Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอน 122-149
บทที่ 122 ทำอะไรข้าได้
โดย
Ink Stone_Romance
แน่นอนลู่อวิ๋นฉีย่อมมีบิดา
แม้เป็นชายผู้ซื่อตรงทั้งชีวิตถูกเรียกว่าตาแก่ลู่ไม่มีคนเคยจดจำชื่อ ตายไปแม้กระทั่งโลงศพยังไม่มีใส่คนหนึ่ง
แต่ผู้ชายคนนี้ก็ทิ้งธงผืนน้อยตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรสืบทอดให้ลู่อวิ๋นฉี
ก็เพราะเช่นนี้ ลู่อวิ๋นฉีถึงไม่อดตาย แล้วยังทำให้ชื่อของตนเองทุกคนล้วนรู้จัก ได้ยินชื่อพลันหัวหด
ด่าเขาไม่มีบิดา ด่าเขาเป็นเดรัจฉาน ก็คือด่าบิดาเขาเป็นเดรัจฉาน
ไม่มีใครทนถูกคนด่าเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นเศษสวะที่ขี้ขลาดที่สุดตามถนน ก็ต้องหันหน้ามาถ่มน้ำลายบนพื้นแสดงความโกรธ
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่นั่นกำดาบในมือแน่น ขอเพียงลู่อวิ๋นฉีส่งสายตาทีหนึ่งก็จะลงมือ
ช่างหัวจูจั้นมีใครเป็นบิดา ในสายตาพวกเขานอกจากฮ่องเต้ทุกคนล้วนเป็นแกะที่รอเชือด
ลู่อวิ๋นฉีมองจูจั้นสีหน้านิ่งสงบ แววตาไม่มีเปลี่ยนสักนิด
“แน่นอนข้าย่อมรู้” เขาเอ่ยขึ้นบ้าง พูดจบก็เดินผ่านจูจั้นออกไปข้างนอก
ฝีเท้าของเขาราวกับแมว เหยียบพื้นไร้เสียง ทำให้ด้านในโถงใหญ่ยังคงเงียบไร้เสียงเหมือนเก่า
แม้กระทั่งบรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็ตอบสนองไม่ทัน มองเห็นลู่อวิ๋นฉีเดินออกไปหลายก้าวถึงรีบติดตาม
รองเท้าลายเมฆเหยียบพื้น ดาบปักวสันต์กระทบส่งเสียงตามจังหวะก้าวเดิน เสียงเคร้งคร้างทำลายบรรยากาศชะงักนิ่งของห้องโถงใหญ่
…
“ต่อจากนั้นเล่า?”
หอเต๋อเยว่ชายหนุ่มหลายคนเร่งถาม
หนิงอวิ๋นเจาวางถ้วยชาลง
“ต่อมาคดีนี้ก็สอบสวนถึงตรงนี้” เขาว่า “ตุลาการศาลต้าหลี่เขียนเอกสารการสอบสวนคดี กรมกลาโหม กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ต่างลงชื่อประทับตรายืนยัน ถวายฮ่องเต้รอการตัดสิน”
บรรดาชายหนุ่มพากันโบกมือ
“นี่แน่นอน”
“ใครอยากถามเรื่องนี้”
“จอมวายร้ายนั่นหนีไปแล้วจริงๆ”
ทุกคนต่างเอ่ยถามวุ่นวาย
หนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง
“เปล่า” เขาว่า “หัวหน้ากองพันลู่พาคนมารอด้านนอกศาลต้าหลี่ เมื่อจูจั้นเดินออกมา พวกเขาก็รุมเข้าไป ใช้กระสอบคลุมหัวเขาตีอย่างโหดเหี้ยมยกหนึ่ง”
ผู้คนในห้องสีหน้าตะลึงงันเงียบกริบ
“จริง จริงหรือ?” มีคนเอ่ยถามตะกุกตะกัก
“ไม่จริง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
บรรดาชายหนุ่มอึ้งจากนั้นก็พ่นเสียงหัวเราะ
“เจ้าหมอนี่!”
“อย่าแกล้งพวกเราสิ!”
ทุกคนตบโต๊ะหัวเราะ
หนิงอวิ๋นเขาก็ยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ก็เหมือนคดีที่ต้องสอบถึงตรงนี้ไม่มีทางจบได้ หัวหน้ากองพันลู่ก็ย่อมไม่มีทางตีกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง” เขาว่า
บรรดาชายหนุ่มพากันถอนหายใจ
“มีบิดาดีคนหนึ่งไม่ยอมไม่ได้จริงๆ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “จอมวายร้ายถูกด่าเช่นนี้ยังทำอันใดไม่ได้”
“ช่างสาแก่ใจคนจริงๆ จอมวายร้ายถูกยั่วโมโหตายแล้ว” อีกคนหนึ่งหัวเราะเอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจารินชาส่ายศีรษะ
“นั่นก็ไม่แน่” เขาว่า “”ลู่อวิ๋นฉีคนนี้”
เขาหยุดชะงักราวกับครุ่นคิดคำพูด
“ตัวเขาเองยังไม่มองตนเองเป็นคน ยังจะสนใจผู้อื่นมองเขาอย่างไรได้อย่างไร”
ก็ใช่ ก็เหมือนที่จูจั้นพูด ลู่อวิ๋นฉีคนนี้ยังไงก็เป็นเดรัจฉานคนหนึ่งจริงๆ
ครั้งนั้นทรมานบีบขุนนางคนหนึ่งให้สารภาพ ลู่อวิ๋นฉีเอาหลานของผู้อื่นถ่วงลงในสระ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตลอดมาบอกจะฆ่าคนก็ฆ่า ไม่สนอีกฝ่ายเป็นขุนนางใหญ่โตหรือชาวบ้านธรรมดา ยิ่งไม่แบ่งแยกชายหญิงผู้เฒ่าลูกเล็กเด็กแดง
บรรดาชายหนุ่มส่ายศีรษะ ไม่อยากพูดถึงขุนนางโหดเหี้ยมพวกเดียวกับโจวซิ่งไหลจวิ้นคนนี้อีก
“ขุนนางโหดเหี้ยมเช่นนี้สุดท้ายย่อมไม่มีทางมีจุดจบที่ดี” พวกเขาเอ่ยขึ้น
ไม่ใช่ไม่ยอม เวลายังมาไม่ถึง ต่อให้สาปแช่งก็ทำอันใดไม่ได้
หนิงอวิ๋นเจาดื่มน้ำชาจนหมด
“เช่นนี้ก็ดียิ่งเหมือนกัน คนหนึ่งโอหังคนหนึ่งไร้หัวใจ ก็ให้พวกเขาคุมเชิงกันในเมืองหลวงไปเถอะ” เขาว่า
“ไม่ว่าฮ่องเต้ตัดสินอย่างไร ท่านชายจูครั้งนี้ต้องการกลับทางเหนือก็ไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว” อีกคนหนึ่งพยักหน้าเอ่ยขึ้น
นี่ถึงเป็นความต้องการแรกเริ่มขององค์ฮ่องเต้ แล้วก็เป็นเรื่องที่เดิมสมควรเป็น
“ครั้งนี้เมืองหลวงคงครึกครื้นแล้ว” ผู้คนพากันดื่มชาในมือจนหมดเช่นกัน อาหารมื้อเช้ามื้อหนึ่งจบลง “แต่เรื่องครึกครื้นนี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา เรื่องที่สำคัญที่สุดของพวกเราตอนนี้คือสองหูไม่ฟังเรื่องราวนอกหน้าต่าง จดจ่อเพียงอ่านตำราเหล่านักปราชญ์”
นอกจากตำราของเหล่านักปราชญ์ ยังมีเรื่องหนึ่งติดค้างในใจ
หนิงอวิ๋นเจาเดินออกมาจากหอเต๋อเยว่บอกลากับเหล่าสหาย
“ข้าจะไปบ้านท่านอาข้า” เขาว่า
หนิงอวิ๋นเจามักจะไปบ้านหนิงเหยียน บรรดาสหายไม่ได้สนใจต่างแยกย้ายกันไป
และเวลานี้นี้เองหัวถนนต้นสะพานร้านสุราโรงน้ำชาในเมืองหลวงล้วนกำลังพูดถึงการสอบสวนคดีครั้งนี้ของศาลต้าหลี่
เพียงแค่คืนหนึ่งผ่านไป คำถามคำตอบที่ตอบโต้กันในศาลเวลานั้นก็แพร่ไปทั่วแล้ว
ไม่เหมือนกับเหล่านักเรียนและบรรดาคนที่เป็นขุนนางแล้วสนใจ ผู้ตรวจการหูถูกชนคว่ำตกแม่น้ำเล่ากันจนไม่มีอะไรเล่าแล้ว ไม่ดึงดูดผู้คนแล้ว เรื่องจูจั้นเป็นเจ้าของที่แท้จริงของแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงแม้ทำให้ทุกคนประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ที่ทำให้บรรดาชาวบ้านตื่นเต้นไม่หายแท้จริงย่อมเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงด่าลู่อวิ๋นฉีเดรัจฉานประโยคนั้น
หลักเหตุผลลึกซึ้ง ขุมอำนาจเบื้องหลัง ความในใจของฮ่องเต้อันใด พวกเขาล้วนไม่สนใจ
ยังมีอะไรน่าสนุกยิ่งกว่าได้เห็นคนโฉดชั่วเสียท่าอีก
“บุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้แม้มาเมืองหลวงไม่มาก แต่ครั้งไหนๆ ล้วนชื่อสะเทือนเมืองหลวง”
“ตอนนั้นเป็นถึงคนที่ตีแม้กระทั่งองค์ชาย”
“ลู่…ใต้เท้าลู่ที่ไม่มีชาติกำเนิดไม่มีครอบครัวคนหนึ่ง เขาย่อมไม่กลัว”
เหล่าแรงงานที่นั่งยองถือน้ำแกงชาอยู่ตรงหัวสะพานหลายคนหัวเราะพูดกัน
จูจั้นคนนี้ยังคงไปที่ไหนก็ล้วนก่อเรื่องครึกโครมจริงๆ คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย วางเงินหลายอีแปะไว้บนโต๊ะลุกขึ้นยืน
“คุณหนูเดินทางปลอดภัยนะขอรับ” เฒ่าแก่เพิงน้ำชารีบเอ่ยลา
คุณหนูจวินเดินผ่านกลุ่มคนครึกครื้นที่หัวสะพานเดินไปด้านนอกเมือง
การสืบข่าวคราวที่เมืองหลวงสะดวกมากและรวดเร็วมากเช่นกัน
ก็ใช่ เฉิงกั๋วกงมีบุตรชายคนนี้คนเดียว ในเมื่อยอมให้เขากลับมาเมืองหลวง ย่อมเตรียมพร้อมไว้รอบด้านแล้ว ส่วนจูจั้นคนผู้นี้ดูแล้วเรื่อยเฉื่อยไม่เอาการเอางาน ที่จริงแล้วเป็นคนความคิดอ่านละเอียด ไม่ต้องกังวลใจ
มีบิดาคนหนึ่งเช่นนี้ช่างดีจริง
มีครอบครัวอยู่ช่างดีจริง
ความรู้สึกที่ถูกครอบครัวรักและปกป้องช่างดีจริงๆ
คุณหนูจวินหยุดฝีเท้าหันกลับไปอยากมองไปทางที่วังหลวงตั้งอยู่
ไม่เหมือนพวกนาง โดดเดี่ยวลำพังสามคน
จูจั้น ยังไงก็อิจฉาเขาอยู่นิดๆ จริงๆ นะ
“…นั่นแล้วอย่างไรอีก หัวหน้ากองพันลู่ยังไงก็ร้ายกาจที่สุด…ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว…”
เสียงวิจารณ์ด้านข้างลอยเข้าหูคุณหนูจวิน ขัดความคิดล่องลอยของนาง
เวลานี้นางเดินมาถึงด้านอกโรงเตี๊ยมที่พักอยู่แล้ว ตรงประตูโรงเตี๊ยมคนรถหลายคนกำลังคุยเล่นอยู่
ใช่สิ อีกไม่กี่วันพี่สาวก็จะแต่งงานแล้ว
คุณหนูจวินยกเท้าก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม รู้สึกว่าเท้าหนักเหมือนทองพันชั่ง
“…แต่งองค์หญิงแล้วอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็แต่งไปแล้วคนหนึ่ง แต่งองค์หญิงนี่ก็ไม่ได้แสดงว่าเขาร้ายกาจมากเท่าไร…”
“แต่งองค์หญิงยังไม่ร้ายกาจ? ถ้าอย่างนั้นอะไรร้ายกาจ?”
คนรถที่ถูกถามไม่ได้ตอบทันที แต่ยิ้มมีเลศนัย กดเสียงเบาลง
“ก่อนหน้าแต่งองค์หญิง ยังเลี้ยงผู้หญิงตามใจได้ นี่ถึงร้ายกาจที่สุด…”
เลี้ยงผู้หญิง?
คุณหนูจวินหยุดฝีเท้า ตกตะลึงนิดๆ มองคนรถไม่กี่คนนี้
ลู่อวิ๋นฉีหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร?
……………………………………….
บทที่ 123 ผ่านทางเรียนถาม
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิงแล้วยังเป็นตอนที่กำลังจะแต่งงานกับพี่สาวอีก?
ไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ก่อน..ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิง?
เขาไม่ใช่คนประเภทนี้นี่
ก่อนหน้านี้ฐานะตำแหน่งนี้ของเขา คนมากเท่าไรต้องการประจบเสนอหญิงงามให้เขา บางทีเขาก็ไม่เอา บางทีเขาก็ส่งต่อผู้อื่น ถึงขนาดยังนึกสนุกชั่วร้ายส่งผู้หญิงเหล่านี้ไปกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ให้ลองฝึกเป็นสายลับมาใช้
“นี่เป็นไปได้อย่างไร”
บรรดาคนรถก็ล้วนพากันกดเสียงเบาเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“นั่นเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ”
แค่เมียที่บ้านของตนรู้ว่าตนมองหญิงหม้ายข้างบ้านมากไปหน่อย ยังตีโพยตีพายโวยวายเลย
คุณหนูจวินนั่งลงบนม้านั่งยาวตรงประตู
องค์หญิง ที่จริงพวกนางนับเป็นองค์หญิงอันใด
“เพราะอย่างนั้น ถึงบอกว่าหัวหน้ากองพันลู่ร้ายกาจไงเล่า” คนรถคนก่อนหน้าเอ่ยขึ้น กดเสียงเบา “ไม่หลอกพวกเจ้า ตอนนี้คนมากมายล้วนรู้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นลูกสาวตาเฒ่าตระกูลเฉียวของตรอกม่าวเอ่อร์”
คำพูดนี้ออกมาคนรถที่อยู่ที่นั่นยิ่งตกตะลึง
ตรอกม่าวเอ่อร์ เป็นสถานที่ชุมนุมของช่างฝีมือ ส่วนมากล้วนเป็นครอบครัวยากจน
คุณหนูจวินก็ตกตะลึงอยู่บ้างเหมือนกัน
“ตาเฒ่าตระกูลเฉียว? ตาเฒ๋าเฉียวที่ขายน้ำชา?”
“ลูกสาวของเขา”
บรรดาคนรถพากันเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว เป็นลูกสาวคนที่สามของบ้านเขา” คนรถก่อนหน้านี้กระหยิ่มยิ้มย่องเอ่ยขึ้น “ตาเฒ่าเฉียวก้าวเดียวเหยียบขึ้นฟ้า หัวหน้ากองพันลู่ให้เงินมากเชียว ยังซื้อคฤหาสน์หลังใหม่หลังหนึ่งให้ครอบครัวพวกเขา ทั้งครอบครัวย้ายไปเสพสุขแล้ว”
บ้านกับเงิน เป็นความฝันทั้งชีวิตของบรรดาคนรถเหล่านี้ ได้ยินล้วนอิจฉาอย่างยิ่ง
“ลูกสาวคนที่สามบ้านตาเฒ่าเฉียวหน้าตาดีมากหรือ?”
“ลูกชายสองคนของตาเฒ่าเฉียวน่าเกลียดปานนั้น..”
“ก็ไม่ดีมากนักหรอก ข้าเคยเห็น ผอมผอมแห้งแห้ง ไม่มีอะไรเด่นเลย”
“บางทีคงถูกรสนิยมของหัวหน้ากองพันลู่ละมั้ง”
“เจ้าอิจฉาอะไร? ตอนนี้มีลูกสาวก็ยังทัน หัวหน้ากองพันลู่เพิ่งยี่สิบสามเอง”
“เอาเมียเจ้าให้ข้าสิ…”
คนกลุ่มหนึ่งเริ่มหัวเราะสนุกสนานพูดเหลวใหล คุณหนูจวินรั้งสายตากลับมาหันไปทางถนน คนยังคงนั่งอยู่บนม้านั่ง ตะลึงครู่หนึ่งก็หัวเราะแล้ว
ตนเองตายแล้ว ฮ่องเต้ก็นั่งบัลลังค์มั่นคงแล้ว ชื่อเสียงโหดเหี้ยมของเขาก็สร้างขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เรื่องราวใหม่ๆ มากมายเกิดขึ้นไม่ขาด เรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังค์เหล่านั่นใครจะยังจดจำได้? แล้วก็ไม่มีใครสนใจ
เรื่องแพร่สะพัดพ่อค้าเร่แรงงานล้วนรู้หมดแล้ว เห็นได้ว่าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง
คนก็ไม่ต้องเอาใจแล้ว ละครก็ไม่ต้องเล่นแล้ว อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เป็นคนอย่างไรก็เป็นคนอย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้น องค์หญิงคนนั้นรู้เข้าจะโกรธตายหรือไม่”
เสียงหัวเราะเบาๆ ลอยมา
มือที่วางอยู่ด้านหน้าร่างของคุณหนูจวินกำแน่น
พี่สาวไม่มีทางหรอก พี่สาวไม่มีทางเด็ดขาด หากโกรธตายได้ล่ะก็ ตอนที่ฮ่องเต้ให้นางแต่งกับลู่อวิ๋นฉีก็เพียงพอให้โกรธตายแล้ว
นั่นถึงเป็นความอัปยศ
นางคิดขึ้นมาเดินเข้าไป แต่ก็ไม่อยากขยับอีก เป็นเช่นนี้นั่งอยู่บนม้านั่งตัวนั้นหน้าประตูมองคนไปคนมาบนถนน
หนิงอวิ๋นเจาบนถนนรั้งฝีเท้า ราวกับรู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม
ก็ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่เดินมาถึงที่นี่แล้ว สายไปหน่อยแล้วหรือไม่? ที่สำคัญมีธุระอะไรเล่า?
ที่จริงก็แค่อยากดูว่านางย้ายไปหรือยัง แต่เรื่องนี้ให้เด็กรับใช้มาดูก็ได้ เขามาเช่นนี้ น่ากลัวว่าจะทำให้นางคิดมาก
แม้เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่อย่างไรความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ก็กระอักกระอ่วน
หนิงอวิ๋นเจารู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
เขาเป็นคนคิดแล้วก็ทำเลยคนหนึ่ง ในเมื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนถ้าเช่นนั้นก็หมุนตัวจากไปทันที
ตอนที่หมุนตัวปลายหางตามองเห็นโรงเตี๋ยมแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมสายตากำลังมองตรงมาที่เขาเช่นกัน
ร่างกายของหนิงอว๋นเจาแข็งทื่อทันที ฝ่าเท้าชาในเวลาเดียวกัน เสียงเอะอะริมถนน คนไปคนมาข้างกายล้วนหายไป เหลือเพียงเด็กสาวที่มองข้ามมาคนนั้น
นี่ บังเอิญ เกินไป แล้ว กระมัง
ในใจเขามีเพียงประโยคนี้แวบเข้ามา
แน่นอนว่ามีบทกวีมากมายพรรณนาความรู้สึกเวลานี้ได้ แต่หนิงอวิ๋นเจากลับใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมาตื้นเขินเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะร่ำเรียนมาน้อยถึงเวลาใช้สำนึกเสียใจ แต่ตอนที่เรื่องเกิดขึ้น สิ่งใดก็คิดไม่ออกจริงๆ
คนรุ่นก่อนเหล่านั้นเขียนบทกวี ก็ไม่ใช่เขียนตอนที่ย้อนความทรงจำรึ คิดว่าเวลานั้นพวกเขาก็คงเป็นเช่นนี้
ความรู้สึกนี้ราวกับเนิ่นนาน ความจริงเป็นเพียงชั่วพริบตา หนิงอวิ๋นเจาได้สติกลับมา ในเมื่อเห็นเข้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งมองไม่เห็น เขาเดินก้าวยาวประจันหน้ากับสายตาของเด็กสาวคนนั้นเข้าไป
“คุณหนูจวิน” เขายิ้มแย้มเอ่ยขึ้น “บังเอิญขนาดนี้”
คุณหนูจวินได้เสียงนี้เรียกสติกลับมา ตอนนี้ถึงมองเห็นหนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ตรงหน้า
บังเอิญขนาดนี้?
ชั่วขณะนางมึนงงอยู่บ้าง
“เมื่อครู่ข้ากับเหล่าสหายมาทานอาหารที่หอเต๋อเยว่ กำลังจะไปบ้านท่านอาของข้า” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น “ไม่คิดว่าเจ้าจะนั่งอยู่ตรงนี้”
คุณหนูจวินได้สติกลับมาแล้ว ยิ้มแล้วคำนับ
“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” นางว่า
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“เจ้าทำไมนั่งอยู่ตรงนี้เล่า?”
เขาเอ่ยถาม ในน้ำเสียงไม่เข้าใจอยู่บ้าง แล้วยังมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง
ไม่เข้าใจนี่เข้าใจได้อยู่ แต่ตื่นเต้นทำไม?
แต่ได้ยินคำถามนี้ คิดได้ว่าทำไมตนเองนั่งอยู่ตรงนี้ ในใจคุณหนูจวินก็เศร้าขึ้นมานิดๆ
“ก็แค่ นั่งตามใจ” นางว่าหลุบสายตาลง
นางทำตามใจสินะ ไม่ใช่อยากลองดูว่าจะพบเขาไหมหรือรอเขาจะมาที่นี่ดูหน่อยไหมอย่างที่คิด…
สินะอะไรเล่า
แน่นอนย่อมไม่ใช่
เขาคิดเหลวไหลอะไร
หนิวอวิ๋นเจาพริบตาสีหน้าลำบากใจ
ระหว่างคนทั้งสองไม่มีใครเอ่ยวาจาตกอยู่ในความเงียบ
ความเงียบนี้พิกลนัก คนสองฝั่งล้วนมองมาด้วยสายตาสงสัยทีหนึ่ง หญิงชายอายุเท่านี้ สบตากันเงียบๆแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรเวลาอย่างนี้ไร้เสียงชนะมีเสียง ทุกคนล้วนยิ้มอย่างเข้าใจอยู่เคลื่อนสายตาออกไป
หนิงอวิ๋นเจาจับสังเกตสายตารอบด้านได้อย่างฉับไว
ความเงียบนี้ไม่ดี เขาอย่างไรก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่อาจให้เด็กสาวคนนี้รู้สึกลำบากใจได้
“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” เขารีบเอ่ยขึ้น
พูดไปในใจก็หงุดหงิดขึ้นมาอยู่บ้าง
นี่เรียกว่าคำพูดอะไร ทำให้บทสทนาดำเนินต่ออย่างสนุกสนานไม่ได้เสียหน่อย
ดังนั้นถึงพูดกันว่า คิดก่อนแล้วค่อยทำ คิดให้ดีว่าจะพูดอะไรถึงทำได้ คำพูดของปราชญ์ล้วนมีเหตุผลที่สุด
คุณหนูจวินยิ้ม ได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์
“ถ้าเช่นนั้น เจ้ามานั่งหน่อยไหม?” นางยิ้มเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจายิ้มส่ายศีรษะ
“ไม่ล่ะ โอกาสหน้าเถอะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินขานรับทีหนึ่ง ยิ้มพยักหน้า
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว กำลังจะหมุนตัวกลับก็ไม่หมุนไป
“อ้อ ใช่แล้ว เจ้าจะอยู่ที่นี่ไปตลอดไหม?” เขาว่า
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“วันมะรืนก็จะย้ายไปแล้ว ร้านแลกเงินด้านนั้นจัดการเสร็จแล้ว” นางว่า “ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ซื้อบ้านด้านนั้นไว้หลังหนึ่ง”
พูดพลางก็ยื่นมือชี้ข้ามไป พลางบอกตำแหน่งชัดเจนว่าหลังไหนกับเขา
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ข้ารู้แล้ว ตำแหน่งทางนั้นไม่เลว” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “โอกาสดีย้ายบ้าน ข้าให้ซองแดงซองหนึ่งแล้วกัน”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“โอกาสย้ายบ้านช่างเถิด” นางว่า
ช่างเถิดหรือ? ก็ใช่…ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
หนิงอวิ่นเจายิ้ม
“แต่ โอกาสเปิดกิจการเจ้าให้ซองแดงสักซองย่อมได้” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยต่อ
เปิดกิจการ?
หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจ
“โรงหมอจิ่วหลิง?” เขาเอ่ยขึ้น
ดูท่าคุณชายหนิงจะรู้เรื่องทางหยางเฉิงมากทีเดียว โรงหมอจิ่วหลิงเขาก็รู้ด้วย? โรงหมอจิ่วหลิงเล่าลือกันมาถึงหยางเฉิงแล้วหรือ? หรือคนที่หรู่หนานไปตามหานาง ดังนั้นเลยแพร่ออกไปแล้ว?
แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ว่างๆ ไปถามดูสักคำก็รู้แล้ว
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“ใช่แล้ว ข้ามาเมืองหลวงก็เพื่อเปิดโรงหมอจิ่วหลิง” นางว่า
ที่แท้เป็นเช่นนี้
หนิงอวิ๋นเขาพยักหน้า บนหน้าแย้มรอยยิ้ม
ก็ควรเป็นเช่นนี้
นางมีวิชาแพทย์ดีเยี่ยมนี้ แล้วยังมีหัวใจกล้าหาญทรงคุณธรรมมีเมตตาดวงหนึ่ง ควรมาเมืองหลวงสร้างชื่อเสียงช่วยใต้หล้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเหลือเกินแล้ว” เขาว่า “วันไหนเปิดกิจการเล่า”
“วันที่ยี่สิบแปดเดือนหก” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
นางตอบอย่างเบิกบานยิ่งนัก บนหน้ายังมีรอยยิ้ม แต่ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ หนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่านางไม่มีความสุขสักนิด
คงจะเป็นเพราะดวงตานั่นเรียบสนิท
แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ควรแก่การยินดี
หนิงอวิ๋นเจาแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
“มีอะไรต้องการให้ข้าช่วยไหม?” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
วันนี้วันที่ยี่สิบสามเดือนหกแล้ว ห่างจากวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกอีกไม่กี่วันแล้ว ไม่ใช่รีบเร่งเกินไปหน่อยรึ?
แต่ในเมื่อต้องการเปิดโรงหมอ ย่อมต้องเตรียมพร้อมเรียบร้อยก่อนแล้ว อย่างไรคงไม่ใช่คิดขึ้นฉับพลันทันใด
แต่ ถามสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร ต่อให้เป็นคนไม่สนิทคนหนึ่งได้ยินเข้าก็ย่อมต้องพูดเช่นนี้เหมือนกัน
คำพูดตามมารยาทไหมเล่า ไม่มีความหมายอื่น ไม่มีทางทำให้คนคิดมาก
……………………………………….
บทที่ 124 ป้ายเก่าร้านใหม่เตรียมเปิดฉาก
โดย
Ink Stone_Romance
ระหว่างที่ความคิดเขาย้อนซ้ำไปมา คุณหนูจวินก็หัวเราะส่ายศีรษะ
“ขอบคุณมาก ไม่ต้องหรอก ไม่มีอะไรต้องเตรียม” นางว่า
นี่ก็เป็นคำพูดตามมารยาทสินะ หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
มีคนวิ่งออกมาจากด้านในโรงเตี๊ยมร้องเรียกคุณหนู แล้วก็ร้องเอ๋ทีหนึ่ง
“คุณชายสิบหนิง ท่านมาอีกแล้ว?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“ข้าบังเอิญผ่านทางพบเข้า” เขายิ้มเอ่ยตรงไปตรงมา
หลิ่วเอ๋อร์เหล่ตามองเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” นางลากเสียงยาวเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น คุณหนูจวินยิ้มยกมือขึ้น “ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน”
คุณหนูจวินพยักหน้าคำนับคืน
“อ้อใช่แล้ว ข้าพักอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยน[1]ทางใต้ของเมือง หากเจ้ามีธุระก็ไปหาข้าที่นั่นได้ บอกกับคนเฝ้าประตูว่ามาหาข้าก็พอ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นอีก
ที่นั่นย่อมไม่อาจเข้าไปตามใจได้ แต่เขาจะกำชับยามเฝ้าประตูไว้ ขอเพียงคุณหนูแซ่จวินมาต้องบอกเขา
คุณหนูจวินคำนับอีกครั้ง
“ได้” นางว่า
นางไม่ลังเลสักนิด ฉับไวทั้งไม่คิดมากนัก
หนิงอวิ๋นเจายิ้มหมุนตัวก้าวยาวเข้าไปทางในเมือง เดินเด็ดขาดฉับไว ฝีเท้าเบาเร็ว พริบตาก็หายไปท่ามกลางผู้คน
“พวกเรามีธุระอะไรต้องไปหาเขาเล่า?” หลิ่วเอ๋อร์เบะปากเอ่ยขึ้น “เสแสร้งมีไมตรี”
“เจตนาดี ต่อให้ไม่ได้ใช้ ก็รับไว้ในใจได้ไหมเล่า” คุณหนูจวินยิ้มบอก
“เวลานี้เจตนาดีแล้ว? ก่อนหน้านี้พักหนึ่งทำอะไรอยู่ล่ะ?” หลิ่วเอ๋อร์ว่า มองบนถนน ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “คุณหนู เขามารังควานท่านใช่หรือไม่?”
รังควาน?
เหมือนกับที่จวินเจินเจินไปรังควานตระกูลหนิงเช่นนั้นรึ?
คุณชายท่านนี้ท่าทางสง่างาม เข้าหาถอยออกเหมาะสมมีมารยาท คำพูดคำจาแม้บางครั้งประหลาดนัก แต่ก็นิ่งสงบเช่นกัน
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“เขาจะมารังควานข้าได้อย่างไร” นางยิ้ม “บังเอิญพบกันจริงๆ เขาบอกว่าเป็นทางผ่านกำลังจะไปบ้านท่านอาของเขา…”
นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป สีหน้าไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เป็นอะไรเจ้าคะคุณหนู?” หลิ่วเอ๋อร์รีบเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
นางเพียงแค่คิดว่าจากหอเต๋อเยว่ไปถึงบ้านของหนิงเหยียนจะบังเอิญผ่านที่นี่ได้อย่างไร
หอเต๋อเยว่อยู่ประตูทิศใต้ จวนของหนิงเหยียนอยู่ที่ตรอกฉงเหรินจวนขุนนางฝั่งนั้น ต่อให้นางไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงขนาดนั้น ก็รู้ว่าสถานทั้งสองแห่งหนึ่งเป็นเส้นตรงเส้นเดียวกัน จะอ้อมมาประตูทิศเหนือด้านนี้ได้อย่างไร?
บางทีอาจมีธุระอื่นกระมัง
“บังเอิญจริงๆ” นางยิ้มให้หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยอีกครั้ง
นายบ่าวสองคนฝั่งนี้คุยกัน ก็มีคนสี่ห้าคนเดินมาอีก
“คุณหนูจวิน” พวกเขาคำนับอย่างนอบน้อม “ของของนายน้อยส่งมาแล้วขอรับ”
“นายน้อยส่งอะไรมาอีกแล้ว?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “เมืองหลวงสิ่งใดไม่มี ตัดใจให้พวกเราซื้อไม่ลงหรือ?”
คุณหนูจวิบตบศีรษะนางเบาๆ
“ไปหยิบของแล้วพวกเราก็ไปเถอะ” นางว่า
ร้านแลกเงินเต๋อเซิ่งชางอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ผู้ดูแลพนักงานในร้านที่มองเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามาคำนับอย่างนอบน้อม
“คุณหนูจวินเชิญด้านนี้ขอรับ ของที่นายน้อยส่งมาอยู่ที่เรือนด้านหลัง” ผู้ดูแลเอ่ยขึ้น พลางนำทางด้วยตนเอง
ในเรือนด้านหลังรถม้ายังไม่ทันขนของลง หีบไม้ยาวๆ ใบหนึ่งห่ออย่างแน่นหนา
“นี่คืออะไรอีกเล่า?” หลิ่วเอ๋อร์เดินวนรอบเอ่ยขึ้น พลางโบกมือ “เปิดสิเปิด”
เด็กรับใช้ไม่กี่คนมองคุณหนูจวิน คุณหนูจวินพยักหน้า พวกเขาก้าวไปข้างหน้าเปิดหีบไม้ออกอย่างระมัดระวัง เปิดผ้าหนาชั้นหนึ่งออกมา เผยให้เห็นป้ายชื่อสำนักแผ่นหนึ่ง
คำว่าโรงหมอจิ่วหลิงไม่กี่คำที่ผ่านการทาสีน้ำมันใหม่ส่องประกายใต้แสงตะวัน
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ๋อทีหนึ่ง
“โรงหมอจิ่วหลิง” นางอ่าน “นี่คือป้ายชื่อของโรงหมอจิ่วหลิวของพวกเราสินะเจ้าคะ เร็วขนาดนี้ก็ส่งมาแล้ว”
นี่เป็นป้ายชื่อแผ่นนั้นที่หรู่หนาน
“คุณหนู ป้ายชื่อวางไว้ที่นี่ก่อน รอเรือนด้านนั้นเก็บกวาดเรียบร้อยค่อยส่งไปเถอะขอรับ” ผู้ดูแลเอ่ยขึ้น
ใช่แล้ว โรงหมอจิ่วหลิงที่จะเปิดกิจการในอีกห้าวันยังเก็บกวาดไม่เรียบร้อย นี่เดิมทีก็เป็นความคิดกะทันหันหลังเข้าเมืองหลวง นางไม่ได้บอกกับคนตระกูลฟาง
ถึงกับส่งสิ่งนี้มาให้ เด็กคนนี้ก็ฉลาดเหลือเกิน หรืออาจบอกว่าความเร็วการส่งสารของร้านแลกเงินความเร็วน่าตะลึงเหลือเกิน
คุณหนูจวินก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน
“จดหมายของนายน้อย” พนักงานคนหนึ่งส่งแท่งไม้ไผ่อันหนึ่งออกมา
นี่ย่อมไม่ใช่จดหมายที่อาศัยม้าเร็วส่งมา
คุณหนูจวินรับไปเปิดออก
กระดาษสั้นๆ ถ้อยคำน้อย
“ป้ายสำนักล้ำค่า จิ่วหลิงพกติดตัวไม่ห่าง”
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มทีหนึ่ง
ตอนนั้นอยู่ที่หรู่หนานบ้านถูกล้มไปแล้ว นางก็แบกป้ายสำนักไปมาทุกวัน ตอนนั้นเคยพูดหนึ่งประโยคว่า ป้ายสำนักล้ำค่า จิ่วหลิงพกติดตัวไม่ห่าง
ที่แท้ไม่ใช่ข่าวสารของร้านแลกเงินส่งต่อเร็วน่าตะลึง แต่เป็นฟางเฉิงอวี่คิดถึงความคิดในใจของนางที่ยังไม่ทันคิดได้ล่วงหน้า
การมาเยือนเมืองหลวงคิดคะนึงขนาดนั้นแต่ไม่อาจพูดออกจากปาก ในที่สุดมาถึงเมืองหลวงแล้ว กลับไม่อยากเห็นครั้งหนึ่งแล้วพอใจ แต่ตัดใจจากไปไม่ได้
ต่อให้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะรั้งอยู่ก็ตาม
ไม่มีกำลังคน ไม่มีชื่อเสียง แต่ก็มีเงิน แต่เงินนี่ก็เป็นปัญหายากจะรักษา หายไปได้ตลอดเวลา
ทว่า… มือของคุณหนูจวินลูบอักษรโรงหมอจิ่วหลิงสามตัวบนป้าย
ไม่มีกำลังคนกับชื่อเสียง อย่างน้อยนางก็ยังมีตัวนางเอง มีความสามารถนี้ที่อาจารย์สอนให้นาง
อาจารย์มักจะชอบพูดประโยคหนึ่ง นั่นก็คือไร้หนทาง ถ้าเช่นนั้นก็ลองดูสักครั้งเถอะ
ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่น ถ้าเช่นนั้นก็ลองดูสักตั้งเถอะ
“คุณหนูจวิน จะเปิดกิจการวันที่ยี่สิบแปดจริงหรือขอรับ?” ผู้ดูแลลังเลนิดหนึ่งอยู่ด้านข้างแล้วจึงเอ่ยถาม
คุณหนูจวินมองทางเขา
“ทำไม? ไม่ได้หรือ?” นางเอ่ยถาม
ผู้ดูแลรีบส่ายศีรษะ
“ไม่ขอรับ ข้าแค่กลัวว่ารีบร้อนเกินไป จะเตรียมพร้อมได้ไม่ครบถ้วน” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“มีเงินสิ่งใดซื้อไม่ได้” นางยิ้มเอ่ยบอก
แม่นางน้อยคนนี้ออกจะเอาตัวเองเป็นใหญ่จริงๆ
ได้ยินว่าอาการป่วยของนายน้อยเป็นนางรักษาหายดี เพื่อนาง ราชโองการที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้ซึ่งซ่อนมายี่สิบปีนายหญิงผู้เฒ่าฟางยังหยิบออกมา
ผู้ดูแลยิ่งนอบน้อมขึ้นหลายส่วน
“เครื่องใช้เหล่านั้นย่อมล้วนจัดการได้ ความหมายของข้าคือ เปิดกิจการวันนั้นต้องเชิญสหายร่วมอาชีพในเมืองหลวงรวมถึงบุคคลผู้มีชื่อเสียง เวลากระชั้นชิดเกินไป” เขาเอ่ย ไม่ได้ขอไปทีเช่นกัน “คุณหนู ท่านก็รู้ สำหรับคนเหล่านี้แล้ว มีเงินไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์”
คุณหนูจวินตบป้ายสำนัก ส่งสัญญาณให้คลุมไป
“ไม่ต้อง” นางว่า “ไม่ต้องพูดถึงคนเหล่านี้ ต่อให้ไม่มีตู้ยา ขอเพียงห้องเก็บกวาดสะอาด โต๊ะตรวจวางไว้ ป้ายโรงหมอของข้าแขวนขึ้นไปก็เปิดกิจการได้แล้ว”
เปิดกิจการเงียบๆ เช่นนี้จะได้อย่างไรเล่า?
แม้คุณหนูจวินอยู่ที่ตระกูลฟางมีชื่อเสียง อยู่ที่หรู่หนานมีชื่อเสียง แต่ตอนนี้นี่อยู่ที่เมืองหลวง ดินแดนที่ใต้หล้าอัจฉัจริยะมารวมตัวกัน หมอชื่อดังด้านต่างๆ เดินกันไปทั่ว
ไม่ตีฆ้องร้องป่าวให้คนรู้จัก น่ากลัวว่าแม้กระทั่งโอกาสจะส่งเสียงให้ตะลึงคนก็ไม่มี
อย่างไรก็ไม่อาจเอาราชโองการมาบีบผู้อื่นให้มาตรวจโรคได้กระมัง
“คุณหนูจวิน เมืองหลวงนี้ อยู่ในเมืองใหญ่ไม่ง่ายนะขอรับ” ผู้ดูแลเอ่ยอย่างจริงใจ
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ใช่แล้ว ทำสิ่งใดง่ายเล่า” นางท่าทางปลดปลงอยู่บ้าง มองป้ายโรงหมอที่ปิดไว้เรียบร้อยแล้ว ก้าวไปข้างนอกจากไป “ไปล่ะ”
หลิ่วเอ๋อร์ขานรับก้าวไวติดตามไป
ไปทั้งแบบนี้? ผู้ดูแลส่ายศีรษะยิ้มๆ คนหนุ่มสาวนี่นะ เขาก้าวไวไปส่งอย่างนอบน้อม
หลังกลางวันของฤดูร้อนอันร้อนระอุ ใบกล้วยเขียวเข้มริมหน้าต่างกระจ่างแวววาวอยู่บ้าง ชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มดวลหมากอยู่ริมหน้าต่างท่าทางผ่อนคลาย บรรดาสาวใช้สองด้านโบกพัดไปพลาง มองกระดานหมากไปพลาง
หนิวอวิ๋นเจาครุ่นคิดครู่หนึ่ง คีบเม็ดหมากวางลง
ชายวัยกลางคนฝั่งตรงข้ามสวมเสื้อคลุมยาว หน้าตาของเขาคล้ายคลึงกับเขาอยู่หลายส่วนยิ้มทันที
“แพ้แล้ว” เขาว่า “อวิ๋นเจา ฝีมือหมากของเจ้ายิ่งร้ายกาจขึ้นทุกที”
สตรีวัยกลงคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ด้านหลังสาวใช้สองคนยกถาดตามมาได้ยินก็หัวเราะ
“ฝีมือหมากของอวิ๋นเจาตั้งแต่เล็กก็ร้ายกาจ ท่านมักจะไม่ยอมรับ” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นเรียกท่านน้าสะใภ้
คนทั้งสองย่อมเป็นหนิงเหยียนนายท่านรองตระกูลหนิงกับนายหญิงรองหนิงแล้ว
“ดื่มยาบำรุงคลายร้อนเสียหน่อย” นายหญิงรองหนิงส่งสัญญาณให้เขานั่งลง ตนเองก็ยกชามใบหนึ่งส่งไปให้หนิงเหยียนด้วยตนเอง
หนิงอวิ๋นเจารับที่สาวใช้ส่งมา หยิบช้อนขึ้นมา ผ่อนคลายตามสบายไม่ขัดเขินสักนิด
ชีวิตของเขาเวลากว่าครึ่งล้วนติดตามท่านอาเติบใหญ่ อยู่ที่นี่ยังเป็นตัวของตัวเองยิ่งกว่าอยู่ที่บ้าน
“…ของขวัญแสดงความยินดีที่ต้องส่งไปวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกเตรียมพร้อมแล้ว ท่านจะดูอีกสักครั้งไหม?”
เสียงของนายหญิงรองหนิงดังเข้าในหู หนิงอวิ๋นเจากัดช้อนในปากทันที
วันที่ยี่สิบแปดเดือนหก ของขวัญแสดงความยินดี?
“ท่านอา ท่านน้า พวกท่านก็รู้เรื่องที่นางจะเปิดกิจการเหมือนกันหรือ?” เขาเงยหน้าเอ่ยถามด้วยความตกใจ
หนิงเหยียนกับนายหญิงรองหนิงก็ประหลาดใจมองเขาเช่นกัน
“นางเปิดกิจการอะไรกัน?” นายหญิงรองหนิงเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาได้สติกลับมา วางช้อนลง
“ไม่ใช่ ข้าจะพูดว่าวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกต้องเตรียมของขวัญแสดงความยินดีอะไร?” เขาเอ่ยถาม
ไม่ใช่มั้ง ที่เขาพูดหมายถึงเรื่องนี้? นายหญิงรองหนิงคิดในใจ แต่ไม่จี้ถามสิ่งที่ผู้อื่นตั้งใจหลบเลี่ยงก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้
“งานแต่งงานขององค์หญิงจิ่วหลีกับหัวหน้ากองพันลู่ไงเล่า” นางยิ้มเอ่ยตอบตามน้ำ
งานแต่งงานขององค์หญิงจิ่วหลีกับหัวหน้ากองพันลู่?
“เป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว” นายหญิงรองหนิงพยักหน้ายิ้มตอบ มองหนิงอวิ๋นเจาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ทำไมหรือ?”
หนิงอวิ๋นเจาขานรับส่ายศีรษะ
“ไม่มีอะไรขอรับ” เขาก้มหน้า หยิบช้อนขึ้นมาต่อ
ถึงกับเป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกเหมือนกัน ช่างบังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ
โรงหมอจิ่วหลิง จิ่วหลิง
เขาฉุกคิดได้ในฉับพลัน มองขนที่ลุกพรึบอยู่บนแขนที่เผยออกมาจากเสื้อผ้าบางของหน้าร้อนที่ร่นลงไป
องค์หญิงจิ่วหลิง
นี่บังเอิญเกินไปจริงๆ แล้วกระมัง
……………………………………….
[1]กั๋วจื่อเจี้ยน (国子监) สำนักศึกษาหลวง สำนักศึกษาสูงสุดและองค์กรที่ควบคุมดูแลเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาในสมัยหยวน หมิง ชิง
บทที่ 125 เรื่องเล็กน้อยก็มีค่าให้ขบคิด
โดย
Ink Stone_Romance
ด้านหน้าโต๊ะซึ่งแสงโคมสว่างไสว หนิงอวิ๋นเจาวางหนังสือในมือลง นวดดวงตา
ค่ำคืนฤดูร้อนเงียบสงบไปหมด
ตั้งแต่กลับจากบ้านของท่านอาก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือตลอด ในที่สุดก็เข้าใจคัมภีร์ท่อนนี้ได้
เขาอยากลุกขึ้นยืนขยับตัวสักหน่อย แล้วคิดอะไรขึ้นได้จึงไปหยิบปฏิทินออกมา พลิกไปที่วันที่ยี่สิบแปดเดือนหกวันนั้น
ด้านนอกเสี่ยวติงที่หลับไปตื่นหนึ่งลุกขึ้นมาขยี้ตายื่นศีรษะมองเข้ามาก็มองเห็นนายน้อยยังคงกำลังจดจ่ออ่านหนังสือ
“นายน้อย ดึกแล้ว ควรนอนได้แล้วขอรับ” เขาเอ่ยเตือน
นายน้อยแม้ตรากตรำขยัน แต่ก็มีระเบียบยิ่งนัก ตามหลักแล้วตอนนี้ควรเตรียมนอนแล้ว
นี่ไม่ใช่อ่านอะไรอ่านจนจมเข้าไปแล้ว?
เสี่ยวติงขยี้ตาเดินเข้ามา
“เสี่ยวติง”
หนิงอวิ๋นเจาที่จดจ่อจมเข้าไปพลันเอ่ยขึ้น
เสี่ยวติงที่เดินเข้ามาตกใจจนสะดุ้ง
“เจ้าว่าเปิดร้านใหม่มอบอะไรให้ดี?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
เสี่ยวติงตอนนี้มองปฏิทินที่หนิงอวิ๋นเจาถืออยู่ในมือ
นายน้อยเที่ยงคืนไม่นอนเพราะกำลังอ่านสิ่งนี้?
“นี่มีอะไรต้องคิดขอรับ ธรรมดาล้วนส่งเงินจำนวนหนึ่งบ้าง ผลงานเขียนอักษรภาพวาดบ้าง” เขาว่า
หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ
“ธรรมดาเกินไป” เขาว่า
ธรรมดา? ก่อนหน้านี้ล้วนทำเช่นนี้นี่
“นายน้อย นี่มีอะไรธรรมดาไม่ธรรมดา เปิดกิจการไหมขอรับก็แค่ให้ครึกครื้น ครึกครื้นก็ต้องธรรมดาเข้าไว้” เสี่ยวติงเอ่ยขึ้น
ก็ถูก นางเปิดกิจการกระชั้นชิด ต่อให้เต๋อเซิ่งชางชื่อเสียงร้านแลกเงินไม่เล็ก แต่ที่นางเปิดไม่ใช่ร้านแลกเงินแต่เป็นโรงหมอ ที่ต้องการที่สุดก็คือเป็นที่นิยม
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นอย่างมากก็เตรียมของขวัญสักสองสามอย่าง แล้วส่งไปเหมือนก่อนหน้านี้” เขาว่า “ห่อให้สดใสดูเป็นการเฉลิมฉลองสักหน่อย…”
เสี่ยงติงขานรับ กลับเห็นหนิงอวิ๋นเจาหยุดพูดไปแล้วขมวดคิ้ว
“สดใสเฉลิมฉลองก็ไม่ค่อยดีนัก” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง มือเคาะผิวโต๊ะ
เปิดร้านเปิดกิจการ เฉลิมฉลองคึกคักทำไมจะไม่ค่อยดีเล่า
เสี่ยงติงได้ยินก็งุนงง มองหนิงอวิ๋นเจาคิดอะไรได้คุ้ยจดหมายหลายฉบับออกมาจากบนโต๊ะ
นั่นเป็นจดหมายเหล่านั้นที่ส่งมาจากหยางเฉิง อ่านเจ้านี่ทำอะไร? เสี่ยวติงมองอย่างไม่เข้าใจ
หนิงอวิ๋นเจาพลิกอ่านหลายฉบับ หยุดที่จุดหนึ่ง นิ้วมือไล้ผ่านไป หัวคิ้วขมวดนิดๆ
“นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ” เขาพึมพำกับตนเอง
“นายน้อย ดึกแล้ว…” เสี่ยวติงเตือนอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากันขอรับ”
หนิงอวิ๋นเจาปิดจดหมายในมือ คนก็ลุกขึ้นยืน
“ใช่ พรุ่งนี้ว่ากัน” เขาเอ่ยขึ้น ลุกขึ้นยืนไปอาบน้ำ
การกระทำฉับไวทำให้เสี่ยวติงตั้งสติไม่ทัน นายน้อยที่มีความคิดเป็นของตนเองมาตลอดถึงกับเชื่อฟังเขาเช่นนี้?
เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่งถึงรีบดับโคมไฟที่โต๊ะ ราตรีกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
…
ตอนที่ฟ้าเพิ่งสว่าง ประตูก็ถูกเคาะเสียงดังแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์ที่ได้ยินพนักงานแจ้งเดินออกมามองเห็นหนิงอวิ๋นเขาที่ยืนอยู่ด้านในเรือน สีหน้าประหลาดใจ
“เป็นท่านอีกแล้ว?” นางเอ่ยขึ้น
“ข้ามีธุระต้องพบคุณหนูจวิน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
“เมื่อวานท่านไม่ใช่พบไปแล้วหรือ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น พูดออกจากปากมาก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง
นี่นางกำลังขัดขวางคุณชายสิบหนิงหรือ?
นางถึงกับรำคาญที่คุณชายสิบหนิงมาหาคุณหนูหรือ?
เรื่องเช่นนี้มันช่าง…ไม่เคยคิดมาก่อน
แต่ก็ไม่มีอะไร คนที่คุณหนูชอบนางย่อมชอบ คนที่คุณหนูไม่ชอบไม่ต้องการ นางย่อมไม่ชอบเช่นกัน
“ข้ามีเรื่องต้องพูดกับนาง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้อ
“ธุระของท่านไม่น้อยหรือเจ้าคะ ทำไมเมื่อวานไม่พูดกันให้จบล่ะเจ้าคะ?” นางว่า คำพูดแม้พูดเช่นนี้ ก็ยังหมุนตัวไป
คุณหนูเคยบอกว่าคนเราอย่าไปตัดสินใจแทนผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อาจใช้คำว่าเจตนาดีมาตัดสินแทนคนอื่นเอาเองได้ มีคนมาหาคุณหนู พบหรือไม่พบ ก่อนหน้าคุณหนูเอ่ยปาก นางไม่อาจขัดขวางได้
“คุณชายโปรดรอสักครู่” นางว่า
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้รอนานนัก เหมือนที่เขาจินตนาการไว้ คุณหนูจวินไม่นานก็ออกมาแล้ว
“ทานอาหารมาหรือยัง?” นางยิ้มเอ่ยขึ้น “อยากทานด้วยกันหรือไม่?”
คำเปิดบทสนทนานี่ดีนัก
เขายังคิดไม่ถึง
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
“บนถนนฝั่งนี้มีร้านเต้าหูทอดร้านหนึ่งไม่เลวยิ่ง” เขาเอ่ยขึ้น “มีเพียงตอนเช้าตรู่เท่านั้นถึงจะขาย”
“ร้านแม่เฒ่าหวัง?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“ดูท่าชื่อเสียงไม่น้อยจริงๆ เจ้าเคยกินแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
เคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยกิน นั่นเป็นตอนกลับบ้าน จิ่วหรงพูดว่าอยากกิน แต่ให้คนซื้อกลับมากินไม่อร่อย ลู่อวิ๋นฉีบอกว่าเจ้านี่ต้องกินตรงนั้นถึงจะอร่อยมาก
คำพูดนี้ทำให้พวกนางพี่น้องสามคนล้วนเงียบไป
เพราะพวกนางไม่อาจเหยียบออกจากวังแห่งนี้ได้ โดยเฉพาะจิ่วหรงทั้งชีวิตนี้ล้วนไม่มีทาง
“ยังไม่เคย” นางส่ายศีรษะ “ได้ยินคนแนะนำ ยังไม่เคยไป”
หนิงอวิ๋นเจายื่นมือทำท่าเชิญ คุณหนูจวินก้าวเดิน
“ข้าน่ะคิดเรื่องหนึ่งได้” หนิงอวิ๋นเจาเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “โรงหมอของตระกูลเจ้าชื่อว่าโรงหมอจิ่วหลิง?”
คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่งขานรับ ในดวงตาฉายแววตาสงสัยบางๆแล้วยังมีความประหลาดใจอยู่บ้างแล่นผ่านไป
นางเดาได้แล้วว่าเขาน่าจะต้องการพูดอะไร แต่ก็รู้สึกว่าเขาไม่น่าจะอยากพูดเรื่องนี้
“ชื่อนี้อาจจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “ชื่อเดียวกันกับองค์หญิงจิ่วหลิงพระธิดาของอดีตองค์รัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไป”
อย่างที่คิด
คุณหนูจวินมองเขา
“เจ้าก็รู้จักองค์หญิงจิ่วหลิงเหมือนกันหรือ?” นางไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับเอ่ยถาม ในดวงตาแปลกใจมาก
เหมือนกัน?
หรือก็คือนางก็รู้จักเหมือนกัน?
นางย่อมรู้ บรรดาเด็กสาวอยู่ด้วยกันย่อมขาดการพูดถกถึงผู้หญิงคนอื่นในโลกไปไม่ได้ และองค์หญิงผู้เป็นกิ่งทองใบหยกสูงส่งอยู่เบื้องบนย่อมเป็นที่ปรารถนาของเด็กสาวทุกคน
เพียงแต่ต่อให้เป็นกิ่งทองใบหยกก็ไม่ใช่ล้วนควรค่าอิจฉา
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“แน่นอน” เขาว่า
ใช่สิ ย่อมแน่นอน พวกนางองค์หญิงชั้นจวินจู่สองคนที่เดิมทีจะได้เป็นองค์หญิงชั้นกงจู่เพราะพระบิดา ท้ายที่สุดก็ยังได้เป็นกงจู่เพราะพระบิดาจริงๆ เพียงแต่ความหมายขององค์หญิงชั้นกงจู่สองแบบนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ใครไม่รู้บ้างเล่า
“ชื่อเดียวกับองค์หญิงมีมากไป” คุณหนูจวินว่า “จะถกกันขึ้นมา โรงหมอจิ่วหลิงของตระกูลข้าเกิดขึ้นมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงชื่อต้องห้ามขององค์หญิง ข้าคิดว่าทางการราชสำนักคงไม่ลงโทษข้าเพราะเรื่องนี้”
แม่นางน้อยพูดจาท่าทางดื้อดึงอยู่บ้าง
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
แต่นี่ก็เป็นความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในตนเองที่คนอายุน้อยควรมี
“ใช่ ข้ารู้” เขาเอ่ยขึ้นทอดเสียงช้าลง “ที่ข้ากังวลไม่ใช่เรื่องนี้”
คุณหนูจวินมองเขา ดวงตาของนางกลมดิกทั้งโตทั้งสุกใส ตอนที่ตั้งใจมองคน น่ารักยิ่ง
หนิงอวิ๋นเจาเคลื่อนสายตาหลบ
“เจ้าก็รู้ว่าองค์หญิงจิ่วหลิงเป็นภรรยาคนก่อนของหัวหน้ากองพันลู่แห่งกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ” เขาว่า
“ดังนั้นแล้ว?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
“หัวหน้ากองพันลู่คนนี้นิสัยพิลึกยิ่ง ทำตัวคาดเดาไม่ได้อย่างยิ่งเช่นกัน” หนิงอวิ๋นเจามองนาง นิ่งสงบทั้งจริงใจ “ข้ากลัวว่าเขาจะหาเรื่องทั้งที่ไม่มีอะไร”
“เขาจะสนใจโรงหมอจิ่วหลิงนี่ของข้าหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
แม้พูดเช่นนี้น่ากลัวอยู่บ้าง แต่นางย่อมไม่ใช่เด็กสาวที่ถูกทำให้กลัวง่ายดายประเภทนั้น
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ใช่” เขาว่า
บางทีอาจคิดมากเกินไปแล้ว แต่ลู่อวิ๋นฉีคนเช่นนี้หาเรื่องไม่ได้จริงๆ แล้วนางก็เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง นอกจากนี้ตระกูลฟางยังถือราชโองการออกมาแล้วอีกด้วย
ราชโองการของเช่นนี้ เป็นของดีแต่ก็เป็นของไม่ดีด้วย พวกองครักษ์เสื้อแพรต้องจ้องตระกูลฟางเขม็งแน่นอน
เวลานี้เขาหวังว่าเรื่องที่นางทำจะปลอดภัยราบรื่น เลี่ยงหายนะที่ไม่คาดฝัน ดังนั้นต่อให้เป็นเรื่องที่เดิมไม่มีความเกี่ยวข้องแม้แต่นิดแต่น้อยเขาก็ใส่ใจอย่างยิ่งเหมือนกัน คิดแล้วคิดอีกซ้ำไปมา
เขามองเด็กสาวคนนี้ เด็กสาวคนนี้ไม่กลัวนัก กลับยิ้มแล้ว
“นั่นก็ไม่เลว โรงหมอจิ่วหลิงของข้าจะได้มีชื่อแล้ว” นางว่า
รู้อยู่เชียวว่านางเป็นหญิงสาวที่ไม่ถูกขู่ให้กลัวง่ายๆ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีรูปแบบการเล่นหมากที่ทรงพลังดุดันในหัวใจแบบนี้ หยิ่งทะนง เชื่อมั่นในตนเองแล้วยังหัวแข็งด้วยสินะ
หนิงอวิ๋นเจายิ้มอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง
“เจ้าอย่าโกรธแบบนี้สิ” เขาว่า
แม้ไม่เห็นด้วย หรือจะบอกว่าตำหนิ แต่น้ำคำของเขากลับมีความอ่อนโยนที่แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้สึก
เสี่ยวติงที่ตามอยู่ข้างหลังร่างอดไม่ได้มองเขาทีหนึ่ง
นายน้อยเหมือนเช่นหยก ทำให้คนทุกคนรู้สึกราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิอาบไล้ กับบรรดาหญิงสาวสุภาพมีมารยาท กับบรรดาพี่สาวน้องสาวยิ่งปกป้อง
แต่มีเรื่องหนึ่งนายน้อยไม่เคยทำมาก่อน นั่นก็คือการกล่อม เขาเพียงแค่เอ่ยคำพูดออกมาอย่างอ่อนโยนเท่านั้น ส่วนเจ้าฟังไม่ฟังทำไม่ทำ นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เขาไม่สนใจ
ตอนนี้นายน้อยนี่กำลังกล่อมคุณหนูจวินอยู่หรือ
……………………………………….
บทที่ 126 เจ้าอย่าโกรธเลย
โดย
Ink Stone_Romance
“ข้าไม่ได้โกรธ” คุณหนูจวินว่า เดินหน้าต่อไป
หนิงอวิ๋นเจาตามไป
“ข้าคงคิดมากไปแล้ว” เขาเอ่ย “เพียงแต่เมืองหลวงอยู่ไม่ง่าย อยากให้ปลอดภัยขึ้นสักหน่อย”
คุณหนูจวินเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง
“ที่ไหนอยู่ง่ายเล่า?” นางเอ่ยขึ้น “ข้าอยู่ที่หยางเฉิง อยู่ที่หรู่หนานล้วนไม่ง่ายนัก”
เหล่ตาติดไม่พอใจเช่นนี้ เป็นท่าพิเศษของเด็กสาว ดูแล้วน่ารักนัก
หนิงอวิ๋นเจาอดไม่ได้ยิ้มทีหนึ่ง รวมถึงคำพูดนี้พูดถึงหยางเฉิงหรู่หนาน
หรู่หนานอยู่ไม่ง่าย เป็นเด็กสาวกำพร้าเข้าเมืองบ้านก็ถูกล้ม อาศัยฝีมือวิชาแพทย์ถึงตั้งตัวได้
เรื่องนี้หนิงอวิ๋นเจาย่อมรู้ ส่วนหยางเฉิงอยู่ไม่ง่าย ย่อมหมายถึงชื่อเสียงเละเทะเพราะโวยวายเรื่องสัญญาหมั้นกับตระกูลหนิง ถูกคนริษยาเกลียดชัง
จึงยังคงไม่พอใจ กำลังโกรธ
“ใช่ ข้าพูดผิดแล้ว” เขาเอ่ย “เจ้าไม่ได้โกรธ”
นายน้อยถึงกับยอมลงให้เช่นนี้ได้ด้วย? เสี่ยวติงอยู่ข้างหลังได้ยินเข้าตัวสั่น เด็กรับใช้เหล่านั้นพูดถูกจริงๆ พวกนายน้อยเมื่อลุ่มหลงในนารีปุบก็จะกลายเป็นโง่เขลา
คนผู้นี้โง่หรือเปล่า? ดูตรงไหนว่าตนเองโกรธ?
คุณหนูจวินขมวดคิ้วมองเขาทีหนึ่ง
“นี่เป็นเรื่องจริงนะ เดิมทีก็ไม่ง่ายนี่” นางว่า
หนิงอวิ๋นเจายิ้มตอบรับ
ใช่ ตอนแรกนางพบเจอกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะสัญญาหมั้นเหล่านั้น สำหรับเด็กสาวคนหนึ่งแล้วยากยิ่งนักอย่างแท้จริง
นิสัยนี้ของนาง หาเรื่องนางเข้าไม่เลิกราแน่ ดูอย่างตอนนั้นเผชิญหน้ากับตระกูลหลินก็รู้
เช่นเดียวกับรูปแบบการเดินหมากของนาง มีความบีบตนจนตรอกเพื่อรอดทีหลัง…ห้าวหาญ
แม้บรรยายเด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้ไม่เหมาะสมก็ตาม
หนิงอวิ๋นเจามองเด็กสาวครงหน้า บอบบางอ่อนโยน ดวงตาโตสุกใส ดังนั้นคนไม่อาจดูที่หน้าตาได้
ห้าวหาญ ก็เป็นความทระนงอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นความเชื่อมั่นในตนเองในหัวใจที่นำพาความหยิ่งทะนงมา
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงประโยคนั้นที่บรรดาสหายพูด
“พวกเจ้าเหมือนกัน”
หนิงอวิ๋นเจามุมปากยกยิ้มนิดๆ
“แน่นอนว่าโรงหมอที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลเจ้าไม่อาจเปลี่ยนชื่อ ข้าเพียงจะบอกว่ามีเรื่องเช่นนี้ หากมีคนหาเรื่องด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อมด้วย” เขาเอ่ย
พอเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดกับนางแล้ว ตนเองระวังมากขึ้นหน่อยก็ใช้ได้
คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจามองถนนด้านหน้า
ไม่ต้องให้ผู้อื่นหาเรื่อง ตัวนางเองก็มาเพื่อหาเรื่องอยู่แล้ว แค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้น
เด็กสาวอารมณ์ไม่ดีแล้ว
หนิงอวิ๋นเจาหุบยิ้ม
“ใช่แล้ว มีเรื่องหนึ่งลืมถามเจ้าตลอด” เขาเอ่ยขึ้น
เรื่องสำคัญมากรึ? คุณหนูจวินมองเขาสีหน้าจริงจัง ทำไมตอนนี้เพิ่งจะพูด? นางเก็บความคิดสับสนไป มองเขา
“เกมหมากอันนั้นในเทศกาลโคมไฟหยางเฉิงครั้งนั้นหลังจากนั้นเจ้าเป็นอย่างไร? แก้ออกไหม?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
พูดเรื่องที่ชอบกับพวกผู้หญิงก็ผ่อนอารมณ์ได้แล้ว
แต่เสียงของเขาเพิ่งจบลง ก็เห็นสีหน้าที่เดิมทีนิ่งสงบของเด็กสาวคนนี้แข็งทื่อ บนหน้าเผยความหงุดหงิดอยู่บ้างออกมา
“ไม่อยากฟังเรื่องนี้” นางเอ่ยขึ้นเด็ดขาด
หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไป
โกรธมากขนาดนี้ หยิ่งทะนงจริงๆ นะ
เขาอดไม่ได้ยิ้ม
“ข้ายังคิดขอคำชี้แนะจากเจ้าเลยนะ ข้าคิดนานขนาดนี้ยังแก้ไม่ออกเลย” เขาว่า “ดูท่าคงเป็นเกมหมากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เขาก็แก้ไม่ออกเหมือนกัน เกมหมากยอดเยี่ยมนัก แก้ไม่ออกก็ไม่ต้องโกรธไหม
“ไม่ยอดเยี่ยมสักนิด” คุณหนูจวินเอ่ยเด็ดขาดอีกครั้ง เพิ่มความเร็วฝีเท้า “ใกล้จะถึงแล้วสินะ?”
เปลี่ยนเรื่องทื่อๆ เช่นนี้รึ? ดูท่าโกรธมากจริงๆ
หัวข้อนี้เลือกผิดแล้ว
แย่จริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาทำอะไรไม่ได้อยู่นิดหนึ่งทั้งยังหงุดหงิดอยู่บ้างเล็กน้อย
“ใกล้แล้ว เลี้ยวไปก็ถึง” เขายิ้มเอ่ยขึ้น ตามไปและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามอย่างเป็นธรรมชาติ “ตอนเช้าคนมากนัก พวกเราอาจต้องรอสักครู่”
“ตอนข้าเพิ่งเข้าเมืองซื้อของว่างหลายอย่างล้วนต้องรอ รอถึงบ่งบอกว่าดี” คุณหนูจวินเอ่ย เป็นฝ่ายรับช่วงบทสนทนานี้ต่อ
หนิงอวิ๋นเจายิ้มตอบรับ
“มีปีหนึ่งพวกเราไปชมดอกเหมยที่วัดวั่งซานนอกเมือง ต่างจากผู้อื่นชมดอกเหมย ครั้งนั้นพวกเราตัดสินใจว่าจะชมความเป็นไปยามดอกเหมยบาน” เขาเอ่ยขึ้น “จึงรออยู่ใต้ต้นเหมยอายุมากของวัดวั่งซานหนึ่งวันหนึ่งคืน”
คุณหนูจวินแย้มรอยยิ้ม
อาจารย์ก็ทำเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน จ้องดอกไม้ดอกหนึ่งรอคอยมันแย้มบานเรื่องโง่เง่าเช่นนี้
“สวยไหม?” นางหันกลับมามองเขาเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาคิดนิดหนึ่ง
“ไม่สวย” เขาว่า “นอกจากหนาวกับง่วงไม่มีความรู้สึกอื่น”
คุณหนูจวินหลุดหัวเราะพรืด
หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะตามไปด้วย
เสี่ยวติงด้านหลังร่างโล่งอกไปด้วย ตบหน้าอกหัวเราะตาม ยังดี ยังดีนายน้อยไม่เพียงทำให้เด็กหนุ่มสนุกสนานได้ยังทำให้เด็กสาวสนุกสนานได้ด้วย
“ด้านหน้าก็ถึงแล้ว” หนิงอวิ๋นเจายิ้มชี้ด้านหน้า
คุณหนูจวินมองตามไปด้วย แต่นาทีต่อมาทั้งสองคนล้วนชะงักเท้า
นี่ไม่ใช่เพราะด้านหน้าฝูงชนขวางถนนไว้ แต่เป็นกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งกั้นคนเหล่านี้ไว้
เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?
หนิงอวิ๋นเจาก็คิดไม่ถึงอยู่บ้างเช่นกัน
“หรือว่าทอดเต้าหู้ก็มีความผิดได้ด้วย?” เขาเอ่ยขึ้น
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู สองข้างล้วนมีองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้ ขวางคนอื่นเข้าใกล้
ได้ยินคำพูดของหนิงอวิ๋นเจา คนใจดีด้านหน้าจึงหันหน้ามา
“ไม่ได้ทำความผิดหรอก” เขาทำหน้าทำตาตื่นเต้น เอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่มาที่นี่กินขนมเต้าหูทอดน่ะ”
ลู่อวิ๋นฉี?
เขาอยู่ที่เมืองหลวงแทบไม่กินข้าวข้างนอก เดิมก็แทบไม่ออกจากบ้าน ทำงานหรืออยู่ที่กรม ล้วนอดไม่กิน กลับบ้านมาค่อยกิน
นางว่าเขาหลายครั้ง เขาก็เพียงแค่ยิ้มบอกว่ากินข้าวข้างนอกไม่ชิน ก็ตามใจเขาไป
ก็เพราะเช่นนี้ นางถึงไม่นับเรื่องที่เขาบอกว่าจะพานางไปกินขนมข้างนอกเป็นเรื่องจริง
เขาไม่ชอบกินของข้างนอก ส่วนนางฐานะไม่สะดวกออกไปข้างนอก
เช้าขนาดนี้ก็วิ่งออกมากินข้าวแล้ว?
แม้กระทั่งสิ่งนี้ก็เสแสร้งรึ? ได้แต่เฝ้าอยู่ในบ้านดูตนนักโทษคนนี้ สักครู่ก็ไม่อาจจากไปได้งั้นสิ?
เพียงแค่ออกห่างครั้งหนึ่งครั้งนั้น ตนก็วิ่งไปลอบสังหารฮ่องเต้ ในใจเขาคงเกลียดนักสินะ
“เช่นนี้หรือ” หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้ากับคนผู้นั้น
แต่ก็มีคนอีกคนหนึ่งหันหน้ากลับมาทันที สีหน้าพิกล
“ไม่ใช่แค่หัวหน้ากองพันลู่” เขากดเสียงเบา
รับประทานอาหารข้างนอก ยังไงมีคนอยู่ด้วยถึงจะน่าสนใจ หนิงอวิ๋นเจาคิด มองคุณหนูจวิน
“งั้นหรือ?” เขาตอบตามน้ำ
“ใช่แล้ว หัวหน้ากองพันลู่กับ…” คนผู้นั้นเอ่ยต่อ พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปอีกครั้ง
กับอะไร?
หนิงอวิ๋นเจามองไปทางคนผู้นั้น เพื่อนขุนนาง? สหาย?
“ผู้หญิง” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
นางมองไปทางประตูร้านนั่น ทันใดนั้นก็โพล่งหนึ่งประโยคนี้ออกมา หนิงอวิ๋นเจาตะลึงมองตามไป
ด้านในประตูร้านอันเรียบง่ายมีคนสองคนเดินออกมา ผู้ชายอ้วนที่ใบหน้าทั้งกังวลทั้งยินดีทั้งหวาดกลัวย่อมต้องเป็นเจ้าของร้าน ผู้ชายที่เขาคอยรับใช้อย่างระวังย่อมเป็นลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สวมชุดปลาบินอย่างแต่ก่อน แต่สวมชุดยาวสีดำทั้งตัว เดินอยู่ใต้แสงตะวันดุจดั่งห่มราตรีไว้
เขามองเจ้าของร้านที่พยักหน้าค้อมกายอยู่ข้างตัวราวกับไม่เห็น ก้าวออกธรณีประตูหยุดฝีเท้ายื่นมือออกไปด้านหลัง
มือของสตรีข้างหนึ่งวางลงบนมือของเขา ต่อมาหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งก็ปรากฏในสายตาของผู้คน
ชาวบ้านที่ล้อมชมอยู่ยิ่งวุ่นวายทันที พากันเขย่งเท้าชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น
แต่ที่น่าเสียดายก็คือผู้หญิงคนนั้นใช้ผ้าโปร่งปิดบังหน้าตาไว้ เห็นเพียงรูปร่างผอมบาง ราวกับเสียงพูดคุยของชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ด้านนอกทำให้ตกใจ ก้มหน้าเขินอายตามลู่อวิ๋นฉีไป
ลู่อวิ๋นฉีจับมือของนางทีละก้าวๆ เดินไปถึงด้านหน้ารถม้า ประคองนางขึ้นรถม้าด้วยตนเอง ตนเองก็เข้าไปนั่งด้วย
รถม้าฤดูร้อนม่านไม้ไผ่โปร่งบาง ทำให้เงาคนในนั้นเลือนๆ รางๆ เดี๋ยวหายเดี๋ยวโผล่
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรขวางชาวบ้านเข้าใกล้ แต่ขวางสายตากับหูของทุกคนไม่อยู่
“…ยังกินได้ดีอยู่ไหม?”
ในรถเงาร่างของหัวหน้ากองพันลู่เข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถาม
ผู้หญิงคนนั้นเลิกผ้าตาข่ายขึ้น แต่ทุกคนก็มองหน้าตานางไม่ชัด ต่อให้อยู่ในรถก็ก้มหน้า ได้ยินคำถามก็พยักหน้ารับเอียงอาย
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เอ่ยวาจาต่อ นั่งตัวตรงยกมือขึ้น คนด้านนอกก็จูงม้าเดินไปข้างหน้าทันที องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งเดินข้างหน้าสองกลุ่มปกป้องซ้ายขวา ฝูงชนหลีกทางเอง มองรถม้าตัดผ่านไป
ลู่อวิ๋นฉีที่มองตรงไปข้างหน้าฉับพลันก็หันหน้านิดหนึ่ง
การกระทำนี้กะทันหันเกินไป ทำให้ชาวบ้านกำลังใจกลับมากล้ามองในรถอยู่ตกใจสะดุ้งโหยง
สายตาของลู่อวิ๋นฉีกวาดผ่านผู้คน ในฝูงชนก็ไม่มีคนแปลกประหลาดอะไร จนกระทั่งมองเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งกับเด็กสาวคนหนึ่ง
สองคนนี้ยืนเคียงกันในฝูงชนสะดุดตายิ่งนัก
สองคนนี้ก็กำลังมองเขาเช่นกัน
……………………………………….
บทที่ 127 คิดวุ่นวายเกี่ยวกับรักแรกพบ
โดย
Ink Stone_Romance
ชายหนุ่มผู้นี้ลู่อวิ๋นฉีย่อมรู้จัก ครอบครัวสายตรงสายรองมิตรสหายของขุนนางทั้งราชสำนัก เขาล้วนรู้จัก
ลูกหลานของตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว ลูกหลานของตระกูลใหญ่เป็นขุนนางชั้นสูงเงินเดือนมากมารุ่นแล้วรุ่นเล่าเช่นนี้มีความสะดวกสบายตั้งแต่เกิด
แน่นอนว่าลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มีอคติกับคนเหล่านี้ บางทีอาจเคยมี แต่ตอนนี้ไม่ว่าคนอะไรก็ไม่พ้นเป็นคนผู้หนึ่ง
สีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาแม้ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่แววตานิ่งสงบ ไม่ได้หวาดกลัวและตื่นเต้นอย่างประชาชนเหล่านี้
แต่ในเมื่อล้วนเป็นคน แววตาหวาดกลัวอยากเห็นก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เดินในคุกใหญ่ของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือรอบหนึ่งก็ได้แล้ว
สายตาของลู่อวิ๋นฉีข้ามเขาไป หยุดอยู่บนร่างของเด็กสาว
เด็กสาวคนนี้ เงียบนิ่งสงบดุจเดียวกับหนิงอวิ๋นเจา ไม่มีจุดใดพิเศษ
สายตาของเขากวาดผ่านไป รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้า
สายตาของคุณหนูจวินไล่ตามรถม้า
ฝูงชนข้างกายเริ่มเดินเคลื่อนไหววุ่นวายใหม่อีกครั้ง
“ไปเถอะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น มองเด็กสาวที่สีหน้านิ่งสนิทแต่ร่างกายกลับยากจะปิดบังความแข็งทื่อนิดๆ ได้
กลัว คงไม่ถึงขั้นนั้น
ตอนนั้นที่หอจิ้นอวิ๋นนางเดินผ่านพวกองครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นมองเห็นเหมือนไม่เห็น เคยกลัวสักนิดที่ไหน
แต่ระหว่างพวกองครักษ์เสื้อแพรกับพวกองครักษ์เสื้อแพรกก็ไม่เหมือนกัน ลู่อวิ๋นฉีชื่อเสียงเลวร้ายเลื่องลือเช่นนี้ทำให้คนกลัว ทำให้คนเคร่งเครียดอยู่บ้างจริงๆ
“หรือพวกเราจะเปลี่ยนร้าน?” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินรั้งสายตากลับมองไปทางเขา
ไม่รอนางเอ่ยอะไร หนิงอวิ๋นเจาก็พยักเพยิดคางไปทางร้านแม่เฒ่าหวังสื่อนัย
“เจ้าดู คนมากเกินไปแล้ว ไปมุงถาม” เขาว่า
สภาพแวดล้อมรับประทานอาหารเช่นนี้ไม่งามนักแล้ว ไม่ใช่ความหมายอื่น ตัวอย่างเช่นนางกลัวองครักษ์เสื้อแพรเป็นต้น
“ไปร่วมวงเถอะ” คุณหนูจวินว่า “ไปลองฟังว่าเล่าอะไร”
นางพูดจบก็เดินไปข้างหน้า หนิงอวิ๋นเจาอึ้งแล้วก็หลุดยิ้ม
ไม่ได้กลัวจริงๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีนิสัยอย่างแม่นางน้อยคนหนึ่งอีก
เขายิ้มตามไป
ร้านแม่เฒ่าหวังในห้องคับแคบคนเบียดเต็มเอะอะไปหมด
“…ทั้งหมดไม่ต้องโวยวาย จะกินหรือไม่กิน? พวกเรายังต้องค้าขายนะ”
เฒ่าแก่รับมือไม่ไหวแล้วจริงๆ ถือกระบวยร้องตะโกน
“…จะพูด ซื้อเต้าหู้ชุดหนึ่งก่อน”
บรรดาชาวบ้านหัวเราะด่า บ้างเดินออกไป บ้างควักเงินมาซื้อ ยืนอยู่นั่งอยู่รออยู่ เสี่ยวติงจองที่นั่งที่หนึ่งไว้ก่อนแล้ว ให้หนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินนั่งลง หลิ่วเอ๋อร์นั่งลงตามไปด้วย ถูกเสี่ยวติงดึงแขนเสื้อไว้
“ทำอะไร?” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตา ดึงแขนเสื้อคืนมา
“ที่นี่ไม่มีที่แล้ว” เสี่ยวติงพูดเสียงเบา ในใจคิดว่ายังสู้ตนเองไม่ได้เลย ไม่ดูตาม้าตาเรือสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปกินที่ไหน?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น
เสี่ยวติงกลอกตา
“เจ้าดูคนเยอะแยะต้องรอนานนัก ด้านนอกมีร้านขนมทอด พวกเราซื้อมาลองชิมรอข้างๆ” เขาเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ตอนนี้ถึงพยักหน้า
“คุณหนู พวกเราออกไปซื้อขนมทอดชิ้นหนึ่งก่อนนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างดีอกดีใจ
คุณหนูจวินพยักหน้า
เป็นเด็กรับใช้ของผู้อื่นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กรับใช้ของนายน้อยที่หัวใจรักผลิบาน เสี่ยวติงยื่นมือเช็ดเหงื่อ พาสาวใช้คนนี้เดินออกไป
เต้าหู้ทอดต้องรอจริงๆ คุณหนูจวินไม่ได้รำคาญ ฟังผู้คนด้านข้างล้อมถามเฒ่าแก่
“…ลู่อวิ๋นฉีทำไมมาที่ร้านเจ้าได้?”
“พูดเหลวไหล ย่อมต้องมากินเต้าหู้สิ” เฒ่าแก่เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ แต่จากนั้นคิดนิดหนึ่งนี่มีอะไรน่าภาคภูมิ เต้าหู้ที่ลู่อวิ๋นฉีเคยกินมาก่อน ไม่รู้ว่าจะถูกครหาลับหลังหรือไม่ ฉับพลันคิ้วขมวดแต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยเกินไปนัก
ไม่อย่างนั้นถูกกล่าวหาว่ารังเกียจลู่อวิ๋นฉีก็จบสิ้นกัน
“ที่จริงก็ไม่ใช่” เขาคิดนิดหนึ่งรีบอธิบายอีก “ไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉีอยากกิน เป็นแม่นางน้อยคนนนั้น…”
ก็รอประโยคนี้นี่แหละ ดวงตาของชาวบ้านล้วนสว่างวาบขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครหรือ?”
“ไม่เคยได้ยินว่าหัวหน้ากองพันลู่มีพี่สาวน้องสาวนี่”
“เจ้าตาบอดรึ มีที่ไหนสนิทสนมกับพี่สาวน้องสาวเช่นนั้น”
เฒ่าแก่ถูกเสียงโหวกเหวกทำให้ปวดหัว เคาะกระบวยหลายที
“พวกเจ้าจริงก็ไม่รู้ปลอมก็ไม่รู้” เขาว่า “แม่นางน้อยคนนั้นก็คือลูกสาวคนที่สามของบ้านตาเฒ่าเฉียวไง”
เป็นลูกสาวของบ้านตาเฒ่าเฉียวคนขายน้ำชาที่ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงไว้ที่เล่ากันคนนั้น
บรรดาชาวบ้านเข้าใจโดยพลัน
คุณหนูจวินก็พยักหน้าเหมือนกัน แล้วก็หมุนตัวฟังการถกเถียงด้านนั้นต่อ
ที่ถกเถียงกันจะมีอะไรอีกนอกเสียจากลู่อวิ๋นฉีคนนี้ต้องใจลูกสาวคนที่สามบ้านตระกูลเฉียวได้อย่างไร
“…ตอนนั้นหัวหน้ากองพันลู่เกิดอารมณ์สุนทรีย์มาชมดอกอิงฮวา..”
“…หัวหน้ากองพันลู่มีอารมณ์สุนทรีย์ชมดอกไม้ด้วยรึ?”
คำพูดเพิ่งเริ่มก็ถูกคนขัดแล้ว
อย่าโทษคนผู้นี้ขัดเลย คุณหนูจวินก็สีหน้ายุ่งเหยิงเหมือนกัน ใช่สิ ลู่อวิ๋นฉีที่แท้มีอารมณ์สุนทรีย์อย่างนี้ด้วย น่าเสียดายเพื่อไม่ให้ตนเองออกจากบ้าน บางครั้งยามที่ตนเองพูดขึ้นว่าอยากไปชมดอกอิงฮวาจึงไม่ได้ตอบรับ
ลำบากเขาแล้ว เสแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่ตนเองอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง
“…อย่างไรวันนั้นหัวหน้ากองพันลู่ก็ไปชมดอกไม้แล้ว เดินเข้าไปในเพิงน้ำชาของผู้เฒ่าเฉียว ตอนนั้นผู้เฒ่าเฉียววุ่นวายชงน้ำชาอยู่ ลูกสาวคนที่สามก็ไปส่งน้ำชาเหมือนก่อนหน้า พริบตานั่นที่ส่งน้ำชานั่นเอง ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่จันทร์หลบผกาละอายมัจฉาจมวารีปักษาตกนภา…”
“เจ้าหยุดเถอะ แม่นางสามเฉียวตั้งแต่เล็กเฝ้าเตาไฟชงน้ำชา รมผมหน้านานปีจนดำขมุกมขมัว ไหนเลยจะจันทร์หลบผกาละอายได้เล่า”
“เจ้าจะรู้อะไรเล่า นั่นเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างไรหัวหน้ากองพันลู่เห็นเข้าก็ต้องใจแล้ว ห่างไปสองวันก็ให้คนแบกเกี้ยวหลังเล็กยกเข้าประตูไปแล้ว บ้านตาเฒ่าเฉียวเหยียบก้าวเดียวขึ้นสวรรค์ไปด้วย”
คุณหนูจวินนั่งตัวตรง เหมือนคิดอะไรอยู่มองหนิงอวิ๋นเจา
“รักแรกพบ” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าเชื่อไหม?”
หนิงอวิ๋นเจาถูกถามจนอยากหัวเราะอยู่บ้าง
เขาย่อมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตนเองจะได้มาถกเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของผู้อื่นกับเด็กสาวคนหนึ่ง
เขาคิดอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง
“ไม่เชื่อนัก” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่เชื่อนักว่าบนโลกนี้มีรักแรกพบ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
รักแรกพบหรือ
“จะพูดอย่างไรดีล่ะ มีก็คงมี แต่คงไม่ใช่เห็นปุบก็ตกหลุมรักปับแบบนั้น” เขาว่า “ใจชมชอบความงามทุกคนล้วนมี คนมากมายล้วนพูดได้ว่ารักแรกพบเป็นเพราะรูปโฉมงดงาม เกินขึ้นจากราคะ แต่บางครั้งที่จริงก็ไม่ใช่”
คุณหนูจวินตั้งใจมองเขา
ความตั้งใจแบบนี้ทำให้คนรู้สึกได้รับความเคารพอย่างมาก แล้วก็จริงใจมากเช่นกัน ไม่ได้มีท่าทีเสแสร้งสักนิด
นี่ก็คือจุดที่ทำไมหนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่านางไม่เหมือนเด็กสาวคนอื่น แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำไมยินดีสนทนากับนาง
เพราะทำให้คนสบายใจมากจริงๆ
ความสบายใจเช่นนี้ทำให้เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เหมือนเช่นเดียวกับถกหลักคุณธรรมกับบรรดาสหายบัณฑิต
“หลายครั้งรักคำนี้ของรักแรกพบเกิดมาจากตนเอง” เขาว่า “สิ่งที่ตนเองนับถือที่ชมชอบที่ไม่มี แล้วก็อาจเป็นจิตใจสภาพคุณธรรมเช่นนั้นที่มี เป็นความรู้สึกเช่นมองหานางในฝูงชนร้อยพันหนฉับพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า เจ้าก็รู้ว่าคนผู้นี้ก็คือคนผู้นั้นที่เจ้ารอคอยมาตลอด”
เหมือนกับคราวนั้นดวลหมากใต้ต้นไม้ในเทศกาลโคมไฟ แม้ไม่ได้เห็นหน้าตา แต่แค่เกมหมากเขาก็รู้ว่าคนที่เล่นหมากผู้นี้เป็นคนที่ทำให้….
ความคิดแล่นถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก เขาคิดไปถึงไหนแล้ว เวลานี้ยกตัวอย่างเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม
เขากระแอมทีหนึ่ง
“ดังนั้นรักของรักแรกพบเช่นนี้ มากกว่าครึ่งเป็นรักของตนเอง อีกครึ่งหนึ่งเป็นรักต่อสิ่งที่อีกฝ่ายครอบครอง หน้าตาเป็นด้านหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่เช่นนั้นหญิงสาวงดงามในหอคณิกามากมายนัก ทุกคนไล่ตามชมชอบหลงรัก แต่รักเช่นนั้นไม่ใช่รักที่ต้องจิตวิญญาณ”
สิ้นเสียงของเขา เด็กสาวฝั่งตรงข้ามก็ยิ้ม
เพราะอยู่ในร้านเล็กๆ แออัด นางจึงไม่ได้หัวเราะลั่นออกมา แต่ใช้มือปิดไว้หัวเราะ
“เจ้าหัวเราะเช่นนี้ ทำให้ข้าเขินแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน “ข้าพูดตรงไหนไม่ถูกต้อง เจ้าพูดสิ อย่าหัวเราะ”
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง แล้วก็กลั้นไว้ส่ายศีรษะ
“ไม่มี” นางว่า ตั้งใจคิดนิดหนึ่ง ท่าทีสงบลงนิดหนึ่ง “เพียงแต่ข้าไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นไม่รู้ว่าถูกหรือผิด”
หนิงอวิ๋นเจาคิดนิดหนึ่งบ้าง หัวเราะขึ้นมา
“ที่จริงข้าก็ไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน” เขาว่า
เหมือนกับเด็กน้อยยังไม่รู้จักโลกสองคนเล่นพ่อแม่ลูกถกการเป็นภรรยาการเป็นสามีอย่างตั้งใจแต่กลับน่าขัน
“ก็แค่ความคิดวุ่นวาย” เขาว่า ทั้งจริงจังอยู่บ้าง ทั้งเฉยชาอยู่บ้าง
……………………………………….
บทที่ 128 เฉลิมฉลองครั้งใหญ่ยามวันดีเวลามงคล
โดย
Ink Stone_Romance
คุณชายสิบหนิงคนนี้พูดเก่งจริงๆ แม้บางครั้งคำที่พูดประหลาดไปบ้าง แต่ท่าทีของเขาดีมาก คนนิ่งสงบทั้งยังจริงใจ ไม่แปลกที่จะได้รับความนิยมขนาดนั้นที่หยางเฉิง
ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ตระกูลหนิงให้นางอย่างสิ้นเชิง
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มอีกครั้ง
แต่ เขายังคงคิดมากไปแล้ว
“ความหมายของข้าก็คือ ท่านเชื่อว่าพวกเขานี่เป็นรักแรกพบหรือไม่? คนเช่นนี้อย่างเขาจะมีรักแรกพบได้หรือ?” นางเก็บรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
ที่แท้ก็สงสัยพฤติกรรมของลู่อวิ๋นฉี
เพราะตนเองบอกกับนางว่าชื่อโรงหมอจิ่วหลิงอาจนำเรื่องชื่อต้องห้ามมาสินะ
คนของร้านเวลานี้ร้องบอกว่าเต้าหู้ทอดของพวกเขาเสร็จแล้ว เพราะเสี่ยวติงกับหลิ่วเอ๋อร์ล้วนอยู่ด้านนอกหนิงอวิ๋นเจาจึงลุกขึ้นไปยกมาเอง
“เรื่องรักชายหญิงเช่นนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างยิ่ง ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ล้วนเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ถูกหรือไม่?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดตะเกียบส่งให้นาง
คุณหนูจวินยิ้ม ขานตอบ รับตะเกียบก้มศีรษะรับประทาน
ใช่ ไม่เกี่ยวกับเขา ไม่เกี่ยวกับตนเองแล้วด้วย แต่พี่สาว…
“…แต่องค์หญิงจิ่วหลียังไม่แต่งงานเลย…หัวหน้ากองพันลู่คนนี้ก็มีผู้หญิงข้างนอกแล้ว…”
“ใช่สิ นั่นเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ”
“ก็ไม่ได้มีบอกไว้เสียหน่อยว่าผู้ชายขององค์หญิงจะเลี้ยงเมียน้อยไม่ได้”
“แต่นี่น่า…ตบหน้ามากอยู่นา…”
“…ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฮ่องเต้ยังไม่พูดเลย พวกเราจะพูดอะไรเล่า”
เสียงถกเถียงข้างหูยังดำเนินต่อไป
ตบหน้า นี่ก็ไม่เรียตบหน้าอะไร ให้พี่สาวแต่งงานกับเขาอีกก็เป็นการตบหน้าพอแล้ว
แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว หลอกองค์หญิงคนเดียวก็พอแล้ว องค์หญิงคนที่สองไม่จำเป็นแล้ว
อยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ
คุณหนูจวินหยิบตะเกียบกินเต้าหู้ทอด ราวกับรู้สึกว่ายังไม่ถึงใจ จึงพับแขนเสื้อขึ้นเสียเลย หนิงอวิ๋นเจาเห็นเข้าก็ยิ้ม พับแขนเสื้อของตนขึ้นมาด้วย
“ถูกปากไหม?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินส่งเสียงรับพยักหน้า ใช้ตะเกียบคีบก้อนหนึ่งเข้ามาใส่เข้าปาก บนริมฝีปากเคลือบน้ำมันแวววาว เหมือนจะไม่ทันสนใจตอบ
บางครั้งการกระทำก็น่าเชื่อกว่าคำพูด
มุมปากหนิงอวิ๋นเจายกขึ้นนิดๆ ไม่ได้เอ่ยถามอีก เริ่มกินคำใหญ่บ้าง
“…แต่เรื่องนี้ยังไงก็ควรหลบบ้างไหม อีกสองวันก็งานแต่งงานแล้ว…”
“…ใยต้องทำด้วย เลี้ยงไว้ในบ้านก็พอแล้ว ทำไมต้องพาออกมาอวดในเมือง…”
“…นี่หากองค์หญิงจิ่วหลีรู้เข้าคงโกรธมาก…”
คุณหนูจวินเงยหน้ายิ้มให้หนิงอวิ๋นเจา
“อร่อยจริงๆ” นางว่า กินคำใหญ่คำหนึ่งแล้วก็ตามอีกคำหนึ่งอีกครั้ง ยัดจนเต็มปาก
“ช้าหน่อย” หนิงอวิ๋นเจาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น ส่งผ้าเช็ดหน้าให้นางโดยไม่รู้ตัว
คุณหนูจวินถือโอกาสรับไปเช็ดมุมปากไปพลาง ยิ้มพยักหน้าไปพลาง
ไม่ต้องกังวล พี่สาวไม่มีทางรู้หรอก
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องไม่เคยเปิดออก แยกจากกันเป็นสองโลก ด้านนอกลมก็ดีฝนก็ดีสว่างก็ดี ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
วันที่ยี่สิบแปดเดือนหก ฟ้ายังไม่ทันสว่าง หออาคารหลังแล้วหลังเล่าล้วนห้อมล้อมอยู่ในแสงสีคราม
นี่เป็นพระราชฐานกำแพงแดงกระเบื้องเหลืองแห่งหนึ่ง
สวนลึก หรูหรางดงาม
เพียงแต่ตำหนักหลังนี้กลับเงียบสนิทราวกับดินแดนไร้คน บางทีคงเพราะยังคงหลบใหลอยู่กันหมดกระมัง แต่เวลานี้ก็มีคนตื่นแล้ว ทางเดินปูหินที่ปูด้วยอิฐลวดลายวิจิตรนานาสีสัน มีคนเดินอยู่ช้าๆ
นี่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง กระโปรงสีขาวสะอาดสะบัดไหวตามการเดิน ราวกับฟองคลื่นเล็กละเอียด
รูปร่างของนางสะโอดสะอง ขยับเดินทั้งอ้อนแอ้นทั้งสง่างาม แสงสีครามห้อมล้อมนาง เหมือนกับผ้าโปร่งคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
นางเดินอยู่บนทางเดินปูหินคนเดียว ไม่นานก็มาถึงตำหนักหลังหนึ่ง
ประตูตำหนักเปิดออกแล้ว แต่ด้านในไม่มีสักคน โคมใต้ชายคาในห้องล้วนสว่างอยู่ ทว่าใต้แสงสีครามขมุกขมัวกลับแลดูมืดสลัวไม่สว่าง
นี่เป็นห้องครัว หญิงสาวเข้ามาม้วนแขนเสื้อขึ้น หยิบชุดกันเปื้อนด้านข้างที่แขวนอยู่ขึ้นมาสวม จุดเตา นำน้ำซุปที่เตรียมไว้ก่อนแล้วมาอุ่น หยิบชาม เทแป้ง รินน้ำ เริ่มนวดแป้ง
ข้อมือเนียนผ่องที่เผยออกมาเรียวบาง แต่การกระทำกลับมีกำลัง ไม่นานแป้งสีขาวก็เปลี่ยนกลายเป็นก้อนแป้งด้วยมือของนาง ใส่น้ำมันเล็กน้อย นวดคลึงไม่หยุด ไม่นานก็มันวาวเนียนละเอียด
พักก้อนแป้งที่นวดเสร็จแล้วไว้ นางเดินไปด้านหน้าโต๊ะอีกครั้ง หยิบผักตากแห้งเห็ดไชเท้ามาล้างหั่น ใส่เข้าไปในหม้อน้ำแกงต้ม แล้วหมุนตัวกลับมาหน้าชามแป้งเอาก้อนแป้งออกมาเริ่มแผ่แป้ง
แผ่นแป้งถูกไม้นวดนวดขยายออกไม่หยุด ดึงขึ้นพลิก พับ โรยแป้ง มีดตัดหมี่ที่ทั้งกว้างทั้งยาวส่งเสียงกระทบโต๊ะเป็นจังหวะ แผ่นแป้งถูกตัดอย่างเป็นระเบียบ วางมีดลงสลัดตามสบายทีหนึ่งเส้นหมี่เล็กละเอียดก็กระจายออก
กลิ่นหอมของน้ำซุปในหม้อก็กระจายตาม
หม้ออีกใบหนึ่งต้มน้ำร้อนจนเดือด เส้นหมี่ใส่ลงไป หลังลวกเสร็จก็ช้อนขึ้นมา ได้ไม่มากไม่น้อยสองชาม ราดน้ำซุปที่เคี่ยวเสร็จแล้ว โรยต้นหอมผักชี วางชามน้ำแกงเข้าไปในกล่องอาหาร หญิงสาวก็ปลดชุดกันเปื้อน ปล่อยแขนเสื้อลง เดินถือกล่องอาหารออกไปเฉกเช่นเดียวกับยามมา
ท้องฟ้าสว่างแล้ว หมอกยามเช้าของฤดูร้อนสลายไปแล้ว หญิงสาวอายุน้อยเดินมาถึงด้านหน้าประตูเรือนแห่งหนึ่ง ยกมือผลักประตูเรือนไป เสียงประตูทำลายความเงียบสงบในเรือนหลังนี้ ได้ยินเสียงนี้ ประตูห้องถูกเปิดออก เด็กผู้ชายอายุเจ็ดแปดปีคนหนึ่งวิ่งออกมา
“ท่านพี่” เขาร้องเรียกเสียงใส แสงอรุณส่องดวงตาแวววาวของเขา รวมถึงลักยิ้มสองข้างที่เผยออกมายามยิ้ม “หอมนัก”
เมื่อเขาปรากฏตัวหน้าประตู หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เผยรอยยิ้มตาม ใต้แสงอรุณโฉมงามดุจภาพวาด ท่วงท่านิ่งสง่าดุจดอกกล้วยไม้ตูมยามวสันต์ฤดูกำลังจะแย้มบาน
“จิ่วหรง ทำไมเจ้าไม่สวมรองเท้าเล่า” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
เด็กชายแลบลิ้น ด้านหลังร่างหญิงรับใช้คนหนึ่งตามออกมา ท่าทางวิตกนิดหน่อยคำนับหญิงสาว
“องค์หญิง” นางเอ่ย ในมือหิ้วรองเท้าคู่หนึ่ง “กำลังจะสวมเพคะ องค์ชายได้ยินเสียงรู้ว่าองค์หญิงมาแล้ว”
หญิงสาว…องค์หญิงจิ่วหลีเดินเข้ามา
“รีบสวมรองเท้า ล้างมือแล้วมาทานหมี่” นางเอ่ยขึ้น
จิ่วหรงตอบรับ ยื่นมือให้หญิงรับใช้อุ้มกลับไปในห้อง ไม่นานก็ล้างหน้าเรียบร้อยวิ่งออกมา
บนโต๊ะในห้องด้านข้างวางเส้นหมี่สองชามไว้เรียบร้อยแล้ว จิ่วหลีนั่งมองด้านนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงก็หันกลับมา
“รีบมาทานเถอะ” นางว่า
จิ่วหรงพยักหน้านั่งลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อน
“ท่านพี่ หอมจังเลย หมี่อายุยืน[1]ที่ท่านพี่ทำเองอร่อยที่สุดแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาใส
จิ่วหลียิ้มละไมให้เขา ตนเองก็หยิบตะเกียบขึ้นมา
“กินเถอะ” นางเอ่ย
จิ่วหรงหยิบตะเกียบขึ้นมา สองพี่น้องนั่งกินหมี่ไม่พูดไม่จา แสงอรุณค่อยๆ สว่าง ในเรือนเริ่มมีคนเดินไปมา นี่เป็นขันทีรวมถึงนางกำนัลหลายคน
“องค์หญิง ควรเตรียมแต่งตัวแล้ว” ขันทีที่เป็นหัวหน้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น
จิ่วหลีลุกขึ้น จิ่วหรงด้านข้างก็ลุกขึ้นด้วย อย่างไรก็เป็นเด็กน้อย สีหน้ายากจะปิดบังความกังวล
จิ่วหลีดึงมือเขาไว้
“ไป ไปแต่งหน้าจัดผมเป็นเพื่อนพี่” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
จิ่วหรงพยักหน้า เดินตามจิ่วหลีออกไป ขันทีนางกำนัลในเรือนคำนับพร้อมกัน
“ยินดีกับพระราชพิธีมงคลสมรสขององค์หญิง”
“ยินดีกับพระราชพิธีมงคลสมรสขององค์หญิง”
เสียงแล้วเสียงเล่าดังออกไป เปลี่ยนวังอันเงียบสงบให้คึกคักขึ้นมา
จิ่วหลีจูงจิ่วหรง มุมปากแย้มยิ้ม ร่างกายเหยียดตรงเดินผ่านพวกเขา เดินแช่มช้า
…
เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างฉับพลันดังขึ้นบนถนนยามเช้าตรู่ คนที่เดินผ่านตกใจสะดุ้งโหยง สายตาของทุกคนมองไป ถึงสังเกตว่ามีร้านแห่งหนึ่งเปิดกิจการ
“ทำอะไรน่ะ?”
ผู้คนล้อมเข้ามาสงสัยใคร่รู้ มีคนชี้ป้ายบนประตูอ่านออกมา
“โรงหมอจิ่วหลิง”
“เป็นโรงหมอแห่งหนึ่งนี่เอง”
หน้าประตูโรงหมอพนักงานสองคนรวมถึงหญิงสาวสองนางยืนอยู่ ประทัดจุดเสร็จ พนักงานสองคนก็วิ่งเข้าไปหยิบไม้กวาดเป็นต้นออกมาเตรียมปัดกวาด
ในเมื่อเป็นโรงหมอ ก็ไม่อาจร้องเชิญชาวบ้านอย่างกระตือรือร้นได้ แล้วก็ไม่อาจพูดขอให้ร่ำรวยๆ กับพวกเขาเช่นกัน เพราะฉะนั้นในเหตุการณ์จึงแลดูเงียบเหงายิ่งนัก
หญิงสาวสองคนก็ตามเข้าไปด้วย คนที่ล้อมดูอยู่มองอยู่ครู่หนึ่ง ร้านเปิดกิจการในเมืองหลวงทุกวันมากมายนัก ก็ไม่มีอันใดแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แห่งนี้ทั้งไม่มีคนมาส่งของขวัญ แล้วไม่มีคนมาส่งซองแดง ไม่น่าสนใจล้วนแยกย้ายไป
“วันนี้เป็นวันดีวันหนึ่งนะ”
“วันนี้เป็นวันดีอะไร? เหมาะเปิดกิจการหรือ”
“เหมาะแต่งงาน วันนี้เป็นวันแต่งงานขององค์หญิงจิ่วหลี”
“โอ้ใช่ใช่ เร็วเข้าพวกเรารีบไปจองที่ดีๆ เฝ้าดู”
เสียงพูดคุยครึกครื้นด้านนอกประตูสลายไป คุณหนูจวินด้านในห้องก็มองรอบด้านในห้องทีหนึ่ง
“วันนี้เป็นวันดีวันหนึ่ง” นางเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“ใช่เจ้าค่ะ วันดีที่โรงหมอตระกูลเราเปิดกิจการ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย
คุณหนูจวินมองนางแล้วยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากินหมี่ชามหนึ่งเฉลิมฉลองกันเถอะ” นางว่า
กินแค่หมี่หรือ? นี่นับเป็นการฉลองไหม?
แต่คุณหนูดีใจก็พอแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า
“เอาสิเจ้าคะ” นางเอ่ย
……………………………………….
[1] หมี่อายุยืน (寿面) ชาวจีนมีธรรมเนียมรับประทานหมี่เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันเกิด เรียกหมี่ในโอกาสนี้ว่า โซ่วเมี่ยน หรือ หมี่อายุยืน
บทที่ 129 ส่งเจ้าสาว
โดย
Ink Stone_Romance
แสงตะวันค่อยๆ ส่องทแยง หนิงอวิ๋นเจาอ่านหนังสือจบเล่มหนึ่ง วันนี้งานยามกลางวันเสร็จแล้ว
เขาขยับตัวเล็กน้อย สายตาจับจ้องอยู่บนปฏิทินที่หัวโต๊ะ
“เสี่ยงติง เสี่ยวติง” เขาร้องเรียก
เสี่ยงติงวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“นายน้อยมีอะไรขอรับ?”
“ของขวัญส่งไปหรือยัง?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
“นายน้อย ต้องส่งไปแล้วสิขอรับ ท่านกำชับกี่รอบแล้ว ข้าไม่มีทางลืมหรอกขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ยขึ้นไม่ได้รับความเป็นธรรม
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“เช่นนั้นเปิดกิจการแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
“เปิดแล้วขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ใช่บอกนายน้อยแล้วหรือขอรับ”
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นเดินมาถึงข้างหน้าต่างมองสีเขียวเข้ม
จริงสิ เสี่ยวติงบอกแล้ว ของขวัญส่งไปแล้ว เปิดกิจการเช้าเป็นพิเศษ คนก็ไม่มาก
พูดได้ว่าแทบไม่มีคน
เช่นนี้ก็ดี เก็บตัวหน่อย ความสนใจของผู้คนก็น้อยลงหน่อย
ที่นี่อย่างไรก็ไม่ใช่หรู่หนาน แล้วก็ไม่มีเวลาจำกัดในการปกปิดจัดการเรื่องตระกูลฟางแล้วด้วย ครั้งนี้จะทำโรงหมอจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็สั่งสมหยดน้ำเป็นธาราวางพื้นฐานให้มั่นคงเถอะ
“ไปดูสักหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น หมุนตัวก้าวเดิน
“ไปดูอะไรขอรับ?” เสี่ยวติงเอ่ยาม
“ไปดูซิโรงหมอนี้เก็บกวาดเป็นอย่างไรแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
เสี่ยวติงเอ่ยถามจบก็เสียใจแล้ว รู้สึกว่าตนเองยังเยาว์วัยเกินไปไร้เดียงสาเกินไป คำพูดเช่นนี้ตั้งแต่ต้นก็ไม่ควรถาม
ดูอะไรได้เล่า? ดูอะไรก็ได้ ต่อให้เมื่อวานวันก่อนเพิ่งดูมา วันนี้ไปดูอีกก็สมควร
บรรดาบัณฑิตเหล่านี้ไม่ใช่มักจะท่องประโยคประโยคหนึ่งว่าวันเดียวไม่พบหน้าดุจห่างกันสามใบไม้ร่วงหรือ
เขายิ้มขานรับ
แต่มาถึงด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงของคุณหนูจวินที่มองเห็นกลับเป็นประตูที่ปิดอยู่
หนิงอวิ๋นเจากับเสี่ยวติงสีหน้าล้วนอึ้ง
“ไม่ผิดนี่” เสี่ยวติงรีบเงยหน้ามองป้ายชื่อโรงหมอ แล้วมองด้านในรอยแยกบนพื้นยังมีร่องรอยประทัดร่วงกระจาย
เพิ่งเปิดกิจการก็ปิดประตูแล้วได้อย่างไร?
นางไปที่ไหนแล้ว?
หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ด้านหน้าประตูขมวดคิ้วอย่างวิตกอยู่บ้าง
…
ถนนที่เงียบสงบอยู่เสมอมีชาวบ้านเบียดกันอยู่ ทหารตรวจการณ์เมืองเรียงแถวบนถนน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขับไล่ชาวบ้าน เพียงแค่ขวางพวกเขาไว้สองข้างถนน
“มาแล้ว มาแล้ว” หัวถนนด้านนั้นวุ่นวายพักหนึ่ง
เสียงกระจายออกมา ชาวบ้านบนถนนพากันยื่นศีรษะมองไป เห็นคนกับม้าขบวนหนึ่งเดินออกมาจากในบ้านหลังหนึ่ง เจ้าบ่าวอาภรณ์ตัวใหญ่แขนเสื้อกว้างอาชาสูงใหญ่นำอยู่ข้างหน้าก็คือลู่อวิ๋นฉี
เสียงเอะอะพริบตาสลายหายไป สายตาทั้งหมดจับอยู่บนร่างของลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีวันนี้ไม่ได้สวมใส่ชุดปลาบินที่ซับซ้อนหรูหราอีก แต่เป็นเสื้อสีดำเข้ม ท่องล่างสีเหลือง บนศีรษะยังสวม หมวกที่ห้อยลูกปัดหยกอีก
ด้วยชุดแต่งงานสีเข้มขับเสริมทั้งตัว ดวงหน้าของเขายังคงขาวเผือดน่าขนลุก แต่โดยรวมเค้าโครงก็อ่อนโยนไปมาก
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่อวิ๋นฉีสวมชุดเจ้าบ่าวรับเจ้าสาว แต่นั่นก็ดูเหมือนเป็นเรื่องเนิ่นนานก่อนหน้านี้ และไม่กี่ปีนี้ชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งโด่งดังขึ้นทุกที อยู่ดีๆ เห็นหัวหน้ากองพันลู่หน้าตาเช่นนี้ชาวบ้านแปลกตาอย่างมาก
ขบวนม้าเฉลิมฉลองขบวนหนึ่งตัดผ่านไปท่ามกลางความเงียบสงบ ดูไปแล้วประหลาดยิ่งนัก
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน” ไม่รู้คนใดร้องตะโกนนำขึ้นมา ต่อมาเสียงนี้ก็ค่อยสลายกระจัดกระจายไป
หลังหัวไหล่ของชาวบ้านจำนวนมากที่คิดนิ่งงันอยู่พลันถูกทิ่มแรงๆ พร้อมกัน
“ทำอะไร?” ชาวบ้านหันหน้าไปอย่างไม่พอใจ กลับมองเห็นใบหน้าแววตาโหดเหี้ยมดวงหนึ่ง
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน” เจ้าของดวงหน้านี้เอ่ยขึ้น
“ยินดี…” บรรดาชาวบ้านเอ่ยตามติดๆ ขัดๆ
เสียงติดๆ ขัดๆ รวมกันขึ้นมา ทำให้ทั้งถนนเปลี่ยนกลายมาเป็นคึกคักอีกครั้ง
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน”
“ยินดีกับใต้เท้าหัวหน้ากองพัน”
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าราบเรียบ ไม่ว่าริมฝั่งถนนเงียบสงบก็ดี คึกคักก็ดีล้วนไม่สนใจ
ถนนเส้นนี้ไม่ได้ยาวนัก มาถึงหัวถนนอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง ด้านหน้าประตูวังไหวอ๋องที่ตกแต่งเฉลิมฉลองแล้วเช่นกัน
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องเปิดออกแล้ว ขันทีนางกำนัลแถวแล้วแถวเล่ายืนอยู่ ป้ายประกาศสีเหลืองสว่าง ธงเรียงเป็นทิวแถว แสดงความโอ่อ่าของราชวงศ์อย่างชัดเจน
ลู่อวิ๋นฉีลงม้าหน้าประตู เดินเข้าไปเพียงลำพังคนเดียว
เขาไม่มีสหาย นอกจากบรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ติดตามก็ไม่มีสหายที่มารับเจ้าสาวคนอื่นอีก
บรรดาชาวบ้านที่อยู่ด้านหน้าประตูวังไหวอ๋องออเข้ามาเล็กน้อยพักหนึ่ง มองตามเงาร่างของลู่อวิ๋นฉีเข้าไปข้างใน
วังไหวอ๋องที่เมืองหลวงเหมือนเป็นสถานที่ซึ่งถูกลืมเลือนแห่งหนึ่ง มีเพียงเวลานี้ทุกคนถึงจดจำสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาได้ สถานที่แห่งนี้มีองค์ชายองค์หนึ่งอยู่
องค์ชายที่เดิมทีจะได้เป็นโอรสสวรรค์คนนี้
ครั้งก่อนที่วังไหวอ๋องเปิดประตูก็คือตอนที่องค์หญิงจิ่วหลิงแต่งงาน บรรดาชาวบ้านเขย่งเท้ามองเข้าไปด้านในอย่างสงสัยใคร่รู้ทั้งสนอกสนใจ
ทางเดินปูหินกว้างขวางทอดยาว กำแพงแดงกระเบื้องเหลือง ได้ยินว่าฮ่องเต้ตั้งใจสร้างที่แห่งนี้ให้ราวกับพระราชวังฉบับย่อส่วน มีตำหนักหน้าวังหลังเหมือนกัน เล่ากันว่างดงามโออ่า
ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นได้ยินมา บรรดาชาวบ้านใครก็ไม่มีโอกาสเห็นมาก่อน
อาศัยโอกาสนี้ยื่นหน้ามองพลางพูดคุยถกเถียงไปพลาง ยังมีเด็กน้อยใจกล้าลอดทหารที่ขวางอยู่ไปดูป้ายประกาศและธงเหล่านั้นด้วยสงสัย แน่นอนว่าถูกดุด่าไล่กลับไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
นี่ทำให้หน้าประตูยิ่งคึกคักเพิ่มหลายส่วน แล้วก็มีความคึกคักของการแต่งงาน
รอไม่นานนัก เสียงประทัดปุ้งปั้งเสียงกลองก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ออกมาแล้ว!”
“รีบดูเร็ว องค์หญิงจิ่วหลีออกมาแล้ว”
ชาวบ้านหน้าประตูพากันตะโกน เกิดเบียดกันเป็นแถบ คนมากมายไม่ทันระวังถูกเบียดจนเอนซ้ายเอนขวา
“อั้ยย่ะ แม่นางน้อยผู้นี้”
พวกเขามองคนที่เบียดมาด้านข้าง นี่เป็นเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน รูปร่างอ้อนแอ้น แต่กลางฝูงชนกลับเบียดชนราวกับชายฉกรรจ์ เรี่ยวแรงไม่น้อย เหยียบจนมีเสียงร้องด่าขึ้นไปยืนด้านหน้าสุดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เจ้าบ่าวลู่อวิ๋นฉีก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้ว ด้านหลังร่างเขาคือเจ้าสาวที่ถูกคนแบกออกมา
เจ้าสาวคลุมศีรษะปิดหน้า สวมชุดพิธีตัวใหญ่เสื้อดำกระโปรงเหลืองปิดบังรูปร่างเช่นกัน แม้ถูกคนแบกอยู่ ท่าทางก็แลดูสง่างาม
คุณหนูจวินรู้สึกเพียงลมหายใจถี่กระชั้น ลำคอขื่นขม นางยื่นมือขยำสาบเสื้อไว้ จ้องเจ้าสาวคนนั้นเขม็ง
“เป็นองค์ชายสามมาส่งเจ้าสาวล่ะ”
บรรดาชาวบ้านคุยกันเบาๆ ข้างหู
ผู้ที่แบกองค์หญิงจิ่วหลีอยู่คือโอรสองค์ที่สามของฮ่องเต้ปัจจุบัน ยังไม่แต่งงานก็ได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างยิ่ง อายุมากกว่าองค์หญิงจิ่วหลีแค่ไม่กี่ปี
คนที่เดินออกมาส่งเจ้าสาวยังมีบรรดาพระญาติเชื้อพระวงศ์เช่นองค์ชายองค์หญิงยศกงจู่ยศเสี้ยนจู่[1]คนอื่นเป็นต้น ขับประตูวังไหวอ๋องให้หรูหราฟู่ฟ่าแวววาวเป็นประกาย ทำให้บรรดาชาวบ้านอุทานตกตะลึงไม่หยุด
“ฮ่องเต้จัดงานให้องค์หญิงจิ่วหลีใหญ่จริงๆ”
“แค่จัดงานที่ไหน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เห็นสินเจ้าสาวพวกนั้นแหนะ”
“เป็นกิ่งทองใบหยกจริงนะ”
“ได้ยินว่าพระสนมกุ้ยเฟยได้รับการฝากฝังจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาส่งองค์หญิงที่วังไหวอ๋องด้วยพระองค์เองเชียวนะ”
ใช่ คนมามากมายนัก แต่กลับขาดไปคนหนึ่ง
ที่สำคัญก็คือเป็นคนที่สำคัญที่สุด
สายตาของคุณหนูจวินกวาดผ่านคนเหล่านี้ ไม่มีจิ่วหรง
เขาเป็นคนที่จะถูกชาวบ้านลืมเลือน ไม่อาจปรากฏตัวในสายตาของผู้คน
ต่อให้ยามพี่สาวแต่งงาน เขาก็ไม่อาจออกมาส่งด้วยตนเอง
องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว นี่เป็นราชรถและขบวนทหารอารักขาสำหรับยามเชื้อพระวงศ์องค์หญิงชั้นกงจู่แต่งงานโดยเฉพาะ หรูหราโอ่อ่าอย่างที่สุด เคลื่อนไปช้าๆ ท่ามกลางเสียงอุทานตะลึงอิจฉาเป็นแถบ
ชาวบ้านบนถนนราวกับคลื่นน้ำโถมตามขบวนรถไป คุณหนูจวินที่ยืนยิ่งอยู่ที่เดิมราวกับเรือลำน้อยกลางมหาสมุทรถูกชนเอนซ้ายเอนขวา
ขบวนส่งเจ้าสาวจะอ้อมเมืองครึ่งรอบ
นางใช้สายตาส่งรถขององค์หญิงจิ่วหลีไกลออกไป แล้วรั้งสายตากลับมามองวังไหวอ๋อง
บรรดาองค์ชายองค์หญิงชนชั้นสูงคุยเล่นต่างขึ้นรถม้าของตนเอง
พวกนางย่อมไม่อาจเดินตามขบวนส่งเจ้าสาวไป บ้างตรงไปที่จวนของลู่อวิ๋นฉี บ้างก็จากไปเลย
หลังบรรดาชนชั้นสูงเหล่านี้แยกย้าย ประตูใหญ่หวังไหวอ๋อองก็ปิดลงอีกครั้ง แทบจะในพริบตาเดียว ประตูที่เดิมทีคึกคักก็เงียบเหงาลง หลงเหลือเพียงร่องรอยของดอกไม้ดอกน้อย กระดาษสีรวมถึงประทัดเต็มพื้น
“คุณหนู คุณหนู”
หลิ่วเอ๋อร์ในที่สุดก็เบียดออกจากฝูงขนมายืนข้างตัวคุณหนูจวินได้
“เร็วเข้า พวกเรารีบตามไปกันบ้างเถอะเจ้าค่ะ”
นางยื่นมือชี้ขบวนรถที่เคลื่อนไปบนถนนเอ่ยเร่งอย่างชอบใจ เหตุการณ์องค์หญิงแต่งงานไม่เหมือนกับสิ่งใดที่เคยเห็นมาก่อนหน้าจริงๆ
คุณหนูจวินมองไปทางขบวนรถด้านนั้น ในสายตายิ่งไกลออกไปทุกที นางพลันหมุนตัวก้าวไวๆ เดินไปอีกทิศหนึ่ง เดินไปจนท้ายที่สุดก็ถกกระโปรงออกวิ่ง
“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์ยังตอบสนองไม่ทัน ถูกทิ้งอยู่ที่เดิม รีบร้องไล่ตามไป
คุณหนูจวินวิ่งเร็วมาก พริบตาก็เลี้ยวมุมถนนไปแล้ว
“คุณหนู ท่านจะไปไหนเจ้าคะ?”
เสียงหลิ่วเอ๋อร์ร้องเรียกข้างหลัง
อ้อมตรอกเส้นหนึ่ง ข้ามกำแพงเตี้ยๆ ของบ้านหลังหนึ่งก็มาถึงด้านนอกเรือนด้านหลังของวังไหวอ๋ออง เรือนด้านหลังของวังไหวอ๋องมีเขาลูกเล็กๆ ที่คนถมขึ้นมาลูกหนึ่ง ศาลาหลังน้อยที่ตั้งอยู่บนเขามองลงมาที่ถนนเส้นนี้ได้ครึ่งถนน
บนศาลาหลังน้อยเวลานี้มีร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
ก้าวเท้าของคุณหนูจวินหยุดกึก
แม้มองหน้าตาของเขาไม่ชัด แต่คุณหนูจวินกลับรู้ว่าเขากำลังจดจ่อมองขบวนแต่งงานที่เคลื่อนไปบนถนน เหมือนกับที่ตนเองแต่งงานครั้งนั้น
เพียงแต่ว่าครั้งนั้นข้างกายเขายังคงมีท่านพี่เคียงข้าง ครั้งนี้เหลือเพียงเขาตัวคนเดียวแล้ว
————————————————————————-
[1] เสี้ยนจู่ (县主) ยศขององค์หญิงที่รองจากจวิ้นจู่ (郡主) ลงไปอีก
บทที่ 130 ประจันหน้าร่ำสุรา
โดย
Ink Stone_Romance
ท้องฟ้าพลบค่ำเข้าล้อมท้องถนน ตะเกียงเจ้าพายุตะเกียงรั้วบนถนนส่องแสงดวงน้อยเรียงราย สว่างไสวท่ามกลางค่ำคืนมืดสลัว
ในสายตาของหนิงอวิ๋นเจาในที่สุดก็ปรากฏร่างที่คุ้นเคย
เขาสูดหายใจลึก หัวใจสงบลง
“เจ้าไปไหนมา?” เขาก้าวเข้าไปเอ่ยถามเสียงละมุน
คุณหนูจวินที่ก้มหน้าเดินเชื่องช้าอยู่ราวกับถูกเขาทำให้ตกใจ นางสะดุ้งโหยง มองเห็นเขาก็แปลกใจอยู่นิดๆ
“คุณชายหนิงหรือ” นางเอ่ยขึ้น
ราตรีทำให้ดวงหน้าของนางเลือนราง เสียงของนางก็หดหู่
นางอามรณ์ไม่ดี
หนิงอวิ๋นเจาสังเกตได้ทันที
“เป็นอะไร?” เขาเอ่ยถาม แล้วมองไปทางหลิ่วเอ๋อร์ข้างหลังร่างคุณหนูจวิน
หลิ่วเอ๋อร์จะพูดอะไร คุณหนูจวินก็ยิ้มเอ่ยปากเสียก่อน
“ไม่มีอะไร ก็แค่เดินตามใจนิดหน่อย” นางเอ่ยขึ้น มองเขาแปลกใจนิดๆ “เจ้ามาหาข้ามีธุระหรือ?”
ของขวัญที่ส่งให้พอใจไหม?
เปิดกิจการวันแรกเป็นอย่างไร?
ยังมีสิ่งใดต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?
ธุระพูดอ้างออกมาได้มากมาย หนิงอวิ๋นเจามองนาง
“ไม่มีอะไร” เขาส่ายศีรษะแล้วก็ยิ้มบ้าง “ก็แค่มาดูๆ เจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าไม่อยู่”
คุณหนูจวินร้องอ๋อทีหนึ่ง เหมือนยังตามไม่ทันอยู่บ้าง แต่ก็ตามทันแล้ว
“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร? รอนานมากแล้วสินะ?” นางรีบเอ่ยถาม พลางให้หลิ่วเอ๋อร์เปิดประตู “เข้ามานั่งเถอะ”
“เจ้ายังไม่ได้ทานอาหารใช่ไหม? ไม่สู้พวกเราไปหาสักที่หนึ่งนั่งลงแล้วทานอาหารไปด้วย?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“ที่แท้เจ้าก็มาเรียกข้าไปทานอาหารนี่เอง” นางว่า “เจ้าเลี้ยงข้าสองครั้งแล้ว มีมามีไป ครั้งนี้ข้าเลี้ยงเจ้า”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มบอกว่าดี ไม่เกรงใจสักนิด
คุณหนูจวินคิดเล็กน้อยแล้วมองท้องฟ้า
“ตลาดกลางคืนของถนนจูเชวี่ยตอนนี้ก็เปิดแล้ว ข้าจำได้ว่ามีคนบอกว่าด้านนั้นมีร้านเนื้อย่างตาเฒ่าหยางอยู่ร้านหนึ่งค่อนข้างดี เหมาะดื่มสุรา”นางว่า
มีคนบอก คงจะเป็นแผ่นที่เดินทางเยือนเมืองหลวงบอกสินะ
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“หอซานหยวนก็อยู่ฝั่งนั้น สุราเหมยเจียนที่หอซานหยวนขายหวานเข้มละมุน เหมาะดื่มคู่กับเนื้อย่างที่สุด” เขาว่า
คุณหนูจวินยื่นมือทำท่าเชิญ
“เชิญ” นางเอ่ยขึ้น
…
ด้านในจวนตระกูลลู่เวลานี้โคมไฟสว่างไสว ทุกหนทุกแห้งล้วนเป็นสีแดงแห่งการเฉลิมฉลอง
ฟ้าดินคำนับแล้ว เจ้าสาวนั่งอยู่ในเรือนหอ ส่วนเจ้าบ่าวมาถึงด้านในห้องโถงดื่มสุราคารวะมิตรสหาย
โถงใหญ่กว้างขวางมีคนนั่งอยู่เต็ม บรรดาหญิงรับใช้เดินตัดผ่านข้างในวางอาหารรินสุรา
คนที่นั่งอยู่ล้วนสวมอาภรณ์ธรรมดาในโอกาสเฉลิมฉลอง แต่ท่าทางสีหน้าของพวกเขาไม่เหมือนมาเป็นแขกแต่มาฟังคำสั่ง ขอเพียงคำสั่งหนึ่งลงมาก็ออกไปค้นบ้านยึดทรัพย์กวาดล้างตระกูลเยี่ยงสุนัขป่าเยี่ยงพยัคฆ์ได้ทันที
“ข้าลู่อวิ๋นฉีไม่มีมิตรไม่มีสลาย” ลู่อวิ๋นฉียกจอกสุราเอ่ยขึ้น “คารวะ”
คำพูดของเขาสั้นๆ ได้ใจความ ถึงขั้นไม่มีหัวไม่มีหางไปบ้าง คนที่ไม่คุ้นเคยกับเขาบางครั้งก็ฟังคำพูดเขาไม่เข้าใจ แต่คนที่อยู่ที่นั่นล้วนฟังเข้าใจ
ความหมายของเขาก็คือพวกเขาคนเหล่านี้ก็คือมิตรสหายของเขา
เขาคารวะทุกคนหนึ่งจอก
ในวันมงคลของชีวิตมนุษย์วันนี้
ผู้คนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง ถือจอกสุรา
“คารวะใต้เท้า” พวกเขาตะโกนดังก้อง
ในโถงใหญ่ที่โคมไฟสว่างไสวคนกลุ่มหนึ่งดื่มสุราคำเดียวหมดอย่างพร้อมเพรียง ดื่มต่อกันสามจอก
ลู่อวิ๋นฉีทำท่าทำทางให้ทุกคนนั่งลง ตนเองหมุนตัวเข้าไป
ผู้คนด้านในโถงใหญ่เริ่มทานอาหารดื่มสุรา บ้างพูดคุยกันเสียงเบา แต่กลับไม่มีคุยเล่นหัวเราะกันสักนิด แล้วก็ไม่มีบรรยากาศของงานฉลองแต่อย่างใด
ภาพนี้ดูแล้วประหลาดนิ่งนัก
ตกแต่งอย่างงานฉลองชัดๆ คนที่นั่งอยู่กลับไม่มีหน้าตายินดีสักนิด ดวงหน้าของพวกเขาเคร่งขรึม เสียงทุ้มต่ำพูดคุยกัน ราวกับเข้าร่วมงานศพ
ด้านเรือนหอฝั่งนี้ขันทีนางกำนัลยืนรอรับใช้อยู่ มองเห็นลู่อวิ๋นฉีเดินมาก็พากันแย้มยิ้มคำนับ ทำให้บรรยากาศเงียบสงบกลายเป็นครึกครื้นขึ้นมา
ประตูห้องถูกผลักเปิด
“พระราชบุตรเขยเชิญ” ขันทีผู้เป็นหัวหน้ายิ้มแย้มเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา คนเหล่านี้ไม่ได้ตามเข้ามา หญิงรับใช้สองคนที่คอยรับใช้เจ้าสาวอยู่ในห้องก็ก้มหน้าถอยออกมา ประตูห้องถูกปิดลง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นพักหนึ่ง คนที่ยืนอยู่ตรงทางเดินล้วนถอยออกไปหมดแล้ว
ในห้องจุดเทียนมงคลสีแดงเล่มใหญ่ ส่งกลิ่นหอมกำจาย บนโต๊ะวางเครื่องใช้ที่ราชวงศ์เท่านั้นถึงจะใช้ได้ไว้ แสดงชัดถึงฐานะของคนในพิธีแต่งงานครั้งนี้
บนเตียงมุ้งมงคลสีแดงสด เจ้าสาวที่ถอดผ้าคลุมหน้าเปลี่ยนเป็นชุดพิธีสีแดงสดนั่งหลังตรง ก้มศีรษะเล็กน้อยเผยหน้าผากกลมมนนวลเนียน
ได้ยินเสียงฝีเท้าของลู่อวิ๋นฉี นางไม่ได้ขยับ ร่างกายยังคงเดิม ไม่ได้มีความเคร่งเครียดอย่างเจ้าสาวผูกรัดไว้
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เดินไปถึงข้างเตียง แต่ตรงไปนั่งหน้าโต๊ะ หยิบไหสุราจอกสุราที่วางอยู่ด้านบนขึ้นมารินสุราจอกหนึ่ง ดื่มคำเดียวหมด
เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะเช่นนี้ดื่มต่อกันสามจอก ภายใต้เทียนสีแดงสดสาดส่อง บนใบหน้าขาวเผือดความเมามายเจ้าชู้สักนิดก็ไม่มี
“องค์หญิง ดื่มสักจอกไหม?” เขาพลันเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลีที่นั่งอยู่ข้างเตียงเงยหน้าขึ้น เพราะการแต่งหน้าของเจ้าสาว หน้าตาที่เดิมทีงดงามเรียบร้อยของนาง ขนงถูกวาดจนยิ่งโค้ง ปากถูกจงใจแต้มให้เล็กวาดสีแดง ดูไปแล้วไม่เหมือนนางอยู่บ้าง แต่ก็แลดูเป็นการเฉลิมฉลองยิ่งนัก
“เอาสิ” นางเอ่ยเสียงละมุน ลุกขึ้นเดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีรินสุราให้นาง องค์หญิงจิ่วหลีรับไปยกแขนเสื้อบังดื่มคำเดียวหมด
ลู่อวิ๋นฉีเองก็รินสุราดื่มคำเดียวหมดเช่นกัน องค์หญิงจิ่วหลีหยิบไหสุรามารินเองจอกหนึ่ง ครั้งนี้นางค่อยๆ จิบ
ไหสุราบนโต๊ะถูกคนสองคนผลัดกันยกขึ้นมา รินสุรา วางลง คนหนึ่งดื่มคำเดียวหมด คนหนึ่งค่อยๆ ละเลียดสุรา
ลู่อวิ๋นฉีพลันทำสุราที่รินเต็มแล้วจอกหนึ่งหกลงกับพื้น จอกหนึ่งหกลงไป เขาก็จะทำหกอีกจอกหนึ่งต่อ
“นางไม่ดื่มสุรา” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยปาก ค่อยๆ จิบสุราคำหนึ่ง
มือของลู่อวิ๋นฉีแข็งค้าง ไม่ขยับอีก
ส่วนจิ่วหลีถือจอกสุรารินสุราดื่มช้าๆ ต่อไป
ใครก็ไม่เอ่ยปากพูดอีกสักประโยค ในห้องมีเพียงเทียนมงคลสีแดงเต้นระริกอย่างเบิกบาน
…
“ดูไม่ออก เจ้าคอแข็งไม่เลวนี่”
คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น นั่งอยู่ใต้เพิงหญ้าริมแม่น้ำ กำจอกสุราใบน้อยใบหนึ่งมองหนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ตรงข้าม
ในมือของหนิงอวิ๋นเจาหิ้วไหสุราใบเล็กใบหนึ่งไว้ กำลังเทไหสุราพอดี ไม่มีสุราสักหยดเหลือ
“ข้าก็ดูไม่ออกเหมือนกัน” เขาว่า มองคุณหนูจวินส่ายศีรษะ “ดื่มสุราที่เจ้าว่าคือหนึ่งจอกถึงสว่างหรือ?”
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม มองดูดวงจันทร์โค้งดุจกิ่งหลิวบนท้องฟ้ายามราตรี
ท่านอาจารย์บอกว่าผู้หญิงที่ออกท่องยุทธภพต้องดื่มสุราได้ ดังนั้นนางจึงดื่มจนสาแก่ใจเสียยกหนึ่ง หลังเมาหลับไปอาจารย์ก็หายไปไร้ร่องรอย
ดื่มสุราไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่ออกท่องยุทธภพได้สักนิด แค่พิสูจน์ว่าถูกคนสลัดทิ้งได้ง่ายดายก็เท่านั้น
ไม่ว่าเวลาใด นางล้วนไม่ทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์แก่ตนเองพรรค์นี้
“ดื่มสุรา ที่ดื่มไม่ใช่สุรา แต่เป็นอารมณ์ มากน้อยล้วนเหมือนกัน” นางยิ้มแย้มเอ่ยขึ้น เม้มปากเบาๆ หยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งโยนเข้าปาก
หนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง หยิบไหสุราใบหนึ่งขึ้นส่าย
“เช่นนั้นอารมณ์มากน้อยตัดสินอย่างไร?” เขาเอ่ยขึ้น “อารมณ์มากดื่มมาก? หรือว่าดื่มน้อย?”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
นางไม่ถนัดพูดเช่นนี้กับผู้อื่น
ตั้งแต่เกิดมาฐานะก็กำหนดให้ไม่มีใครสนทนาอย่างเท่าเทียมกับนางได้ ต่อมาออกจากพระราชวัง ติดตามท่านอาจารย์ข้ามเขาข้ามภูวุ่งวิ่นไปทั่ว น้อยนักจะผูกมิตรสนทนากับผู้อื่น
คนที่อยู่ข้างๆ เป็นเวลายาวนานเพียงคนเดียวก็มีเพียงท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยพูดคุยจริงจังกับนางมาก่อน
“เจ้าหมอนั่นดูแล้วก็ไม่ใช่คนน่าเชื่อถืออะไร”
ข้างหูนางพลันคิดถึงคำพูดที่จู่จั้นเอ่ยที่หรู่หนาน อดไม่ได้หัวเราะพรืด
“ข้าพูดตรงไหนผิดอีกแล้วเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะเอ่ยถาม
บทที่ 131 บทสนทนายามเมามาย
โดย
Ink Stone_Romance
เหม่อลอยระหว่างที่คุยเป็นสิ่งไร้มารยาทอย่างมาก
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่ ข้าอยู่ดีๆ คิดถึงเรื่องอื่น” นางว่า
ถ้าอย่างนั้นความหมายของคำพูดนี้ตอนนี้ของหนิงอวิ๋นเจาคือลอบตะล่อมถามนางว่าทำไมต้องดื่มสุรางั้นสิ?
ถามอ้อมค้อมนักเชียว
“นี่น่ะหรือ แตกต่างไปตามแต่ละคน” นางตอบ
อาจารย์บอกว่ามีอะไรให้พูด เรื่องของตนเองผู้อื่นไม่เข้าใจ เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เข้าใจ ความทุกข์ใจของเด็กน้อย ผู้ใหญ่ก็ยากจะเข้าใจเช่นกัน ทุกข์ใจวันนี้ พรุ่งนี้ไม่แน่ว่าจะทุกข์ใจ เรื่องทุกข์ใจของพรุ่งนี้ นั่นพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
เรื่องของนางตอนนี้พูดไปผู้อื่นก็ไม่เข้าใจเหมืนอกัน
หนิงอวิ๋นเจายิ้มบ้างไม่ถามต่อ แต่ดื่มสุราคำโต แล้วก็มองดวงจันทร์โค้งกลางท้องนภายามราตรี
ยามเขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่ชอบถูกคนถาม ชอบทำสิ่งที่ตนเองอยากทำอยู่เงียบๆ
ใจเขาใจเรา ลองคิดว่าตนอยู่ในสภาพนั้น ถ้าอย่างนั้นนางอยากทำอะไรก็ให้ทำอย่างนั้นอย่างสบายใจเถอะ
พวกเขาไม่ได้เอ่ยวาจาอีก คนหนึ่งดื่มคำโตสาแก่ใจ คนหนึ่งเม้มปากจิบคำน้อย มองพระจันทร์ ชมทิวทัศน์ของถนน ฟังเสียงเอะอะครึกครื้นของตลาดกลางคืนข้างกาย
…
เสี่ยวติงรั้งสายตากลับมาด้านนี้
นายน้อยต้องแสร้งทำมีมารยาท เรื่องละลาบละล้วงเช่นนั้นได้แต่ให้เด็กรับใช้ทำแล้ว
เขาขยับเข้าไปตรงหน้าหลิ่วเอ๋อร์ที่กำลังกินแตงกวาย่างอยู่ ฉีกยิ้มเต็มหน้า
“พี่หลิ่วเอ๋อร์” เขาเรียกเสียงหวาน
หลิ่วเอ๋อร์มองยังไม่มองเขาสักที
“พี่หลิ่วเอ๋อร์” เสี่ยวติงยิ้ม ผลไม้เชื่อมจานหนึ่งดันมาตรงหน้าหลิ่วเอ๋อร์ กดเสียงเบาลง “วันนี้คุณหนูของท่านที่แท้ไปทำอะไรมาหรือ?”
…
ตอนที่หนิงอวิ๋นเจาตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว ลืมตาขึ้นมาหัวคิ้วปวดร้าว นี่เป็นผลของการเมาค้าง
ที่จริงเขาดื่มสุราน้อยมาก มักรู้สึกว่าดื่มสุราเป็นเรื่องไร้ความหมาย ทิวทัศน์ขับขานได้คะนึงหาได้ ไม่จำเป็นต้องมีสุราถึงมีอารมณ์สุนทรีย์
แต่คืนวานดื่มเสียยกหนึ่งรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ถึงไม่ได้ขับขานถึงสายลมดวงจันทร์ ไม่มีสหายร่วมปณิธานเดียวกัน แต่ก็มีสตรีนางหนึ่งอยู่ด้วย
หนิงอวิ๋นเจายกมือขึ้นจับหน้าผาก ออกแรงนวดนิดๆ เพื่อคลายอาการไม่สบายหลังสุรา
เขาไม่เคยร่ำสุรากับผู้หญิงมาก่อน
นอกจากนี้รู้สึกไม่เลว
แม้เหมือนจะไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดื่มสุรา ดูทิวทัศน์ถนน กินเนื้อย่าง
มุมปากของหนิงอวิ๋นเจาอดไม่ได้ยกขึ้นน้อยๆ แต่จากนั้นก็ทิ้งลงอีก
เมื่อวานนางอารมณ์ไม่ดีแน่นอน ไม่รู้ว่าสุราจอกหนึ่งจะคลายพันทุกข์ได้หรือไม่
แต่นางไม่ได้ดื่มสุรา ถึงเวลาตนเองดื่มมากไปบ้าง
ถ้าอย่างนั้นไม่รู้ว่ามองผู้อื่นดื่มสุราไม่รู้ว่าจะดีขึ้นได้สักหน่อยไหม
หนิงอวิ๋นเจายันตัวขึ้นมา เสี่ยวติงที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงวิ่งเข้ามา
“นายน้อย” ในมือเขายกน้ำแกงชามหนึ่ง
เหลืองนิดหน่อยแดงเล็กน้อย ดมแล้วเปรี้ยวหวาน
นี่คืออะไร?
“นี่เป็นยาผงที่คุณหนูจวินมอบให้ไว้ บอกว่าแก้อาการไม่สบายยามเมาค้าง” เสี่ยวติงเอ่ย
นางมอบไว้ให้? ทำไมจำไม่ได้?
“นายน้อยท่านดื่มมากแล้ว เดินอยู่ข้างหน้า มองไม่เห็น” เสี่ยวติงยิ้มบอก
หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย รับชามน้ำแกงมาดื่มคำเดียวหมด เข้าปากขมแต่กลับทำให้จิตใจสะท้าน ความทึบตื้อที่หน้าผากพลันสลาย
“ข้าดื่มไปมากหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่ได้เสียกิริยาใช่ไหม?”
คงไม่ใช่แม้กระทั่งความเหมาะสมสักนิดเขาก็ไม่เหลือใช่ไหม?
“ไม่ขอรับ ไม่ขอรับ” เสี่ยวติงรีบส่ายศีรษะ “นายน้อย ท่านเข้าหาถอยห่างมีมารยาท สีหน้าอบอุ่นใจกว้าง สักนิดก็ไม่ได้เมา คุณหนูจวินบอกว่านี่ไม่ใช่แก้เมา บอกว่าคนดื่มสุราจะมีอาการไม่สบายตัว”
หนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง
“นางบอกไว้สินะ” เขาว่า วางชามน้ำแกงพลาง หยิบผ้าเปียกด้านข้างเช็ดหน้านิดหนึ่ง
“ขอรับ คุณหนูจวินพูด บอกว่าอย่างอื่นไม่กล้ารับประกัน แต่วิชาแพทย์นางรับประกันอย่างที่สุด ยังบอกอีกว่ายานี้เป็นนางเพิ่งทำขึ้น จะขายที่โรงหมอจิ่วหลิง นายน้อยเป็นคนใช้คนแรกเลยนะขอรับ” เสี่ยวติงหัวเราะฮ่ะฮ่ะเอ่ยขึ้น
“ดูท่าข้าคงดื่มจนเมาจริงๆ แล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น โยนผ้าเปียกให้เสี่ยวติง
ไม่เช่นนั้นนางพูดเยอะขนาดนี้ ตนเองจำไม่ได้สักนิดได้อย่างไร
เสี่ยวติงวางผ้าเปียกลง อยู่ด้านข้างเตรียมน้ำร้อน มองหนิงอวิ๋นเจาต่อยหมัดชุดหนึ่งในห้องขยับเคลื่อนไหวร่างกาย
หกศาสตร์แห่งวิญญูชน บัณฑิตก็ใช่จะบอบบางอ่อนแอ ขี่ม้ายิงธนูรำดาบดนตรีหมากอักษรภาพวาดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใช้ออกมาได้
หมัดเท้าชุดหนึ่งของหนิงอวิ๋นเจาจบลง เหงื่อออกเต็มร่าง สีหน้าสบายถอดเสื้อผ้าใช้น้ำร้อนเช็ด เสี่ยวติงถือเสื้อผ้าสะอาดมาปรนนิบัติ
“”นายน้อย ข้ายังรู้อีกเรื่องหนึ่ง” เขายิ้มแย้มเอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้มองเขาสวมเสื้อตัวนอกอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้ว่าคุณหนูจวินเมื่อวานไปไหนมา” เสี่ยวติงเอ่ยต่อ
หนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง
“คุณหนูจวินไปดูองค์หญิงจิ่วหลีแต่งงาน” เสี่ยวติงอดทนรอไม่ไหวเอยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาร้องอ้ออีกครั้ง การเคลื่อนไหวของมือกลายเป็นช้าลง
เมื่อวานเป็นวันแต่งงานของหัวหน้ากองพันลู่กับองค์หญิงจิ่วหลี คนครึ่งเมืองล้วนไปดูความครึกครื้น สำหรับเด็กสาวคนหนึ่งแล้วน่าสนใจมากจริงๆ
แต่ดูงานแต่งงาน ทำไมอารมณ์ไม่ดี
เขาคิดขึ้นมาเมื่อคืนเหมือนจะมีบทสนทนากันหลายประโยค
“เจ้ามีอะไรทุกข์ใจไหม?”
เด็กสาวคนนั้นบ่ายหน้าถามเขา
หนิงอวิ๋นเจาตั้งใจคิด ส่ายศีรษะ
“ยังไม่มี” เขาเอ่ย
ตามหลักแล้วเมื่อคนผู้หนึ่งถามว่าเจ้ามีหรือไม่มี ที่จริงก็คือบอกว่าตนเองมี และคาดหวังให้เจ้ามาร่วมยินดีหรือร่วมโศกเศร้า
คำตอบที่เหมาะสมที่สุดเข้าอกเข้าใจที่สุดควรเป็นบอกว่าตนเองมี หลังจากนั้นระบายแก่กันสักหน่อย ใช้สิ่งนี้มาคลี่คลายอารมณ์ของอีกฝ่าย
แต่เขากลับตอบว่าไม่มี เขาไม่มีจริงๆ
ชาติกำเนิดของเขา พรสวรรค์ของเขา ไม่มีสักสิ่งที่ไม่ให้เขาคิดสิ่งใดสมปรารถนาอย่างราบรื่น หากจะพูดว่ามีเรื่องทุกข์ใจให้ได้ นั่นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มไม่รู้ประสาฝืนบอกว่าทุกข์
นั่นไม่ใช่เรื่องทุกข์ใจสักนิด ตอนยังเล็กฝืนพูดน่าหัวร่อ ตอนนี้ฝืนพูดก็น่าหัวร่อ
“คำตอบนี้ของข้าขี้โม้มากใช่หรือไม่?”หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย “เหมือนโอ้อวดใช่หรือไม่?”
คนบนโลกเท่าไรล้วนมีเรื่องทุกข์ใจมากมายทั้งนั้น บ้างเรื่องความอยู่รอดบ้างเรื่องความปรารถนา ความทุกข์ใจอันเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาโกรธแค้นกล่าวโทษชิงชัง คนที่หาความทุกข์ใจไม่พบเช่นเขานี้ทำให้คนอิจฉาริษยาอย่างแท้จริง เกลียดอย่างที่สุด
โดยเฉพาอย่างยิ่งตอนที่ผู้อื่นมีควาทุกข์ใจแล้วต้องการพูดเรื่องทุกข์ใจออกมานี่
หัวข้อสนทนานี้ไปต่อไม่ได้แล้ว เปลี่ยนเป็นคนอื่น บ้างคงกระอักกระอ่วน บ้างหงุดหงิดสะบัดแขนเสื้อจากไป
เขาจำได้ว่าเด็กสาวคนนั้นไม่ได้สะบัดแขนเสื้อจากไป แต่หัวเราะลั่น
“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่มี” นางก็ตอบอย่างตั้งใจ
คิดถึงตรงนี้ มุมปากของหนิงอวิ๋นเจาก็ยกขึ้น มัดสายรัดเอวเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เสี่ยวติงหยิบรองเท้าคุกเข่าข้างหนึ่ง หนิงอวิ๋นเจานั่งลงยกเท้าขึ้น
“ความทุกข์ใจไม่ใช่มีตั้งแต่เกิดแล้วก็ไม่ใช่ชั่วนิรันดร์ แต่มีเกิดมีดับ ก่อนหน้านี้ไม่มีไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ไม่มี ตอนนี้มีไม่ได้หมายความว่าต่อไปก็จะมี มีความทุกข์ใจก็แก้ความทุกข์ใจเสีย” เขาจำได้ว่าตนเองหัวเราะเอ่ยขึ้น
“ถ้าแก้ไม่ได้เล่า” คุณหนูจวินเอ่ยถามตั้งใจมาก
“ถ้าเช่นนั้นก็รอ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
พูดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็หัวเราะอีกครั้งแล้ว ยกจอกเล่าให้เขา เขาซดไหสุราคำโต ส่วนนางยังคงจิบละเลียดนิดหนึ่งก็วาง
“นายน้อย ท่านบอกว่าคุณหนูจวินไม่เบิกบานใช่เพราะผู้อื่นแต่งงานทำให้คิดถึงตนเองหรือไม่?”
เสียงเสี่ยวติงลอยมา ขัดความคิดล่องลอยของหนิงอวิ๋นเจา
มองเห็นงานแต่งของผู้อื่นคิดถึงตนเอง?
“คิดถึงตนเองอะไร?” เขาเอ่ยถามพลางลุกขึ้นยืน
เสี่ยวติงทิ้งมือลง ยืนดีๆ กดเสียงเบา
“คุณหนูจวินเดิมทีต้องแต่งงานกับนายน้อย…” เขาเอ่ยขึ้น “แต่สัญญาหมั้นนี่ไม่ใช่ไม่มีแล้วหรือขอรับ”
“พูดจาเหลวใหล” หนิงอวิ๋นเจาคิ้วขมวดเอ่ยขึ้น “นางไหนเลยน่าเบื่อหน่ายเช่นนั้น”
เรื่องนี้น่าเบื่อหน่ายมากหรือ? อยากแต่งงานน่าเบื่อหน่ายมากหรือ? น่าเบื่อหน่ายทุกวันท่านยังจะคิดถึงแม่นางอีก
เสี่ยวติงเบ้ปากก้มหน้าขานรับ
หนิงอวิ๋นเจากระทืบเท้า จัดเสื้อผ้า
“เอาล่ะ ข้าไปพบท่านอาจารย์ก่อนแล้ว” เขาว่า
เสี่ยวติงรีบมายังโต๊ะนำหนังสือที่วางไว้ดีแล้วกับพู่กันเก็บขึ้นมาส่งให้หนิงอวิ๋นเจา มองหนิงอวิ๋นเจาเดินออกไป
“นายน้อยท่านยังไม่ทานอาหารเลยนะขอรับ” เขาพลันคิดได้รีบร้องเรียก
“ไม่ทานแล้ว” เสียงหนิงอวิ๋นเจาลอยมาแต่ไกล คนก็เดินหายไปตามทางเดินปูหินแล้ว
บนทางเดินร่มไม้ทึบครึ้ม ต้นไม้เก่าแก่ร้อยปีกระจายอยู่ เพิ่มความเงียบสงบในฤดูร้อน
ฝีเท้าหนิงอวิ๋นเจาช้าลงครู่หนึ่ง มองสำนักวิชาเบื้องหน้า ได้ยินเสียงท่องเลือนราง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ความทุกข์ใจของนาง จะเป็นเพราะเรื่องนี้จริงหรือ?
บทที่ 132 ถามใจดูตรงๆ คิดอย่างไร
โดย
Ink Stone_Romance
ตนเองช่วงนี้เข้าใกล้นางมากเกินไป ดังนั้นที่จริงทำให้นางคิดมากแล้วหรือไม่?
ที่จริงตนเองไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น เพียงแค่บังเอิญพบเข้า แล้วก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นถึงยากหลีกเลี่ยงดูแลมากสักหน่อย
หวังว่านางจะไม่คิดมาก
เรื่องบางเรื่องคิดมากเข้า จะทำให้คนทุกข์ใจจริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาคลายคิ้วออกเพิ่มความเร็วก้าวเท้าเดินทางไปที่สำนักวิชา
แต่เดินไปได้สองก้าวเขาก็ชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย
แต่เขาไม่ได้มีความหมายอื่นจริงๆ ใช่ไหม?
เพียงแค่บังเอิญพบ บังเอิญเป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นถึงไม่มีเวลาใดตอนใดไม่อยากดูแลนางให้มาก?
หนิงอวิ๋นเจายื่นมือกดบนหน้าอก
หากมีหัวใจนักปราชญ์ใจกว้างขวาง ทำไมเขาไม่กล้าไปคิดมาก?
กลางป่ายามเช้าตรู่ ร่างสูงของชายหนุ่มยืนสงบไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน รู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพุ่งเข้าชนเป็นครั้งแรก
ส่วนเวลานี้คุณหนูจวินกลับยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ลุก
นางไม่ได้ดื่มเมา ทั้งนอนหลับดียิ่ง รวดเดียวถึงฟ้าสว่าง แต่นางก็ไม่อยากลุกขึ้น
ที่พำนักตอนนี้ด้านหน้าเป็นร้าน มีลานเล็กๆ แห่งหนึ่งกับเรือนขนาบข้าง เก็บของจิปปาถะอุปกรณ์ทำยาเครื่องยา จอดรถม้า ห้องครัวขนาดเล็กทำอาหาร ตัดผ่านลานเล็กก็เป็นเรือนด้านหลัง หอสามชั้นขนาดเล็กหลังหนึ่ง
ในลานปลูกต้นไหว[1]อายุมากต้นหนึ่ง กิ่งแผ่กว้างใบไม้ดกครึ้ม กั้นความร้อนบังแสงตะวัน ทำให้ที่นี่สงบร่มรื่นอย่างยิ่ง
ประตูหน้าต่างของที่นี่เปลี่ยนเป็นแก้วห้าสีที่ตระกูลฟางมักจะใช้ ทำให้ท่ามกลางสีเขียวครึ้มมีแต้มสีละลานตา เพิ่มสีสันชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
หอสามชั้นไม่ได้ปรับเปลี่ยน แค่ติดม่านโปร่งที่หน้าต่างตามความต้องการของคุณหนูจวิน แหงนหน้ามองไปเหนือยอดไม้ราวกับหมอกเมฆ ดุจดังแดนเซียน
คุณหนูจวินย่อมไม่ได้อยู่ที่นี่เพราะดุจดั่งแดนเซียน ก็แค่ที่นี่สูงที่สุด
พิงหมอนหนุน มองทิวทัศน์ถนนไกลๆ ผ่านม่านโปร่งดุจก้อนเมฆ รวมถึงวังหลวงอันไกลลิบ
ใต้วังหลวงมีถนนเส้นหนึ่ง บนถนนคนที่นางรักที่สุดอยากพบที่สุดอาศัยอยู่
พี่สาวแต่งงานไปแล้วไม่อาจแก้ไขและต่อต้าน
น้องชายยังคงถูกขังแน่นหนาอยู่ในคุกแห่งนั้น
ส่วนนางมีชีวิตอยู่กลับได้แต่มอง
นี่ก็คือความทุกข์ใจยามนี้ของนาง ส่วนที่ทุกข์ใจยิ่งกว่า…
คุณหนูจวินลุกขึ้นนั่งมองเมืองหลวงที่อยู่ในสายตา
แย่งชิงแผ่นดินนี้
คุณหนูจวินล้มตัวกลับลงไปบนหมอนหนุนอีกครั้ง ยกแขนเสื้อตัวในสีเหลืองอ่อนขึ้นปิดหน้า
ยิ่งคิดก็ไม่อยากคิด
ความทุกข์ใจมีเกิดมีดับ ก่อนหน้านี้มีไม่ได้หมายความว่ายามนี้ไม่มี ยามนี้มีไม่ได้หมายความว่าต่อไปก็จะมี มีความทุกข์ใจก็แก้ความทุกข์ใจเสีย
แก้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็รอ
รอรึ?
คุณหนูจวินชีวิตนี้ไม่เคยรอมาก่อน นางมีแต่จะไปทำ
พวกเขาบอกว่าบิดาไม่อาจมีชีวิตยืนยาว แม้ตั้งชื่อที่มีความหมายเป็นนัยเช่นนี้ให้แก่ตนเองก็ไม่มีประโยชน์
บิดาป่วย ถ้าอย่างนั้นก็รักษาอาการป่วยสิ คนนี้รักษาไม่หายก็ค่อยหาท่านหมอคนใหม่ วันนี้รักษาไม่หายพรุ่งนี้ก็รักษาต่อ
ชื่อของนางไม่มีประโยชน์ แต่นางมีประโยชน์
นางไปขอร้องท่านหมอ ไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ ไประหกระเหิน ไปเร่ร่อน นางไม่รอหรอก
ถึงแม้บิดายังคงสิ้นพระชนม์ก็ตาม
ได้รู้ว่าบิดาไม่ได้ป่วยตายแต่ถูกทำร้ายตาย นางถือมีดขึ้นมาก็บุกเข้าไปในวังฮ่องเต้ทันที
คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็เลื่อนชายเสื้อออก พลิกตัวบนเตียงทีหนึ่ง
หลังจากนั้นนางก็ตาย
ก็ไม่ได้มีผลดีงามอะไร
“คุณหนู”
หลิ่วเอ๋อรยื่นศีรษะเข้ามาจากด้านนอกประตู
“จะทานอาหารไหมเจ้าคะ?”
“ไม่ทานล่ะ” คุณหนูจวินศีรษะอยู่บนหมอนเอ่ยขึ้นกลัดกลุ้ม
หลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับทีหนึ่งไม่ได้เอ่ยถามมากอีก ปิดประตูถอยออกไป นางฮัมเพลงเดินตึงตังลงไปจากหอมาถึงเรือนด้านหน้า ตนเองตักข้าวกิน พนักงานน้อยสองคนก็มาทำงานแล้ว ยื่นศีรษะออกมาจากด้านในโถง
“แม่นางหลิ่วเอ๋อร์ วันนี้เปิดประตูไหมขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถาม
“เปิดประตูสิ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “ทำไมไม่เปิดประตู?”
ก็คุณหนูจวินยังไม่มานั่งออกตรวจเลยนี่
พนักงานสองคนมองไปทางด้านหลัง
“คุณหนูไม่มา ประตูก็เปิดได้ไหม” หลิ่วเอ๋อร์ส่ายตะเกียบเอ่ยขึ้น “ขายยาได้ไหม”
ขายยา?
โรงหมอผู้อื่นส่วนมากมีท่านหมอดีๆ ดึงคนมาซื้อยา พวกเขาที่นี่ท่านหมอยังไม่อยู่ ใครจะมาซื้อยาเล่า นอกจากนี้ยังเป็นโรงหมอเปิดใหม่แห่งหนึ่ง
ก็ว่าแล้วเด็กสาวคนหนึ่งจะเป็นหมอได้อย่างไร จะออกตรวจได้อย่างไร ไม่ไหวจริงๆ ด้วยสินะ
นี่ไม่ใช่ก่อเรื่องวุ่นวายรึ
แล้วจะทำอย่างไรได้ คนเขามีเงินอยากเล่นอะไรก็เล่นอย่างนั้นไหม
พนักงานสองคนส่ายศีรษะเข้าไป
ตอนผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางที่เมืองหลวงเข้ามา ก็เห็นว่านอกจากพนักงานสองคนงีบหลับอยู่ด้านหลังตู้ยา ในห้องก็ว่างโล่งคนสักคนก็ไม่มี
ลูกค้าไม่มี หมอก็ไม่มี
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ผู้ดูแลใหญ่เคาะโต๊ะขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?”
พนักงานสองคนตกใจตื่นลุกขึ้นทันที
“พวกเราสิ่งใดล้วนไม่ต้องทำ” พวกเขาเพียงเอ่ยความจริงตามจริง
สิ่งใดล้วนไม่ต้องทำจริงๆ ผู้ดูแลใหญ่มองด้านในโถงที่ไร้ลูกค้าทีหนึ่ง รวมถึงไม่มีผู้ใดหยุดรออยู่นอกประตู
“คุณหนูจวินเล่า? ออกไปข้างนอกอีกแล้วรึ?” เขาเอ่ยถาม
พนักงานทั้งสองส่ายศีรษะยื่นมือชี้ด้านใน
“ยังไม่ลุกเลย” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา
ยังไม่ลุก? ไม่ได้เรื่องจริงๆ
คิ้วผู้ดูแลใหญ่ขมวดเป็นปม
วันแรกเปิดกิจการก็ปิดร้าน วันที่สองเปิดร้านดวงตะวันลอยสูงขนาดนี้ท่านหมอยังไม่ลุกจากเตียง ก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ
“นายท่านหลิ่ว จะบอกนายน้อยสักคำหรือไม่” ผู้ติดตามของผู้ดูแลเอ่ยถามเสียงเบา “ถามนายน้อยว่าจะจัดการอย่างไร? อย่างไรพวกเราก็ไม่อาจทำเช่นนี้ มองดูสิ่งใดล้วนไม่ทำได้กระมัง”
ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว
ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า มองในห้องว่างโล่งอีกครั้ง มองม่านประตูที่ทิ้งตัวลงมาปิดซ่อนเรือนด้านหลัง ส่ายศีรษะเดินจากไป
จดหมายไปมาระหว่างร้านแลกเงินเดิมทีก็บ่อยครั้ง ตั้งแต่คุณหนูจวินออกจากหยางเฉิงยิ่งบ่อยขึ้น
เด็กรับใช้คนหนึ่งกระโดดลงม้า เข้าประตูบ้านไม่ถูกขัดขวางแต่อย่างใดวิ่งตรงเข้าไปในประตูใหญ่ตระกูลฟางดังเช่นก่อนหน้า ตัดลานด้านหน้าเข้าไปในเรือนด้านหลัง
แต่ที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้คือไม่ได้ไปหานายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางทางนั้น แต่มายังด้านในเรือนของฟางเฉิงอวี่
เรือนของฟางเฉิงอวี่ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว
ฟางอวิ๋นซิ่ว ฟางอวี้ซิ่วล้วนอยู่ด้วย นั่งอยู่ตรงโต๊ะซึ่งตั้งบนทางเดินพร้อมกาดินเผา กำลังชงชาหาความสุข
สาวใช้อีกสองคนอยู่ด้านข้างดีดพิณช่วยเสริมความสุนทรีย์ เติมความผ่อนคลายสงบสุขขึ้นบ้างในฤดูร้อน
“จดหมายจากเมืองหลวงขอรับ” เด็กรับใช้เข้าประตูคำนับเอ่ยขึ้น
เด็กหนุ่มที่นั่งหลับตาสงบสมาธิอยู่ตรงทางเดินลืมตาลุกขึ้นนั่ง
ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วก็มองไปทางเขาด้วย
“เป็นจดหมายของจิ่วหลิงหรือ?” พวกนางเอ่ยถาม
“โรงหมอจิ่วหลิงเปิดกิจการที่เมืองหลวงแล้วจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่รับจดหมายกวาดอ่านทีหนึ่ง บนหน้าเผยรอยยิ้ม
เขารู้อยู่แล้วว่านางจะทำเช่นนี้ ดังนั้นถึงส่งป้ายโรงหมอไปล่วงหน้า
ฟางอวิ๋นซิ่วยื่นมือรับจดหมายไปอ่าน ฟางอวี้ซิ่วชงชาต่อ
“พูดเช่นนี้เมื่อวานก็เปิดกิจการแล้ว” ฟางอวิ๋นซิ่วอ่านวันที่ซึ่งกล่าวถึงด้านบน “น้องสาวทำงานเก่งจริงๆ เอากิจการที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษไปสร้างชื่อในเมืองหลวงเสียแล้ว”
“เมืองหลวง ไม่ได้เหมือนหรู่หนาน” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น หยุดมือมองไปทางฟางเฉิงอวี่ “อยู่ไม่ง่ายนะ หากทำเช่นนั้นเหมือนหรู่หนานอีก เกรงว่าคงไม่ไหว”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า
“จิ่วหลิงรู้” เขาเอ่ย “ไม่เช่นนั้นบนจดหมายคนเหล่านี้คงไม่บอกในที่ลับที่แจ้งว่าคุณหนูจวินอะไรก็ไม่ได้เตรียม ท่าทางไม่เหมือนเปิดกิจการ ขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรบ้าง”
ในเมื่อจะสร้างชื่อ ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องทำอะไรบางอย่าง ตัวอย่างเช่นหรู่หนานอาศัยบ้านถูกล้มออกตรวจบนซากปรักหักพัง ไม่คิดค่าหมอค่ายาทั้งสิ้น ชั่วคืนเดียวรู้กันทุกบ้าน
“ถ้าอย่างนั้นนางจะทำอย่างไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้ว่าจิ่วหลิงจะทำอย่างไร แต่ข้ารู้ว่าข้าจะทำอย่างไร” ฟางเฉิงอวี่ลุกขึ้น มองเด็กรับใช้ “บอกทางเมืองหลวงว่า เรื่องทุกอย่างให้จัดการตามคำสั่งคุณหนูจวิน ให้พวกเขาทำอะไรพวกเขาก็ทำอย่างนั้น ไม่พูดพวกเขาสิ่งใดก็ไม่ต้องทำ”
เด็กรับใช้ขานทราบแล้ว มีหญิงรับใช้นำพู่กันหมึกมา เด็กรับใช้ยกพู่กันเขียนตรงนั้น ส่งให้ฟางเฉิงอวี่
ฟางเฉิงอวี่อ่านแล้ว หยิบป้ายคู่ชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าห้อยเอว หากผู้ดูแลเกาอยู่ที่นั่นล่ะก็คงจดจำได้ว่านั่นก็คือป้ายคู่ของนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เคยเห็น ณ เขาไป๋เฮ่อเหลียงนั่นเอง
ป้ายคู่ก็เป็นตราประทับด้วย แต้มหมึกแดงกดลงบนกระดาษจดหมาย
เด็กรับใช้ใช้ครั่งปิดผนึกจดหมาย หมุนตัวก้าวไวๆ ขอตัวไป
เด็กรับใช้เพิ่งออกไปก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งก้าวไวๆ เข้ามาอีก กระซิบเสียงเบาข้างหูฟางอวี้ซิ่วสองประโยค บนหน้าของฟางอวี้ซิ่วปรากฏรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เรื่องดีสองเรื่องมาเยือน” นางมองฟางเฉิงอวี่กับฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยว่า “ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่งเปิดกิจการการค้าแล้ว”
……………………………………….
[1] ต้นไหว (槐树) ต้นไม้ขนาดใหญ่ลำต้นสูงชนิดหนึ่ง ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ใช้ทำยาจีนหรือสีย้อมได้
บทที่ 133 แต่ละคนมีทางของตน
โดย
Ink Stone_Romance
ในตรอกคับแคบประตูเรือนแห่งหนึ่งเปิดออก รถเข็นล้อเดียวคันหนึ่งเข็นโอนเอนออกมา
“ช้าหน่อย ช้าหน่อย”
เสียงรถกุกกักคู่มากับเสียงของเฉินชี
“เจ้าไหวหรือไม่น่ะ?”
รถเข็นล้อเดียวถูกเข็นออกมา ด้านบนวางราวไม้ไว้ ปักน้ำตาลปั้นไว้เต็ม
รถไม่ได้ถูกเฉินชีเข็น แต่เป็นฟางจิ่นซิ่วเข็นเอง เฉินชีสีหน้ากังวลกางมือป้องกัน
“ด้านซ้ายด้านซ้าย ไปขวาไปขวา” เขาเอ่ยไม่หยุด
ฟางจิ่นซิ่ววางรถลง รถสะเทือนน้ำตาลปั้นส่ายไหว
เฉินชีก็ร้องเหวกเหวกโวยวายตามไปด้วย
“เจ้าหุบปากซะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ็ด
เฉินชีรีบหุบปาก
“ข้าฝึกนานมากแล้ว ข้าเข็นได้” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งก็เข็นรถอีกครั้ง
แม้รูปร่างเล็กผอม รถโอนเอนไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ล้มลง น้ำตาลปั้นด้านบนก็ไม่ร่วงลงมา
“ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่ไหว ข้าบอกว่ามีข้าอยู่นะ ให้ข้าเข็นไหมเล่า” เฉินชียิ้มบอก “ไม่ว่าพูดอย่างไร ข้าก็เป็นหุ้นส่วนไหม”
“เจ้าหุ้นด้วยการให้เครื่องมือกับวัตถุดิบน้ำตาลปั้น ข้ารับผิดชอบขาย” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น สนใจมองด้านหน้า “ข้าไม่ได้จ้างเจ้าเป็นลูกมือ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ต้องตามเจ้าแล้วสิ?” เฉินชีว่า
“ไม่ต้อง” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
เฉินชีหยุดฝีเท้าจริงๆ มองฟางจิ่นซิ่วเข็นรถออกจากตรอกไป
ออกจากตรอกแคบ คนบนนถนนพลันมากมาย หัวถนนเด็กน้อยก็วิ่งกันอยู่มาก มองเห็นรถน้ำตาลปั้นมาก็ล้อมเข้ามาทันที
ฟางจิ่นซิ่วในใจตระหนก มือเท้าวุ่นวาย โซเซจะล้มลง
เฉินชีด้านหลังเหมือนไม่กล้ามองยกมือปิดตา แต่ไม่มีเสียงร้องแหลมของเด็กสาวรวมถึงเสียงรถล้มกับพื้น เขากางมือออก มองลอดช่องว่างเห็นฟางจิ่นซิ่ววางรถตั้งไว้กับพื้นแล้ว
ฟางจิ่นซิ่วอดยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้ หัวใจหวิดจะเต้นหลุดลำคอออกมา
มองรถเข็นล้อเดียวตรงหน้าก็น่าขำอยู่บ้าง
รถคันเดียวเท่านั้น จะน่ากลัวกว่าม้าที่กระโดดได้เต้นได้ถีบคนตายได้งั้นรึ?
ตอนแรกเรียนขี่ม้าก็ไม่ได้หวาดกลัวขนาดนี้
รอยยิ้มของนางหดหายไป
ตอนนั้นเรียนขี่ม้าในฐานะคุณหนูตระกูลฟางผู้ร่ำรวย คนมากเท่าไรรุมล้อมปกป้อง ทุกสิ่งไร้กังวลอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตอนนี้มีนางเพียงคนเดียว
ฟางจิ่นซิ่วยืนตัวตรง มองเด็กน้อยที่ล้อมเข้ามารวมถึงสายตาสงสัยใคร่รู้ที่มองมาบนถนน
นางอ้าปากส่งเสียงติดๆ ขัด ทั้งงึมงำฟังไม่ชัดออกมา
“นี่ขายหรือ?” เด็กน้อยที่ล้อมเข้ามาเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“ใช่” ฟางจิ่นซิ่วรีบพยักหน้า “เจ้า เจ้าเอาไหม?”
เด็กน้อยกัดมือชี้น้ำตาลปั้นสองตาเป็นประกาย
“เอา” เขาเอ่ยเสียงดัง
ฟางจิ่นซิ่วดีใจมาก เพิ่งออกจากประตูกิจการก็ขายได้แล้ว โชคดีนัก
นางรีบหยิบน้ำตาลปั้นไม้หนึ่งส่งให้เด็กน้อย เฉินชียื่นมือมาร้องเฮ้ยแต่ยังคงสายไป เด็กน้อยรับน้ำตาลปั้นไปก็เลียเข้าปากทันที เด็กคนอื่นรุมเข้ามาทันที
“ข้าเอาด้วย”
“ข้าเอาด้วย”
เด็กน้อยทั้งหลายแทบทำรถพลิกคว่ำ ฟางจิ่นซิ่วรีบปกป้องรถไว้ ขวางเด็กน้อยทั้งหลายจนมือเท้าวุ่นวาย
“เอ่อ เงิน” ในที่สุดนางก็คิดออก มองเด็กน้อยที่ถือน้ำตาลปั้นร้องเรียก
เด็กคนนั้นได้ยินก็หมุนตัววิ่งหนีไปแล้ว
ฟางจิ่นซิ่วตาโตอ้าปากค้าง
“เงินล่ะ!” นางร้องเรียก
เด็กน้อยวิ่งไปถึงปากตรอกฝั่งตรงข้ามแล้ว ฟางจิ่นซิ่วจะไล่ตามก็ไม่กล้าทิ้งรถไว้ แต่ก็ไม่ยินดีถูกเอาน้ำตาลปั้นไป
“เฉินชี” นางได้แต่ร้องเรียก
เฉินชีร้องเฮ้อทีหนึ่งก้าวไวๆ วิ่งมา ฟางจิ่นซิ่วไม่หันกลับก็ไล่ตามเด็กคนนั้นไป
เด็กคนนั้นยืนอยู่หลังร่างหญิงอ้วนคนหนึ่งแล้ว
“ทำอะไร?” หญิงอ้วนถลึงตามองฟางจิ่นซิ่วที่พุ่งมา
“เขาซื้อน้ำตาลปั้นของข้า แต่ไม่ให้เงิน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น ชี้เด็กน้อยคนนั้น
เด็กน้อยยัดน้ำตาลปั้นเข้าปาก มือเต็มไปด้วยน้ำลาย
หญิงอ้วนมองเด็กทีหนึ่ง แสยะยิ้ม
“ซื้อ? ข้าไม่ได้บอกว่าจะซื้อ เจ้าตกลงซื้อขายกับเด็กน้อยคนหนึ่งเรอะ” นางเอ่ยขึ้น ฉับพลันเร่งเสียงดังขึ้น “เจ้าหลอกคนน่ะสิ?”
ฟางจิ่นซิ่วถูกตะโกนใส่ถอยหลังก้าวหนึ่ง
“ข้าไม่ได้หลอก เขาบอกว่าจะซื้อข้าถึงให้เขา” นางว่า
“เขาเป็นเด็กคนหนึ่ง เขาพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้นรึ?” นางยื่นมือชี้เข้ามาใกล้ฟางจิ่นซิ่ว
ฟางจิ่นซิ่วได้แต่ถอยหลังอีกครั้ง
หญิงอ้วนรั้งมือกลับมองฟางจิ่นซิ่วยิ้มทีหนึ่ง
“เขาบอกว่าจะซื้อเจ้า เจ้าก็ขายเรอะ?” นางเอ่ยขึ้น
หน้าของฟางจิ่นซิ่วแดงทันที
“เจ้าทำไมด่าคนล่ะ!” นางเดิมทีก็เป็นคนอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง ฉับพลันถลึงตาตวาดขึ้น
แต่นางเพิ่งพูดได้ประโยคเดียวหญิงอ้วนคนนั้นก็ตบต้นขาฉาดหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมา
“ข้าก็ด่าเจ้าไงด่าเจ้านั่นแหละ เจ้า นางแพศยาตัวน้อย เจ้าข้าเอ้ย ถือน้ำตาลปั้นมาหลอกเงินเด็ก”
คนบนถนนมองมาทันที
ฟางจิ่นซิ่วกัดริมฝีปากล่าง อดกลั้นความต้องการจะตบนางสักฉาดหันหลังวิ่งหนีไป
เฉินชียืนอยู่ด้านหน้ารถน้ำตาลปั้นมองนาง
ฟางจิ่นซิ่วกำหมัดแน่นก้าวเข้าไปไม่พูดสักประโยคเข็นรถเดิน หลังร่างยังมีเสียงด่าของผู้หญิงคนนั้นลอยมา
“ผู้หญิงในตลาดก็เป็นแบบนี้…” เฉินชีตามมาด้านหลังร่างนางเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “เจ้าอย่า…”
“ข้ารู้แล้ว ข้าไม่เสียใจ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขัดเขา
เฉินชีร้องอ้อทีหนึ่ง เงียบไปครู่หนึ่ง
“น้ำตาลปั้นตัวหนึ่ง วันนี้เงินที่ได้ก็น้อยลงครึ่งหนึ่ง” เขาอดไม่อยู่พูดขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วหันกลับไปถลึงตาใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง
“ข้ารู้” นางว่า “ข้าไม่ดีเอง ครั้งหน้าไม่เป็นแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักครู่หนึ่งอีก
“เงินหักจากส่วนของข้า”
เฉินชียิ้ม
“ไม่ต้องไม่ต้อง” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “ข้าก็แค่เตือนให้เจ้าจำไว้ เรื่องที่ทำผิดต้องจำไว้ ครั้งหน้าจะได้ไม่ทำผิด”
ฟางจิ่นซิ่วรั้งสายตากลับมา มองไปข้างหน้าต่อ ข้างถนนมีประตูบานหนึ่งแขวนป้ายว่าอี้โหย่วสิงสามคำ ด้านในเรือนเสียงเอ็ดดุดังลอยมา ฝีเท้าของฟางจิ่นซิ่วหยุดลงมองไป
ด้านในประตูใหญ่มองเห็นเด็กน้อยอายุไม่เท่ากันกลุ่มหนึ่งอยู่ในลานกำลังฝึกหมัด นั่งย่อท่านั่งม้าพร้อมเพรียง พร้อมกับเปล่งเสียงยามออกหมัด
เหลยจงเหลียนมือเดียวถือกระบองเดินระหว่างกลาง ชี้แนะเป็นระยะ
ตอนนั้นนางตัดสินใจรั้งอยู่ที่หยางเฉิง ก็เพราะเหลยจงเหลียน
คนผู้นี้รั้งอยู่ที่ตระกูลฟางคนเดียวสิบแปดปีแบบนี้ ในที่สุดความปรารถนาในใจสำเร็จกลับทอดทิ้งเงินก้อนใหญ่ที่ตระกูลมอบให้กับชีวิตดีเลิศสุขสบาย ใช้ร่างกายพิการเปิดสำนักคุ้มภัยใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
เขาทำได้ ตนเองอายุน้อยขนาดนี้ทั้งแขนขาครบถ้วนแข็งแรง ทำไมจะตั้งต้นใหม่อีกครั้งไม่ได้
กิจการของตระกูลใดไม่ใช่แรกเริ่มมือเปล่าสร้างขึ้นมา
นางหยวนพูดถูก นางอายุน้อยสิ่งที่ร่ำเรียนก็มาก นางมีปีก ต่อให้ร่วงตกลงบนพื้นก็ยังบินขึ้นมาได้เหมือนกัน
ฟางจิ่นซิ่วสูดหายใจลึกทีหนึ่ง มองถนนที่คนยิ่งมากขึ้นทุกที เข็นรถก้าวยาวออกเดิน
“ขายน้ำตาลปั้นจ้า” นางตะโกนเสียงดัง
นางไม่ใช่คนที่ไม่เคยพูดจาต่อหน้าคนมาก่อน ก่อนหน้านี้ไปร้านแลกเงินยังให้โอวาทกับผู้ดูแลกลุ่มหนึ่งอยู่เลย แต่นั่นสูงส่งอยู่เบื้องบน ผู้อื่นหวาดกลัวต้องประจบ ตอนนี้นางต้องประจบผู้อื่น เรียกขายแลกเงิน
แต่ตะโกนออกไปทีหนึ่งกลับไม่ได้ยากขนาดนั้นอย่างในจินตนาการ เรื่องราวทั้งหลายยากที่เริ่มต้นจริงๆ เริ่มแล้วก็ไม่มีอะไรยากแล้ว
บนหน้าของฟางจิ่วซิ่วผุดรอยยิ้ม
“ขายน้ำตาลปั้นจ้า” นางตะโกนอีกครั้ง เสียงใสกระจ่างน่าฟัง เรียกคนมากมายบนถนนให้มองมา
ฟางจิ่นซิ่วเข็นรถ ไม่มีหวาดกลัวสักนิดประจันหน้าเดินไปหาผู้คน
“ลองชิมน้ำตาลปั้นไหม น้ำตาลปั้นหอมหวานเข้มข้น”
เฉินชีตามอยู่ด้านหลังผ่อนฝีเท้าช้าลง โล่งใจเช่นกัน เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาบ้าง ทันใดนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงอะไร เขาหันหน้ามองไป ผู้หญิงอ้วนกับเด็กน้อยที่ปากตรอกด้านนั้นยังอยู่ เด็กน้อยเลียน้ำตาลปั้นมือเต็มไปด้วยน้ำลาย
“อร่อยไหม?” หญิงอ้วนเอ่ยขึ้น “ให้แม่ลองสิ”
เด็กน้อยไม่ยอมหันศีรษะหลบไป
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมไม่หยิบมาสักหลายอัน” ผู้หญิงอ้วนตำหนิ ยื่นมือทิ่มศีรษะเด็กน้อย
ศีรษะเด็กน้อยโคลงทีหนึ่ง ได้ยินเสียงเปาะ น้ำตาลปั้นในมือตกลงบนพื้น
เด็กน้อยร้องไห้โฮทันที
ผู้หญิงอ้วนก็ตกใจสะดุ้งโหยง
“เจ้าเด็กน่าตายคนนี้ทำไมไม่ถือดีๆ” นางตะโกน ปวดใจจะไปเก็บน้ำตาลปั้นบนพื้น เพิ่งก้มตัวก็ได้ยืนเสียงปึกเบาๆ ทีหนึ่ง ตามติดมาด้วยสองขาชาวูบ คนทั้งร่างก็คุกเข่าคลานอยู่บนพื้น
หน้านางแนบลงบนน้ำตาลปั้นพอดี น้ำลาย น้ำตาลรวมถึงดินเปรอะเต็มหน้า
ผู้หญิงอ้วนร้องกรี๊ดทีหนึ่งขึ้นมา
เด็กน้อยอยู่ด้านข้างหัวเราะฮ่าฮ่า
บนถนนรอบด้านประสานเสียงหัวเราะทันที
เฉินชีมองเห็นภาพนี้ก็หัวเราะฮ่าฮ่าด้วย มองเห็นอะไรเข้าเขาจึงมองไปทางมุมถนน คนบนถนนล้วนกำลังหัวเราะลั่นกับภาพนี้ มีเพียงผู้ชายที่ดูราวกับคนว่างงานสองคนยืนอยู่ข้างกำแพงสอดมือประสานในแขนเสื้อราวกับไม่มีเรื่องอันใด
เฉินชียิ้ม รั้งสายตากลับ มองเด็กสาวที่ร้องเรียกขายของเสียงดังไปตามถนนเบื้องหน้าแล้วไล่ตามไป
…
เวลานี้ถนนที่เมืองหลวง ความร้อนแห้งของฤดูร้อนทำให้ถนนที่ครึกครื้นเปลี่ยนกลายเป็นเงียบสงบไปมาก
คุณหนูจวินนั่งอยู่บนหอสูง โบกพัดเชื่องช้า สายตาของนางกวาดมองวังหลวงรวมถึงสถานที่ซึ่งราชวงศ์พระญาติบรรดาขุนนางชั้นสูงพำนักไกลออกไปเหมือนดังก่อนหน้านี้ ราวกับคิดอะไรอยู่แต่ก็ราวกับไม่ได้คิดอะไรเลย
ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งใสกังวานวูบหนึ่งก็ลอยมาจากชั้นล่าง
เสียงกระดิ่ง?
คุณหนูจวินไม่ทันรู้ตัวมองไป เห็นหลิ่วเอ๋อรถือกระดิ่งทองแดงพวงหนึ่งแขวนเป็นกระดิ่งลมแกว่งเดินไปเดินมาในลาน
เสียงกระดิ่งใสกังวานสะท้อนก้อง
คุณหนูจวินเก็บพัด นั่งตัวตรง สายตาที่เดิมทีมองไปเรื่อยจับจ้องนิ่ง สองดวงตาเปลี่ยนกลับมาดำขลับส่องประกายอีกครั้ง
นางคิดได้แล้วว่าจะแก้ความทุกข์ใจตอนนี้ได้อย่างไร
บทที่ 134 เดินถนนลัดเลาะตรอกซอยเป็นหมอเร่
โดย
Ink Stone_Romance
“จดหมายจากหยางเฉิงมาแล้ว”
เช้าตรู่ได้ยินพนักงานร้องแจ้ง คิ้วที่ไม่คลายออกมาหลายวันของผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางสาขาเมืองหลวงในที่สุดก็คลายออกแล้ว ยังประหลาดใจอยู่บ้าง
“เร็วขนาดนี้?”
จดหมายที่บรรยายการบริหารโรงหมอจิ่วหลิงของคุณหนูจวินเพิ่งส่งออกไปเมื่อวานเองนะ
“จดหมายที่เพิ่งส่งออกไปคงยังไม่ทันได้รับ นี่คงเป็นจดหมายตอบจดหมายฉบับนั้นที่เล่าว่าคุณหนูจวินต้องการเปิดโรงหมอจิ่วหลิวรวมถึงตอนเปิดกิจการ” ผู้ดูแลใหญ่รับจดหมายมาแล้วเอ่ยขึ้น ตรวจสอบรอยประทับบนครั่งด้านบนรวมถึงตราประทับ
“แต่ก็ดี กำลังรออยู่เลย” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย ม้วนแขนเสื้อขึ้น
เวลานี้เป็นเวลาทานอาหาร ทว่าอยู่ตรงหน้าอาหารเต็มโต๊ะเขากลับไม่ม้วนแขนเสื้อ ตอนนี้ถึงม้วนแขนเสื้อพลางให้พนักงานยกอาหารที่ไม่แตะแม้สักนิดซึ่งวางอยู่ตรงหน้าออกไป
“ทำให้คนปวดหัวแย่จริงๆ เปิดโรงหมอ วันๆ ไม่ออกตรวจ ไม่ไปเที่ยวเล่นก็นอนหลับอุตุอยู่ในบ้าน” เขาถอนหายใจบอกกับบรรดาผู้ดูแลที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้ว นายน้อยป่วยมานานขนาดนี้ เพิ่งหายดีก็รับช่วงกิจการของตระกูล วันวันไม่ได้ว่าง เรื่องแล้วเรื่องเล่าวุ่นวายใจ” ผู้ดูแลคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “แม้กระทั่งบรรดาคุณหนูในตระกูลก็ยังคงทำงานกิจการอยู่ ไม่ได้นั่งรอใช้เงินทองคนอื่นกินดื่มเที่ยวเล่น”
“คำพูดไม่อาจกล่าวเช่นนี้ได้ ประการแรกคุณหนูจวินอย่างไรก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นญาติ อีกอย่างนางมีบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลฟาง” ผู้ดูแลใหญ่โบกมือเอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ก็ไม่ใช่จะสนใจว่านางใช้เงินเท่าไร เพียงแต่พวกเราคนทำกิจการ ไม่ว่าเงินมากน้อย เงินก็ต้องใช้ในที่ซึ่งเกิดประโยชน์ สิ้นเปลืองอย่างไรก็ไม่ถูก”
บรรดาผู้ดูแลพยักหน้า มองผู้ดูแลใหญ่แกะจดหมาย
“นางเด็กสาวคนหนึ่งทำกิจการไม่เป็น ชาติกำเนิดเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางยิ่งสูงส่ง พวกเราไม่สะดวกตัดสินใจแทนนาง ตอนนี้ดีแล้ว ตระกูลส่งคำสั่งมา พวกเราก็ทำตามคำสั่งของตระกูลเถอะ” ผู้ดูแลใหญ่พูดพลางอ่านจดหมายพลาง รอยยิ้มบนหน้าพลันหายไป คิ้วที่คลายออกขมวดจนเป็นปมทันที
“เป็นอะไร?” บรรดาผู้ดูแลรีบเอ่ยถาม
ผู้ดูแลใหญ่วางจดหมายลงบนโต๊ะถอนหายใจ
“นายน้อยสั่งว่าทุกสิ่งให้จัดการตามคำสั่งคุณหนูจวิน ไม่มีคำสั่งของนางไม่ให้ผลีผลามกระทำ” เขาเอ่ย
บรรดาผู้ดูแลหันหน้ามองกัน
“นี่เรียกว่าจัดการอย่างไร?”
“ผู้ดูแลใหญ่ ตอนที่นายน้อยเขียนจดหมายฉบับนี้ยังไม่เห็นข่าวที่ท่านส่งออกไปหรือไม่ เขาไม่รู้ว่าคุณหนูจวินไม่ได้จัดการ”
ทุกคนพากันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ผู้ดูแลใหญ่โบกมือ
“ไม่ต้อง ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ย นายน้อยพูดเช่นนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ตอนแรกคุณหนูจวินเพิ่งบอกว่าจะเปิดโรงหมอ นายน้อยก็ส่งป้ายโรงหมอมาแล้ว เห็นอยู่ว่าในใจเขารู้ชัดเจนยิ่งนักว่าคุณหนูจะทำอะไร สิ่งใดล้วนคาดคิดไว้แล้ว สิ่งใดล้วนคิดไว้แล้วก็ยังกล่าวเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็คือต้องการให้พวกเราทำเช่นนี้จริงๆ แล้ว
บรรดาผู้ดูแลพยักหน้า
“ข้าคิดว่าไม่ต้องกังวลหรอก คุณหนูจวินวางแผนต่อเนื่องแก้วิกฤตของตระกูลฟางเช่นนั้นได้ ทำการใดย่อมมีแผนการอยู่ในใจแล้วแน่นอน” ผู้ดูแลคนหนึ่งหัวเราะเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้เอ่ยออกมาสีหน้าคนที่นั่งอยู่ล้วนพิกลไปบ้าง
คุณหนูจวินหญิงไม่ธรรมดาที่ช่วยแก้วิกฤตของตระกูลฟาง ไม่ใช่ละครเล่ารึ?
เรื่องในละครเล่าจริงๆ หลอกๆ ก็เชื่อได้ด้วยรึ?
“วันนี้โรงหมอจิ่วหลิงเปิดไหม” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยถามพนักงานที่ยืนรอรับใช้อยู่
พนักงานพยักหน้าทั้งส่ายศีรษะ
“เปิดขอรับ” เขาเอ่ย “แต่คุณหนูจวินไม่ได้นั่งออกตรวจ”
ผู้ดูแลถอนหายใจ
“ครั้งนี้อะไร? ออกไปเที่ยวหรือหลับอยู่ในห้อง? ” เขาเอ่ยถาม
“เช้าตรู่ก็ออกไปเที่ยวแล้วขอรับ” พนักงานเอ่ยตอบ
…
ในตรอกที่ห่างไกลถนนใหญ่ยามเช้าตรู่ เสียงกระดิ่งใสกังวานดังขึ้น เรียกเด็กน้อยทั้งหลายที่เล่นอยู่ในตรอกให้มองมา เห็นเด็กสาวสองคนเดินเชื่องช้าเข้ามา เด็กสาวคนหนึ่งแบกธงผืนหนึ่งไว้ ด้านบนเขียนอักษรทรงพลังพลิ้วไหว เด็กน้อยทั้งหลายล้วนอ่านไม่ออก สายตาจับอยู่บนร่างของเด็กสาวด้านหลัง
เด็กสาวคนนี้หัวไหล่สะพายหีบใบน้อยใบหนึ่งไว้ ในมือสั่นกระดิ่งใบหนึ่ง เสียงกระดิ่งใสกังวานก็ออกมาจากตรงนี้
เด็กน้อยทั้งหลายมองเห็นธงแล้ว มองเห็นหีบแล้ว พลันฮือล้อมเข้ามา
“ขายขนมหรือ?” พวกเขาแย่งกันตะโกน
“ไม่ได้ขายขนม ขายยา” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าจะซื้อยาไหม?”
กินยาสำหรับเด็กน้อยทั้งหลายแล้วเป็นเรื่องน่ากลัวนัก วิ่งกระเจิงไปทันที
คุณหนูจวินหัวเราะอยู่ข้างหลัง เก็บกระดิ่งในมือไป
“มีขนม มีขนม” นางว่า มือหนึ่งเปิดกล่องยาออก
เด็กทั้งหลายมองนางอย่างระแวงไม่ได้เดินเข้ามา จนกระทั่งมองเห็นคุณหนูจวินคว้าผลไม้เชื่อมห่อกระดาษลายกำหนึ่งออกมาจากในหีบจริงๆ ทุกคนถึงดีใจรุมเข้ามา
คุณหนูจวินส่งขนมให้กับพวกเขา
“อย่าสนแต่กินขนม ไปถามซิในบ้านพวกเจ้ามีคนป่วยต้องการหาหมอหรือไม่” หลิ่วเอ๋อร์พูดอยู่ด้านข้าง
สิ้นเสียงของนางก็มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ยินเสียงเดินออกมา ได้ยินประโยคนี้ก็มองคุณหนูจวินที่กำลังส่งของอะไรไม่รู้ให้เด็กๆ ร้องตกใจทันที
“พวกเจ้าทำอะไรน่ะ?” นางเอ่ยขึ้น กวักมือเรียกเด็กน้อย “เอ้อเป่ารีบกลับมาเร็ว ระวังถูกขอทานจับไป”
ขนมแบ่งถึงมือแล้ว บวกกับหวาดกลัวขอทาน เด็กทั้งหลายจึงวิ่งฮือกลับมา
“ท่านแม่ มีขนม” เด็กน้อยคนหนึ่งยกผลไม้เชื่อมที่แจกมาเมื่อครู่ขึ้นเอ่ยบอก
ผู้หญิงมองกระดายลายที่แกะออกแล้วทีหนึ่ง เผยก้อนอะไรไม่รู้ก้อนหนึ่งเคลือบน้ำตาลแวววาว ดูไปแล้วล่อตาล่อใจคนยิ่งนัก ดมขึ้นมาเปรี้ยวนิดๆ แล้วยังมีกลิ่นยาอยู่นิดหน่อย
“อั้ยย่ะ นี่อะไรหึ” นางรีบยกมือตี
ผลไม้เชื่อมตกลงพื้นกลิ้งกับฝุ่นดินจนเป็นก้อน
เด็กน้อยร้องโวยวายขึ้นมาทันที
หลิ่วเอ๋อร์ก็ถลึงตาเหมือนกัน
“เฮ้ เจ้าทำอะไร! นี่เป็นถึงผลไม้เชื่อมที่โรงหมอจิ่วหลิงของพวกเราทำขึ้นเป็นพิเศษ แพงมากนะ” นางร้อง
ผู้หญิงทำหน้ารังเกียจ
“โรงหมอจิ่วหลิงอะไรกัน” นางเอ่ย ดึงเด็กน้อยไปไว้ด้านหลังร่างอย่างระแวง “พวกต้มตุ๋นที่ไหนมา”
หลิ่วเอ๋อร์ยังคิดพูดอะไร คุณหนูจวินก็ดึงนางไว้ ตนเองก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“พี่สาว ข้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋น ข้าเป็นหมอเร่” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน ไกวกระดิ่งในมือตน แล้วชี้ธงที่หลิ่วเอ๋อร์อุ้มอยู่ “ท่านดู”
ผู้หญิงมองตามที่นางชี้
“ข้าอ่านไม่ออก” นางว่า ไม่มองธงผืนนั้น เพียงประเมินคุณหนูจวินทีหนึ่ง เบ้ปาก “แม่นางน้อยคนหนึ่งสะอาดสะอ้าน เรียนอะไรไม่เรียน เลียนแบบคนอื่นมาเป็นนักต้มตุ๋น”
พูดจบก็โอบเด็กๆ เดินเข้าไปในบ้าน พลางถลึงตาใส่เด็กคนอื่น
“อย่าพูดจากับคนแปลกๆ สิ แล้วก็อย่าไปอยากได้ของของคนอื่น ระวังใส่หนอนเข้าไปในท้องพวกเจ้า กัดพวกเจ้าตาย”
ในท้องถูกหนอนไชน่ากลัวนัก บรรดาเด็กน้อยโยนผลไม้เชื่อมในมือทิ้งบนพื้นวิ่งแตกกระเจิงกลับบ้านไปแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์มองผลไม้เชื่อมที่ถูกโยนทิ้งไว้ โกรธกระทืบเท้า
“คนพวกนี้เกินไปแล้ว” นางตะโกน
คุณหนูจวินสีหน้ายังคงเดิม ปิดหีบเรียบร้อย
“นี่มีอะไรเกินไป” นางว่า “ก็สมควร ไม่แปลก ค่อยค่อยก็ได้”
นางเอ่ยจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ กระดิ่งใบน้อยในมือเขย่าอีกครั้ง หลิ่วเอ๋อร์ติดตามไป
…
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่บนถนน มองเด็กสาวที่เดินอยู่ด้านหน้า เสียงกระดิ่งใสกังวานติดตามการเดินของนางไปตลอดถนน
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านดู เป็นหมอเร่จริงๆ แล้ว” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบา “หลายวันแล้ว เดือนมั่วทั่วเมือง แจกขนมให้เด็กไปทุกที่ ผู้ใหญ่หลายคนตามหาแล้ว”
“พูดเช่นนี้ พวกเขาล้วนรู้จักโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น
พนักงานตัวน้อยเบะมุมปาก
“ขอรับ คุณหนูจวินบอกกับผู้คนว่านางเป็นคนของโรงหมอจิ่วหลิง ดังนั้นคนเหล่านั้นเลยตามหา” เขาเอ่ย ก้มหน้าไป “บอกว่าโรงหมอจิ่วหลิงก่อกวนประชาชนเช่นนี้ พวกเขาจะปล่อยสุนัขแล้ว”
ปล่อยสุนัข…ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหางคิ้วกระตุก
“ก็นับว่ามีชื่อแล้วล่ะนะ” เขาเอ่ยกับตนเอง
บทที่ 135 คำแนะนำและความช่วยเหลือ
โดย
Ink Stone_Romance
“คุณหนูท่านนี้ เดินวุ่นวายในตรอกแห่งนี้ ที่แท้จะทำอะไรรึ”
เสียงตำหนิลอยมาจากในตรอก
“ท่านดู ท่านดู ผู้ดูแลใหญ่” พนักงานตัวน้อยรีบเอ่ย “ถูกคนจับเช่นนี้อีกแล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองไป เห็นคุณหนูจวินถูกคนผู้หนึ่งขวางไว้
“ท่านผู้นี้คือนายหญิงในตระกูลของใต้เท้าโจวผู้ช่วยตัดสินคดีฝ่ายตะวันออกกรมการพระนคร” เขาเอ่ย
ชื่อเป็นพรวนนี้คนทั่วไปฟังแล้วคงงงอยู่บ้าง แต่ต่อให้เป็นพนักงานตำแหน่งน้อยเรียกแขกรินน้ำชาคนหนึ่งของเต๋อเซิ่งชางก็รู้ว่านี่หมายความว่าอะไร
เมืองหลวงแห่งนี้มีราชสำนักกรมราชการแล้วก็มีที่ว่าการกรมพระนคร แล้วยังมีสามอำเภอสิบแปดหมู่บ้านข้างเคียง ขุนนางประเภทต่างๆ เดินกันให้ทั่ว เดินบนถนนชนกันทีหนึ่งก็แสร้งเป็นรายชื่อสำรองขุนนางเมืองหลวงสักคนก็ได้
แม้รายชื่อสำรองขุนนางเมืองหลวงมากมายใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรจากคนธรรรดม ถึงขั้นลำบากอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นขุนนาง พบยมบาลยังดี ผีตัวจ้อยเกาะสิลำบาก ล่วงเกินคนเข้าไม่แน่ว่าอาจถูกขัดขาที่ไหนก็ได้
ดังนั้นกับคนที่ฐานะเป็นขุนนางเหล่านี้คนทำการค้าล้วนท่องจนคุ้นจำได้แม่นเป็นอย่างแรก
นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเมืองหลวงอยู่ยาก
“ใต้เท้าโจวคนนี้หาเรื่องทั้งที่ไม่มีเรื่องเก่งที่สุดแล้ว” พนักงานตัวน้อยเคร่งเครียดอยู่บ้าง “ท่านผู้ดูแลใหญ่เข้าไปแก้สถานการณ์เถอะขอรับ”
คุณหนูจวินไม่รู้เรื่องรู้ราวหากทำให้ใต้เท้าโจวผู้นี้โกรธเข้าย่อมลำบากแล้ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยกเท้าแล้วแต่ก็อดกลั้นไว้
เงื่อนไขพื้นฐานที่สุดอันหนึ่งของพวกเขาผู้ทำกิจการร้านแลกเงินซึ่งข้องเกี่ยวกับเงินตราก็คือต้องรักษาคำมั่น
นายน้อยเจ้าตระกูลบอกแล้วว่าทุกสิ่งล้วนจัดการตามคำสั่งคุณหนูจวิน คุณหนูจวินไม่เอ่ยปาก พวกเขาก็ขยับไม่ได้
“ดูต่อหน่อยเถอะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินมองมองธงที่ตัวเองถือทีหนึ่ง ยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้นแล้วคำนับ
“ข้าคือหมอเร่ของโรงหมอจิ่วหลิง” นางเอ่ยขึ้น
ผู้หญิงมองธงในมือนาง
“รักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย” นางอ่าน อ่านจบมองคุณหนูจวินยิ้มทีหนึ่ง “แม่นางน้อย วาจาไม่น้อยเลย”
คุณหนูจวินตอบรับ
“ไม่มีความสามารถจริงไม่กล้าเคลื่อนทัพ”
ผู้หญิงไม่คิดว่านางจะถึงกับไม่ถ่อมตน ส่ายศีรษะ
“คุณหนู ในเมื่อเจ้ามีโรงหมอ ถ้าเช่นนั้นก็ไปนั่งรอตรวจ หากเจ้าเป็นหมอเร่ นั่นย่อมไม่มีโรงหมอให้นั่ง” นางว่า “เจ้าอ้างชื่อโรงหมอเดินว่อนทั่วถนนหมายความว่าอย่างไร?”
“วิถีแห่งการบรรลุถ่ายทอดไม่ง่าย หมอไม่เคาะประตู โรงหมอจิ่วหลิงของข้าเปิดกิจการใหม่ ชาวบ้านไม่รู้ ดังนั้นข้าจึงเป็นหมอเร่ก่อน พอดีช่วยรักษาชาวบ้าน” คุณหนูจวินเอ่ย
ผู้หญิงทั้งฉุนทั้งขัน
“แม่นางน้อย ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าหมอไม่เคาะประตูนี่” นางว่า “เจ้าเดินทะลุทั้งถนนส่งเดช หลอกเด็กน้อยก่อปัญหากินของมั่วซั่วเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เคาะประตูแล้ว นี่เจ้ากำลังก่อกวนประชาชน“
“นายหญิง ผลไม้เชื่อมที่ข้าให้เด็กๆ เป็นยาคลายร้อนที่โรงหมอจิ่วหลิงของข้าทำพิเศษ ตอนนี้อากาศร้อนชื้นมาก เด็กเล็กไม่ขบคิดเรื่องกินดื่ม ทานเข้าไปหน่อยดีกับร่างกาย” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างเป็นมิตร
“แม่นางน้อย ที่นี่คือเมืองหลวง” ผู้หญิงเอ่ยขึ้น ยื่นมือชี้ด้านนอก “ถนนเส้นนี้ก็มีโรงหมอสามแห่ง ไม่กล้าพูดว่าคนด้านในทุกคนล้วนเป็นหมอมีชื่อ แต่ท่านหมอคนหนึ่งในนั้นก็มีชื่อเสียงอยู่บ้างเหมือนกัน ร่างกายพวกเราไม่สบายเดินไม่กี่ก้าวก็ไปพบท่านหมอได้แล้ว มียาอะไรต้องกินเดินไม่กี่ก้าวก็ให้โรงหมอต้มให้ จะรอเฉพาะเจ้ามารักษาอาการป่วยทำไมเล่า?”
“นายหญิงย่อมเรียกใช้ข้าไม่ไหว” คุณหนูจวินยังคงเอ่ยอย่างเป็นมิตร “ข้ากำลังรอคนที่เรียกใช้ข้าไหว”
ผู้หญิงส่ายศีรษะคร้านจะพูดอีก
“ข้าแนะนำเจ้าสักหน่อย เจ้าอย่ามาเดินมั่วที่เมืองหลวง” นางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “หากเจ้ามีใจอยากช่วยรักษาคนจริงก็ไปชนบท ไปสถานที่ซึ่งขาดแคลนหมอขาดแคลนยาเหล่านั้นช่วยโลกช่วยคน อย่ามาที่นี่เสแสร้งวางท่าหลอกผู้คนให้สนับสนุน”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ มองยามเฝ้าประตู
“ล้างกวาดหน้าประตูให้สะอาดด้วย ใครก็ห้ามปล่อยเข้ามาข้างใน”
คำพูดนี้ตะคอกยามเฝ้าประตูแต่ที่ด่ากลับเป็นคุณหนูจวิน
ชาวบ้านที่มาชมดูความครึกครื้นในตรอกชี้พวกนางวิพากษ์วิจารณ์
คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ หลิ่วเอ๋อร์แม้ไม่พอใจอยู่บ้างแต่เพราะคุณหนูกำชับไว้จึงได้แต่กอดธงแน่น
“ไปเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น หมุนตัวสั่นกระดิ่ง
เสียงกระดิ่งใสกังวานไม่เร่งไม่ช้าก้องกังวาน
คิ้วที่ขมวดของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคลายออก สีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง
อย่างอื่นไม่ต้องพูด คุณหนูจวินคนนี้ความอดทนไม่เลวเลยจริงๆ
คิดถึงตรงนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็สงบสติครุ่นคิดครู่หนึ่ง
ที่จริงตั้งใจคิดดูแล้ว หมอเร่เรื่องเช่นนี้ดูไปแล้วไร้สาระไปบ้าง แต่คิดให้ละเอียดก็ไม่ใช่ใครจะทำได้จริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาวอย่างคุณหนูจวินเช่นนี้
ต้องรู้ว่านางเกิดมาในครอบครัวหมอ บิดาก็เป็นขุนนางทั้งได้ชื่อว่าจงรักภักดีมีคุณธรรม
เดินถนนลัดเลาะตรอกซอกซอย เรียกความสนใจกลางเมือง ทนรับสายตาเย็นชารอยยิ้มเย้ยหยันคำด่าสาปแช่งเช่นนี้ยังเป็นมิตรแบบนี้ได้
ไม่เกิดมาอารมณ์ดีก็มีสิ่งที่หวังอยู่
อารมณ์รึ ตระกูลฟางบนล่างถึงขนาดในร้านแลกเงินล้วนรู้ว่าคุณหนูจวินผู้นี่ไม่ใช่คนอารมณ์ดีอะไร
คิดถึงตรงนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยกเท้าก้าวไล่ตามไป
“คุณหนูจวิน” เขาคำนับเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินหยุดฝีเท้า
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” นางยิ้มเอ่ยขึ้น “มีธุระอะไรหรือ?”
“ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเปิดเข้าประเด็นเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินทำไมต้องเป็นหมอเร่? หากต้องการสร้างชื่อเสียง พวกเราก็มีวิธีทำให้คนป่วยมากมายมาถึงประตูขอตรวจได้”
คุณหนูจวินยิ้ม
“มาถึงที่สร้างชื่อเสียง สำหรับข้าไม่พอ” นางเอ่ย
ไม่พอ?
“ถ้าอย่างนั้น ท่านทำเช่นนี้จะสร้างชื่อเสียงได้จริงหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ “คนเหล่านี้ล้วนไม่ต้องการหมอเร่”
“ได้สิ” คุณหนูจวินว่า “เพียงแต่ข้าต้องตามหาคนที่ต้องการพบหมอเร่ให้พบ”
คนที่ต้องการพบหมอเร่?
ในเมืองหลวงผู้ใดต้องการพบหมอเร่?
ทุกหนทุกแห่งล้วนมีโรงหมอ ทุกที่ล้วนมีหมอชื่อดัง
หรือยังจะไม่คิดค่ายาค่ารักษาสร้างชื่อเสียงดีงามอย่างที่หรู่หนาน?
นั่นก็ไม่ต้องออกมาเป็นหมอเร่เหมือนกัน แปะป้ายประกาศไม่คิดค่าตรวจโรคหนึ่งเดือนที่โรงหมอจิ่วหลิงก็ได้แล้วไหม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่เข้าใจ
หนิงอวิ๋นเจากลับคิดเข้าใจอยู่บ้าง
“คนที่ต้องการหมอเร่ ย่อมเป็นคนที่เชื่อหมอเร่” เขาเคาะผิวโต๊ะพูดกับตนเอง ฉับพลันตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวติง เสี่ยวติง”
เสี่ยวติงรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“นายน้อย เป็นอะไรอีกหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถาม
“คุณหนูจวินวันนี้ยังออกไปข้างนอกไหม?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
เสี่ยวติงทำหน้าจนปัญญา
“นายน้อย หากท่านต้องการพบคุณหนูจวินจริงๆ ก็ไปเถอะขอรับ ท่านไปนางคงไม่ทิ้งท่านไม่สนใจยังเตร็ดเตร่เดินถนนหรอก” เขาเอย “ข้าวันหนึ่งวิ่งไปดูคุณหนูจวินสามเที่ยวก็แทนท่านไม่ได้”
หนิงอวิ๋นเจาได้ยินขมวดคิ้ว
“พูดอะไร” เขาเอ่ย “หากข้าจะพบหน้าย่อมต้องมีธุระ ไม่มีธุระข้าไปพบนางทำอะไร”
เสี่ยวติงหัวเราะแห้งๆ ที่แท้ครั้งก่อนทานอาหารดื่มสุราเป็นเพื่อนคุณหนูจวินคือมีธุระสินะ
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นเดินหลายก้าว
“วันนี้นางจะไปเมืองฝั่งตะวันตกไหม?” เขาเอ่ยถาม
เสี่ยวติงขานรับ
“น่าจะขอรับ เมื่อวานคุณหนูจวินก็ไปเมืองฝั่งตะวันตก ยังวนไม่ครบเลย” เขาเอ่ย “จากที่ข้าตามสังเกตไม่กี่วันนี้ คุณหนูจวินมีความอดทนมากแล้วก็มีระบบระเบียบมาก แบ่งเมืองฝั่งตะวันออกเป็นสี่ถนนเดินจบแล้วถึงไปทางเมืองฝั่งตะวันตก ถ้าอย่างนั้นเมืองฝั่งตะวันตกก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วยแน่”
หนิงอวิ๋นเจาหยุดฝีเท้า
“เสี่ยวติง ลูกชายแม่นมของลูกพี่ลูกน้องของสืออีบ้านก็อยู่ที่เมืองฝั่งตะวันตก” เขาเอ่ย “เจ้าไปบอกเขาเรียกคุณหนูจวินรักษา”
เสี่ยวติงได้ยินทีแรกมึนงงอยู่หน่อย อึ้งไปนิดหนึ่งถึงคิดได้ว่านายน้อยพูดถึงใคร ทางโค้งนี่อ้อมเสีย นับถือนายน้อยจริงๆ ยังอุตส่าห์คิดออกมาได้
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปบอกกับเขาว่านายน้อยบอกมา?” เขาเอ่ยถาม
“เจ้าบอกว่าข้าบอกนั่นจะยังเป็นตัวเขาเองเชื่อไหมเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าไปหาเขาคุยเล่นร่ำสุรา เล่าเรื่องที่หรู่หนานให้เขาฟัง”
เสี่ยวติงพลันเข้าใจ
“นายน้อยปราดเปรื่อง” เขาหัวเราะฮ่าฮ่าเอ่ยขึ้น “เช่นนี้เขาย่อมไม่สงสัย นอกจากนี้คุณหนูจวินก็จะไม่สงสัยด้วย”
ต่อให้รู้ว่ามีความสัมพันธ์กับหนิงอวิ๋นเจา คุณหนูจวินก็จะไม่คิดว่าหนิงอวิ๋นเจาสั่งมา แต่เป็นได้ยินเรื่องเล่ามหัศจรรย์
“นายน้อยดีกับคุณหนูจวินเหลือเกินจริงๆ” เสี่ยวติงถอนหายใจเอ่ยออกมาอีก
“นั่นเพราะตัวนางเองดี หากนางไม่มีวิชาแพทย์เช่นนั้น ข้าย่อมไม่ทำเช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยไม่สะทกสะท้าน
เหมือนเป็นเพราะสาเหตุนี้ แล้วก็เหมือนกับไม่ใช่ เสี่ยวติงลูบศีรษะ
“แต่ผู้อื่นมีวิชาแพทย์เช่นนี้ นายน้อยก็ไม่ได้ทำเช่นนี้?” เขาอดไม่ได้เอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ตอบคำถามนี้
เพราะคำตอบเห็นชัดเกินไป เขาไม่อยากหลอกตนเอง
แน่นอนว่าย่อมไม่ คนอื่นก็ไม่ใช่นางเสียหน่อย
ที่เขาทำเช่นนี้ ย่อมเพราะว่านางเป็นนาง
……………………………………….
บทที่ 136 ความหวังดีเสียเปล่า
โดย
Ink Stone_Romance
เสียงกระดิ่งไม่เร็วไม่ช้าอันคุ้นเคยดังขึ้นในตรอก เสี่ยวติงรีบหลบมุมกำแพง
เด็กทั้งหลายในตรอกมองเห็นผู้หญิงแบกหีบยาถือกระดิ่งเดินมา ส่งเสียงร้องวิ่งหนีไป
“หญิงขอทานหลอกคนกินยาคนนั้นมาแล้ว”
เด็กทั้งหลายร้องตะโกนทำให้ทั้งตรอกเสียงดังขึ้นมา
เหมือนกับสุนัขดุมาหน้าประตู
เสี่ยวติงคิดในใจ แม้คุณหนูจวินมาตรอกแห่งนี้ครั้งแรก แต่เรื่องดีไม่ออกนอก เรื่องไม่ดีเล่าลือพันลี้ วันนี้ในเมืองล้วนรู้ว่ามีนักต้มตุ๋นหญิงคนหนึ่งเดินถนนลัดเลาะตรอกซอกซอยอยู่
ยังดีเสียงโวยวายฝั่งนี้ไม่ได้เรียกเสียงตวาดด่าของผู้ใหญ่รวมถึงบ้านไหนปล่อยสุนัขมาเห่ากัด แต่ก็มีคนร้องเรียกคุณหนูจวิน
“แม่นางคนนี้ แม่นาง”
นี่เป็นหญิงเฒ่าคนหนึ่ง
ก็คือหวังเฉาซื่อแม่นมของลูกชายของน้องสาวของน้าสะใภ้ของหนิงอวิ๋นเจานั่นเอง
ความเกี่ยวข้องอ้อมไกลนัก
เสี่ยวติงยู่ปาก การลงแรงของตนไม่เสียเปล่า เมื่อวานไปหาพี่หวังร่ำสุราคุมโม้อยู่ครึ่งวัน พี่หวังฟังไม่เข้าหู หวังเฉาซื่อฟังเข้าหูแล้ว
นายน้อยคิดไว้ดีจริงๆ ผู้เฒ่าอายุเช่นนี้อย่างหวังเฉาซื่อชอบเรื่องเล่าที่สุดแล้ว นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์นายบ่าวกับตระกูลเจี่ยงแห่งฝูเจี้ยน คำพูดที่พูดย่อมมีความน่าเชื่อมากเช่นกัน หากคุณหนูจวินรักษานางหายดี ถ้าอย่างนั้นชื่อเสียงต้องเปลี่ยนดีขึ้นแน่นอน
เสี่ยวติงยื่นศีรษะมองไป เห็นคุณหนูจวินหยุดยืนอยู่หน้าหวังเฉาซื่อ
“ท่านยายท่านมีธุระอะไรหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถาม
หวังเฉาซื่อมองประเมินนางหลายที ในดวงตาฉายชัดมากว่าคลางแคลง
“อายุน้อยขนาดนี้เชียว” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าคือหลานสาวของจวินเฝิงชุนหมอชื่อดังของหรู่หนานจริงรึ?
เสี่ยวติงร้องในใจว่าเยี่ยมคำหนึ่ง คำเปิดบทสนทนาของหวังเฉาซื่อนี้พูดไม่ผิดดีเหลือเกิน พูดถึงปู่ของคุณหนูจวินทันที ทำให้คุณหนูจวินในใจรู้สึกดีแล้วก็ไม่สงสัยมาก
นายน้อยคิดเพื่อคุณหนูจวินได้รอบคอบเหลือเกินแล้วจริงๆ
ไม่รู้คุณหนูจวินเวลานี้สีหน้าอย่างไร ต้องดีใจแน่สินะ
น่าเสียดายนางหันหลังให้ตน มองไม่เห็นสีหน้าของนาง
หลิ่วเอ๋อร์มองเห็นเข้า
“คุณหนู ท่านยายผู้นี้รู้จักนายท่านผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยดีใจ มองคุณหนูจวิน
นี่เป็นถึงเมืองหลวงเชียวนะ ผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองหลวงถึงกับรู้จักนายท่านผู้เฒ่า ทำให้คนตื่นเต้นจริงๆ
แต่คุณหนูจวินสีหน้าดุจเดิม ไม่มีตื่นตะลึงดีใจสักนิด
“ใช่แล้ว” นางยิ้มเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารีบตรวจข้าหน่อยสิ ตอนกลางคืนข้ามักจะหลับไม่ค่อยสนิท” หวังเฉาซื่อรีบเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้ออกมาทำให้เพื่อนบ้านผู้ออกมาดูเรื่องสนุกรอบด้านที่ได้ยินเข้าประหลาดใจนัก
“แม่เฒ่าหวัง ท่านอย่าถามส่งเดชเลย” เพื่อนบ้านจิตใจงามเอ่ยเตือน“ท่านเดินเพิ่มไม่กี่ก้าวไปถึงหัวถนนให้ท่านหมอหวงดูเถอะ”
“ท่านหมอเฒ่าหวงดูแล้ว ยากินแล้วกองเบ้อเริ่มก็ยังไม่ได้ผล” หวังเฉาซื่อเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ข้าว่าเขาใช้ไม่ได้”
ประโยคเดียวนี้จะตัดสินท่านหมอเฒ่าหวง ใช้ไม่ถึงครึ่งวันก็คงแพร่ไปทั่ว
นี่ก็คือเป็นหมอไม่ง่าย สั่งสมชื่อเสียงไม่ง่าย พลาดหน่อยก็ถูกคนปฏิเสธแล้ว
หวังเฉาซื่อมองคุณหนูจวินอีกครั้ง
“แม่นางน้อย เจ้าดูให้ข้าหน่อยสิ ข้ารู้ว่าชื่อเสียงตระกูลเจ้าดังมากนี่” นางว่า
นี่ก็เป็นประโยคตัดสินอีกครั้ง เพื่อนบ้านรอบด้านตกตะลึงมาก
หรือว่าแม่นางน้อยคนนี้ร้ายกาจมากจริงหรือ?
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูสักหน่อยแล้ว
คนที่ล้อมเข้ามายิ่งมาก บรรดาเด็กน้อยก็ไม่วิ่งหนีแล้วด้วย เบียดอยู่ในฝูงชนชมเรื่องสนุก แต่สายตาของพวกเขาจับจ้องอยู่บนหีบยาของคุณหนูจวิน
“ขนมด้านในอร่อย” เด็กน้อยหลายคนใจกล้าพูดออกมา
แม้คนในบ้านกำชับไว้ แต่เด็กน้อยที่ยอมเชื่อฟังย่อมไม่ใช่เด็กน้อย ยังมีเด็กน้อยไม่น้อยเคยกินขนมของคุณหนูจวิน ระหว่างเด็กน้อยก็หนึ่งบอกสิบสิบบอกร้อยเล่าลือไปได้เหมือนกัน
ได้ยินเด็กทั้งหลายพูดเช่นนี้ คุณหนูจวินก็เปิดหีบยาออก หยิบผลไม้เชื่อมกำหนึ่งออกมา
ครั้งนี้แม้บรรดาผู้ใหญ่ไม่ยินดี แต่ติดที่เห็นแก่หน้าหวังเฉาซื่อ ใครก็ไม่พูด บรรดาเด็กน้อยยิ่งโหวกเหวกคว้าแล้วยัดเข้าปากกินลงไป กินพลางร้องว่าหวานพลาง ยังมีคนยื่นมือไปหาคุณหนูจวินจะเอา
ในตรอกเปลี่ยนเป็นครึกครื้น
เสี่ยวติงอดไม่ได้ยิ้มเต็มหน้า ครั้งนี้นายน้อยจัดการได้สมบูรณ์แบบ ตอนนี้ก็เหลือแค่คุณหนูจวินรักษาอาการป่วยของหวังเฉาซื่อให้หายดีก็นับว่าเปิดกิจการแล้ว หลังจากนั้นมีหนึ่งก็ย่อมมีสอง หนึ่งบอกสิบสิบบอกร้อย สถานการณ์นับว่าคลี่คลายแล้ว
หวังเฉาซื่อถูกบรรดาเด็กน้อยก่อกวนจนทนรำคาญไม่ไหว
“ไป ไป ไปเล่นข้างๆ” นางโบกมือเอ่ยบอก เรียกคุณหนูจวินอีกครั้ง “คุณหนูจวิน ท่านรีบมาตรวจข้าเถอะ”
คุณหนูจวินปิดหีบยา ส่ายศีรษะให้หวังเฉาซื่อ
“ท่านยายขอโทษด้วย อาการป่วยของท่านข้าตรวจไม่ได้” นางเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้ออกมา คนทั้งหมดล้วนตะลึงไป เสี่ยวติงยังไม่สนใจว่าจะถูกพบ ยื่นตัวออกไปมองคุณหนูจวินอย่างตะลึง
หมายความว่าอย่างไร?
“เจ้าตรวจไม่ได้?” หวังเฉาซื่อเอ่ยถามไม่เข้าใจ จากนั้นก็คิดอะไรได้สีหน้าฉับพลันขาวเผือด มือหนึ่งคว้ามือคุณหนูจวิน “ข้า อาการป่วยนี้ของข้าร้ายแรงมากใช่หรือไม่?”
บรรดาเพื่อบ้านรอบด้านก็ได้สติกลับมา สีหน้ายุ่งยากใจ
นี่เป็นลูกเล่นของหมอเร่ร่อนในยุทธภพจริงๆ มักจะพูดว่าโรคของเจ้าร้ายแรงอย่างไรๆ หลอกเอาเงินก้อนใหญ่ โยนยากะหลั่วจำนวนหนึ่งไว้แล้วหนีไป
อย่างไรก็เป็นหมอเร่ไหม วิ่งไปทุกที่ ชีวิตหนึ่งหลอกที่นี่ครั้งหนึ่ง ใครก็ทำอันใดเขาไม่ได้แล้ว
แต่คุณหนูจวินคนนี้ไม่ใช่ยังมีโรงหมอจิ่วหลิงเปิดอยู่หรือ? จะเล่นไม้นี้ได้อย่างไร? ไม่กลัวถูกคนทุบโรงหมอรึ
เสี่ยวติงเวลานี้ก็คิดถึงเรื่องนี้ โล่งใจ
ยังดีเป็นคนของตนเอง หลอกก็ไม่เป็นไร หลังเรื่องให้นายน้อยชดเชยเพิ่มหน่อยก็พอแล้ว
ใครใช้ให้นี่ป็นคุณหนูจวินเล่า คนว่ากันว่าผู้หญิงเกิดมาใจคะนึงคนข้างนอก นี่ผู้ชายใจคะนึงคนข้างนอกขึ้นมาก็ไม่ด้อยกว่าเหมือนกัน
คุณหนูจวินตบมือของหวังเฉาซื่อเบาๆ
“ไม่ใช่ ท่านยาย ท่านคิดมากไปแล้ว นางยิ้มเอ่ยอ่อนโยน “อาการป่วยของท่านไม่มีอะไรหนักหนา ไปหาท่านหมอของโรงหมออีกสักแห่งบนถนนรักษาจัดยาจำนวนหนึ่งกินไม่กี่ขนานก็หายดีแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ผู้คนตะลึง
กลับบอกว่าไม่มีอะไรหนักหนา? ถ้าอย่างนั้นที่แท้หมายความว่าอย่างไร?
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตรวจให้ข้า จัดยาสิ” หวังเฉาซื่อรีบเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินยิ้ม ชี้ธงที่หลิ่วเอ๋อรถืออยู่
“ข้ารักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก” นางเอ่ยขึ้น มองหวังเฉาซื่อ “อาการป่วยของท่านยังไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ”
เสีย…
เสีย…
เสียสติรึ!
คนที่อยู่ที่นั่นมองคุณหนูจวินคนนี้ตาโตอ้าปากค้าง
เสี่ยวติงก็อ้าปากกว้างด้วย คิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
…
“หวังเฉาซื่อด่าอยู่ที่ถนนมาหนึ่งวันแล้ว”
“นายน้อย ท่านก็รู้จักหวังเฉาซื่อคนนี้ แค้นนี้นางคงจำไปทั้งชีวิต”
“ตอนนี้ทั้งเมืองฝั่งตะวันตกล้วนรู้ว่าคุณหนูจวินเป็นคนไร้เมตตา มุ่งจะหลอกเอาเงินคนหนึ่ง”
“ใช้ไม่ถึงครึ่งวัน ทั้งเมืองหลวงคงรู้กันหมด โรงหมอจิ่งหลิวเปิดต่อไปไม่ได้จริงๆ แล้ว”
เสียงของเสี่ยวติงดังขึ้นในห้องไม่หยุด หนิงอวิ๋นเจาวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ เสียงดังปึก ขัดเสียงของเสี่ยวติง
“นายน้อย…เป็นข้าจัดการธุระไม่ดี” เสี่ยวติงรีบเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา มองสีหน้าของหนิงอวิ๋นเจา
“ไม่ใช่เจ้าจัดการไม่ดี เป็นข้าจัดการไม่ดี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น ทิ้งประโยคนี้ไว้เดินออกไปแล้ว
เสี่ยวติงแลบลิ้น
นายน้อยนี่คงจะไปหาคุณหนูจวิน ดูท่าโกรธไม่เบา
เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนั้น ต่อให้เป็นใครความหวังดีถูกมองเป็นหวังร้ายล้วนย่อมโกรธ นับประสาอะไรเมื่อหนิงอวิ๋นเจานี่ถึงขนาดระวังระไว กังวล พยายามสุดกำลัง ไม่ให้นางรู้ถึงความหวังดี
ทว่ากลับถูกโยนไว้ที่พื้นเด็ดขาดฉับไวเช่นนี้
นอกจากโกรธ ที่มากยิ่งกว่าคงเป็นเสียใจล่ะนะ
……………………………………….
บทที่ 137 ในใจตนย่อมมีแผน
โดย
Ink Stone_Romance
พนักงานสองคนมองหลิ่วเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากเรือนด้านหลังอย่างระมัดระวัง
ธงในมือหลิ่วเอ๋อร์ส่ายไหว
“พี่หลิ่วเอ๋อร์ คุณหนูจวินยังจะออกไปอีกหรือ?” พนักงานคนหนึ่งใจกล้าเอ่ยถาม
หลิ่วเอ๋อร์มองพวกเขาทีหนึ่ง ทำหน้าไม่เข้าใจ
“แน่นอนต้องไปสิ” นางว่า “ทำไมจะไม่ไป?”
ทำไมจะไม่ไป? โดนด่ากลายเป็นเช่นนั้นแล้วยังกล้าออกไปอีกหรือ? หน้านี่ต้องหนาเท่าไรกัน
“ด่าอะไร? พวกเขาด่าก็เรื่องของพวกเขา เกี่ยวอะไรกับคุณหนูของข้า ก็พวกเขาไม่มีคุณสมบัติให้คุณหนูของข้ารักษา ที่ควรอับอายคือพวกเขาเอง” หลิ่วเอ๋อร์แค่นเสียงเอ่ยขึ้น
เข้าใจแล้วว่าหน้าหนาเท่าไร พนักงานตัวน้อยสองคนคิด แล้วในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าชื่อโอ้อวดน่าขันทั่วเมืองที่หยางเฉิงของคุณหนูจวินคนนี้ในคำเล่าลือตอนแรกมาได้อย่างไร
มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู
“คุณหนูจวินอยู่ไหม?” พร้อมกับคำเอ่ยถาม
เพราะที่นี่ไม่มีคนเข้ามานานแล้ว ทันใดนั้นมีคนผู้หนึ่งเข้ามา แล้วยังเอ่ยปากถามหาคุณหนูจวิน ทำให้พนักงานสองคนในห้องตกใจสะดุ้งโหยง
ไม่ใช่มาด่าถึงประตูหรอกมั้ง?
หันหน้ามองไปเป็นคุณชายเยาว์วัยผู้หนึ่ง
“คุณชายหนิง?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น มองเขา “ไม่พบหน้ากันหลายวันเชียว”
ตอนเพิ่งมาถึงขยันมาหาดูแลคุณหนูที่นี่ทุกวัน พอได้ยินว่าคุณหนูเปิดโรงหมอเป็นหมอเร่ก็ไม่เห็นแล้ว ใช่รังเกียจหรือไม่?
หนิงอวิ๋นเจาย่อมฟังความนัยของหลิ่วเอ๋อร์ออก
ถ้าอย่างนั้นนางก็คิดเช่นนี้หรือ?
เขาเพราะรู้สึกว่าตนเองใส่ใจนางมากเกินไปกลัวนางคิดมากจึงไม่มา
แต่กลับลืมว่าฉับพลันถอยห่างกับฉับพลันเอาใจใส่ที่จริงก็ทำให้คนคิดมากได้เฉกเช่นเดียวกัน
นางเข้าใจผิดแล้วสินะ
ไม่น่าใช่
แต่เข้าใจผิดนิดหน่อยหรือไม่?
ดังนั้นเลยไม่รับเจตนาดีของเขา?
ระหว่างที่ครุ่นคิด คุณหนูจวินก็เดินแบกหีบยาออกมาจากด้านหลัง มองเห็นเขา สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเช่นก่อนหน้า
“คุณชายหนิง ท่านมา” นางว่า “มีธุระหรือ?”
หนิงอวิ๋นเขามองสีหน้าอ่อนโยนของนาง เขาเป็นคนที่มีอะไรในใจก็พูดสิ่งนั้น
“ใช่เป็นเพราะข้า ดังนั้นถึงปฏิเสธตรวจรักษาหรือไม่?” เขาเปิดเข้าประเด็น
แม้เขาคิดเอาเองว่าที่ทำยอดเยี่ยม จัดการได้รอบคอบ แต่อย่างไรนางก็คือนาง ความคิดฉลาดเฉลียวปานนั้นทันใดนั้นมีคนวิ่งออกมาเชิญนางรักษาโรค ต่อให้พูดถึงเรื่องเก่าที่หรู่หนาน นางก็ย่อมคิดถึงคนที่รู้เรื่องเก่าที่หรู่หนานอย่างตนสินะ
แน่นอนว่าเขาก็เพราะต้องการสร้างหลักฐานเรื่องนี้ถึงหาญาติผ่านการแต่งงานของตระกูลหนิง ตนเองรู้เรื่องเก่าที่หรู่หนาน คนตระกูลหนิงย่อมรู้ด้วย ครอบครัวคุยกันปกติประจำวันเล่ากระจายไปปกติยิ่งนัก ดังนั้นไม่มีทางคิดว่านี่เป็นการจัดการของตนเอง
แต่ไม่ว่ารอบคอบและหลบเลี่ยงอย่างไร นางก็ยังคงคาดเดาได้ว่าเป็นตนเอง
จุดนี้เขาไม่หลอกตนเอง
คุณหนูจวินงุนงงกับคำถามไปครู่หนึ่ง
“หวังเฉาซื่อคนนั้นหรือ” นางดูเหมือนเข้าใจขึ้นมา ยิ้มส่ายศีรษะ “ย่อมไม่ใช่ คุณชายหนิง ท่านคิดมากแล้ว”
หนิงอวิ๋นเจามองสีหน้าของนาง
“เจ้ารู้ว่าหวังเฉาซื่อเป็นใคร?” เขาเอ่ยถาม ในใจสงสัยอยู่บ้าง
คุณหนูจวินยิ้ม
“หนิง…” นางเอ่ยขึ้น นางเกือบหลุดปากพูดหนิงเหยียนออกมา คำพูดมาถึงริมฝีปากถึงเก็บลงไป “…แม่นมของลูกพี่ลูกน้องของเจ้า”
นางรู้จักหวังเฉาซื่อ? ไม่ใช่สงสัยเพียงเพราะหวังเฉาซื่ออยู่ดีๆ โดดออกมาเป็นฝ่ายเรียกนางรักษาอาการป่วยจึงเกิดสงสัย
นางรู้จักหวังเฉาซื่อได้อย่างไร?
หวังเฉาซื่อเป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ท่านอาของเขาชื่อเสียงโด่งดังทั่วเมืองหลวง แต่แม่นมคนหนึ่งของครอบครัวญาติผ่านการแต่งงานไม่มีทางชื่อเสียงดังทั่วเมืองหลวงเพราะเรื่องนี้ได้นะ
หนิงอวิ๋นเจามองคุณหนูจวินประหลาดใจอยู่บ้าง สายตาจับอยู่บนตัวพนักงานสองคนในโถงอีก
เต๋อเซิ่งชาง
คุณหนูจวินแม้เป็นพวกผู้หญิงที่เพิ่งมาถึงครั้งแรกคนหนึ่ง แต่เต๋อเซิ่งชางครองเมืองหลวงมานานปีแล้ว ในเมืองหลวงความสัมพันธ์ของผู้คนที่ซับซ้อนพันสลับดุจรากไม้กิ่งก้านเหล่านั้นพวกเขารู้ชัดยิ่งนัก
คุณหนูจวินได้ยินเขาพูดเช่นนี้ มองสีหน้าเขาก็เข้าใจทันที
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง” นางว่า “ที่แท้หวังเฉาซื่อเป็นคุณชายหนิงช่วยแนะนำมาให้ข้า”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มหยันตนเอง
“อับอายแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่ ไม่” คุณหนูจวินส่ายศีรษะยิ้ม “ข้ารู้ว่านางเป็นใคร แต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าจริงใจ
“คุณชายหนิง เจ้าคิดมากแล้ว”
คิดมากแล้ว?
หนิงอวิ๋นเจามองนาง สีหน้าด็กสาวนิ่งสงบ แววตาใสกระจ่าง ทำให้จิตใจคนนิ่งสงบลง
“ข้าคิดมากอีกแล้วหรือ?” เขาคิดนิดหนึ่งเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
นางจำหวิงเฉาซื่อได้ไม่ใช่เพราะหนิงอวิ๋นเจา แต่นางเดิมก็รู้อยู่แล้ว
แน่นอนว่านางไม่เคยพบหวังเฉาซื่อมาก่อน นางเพียงรู้ว่ามีคนผู้นี้อาศัยอยู่ที่ตรอกแห่งนี้ คนผู้นี้คือคนรับใช้ของครอบครัวญาติผ่านการแต่งงานของหนิงเหยียน
คนที่มีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรไปจนถึงคนรับใช้ข้าทาสบริวารของขุนนางสำคัญตำแหน่งสูงอย่างหนิงเหยียนเช่นนี้ อาศัยอยู่ที่ไหนทำอะไร ในมือลู่อวิ๋นฉีเข้าใจกระจ่างแจ้ง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหวังเฉาซื่อเป็นหนิงอวิ๋นเจาจัดการมา
คิดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มอีกครั้งไม่ได้
มองเห็นนางยิ้ม สีหน้าหนิงอวิ๋นเจาก็อึดอัดเล็กน้อย แต่ก็อยากยิ้มอยู่บ้างด้วย
ดังนั้นเขาจึงยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นพูดเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ใช่เพราะไม่อยากรับน้ำใจจากข้าถึงปฏิเสธตรวจรักษา” เขายิ้มเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม ครั้งนี้ไม่ได้เอ่ยตอบ
คำถามเช่นนี้ไม่ต้องการคำตอบ
หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มด้วยแล้ว
พนักงานสองคนในห้องมองดูรอยยิ้มนี้ของหนึ่งชายหนึ่งหญิง สบตามองกันทีหนึ่ง ล้วนมองเห็นแววตาพิกลยุ่งเหยิงในดวงตาของอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นเจตนาของเจ้าก็คือต้องการตามหาคนที่ช่วยเจ้าได้จริงๆ มารักษาโรค?” หนิงอวิ๋นเจาเก็บรอยยิ้มเอ่ยขึ้น
กันความคิดวุ่นวายสับสนเหล่านั้นออกไป คิดอีกครั้งเรื่องนี้เขาก็กระจ่างแจ้งแล้ว
ดังนั้นประโยคโบราณที่ว่าเป็นห่วงจึงว้าวุ่นถูกต้องแล้ว
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้า” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย “แต่ตามหาคนเช่นนี้ไม่ง่ายใช่หรือไม่?”
คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่ง
“แม้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ใช่ทำไม่ได้” นางว่า
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกข้าสักคำ” เขาเอ่ย “อย่า…”
อย่าทำให้ข้ากังวลใจนัก
คำพูดนี้ออกมาทำให้คนคิดมากอยู่บ้าง
เขาเก็บไว้ทันเวลา
“อย่า…เกรงใจ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ข้าแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนขี้เกรงใจ” นางเอ่ย มองหนิงอวิ๋นเจายิ้มทีหนึ่ง “คุณชายหนิงน่าจะรู้ดีที่สุด”
ไม่ว่าเป็นที่ให้ตระกูลหนิงซื้อสัญญาหมั้นราคาห้าพันตำลึง หรือทำให้หลินจิ่นเอ๋อร์พ่ายแพ้ชื่อเสียงยับเยิน เรื่องที่นางทำแต่ไหนแต่ไรล้วนไม่มีเกรงใจ
พูดขึ้นมานี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา ควรทำให้คนกระอักกระอ่วน แต่ทำไมมุมปากเขาอดไม่ได้แย้มยิ้มแล้ว?
นางบอกว่า เขาควรรู้ดีที่สุด
นางบอกว่า เขารู้จักนางที่สุด
เสี่ยวติงมองชายหนุ่มที่เดินออกมาจากในโถง ก้าวเท้าเบาหวิว มุมปากยกสูง ตาโตอ้าปากค้าง
นี่เพิ่งเข้าไปไม่นานเท่าใด นายน้อยที่เดิมทีหน้าบึ้งคิ้วขมวดก็เปลี่ยนร่างผลัดกระดูกเช่นนี้แล้ว
นี่หลอกง่ายเกินไปแล้วกระมัง?
อนาคตหากแต่งงานกัน สามีหงอแน่นอน
เสี่ยวติงส่ายศีรษะตามไป
…
“คุณชายสิบหนิงพูดเช่นนี้หรือ?”
ได้ยินรายงานของพนักงาน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม
พนักงานพยักหน้า ในเวลาเดียวกันแววตาก็วิบวับอยู่บ้าง
“ท่านผู้ดูแล ดูท่าความสัมพันธ์ของคุณหนูจวินกับคุณชายหนิงนี่ไม่เลวทีเดียว” เขาอดไม่ได้เอ่ยเสียงเบา “”ไม่ใช่ว่าสองตระกูลเป็นคู่แค้นกันหรือ?
แต่หลายวันนี้ดูแล้ว คุณชายหนิงคนนี้ใส่ใจคุณหนูจวินยิ่งนักล่ะ สองคนยังทานอาหารด้วยกันหลายมื้อ ตอนค่ำยังไปร่ำสุรา นี่เหมือนกับสหายสนิทที่สุดชัดๆ
หากเป็นผู้ชายทั้งหมดก็พูดเช่นนี้ได้ หากเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิงล่ะก็….
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถลึงตาใส่พนักงานผู้ยักคิ้วหลิ่วตาทีหนึ่ง
“นี่มันตอนไหนแล้ว จ้องแต่เรื่องไม่สำคัญพวกนี้” เขาเอ่ย “เจ้าเป็นพวกแม่นางเรอะ”
พนักงานอับอายก้มหน้าถอยหลัง
“จะตามหาคนที่ช่วยเหลือนางได้จริงๆ ถึงยอมรักษา” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยกับตนเอง ลูบเคราขมวดคิ้ว “นั่นก็คือจะทีเดียวสร้างชื่อ พูดเช่นนี้ย่อมต้องตามหาโรคร้ายรักษายากที่คนอื่นรักษาไม่หาย นอกจากนี้คิดว่าคงไม่ใช่แค่โรค ยังต้องดูฐานะของคนป่วยด้วย แต่นางวนมั่วทั่วเมืองเช่นนี้จะหาพบรึ?”
คนป่วยที่มีฐานะย่อมเชิญหมอชื่อดังมาทั่วแล้ว นอกจากนี้ซ่อนอยู่ในบ้านหลังโตประตูบานใหญ่ นางหมอเร่คนหนึ่งเช่นนี้ใครจะเชิญ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันนี้แบกคำครหาว่าละโมบเลือกคนป่วย ไร้เมตตาอีก
เรื่องนี้ดูแล้วไม่มีทางเป็นไปได้สักนิดเลย แต่ดูไปแล้วคุณหนูจวินก็ดันเหมือนมีแผนการในใจอีก
น่าสนใจ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลุกขึ้นยืน
“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูกับตาตนเอง” เขาว่า “ดูสิหญิงไม่ธรรมดาคนนี้จะวางแผนฉลาดล้ำอะไรอีก”
……………………………………….
บทที่ 138 บังเอิญพบกันอีกครั้งในตรอกแคบ
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตามมา คุณหนูจวินก็พาหลิ่วเอ๋อร์เดินวนไปพักหนึ่งแล้ว
อำนาจของหวังเฉาซื่อเห็นชัดนัก ที่ๆ ไปถึงไม่ใช่สายตาระแวงอย่างก่อนหน้าแล้ว แต่เป็นเสียงหัวเราะเยาะและความไม่พอใจ
“คนนี้แหละบอกว่าไม่รักษาคนจนไม่มีเงิน”
“บอกว่าไม่ใช่ใครก็เชิญนางได้”
“ถึงกับพูดเช่นนี้? แม่นางน้อยแบบนี้ นางมีความสามารถอะไรรึ?”
หมอเร่ที่เป็นหมอเร่ ประการแรกก็เพื่อรักษาคนที่อยู่ห่างไกลไม่สะดวกพบหมอเหล่านั้น ประการที่สองเดินทางรักษาชาวบ้านที่ไม่มีเงินหาหมอเหล่านั้น ถือยาถูกเหล่านี้ รับเงินค่าตรวจไม่กี่อีแปะ ตนเองเก็บเล็กผสมน้อยเลี้ยงปากท้อง ส่วนผู้อื่นก็ซื้อความหวังที่จะมีชีวิต
แต่คุณหนูจวินตอนนี้ไม่เพียงไม่ฟังคำแนะนำไปเป็นหมอที่ชนบทนอกเมืองหลวง ตรงกันข้ามกลับปฏิเสธการรักษาคนที่มาขอตรวจ นี่นับว่าทำลายชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“จะลองดูสิใครกันคู่ควรให้นางรักษา”
“อายุน้อยทำไมจิตใจเป็นเช่นนี้เล่า”
“พูดประโยคนั้นออกมาได้อย่างไร ยังมีหน้าบอกว่าตนเองเป็นหมออีก”
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้าน รู้สึกถึงสายตาโกรธแค้นชิงชัง ต่อให้เป็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผู้ได้รับและส่งสายตาเหยียดหยามเย็นชาสารพัดแบบมาครึ่งชีวิตก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แต่มองเด็กสาวสองคนด้านนี้ไม่มีไม่สบายสักนิด
คุณหนูจวินใจไม่มีวอกแวก คนรอบด้านมองนางอย่างไรล้วนไม่สนใจ และเมื่อคุณหนูจวินไม่สนใจ หลิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่สนใจด้วยถึงขั้นถือเป็นความภาคภูมิใจ
พวกเจ้าคนเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติให้คุณหนูของข้ารักษา สมควรอิจฉาริษยา
จุดนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนับถือพวกคุณหนูจวินนายบ่าวยิ่งนัก
คุณหนูจวินนายบ่าวเดินผ่านตรอกเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง กระดิ่งในมือไม่เคยหยุด เขย่าเป็นจังหวะอยู่เสมอ เสียงเดียวซ้ำซากอยู่มาก แต่ฟังแล้วกลับไม่ทำให้คนรู้สึกรำคาญ
เมื่อเข้าไปในตรอกแคบแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนก็เดินออกมาจากด้านในประตูเรือนหลังหนึ่ง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันส่งเสียงหัวเราะครื้นเครง
เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้น ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็เห็นคุณหนูจวินที่เดินเอื่อยอยู่ด้านหน้าหยุดยืนกะทันหัน
คงจะหลบเลี่ยงคนพวกนี้สินะ
ตรอกนี้ไม่ใหญ่ ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนนี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ออกันออกมาเหมือนจะยึดเต็มตรอก
คนเหล่านี้หันหลังให้ฝั่งนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วจำใครไม่ได้ เพียงแต่มองแผ่นหลังบรรยากาศล้วนไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาก็หยุดยืนด้วย แต่ตอนที่เขาเพิ่งหยุดยืนนี่เอง คุณหนูจวินพลันยกเท้าพุ่งไล่ตามคนเหล่านั้นไป
“จูจั้น” นางร้องเรียก
จูจั้น?
ชื่อนี้เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ในใจผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดขึ้น หลังจากนั้นก็มองเห็นบรรดาชายหนุ่มด้านหน้าหยุดฝีเท้าหันกลับมา
แต่มีคนหนึ่งไม่หันกลับมา ยังคงก้าวยาวเดินส่ายไปข้างหน้า
“จูจั้น!” คุณหนูจวินร้องเรียกอีกครั้ง ไม่กี่ก้าวก็ไล่ไปทันคนเหล่านี้ด้านหน้า
ชายหนุ่มคนนั้นยังคงไม่หันกลับมา ตรงกันข้ามกลับเพิ่มฝีเท้าเร็วขึ้น
บรรดาชายหนุ่มที่หยุดฝีเท้ามองแม่นางน้อยคนนี้แล้วก็มองดูชายหนุ่มด้านหน้า สีหน้าต่างกันไป บางคนหัวเราะขึ้นมา
คุณหนูจวินไม่ได้หวาดกลัวสายตาสำรวจของพวกเขา ตัดตรงดิ่งผ่านระหว่างพวกเขาไป คว้าแขนชายหนุ่มที่เดินไปข้างหน้าไว้
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มราวกับแมวแตะโดนน้ำสะดุ้งโหยง สะบัดแขนของนางออก ในที่สุดก็หันกลับมา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองเห็นหน้าของชายหนุ่มคนนี้แล้ว หน้าตาหล่อเหลาใต้แสงตะวันของฤดูร้อนแจ่มชัดเป็นพิเศษ แล้วก็ทำให้ทั้งตัวทั้งใจของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเย็นวูบในพริบตา ขับไล่ความอบอ้าวออกไป
แม้ชายหนุ่มคนนี้น้อยครั้งจะปรากฏตัวที่เมืองหลวง แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวล้วนจุดเรื่องครึกโครมให้เมืองหลวงพักหนึ่ง ไม่ว่าอายุสิบสองหรืออายุยี่สิบสอง
ดังนั้นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรู้จักเขา
บุตรชายของเฉิงกั๋วกง จูจั้น
แต่ที่ทั้งร่างทั้งหัวใจเย็นวูบนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงที่นี่
บุตรชายเฉิงกั๋วกงถูกสามกรมสอบสวน คำตัดสินสุดท้ายของฮ่องเต้ยังไม่ตัดสินลงมา ตามหลักแล้วเวลานี้ท่านชายควรถูกกักตัวอยู่ที่ศาลต้าหลี่หรือคุกขององครักษ์เสื้อแพร แต่นั่นก็แค่ตามหลักเท่านั้น ผู้ใดเห็นเขาเตร็ดเตร่บนถนนก็คงไม่ประหลาดใจ
มีอะไรน่าประหลาดใจเล่า เขาเป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงนะ ทำเรื่องอะไรก็ไม่ประหลาด
ที่ทำให้เขาทั้งตัวทั้งใจเย็นวูบก็คือคุณหนูจวินถึงกับรู้จักกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง
ผิด นี่ไม่ใช่เพียงคุณหนูจวินรู้จักบุตรชายเฉิงกั๋วกง ก็เหมือนกับตนเอง เหมือนกันคนมากมายในเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้จักเขา แต่เขาไม่ได้รู้จักทุกคน
พวกเขารู้จักกัน คุณหนูจวินจำบุตรชายเฉิงกั๋วกงได้ บุตรชายเฉิงกั๋วกงก็จำคุณหนูจวินได้
แม้บุตรชายเฉิงกั๋วกงก้าวยาวไปข้างหน้าไม่สนใจคุณหนูจวิน แต่นี่ในสายตาของคนอายุเช่นนี้อย่างผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น ตรงกันข้ามยิ่งพิสูจน์ว่าสองคนนี้จำกันได้ ไม่เช่นนั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงคงไม่จงใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเช่นนี้
เจ้าดูสิ คุณหนูจวิน คว้าแขนของบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้ว!
การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เด็กสาวคนใดจะกล้าทำกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง!
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเบิกตาโต
ดู บุตรชายเฉิงกั๋วกงสลัดมือของคุณหนูจวิน แต่ไม่ได้โกรธ
“เจ้าทำอะไร! อย่ามาจับนู่นจับนี่ผู้อื่น” จูจั้นถลึงตาตวาดขึ้น แล้วกดเสียงลงอีก “ที่นี่ไม่ใช่หรู่หนาน”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น
พวกเขาพูดกัน ชายหนุ่มคนอื่นก็เดินเข้ามาพกพาความสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างประเมินคุณหนูจวิน มีชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดคิ้วเรียวดวงตายาวคนหนึ่งกอดไหล่จูจั้น ยิ้มให้คุณหนูจวิน
“ใครกันล่ะนี่?” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “แนะนำหน่อยสิ”
หัวไหล่จูจั้นเคลื่อนหลุดจากเขา
“ไม่รู้จัก” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่รู้จัก คนเรียกชื่อเจ้าอยู่” ชายหนุ่มยิ้มเอ่ยขึ้น
จูจั้นแค่นเสียง
“ช่วยไม่ได้ ก็ข้าดึงดูดสายตาคนปานนี้” เขาว่า
บรรดาชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา
แม้หัวเราะอยู่ สายตาก็สังเกตคุณหนูจวิน เห็นบนหน้าของนางไม่มีความหวาดกลัววิตกสักนิด แม้กระทั่งเขินอายก็ไม่มี ถึงขนาดยังหัวเราะไปด้วยกันกับพวกเขาอีก
นี่คนคุ้นเคยนี่
นอกจากนี้เด็กสาวคนนี้ช่างเป็นตัวของตัวเอง
ไม่อย่างนั้นจะถึงขั้นเฉยๆ สบายๆ ต่อหน้าจูจั้นได้อย่างไร
“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์อุ้มธงตามเข้ามา ร้องเรียก
สายตาของเหล่าชายหนุ่มจับบนธงสีสดที่หลิ่วเอ๋อร์ยกอยู่
“รักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ได้ยาโรคหาย ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดอ่านออกมา สีหน้าประหลาดใจมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง มองหีบยาที่นางสะพายหลังอยู่ รวมถึงกระดิ่งที่ถืออยู่ในมือ “เจ้า เป็นหมอ?”
คุณหนูจวินขานรับ
“หมอเร่” นางยิ้มเอ่ยออกมา ย่อเข่าคำนับ
หมอเร่?
บรรดาชายหนุ่มเหล่านี้ย่อมรู้จักว่าหมอเร่คืออะไร สีหน้ายิ่งประหลาดใจ
“คุณหนูเป็นหมอจริงๆ รึ”
“เจ้ารักษาโรคอะไรได้”
พวกเขาแย่งกันเอ่ยถาม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเวลานี้ในใจพ่นลมหายใจ เข้าใจอยู่บ้างแล้วก็ประหลาดใจอยู่บ้าง
พูดเช่นนี้ คุณหนูจวินจะตามหาบุตรชายเฉิงกั๋วกงที่ช่วยนางสร้างชื่อได้สินะ
หลายวันมานี้วนไปเวียนมาก็เพื่อพบเขาสินะ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอดไม่ได้พยักหน้า
เทียบกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้ว อาการป่วยของหวังเฉาซื่อไม่คู่ควรให้พูดถึงจริงๆ
แต่บุตรชายเฉิงกั๋วกงจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือเหมือนคุณชายสิบหนิงหรือ?
ได้ยินคำถามของบรรดาชายหนุ่ม คุณหนูจวินก็ยิ้มแย้มตอบทีละคำถาม
“ข้าเป็นหมอสิ”
“ข้ารักษาโรคได้มากมาย”
บรรดาชายหนุ่มมองประเมินนางด้วยสีหน้าคลางแคลง
“เจ้าอายุเท่าไร? เป็นหมอไม่ใช่อายุมากถึงรักษาได้มากมายหรือ?” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดยิ้มตาหยีเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
“ถึงข้าจะอายุน้อย แต่ข้ามีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียวไง” นางว่า
ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดอดไม่ได้หัวเราะพรืด พวกชายหนุ่มคนอื่นก็สีหน้าพิกลหัวเราะออกมาเหมือนกัน
“มิน่ารู้จักกับน้องรองจูได้” ชายหนุ่มกระแอมสองทีตบไหล่จูจั้นยิ้มเอ่ยขึ้น “ที่แท้ล้วนเป็นคนฉลาดนี่เอง”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่ใช่คำชมอันใด
ในใจผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ยืนอยู่ไม่ไกลคิด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก คนฉลาดทำไมไม่ใช่คำชม
……………………………………….
บทที่ 139 ลวงโลก
โดย
Ink Stone_Romance
จูจั้นสีหน้าอดรนทนไม่ไหว
“เดินเดิน อยู่ที่นี่พูดไร้สาระอะไร” เขาเอ่ย
แต่เหล่าชายหนุ่มกลับไม่ขยับ มองคุณหนูจวินสนใจอย่างยิ่ง
“เจ้าเป็นจริงรึ” ชายหนุ่มผู้ใบหน้าสีทองแดงเก่าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คิดนิดหนึ่ง “พักนี้ข้ามักจะปวดหัวไหล่ เจ้าดูให้หน่อยสิว่าเป็นอะไร?”
คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยคำ จูจั้นก็สบถทีหนึ่ง
“เป็นอะไร แค่ทุ่มข้ามไหล่ทีหนึ่งเจ้าล้มจนต้องแกล้งป่วยเชียวรึ” เขาเอ่ยไม่สบอารมณ์
บรรดาชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา
คุณหนูจวินก็หัวเราะด้วย
“ไหล่ขวาเจ็บสินะ?” นางเอ่ย “เหมือนเข็มตำ กลางวันไม่เจ็บ กลางคืนเจ็บ”
สิ้นเสียงนาง ชายหนุ่มคนนั้นก็ร้องเอ๋เบิกตาโต
“ใช่!” เขาเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เพราะข้าเป็นหมอไง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น หลางก้มหน้าเปิดหีบยา “ข้าฝังเข็มให้ท่านสองที แล้วให้ยาท่านขนานหนึ่ง”
รักษาให้จริงๆ ด้วย
ถ้าอย่างนั้นวันนี้ที่บังเอิญพบกันที่นี่ เป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงกับคุณหนูจวินนัดกันไว้ก่อนแล้วรึ?
เป็นไปไม่ได้หรอก
แม้เชื่อฟังคำสั่งของนายน้อยไม่เข้าไปยุ่งธุระของคุณหนูจวิน แต่เขาก็ให้คนจับตาตลอดเวลาไม่เห็นคุณหนูจวินกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงไปมาหากัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนัดกัน
คงเป็นพบโดยบังเอิญ คุณหนูจวินเดินวนมั่วไปทั่วเช่นนี้ก็เพื่อบังเอิญพบบุตรชายเฉิงกั๋วกง ตอนนี้ในที่สุดก็พบแล้ว
ในเมื่อทั้งสองคนรู้จักกัน แล้วก็เห็นคุณหนูจวินบอกว่าเป็นหมอเร่แล้ว สหายข้างกายก็บอกว่าไม่สบายด้วย ไม่ว่าจริงหรือหลอก ให้คุณหนูจวินรักษาเป็นพิธีย่อมไม่มีปัญหา
บุตรชายเฉิงกั๋วกงเหตุเพราเฉิงกั๋วกง ในเมืองหลวงจึงคบหามิตรสหายมากมาย ในกองทัพยิ่งนับถือเขา
มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงป่าวประกาศ โรงหมอจิ่วหลิงของคุณหนูจวินนี่แปบเดียวก็จะมีชื่อแล้ว
ใครให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเดิมก็เป็นคนดังคนหนึ่งเล่า
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วโล่งใจ คุณหนูจวินมีแผนของตนเองจริงๆ
ได้ยินคุณหนูจวินพูดเช่นนี้ ชายหนุ่มที่บอกว่าหัวไหล่เจ็บก็ระริกระรี้อยากลอง
“เอาสิ” เขาเอ่ยกำลังจะเดินออกมา แขนยาวของจูจั้นก็พรึบทีหนึ่งจับไว้ดึงกลับมา
“ดีอะไรเล่า” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์ ถลึงตามองคุณหนูจวินทีหนึ่ง “ลวงโลก”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป
“ไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มที่อยู่ที่นั่นมึนงง
นี่ไปจริงๆ หรือว่าแกล้งไป?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็อึ้งไปเหมือนกัน อยากจะปฏิเสธหรือตอบรับ?
“พวกเจ้าไปไม่ไป? ไม่ไป วันหลังก็ไม่ต้องมาเที่ยวเล่นกับข้า”
เสียงจูจั้นดังมาจากด้านหน้า
บรรดาชายหนุ่มสีหน้าลำบากใจมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง
“แม่นางน้อยดูท่าทำให้น้องรองจูไม่พอใจไม่เบา” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดขยิบตาให้คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น พลางขยับปาก “ขอโทษด้วย พวกเราก็ไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ”
พูดจบก็หัวเราะก้าวยาวไล่ตามไป
ชายหนุ่มที่เหลือก็มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง ก้าวเร็วตามไปด้วย
แม้คนเหล่านี้ไม่ได้มองตัวเขา แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็อึดอัดจนทั้งร่างแข็งทื่อ
ทำเช่นนี้ได้อย่างไร…
ที่แท้เป็นรักเขาข้างเดียวหรือ?
นั่นก็ไม่แปลก บุตรชายเฉิงกั๋วกงแต่ไหนแต่ไรไม่เคยไว้หน้าใคร ไม่ว่าใคร พระญาติเชื้อพระวงศ์ชายหญิงผู้เฒ่าเด็ก เขาแต่ไหนแต่ไรล้วนทำตามอำเภอใจ
น่าอึดอัดเกินไปแล้ว
ภาพน่าอึดอัดเหลือเกินเช่นนี้ตนเองยังไงก็รีบหลบเถอะ เลี่ยงไม่ให้แม่นางน้อยรับไม่ได้มากกว่าเดิม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก้มหน้ากำลังจะหมุนตัว กลับได้ยินเสียงคุณหนูจวินลอยมา
“จูจั้น ข้าเปิดโรงหมอแล้ว อยู่ตรงถนนนี่เอง ยังเป็นชื่อเดิม”
เสียงของนางอ่อนโยนทั้งยังเบิกบานอยู่บ้าง ไม่ต้องพูดถึงร้องไห้ อึดอัดสักนิดก็ไม่มี
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเงยหน้าขึ้น บรรดาชายหนุ่มที่เดินออกไปหันกลับมาเช่นกัน
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ที่เดิมสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนกับหลังพบหน้าพูดคุยกันเบิกบานยิ่งนักบอกลา
“แม่นางน้อยคนนี้น่าสนใจ” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดดึงจูจั้นไว้อีกครั้งเอ่ยขึ้น “รู้จักได้ย่างไร? ใครกัน? ทำไมไม่สนใจผู้อื่นเล่า?”
จูจั้นยังคงหน้าไม่หันก้าวยาวไปข้างหน้า
“คนที่รู้จักข้ามากไป ทำไมข้าต้องสนใจ” เขาเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดกอดไหล่ของเขา หันกลับไปเด็กสาวยังคงยืนอยู่ตรงนั้นทั้งมองจูจั้น
“พี่รอง เจ้าใช่เสียท่าในมือผู้อื่นมาใช่หรือไม่” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น
จูจั้นหัวเราะแห้งๆ สองทีสลัดมือเขาออก เพิ่มความเร็วฝีเท้า
ผู้คนหัวเราะตามไปไม่ได้หันหน้ากลับไปมองคุณหนูจวินอีก
คุณหนูจวินก็รั้งสายตากลับมาเช่นกัน รอยยิ้มบนหน้ายังไม่จางหายไป
“คุณหนู นี่ใครหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างสงสัย
หลิ่วเอ๋อร์ไม่เคยพบจูจั้น ทั้งตอนที่หรู่หนานและเมืองหลวงนางล้วนไม่ได้อยู่ข้างๆ
คุณหนูจวินเล่าเรื่องของจูจั้นให้หลิ่วเอ๋อร์ฟังง่ายๆ นิดหน่อย แน่นอนเล่าเพียงรู้จักกันได้อย่างไรและเข้าเมืองมาบังเอิญพบกันอีกได้อย่างไร รายละเอียดไม่ได้บอก แค่นี้ก็พอทำให้หลิ่วเอ๋อร์ฟังจนทั้งตกใจทั้งดีใจทั้งไม่พอใจ
“คนผู้นี้ไม่ดีกับคุณหนูสักนิด” นางว่า “ต่อไปคุณหนูไม่ต้องสนเขานะเจ้าคะ”
ต่อให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงฐานะสูงศักดิ์ แต่ไม่ดีกับคุณหนู หลิ่วเอ๋อร์ก็ไม่คิดจะไว้หน้าเขา
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
เขาไม่ดีกับคุณหนูจวิน วาจาไม่เกรงใจ แล้วก็ไม่มีเจตนาจะผูกมิตรสักนิดด้วย เป็นคนผ่านทางคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
แต่เขาดีกับองค์หญิงจิ่วหลิงไม่เลว อย่างน้อยก็ระหกระเหินมาถึงหน้าสุสานมอบดอกไม้ดอกนั้นให้
ตอนนางมีชีวิตอยู่ คนที่มอบดอกไม้ให้นางมากมาย
หลังตายไป คนที่จดจำได้มอบดอกไม้ให้นางล้ำค่ายิ่งนัก
รักษาสัญญากับคนเป็นคนหนึ่งไม่นับเป็นอะไร ใครๆ ล้วนยินดีทำ อย่างไรชื่อก็แสดงต่อหน้าคน รักษาสัญญากับคนตายคนหนึ่งกลับดั่งสวมอาภรณ์งามท่องราตรี ไม่มีความหมายอะไร
เรื่องที่ไม่มีความหมายเรื่องนี้ยังจะไปทำ คนผู้นี้นับได้ว่าเป็นวิญญูชนคนหนึ่ง แม้การกระทำของจูจั้นตรงไหนก็ไม่ใกล้เคียงกับวิญญูชนเลยก็ตาม
“เขาก็ดีนะ” นางถอนหายใจเอ่ยขึ้น
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเดินเข้ามาได้ยินประโยคนี้พอดี มีรสชาติแปลกแปร่งอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจอยู่บ้าง
บุตรชายเฉิงกั๋วกงแม้มาเมืองหลวงไม่มาก แต่ชื่อเสียงระบือลือไกล ชาติตระกูลนี่นิสัยนี่บวกกับหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดาหญิงสาววัยเยาว์มากมายในเมืองหลวงเฝ้าฝัน ที่แถบเหนือบรรดาหญิงสาวร้อนแรงเหล่านั้นยิ่งร้ายกาจ ได้ยินว่ามีคนแขวนคอฆ่าตัวตายเพื่อบุตรชายเฉิงกั๋วกงมาแล้ว
สำหรับเด็กสาวเหล่านี้แล้ว ไม่สนใจหรอกว่าคนผู้นี้ทำอะไร เขาก็แค่ดีที่สุด
ผู้หญิงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเหตุผลแบบนี้
แม้เป็นเช่นนี้ แต่มีบางคำเขาก็ยังต้องเตือนสักหน่อย
“คุณหนูจวิน ท่านต้องการเชิญบุตรชายเฉิงกั๋วกงให้ช่วยเหลือหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถามเข้าประเด็น
“ช่วยอะไรรึ?” คุณหนูจวินถามกลับไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“คุณหนูจวิน ข้ารู้ว่าท่านคิดจะคราวเดียวทำให้คนตะลึง แต่บุตรชายเฉิงกั๋วกงฝั่งนี้เกรงว่าคงทำไม่รอด” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น
เดิมทีคิดว่าผูกมิตรมาพอ แต่ดูท่าทีนี้ของจูจั้นเป็นการหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ชัดๆ
เด็กสาวไม่รู้จักหนักเบา คิดว่าอาศัยหน้าตาดีก็ทำให้เรื่องสำเร็จตามใจเอื้อมมือคว้าได้ย่อมผิดมหันต์
จูจั้นคนเช่นนี้ไม่ไว้หน้าหรอก แล้วก็ไม่ให้นางใช้ประโยชน์ด้วย ไม่แน่ว่าโรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงนี่คงต้องปิดกิจการแล้ว
คุณหนูจวินได้ยินพลันเข้าใจ หัวเราะออกมา
“ข้าไม่เคยคิดให้เขาช่วย” นางเอ่ยขึ้น ส่ายศีรษะ “เรื่องนี้เขาช่วยอะไรได้”
ความหมายนี้ฟังดูแล้วดูถูกบุตรชายเฉิงกั๋วกงหรือ?
คิ้วผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขมวดยิ่งไม่เข้าใจ จะเอ่ยคำพูดก็เห็นสีหน้าคุณหนูจวินเคร่งขรึมขึ้นมา
“คนที่ข้ารอมาแล้ว” นางว่า
นางกำลังรอคนอยู่จริงๆ?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตะลึงมองตามสายตาของคุณหนูจวินไป เห็นผู้หญิงหลายคนเดินมาจากปากตรอก
นั่นเป็นหญิงงามอายุราวสามสิบปีคนหนึ่ง ข้างกายมีสาวใช้สองคนหญิงรับใช้เฒ่าคนหนึ่งห้อมล้อม ถือถุงใบใหญ่ใบน้อย ราวกับจับจ่ายซื้อของข้างนอกกลับมา บนหน้ายังคงพกร้อยยิ้ม เห็นชัดว่าอารมณ์ดียิ่งนัก
นี่ใครกัน?
คุณหนูจวินกำลังรอนาง? หรือว่าเป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง? แต่ไม่ถูกสิ คนใหญ่คนโตไม่มีที่เขาไม่รู้จัก
นอกจากนี้ผู้หญิงคนนี้ท่าทางก็ไม่เหมือนไม่สบายด้วย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าไม่เข้าใจ คุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์เดินเชื่องช้าเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้ว
กระดิ่งในมือส่งเสียงในตรอกใสกังวานแต่ไม่หนวกหู กลับกันปลอบประโลมคนอยู่นิดๆ
เสียงนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของกลุ่มหญิงผู้นี้ พวกนางเงยหน้ามองมาเช่นกัน คุณหนูจวินเดินมาถึงตรงหน้าพวกนางแล้ว ราวกับจะเดินเฉียดผ่านไป แต่สายตากวาดมองทีหนึ่งกลับหยุดฝีเท้าลง ถอยหลังก้าวหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนี้
“นายหญิงผู้นี้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน “ข้าเห็นว่าท่านมีลางร้าย”
แม่เจ้า!
ลูกตาผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหวิดจะถลนออกมา
ทำอะไรน่ะ! เกริ่นผิดแล้วมั้ง?
เขามองไปบนธงที่หลิ่วเอ๋อรถืออยู่ ไม่ผิดนี่ เขียนว่ารักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ได้ยาโรคหาย ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดีนี่ ไม่ใช่ทำนายแม่นทายทักโชคชะตาดีร้ายแก้เคราะห์ขจัดภัยสักหน่อย
ลางร้ายนี่ออกมาได้อย่างไรเล่า?
……………………………………….
บทที่ 140 นางป่วย
โดย
Ink Stone_Romance
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตกใจสะดุ้งโหยง ผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจสะดุ้งโหยง
การแต่งตัวของคุณหนูจวินนี้ พวกนางเมื่อครู่เห็นแล้วก็รู้ว่าทำอะไร แม้แม่นางน้อยคนหนึ่งเป็นหมอเร่จะประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็ยังรับได้
ต่อให้แม่นางน้อยคนนี้ขวางทางพวกนางก็ยอมรับได้เหมือนกัน
หมอเร่ไหม พูดไปแล้วก็เหมือนกับขอข้าวกิน อย่างไรก็ต้องอ้าปากทำกิจการ
แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าที่เด็กสาวคนนี้เปิดปากไม่ใช่หาหมอขายยา แต่เป็นเจ้ามีลางร้าย
ลางร้าย
หมอเร่ทุกวันนี้ใช้คำเปิดบทสนทนาเหมือนกับหมอดูแล้วหรือ?
ผู้หญิงตั้งตัวไม่ทันตะลึงไปยู่บ้าง แต่ได้สติกลับมาก็ถ่มน้ำลายลงพื้นโกรธเกรี้ยวอยู่นิดๆ
“ชิชะ” นางเอ่ยขึ้น “โชคร้าย”
สาวใช้หญิงรับใช้ก็ได้สติกลับมาด้วย รีบทำหน้าโกรธเกรี้ยวมาผลักคุณหนูจวิน
“รีบหลีกไป รีบหลีกไป” พวกนางตวาด
หลิ่วเอ๋อร์แบกธงขวางไว้
“ทำอะไร! คุณหนูของข้าบอกว่ามีลางร้ายก็คือมีลางร้าย!” นางคิ้วตั้งตะโกนขึ้นมา
ไม่เคยเห็นสาวใช้ที่ดุร้ายเช่นนี้ คนเหล่านี้ตกใจสะดุ้งโหยงชั่วขณะไม่ขยับ
อาศัยโอกาสนี้ คุณหนูจวินยิ้มคำนับอีกครั้ง พลางดึงหลิ่วเอ๋อร์มาหลังร่าง
“นายหญิงข้าเป็นหมอของโรงหมอจิ่วหลิง ข้าเห็นสีหน้านายหญิงอัดอั้น กลางหว่างคิ้วดำคล้ำ ฝีเท้าเลื่อนลอย คิดว่าหลายวันนี้กลางคืนคงนอนไม่หลับ ทั้งยังตกใจขวัญหายง่ายๆ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายของนายหญิงจะทนต่อไปไม่ไหว นี่เป็นลางร้ายยิ่ง”
สาวใช้หญิงรับใช้ได้ยินนางพูดจบก็ได้สติกลับมาบ้าง สีหน้ายิ่งอับอายโกรธเกรี้ยว
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร” พวกนางด่าท่อ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ส่ายศีรษะ พูดไปแล้วหมอดูกับหมอเร่ก็ต่างกันไม่มาก หมอต้องมองฟังถามจับ หมอดูก็ต้องมองฟังถามจับเหมือนกัน มองฟังถามจับดูว่าอีกฝ่ายเป็นคนรวยที่หลอกเอาเงินได้หรือไม่ มองสีหน้าเขาเลียบเคียงถามความกังวลของเขา ลงมือฉับไว ผ่าตรงเข้ากลางใจ นี่ถึงได้ชื่อเรียกขานว่าแม่น
ผู้หญิงคนนี้ตรงหน้า เห็นชัดๆ ว่ากระปรี้กระเปร่า สีหน้ามีความสุข คุณหนูจวินท่านทำไมไม่มีตาเช่นนี้ จะต้องบอกว่าผู้อื่นสีหน้ากลัดกลุ้ม หว่างคิ้วดำคล้ำ
ผู้หญิงยิ้มแล้วอย่างที่คิด ส่ายศีรษะ
“เอาล่ะเอาล่ะ ข้าไม่ถือสาเด็กอย่างเจ้า” นางว่า โบกมือให้หญิงรับใช้ “ให้เงินเด็กคนนี้สองอีแปะ ให้นางไปเถอะ”
หญิงรับใช้จึงหยิบเงินไม่กี่อีแปะออกมายัดเข้าไปในอกเสื้อของหลิ่วเอ๋อร์ที่กอดธงอยู่
“ครั้งหน้าขอเงินก็พูดจากเป็นมงคลหน่อย” นางเอ่ยโกรธเคือง
หลิ่วเอ๋อร์จะด่าทันที คุณหนูจวินจับนางไว้ส่ายศีรษะ
ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจนางอีกเดินตรงไปด้านหน้า
“นายหญิง ท่านไม่อยากรักษาอาการป่วยนี้ก็ช่างเถิด แต่หากอยากให้ค่ำคืนสงบขึ้นหน่อยสักหลายวัน ก็โปรยใบสนกำหนึ่งไว้ข้างประตู เช่นนี้มันก็จะไม่กล้าเข้ามาแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย
กลางวันสว่างจ้าเช่นนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วได้ยินคำพูดนี้เข้ายังอดไม่ได้สั่นสะท้าน
นี่เป็นคำขู่หรือคำสาปแช่ง?
น่ากลัวเป็นบ้า
สาวใช้หญิงรับใช้ด้านนั้นยิ่งโกรธเกรี้ยว
“เจ้าพูดอะไรน่ะ!” พวกนางพากันด่าทอขึ้นมา
คุณหนูจวินกลับไม่ได้สนใจพวกนาง คำนับเล็กน้อยแล้วหมุนร่างก้าวเท้าเชื่องช้าจากไป สั่นกระดิ่งในมือต่อ
หลิ่วเอ๋อร์ก็ย่นจมูกใส่คนเหล่านั้น ส่ายธงเดินตามไปแล้ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะบ่ายหน้านิดหนึ่งเดินตามคนไม่กี่คนนี้เบื้องหน้าไป สาวใช้หญิงรับใช้ยังคงกรุ่นโกรธชี้แผ่นหลังคุณหนูจวินด่าทอ
“ไม่รู้ว่ามาจากไหนประหลาด”
“โชคร้ายจริงๆ”
“โลกสมัยนี้ แม้กระทั่งเด็กน้อยก็ออกมาเดินหลอกลวงแล้ว”
“นางบอกว่าโรงหมอจิ่วหลิงอะไร โรงหมอจิ่วหลิงคืออะไร?”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหันข้างก้าวไวผ่านข้างกายพวกนางไป กลัวเพียงถูกจำได้โดนหางเลขไปด้วย
“เอาล่ะ” เป็นผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้น “กลับกันเถอะ”
ผู้คนตอนนี้จึงเดินต่อกรุ่นโกรธ เสียงกระดิ่งใสกังวานไกลออกไปในตรอก ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหันกลับไปมองทีหนึ่ง เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังหันกลับมามอง สีหน้าเหมือนคิดอะไร
คราวนี้ดีแล้ว คงคิดว่าโรงหมอจิ่วหลิงคืออะไร ต้องมีคนมาหาถึงประตูแน่
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะเร่งฝีเท้าเดินออกไป
“คุณหนูจวิน เมื่อครู่ผู้หญิงคนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ยังดีหลังออกจากที่นี่ไปคุณหนูจวินไม่ได้เดินเตร่ต่อ แต่ตรงกลับมาโรงหมอจิ่วหลิง
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ไม่ได้หลบซ่อนอีกต่อไปตรงตามเข้ามาด้วย เอ่ยถามตรงเข้าประเด็น
“ก็ชัดอยู่นะ นางก็คือคนป่วยที่ข้าต้องการหา” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
“พูดเช่นนี้ท่านวนเวียนในเมืองหลวงหลายวันขนาดนี้ ก็เพื่อนาง?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม
คุณหนูจวินส่ายศีรษะอีกครั้ง
“พูดให้ชัด คือเพื่อคนป่วยประเภทนี้อย่างนาง” นางเอ่ย
ประเภทนี้อย่างนาง?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพรูลมหายใจ
“คุณหนูจวิน อภัยที่ข้าพูดตรงๆ” เขาเอ่ย “นี่ท่านกำลังคิดจะหลอกลวงหรือจะต้มตุ๋น?”
คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?
หลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างถลึงตาทันที
คุณหนูจวินหัวเราะก่อนถึงวางถ้วยชาลง
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว นี่จะเป็นการหลอกลวงได้อย่างไรเล่า?” นางเอ่ยขึ้น
“นี่ไม่ใช่หลอกลวงแล้วเป็นอะไร? แม้กระทั่งมงคลอัปมงคล ผีสางเทวดาล้วนออกมาแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
“ผีเกิดจากใจ เทพเกิดแต่ความคิด” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “โรคมาจากจิตใจว้าวุ่น ปราณอ่อนแอสิ่งเลวร้ายเข้าทำร้าย นี่ย่อมไม่ใช่ผีสางเทวดาทำ ถ้าไม่เช่นนั้นทำไมชาวบ้านมักจะพูดว่าคนร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งเรียกความอัปมงคลมาได้ง่ายเล่า? ที่จริงคือร่างกายเขาอ่อนแอ พลังชีวิตลมปราณแตกซ่าน ความคิดจึงล่องลอยได้ง่าย”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฟังจนงงไป
“ถ้าเช่นนั้นความหมายของท่านก็คือผู้หญิงคนนั้นป่วยจริงๆ?” เขาเอ่ยขึ้น
“แน่นอนจริงสิ” คุณหนูจวินว่า
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดไปคิดมา ย้อนคิดถึงสีหน้าการกระทำของผู้หญิงคนนั้น
“ทำไมข้ามองไม่ออกว่านางป่วย?” เขาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
“เพราะข้าเป็นหมอ เจ้าไม่ใช่” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยตอบ
คำพูดนี้ก็มีเหตุผล ทำให้คนไม่อาจโต้แย้ง
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอับจนวาจา
“ข้าย่อมมองออกว่านางต่างกับคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นทำไมข้าเดินวนมาหลายวันขนาดนี้ พบคนมากขนาดนั้น แต่ขวางนางเพียงคนเดียวเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ
ใช้สิ ฟังแบบนี้ก็มีเหตุผลมากจริงๆ
“แต่ท่านบอกว่านางป่วยก็ป่วยสิ ทำไมต้องพูดว่าลางร้ายยิ่งด้วย?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น “นี่ไม่เล่นแรงไปหน่อยหรือ?”
“โรค ทำลายชีวิต แน่นอนย่อมเป็นลางร้าย” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างตั้งใจ
นี่สิเป็นการพูดโกหกจริงๆ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนับว่าเข้าใจแล้ว
วิธีการทำงานที่ไม่ปกติเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าร่ำเรียนจากใครมา
ท่านหมอเฒ่าจวินเป็นหมอ ตระกูลเป็นหมอรุ่นแล้วรุ่นเล่า หมอที่เกิดมาในตระกูลหมอเช่นนี้ ที่พิถิพิถันที่สุดก็คือความเคร่งครัด แล้วจวินอิ้งเหวินยังเป็นขุนนาง ศิษย์ของนักปราชญ์ ย่อมไม่พูดถึงพลังลึกลับเทพงมงาย
ทำไมพอคุณหนูจวินพูดจาดันเป็นเช่นนี้ ดูแล้วอ่อนโยนจริงจังนัก คิดให้ละเอียดดูกลับเป็นคำโกหกล้วนๆ
ในเมื่อโกหก ก็คือไม่อยากบอกเหตุผลแท้จริงกับเขา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่ใช่เด็กน้อย รู้ว่าอะไรถามได้อะไรถามไม่ได้ รู้ว่าอะไรคือหยุดแต่สมควร
“แต่คุณหนูจวิน” เขาปรับสีหน้าเอ่ยขึ้น “ท่านบอกเหตุผลเหล่านี้กับข้า ข้าเข้าใจ แต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจ ท่านพูดเช่นนี้ อีกฝ่ายไม่มีทางเชื่อคำพูดของท่าน ยิ่งไม่มีทางให้ท่านรักษา”
คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง
“นางจะให้” นางว่า
มั่นใจขนาดนี้?
“ทำไม?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอดไม่ได้เอ่ยถาม
“เพราะนางป่วย” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
ข้าก็ป่วยเหมือนกัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดในใจ ข้าไม่ควรถามเลย
……………………………………….
บทที่ 141 หมอยาใจ
โดย
Ink Stone_Romance
คุณหนูจวินมองผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้ายุ่งยากจากไป ไม่ได้สนใจ
นางย่อมรู้ความคิดในใจเขา
แต่ก็ไม่ได้อะไรพูดกับเขาได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ป่วยจริงๆ
“ป่วยใจ”
ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่หลังมุมกำแพงยื่นศีรษะมองไปด้านนอก
“ผู้หญิงคนนี้ป่วยใจ”
นางก็มองไปข้างนอกตาม ในมือยังถือผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้หนึ่ง เพิ่งมองทีหนึ่งก็ถูกมือใหญ่ดันศีรษะกลับเข้าไป
“ตอนแอบดูผู้อื่นต้องทำให้ไร้เสียงไร้ร่องรอย หัวเจ้าจะทิ่มเข้าตาผู้อื่นอยู่แล้ว”
ขนาดนั้นเชียวรึ?
อาจารย์ไม่ใช่ก็ยื่นศีรษะออกไปเหมือนกันหรือ
นางกัดผลไม้เคลือบน้ำตาลแรงๆ
เพราะโดนเสือกินม้าไปบนเขา จึงบอกว่าจะมาหาเงินในเมือง มาถึงตั้งนานแล้วยังไม่ทำงานจริงๆ สักที
“อะไรเรียกทำงานจริงๆ อย่าเอาแต่คิดจะม้วนแขนเสื้อลงมือทำ ลับมีดไม่ถ่วงงานตัดฟืน” เขาว่า
ยืนอยู่ในร่มเงา มองดูใบหน้าเลือนรางของผู้ชายผอมสูงคนนี้ใต้แสงตะวัน
“เมื่อครู่ตอนซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาล เจ้าได้ยินคนเหล่านี้พูดถึงผู้หญิงคนนี้สินะ?”
นางไม่อยากซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลอะไรสักหน่อย นางอายุเท่าไรแล้ว!
เป็นเขาจะให้นางแสร้งเป็นเด็กให้ได้ ดึงนางไปถึงตลาดฝ่าคนวุ่นวายพักหนึ่งก็เหยียบเท้านางจนนางร้องเสียงดัง แล้วเขาก็ใส่ร้ายว่านางเป็นเด็กโวยวาย ซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลให้นาง
นางโกรธจุกอก ไหนเลยจะมีอารมณ์สุนทรีย์ฟังว่าพวกผู้หญิงเหล่านี้ว่าอย่างไร
“เจ้าอย่าได้ดูแคลนพวกผู้หญิงเหล่านี้เชียว พวกนางหูดุจสายลมตาเห็นพันลี้”
งั้นรึ?
นางกัดผลไม้เคลือบน้ำตาลมองผู้ชายคนนี้ถือธงผืนหนึ่ง หยิบกระดิ่งอันหนึ่งขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนี้กินยาทุกวี่ทุกวัน อาการป่วยไม่เคยดีขึ้น ในตลาดมีคนพูดว่าตั้งแต่แม่สามีของนางจากโลกไปก็เป็นเช่นนี้”
“พวกเขายังพูดว่าแม่สามีของนางตอนมีชีวิตอยู่ไม่ดีกับนาง”
“ตามหลักการแล้วแม่สามีตายไปนางควรดีใจถึงจะถูก”
นี่เรียกว่าหลักการอะไร หลักการบิดเบี้ยวของท่านน่ะสิ
อาจารย์แย่งผลไม้เคลือบน้ำตาลในมือของนางไป ยัดธงไว้ในมือนาง
“หลักการบิดเบี้ยวอะไร ชนแล้วเจ็บ เจ็บแล้วร้องไห้ โดนตีแล้วชิงชัง ดีใจแล้วยิ้ม นี่ถึงเป็นหลักการที่แท้จริง”
“ผู้อื่นตีเจ้าหนึ่งฝ่ามือ ในใจเจ้าย่อมชิงชัง ต่อให้แสร้งทำหน้ายิ้มเอ่ยว่าไม่เป็นไรก็ล้วนเป็นท่าทีซึ่งแสร้งทำ”
“ใจกว้างทนรับทุกเรื่องในใต้หล้า นั่นพระพุทธองค์เท่านั้นถึงทำได้ นอกจากนี้เรื่องที่ทนรับก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา แน่นอนย่อมทนรับได้”
เสียงกระดิ่งใสกังวานดังขึ้นบนถนน นางติดตามอาจารย์ อุ้มธงเดินตามอย่างไม่ยินดีไม่ยินยอม
นางเงยหน้ามองถ้อยคำบนธง
รักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ได้ยาโรคหาย ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี
นางไม่เข้าใจเลย บอกชื่อหมอเทวดาจางทีหนึ่ง คนเท่าไรก็เข้ามารุมล้อมแล้วชัดๆ เขาทำไมดันจะต้องแบกธงนี้ เป็นหมอเร่รับสายตาระแวงและดูแคลนของผู้คนรักษาโรคหาเงิน
“เพราะนั่นเป็นเงินที่แลกมาด้วยชื่อเสียง ง่ายก็ง่ายอยู่ แต่เหนื่อยนี่”
“ยังไงแบบนี้ก็ลดปัญหา มีเงินมีชื่อ แล้วไม่ต้องสนใจเรื่องวุ่นวายพวกนั้น”
ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นหลักการอะไรกัน
อย่างไรเขามักจะมีเหตุผลเสมอ
นางมองผู้ชายสั่นกระดิ่งกลางแสงอัสดงตะวันพลบ ยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงคนหนึ่ง
“พี่สาวท่านนี้ ข้าเห็นท่านมีลางร้าย” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น
ลางร้าย?
ตรวจโรคมองลางร้ายออกได้ด้วย?
“พี่สาวท่านอย่าได้ไม่เชื่อข้า ท่านถูกผีร้ายติดพันมานานปี ดังนั้นจึงป่วยมานานรักษาไม่หายเช่นนี้”
อะไรนะ?
นางตะลึงมองผู้ชายที่เป็นภาพขมุกขมัวไม่ชัดเจน
นี่เป็นหมอเร่ไหม? นี่ไม่ได้ต้มตุ๋นคนใช่ไหม?
“โรคบางอย่าง ต้องหลอกถึงจะรักษาหายดี” เขาหันกลับมามองนางเอ่ยขึ้นจริงจัง “เจ้าจำไว้”
นางจำเรื่องนี้ทำอะไร
นางไม่ได้คิดจะไปหลอกคนเสียหน่อย นางเพียงต้องการรักษาโรคของบิดาเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็ถอนหายใจเบาๆ
ไม่คิดเลยนางจะทำเช่นนี้จริงๆ
พูดขึ้นมา พระบิดาแม้ไม่อยู่แล้ว แต่นี่นางก็นับว่ารักษาโรคให้พระบิดาแล้วสินะ
เพียงแต่ว่าโรคนี้ ไม่ใช่โรคกาย แต่เป็นโรคกล้ำกลืนความอยุติธรรม
ถ้าเช่นนั้นก็รักษาโรคต่อไปเถอะ
“คุณหนู คุณหนูต่อจากนั้นล่ะเจ้าคะ?
เสียงหลิ่วเอ๋อร์ขัดความคิดล่องลอยของนาง
“ผู้หญิงคนนั้นถูกผีเกาะติดจริงหรือ?”
ค่ำคืนยาวนานไร้กิจธุระ คุณหนูจวินยินดีเล่าสาเหตุของเรื่องที่ตนเองทำวันนี้ให้หลิ่วเอ๋อร์ฟัง แน่นอนว่าเปลี่ยนเป็นอ่านพบมาจากในหนังสือ บอกว่าที่ทำกับผู้หญิงคนนั้นเช่นนี้ในวันนี้เพราะในหนังสือเคยพูดถึงตัวอย่างอาการป่วยเก่าประการหนึ่งมาก่อน”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น นั่งเอนบนเตียง โบกพัดเบาๆ “นางที่จริงป่วยใจ ตั้งแต่หลังแม่สามีตายจากไป ค่ำคืนมักจะฝันว่าแม่สามีเดินเข้ามาจากนอกประตูยามเที่ยงคืน”
หลิ่วเอ๋อร์กลัวจนตัวสั่น กระโดดจากบนพื้นขึ้นมาบนเตียง หวาดกลัวมองไปที่หน้าต่างทีหนึ่ง จากตรงนี้มองออกไป เมืองหลวงยามค่ำคืนโคมไฟสว่างไสว
คุณหนูจวินยิ้มเอาพัดเคาะนางทีหนึ่ง
“นั่นก็เพราะก่อนตายนางกับแม่สามีทะเลากัน นางหดหู่มานานปี ในที่สุดอดไม่ไหวด่ากลับไปหนึ่งประโยค แล้วยังลอบด่าแช่งในห้องให้แม่สามีไปตายซะ ผลสุดท้ายไม่คิดว่าบังเอิญขนาดนั้น แม่สามีไปตักน้ำลื่นล้มตกบ่อจมน้ำตาย” นางว่า
หลิ่วเอ๋อร์เข้าใจแล้ว
“อ๋อ ดังนั้นนางจึงคิดว่านางแช่งแม่สามีจนตาย” นางเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว นางถูกแม่สามีกดขี่มาทั้งชีวิต ต่อให้แม่สามีตายไปแล้ว ในใจก็ยังคงหวาดกลัว ทั้งยังรู้สึกว่าทำผิด ดังนั้นถึงใจคลางแคลงเกิดเป็นผี จิตไม่นิ่ง กลางวันขบคิดค่ำคืนหลับฝัน ดังนั้นตนเองจึงทำให้ตนเองกลัว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนั้นล่ะเจ้าคะ?” นางรับพัดมาพัดให้คุณหนูจวิน รีบร้อนเอ่ยถาม “ป่วยใจต้องรักษาอย่างไร?”
คุณหนูจวินหัวเราะ ขื่นขมอยู่บ้าง
อาจารย์น่ะหรือ เขาอ่านคัมภีร์ท่อนหนึ่ง แล้วสั่งให้นางอาศัยตอนสวดคัมภีร์ไปผลักป้ายวิญญาณแม่สามีของผู้หญิงคนนั้นล้มแตก ผู้หญิงได้โอกาสร้องไห้โฮตำหนิกล่าวโทษตนเองกับเพื่อนบ้านรอบด้านบนถนน ด่าทอตนเองไม่กตัญญูกับแม่สามี ตอนมีชีวิตไม่ได้ดูแลแม่สามีให้ดี หลังตายยังทำให้ป้ายวิญญาณของแม่สามีเสียหาย ถือโอกาสพูดสิ่งที่ไม่กล้าพูดกับผู้อื่นซึ่งสั่งสมมาเหล่านั้นออกมาจนหมดสิ้น
แม่เฒ่าคนนั้นตายมานานขนาดนั้น นอกจากนี้ทุกคนล้วนรู้ว่านางไม่ดีกับลูกสะใภ้คนนี้ ดังนั้นต่อให้ผู้หญิงคนนี้พูดความคิดไม่เคารพบางอย่างออกมา ทุกคนก็ล้วนไม่ถือสา พากันกล่อมปลอบนาง สามีของนางก็อภัยให้นาง
นางร้องไห้ครั้งหนึ่งปมในใจคลายออก อาจารย์ก็ให้น้ำรมธูปหอมจำนวนหนึ่งแก่นาง รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา ไม่นานด้วยความนับถือที่ผู้คนมีให้ยอดคนผู้ไร้ชื่อ พวกเขาศิษย์อาจารย์ก็หาเงินมากินดื่มเที่ยวเล่นตามใจได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นนางรู้สึกว่าหน้าไม่อายจริงๆ
“หน้าไม่อายอย่างไรเล่า? ขโมยรึหรือว่าปล้นรึ?” อาจารย์ตั้งคำถามไม่พอใจอย่างมาก
ไม่ได้ขโมยไม่ได้ปล้น แต่หลอกลวงนี่
“หลอกอะไรเล่า? ข้าไม่ได้รักษาอาการป่วยของพวกนางหายดีรึ?” ผู้ชายคนนั้นขี่บนม้าสบายอุรา “บนโลกนี้มีคนหลากหลายประเภท แล้วก็มีอาการป่วยหลากหลายชนิด ดังนั้นวิธีรักษาอาการป่วยย่อมหลากหลายแบบด้วย”
คุณหนูจวินมองโคมไฟดวงน้อยที่หัวเตียง แผ่นหลังของอาจารย์ในสายตาค่อยๆ ไกลออกไป
หากอาจารย์ยังอยู่ล่ะก็ จะดีมากไหมนะ จะช่วยตนเองไหมนะ?
คิดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะ
อาจารย์น่ะหรือ แม้กระทั่งรักษาอาการป่วยให้ท่านพ่อยังกลัวสร้างปัญหาวุ่นวายหนีไป หากเวลานี้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องวิ่งหนีเร็วกว่าเดิมแน่ ไม่มีทางให้ตนเองหาเขาเจอ
“คุณหนู ถ้าอย่างนั้นหญิงคนไหนก็มีอาการเช่นนี้หรือเจ้าคะ? ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้นางจะมาหาพวกเราไหมเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างใคร่รู้
คุณหนูจวินยิ้ม
“เรื่องของพรุ่งนี้ก็ว่ากันพรุ่งนี้เถอะ” นางเอ่ย คนก็ล้มตัวนอน “ข้าง่วงแล้ว”
หลิ่วเอ๋อร์รีบลงจากเตียง ปลดมุ้งโปร่งบางลงมา มองคุณหนูจวินหันหน้าไปด้านในนอนไม่ขยับ
คุณหนูเหนื่อยจริงๆ สินะ
หลิ่วเอ๋อร์มือเบาเท้าเบาดับโคมไฟถอยออกไปจากห้อง
ในห้องมืดสนิท มองลอดหน้าต่างเห็นเมืองหลวงดั่งดวงดาราตกลงมายังโลกมนุษย์วิบวับส่องสว่าง
คุณหนูจวินหันหน้าไปด้านในนอนไม่ขยับ ดวงตากลับยังเปิดอยู่ มีน้ำตาไหลรินช้าๆ
นั่นแล้วอย่างไร อาจารย์ไม่ช่วยตน ไม่สนตน ตัดชื่อศิษย์อาจารย์ก็ไม่เป็นไร
ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ จะดีมากเพียงไร
จนถึงเขาไม่อยู่แล้ว จนถึงนางก็ไม่อยู่แล้ว นางถึงรู้ว่าทุกสิ่งที่เขาสอนให้นางล้วนล้ำค่ามากเพียงใด
ราตรีค่อยๆ เงียบสงัด
ในบ้านอีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง มีคนสะดุ้งขึ้นมาเหมือนตกใจตื่นจากการหลับใหล เสียงความเคลื่อนไหวในห้องเรียกหญิงรับใช้เวรกลางคืนด้านนอกให้ขยับ
ตอนที่นางยกโคมเข้ามาก็มองเห็นชายหนุ่มท่อนบนเปลือยเปล่ายืนอยู่หน้าราวเสื้อข้างเตียงแล้ว
“ท่านชาย?” หญิงรับใช้รีบเอ่ยขึ้น ลดโคมไฟลง “ท่านต้องการสิ่งใดเจ้าคะ?”
จูจั้นสวมชุดฤดูร้อนส่งๆ ปิดหน้าอกกำยำที่มีรอยแผลหลายรอยไว้
“ข้าจะไปข้างนอกสักหน่อย” เขาเอ่ย
ดึกขนาดนี้แล้ว? เข้านอนไปแล้ว ทำไมจะออกไปอีก?
หญิงรับใช้ยังอยากถาม จูจั้นก็ออกจากประตูหายไปในราตรีราวกับสายลมเสียแล้ว
……………………………………….
บทที่ 142 ความสงสัยยามเที่ยงคืน
โดย
Ink Stone_Romance
ห้องทำงานของสำนักราชองครักษ์เที่ยงคืนก็ยังจุดไฟสว่าง เสียงเอะอะลอยมา เสียงเอะอะด้านนอกวังหลวงดึงราชองครักษ์กลุ่มใหญ่มา แต่ไม่นานก็เงียบไป ไม่รู้ว่าพูดอะไรราชองครักษ์เหล่านี้ถึงแยกย้าย
ไฟโคมค่อยๆ ดับลง นอกจากในห้องแห่งหนึ่ง ไฟโคมสว่างยังมีคนไม่น้อยยืนอยู่
“ท่านชาย ข้าไม่เป็นไรหรอก”
ชายหนุ่มดวงหน้าสีทองแดงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มองจูจั้นที่ยืนตรงหน้า
เขาเห็นได้ชัดว่าถูกปลุกตื่นขึ้นมาจากจากฝัน สวมเพียงกางเกงขาสั้น ท่อนบนเปลือยเปล่า สีหน้าไม่เข้าใจ
จูจั้นไม่ได้สนใจเขา แต่เอ่ยกับคนข้างหลัง
“พวกเจ้า ไปดูเขาสิ” เขาเอ่ย
ผู้ชายในชุดนอนอสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา คนหนึ่งวัยกลางคน คนหนึ่งอายุมากอยู่บ้าง แต่ละคนสีหน้าไม่ยินดีอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าถูกเรียกขึ้นมาจากฝันเหมือนกัน
ในมือพวกเขาหิ้วหีบยา ได้ยินก็ก้าวเข้าไป
“คุณชายตรงไหนไม่สบายหรือ?” พวกเขามองสำรวจพลางเอ่ยถามพลาง
ชายหนุ่มยิ้มจนปัญญา
“ตรงไหนข้าก็ไม่เป็นไรทั้งนั้น” เขาเอ่ยขึ้น
“จางเป่าถัง เจ้าไม่ใช่บอกว่าหัวไหล่เจ็บรึ?” จูจั้นเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าจางเป่าถังตะลึง จากนั้นก็ยิ้ม
“ท่านชาย ท่านจำได้ด้วยรึ” เขาเอ่ยขึ้น
วันนี้ตอนกลางวันเขาพูดเช่นนั้น ไม่คิดว่าท่านชายครึ่งค่อนวันแล้วยังพาหมอวิ่งมาก เขาไม่รู้จะพูดอะไรดีอยู่บ้าง
“ท่านชายท่านดีกับข้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
จูจั้นทำหน้ารังเกียจ แล้วอึดอัดนิดๆ
“ข้าไม่ใช่กลัวว่าเพราะข้าทุ่มเจ้ารึ?” เขาเอ่ยขึ้น “ท้ายที่สุดโทษก็ตกใส่หัวข้า ตอนนี้ข้ายังเป็นคนรอรับโทษอยู่นะ”
จางเป่าถังยิ้มโง่งม
ท่านหมอสองคนนั้นได้ยินเข้าก็มองตรงไปที่แขนของเขา กดนวดพักหนึ่งจางเป่าถังก็ทำหน้าเหยเก
“ตรงนี้แหละเจ็บนิดหน่อย” เขาว่า
พวกท่านหมอกดนวดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่าตั้งแต่เมื่อไร เริ่มเจ็บได้อย่างไร เมื่อทราบว่าประลองยุทธ์กับจูจั้นโดนทุ่ม บรรดาท่านหมอก็ไม่สบอารมณ์ลุกขึ้นยืน
“ก็แค่กระแทกเคล็ดเท่านั้น” พวกเขาว่า “หากกลัวเจ็บจริงๆ ก็ใช้ยากระตุ้นเลือดสลายเลือดคั่ง ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร”
กลัวเจ็บสองคำนี้เห็นได้ชัดว่าพูดอย่างพกพาเจตนาตำหนิมาด้วย
ลูกผู้ชายคนไหนกลัวเจ็บ จางเป่าถังรีบส่ายศีรษะ
“ไม่เป็นไรไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าดูให้ดีๆ” จูจั้นกลับเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่พอใจจ้องหมอสองคนนั้น สีหน้าไม่เชื่อ “พวกเจ้ามั่นใจว่าไม่มีปัญหา?”
พวกเขายังไม่ได้ยืนยันหรือไง?
ท่านเป็นหมอหรือว่าพวกเขาเป็นหมอ?
ต่อให้เจ้าเป็นท่านชายก็ไม่อาจรังแกคนเช่นนี้ได้นะ
ท่านหมอสองคนเดิมทีก็กรุ่นโกรธเต็มอกอยู่แล้ว เที่ยงคืนถูกปลุกขึ้นมาคิดว่าโรคร้ายอาการหนักเกี่ยวพันกับความเป็นความตายอันใด ผลปรากฏว่าเป็นเจ้าหนุ่มกำยำแข็งแรงคนหนึ่งถูกทุ่มนิดหน่อย
ก็ไม่ใช่ตุ๊กตาโคลนตัวหนึ่งเสียหน่อย คนเป็นทหารเหล่านี้โดนทุ่มนิดหนึ่งเป็นอะไรไป? ยังจะมั่นใจว่ามีหรือไม่มีปัญหาอีก
พวกเขามองจูจั้น แล้วก็มองเจ้าหนุ่มที่ทำหน้าละอายใจอย่างเห็นได้ชัดคนนี้อีกครั้ง อดแค่นเสียงในใจไม่ได้
มิน่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงอายุยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่สู่ขอตบแต่งภรรยา ที่แท้ก็ชอบแบบอื่น
“ท่านชาย พวกเราร่ำเรียนไม่แตกฉาน มองไม่ออกจริงๆ ว่ามีปัญหาอะไร ท่านไม่วางใจก็เชิญยอดฝีมือคนอื่นมาเถอะ” พวกเขาเอ่ยขึ้นไม่อินังขังขอบ
จูจั้นหน้าบึ้งจะเอ่ยวาจา จางเป่าถังรีบลุกขึ้นมาห้ามปราม
“พี่รอง ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ ทั้งยังคำนับขอบคุณท่านหมอสองคนนั้น แล้วให้ทหารยศน้อยหยิบถุงเงินถุงหนึ่งให้พวกเขา ไปส่งกลับด้วยตนเอง
ท่านหมอสองคนตอนนี้ถึงสีหน้าอ่อนลงจากไป
“เจ้าไม่เป็นไรจริงๆหรือ?” จูจั้นเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ตอนนั้นข้าก็แค่พูดเช่นนั้นขึ้นมาเฉยๆ…” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ก็ชะงัก
ตอนนั้นเด็กสาวคนนั้นบอกว่าตนเป็นท่านหมอ เด็กสาวคนนั้นเห็นได้ชัดว่ารู้จักกับท่านชาย
ดังนั้นเขาถึงอยากให้หน้านาง พูดว่าตนเองเจ็บไหล่ไปโดยไม่รู้ตัว
ส่วนเด็กสาวคนนั้นพูดว่า..
“ไหล่ขวาเจ็บสินะ?”
“ข้าฝังเข็มให้สองที ให้ยาท่านอีกหนึ่งขนาน”
ดังนั้น…
จางเป่าถังมองจูจั้นในที่สุดก็เข้าใจ
“ท่านชาย วิชาแพทย์ของคุณหนูคนนั้นร้ายกาจมากหรือ?” เขาเอ่ยถาม
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
ร้ายกาจ…ก็ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่ แต่…
“เจ้าไม่ต้องสนใจ” เขาเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้ว “นั่นไม่ใช่คนปกติ”
ไม่ใช่คนปกติ?
เด็กสาวคนนั้นน่ะหรือ?
ดูท่าท่านชายจะสนิทกับนางมากจริงๆ นะ
จางเป่าถังอดไม่ได้อยากเอ่ยปากถาม จูจั้นกลับสะบัดแขนเสื้อก้าวยาวจากไป
“เจ้านอนเถอะ” เขาทิ้งไว้หนึ่งประโยคออกจากประตูไป
…
ราตรีกำลังจะผ่านพ้น แม้กระทั่งตลาดกลางคืนไกลออกไปก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืดสลัวไม่ชัด
บนถนนด้านนี้ทุกสิ่งยังคงหลับใหล ในราตรีมีเงาคนปรากฏ เดินอย่างไร้สุ้มเสียง หยุดหน้าประตูบานหนึ่ง
ไฟโคมดวงน้อยสว่างเลือนรางท่ามกลางราตรี ส่องสว่างป้ายด้านบนประตู ไฟโคมสว่างอยู่เพียงชั่วพริบตา ถึงขนาดยังไม่ทันส่องใบหน้าของคนที่มาชัดก็สลายไปแล้ว
เงาคนถอยหลังหลายก้าวเลือนหายไปในความมืด
ค่ำคืนฤดูร้อนอันอบอ้าวพลันมีลมพัดมา กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ในลานส่ายไหวน้อยๆ พักหนึ่ง ส่งเสียงกระทบกันแผ่วเบา
กิ่งไม้ส่ายไหว ยื่นเข้าไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่บนชั้นสามของตึกหลังน้อยครั้งละนิดๆ เงาคนผู้หนึ่งพลันประดุจแมวจากบนต้นไม้กระโดดเข้าหาหน้าต่าง
แต่จากนั้นคนทั้งร่างก็ประดุจแมวคู้ตัวแขนขาเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่างนิ่งไม่ขยับ
ค่ำคืนดูเหมือนจะจมสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
ทิศตะวันออกค่อยๆ ส่องแสงสีขาว ยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองเห็นบนเตียงที่อยู่ติดหน้าต่างได้เลือนราง
ม่านโปร่งทำให้เด็กสาวที่นอนตะแคงอยู่ด้านในเดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ
“เฮ้”
เงาคนข้างหน้าต่างส่งเสียงเอ็ดเบาๆ ทีหนึ่ง
“เจ้าตื่นเร็ว”
ผู้หญิงบนเตียงราวกับหลับลึก นิ่งไม่ขยับ
เงาคนเอนศีรษะเล็กน้อยยกไหล่อย่างระมัดระวัง ไม่รู้กัดอะไรออกมาจากหัวไหล่
“อย่าขยับมั่ว” เด็กสาวบนเตียงเอ่ยขึ้น เสียงขึ้นจมูกหนักหน่วงยามเพิ่งตื่นนอน “อย่าคิดว่ากลไกจะให้เจ้ามีโอกาสส่งอาวุธลับใส่ข้า”
จูจั้นนิ่งไม่ขยับจริงๆ สบถออกมา
“ใจคนพาลจริงนะ นอนยังต้องวางกับดักโหดเหี้ยมเช่นนี้ไว้อีก” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นท่านชาย ท่านลูกผู้ชายอกสามศอกเที่ยงคืนปีนหน้าต่างห้องข้าทำอันใด?” นางเอ่ยถาม
นางเอ่ยวาจา คนยังนอนอยู่บนเตียงไม่ลุก
จูจั้นแค่นหัวเราะ
“ไม่มีอะไร บังเอิญผ่านทางเท่านั้น” เขาว่า
คุณหนูจวินหัวเราะไม่พูด ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ดึงม่านโปร่งออก
“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” นางว่า “ท่านชายต้องการดื่มชาสักถ้วยหรือไม่?”
“พอแล้วคนแซ่จวิน” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์ “รีบเอาของพิเรนทร์นี่ออกไป ข้ามามีเรื่องจะถามเจ้า”
คุณหนูจวินหัวเราะ ลุกขึ้นลงจากเตียงเดินมาข้างหน้าต่าง
นางเดินช้ามาก ห่างจากหน้าต่างไกลไม่กี่ก้าวชัดๆ นางกลับเดินหน้าถอยหลัง ซ้ายก้าวหนึ่ง ขวาก้าวหนึ่ง เดินอย่างเชื่องช้า
เวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง ต่อมาแสงสีครามก็ส่องเห็นบนพื้นลวดเงินลวดทองกระจายอยู่ถี่ยิบ วางเป็นค่ายกลสี่เหลี่ยมอันหนึ่ง
คุณหนูจวินก็กำลังเดินผ่านในค่ายกลนี้ทีละก้าวๆ นี่เอง
จูจั้นกลอกตา
ในห้องของตนเองวางกลไกที่แม้กระทั่งตนเองยังต้องระมัดระวังไม่อาจเดินพลาดได้ไว้ ล่วงเกินคนมาเท่าไรถึงใช้ชีวิตเช่นนี้
ว่าแล้วไม่ใช่คนปกติ
“พูดเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นคนเก็บสมุนไพร เก็บสมุนไพรอันตรายยิ่ง” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน มองจูจั้นทีหนึ่ง “ท่านชายก็รู้ ข้าไม่อาจไม่ระวังวังการป้องกัน”
คนเก็บสมุนไพร
จูจั้นแค่นหัวเราะ
“เสร็จแล้ว เชิญนั่งเถอะ” คุณหนูจวินว่า เก็บลวดเงินลวดทองไป ชี้เก้าอี้โต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
จูจั้นกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ดูไปแล้วแรงนัก ลงพื้นกลับไร้สียง
เขาไม่ได้นั่ง “สหายของข้าคนนั้นที่หัวไหล่เจ็บ มีโรคจริงหรือ?” เขาเอ่ยถามเข้าประเด็น
เพื่อเรื่องนี้หรือ
“แน่นอน ข้าเป็นหมอ ไม่หลอกลวงคนหรอก” คุณหนูจวินว่า
จูจั้นหัวเราะหยัน
“ไม่หลอกลวงคน?” เขาเอยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นคาบกิ่งไม้รักษาอาการเจ็บคอ คืออะไร?”
คาบกิ่งไม้
ครั้งแรกตอนพบกันบนเขาร้าง ระแวงกันและกันกลับช่วยเหลือกัน เขาที่คาบกิ่งไม้แบกตนเองลงเขา
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
……………………………………….
บทที่ 143 เรื่องน่าขำ
โดย
Ink Stone_Romance
จูจั้นมองนางอย่างเย็นชา
“น่าขำรึ?” เขาเอ่ย “ท่านหมอคนหนึ่งใช้อาการป่วยมาหลอกคนตามใจ”
คุณหนูจวินเก็บเสียงหัวเราะ
“ตอนนั้นท่านอยู่บนเขาหลายวันแล้ว น้ำอาหารไม่พรั่งพร้อม คอแห้ง ท่านพูดมากขนาดนั้นย่อมทำให้คอแห้งจนเจ็บ” นางว่า “ข้าให้ท่านคาบกิ่งไม้ ท่านก็พูดน้อยลงแล้วยังมีน้ำลายมากขึ้นให้ความชุ่มชื้น คอจึงดีขึ้นมาก นี่ยังไม่ใช่รักษาอาการป่วยหรือ”
พูดจบไม่รอจูจั้นเอ่ยวาจา ตัวนางเองก็หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
จูจั้นมองนางอย่างเย็นชา
คุณหนูจวินหัวเราะเงยหน้าขึ้น ยกมือปิดปาก ตอนนี้ถึงกดเสียงหัวเราะไว้ได้
“อาการหัวไหล่เจ็บของสหายท่านไม่ใช่กระแทกเคล็ด” นางปรับสีหน้าเอ่ยขึ้น “เขาเป็นหวัดไอเส้นปราณปอดบาดเจ็บชักพาให้เกิด ท่านถามเขาดูได้ช่วงก่อนหน้านี้ตากฝนมาใช่หรือไม่ เป็นตอนนั้นแหละที่ฝังต้นเหตุโรคไว้”
จูจั้นยังคงมองนางไม่พูดจา
“ตอนนี้เขาอายุน้อยร่างกายแข็งแกร่ง ทานยากระตุ้นเลือดสลายเลือดคั่งนิดหน่อย แปะแผ่นยาหลายแผ่นก็ไม่ปวดแล้ว แต่รอถึงยามแก่ชรา โรคปวดที่สั่งสมในแขนข้างนี้จะเอาแขนข้างนี้ของเขาไป” คุณหนูจวินเอ่ย
จูจั้นแค่นเสียง มองบนจรดล่างประเมินนางทีหนึ่ง
“เท่าไร?” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินเม้มปากบิ้ม
“เดิมทีข้าอยากบอกว่าไม่เอาเงิน” นางว่า
“เอาต้นเซียนจื่ออิงมาแลกใช่หรือไม่”จูจั้นเอ่ยต่อ
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง
ความคิดของคนผู้นี้เฉียบไหวจริงๆ
“ในเมื่อตอนนี้ต้นเซียนจื่ออิงไม่มีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็…” นางเอ่ยขึ้น
จูจั้นเอ่ยขัดนาง
“ติดไว้ก่อน” เขาบอก กอดอกมองนาง “ไม่ใช่แค่ต้นเซียนจื่ออิงต้นหนึ่งหรือ ข้าหาให้เจ้าอีกต้นก็ได้”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ดี” นางเอ่ย คิดนิดหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นท่านกับองค์หญิงจิ่วหลิง…”
จูจั้นยกมือขัดคำพูดนางอีกครั้ง
“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ยขึ้น “ทำไมท่านมาเมืองหลวงข้าไม่สนใจ เจ้ากับข้าเคยมีข้อแลกเปลี่ยนกัน ก็เพียงแค่แลกเปลี่ยนเท่านั้น เงินไปของมาสองฝ่ายไม่ติดค้าง เจ้ากับข้าเป็นคนผ่านทาง ตอนนี้ข้ามาหาเจ้า มาหาหมอถามอาการ ส่วนเรื่องอื่น พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องพูดกัน”
เขาไม่ได้ล้อเล้น ใต้แสงสีครามขมุกขมัวที่ห้อมล้อมอยู่ หน้าตาของเขาเคร่งขรึม มองไม่เห็นรอยยิ้มเสแสร้งแกล้งโง่แล้ว มีเพียงความเหินห่างพันลี้ที่ไม่ปิดบังสักนิด
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ได้” นางเอ่ย “กลางวันข้าไม่อยู่บ้าน วันพรุ่งนี้ท่าน…”
พูดถึงตรงนี้นางมองท้องฟ้าด้านนอกทีหนึ่ง ทิศตะวันออกฟ้าสว่างแล้ว
“วันนี้พลบค่ำท่านให้สหายของท่านมา ข้าจะฝังเข็มประคบร้อนให้เขา” นางเอ่ย “ตอนนี้ข้าจะให้ยาท่านไปก่อน ให้เขากินก่อนหนึ่งขนาน”
จูจั้นมองนางนิ่งไม่ขยับ
“ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ท่านจะรอที่นี่หรือข้างล่าง?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม พลางเดินไปทางห้องน้ำ
จูจั้นตอนนี้ถึงนึกได้ ผู้หญิงคนนี้ยังสวมเสื้อตัวในอยู่
เขาแค่นเสียงทีหนึ่ง ยกเท้าเหยียบหน้าต่าง ค่อยหันไปมองเด็กสาวที่เข้าไปในห้องน้ำแล้ว
ช่างไม่รู้จักอายจริงๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าผู้ชายแล้วยังบอกให้ผู้อื่นรอในห้อง
ไม่ใช่คนปกติจริงๆ
เขาก้าวเดียวกระโดดออกไป เกาะชายหลังคากิ่งไม้ทีสองทีก็ลงมาถึงพื้น
เขาเงยหน้ามองบนหอ เมื่อครู่เขายังคิดว่าในลานมีต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้สมควรถูกคนปีนหน้าต่างเข้าบ้าน ตอนนี้ดูแล้ว คนก็ไม่โง่เหอะ
ไม่รู้เนื้อรู้ตัวฟ้าก็สว่าง เวลานี้โดยปกติก็เป็นเวลาตื่นนอนของเขาแล้ว
จูจั้นขยับร่างกายด้วยความคุ้นชิน มองดูในลานมีหลักไม้แท่งหนึ่งตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าไว้ใช้ต่อยหลักไม้
คนเก็บสมุนไพร
จูจั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกอีกครั้ง
คนเก็บสมุนไพร คนเก็บสมุนไพรที่ทั้งตัวพกอาวุธลับไว้ตลอดเวลา นอนหลับยังวางการป้องกันไว้ด้วย หลอกผีเรอะ
เขาก้าวไปข้างหน้าต่อยหลักไม้ดังปึงปัง
คุณหนูวันนี้ตื่นเช้าเชียว
หลิ่วเอ๋อร์ที่นอนอยู่บนชั้นสองพลิกกายพึมพำหลายประโยค นอนหลับไปอีกครั้งเหมือนเช่นเคย
หลังคุณหนูออกกำลังกายจะอาบน้ำ หลังจากนั้นถึงแต่งตัวทำผม ถึงเวลานั้นนางค่อยลุกมาเตรียมอาหารเช้าก็ได้
จูจั้นต่อยสิบแปดท่า คุณหนูจวินฝั่งนี้ก็ลงมาด้านล่างแล้ว
“หลักไม้ของข้าเป็นอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“ก็งั้นๆ” จูจั้นเอ่ยขึ้น ตบหลักไม้ทีหนึ่งเดินตามไปยังเรือนด้านหน้า
บนถนนเริ่มมีคนเดิน เป็นเวลาที่บรรดาแผงร้านตลาดกลางคืนเก็บร้านกลับบ้าน พนักงานสองคนก็มาถึงด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง
พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้เดิมทีผู้ดูแลใหญ่หลิ่วจัดการให้พวกเขาคอยรับใช้ที่นี่เฝ้าประตู แต่คุณหนูจวินบอกว่าไม่จำเป็น ดังนั้นพวกเขาทุกวันตอนเช้าถึงมาเปิดประตูปัดกวาด
งานนี้สบายนัก แต่สองพนักงานกลับไม่ยินดี
“สบายมีประโยชน์อะไร พวกเรานี่มาเล่นเป็นเพื่อนคนแล้ว ถึงเวลาเปิดต่อไปไม่ได้ปิดกิจการไป พวกเราก็เสียเวลาเปล่า”
“ใช่แล้ว เจ้าไม่ได้เห็นซูปาที่เข้ามาพร้อมกันกับพวกเรา หลายวันก่อนถูกย้ายไปติดตามทำงานให้ผู้ดูแลหวงแล้ว”
“ผู้ดูแลหวงหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้จะได้เป็นคนกลางส่งของแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่สิ อนาคตมีโอกาสได้นั่งโต๊ะแล้ว”
สองคนพูดพลางใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา กำลังจะยื่นมือหยิบกุญแจเปิดประตู
ประตูบานนี้ด้านในด้านนอกล้วนเปิดออกได้ โดยทั่วไปแล้วพวกเขาเป็นคนเปิด เพราะทางที่ไปเรือนด้านในยังมีประตูอีก
แต่ครั้งนี้เพิ่งแตะประตูก็ได้ยินเสียงกลอนประตูด้านในดังขึ้น เปิดออกมา
ทั้งสองคนยังไม่ทันตอบสนองก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ถ้าอย่างนั้นตอนค่ำค่อยมา”
เสียงคุณหนูจวินลอยมาจากด้านในด้วย
พนักงานสองคนยืนค้างอยู่นอกประตู มองชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งเดินออกมา
เรื่องอะไรกัน?
จูจั้นมองพนักงานสองคนนี้ก้าวยาวจากไป
“พวกเจ้ามาแล้ว” คุณหนูจวินก็มองเห็นพวกเขาด้วย คิดนิดหนึ่ง “มาเอายา”
นางชี้จูจั้นที่เดินไปแล้ว
พนักงานสองคนพยักหน้างงๆ เค้นรอยยิ้มบางออกมา
คุณหนูจวินหมุนตัวเข้าไปแล้ว
พนักงานสองคนยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู สองคนสบตากันทีหนึ่ง ต่างมองเห็นความตระหนกในแววตาอีกฝ่าย
นี่ฟ้ายังไม่สว่างผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
เอายา?
ก็พออ้างไปได้ อย่างไรโรคร้ายก็ไม่รอใคร เที่ยงคืนเคาะประตูเรียกหมอก็มีมากไป
เพียงแค่เอายา ไม่ต้องลงกลอนประตูกระมัง
นอกจากนี้ กลางคืนค่อยมา หมายความว่าอย่างไร?
มาเอายาอีกหรือ?
ทำไมกลางวันมาไม่ได้?
…
“ผู้ดูแล ผู้ดูแล”
เด็กรับใช้ด้านนอกตะโกนสุดเสียงวิ่งเข้ามา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่กำลังจะทานอาหารเช้าขมวดคิ้วเคี้ยวข้าวและกับไม่สนใจ
เด็กรับใช้หยุดยืนตรงหน้าเขา
“คุณหนูจวินทางนั้น เกิดเรื่อง” เขากดเสียงเบาเอ่ยขึ้น
ปากของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหยุดนิ่ง มองไปทางเขา
มีคนมาโวยวายแล้วหรือ?
แม้บอกว่าไม่สน แต่เขายังให้พวกเขาจับตาดูโรงหมอจิ่วหลิง ดูว่าเมื่อวานผู้หญิงที่ถูกบอกว่ามีลางร้ายจะมาโวยวายหรือไม่
“ผู้ชายคนหนึ่งฟ้ายังไม่สว่างก็ออกมาจากคุณหนูจวินที่นั่น” เด็กรับใช้เอ่ยต่อเสียงเบา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสำลักพรืด อาหารที่กำลังกลืนลงคอสำลักจนไอติดต่อกัน เด็กรับใช้รีบเช็ดให้เขาวุ่นวาย
“ผู้ชายไหน? พูดเหลวไหลอะไรกัน!” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผลักเขาออกตวาดอย่างไม่สบอารมณ์
“จริงขอรับ” เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น “คนด้านนั้นล้วนเห็นกันหมด ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลยก็เดินออกมาจากด้านในประตู”
พูดแล้วก็ขยิบตา
“อายุน้อย หล่อเหลา” เขาเอ่ยเสริม
อายุน้อย หล่อเหลา ทำไมฟังแล้วอกุศลขนาดนั้นเล่า?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสบถสองที
“ให้พวกเจ้าเฝ้าดูโรงหมอจิ่วหลิง ให้พวกเจ้าเฝ้าดูว่ามีคนมาหาเรื่องหรือไม่ พวกเจ้ามัวแต่ไปดูอะไรหะ” เขาตวาดไม่สบอารมณ์
เด็กรับใช้ร้องอ๋อ
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องดูว่ามีหรือไม่มีผู้ชายมาหรือขอรับ?” เขากดเสียงเบาเอยถาม
คำพูดนี้ทำไมฟังดูแล้วอกุศลขนาดนี้นะ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยกมือขึ้นตีเขา
“นี่เป็นโรงหมอ ที่คุณหนูจวินเปิดคือโรงหมอ ด้านในโรงหมอล้วนเป็นคนที่มาพบหมอเอายา ไม่แบ่งชายหญิงผู้เฒ่าเด็ก ที่มาล้วนเป็นลูกค้า” เขาเอ่ยด่า “พวกเจ้าตาเฉหัวใจก็เอนเอียงไปด้วยแล้ว คิดอะไรๆ ไปกันหมด”
เด็กรับใช้ถูกตีกุมศีรษะยอมรับผิดหลายที
“ไป ไป ไป” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วร้องด่า
เด็กรับใช้รีบกุมศีรษะวิ่งออกไป
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โกรธจนหอบ ใช้แขนเสื้อพัดลม
เด็กสาวคนหนึ่งอยู่ดีๆ เปิดโรงหมออะไร นี่ก็คือความไม่สะดวกของผู้หญิง
ชายหนุ่ม อายุน้อย หล่อเหลา ฟ้ายังไม่สว่าง
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสะบัดศีรษะ ไล่ความคิดอกุศลเหล่านั้นไป แต่ก็ขมวดคิ้วเคร่ง
เด็กสาวคนนี้ทำตามใจชอบที่เมืองหลวง ไม่มีผู้ใหญ่สักคนดูแล นี่ ได้จริงหรือ?
ดูสิเพิ่งมาได้ไม่กี่วันเท่านี้ก็ก่อเรื่องจนคนรู้จักกันหมดแล้ว
กลุ้มจะตายแล้วจริงๆ
ยังลืมถามเรื่องหลักอีก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรีบตะโกนเรียกเด็กรับใช้อีกครั้ง
“มีคนมาโวยวายที่โรงหมอไหม?” เขาเอ่ยถาม
เด็กรับใช้ส่ายศีรษะ
ไม่ได้โวยวายรึ
“ถ้าอย่างนั้นมีคนมาขอแก้ลางร้ายหรือไม่?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลองถามขึ้นอีก
ลางร้าย?
เด็กรับใช้ถูกถามงงไปครู่หนึ่ง
“แก้ลางร้ายทำไมต้องมาโรงหมอล่ะขอรับ?” เขาอดไม่ได้ถามขึ้น
ถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพิงกลับไปที่เก้าอี้โบกมือให้เด็กรับใช้ออกไป
ส่วนในคฤหาสน์ในตรอกเมื่อวาน ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทานอาหารเช้า เพียงแต่ชามตะเกียบด้านหน้าไม่ขยับ นางมองนอกหน้าต่างราวกับจิตใจไม่สงบอยู่บ้าง
หญิงรับใช้คนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา
“นายหญิง สืบมาชัดแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้เป็นหมอเร่จริงๆ ที่ถนนก็มีโรงหมอจิ่วหลิงแห่งหนึ่ง”
……………………………………….
บทที่ 144 ทดลองรับการรักษา
โดย
Ink Stone_Romance
มีจริงหรือ?
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินนี่” นางเอ่ยขึ้นท่าทางสงสัยอยู่บ้าง “เปิดใหม่หรือ?”
หญิงรับใช้พยักหน้า
“เปิดใหม่เจ้าค่ะ แต่โด่งดังมากแล้ว” นางว่า
ได้ยินว่าโด่งดังนางกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ตรงกันข้ามหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบข้าวและกับในชาม ขานรับไม่ใคร่สนใจ
“นางน่ะเดินวนในเมืองมาหลายวันแล้ว เปิดโรงหมอจริง แต่ดันไม่ออกตรวจ บอกอะไรว่าจะเป็นหมอเร่ เดินไปเดินมาในเมือง ทำให้คนรำคาญยิ่งนัก” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น
เรื่องเล่าลือหัวถนนท้ายซอยเช่นนี้พวกนางชมชอบที่สุด
“เปิดกิจการใหม่ ทั้งยังอายุนอ้ย กิจการไม่ดี ยากเลี่ยงกวนชาวบ้านล่ะนะ” นายหญิงคีบอาหารคำหนึ่งทานพลางเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ก็รอนางเอ่ยประโยคนี้ ตบมือ “ไม่ใช่ไม่มีคนมาหานางขอรักษา หานางแล้ว นางกลับไม่ตรวจ”
ไม่ตรวจ?
นายหญิงกัดตะเกียบ แล้ววางลงยกชามน้ำแกงขึ้นมา
“ตรวจไม่ไหวงั้นรึ” นางเอ่ยขึ้นตาม หยิบช้อนน้ำแกงตักคำเล็กขึ้นมา
“ตรวจไหวไม่ไหวไม่ทราบเจ้าต่ะ แต่นางจะไม่ตรวจ” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น คิ้วเลิกสูง “หวังเฉาซื่อของตรอกไหวฮวาคนนั้น นายหญิงก็รู้จักนี่เจ้าคะ นางเรียกคนผู้นี้ ผลสุดท้ายคนผู้นี้กลับบอกว่าอาการป่วยของหวังเฉาซื่อไม่คู่ควรให้นางตรวจ”
พูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ทำหวังเฉาซื่อโกรธจนหน้าเบี้ยวไปเลย”
นายหญิงกลับไม่หัวเราะ ช้อนน้ำแกงที่ยกขึ้นชะงัก
“ทำไมไม่คู่คววรให้นางตรวจ?” นางเอ่ยถาม
“ไม่รู้เจ้าค่ะ ฟังความหมายนั่นไม่ใช่บอกว่าตรวจไม่ได้ แต่อาการป่วยของหวังเฉาซื่อไม่หนักหนา นางยังแนะนำให้หวังเฉาซื่อไปให้หมอท่านอื่นตรวจ” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น พูดพลางปิดปากหัวเราะ “น่าขำหรือไม่เจ้าคะ นางเองก็เป็นหมอ มีคนป่วยให้นางตรวจโรค นางกลับไล่คนไปหาหมอ”
นายหญิงยังคงไม่หัวเราะ ขานรับทีหนึ่ง แล้ววางช้อนน้ำแกงลง
นางไม่ตรวจให้หวังเฉาซื่อ บอกว่าไม่คู่ควรให้นางตรวจ แต่กลับเรียกตนเองไว้ตอนเดินผ่านบนถนน ใช่บอกว่าโรคของนางคู่ควรให้นางตรวจหรือไม่?
แม้กล่าวว่าทุกคนเท่าเทียม แต่พระพุทธองค์ช่วยคนมีวาสนา
นางมองเห็นอะไรกันแน่ถึงเป็นฝ่ายขวางตนเองไว้?
“นายหญิง?”
เสียงของหญิงรับใช้ดังขึ้น
นายหญิงได้สติกลับมาดันชามตะเกียบออก
“จองโรงเจไว้แล้วใช่ไหม?” นางเอ่ยถาม “พวกเยี่ยนเหนียงแจ้งหมดแล้วสินะ”
หญิงรับใช้เข้าใจ ที่แท้นายหญิงเหมือนคิดเรื่องนี้อยู่ ก็ใช่ หมอเร่นั่นก็ดี หวังเฉาซื่อก็ดีล้วนเป็นเรื่องของผู้อื่น ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง
“เจ้าค่ะ จองเรียบร้อยแล้ว คนในวัดบอกว่าวันนี้ยังมีคนยินดีมาร้องเล่นละครอีก พวกเราทานอาหารยังดูละครได้ด้วย” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น
นายหญิงยิ้มพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมออกจากบ้านกันเถอะ” นางเอ่ย
หญิงรับใช้ขานรับหมุนตัวจะออกเดินก็ถูกนายหญิงเรียกไว้
“ของพวกนี้เอาเก็บเถอะ” นางเอ่ยขึ้น
อาหารนี่แทบจะไม่แตะเลยนะ หญิงรับใช้มองทีหนึ่งไม่กล้าถามมากขานรับ
…
เมื่อแสงอัสดงมาเยือน จางเป่าถังก็มาหยุดยืนด้านนอกโรงหมอจิ่วหลิง มองป้ายโรงหมอ แล้วก็ลังเลอยู่บ้างก้าวเข้ามา
พนักงานสองคนที่นั่งงีบหลับอยู่ตรงตู้ยารีบลุกขึ้นยืน
คนด้านนอกประตูก้าวเข้ามา นี่เป็นชายหนุ่มกำยำคนหนึ่ง
คนผู้นี้ดูไปแล้วท่าทางดุร้าย
ใช่คุณหนูจวินเป็นหมอเร่ทำคนโกรธมาหาเรื่องแล้วหรือเปล่า?
พนักงานสองคนสีหน้ากังวลอยู่บ้างมองผู้มาเยือน
จางเป่าถังสีหน้าก็กังวลอยู่บ้างเหมือนกัน
ว่าตามหลักแล้ว ลูกค้ามาถึงก็ต้องต้อนรับสักหน่อยสิ แม้จะบอกว่าโรงหมอไม่เหมือนกิจการอย่างอื่น ไม่อาจต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นได้ แต่อย่างน้อยก็พูดสักประโยคเถอะ
สองฝ่ายด้านนอกด้านในสบตากันชะงักค้างอย่างประหลาด
“ขอเรียนถาม ท่านหมอจวินอยู่ไหม?” จางเป่าถังได้แต่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง
พนักงานสองคนยังคงกังวลอยู่บ้าง
“ไม่ ไม่อยู่” พวกเขาเอ่ย
“ยังไม่กลับมาหรือ?” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น ตนเองดูแลตนเองเสียเลย นั่งลงตรงม้านั่งยาวสำหรับคนรอตรวจในห้องโถง “ท่านหมอจวินให้ข้ามา ข้ารอสักครู่แล้วกัน”
คุณหนูจวินให้มา?
ในที่สุดก็หลอกลูกค้ามาได้แล้ว?
พนักงานสองคนสบตากันทีหนึ่ง มองความนัยในดวงตากันและกัน
“ขอรับ ขอรับ ท่านรอสักครู่”
“คุณหนูจวินจะกลับมาแล้ว”
พวกเขาเพิ่งได้สติกลับมารีบเอ่ยทักทาย กำลังจะพูดก็มีเสียงกระดิ่งดังมาจากด้านนอก ในเวลาเดียวกันหลิ่วเอ๋อร์ก็แบกธงก้าวเข้ามา
“กลับมาแล้ว” พนักงานทั้งสองรีบเอ่ยขึ้น
จางเป่าถังก็ลุกขึ้นยืนด้วย มองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามา คุณหนูจวินก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน
“ท่านมาแล้ว” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
จางเป่าถังรีบคำนับ ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ยขึ้นอย่างโง่งม
“นั่งเถอะ ข้าล้างมือสักเดี๋ยวจะมาฝังเข็มให้ท่าน” คุณหนูจวินว่า
ไม่ได้เอ่ยคำกล่าวตามมารยาทมากเกินไปนัก แล้วไม่ได้ชวนคุยเรื่อยเปื่อย ง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้เหมือนกับคุ้นเคยไม่ต้องพูดจามากมาย
จางเป่าถังโล่งใจ ความขัดเขินเพราะจูจั้นไม่ได้มาเป็นเพื่อนถดถอยลงไปแล้ว
ตอนเช้าจูจั้นมาบอกเขาว่าให้เขามาตรวจ เดิมทีเขาคิดว่าจูจั้นจะมาด้วยกันกับเขา ผลปรากฏว่าจูจั้นไม่สนใจสักนิด แม้รู้สึกว่าเรื่องนี้เดิมก็ไม่จำเป็นอยู่บ้าง แต่ในเมื่อจูจั้นพูดแล้วเขาก็ไม่กล้าไม่ฟัง มาอย่างว่าง่าย
คุณหนูจวินล้างมือแล้ว ถือเข็มทองออกมาจากหีบยา
“ถอดเสื้อออก” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
ว่าตามหลักแล้วเด็กสาวคนหนึ่งบอกกับตนเองให้ถอดเสื้อ ตนเองคงตกใจวิ่งหนีแล้ว แต่เด็กสาวคนนี้พูดแล้วจางเป่าถังไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากนัก
ดูท่าคงเพราะสีหน้าและน้ำเสียงนี่ของนาง ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นหมอที่เชื่อถือได้คนหนึ่งจริงๆ
จางเป่าถังถอดเสื้อตัวนอกออกตามคำบอก เผยหัวไหล่ออกมา
คุณหนูจวินยื่นมือกดนวดหัวไหล่เขาอยู่ครู่หนึ่งจึงฝังเข็มช้าๆ
หลิ่วเอ๋อร์จุดโคมยกขึ้นยืนอยู่ด้านข้าง
…
“ผู้ชายมาคนหนึ่ง” เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่มุมถนนบอกผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเสียงเบา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองด้านในโรงหมอจิ่วหลิงอย่างระวัง ลอดประตูไปมองเห็นคุณหนูจวินกำลังฝังเข็มให้ชายหนุ่มคนนั้น เขาผ่อนลมหายใจ
“ก็บอกแล้วว่าตรวจโรค” เขาถลึงตามองเด็กรับใช้ทีหนึ่ง “พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล”
เด็กรับใช้หดหัว มองไปทางโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้ง
“แต่ ท่านผู้ดูแลใหญ่ ผู้ชายคนนี้กับคนนั้นเมื่อเช้าไม่ใช่คนเดียวกัน” เขาเอ่ยพึมพำ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสบถทีหนึ่ง
“อย่ามาทั้งวันผู้ชาย ผู้ชาย ดูให้มากหน่อยว่ามีผู้หญิงมาหรือไม่” เขาเอ่ย
ผู้หญิงที่ลางร้ายคนนั้น คงจะไม่มาแล้วล่ะมั้ง
เดิมทีก็เป็นเรื่องไร้สาระน่าขัน
ราตรีมืดมิด หญิงที่เที่ยวเล่นเหนื่อยมาทั้งวันสีหน้าเหน็ดเหนื่อย บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ปลดมุ้งลงวางโคมไฟกลางคืนไว้หนึ่งดวง ทยอยถอยออกไป
ข้างในข้างนอกล้วนตกจมสู่ความเงียบ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในมุ้งกลับลุกขึ้นมา นางมองด้านนอกประตูความหวาดกลัวผุดพรายขึ้นมาบางส่วน ในเวลาเดียวกันก็คลำขวดใบน้อยใบหนึ่งออกมาจากใต้หมอน เปิดฝาออกเผยใบสนเต็มไปหมดออกมา
นางมองใบสนเหล่านี้ สีหน้าสับสน
“นายหญิง ท่านไม่อยากรักษาอาการป่วยนี้ก็ช่างเถิด แต่หากอยากให้ค่ำคืนสงบขึ้นหน่อยอยู่สบายสักหลายวัน ก็โปรยใบสนกำหนึ่งไว้ข้างประตู เช่นนี้มันก็จะไม่กล้าเข้ามาแล้ว”
เสียงของเด็กสาวคนนั้นสะท้อนก้องอยู่ในหู
คืนวานนางโปรยใบสนข้างประตูจริงๆ นอกจากนี้นางก็หลับสบายมากจริงๆ
นานขนาดนี้นางหลับสบายขนาดนี้เป็นครั้งแรก
นี่บังเอิญใช่หรือไม่? หรือเป็นผลจากจิตใจ?
เรื่องนี้เป็นความลับเช่นนี้ นอกจากนางไม่มีบุคคลที่สองรู้ หมอเร่ของโรงหมอจิ่วหลิงที่เปิดกิจการใหม่นั่นจะรู้ได้อย่างไร?
ผู้หญิงมองใบสนครู่หนึ่งก็ปิดฝายัดเข้าไปข้างหมอนนอนลงหลับตา
ค่ำคืนยิ่งดึกขึ้นทุกที เงียบขึ้นทุกที ท่ามกลางความเงียบนี้กลับเหมือนมีเสียงเอะอะอยู่นิด
ผู้หญิงที่เหมือนกับหลับลึกฉับพลันลืมตาโพลงคนทั้งร่างเกร็งขึ้นมา นางค่อยๆ มองไปทางประตู ก็เห็นมุ้งในห้องที่ไร้ลมขยับไหวเปิดออกอย่างแรง ในสายตาปรากฏคนผู้หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาจากด้านนอกประตู
ผู้หญิงส่งเสียงกรีดร้องทีหนึ่ง คว้าขวดใบสนข้างหมอนเขวี้ยงไป
เสียงนี้ทำให้เรือนหลังเล็กอันเงียบสงบวุ่นวายขึ้นมา โคมไฟค่อยๆ จุดสว่าง เสียงฝีเท้าแห่มา
“นายหญิง นายหญิง”
พร้อมกับเสียงร้องตะโกนของหญิงรับใช้สาวใช้ที่แห่เข้ามา
ผู้หญิงคนนั้นล้มลุกคลุกคลานจากบนเตียงนอนลงมาด้วย โถมเข้าไปในอ้อมกอดของหญิงรับใช้เวรกลางคืน
“เร็ว รีบไปเชิญหมอเร่คนนั้น” นางร้องเสียงหวาดกลัว
……………………………………….
บทที่ 145 เทพเซียนผีปีศาจ
โดย
Ink Stone_Romance
เสียงเคาะประตูปึงปึงปลุกผู้ดูแลใหญ่หลิ่วให้สะดุ้งตื่นจากนอนฝัน
“อะไรเกิดอะไรขึ้น? คนหายไปแล้ว?” เขาตัวสั่นสวมเสื้อไปพลาง รีบร้อนเอ่ยถามไปพลาง รีบจนปากพ่นไฟ
ก็ว่าแล้วว่าเด็กคนนี้ดูแลยากที่สุด
เขานี่โชคร้ายอะไรกัน รับช่วงเด็กเช่นนี้ที่หยางเฉิงส่งมา
“ไปถามเพื่อนบ้านด้านนั้นมาแล้วได้ยินว่ามีคนมาทุบประตู เหมือนจะมาขอให้รักษา” เด็กรับใช้เอ่ย
ท่านหมอเที่ยงคืนเจอคนมาขอให้รักษาก็ไม่ใช่เรื่องไม่เคยมี เพียงแต่ตอนนี้ท่านหมอคนนี้เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง
“ก็บอกแล้วว่าให้ทิ้งสองคนไว้ทางนั้น เผื่อคนเที่ยงคืนมาขอให้รักษาเช่นนี้ อย่างไรก็เป็นบ้านผู้ชาย” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเดินไปมาในห้อง “นี่ดึกดื่นเที่ยงคืน ใครมาเรียกก็ตามเขาไปแล้ว ถ้าเกิดถูก…”
ถูกหลอกถูกขายถูกฆ่า….
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสั่นเทายื่นมือยันเก้าอี้นั่งลง
คงเอาชีวิตคนแก่ไปจริงๆ แล้ว
“หา รีบไปหา” เขาเอ่ย
“ท่านผู้ดูแลใหญ่ ไปหาที่ไหนเล่าขอรับ เที่ยงคืนไร้โคมไร้ไฟเช่นนี้ บนถนนแม้กระทั่งคนสักคนก็ไม่มี ถามยังไม่มีที่ให้ถาม อย่างไรก็ไม่อาจหาไปทุกบ้านทุกเรือนได้กระมังขอรับ” ผู้ดูแลหลายคนเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ
“หาทุกบ้านทุกเรือนก็ไม่ใช่ไม่เคยมี” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพึมพำเอ่ยขึ้น
ตอนนั้นที่หยางเฉิง ได้ยินว่าเด็กสาวคนนี้ไม่บอกที่บ้านสักคำอยู่ดีๆ คิดจะไปขุดสมุนไพรตอนกลางคืน ผลสุดท้ายนายหญิงผู้เฒ่าฟางคิดว่านางถูกจับตัวไปแล้ว ร้อนใจหยิบราชโองการออกมา ค้นหยางเฉิงจนทั่วจรดฟ้าสาง
หลังเรื่องนี้ คุณหนูจวินก็ออกจากหยางเฉิงมาเมืองหลวงแล้ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วร้องอ๋อเข้าใจขึ้นบ้าง
บางทีนายหญิงผู้เฒ่าฟางคงทนไม่ไหวกับความวุ่นวายที่นางก่อจริงๆ ตามองไม่เห็นใจย่อมสงบ จึงส่งนางมาเมืองหลวงแล้ว
ช่าง….
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยื่นมือคลึงขมับสูดลมหายใจหวาดวิตก
นายหญิงผู้เฒ่านะนายหญิงผู้เฒ่า ท่านมองข้าสูงเกินไปแล้ว นี่เป็นถึงเมืองหลวงนะ ต่อให้ตระกูลฟางถือราชโองการก็อย่าคิดว่าจะค้นทุกซอกเมืองหลวงจนฟ้าสางได้
“ไปหาเถอะ ไปหาเถอะ ไปที่ๆ ตามหาได้ หาเข้าเถอะ” เขาโบกมือไร้เรี่ยวแรง ตนเองก็ลุกขึ้นยืน
…
เวลานี้ในบ้านหลังหนึ่งโคมไฟสว่างทั่ว สาวใช้หญิงรับใช้ยืนอยู่ตรงทางเดินล้วนสีหน้าวิตก ในห้องเสียงร้องไห้แผ่วเบาลอยออกมา
“ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่มีอะไร”
เสียงสตรีอ่อนโยนที่ยังติดจะเป็นเด็กอยู่บ้างลอยออกมาจากด้านในเช่นกัน ราวกับกำลังปลอบประโลม
ผู้หญิงบนเตียงน้ำตาไหลนองหน้า สีหน้าหวาดผวา ไหนเลยยังกระปรี้กระเปร่าอย่างยามกลางวันสักนิดอยู่ นางจับมือเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงแน่น ราวกับคว้าฟางช่วยชีวิต
“เขามาทุกวัน ตั้งแต่ข้ามาเมืองหลวง เขาก็มาทุกวัน” นางร้องไห้เอ่ยขึ้น “ข้าไม่กล้านอนเลย ตอนแรกข้าไม่ได้ตั้งใจหนี ก็ข้ากลัวนี่ ข้าคิดว่าหากเกิดเรื่อง ยังเหลือทายาทไว้ให้เขาคนหนึ่งได้”
นางพูดถึงเขาเขาซ้ำไปซ้ำมา บรรดาหญิงรับใช้ที่อยู่ด้านข้างได้ยินใจผวาขวัญสะท้าน ยังมีสองคนสีหน้าไม่พอใจ อยากพูดอะไรแต่มองเด็กสาวที่นั่งข้างเตียงทีหนึ่งก็กลืนกลับลงไป
เด็กสาวไม่สงสัยสักนิด ยิ่งไม่ใคร่รู้เอ่ยถามอะไรๆ
นางเพียงแค่มองไปทางทิศทางหนึ่ง
“ไม่ นายท่านควั่งไม่โทษท่านหรอก แค่มีคำพูดจะพูดกับท่าน” นางเอ่ย
เสียงของนางนุ่มนวล แต่หลายคนในห้องกลับดั่งลมหนาวพัดต้องใบหน้า ขนลุกขนชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองทิศทางที่นางมองอยู่
ตรงนั้น มีอะไร?
นอกจากนี้ นางรู้จักนายท่านควั่งได้อย่างไร?
วิญญาณผีบอกนางหรือ?
ในห้องเสียงอุทานตกใจแผ่วเบาดังขึ้น หญิงรับใช้หลายคนเบียดเข้าหากัน สีหน้าหวาดผวาตัวสั่นเทาเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิงคนนั้นบนเตียง
ผู้หญิงกลัวจนพูดไม่ออกแล้ว คุณหนูจวินกำมือของนางแน่นอีกครั้ง
“นายหญิง ข้าให้ยากับท่านก่อนแล้วกัน” นางว่า
ธูปหอมสองแท่งถูกหลิ่วเอ๋อร์จุดขึ้น กลิ่นยาหอมจางๆ กระจายในห้อง คนในห้องประหนึ่งพ่นลมหายใจเสียคำหนึ่งออกมา ละโมบสูดกลิ่นหอมนี้เข้าไป ในใจค่อยๆ สงบ
คุณหนูจวินหยิบขวดยาออกมาจากในหีบยาเทยาสองเม็ดออกมา หญิงรับใช้ประคองผู้หญิงนอนลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ป้อนยาให้นางทาน
“ทุกคืนจุดธูปสงบจิต ค่อยกินยานี่เม็ดหนึ่ง กลางคืนก็ปลอดภัย นอนหลับสบายได้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ปิดหีบยา
เห็นท่าทางนี้ของนางจะไปแล้ว ผู้หญิงรีบดิ้นรนยันร่างขึ้นมา
“คุณหนูจวิน” นางรีบร้องเรียก “แบบนี้ใช้ได้แล้วหรือ?”
“หลับสบายได้แล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยบอก “หลับสบายได้ อาการป่วยของนายหญิงก็ดีขึ้นแล้ว”
ผู้หญิงมองนาง แล้วมองหญิงรับใช้ด้านข้าง สีหน้าหญิงรับใช้สองคนยิ่งหนักใจ
“คุณหนูจวิน” หญิงรับใช้คนหนึ่งก้าวมาข้างหน้า “โรคนี้รักษาต้นตอได้ไหมเจ้าคะ?”
คุณหนูจวินมองนางยิ้ม
“นอนหลับได้ดี ย่อมกำจัดต้นตอแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
หญิงรับใช้คนนั้นอยากพูดก็หยุดไป
“จะหลับสบายได้หรือเจ้าคะ?” หญิงรับใช้อีกคนเอ่ยขึ้นท่าทางหวาดกลัวมองรอบในห้อง อย่างไรก็รู้สึกหนาวเยือกอยู่
คุณหนูจวินยิ้ม
“ถ้าอย่างนี้ พวกท่านย้ายบ้าน เปลี่ยนที่อยู่เถอะ” นางว่า “กินยาควบคู่ไปด้วยก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ย้ายบ้าน
ผู้หญิงกับหญิงรับใช้สองคนสบตากัน
“ค่ารักษานี่…” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ
คำพูดยังไม่ทันพูดผู้หญิงคนนั้นก็โซเซลุกขึ้นมาจากเตียงคุกเข่าดังตึงลงกับพื้น
“คุณหนูจวิน” นางน้ำตาคลออ้อนวอน “ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจกำจัดต้นตอได้”
นางพูดพลางเดินเข่ามาหลายก้าวจับแขนเสื้อคุณหนูจวินไว้
“คุณหนูจวิน ขอร้องท่าน ท่านถามนายท่านตระกูลข้าเรื่องหนึ่งที” นางเอ่ย
สีหน้าหญิงรับใช้สองคนตระหนก ก้าวเข้าไปดึงผู้หญิงไว้
“นายหญิง…ท่าน…” พวกนางจะเอ่ยห้าม
คำพูดเพิ่งหลุดจากปากก็ถูกผู้หญิงขัดแล้ว
“มาถึงตอนนี้แล้ว ยังปิดบังอะไร” นางเอ็ด “คุณหนูจวินยังมองออกว่าพวกเรามีความลำบาก เป็นฝ่ายมาแก้ความลำบากให้เอง ยังปิดบังนางทำอะไร? พวกเจ้าตอนนี้ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ? คุณหนูจวิน คุณหนูจวินมองเห็นนายท่านเชียวนะ ตอนนี้มีแต่ต้องถามนายท่านทางเดียวแล้ว ไม่อย่างนั้น ทุกคนไม่จากไปก็ต้องแห้งตายอยู่ที่นี่”
หญิงรับใช้สองคนกลัวไม่กล้าเอ่ยวาจากแล้ว ผู้หญิงจับแขนเสื้อของคุณหนูจวินอีกครั้ง
“คุณหนูจวิน ในเมื่อท่านมองเห็นนายท่าน ท่านก็ช่วยข้าถามเขาเรื่องหนึ่งเถอะ” นางเอ่ยเสียงสั่น
คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง ไม่รอหญิงคนนั้นถามอะไรออกมา มองไปทางมุมกำแพงด้านนั้นยื่นมือออกมาชี้
“สิ่งนั้นที่ท่านต้องการ อยู่ที่ในกำแพงนั่นแหละ” นางว่า
คำพูดนี้ออกมาผู้หญิงกับหญิงรับใช้สองคนราวกับถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าตะลึงงัน นิ่งไม่ขยับมองคุณหนูจวิน
พวกนางสิ่งใดล้วนยังไม่ทันพูดเลยนะ
นางก็รู้ว่าพวกนางต้องการถามอะไร
เทพ…เทพเซียน? ผีปีศาจ?
เสียงตึกทีหนึ่ง หญิงรับใช้สองคนก็คุกเข่าให้คุณหนูจวินแล้ว
…
ค่ำคืนอันเงียบสงบด้านในห้องเสียงเคาะติงติงตังตังดังขึ้น สาวใช้หญิงรับใช้หลายคนยกโคมกะเทาะกำแพงด้านหนึ่งอย่างระมัดระวัง แสงโคมส่องร่างของพวกนางเป็นเงาสลัวพาดสลับกันวุ่นวายในห้อง
คุณหนูจวินยืนอยู่ตรงทางเดินมองด้านในห้อง
ควั่งไห่เจิ้น ขุนนางตรวจสอบกองทัพแห่งกองบัญชาการทหารเมืองหลวง เข้าคุกต้องโทษประหารเพราะคดีทุจริตคลังแสงที่ไถโจว ริบตำแหน่งที่ตกทอดถึงลูกหลาน สามรุ่นไม่อนุญาตให้เข้าเมืองหลวง ลูกหลานสามรุ่นไม่อนุญาติให้สอบเป็นขุนนาง
“แม้ตอนนั้นยึดทรัพย์แล้ว แต่มือเก๋าสนามการเมืองเช่นนี้อย่างควั่งไห่เจิ้นล้วนมีสมบัติซุกซ่อนไว้”
“สมบัติของเขาซ่อนอยู่ในรอยแตกกำแพงด้านขวาของเรือนข้างทิศตะวันออกในเรือนที่ตรอกเป่าหยวน”
“ตอนนั้นควั่งไห่เจิ้นตายกะทันหัน ยังไม่ทันบอกตำแหน่งแน่ชัดกับลูกหลานคนในครอบครัว”
“ผ่านไปสองปี คนตระกูลควั่งนั่งไม่ติด แต่ยังค่อนข้างฉลาด ให้เมียเก็บที่เลี้ยงไว้ลับๆ คนหนึ่งของควั่งไห่เจิ้นคนหนึ่งเข้าเมืองหลวงมา”
“เมียเก็บคนนี้เพื่อให้ลูกชายได้รับการคุ้มครองของตระกูลควั่ง ยินดียืดอกเข้าหาอันตรายเข้าเมืองหลวงมาหาสิ่งของ”
“นางคิดจริงๆ หรือว่าไม่มีใครรู้ตัวตนของนาง”
ฟังถึงตรงนี้นางก็หันไปมองผู้ชายที่อยู่ด้านหลัง
“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านทำไมไม่จับนางเล่า?” นางเอ่ยถาม
ผู้ชายที่กอดนางในอ้อมแขนยิ้ม ใต้แสงจันทราใบหน้าอ่อนโยนกระจ่าง
“ตอนนี้ไม่จำเป็นนี่แค่ปลาเล็กปลาน้อย นอกจากนี้เรื่องนี้ก็จบไปแล้ว หยิบขึ้นมาอีก ฮ่องเต้จะทรงไม่พอพระทัย” เขาเอ่ย “ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้เพิ่ม”
สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ สำหรับนางเรื่องที่เดิมควรจะยิ่งไร้ประโยชน์ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากแล้ว
เสียงฮือฮาวุ่นวายดังขึ้น ขัดความคิดล่องลอยของคุณหนูจวิน นางมองด้านในห้อง ได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีเบาๆหลายเสียงลอยมา
“หาพบแล้ว หาพบแล้ว”
นางยิ้ม แบกหีบยาขึ้นหลัง โบกมือให้หลิ่วเอ๋อร์ด้านหลังเดินออกไปทางด้านนอก
เมืองหลวงที่ตกอยู่ท่ามกลางราตรีแห่งนี้ คฤหาสน์โอ่อ่าตระกูลใหญ่โตเท่าไรซุกซ่อนความลับที่ไม่อาจให้คนรู้ไว้ สำหรับคนมากมายแล้ว ความลับเหล่านี้เป็นปมในใจ เป็นความวิตก เป็นโรคร้ายที่ตัดสินความเป็นความตาย
ส่วนนางก็มารักษาโรคใจเหล่านี้
อาศัยไหวพริบ เลือกให้ถูก ลองเสี่ยงดวง
รักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ได้ยาโรคหาย ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี
……………………………………….
บทที่ 146 ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ
โดย
Ink Stone_Romance
ในยามที่แสงอรุณขมุกขมัว หนิงอวิ๋นเจาก็เดินออกมาจากในห้อง ยืดเหยียดร่างกายตรงทางเดินสักหน่อย พริบตาก็มาถึงเดือนเจ็ดแล้ว การสอบใกล้เข้ามาทุกที เขาก็ปรับจังหวะโดยไม่รู้ตัวด้วย กลางคืนอ่านหนังสือเพิ่มหลายเล่ม ดังนั้นหลับตื่นหนึ่งก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่
“นายน้อย นายน้อย” เสี่ยงติงรีบร้อนเข้ามาจากด้านนอก
เวลานี้เขาควรมาส่งอาหารเช้า แต่ครั้งนี้เสี่ยวติงกลับมือว่างเปล่า
“ข้าเห็นคนของเต๋อเซิ่งชางกำลังตามหาคุณหนูจวิน” เสี่ยวติงรีบร้อนเอ่ยขึ้น
นางเป็นอะไร?
หนิงอวิ๋นเจาตกใจ
…
“บอกว่าออกตรวจ?”
เช้าตรู่บนถนนคนเดินไปมาไม่มาก หนิงอวิ๋นเจาก้าวไวๆ เดินพลางเอ่ยถาม
เสี่ยวติงวิ่งเยาะตามอยู่ข้างหลัง
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ” เขาเอ่ย “ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก กลางวันยังเดินวนเวียนบนถนนไม่มีคนเรียกให้รักษาอยู่เลย ดึกดื่นจะถูกเรียกไปได้อย่างไร”
“พวกพนักงานไม่รู้ว่าไปบ้านไหนหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
“บอกว่าไม่มีพนักงานอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิง โรงหมอจิ่วหลิงตอนกลางคืนมีเพียงคุณหนูจวินกับหลิ่วเอ๋อร์สองคน” เสี่ยวติงเอ่ยบอก
ถึงกับเป็นเช่นนี้?
คิ้วของหนิงอวิ๋นเจาขมวด ไม่เอ่ยวาจาอีกก้าวเร็วไวไปตามถนน ไม่นานก็มองเห็นโรงหมอจิ่วหลิง
โรงหมอจิ่วหลิงคนไม่น้อยยืนอยู่ นอกจากนี้ยังมีคนเข้าๆ อออกๆ หน้าตาวิตกกังวล
ดูท่าทางเช่นนี้คนคงยังหาไม่พบ
หนิงอวิ๋นเจาหยุดเท้า
“นายน้อย เข้าไปถามดูสิขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ย
พวกเขาก็กำลังตามหาคนอยู่ ถามพวกเขาก็ถามอะไรออกมาไม่ได้ ส่วนตนเองทะเล่อทะล่าเข้าไปถามเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้คนของเต๋อเซิ่งชางคิดมากอีก
“ดูไปก่อนเถอะ หากไม่ไหว ข้าค่อยไปหาท่านอาคิดหาวิธี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
เสี่ยวติงสีหน้าตกใจ
ไปหานายท่านรองให้ช่วยตามหาเด็กสาวคนหนึ่ง นอกจากนี้เด็กสาวคนนี้ยังเป็นคุณหนูจวิน
ครั้งนี้คนที่บ้านคงรู้กันหมดสิ?
ถ้าอย่างนั้นคนในบ้านจะคิดอย่างไร?
แต่ก็เข้าใจได้เหมือนกัน ผู้ชายที่มีคนในใจอย่างไรก็มักจะทำเรื่องโง่เขลามากจำนวนหนึ่งเสมอ
เสี่ยวติงยืนอยู่ด้านหลังเขามองโรงหมอจิ่วหลิงไม่พูดจา
แสงตะวันค่อยๆ สว่างขึ้น คนบนถนนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เพียงแต่คนที่เดินมาเดินไปสุดท้ายก็ยังไม่มีเด็กสาวคนนั้น
“ไป” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นหมุนตัว
ยังรอได้ไม่เท่าไรเลย เสี่ยวติงวิตกอยู่บ้างหมุนตัวตาม
“นายน้อยพวกเราลองไปถามพวกเขาดูว่าตามหาเป็นอย่างไรบ้างเถอะขอรับ” เขาเอ่ย
“ไม่ต้องถามแล้ว พวกเขาตามหาเช่นนี้ก็ไม่ใช่หนทางแก้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น พ่นลมหายใจหันกลับไปมองประตูโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้ง “พวกเขา ยังไงก็ไม่ใช่นายหญิงผู้เฒ่าฟาง”
ทำไม่ได้และไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่ขึ้น
เสี่ยวติงร้องอ๋อ มองหนิงอวิ๋นเจา
แต่ท่านก็ไม่ใช่นายหญิงผู้เฒ่าฟางนะ…
ไปหานายท่านรองหนิงให้ออกหน้าตามหาคนก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนกัน
เขาอยากจะพูดอะไร หนิงอวิ๋นเจาก็เดินก้าวยาวไปข้างหน้าแล้ว
นายน้อยอยากกล่อมคนอื่นเหตุผลเป็นชุดๆ ผู้อื่นอยากกล่อมนายน้อยเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
เสี่ยวติงส่ายศีรษะได้แต่ตามไป เดินไปไม่ถึงสองก้าวก็เห็นหนิงอวิ๋นเจาหยุดชะงัก
เกิดอะไรขึ้น?
เขามองไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว ตะลึงไปเหมือนกัน
“คุณหนูจวิน…” เขาเอ่ยพึมพำ
ตรงหน้าพวกเขานี่เอง เด็กสาวสองคนกำลังคุยเล่นหัวเราะก้าวช้าๆ มา บนร่างล้อมด้วยแสงอรุณ หน้าตาเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง แต่มีชีวิตชีวา หีบยาสะพายอยู่ข้างหลัง ธงม้วนอยู่ ในมือหลิ่วเอ๋อร์ยังหิ้วห่อกระดาษน้ำมันอยู่สองห่อ
เหมือนกับเพิ่งเดินตลาดตอนเช้ากลับมา
คงไม่ใช่เดินตลาดตอนเช้ากลับมาจริงๆ หรอกนะ?
“คุณชายหนิง” คุณหนูจวินก็มองเห็นพวกเขาแล้ว เดินเข้ามาหลายก้าวหยุดยิ้มคำนับ “บังเอิญขนาดนี้?”
ครั้งนี้หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ตอบว่าบังเอิญจริงๆ
“พวกเจ้าไปที่ไหนกันมา?” เขาเอ่ยถาม
“พวกเราไปตลาดเช้าทานอาหารมา” หลิ่วเอ๋อร์ตอบ
อย่างที่คิด…
เหมือนเรื่องที่เกิดที่หยางเฉิง
คนกลุ่มหนึ่งก่อความวุ่นวายสะเทือนฟ้าสะเทือนดินทั้งคืน ผลสุดท้ายเด็กสาวคนนี้หิ้วตะกร้าเดินทอดน่องกลับมา บอกว่าไปเก็บสมุนไพร
โชคดีครั้งนี้ยังไม่นับว่าเป็นเรื่องขึ้นมา
ในใจเสี่ยวติงคิด
หนิงอวิ๋นเขาก็ไม่ได้เอ่ยวาจา ยิ้ม
“คุณชายหนิง ท่านคงไม่ใช่จะเชิญคุณหนูของข้าไปทานอาหารอีกกระมัง?” หลิ่วเอ่อร์ส่งเสียงประหลาดใจ เอ่ยว่า “ครั้งนี้ไม่บังเอิญแล้ว พวกเราทานมาแล้ว”
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“ใช่” เขาเอ่ย “ครั้งนี้ไม่บังเอิญจริงๆ”
คุณหนูจวินยิ้ม ส่งหีบยาให้หลิ่วเอ๋อร์
หลิ่วเอ๋อร์วันนี้หัวไวยิ่ง เข้าใจว่านี่คือคุณหนูต้องการพูดกับคุณชายหนิง นางกลอกสายตา โบกมือให้เสี่ยวติง
เสี่ยวติงเดินเข้ามาไม่เข้าใจ หลิ่วเอ๋อร์ก็ส่งห่อกระดาษน้ำมันให้เขา
“ให้เจ้าทาน” นางเอ่ย คนก็พาเสี่ยวติงถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วย
คุณหนูจวินฝั่งนี้แย้มยิ้มเปิดปากเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” นางเอ่ยถาม
“โรงหมอจิ่วหลิงของเจ้าที่นี่ทิ้งพนักงานไว้เพิ่มสักหลายคนเถอะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น เขายื่นมือชี้ด้านหลังร่าง “ดูสิ ตกใจแย่กันหมดอีกแล้ว”
คุณหนูจวินมองผู้คนที่สีหน้าวิตกเข้าๆ ออกๆ ด้านนั้น พลันเข้าใจ
“นี่คิดไม่ถึงจริงๆ เป็นข้าเลินเล่อแล้ว” นางเอ่ยอย่างจริงใจ
“แม้เจ้ารับประกันได้ว่าปลอดภัยไร้อันตราย แต่ข้า..พวกข้าไม่รู้ ยังไงก็ย่อมกังวลใจ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้า
“รู้แล้ว” นางเอ่ยจริงใจ “หลังจากนี้ข้าจะทิ้งพนักงานไว้ในร้าน กลางคืนรับรักษา ให้สองคนตามไป คนหนึ่งเฝ้าร้านรอข่าวคราว เช่นนี้ข้าไปที่ไหนทุกคนก็วางใจได้แล้ว”
เด็กสาวคนนี้บทจะดื้อก็ดื้อ แต่ผิดก็ยอมรับทันที ใจกว้างทั้งจริงใจ ไม่มีขอไปทีสักนิด
รู้ผิดทั้งยังแก้ไข นางก็เป็นเช่นนี้ เหมือนแบบนั้นที่เขาคิด
หนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้า
“รีบไปเถอะ พวกเขาร้อนใจแล้ว” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินจะพูดอะไร พนักงานด้านนั้นก็มองเห็นคุณหนูจวินกับหลิ่วเอ๋อร์แล้ว
“ท่านผู้ดูแลใหญ่ ท่านดู คุณหนูจวินกลับมาแล้วขอรับ” พนักงานคนหนึ่งร้องตะโกน
ผู้ดูแลใหญ่รู้สึกเพียงก้าวเท้าเบาหวิวอยู่บ้าง ชั่วขณะหนึ่งมองไปก็มองไม่ชัด
“เฮ้อ มาด้วยกันกับผู้ชายคนหนึ่ง” มีพนักงานเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนจับเป็นคู่กลับมา สาวใช้หลิ่วเอ๋อร์ยังกำลังแบ่งของกับเด็กรับใช้คนนั้นอยู่อีก”
ผู้ชาย…
คนที่อยู่ที่นั่นตะลึงไป
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองด้านนั้น ในที่สุดก็มองเห็นคุณหนูจวินรวมถึงผู้ชายคนนั้นชัด
คุณหนูจวินกำลังยิ้มแย้มคำนับบอกลากับผู้ชายคนนั้น
“นั่นมันคุณชายตระกูลหนิง” ผู้ดูแลใหญ่หลุดปากเอ่ยขึ้น
“คุณชายตระกูลหนิงหรือ?” พนักงานคนหนึ่งเข้ามาสมทบ “แต่คนละคนกับผู้ชายคนนั้นวันนั้น”
เช้าตรู่ผู้ชายคนหนึ่งถูกคุณหนูจวินส่งออกมาจากในโรงหมอจิ่วหลิง แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาด้วยกันกับคุณหนูจวินที่ทั้งคืนไม่กลับมา ที่แท้ผู้ชายกี่คน?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคิดโดยไม่รู้ตัว
เขาส่ายศีรษะสลัดความคิดเหลวไหลออกไป รีบก้าวเร็วไวเข้าไปรับ
“คุณหนูจวิน ท่านไปที่ไหนมา?” เขารีบร้อนเอ่ยเสียงแหบแห้ง
คุณหนูจวินมองพวกเขาที่เดินเข้ามา สีหน้ารู้สึกผิดอยู่บ้าง
“ข้าไปรักษาคนมา” นางว่า
…
บรรยากาศตึงเครียดในโรงหมอจิ่วหลิงจางหายไปแล้ว พนักงานมากมายที่ไปๆ มาๆ ก็ไล่ไปแล้ว เหลือเพียงผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
“ไม่ว่าอย่างไร คุณหนูจวินครั้งต่อไปท่านบุ่มบ่ามเช่นนี้ไม่ได้แล้วนะขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น “ที่นี่แม้อยู่ใต้เบื้องพระบาทโอรสสวรรค์ แต่ก็มีปลามังกรปะปน”
คุณหนูจวินรับคำ สีหน้าจริงใจทั้งยังสำนึกผิด
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยังอยากพูดอะไร หลิ่วเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากด้านใน ยกชามาสองถ้วย
“คุณหนู ชาชงเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเชิญดื่มชา” คุณหนูจวินเอ่ย ส่งสายตาให้หลิ่วเอ๋อร์ยกข้ามไป
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนขึ้นมารับไป
“ลำบากแม่นางหลิ่วเอ๋อร์แล้ว” เขายิ้มเอ่ย
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคืนวานท่านร้อนรนโจมตีจิตใจ ทั้งยังไม่ได้นอนข้ามคืน ชาสมุนไพรถ้วยนี้คลายความวิตกทำให้เลือดลมไหลคล่อง ท่านรีบดื่มเถิด ดื่มสองถ้วย คอนี่ก็ไม่แหบแล้ว” คุณหนูจวินว่า
ที่แท้ชงชาให้ตนเอง?
หลิ่วเอ๋อร์อึ้งไป ผิดคาดไปบ้าง
นายบ่าวสองคนนี้เข้าประตูมา คุณหนูจวินก็ให้หลิ่วเอ๋อร์ไปชงชา
พวกเขามายามเที่ยงคืน ทั้งรีบร้อนตามหาคน ไหนเลยทันสนชงชา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเดิมทีคิดจะตำหนิคุณหนูจวิน คิดไม่ถึงนางจะให้สาวใช้ชงชาให้ตนเอง
ยังชงชาให้เขาเป็นพิเศษด้วย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพริบตารู้สึกเพียงทั้งร่างชาหนึบๆ เหมือนกับวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกหลายวันกลับมาถึงบ้านหลานชายตัวน้อยโถมเข้ามายัดน้ำตาลแสนหวงเข้าปากเขานาทีนั้น ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดหายไปสิ้น
นี่ เด็กคนนี้ เจ้าคิดว่านางไม่เชื่อฟังกระทำการตามใจ แต่นางก็ทั้งรู้ความเช่นนี้ ช่างทำให้คน…ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจริงๆ
“รีบดื่มเถิด” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเถอะ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วดื่มชาคำเดียวหมด
……………………………………….
บทที่ 147 ค่ารักษาก้อนแรก
โดย
Ink Stone_Romance
ชาดื่มแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรู้สึกเพียงลำคอแห้งผากเจ็บปวดพริบตาก็สบายขึ้น ในใจในอกปลอดโปร่ง เขาอดไม่ได้ตบหน้าอกเผยรอยยิ้ม
“ชานี้ไม่เลว ไม่เลว” เขาเอ่ยชม
“เอาชาสมุนไพรให้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสองห่อ หลังจากนี้ใช้ที่บ้านได้ตลอดเวลา” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์ขานรับ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มโบกมือ
“นี่เกรงใจเกินไปแล้ว นี่เกรงใจเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องเกรงใจ ครอบครัวเดียวกันไหม” คุณหนูจวินเอ่ย
ครอบครัวเดียวกันสินะ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วบนหน้ารอยยิ้มยิ่งกว้าง
หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเบะปาก คุณหนูของข้าจะเอาใจใครให้เบิกบาน นั่นยังไม่ใช้เอื้อมมือก็คว้าได้
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านถือดีๆ ยาที่คุณหนูของข้าจ่ายให้ นั่นทองพันตำลึงก็หาไม่ได้นะ” นางว่า ส่งชาสมุนไพรที่ห่อดีแล้วมา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่า
“พี่น้องแท้ๆ คิดบัญชีชัดเจน” เขารับชาไป แล้วพูดอีก “เต๋อเซิ่งชางกับโรงหมอจิ่วหลิงพูดใด้ชัดแล้วไม่ใช่ร้านเดียวกัน เงินค่ายาอย่างไรข้าก็ต้องจ่าย”
คุณหนูจวินเปิดโรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวง แม้ที่ใช้ล้วนเป็นเงินของเต๋อเซิ่งชาง แต่ประกาศว่าโรงหมอจิ่วหลิงเป็นกิจการของนางเอง ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฟาง
พวกผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็เข้าใจได้ อย่างไรคุณหนูจวินก็แซ่จวิน ไม่ได้แซ่ฟาง โรงหมอจิ่วหลิงนี่ก็เป็นมรดกของตระกูลจวิน
“ไม่ต้อง เงินของเต๋อเซิ่งชางก็คือเงินของข้า” คุณหนูจวินยิ้มบอก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว คำพูดของเด็กน้อยน่าสนใจจริงๆ
เขาหัวเราะรับชาสมุนไพรไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” เขาว่าพลางยกเท้าเดินออกไปข้างนอกโดยไม่ทันคิด เดินไปได้ครึ่งหนึ่งถึงได้สติกลับมาโดยพลัน
ไม่ใช่สิ คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบเลยนี่?
ทำไมหัวเราะร่าเดินจากมาแล้ว?
เรื่องหลักยังไม่ได้พูดเลย!
เด็กคนนี้ เกือบถูกนางไล่ไปแล้ว
“คุณหนูจวิน คำพูดที่ข้าเอ่ยเมื่อครู่ ท่านต้องจำไว้” เขารีบปรับสีหน้าเอ่ยขึ้น “ที่นี่แม้เป็นใต้ฝ่าพระบาทฮ่องเต้ แต่ก็มัจฉามังกรปะปน ก่อนอื่นในโรงหมอจำต้องมีพวกพนักงานค้างคืนเฝ้าเวรกลางคืน”
คุณหนูจวินพยักหน้า ตอบว่าได้
“อีกอย่าง กลางคืนไม่ต้องออกไปรักษาแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อย่างไรก็ไม่เหมือนกับท่านหมอคนอื่น ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้หากเกิดอันตรายขึ้นมาย่อมไม่ดี”
คุณหนูจวินยิ้ม
“ผู้ดูแลใหญ่วางใจ คนที่ข้าออกไปตรวจยามค่ำคืนล้วนเป็นคนที่ข้ารู้จัก” นางเอ่ยขึ้น “อยู่ดีๆ มาเยือนประตูข้าย่อมไม่ไป”
คนที่รู้จัก?
“คนที่รู้จักอะไร?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถามไม่เข้าใจ
“ข้าไม่ตรวจโรคให้คนตามใจ ไม่ใช่ใครข้าก็จะตรวจ แน่นอนไม่ใช่ใครมาเที่ยงคืนขอให้รักษาข้าล้วนตอบรับ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “เมื่อวานคนที่มาขอให้รักษาเป็นผู้หญิงคนนั้นที่ข้าต้องการรักษาอาการป่วย”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอึ้ง
“ลางร้าย?” เขาหลุดปากเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
ส่วนผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าประหลาดใจ
เป็นไปได้อย่างไร? ผู้หญิงคนนั้น…
เขาเพิ่งกำลังจะเอ่ยคำ ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“คุณหนูจวิน”
“ท่านหมอจวิน”
หญิงรับใช้สองนางเดินเข้ามา มองคุณหนูจวินด้านในโถงคุกเข่าดังตึงโขกศีรษะปึงปึง
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตกใจสะดุ้งโหยง
“นายหญิงของพวกเจ้าไม่เป็นไรแล้วหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถาม
หญิงรับใช้สองนางเงยหน้าพยักหน้ายินดี
“เจ้าค่ะ ไม่เป็นไรแล้ว” พวกนางเอ่ยขึ้น สีหน้ายินดีทั้งยังลำบากใจ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็จำได้เหมือนกัน หญิงรับใช้สองคนนี้คือคนบ้านนั้นที่คุณหนูจวินขวางบอกว่ามีลางร้ายวันนั้นจริงๆด้วย
หรือว่าเมื่อคืน…
“เมื่อคืนนายหญิงบ้านข้าป่วยกะทันหัน ยังดีพวกนางจำคำพูดที่ข้าเคยพูดได้ ดังนั้นจึงมาเชิญข้าไปรักษา” คุณหนูจวินบอกกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
เช่นนี้หรือ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองหญิงรับใช้สองคนนั้น
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ”
“พวกเราตอนนั้นไม่ฟังคำของคุณหนูจวิน ไม่คิดว่านายหญิงจะป่วยกะทันหันจริงๆ”
“คงรับเคราะห์ร้ายแล้ว”
“โชคดีเหลือเกิน โชคดีเหลือเกินคุณหนูจวินเตือนไว้ บอกเรื่องโรงหมอจิ่วหลิงกับพวกเรา ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีหนทางรักษา”
หญิงรับใช้สองคนเอ่ยขึ้นตื่นเต้น พลางเช็ดน้ำตา
อ้อ เช่นนี้เอง ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหนักหน้า ถึงกับเป็นเช่นนี้เอง
หากอธิบายลางร้ายเช่นนี้ ก็สมเหตุสมผล
“คนไม่เป็นไรก็ดี” เขายิ้มเอ่ยขึ้น มองคุณหนูจวินท่าทางพอใจ
หญิงรับใช้สองคนนั้นขอบคุณอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หยิบกล่องสีสันสวยงามใบน้อยใบหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง
“คุณหนูจวินนี่คือเงินค่ารักษาที่ตกลงไว้เจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ยขึ้น
“ไม่รีบร้อน มั่นใจว่านายหญิงของพวกเจ้าดีขึ้นแล้วค่อยมอบให้ข้าก็ไม่สาย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น
หญิงรับใช้สองคนมองนางสีหน้ายุ่งยากใจมาก
คืนวานคุณหนูจวินผู้นี้ชี้ที่อยู่ของสิ่งของให้ก็หลบออกไป บอกพวกนางว่าหลังรักษาหายดีค่อยส่งเงินค่ารักษามาก็พอ ไม่ได้เอ่ยถามว่าสิ่งใดสักนิด ไม่ได้เอ่ยว่าว่าเรื่องนี่เป็นเรื่องอะไร
ท่านหมอที่รู้จักขอบเขต รักษาโรคได้ ทั้งยังไม่ถามมากหาไม่ง่ายจริงๆ
แต่ครุ่นคิดดูรอบหนึ่ง กับคนตายนางยังสื่อสารได้ เรื่องใดนางไม่รู้อีก
ผิดใจกับท่านหมอได้ แต่ท่านหมอที่สื่อสารกับเทพผีได้ไม่อาจผิดใจด้วยได้
ดังนั้นฟ้าสว่างปุบ นายหญิงที่จัดการอารมณ์ดีแล้วจึงรีบให้คนนำเงินค่ารักษามามอบให้
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้ม แค่ค่ารักษา จะเงินสักเท่าไรเชียว
“โรงหมอจิ่งหลิงก็อยู่ที่นี่ ไม่หนีไปไหน หากเกิดซ้ำ ค่อยมาก็ได้” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินยิ้มไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือรับกล่องสีสันสวยงามมาเปิดออก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเคราแย้มยิ้ม
นี่เป็นเงินก้อนแรกที่ได้มาหลังเข้าเมืองหลวงสินะ
คิดถึงตอนแรกตนเองจากหยางเฉิงมายังเมืองหลวงรับหน้าที่ผู้ดูแลใหญ่ เงินก่อนแรกที่กิจการได้รับ ดีใจทั้งคืนนอนไม่หลับจริงๆ
เงินมากเงินน้อยก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือหลักฐานของการเปิดฉากเริ่มต้น
แน่นอนว่าเงินที่เขาได้ก็ไม่นับว่าน้อย ห้าพันตำลึง
เขาคิดพลางกวาดสายตาผ่านๆ ดูตั๋วเงินในกล่องสีสันสวยงามที่ถูกคุณหนูจวินหยิบออกมาทีหนึ่ง
ห้าพันตำลัง
ห้าพันตำลึง!
เขาสูดปากสูดหายใจเสียงดัง เพราะดึงเคราหลุดมาหลายเส้น
ท่านหมอคนไหนรักษาครั้งหนึ่งเก็บเงินค่ารักษาห้าพันตำลึงบ้าง!
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผู้ดูตั๋วเงินมาหลายสิบปีคนนี้เกิดความคิดว่าตนเองมองตั๋วเงินผิดเป็นครั้งแรก
บ้าไปแล้วจริงๆ
นี่เป็นไปได้อย่างไร?
ส่งหญิงรับใช้สองคนนั้นไปแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่สนใจจะจากไปแล้ว มองตั๋วเงินบนโต๊ะที่ถูกคุณหนูจวินวางไว้ส่งๆ สีหน้ายุ่งเหยิง
“คุณหนูจวิน ค่ารักษานี่…มากขนาดนี้เชียว?” เขาเอ่ยถาม
“ใช่สิ” คุณหนูจวินมองเขายิ้มเอ่ยขึ้น “ดังนั้นไม่ใช่โรคอะไรใครก็มาให้ข้ารักษาได้ ต้องดูว่าโรคนี่คุ้มค่ารักษาของข้าหรือไม่”
ค่ารักษาห้าพันตำลึง
นี่ไม่ใช่ใครก็รักษาได้จริงๆ
แต่นี่ใช่บ้าบอไปเกินไปหน่อยหรือไม่?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองตั๋วเงิน แต่ก็มีคนมาให้นางรักษาจริงๆ นอกจากนี้รักษาหายดีแล้วด้วย
หรือว่าวิชาแพทย์ของคุณหนูจวินร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ?
ส่งผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ในใจเต็มไปด้วยเรื่องให้ขบคิดแล้ว คุณหนูจวินก็สั่งพนักงานร้านว่าวันนี้ยังไม่เปิดประตู พาหลิ่วเอ๋อร์เข้าไปนอน
หลิ่วเอ๋อร์ในอกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทั้งยังหวาดกลัวอยู่บ้าง
“คุณหนู ตอนนั้นท่านมองเห็นผีจริงๆ หรือเจ้าคะ?” นางกดเสียงเบาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
“แน่นอนว่าไม่” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้าว
“ถ้าอย่างนั้นทำไม…” นางทำหน้าไม่เข้าใจ
ทำไมรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกลางคืนนอนไม่หลับเพราะเห็นผี
คุณหนูจวินยิ้ม พิงหมอนโบกพัดมองนอกหน้าต่าง
“ข้าเดา” นางว่า
หลิ่วเอ๋อร์ยิ่งตะลึง
“เดาเอา?”
เดาก็เดาอยู่ แต่ไม่ใช่แค่เดาอย่างเดียว
เดามีพื้นฐานจากสิ่งที่รู้ถึงเดาได้
“แม้นางดูไปแล้วกระปรี้กระเปร่าดีนัก แต่ที่จริงแววตาสับสน ฝีเท้าล่องลอย นี่เป็นอาการของการนอนไม่หลับมายาวนาน แต่นางพยายามทำท่าทางกระปี้กระเปร่าปิดบังไว้สุดกำลัง เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“มีเรื่องอันใดไม่อาจบอกกล่าวแก่คนได้เล่า ไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ลับๆ ของตนเอง ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิด”
โชคดีมาก สองจุดนี้เมียเก็บของควั่งไห่เจิ้นคนนี้ล้วนมีอยู่
ตอนแรกควั่งไห่เจิ้นเกิดเรื่อง นางหนีเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นเห็นตระกูลควั่งแม้เสียกำลังไปบ้าง สุดท้ายก็ยังเป็นตระกูลใหญ่ที่มีรากฐาน ผ่านคำสั่งห้ามสามรุ่น ตระกูลก็จะรุ่งเรืองขึ้นมาได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงเกิดความคิดอยากให้บุตรชายเข้าตระกูลควั่ง เรื่องที่หนีครั้งนั้นอย่างไรก็ผิดต่อควั่งไห่เจิ้น นี่ก็คือเรื่องที่ไม่ยินดีบอกกับคนตระกูลควั่ง
“กลางวันมีเรื่องขบคิดกลางคืนมีเรื่องให้ฝัน จิตใจอ่อนแอ เห็นสิ่งไม่มีจริง ผนวกกับนอนหลับไม่สบายมานานขนาดนี้ ความเลวร้ายสั่งสมเกิดซ้ำซาก ยิ่งทำให้จิตใจไม่มั่นคง เห็นภาพหลอนง่ายหวาดกลัวง่าย ดังนั้นข้าจึงเดาว่านางเห็นภาพลวงตา” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์เหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่นางเดิมทีก็ไม่ใช่เพื่อจะเข้าใจอยู่แล้ว คุณหนูว่าอย่างไรนางก็แค่ฟังไว้อย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูคาดเดาได้อย่างไรเจ้าคะว่านางต้องการตามหาสิ่งของรวมถึงสิ่งของอยู่ที่ไหน?” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย
เรื่องนี้หรือ
คุณหนูจวินมองหลิ่วเอ๋อร์
“เดามั่วน่ะ” นางว่า
หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิดแล้วก็ไม่รู้สึกว่าถูกตอบขอไปทีด้วย
“ช่างเขาเถอะ อย่างไรคุณหนูก็รักษาอาการป่วยของนางจนหายดีแล้ว นี่ก็แค่มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งรับของ ไม่ขโมยไม่ปล้นไม่หลอก สองฝ่ายยินยอม” นางเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“หลิ่วเอ๋อร์พูดถูกแล้ว” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์ก็ยิ้มด้วย ดวงตาสุกใส
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปโรงหมอจิ่วหลิงของพวกเราก็คงจะชื่อเสียงเลื่องลือเงินไหลมาเทมาได้แล้วสิเจ้าคะ” นางว่า
คุณหนูจวินยิ้ม
“เรื่องนี้ คงจะไม่” นางเอ่ยขึ้น
……………………………………….
บทที่ 148 ยังคงเงียบเชียบไร้ชื่อเสียงดังเดิม
โดย
Ink Stone_Romance
เหมือนดังเช่นที่คุณหนูจวินว่า โรงหมอจิ่วหลิงไม่ได้มีคนแห่แหนมาขอรับการรักษา ยังคงไม่มีคนมาเยือนประตู
หลิ่วเอ๋อร์นั่งเฉยได้ ขอเพียงคุณหนูไม่ร้อนใจนางก็ไม่ร้อนใจ แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนั่งเฉยไม่อยู่
ชื่อเสียงนี้สร้างไม่ขึ้น
“คุณหนูจวิน ข้ารู้สึกว่าบางทีควรให้ผู้หญิงที่ได้รับการรักษาวันนั้นมอบป้ายอะไรสักอย่างให้” เขาคิดเล็กน้อย มองคุณหนูจวินที่จัดหีบยาเตรียมออกไปข้างนอก “ข้าคิดว่าพวกนางคงไม่ปฏิเสธ”
คุณหนูจวินยิ้ม
“นี่ลำบากผู้อื่นแล้ว” นางว่า
เงินค่ารักษาห้าพันตำลึงยังยอมออก ป้ายอันเดียวจะลำบากหรือ?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอึ้ง แต่จากนั้นก็ได้สติกลับมา ยินดีออกเงินแต่ไม่ยินดีป่าวประกาศ นั่นก็คงด้วยโรคนี้ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้
เช่นนี้เอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีหนทางจริงๆ ได้แต่เพียงร่ำรวยเงียบๆสวมอาภรณ์งามท่องราตรีแล้ว
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ต่อให้ชีวิตนี้รักษาคนป่วยคนนี้เพียงคนเดียว เงินค่ารักษาที่ได้มาก็เพียงพอให้เด็กสาวคนนี้อยู่อย่างไร้กังวลแล้ว
ทว่าพูดไปพูดมา เด็กสาวคนนี้เดิมก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ต่อให้ไม่หาเงินก็ยังคงใช้ชีวิตได้ไม่กังวลเหมือนกัน
เปิดโรงหมอนี่ท้ายที่สุดยังไงก็เพื่อชื่อเสียง
“ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน คุณหนูจวินมีความสามารถเช่นนี้จริงๆ ทุกเรื่องไม่ต้องกังวล” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว ไม่รีบร้อน” คุณหนูจวินว่า สะพายหีบยา ถือกระดิ่งไว้ในมือ เดินออกไปกับหลิ่วเอ๋อร์
เสียงกระดิ่งใสกังวานสะท้อนก้องถนน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองส่งพวกนางจากไป
ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยังคงไปสืบมาเงียบๆ ปรากฏว่าได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นที่พบในตรอกวันนั้นทั้งครอบครัวออกจากเมืองหลวงไปแล้ว
ที่แท้ไม่ใช่คนเมืองหลวงหรือ?
เดิมทียังหวังว่าไม่ประกาศเอิกเกริก แนะนำเผยแพร่ส่วนตัวสักหน่อยก็ยังดี อย่างไรชื่อเสียงของท่านหมอมากมายก็ล้วนเกิดขึ้นจกการคุยโม้ระหว่างบรรดาภรรยาในบ้านเหล่านี้
ครั้งนี้ดีนัก คนถึงกับจากไปเลย เดิมทีเรื่องนี้ไม่มีคนรู้ ก็ไม่มีคนรู้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะ จังหวะเวลาก็คือโชคชะตา แต่ผ่านเรื่องเช่นนี้ไป ทุกวันได้ยินว่าคุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์ไปเดินว่อนบนถนนอีกก็ไม่ร้อนใจแล้ว
เด็กคนนี้แม้ทำการประหลาดไปบ้าง แต่ดูแล้วก็มีความเหมาะสมอยู่
“มานี่สิมา” เขาตะโกน
เด็กรับใช้ด้านนอกประตูเข้ามาทันที
“เอาชานี้ไปชงให้ข้า” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น ส่งชาห่อนั้นที่คุณหนูจวินให้ให้เด็กรับใช้
“ผู้ดูแลใหญ่ นี่ของมีชื่ออันใดหรือขอรับ? ทำไมท่านพักนี้ดื่มเจ้านี่อยู่บ่อยๆ” เด็กรับใช้ยิ้มเอ่ยขึ้น
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตบพุง คุณหนูจวินบอกว่าชานี้รักษาลำคอ เดิมทีเขาไม่ได้ถือจริงจัง แต่หลังดื่มติดต่อกันหลายครั้ง รู้สึกว่าอาการคอแห้งที่ตอนยังหนุ่มส่งของนั่งคุมร้านทำร้ายลำคอเหลือทิ้งไว้ก็ดีขึ้นแล้ว วันนี้กลับไปหลานชายตัวน้อยยังถึงกับยอเขาว่าเสียงน่าฟัง
อายุเท่าเขานี่แล้ว ยังใช้ชาชื่อดังอะไรเสริมหน้าตาอีก ร่างกายดีถึงจะเป็นหน้าตาที่สำคัญที่สุด
“ชานี่แม้ไม่ใช่ของมีชื่อ แต่มูลค่าพันตำลึงทอง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
คุณหนูจวินคนนี้เลือกคนรักษา ลงมือค่ารักษาก็ห้าพันตำลึง ยานี่ก็คงไม่ใช่ใครก็ได้มาจากนางได้ ราคาก็คงไม่ถูก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฐานะนี้ ดื่มชาพันตำลึงทองก็เหมาะสม เด็กรับใช้ยิ้มถอยออกไป
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนั่งอยู่ในห้องดื่มชายังคงถอนหายใจเบาๆ
คุณหนูจวินคนนี้มีวิชาแพทย์ที่เก็บเงินได้หมื่นตำลึง คิดวิธีส่งเดชขึ้นมาสักอย่าง ชื่อเสียงที่เมืองหลวงนี่ก็แพร่สะพัดแล้ว ทำไมดันจะต้องทำเช่นนี้เล่า?
ที่แท้นางต้องการสร้างชื่อใช่หรือไม่?
…
ส่วนอีกด้านหนึ่งของถนน ชายหนุ่มหลายคนกำลังจับกลุ่มเดินอยู่
“จางเป่าถัง เรียกเจ้าออกมากินข้าวสักมื้อยากจริงนะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ตบบ่าชายหนุ่มข้างตัว
จางเป่าถังยิ้มบื้อ ไม่รอคำตอบชายหนุ่มคนหนึ่งอีกด้านก็กอดไหล่เขา
“เป่าถังไม่ใช่ป่วยรึ เชื่อฟังคำสั่งหมอไม่อาจดื่มสุรา” เขาหัวเราะเอ่ย
“จางเป่าถังเจ้าป่วยจริงรึ?” คนด้านข้างพากันเอ่ยถาม
จางเป่าถังยังคงพูดไม่ทัน
“แน่นอนว่าป่วยจริง ท่านชายของพวกเราเที่ยงคืนหิ้วหมอสองคนบุกไปสำนักราชองครักษ์เพื่อจางเป่าถัง วันนี้ใครไม่รู้” ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะร่า
เขาพูดจบคนก็มองไปข้างหลัง
“พี่รอง ข้าก็ป่วยนะ” เขากดหน้าอกออกแรงไอเสียสองที
จูจั้นที่เดินอยู่ด้านหลังยกมือคว้าเขา
“งั้นรึ น้องสาวซื่อเฟิ่ง มาให้พี่ชายรักษาเจ้าหน่อยสิ” เขาเอ่ย
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าซื่อเฟิ่งร้องละเว้นด้วยเสียงหลง ชายหนุ่มคนอื่นก็หัวเราะประสาน
พวกเขาห้าคนนี้เสียงดังคึกคักกลบทั้งถนน
คนบนถนนมองชายหนุ่มกลุ่มนี้ เห็นพวกเขารูปร่างกำยำ เสื้อผ้าสีสด บรรยากาศไม่ธรรมดา ก็รู้ว่าเป็นลูกหลานเสเพลของตระกูลใหญ่สูงส่งเหล่านั้นในเมืองหลวง
คนเหล่านี้มีตำแหน่งตกทอดในตระกูล เกิดมาก็มีตำแหน่งขุนนาง โตขึ้นก็กลายเป็นคนเสเพล กินดื่มไม่กังวล ขี่ม้าสู้สุนัข ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หาเรื่องด้วยไม่ได้
แต่ตอนนี้ทั้งห้าคนนี้ที่เดินอยู่บนถนนยิ่งมีคนที่มีชื่อมากที่สุดในนั้นอยู่ ชื่อเสียงนี้ยังคงได้มาจากตอนที่ต่อยตีกับองค์ชายสิบสองกลางถนนเมื่อครั้งกระโน้น
เล่ากันว่าตอนนั้นพบหน้ากันที่ลานประลองยุทธ์ องค์ชายสิบสองถูกองครักษ์ที่มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงเป็นผู้นำอัดอยู่ฝ่ายเดียวกองอยู่กับพื้น ศึกเดียวสร้างชื่อ
แม้กระทั่งองค์ชายยังกล้าต่อย นอกจากนี้ต่อยเสร็จยังเพียงแค่ถูกครอบครัวตำหนิลงโทษ ฮ่องเต้สักประโยคก็ไม่ตรัส ในเมืองหลวงนี้พวกเขายังมีใครไม่กล้าต่อย
ก่อนหน้านี้ที่คุ้นเคยล้วนเป็นสี่คน จูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงเพราะน้อยครั้งนักมาเมืองหลวงจึงไม่อยู่ในนั้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว คนทั้งหมดล้วนไม่แปลกตาสักนิด เหมือนกับเขาอยู่มาตลอด
มองเห็นห้าคนนี้เดินมา คนบนถนนก็พากันถอยหลีก พวกจูจั้นไม่สนใจสักนิด เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับการเป็นที่รู้จักเช่นนี้นานแล้ว
“พี่รองจูบอกว่าป่วยไม่มีประโยชน์” ในที่สุดจางเป่าถังก็หาจังหวะพูดได้ หัวเราะเอ่ยว่า “คุณหนูจวินพูดถึงมีประโยชน์”
คุณหนูจวิน?
ดวงตาหงส์ของชายหน่มที่ถูกเรียกว่าซื่อเฟิ่งเหลือบทีหนึ่ง
“คุณหนูหมอเร่คนนั้นหรือ?” เขาเอ่ยถาม มองจูจั้นอีกครั้ง “ช่าง…เชื่อฟังขนาดนี้?”
เขายักคิ้วหลิ่วตาคล้ายหัวเราะแต่ไม่หัวเราะ
จูจั้นเลิกคิ้วทีหนึ่ง แต่ครั้งนี้เขายังไม่ทันพูด จางเป่าถังเอ่ยปากขึ้นมาก่อนแล้ว
“คุณหนูจวินร้ายกาจมาก” เขาว่า “ไหล่ของข้าหลังครั้งสองครั้งก็ไม่เจ็บแล้ว นอกจากนี้อาการไอตอนกลางคืนก็ดีขึ้นด้วย”
จางเป่าถังเป็นคนซื่อ คำพูดของเขาทุกคนล้วนเชื่อ
ซื่อเฟิ่งกึ่งเชื่อกึ่งคลางแคลง
“ร้ายกาจขนาดนี้จริงรึ?” เขาเอ่ยขึ้น มองจูจั้นอีกครั้ง
“ข้าก็แค่เห็นจริงกับตา” จูจั้นเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ารู้ว่าตอนข้ามาผ่านหรู่หนาน ข้าพบกับคุณหนูจวินคนนี้ที่นั่น”
นี่เขาพูดว่ารู้จักคุณหนูจวินคนนี้ขึ้นมาเอง
บรรดาชายหนุ่มล้วนมองเขา
จูจั้นครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“วิชาแพทย์ของนางไม่มีปัญหา” เขาเอ่ย
บรรดาชายหนุ่มร้องอ้อ
“อย่างอื่นเล่า?”
“แล้วยังไง?”
บรรดาชายหนุ่มหัวเราะจี้ถาม
ใครสนใจว่าวิชาแพทย์ของนางเป็นอย่างไร เด็กสาวคนหนึ่งวิชาแพทย์เป็นอย่างไรจะทำอย่างไรได้ถึงไหน
ที่เหล่าชายหนุ่มสนใจก็คือการรู้จักกันของหนึ่งชายกับหนึ่งหญิง รวมถึงเรื่องสนุกต่างๆนานาที่เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
“อย่างอื่นข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้ากับนางก็ไม่ได้คุ้นเคย” จูจั้นเอ่ยขึ้น
ซื่อเฟิงพาดไหล่ของเขา
“แต่ดูแล้วคุณหนูคนนี้จะคุ้นกับเจ้ามาก” เขาหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้น
จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ผู้หญิงคนไหนเห็นข้าไม่มาทำตัวสนิทสนมเองบ้าง” เขาเอ่ย “ช่วยไม่ได้ ใครให้ข้าเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเช่นนี้ ข้าระวังตลอดเวลาก็ยังกันไม่อยู่”
“หน้าไม่อายจริงๆ”
บรรดาชายหนุ่มพากันหัวเราะเอ่ยด่า
กำลังเล่นกันชุลมุนอยู่ จางเป่าถังก็ร้องเอ๋ขึ้นมา
“คุณหนูจวินอยู่ด้านนั้น” เขาเอ่ยขึ้น
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ บรรดาชายหนุ่มรีบมองไป เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินเชื่องช้าอยู่ในตรอกด้านข้างจริงๆ สาวใช้ข้างตัวยกธงอยู่ ยังคงมีเสียงกระดิ่งลอยมา
…
มองเห็นคุณหนูจวินเข้ามา เด็กน้อยผู้ใหญ่ในตรอกล้วนเบนสายตา
วันนี้เรื่องที่มีเด็กสาวคนหนึ่งเรียกตนเองว่าหมอเร่เดินทั่วเมืองทั้งยังเลือกคนไข้แพร่ไปทั่วเมืองแล้ว มองเห็นคุณหนูจวินมา บรรดาเด็กน้อยล้อมล้อเลียน บรรดาผู้ใหญ่ก็บ่ายหน้าสีหน้าดูแคลนชี้มือชี้ไม้
คุณหนูจวินล้วนไม่สนใจ เพียงแค่เดินตัดในตรอกสั่นกระดิ่งเท่านั้น
ฉับพลันนางก็หยุดด้านหน้าผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่คุยเล่นหัวเราะอยู่ มองหนึ่งในนั้น
“ท่านป้าผู้นี้ ข้าเห็นท่านมีลางร้าย” นางว่า
คำพูดนี้ออกมา ผู้หญิงหลายคนที่กำลังคุยเล่นกันอยู่ก็อึ้งไป พวกจางเป่าถังชายหนุ่มที่ตามเข้ามาก็อึ้งไปแล้ว
ลางร้าย?
ซื่อเฟิ่งอดไม่ได้หัวเราะพรืดแล้ว
“คุณหนูจวินคนนี้วิธีรักษาคนแปลกใหม่จริง”เขาเอ่ย
จูจั้นข้างหลังทำหน้ารังเกียจ
บอกก่อนแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนปกติ
……………………………………….
บทที่ 149 คุยเล่นไม่ถือสา
โดย
Ink Stone_Romance
เปลี่ยนเป็นใครได้ยินว่าลางร้ายนี้ย่อมต้องไม่พอใจ บรรดาผู้หญิงในตรอกโกรธเคืองโบกมือทันที
“ไปไปไป อย่ามาหาพวกเราทางนี้ อัปมงคล”
ตามองเห็นกำลังจะผลักบนร่างคุณหนูจวิน
“เฮ้เฮ้ ทำอะไร ทำอะไร”
เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งควบคู่กับเสียงร้องของผู้ชายดังมาจากปากตรอก ผู้คนมองไป เห็นชายหนุ่มสูงใหญ่กำยำกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา พวกผู้หญิงตกใจสะดุ้งโหยง
“ทำอะไรรังแกคนรึ?”
“คนมากมายขนาดนี้รังแกแม่นางน้อยคนอื่น?”
ชายหนุ่มเหล่านี้ล้อมเข้ามา แต่ละคนตะโกนโหวกเหวก
บรรดาผู้หญิงย่อมจำคุณชายเสเพลเหล่านี้ได้ รีบหลบออกไปทันที
คุณชายเสเพลเหล่านี้จะทำอันใด?
ปกป้องความยุติธรรม? เป็นไปไม่ได้
คงจะแทะโลมแม่นางน้อยล่ะสิ
ความคิดแล่นผ่านก็เห็นชายหนุ่มเหล่านั้นล้อมเด็กสาวคนนี้ไว้ ในนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งคิ้วเรียวดวงตาหงส์สวมอาภรณ์ฉูดฉาดยิ้มให้เด็กสาว
“คุณหนูจวิน” เขาหัวเราะคิกคัก “บังเอิญจริงเชียว”
เด็กสาวคนนั้นไม่ได้ตกใจจนดวงหน้างามถอดสีตื่นตระหนก ตรงกันข้ามขยับแย้มยิ้ม
“ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ” นางยิ้มเอ่ยขึ้น สายตากวาดผ่านพวกเขา “ดูท่าคงต้องยินดีกับพี่ใหญ่จางที่สุขภาพแข็งแรงแล้ว”
บรรดาชายหนุ่มผิวปาก
“นี่เรียกพี่ใหญ่เสียแล้วรึ”
“ใช้ได้นี่จางเป่าถัง”
ทุกคนหัวเราะผลักจางเป่าถัง
แต่การหยอกล้อนี่ไม่ได้ทำให้เด็กสาวอึดอัด ตรงกันข้ามมีเพียงจางเป่าถังหน้าแดงกระดากอายอยู่บ้าง นางกลับยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
จิ๊จิ๊จิ๊ จูจั้นส่ายศีรษะ หน้าของเด็กสาวคนนี้นี่
“คุณหนูจวิน จางเป่าถังบอกว่าวิชาแพทย์ของท่านเยี่ยมนัก” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น “ท่านลองตรวจข้าดูบ้างสิว่ามีโรคอะไรหรือไม่?”
คำพูดนี้ทะลึ่งจริงๆ
บรรดาผู้หญิงที่ล้อมดูอยู่ไกลๆ เบะปากฟังต่อไปไม่ได้ นี่ก็คือจุดจบของเด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่อยู่บ้านดีๆ เปิดหน้าเปิดตามาเป็นหมอเร่อะไร
หมอเร่คนนี้กลับไม่อับอายโกรธเคือง ตรงกันข้ามกลับหัวเราะอีกครั้ง
“เอาสิ” นางเอ่ยขึ้น สายตาจับบนร่างเขา จดจ่อทั้งตั้งใจ
ไม่เคยมีเด็กสาวกล้ามองเพศตรงข้ามคนหนึ่งเช่นนี้มาก่อน
ชายหนุ่มที่เห็นฉากพลอดรักนานาชนิดจนเคยคุ้นถูกสายตาจดจ้องเช่นนี้มอง ตนเองกลับแข็งทื่อก่อน
เด็กสาวไม่เพียงมอง ยังสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งยื่นมือมา
“ทำอะไร?” ซื่อเฟิงถอยหลังโดยไม่รู้ตัวหลุดปากเอ่ยถาม
จูจั้นยกเท้าถีบซื่อเฟิงทีหนึ่ง ซื่อเฟิงที่เพิ่งถอยหลังหนึ่งก้าวก็ถูกถีบไปตรงหน้าคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินไม่ได้สะดุ้งตกใจ ซื่อเฟิ่งกลับส่งเสียงร้อง
จูจั้นหัวเราะเสียงดัง
บรรดาชายหนุ่มจึงหัวเราะลั่นตามด้วย
ผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมเด็กสาวคนหนึ่งประสานเสียงหัวเราะ นี่ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจกลัว คนที่ล้อมชมเหตุการณ์อยู่ไกลๆ แค่ดูก็ทนไม่ไหวแล้ว
คุณชายเสเพลเหล่านี้น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ
แต่ที่ยิ่งทำให้คนกลัวก็คือ เด็กสาวที่ถูกล้อมอยู่กลับหัวเราะตามด้วย
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องจับชีพจรแล้ว” นางหัวเราะ วางมือลง “ร่างกายของท่านดียิ่งนัก ไม่มีปัญหา”
ซื่อเฟิ่งมองนาง แล้วมองทุกคน
“นี่ข้า ถูกหยอกงั้นรึ?” เขาเอ่ยถาม
“ใช่สิ ใช่สิ” จูจั้นตบเขาเบาๆ “ยินดีด้วยน้องสาวสี่ เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะลั่นอีกครั้ง
ซื่อเฟิ่งลูบปลายคาง
“ที่แท้นี่ก็คือการถูกหยอก” เขาเอ่ย ใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มพลางมองจูจั้นอีกครั้ง “แต่ ท่านทำไมต้องพูดว่าเหมือนกัน?”
รอยยิ้มบนหน้าจูจั้นแข็งค้าง
ซื่อเฟิ่งตบไหล่เขาหัวเราะลั่นทันที
“โอ้โอ้ ข้ารู้แล้ว” เขายิ้มเอ่ยขึ้น แล้วมองคุณหนูจวิน “ที่แท้เจ้าเคยหยอกเขามาก่อน มิน่าเขาถึงไม่ชอบเจ้าขนาดนี้”
หยอกรึ
บรรดาชายหนุ่มเอะอะทันที มองจูจั้นแล้วมองคุณหนูจวิน
จูจั้นสีหน้าฟื้นกลับมา เลิกคิ้วมองคุณหนูจวิน ไม่มีเจตนาจะอธิบายสักนิด
นี่เป็นการหยอกเย้าโต้งๆ จริงๆ นะ ยังผลัดกันหยอกเย้าอีกด้วย
น่ากลัวเกินไปแล้ว
“คุณชายล้อเล่นแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น “นี่จะเรียกหยอกได้อย่างไร ข้าเป็นหมอ มองฟังถามจับ ล้วนเพื่อรักษาโรค ไม่แบ่งชายหญิง”
ซื่อเฟิ่งเก็บเสียงหัวเราะมองคุณหนูจวินประเมินทีหนึ่ง
“คุณหนูจวิน ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นท่านหมอคนหนึ่งจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “จิตใจนิ่งสงบไม่ตระหนกเช่นนี้ของเจ้า นอกจากแม่ทัพออกศึกสังหารศัตรู ก็มีเพียงท่านหมอมีได้”
จิตใจอะไร ก็แค่ไม่รู้จักอายเท่านั้น
อย่างไรก็เป็นเจ้าถิ่นแห่งหรู่หนาน กอดผู้ชายกลางถนนไม่ยอมปล่อยยังกล้าทำ ยังกลัวผู้อื่นล้อมเอ่ยวาจาหยอกล้อรึ
จูจั้นยิ้มหยัน
“พวกเจ้าไม่ต้องกวนคุณหนูจวินแล้ว” จางเป่าถังเอ่ย คำนับคุณหนูจวิน “คุณหนูจวิน ท่านบอกว่าอาการป่วยของข้าหายแล้ว ดื่มสุราได้แล้ว ดังนั้นพวกเราจึงจะทานอาหารกัน”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็ยืดตัวตรง
“เชื้อเชิญไม่สู้พานพบ ท่านก็มาด้วยกันสิ”
คำพูดนี้ออกมาตนเองก็อึ้งไปแล้ว พริบตกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
มีที่ไหนผู้ชายกลุ่มหนึ่งเชื้อเชิญเด็กสาวคนหนึ่งไปดื่มสุราด้วย นี่เรียกคำพูดอะไรกัน
บางทีอยู่ต่อหน้าเด็กสาวคนนี้คงรู้สึกผ่อนคลายสบายใจเกินไป ผลสุดท้ายจึงเหมือนกับพบบรรดาสหายที่คุ้นเคยของตนเอง ทักทายเรียกมิตรเรียกสหายด้วยความเคยคุ้น
ซื่อเฟิ่งหัวเราะหึหึแล้ว
“คุณหนูจวิน พี่สามบ้านข้าเชื้อเชิญแล้ว เป็นน้ำใจ” เขายักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยขึ้น
เชิญผู้หญิงคนนี้!
อย่าคิดว่านางไม่กล้าตอบรับ
จูจั้นในใจแค่นเสียงเหอะ
“พอแล้ว น้ำใจให้เงินก็พอแล้ว” เขาว่า หยิบถุงเงินออกมาโยนข้ามมาจริงๆ “ขอบคุณคุณหนูจวินมาก น้ำใจเล็กน้อยโปรดรับไว้ด้วย”
นี่อับอายขายหน้าเกินไปแล้ว
เรื่องที่เกินไปยิ่งกว่านี้พวกเขาล้วนทำมาแล้ว แต่เวลานี้ตอนนี้ บนหน้าของจางเป่าถังกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง อดไม่ได้กดแขนของจูจั้นไว้
คุณหนูจวินรับถุงเงินไป สีหน้าไม่มีอายโกรธสักนิด
“ขอบคุณมาก” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
จิ๊จิ๊จิ๊ เห็นไหม ในใจจูจั้นแค่นเสียงเหอะอีกครั้ง
“ไป” เขาหมุนตัวก้าวยาว
บอกจะไปก็ไปเลยเรอะ บรรดาชายหนุ่มมองคุณหนูจวินทีหนึ่งอีกครั้ง จางเป่าถังคำนับคุณหนูจวินติดจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง ส่วนซื่อเฟิ่งยิ้มตาหยีทั้งยังยักคิ้ว
“คุณหนูจวิน ครั้งหน้าพบกันนะ” เขาว่า
คุณหนูจวินยิ้ม คำนับให้พวกเขา
“ครั้งหน้าพบกัน” นางเอ่ย
บรรดาชายหนุ่มก้าวยาวตามจูจั้นไป
“คุณหนูจวินคนนี้น่าสนใจนะ” ซื่อเฟิ่งเอ่ยขึ้น แล้วหันกลับไปมองคุณหนูจวินผู้ยังยืนอยู่ที่เก่า “เปิดเผยห้าวหาญ”
จูจั้นไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับมาหัวเราะ
“นี่นับเป็นเปิดเผยห้าวหาญอะไร” เขาว่า “เทียบกับ…นางยังห่างอยู่ไกล”
ประโยคสุดท้ายเสียงเบาแทบไม่อาจได้ยิน หายไปตรงริมฝีปากยามก้าวไปข้างหน้า
ส่วนหลิ่วเอ๋อร์ด้านนี้ในที่สุดก็โล่งอกก้าวเข้ามา
“คุณหนู คนเหล่านี้น่ารังเกียจจริงๆ” นางเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ก็ไม่นับว่าน่ารังเกียจจริงหรอก มากที่สุดแค่วาจาไม่ได้กระทำ” นางเอ่ยขึ้น มองแผ่นหลังของพวกจูจั้น “ขอแค่อย่าเหมือนกับคนเหล่านั้นที่ข้าเคยพบมาก่อนหน้า เอาคนมาเล่นสนุกก็พอ”
หลิ่วเอ๋อร์ประหลาดใจ
“เอาคนมาเล่นสนุก? ที่ไหน?” นางเอ่ยถาม
ตั้งแต่เล็กนางก็อยู่กับคุณหนู ทำไมจำไม่ได้ว่าเคยพบเรื่องนี้มาก่อน?
ย่อมต้องเป็นที่เมืองหลวง
คุณหนูจวินยิ้ม
ตอนนั้นนางเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์เป็นปีที่สาม เหมือนเช่นสองปีก่อนหน้าช่วงปีใหม่เร่งเดินทางกลับเมืองหลวงมาข้ามปีกับครอบครัว ขี่มาเร่งเดินทางมาตลอดทาง ตอนที่ผ่านประตูเมืองเห็นคนหลายคนกำลังรุมอัดคนอยู่
คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าหรูหรา เห็นชัดว่าเป็นลูกลานของตระกูลร่ำรวย
หลายคนรุมคนเดียวก็เกินไปมากแล้ว หลายคนนี้ยังหน้าไม่อายปิดบังหน้าตาไว้อีก
นี่ก็คือการดักตีที่อาจารย์เล่าสินะ
นางเห็นเข้าไม่สบอารมณ์ อาศัยตอนที่ผ่านประตูตะโกนให้หลีกยกแส้หวดใส่พวกเขาอย่างแรง
คนหลายคนนั้นหน้าไม่อายจริงๆ ยังคิดขวางทำร้ายนางเด็กสาวคนหนึ่ง ถุงงูถุงหนึ่งที่อาจารย์เตรียมไว้ให้นางใช้ระหว่างทางได้ใช้ประโยชน์พอดี ถูกนางสะบัดใส่คนเหล่านี้ ทำพวกเขาตกใจวิ่งหนีไปแล้ว
ส่งพระส่งให้ถึงตะวันตก นางหยิบป้ายหยกองค์หญิงยศจวิ้นจู่ออกมาให้ยามเฝ้าประตูเมืองที่เข้ามาสอบถามคุ้มครองคนที่ถูกทำร้ายหมดสติอยู่ที่พื้นคนนั้นกลับไป ตอนนี้ถึงตบม้ายกแส้จากไป
นับขึ้นมานั่นก็เป็นเรื่องเจ็ดปีก่อนแล้ว ยาวนานจริงๆ เหมือนเรื่องเมื่อชาติที่แล้ว
ก็ชาติที่แล้วน่ะสิ เรื่องขององค์หญิงจิ่วหลิงเมื่อชาติที่แล้ว
“เอาล่ะ ไปเถอะ” คุณหนูจวินเก็บความคิดที่ล่องลอยไปไกล ยิ้มให้หลิ่วเอ๋อร์
คุณหนูโกรธนางก็โกรธ คุณหนูไม่ร้อนใจนางก็ไม่ร้อนใจ หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะด้วยพยักหน้าถือธงสูงก้าวเท้าเดิน
ในตรอกเพราะพวกจูจั้นจากไป ผู้คนที่ออกันอยู่ที่นี่ล้วนมองพวกนาง สีหน้าดูแคลนเทียบกับก่อนหน้านี้ยิ่งเพิ่มความเยาะหยันและถากถางอีกหลายส่วน
“หน้าไม่อายจริงๆ”
“ทำไมไม่คุกเข่าขอให้คนเหล่านี้ให้นางตรวจโรคล่ะ”
“นั่นสิ คนเหล่านี้ล่อลวงได้ก็ร่ำรวยแล้ว”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาแต่ก็ลอยเข้าหูให้คนได้ยินไม่ขาด
คุณหนูจวินไม่สนใจ มองเห็นผู้หญิงที่เมื่อครู่บอกว่ามีลางร้ายยังยืนอยู่ด้านข้างก็เดินเข้าไปอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เห็นนางจะเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นก็ถ่มน้ำลายหมุนตัวจากไปเสียก่อนแล้ว
คุณหนูจวินได้แต่หยุดฝีเท้า รอบด้านเสียงหัวเราะดังขึ้น
ท่ามกลางเสียงหัวเราะนี่เอง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกตรอก ก้าวเท้ารีบร้อนสีหน้ากังวลมองซ้ายมองขวาราวกับตามหาอะไรอยู่ มองเห็นคุณหนูจวินรวมถึงธงที่หลิ่วเอ๋อร์ยกอยู่ในมือเข้า ฉับพลันดวงตาก็ทอประกาย
นางก้าวเท้าเร็วไวมายืนตรงหน้าคุณหนูจวิน
“คุณหนูจวิน” นางเอ่ยขึ้น ท่าทางคาดหวังอยู่บ้าง “ท่านดูหน่อยข้ามีลางร้ายหรือไม่?”
เสียงหัวเราะในตรอกชะงักไป สายตาทั้งหมดล้วนมองไปทางผู้หญิงคนนั้น
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น