Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอน 150-156

 บทที่ 150 ขอตรวจลางร้าย

โดย

Ink Stone_Romance

หมายความว่าอย่างไร?


เป็นฝ่ายถามคนว่าตนเองมีลางร้ายหรือไม่?


นี่ล้อเล่นหรือว่าจริงจัง?


เพื่อตอบโต้ที่หมอเร่คนนี้เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดว่าผู้อื่นมีลางร้ายเมื่อครู่ ดังนั้นนางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามเองรึ?


นี่คือการดูหมิ่น?


คนในตรอกมองผู้หญิงคนนี้


ผู้หญิงคนนี้หน้าไม่คุ้นไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่เพื่อนบ้านของพวกเขาที่นี่ หรือว่าคนที่อื่นเห็นหมอเร่ขัดลูกตา?


คุณหนูจวินไม่ได้โกรธเคือง มองผู้หญิงคนนี้ทีหนึ่ง


“ท่านไม่มี” นางว่าเดินผ่านผู้หญิงคนนี้จะจากไป


ไม่อาจไม่พูดว่านักต้มตุ๋นกับขอทานขอข้าวล้วนหนังหน้าหนา ประโยคนี้พูดถูกจริงๆ


คนในตรอกหัวเราะครื้นเครง


ผู้หญิงคนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้คุณหนูจวินจากไปเช่นนี้ รีบตามไปอีก


“คุณหนูจวิน ท่านดูอีกทีสิ” นางว่า สีหน้าติดจะวิงวอน “ข้ามีลางร้ายจริงๆ”


คนที่ชมดูเรื่องสนุกในตรอกรอยยิ้มบนหน้าแข็งค้างอีกครั้ง


มองดูท่าทางของผู้หญิงคนนี้ หากเป็นการเล่นละครล่ะก็เข้าบทเกินไปแล้วกระมัง


คุณหนูจวินยิ้มมองนาง


“ท่านน้าผู้นี้ ท่านไม่มีลางร้ายจริงๆ ท่านวางใจเถิด” นางว่า


ผู้หญิงสีหน้าไม่ยินดีสักนิด กลับยิ่งวิตก


“คุณหนูจวิน” นางยังคงไม่ยินดีปล่อยคุณหนูจวินจากไป ทนไม่ไหวเอื้อมมือคว้าแขนเสื้อของนาง “ข้าไม่มี ถ้าอย่างนั้นท่านไปบ้านข้าดูหน่อย ดูสิใครมีลางร้าย?”


สวรรค์!


คนที่ชมเรื่องสนุกในตรอกตาโตอ้าปากค้าง


คุณหนูจวินยิ้มอับจนปัญญาอยู่บ้าง ยังไม่ทันพูด ผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยปากอีกครั้ง


“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน ขอร้องท่านแล้ว ท่านดูสักนิดเถอะ” นางเอ่ยวิงวอน


“ข้าจะไปดูสักนิด หากไม่มี พวกท่านต้องเชิญผู้ปราดเปรื่องท่านอื่น ห้ามตื้อข้า” คุณหนูจวินว่า


คำพูดนี้ฟังดูแล้วทำไมแปลกขนาดนั้น?


เหมือนเรียกนางไปตรวจเป็นเรื่องที่ทำให้นางลำบากหนักหนา?


ได้ยินท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยเช่นนี้ คนถามอาการที่ยึดศักดิ์ศรีทั่วไปก็คงตบปากเขาสักหนึ่งฝ่ามือ


แต่ผู้หญิงคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอันใดที่ไม่รู้จักศักดิ์ศรี ได้ยินดีใจมาก


“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” นางเอ่ยหลายที กลัวเพียงพูดช้าไปแล้ว เด็กสาวคนนี้จะเปลี่ยนใจ


พูดพลางรีบนำทางไปด้านหน้า


มองคนกลุ่มนี้จากไปแล้ว คนในตรอกก็ยังคงสีหน้าอึ้งงง


“เชิญจริงๆรึ?”


“ใช่จ่ายเงินจ้างมาเล่นละครหรือเลป่า?”


“ไม่ใช่ ข้าได้ยินว่าหมอเร่คนนี้ตรวจโรคเลือกคนไข้จริงๆ”


“ใช่ใช่ ได้ยินว่าแม่เฒ่าคนหนึ่งให้นางตรวจ นางกลับไม่ดูให้เขา บอกว่าแม่เฒ่าคนนั้นไม่คู่ควร”


“ไม่คู่ควรหมายความว่าอย่างไร?”


“เหมือนกับว่านางจะตรวจ ต้องเลือกคนไข้เอง”


“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าไม่ใช่โรคอะไรนางก็ตรวจ? จะตรวจเพียงที่นางรักษาได้?”


“เหมือนว่าอย่างนั้นแต่ก็เหมือนจะไม่ใช่”


“ไม่ต้องคิดแล้ว ตามไปดูไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ”


หลังถกกันอยู่ครู่หนึ่งในตรอก ผู้คนก็แห่ออกมา มองสามคนที่เดินอยู่ข้างหน้าบนถนน ไล่ตามไป


เลี้ยวถนนหนึ่งมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง


มองประตูนี่แม้ไม่นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นบ้านมีฐานะ


ผู้หญิงเคาะเปิดประตู ยามเฝ้าประตูมองคุณหนูจวินนายบ่าวสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย


“ซานเหนียง แบบนี้ไม่ดีมั้ง” เขาว่า


ผู้หญิงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง


“เจ้าพวกผู้ชายรู้อะไร” นางเอ็ดเสียงเบา “ไม่ต้องพูดส่งเดช”


พูดพลางยิ้มขอโทษขอโพยให้คุณหนูจวิน


ประหนึ่งกลัวว่าคำพูดของคนเฝ้าประตูคนนี้จะทำให้คุณหนูจวินขุ่นเคือง


คุณหนูจวินยิ้มไม่ได้ถือสา


“คุณหนูจวินเชิญเจ้าค่ะ” ผู้หญิงเอ่ยขึ้น


คนเฝ้าประตได้แต่หลีกทาง มองคุณหนูจวินตามผู้หญิงคนนี้เดินเข้าไป


“พวกผู้หญิงนี่น้า พูดถึงแต่เรื่องบ้าบอพวกนี้” คนเฝ้าประตูส่ายศีรษะทำหน้าหมดปัญญาปิดประตู


ตัวเรือนสร้างได้ประณีตเป็นระเบียบ เรียบง่ายโอ่โถง เห็นได้ชัดว่าภูมิหลังไม่เบา


“คุณหนูจวิน นายหญิงของข้าเป็นเพื่อนสาวคนสนิทกับโต้วเหนียง ก่อนไปนางแนะนำคุณหนูจวินอย่างที่สุด บอกว่าพบเรื่องลำบากเช่นนี้ต้องตามหาท่าน” ผู้หญิงที่นำทางทันใดนั้นก็เอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่ง


โต้วเหนียง ก็คือผู้หญิงที่ขอให้รักษาคืนวันนั้นสินะ หลิ่วเอ๋อร์คิดขึ้นมาได้ ที่แท้นางก็บอกต่อเรื่องคุณหนูเหมือนกันนี่


คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า ยังคงไม่พูดจา


ไม่ถามมาก ไม่พูดมาก


ในใจผู้หญิงโล่งอกอีกครั้ง ยิ่งเชื่อว่าคุณหนูจวินผู้นี้เป็นยอดคน


คุณหนูจวินติดตามผู้หญิงทะลุผ่านกำแพงดอกไม้ มาถึงเรือนด้านหลังของครอบครัวนี้


ตรงทางเดินมีเหล่าสาวใช้ยืนอยู่ ในเรือนมีเด็กน้อยหลายคน ในห้องยิ่งมีเสียงคุยเล่นของผู้หญิงดังมา อากาศราวกับอบอวบไปด้วยกลิ่นหอมของแป้งฝุ่น


ที่นี่คือสถานที่ซึ่งบรรดาสตรีและเด็กน้อยทั้งหลายใช้ชีวิต แม้สตรีเด็กน้อยบางส่วนจำต้องเปิดหน้าเปิดตาวิ่งวุ่นหาเลี้ยงชีพ แต่สตรีและเด็กน้อยมากกว่านั้นถูกเลี้ยงไว้ในห้องหอ อยู่ในหมู่ญาติมิตรที่จำกัดของตน ไม่พบคนนอกและไม่มีคนนอกรู้จัก


“คุณหนูจวินมาแล้วเจ้าค่ะ” ผู้หญิงเอ่ยกับบรรดาสาวใช้


คนในเรือนล้วนมองมา บรรดาสาวใช้ก็เลิกผ้าม่านขึ้น


คุณหนูจวินมองบรรดาสตรีและเด็กน้อยเหล่านี้ สีหน้านิ่งสงบก้าวเข้าไปข้างหน้า


ใช่แล้ว นางไม่ต้องการเปิดกิจการเฉลิมฉลองคึกคักอย่างไร แล้วก็ไม่ต้องการคนมากมายชื่นชม


นางไม่ต้องการโปรยเงินใช้ใจเมตตาฝีมือยอดเยี่ยมคว้าเอาผู้สนับสนุน แล้วนางก็ไม่ต้องการสร้างชื่อในพริบตาร้องประกาศว่าฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ใครมาไม่ปฏิเสธ


นางต้องการเพียงโอกาสครั้งหนึ่ง โอกาสเหมาะสมครั้งหนึ่งที่จะได้รับการยอมรับให้ก้าวเข้ามายังเรือนในของคฤหาสถ์หลังโต


นางจะค่อยๆรวบรวมชื่อเสียงจากเรือนในของคฤหาสถ์หลังโตทีละนิดๆ กุมบรรดาผู้หญิงที่ฐานะสูงศักดิ์เหล่านี้ อย่าได้ดูแคลนผู้หญิงเหล่านี้ เวลามากมายพวกนางล้วนเป็นตัวตัดสินความสำเร็จล้มเหลวของเรื่องหนึ่ง ความเป็นความตายของคนผู้หนึ่ง


พี่สาวน้องชายของนางล้วนอยู่ลึกที่สุดของเรือนในของคฤหาสน์หลังโต นางจะเดินเข้าไปทีละก้าวๆ อย่างไรต้องมีโอกาสเดินไปถึงตรงหน้าพี่สาวน้องชาย


……………………………………….


ในเรือนด้านในของจวนหลังใหญ่ตระกูลลู่ บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ชุมนุม แต่ฝีเท้าแผ่วเบา ไม่มีเสียงเอะอะสักนิด มีสาวใช้สองคนซอยเท้ามาจากข้างนอก


“องค์หญิงล่ะ?” พวกนางเอ่ยถามเสียงเบา


บรรดาสาวใช้ตรงทางเดินชี้มือไปยังทิศหนึ่ง


“อยู่ในสวนดอกไม้” พวกนางเอ่ย


ถนนเส้นนี้เดิมทีมีบ้านคนมากมาย แต่เมื่อวังไหวอ๋องกับจวนตระกูลลู่มาตั้งที่นี่ คนมากมายก็ย้ายออกไป จวนหลังนี้ของลู่อวิ๋นฉีครองพื้นที่ของสองครอบครัว สร้างขึ้นกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนดอกไม้ ยิ่งดอกไม้ต้นไม้นานาพันธุ์สี่ฤดูไม่ขาดแคลน


“ตอนแรกกลัวว่าต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้จะปลูกไม่รอด ใต้เท้าจึงขุดดินจากสวนดอกไม้ของผู้อื่นมาสามฉื่อ[1]ย้ายมาด้วยกัน”


สาวใช้สองคนในสวนดอกไม้ยิ้มแย้มคุยกัน ชี้ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มไปหมดเบื้องหน้า ด้านหลังร่างของพวกนางคือทะเลสาบแห่งหนึ่ง เวลานี้นั่งอยู่ในศาลาหลังน้อย ศาลาน้อยนี่แทบจะสร้างขึ้นมาจากแก้วหลากสี น้ำทะเลสาบสีเขียวผืนใหญ่สะท้อนเป็นประกายแวววาว


องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่บนผืนพรม กำลังสอดเข็มดึงด้ายบนโครงปัก กระโปรงจีบรอบประหนึ่งบุปผาแผ่อยู่บนผืนพรม


นางผู้สวมเสื้อเรียบๆกระโปรงเรียบๆไม่แต่งแต้มเครื่องสำอางนั่งอยู่กลางศาลาแก้วหลากสีแลดูดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ


บางครั้งนางก็เงยหน้ามองแปลงดอกไม้เบื้องหน้า บนหน้ามีรอยยิ้มบางอยู่ตลอด


“ใช่ ไม่เลวจริงๆ” นางยังเอ่ยขึ้นอีก


เสียงของนางอ่อนโยนเช่นนั้นเสมอ ท่าทางก็นับว่านั่งได้สง่าอย่างยิ่งด้วย


นี่ก็คือองค์หญิงที่เลี้ยงขึ้นมาในพระราชวัง องค์หญิงที่เดิมทีจะได้เป็นองค์หญิงใหญ่ตัวจริง องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งจากอดีตองค์ฮ่องเต้และองค์รัชทายาท


บรรดาสาวใช้มองนางด้วยความยำเกรงที่ไม่อาจปิดบังมิด


สาวใช้สองคนมาถึงที่แห่งนี้ คำนับอย่างนอบน้อม


“องค์หญิง ใต้เท้าวันนี้แจ้งว่าจะไม่กลับเพคะ” พวกนางเอ่ยขึ้น


องค์หญิงจิ่วหลียิ้มพนักหน้า


“ได้ ข้าทราบแล้ว” นางเอ่ย


บรรดาสาวใช้ยิ่งก้มศีรษะถอยออกไป แต่คนหนึ่งรีรอนิดหนึ่งยกชาก้าวเข้ามา


“องค์หญิง” นางคุกเข่าเอ่ยขึ้น


องค์หญิงจิ่วหลีวางเข็มด้ายลง รับชาไป พลางมองแปลงดอกไม้เบื้องหน้า


ทาสสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก้มศีรษะทนไม่ได้เงยหน้าขึ้น


“องค์หญิง ใต้เท้ารับผู้หญิงคนใหม่อีกคนแล้ว” นางเอ่ยรวดเร็ว “นายประตูเมืองฝั่งตะวันตก…”


พูดถึงตรงนี้ราวกับพูดต่อไปไม่ไหว


นางก้มศีรษะ เสียงเบาจนไม่อาจได้ยิน


“อนุภรรยาของนายประตูเมืองฝั่งตะวันตก”


องค์หญิงจิ่วหลีมองไปทางนาง


“อืม” นางเอ่ย วางถ้วยชากลับไปบนมือของสาวใช้ หยิบเข็มด้ายขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าจดจ่อตั้งใจปักผ้าต่อ


สาวใช้สีหน้ากระอักกระอ่วนรีรอครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดมากอีกยกชาถอยออกไป


เทียบกับด้านในเรือนอันเงียบสงบ บนถนนใหญ่ของเมืองหลวงกำลังเป็นช่วงที่ครึกครื้นที่สุด เหลาสุราร้านน้ำชาด้านในคนเต็มวุ่นวาย คนขายสุราถือตะกร้าร้องเรียกขายตัดผ่านกลางหมู่ลูกค้า แต่ท่ามกลางเสียงคุยเล่นหัวเราะดังกระหึ่มนี่ทันใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมา


“บอกให้พวกเจ้ายอมให้ห้องกับนายท่านเจ็ดของพวกเรา พวกเจ้าหูหนวกหรือ?”


มีคนสองสามคนยืนอยู่ที่ทางเดินชั้นสองตะโกนเสียงดัง


พนักงานร้ายหลายคนสีหน้ากังวลใจคำนับให้คนที่อยู่ในห้อง


จูจั้นที่นั่งอยู่โถงรวมชั้นล่างเงยหน้ามองไป


“ใครล่ะนี่” เขาสบถทีหนึ่ง “ถึงกับเหิมเกริมยิ่งกว่าพวกเรา”


……………………………………….


[1] ฉื่อ (尺) หน่วยความยาวของจีน สามฉื่อเท่ากับหนึ่งเมตร


บทที่ 151 ปรารถนาจะเหิมเกริม

โดย

Ink Stone_Romance

เหิมเกริมคำนี้ไม่เคยเป็นคำที่ดีอะไร แต่พูดออกมาจากปากจูจั้นดูเหมือนเป็นเรื่องมีเกียรตินัก


ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้วยกันตบโต๊ะทีหนึ่งด้วย


“นั่นสิ พวกเรายังนั่งโถงรวมเลย” เขาเอ่ย


ตอนที่พวกเขาพูด คนบนชั้นสองก็ให้ห้องไปแล้ว ไม่รู้พูดอะไร ไม่เพียงไม่โกรธ ตรงกันข้ามผงกหัวค้อมเอวให้สามคนนั้นอย่างพินอบพิเทาประดุจพนักงานร้าน


“ดูท่าคงเป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่งนะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งยักคิ้วเอ่ยขึ้น


“เมืองหลวงถึงกับมีคนใหญ่คนโตคนนี้ที่พวกเราไม่รู้จัก?” จางเป่าถังเอ่ยขึ้นบ้าง


ซื่อเฟิ่งมองดูพนักงานหลายคนที่เดินลงบันไดด้านนั้น ยกมือขึ้นทันที


“มานี่ มานี่” เขาร้องเรียก


บรรดาพนักงานย่อมรู้จักพวกเขาเหล่านี้ ไม่กล้าชักช้ารีบก้าวเข้ามา


“นายท่านซื่อ ท่านมีอะไรเรียกหาหรือขอรับ” เขายิ้มประจบเอ่ยขึ้น


“เจ้าหนูนั่นใคร?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยถาม ชี้ไปที่ชั้นสอง


พนักงานร้านสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย


“เป็น เป็น…” เขาอึกๆ อักๆ เหมือนไม่กล้าพูด


จางป่าวถังยกเท้าแจกเขาทีหนึ่ง


“มีอะไรรีบพูด” เขาเอ่ยด่า


คนเหล่านี้เขาก็ขัดใจไม่ได้เหมือนกัน พนักงานสีหน้าเป็นทุกข์กุมก้น


“เจี่ยงเผิงนายประตูเมืองตะวันตกขอรับ” เขาเอ่ย


คำพูดนี่ออกมาบรรดาชายหนุ่มบนโต๊ะก็พ่นเสียงหัวเราะ


“นายประตู?”


“แม่โว้ย”


“เมืองหลวงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”


ทุกคนหัวเราะครื้นเครง พนักงานร้านถูกหัวเราะสีหหน้ากระอักกระอ่วน และติดจะไม่สบายใจอยู่บ้าง


“เจ้าหนูนี่เกาะใคร?” จูจั้นที่ไม่เอ่ยวาจามาตลอดเอ่ยขึ้น


สีหน้าพนักงานร้านยิ่งประหลาดแล้ว อึกๆ อักๆ อีกครั้ง


“ไม่กล้าพูด?” จูจั้นเลิกคิ้ว “ดูท่าคงเป็นคนคุ้นเคยของพวกเราสินะ?”


ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อึ้งไป พนักงานร้านสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่พนักงานร้านคนนี้อึกอัก แทนที่จะบอกว่ากลัวอีกฝ่าย ไม่สู้บอกว่าไม่อยากให้พวกกเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


พนักงานร้านทำไมกลัว ย่อมต้องกลัวหลังรู้เข้าพวกเขาจะขัดแย้งกัน


บรรดาชายหนุ่มคิดเข้าใจก็ยิ่งหงุดหงิดทันที


“มารดามันรีบพูด” ซื่อเฟิ่งพลันตบโต๊ะทีหนึ่ง


“ใต้เท้าหัวหน้ากองพันลู่ขอรับ” พนักงานร้านทำอันใดไม่ได้ได้แต่เอ่ยความจริง


บรรดาชายหนุ่มเลิกคิ้วทันที


“ที่แท้เป็นเขาหรือ” พวกเขาเอ่ยขึ้น


“ไม่ถูกสิ ใต้เท้าหัวหน้ากองพันลู่สายตาสูงส่งอยู่บนฟ้า นายประตูตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเกาะเขาได้อย่างไร” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น


“นายท่านซื่อ ท่านไม่รู้” พนักงานร้ายกดเสียงเบา “เขาย่อมประจบใต้ลู่ไม่ติด แต่เขาโชคดี”


พูดพลางยักคิ้วหลิ่วตา


“อนุภรรยาคนหนึ่งที่เขาซื้อมาใหม่ใต้เท้าลู่ต้องตาเข้า”


ซื่อเฟิงกำลังยกสุราขึ้นดื่ม ได้ยินพ่นถ่มลงพื้น


“มารดามันน่ารังเกียจจริงๆ ล้อเล่นอะไรกัน” เขาเอ่ย


ชายหนุ่มคนอื่นก็สีหน้าตกตะลึงเช่นกัน


“จริงแท้แน่นอนขอรับ วันนั้นหัวหน้ากองพันลู่ผ่านประตูเมือง พบอนุภรรยาที่มาส่งข้าวให้นายประตูก็ต้องตาเข้า นายประตูคืนนั้นก็ให้คนส่งไป” พนักงานร้านเอ่ยขึ้น แม้หวาดกลัวมาก แต่เรื่องนี้ชาวบ้านชอบพูดคุยนักจริงๆ


บรรดาชายหนุ่มสบตากันทีหนึ่ง


“ชอบภรรยาของผู้อื่น?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น


“ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ยังมีสาวขายชาอะไรคนหนึ่งด้วยหรือ?” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น


ซื่อเฟิงจิ๊ปากสองสามที


“ช่างสำมะเลเทเมา” เขาแสร้งทำท่าทอดถอนใจ “คิดไม่ถึง หัวหน้ากองพันลู่เด็กน้อยชาติกำเนิดยากจนคนหนึ่งเช่นนี้ก็เหลวแหลกเหมือนกับพวกเราด้วยแล้ว”


นี่ชมหรือว่าด่ากัน? พนักงานร้านฟังแล้วมึนงง


“แบบนี้ไม่ได้นะ” จูจั้นลุกขึ้นยืน ปวดใจสุดซึ้งเอ่ยขึ้น “เด็กดีเช่นนี้คนหนึ่ง คนที่ทำงานเพื่อฝ่าบาท จะถูกคนข้างล่างพัวพันความบริสุทธิ์สุจริต”


บริสุทธิ์สุจริต?


ใครบริสุทธิ์ใครสุจริต?


พนักงานร้านฟังยิ่งไม่เข้าใจ แต่มองชายหนุ่มพวกนี้คนอื่นลุกขึ้นยืนตาม ม้วนแขนเสื้อกำหมัด เขาก็รู้ว่าพวกเขานี่กำลังจะทำอะไรแล้ว


รู้อยู่แล้วบุตรชายเฉิงกั๋วกงเจอกับหัวหน้ากองพันลู่ต้องมีเรื่องแน่


อย่างไรพวกท่านสองตระกูลใครข้าก็มีเรื่องไม่ได้ พนักงานร้านหดหัวหลบออกไป


ไม่นานด้านในเหลาสุราก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น ต่อจากนั้นคนมากมายในเหลาสุราก็วิ่งออกมา


“ทะเลาะกันแล้ว!”


คนบนถนนแห่เข้ามาทันที ยังไม่ทันเข้าไปมองให้ชัด ก็เห็นมีคนสามคนถูกโยนออกมาจากในเหลาสุรา เสื้อผ้าบนร่างล้วนถูกถอดสิ้น เหลือเพียงกางเกงขาสั้นปิดจุดน่าอายตัวหนึ่ง


ผู้คนที่ล้อมดูยู่หัวเราะครืนทันที


“นี่ไม่ใช่นายประตูเจี่ยงหรือ?”


ยังมีคนจำได้เรียกขึ้น


คำพูดนี้ออกมาผู้ชายคนหนึ่งที่เดิมต้องปกปิดร่างกายก็รีบใช้มือปิดหน้า วิ่งจากไปท่ามกลางเสียงหัวเราะประสาน


เรื่องสนุกนี่พริบตาก็แพร่ไปทั่วถนนแล้ว เมื่อถึงยามราตรีมาเยือนก็แพร่ไปถึงเรือนในหลังหนึ่ง


ด้านในห้องตกแต่งหรูหราโอ่อ่า เวลานี้วางโต๊ะตัวหนึ่งไว้ กำลังมีคนสองคนนั่งประจันหน้าทานอาหารอยู่


คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผู้สวมชุดอยู่บ้านธรรมดาสีครามคือลู่อวิ๋นฉี คนหนึ่งเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบอาภรณ์ฉูดฉาดคนหนึ่งย่อมเป็นคนโปรดคนใหม่ของเขา


ลู่อวิ๋นฉีสีหน้ากลับไม่นิ่งสนิทไร้อารมณ์เหมือนยามอยู่ข้างนอก บางทีอาจเพราะใต้แสงโคมเป็นเหตุ ดวงหน้าจึงแลดูอ่อนโยนขึ้นมาก เขายื่นมือใช้ตะเกียบคีบอาหารให้หญิงสาวที่นั่งตรงข้าม


“เจ้าลองนี่ดู” เขาเอ่ยขึ้น


ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามสีหน้าไม่สบายนัก ราวกับทั้งชอบทั้งหวาดเกรงอยู่บ้าง


“เจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้า” นางเอ่ย


“เรียกข้าลู่อวิ๋นฉี” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย รั้งตะเกียบกลับ


คนที่กล้าเรียกชื่อหัวหน้ากองพันลู่ต่อหน้าน่ากลัวว่าคงมีไม่กี่คน ร่างกายของหญิงสาวสั่นน้อยๆ


“ลู่ ลู่อวิ๋นฉี” นางสั่นอยู่นานถึงเรียกออกมาสั่นๆ ได้


ลู่อวิ๋นฉีมองนางแล้วยิ้ม


“อืม” เขาขานรับ


ปากน้อยๆ ของหญิงสาวอ้าออกเล็กน้อยมองผู้ชายที่เผยรอยยิ้มอยู่ตรงข้าม รอยยิ้มนั้นแย้มออกบนดวงหน้าขาวดุจกระเบื้องเคลือบนี้ ทำให้ทั้งห้องสว่างไสวขึ้นมา


สวรรค์ ใครจะได้เห็นรอยยิ้มของลู่อวิ๋นฉีหัวหน้ากองพันลู่บ้าง รอยยิ้มเช่นนี้


ด้านนอกประตูเสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้น


หญิงสาวมองเห็นรอยยิ้มบนหน้าของลู่อวิ๋นฉีดุจสายน้ำถดถอยไป พริบตาก็ฟื้นกลับมานิ่งสนิทเหมือนก่อนหน้า สายตาเย็นเยียบมองผ่านนางไป


หัวใจของหญิงสาวหยุดเต้น รีบก้มหน้าไม่กล้ามองเขาตรงๆ


หูได้ยินมีคนเดินเข้ามา


“ใต้เท้า เจี่ยงเผิงมาขอรับ” คนที่มาเอ่ยบอก


ได้ยินเจี่ยงเผิงชื่อนี้ หญิงสาวก็ใจเต้นขึ้นมาอีกหลายครั้ง บนหน้าวิตกอยู่บ้าง


“เขาคิดอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม ทานอาหารอ้อยอิ่ง


“เขาไม่พูดอะไรเลย แค่บอกว่าอยากพบใต้เท้า” ผู้ที่มาเอ่ยบอก


ลู่อวิ๋นฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าด้านข้างเช็ดมุมปาก ทิ้งผ้าเช็ดหน้าลงกับพื้น


“ข้าไม่อยากพบเขาแล้ว” เขาเอ่ย


ผู้ที่มาขานรับหนึ่งประโยคไม่พูดมากหมุนตัวออกไป หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะกำมือแน่น ปลายหางตาจับอยู่บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นบนพื้น


ไม่อยากพบเขาแล้ว หมายความว่าอย่างไร? เหมือนกับผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ที่ถูกโยนทิ้งงั้นหรือ?


“ทำไม? อาวรณ์หรือ?” เสียงทุ่มนุ่มของลู่อวิ๋นฉีดังขึ้นข้างหู


เสียงน่าฟังเช่นนี้กลับทำให้หญิงสาวกลัวจนตัวสั่นลุกขึ้นยืน


“ไม่ ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้า” นางเอ่ยติดต่อกัน


“เรียกข้าลู่อวิ๋นฉี” ลู่อวิ๋นฉีมองนางเอ่ยขึ้น


หญิงสาวกัดริมฝีปาก


“ลู่ อวิ๋นฉี” นางเอ่ยเสียงสั่น


บนหน้าลู่อวิ๋นฉีแย้มรอยยิ้มอีกครั้ง


“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร รีบนั่งเสีย” เขาเอ่ย


หญิงสาวใจผวาขวัญสะท้านนั่งลง มองลู่อวิ๋นฉีหยิบตะเกียบขึ้นมา


“ลู่ อวิ๋นฉี” นางใจกล้าเรียก


ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้ามองนาง สีหน้าบนหน้ายิ่งยินดี


“หืม? เรื่องอะไร? เจ้าว่ามา” เขาเอ่ย


อั้ยโยะมารดาข้า ใครจะคิดว่ายมราชลู่จะพูดจากับคนเช่นนี้ หญิงสาวคิดในใจอีกครั้ง แต่ตอนนี้คนที่ได้สัมผัสท่าทางเช่นนี้คือตนเอง


เป็นตนเองเชียวนะ


เดิมทีคิดว่าเป็นอยุภรรยาของนายประตูคนนั้นก็บินขึ้นยอดไม้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจังหวะมาโชคพลิกผันถึงกับหนึ่งก้าวเหยียบขึ้นสวรรค์


หญิงสาวสูดลมหายใจลึกหลายครั้ง


“ข้า ข้าไม่คิดอื่นใดกับเจี่ยงเผิงคนนั้น” นางใจกล้าเอ่ยขึ้น “ท่านอย่าโกรธ ข้ากับเขา…”


ไม่รอนางพูดจบ ลู่อวิ๋นฉียิ้ม


“ข้ารู้” เขาเอ่ยขึ้น ขัดคำพูดของหญิงสาว พร้อมกันก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารให้นาง “รีบทานเถอะ”


หญิงสาวลมหายใจกระชั้นแววตาสุกใส รู้สึกเพียงมีความสุขจนหายใจไม่ทัน


“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” นางได้แต่เอ่ยซ้ำๆ หยิบตะเกียบรีบทานอาหาร


ลู่อวิ๋นฉียิ้มมองนาง เพียงแต่ใต้แสงโคมมองดูรอยยิ้มนั้นยิ่งแลดูโศกเศร้าขึ้นทุกที



ที่ร้านสุราในตลาดกลางคืน พวกจูจั้นนั่งโถงรวมดื่มสุรา มีคนก้าวไวๆ เดินมา กระซิบชิดหูจางเป่าถังหลายประโยค


“หัวหน้ากองพันลู่โยนเจี่ยงเผิงออกจากเมืองหลวงไปแล้ว” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น


ซื่อเฟิ่งหัวเราะฮ่าฮ่า


“ไม่เลว ไม่เลว” เขามองทุกคน “ใต้เท้าลู่สำนึกผิดแก้ไขไม่มีสิ่งใดดีกว่านี้ หลังจากนี้ยังคงเป็นขุนนางดีคนหนึ่ง”


ทุกคนหัวเราะขึ้นมา


มีเพียงจูจั้นลูบคางสีหน้าไม่ดีใจ


“ยังไม่สะใจเลย” เขาว่า


เสียงหัวเราะของทุกคนหยุดลง


“ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราไปดักตีเจ้าหนูนี่อีกครั้งไหม?” ซื่อเฟิ่งพลันเอ่ยขึ้น


เจ้าหนูนี่ย่อมหมายถึงหัวหน้ากองพันลู่


ชายแก่ขายสุราด้านข้างพยายามขยับออกไปสุดกำลัง ราวกับได้ยินคำพูดนี้ก็จะหาปัญหามาได้


ดักตีหัวหน้ากองพันลู่ พวกเขายังอุตส่าห์กล้าคิด


“ตีก็ไม่ใช่ตีไม่ได้ แต่เจ้าหนูนี่ใจเล็กเท่าหนู ไม่ออกจากบ้าน ออกจากบ้านก็มีคนโขยงใหญ่คุ้มครอง” จางเป่าถังเอ่ยอย่างตั้งใจ “โอกาส หาไม่ง่ายนะ”


ซื่อเฟิ่งถอนหายใจ


“ใช่สิ” เขาดื่มสุราคำหนึ่ง “คิดถึงตอนนั้นจริงๆ หนอ บอกจะตีเขาก็ตีได้”


ทุกคนหัวเราะขึ้นมา ยังคงมีเพียงจูจั้นไม่หัวเราะ


“พี่รอง ท่านไม่คิดถึงหรือ?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยถาม


จูจั้นหยิบไหสุราขึ้นดื่มคำหนึ่ง มองเขาทีหนึ่งยิ้ม


“คิดถึงสิ” เขาเอ่ย “ข้าอยากตีเขาอีกสักหนจริงๆ เหมือนก่อนหน้านี้แบบนั้น”


พูดจบก็ดื่มสุรารวดเดียวหมด สายตามองไปทางกลางแม่น้ำ รอยยิ้มบนหน้าสลายไป โคมไฟริมน้ำส่องดวงหน้าเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด


แต่นั่นแล้วอย่างไร อดีตย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว


……………………………………….


บทที่ 152 เปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบ

โดย

Ink Stone_Romance

เดือนแปดอากาศเย็นอยู่บ้างแล้ว


เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งดังขึ้นที่ปากตรอก คนมากมายในตรอกล้วนเปิดประตู


บรรดาเด็กน้อยดั่งสุนัขป่าตัวร้ายรุมเข้ามา


“ยังมีน้ำตาลไหม?”


“มีน้ำตาลไหม?”


พวกเขาล้อมคุณหนูจวินที่เดินมาถึงปากตรอกร้องตะโกนขึ้น


คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ


“อากาศเย็นแล้ว ไม่ต้องกินน้ำตาลแล้ว” นางว่า


ใบหน้าของเด็กทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความเสียดาย พวกผู้ใหญ่ในบ้านได้ยินเดินออกมาเรียกลูกๆ ของตนทันที


“อย่าไปรบกวนท่านหมอจวิน” พวกนางตะโกน


ครึ่งเดือนก่อน พวกเขาก็ร้องเรียกลูกๆ ของตนเองไว้ แต่ไม่ใช่กลัวรบกวนท่านหมอจวิน แต่กลัวท่านหมอจวินทำร้ายเด็กๆ


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่ปากตรอก มองความเปลี่ยนแปลงนี้ยากจะปิดบังความตกตะลึงอยู่บ้าง


“ทำไมอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป?” เขาเอ่ยขึ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง “นางก็ไม่ได้รักษาโรคสำคัญสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอะไรนี่?”


นอกจากนี้ชื่อเสียงที่เมืองหลวงของโรงหมอจิ่วหลิงก็ยังคงไม่สะดุดตาเหมือนดิม ทำไมรู้สึกว่าท่าทีของคนในเมืองปุบปับก็เปลี่ยนไปแล้วเล่า?


หลายวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองพนักงานด้านหลัง พนักงานก็ส่ายศีรษะสีหน้าไม่เข้าใจเช่นกัน


“ไม่ได้ทำอะไรนี่ขอรับ” หนักงานเอ่ยขึ้น “มีบางคนเป็นฝ่ายมาถามคุณหนูจวินเองว่ามีหรือไม่มีลางร้าย ก็ไม่รู้ว่าล้อเล่นหรือจริงจัง”


เขาเอ่ยยื่นมือชี้


“ท่านดูสิขอรับ ผู้ดูแลใหญ่”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองไป เห็นคนในตรอกล้วนมองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามาจริงๆ


ไม่มีการดูแคลนรังเกียจอย่างก่อนหน้า เห็นเพียงความสงสัยใคร่รู้จนถึงขั้นรีบเร่ง


“ท่านหมอจวิน ท่านดูหน่อยสิว่าข้ามีลางร้ายหรือไม่?” ยังมีคนเอ่ยถาม


ฟังอย่างไรนี่ก็เหมือนประชดนะ?


คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ สักประโยคหนึ่งก็ไม่พูดยังคงเดินหน้าต่อ


คนที่ไม่ได้รับคำตอบบนหน้าผุดรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับไม่เหมือนยิ้มหยัน แต่เป็นยินดี


“นี่บ่งบอกว่าร่างกายของข้าแข็งแรงไม่มีสิ่งชั่วร้าย” นางยังเอ่ยกับคนข้างๆ อย่างภาคภูมิ


มีความคิดแบบนี้ด้วย?


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองตกตะลึง


มีคนในตรอกวิ่งออกมาอีก นี่เป็นผู้หญิงหลายคน คนหนึ่งในนั้นอ้อมแขนยังกอดเด็กน้อยคนหนึ่งไว้


“ท่านหมอจวิน ท่านหมอจวิน” พวกนางร้องเรียก เสียงตระหนก “รีบดูลูกสาวข้าทีว่าเป็นอะไร?”


ลูกค้าเข้าร้านแล้ว ดูท่าคุณหนูจวินคนนี้จะคลี่คลายสถานการณ์ในหมู่ชาวบ้านแล้วจริงๆ


บางทีคงเป็นเพราะอยู่ด้วยกันจนคุ้นหน้า?


เช่นนี้ก็ดี แม้ชื่อเสียงมาช้า แต่อย่างไรก็ดีขึ้นทุกวันๆ


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้างคนครอบครัวหนึ่งด้วยความโล่งอก


คุณหนูจวินมองแม่นางน้อยที่ถูกผู้ใหญ่กอดไว้ในอ้อมอกทีหนึ่ง


“ไม่เป็นไร” นางว่า ยื่นมือชี้ไปด้านนอก “นี่พวกเจ้าไปโรงหมอบนถนนฝังสักเข็มก็หายดีแล้ว”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตะลึงอีกครั้ง ถึงกับไม่รักษาอีก?


แต่ครั้งนี้ได้ยินคุณหนูจวินว่าเช่นนี้ ครอบครัวนี้กลับไม่ได้โกรธเกรี้ยวและไม่ได้ด่าขึ้นมาเพราะถูกเหยียดอย่างหวังเฉาซื่อ ตรงกันข้ามสีหน้าเบิกบาน


“ดีเหลือเกิน คุณพระคุ้มครอง คุณหนูจวินบอกว่าไม่เป็นไร” ผู้หญิงสองคนยังเอ่ยอย่างซาบซึ้ง


คุณหนูจวินบอกว่าไม่เป็นไร? คำพูดของคุณหนูจวินเป็นประกาศิตวจนะพระพุทธแล้วหรือ?


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอึ้งมองคนครอบครัวนี้อุ้มลูกวิ่งผ่านข้างตัวไป


น่าสนใจ


เขามองไปทางคุณหนูจวินด้านหน้า กลับเห็นคุณหนูจวินเก็บกระดิ่งหมุนตัวมา


“คุณหนูพวกเราไปที่ไหนอีก?” หลิ่วเอ๋อร์รีบเข้าไปเอ่ยถาม


“ที่ไหนก็ไม่ไปแล้ว” คุณหนูจวินตอบ “กลับโรงหมอจิ่วหลิง”


ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็กลับไปเร็วอยู่ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองสีท้องฟ้า แต่ต่อมาเหล่าพนักงานก็บอกว่าคุณหนูจวินไม่ออกไปข้างนอกแล้ว


หนึ่งวันสองวันอาจเป็นเหนื่อยต้องการพัก แต่ต่อมาสามวันสี่วันคุณหนูจวินก็ล้วนนั่งอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิง


“พูดเช่นนี้ไม่เป็นหมอเร่แล้ว?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม


“เหมือนจะใช่ อยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิงวุ่นวายกับยาอยู่ทุกวันแหนะขอรับ” พนักงานเอ่ยขึ้น


“ก็ถูกนะ อย่างนางเช่นนี้คิดแต่จะหาลงมือทีหนึ่งได้พันสองพันตำลึง หาง่ายขนาดนั้นที่ไหนเล่า” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น “อาศัยสิ่งนี้สร้างชื่อ ไม่สู้รับตรวจตรงไปตรงมาจริงๆ ข้าว่าวิชาแพทย์ของนางก็ไม่เลว สั่งสมช้าๆ เช่นนี้ถึงดีสุด”


แต่มีประโยชน์อะไรเล่า คำพูดของเขาเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ฟังสักหน่อย


“เขียนเรื่องราวช่วงนี้ให้นายน้อย” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยกับเด็กรับใช้


แม้ไม่หวังให้นายน้อยจัดการเรื่องของคุณหนูจวินนานแล้ว แต่ก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หยางเฉิงทุกครึ่งเดือนตามคำสั่ง ตอนนี้ถึงเวลาควรส่งจดหมายแล้ว


และด้านในโรงหมอจิ่วหลิงเวลานี้ คุณหนูจวินก็กำลังเขียนจดหมายเหมือนกัน ด้านในโถงก็ไม่ใช่ว่างเปล่า


“คุณชายหนิง เชิญดื่มชา” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้นยกน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้


หนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้าให้นางรับไป มองชาด้านในกลายเป็นสีแดงน้อยๆ


“ดื่มเถอะ เหมาะพอดีกับเจ้านักเรียนผู้ตรากตรำอ่านหนังสือข้ามคืน” คุณหนูจวินเอ่ย ไม่ได้เงยหน้าขึ้น


หนิงอวิ๋นเจายิ้มดื่มชาไปคำหนึ่ง


“พูดเช่นนี้หลังจากนี้ก็ไม่ต้องไปเป็นหมอเร่แล้ว?” เขาเอ่ยถาม


“ที่ควรเดินก็เดินหมดแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “ควรรู้ก็รู้แล้ว ต่อไปข้าก็รอคนมีวาสนาแล้วกัน”


หาหมอกลายเป็นมีวาสนาตั้งแต่เมื่อไร


เด็กสาวคนนี้พูดจาน่าขำจริงๆ


หนิงอวิ๋นเจายิ้มอีกครั้ง


“ก็ใช่ อย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่เพื่อเงิน” เขาว่า


หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างร้องเอ๋ขึ้นมา


“พวกเรานี่ใคร?” นางเอ่ยถาม


“ย่อมเป็นเจ้าข้าคนบ้านเดียวกันสนิทสนม“ หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย สีหน้าไม่สะทกสะท้าน “พวกเขาคิดว่าเปิดโรงหมอเป็นการค้าขาย ค้าขายย่อมต้องเพื่อเงิน แต่ที่จริงแล้วการค้าขายบางอย่างก็ไม่ใช่เพื่อเงิน”


หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้อทีหนึ่ง สงสัยอยู่บ้าง


“ถ้าอย่างนั้นเพื่ออะไร?” นางเอ่ยถาม


“เพื่อชื่อเสียง เพื่อสืบสาน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย


หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้ออ้อ ได้ยินพนักงานด้านหลังร้องว่าน้ำเดือดแล้ว นางรีบเข้าไปชงชาต่อ


คุณหนูจวินตอนนี้คั่วเครื่องยาด้วยตนเองอยู่ สอนหลิ่วเอ๋อร์ชงยาสมุนไพรเป็นแล้ว


มองดูหลิ่วเอ๋อร์ที่เดินเข้าไป หนิงอวิ๋นเจายกถ้วยชาดื่มคำเดียวหมด ผ่อนลมหายใจเช่นกัน


คุณหนูจวินเขียนพู่กันสุดท้ายเสร็จเช่นกัน


“วันนี้เจ้าไม่ยุ่งหรือ?” นางเอ่ยถาม


“ข้าพอดีออกจากบ้านไปบ้านทานอา ผ่านที่นี่พอดี ไม่มานานแล้วมาดูว่าเป็นอย่างไร” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย


คุณหนูจวินมองเขายิ้มให้


แม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดจากอ้อมทางเป็นผ่านทางเสมอ แต่ก็รู้ว่าคำถามนี้ถามออกไปจะทำให้คนกระอักกระอ่วน


ไม่ยื่นมือตบหน้าคนยิ้ม ไม่จำเป็นต้องสร้างความกระอักกระอ่วน


“ตอนนี้ดูอะไรไม่ออก รอผ่านไปอีกสักช่วงหนึ่งก็จะคึกคักแล้ว” นางยิ้มบอก


พูดผ่อนคลายสบาย พูดเหมือนมีแผนการในใจ


“คนพอหรือไม่ล่ะ? ต้องการให้ข้าช่วยไหม?” หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มเอ่ยขึ้น


เขาก็ผ่อนคลายสบายๆ กับคำพูดของนางเหมือนกันรวมถึงมีแผนการในใจ


“นั่นไม่จำเป็น” คุณหนูจวินเอ่ย สะบัดกระดาษในมือ “ข้าหาผู้ช่วยได้แล้ว”



ฟางเฉินอวี่มองจดหมายในมือส่งเสียงหัวเราะออกมา


ฟางอวิ๋นซิ่วที่อยู่ด้านข้างมองเขาทีหนึ่ง


“เขียนอะไรมารึ? น่าขำขนาดนี้?” นางเอ่ยถาม


ฟางเฉิงอวี่ไม่พูดไม่จา ฟางอวี้ซิ่วก็เอ่ยปากเสียก่อน


“จดหมายทื่อๆ ที่นางเขียนมีอะไรน่าขำได้เล่า ก็แค่เฉิงอวี่ชอบหัวเราะก็เท่านั้น” นางเอ่ย


ฟางเฉิงอวี่หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ส่งจดหมายให้นาง


“พี่รองท่านลองดูสิ” เขาเอ่ยดวงตาเป็นประกาย “จิ่วหลิงเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว ไม่ต้องเป็นหมอเร่แล้ว”


ฟางอวี้ซิ่วรับจดหมายมาอ่าน


“นางจะทำตัวเป็นพวกผู้หญิงจริงๆ แล้ว” นางเอ่ย “หมอดีๆ ไม่เป็น จะเป็นหมอผี”


……………………………………….


บทที่ 153 คำเชิญจากเมืองหลวง

โดย

Ink Stone_Romance

เช้าตรู่ของเดือนแปดเย็นอยู่บ้างแล้ว


ยามที่ร้านรวงบนถนนเปิดประตูคนเริ่มมากขึ้น รถเข็นคันน้อยคันหนึ่งก็หยุดอยู่ริมถนน ราวไม้บนรถน้ำตาลปั้นรูปต่างๆ ปักเต็มไปหมด ใต้แสงตะวันส่องประกาย


“น้ำตาลปั้น ขายน้ำตาลปั้น”


เสียงใสกังวานของเด็กสาวดังขึ้นบนถนนใหญ่


อยู่ที่นี่ร้องตะโกนช่วงหนึ่งก็เข็นรถเดินหน้า เดินตามถนนตรอกซอย ดวงตะวันลอยขึ้นสูงเกือบเที่ยงวันก็หยุดรถที่ถนนใหญ่อีกครั้ง น้ำตาลบนรถขายออกไปได้ไม่น้อยแล้ว


ฟางจิ่นซิ่วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วก็ปลดกาน้ำใบหนึ่งลงมาจากบนรถดื่มน้ำ เติมความชุ่มชื่นให้ลำคอที่แห้งผาก


มีคนยืนอยู่ด้านข้าง กลิ่นหอมสะอาดลอยมา


“นี้ใช้ไม่ได้เลยนะ น้ำตาลปั้นนี่เป็นแบบนี้อยู่ตลอด ช่างไม่น่าสนใจ”


เสียงหญิงสาวติดจะจู้จี้และไม่พอใจดังขึ้น พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ยื่นไปขยับน้ำตาลาปั้นบนราวไม้ กำไลเรือนทองประดับมณีหยกบนข้อมือใต้แสงตะวันสะท้อนแสงวิบวับทิ่มตา


ฟางจิ่นซิ่วกลอกตา


“ไม่ขาย อย่าแตะ” นางว่า


ฟางอวี้ซิ่วหันหน้ามองนาง


“นี่เป็นท่าทางที่เจ้าใช้กับลูกค้ารึ?” นางเอ่ย “เจ้าประจบให้ข้าพอใจ ข้าเหมาทั้งรถนี่ วันนี้เจ้าก็ได้กำไรงามแล้ว”


ฟางจิ่นซิ่วเบะปาก


“เจ้าว่างไม่มีอะไรทำกินน้ำตาลปั้นอะไร?” นางเอ่ย


เธอเงยหน้ามองฟางจิ่นซิ่ว “เจ้าจอดรถไว้หน้าประตูร้านข้าตรงนี้แล้ว” นางเอ่ย


ฟางจิ่นซิ่วหันหน้ากลับไปมอง ตอนนี้ถึงเพิ่งเห็นว่าเป็นเต๋อเซิ่งชางจริงๆ นางอดไม่ได้หัวเราะ


ตอนแรกสุด นางยังหลีกเลี่ยงถนนที่ตั้งเต๋อเซิ่งชางและตระกูลฟาง แต่ตอนนี้ไม่สนใจสักนิดแล้ว


“เอาน้ำตาลปั้นตัวหนึ่ง” ยังมีพนักงานตัวน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมาหยิบเงินขึ้นมาเอ่ยขึ้น


ฟางจิ่วซิ่วรับเงินอย่างฉับไว หยิบน้ำตาลปั้นส่งให้เขา พนักงานตัวน้อยวิ่งตึงตึงเข้าไป สองฝ่ายไม่มีความอึดอัดสักนิด


“แต่ข้าพูดจริงๆ นะ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยต่อเหมือนกัน พิจารณาน้ำตาลปั้นบนรถ “น้ำตาลปั้นนี่ทำไปทำมาก็แบบนี้ ไม่มีความหมายใหม่ๆ เลย”


“มีความหมายใหม่อะไร น้ำตาลปั้นมีความหมายใหม่อีกเท่าไรก็เป็นน้ำตาลปั้น” ฟางจิ่วซิ่วเอ่ย


“เจ้าทำการค้าเป็นหรือไม่เป็นกันนี่” ฟางอวี้ซิ่วขมวดคิ้ว “ที่เรียนไปก่อนหน้านี้เหล่านั้นเรียนเสียเปล่าแล้วรึ? ทำของแปลกใหม่ขึ้นมาบ้าง เพิ่มวัตถุดิบที่ดีขึ้นลงไปบ้าง ดึงดูดคนไง”


“เจ้าสิวางแผนการรบบนกระดาษ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ของบางอย่างใช้ความแปลกใหม่มาดึงดูดผู้คนได้ แต่นี่เป็นน้ำตาลปั้น มีเพียงพวกเด็กน้อยกิน กำไรน้อย แม้หน้าตาดึงดูดพวกเขาได้ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือพวกเขาจะกินน้ำตาลสักอัน นอกจากนี้จะทำหน้าตาแปลกใหม่ก็ต้องศึกษา ต้องเสียวัตถุดิบมาก ที่เสียไปกับที่ได้มาไม่เหมาะสม”


ฟางอวี้ซิ่วยิ้มแล้ว


“พูดมากขนาดนั้น ไม่ใช่แค่คำเดียว ไม่มีเงินหรือ” นางว่า


ฟางจิ่นซิ่วถลึงตา


“นี่มันสามคำ” นางเอ่ย


ฟางจิ่นซิ่วปิดปากหัวเราะคิกคักแล้ว


“เฮ้อ จิ่นซิ่ว ถ้าไม่อย่างนั้นเอาเช่นนี้ ข้าออกเงินให้เจ้าก้อนหนึ่ง ถึงเวลาข้าแบ่งส่วนกำไรก็พอ” นางเอ่ยขึ้น


ฟางจิ่นซิ่วดื่มน้ำแล้ว วางกาน้ำให้ดี ก้มตัวเข็นรถ


“ช่างเถอะ กิจการเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้น” นางเอ่ย “เจ้าเลิกมากวนกิจการน้อยๆ นี่ของข้าได้แล้ว”


ฟางอวี้ซิ่วดึงนางไว้


“ถ้าอย่างนั้นข้าแนะนำกิจการใหญ่อันหนึ่งให้เจ้าเป็นอย่างไร?” นางเอ่ย


กิจการใหญ่อะไร?


ฟางจิ่นซิ่วมองนาง ฟางอวี้ซิ่วส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้


“จดหมายจากจวินเจินเจินถึงเจ้า” นางเอ่ย


จวินเจินเจิน?


ฟางจิ่นซิ่วลังเลชั่วครู่


“ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าสองคนลักษณะไม่เข้ากัน” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “เจ้าอยู่ด้วยกันกับนางจะต้องพบปัญหามากมาย ข้าแนะนำว่าหากนางต้องการให้เจ้าทำอะไรล่ะก็ เจ้าก็คิดสักหน่อย”


นางพูดคำนี้จบ ฟางจิ่นซิ่วก็คว้าจดหมายไป ยัดเข้าไปในอกเสื้อ เข็นรถตะโกนบอกว่าไปแล้ว


ฟางอวี้ซิ่วมองแผ่นหลังของนางยิ้มแย้ม


“ให้นางไปเมืองหลวงจะดีหรือ?” ฟางอวิ๋นซิ่วเดินออกมาจากข้างในท่าทางกังวล


“น้องสามตอนนี้คิดตกแล้วปล่อยวางแล้ว” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น “นางมีความสามารถทำเรื่องที่ใหญ่กว่า ไม่อาจให้นางติดอยู่ที่หยางเฉิงขายน้ำตาลปั้นไปตลอดชีวิต”


“เจินเจิน นางจะทำเรื่องใหญ่แบบไหน?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม


จดหมายที่จวินเจินเจินเขียนมาหาที่บ้านทุกเดือน นางก็อ่านแล้ว เรื่องของเต๋อเซิ่งชางสาขาเมืองหลวงที่เกี่ยวกับจวินเจินเจินนางก็อ่านแล้ว นางอ่านเจอแต่เปิดโรงหมอแห่งหนึ่งที่เมืองหลวงไม่ง่าย อย่างอื่นกลับมองไม่ออก


“เจ้ารู้จักพระอาจารย์เนี่ยนจื้อกระมัง?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น


ฟางอวิ๋นซิ่วหัวเราะ อย่าพูดถึงหยางเฉิง ทั้งซานซีไม่มีใครไม่รู้จักพระอาจารย์เนี่ยนจื้อ


พระอาจารย์เนี่ยนจื้อเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อของหยางเฉิง เชี่ยวชาญพระธรรมและชะตา สายานุศิษญ์ชายหญิงมากมาย แม้กระทั่งบรรดาขุนนางของซานซีก็ไปมาหาสู่กับเขามากอยู่ ฟังท่านเทศนาธรรมบอกชะตา นับถือเป็นแขกสูงศักดิ์


“อย่างอื่นไม่ต้องพูด พวกเราช่วงก่อนหน้านี้จะจับซ่งอวิ้นผิง ท่านย่าส่งน้องชายกับเจินเจินออกไป เหตุผลที่อ้างก็คือพระอาจารย์เนี่ยนจื้อบอกว่าบิดาไม่รู้จักบุตรบุตรไม่รู้จักบิดาก็จะคลี่คลายคำสาปนี้ได้” ฟางอวี้ซิ่งเอ่ยขึ้น คล้องแขนฟางอวิ่นซิ่วก้าวเข้าเต๋อเซิ่งชาง


บรรดาพนักงานในร้านคำนับอย่างนอบน้อมหลีกทาง


“เหตุผลนี้พูดออกมา ซ่งอวิ๋นผิงไม่สงสัยสักนิด” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยต่อ “ทำไมเล่า?”


“เพราะเป็นคำที่พระอาจารย์เนี่ยนจื้อเอ่ย พระอาจารย์เนี่ยนจื้อชื่อเสียงเลื่องลือทำให้คนเชื่อหรือ?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยขึ้น


ฟางอวี้ซิ่วพยัหน้า


“ใช่แล้ว ก็ง่ายดายเช่นนี้ แต่ก็น่าเหลือเชื่อขนาดนี้” นางว่า “ทำได้ถึงขั้นพระอาจารย์เนี่ยนจื้อเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย”


นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากด้วย


ซ่งอวิ้นผิงวางแผนมานานขนาดนั้น ถี่ถ้วนขนาดนั้น หากพบว่าจวินเจินเจินกับฟางเฉิงอวี่จากหยางเฉิงไป ย่อมต้องเข้าใจว่าสถานการณ์ประหลาดทันทีแน่ แต่ดันเพราะประโยคนี้ของพระอาจารย์เนี่ยนจื้อจึงผ่อนความระวังประมาท


ก็เพราะความเลินเล่อนี้เอง ทิศทางของเรื่องราวถึงเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น


นี่ก็คงเป็นหลักการของประโยคนั้นที่ว่าเขื่อนพันลี้พังเพราะรังมดกระมัง


“ถ้าอย่างนั้นนางต้องการคนอย่างพระอาจารย์เนี่ยนจื้อ?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม


“ข้าคิดว่าใช่” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “นางต้องการใช้วิชาแพทย์กลายเป็นอย่างพระอาจารย์เนี่ยนจื้อเช่นนั้นทำให้คนเชื่อถือ”


“แต่ที่หรู่หนานนางไม่ใช่ทำได้แล้วเหมือนกันหรือ?” ฟางอวิ๋นซิ่วคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ที่เมืองหลวงทำไมทำช้าเช่นนี้ ประหลาดนัก?”


มีวิชาแพทย์ดีปานนั้นกลับไม่รับรักษาให้ใครก็ตาม แต่กลับใช้วิธีการประหลาดเป็นนักทำนายเปิดฉาก


“ก็คงเป็นเพราะเมืองหลวงอยู่ไม่ง่ายละมั้ง” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “เรื่องใดล้วนต้องค่อยๆ ช้าๆ บางเวลาทีเดียวสร้างชื่อทั่วใต้หล้าก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเหมือนกัน


ฟางอวิ๋นซิ่วพยักหน้า


“ทำอย่างไรก็ดีทั้งนั้น ขอแค่นางเองคิดให้ดี” นางเอ่ยขึ้น



ฟางจิ่นซิ่วอยู่ในบ้านที่นางเช่ามา ไม่กว้างขวางแต่เก็บกวาดสะอาดสะอ้าน


เฉินชีแนะนำให้นางใช้เงินซื้อบ้าน แบบนี้ต่อให้กิจการน้ำตาลปั้นล้มเหลวก็ยังมีที่อยู่ แต่ฟางจิ่นซิ่วไม่สนใจ


ใต้หล้ากว้างใหญ่ที่ไหนก็อยู่ได้


นางนั่งอยู่ในลานมองจดหมายในมือ ใต้หล้ากว้างใหญ่ ไปเมืองหลวงงั้นหรือ? เมืองหลวงใหญ่กว่าไหมนะ?


“แต่ ทำเรื่องใดล้วนมีลาภเคราะห์อยู่ด้วยกัน เจ้าต้องคิดให้กระจ่าง ข้าเพียงเชิญเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องตกลง”


ฟางจิ่นซิ่วเบะปาก โยนจดหมายไปข้างหนึ่ง


เพียงแค่เชิญ แล้วเอ่ยคำเชิญกับกับข้าทำไม ไม่ไปเอ่ยกับคนอื่นเล่า? สงสารนางขายน้ำตาลปั้นอยู่ที่หยางเฉิงน่ะสิ


ความสามารถที่ร่ำเรียนทำบัญชีมาอย่าได้เสียเปล่าอะไร


ร้านแลกเงินตระกูลฟางทำไม่ได้แล้ว ก็มาทำให้ตระกูลจวินเถอะ


ฟางจิ่นซิ่วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง


โรงหมอตระกูลจวิน นางคิดว่านางแซ่จวินโรงหมอก็เป็นของตระกูลจวินจริงๆ แล้วรึ อย่าลืมว่านางยังเป็นหลานสาวของตระกูลฟาง ไม่ว่าทำสิ่งใดคนในโลกล้วนยังคงเชื่อมโยงนางกับตระกูลฟางเข้าด้วยกัน


เหมือนกับตนเช่นนี้ ถูกไล่ออกมา ไม่ได้เป็นคุณหนูสามแล้ว ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฟางแล้วจริงหรือ?


ดังนั้นสนมันไปใย อย่างไรก็เป็นเช่นนี้แล้ว อยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ


ฟางจิ่นซิ่วคว่ำหีบบนเตียงเตาดังพรึบ หยิบห่อผ้าใบหนึ่งออกมาอีกครั้ง


ถ้าอย่างนั้นก็เก็บของเถอะ


……………………………………….


บทที่ 154 ชื่อดังสุดท้ายย่อมมีคนเชื่อ

โดย

Ink Stone_Romance

สายฝนปลายฤดูใบไม้ร่วงตกปรอยๆ ราวกับไม่มีวันหยุด คนบนถนนน้อยลงไปมากนัก ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงยิ่งแลดูวังเวง


ด้านในโถงหอมกลิ่นยา ตู้ยาที่เดิมทีว่างเปล่าเวลานี้ค่อยๆ ถูกเติมช้าๆ


แต่ไม่ใช่สมุนไพรที่เก็บมาขาย เป็นยาชนิดต่างๆ ที่คุณหนูจวินคั่วเองหลังซื้อมา มียาเม็ดมียาทา ล้วนเป็นคุณหนูจวินนำหลิ่วเอ๋อร์ทำออกมา


พนักงานสองคนรับผิดชอบจัดวาง


นี่ก็ดีกว่าว่างทำเพียงเช็ดโต๊ะเก้าอี้ก่อนหน้านี้แล้ว


แต่สองคนนี้ทำยาก็ทำออกมาไม่ได้เท่าไร เวลามากกว่านั้นจึงยังคงว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันฝนตกแบบนี้


“คุณหนูจวินเล่นจนเหนื่อยแล้ว ไม่ออกไปเป็นหมอเร่แล้ว หรือหลังจากนี้จะอาศัยขายยา?” พนักงานคนหนึ่งเบื่อหน่ายหนักหนาเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน


“ขายยา ก่อนอื่นก็ต้องมีคนเชื่อถือเสียก่อนสิ ผู้คนแม้กระทั่งตรวจยังไม่ยอมให้ตรวจ จะมาซื้อยาที่พวกเราที่นี่ได้อย่างไร” พนักงานอีกคนเอ่ย


พวกเขากำลังคุยกัน คุณหนูจวินก็เดินออกมาจากด้านใน สองคนรีบยืนดีๆ สีหน้านอบน้อม


“พวกเจ้าไปร้านสมุนไพรเอาสมุนไพรบางอย่าง” นางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งไป


พนักงานสองคนรีบขานรับรับไป หยิบร่ม สองคนรีบร้อนออกจากประตูไป


คุณหนูจวินไม่ได้หมุนตัวกลับไป นั่งอยู่ด้านในโถงยกพู่กันเขียนบันทึกการแพทย์เคียงข้างเสียงฝนด้านนอก กรณีศึกษาทางการแพททย์ที่นางสะสมมาหนาเป็นเล่มแล้ว ตั้งแต่มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งนี่เป็นเรื่องที่นางยืนหยัดทำมาตลอด บันทึกกรณีศึกษาทางการแพทย์เหล่านั้นที่อาจารย์เคยบอกไว้


ไม่อาจให้อาจารย์นอกจากชื่อเสียง สิ่งใดก็ไม่เหลือไว้


โรงหมอจิ่วหลิงข้างในเงียบสงบไปหมด


แต่เวลานี้ในบ้านหรูหราหลังหนึ่ง บรรยากาศกลับเคร่งเครียดอยู่บ้าง ด้านในเรือนหลัง ใต้ร่วมไม้เขียวเสียงร้องไห้เบาๆ ดังมาเป็นระยะ


ในโถงรับแขกของเรือนหลังแห่งหนึ่งชายวัยกลางคนผู้หนึ่งขมวดคิ้วเดินไปมา เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าที่ได้หญิงรับใช้เดินนำมาเดินออกมาจากห้องด้านในก็รีบเข้าไปหา


“หมอหลวงเจียง” เขารีบเอ่ยถาม “ภรรยาเป็นอย่างไร?”


ผู้เฒ่าก็คือเจียงโหย่วซู่หมอหลวงแห่งสำนักแพทย์หลวง เอ่ยวาจาสีหน้าสงบ


“ท่านขุนนางใหญ่หลิน ยาของท่านหญิงลองรับต่ออีกสักสองสามชุดดู” เขาเอ่ย


ชายวัยกลางคนได้ยินคิ้วขมวดแน่น


ในฐานะขุนนางขั้นสองเขาไม่สะดวกพูด หญิงรับใช้ด้านข้างมองเข้าใจทันที


“ยานี้ทานมานานมากแล้ว ทำไมไม่เห็นผลแม้แต่นิด?” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น “ท่านหญิงของพวกเรายังคงเจ็บปวดร้องไห้ทุกค่ำคืน เป็นเช่นนี้ต่อไปจะได้อย่างไร”


“โรคมาดั่งเขาถล่ม โรคไปดุจสาวไหม โรคนี้ของท่านหญิงหลินสั่งสมโรคมานานแล้ว นี่เร่งร้อนไม่ได้” หมอหลวงเจียงเอ่ยขึ้น


ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ท่านขุนนางใหญ่หลินก็ไร้หนทางเหมือนกัน


“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านเปลืองแรงแล้ว” เขาเอ่ย


เจียงโหย่วซู่วันนี้ที่สำนักแพทย์หลวงคุณสมบัติอาวุโสที่สุด ทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากฮองไทเฮาอย่างมาก ท่านขุนนางใหญ่หลินไม่กล้าชักช้าไปส่งเองที่ประตูชั้นใน เพิ่งส่งหมอหลวงเจียงไป ก็เห็นหญิงรับใช้สองคนนำแม่เฒ่าคนหนึ่งเข้ามา


นี่คือแม่ชีเฒ่าคงจิ้งจากวัดฉือกวงเมืองหลวง


ท่านขุนนางใหญ่หลินส่ายศีรษะ พวกผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ ไม่สบายนอกจากหาหมอแล้วยังต้องไปเรียกพระมาสวดคัมภีร์ หาแม่ชีมาทำพิธีในบ้าน


ท่านขุนนางหลินแม้ไม่เชื่อสิ่งนี้ แต่ก็ไม่อาจห้าม สำหรับบรรดาผู้หญิงที่ป่วยไข้ บางครั้งการปลอบประโลมก็เป็นยาอย่างหนึ่งเหมือนกัน


แต่ครั้งนี้การปลอบประโลมนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผล แม่ชีเฒ่าคงจิ้งเก็บผีน้อยไปจากที่พักของท่านหญิงหลินสามตน เผาแผ่นยันต์ไปอีกหนึ่งกะละมัง ท่านหญิงหลินก็ยังคงเจ็บปวดยากจะทน ร้องไห้ไม่หยุด


สภาพเช่นนี้เป็นต่อกันมาเป็นเวลาเจ็ดแปดวันแล้ว เคี่ยวกรำท่านหญิงหลินผู้กินดีอยู่ดีสมบูรณ์พูนสุขจนเรียกได้ว่าไม้แห้ง


“เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องรอใช้ยาเหล่านั้น ข้าคงทนจนตายเสียก่อน” ท่านหญิงหลินร้องไห้อยู่ข้างใน


หญิงรับใช้สาวใช้ในนอกห้องล้วนร้องไห้ไปด้วย ร้องจนท่านขุนนางใหญ่หลินจิตใจว้าวุ่น


“ไปหาหมอชื่อดังมาอีก” เขาสั่งคนรับใช้


“ในเมืองหลวงนี้ไหนเลยมีหมอที่ชื่อดังยิ่งกว่าหมอหลวงเจียงอีก” ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินถือไม้เท้าเอ่ยขึ้น “ไปเชิญพระชั้นสูงมาอีกสักคนดีกว่า นี่เป็นผีร้ายเข้าสิงแล้ว”


แม่ลูกสองคนโต้เถียง หญิงรับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกห้องได้ยินเข้าในใจก็คิดขึ้นมา ทนจนทนไม่ไหวแล้ว แม้หวาดกลัวแต่กลับรู้สึกว่าไม่อาจพลาดโอกาสได้


“ท่านหญิงผู้เฒ่า นายท่าน บ่าวได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีหมอเทวดาคนหนึ่ง” นางกัดฟันคำนับที่ช่องประตูเอ่ยขึ้น


ตอนที่พนักงานสองคนซื้อสมุนไพรกลับมาก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้าประตู


นี่เป็นรถม้าสีดำสนิทเรียบๆ คันหนึ่ง ดูไปแล้วไม่สะดุดตา แต่ม้าที่ลากรถรวมถึงคนรถที่ยืนอยู่ด้านข้างรถล้วนมีบรรยากาศของความมั่งคั่งสูงศักดิ์อยู่บ้าง


พนักงานสองคนที่เป็นลูกศิษย์ของร้านแลกเงินซึ่งข้องเกี่ยวกับเงินทองเข้าใจทันทีว่านี่ไม่ใช่คนธรรมดา


แต่คนผู้นี้มาโรงหมอจิ่วหลิงทำอะไร?


หรือว่ามาเชิญคุณหนูจวินไปตรวจหรือ?


นี่เหมือนเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง แต่พนักงานทั้งสองคนความคิดแล่นผ่านไปก็เห็นคุณหนูจวินเดินออกมาจากโรงหมอจิ่วหลิง ผู้หญิงอายุสามสิบห้าสามสิบหกนำทางนาง


ผู้หญิงคนนี้ท่าทางเหมือนหญิงรับใช้คนหนึ่ง แต่เสื้อผ้าหน้าตากลับดูมีอำนาจ


มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ดูแลหญิงในบ้านตระกูลใหญ่


“คุณหนูจวินเชิญ” นางเอ่ยอย่างสุขุมทั้งมีมารยาท


คุณหนูจวินมองพนักงานสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง


“ข้าไปตรวจ” นางเอ่ย


หลิ่วเอ๋อร์ที่หิ้วหีบยาส่งใบรายการใบหนึ่งให้พนักงาน


“พอดี พวกเจ้าเฝ้าประตูไว้ ไม่ต้องตามไป” หลิ่บเอ๋อร์เอ่ย


พนักงานคนหนึ่งรับใบรายการไป มองอักษรบนนั้นสีหน้าประหลาดใจ รถม้าจากไปท่ามกลางสายฝนพรำ


“บ้านไหนมาเชิญคุณหนูจวิน?” พนักงานอีกคนรีบเข้าไปดู


ติ้งหยวนโหว สามคำเข้ามาในสายตาของเขา พนักงานอดไม่ได้สูดหายใจเฮือก


“คุณหนูจวินไปเข้าตาติ้งหยวนโหวตั้งแต่เมื่อไร?”


ชื่อเสียงถึงกับแพร่ไปถึงติ้งหยวนโหวคนฐานะเช่นนี้แล้วหรือ? ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองเทียบเชิญที่พนักงานส่งมาสีหน้าประหลาดใจเหมือนกัน


นับดูแล้วคุณหนูจวินก็ยังไม่ได้รักษาสักกี่คนเลยนะ เพียงแค่ครึ่งคืนหนึ่งตรวจรักษาได้เงินห้าพันตำลึงแล้ว แต่พริบตาคนก็ออกจากเมืองหลวงไปเงียบเชียบ


ชื่อเสียงวิชาแพทย์สูงส่งไม่ได้แพร่ออกไป จะพูดถึงชื่อเสียงก็คงเป็นชื่อเสียงน่าหัวร่อเรื่องเลือกคนป่วยตอนปฏิเสธตรวจหวังเฉาซื่อชักนำมา


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดไม่เข้าใจชื่อเสียงเช่นนี้ทำไมแพร่ไปถึงหูคนสูงศักดิ์เช่นนั้นได้ นอกจากนี้ยังถูกเชิญไปรักษาโรคอีกด้วยนะ?


ต่อให้โรคร้ายหาหมอส่งเดช หมอที่คนเหล่านี้ไปหาก็พิถีพิถันมาก


คิดไม่เข้าใจจริงๆ


“พี่สาวใหญ่คนนั้นของข้าบอกว่าบ้านเฉาเหลียงคู่เดิมก็ไม่เชื่อ แต่สหายของภรรยาเฉาเหลียงคู่ก่อนไปกำชับกำชาไว้ พบโรคที่ไม่อาจรักษาต้องไปหาคุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิงคนนี้”


“เด็กคนนั้นกรีดร้องเพียงตอนกลางคืน กลางวันก็เหมือนคนทั่วไป ยาก็กินแล้ว ในวัดก็เชิญคนมาดูแล้วก็ไร้หนทาง”


“ภรรยาของเฉาเหลียงคู่ตัดสินใจลองดู ดังนั้นให้คนเชิญคุณหนูจวินคนนี้มา”


“ก่อนมาไม่บอกคุณหนูจวินว่าใครป่วย แต่ทั้งครอบครัวมาอยู่ตรงหน้าคุณหนูจวิน ให้นางดูว่าใครมีลางร้าย”


“คุณหนูจวินนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ไม่ได้จับชีพจร เพียงมองรอบหนึ่งก็ชี้ว่าเด็กคนนี้มีปัญหา”


ได้ยินหญิงผู้นั้นเอ่ยถึงตรงนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วขัดนาง


“นางเดินวนเวียนที่ถนนทั้งวัน ไม่แน่ว่านางอาจเคยได้ยินว่าเด็กคนนี้ป่วยมาก่อนแล้วก็ได้นะ” นางว่า


แม่เฒ่าคนรับใช้ฉีกยิ้มแล้ว


“ก็มีความเป็นไปได้นี้” นางเอ่ย “คุณหนูจวินใช้ยาขนานเดียวเท่านั้น ฝังหนึ่งเข็ม เด็กคนนี้ก็หายดีแล้ว”


ทายคนป่วยออกมาได้ไม่นับเป็นอะไร ที่สำคัญอย่างแท้จริงคือรักษาหายได้ บรรดาผู้หญิงในห้องสบตากันทีหนึ่ง


“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินก็ทำตามที่พูดว่าจะรักษาคนมีวาสนาจริงๆ สิ ไม่เช่นนั้นอยู่บนถนนนานขนาดนี้ไม่รับตรวจสักนิด เจ้าบอกว่าวิชาแพทย์ของนางไม่ไหว แต่สองคนนี้ที่นางรับตรวจเห็นผลทันตา” แม่เฒ่าหญิงรับใช้เอ่ยต่อ “ตอนนี้คนบนถนนล้วนไม่กล้าหัวเราะนางแล้ว ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ทุกคนใครร่างกายไม่สบายล้วนยินดีไปเดินผ่านหน้านาง คุณหนูจวินไม่พูดว่าลางร้ายไม่สนใจ ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร ดีอกดีใจไปหาหมอคนอื่นตรวจแล้ว”


ถึงกับมีคนเช่นนี้


บรรดาหญิงในห้องสบตากันทีหนึ่ง


ด้านนอกพลันมีหญิงรับใช้อีกคนหนึ่งก้าวไวๆ เข้ามา


“ท่านหญิงเฒ่า” นางคำนับท่านหญิงผู้เฒ่าหลิน “สืบมาชัดแล้วเจ้าค่ะ เป็นบุตรสาวของคนดังของหรู่หนาน นายอำเภอฝู่หนิงจวินอิ้งเหวิน”


บรรดาหญิงในห้องล้วนประหลาดใจมาก


“ถึงกับเป็นทายาทของขุนนางคนหนึ่ง?” พวกนางเอ่ยขึ้น


“ใช่แล้วเจ้าค่ะ โรงหมอจิ่วหลิงที่หรู่หนาน เป็นกิจการบรรพบุรุษตระกูลจวิน” หญิงรับใช้เอ่ยต่อ “จงใจตามหาคนหรู่หนานถามแล้ว ล้วนแต่เอ่ยชม บอกว่าสุดยอด”


ถึงกับวิชาแพทย์สูงส่งจริงๆ? บรรดาผู้หญิงสบตากันอีกครั้ง


“ที่ถนนก็สืบมาแล้ว มาไม่ทันสองเดือน โรงหมอจิ่วหลิงเปิดใหม่ อยู่ที่ถนนเป็นหมอเร่จริงๆ แต่กลับไม่ตรวจโรคให้คน พูดจาประหลาดอยู่บ้าง ตรวจโรคก็ช่างเลือก” หญิงรับใช้เอ่ย


“บ่าวชราไม่ได้โกหก” แม่เฒ่าคนรับใช้ก็รู้ว่าท่านหญิงผู้เฒ่าหลินต้องให้คนไปสืบ ไม่มีทางฟังตนเองก็เชื่อ เวลานี้ได้ยินหลักฐานก็ดีใจรีบเสริม “บนถนนนี้แพร่ไปทั่วแล้ว ไม่มีทางหลอกลวงหรอก”


“แต่นางไม่ได้ตรวจคนป่วยมาสักกี่คนจริงๆ” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น


ฟังเช่นนี้แล้วมหัศจรรย์นัก


ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินกระทุ้งไม้เท้า


“ที่แท้เสแสร้งแกล้งหลอกหรือพาข้ามเพียงคนมีวาสนาเท่านั้นจริงๆ ทดลองดูก็รู้แล้ว” นางเอ่ยขึ้น “เชิญ”


คุณหนูจวินเลิกม่านรถ มองประตูตรงหน้า


ป้ายจวนของจวนติ้งหยวนโหวสะดุดตายิ่งนัก


รถม้าไม่ได้หยุดลงแต่ตรงเข้าไปจากประตูตรงมุม แล่นตรงไปถึงประตูชั้นในถึงหยุดลง


“คุณหนูจวินเชิญเถอะ” หญิงรับใช้ด้านนอกเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินลงจากรถ หลิ่วเอ๋อร์รีบหิ้วหีบยา


บ้านหลังนี้ใหญ่มากอลังการมาก ตระกูลฟางที่หยางเฉิงก็ใหญ่มากอลังการมากเหมือนกัน แต่ความรู้สึกไม่เหมือนกัน


ทว่ามองสีหน้าคุณหนูจวินราบเรียบ หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงสงบ


นี่ทำให้หญิงรับใช้สองคนที่มารับตรงประตูชั้นในประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ที่ประหลาดใจก็คือเด็กสาวคนนี้อายุน้อยขนาดนี้ แล้วก็ประหลาดใจว่าเด็กสาวอายุน้อยขนาดนี้ท่าทางสุขุมนิ่งสงบเช่นนี้


เหมือนกับไม่ใช่เด็กสาวที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเล็กตระกูลน้อย แล้วก็ไม่ใช่หมอเร่ที่เดินลัดเลาะตรอกซอกซอย แต่เป็นผู้ที่เห็นบ้านคนสูงศักดิ์จนชินเดินอยู่ในนั้นบ่อยๆ


มีท่าทางอย่างคนชั้นสูงอยู่จริงๆ


“คุณหนูจวิน เชิญทางนี้” พวกนางเก็บสีหน้าเอ่ยขึ้นติดจะจริงจัง


สาวใช้อายุน้อยสองคนถือร่มก้าวไปข้างหน้า คุณหนูจวินพยักหน้า ก้าวเดินตามไป ไม่นานก็มาถึงเรือนที่อยู่ของท่านหญิงหลิน


สาวใช้สองข้างยืนเรียงรายมองนางอย่างสนใจใคร่รู้ ผ้าม่านถูกเปิด ในห้องสาวใช้รายล้อม ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือผู้หญิงชราผมขาวเต็มศีรษะคนหนึ่ง สีหน้าทรงอำนาจ


ฉีซื่อท่านหญิงผู้เฒ่าของติ่งหยวนโหว


นางรู้จัก แล้วก็นับว่าคุ้นเคยมากด้วย


ปีใหม่เทศกาลเข้าวังมาเข้าเฝ้า ล้วนยิ้มแย้มจูงมือนาง


“องค์หญิงตัวน้อยของข้า ท่านผอมลงอีกแล้ว”


คุณหนูจวินหลุบสายตาลง ก้าวข้ามธรณีประตู


ในที่สุดก็พบคนที่เคยพบในอดีตคนหนึ่งแล้ว


……………………………………….


บทที่ 155 ความเชื่อมั่นก็คือถูกเชื่อถือ

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่รถม้าจอดหน้าโรงหมอจิ่วหลิง ฝนก็หยุดแล้ว


มองเห็นคุณหนูจวินลงจากรถม้า ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็รีบเข้ามารับ ตอนอยู่ไกลๆ เขาก็จำได้แล้วว่านี่เป็นรถม้าของจวนติ้วหยวนโหว ไม่ต้องพูดถึงเห็นใกล้ๆ แล้ว


หลังคนรถคำนับก็ขึ้นรถจากไป


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก้าวเข้ามาด้านในโถงเป็นเพื่อนคุณหนูจวิน พลางอดรนทนไม่ไหวเอ่ยถาม


“เป็นอย่างไรขอรับ?” เขาเอ่ยถาม


“อะไรเป็นอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม “ผู้ดูแลใหญ่ หมอย่อมต้องรักษาความลับของคนไข้ ข้าไม่อาจบอกอาการป่วยกับท่านได้”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกระแอมทีหนึ่ง


เด็กน้อยคนนี้คิดอะไรกัน ใครจะสนว่าป่วยอะไร ที่เขาถามว่าเป็นอย่างไรย่อมถามว่ารักษาแล้วเป็นอย่างไร


“ในเมื่อข้ายอมไปรักษาย่อมไม่มีปัญหาแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยราวกับว่าคำถามที่เขาถามประหลาดมากนัก


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกระแอมทีหนึ่ง


มองรถม้าที่ส่งนางกลับมารวมถึงท่าทีของคนรถ ก็จินตนาการออกว่าน่าจะราบรื่นยิ่งนัก


“ถ้าอย่างนั้นจวนติ่งหยวนโหวเชิญท่านได้อย่างไร?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม


คุณหนูจวินเสตามองเขาทีหนึ่ง


“คุณหนูของข้าร้ายกาจขนาดนี้ ไม่เชิญนางเชิญใคร?” หลิ่วเอ๋อร์แค่นเสียงเอ่ยขึ้น กลอกตาใส่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว “ท่านลุงท่านนี้ทำไมพูดจาไม่เป็นเช่นนี้เล่า?”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกระแอมอีกครั้ง


นี่เรียกพูดจาไม่เป็นรึ? เหมือนจะเกินไปหน่อย


แต่นอกจากคำพูดเหล่านี้ก็ดูเหมือนไม่มีสิ่งอื่นที่พูดได้แล้ว เรื่องที่ต้องพูดนางก็ล้วนพูดไปแล้ว


“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ววางใจ ข้ารับรักษาแล้วไม่มีทางพลาด” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ข้าทราบว่าเมืองหลวงอยู่ไม่ง่าย จะไม่ประมาทเลินเล่อ”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้ม


“ข้ารู้ ข้ารู้” เขาลูบเคราเอ่ยขึ้น “ที่จริงข้ากำลังดีใจกับท่าน คิดไม่ถึงว่าไม่เป็นภูเขาโผล่พ้นน้ำ ชื่อเสียงของท่านก็แพร่ไปถึงจวนติ้งหยวนโหวแล้ว”


ที่ต้องการก็คือผลลัพธ์อย่างภูเขาไม่โผล่พ้นน้ำเช่นนี้


คุณหนูจวินยิ้มไม่เอ่ยวาจา หลิ่วเอ๋อร์กลับไม่พอใจแล้ว


“อะไรเรียกว่าภูเขาไม่โผล่พ้นน้ำ คุณหนูของข้าเป็นหมอเร่ที่เมืองหลวงเกือบหนึ่งเดือนแล้ว” นางเอ่ย “ทุกวันเดินถนนตรอกซอกซอย แค่ผลไม้เชื่อมที่แจกจ่ายไปก็มากนักแล้ว ชื่อเสียงแพร่สะพัด”


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่า


“ใช่ใช่” เขาเอ่ย ย่อมไม่โต้เถียงกับสาวใช้ที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างคนหนึ่ง ปรับสีหน้าอีกครั้ง “โรคนี้ท่านมั่นใจว่าไม่มีปัญหา?”


คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า


“ไม่มีปัญหา วันนี้ยาขนานเดียวก็แก้ได้แล้ว วันพรุ่งนี้มะรืนนี้ใช้อีกสามครั้งก็ไม่มีปัญหาแล้ว” นางว่า


เร็วขนาดนี้?


ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าประหลาดใจ


จวนติ้งหยวนโหวนเมื่อตามหานางไปตรวจโรค เห็นได้ชัดว่าอาการป่วยของคนในบ้านหมดหนทางแล้ว ดังนั้นโรคร้ายหาหมอส่งเดช


คนในจวนผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นโหว[1]เช่นนี้ล้วนเป็นเจียงโหย่วซู่หมอที่ดีที่สุดของสำนักแพทย์หลวงรับรักษา


โรคที่เจียงโหย่วซู่ยังรักษาไม่หาย นางบอกว่าสามวันก็หายแล้ว?


คำพูดนี้ตนเองพูดก็พูดได้ แต่อย่าได้บอกกับผู้อื่น


“ท่านคงไม่ได้บอกกับพวกเขาเช่นนี้กระมัง?” เขาหยั่งเชิงเอ่ยถาม


“บอกแล้วสิ” คุณหนูจวินว่า “ทำไมจะไม่บอก แบบนี้ดีกับคนป่วย นางฟังแล้วจะได้ดีใจ อาการป่วยก็หายดีเร็วขึ้นอีก”


ข้ายังพูดอะไรได้อีก ท่านเชื่อมั่นในตัวเองขนาดนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วจิ๊ปากไม่พูดจา



“คุณหนูจวินมาแล้ว”


บรรดาสาวใช้บนทางเดินมองเห็นเด็กสาวที่สะพายหีบยาเดินเข้ามาในเรือน ยิ้มแย้มแจ้งข้างใน พลางเลิกม่านขึ้น


ด้านในห้องเสียงหัวเราะของผู้หญิงทั้งหลายลอยออกมา


เสียงหัวเราะเช่นนี้ เรือนในของจวนติ้งหยวนโหวไม่มีมาหลายวันแล้ว


ด้านในห้องพวกผู้หญิงนั่งกันอยู่เต็ม ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินนั่งเอนกายผ่อนคลายอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง เห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามาก็นิ่งไม่ขยับ


แน่นอนย่อมไม่ขยับ ตอนนี้นางเป็นภรรยาของผู้มีบรรดาศักดิ์โหว นางเป็นเพียงหมอหญิงคนหนึ่ง


คุณหนูจวินก้าวเข้าไปคำนับ


“คุณหนูจวินเร็วไม่ต้องเกรงใจ” ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินยิ้มเอ่ยขึ้น ยื่นมือชี้ด้านในห้อง “ยาของท่านใช้ได้ดีจริงๆ ลูกสะใภ้คนนี้ของข้าดีขึ้นมาแล้ว”


คุณหนูจวินคำนับเอ่ยขอบคุณ


“ถ้าเช่นนั้นข้าไปป้อนยาให้ท่านหญิงก่อน” นางเอ่ย


ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินยิ้มพยักหน้า มองคุณหนูจวินเดินเข้าไปด้านในห้อง


ม่านของห้องด้านในถูกเลิกขึ้น ท่านหญิงหลินไม่ได้นอนอยู่เหมือนกับก่อนหน้านี้ แม้หน้าตายังคงซีดเซียว แต่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากแล้ว ยังให้คนหวีผม กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง


สาวใช้หญิงรับใช้ด้านในห้องรีบหลีกทางเชิญคุณหนูจวินเข้ามาใกล้


คุณหนูจวินมองพิจารณาท่านหญิงหลินยิ้มเล็กน้อย


“ท่านหญิงสีหน้าดีขึ้นแล้ว” นางเอ่ย


ท่านหญิงหลินก็ยิ้มเช่นกัน


“หลายวันนี้ เมื่อคืนวานข้าหลับสบายเป็นคืนแรก” นางว่า “คุณหนูจวินวิชาแพททย์สุดยอดจริงๆ”


คำชม คุณหนูจวินยิ้มรับไม่เคยปฏิเสธเสมอ


นางเปิดหีบยาหยิบเข็มทองออกมา


“ข้ามาฝังเข็มให้นายหญิงอีกสักหลายเข็ม” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน


บรรดาสาวใช้ก้าวเข้าไปช่วยท่านหญิงหลินถอดอาภรณ์ ท่านหญิงหลินไม่เขินอายอึดอัดสักนิด หมุนตัวนอนคว่ำบนเตียง แม้กระทั่งม่านมุ้งก็ไม่ปลดลงให้นางลงเข็ม


เข็มทองเล่มยาวค่อยๆ ฝังเต็มแผ่นหลังของท่านหญิงหลิน


คุณหนูจวินลงเข็มไปพลาง ก้มหน้าเอ่ยถามความรู้สึกของท่านหญิงหลินไปพลาง ท่านหญิงหลินก็เอ่ยตอบไปทีละอย่างๆ


“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้ารู้สึก…” ท่านหญิงหลินยังเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเอง อยากพูดแล้วก็หยุด


คุณหนูจวินไม่รอนางเอ่ยจบ คุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างเตียง เอนหูไปตรงหน้าท่านหญิงหลิน


ท่านหญิงหลินกระซิบกระซาบกับนาง คุณหนูจวินพยักหน้าไปพลาง ไม่รู้ว่าพูดอะไร ท่านหญิงหลินพลันหัวเราะพรึดแล้ว


“แม่นางน้อยเช่นเจ้าเข้าใจหรือไม่เล่า?” นางหัวเราะเอ่ย


คุณหนูจวินมองนางสีหน้าไม่สะทกสะท้าน


“ท่านหญิง ข้าไม่ใช่เพียงแม่นางน้อย ข้ายังเป็นหมอด้วยนะ หมอสิ่งใดล้วนต้องเข้าใจ” นางว่า


ท่านหญิงหลินเม้มปากยิ้มแล้ว เอนศีรษะไปหานางอีกครั้ง คุณหนูจวินสีหน้าตั้งใจฟัง พยักหน้าเป็นระยะ


ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินด้านนอกมองด้านนี้อยู่ตลอดคลายใจไปมาก


“ยังไม่ต้องพูดถึงวิชาแพทย์ของคุณหนูจวินเป็นอย่างไร พวกเราผู้หญิงพบหมอ ยังไงผู้หญิงมาก็ดีที่สุด” นางเอ่ยกับคนข้างกาย “หากเป็นพวกหมอหลวงเหล่านั้นจะกล้าใช้เข็มเช่นนี้หรือ?”


บรรดาผู้หญิงข้างกายล้วนหัวเราะแล้ว


“ไม่ต้องพูดถึงใช้เข็มหรอก นอกจากจับชีพจร หมอหลวงยังไม่กล้ามองท่านหญิงเพิ่มสักทีสองที” ผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะเอ่ยขึ้น


“ใช่แล้ว หมอดูฟังถามจับ ขาดสิ่งใดไม่ได้” นายหญิงผู้เฒ่าหลินเอ่ย “ไม่อย่างนั้นตรวจอาการให้ยาย่อมเบี่ยงแบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราผู้หญิงมีอาการเจ็บป่วยในที่ลับบางแห่ง ไม่ต้องพูดถึงบอกแก่บรรดาหมอหลวงเลย แม้กระทั่งพวกหญิงรับใช้ก็ไม่ยินดีพูดมาก ถามมาถามไปส่งต่อมาส่งต่อไป จะรู้อะไรได้เล่า”


นางพูดชี้ด้านในห้อง


“ดูสิแบบนี้ ทั้งสะดวก ทั้งชัดเจน”


ผู้หญิงทั้งหลายล้วนถอนหายใจ


เสียงคุยเล่นด้านนอกลอยเข้ามาบ้างแผ่วเบา คุณหนูจวินไม่ได้สนใจมากนัก หลังใช้เข็มผ่านไป หลิ่วเอ๋อร์ก็ต้มยาเสร็จ


มีบรรดาสาวใช้ก้าวเข้ามาประคองท่านหญิงหลินทานยา


ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินด้านนอกก็เข้ามาด้วย ถามคุณหนูจวินเรื่องคุยเล่นจำพวกเรียนวิชาแพทย์ตั้งแต่อายุเท่าไร


กำลังพูดจาอยู่ก็มีหญิงรับใช้เข้ามา


“ท่านหญิงผู้เฒ่า บ้านหัวหน้ากองพันลู่มาเชิญแม่ครัวฟาง” นางเอ่ย


เสียงหัวเราะพูดคุยในห้องชะงักไป ส่วนคุณหนูจวินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก้มหน้าลง


“น่าจะให้คนมาเชิญเพื่อองค์หญิงจิ่วหลี” ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้องค์หญิงจิ่วหลีชอบทานขนมถั่วแดงที่น้าฟางของพวกเราทำมาก”


“ใช่แล้ว ไม่ได้ทานหลายปีแล้ว” ท่านหญิงหลินเอ่ยขึ้น


ในห้องเงียบงันไปครู่หนึ่งอีกครั้ง


องค์หญิงจิ่วหลีสามพี่น้องหลบเร้นอยู่ในวังไหวอ๋อง ไม่ติดต่อกับโลกภายนอก พวกเขาย่อมไม่อาจไปส่งของกินอะไรได้


“องค์หญิงจิ่วหลีไม่ใช่คนที่จะขอขนมของกินจากคนอื่นเสียหน่อย” ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินยิ้มเอ่ย “ต้องเป็นหัวหน้ากองพันลู่รู้ว่านางชอบสิ่งนี้แน่”


บรรดาผู้หญิงในห้องล้วนหัวเราะตาม


“เป็นคนใส่ใจเหมือนกันนะ


พวกนางเอ่ย


“ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผู้หญิงน่ะ ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย มีคนรู้ร้อนรู้หนาวคนหนึ่ง ชีวิตนี้ก็ดีมากแล้ว” ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินถอนหายใจเอ่ยขึ้น “อย่างอื่น ล้วนเป็นสิ่งลวง”


บรรดาหญิงในห้องล้วนรับคำ คุณหนูจวินก้มหน้ามองหีบยาของตนเองเงียบงันไร้วาจา


……………………………………….


[1]โหว (侯) บรรดาศักดิ์ขั้นที่สองจากบรรดาศักดิ์ห้าขั้นของขุนนางในสมัยโบรารของจีน


บทที่ 156 ความลับที่ซ่อนไว้

โดย

Ink Stone_Romance

อย่างไรที่พูดก็เป็นเรื่องของหัวหน้ากองพันลู่กับองค์หญิงจิ่วหลี บ้านตนเองปิดประตูพูดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น อยู่ต่อหน้าคนนอกถึงต้องระวังสักหน่อย


มีคนมองคุณหนูจวินกระแอมทีหนึ่ง เตือนทุกคนวาจาไม่อาจพูดส่งเดช


“ถ้าเช่นนั้นข้าไปจัดการสักครู่” สะใภ้คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินพยักหน้า


“ไปเถอะ ก็แค่แม่ครัวคนหนึ่ง ไม่ต้องกลัวข้อห้ามอะไร” นางเอ่ย


สะใภ้คนนั้นขานรับจากไป


คุณหนูจวินก็ลุกขึ้นยืนหยิบธูปหอมกำหนึ่งออกมา


“ท่านหญิงกลางคืนยามนอนหลับจุดไว้ก็พอแล้ว” นางว่าเอ่ยจบคำนับบอกลา “พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก”


ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินสีหน้ายิ่งพอใจ


นางอายุมากพบคนมามากมายแล้ว ในเรือนในนี่พวกผู้หญิงที่เดินไปมาคนไหนไม่ระริกระรี้ มีประโยชน์นิดหนึ่งก็อดไม่ได้โอ้อวดออกมา ใจหวังปีนป่ายลาภยศ


แต่เด็กสาวคนนี้ตั้งแต่มา วาจาไม่พูดมากถึงขนาดอาการป่วยก็ไม่ถาม จับชีพจรจ่ายยาทันที ตรวจเสร็จก็ไป ไม่รั้งอยู่หาเรื่องคุยสักนิด


เป็นนิสัยของตระกูลที่เป็นหมอสืบทอดรุ่นสู่รุ่นจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นคุณหนูของตระกูลขุนนาง นี่คุณธรรมสูงส่งอยู่ในกระดูก


คบหากับคนเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนวางใจและไม่หนักใจ


“ลำบากคุณหนูจวินแล้ว” ท่านหญิงผู้เฒ่าหลินเอ่ยขึ้นอ่อนโยน


“พรุ่งนี้มาอีก” ท่านหญิงหลินก็ยิ้มเอ่ย ตอนนี้เพิ่งพบหน้ากันสองครั้งก็รู้สึกว่าสนิทสนมกับแม่นางน้อยคนนี้มาก


คุณหนูจวินไม่ได้เอ่ยวาจาอีกคำนับพาหลิ่วเอ๋อร์ขอตัว


“คุณหนู พรุ่งนี้ก็รักษาหายแล้ว เร็วจริงนะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยดีใจอยู่ด้านหลัง


คุณหนูจวินส่งเสียงตอบรับ


“ใช่ เร็วจริงๆ นะ” นางเอ่ย


อยู่ในเรือนนี้เร็วอย่างที่คิด เร็วขนาดนี้ก็ได้ยินข่าวของพี่สาวแล้ว


เดินมาถึงประตูด้านใน รถม้าก็รออยู่ด้านในแล้ว นอกจากรถที่นางนั่งตอนมา ยังมีเพิ่มอีกคันหนึ่ง หญิงรับใช้คนหนึ่งกำลังแร่งแม่ครัวคนหนึ่งขึ้นรถ


“ไปถึงที่นั่นก็ไม่ต้องพูดมาก ให้ทำอะไรก็ทำอันนั้น” หญิงรับใช้เอ่ยกำชับ


แม่ครัวคนนั้นขานรับหลายหน


คุณหนูจวินหยุดฝีเท้า


นี่ก็คือแม่ครัวที่จะไปพบท่านพี่หรือ?


นางมองรถม้าวิ่งผ่านด้านหน้าไป อดไม่ได้ยกเท้าขึ้น


อยากไปนัก อยากไปด้วยนัก…


“คุณหนูจวิน” เสียงของหญิงรับใช้ดังขึ้นข้างหู “เชิญขึ้นรถเถอะ”


คุณหนูจวินหันสายตากลับมาหลุบตาลงขึ้นรถ


รถม้าขับออกจากจวนติ้งหยวนโหว แยกไปซ้ายขวากับรถม้าที่ออกจากประตูก่อนคันนั้น


มองเห็นคุณหนูจวินกลับมา พนักงานสองคนก็รีบเข้ามารับ


“สมุนไพรที่คุณหนูสั่ง ซื้อมาครบแล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ยอย่างนอบน้อม


“คุณหนูตอนนี้จะทำยาหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม


“เจ้าล้างสมุนไพรให้สะอาดก่อน ข้าออกไปข้างนอกเที่ยวหนึ่ง” คุณหนูจวินเอ่ย


หลิ่วเอ๋อร์ขานรับ หิ้วหีบยาดีอกดีใจเข้าไป ส่วนพนักงานสองคนเจ้ามองข้าข้ามองเจ้ามองหลิ่วเอ๋อร์แล้วก็มองคุณหนูจวินที่เดินออกไปข้างนอกแล้ว


ให้นางออกไปคนเดียวหรือ?


แต่ดูแล้วนายบ่าวสองคนนี้ก็ไม่มีความเห็นอะไร ปากที่อ้าออกของพวกเขาก็ได้แต่หุบลง


บนถนนใกล้เวลาเที่ยงคนยิ่งมาก โรงน้ำชาร้านสุรายิ่งคนเต็มจนแออัด คุณหนูจวินเดินผ่านถนนที่คึกคักแต่ไม่ได้หยุด


นางเดินเข้ามาในตรอกเส้นหนึ่ง ตัดผ่านไปออกจากตลาดครึกครื้น ฝั่งนี้แลดูเงียบสงบอยู่บ้าง


นางเดินออกมาจากปากตรอกก้าวไปด้านหน้าไม่กี่ก้าวก็หยุดยืน แววตาล่องลอยอยู่บ้างราวกับไม่รู้ว่าควรไปทางไหน แล้วราวกับหวาดกลัวเพราะความเงียบสงบนี้อยู่บ้าง มือที่วางไว้ด้านหน้าร่างจึงกำขึ้นมา


นางเคยทำเรื่องหนึ่ง พูดให้ชัดคือเรื่องดีเรื่องหนึ่งแล้วก็เรื่องร้ายเรื่องหนึ่ง


เมื่อติดตามอาจารย์ปีที่สาม นางเริ่มตระเตรียมยาสำหรับโรคของพระบิดา หลังจากนั้นใช้เวลาอีกสองปี ด้วยคำชี้แนะจิกกัดเสียดสีของอาจารย์ก็คลำศึกษาสูตรยาอันหนึ่งออกมาได้


“เจ้าจงคิดให้ดี โรคของบิดาเจ้าสูตรยาเพี้ยนไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าทำไมหลายปีขนาดนี้หมอหลวงมากมายขนาดนั้นไม่ให้เทียบยากับบิดาของเจ้า” อาจารย์เอ่ยเตือนนาง


นางก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ ไม่รู้ ตอนนี้เป็นวิชาแพทย์จึงรู้แล้ว อันตรายมากจริงๆ ดังนั้นนางจึงถือสูตรยานี้อยู่นานไม่กล้าให้พระบิดาใช้


ดูท่าสวรรค์คงเวทนาคำอธิษฐานและความพากเพียรของนาง ครั้งนั้นตอนกลับเมืองหลวง ถึงกับให้นางพบคนที่อาการป่วยเช่นเดียวกันกับพระบิดาของนางคนหนึ่ง


นี่เป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่ง นางตัดสินใจใช้เขาทดลองยา


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาจารย์ไม่มีทางเห็นด้วย พระบิดารู้ก็ต้องคัดค้านเช่นกัน นางไม่กล้าบอกผู้ใด รวมถึงเด็กหนุ่มที่ต้องถูกนางทดลองยาคนนี้


นางลอบทำเรื่องนี้ พาเด็กหนุ่มคนนี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวง ให้เขาใช้สูตรยานี้


ตกลงกับเด็กหนุ่มคนนี้ หลังครึ่งปีหากปลอดภัยไร้อันตรายก็ให้มอบสูตรยานี้แก่พระบิดา สัญญาจะให้ความมั่งคั่งร่ำรวยมหาศาลกับเขา


แต่หลังจากนั้นไม่ทันรอได้ข่าวอันใดจากเด็กหนุ่มคนนี้ กลับรอจนได้ข่าวการป่วยจากไปของพระบิดา


หลังนางกลับมาก็ไม่ได้ไปตามหาเด็กหนุ่มคนนี้อีก


เด็กหนุ่มคนนั้นไม่หนีไปแล้วก็ตายไปแล้ว นางเคยถามท่านพี่ ท่านพี่บอกว่าพระบิดาไม่เคยใช้สูตรยาที่นางฝากคนส่งมาเลย


หรือก็คือสูตรยาของนางใช้ไม่ได้ผลสักนิด


แม้นางไม่ยินยอม แต่ก็จำต้องยอมรับชะตา ยอมรับชะตาอายุขัยสั้นของพระบิดา ยอมรับชะตาตายตามสามีของพระมารดา หลังจากนั้นแต่งงานกับผู้อื่น ยอมรับชะตาที่ต้องถูกขังอยู่ในบ้านทั้งชีวิต


คิดไม่ถึงสองปีให้หลัง ตอนนางเข้าวังไปคำนับไทเฮา จะถูกนางกำนัลน้อยปิงเอ๋อร์แอบลอบขวางไว้ลับๆ


ปิงเอ๋อร์คนนี้เคยรับใช้นางมาก่อน นางคิดว่านางพบเจอเรื่องอยุติธรรมอันใดอยากขอให้นางช่วย


คิดไม่ถึงปิงเอ๋อร์หน้าซีดขาวคุกเข่าดังตึง


“องค์หญิง องค์รัชทายาทไม่ได้ประชวรสิ้นพระชนม์” นางเสียงสั่นเอ่ยขึ้น


คิดถึงนาทีนั้น คุณหนูจวินยังรู้สึกในหูดังวิ้งๆ อยู่ คนทั้งร่างราวถูกสายฟ้าฟาด


นางสูดหายใจลึกหลายทีทำให้ตนเองสงบลง


ปิงเอ๋อร์บอกนางว่าบิดาใช้สูตรยาที่นางให้แล้ว นอกจากนี้เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายดีเช่นกัน ไม่ได้ตายสักนิด


“องค์รัชทายาทพบเด็กหนุ่มคนนั้น ตำหนิองค์หญิงว่าท่านทำเรื่องเหลวไหล เอาเงินจำนวนหนึ่งให้เขาส่งออกไป”


“ต่อมาองค์รัชทายาทรับสูตรยามา”


“องค์รัชทายาทไม่ได้ไม่ใช้ยา ท่านให้ข้ากับพี่สาวต้มยา ไม่ได้บอกผู้ใดว่าใช้สูตรยานี้”


“องค์รัชทายาทตรัสว่านี่เป็นใจกตัญญูขององค์หญิงท่าน จะไม่ลองดูบ้างได้อย่างไร”


“องค์รัชทายาทไม่ให้บอกแก่ผู้ใด เกรงทุกคนกังวล”


แต่ก็ยังล้มเหลวไม่ใช่หรือ?


“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ได้ล้มเหลว” ปิงเอ๋อร์เงยหน้าสีหน้าหวาดผวา “พี่สาวของข้าก่อนหน้านี้ออกไปข้างนอกพบคนผู้นั้น องค์หญิง คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่”


คุณหนูจวินหลับตาลง ห้ามน้ำตาไว้ มือที่กุมอยู่ด้านหน้าร่างเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ


“องค์หญิง หากท่านไม่เชื่อก็ไปถามพี่สาวของข้า พี่สาวของข้าหลังถูกส่งออกจากวัง แต่งงานไปอยู่ที่ตรอกด้านหลังศาลเทพเจ้ากวนอู บ้านหลังที่สามนับจากตะวันออกไปตะวันตก”


คุณหนูจวินสูดหายใจลึกทีหนึ่ง ห้ามร่างกายให้หยุดสั่น


ตอนนั้นนางไม่ได้มาที่นี่ นางมาไม่ได้ หากนางมาที่นี่ต้องความแตกแน่ นี่เป็นหลักฐาน หลักฐานว่าฉีอ๋องสังหารพี่ชายคนโตก่อหายนะ


หลังนางสังหารฉีอ๋อง นี่จะเป็นหลักฐาน


นางถือมีดบุกเข้าไปในวัง ตัดสินใจสู้ตาย ไม่อย่างนั้นฉีอ๋องที่นั่งบัลลังค์มั่นคงแล้วก็ยังคงมือเดียวปิดฟ้าได้เหมือนเก่า


มีเพียงสังหารฉีอ๋องก่อนถึงจะมีโอกาสสู้


ผลสุดท้ายนางยังคงล้มเหลว


แต่นางมีโอกาสอีกครั้งแล้ว


คุณหนูจวินลืมตามองด้านหน้า ตอนนั้นเรื่องที่ทดลองยากับเด็กหนุ่มคนนั้นเก็บเป็นความลับที่สุด ไม่มีผู้ใดรู้ นอกจากนี้หลังจากนั้นนางได้รู้ความจริงกะทันหัน ตัดสินใจกะทันหัน ตายก็กะทันหัน ไม่ว่าปิงเอ๋อร์ในวังหรือพี่สาวของปิงเอ๋อร์ด้านนอกวัง หรือกระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นล้วนยังไม่ถูกเปิดเผย


ขอเพียงพวกเขายังมีชีวิตอยู่ดี ก็ยังคงเป็นหลักฐานเหมือนเดิม


ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาไปพบ แล้วก็ไม่อาจวางแผนอะไรได้ รออีกหน่อย


คุณหนูจวินยกเท้าก้าวเดินหมุนตัวจะเข้าไปในตรอก ในตรอกกลับมีคนผู้หนึ่งเดินพรวดออกมา ไม่ทันตั้งตัวแทบจะชนกัน


คุณหนูจวินอุทานเบาๆ ทีหนึ่งถูกชนล้มไปข้างหลัง คนผู้นั้นยื่นมือคว้านางไว้ รอมองเห็นอีกฝ่ายชัด ทั้งสองคนต่างร้องเอ๋


“เป็นเจ้าอีกแล้ว” จูจั้นเอ่ย มือที่เพิ่งคว้าคุณหนูจวินไว้ปล่อยออกทันที


คุณหนูจวินที่เดิมทียืนมั่นคงแล้วหวิดถูกเขาผลักล้ม โซเซหลายก้าวยันกำแพงไว้ถึงยืนอยู่


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม