน่อย ลูกค้าเต็มร้านสิถึงเกิดเรื่องน่ะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
เฉินชียักไหล่ไม่เอ่ยวาจาอีก สองคนก้าวเข้าไปในโถง
ด้านในโถงพนักงานสองคนนั่งอยู่ด้วยกันกินเม็ดแตงไปพลางคุยเล่นหัวเราะคิกคักติดลมบนไปพลาง ไม่ได้สังเกตคนที่เข้ามา
ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วด้วยแล้ว
นางเคยดูแลร้านแลกเงินมาก่อน ต่อให้เป็นยามไม่มีคน บรรดาพนักงานก็เสื้อผ้าเรียบร้อยนั่งตัวตรง
พนักงานเกียจคร้านเช่นนี้บ่งบอกได้ถึงสถานการณ์เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือโรงหมอแห่งนี้เงียบเชียบเช่นนี้มาตลอดแทบไม่มีลูกค้า ไม่เจ้าของร้านไม่ใส่ใจไม่สนใจก็ไม่ได้ทำเป็นกิจการค้าขาย ดังนั้นทุกคนถึงกลายเป็นเคยคุ้น
หรือว่าไม่ไหวจริงๆ?
เฉินชีจิ๊ปากสองที กระแอมทีหนึ่ง
พนักงานสองคนตอนนี้เพิ่งมองมา
“มีธุระอะไร?” พนักงานคนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
คำถามอะไรกัน?
มาโรงหมอมีธุระอะไรได้? เฉินชีขมวดคิ้ว
“คุณหนูจวิน…” เขาเอ่ย
เสียงของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ ตรงประตูก็มีเสียงดังมา
“คุณหนู วันนี้กลางวันพวกเรากินเจ้านี่กันแถอเจ้าค่ะ ข้าซื้อมาเยอะเลย”
หลิ่วเอ๋อร์
เสียงที่ทำให้คนเกลียดชังนี่คงลืมไม่ลง
“เอาสิ” เสียงคุณหนูจวินก็ดังขึ้นเช่นกัน
ฟางจิ่นซิ่วสูดหายใจลึกยาวหมุนตัว
มองเห็นนายบ่าวสองคนยืนอยู่ด้านหน้าประตู
ไม่ได้พบหน้าหลายเดือน ปุบปับพบหน้าทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าอยู่บ้าง
“คุณ…” เฉินชีก็ยิ้มแย้มเตรียมเอ่ยทักทายบ้าง
แต่นอกประตูมีคนชิงก่อนก้าวหนึ่ง
“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน” นี่เป็นเสียงร้องเรียกของผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางรีบร้อน
คุณหนูจวินชะงักเท้ามองไปทางนาง
นี่คงเป็นคนมาขอให้รักษาสินะ รีบร้อนเช่นนี้ ดูท่าคงไม่พลาดลูกค้า
เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ตรงประตู ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ยืนอยู่ด้านหน้าคุณหนูจวิน
“คุณหนูจวิน” นางสีหน้าคาดหวังเอ่ยขึ้น “ท่านดูหน่อยข้ามีลางร้ายไหม?”
เรื่องประหลาดอะไร?
เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วเบิกตา
ลางร้าย?
ดูดวงจากใบหน้าหรือ?
เฉินชีเงยหน้ามองป้ายร้านทีหนึ่ง ไม่ผิดนี่เป็นโรงหมอจิ่วหลิงนะ หรือโรงหมอจิ่วหลิงมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ใช่โรงหมอแล้ว?
ส่วนฟางจิ่นซิ่วกลอกตา
รู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องมีความคิดประหลาดแน่
……………………………………….
เรือนด้านหลังโรงหมอจิ่วหลิงกลายมาเป็นคึกคักเพราะการมาถึงของฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชี
“เดินทางยังไงช้าขนาดนี้เล่า”
“ที่อยู่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ข้าเก็บกวาดให้เองเลยนะ”
“พวกเจ้าลองดูนี่สิ ของกินเล่นในเมืองหลวงล่ะ พวกเจ้าต้องไม่เคยกินแน่”
เสียงหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นไม่ขาด สอดแทรกด้วยคำตอบของเฉินชี คุณหนูจวินกับฟางจิ่นซิ่วกลับไม่ได้เอ่ยวาจา
“อาบน้ำ พักผ่อนก่อนหน่อยไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง ไม่เหนื่อย” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
สองคนสบตากันเงียบไปอีกครั้ง
“ที่นี่ของเจ้ามีสมุดบัญชีอะไรต้องการให้ข้าดู?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยปากพูดก่อน “ค้าขายได้ไหม?”
เฉินชีกระแอมอยู่ด้านหลัง
เพิ่งพบหน้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องน่าเศร้าขนาดนี้ก็ได้มั้ง
ไม่ง่ายกว่าจะมาถึง ถูกไล่ไปอีกทันทีก็ไม่ดีแล้ว
คุณหนูจวินหัวเราะ
“มีสิ” นางว่า
เหมือนเพื่อเป็นหลักฐานคำพูดนาง พนักงานเข้ามาจากโถงด้นหน้า
“คุณหนูจวิน มีคนต้องการซื้อยาสงบจิต” เขาเอ่ยขอคำแนะนำ
มีลูกค้าจริงๆด้วยแฮะ
มีคนซื้อยาก็รีบขายสิ ยังถามอะไรอีกเล่า พนักงานสองคนนี้มีไว้ประดับเรอะ?
เฉินชีขมวดคิ้ว
“ข้าไปดูหน่อย” เขาเอ่ย
พนักงานมองเขา แล้วก็มองคุณหนูจวิน
“ฟังคุณชายเฉินเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย
พนักงานขานรับตามเฉินชีออกมา
“ยานี้ไม่มากแล้ว คุณหนูเคยกำชับว่าหนึ่งวันขายได้ไม่เกินสามขวด นี่เป็นขวดสุดท้ายของวันนี้แล้ว” เขาเอ่ยบอกเฉินชี
ยาไม่มากก็ทำสิ มีที่ไหนลูกค้ามาไม่ขาย
ยานี่เป็นนางทำเองหรือ? กลัวเหนื่อยไม่ยินดีทำรึ? ถึงบอกว่าคุณหนูบอบบางทนความลำบากของการค้าขายไม่ได้หรอก
เฉินชีมาถึงด้านหน้าโถง มองเห็นผู้หญิงสวมชุดภูมิฐานคนหนึ่งรออยู่ เห็นเขาออกมาแม้ไม่รู้จักแต่สีหน้านอบน้อม
กิริยาของคนเมืองหลวงนี่ดีนัก เฉินชีชอบใจมาก
“พี่สาวท่านมาโชคไม่ดี ยานี่เหลือเพียงขวดเดียวแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมเช่นกัน
สีหน้าของผู้หญิงกระตือรือร้นสุดๆขึ้นมาทันทีก้าวเข้ามาข้างหน้าจับชายเสื้อของเฉินชีไว้
“ต้องขายให้ข้านะ” นางร้องตะโกน
เฉินชีสะดุ้งโหยง
นี่ยาอะไรกัน โอสถเซียนช่วยชีวิตรึ? ต้องเป็นถึงขนาดนี้ไหม?
“ได้ ได้ พี่สาวท่านอย่าตื่นเต้น” เขาสงบใจเอยขึ้น “ยังมีขวดหนึ่ง ในเมื่อท่านต้องการย่อมขายให้ท่าน”
ผู้หญิงพยักหน้าดีใจ
“ไปเอามาสิ” เฉินชีเอ่ยกับพนักงาน
พนักงานขานรับไปหยิบยา ส่วนผู้หญิงก็หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ
“นี่คือค่ายา…” นางสองมือส่งให้อย่างนอบน้อม
ค่ายาเหมือนจะไม่น้อย
เฉินชีมองตั๋วเงินที่ส่งมา
ขายยาขวดหนึ่งต้องใช้ตั๋วเงินด้วยหรือ? คนเมืองหลวงรวยจริงๆ
นี่ต้องหาเงินไหม?
พนักงานหยิบยามาแล้ว เฉินชีมอง นี่เป็นขวดใบน้อยใหญ่เท่าฝ่ามือใบหนึ่ง ไม่รู้ด้านในใส่ยาไว้กี่เม็ด
“นี่คือยาสงบจิต” พนักงานเอ่ยขึ้น “ค่ายาหนึ่งพันตำลึง”
ในปากเฉินชีไม่มีน้ำชา แต่ยังคงพ่นออกมาแล้ว
เขาสีหน้าตะลึงอึ้งมองผู้หญิงกับพนักงานตรงหน้า
แค่เจ้านี่ ขวดกระจ้อย หนึ่งพันตำลึง
ขายโอสถเซียนรือ?
จนกระทั่งราตรีทอดตัวลงมา เฉินชีก็ยังถือโคมอยู่ด้านในโถงด้านหน้า นอกจากกินข้าวก็ไม่ออกมา
“เจ้าทำอะไรน่ะ?” ฟางจิ่นซิ่วเดินเข้ามาจากด้านหลังเอ่ยถาม
เฉินชีกำลังยืนอยู่ด้านหน้าตู้ยาสูงยื่นมือชี้นิ้วนับอยู่ ได้ยินก็หันกลับมา
“จิ่นซิ่ว เจ้าเห็นสมุดบัญชีหรือยัง?” เขาไม่ได้ตอบแต่กดเสียงเบาเอ่ยถาม
วันนี้คุณหนูจวินให้พวกเขาพักผ่อนคลายเหนื่อย ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเพราะฐานะของฟางจิ่นซิ่วจึงไม่ได้เข้ามาด้วยตนเอง แต่ส่งแม่ครัวสองคนมา ที่อยู่ก็ล้วนเก็บกวาดเรียบรอ้ยแล้ว กินข้าวแล้วคุณหนูจวินก็หยิบสมุดบัญชีให้ฟางจิ่นซิ่ว ส่วนหลิ่วเอ๋อร์ไปทำยา ยุ่งเสร็จก็ไปนอนแล้ว ไม่ได้สนทนามากมายกับพวกเขาอีก
นี่ก็พอดีกับความต้องการของฟางจิ่นซิ่ว
พวกนางเดิมทีก็ไม่มีอะไรให้พูดกัน
“เห็นแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
“เป็นอย่างไร?” เฉินชีรีบร้อนเอ่ยถาม “รวยไหม?”
ฟางจิ่นซิ่วนั่งลงมือวางบนโต๊ะ
“ค่ารักษาที่เก็บสูงมาก” นางเอ่ย “แต่ก็ยังนับไม่ได้ว่ารวย หนึ่งไม่ได้มีลูกค้าสักกี่ครั้ง อีกอย่างค่าซื้อร้านนี่ เงินเดือนพนักงาน ค่ากินอยู่ประจำวัน นับดูแล้ว ยังขาดทุนอยู่มาก”
“เหล่านั้นล้วนไม่สำคัญ ที่นี่ต้องรวยแน่” เฉินชีเอ่ย ชี้ตู้ยาเหล่านั้น “ข้าดูราคายาทั้งหมดแล้ว นี่ไม่ใช่โรงหมอร้านยาแล้ว นี่มันร้านซื้อขายสมบัติของหายากชัดๆ”
“พูดเหลวไหลอีกแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
“ไม่ได้พูดเหลวไหลนะ เจ้ารู้ไหมราคายานี่เท่าไร?” เฉินชียื่นนิ้วนางขึ้นมา ความตื่นตะลึงที่ขายยาไปหนึ่งขวดของวันนี้ไม่เพียงไม่หายไปกลับยิ่งมากขึ้น “ไม่ทันไรก็พันตำลึง พวกนี้ยังไม่ได้ใส่จนเต็ม หากใส่เต็มก็ร่ำรวยจริงๆแล้ว”
ฟางจิ่นซิ่วเห็นสมุดบัญชีมาแล้ว ย่อมรู้ราคายาเหล่านี้
ไม่ธรรมดาจริงแท้แน่นอน
“ยาเหล่านี้ปลุกตายกลับเป็นได้หรือ?” เขามองตู้ยา สีหน้าไม่เข้าใจ “คนเหล่านี้ทำไมเหมือนกับบ้าไปแล้วหยิบเงินมากขนาดนี้มาซื้อยา?”
“เพื่อแลกน้ำขี้เถ้า น้ำมันหอมจากวัดถ้วยหนึ่งคนเป็นพันเป็นหมื่นก็เข้าไปมากมายนักเหมือนกัน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย เคาะผิวโต๊ะ อดไม่ได้กลอกตา
ลางร้าย
มีโรคไม่ใช่มีโรค เป็นมีลางร้าย
ลางร้ายเป็นหายนะของชีวิต รักษาชีวิตย่อมต้องแพงกว่ารักษาโรคมากแน่นอน
ยัยคนนี้ มาเป็นหมอดูแล้วได้ย่างไร
“เจ้าคิดเช่นนี้ไม่ได้” เฉินชีกลับไม่เห็นด้วย “นางรักษาโรคให้หายดีไหมเล่า?”
แน่นอนรักษาหายดีแล้ว ไม่อย่างนั้นบนสมุดบัญชีคงไม่มีค่ารักษาน่าสะพรึงสามครั้งนั้น
“รักษาโรคก็รักษาโรคสิ นี่ไม่ใช่ต้มตุ๋นไหม” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
“รักษาไม่หายคือต้มตุ๋น หากรักษาหายได้ คนทั้งหมดล้วนยินดีถูกนางต้ม” เฉินชีเอ่ย มองตู้ยาเบื้องหน้า ดวงตาเป็นประกาย “นี่เป็นพ่อค้าตัวจริง”
“ก็หวังแต่กิจการใหญ่อย่าได้นำปัญหาใหญ่มา” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกอีก” เฉินชีเอ่ย “คนมีชีวิตอยู่บนโลก ก็คือเรื่องทางโลก อยู่ท่ามกลางปัญหานิจนิรันดร์ ปัญหาไม่ใช่เจ้าหลบก็จะไม่มา มีความสามารถจริงย่อมไม่กลัวปัญหา”
ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขาทีหนึ่ง
“นี่เหมือนที่เจ้าปรารถนาจริงๆแล้ว” นางเอ่ย “มีอุดมการณ์ใหญ่หลวงอะไร นอนหลับตื่นหนึ่งก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
……………………………………….
ตอนฟ้าสว่างโร่ เจียงโหย่วซู่เดินเข้ามาในสำนักแพทย์หลวง ในฐานะหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง เขาไม่ไปตรวจรักษาใครง่ายๆ คนที่เชิญเขาได้มีไม่เท่าไร ส่วนใหญ่เพียงแค่ฟังลูกน้องรวมถึงบรรดาศิษย์ถกเถียงกรณีรักษา ชี้แนะนิดหน่อยเท่านั้น
ถกเถียงกรณีศึกษาเหมือนเดิมแล้ว บรรดาลูกน้องต่างก็แยกย้ายจากไป เจียงโหย่วซู่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลับรู้สึกว่าลืมเรื่องอะไรไปอยู่
เขาพลิกบันทึกผู้ป่วยของตน ฮองไทเฮาเมื่อวานก็ถามอาการตามปกติไปแล้ว ยาที่ใช้สำหรับบรรดาชนชั้นสูงในวังก็ตรวจไปแล้ว
“ข้ายังรับปากไปรักษาบ้านไหนอีกไหม?” เขาเอ่ยถามศิษย์
ศิษย์ส่ายศีรษะ
“พักนี้นอกจากจวนติ้งหยวนโหวก็ไม่มีแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
จวนติ้งหยวนโหว
เจียงโหย่วซู่คิดขึ้นมา
อาการป่วยของภรรยาติ้งหยวนโหวควรไปดูใหม่แล้ว
นับดูแล้วยาก็กินไปช่วงหนึ่งแล้วเหมือนกัน น่าจะอาการลดน้อยลงบ้าง จับชีพจรคุยถึงการรักษาต่อไปได้แล้ว
แต่พักนี้ไม่เห็นคนจวนติ้งหยวนโหวมาเร่งเลยนี่
บทที่ 161 โรงหมอจิ่วหลิงคืออะไร
โดย
Ink Stone_Romance
พวกขุนนางยศสูงเหล่านี้มักจะคิดว่าตนมีเงินมีอำนาจไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้
จวนติ้วหยวนโหวก่อนหน้านี้วันหนึ่งมาถามสามหน ไม่คิดดูเสียบ้างว่าโรคนี่มาดุจเขาถล่ม โรคไปดุจสาวไหม ไม่ใช่เจ้าเร่งก็หายดีได้
“พักนี้ยาของพวกเขาจัดให้ตามเวลาใช่ไหม” เจียงโหย่วซู่เอ่ยถาม พลางลุกขึ้น
ลูกศิษย์เปิดบันทึกการรักษาของจวนติ้งหยวนโหวดู
“จัดอยู่ขอรับ ส่งไปตามเวลาทั้งหมด” เขาเอ่ยบอก
เจียงโหย่วซู่รับคำไม่ถามอีก พาเด็กรับใช้นั่งรถมายังจวนติ้งหยวนโหว
“หมอหลวงเจียงมาแล้ว” เวรยามจวนติ้งหยวนโหวมองเห็นเขาเอ่ยขึ้นประหลาดใจเล็กน้อย
เจียงโหย่วซู่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยเหมือนกัน
เห็นเขามา ทำไมเวรยามสีหน้าเช่นนี้ ราวกับเขาไม่ควรมา
หรือคงไม่ใช่ยินดีอย่างยิ่งมั้ง?
ก่อนหน้านี้พวกเขาเชิญตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ตนเป็นฝ่ายมาเอง
“ข้ามาดูภรรยาของติ้งหยวนโหว” เจียงโหย่วซู่เอ่ย
เวรยามตอนนี้ถึงร้องอ้อแจ้งเข้าไป พลางนำเขาเข้าประตู
“นายท่านไม่อยู่บ้าน ท่านหญิงผู้เฒ่าอยู่ขอรับ” เขาเอ่ย
ติ้งหยวนโหวไม่อยู่บ้าน?
หลายวันนี้เพื่อรักษาภรรยาของติ้งหยวนโหว ติ้งหยวนโหวปฏิเสธคำเชิญงานสังสรรค์ทั้งหมด แทบไม่ออกจากบ้าน
ดูท่าป่วยนานเข้าก็คงคุ้นชินแล้ว
เห็นไหมเล่า โรคนี่เป็นโรคที่ต้องการเวลารักษานานโรคหนึ่ง ไม่เห็นต้องตกอกตกใจ
เจียงโหย่วซู่มาถึงในเรือนของท่านหญิงผู้เฒ่าของติ้งหยวนโหว ไม่ได้เข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกผู้หญิงลอยออกมาจากด้านใน บรรดาสาวใช้ในเรือนกระจายกันนั่งคุยเล่นหัวเราะคึกคักเหมือนกัน
ดูท่าสบายอกสบายใจมีความสุขอย่างที่สุด
เจียงโหย่วซู่ตะลึงไปอีกครั้ง
แม้บอกว่าล้มหมอนนอนเสื่อเนิ่นนานหาคนกตัญญูไม่ได้ แต่ภรรยาของติ้งหยวนโหวเพิ่งป่วยได้เจ็ดแปดวันเท่านั้นนี่ หากไม่มีเรื่องอื่นใดก็พอจะพูดผ่านไปได้ ความสุขสันต์นี่ไม่เข้าท่าเกินไปแล้วจริงๆ
นี่ถ้าให้บ้านฝั่งแม่ของภรรยาติ้งหยวนโหวรู้เข้า ไม่มาถึงประตูโวยวายหรือ
เจียงโหย่วซู่ถูกเชิญเข้ามาในห้อง หญิงสาวเยาว์วัยบรรดาลูกสะใภ้ล้วนหลบออกไป ท่านหญิงผู้เฒ่าของติ้งหยวนโหวอยู่ในโถงหัวเราะฮ่ะฮ่ะมองเขา
“ท่านหมอหลวงวันนี้ว่างมาได้อย่างไร?” นางเอ่ยถาม
นี่ถามประชดหรือ?
เจียงโหย่วซู่ถูกถามอึ้งไปแล้ว ก่อนหน้านี้เชิญเขาเร่งมากเกินไป สามครั้งเขาปฏิเสธสักครั้งหนึ่ง ข้ออ้างย่อมเป็นออกจากวังมาไม่ได้
แม้บรรดาหมอหลวงจะได้รับโทสะจากบรรดาราชวงศ์พระญาติองค์ชายองค์หญิงอยู่มาก แต่เจียงโหย่วซู่หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงที่ได้รับความเชื่อมั่นลึกซึ้งจากฮองไทเฮาคนนี้ไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนจริงๆ
สีหน้าของเขาทะมึนไปนิดหนึ่ง
“ยาของท่านหญิงกินไปช่วงหนึ่งแล้ว ข้ามาดูสักหน่อย จะได้สะดวกจัดสูตรยาครั้งต่อไปได้” เขาเอ่ย
ท่านหญิงผู้เฒ่าของติ้งหยวนโหวเข้าใจขึ้นมาปรบมือ ราวกับเพิ่งคิดอะไรขึ้นมาได้
“อั้ยย่ะ ข้าแก่เลอะเลือนเสียแล้ว ที่แท้ลืมบอกท่านหมอหลวงหรือ?” นางเอ่ย “ลูกสะใภ้ข้านางหายดีแล้ว”
หายแล้ว?
หายแล้วหมายความว่าอย่างไร?
เจียงโหย่วซู่อึ้งไป กำลังจะเอ่ยถามก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงหัวเราะของหญิงสาวคู่กับเสียงฝีเท้าสับสน
“นายหญิงมาแล้ว” บรรดาสาวใช้แจ้ง พลางเลิกม่านขึ้น
เจียงโหย่วซู่หันมองไป เห็นภรรยาของติ้งหยวนโหวไม่ใช้หญิงรับใช้ประคองเดินเข้ามา สีหน้ากระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หายดีแล้วจริงๆ ด้วย
เจียงโหย่วซู่มองทีเดียวก็มองออกแล้ว
ส่วนภรรยาของติ้งหยวนโหวก็มองเห็นเขา สีหน้าประหลาดใจ
“หมอหลวงเจียงทำไมว่างมาได้เล่า” นางเอ่ย แล้วมองท่านหญิงผู้เฒ่าของติ้งหยวนโหว “ท่านแม่ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
เล่นอะไรกันน่ะ
ที่แท้ใครเป็นอะไรใครไม่เป็นอะไร
“ท่านหญิง ท่านหายดีได้อย่างไร?” เจียงโหย่วซู่เอ่ยถาม สีหน้าประหลาดใจ
ภรรยาของติ้งหยวนโหวยิ้ม
“กินยาสามเทียบก็หายดีแล้ว” นางว่า
ยาสามเทียบ ยานั่นที่ตนเองจัดได้ผลขนาดนี้เชียวรึ?
เจียงโหย่วซู่หน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ยาไม่นับเป็นอะไร คุณหนูจวินไม่ใช่บอกหรือว่าที่สำคัญเพราะการฝังเข็ม” ท่านหญิงผู้เฒ่าของติ้งหยวนโหวบอกหมอหลวงเจียง “พอดีหมอหลวงเจียงมาแล้ว เจ้าก็ให้เขาดูอีกทีสิ หายดีแล้วจริงหรือไม่ คุณหนูจวินคนนั้นอย่างไรก็อายุยังน้อย ให้คนอายุมากตรวจสอบหน่อยก็ดี”
ภรรยาติ้งหยวนโหวยิ้มเอ่ยรับ
“หมอหลวงเจียง ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านแล้ว” นางว่า พลางนั่งลงยื่นมือออกมา
เจียงโหย่วซู่คลำชีพจรกึ่งเชื่อกึ่งคลางแคลง สีหน้าประหลาดใจ
หายดีแล้วจริงๆ
แต่ เหมือนว่าเรื่องราวจะไม่เหมือนที่เขาคิดไว้อย่างนั้น
“ท่านหญิงโรคนี่ ไม่ใช่กินยาของข้าหายดี?” เขาเอ่ยถาม
ภรรยาติ้งหยวนโหวยิ้มพยักหน้า
“เดิมก็จะกินยาของท่านหมอหลวง พอดีมีคนแนะนำโรงหมอจิ่วหลิง คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงมาสามวันก็รักษาข้าหายดีแล้ว” นางเอ่ย
สามวันก็รักษาหายดีแล้ว
นี่เป็นไปได้อย่างไร? โรคเช่นนี้เขาเห็นมาชั่วชีวิต อย่างสั้นก็ต้องครึ่งปีถึงจะหายดี สามวัน?
อีกอย่างคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิง เป็นใคร?
เจียงโหย่วซู่คิด
เวลานี้ในโรงหมอแห่งหนึ่งที่เมืองหลวง คนหลายคนรีบร้อนแบกผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งเข้ามา
“ท่านหมอ ท่านหมอ รีบมาดูเร็ว” พวกเขาร้องเรียก
ดูท่าเป็นคนป่วยหนักมากคนหนึ่ง บรรดาพนักงานรีบหลีกทาง ท่านหมอก้าวเท้าเข้ามากลับเห็นบนหน้าผู้ชายหลายคนนี้มีรอยยิ้ม
ยิ้มอะไร?
คนป่วย ยังดีใจอะไรอีก?
ท่านหมออดไม่ได้อึ้งไปแล้ว
“รีบมาดูเร็วท่านหมอ ท่านรักษาหายได้” ผู้ชายคนหนึ่งสีหน้ายินดีเอ่ยขึ้น “โรงหมอจิ่วหลิงบอกแล้ว โรคนี้ไม่หนักหนา”
พูดบ้าอะไร?
โรงหมอจิ่วหลิงบอกว่าโรคนี้ไม่หนักหนา? เขาบอกว่าข้ารักษาหายได้?
ท่านหมอสีหน้าอึ้งมองคนหลายคนนี้
ตั้งแต่เมื่อไรที่ข้ารักษาได้หรือไม่ได้คนอื่นพูดก็เป็นอย่างนั้น?
ยังมี โรงหมอจิ่วหลิง คืออะไรกัน? ประกาศิตวจนะพระพุทธรึ?
โรงหมอจิ่วหลิงชื่อนี้ ราวกับชั่วข้ามคืนก็ติดปากติดหูเต็มไปหมด
แน่นอนไม่ใช่ ณ สถานที่ใดๆ ส่วนมากเป็นภายในโรงหมอ
“โรคนี้ของข้าโรงหมอจิ่วหลิงดูแล้ว นางบอกว่าไม่รักษา นี่ข้าถึงวางใจ”
“เจ้าช่างโชคดีจริงนะ ให้โรงหมอจิ่วหลิงดูมาก่อนแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้านี่จะทำอย่างไรเล่า? ไม่ได้ให้นางดูมาก่อนสักที ข้าไม่วางใจจริงๆ”
มองคนสองคนที่พูดคุยตรงหน้า ท่านหมอก็อดไม่ได้โมโหแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเจ้าต้องมารักษาที่นี่ของข้าอีกเล่า?” ท่านหมอโกรธเป่าหนวด “ทำไมไม่ให้โรงหมอจิ่วหลิงรักษา?”
ทั้งสองคนมองไปทางเขาพร้อมกัน สีหน้าบอกทำนองว่าเจ้าช่างไม่เข้าใจอะไรจริงๆ
“โรงหมอจิ่วหลิงนั่นใครก็ไปหาได้งั้นรึ? ผู้อื่นรักษาชีวิต โรคเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ยุ่งหรอก” พวกนางต่างปากบอกเป็นเสียงเดียว
รักษาชีวิตไม่รักษาโรคอะไร?
แล้วโรงหมอจิ่วหลิงที่แท้เป็นอะไร?
“โรงหมอจิ่วหลิงก็ต้องเป็นโรงหมอแห่งหนึ่งสิ” พวกนางต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง “ที่นั่นมีหมอชื่อดังของหรู่หนาน”
หมอชื่อดัง?
นอกจากนี้้ไม่พูดถึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
แค่ที่ชาวบ้านเหล่านี้บรรยาย ขอแค่เป็นหมอก็ต้องรักษาโรค ยังไม่เคยได้ยินว่าหมอรักษาชีวิตไม่รักษาโรค
คนที่รักษาชีวิตย่อมเป็นเทพเซียนแล้ว
พูดจาใหญ่โตน่าไม่อายเกินไปแล้วจริงๆ
นี่เป็นหมอที่ไหน นี่เป็นนักเล่นกลในยุทธภพคนไหนมาหลอกชาวบ้านให้นิยมอีกแล้ว
ยังกล้าใช้ชื่อหมอ เป็นพวกสวะหน้าไม่อายอย่างแท้จริง
ท่านหมอเฒ่าตบบันทึกลุกขึ้น เขาต้องการไปดูว่าสวะหน้าไม่อายคนนี้เป็นใคร
หมอที่คิดเช่นนี้ไม่น้อย ตลอดทางหมอเฒ่าพบหมอหลายคน ทุกคนสนทนากันเล็กน้อย ได้ยินเรื่องเล่าประหลาดมากกว่าเดิม ใจยุติธรรมโกรธแค้นเต็มอก มาโรงหมอจิ่วหลิงด้วยกัน
พวกเขาถึงกับไม่รู้ตำแหน่งที่โรงหมอจิ่วหลิงอยู่ แต่ที่ยิ่งทำให้คนโกรธคือระหว่างทางสอบถามตรงไหนสักหน่อยก็มีคนบอกที่ตั้งโรงหมอจิ่วหลิง เหมือนกับนั่นเป็นร้านเก่าแก่ที่อยู่เมืองหลวงมาหลายปี เป็นสิ่งที่คุ้นเคยอยู่คู่มากับพวกเขายามเติบใหญ่
โรงหมอจิ่วหลิงนี่ที่แท้ผุดมาจากไหนตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่เคยได้ยินมาก่อนสักนิด
บทที่ 162 คนเหล่านี้เสียสติ
โดย
Ink Stone_Romance
บรรดาท่านหมอไม่เคยได้ยิน คนเดินถนนกลับรู้ชัดเจนกระจ่าง
“คุณหนูจวินแรกเริ่มเป็นหมอเร่ล่ะ เดินถนนลัดเลาะตรอกซอกซอย ทุกคนใครไม่รู้จัก” พวกเขายังเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
หมอเร่
หมอเร่มากมายพูดจริงๆ แล้วก็คือนักต้มตุ๋นแห่งยุทธภพ
บรรดาท่านหมอยิ่งมั่นใจแล้ว นักต้มตุ๋นเช่นนี้ในเมืองหลวงมากมายนัก เพียงแค่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมากะทันหันเช่นนี้โรงหมอจิ่งหลิงเป็นที่แรก
ผู้คนมาถึงด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงอย่างรวดเร็ว แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่บ้าง
ที่นี่ไม่ได้มีคนมากมายแออัดลูกค้าเต็มร้าน แต่เงียบเชียบ พนักงานสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตูคุยเล่น
ไม่มีลูกค้าหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมฟังแล้วเหมือนคนทั้งเมืองล้วนต้องมาที่นี่ตรวจโรคแล้วเล่า?
“พวกเจ้าไม่รู้กฎสินะ” หาบเร่ที่หิ้วตะกร้าร้องขายของอยู่ด้านข้างมองเห็นพวกเขายืนอยู่ที่นี่สีหน้ามึนงงก็ยิ้มเอ่ยบอก “โรงหมอจิ่วหลิงไม่ได้ออกตรวจทุกวัน ทุกเดือนวันที่สาม หก เก้า ถึงรับตรวจ”
คิดว่าตนเองเป็นพระพุทธจริงๆ เรอะ ยังแบ่งวันรับบูชาด้วย
“นอกจากนี้ต่อให้วันที่สาม หก เก้า ทุกคนที่มาก็ไม่ใช่ว่าใครล้วนจะได้คุณหนูจวินตรวจ” พ่อค้าหาบเร่เอ่ยต่อ “นั่นต้องดูว่ามีวาสนารักษาโรคกับคุณหนูจวินหรือไม่”
ถุย
บรรดาท่านหมอในใจสบถพร้อมกัน
“พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่เก้า พรุ่งนี้พวกเราค่อยมา ดูสินางจะเล่นกลอย่างไร” ผู้คนเอ่ยขึ้น สะบัดแขนเสื้อโกรธเกรี้ยวจากไป
วันที่สองเมื่อพวกเขานัดกันมาถึงโรงหมอจิวหลิงอีกครั้ง แม้คาดเดาได้ว่าคนคงไม่น้อย แต่ก็ยังถูกแถวยาวที่ต่ออยู่ทำตกใจสะดุ้งโหยง
แถวจากหน้าประตูจนไปถึงหัวถนน กวาดมองทีหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยคน ชายหญิงเฒ่าชราเด็กน้อยล้วนมีทั้งสิ้น นอกจากนี้แต่ละคนๆ สีหน้าเคารพเลื่อมใส เหมือนมาตรวจโรคที่ไหน เหมือนเข้าวัดไหว้พระ
เฉินชีมองจากหน้าต่างเห็นคนเหล่านี้ก็ขมวดคิ้ว
“ข้ารู้สึกว่าวันที่สาม หก เก้ายังเหมาะสมไม่พอ” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ยังได้ผลไม่พอ”
พนักงานสองคนมองแถวคนที่อยู่ด้านนอกแลบลิ้น
นี่ยังไม่พอหรือ นี่เป็นครั้งที่สามที่กฎนี้ประกาศออกไป เทียบกับสองครั้งก่อนหน้านี้จำนวนคนมากกว่าเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว
คิดดูก็รู้ต่อไปจะมีคนมามากยิ่งกว่า
“หลังจากนี้ไม่เพียงแค่วันที่สาม หก เก้าถึงรับตรวจ นอกจากนี้ทุกครั้งยังต้องจำกัดจำนวนคนด้วย” เฉินชีเอ่ย
ยังจำกัดจำนวนคนด้วย?
คนที่ต่อแถวนี่ ที่เข้ามากว่าครึ่งล้วนถูกคุณหนูจวินปฏิเสธการรักษา ทุกครั้งมีเพียงยี่สิบสามสิบคนที่ได้ตรวจรักษาก็ไม่เลวแล้ว
หลังจำกัดจำนวนคนที่ถูกตรวจรักษาก็คงยิ่งน้อยแล้ว
“น้อยแล้วเป็นอย่างไร?” เฉินชีเอ่ย “ของหายากจึงล้ำค่า โรงหมอจิ่วหลิงของพวกเราก็คือล้ำค่า ก็คือหายาก”
พนักงานสองคนมองเขาไม่กล้าโต้แย้ง
เฉินชีตอนนี้เป็นผู้ดูแลโรงหมอจิ่วหลิง กฎวันที่สาม หก เก้าก็เป็นเขากำหนด คุณหนูจวินก็ไม่ได้คัดค้าน
ดูท่าหลังจากนี้โรงหมอจิ่วหลิงคงมีคำพูดเขาเป็นประกาศิตแล้ว
“เช้าสั่งค่ำเปลี่ยน” เสียงฟางจิ่นซิ่วดังออกมาจากข้างใน คนก็เดินเข้ามาในโถงด้านหลัง “กฎที่เพิ่งตั้งจะเปลี่ยนอีกได้อย่างไร”
เฉินชียิ้มประจบขานรับทันที
“เจ้าพูดถูก” เขาเอ่ย
พนักงานสองคนสบตากันทีหนึ่ง
พูดผิดแล้ว หลังจากนี้โรงหมอจิ่วหลิงเป็นคุณหนูนักบัญชีคนนี้ต่างหากคำพูดเป็นประกาศิต
“กฎนี่ไม่จำเป็นต้องแก้” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย มองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามาหลังร่างทีหนึ่ง “เพราะคนเข้าแถวมากอีกเท่าใด รับตรวจเท่าไรก็ล้วนมีนางเองควบคุม”
คุณหนูจวินขานรับ ตรงไปนั่งหน้าโต๊ะเก้าอี้ตรวจรักษา
“แต่ยาของพวกเราใช้กฏนี้ได้” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยต่ออีก มองตู้ยา
ทำไมตั้งกฎสาม หก เก้า น่ะหรือ ก็เพราะคุณหนูจวินกับหลิ่วเอ๋อร์ทุกวันล้วนวิ่งวุ่นคั่วสมุนไพร แต่ตู้ยาเหล่านี้ยังมีกว่าครึ่งยังเติมไม่เต็ม ดังนั้นถึงต้องเว้นเวลาว่างไว้มาเร่งทำยา
“หากเป็นยาย่อมจำกัดจำนวนตลอดได้” นางว่า “ก่อนอื่นราคาแพงก็เป็นตัวกรองเองอยู่แล้ว”
เฉินชีพยักหน้าต่อกัน
“เจ้าพูดถูก เอาเช่นนี้แหละ” เขาเอ่ย “รอคุณหนูจวินทำยาเสร็จ พวกเขาก็หารือกำหนดจำนวนจำกัดตามราคาที่ต่างกัน”
ฟางจิ่นซิ่วพยักหน้ามองท้องฟ้ารวมถึงฝูงชนด้านนอก
“เปิดประตูเถอะ” นางเอ่ย
พนักงานสองคนรับคำ ก้าวไปข้างหน้าผลักประตูเปิด
ฝูงชนที่ต่อแถวเบียดออกันทันที คนที่ต่ออยู่ด้านหน้าสุดยินดีอย่างยิ่ง ตอนที่ก้าวเข้าประตูหวิดสะดุดล้ม
บรรดาท่านหมอที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดู สีหน้าทนดูไม่ได้
คนที่มาโรงหมอตรวจรักษาล้วนเป็นคนสีหน้าทุกข์ตรมเพราะเจ็บป่วย ไหนเลยดีอกดีใจเช่นนี้
คนที่เข้าไปออกมาอย่างรวดเร็วยิ่ง
“เป็นอย่างไร?” ผู้คนที่รอคอยอยู่ในแถวรีบร้อนเอ่ยถาม
“คุณหนูจวินบอกว่าไม่ตรวจโรคของข้า” คนผู้นั้นเอ่ยอย่างยินดี “ข้าไปตรวจที่อื่นได้แล้ว”
พูดเช่นนี้จริงๆ เอาท่านหมอโรงหมออื่นอย่างพวกเราเป็นอะไรไปแล้ว? โรคนี้ง่ายเกินไปแล้วไม่คู่ควรให้นางตรวจ ดังนั้นให้พวกเราคนเหล่านี้รับมาหรือ? นี่เหยียดหยามจริงๆ บรรดาท่านหมอเห็นฉากนี้กับตายิ่งโกรธเกรี้ยวที่สุด
คนที่สองก็เหมือนกับก่อนหน้าถูกไล่ออกมาเหมือนกัน ดีอกดีใจจากไป
จนกระทั่งคนที่เจ็ดก็ดีอกดีใจเดินออกมาอีก ตอนที่คนสอบถามก็ตอบว่าได้รับการรักษาแล้ว
“คุณหนูจวินบอกว่าให้กลับบ้านไปรอ พรุ่งนี้นางจะไปที่บ้านรักษาโรคให้นายหญิงบ้านข้า” คนผู้นั้นเอ่ย
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรับใช้คนหนึ่ง คนป่วยที่บ้านอาการหนักจนลุกไม่ขึ้น หรือไม่สะดวกเปิดเผยหน้าตาถึงให้คนรับใช้มา
“มีที่ไหนตรวจโรคอย่างนี้? ไม่เห็นคนป่วยก็ตรวจรักษาได้?” ท่านหมอคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
หาบเร่ด้านข้างจิ๊ปาก
“บรรยายให้คุณหนูจวินฟังก็พอ” เขาเอย “ก่อนหน้านี้มีคนบรรยายเกินจริง วางแผนให้คุณหนูจวินรับตรวจแต่คุณหนูจวินไม่ติดกับสักนิด ไม่กี่ประโยคก็ชี้ช่องโหว่ของเขาออกมาได้”
พูดถึงตรงนี้ก็พยักหน้าอีก
“ก็บอกแล้วไง คุณหนูจวินรับตรวจต้องดูคนมีวาสนา หลอกไม่ได้สักนิด”
ท่านหมอหลายคนกลอกตา นี่มันคือละครดูหน้าทำนายทายทัก
คนฝั่งนั้นที่ได้ยินคำตอบของคนรับใช้บ้านนี้ คนที่รอก็พากันแสดงความวิตก
“นั่นดูแล้วหนักหนามากอยู่” ทุกคนเอ่ยขึ้น แต่จากนั้นสีหน้าก็อิจฉาอีก “ยังดีมีคุณหนูจวิน รักษาหายดีได้แน่”
คนรับใช้บ้านนั้นก็ดีใจพยักหน้าเช่นกัน
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าต้องรีบหน่อยไปบอกข่าวดีนี้กับนายหญิง” เขาเอ่ย วิ่งไปเร็วเหมือนบินเช่นกัน
ถูกชี้ว่าป่วยหนักยังเป็นข่าวดี!
เสียสติเรอะ!
ถูกปฏิเสธรักษาก็ดีใจ ถูกวินิจฉัยว่าป่วยหนักก็ดีใจ คนเหล่านี้บ้าไปหมดแล้วหรือ?
โรงหมอจิ่วหลิงนี่ทำให้คนมากมายขนาดนี้เป็นบ้าเช่นนี้ได้อย่างไร?
บรรดาท่านหมอมองโรงหมอจิ่วหลิงรวมถึงแถวที่ยังต่อไม่ขาดสายอยู่สีหน้าตะลึงงัน
“เฮ้ พวกเจ้าดู” ทันใดนั้นท่านหมอคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา ชี้ไปทิศทางหนึ่ง “หมอหลวงเจียง”
บรรดาท่านหมอมองตามที่เขาชี้ เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของถนนจริงๆ คือเจียงโหย่วซู่หัวหน้าสำนักแพทย์หลวง
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้มองฝูงชนที่ต่อแถวเหล่านี้ แต่สีหน้าทะมึนมองไปทางโรงหมอจิ่วหลิง ในหูของเขาเสียงหัวเราะยังมีเสียงของของบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นในจวนติ้งโหวเหยียนดังก้องกังวาน
บทที่ 163 ไร้เมตตา
โดย
Ink Stone_Romance
“ก็ไม่รู้ว่าทำไมกินยาสามเทียบก็หายดีแล้ว”
“เด็กคนนั้นอายุน้อย พวกเราก็ไม่กล้าเชื่อ กำลังจะเชิญหมอหลวงเจียงท่านมาดูอยู่เลย”
“หมอหลวงเจียงท่านยุ่งเกินไปแล้ว พวกเราก็ไม่สะดวกรบกวน”
“ท่านมาพอดี ดูๆ ให้นายหญิงของพวกเราหน่อยสิ ทำไมยาที่ท่านให้กินสิบวันครึ่งเดือนบอกลองๆ ดูก่อน ยาสามเทียบของนางก็บอกว่ารักษาหายได้?”
“ไม่กล้าเชื่อจริงๆ อย่างไรหมอหลวงเจียงท่านก็อายุมากขนาดนี้แล้ว ประสบการณ์มากมาย ก็ไม่รู้ว่าโรงหมอจิ่วหลิงนี่เอาความมั่นใจมาจากไหนรักษาข้าหายดี ท่านดูสิหายดีแล้วจริงไหม? คนอื่นข้าไม่เชื่อ ข้าเชื่อแต่หมอหลวงเจียง”
คิดถึงตรงนี้เจียงโหย่วซู่ก็อึดอัดวูบหนึ่ง
ผู้หญิงจวนติ้งหยวนโหวนี่ตั้งใจเยาะหยันเขา ล้อเขาเล่นน่ะสิ
ตนเองหายดีหรือไม่ ตนเองไม่รู้หรือ
เห็นผู้หญิงกลุ่มนี้เยาะเย้ยถากถางท่าทางกระปรี้กระเปร่า ก็รู้แล้วว่าพวกนางสบายดีนัก
หายแล้วก็ไม่ให้คนไปบอกสักคำ ยังเอายาจากสำนักแพทย์หลวงต่ออีก ตั้งใจล่อเขามาถึงบ้านวันนี้น่ะสิ
ผู้หญิงเรือนในเหล่านี้ ช่าง…
สายตาตื้นเขินหยาจื้อ[1]ต้องชำระแค้นไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่อง
มีเพียงผู้หญิงกับคนพาลยากกล่อมเกลา
เขาเจียงโหย่วซู่ไม่ถือสาหาความกับผู้หญิงเรือนในเหล่านี้ และไม่อิจฉาผู้อื่นวิชาแพทย์สูงส่งกว่าเขา บัณฑิตหามีที่หนึ่ง[2] วิชาแพทย์ก็เป็นเช่นนี้ด้วย ไม่อาจปฏิเสธว่าท่านหมอบางคนมีวิชาเป็นเอกเกี่ยวกับโรคบางโรค เขาจึงมาขอความรู้บ้างไม่อับอายเอ่ยถาม
ผลสุดท้ายไม่คิดว่าจะได้เห็นฉากเช่นนี้
หมอ โดยทั่วไปหมอผู้รักษาโรคต้องสงบจิตตั้งปณิธาน ไร้ปรารถนาไร้สิ่งร้องขอ มอบเมตตายิ่งใหญ่ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่ดูคนสูงต่ำรวยจน เท่ากันระดับเดียว
ไม่เคนเห็นการเลือกคนไข้เช่นนี้มาก่อน นี่เป็นความอัปยศของหมอชัดๆ
เจียงโหย่วซู่ยกเท้าก้าวไปข้างหน้า
“เฮ้เฮ้ ตาแก่คนนั้น เข้าแถว” ผู้คนในแถวมองเห็นรีบร้องวุ่นวาย
พนักงานสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็รีบขวางไว้
“ผู้เฒ่าเข้าแถวด้วย” พวกเขาเอ่ยบอก
เจียงโหย่วซู่ฝ่ามือหนึ่งผลักพวกเขาออกไป
“ข้าไม่ได้มารักษา” เขาเอ่ยตรงดิ่งก้าวเข้าไป
“ไม่ได้มารักษาแล้วมาที่นี่…” พนักงานสองคนยังคงขวางไว้ ส่วนบรรดาหมอด้านข้างที่มองเห็นเจียงโหย่วซู่เข้าไปในโรงหมอจิ่วหลิงก็ตามเข้ามาด้วยทันที
“นี่คือหมอหลวงเจียงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง” พวกเขาประสานเสียงเอ่ยบอกวุ่นวาย ดันพนักงานสองคนออกโถมตามเข้ามา
ด้านในโถงที่เดิมเงียบสงบเปลี่ยนเป็นเบียดเสียดทันที
คุณหนูจวินรวมถึงคนที่กำลังปรึกษาอาการอยู่หันกลับมามองพวกเขา
“พวกเจ้าใคร?” เฉินชีเอ่ยถาม
“นี่คือหมอหลวงเจียง” บรรดาหมอทยอยเอ่ยขึ้น ยืนอยู่หลังเจียงโหย่วซู่
“หมองหลวงรึ” เฉินชีขมวดคิ้ว “หมอหลวงมารักษาที่นี่ก็ต้องต่อแถวนะ”
บรรดาท่านหมอส่งเสียงสบถอยู่ด้านหลัง พวกเขาต้องการเอ่ยปากวุ่นวาย เจียงโหย่วซู่ห้ามพวกเขาไว้ก้าวไปข้างหน้า
“ข้าไม่ได้มารักษา ข้ามาขอคำแนะนำ” เขาเอ่ย ยกมือไปทางคุณหนูจวิน
ขอคำแนะนำ?
หาเรื่องล่ะมั้ง?
เฉินชีเลิกคิ้ว
เรื่องเช่นนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็เป็นเรื่องดี
เขาไม่ได้เอ่ยวาจาอีกถอยไปก้าวหนึ่ง ชนกับฟางจิ่นซิ่วที่ได้ยินเข้าเดินเข้ามาจากด้านหลัง
“ไม่มีปัญหาใช่ไหม?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม
“ไม่มีปัญหา มีคนมาถึงประตูช่วยเสริมชื่อเสียงให้พวกเรามากกว่าเดิมแล้ว” เฉินชียิ้มเอ่ยเสียงเบา
ฟางจิ่นซิ่วมองเห็นเจียงโหย่วซู่แล้ว ร้องเอ๋ทีหนึ่ง
“หมอหลวงเจียงนี่” นางเอ่ย
“หมอหลวงก็ไม่ต้องกลัว” เฉินชีเอ่ย “ข้าเชื่อว่าคุณหนูจวินร้ายกาจกว่า”
ฟางจิ่นซิ่วยิ้ม
“แน่นอนไม่ต้องกลัว” นางเอ่ย
เดิมทีก็พ่ายแพ้อยู่แล้ว
คุณหนูจวินย่อมจำเจียงโหย่วซู่ได้เช่นกัน แต่เจียงโหย่วซู่ยังจำนางไม่ได้ ประการที่หนึ่งคนที่เขาพบมากมายเป็นไปไม่ได้ที่จะจำได้หมด ประการที่สองท่าทางและการแต่งตัวของคุณหนูจวินก็แตกต่างกับตอนที่เล่นละครอาละวาดครั้งนั้นที่ตระกูลฟางในหยางเฉิง
“หมอหลวงโปรดรอสักครู่” คุณหนูจวินเอ่ย มองไปทางคนที่มาขอรักษาตรงหน้าอีกครั้ง “นายหญิงบ้านเจ้าหากมีอาการเหล่านี้ไม่ต้องมารักษากับข้าที่นี่ หาโรงหมอสักแห่งเชื่อฟังคำกำชับของท่านหมอก็พอแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้ได้ยินเข้าดีอกดีใจลุกขึ้น
“ช้าก่อน” หมอหลวงเจียงเรียกผู้หญิงคนนี้ไว้ “นายหญิงบ้านเจ้าอาการป่วยเป็นอย่างไร?”
ผู้หญิงคนนั้นเมื่อครู่ก็ได้ยินคำแนะนำบอกว่านี่คือหมอหลวง เวลานี้ถูกถามไม่ได้ไม่พอใจแต่ยินดี
หมอหลวงเชียวนะ ไม่ได้พบได้ง่ายๆ
“พอดี คุณหนูจวินไม่รักษาโรคนี้ หมอหลวงท่านก็ลองดูจัดยาให้หน่อยสิเจ้าคะ” นางเอ่ย
นี่เรียกคำพูดอะไร! ให้หมอหลวงเจียงเก็บโรคที่คุณหนูจวินดูแคลนไม่รักษาหรือ?
บรรดาท่านหมอหลังร่างเจียงโหย่วซู่โกรธแค้นทันที
เจียงโหย่วซู่ห้ามพวกเขา ยื่นมือสื่อนัยให้ผู้หญิงคนนั้น
“ได้ เจ้าเล่ามาฟัง” เขาเอ่ย
ผู้หญิงจึงเล่าอาการป่วยออกมา ฟังอาการป่วยนี้ บรรดาท่านหมอด้านหลังร่างก็ยิ่งไม่พอใจ
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้ออกเทียบยาให้ผู้หญิงคนนี้ทันที แต่มองไปทางคุณหนูจวิน
“เจ้ารู้ว่านี่เป็นโรคอะไรไหม?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
เจียงโหย่วซู่ม้วนแขนเสื้อหยิบพู่กันบนโต๊ะด้านหน้านางเขียนพรึบพรับหลายทีเป็นเทียบยาอันหนึ่งออกมา
“เทียบยานี้ใช้ได้หรือไม่?” เขาส่งให้คุณหนูจวินเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ใช้ได้” นางว่า “ตรงกับอาการป่วย เหมาะสมอย่างที่สุด”
ออกเทียบยาเสร็จแล้ว? นอกจากนี้คุณหนูจวินยังยืนยันแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างดีใจยื่นมือมารับ หมอหลวงเจียงกลับไม่ให้ แต่มองคุณหนูจวิน
“เจ้าเป็น รักษาได้ ทำไมไม่รักษาให้นาง?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยวาจา ผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยปากก่อนแล้ว
“ท่านผู้นี้ไม่เข้าใจเสียแล้ว” นางเอ่ย “โรคเล็กน้อยกระจอกๆ เช่นนี้ไหนเลยจะใช้คุณหนูจวินมารักษาได้”
“อะไรเรียกโรคเล็กน้อยกระจอกๆ?”
“อะไรเรียกไม่ต้องใช้?”
“นางเปิดโรงหมอไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่หมอรึ?”
“หากบอกว่ารักษาไม่ได้อาจเลือกได้ ไม่ใช่รักษาได้กลับบอกว่าไม่รักษา เหตุผลอะไร”
บรรดาท่านหมออดไม่ไหวพากันเอ่ยขึ้น
ผู้หญิงถูกความโกรธแค้นของท่านหมอเหล่านี้ทำตกใจสะดุ้งโหยง ไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก
เจียงโหย่วซู่ห้ามเสียงเอะอะของบรรดาท่านหมอด้านหลังร่าง ส่ายเทียบยามองคุณหนูจวิน
“คนมีวาสนาถึงรักษา ไร้วาสนาก็ไม่รักษา อะไรเรียกวาสนา? เจ้าเอาอะไรมาพูดถึงวาสนา?” เขาเอ่ยเสียงจริงจัง “เจ้าไม่รักษาให้นาง ไม่ใช่เพราะนางตระกูลต่ำต้อยเงินน้อยไม่ใช่ตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเสียเวลาด้วยงั้นรึ?”
เป็นแบบนี้หรือ?
เพราะยากจนถูกคนรังเกียจดูแคลน อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ ผู้หญิงที่มาปรึกษาอาการคนนั้นสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“เฮ้ เจ้าอย่ามาพูดส่งเดชนะ” เฉินชีอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
หากบอกว่าให้ฟ้าเลือกว่าจะรักษาใคร บรรดาชาวบ้านล้วนยอมรับได้ แต่หากมีคนมาเลือกย่อมไม่อาจทำให้คนยอมรับได้ขนาดนั้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเกี่ยวพันถึงเงินทองพูดถึงฐานะ นี่เป็นสิ่งที่กระตุ้นความโกรธของชาวบ้านได้มากที่สุดแล้ว หากถูกใส่ความเรื่องนี้จริง ชื่อเสียงของโรงหมอจิ่วหลิงคงไม่ดี
“ข้าพูดส่งเดชหรือ?” เจียงโหย่วซู่อ่ย “หลังเจ้าเข้าเมืองหลวงเปิดโรงหมอจิ่วหลิงนี่ รับรักษาห้าครั้ง ห้าตระกูลนี้ไม่ใช่คนมั่งคั่งก็เป็นผู้มียศศักดิ์ ค่ารักษาค่ายายังไม่ทันไรก็เป็นพันตำลึง หรือไม่ใช่เรื่องจริง?”
ค่ารักษาไม่ทันไรก็เป็นพันตำลึง
ชาวบ้านเหล่านี้กับท่านหมอเหล่านี้หารู้ไม่
ทุกคนถกเถียงประหลาดใจ
ราคานี่แพงจนน่าตะลึงจริงๆ
“เทียบยานี้ของข้า” เจียงโหย่วซู่แกว่งเทียบยาในมือ “รวมถึงที่ข้าตรวจเมื่อครู่ ข้าเก็บเงินเจ้าทั้งหมดสิบตำลึงเงินก็พอ”
ผู้หญิงเค้นรอยยิ้มบาง สิบตำลึงเงินแพงอยู่บ้างแต่อย่างไรก็เป็นหมอหลวง สำหรับนางแล้วยังออกไหวก็สละได้
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเล่า” เจียงโหย่วซู่กลับมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง แกว่งเทียบยาในมือ “หากเจ้าถามอาการนี้ตรวจโรคนี้ออกเทียบยาเทียบนี้ จะเก็บเงินเท่าไร?”
“แน่นอนไม่กี่ตำ…” เฉินชีอดไม่ได้เอ่ยต่อ
แต่คุณหนูจวินเร็วยิ่งกว่าเขา
“หนึ่งพันตำลึง” นางเอ่ย
หนึ่งพันตำลึง
คนในห้องล้วนอึ้งไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นมองคุณหนูจวินตกตะลึง
เฉินชียกมือนวดหน้าราวกับทนมองไม่ได้
“เชิญข้าตรวจหนึ่งพันตำลึงทอง ค่ายาคิดต่างหาก” คุณหนูจวินเอ่ยต่ออย่างละเอียด
มารดาข้า ผู้หญิงสีหน้าตะลึงงัน นางย่อมออกเงินจำนวนนี้ไม่ไหว ดังนั้นมิน่าคุณหนูจวินถึงไม่ออกเทียบยาให้นาง ถ้าพูดเช่นนั้นก็หาใช่นางไม่ใช่คนมีวาสนาจึงไม่รักษาครอบครัวของนาง แต่นางไม่ใช่คนร่ำรวยรักษากับคุณหนูจวินไม่ไหวสินะ
สีหน้าของผู้หญิงกลายเป็นซับซ้อน ชาวบ้านที่ล้อมอยู่ด้านนอกก็สีหน้าต่างกันไป โดยเฉพาะคนที่ต่อแถวอยู่มากมายก็เริ่มสลายตัว
ค่ารักษาแพงขนาดนี้พวกเขาย่อมออกไม่ไหว ยังไงอย่าเอาตัวเองไปถูกหมิ่นดีกว่า
บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนเป็นพิกล
บรรดาท่านหมอเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของชาวบ้านรอบด้าน ในใจอดสาแก่ใจไม่ได้ ให้พวกเจ้าชาวบ้านโง่เง่าเหล่านี้เห็นชัดว่านี่เป็นคนอย่างไรคนหนึ่ง ยังตาบอดชื่นชม คนอื่นไม่ได้ปฏิบัติกับพวกเจ้าเป็นคนด้วยซ้ำ
“เจ้าทำไมเก็บหนึ่งพันตำลึง?” มีหมอใจยุติธรรมโกรธแค้นเต็มอกตะโกนถาม เขาย่อมไม่กล้าเทียบกับหมอหลวงเจียง ค่ารักษาของเขาเพียงแค่หนึ่งสองตำลึงเท่านั้น
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“นั่นย่อมเพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกท่าน” นางเอ่ย
คำพูดนี้ทำให้ด้านในโถงใหญ่เงียบสนิทวูบหนึ่งอีกครั้ง
หน้าไม่อายจริงๆ
บรรดาท่านหมอมองนางมีเพียงความคิดนี้เพียงประการเดียว
……………………………………….
[1]หยาจื้อ (睚眦)ลูกชายตัวที่สองของมังกรนิสัยชอบการต่อสู้ มักถูกประดับไว้บนดาบ
[2] บัณฑิตหามีที่หนึ่ง (文无第一) บัณฑิตผู้เล่าเรียนศึกษาพึงมีความถ่อมตนดังนั้นย่อมไม่มีใครมองหรือรับว่าตนเองเป็นที่หนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น