Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 111-121

 บทที่ 56 เรื่องนี้ลำบากใจยิ่งนัก

โดย

Ink Stone_Romance

ที่ถามขึ้นมาไม่ใช่แค่หลิ่วเอ๋อร์คนเดียว รอบด้านแทบจะถามขึ้นมาในเวลาเดียวกัน


ทำไมต้องวางเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ไว้ที่นี่?


คิดจะทำอะไร?


อวดรวยรึ?


“…นี่เป็นรางวัล” คนดูแลโคมกำไม้พูดขึ้น “ทำให้โคมใบนี้สว่างได้ เงินห้าพันตำลึงก็เป็นของเจ้า”


คนที่มุงล้อมฮือฮา


ห้าพันตำลึง


ต้องรู้ว่าปีนี้ตระกูลฟางให้เงินรางวัลโคมไฟที่ได้ที่หนึ่งเพียงหนึ่งพันตำลึง


จริงหรือหลอก?


“แน่นอนย่อมจริง ตั๋วเงินของเต๋อเซิ่งชางยังมีของปลอมหรือไง” คนดูแลโคมไฟยื่นมือมาชี้ชามแก้วที่วางตั๋วเงิน “แล้วดูชามแก้วนี่ นี่ใบหนึ่งเป็นเงินตั้งห้าสิบตำลึง”


“ชนะแล้วเอาไปได้จริงหรือ?” คนถามหายใจฟืดฟาด ร่างกายกำลังสั่นระริก


ห้าพันตำลึงเชียว


“แน่นอน” คนดูแลโคมไฟเอ่ยขึ้น


สิ้นเสียงคนผู้นั้นก็พุ่งพรวดเข้ามา


“ช้าก่อน” คนดูแลโคมไฟใช้ไม้ขวางไว้อีกครั้ง


เขาดูไปแล้วผ่ายผอมมาก ไม้ในมือก็บอบบางไร้กำลัง แต่เมื่อไม้วางลงบนหัวไหล่ของคนที่พุ่งเข้ามา คนผู้นั้นกลับต้องชะงักเท้า


คนผู้หนึ่งถูกจ้างมารักษาตั๋วเงินห้าพันตำลึงได้ย่อมมีความสามารถอยู่บ้าง


คุณหนูจวินผงกศีรษะ ผู้ดูแลเกาคนนี้พึ่งพาได้จริงๆ


“ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรือ? อยากลองดูว่าจุดแสงไฟให้โคมนี้ได้หรือไม่ต้องควักเงินออกมาก่อน” คนดูแลโคมเอ่ยขึ้น มือชี้ที่ชามแก้วอีกใบหนึ่ง ข้างในนั้นมีเศษเงินกระจัดกระจาย “ลองหนึ่งครั้ง สิบตำลึง”


สิบตำลึง!


สิบตำลึงมีค่าเท่าไร ปากท้องปีหนึ่งของครอบครัวสามคนครอบครัวหนึ่ง


“นี่แพงเกินไปแล้ว!” คนที่มุงล้อมอยู่พากันร้องตะโกนออกมาทันที


“แพง?” คนดูแลโคมไฟแค่นเสียงเอ่ยขึ้น “แน่นอนต้องแพง เท่ากับแป้งฝุ่นที่ดีที่สุดในร้านเครื่องประทินโฉมที่ดีที่สุดของหยางเฉิงหนึ่งตลับ เท่ากับชุดเครื่องชาเคลือบสีจากติ้งโจวหนึ่งชุด เท่ากับอาหารชั้นดีเรียงรายเต็มโต๊ะของหอหลู่หยางหนึ่งโต๊ะ เท่ากับพู่กันหรูจากขนหมาป่าเหนือหนึ่งด้าม”


คำพูดนี้ทำให้คนที่มุงล้อมอยู่เงียบงันในทันที


สำหรับชาวบ้านธรรมดาที่ยากจนแล้ว เงินสิบตำลึงเป็นสิ่งประกันชีวิต แต่สิ่งที่คนดูแลโคมยกตัวอย่างขึ้นมาเป็นสิ่งประดับชีวิตของคนร่ำรวย


สิบตำลึงนี้จะพูดว่าแพงก็แพง พูดว่าไม่แพงก็ไม่แพง ดูว่าใครเป็นคนพูด


พูดให้กระดากหูอีกนิดก็คือมีเงินเจ้าก็เล่น ไม่มีเงินก็หุบปากไปเสีย ก็เหมือนกับที่เจ้าใช้แป้งฝุ่น ขนหมาป่าไม่ได้ กินอาหารชั้นดีเรียงรายเต็มโต๊ะไม่ไหวเช่นนั้น นั่นเป็นปัญหาของเจ้า ไม่ใช่ปัญหาของแป้งฝุ่น ขนหมาป่ากับอาหารเรียงรายเต็มโต๊ะ


คุณหนูจวินมองคนดูแลโคมไฟคนนั้นผงกศีรษะอีกครั้ง


“แล้วอีกอย่าง” คนดูแลโคมไฟมองผู้คนที่ถอยหลังไปหัวเราะขึ้นมาอีกที ใช้ไม้ในมือเคาะชามแก้วที่วางตั๋วเงินไว้อีกครั้ง “สิบตำลึงได้กำไรห้าพันตำลึงได้ การซื้อขายครั้งนี้ยังไม่คุ้มหรือ? ทั้งชีวิตก็เจอได้แค่ครั้งนี้เท่านั้น”


ไม่ผิด สิบตำลึงแลกห้าพันตำลึงได้ การซื้อขายนี้คุ้มค่าเกินไปแล้ว


ผู้คนที่เดิมถอยออกไปลมหายใจกระชั้น ดวงตาทอประกายขึ้นมาอีกครั้ง


“ข้าลอง” มีคนเอ่ยปากพลางสะบัดแขนเสื้อเดินเข้ามา


เป็นคนรวยอ้วนฉุสวมชุดแพรไหมคนหนึ่ง


“ข้าเป็นคนค้าคนขายคนหนึ่ง ข้าจะซื้อขายครั้งนี้” เขาเอ่ยขึ้น โยนเงินสิบตำลึงในมือเข้าไปในชามแก้ว “ทำการค้าน่ะ บางครั้งก็เป็นการเดิมพัน”


คนดูแลโคมไฟตรวจสอบเงินที่ตกลงมาในชามแก้ว


“ไม่ผิด ถ้าเจ้าชนะ เงินในชามแก้วทั้งสองนี่ล้วนเป็นของเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น ใช้ไม้ชี้ไปบนกระดานหมากโคมไฟ “เชิญ”


พ่อค้าอ้วนฉุยืนนิ่งอยู่หน้ากระดานหมาก ตั้งใจมอง ตอนที่รอจนจะหมดความอดทนนั่นเอง ในที่สุดเขาก็ยื่นมือมาหยิบหมากสีดำเม็ดหนึ่งวางลงบนกระดานหมาก


บนกระดานหากแกะช่องว่างพอดีให้วางหมากลงไปได้ไว้แล้ว


หมากตกลงไปเกิดเสียง แต่โคมไฟยังคงไม่สว่างเช่นเดิม


รอบด้านเกิดเสียงถอนหายใจ


พ่อค้าส่ายศีรษะ สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป


“ยังมีใครอีก ยังมีใครอีก?” คนดูแลโคมไฟเอาหมากสีดำเม็ดนั้นลงมา กวัดแกว่งไม้พูดขึ้นต่อ “สิบตำลึงหนึ่งครั้ง สิบตำลึงครั้งหนึ่ง”


ใบหน้าของคนรอบท่าทางไม่ยินยอมแต่ก็ลังเล พากันวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว สิบตำลึงฟุ่มเฟือยเกินไป คนที่ตัดใจทิ้งเงินสิบตำลึงแลกโอกาสเลื่อนลอยครั้งหนึ่งมีไม่มาก


แต่ก็มีเงินรางวัลห้าพันตำลึง คนที่ต้านทานสิ่งล่อลวงใหญ่ขนาดนี้ได้ก็มีไม่มากเช่นกัน


ไม่นานก็มีคนก้าวออกมา โยนเงินสิบตำลึงลงไปในชามแก้ว ครั้งนี้เขาขยับเร็วกว่าพ่อค้าคนก่อนหน้า เหมือนกับคิดก็ยังไม่คิดก็วางหมากลงไป


หรือนี่จะเป็นยอดฝีมือ?


คนที่มุงล้อมอดไม่ได้กลั้นลมหายใจ รอคอยนาทีที่โคมจะสว่าง


แต่น่าเสียดาย โคมไฟยังคงไม่สว่าง


“ชิ” คนผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อ “จริงหรือหลอกกัน? สว่างได้หรือไม่ได้กันแน่? ไม่ใช่หลอกลวงคนหรอกนะ?”


คนที่มุงล้อมอยู่พลันส่งเสียงชิขึ้นมาด้วย


ที่แท้เป็นคนที่มาเดาคนหนึ่ง


“อะไรกัน อะไรกัน? ไม่ได้หรอกหรือ” คนผู้นั้นแค่นเสียงหึเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่แค่พนันรึไง”


ไม่ผิด นี่ก็คือการพนัน


เพียงแต่พนันอย่างผู้ดี เงินเดิมพันก็มาก แน่นอนเงินที่ชนะก็มากเหมือนกัน


คนที่มุงล้อมสายตาจับอยู่บนโคมไฟดวงนั้น ดำสนิทราวกับถ้ำที่ไร้ก้นบึ้ง ทำให้คนหวาดกลัวแต่ก็ทำให้คนอยากไขว่คว้าสมบัติที่ซ่อนอยู่ในนั้น



“เร็วๆ ไปดูกัน”


คนบนถนนเริ่มวิ่งวุ่นวายอีกครั้ง บรรดาเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ตรงกลางถูกชนเซซ้ายล้มขวาอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟของบางคนยังถูกชนจนร่วง


“ทำอะไรกัน? เจ้าง่อยนั่นยังไม่กลับบ้านหรือ?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นไม่สบอารมณ์


“รีบไปดูเถอะ ฝั่งนั้นมีโคมไฟใบหนึ่งร้ายกาจมาก ใครทำให้มันสว่างได้จะได้เงินเยอะแยะ” คนที่วิ่งผ่านด้านข้างไป ใจดีเอ่ยบอก


จุดโคมไฟได้เงินเยอะแยะ? โคมไฟจุดยากนักหรือ? ก็น่าสนใจอยู่


เด็กหนุ่มหลายคนนั้นสบตากันทีหนึ่ง


“ดึกแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น


คำพูดนี้ช่างขัดความสนุก เหล่าสหายปฏิเสธทันที


“ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด จะกลับไปได้อย่างไร” พวกเขาเอ่ยขึ้น ไม่ปล่อยให้เถียงล้อมเขาไว้ตามฝูงชนไป


สำหรับเทศกาลโคมไฟ เวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด แต่สำหรับหนิงอวิ๋นเจากลับไม่ดีอยู่บ้าง เพราะเมื่อครู่พบเรื่องนั้น


เขาก้มหน้ามองในมือ โคมไฟที่เด็กสาวคนนั้นยัดให้เขายังถูกเขาถือไว้ตลอด มองเห็นโคมไฟดวงนี้เขาก็ประหม่านิดๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ


นี่แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตัวเขาชายหนุ่มคนหนึ่งถือโคมไฟเหมือนพวกหญิงสาวจะถูกมองเป็นชายใจหญิง ดูบรรดาสหายของเขา ไม่เพียงในมือขนาดบนไหล่ก็ยังแบกโคมไฟ เดินอาดๆ อวดผ่านเมือง


วันนี้เป็นเทศกาลโคมไฟ ทุกคนล้วนทำเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเป็นคนหนุ่มคึกคะนอง กำลังเป็นวัยที่ควรมีชื่อเสียง


เหตุที่หนิงอวิ๋นเจาประหม่าเพราะไม่รู้ว่าควรจะจัดการโคมไฟดวงนี้อย่างไร


โคมไฟดวงนี้เขาเคยคิดจะทิ้งไปเสียหรือมอบให้คนอื่น


แต่ก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ดี ทิ้งไม่ลงอยู่บ้าง


หมากบอดเกมนั้นยอดเยี่ยมเกินไปแล้วจริงๆ เขาถึงขนาดรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่แน่จะได้พบอีกสักครั้ง


แต่ถ้าหากรู้จักเด็กสาวคนนั้น การต่อสู้เช่นนี้ก็คงมีอีกได้


คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาก็ร้อนขึ้นมาหน่อยๆ อย่างห้ามไม่ได้


แต่ถ้าหากเด็กสาวคนนั้นต้องการใช้วิธีนั้นรู้จักกับเขา ก็ทำให้เขาผิดหวังมากอีก


ไม่ว่าถกราชการกับท่านอาหรือคบหาสหายศิษย์ร่วมสำนัก หนิงอวิ๋นเจาล้วนชำนาญทำได้ง่ายดาย แต่ไม่คิดเลย เวลานี้จะถูกโคมไฟดวงหนึ่งทำให้ลำบาก


บทที่ 57 ความลังเลของการพบพานอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Romance

 


โคมไฟดวงหนึ่งกลับยากยิ่งว่าข้อสอบคัมภีร์ขงจื่อ


หนิงอวิ๋นเจาไม่รู้จริงๆ ว่าทำอย่างไรถึงจะดี ยังไงก็รีบกลับบ้านหน่อย เอาโคมไฟดวงนี้ให้ท่านแม่


เรื่องชายหญิงแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ ดังนั้นคงต้องมอบให้พวกผู้ใหญ่จัดการเถอะ


หนิงอวิ๋นเจาถูกสหายห้อมล้อมเดินไปข้างหน้า ไม่นานก็เห็นความคึกคักด้านหน้า แล้วก็เห็นโคมไฟที่เห็นได้ชัดว่าจุดไม่ติดดวงนั้น


คนรอบด้านมีมากมาย ความเป็นมาเป็นไปของโคมไฟดวงนี้ก็ได้ฟังรู้กระจ่างทันที


“พนันไหม” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ยขึ้น “ข้าเพิ่งเคยเห็นคนเอาการพนันมาเล่นได้เปิดเผยถึงเพียงนี้”


ได้ยินว่าเป็นการเดินหมาก หนิงอวิ๋นเจาก็ทิ้งความประหม่าที่มาเพราะโคมไฟไปชั่วคราว


“ถึงตอนนี้โคมไฟก็ยังไม่สว่างหรือ?” เขาถามขึ้น “ไม่มีคนชนะสักครั้งหรือ?”


“ไม่มี เงินในชามแก้วฝั่งนั้นจะเต็มอยู่แล้ว” สหายวาดมือประกอบสีหน้าเกินจริง


“ได้ยินว่าถ้าชนะ เงินที่คนก่อนหน้าโยนเข้าไปก็เอาไปด้วยได้” สหายอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ตอนนี้แค่เงินที่โยนลงไปนั่นก็สี่ห้าร้อยตำลึงแล้ว เงินสิบตำลึงแลกเงินมากขนาดนี้ ล่อใจเกินไปแล้วจริงๆ”


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม


“ข้ากลับรู้สึกว่าเงินห้าพันตำลึงแลกสี่ห้าร้อยตำลึงนี้มาได้ ถึงจะล่อใจมากกว่า” เขาเอ่ยขึ้น มองไปทางกระดานหมากโคมไฟด้านนั้นที่ถูกรุมล้อมจนน้ำไหลไม่ผ่าน “สิ่งล่อใจนี้ยิ่งคนเข้าร่วมมากก็ยิ่งมาก แล้วเมื่อคนยิ่งมาก คนที่ตั้งเกมหมากก็ยิ่งได้มาก”


“ก็ใช่น่ะสิ ทุกคนต่างคิดว่าเงินสิบตำลึงแลกห้าพันตำลึงช่างคุ้มค่าเหลือเกินจริงๆ แต่ห้าพันตำลึงแลกสิบตำลึงที่จริงก็คุ้มค่ามากเหมือนกัน” สหายคนหนึ่งยิ้มเอ่ยขึ้น “นี่ก็แค่กลเม็ดที่บ่อนพนันใช้กันบ่อย หุ้มหนังของเกมหมากกลับกลายเป็นเรื่องภูมิฐานเสียแล้ว”


“นี่นับเป็นการพนันไม่ได้ พูดเช่นนี้เกมโยนห่วงก็เป็นการพนันรึ” สหายอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วยังจิ๊ปากสองที “แต่คนผู้นี้ถึงกับมั่นใจมากถึงเพียงนี้ แน่ใจว่าเกมหมากของตนจะไม่ถูกแก้?”


“ถึงบอกว่าคนตั้งเกมเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “ฝีมือหมากร้ายกาจจิตใจก็ร้ายกาจ มีความมั่นใจมีความกล้า”


พูดประโยคนี้ออกมา ในใจเขาพลันมีความคิดหนึ่งแล่นผ่าน


ไม่รู้ว่าเทียบฝีมือหมากกับเด็กสาวคนนั้นจะเป็นอย่างไร?


ในเมื่อฝีมือหมากของนางดีถึงเพียงนั้น ได้ยินว่าที่นี่มีโจทย์หมากล้อมเช่นนี้ นางจะมาหรือไม่?


ความคิดแล่นผ่านก็ทนไม่ได้เงยหน้าขึ้น เงยหน้ามองทีเดียวเขาก็นิ่งงัน


ฝูงชนพลุกพล่านมากกว่าหลายจ้างด้านหน้าพลันจมหาย โคมไฟดุจหมู่เมฆก็ลางเลือน เหลือเพียงเด็กสาวคนหนึ่งปรากฏอยู่ในสายตา


มือของนางจับหมวกของผ้าคลุมเผยใบหน้าครึ่งหนึ่ง กำลังเอียงศีรษะฟังสาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งข้างกายพูด


ไม่รู้ว่าสาวใช้ตัวน้อยพูดอะไร ใบหน้าของนางแย้มรอยยิ้ม ไข่มุกเม็ดน้อยบนติ่งหูเจิดจ้าตาม



“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ มีเงินหลายร้อยตำลึงแล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าตื่นเต้นของหลิ่วเอ๋อร์สว่างไสว พยายามกดเสียงเบาพูดกับคุณหนูจวิน


ตอนที่เห็นคุณหนูถึงกับเอาตั๋วเงินห้าพันตำลึงออกมาเป็นรางวัล นางตกใจจนสะดุ้ง


คุณหนูไม่ใช่บอกจะมาเอาเงินรางวัลในเทศกาลโคมไฟหรือ? ทำไมเอาเงินห้าพันตำลึงมาเป็นเงินรางวัลโยนออกไปเสียแล้วเล่า? จะแข่งกับตระกูลฟางหรือ? ให้คนหยางเฉิงเห็นว่าคุณหนูร้ายกาจกว่า ใจกว้างกว่าตระกูลฟางหรือ?


“ข้าจะแข่งใจกว้างกว่าตระกูลฟางเพื่ออะไร ข้ามีเวลาว่างขนาดนั้นรึ?” คุณหนูจวินกลับหัวเราะเอ่ยขึ้น


ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ที่แท้คุณหนูก็มาเอารางวัลจริงๆ มิน่าเล่าคุณหนูถึงบอกว่าโคมไฟวางอยู่ที่นี่ ที่นี่คนชมมาก คนชมมากคนที่ทิ้งเงินก็ย่อมมาก


เมื่อคิดว่าหลังงานเฉลิมฉลองค่ำคืนเทศกาลโคมไฟสิ้นสุด เงินห้าพันตำลึงเปลี่ยนเป็นหกพันตำลึงหรืออาจมากกว่านั้นได้ รางวัลนี้ง่ายกว่าการไปชิงที่หนึ่งของโคมไฟอยู่มากทีเดียว


“คุณหนูร้ายกาจจริงๆ” หลิ่วเอ๋อร์ทำหน้านับถือ


“ไม่ใช่ข้าร้ายกาจ นี่เป็นเกมหมากที่ผู้อื่นคิดออกมา” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น อาจารย์ถึงจะเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุด


หลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เชื่อมั่นในตัวผู้อื่นดั่งเช่นเชื่อคุณหนูจวิน กังวลขึ้นมานิดๆ ทันที


“หมากเกมนี้ไม่มีใครแก้ออกได้จริงหรือเจ้าคะ?” นางถามขึ้น


โจทย์หมากกระดานนี้อาจารย์ได้มาจากหนังสือโบราณ แต่เดิมก็เป็นหมากจนแต้ม ผนวกกับทางหมากของโบราณไม่เหมือนกับทุกวันนี้ อาจารย์เปลี่ยนให้กลายเป็นสิบเก้าแถวเหมือนปัจจุบันยิ่งยากซ้อนยาก นอกจากอาจารย์ไม่มีใครรู้จักหมากกระดานนี้ ย่อมยิ่งแก้ยาก


แน่นอนใต้หล้าผู้คนมากมาย ก็ไม่ใช่จะไม่มี


“ที่จริงก็ไม่แน่” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “ข้าเพียงแค่ฉวยโอกาสหาประโยชน์เท่านั้น อย่างแรกเห็นว่าเป็นเกมหมาก คนที่ถูกดึงดูดมาย่อมเป็นคนที่เล่นหมากเป็น นี่ก็กรองไปได้ส่วนหนึ่ง อีกอย่างหยางเฉิงเล็กเกินไป คนมีความสามารถไม่มากมายถึงเพียงนั้น นอกจากนี้เวลาก็น้อยเกินไป”


บางครั้งแก้เกมหมากอาจจำต้องใช้เวลาหลายวัน


พูดไปแล้วเวลาของนางก็น้อยเกินไปเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ควรทำเรื่องพรรค์นี้ เรื่องฉวยโอกาสหาประโยชน์เช่นนี้อย่างไรก็ไม่ค่อยดี


“ดู ดู มีคนไปแก้เกมอีกแล้วเจ้าค่ะ” หลิ่วเอ๋อร์พูดขึ้น “ข้าไปดูนะเจ้าคะ”



“ให้เหวินหมิงไปก่อน หลังจากนั้นพวกเราค่อยไป” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น มองสหายของตนเบียดเข้าไปโยนเงินลงในชามแก้ว


“บางทีอาจไม่ต้องให้พวกเราไป เหวินหมิงก็ทำให้โคมไฟสว่างได้” เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งสอดมือไปในเสื้อพูดขึ้น


“อย่างไรก็ให้อวิ๋นเจาไปก่อนไม่ได้ แบบนั้นโอกาสสักนิดพวกเราก็ไม่มี” เด็กหนุ่มคนก่อนหน้าหัวเราะพูดขึ้น หมุนศีรษะมองหนิงอวิ๋นเจาที่อยู่หลังสุด


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม ไม่เอ่ยวาจาโต้แย่งหรือถ่อมตน


“ดูท่าโอหังนี่สิ ไม่ถ่อมตนสักนิด” เหล่าสหายแสร้งทำท่าไม่พอใจหยอกล้อ “นั่นเงินรางวัลห้าพันตำลึงเชียว แต่เจ้าคงต้องคิดให้ดีว่าจะเอาหรือไม่เอา”


พูดถึงตรงนี้ทุกคนก็รู้สึกน่าสนใจอีก คุณหนูจวินคนนั้นของตระกูลฟางด่าคุณชายสิบตระกูลหนิงว่าค่าตัวสูงกว่ายอดหญิงงามหอโคมเขียวมีค่าห้าพันตำลึง ตอนนี้เงินรางวัลของการจุดโคมไฟใบนี้ก็ห้าพันตำลึง


บังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ? บางทีโคมไฟนี้คงเป็นของตระกูลฟาง


หนิงอวิ๋นเจาความรู้ความสามารถโดดเด่น ฝีมือหมากย่อมยอดเยี่ยมเช่นกัน ตระกูลฟางคงรู้เหมือนกันว่าเขาแก้ได้ ดังนั้นจึงจงใจใช้เงินรางวัลห้าพันตำลึงมาดูหมิ่นเขา


“ผู้อื่นบอกข้ามีค่าห้าพันตำลึง ข้าก็มีค่าห้าพันตำลึงรึ?” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ยขึ้น “นอกจากนี้พวกเจ้านับผิดแล้ว”


นับผิดแล้ว? อะไร?


เหล่าสหายไม่เข้าใจ


“ถ้าหากข้าจุดโคมไฟสำเร็จ ค่าตัวของข้าย่อมกลายเป็นหนึ่งหมื่นตำลึง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยจริงจัง


เหล่าสหายนิ่งงันไปหลังจากนั้นก็กุมท้องหัวเราะลั่นทันที


บรรดาเด็กหนุ่มทางด้านนี้อยู่ดีๆ หัวเราะลั่นขึ้นมาทำให้คนรอบด้านต่างหันมองไป แม้พวกเขาส่วนมากจะสวมหมวกปิดบังใบหน้าแต่ก็ปิดความสง่าผ่าเผยไม่มิด


สายตาตะลึงปนอิจฉาเช่นนี้ของผู้คน หนิงอวิ๋นเจาคุ้นเคยไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่เขาอายุหกปีถูกยกย่องเป็นเด็กอัจฉริยะก็คุ้นเคยเสียแล้ว


เพียงแต่เวลานี้เขาอดหันมองไปทิศทางหนึ่งไม่ได้


เด็กสาวคนนั้นก็คงมองมาเหมือนกับผู้คนทั้งหลายสินะ


ไม่รู้เมื่อมองมาแล้วจะจดจำตนได้หรือไม่


หมวกปิดมากเกินไปหรือเปล่า? จะเปิดออกสักนิดดีหรือไม่?


แต่ในเมื่อนางตั้งใจ ต่อให้ศีรษะจรดเท้าหุ้มไว้มิดก็คงจดจำได้เช่นกัน


สายตาของหนิงอวิ๋นเจาทอดข้ามผู้คนที่เบียดเสียดเหยียบเท้ากันมองไปบนร่างของเด็กสาวผู้นั้น


นางไม่ได้มองมาทางนี้ เสียงหัวเราะของบรรดาเด็กหนุ่มทางนี้ก็แสร้งทำไม่ได้ยิน ไม่เพียงเท่านั้นยังยื่นมือมาดึงหมวก ปิดใบหน้าที่เดิมเผยอยู่ครึ่งหนึ่งไป เหมือนจะหลบซ่อนไปกับฝูงชน


เสียงโห่ดังมาจากฝูงชนที่มุงล้อมอยู่ด้านหน้าอีกครั้ง


นี่บ่งบอกว่าการจุดโคมล้มเหลวอีกครั้งหนึ่งแล้ว


“คนลองมากขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อหรอกนี่จะพิสดาร พวกเราเดินทีละคนๆ หลังจากนั้นจดตาเดินที่ไม่ได้ผลไว้ กระดานหมากก็ใหญ่เท่านี้ จะยังหาไม่เจอได้เชียวหรือ?” มีคนพูดเสียงดังขึ้นมา


เด็กหนุ่มผู้พาความเสียใจเดินเบียดฝูงชนออกมาได้ยินเข้าเหมือนกัน ยักไหล่กับเหล่าสหาย


“ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น กระดานหมากใหญ่เท่านี้” เขาเอ่ยขึ้น


กระดานหมากใหญ่เท่านี้สองประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าความหมายต่างกัน


กระดานหมากตั้งขวางสิบเก้าเส้น สามร้อยหกสิบเอ็ดจุดตัด เลียนแบบจำนวนองศาของจักรวาล ดูไปแล้วใหญ่เท่านี้ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ใหญ่เพียงเท่านี้เช่นที่สายตามองเห็น


“ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีเวลามากขนาดนั้น” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น เขาพูดพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า “ข้าจะลองดูบ้างแล้วกัน”


เหล่าสหายย่อมไม่พลาดหยอกล้อเขารอบหนึ่ง บ่นว่าเขาชิงบทเด่น แล้วยังจะแย่งเงินพวกเขา


เสียงหัวเราะครึกครื้นของเด็กหนุ่มย่อมดึงคนรอบด้านให้มองมา แต่ครั้งนี้หนิงอวิ๋นเจารู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย


จะทำให้เด็กสาวคนนั้นคิดว่าตนตั้งใจดึงความสนใจของนางหรือไม่?


เหมือนกับนกยูงเครื่องบรรณาการของอาณาจักรหนานจ้าวที่เห็นในสวนตะวันตกของเมืองหลวง คนงานของสวนตะวันตกบอกว่านกยูงตัวผู้ตอนจับคู่จะรำแพนหาง ใช้ขนหางอันตระการตาดึงดูดความสนใจของนกยูงตัวเมีย


ความคิดกะทันหันนี้ทำให้หนิงอวิ๋นเจาตะลึงไป จากนั้นก็ยิ้มหยัน ไม่ได้อับอายเพราะสิ่งนี้ ในใจกลับนิ่งสงบลง


เขาไม่ได้ตั้งใจดึงความสนใจของนาง ย่อมไม่ควรค่าวุ่นวายใจเพราะเรื่องนี้


เขาเพียงแค่มาเล่นหมาก ส่วนนางก็บังเอิญมีฝีมือมากดีมาก


ไม่รู้ว่านางลองแล้วหรือยัง?


บางทีควรจะไปถามนางดู


แม้หนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่าเป็นฝ่ายเข้าไปพูดกับนางก่อนไม่ค่อยดี แต่เกี่ยวกับเกมหมาก แล้วบังเอิญพวกเขาสองคนเพิ่งดวลหมากกันเมื่อครู่ ตอนนี้สนทนากันอีกสักประโยคก็ธรรมดามาก สมเหตุสมผลมาก


แต่ก็ช่างเถิด


เขาไม่คิดมาก แต่ถ้าเด็กสาวคนนั้นคิดมากขึ้นมาเล่า


บทที่ 58 คนตั้งใจยากแก้หมาก

โดย

Ink Stone_Romance

ในเมื่อเด็กสาวคนนั้นอยู่ที่นี่ด้วยก็หมายความว่าสนใจเกมหมากมาก


นอกจากนี้ตอนนี้ยังไม่ไป ไม่ใช่ยังคงดูเชิงอยู่ ก็คือลองแล้วแต่ไม่สำเร็จ


ตอนนี้เขามาลองดู นางสนใจเกมหมากขนาดนี้ย่อมเห็นเขา


คิดถึงตรงนี้หนิงอวิ๋นเจาก็เดินมาถึงข้างกระดานหมากโคมไฟแล้ว


“คนคิดอยากรวยมาอีกคนแล้ว”


ชาวบ้านที่มุงล้อมถากถาง แต่ยังคงแหวกทางให้


ส่วนคนดูแลโคมเคาะไม้ที่กวัดแกว่งมาแล้วทั้งคืนที่ชามแก้วอีกครั้ง


“เงิน” เขาเอ่ยขึ้น


ชามแก้วนั้นใกล้จะใส่เงินเต็มแล้ว ใต้แสงและเงาของโคมไฟสองข้างที่สาดส่องยั่วยวนคนอย่างมาก


เหล่านี้ล้วนเป็นเงินที่คนอื่นมอบมา แต่คนดูแลโคมคนนี้กลับยิ่งไร้มารยาทกับคนที่มามอบเงินให้ขึ้นทุกที


เอาไม้เคาะชาม ขนาดคำว่าเชิญก็คร้านจะพูด ท่าทางเหลือทนราวกับกำลังพูดว่ามากินสิ


ทั้งที่มามอบเงินให้พวกเขาชัดๆ ไม่ใช่หรือ


บางคนใส่ใจเรื่องนี้ แต่คนส่วนมากไม่ได้ใส่ใจ ความสนใจของพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่เงินที่ยิ่งมากขึ้นทุกทีนี้กับตั๋วเงินใบนั้น


หนิงอวิ๋นเจายิ่งไม่สนใจ ไม่ใช่แค่เพราะแต่เดิมเขาก็ไม่สนใจ แต่เขายังเห็นสายตาของเด็กสาวคนนั้นมองมาแล้ว


ไม่รู้ว่านางจำตนได้หรือไม่?


หนิงอวิ๋นเจาวางเงินในมือลงไปในชามแก้ว ยืนนิ่งอยู่หน้ากระดานหมาก



ที่จริงคุณหนูจวินเห็นหนิงอวิ๋นเจาตั้งนานแล้ว แม้เด็กหนุ่มคนนี้จะสวมผ้าคลุมผืนหนา หมวกปิดมิดใบหน้า แต่ก็ทำอะไรความทรงจำที่สลักลึกเกินไปของจวินเจินเจินไม่ได้


ทว่าก็เพียงจำได้เท่านั้น คุณหนูจวินไม่ได้คิดอะไร เวลานี้เห็นเขายืนอยู่หน้ากระดานหมาก ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่จากนั้นก็สงบลงทันที


ฝีมือหมากของหนิงอวิ๋นเจาถึงจะไม่เลว แต่อย่างไรก็ยังอายุน้อยเกินไป บางทีรอเขาเติบใหญ่อายุเท่าอาจารย์เช่นนั้นก็คงสูสีคู่คี่


คิดถึงอาจารย์ในใจของคุณหนูจวินก็เศร้านิดหน่อย


นางคิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะตาย อาจารย์กลับตายกะทันหันขนาดนั้น เขาที่คนมากมายถึงเพียงนั้นเฝ้ารอความช่วยเหลือยกย่องเป็นเทพเซียนกลับร่วงหล่นลงจากหน้าผา ไม่มีแม้คำสั่งลาสักประโยคก็ตายไป ถ้าหากไม่ใช่นางหาพบใต้หน้าผาเร็ว เกรงว่าแม้แต่ศพก็คงถูกสุนัขป่าคาบไปกัดกินแล้ว


นางรับไม่ได้ที่อาจารย์ตายไปแบบนี้ คิดแล้วตัวอาจารย์เองก็คงไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นนางจึงปิดบังข่าวการตายของอาจารย์ ให้เขาคงอยู่ในใจของผู้คนประดุจเทพเซียนตลอดไปเถอะ


เมื่อหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่หน้ากระดานหมากก็ไม่สนใจสายตาของเด็กสาวคนนั้นอีกแล้ว เขามองกระดานหมากตรงหน้าสีหน้าเคร่งขรึม


เขารู้เกมหมากที่กล้าหยิบเงินห้าพันตำลึงมาเป็นรางวัลย่อมไม่ธรรมดา ตอนนี้เห็นแล้วยิ่งรู้สึกว่าเกมหมากนี้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้


บนกระดานหมากตกแต่งด้วยโคมไฟ แบ่งเป็นดำขาวสองสีแทนเม็ดหมาก ตอนนี้แถบสีดำทะมึนมีน้อยนิดทั้งยังวางอยู่กระจัดกระจาย แต่เมื่อมองเข้าไปในใจก็มีคลื่นความอ้างว้างโถมเข้ามาตรงหน้า


นี่ต้องเป็นโจทย์หมากของสมัยโบราณ


หนิงอว๋นเจามองออกในทันที แต่หลังมองออกก็ยิ่งเคร่งขรึม


ก่อนหน้านี้ตอนที่เขากับเด็กสาวคนนั้นดวลหมากบอดกัน ตามที่ต่างคนลงหมาก บนกระดานหมากร้อนแรงจิตสังหารพลุ่งพล่าน บ้างก็เป็นพายุบางก็เป็นดาบกระบี่ เจ้ามาข้าไป เจ้ารุกข้าถอย


แต่ยามนี้เผชิญหน้ากับเกมหมากนี้ เขาขบคิดอยู่ในใจไม่ว่าจะลงหมากอย่างไร กระดานหมากล้วนสงบเงียบไร้เสียง ราวกับน้ำนิ่งผืนหนึ่ง


เหมือนกับทะเลกว้างผืนหนึ่ง ก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งโยนลงไปแม้แต่รอยกระเพื่อมสักนิดก็ไม่มี


เกมเช่นนี้เขาแก้ไม่ได้


คิดชัดเจนถึงจุดนี้ เขาวางหมากในมือลงหมุนตัวกลับ


หนึ่งยืนหนึ่งหมุนตัวนี้เพียงแค่ชั่วพริบตา คนรอบด้านยังไม่ทันได้ตอบสนอง สหายด้านหลังที่เตรียมตัวพูดยินดีหยอกล้อก็อึ้งไปเหมือนกัน


พวกเขาถึงขนาดไม่กล้าคาดเดาว่านี่หมายความว่าอย่างไร


“ข้าแก้ไม่ได้” หนิงอวิ๋นเจาเป็นฝ่ายพูดขึ้นเอง


คนที่มุงรอบข้างได้สติกลับมาหลังจากนั้นก็ส่งเสียงโห่


“มีคนเอาเงินมาผลาญเล่นอีกคนแล้ว”


คนแบบนี้คืนนี้พวกเขาเห็นมาไม่น้อย แต่คนพวกนั้นล้วนแต่เดามั่วสักจุดหนึ่ง เดาก็ไม่เดาเช่นเด็กหนุ่มคนนี้มีเป็นคนแรก


บรรดาสหายกลับไม่รู้สึกว่าน่าเย้ยหยัน แต่กลับตะลึงมาก สีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกัน


“ร้ายกาจถึงเพียงนั้นจริงหรือ?” พวกเขาถามขึ้น


ถึงจะพูดเล่นหยอกล้อ แต่หยอกล้อก็ส่วนหยอกล้อ ความรู้ความสามารถที่แท้จริงของหนิงอวิ๋นเจาในใจพวกเขารู้ดี


ถึงขนาดลองยังไม่ลองก็ยอมแพ้แล้ว


คนเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่สูสี ต่อให้รู้สึกว่าเทียบไม่ได้ก็ยังคิดอยากลอง มีเพียงเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ความสามารถห่างชั้นมากเกินไป ถึงจะแม้กระทั่งคิดยังไม่คิดจะท้าสู้


“นี่คงไม่ใช่หลอกลวงคน ที่แท้เป็นเกมหมากที่แก้ไม่ได้หรอกนะ?” บรรดาสหายขมวดคิ้ว


หนิงอวิ๋นเจาไม่พูดจาแต่กลับมองไปทางหนึ่ง


เด็กสาวคนนั้นก้มศีรษะ ไม่รู้ว่าตั้งแต่ต้นนางก็ก้มศีรษะหรือเห็นตนล้มเหลวถึงก้มศีรษะ


นางยังคงไม่ก้าวเข้ามาถามตน


แต่เด็กสาวไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มทำเรื่องเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นตนก็เป็นฝ่ายเริ่มแล้วกัน


เกมหมากนี่ยากนัก เจ้าคิดว่าอย่างไร?


คำพูดเปิดบทสนทนานี้ไม่เลวกระมัง?


นี่เป็นประโยคแรกที่เขาคิดจะพูดกับเด็กสาวคนนั้น เมื่อเขาเดินไปถึงหน้าร่างของเด็กสาวคนนั้น ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนางต้องเงยหน้าขึ้นมามองตนแน่


คุณหนูสวัสดีเป็นข้า เปิดบทสนทนาเช่นนี้จงใจเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นข้าสองคำ ทักทายถามไถ่ทำนองนั้นก็ธรรมดาเกินไป ก็ดูจงใจเช่นกัน


ในเมื่อพวกเขาพบกันโดยบังเอิญ ทั้งยังดวลหมากเกมหนึ่งตามใจอยาก ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามใจเสียบ้างเถิด


นอกจากนี้คำเปิดบทสนทนานี้ของตนก็สะดวกให้เด็กสาวคนนี้ตอบ ทำให้บทสนทนาสืบต่อไปได้สบายๆ


ถ้าหากนางเคยลองเล้วก็เห็นได้ชัดว่าแก้ไม่ออก ย่อมเอ่ยเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ตอบหนึ่งประโยคว่าใช่แล้วยากมาก


ถ้าหากนางยังไม่ได้ลองและนางก็รู้ฝีมือหมากของเขาอยู่บ้าง ได้ยินเขาพูดคำพูดเช่นนี้ย่อมสอบถามจริงจัง


ลื่นไหลตามใจทั้งยังไม่จงใจ แล้วยังตรงกระชับ ป้องกันเด็กสาวคนนี้คิดมากได้ด้วย


เขาเพียงแค่คุยถกเกมหมาก ไม่มีความหมายอย่างอื่น


หนิงอวิ๋นเจาเป็นคนคิดไวทำไวมากคนหนึ่ง ตอนที่ความคิดผุดขึ้นมาเขาก็ก้าวเท้าไปทางด้านนั้นแล้ว ในมือยังถือโคมไฟดวงนั้นไว้


“เฮ้? ไปไหน?”


“ตอนนี้จะไปแล้วหรือ? ข้ายังไม่ได้ลองเลยนะ”


“ถึงพวกเราจะสู้เจ้าไม่ได้ มากน้อยก็ไว้หน้ากันบ้างเถอะ”


บรรดาสหายหยอกล้อล้อเล่นอยู่ด้านหลัง


ก้าวเท้าของหนิงอวิ๋นเจาชะงักไปนิดหนึ่ง


ที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้คิดมากไม่ใช่แค่เด็กสาวคนนั้น ยังมีบรรดาสหายของตนเองเหล่านี้


ไปหรือว่าไม่ไป?


ถ้าไป คนพวกนี้ไม่มีเรื่องก็ต้องพูดเรื่องบางอย่างออกมาได้เป็นแน่ ไม่คิดมากก็ย่อมถูกพวกเขาล้อจนคิดมาก


ถ้าไม่ไป โอกาสนี้…โอกาสหายากที่ทุกคนต่างสนใจถกเกมหมากสักยกได้ ก็น่าเสียดายอยู่นิดหน่อย


แน่นอน กระดานหมากโคมไฟนี้ในเมื่อเป็นคนหยางเฉิงตั้งออกมา หลังจากนี้ย่อมถามได้ เพียงแต่หลังจากนี้โอกาสที่จะสานสัมพันธ์กับเด็กสาวคนนี้อีก ก็ยากจะหาได้แล้ว


ตอนนั้นค่อยไปทักทายพูดคุย ย่อมต้องทำให้นางคิดมาก


หลังจากครู่หนึ่ง หนิงอวิ๋นเจาก็ก้าวเดินอีกครั้ง แต่พร้อมกับตอนนี้เองด้านหลังร่างก็มีเสียงร้อง เสียงอุทานดังขึ้นไปทั่ว


เขาหมุนศีรษะกลับไปโดยไม่ทันคิด เห็นเพียงกระดานหมากโคมไฟที่เมื่อครู่ดำทะมึน ราวกับถูกแสงไฟจุดสว่าง แรกเริ่มเป็นสะเก็ดไฟจุดน้อย ชั่วพริบตาก็ลามทั้งทุ่ง


โคมไฟบนกระดานหมากทั้งหมดสว่างไสวต่อกันขึ้นมา โคมไฟสีดำด้านในเป็นแก้วสีขาว โคมไฟสีขาวด้านในเป็นแก้วหลากสี ตรงนี้ลุกตรงนั้นเลือนวูบไหวหมุนวน สว่างไสววิบวับ งดงามจับตา


หนิงอวิ๋นเจารู้สึกชาวูบหนึ่งจากเท้าพุ่งจรดกระหม่อม


เกมหมากถูกแก้แล้ว


บทที่ 59 อยากพนันย่อมมีแพ้

โดย

Ink Stone_Romance

เกมหมากถูกแก้แล้ว โคมไฟถูกจุดสว่างแล้ว


ชั่วพริบตาจากมืดมิดพลันสว่างไสวจับตา โฉมหน้าที่แท้จริงของโคมไฟกระดานหมากในที่สุดก็ปรากฏเบื้องหน้าผู้คน


หลังปรับสายตาได้ ทันใดนั้นความรู้สึกอันรุนแรงก็จางลงเช่นกัน


พูดอย่างเป็นกลางโคมไฟดวงนี้ฝีมือการทำไม่ได้ประณีตงดงามไปมากกว่าโคมไฟด้านข้าง เพียงแต่มืดอยู่นานสว่างขึ้นมากะทันหันจึงดูแล้วงดงาม


แต่โคมไฟงดงามหรือน่าเกลียดไม่ใช่จุดสำคัญที่ทุกคนสนใจ


“เป็นใคร?”


“เป็นใครแก้เกมหมาก?”


“เป็นใครรวยแล้ว?”


เสียงฮือฮาดังขึ้นมาหลังเสียงอุทานตกใจจบลง สายตาทุกคู่ล้วนมองไปที่หน้ากระดานหมาก


เหล่าสหายของหนิงอวิ๋นเจาก็มองไปอย่างตะลึงเช่นกัน


“ถึงกับมีคนร้ายกาจยิ่งกว่าอวิ๋นเจา?”


อวิ๋นเจาเมื่อครู่พูดเองว่าตนเองแก้ไม่ได้ พวกเขายังสงสัยอยู่ว่าเกมหมากนี้หลอกลวงคน เกมหมากก็ถูกแก้ออกแล้ว


แต่ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่มุงดูอยู่หรือสหายทั้งหลาย ไม่มีใครตะลึงยิ่งกว่าหนิงอวิ๋นเจา เพราะเขาลองด้วยตนเองมาแล้ว ยิ่งเข้าใจความร้ายกาจของของเกมหมากกระดานนี้


เขาคิดจริงๆ ว่าไม่มีใครแก้ได้ อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่มีใคร ถ้าหากจะมี เด็กสาวคนนั้นบางทีอาจทำได้


ดังนั้นเมื่อเห็นโคมไฟสว่างขึ้นนาทีนั้น เขาไม่ได้มองว่าใครเป็นคนแก้เกมหมาก แต่มองไปทางเด็กสาวคนนั้น


เด็กสาวคนนั้นเงยหน้ามองมาทางนี้แล้วอย่างที่คิด


เมื่อครู่หนิงอวิ๋นเจาเดินมาแล้วหลายก้าว ห่างจากเด็กสาวคนนั้นไม่ไกล จึงเห็นความตะลึงบนใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นชัดเจน


ดูท่านางคงจะลองมาแล้ว ดังนั้นจึงเหมือนกับตนเอง รู้สึกว่าไม่มีใครสามารถแก้เกมหมากกระดานนี้ออก หรืออาจกำลังเตรียมจะไปลองดู


ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ผลลัพธ์นี้ก็ล้วนทำให้นางตะลึง


หลังจากนั้นหนิงอวิ๋นเจาก็เห็นขอบตาของเด็กสาวคนนั้นแดง


เหมือนกับบรรดาน้องสาวในบ้านของตนยามเสียของเล่น เสื้อผ้าที่ชอบไป โศกเศร้าแค้นใจ



คุณหนูจวินก็ไม่รู้ว่าตนเองทำไมจึงตาแดง นาทีนั้นที่โคมไฟสว่างขึ้นแรกสุดนางตะลึง หลังจากนั้นก็อยากร้องไห้


หลิ่วเอ๋อร์ตะลีตะลานวิ่งกลับมายังร้องลั่นข้างหูของนาง


“คุณหนูเจ้าคะ แย่แล้ว เงินของพวกเราหมดกัน”


อาจารย์เคยบอกว่าอย่าพนัน


พนันสิบครั้งแพ้เก้าครั้ง สวรรค์ยุติธรรมอย่างยิ่ง


นางก็รู้ตนเองทำเรื่องฉวยโอกาสหาประโยชน์เช่นนี้ไม่ดี แต่ขนาดนางตายไปครั้งหนึ่ง สวรรค์ยังช่วยนางให้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นช่วยนางเพิ่มอีกนิดจะเป็นอะไร


คุณหนูจวินขอบตาแดง แม้รู้ว่าไม่มีเหตุผลที่ควรร้องไห้ แต่ก็อยากร้องไห้ยิ่งนัก


นางไม่ร้องไห้มานานแล้ว ตอนแรกที่ได้รู้ความจริงก็ไม่ทันได้ร้องไห้ ตรงไปแก้แค้นหลังจากนั้นก็ตาย


หลังจากตายก็ฟื้นกลับมาอีก ทั้งตะลึง ทั้งหวาดกลัว ทั้งยินดี ยังต้องพยายามสุดกำลังควบคุมตนเองให้มีสติ ยิ่งไม่ทันได้ร้องไห้


“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ ทำอย่างไรดี” หลิ่วเอ๋อร์ลนลานหมุนไปหมุนมา “เงินของพวกเราจะให้เขาจริงหรือเจ้าคะ? นั่นตั้งห้าพันตำลึงเชียวนะเจ้าคะ ไม่ ไม่ ยังมีพวกที่หามาได้พวกนั้นอีก รวมกันแล้วก็หกพันตำลึงแล้ว”


เงินของพวกเรา


พวกนั้นที่จริงแต่เดิมก็ไม่ใช่เงินของนาง ไม่ได้ใช้เงินของตนไปหาเงิน เงินที่ได้มาก็ย่อมไม่ใช่ของตน


ตั้งแต่ต้นไม่ได้ครอบครอง ย่อมไม่อาจพูดว่าเสียไปได้


สวรรค์ยุติธรรมเสมอ


คุณหนูจวินถอนหายใจ


“ไปเถอะ” นางเอ่ยขึ้น


หลิ่วเอ๋อร์นึกว่าตนเองฟังผิด


“ไป?” นางทวนขึ้น “ปล่อยไปแบบนี้หรือเจ้าคะ?”


“บอกแล้วว่าเป็นรางวัล กล้าพนันกล้าแพ้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “หรือข้าเป็นคนที่แพ้ไม่เป็น พูดไม่เป็นคำพูดเช่นนั้นหรือ?”


คุณหนูย่อมไม่ใช่ หลิ่วเอ๋อร์ผงกศีรษะ แต่อย่างไรในใจก็ไม่ยินยอม


“คุณหนู” นางมองทางโคมไฟกระดานหมากด้านนั้น “ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องดูเสียหน่อยว่าเป็นใครนะเจ้าคะ ใครกันที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้”


คุณหนูจวินมองทีหนึ่ง ด้านนั้นถูกล้อมในสามชั้นนอกสามชั้นไปแล้ว เสียงฮือฮาดังสะท้านฟ้า


บนโลกนี้มีคนร้ายกาจมากมาย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่จำเป็นต้องสงสัย


“ไม่จำเป็นแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วหมุนตัวก้าวเดิน



ตอนที่หนิงอวิ๋นเจาเห็นคุณหนูจวินขอบตาแดง ในใจก็กระวนกระวาย มือไม้ยิ่งวางไม่ถูกอยู่บ้าง แต่เขาพอจะรู้ว่าเด็กสาวคนนี้ทำไมถึงเป็นเช่นนี้


ตนเองฝีมือหมากสูงส่งกลับล้มเหลวลงที่นี่ เมื่อเห็นคนทำสำเร็จย่อมรับไม่ได้อยู่บ้างและยังรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง หรือบางทีฝีมือหมากของตนสูงส่งกำลังคิดออกไปทำให้ผู้คนตะลึงในฝีมือ ผลปรากฏกลับมีคนชิงลงมือก่อน ย่อมรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้างและยังโกรธอยู่บ้าง


ความรู้สึกตกต่ำโกรธแค้นโศกเศร้าอันเกิดจากความถือดีเช่นนี้ไม่ได้หายาก


แม้วิญญูชนผู้ใจสงบคนหนึ่งย่อมไม่มีความคิดไร้เดียงสาเช่นนี้ แต่อย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเด็กสาวที่ฝีมือหมากยอดเยี่ยมคนหนึ่ง


เด็กสาวเช่นนี้จะทะนงเสียหน่อยโมโหขึ้นมาบ้างไม่ได้มีอะไร กลับกันธรรมดามาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้คำพูดเปิดบทสนทนาก็ต้องเปลี่ยนเสียหน่อยแล้ว


“ที่จริงถ้าเวลาพอและเข้าใจเกมหมากสมัยโบราณ แก้ออกมาก็ไม่ได้ยากเย็น”


เปิดบทสนทนาเช่นนี้เป็นอย่างไร?


อีกฝ่ายอาจศึกษาอยู่ด้านข้างนานแล้ว บอกอ้อมค้อมว่าหาใช่นางสู้ผู้อื่นไม่ได้ แล้วชี้ว่านี่เป็นเกมหมากโบราณ อีกฝ่ายทำได้เพราะมีความสามารถจริงๆ


ทั้งปลอบประโลมหน่อยๆ แต่ก็ไม่ส่อแววพะเน้าพะนอ ชี้แจงเหตุผล ทั้งไม่ทำให้นางไม่พอใจที่ถูกสั่งสอน ทั้งไม่ทำให้นางคิดมากจนเข้าใจผิด


นอกจากนั้นเวลานี้บรรดาสหายก็วิ่งไปดูคนที่แก้เกมหมากได้แล้ว ตนเองไปคุยกับนางไม่กี่ประโยค ไม่นานพูดจบย่อมไม่ถูกพบเห็น ต่อให้ถูกเห็นก็อธิบายได้ว่านางสอบถามเกมหมากเกิดอะไรขึ้น


คนผ่านทางเห็นความครึกครื้นถือโอกาสถามไถ่ชวนคนข้างตัวคุยประโยคสองประโยคไม่นับเป็นอะไร ไม่ชักนำให้บรรดาสหายคิดมาก


หนิงอวิ๋นเจายกขาก้าวเดิน สีหน้านิ่งสุขุมเดินไปทางเด็กสาวคนนั้น เดินมาถึงตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว แต่เด็กสาวคนนั้นกลับหมุนตัวเดินไปแล้ว


เดินไปแล้ว


นางไม่เห็นตน? หรือเห็นแล้วไม่อยากพูดด้วย? เศร้ามากจริงๆ อยากหลบไปร้องไห้หรือ?


เปิดปากร้องเรียกนางจะเหมาะสมหรือไม่?


“อวิ๋นเจา!”


เสียงของสหายดังขึ้นเบื้องหลัง


หนิงอวิ๋นเจามองเด็กสาวคนนั้นแทรกผ่านฝูงชนที่กำลังโถมเข้ามาถามข่าวคราวหายไปบนถนน ในใจเขาถอดทอนใจ กำโคมไฟหมุนตัวไป


“ทำไมเจ้าออกมาแล้วเล่า? เจ้ารู้ว่าคนที่แก้เกมหมากได้เป็นใครหรือยัง?” บรรดาสหายตื่นเต้นพูดขึ้น


“ไม่ทราบว่าเป็นผู้มีความสามารถท่านใด?” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มถามขึ้น


บรรดาสหายสีหน้าพิกล


“เจ้าเดาสิ” คนหนึ่งพูดขึ้น


เดา? ถึงแม้หยางเฉิงจะไม่ใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้รู้จักทุกคน ไม่เช่นนั้นคงคิดออกว่าตระกูลของใครเลี้ยงดูเด็กสาวที่ฝีมือหมากดีขนาดนี้ออกมาได้


เด็กสาวคนหนึ่งร่ำเรียนศาสตร์แห่งหมากได้ดีถึงเพียงนี้ ย่อมสืบทอดมาในตระกูลเป็นแน่


หนิงอวิ๋นเจายิ้ม ยกเท้าเดินไปด้านนั้น


“ไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องเดา” เขาพูดขึ้น


ฝูงชนที่มุงดูวุ่นวายขึ้นมาพร้อมกับมีคนบ่นเสียงดัง


“ทำอะไร? พวกเจ้าคิดจะแย่งเงินเรอะ?”


เสียงนี้หยาบกระด้างเหมือฆ้องแตกยังฝืนทำทีอันธพาล


หนิงอวิ๋นเจาตะลึง หลังจากนั้นก็มองเห็นหน้ากระดานหมากมีผู้ชายโอบชามแก้วทั้งสองใบแน่นในอ้อมแขน


อายุราวสามสี่สิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราร่างกายเตี้ยล่ำ


ถึงจะบอกว่าคนดูแต่ภายนอกไม่ได้ คนที่แก้เกมหมากได้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนสง่าทรงภูมิ แต่ก็ไม่ควรเป็นผู้ชายคนนี้สิ


เพราะผู้ชายคนนี้หนิงอวิ๋นเจารู้จัก


นี่คือเถียนซานขอทานจับกังชื่อดังของหยางเฉิง


เถียนซานไม่ใช่ยอดคนยิ่งใหญ่ที่หลบเร้นจากโลกอะไร เป็นขอทานจับกังตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ไม่รู้จักตัวอักษรสักตัว อายุมากขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นกระดานหมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่นหมากเลย


นี่เป็นไปได้อย่างไร


บทที่ 60 ใครคือคนแก้หมาก

โดย

Ink Stone_Romance

เขาจะแก้เกมหมากได้อย่างไร นี่เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด


คนที่สงสัยแน่นอนย่อมไม่ใช่หนิงอวิ๋นเจาคนเดียว เวลานี้เสียงอื้งอึงของผู้คนที่มุงล้อมอยู่ล้วนกำลังไถ่ถาม


“ทำไมข้าจะทำไม่ได้?” เถียนซานตะโกนขึ้นมา แม้จะเป็นจับกังชื่อดังของหยางเฉิง สีหน้าคำพูดร้ายกาจนานาล้วนเจอมาแล้ว แต่นาทีนี้ตอนนี้เขาก็ยังคงเครียดมาก


คงเป็นเพราะเงินที่กอดอยู่ในอ้อมแขนเป็นเหตุ


เงินมากถึงเพียงนั้น คนมากมายชีวิตหนึ่งไม่มีวันเห็นเงินมากขนาดนี้ ตอนนี้ล้วนอยู่ในอ้อมแขนของเขา


“เจ้าแก้ได้อย่างไร?”


“เจ้าเล่นหมากเป็นหรือ?”


“เจ้าเดินตานี้ได้อย่างไร?”


เสียงรอบด้านราวกับเม็ดฝนสาดลงมา


“ข้าเล่นหมากไม่เป็น” เถียนซานตะโกนขึ้น ยืดคอ “แต่ข้าก็แก้ออกแล้ว ไม่ได้หรือ?


เขาตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้คนที่มุงดูอึ้งไป เสียงอื้ออึงก็เบาลง


“เจ้าเล่นหมากไม่เป็นเจ้าแก้ได้อย่างไร? คนมากมายขนาดนั้นล้วนแก้ไม่ได้” มีคนขมวดคิ้วถามขึ้น


ได้ยินคำพูดนี้ทำให้ชาวบ้านไม่โวยวายอีก ในดวงตาเถียนซานเผยแววยินดี เอวหลังก็ยืดตรงขึ้นมาบ้าง


ก็เพียงแค่ยืดตรงขึ้นมาบ้าง ในอ้อมแขนกอดเงินมากถึงเพียงนั้นอยู่ หลังไม่มีทางเหยียดขึ้นได้จริงๆ


“คนอื่นแก้ไม่ได้ ข้าก็แก้ไม่ได้หรือ? ข้าก็แค่เดินตามใจหนึ่งตา ใครจะรู้มันดันแก้ออกแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน” เขาแค่นเสียงพูดขึ้น


อะไรกัน? เดาหรอกหรือ?


คำพูดนี้ทำให้คนรอบด้านอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง


นี่เป็นไปไม่ได้


“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ยังไงโคมไฟก็สว่างแล้ว โทษข้าได้หรือ? ” เถียนซานก็ตะโกนขึ้นมาเหมือนกัน “พวกเจ้าทำไมไม่ไปถามกระดานหมากเล่า!”


คนที่มุงดูเงียบเป็นเป่าสาก


เถียนซานยิ่งพูดเต็มปากเต็มคำขึ้น หันไปมองคนดูแลโคมไฟ


“นี่ สรุปข้าเอาเงินไปได้หรือไม่ได้? คำที่พวกเจ้าพูดนับหรือไม่นับ? หรือพวกเจ้าบอกว่าให้แค่คนที่เล่นหมากเป็นเท่านั้นมาหรือ? เล่นหมากไม่เป็นพูดเป็นหลักเป็นการไม่ได้ก็ไม่นับหรือ?” เขาตะโกนถาม


คนดูแลโคมสีหน้านิ่งขึง


“เงินเจ้าไม่ใช่เอาไปแล้วรึ?” เขาเอ่ยขึ้น “ถ้าหากไม่นับ ข้าจะให้เจ้าหยิบเงินไปได้อย่างไร”


คนที่มุงดูสุดท้ายก็กลั้นความไม่พอใจไว้ไม่อยู่


“ถ้าอย่างนั้นก็นับว่าเขาชนะจริงๆ หรือ? เขาเล่นหมากไม่เป็นนะ”


คนดูแลโคมเลิกคิ้วแค่นเสียงขึ้นจมูก


“คนข้างบนสั่งข้าว่าขอแค่จุดโคมได้ ก็นับว่าชนะ เงินก็ให้คนไป ส่วนเล่นหมากเป็นหรือไม่เป็น ไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขนี้” เขาเอ่ยขึ้น มือหนึ่งกวัดแกว่งไม้ในมือไล่ฝูงชนที่มุงดูอยู่ “ภารกิจของข้าเสร็จแล้ว ข้าจะไปแล้วอย่าขวางทาง”


ฝูงชนรีบหลบหลีก คนดูแลโคมเดินอาดๆจากไปอย่างปากว่า


“หลบไป หลบไป” เถียนซานร้องขึ้น อาศัยโอกาสนี้วิ่งตามไป ทิ้งคนดูที่งงงันกลุ่มหนึ่งไว้


“นี่มันเรียกเรื่องอะไรกันเนี่ย!”


คนดูทยอยกันพูดขึ้นมา


“ข้าว่านี่มันพวกต้มตุ๋น”


“ไม่ผิด พวกเขาต้องรวมหัวกันแน่”


“ใช่แล้ว ใช้เงินล่อทุกคนให้ลงเล่น หลังจากนั้นได้เงินมาพอสมควรแล้ว ตนเองก็ใช้กลไกจุดโคมไฟ”


“ลูกไม้เช่นนี้บ่อนพนันมีอยู่บ่อย”


“ไม่ใช่แค่บ่อนพนัน ในงานวัดเกมเดาเม็ดถั่วพวกนั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”


คนที่มุงดูพากันวิพากษ์วิจารณ์ทั้งกระจ่างใจทั้งโกรธแค้น คนมากมายระบายความโกรธแตะโคมไฟหนึ่งที ยอมรับความโชคร้ายของตนแล้วจากไป


คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ไม่เข้าใจหมากรวมไปถึงที่ฝีมือหมากธรรมดา ยังมีคนพวกหนึ่งดูเหมือนจะยังขมวดคิ้วแน่นครุ่นคิดไม่พูดจาอยู่ด้านข้าง


“เป็นการรวมหัวกันจริงหรือ?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้น


“แต่เกมหมากนี้ร้ายกาจมากจริงๆ” อีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น


“แต่คนที่วางเกมหมากนี้แน่นอนย่อมรู้ว่าจะแก้เกมอย่างไร ดังนั้นเขาจึงวางเถียนซานไว้มาทำเรื่องนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น


เช่นนี้เถียนซานย่อมแก้ได้


ย่อมต้องเป็นเช่นนี้ บรรดาสหายพยักหน้า


ดูแล้วคงอธิบายได้แบบนี้เท่านั้น


“แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าที่เถียนซานพูดเป็นความจริง” หนิงอวิ๋นเจาพูดออกมาอีก


อะไรจริงกัน?


“นี่ไม่ใช่การวางแผนของคนวางเกมหมาก เป็นเถียนซานเดาเอง” หนิงอวิ๋นเจาพูดขึ้น


นี่จะเป็นไปได้อย่างไร บรรดาสหายส่ายศีรษะอีกครั้ง


“ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนเด็กล้มผู้ใหญ่ เกมหมากไม่เหมือนคนที่มีความคิดโต้ตอบได้ มันมีเพียงตาเดินที่ถูกต้องเพียงหนึ่ง ส่วนเถียนซานก็เพียงเดินก้าวหนึ่งนี้ถูกพอดี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น


นี่ก็เป็นไปได้ แต่นี่ช่างบ้าบอช่างน่าขำเกินไปแล้ว


“บนหนังสือประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องที่บ้าบอน่าขำเป็นไปไม่ได้แต่กลับเกิดขึ้นไว้ก็ไม่น้อย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “ในเมื่อกล้าเล่นก็ต้องกล้าแพ้ พูดไปแล้วนี่ก็แค่พนันไม่ใช่หรือ”


นั่นก็ใช่ บรรดาสหายหัวเราะ พวกเขาย่อมไม่สนใจเงินสิบตำลึงที่ทิ้งไป แล้วก็ย่อมไม่คับแค้นเพราะไม่ได้เงินรางวัลห้าพันตำลึง


แต่เดิมนี่ก็เป็นเพียงแค่เกม


“แต่เกมหมากนี่น่าสนใจเอาการ พวกเรากลับไปศึกษาดูกัน” ทุกคนยิ้มพูดขึ้น เดินไปข้างหน้า


หนิงอวิ๋นเจาเดินตามไปด้วยกัน อดไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลังทีหนึ่ง


เด็กสาวคนนั้นยังร้องไห้อยู่สินะ ถ้าบอกนางว่าหมากกระดานนี้ถูกจับกังคนหนึ่งเดาถูก คงจะทำให้นางเลิกโมโหคับแค้นโศกเศร้าแล้ว


บังเอิญพานพบเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะตามหานางได้ที่ใด


แต่เด็กสาวคนนั้นสนใจหมากกระดานนี้ถึงเพียงนี้ ย่อมต้องสืบแน่ เรื่องนี้ไม่นานนางย่อมต้องรู้


หนิงอวิ๋นเจาโล่งใจ ก้มศีรษะมองโคมไฟในมือ


เทศกาลโคมไฟครั้งนี้น่าสนใจมากทีเดียว


เทศกาลโคมไฟครั้งนี้น่าสนใจมากทีเดียว ค่ำคืนนี้คนมากมายคิดเช่นนี้


ชาวบ้านได้เห็นนายน้อยง่อยผู้โด่งดัง คนตระกูลฟางให้นายน้อยตระกูลตนเองได้ชมโคมไฟ มีคนสุขใจด้วยโคมไฟสารพัดแบบ มีคนเบิกบานเพราะเกมการละเล่น แล้วก็มีบางคนลิงโลดเพราะทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่คาดคิด


ไม่ว่าลิงโลดหรือเบิกบาน เวลาก็ยังคงเคลื่อนผ่านไปอย่างสม่ำเสมอ ค่ำคืนค่อยๆ โรยรา วันใหม่มาถึงตามกำหนด


คุณหนูจวินตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติ แต่นอนบนเตียงไม่ลุกขึ้น


เรื่องคืนวานที่สุดแล้วก็ยังส่งผลกับนางอยู่


กล้าพนันกล้าแพ้ คุณหนูจวินไม่ได้โกรธแค้นคนที่ชนะนางคนนั้น แต่คิดถึงเรื่องนี้นางก็รู้สึกอับอายอยู่บ้าง


นี่มันสำนวนที่ชอบพูดกันยกหินทับเท้าตน อย่างไรก็โง่เง่าอยู่บ้าง


ที่สุดแล้วนางก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง นอกจากนั้นก็ยังอายุไม่มาก แม้จะสวมหนังเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง แต่หนังหน้าก็ยังคงบางอยู่


คุณหนูจวินอืดอาดยืดยาดอยู่บนเตียงครู่หนึ่งถึงลุกขึ้น


“วันนี้ข้าเหนื่อยนิดหน่อย ไม่ไปต่อยหมัดกับเดินแล้ว” นางบอกหลิ่วเอ๋อร์


หลิ่วเอ๋อร์ไม่สังเกตเห็นความไม่สบายใจของคุณหนู หาวแล้วพยักหน้านิดๆ


แต่เดิมก็ไม่ควรไป เทศกาลโคมไฟก็ควรรื่นเริงทั้งคืน วันที่สองก็ควรนอนเกียจคร้านไม่ลุก คุณหนูตื่นเช้าถึงขนาดนี้ก็ใช้ได้พอแล้ว ยังจะไปฝึกฝนร่างกายอะไรเล่า


“คนในบ้านมีต่อว่าอะไรข้าบ้างหรือไม่?” คุณหนูจวินทานอาหารไปพลางถามเหมือนไม่ตั้งใจไปพลาง


“ต่อว่าอะไรเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์หูตั้งทันที “ใครต่อว่าอะไรคุณหนูหรือเจ้าคะ?”


เห็นนางทำท่าจะไปทะเลาะกันคนเช่นนั้น คุณหนูจวินก็เก็บความคิดที่จะให้นางไปดูในตระกูลว่ามีคนพูดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเงินรางวัลห้าพันตำลึงถูกคนชนะไปเมื่อวานหรือไม่ลงไป


ในเมื่อทำไปแล้วก็ไม่อาจกลัวถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งหดหู่


เรื่องที่นางต้องทำยากเหลือเกิน เวลาที่ต้องพยายามเพื่อเรื่องนี้ก็กระชั้นเหลือเกิน ดังนั้นไม่อาจคร่ำครวญโศกเศร้าเช่นนี้ได้ คุณหนูจวินจัดการอารมณ์ ตอนที่กินข้าวเสร็จเตรียมไปสวนดอกไม้ฝึกฝนร่างกายที่ยังทำไม่เสร็จให้เสร็จ สาวใช้ก็แจ้งว่าผู้ดูแลเกาขอพบ


เรื่องโคมไฟมอบให้เขารับผิดชอบ ตอนนี้เทศกาลโคมไฟจบลงแล้ว ผู้ดูแลเกาย่อมต้องมาพบครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันถึงเงินรางวัลห้าพันตำลึง


คุณหนูจวินพยักหน้าแล้วมาที่โถงรับรอง


ผู้ดูแลเกากลับไม่ได้มาคนเดียว ด้านหลังชายคนหนึ่งตามมา ก็คือคนดูแลโคมคนนั้นเมื่อคืนวาน


จากคำพูดของทั้งสอง คุณหนูจวินถึงรู้ว่าเมื่อคืนวานคนที่แก้เกมหมากได้เป็นขอทานจับกังคนหนึ่ง ทั้งจับกังคนนี้ยังเดาถูก แม้ตะลึงมาก แต่นางไม่ได้หดหู่เพิ่มมากขึ้นเพราะเรื่องนี้สักเท่าไร กล้าพนันกล้าแพ้ ไม่ว่าจะอาศัยความรู้ความสามารถเอาชนะนาง หรือจะอาศัยโชค สุดท้ายชนะก็คือชนะ


“ดังนั้นเรื่องเมื่อคืนกลับไม่ได้แพร่ออกไป” ผู้ดูแลเกาเล่า “เงินรางวัลห้าพันตำลึงเพื่อดวลหมากจุดโคมไฟ ท้ายที่สุดกลับเป็นขอทานคนหนึ่งชนะไป ทุกคนล้วนคิดว่าพวกเรารวมหัวกันหลอกเงิน”


ก็เหมือนกับเกมโยนห่วงที่ตั้งในเทศกาลโคมไฟเช่นนั้น หลังจากโมโหด่าไม่กี่คำว่าต้มตุ๋นแล้วก็ทิ้งไปพูดถึงอีก


“เช่นนี้เอง ก็ดี” คุณหนูจวินยิ้มพูดขึ้น


“แต่ นี่ย่อมไม่ใช่พวกเรารวมหัวกันหลอกเงิน” ผู้ดูแลเกาพูดต่อ “แต่ข้าเดาว่านี่เป็นจับกังนั่นรวมหัวกับคนอื่น”


คุณหนูจวินฟังประโยคนี้เข้าใจทันที ขมวดคิ้ว


“บางทีเขาอาจไม่ได้เดา แต่มีคนบอกเขาให้เขาแก้เกม” ผู้ดูแลเกาเอ่ยขึ้นมองคนดูแลโคมทีหนึ่ง


“เมื่อคืนข้าเสร็จงานก็ไปกินเหล้า” คนดูแลโคมเข้าใจเอ่ยปากขึ้น


เสร็จงานแล้ว แน่นอนย่อมหมายถึงการดูแลโคมไฟเรื่องนี้


“…หลังดื่มเหล้าเสร็จกลับมาระหว่างทางเห็นเถียนซาน” เขาก้มศีรษะพูด “เขาจ้างรถออกไปนอกเมือง”


……………………………………….


 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 111 เพียงเพื่อให้สุสานเปล่าเปลี่ยวมีบุปผาบาน

 

คุณหนูจวินมองคนที่ก้าวไวๆ อยู่เบื้องหน้า


หลังเดินไปช่วงหนึ่ง ด้านหน้าก็เห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งเลือนราง


ที่ซึ่งอยู่ตอนนี้ยังคงห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล เต็มที่ก็แค่ไม่กี่ลี้


หมู่บ้านใกล้เมืองหลวงไม่กี่ลี้ก็มีอยู่ไม่กี่แห่งนั่น


ทิศทางนี้ตอนนี้


คุณหนูจวินชะงักเท้ามองไปรอบด้านแล้วมองไปด้านหน้า


คฤหาสถ์สกุลลู่


คุณหนูจวินมองเงาร่างเลือนลานในความมืดของราตรี


ไปที่นั่นมีวิธีรับมือลู่อวิ๋นฉีหรือ?


คฤหาสน์สกุลลู่มีอะไรจัดการเขาได้


คุณหนูจวินในใจถอนหายใจ


ตอนลู่อวิ๋นฉีเกิดมาเสียมารดา สิบขวบเสียบิดา ในบ้านไร้ครอบครัวสหายปกป้อง อาศัยเกาะเพื่อนร่วมงานองครักษ์เสื้อแพรของบิดาขอข้าวกินเลยไม่อดตาย คฤหาสน์สกุลลู่นี้แม้กระทั่งบ้านเขายังไม่มี เขาไม่นับที่แห่งนี้เป็นบ้านนานแล้ว นอกจากสุสานบรรพชน


สุสานบรรพชน


คุณหนูจวินเหม่อลอยอยู่บ้าง


พูดไปแล้วหลังตนเองตาย จะได้ฝังร่วมกันท่านพ่อท่านแม่หรือเปล่านะ?


ท่านพ่อด้วยฐานะองค์รัชทายาทกับท่านแม่ฝังร่วมกันในสุสานหลวง ตนเองเล่า? ใช่ได้ฝังหลับใหลเคียงข้างสุสานของบิดามารดาหรือไม่?


คุณหนูจวินทันใดนั้นก็คิดได้ว่าตนเองรอหลังฟ้าสว่างควรไปที่ใด ไปสุสานหลวงอันห่างไกลนั่นดูสักครั้งเถอะ


ตาของนางขัดเคืองอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าความเจ็บปวดหรือทนมาหนึ่งคืนนี้เป็นเหตุ ทันใดนั้นนางก็ไม่อยากตามจูจั้นต่อแล้ว


พูดให้ถึงที่สุดแล้ว เขากับนางก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันด้วย


นางมองข้างหน้า


สายตาราวกับพริบตาเปลี่ยนเป็นหมอกขมุกขมัว เหมือนกับกลางหมึกเข้มน้ำใสหยดหนึ่งหยดลงไป จากนั้นน้ำใสมากขึ้นทุกทีก็เทลงไป ความมืดยามราตรีถดถอยกลายเป็นแสงสีครามขมุกขมัว ทิศตะวันออกค่อยๆ เป็นสีขาว


ราตรีผ่านพ้น เช้าตรู่มาเยือน


เงาร่างท่ามกลางแสงสีครามขมุกขมัวเปลี่ยนเป็นยิ่งชัดเจนขึ้นตาม เวลานี้เดินอยู่ในทุ่งโล่งสะดุดตามาก


เขาพลันชะงักเท้า คุณหนูจวินลังเลนิดหนึ่งยืนอยู่ในพุ่มไม้หนาทึบไม่ขยับ


ไม่คิดจะก้าวออกไปทักทายแล้ว ไม่ให้เขาค้นพบตนเองแล้ว


เขาไม่ได้หันกลับมา ยื่นมือดึงหนวดบนหน้า ใต้แสงสีครามขมุกขมัวเผยใบหน้าด้านข้างหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา


เป็นจูจั้นอย่างที่คิด เทียบกับตอนที่แยกกันที่เมืองหวยชิ่ง เขาไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างใด


เขายื่นมือลูบหน้า ขนคิ้วเข้มขมวดขึ้นมาราวกับไม่พอใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นก็ม้วนแขนเสื้อ ก้มตัวรูดหยาดน้ำค้างบนต้นไม้ใบหน้าข้างทางมาเช็ดหน้า


ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า หลังจากครั้งแล้วครั้งเล่าหลายครั้งถึงลุกขึ้นตัวตรง ลูบหน้าเผยรอยยิ้มพึงพอใจ


หากเวลานี้มีกระจกล่ะก็ คุณหนูจวินไม่สงสัยเลยว่าเขาจะต้องหยิบออกมาส่องดูอย่างละเอียดสักทีแน่


ตั้งแต่แยกกันที่เมืองหวยชิ่ง เขาไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใดจริงๆ ยังคงไม่อาจเข้าใจได้เช่นนี้


จูจั้นใช้มือแตะหยาดน้ำค้างจัดเส้นผม ลูบเสื้อผ้า บนเสื้อผ้าที่ผ่านการต่อสู้วุ่นวายคืนวานยับยู่ยี่ยุ่งเหยิงรวมถึงแต้มย้อมไปด้วยรอยเลือดฝุ่นดิน


รอยยับยู่ยี่กับฝุ่นดินผ่านการตบก็หายไป แต่รอยเลือดลำบากอยู่บ้าง จูจั้นลูบน้ำค้างฝ่ามือหนึ่งตั้งใจเช็ดรอยเลือดตรงชายเสื้อ แต่รอยเลือดกลับยิ่งลากยาวย้อมเป็นแถบใหญ่ขึ้น


เขาหงุดหงิดอยู่บ้างตบชายเสื้อ พึมพำประโยคตหนึ่งยอมแพ้แล้วอะไรสักอย่าง จัดเสื้อผ้ายืดหลังตรงก้าวยาวไปข้างหน้าอีกครั้ง


คนผู้นี้ลืมว่าตนเองกำลังถูกไล่ตามจับแล้วใช่หรือไม่?


หรือเขามั่นใจขนาดนั้นว่าคนขององครักษ์เสื้อแพรจะหาเขาไม่พบ?


คุณหนูจวินหันกลับมาด้านหลังร่าง ต่อให้ด้านหลังร่างเวลานี้ไม่มีคนไล่ตามมา ใครก็รับประกันไม่ได้ว่าด้านหน้ากางตาข่ายไว้แล้วหรือไม่


จูจั้นคนนี้จับก็จับไป มีเฉิงกั๋วกงอยู่ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจทำอะไรเขาจริงๆ ได้ ใยต้องก่อเรื่องเช่นนี้ มีประโยชน์อะไรอีก


มาถึงเมืองหลวงเจ้ายังหนีได้ ถ้าอย่างนั้นฮ่องเต้คนนี้ก็ไม่ต้องเป็นฮ่องเต้แล้ว


เฉิงกั๋วกงคนผู้ชาญฉลาดยอดเยี่ยมเช่นนั้น มีบุตรชายเช่นนี้คนหนึ่งปวดหัวมากหรือไม่?


คุณหนูจวินมองจูจั้นที่เดินอยู่ข้างหน้าผ่านพุ่มไม้


นางไม่ได้ก้าวเท้าติดตาม คิดว่ารอเขาเดินไปไกลแล้ว ตนเองก็จะหันหัวจากไปบ้าง


จูจั้นกลับชักช้าเดินไปไม่ไกล ไม่เหมือนคืนวานที่ก้าวเร็วจี๋ยากจะจับไว้เช่นนั้น เขาเดินทอดน่องโคลงศีรษะมองซ้ายมองขวา เหมือนกับชาวบ้านผู้ตื่นเช้ามาเดินเล่นคนหนึ่ง


คุณหนูจวินรู้สึกว่าตนเองอยู่ใต้การฝึกฝนของอาจารย์นับว่าเป็นคนอดทนมากแล้ว แต่เวลานี้ก็ทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว


ไม่อย่างนั้นหมุนตัวเดินไปเลยเถอะ ถูกเขาพบเข้าก็พบสิ จะเป็นอย่างไร เมืองหลวงมีเขามาได้คนเดียวรึ? ถนนใหญ่มีเขาเดินได้คนเดียวรึ? สุดท้ายก็เป็นเพียงหนึ่งประโยคบังเอิญนักเท่านั้น


นางเพิ่งกำลังจะหมุนตัวก็เห็นจูจั้นที่สุดปลายถนนหยุดลง


ถนนย่อมไม่ได้สิ้นสุด ที่ว่าสุดปลายเป็นเพียงถนนเส้นนั้นเลี้ยวโค้งหรือว่าลงเนินลูกหนึ่งเท่านั้น


แสงสีครามยิ่งถดถอยไปหลายส่วน สายตาของคุณหนูจวินกลายเป็นชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้นนอกจากจูจั้น นางยังมองเห็นด้านข้างถนนมีบ้านไม้หลังหนึ่งอยู่


ในทุ่งร้างย่อมไม่สร้างบ้านไม้หลังหนึ่งขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ความจริงแล้วนั่นก็ไม่ใช่บ้านไม้ธรรมดาๆ นั่นเป็นบ้านที่ใช้เฝ้าสุสาน


สุสานของครอบครัวคนธรรมดามีกองดินก็นับว่าดีแล้ว ดีหน่อยก็ตั้งป้ายสุสานสักอัน ดีขึ้นมาอีกก็ยิ่งพิถีพิถันขึ้นมีหออาคารด้วย แน่นอนว่าขนาดเทียบกับของจริงเล็กกว่ามาก บ่งบอกว่าแตกต่างจากที่คนเป็นใช้


แต่บ้านไม้ด้านข้างจูจั้นเวลานี้ดียิ่งกว่าหออาคารเหล่านั้น นี่เป็นบ้านที่ให้คนเฝ้าสุสานโดยเฉพาะ


มีเพียงสุสานของเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงพวกนั้นถึงจะมีคนเฝ้าสูสานคู่ด้วย ปัดกวาดรักษาสุสาน


คฤหาสน์สกุลลู่มีสุสานของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงหรือ?


ความคิดแล่นผ่านไป ร่างกายคุณหนูจวินฉับพลันก็แข็งทื่อ มือที่ตกอยู่ข้างกายกำขึ้นมา


เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงของคฤหาสถ์สกุลลู่


นางเดินออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ ก้าวไวๆ ไปยังสถานที่ซึ่งจูจั้นเดินไป


ฝีเท้าของนางยังคงเบาไร้เสียงเหมือนเก่า สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบโอนอ่อน วิ่งไปข้างหน้าเผชิญหน้าแสงอรุณที่ค่อยๆ สว่างขึ้น


จูจั้นหายไปจากสุดปลายถนน


คุณหนูจวินยืนอยู่ที่สุดปลายถนน


นางเข้าใจผิดแล้ว สุดปลายถนนไม่ใช่ทางเลี้ยวโค้งแล้วก็ไม่ใช่ทางลงเนิน แต่เป็นสุดปลายจริงๆ ด้านหน้าไม่มีหนทางไปต่อ แต่เป็นพื้นที่สุดสานผืนหนึ่ง พูดให้ชัดคือสุสานหลังหนึ่ง


หลุมศพในสุสานไม่มาก กระจัดกระจายหกหลังเท่านั้น


เก็บกวาดไว้เป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน แม้กระทั่งหญ้ารกก็ไม่เห็นสักต้น ต้นซงต้นไป๋ด้านหน้าสุสานมีร่องรอยเพิ่งถูกตัดแต่ง เห็นได้ว่าคนเฝ้าสุสานดูแลได้ถี่ถ้วนอย่างมาก


และมีสุสานหลังหนึ่งดูแล้วมาตรฐานสูงยิ่ง แล้วก็ใหม่ยิ่งด้านหน้ายังมีของเซ่นวางอยู่ เห็นได้ชัดว่าไม่นานนี้มีคนมาเซ่นไหว้


คุณหนูจวินมองป้ายสุสาน จากข้างบนลงข้างล่างมองเห็นตัวอักษรด้านบนนั้นได้ชัดเจน


รำลึกถึงองค์หญิงจิ่วหลิง


สุสานของข้าสินะ ที่แท้ก็ยังคงเข้าสุสานบรรพชนสกุลลู่อย่างที่คิด


ก่อนหน้ามีชีวิตก็ถูกผูกมัด หลังตายก็ยังคงถูกผูกมัดอยู่


สายตาของคุณหนูจวินพร่ามัวขึ้นมานิดหน่อย ในเวลาเดียวกันนี้แสงตะวันสายแรกของเช้าตรู่ก็ฉาบลงบนผืนดิน ให้นางไม่อาจไม่มองเห็นป้ายสุสานนี้เบื้องหน้าชัด


จูจั้นยังคงยืนอยู่ที่นั่น เหมือนจะเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างยื่นมือลูบนิดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ระมัดระวังควักขวดใบน้อยสองใบจากในอกเสื้อ


เขาจะทำอะไร?


ขวนนั่นใส่อะไรไว้?


เขาต้องการจะทำลายสุสานของตนแก้แค้นลู่อวิ๋นฉีหรือ?


น่าขันจริงๆ ลู่อวิ๋นฉีไม่มีทางโกรธหรอก คงดีใจแทบไม่ทันล่ะสิ


คุณหนูจวินมองจูจั้นเอาขวดใบน้อยใบหนึ่งเอียงเทลงหน้าแท่นศิลาด้านหน้าสุสาน ใต้แสงสว่างยามเช้าตรู่เหมือนจะเป็นใบไม้เหี่ยวแห้งกรอบกองหนึ่ง


ของอะไร? จะใช้ติดไฟหรือ?


คุณหนูจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มองจูจั้นเทขวดอีกใบหนึ่ง


ข้างในขวดใบนี้มีของเหลวสีเข้มอยู่


น้ำมันที่จุดไฟรึ?


ของเหลวตกต้องบนใบไม้เหี่ยว ใบไม้เหี่ยวพริบตาก็ถูกชโลมเปียก


ไม่ติดไฟ ไม่ลุกไหม้ ใบไม้เหี่ยวเพียงแค่ยืดขยายออกบนแท่นศิลาเท่านั้น


นี่ทำอะไร?


ความคิดของคุณหนูจวินแล่นผ่านไปอีกครั้ง หลังจากนั้นนางก็เบิกตาโดยพลัน อ้าปากกว้างเสียกิริยา


ใบไม้เหี่ยวต้นหญ้าแห้งกองนั้นถึงกับเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งยังยืดขยายเหมือนกับดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ดอกหนึ่งแย้มบาน


ไม่ใช่เหมือน นั่นก็คือดอกไม้ดอกหนึ่ง


คุณหนูจวินจำดอกไม้ดอกนี้ได้ แต่นางไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน


ดอกพลับพลึงแดงแดนเหนือ


นี่เป็นดอกไม้ที่งอกอยู่ทางเหนือของตอนเหนือขึ้นไปอีก บานอยู่บนหน้าผาชัน ตอนบานเต็มที่งดงามอยู่บนหน้าผาราวกับเปลวเพลิงดวงแล้วดวงเล่า แต่เด็ดลงมาก็จะเหี่ยวแห้งทันที เล่ากันว่ามีเพียงอาศัยเลือดคนหล่อเลี้ยงถึงจะรักษาสภาพสดให้ยาวนานได้


ดังนั้นคนมากมายที่นั่นจึงใช้ดอกไม้ชนิดนี้มาแสดงถึงหัวใจของคนรัก เด็ดมันลงมา กรีดมือตนเอง หลั่งเลือดมอบบุปผาให้แก่คนที่ตนเองชอบ


ตอนที่นางยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งสงสัยใคร่รู้กับตำนานนี้ยิ่งนัก เคยพลิกหนังสือตำราหรือให้คนที่เคยเห็นวาดให้นางดู


นอกจากนี้นางยังอยากพิสูจน์ด้วยตาตนเองว่าใช้เลือดหล่อเลี้ยงได้จริงหรือไม่ ขอเพียงพระบิดาเอ่ยประโยคเดียว แม้ดอกไม้ชนิดนี้หายากเย็นแสนเข็นก็ย่อมถูกส่งมายังเมืองหลวง


แต่พระบิดาของนางได้มหาบัณฑิตอบรมอย่างเข้มงวด ทั้งจิตใจเมตตาลึกซึ้ง ไม่มีทางให้นางทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้เด็ดขาด หนึ่งไม่ชมชอบเลือด สองไม่ชมชอบลำบากชาวบ้านสูญเสียทรัพย์สิน


แต่นางเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ไม่สนเรื่องมากมายเช่นนั้น


หลังจากนางปีนกำแพงบ้านเฉิงกั๋วกงถูกเตะตียกหนึ่ง หลังจากนั้นเฉิงกั๋วกงก็มาเยี่ยม นางจึงขอให้เฉิงกั๋วกงลอบส่งมาให้นางดอกหนึ่งในยามที่เหมาะสม ให้นางได้เปิดโลกบ้าง


หลังจากนั้นนางก็ออกจากเมืองหลวงมุ่งลงใต้ หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้พบเฉิงกั๋วกงอีก หลังจากนั้นพระบิดาพระมารดาก็เสีย หลังจากนั้นนางก็ตาย


เรื่องนี้ตัวนางเองยังลืมไปแล้ว จนกระทั่งตอนนี้เห็นดอกไม้ดอกนี้


ดอกไม้ดอกนั้นถูกคนใช้มือหยิบขึ้นมาแล้ว ออกไปจากสายตาของคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินมองคนที่ถือดอกไม้


จูจั้นยกมือขึ้นมา ดอกไม้ร่วงลงบนป้ายสุสานอย่างแม่นยำ


ตอนนี้เองแสงตะวันก็โผขึ้นจากบนพื้นดินอย่างสิ้นเชิง ส่องจับบนบุปผาสีแดงให้มันเปล่งประกายเฉิดฉายทั้งยังงดงามหยดย้อยเหมือนเพิ่งเด็ดลงมาใหม่ๆ


เขาจากแดนเหนือข้ามผ่านพันลี้


เขาหนีจากการจับกุมตัว


เขาหลบตะวันออกซ่อนตะวันตก วิ่งลงใต้เดินขึ้นเหนือ


เขาเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ แปลงหน้าปลอมตัว


เขาฝ่าเข้าเมืองหลวง สังหารองครักษ์เสื้อแพร บุกผ่านประตูเมือง


เขาเดินทางทั้งคืน เอาน้ำค้างเช้าตรู่ล้างหน้า


ก็เพื่อมามอบดอกไม้ดอกหนึ่งหน้าสุสานแห่งนี้งั้นหรือ?


คุณหนูจวินยืนอยู่ที่เก่า ราวกับแสงตะวันละลานตา สิ่งใดล้วนมองไม่ชัดแล้ว


……………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 112 พบพานไม่อยากพบ

 

คุณหนูจวินรู้สึกว่าตนเองควรคิดอะไรบ้าง แต่ในความเป็นจริงนางไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็มีสายลมเร็วจู่โจมมาพร้อมกัน


“สหาย เจ้าต้องการดูเจ้าก็ลงมาดูเถอะ ทั้งคืนตามข้าห่างขนาดนี้มองชัดรึ?”


เสียงของจูจั้นเอ่ยขึ้นตามมา


คุณหนูจวินรู้สึกเพียงสองขาชาเจ็บแปลบ คนก็ไม่อาจควบคุมได้ล้มคุกเข่าไปข้างหน้า


ด้านหน้าของนางเป็นขั้นบันไดที่ค่อยๆ ทอดลงต่ำ นางเหมือนกับเมื่อครั้งนั้นที่ร่วงหล่นกลิ้งลงมาจากกำแพงบ้านของเฉิงกั๋วกง


คุณหนูจวินรู้สึกเพียงฟ้าดินหมุนตลบ พร้อมกับเสียงตุบทีหนึ่ง คนก็นอนหมอบอยู่บนพื้นแล้ว


บนพื้นปูหินเขียวราบเรียบ คุณหนูจวินรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับแป้งขนมแผ่นหนึ่งถูกตบแปะลงบนนั้น


น้ำตานางทะลักออกมาทันที


บางครั้งหลั่งน้ำตาก็ไม่ใช่เพราะอยากร้องไห้ แต่เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของคน เพราะเจ็บเกินไปแล้ว


“โว้ว! องครักษ์เสื้อแพรเดี๋ยวนี้ทหารหญิงฝีมือเช่นนี้รึ?”


เสียงของจูจั้นยังคงโหวกเหวกอยู่ข้างหู


“ส่งมาผิดคนแล้วมั้ง เจ้าน่าจะไปหอโคมเขียวทำงานหรือเปล่า?”


เขาพูดพลางเดินเข้าใกล้ คุณหนูจวินไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงนอนหมอบอยู่กับพื้น ความเจ็บค่อยๆ ถดถอยไป เหน็ดเหนื่อยจากการเดินวิ่งทั้งคืน เมื่อเอนนอนลงไปแล้วก็ลุกไม่ไหว


คุณหนูจวินจึงนอนหมอบอยู่เช่นนั้นเอียงหน้ามองไปทางจูจั้นเสียเลย


จูจั้นมองเห็นหน้าของนาง เบิกตาโตทันที ราวกับเห็นผี


“เจ้า?” เขาเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินมองเขา


“ใช่แล้ว บังเอิญจริงนะ” นางว่า


จูจั้นมองบนจรดล่างประเมินนาง อึ้งไปนิดหน่อย ทั้งยังหลุดหัวเราะออกมานิดๆ


“ทั้งคืนนี้ที่ตามอยู่ข้างหลังก็คือเจ้า?” เขาเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา พลางลุกขึ้นช้าๆ


“ท่านรู้ว่ามีคนตามท่านอยู่รึ?” นางเอ่ยขึ้น


“ข้าย่อมรู้” จูจั้นเอ่ยขึ้น “แต่คนเหล่านี้ก็เป็นเช่นนี้ ตีพวกเขาเสียบ้างย่อมต้องตี แต่พวกเขาจะตามก็ให้พวกเขาตามไป อย่างไรตามก็ทำอะไรข้าไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าเอาไม้ฟาดทีหนึ่งแล้วให้พุทราหวาน”


พูดไร้สาระอีกแล้ว


คุณหนูจวินหลุบสายตาลง


“นี่เป็นคำพูดไร้สาระอย่างไร เจ้าไม่เคยได้ยินคนดีไม่สู้กับคนบ้าหรือ?” จูจั้นมองคำพูดในใจนางออก “ให้คนบ้าพวกนี้ลิ้มรสหวานสักหน่อย ให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองค่อนข้างร้ายกาจ ลงมือขึ้นมาถึงสะดวกไหมเล่า”


พูดมั่วซั่วส่งเดช


คุณหนูจวินลุกขึ้นเดินไปทางสุสานของตนเอง


สุสานของตนเอง ฟังดูแล้วแปลกพิกลนักใช่หรือไม่


“เฮ้ เจ้าจะทำอะไร?” จูจั้นเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินยืนอยู่หน้าสุสานแล้ว ร่างกายของนางสั่นขึ้นมาบ้างอย่างไม่อาจยับยั้งได้


จารึกถึงองค์หญิงจิ่วหลิง


นางมองอักษรที่สลักอยู่บนป้ายสุสาน เนื้อของคำจารึกสุสานนางหลับตาก็ท่องออกมาได้


นางหลับตาลง อยากจะสัมผัสอารมณ์ยุ่งเหยิงนี้ แต่เพิ่งหลับตาไปก็มีกลิ่นประหลาดบางๆ ลอยเข้ามาในลมหายใจ


ผลไม้ของเซ่นที่วางไว้ด้านหน้าสุสานเสียกลิ่นหอมสดใหม่ที่เคยมีไปแล้ว ที่แห่งนี้ของสดใหม่มีเพียงดอกไม้ประหลาดดอกนั้น


กลิ่นหอมดอกไม้ของดอกพลับพลึงแดงแดนเหนือเป็นเช่นนี้หรือ?


คุณหนูจวินอดไม่ได้เบิกตา


ไม่ถูก นี่ไม่ใช่กลิ่นหอมดอกไม้ นี่เป็นกลิ่นยา


สายตาของนางจับอยู่บนขั้นบันไดศิลาด้านหน้าป้ายสุสาน ดอกไม้ถูกโยนไปแขวนไว้ที่ป้ายสุสานแล้ว ขวดใบน้อยสองใบรวมถึงของเหลวที่รินเทยังเหลืออยู่


ของเหลว


นี่เป็นของเหลวอะไร ถึงกับทำให้ไม้เฉาฟื้นสด ดอกไม้แห้งแย้มบานได้?


ไม่ใช่มั้ง….


คุณหนูจวินไม่ทันได้สนใจโศกเศร้าคิดมากเรื่องความตายอันใด ใช้มือแตะของเหลวยกขึ้นมาสูดหายใจดมดูสีหน้าไม่อยากเชื่อ


“นี่คืออะไร?” นางหันหน้าไปเอ่ยถามจูจั้นด้านข้าง


“น้ำ” จูจั้นเอ่ยตอบอย่างว่องไว


คุณหนูจวินสบถทีหนึ่ง


“น้ำบ้านท่านเป็นเช่นนี้หรือ?” นางแหวไม่สบอารมณ์ นางลูบของเหลวกำมือหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง “นี่คือต้นเซียนจื่ออิงใช่หรือไม่?”


จูจั้นยักคิ้ว


“รู้แล้วเจ้ายังถาม” เขาเอ่ย


สิ้นเสียงคุณหนูจวินก็หนึ่งก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้า ศีรษะแทบจะชนใต้คางของเขา


จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่งถอยหลัง คุณหนูจวินยื่นมือนำของเหลวป้ายบนเสื้อผ้าของเขา


“นี่คือต้นเซียนจื่ออิง ท่านรู้ไหมมันมีค่ามากเท่าไร?” นางร้อนรนเอ่ยขึ้น


ท่านอาจารย์นานปีขนาดนี้เพิ่งหาพบต้นเดียว นางก็ไม่ง่ายกว่าจะได้พบต้นหนึ่ง จูจั้นคนนี้!


นางรู้สึกเพียงทั้งโกรธทั้งร้อนรนแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี รู้เพียงไม่ทันรู้ตัวก็ยกมือตีเข้าไปแรงๆ


น่าชังนักในมือตอนนี้ไม่มีแส้


จูจั้นหลบเป็นพัลวัน


“เจ้ายัยผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าเรอะ” เขาว่า “ข้าย่อมรู้ว่าต้นเซียนจื่ออิงนี่มีค่ามาก ยังต้องให้เจ้าบอก”


คุณหนูจวินหยุดฝีเท้ามองเขาอย่างชิงชัง


“ท่านรู้ท่านยังสิ้นเปลืองเช่นนี้!” นางแหว


จูจั้นคิ้วตั้ง


“สิ้นเปลือง?” เขายิ้มหยัน ท่าทางดูแคลนเต็มที่ “แค่เพราะไม่ได้ใช้มีค่าอย่างที่เจ้าบอกก็คือสิ้นเปลือง? มีค่าที่เจ้าพูดย่อมเป็นวิธีใช้ที่มีค่ากับเจ้า สำหรับข้า นี่ก็เป็นวิธีใช้ที่มีค่าที่สุด”


คุณหนูจวินหันหน้ากลับมามองดอกไม้บนป้ายสุสาน ไม่กลับคืนสดใหม่ดังก่อนหน้านี้อีกแล้ว ใต้แสงอรุณสาดส่องค่อยๆ กลับคืนเป็นสีเทาแห้งเหี่ยว


“แค่ดอกไม้ไร้ค่าดอกเดียวนี่…” นางยื่นมือชี้เอ่ยขึ้น


คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกจูจั้นเอ่ยขัด


“เกี่ยวอันใดกับเจ้า” เขาว่า พูดจบก็หมุนตัวจะไป


คุณหนูจวินโกรธกัดฟัน


“ท่านหยุดนะ” นางตะโกน


จูจั้นหันกลับมา ยื่นมือชี้นาง บนหน้าไม่มีรอยยิ้มอย่างเคย


“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร แล้วก็จะไม่ถามว่าเจ้าตามข้ามาอีกทำไม ดีที่สุดเจ้าอย่ามาหาเรื่องข้าอีก” เขาเอ่ยเสียงเย็น “ไหนเลยผลัดถึงตาเจ้ามาถกมีค่าไร้ค่า อย่าลืมว่าชีวิตของเจ้าก็ใช้สมุนไพรนี่แลกมา รู้สึกว่าข้าสิ้นเปลืองไร้ค่า ชีวิตเจ้าก็ไร้ค่าเช่นนั้นรึ?”


ถูกเขาชี้หน้าด่าเช่นนี้ แม้คุณหนูจวินจะอับอายโมโหอยู่บ้าง แต่ก็ยังใจเย็นลง


อารมณ์ของนางขึ้นลงเกินไปแล้ว


ฉับพลันทันใดเห็นสุสานของตนเอง แล้วยังเห็นจูจั้นที่ไม่เคยมีสัมพันธ์กันมาก่อนมามอบดอกไม้หน้าสุสานของตน แล้วยังพบว่าต้นเซียนจื่ออิงถึงกับใช้ไปกับเรื่องเช่นนี้


เรื่องทั้งหมดล้วนพุ่งเข้าโจมตีพร้อมกัน นางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อยู่บ้างจริงๆ


คุณหนูจวินกำมือแน่นทำให้ตนเองสงบลง


“ท่านชายจู ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้” นางผ่อนน้ำเสียงลงเอ่ยขึ้น “ข้า…ไม่ได้เพื่อต้นเซียนจื่ออิง มันเป็นของท่านแล้ว ท่านจะใช้อย่างไร ท่านตัดสินใจเอง”


จูจั้นมองนางทีหนึ่ง พึมพำอะไรประโยคหนึ่งเหมือนประหลาดใจเล็กน้อยกับความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์สีหน้านี้ของนาง


“เช่นนั้นก็ดี” เขาว่า พูดจบหมุนตัวก็ไป


“ท่านชายจู” คุณหนูจวินรีบร้องเรียกอีกครั้ง “ท่านทำไมมาเมืองหลวงเล่า? ท่าน ท่านรู้จักกับองค์หญิงจิ่วหลิงผู้นี้หรือ?”


จูจั้นศีรษะก็ไม่หันกลับมา ได้ยินประโยคสุดท้ายก็สับขาวิ่งทันที


เจ้าสารเลวคนนี้!


คุณหนูจวินยกเท้าไล่ตามไป


“ท่านวิ่งอะไร!” นางตะโกน อารมณ์โกรธขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านหยุดนะ”


แต่วิ่งขึ้นมาจริงๆ นางไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของจูจั้น ขาของนางเมื่อครู่ก็ล้มไม่เบา คนในสายตายิ่งไกลออกไปทุกที


แสงอรุณยิ่งสว่าง เพราะใกล้เมืองหลวง บนถนนใหญ่คนเดินจึงค่อยๆ มากขึ้น มองเห็นคุณหนูจวินที่เรียกได้ว่าหอบแฮกๆ ทั้งยังมอมแมมอยู่บ้าง ล้วนหันสายตามองมาอย่างประหลาดใจ


คุณหนูจวินไม่สนใจสายตาเหล่านี้ กัดฟันวิ่งไปข้างหน้าต่อ แม้กลิ่นสมุนไพรจะสลายไปมากแล้ว นอกจากนี้คนเดินทางวัวม้าบนถนนเพิ่มมาก็ชะกลิ่นสมุนไพรจางไปมาก แต่นางยังพอจะไล่ตามค้นหาได้


ด้านหน้ามองเห็นประตูเมืองแล้ว ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เข้าออกได้ตามสบาย ด้านหน้าประตูเมืองขบวนยาวเรียงแถวอยู่ ทหารนับไม่ถ้วนรวมถึงองครักษ์เสื้อแพรร่างสวมชุดปลาบินยืนอยู่ด้านหน้าประตูเมือง สีหน้าเคร่งขรึมตรวจค้นฝูงชนที่เข้าออก


กำลังหาจูจั้น


คุณหนูจวินมองเงาร่างคนมากมายเบื้องหน้า ไม่เข้าใจอยู่บ้าง


ทำไมเขาจะเข้าเมือง?


นี่ไม่เหมือนกับกลางคืนที่ถูกเขาหลอกได้ คนเหล่านี้ตอนนี้ระวังระไว


เวลานี้เข้าเมืองใยไม่ใช่จับปุบจับได้?


ต่อให้จะไปหาคนปกป้องก็ต้องค่อยหาโอกาสสิ


คุณหนูจวินมองจูจั้นผู้ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนที่ต่อแถวอยู่


มองดูว่าเขาจะมีลูกเล่นอะไรอีก


คุณหนูจวินกัดฟันก้าวไวๆ ไล่ตามไป เพิ่งเข้าใกล้ด้านนั้นก็เห็นจูจั้นในฝูงชนพลันอดทนไม่ไหวยกมือขึ้น


“เร็วหน่อยได้หรือไม่?” เขาร้องเสียงดัง พลางเบียดไปข้างหน้า


ฝูงชนหน้าหลังที่เดิมร้อนใจเพราะต่อแถวอยู่แล้วกลายเป็นวุ่นวายอยู่บ้างขึ้นมา


“เจ้าทำอะไร?”


“เบียดหาอะไรห่ะ!”


“รีบไปเกิดใหม่รึไงไอ้หลานชาย!”


ฝูงชนที่ถูกเบียดเอนซ้ายเอนขวาร้องด่าออกมา


นี่ทำให้ประตูเมืองทั้งหมดล้วนโกลาหลขึ้นมา


จูจั้นกลับยังคงเบียดไปข้างหน้าเหมือนเดิม


“พวกเจ้าหลานชายเหล่านี้ ให้ข้าเข้าไปก่อน พวกเจ้าก็เข้าไปตามสบายได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น


คำพูดนี้ยิ่งชักนำให้ผู้คนด่ายกหนึ่ง


ทหารด้านหน้าประตูเมืองเริ่มตวาดด่า พร้อมกันนั้นก็วิ่งมาด้านนี้


หรือจะฉวยโอกาสวุ่นวายวิ่งเข้าไปหรือ?


ทหาร องครักษ์เสื้อแพรมากมายขนาดนี้ ยังมีชาวบ้าน สู้ขึ้นมาคงไม่ง่าย


คุณหนูจวินอดไม่ได้กำมือแน่น


กลับเห็นจูจั้นผลักฝูงชนที่ล้อมอยู่เต็มแรง ไม่ได้หยิบอาวุธออกมาแต่พลันยกมือขึ้น


“ข้าคือจูจั้น!” เขาตะโกน “ข้าคือบุตรชายของเฉิงกั๋วกง! รีบมาจับข้าสิ!”


คุณหนูจวินอึ้ง


……………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 113 ล้อมไล่ตาม

 

ฝูงชนที่โวยวายเงียบสงบไปวูบหนึ่ง สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องอยู่บนร่างของชายหนุ่มที่ยกมือขึ้น


จูจั้น พวกเขาไม่คุ้น แต่เฉิงกั๋วกงใครๆ ต่างรู้จัก


ในเมืองหลวงข่าวคราวว่องไว กลางคืนเกิดเรื่องใหม่ ฟ้าสว่างบนถนนใหญ่ก็แพร่ไปทั่วได้


เรื่องที่บุตรชายของเฉิงกั๋วกงก่อเรื่องทำร้ายคนถูกฮ่องเต้ต้องการคุมตัวเข้าเมืองหลวงแต่กลับหนีไป ทุกคนล้วนรู้นานแล้ว


ทุกคนคาดเดาว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงคงได้เฉิงกั๋วกงปกป้องไว้แล้ว ถูกเฉิงกั๋วกงโยนไปที่ชายแดนชาวจินสังหารศัตรูไปแล้ว


อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงถึงกับมาปรากฏตัวที่นี่


หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้คนก็ฮือฮา


“บุตรชายของเฉิงกั๋วกง!”


“มาดูบุตรชายของเฉิงกั๋วกงเร็ว!”


“เฉิงกั๋วกงท่านต้องปกป้องความสงบสุขของพวกเรานะ!”


“บุตรชายของเฉิงกั๋วกงโตมาหล่อขนาดนี้เชียว!”


หน้าประตูเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย บรรดาทหาร บรรดาองครักษ์เสื้อแพรหวิดถูกเบียดล้ม


“เลิกคิดเล่นไม้นี้อีกรอบ” มีองครักษ์เสื้อแพรตวาดขึ้น ยื่นมือชักดาบปักวสันต์ “องครักษ์เสื้อแพรทำภารกิจ ใครขวางฆ่า”


เสียงดาบออกจากฝักโฉ้งเฉ้งแถบหนึ่ง ควบคู่มากับเสียงปึงปึงโจมตีปะทะ


และในเวลาเดียวกันนี้บรรดาทหารก็พากันชักอาวุธออกมาเช่นกัน


บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเคร่งเคียดทันที บรรดาชาวบ้านไม่สนใจเรื่องสนุกอีก องค์รักษ์เสื้อแพรเคยสังหารคนกลางถนนมาก่อนจริงๆ


ตอนนั้นลู่อวิ๋นฉีได้รับคำสั่งให้ค้นบ้านของขุนนางคนหนึ่ง ขุนนางผู้นี้มีลูกศิษย์มารวมตัวปกป้องอยู่บ้าง ลูกศิษย์ไม่น้อยเข้าไปขัดขวางร้องอยุติธรรม ผลปรากฏว่าลู่อวิ๋นฉีตาไม่กะพริบออกคำสั่งถือพวกเขาเป็นกบฏสังหารไม่เว้น แม้ไม่ได้ฟันตายบนถนน แต่ทำให้ลูกศิษย์ไม่น้อยได้เลือดเสียเนื้อกันไป


บรรดาชาวบ้านพากันกุมหัวนั่งลงไป


พริบตาก็มีพียงจูจั้นยืนอยู่คนเดียวตรงกลางสะดุดตาเป็นพิเศษ


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรล้อมเข้ามา บรรดาทหารก็ล้อมเข้ามาด้วย


คุณหนูจวินนั่งยองๆ อยู่ในกลุ่มคนเงยหน้ามองข้ามไป จูจั้นยังคงไม่ได้มีท่าทีจะวิ่งหนีหรือลงมือ


เขายังคงยกสองมือขึ้นสูงเหมือนเก่า บนหน้าสีหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม


“โอ หนีไม่พ้นแล้ว ถูกพวกเจ้าจับได้แล้ว” เขายังคงตะโกนเสียงดัง


สีหน้าบรรดาองครักษ์เสื้อแพรเย็นชา ปิดซ่อนความโกรธแค้นของพวกเขา


ช่วงหลายวันนี้จูจั้นทำให้พวกเขาโกรธมากเกินไปแล้ว


รอไปถึงกรมสืบสวนฝ่ายเหนือของพวกเขา มีวิธีนับไม่ถ้วนให้สงบความโกรธแค้นของพวกเขา


“จับไว้” องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา


แม้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจมากเพียงใด แต่บรรดาองครักษ์เสื้อแพรหาได้มีความหวาดกลัวสักนิด ถือดาบก้าวเข้าไป


ผู้ชายคนนี้ไม่ขยับ แต่กลับมีผู้ชายกลุ่มหนึ่งยืนขวางเบื้องหน้าพวกเขา


“ช้าก่อน” ขุนนางทหารที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น


“ใต้เท้าอู่” องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นหัวหน้าเห็นแม่ทัพทหารด้านนี้ เอ่ยขึ้นเย็นชา “พวกท่านตั้งใจจะทำอะไร?”


“ขอบคุณหัวหน้ากองร้อยเจียงช่วยเหลือ วันนี้นักโทษจับได้แล้ว ธุระที่เหลือให้พวกเราฝ่ายทหารจัดการเองเถิด” แม่ทัพที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าอู่เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ข้าจะแจ้งเบื้องบนขอบคุณกรมสืบสวนของพวกท่าน”


หัวหน้ากองร้อยเจียงมองเขาอย่างเย็นชา ไม่มีเจตนาจะถอยให้สักนิด


“ฝ่าบาทมอบคดีนี้ให้กรมสืบสวนทำ” เขาว่า “ใต้เท้าอู่จะขัดโองการรึ?


ใต้เท้าอู่สบถทีหนึ่ง


“อย่า อย่า อย่ามาใส่ความข้า นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว” เขาถลึงตาเอ่ย “พวกเจ้าคนของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือพูดจาข่มขู่คนเกินไปแล้ว อย่าเข้ามาปุบก็ใส่ความใหญ่โตสิ เรื่องนี้ต้องพูดให้ชัดก่อน คดีนี้มอบให้พวกเจ้ากรมสืบสวนได้อย่างไร? ฝ่าบาทตรัสสั่งพวกเรากรมกลาโหมค้นหาเข้มงวด พวกเราไม่หาถึงจะขัดราชโองการ”


หัวหน้ากองร้อยเจียงสีหน้ายังคงเย็นชา


“ฝ่าบาทสั่งพวกเจ้ากรมกลาโหมค้นหาเข้มงวด พวกเจ้าหาแล้วรึ? คนไม่ส่งมาที่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ดังนั้นฝ่าบาทถึงให้พวกเราไป” เขาว่า


ใต้เท้าอู่ลูบหนวดหัวเราะลั่น


“อั้ยย่ะ ข้ารู้พวกเจ้าช่วยเหลือไว้มากอยู่” เขาว่า “กลับไปให้ใต้เท้าของพวกเราลากสุราหนึ่งคันรถ พวกเราไปร่วมดื่มครั้งใหญ่กับพวกเจ้ากรมสืบสวนสักยก”


ฝั่งนี้หัวเราะลั่นสบายอารมณ์ ฝั่งนั้นชุดปลาบินดาบปักวสันต์สงบเยือกเย็น เกิดเป็นการประจันหน้าอันแปลกประหลาด ชาวบ้านที่อยู่ที่นั่นต่อให้ไม่เงยหน้าก็อดไม่ได้ตัวสั่นเหมือนกัน


จะสู้กันแล้ว จะสู้กันแล้ว


ทหารถ่อยกลุ่มนี้ของกรมกลาโหมกับองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้ของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือจะสู้กันแล้ว


นี่ถ้าสู้กันขึ้นมา พวกเขาก็ซวยแล้วน่ะสิ


แต่ดันไม่มีใครกล้าผลีผลามขยับเช่นกัน


ที่แท้หากเข้าเมืองก็มีคนปกป้องเขาจริงๆ คุณหนูจวินมองการประจันหน้าฝั่งนี้ เห็นอยู่ว่าอยู่ใต้หนังตาพวกองครักษ์เสื้อแพรชัดๆ แต่คนเหล่านี้ก็ยังคงกล้าปกป้องเขา คิดดูก็รู้ว่าหากคืนวานเขาไปหาคนเหล่านี้ พวกองครักษ์เสื้อแพรน่ากลัวว่าคงไม่ได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ


แต่เขาก็ยังคงออกจากเมืองไป เพื่อไปมอบดอกไม้ดอกนั้นหน้าสุสานของตนเองงั้นหรือ?


เป็นเฉิงกั๋วกงฝากเขาให้ทำสัญญาให้สำเร็จรึ?


คุณหนูจวินมองจูจั้น


“อั้ยยะ พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันสิ” จูจั้นตะโกน สะบัดมือทีหนึ่ง “พวกเจ้าสองฝั่งข้าไม่ไปทั้งนั้น ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท”


เข้าเฝ้าฝ่าบาท?


องครักษ์เสื้อแพรรวมไปถึงบรรดาทหารล้วนหันไปมองเขา


“ท่านชายคิดว่าฝ่าบาทจะว่างเหมือนท่านหรือ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยขึ้นเย็นชา


จูจั้นมองเขาแล้วยิ้ม


“เจ้าพูดจาช่างไม่น่าฟังเสียจริง” เขาเอ่ย “เสียงก็ไม่น่าฟังเหมือนกัน น่าจะไปเรียนกับหัวหน้ากองพันของพวกเจ้าเสียบ้าง ดูสิคนอื่นพูดจาเสียงอ่อนโยนขนาดไหน”


เสียงของลู่อวิ๋นฉีเป็นเรื่องต้องห้าม โดยเฉพาะถูกหยิบมาล้อเลียน บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ที่นั่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ในดวงตาไม่ปิดบังความโกรธแค้นอีกต่อไป


“ใต้เท้าอู่ หลีกทาง” หัวหน้ากองร้อยเจียงตวาด ดาบในมือตวัดไปข้างหน้า


เสียงพรึบดังขึ้น บรรดาองครักษ์เสื้อแพรตวัดดาบไปข้างหน้า


บรรดานายทหารก็ยกอาวุธขึ้นมาในเวลาเดียวกันชี้ไปที่พวกเขา


“หัวหน้ากองร้อยเจียง พวกเราสู้กันบนถนนขึ้นมาคงไม่น่าดู” ใต้เท้าอู่เอ่ยขึ้น สีหน้าค่อยๆ จริงจัง


หัวหน้ากองร้อยเจียงไม่พูดสักคำ เพียงแค่ก้าวมาข้างหน้าทีละก้าว


สีหน้าใต้เท้าอู่ก็เคร่งเครียดเช่นกัน ยืนอยู่ที่เก่านิ่งไม่ขยับ


ด้านหน้าประตูเมืองราวกับก่อนหน้าลมพายุฝนมาเยือน


จูจั้นพลันสะบัดมือก้าวยาวๆ วิ่งไปในเมือง


“พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไป ข้าเข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อนล่ะ” เขาตะโกน


พร้อมกับสิ้นเสียงนี้ คนก็ราวกับลมพายุพุ่งเข้าไปในเมือง


สองฝ่ายที่ประจันหน้ากันรีบร้อนวุ่นวายทันที


“รีบตามไป” สองฝ่ายตะโกนขึ้น


หนึ่งไล่ตามต้องการจับ หนึ่งไล่ตามต้องการปกป้อง รีบร้อนลนลานแย่งชิงกันแห่เข้าไปด้านในเมือง


พริบตาหน้าประตูเมืองก็เหลือเพียงชาวบ้านที่นั่งยองๆ กุมหัวอยู่บนพื้น


ลุกขึ้นได้แล้วรึ?


บรรดาชาวบ้านล้วนนั่งซื่อบื้ออยู่บนพื้น จนกระทั่งมองเห็นเด็กสาวคนหนึ่งลุกขึ้นวิ่งตึงๆ เข้าไปในเมือง ผู้คนถึงแยกย้ายไปทันที


บนถนนคนหงายม้าล้ม


จูจั้นวิ่งตัดตรงกลาง วิ่งตรงไปยังที่ซึ่งวังหลวงตั้งอยู่ สลัดองครักษ์เสื้อแพร ทหารไว้ข้างหลัง


ทว่าเลี้ยวผ่านถนนเส้นหนึ่ง บนถนนด้านหน้ากลับไม่มีชาวบ้านเดินผ่าน ราวกับถูกกันสถานที่ไว้กะทันหัน


ก็พูดไม่ได้ว่าไม่มีคน บนถนนตรงหน้าคนม้ายืนเรียงแถวยู่ ใต้แสงอรุณสีครามเสื้อผ้าปักลายซับซ้อนสีแดงดำเคียงคู่งดงามทิ่มแทงตาเป็นพิเศษ


จูจั้นหยุดฝีเท้า มองคนม้าด้านหน้ามุมปากผุดรอยยิ้มบางขึ้น


ด้านหลังร่างเขาบรรดาองครักษ์เสื้อแพรและเหล่าทหารที่รุกไล่ตามก็ผ่อนฝีเท้าช้าลงเช่นกัน บรรดาองครักษ์เสื้อแพรกลับกันถอยหลังไปหลายก้าว ตั้งกระบวนทัพปิดกั้นด้านนี้ไว้ กั้นขวางประสานกับบรรดาองครักษ์เสื้อแพรฝั่งนั้น


บรรดานายทหารก้าวต่อไปข้างหน้ายืนอยู่ด้านหลังร่างจูจั้น


แม้หวาดกลัวอยู่มาก แต่ชาวบ้านที่ตามมาดูเรื่องสนุกก็ไม่น้อย มองเห็นภาพนี้ทุกคนล้วนหยุดเท้าเช่นกัน เคร่งเครียดทั้งตื่นเต้น


“ล้อมไว้แล้ว”


“ใครมารึ?”


พวกเขาสอบถามกันเสียงเบา


“นั่นไม่ใช่พุทราน้อยลู่รึ!


เสียงของจูจั้นดังขึ้นบนถนนใหญ่อันเงียบสงบ


“ไม่เจอกันนานเลยจริงๆ”


พุทราน้อยลู่?


พุทราน้อยลู่เป็นใคร?


บรรดาชาวบ้านสบตาเอ่ยถามกันด้วยความสงสัย


คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนสีหน้าเฉยชา ไม่มีคำถามหรือสงสัยอันใด


‘ข้ามีชื่อเล่นชื่อหนึ่ง ชื่อพุทราน้อย’


‘น่าขำจริง ทำไมชื่อนี้?’


‘เพราะตอนยังเล็กข้าทั้งดำทั้งตัวน้อย เหมือนกับพุทราแห้ง’


‘ดูไม่ออกเลยจริงๆ’


มาเมืองหลวงก็ดีนะ คนเหล่านั้นที่คิดว่าไม่มีทางได้พบอีกแล้ว อยู่ดีๆ ก็พบเข้าบนถนนเช่นนี้


คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ มือที่ทิ้งอยู่ด้านหน้าลำตัวกำเข้ามา


คนม้าแหวกออก คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลัง ต่อให้หันหน้าเข้าหาดวงตะวันยามอรุณรุ่งก็ไม่อาจแต่งแต้มความอบอุ่นสักกระผีกบนร่างของเขาได้ ใบหน้าขาวดุจกระเบื้อง สีหน้าไร้อารมณ์ดั่งเทียนแกะสลัก


“ใต้เท้าหัวหน้ากองพัน” บรรดาองครักษ์เสื้อแพรข้างหน้าข้างหลังคำนับขานเรียกพร้อมเพรียง ทำคนที่ล้อมชมอยู่สะท้านอดไม่ได้หัวใจเต้นแรงทีสองที


……………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 114 เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่

 

พร้อมกับใจที่เต้น สายตาของคนมากมายก็หลุบลงหลบไป


น้อยนักถึงจะมีคนกล้าสบตากับลู่อวิ๋นฉีโดยไม่หลบสายตา


ประการที่หนึ่งฐานะของเขาทำให้คนหวาดกลัว ประการที่สองคือท่าทางของเขา


เขา พูดจริงๆ แล้วไม่น่าเกลียด แต่ไม่รู้ว่าเพราะหน้าตาไร้ความรู้สึกหรือดวงตาที่เย็นชามาตั้งแต่เกิด ทำให้คนมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่สบาย


ดังนั้นหลังมองเห็นลู่อวิ๋นฉีมาถึง สายตาของบรรดาชาวบ้านก็ลุกลี้ลุกลนหลบไป


คุณหนูจวินไม่ได้หลบ ความรู้สึกของบรรดาชาวบ้านไม่ใช่ความรู้สึกขององค์หญิงจิ่วหลิง ไม่ว่าก่อนหน้าหรือหลังแต่งงาน


ก่อนหน้าลู่อวิ๋นฉีดุร้ายเพียงใดก็เป็นเพียงแค่ขุนนางคนหนึ่ง


ส่วนหลังแต่งงานเขาอยู่ต่อหน้านางยิ่งอ่อนโยนเป็นมิตร


คุณหนูจวินกำมือที่อยู่ด้านหน้าร่างแน่นอีกครั้ง


“ไม่พบหน้ากันนานจริงๆ! เจ้ายังไม่เปลี่ยนสักนิดเลยนะ ยังคงประหยัดคำดั่งทองเช่นนี้” เสียงของจูจั้นบนถนนใหญ่อันเงียบสงัดดังกังวาน “ทำไมเห็นคนแม้กระทั่งทักทายก็ไม่ทักแล้วเล่า?”


จูจั้นกับลู่อวิ๋นฉีสนิทกันหรือ?


คุณหนูจวินความสงสัยนี้แวบผ่านไป แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินลู่อวิ๋นฉีพูดถึงมาก่อน


แล้วยังประหยัดคำดั่งทอง คำวิจารณ์นี้ทำให้คุณหนูจวินแปลกใจนัก


ที่แท้เขาก็เป็นคนประหยัดคำดั่งทองคนหนึ่งงั้นหรือ


ตอนอยู่กับตัวเองคำพูดไม่น้อยเลย


ตอนแรกแต่งงานกับตนเอง ลำบากเขาแล้วจริงๆ ยังต้องแสร้งทำขัดกับการกระทำนิสัยดั้งเดิม


ยืนอยู่ด้านหลังผู้คน มองผ่านช่องว่างระหว่างหมู่คนที่เคลื่อนไหวไปมา คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี


ลู่อวิ๋นฉียังคงหน้าไร้อารมณ์ไม่มีทีท่าจะเอ่ยวาจา มองจูจั้นทีหนึ่งก็เพียงโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย


เขาโคลงศีรษะนิดหนึ่งบรรยากาศฉับพลันชะงักนิ่ง บรรดาองครักษ์เสื้อแพรยกดาบพุ่งเข้าใส่จูจั้นพร้อมเพรียง ในดวงตาของพวกเขามีเพียงจูจั้น ทหารที่ขวางอยู่ด้านหน้าตัวจูจั้นเหล่านั้นมองดั่งไม่เห็น


พวกเขาขอเพียงจับคนผู้นี้ได้ คนผู้อื่นในสายตาพวกเขาล้วนไม่ใช่คน ก็แค่ของชิ้นหนึ่ง ขวางทางอยู่ถีบล้มฟันล้มก็พอ


ใต้เท้าอู่ที่นำบรรดาทหารอยู่สีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ท่าทางตัดสินใจแน่วแน่อยู่บ้าง


ไม่คิดว่าสองฝ่ายเพิ่งพบหน้ากันสักประโยคยังไม่ทันเอ่ยก็จะสู้กันขึ้นมาแล้ว หัวหน้ากองพันลู่ทำสิ่งใดเด็ดขาดตามอำเภอใจจริงๆ บรรดาชาวบ้านฮือฮาทีหนึ่งหนีกระจัดกระจาย


คุณหนูจวินถูกฝูงชนพุ่งชนเอนซ้ายเอียงขวาถอยไปที่มุมกำแพง ยังคงมองด้านนั้น


ท่ามกลางความวุ่นวายพลันมีเสียงกีบเท้าดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงตวาด


“หยุดมือ!”


คุณหนูจวินมองไป เห็นคนขี่ม้าขบวนหนึ่งมาอีก


“คนของกรมทหารม้าห้าเมืองก็มาแล้ว!”


“ครั้งนี้สู้กันยิ่งสนุกแล้ว”


“พวกเขาช่วยใคร?”


บรรดาชาวบ้านที่หลบอยู่มุมกำแพงถกกันเสียงเบา


แต่ที่ทำให้พวกเขาเสียดายก็คือ คนของกรมทหารม้าห้าเมืองไม่ได้มาช่วย แต่คุ้มครองขันทีชุดแดงอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งมา


“หยุดมือ หยุดมือ! นี่ทำอะไรกันเนี่ย!” เขาตะโกนเสียงแหลม สีหน้าทั้งโกรธทั้งหวาดกลัว


เสียงของเขายังไม่ทันจบลงก็มีคนร้องตะโกนขึ้นมาด้วย


“กงกง กงกง! ช่วยด้วย! ใต้เท้าลู่จะฆ่าข้าแล้ว!”


นอกจากจูจั้นยังเป็นใครได้


ตัวเขาก็วิ่งมาถึงตรงหน้าขันทีผู้นี้ จับแขนเสื้อของขันทีไว้


เหมือนกับเด็กน้อยที่หาเรื่องแล้วถูกไล่ตี


ภาพเช่นนี้ท่านขันทียังคงจำได้อยู่บ้าง หลายปีก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะมีภาพเช่นนี้


เด็กน้อยกำลังโตคนหนึ่งล้มลุกคลุกคลานมากอดขาเขาไว้


“ช่วยด้วย กงกง ข้าจะถูกคนที่แสร้งเรียกตนเป็นองค์ชายคนนั้นตีตายแล้ว” เขาร้องเสียงสลด แทบจะทำคนตกใจยืนไม่อยู่


แต่คนที่ปากเขาว่าจะตีเขาตายกลับนอนอยู่บนดินกุมหน้าเลือดเต็มพื้น


ท่านขันทีคิดถึงเรื่องครั้งนั้นก็อดไม่ได้หนังหัวชาขึ้นมา ‘เฮ้อ ท่านบรรพบุรุษ! ทำไมอายุยี่สิบสองยังเหมือนกับอายุสิบสองอีกเล่า’


“ท่านชาย ท่านตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อย่าก่อเรื่องเช่นนี้” เขาถอนหายใจเอ่ยขึ้น


จูจั้นมองเขา ร้องเอ๋ขึ้นมา


“ตู้กงกง ท่านเองหรือ” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าดีใจทั้งยังซาบซึ้ง “เป็นท่านช่วยข้าอีกแล้ว”


ท่าทางเขายังอยากเข้ามากอดเขา ตู้กงกงอดไม่ได้ตัวสั่น


เขาเป็นขันที คนมากมายล้วนหลบหลีกเขาแทบไม่ทัน ต่อให้ประจบในใจก็ยังรังเกียจ ยิ่งไม่ยินดีสัมผัสบนร่างกายของพวกเขา


จูจั้นคนนี้กลับไม่สนใจสักนิด


ตู้กงกงในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่มีสาเหตุทั้งยังไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ถอยหลังหลบพ้นจูจั้น สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา


“ท่านชายจู ท่านไม่ต้องก่อเรื่องแล้ว ใต้เท้าลู่ทำไมต้องจับท่าน ตัวท่านเองรู้อยู่แก่ใจ” เขาเอ่ย


“ข้ารู้สิ” จูจั้นว่า สีหน้าตั้งใจไม่มีล้อเล่นสักนิด “ดังนั้นข้าจะไปอธิบายกับฝ่าบาทขออภัยโทษ ท่านรีบพาข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที”


เขาว่ามองลู่อวิ๋นฉีด้านนั้นทีหนึ่ง


ลู่อวิ๋นฉียังคงสีหน้าไร้อารมณ์มองเขา


“ท่านดูสิ เขาน่ากลัวเพียงใด ข้าไม่อยากถูกเขาพาไปหรอก” จูจั้นเอ่ยขึ้น


ลู่อวิ๋นฉีน่ากลัวมาก


แต่เขาทำเจ้ากลัวได้รึ ในใจท่านขันทีถอนหายใจ ท่านแม้กระทั่งองค์ชายบอกจะต่อยยังต่อยมาแล้ว ต่อยเสร็จยังทำท่าบริสุทธ์ได้อีก ใครยังจะสู้ท่านได้


ท่านช่างมีบิดาดีคนหนึ่งจริงๆ นะ


“ใต้เท้าลู่” ท่านขันทีมองไปทางลู่อวิ๋นฉี ยกมือคำนับ “ฝ่าบาทมีรับสั่ง เรียกท่านชายจูเข้าวัง”


ลู่อวิ๋นฉียื่นมือออกมา


ท่านขันทีรับรู้ทันทีหยิบหนังสือรับสั่งออกมา องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก้าวเข้ามาข้างหน้าอ่านตรวจอย่างละเอียด หันกายไปพยักหน้ากับลู่อวิ๋นฉี


ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรเก็บดาบเข้าฝักพรึบพรับพร้อมเพรียง หลีกทางออก


“ท่านชาย เชิญ” ท่านขันทีเอ่ยขึ้น


จูจั้นรับคำ


“ตู้กงกง เชิญ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีสัมมาคารวะ ไหนเลยยังเผยท่าทางอันธพาลอย่างเมื่อครู่สักนิดอีก


สองคนเดินมุ่งหน้าไปยังวังหลวงท่ามกลางวงล้อมของกรมทหารม้าห้าเมือง


“ตู้กงกง พวกเราไม่พบหน้ากันหลายปีแล้ว ท่านไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด มีกำลังวังชาเสียยิ่งกว่าเจ็ดแปดปีก่อน”


“ตู้กงกง ป้ายห้อยเอวนี่ของท่าน เลื่อนมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ ร้ายกาจเหลือเกินจริงๆ”


“ตู้กงกง ท่านชอบดื่มชาอะไร? ท่านดูสิข้ามารีบร้อน อะไรก็ไม่ได้พกมา…”


เสียงพร่ำพูดตั้งแต่พวกเขายกเท้าก้าวเดินไม่เคยหยุดลง ท่านขันทีโดนพูดใส่จนอดยิ้มไม่ได้ รีบตีหน้าขรึมอีกครั้ง


“ท่านชาย กฎระเบียบยามออกมาปฏิบัติงานของพวกเรา พูดคุยไม่ได้นะ” เขาว่า


จูจั้นทำสีหน้าสำนึกผิด ประสานมือให้เขา สีหน้าจริงจัง น่าเอ็นดูสักคำก็ไม่พูดอีก


น่าเอ็นดู


แสร้งน่าเอ็นดูเสียมากกว่า


ตู้กงกงในใจย่อมไม่กล้ามองเขาเป็นคนน่าเอ็นดูเข้าจริงๆ พ่อเจ้าประคุณไม่แน่ว่าที่ไหนสักที่วางกับดักเจ้าอยู่


มองพวกเขาจากไปไกลบนถนนใหญ่ ใต้เท้าอู่ก็โบกมือ


“ไปไป ไปเฝ้าประตูเมือง” เขาเอ่ยขึ้น เหมือนกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น มองก็ไม่มองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรด้านนั้น พวกทหารก็วิ่งเร็วรี่ไปแล้ว


บนถนนใหญ่เหลือเพียงพวกลู่อวิ๋นฉี ชาวบ้านที่สลายตัวไปล้วนลอบมองอย่างระมัดระวังจากรอบด้าน


องครักษ์เสื้อแพรต้องการจับคน แรกเริ่มถูกทหารกลุ่มหนึ่งขัดขวาง ต่อมาคนที่ถูกจับก็ร้องว่าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ส่งคนมารับเขาจริงๆ


นานปีขนาดนี้ ยังเพิ่งเคยเห็นพวกองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เสียหน้าเป็นครั้งแรก


สายตาของบรรดาชาวบ้านประหลาดใจทั้งยังแฝงความตื่นเต้นอยู่บ้าง


“ใต้เท้า จะให้จบเช่นนี้หรือขอรับ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยขึ้นเสียงเบา


ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง


“ธุระของพวกเราทำเสร็จแล้ว” เขาว่า “แน่นอนย่อมจบแล้ว”


ธุระของพวกเขาทำเสร็จแล้ว?


จูจั้นยังจับไม่ได้ หากไปถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขุนนางที่จะพูดให้ย่อมมีโขยงใหญ่ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรอยากสอบสวนจูจั้นก็ยิ่งยากแล้ว


หัวหน้ากองร้อยเจียงขมวดคิ้ว


ลู่อวิ๋นฉีขึ้นม้าหัน หัวม้าไปแล้ว


“ฝ่าบาทให้พวกเราคุมจูจั้นเข้าเมืองหลวง จูจั้นตอนนี้ไม่ใช่กลับมาแล้วหรือ” เขาว่า


แบบนี้ก็ได้หรือ


หัวหน้ากองร้อยเจียงรีบขึ้นม้าตาม ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง


“พวกเราฟังคำฝ่าบาท” เขาว่า


คำพูดของเขาน้อยนัก ยังดีลูกน้องล้วนคุ้นเคยเสียแล้ว


พวกเราฟังคำฝ่าบาท


ฝ่าบาทให้ทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ให้ทำก็ทำ ให้หยุดก็หยุด


ส่วนความคิดของผู้อื่น ผายลมก็ไม่ใช่


หัวหน้ากองร้อยเจียงยิ้มขานรับ ส่งสัญญาณให้ผู้คนขึ้นม้า


“กลับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ” เขาเอ่ย


มองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้จากไปบนถนนใหญ่ บรรดาชาวบ้านล้วนเดินออกมาจากที่ซ่อนตัว ถกเถียงชี้นิ้ว ฉับพลันขบวนด้านหน้าก็หยุดลง ลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ตรงกลางหันหน้ากลับมา


ฝุงชนวุ่นวายราวกับพริบตาถูกแช่แข็ง เงียบกริบ


สายตาของลู่อวิ๋นฉีกวาดผ่านชาวบ้านรอบด้านข้างหลังร่าง ชายหญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยยากจนร่ำรวย บ้างตระหนกลนลานบ้างหลบบ้างประจบบ้างสีหน้าไร้อารมณ์


“ใต้เท้าทำไมหรือขอรับ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยถาม มองไปข้างหลังทีหนึ่งบ้าง “มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือขอรับ?”


ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เอ่ยวาจา


ใต้เท้าเดิมทีก็ไม่ชอบพูดอยู่แล้ว หัวหน้ากองร้อยเจียงไม่ถามต่อ


แต่ลู่อวิ๋นฉีกลับเอ่ยปาก


“ข้ารู้สึก…” เขาพลันเอ่ยขึ้น


อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่ามีคนมองเขาอยู่


……………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 115 การปรากฏตัวของเจ้าผู้เดินผ่านฝูงชน

 

ความจริงแล้วสายตาของคนบนถนนเวลานี้ล้วนจับจ้องอยู่ที่ตัวเขา


นอกจากตรงหน้าเหล่านี้ ในที่ลับก็ยังมีสายตาของคนมากมายจับอยู่ที่ตัวเขา


แต่สายตาเหล่านี้ล้วนเป็นการลอบมอง


แต่สายตาที่เขารู้สึกเป็นการมอง


น้อยคนนักจะมองเขาได้


ความรู้สึกเช่นนี้บอกไม่ได้ มองข้ามไปยิ่งไม่พบอะไร


บางทีพักนี้เขาคงสงสัยมากเกินไปแล้ว


ลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมา


หัวหน้ากองร้อยเจียงยังคงตั้งหูตั้งใจฟัง ทว่าหลังสามคำลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ส่งเสียงแล้ว กลับเร่งม้าเดินหน้า


ธุระของคนใหญ่คนโตมากมาย ทั้งยังใกล้วันแต่งงาน เรื่องที่คิดมากอยู่บ้าง


เขาไม่เอ่ยถามต่อ ติดตามหลังร่างลู่อวิ๋นฉีไป


แสงอรุณสว่างบนถนนใหญ่ความครึกครื้นฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง ราวกับพริบตาหนึ่งฝูงชนก็ผุดออกมาจากใต้ดิน รวมตัวกันถกเถียง คุยเล่นถึงเรื่องสนุกหวาดเสียวเมื่อครู่


คุณหนูจวินแนบร่างอยู่กับกำแพงด้านข้าง มองความครึกครื้นนี้นิ่งๆ ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับคืนเดินออกมา


ในใจนางว้าวุ่นอยู่บ้าง อยากคิดอะไรแต่ก็ฝืนบังคับไม่ให้ไปคิด จนทำให้สติว่างเปล่าไปบ้าง


นางเดินผ่านท่ามกลางฝูงชน จนกระทั่งมีคนยืนอยู่เบื้องหน้านาง ขวางทางนางไว้


“คุณหนูจวิน?” มีเสียงผู้ชายเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“คุณชายหนิง” นางเอ่ยเรียก


มองดวงหน้าที่เงยขึ้นรวมถึงเสียงคุ้นเคยที่ลอยเข้าในหู หนิงอวิ๋นเจารู้สึกเพียงดวงตาพร่าไปบ้าง


เป็นนางจริงๆ!


เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? หนิงอวิ๋นเจาคิดขึ้นมา



หนิงอวิ๋นเจาคืนวานแทบไม่ได้หลับทั้งคืน อ่านจดหมายที่ส่งมาจากหยางเฉิงซ้ำไปมา คิดเรื่องราวมากมาย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงนอนไม่หลับ


เหมือนกับตอนยังเล็กได้ยินว่าครอบครัววางแผนออกไปข้างนอกเที่ยวเดินเล่นวันรุ่งขึ้น ตื่นเต้นนอนไม่หลับ คาดหวังให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็วขึ้นอีกนิด จินตนาการว่าจะเล่นอย่างไรจะไปเล่นอะไร


แน่นนอนว่า นี่เป็นคนละเรื่องกับสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิง


คงเป็นเพราะนิทานเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว


เขาเคยอ่านหนังสือมากมาย ได้อ่านเรื่องราวประหลาดมาบ้าง แต่เรื่องราวที่เหมือนกับของคุณหนูจวินยังเพิ่งพบเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ตัวเอกของเรื่องก็ยังเป็นคนคุ้นเคยของตนเอง


แน่นอนว่าก็นับเป็นคนคุ้นเคยไม่ได้


แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่ารู้จักกัน


สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองรวมถึงคนรู้จัก อย่างไรก็ทำให้คนหวั่นไหวได้มากกว่าเรื่องของผู้อื่นอยู่บ้าง


อย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาจึงเรียกบรรดาสหายให้ตื่นออกมากินข้าวเช้าเสียเลย คิดไม่ถึงที่หอน้ำชากลับมองเห็นภาพองครักษ์เสื้อแพรจับบุตรชายของเฉิงกั๋วกง


แน่นอนว่าเรื่องสนุกเช่นนั้นเขาไม่สนใจ


องครักษ์เสื้อแพรไม่อาจทำอันใดบุตรชายเฉิงกั๋วกงได้ อย่างมากที่สุดก็ข่มขู่ให้หวาดกลัวยกหนึ่ง


ก่อนหน้าที่จะมีขุนพลผู้รับภาระหนักทางการทหารปกป้องประเทศแทนเฉิงกั๋วกงได้อย่างมั่นคงเหมาะสม ฮ่องเต้ไม่อาจทำเฉิงกั๋วกงโกรธได้


อย่างไรสงครามที่เมืองหลวงถูกโจมตีแตกก็เพิ่งผ่านไปไม่นาน


แน่นอนว่ากับเฉิงกั๋วกงที่ครองแถบเหนือมานานปีขนาดนี้ ขุมกำลังพลังศรัทธาค่อยๆ หนักแน่น ฮ่องเต้ก็ทรงวิตกอย่างมากเช่นกัน


โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้กระทั่งบรรดาขุนนางแถบเหนือยังพากันเชื่อฟังคำสั่งเฉิงกั๋วกง ถึงขั้นประจบ ตัวอย่างเช่นเฉิงกั๋วกงต้องการให้แถบเหนือเพิ่มความเข้มงวดที่ประตูเมือง ไม่เพียงมณฑลเหอเป่ย แม้กระทั่งมณฑลเหอหนานซานซีก็ล้วนโดดตามกระแสไปด้วย


ดังนั้นฏีการ้องเรียนกล่าวโทษเฉิงกั๋วกงจึงยิ่งมากขึ้นทุกทีเช่นกัน นี่เป็นสัญญาณเตือนแล้วก็เป็นการข่มขวัญ


ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสะบั้นสัมพันธ์ ทุกสิ่งล้วนมีประเทศชาวประชาเป็นสำคัญ


เป็นอย่างที่คิดฝั่งนี้ประจันหน้าเพียงชั่วครู่ ฮ่องเต้ด้านนั้นก็ส่งคนมาคลี่คลายสถานการณ์แล้ว


“ให้ข้าพูด ตอนแรกก็ไม่ควรตามใจเช่นนี้ มีที่ไหนผู้บัญชาการทหารพาลูกเมียไปรับหน้าที่ด้วย”


“บ้านเมืองบ้านเมือง บ้านกับเมืองอยู่ด้วยกัน ยากเลี่ยงกำเริบเสินสาน”


“ครั้งนี้ต้องรั้งบุตรชายของเฉิงกั๋วกงไว้ที่เมืองหลวงแน่”


“เฉิงกั๋วกงในเมื่อส่งบุตรชายกลับมาก็ย่อมตั้งใจเช่นนี้อยู่แล้ว”


“นับว่าเขายังยึดถือฟ้าดินจักรพรรดิครอบครัวอาจารย์อยู่”


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรและทหารบนถนนสลายตัวไปหมดแล้ว กลับมาอึกทึกครึกครื้นใหม่ การถกเถียง


ของสหายก็ดังขึ้นตามมา หนิงอวิ๋นเจาดื่มชาไปพลางมองด้านนอกไปพลาง


“ดังนั้นตอนแรกปฐมจักรพรรดิถึงให้ใช้พลเรือนควบคุมทหาร ป้องกันนายทหารอย่างเข้มงวด เพราะปฐมจักรพรรดิรู้ว่าขุนพลแม่ทัพเมื่อเป็นใหญ่ปุบย่อมควบคุมไม่ง่าย” เขาหลุดปากเอ่ยตอบ “ยังมีใครรู้ชัดเรื่องนี้ยิ่งกว่าปฐมจักรพรรดิอีก”


ตอกแรกปฐมจักรพรรดิก็เป็นแม่ทัพก่อกบฏแย่งชิงใต้หล้ามา


บรรดาสหายกระแอมหลายที


“คำพูดนี้พูดไม่ได้…” มีคนรีบเอ่ยขึ้น


คำพูดนี้หากพูดออกไป ใยไม่ใช่บอกว่าเฉิงกั๋วกงมีใจคิดกบฏ


หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะ


“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เขาว่า “ข้าเพียงแต่พูดว่า…”


เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ทะลึ่งลุกขึ้นมา น้ำชาก็ทิ้งไว้บนโต๊ะ คนมองไปบนถนนใหญ่ด้านนอกหน้าต่าง สีหน้าประหลาดใจไม่อยากเชื่อ


“นางมาได้อย่างไร?” เขาหลุดปากเอ่ยขึ้นมา


บรรดาสหายที่กำลังรอคอยคำพูดต่อไปของเขาประหลาดใจ


“ใครมาหรือ?” ทุกคนเอ่ยถาม


แต่หนิงอวิ๋นเจาด้านนี้ไม่เห็นตัวแล้ว ประตูดึงเปิดไว้ ทางเดินในหอเสียงฝีเท้าตึงตึงไกลออกไป



หนิงอวิ๋นเจามองเด็กสาวตรงหน้า ความทรงจำที่เดิมทีคิดว่าเลือนรางไปแล้วพริบตาชัดเจนอย่างยิ่ง


ดวงหน้ายังคงเป็นดวงหน้านั้น สีหน้าก็ยังคงเป็นสีหน้าเช่นนั้นเหมือนกัน


แสงตะวันส่องล้อมบนร่างนางราวกับผ้าโปร่งบางเบาผืนหนึ่งคลุมไว้ เหมือนจริงทั้งเหมือนมายา


ข้างกายคนมาคนไป คุยเล่นเอะอะ รถม้าขับผ่าน


นี่คงไม่ใช่ความฝัน


แต่หยางเฉิงกับเมืองหลวงห่างไกลกันพันลี้ นางอยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมาเช่นนี้ได้อย่างไร?


“นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ” คุณหนูจวินว่า


ใช่สิ บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ


หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะอีกครั้ง อยากพูดอะไรแต่ก็เหมือนพูดสิ่งใดล้วนไม่เหมาะสม


นี่กะทันหันเกินไปแล้ว เขายังไม่ทันคิดเลยว่าควรพูดอะไร


“ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้า มาได้อย่างไร?”


เมื่อเขาเอ่ยถามประโยคนี้ ด้านหลังร่างก็มีเสียงพูดดังขึ้น


“นี่ใครหรือ?”


หนิงอวิ๋นเจาสะดุ้งหันหน้าไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรสหายล้วนตามออกมา ยืนอยู่ด้านหลังร่างมองประเมินคุณหนูจวินอย่างสงสัยใคร่รู้


เขาลำบากใจนิดหน่อย จากนั้นก็ยิ้มหยันให้กับความลำบากใจของตนเอง


มีอะไรน่าลำบากใจเล่า เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่ไม่ควรค่าแนะนำแก่ผู้อื่นงั้นรึ?


“นี่คือคนบ้านเดียวกันกับข้า” เขาเอ่ยอย่างเปิดเผย


สีหน้าบรรดาสหายพิลึก มองเขาแล้วก็มองนาง


“คนบ้านเดียวกันนี่เอง” พวกเขาลากเสียงยาวเอ่ยขึ้น


หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วนิดๆ มองไปทางคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินยิ้มน้อยๆ แล้ว ย่อตัวคำนับบรรดาชายหนุ่มด้านนี้


“ข้าแซ่จวิน เป็นคนหยางเฉิง” นางเอ่ยขึ้น


นางทำตัวเป็นธรรมชาติ สีหน้าสงบนิ่ง รอยยิ้มจริงใจ ไม่มีท่าทางอึดอัดลำบากใจรวมไปถึงรู้สึกว่าถูกสายตามองประเมินเช่นนี้ คำถามเช่นนี้ล่วงเกินแม้แต่นิด


ทุกสิ่งที่นางทำล้วนเป็นเหมือนเก่าอย่างที่เขาเห็นครั้งแรก นางไม่เคยเปลี่ยน นางก็คือนาง ไม่ใช่คู่หมั้นที่อยู่ในคำเล่าลือพรรณนาของผู้อื่นคนนั้น แต่เป็นคุณหนูจวินที่บังเอิญพานพบในเทศกาลโคมไฟ


………………………………………. 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 116 พานพบก็เพราะบังเอิญ

 

แต่รอยยิ้มบนหน้าของหนิงอวิ๋นเจาก็แข็งค้างอย่างรวดเร็ว


เขามองเห็นหน้าตาของนางแล้ว


หน้าตานางดูมอมแมมยิ่งนัก


เส้นผมของนางยุ่งเหยิงอยู่บ้าง เสื้อผ้าก็ยับเยินเปื้อนฝุ่นดินใบหญ้า นอกจากนี้กระโปรงของนางยังถูกขูดขาด ยังมีรอยเลือดอยู่ประปราย


ที่แท้สีหน้าพิกลของบรรดาสหายก็พิกลเพราะสิ่งนี้หือ?


เขาล้วนไม่ได้สนใจ


ทำไมถึงไม่ทันสนใจนะ


หนิงอวิ๋นเจาตอนนี้รู้สึกเสียมารยาทยิ่งนัก


“เจ้าเป็นอะไรไป?” เขาเอ่ยถาม มองรอยเลือดตรงหัวเข่าบนกระโปรงของนาง เห็นชัดนัก กระโปรงหน้าร้อนบาง นั่นจึงเป็นเหตุให้หกล้มขูดขาด


คุณหนูจวินก้มหน้ามองทีหนึ่ง


คืนวานกลางคืนเดินทางแกะรอย ถูกจูจั้นทำร้ายจนหัวเข่าล้มกระแทกพื้น…


“เมื่อครู่บนถนนนคนมากมาย ทั้งยังวิ่งวุ่นกะทันหันอีก ข้าถูกเบียดล้ม” นางว่า ก้มศีรษะลงเอ่ยขึ้น


เหมือนกับเด็กน้อยทำผิดอึกอัก


“ล้มตรงไหน?”หนิงอวิ๋นเจารีบเอ่ยถาม


คุณหนูจวินส่ายศีรษะ


“ไม่เป็นไร แค่รอยถลอกนิดหน่อยที่ขาเท่านั้น” นางว่าเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง


“ทำไมมามุงดูเรื่องสนุกนี่ล่ะ นี่อันตรายยิ่งนัก” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ถึงคิดขึ้นได้ “เจ้า…ครอบครัวล่ะ?”


เขามองไปซ้ายขวารอบด้านทีหนึ่งกลับไม่เห็นคนตระกูลฟาง


เดิมทีเขาก็จำคนตระกูลฟางได้ไม่กี่คนเหมือนกัน


คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยวาจา ก็มีคนร้องตกใจขึ้นมา


“คุณหนูจวิน !”


ทุกคนมองไป นี่ไม่ใช่คนตระกูลฟาง แต่เป็นเด็กรับใช้ของหนิงอวิ๋นเจา เสี่ยวติง


เสี่ยวติงสีหน้าประหลาดใจมองคุณหนูจวิน


“ท่านตามนายน้อยของข้ามาจากหยางเฉิงหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น


คำพูดนี้ออกมาบรรดาสหายที่เดิมทีสีหน้าพิกลยิ่งเบิกตาบื้อใบ้


จากหนางเฉิง ตามมาหรือ


สายตาของพวกเขาสลับไปมาระหว่างตัวหนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวิน ยิ้มมีเลศนัย


หนิงอวิ๋นเจาถูกคำพูดของเสี่ยงติงทำให้โมโหแล้ว


“พูดเหลวไหลอะไร” เขาตวาด


คุณหนูจวินหัวเราะ


นางกลับเข้าใจที่เสี่ยวติงร้องเช่นนี้ หากตอนนี้มีคนหยางเฉิงอยู่ เห็นภาพนี้เข้าก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน อย่างไรตอนแรกเรื่องจวินเจินเจินคลั่งรักหนิงอวิ๋นเจาทุกคนล้วนรู้


“ข้ามาเอง” คุณหนูจวินไม่สนใจเสี่ยวติง เอ่ยกับหนิงอวิ๋นเจา


พูดถึงตรงนี้ก็พ่นลมหายใจมองท้องฟ้า


หลิ่วเอ๋อร์


สายป่านนี้แล้ว หลิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาตกใจแย่แล้วกระมัง


“ข้ากลับก่อนล่ะ” นางคำนับหนิงอวิ๋นเจา แล้วก็คำนับบรรดาชายหนุ่มที่ลอบมองพวกเขาสีหน้าพิกลอยู่ด้านข้าง


บรรดาชายหนุ่มรีบคำนับคืน


“เจ้ามาเองรึ?” หนิงอวิ๋นเจาประหลาดใจมาก


คุณหนูจวินพยักหน้า


“ข้ากับสาวใช้ของข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมตรงด่านเหนือนอกเมือง” นางว่า “ข้าเช้าตรู่ออกมาคนเดียว สาวใช้ของข้ายังไม่รู้ ข้ากลับไปก่อน ไม่เช่นนั้นนางอยู่โรงเตี๊ยมคนเดียวอาจจะหวาดกลัวได้”


มองนางหันกายไป หนิงอวิ๋นเจาก็รีบติดตาม


“ข้าไปส่งเจ้าเอง” เขาเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินมองบรรดาสหายของเขาทีหนึ่ง


“ไม่ต้องหรอก” นางว่า


“ข้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสมควร”หนิงอวิ๋นเจาคิดเล็กน้อยเอ่ยขึ้น แล้วมองขาของคุณหนูจวินทีหนึ่ง


คุณหนูจวินก็ไม่ได้ถนัดปฏิเสธคนอย่างไร นางทำธุระของตนเองมาโดยตลอด ส่วนเรื่องของผู้อื่นล้วนเป็นเรื่องของผู้อื่น


ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยวาจาอีกเดินไปข้างหน้า


หนิงอวิ๋นเจากวักมือเรียกเสี่ยวติงที่ยืนยิ่งอยู่ กำชับเสีงเบาหลายประโยค เสี่ยวติงเดินไปทางถนน ส่วนหนิงอวิ๋นเจาตามคุณหนูจวินไป


มองสองคนนี้พริบตาเดินออกไปจากสายตา ชายหนุ่มหลายคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ตะลึงอยู่บ้าง


“คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึง” ชายหนุ่มคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นมา


คำพูดนี้ทำให้ทุกคนได้สติกลับมา สบถเป็นแถบทันที


“คิดไม่ถึงหนิงอวิ๋นเจาคนเช่นนี้ ถึงกับมีนางในใจด้วย”


“นอกจากนี้ยังเป็นคนคลั่งรักคนหนึ่ง ถึงกับพันลี้ตัวคนเดียวตามมาจากหยางเฉิง”


“ไม่แปลกที่อวิ๋นเจาตั้งแต่ปีนี้มาก็ใจไม่สงบ”


“ไม่ต้องพูดแล้ว จดหมายจากภรรยาที่ส่งมาจากเมฆเหล่านั้นก็ย่อมเป็นสิ่งนี้สินะ”


ทุกคนล้อหัวเราะครื้นเครงบรรยากาศสุขสันต์ จนกระทั่งมีคนด้านหลังกระแอมทีหนึ่ง


“คุณชาย อาหารของพวกท่านจะเก็บหรือว่าห่อกลับขอรับ?”


ชายหนุ่มหลายคนหันกลับมา มองเห็นพนักงานโรงน้ำชาหน้าตาดุร้ายโหดเหี้ยมสี่ห้าคนล้อมเข้ามาหาพวกเขา


เพราะปีหน้าสอบใหญ่ นักเรียนมากมายล้วนจากต่างถิ่นมารวมกันที่เมืองหลวง อยู่ทีหนึ่งนานขนาดนี้ ทั้งยังมาถึงสถานที่แปลกใหม่ นักเรียนมากมายทนต่อความเย้ายวนไม่ไหวเงินทองหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วว่องไวยิ่งนัก


บัณฑิตกินแล้วชักดาบเรื่องนี้ช่วงนี้ไปจนถึงสอบใหญ่สิ้นสุดพบเห็นเป็นปกติ


แต่โรงน้ำชาซานหยวนของพวกเขาหาใช่สถานที่ซึ่งทำตามอำเภอใจเช่นนั้นได้


“แล้วก็ พวกท่านผู้ใดจะเป็นคนจ่ายเงินขอรับ?” พนักงานที่เป็นหัวหน้ามองมาดร้ายเอ่ยถาม


ถูกคนตั้งคำถามสงสัยเช่นนี้ บวกกับรอบด้านชาวบ้านมุงดูชี้นิ้ว บรรดาชายหนุ่มก็ลนลานอับอายขึ้นมาอยู่บ้าง


“เขาไม่ได้จ่ายเงินหรือ?”


“ข้าไม่ได้เอาเงินมานะ”


“ข้าก็ไม่มี”


“เขาบอกจะเลี้ยงพวกเรา แต่หนีไปแล้ว”


“เขาจะไปส่ง ทิ้งเสี่ยวติงไว้จ่ายเงินก็ได้ไหม”


“วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าอะไรเรียกได้หญิงทิ้งเพื่อน”



หนิงอวิ๋นเจามองโรงเตี๊ยมด้านหน้า


“โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่เลวเลย” เขาพยักหน้าเอ่ยชม “เจ้าเลือกเองหรือ?”


คุณหนูจวินคิดเล็กน้อย มือป้องปากเอนกายไปทางเขานิดๆ


“เลือกตามที่บนแผนที่แนะนำ” นางเอ่ยเสียงเบา


แผนที่อะไร หนิงอวิ๋นเจาเข้าใจทันที


“เจ้าระวังเช่นนี้ถูกต้องยิ่ง” เขาเม้มปากยิ้ม “ต่อให้เป็นข้าถามก็ไม่อาจพูดเสียงดังออกมาได้”


คุณหนูจวินยิ้ม


เรื่องนี้ไม่มีอะไรคู่ควรให้เอ่ยชม


“ตอนนี้เมืองหลวงตึงเครียดอยู่บ้าง เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “อยู่ที่นี่การกระทำคำพูดจาล้วนต้องระวังไว้บ้าง”


พูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อย


“เจ้ามา ไม่ไปทักทายคนบ้าง”


ที่จริงเขาหวิดหลุดปากออกไปแล้วว่าทำไมไม่ไปทักทายข้าบ้าง


ยังดีคิดได้ว่าคำถามนี้ไม่มีเหตุผลจริงๆ


เขากับนางไม่ได้ไปถึงขั้นที่ต้องทักทายกัน


แต่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ทักทายใครเล่า? ร้านแลกเงินครอบครัวมิตรสหายที่เมืองหลวง เขารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ได้ทักทาย?


ฟังแล้วก็ยังเป็นการบอกว่านางไม่ได้ทักทายตนเอง


คุณหนูจวินมองเขาอยากจะเอ่ยปาก


“หยางเฉิงฝั่งนั้นล้วนบอกว่าเจ้าออกไปตรวจโรคให้ผู้คนแล้ว” หนิงอวิ๋นเจารีบเอ่ยต่อ “คิดไม่ถึงที่แท้เจ้ามาถึงเมืองหลวง”


พูดจบประโยคนี้ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอีก


เรื่องที่เกิดขึ้นที่หยางเฉิง เขารู้ได้อย่างไร?


เหมือนเขาสนใจสอดส่องนางอยู่ตลอดอย่างนั้น


ความจริงแล้วเขาก็สนใจข่าวคราวที่หยางเฉิงจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่การสอดส่องอย่างเด็ดขาด


เขาเพียงแค่เป็นห่วงที่บ้านจะขัดแย้งอะไรกับตระกูลฟางอีก


เขาเอ่ยเหตุผลนี้ออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน


“นอกจากนี้เรื่องที่หยางเฉิงครั้งนี้เกี่ยวข้องไปถึงราชโองการ ดังนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ในเมืองหลวงย่อมรู้แล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง


คุณหนูจวินมองเขา กลืนคำพูดที่จะพูดลงไป


ที่ควรพูดที่ไม่ควรพูดเขาล้วนรู้แล้ว นางย่อมไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว


“เพราะครั้งนี้มาทำธุระส่วนตัวบางอย่าง ดังนั้นนอกจากคนในครอบครัว จึงไม่ได้บอกแก่ผู้อื่น” นางยิ้มเอ่ยขึ้น แล้วก้มศีรษะย่อเข่า “ขอบคุณคุณชายหนิง”


แค่นี้ก็สมเหตุสมผลทั้งยังสบายขึ้นมาแล้ว หนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้า


เสี่ยวติงเวลานี้ก็ไล่ตามหลังมาทัน


“คุณชาย คุณชาย” เขามองซ้ายมองขวาตามมาตลอดทาง มองเห็นหนิงอวิ๋นเจาอยู่ด้านหน้าประตูโรงเตี๊ยมก็รีบตะโกนอย่างดีใจ เข้ามาใกล้ข้างหน้าส่งห่อของอย่างหนึ่งในมือไปให้ “ซื้อมาแล้วขอรับ”


คุณหนูจวินมองห่อผ้านี้ หนิงอวิ๋นเจาส่งมันข้ามมา


“ถือโอกาสซื้อเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนชุดหนึ่งมา” เขาเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “เผื่อไว้”


เผื่อว่านางไม่มีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนหรือ?


คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือรับไป


“เผื่อได้ถูกต้องจริงๆ” นางก็เอ่ยนิ่งสงบ “ข้าสัมภาระน้อยเดินทางสะดวก เมื่อวานเพิ่งมาถึง ยังไม่ทันได้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่เลย”


หนิงอวิ๋นเจามองนาง คิดถึงคำพูดประโยคสองประโยคที่นางเอ่ยกับตนเอง


เจ้าคิดมากแล้ว ข้าไม่ได้คิดมาก


ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดมาก เจ้าก็ไม่ได้คิดมาก


“บังเอิญจริง” เขายิ้มเอ่ยขึ้น


คุณหนูจวินคำนับ


“บังเอิญจริงๆ” นางก็ยิ้มเอ่ยตอบเช่นกัน


………………………………………. 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 117 จัดการไว้รอบคอบ

 

โรงเตี๊ยมยามรุ่งอรุณก็เหมือนเช่นเดิม ไม่ได้วุ่นวายเพราะเสียงร้องไห้โวยวายของใครบางคน


ในห้องยังคงเงียบสงบไม่มีเสียงเช่นกัน


คุณหนูจวินผลักประตูเปิดเบาๆ หลิ่วเอ๋อร์บนเตียงข้างหน้าต่างยังคงแผ่แขนขานอนหลับอยู่


“ยังไม่ตื่น?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถามเสียงเบา เขาหยุดยืนอยู่ด้านนอกประตู


คุณหนูจวินพยักหน้า


“พวกเราเดินทางกันเร็วมาก นอกจากนี้ยังขี่ม้า” นางเอ่ยเสียงเบา


“ถ้าอย่างนั้นก็ร้ายกาจมากจริงๆ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น ท่าทางนับถืออยู่บ้าง “ข้าขี่ม้าเดินทางไกลครั้งแรก ลงม้ายังเดินไม่ได้เลย”


คุณหนูจวินยิ้ม มองห่อผ้าในมือ


“เจ้าไปอาบน้ำก่อนเถิด” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นทันที “ข้าจะนั่งอยู่ด้านหน้า”


เขาพูดจบก็เดินจากไป


คุณหนูจวินได้แต่ไม่พูดสิ่งใด ส่ายศีรษะเข้าไป


ความเคลื่อนไหวในห้องทำให้หลิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา นางบิดขี้เกียจทีหนึ่งก่อน แล้วเพราะความปวดร้าวของร่างกายถึงครวญครางออกมาหลายที หลังจากนั้นก็คิดอะไรได้ลุกพรวดขึ้นมา


“เจ้า…” นางตะโกน


คำพูดยังไม่ทันออกจากปาก ก็เห็นคุณหนูจวินนั่งหวีผมอยู่ด้านหน้ากระจกหันกลับมา


“เจ้าตื่นแล้ว” นางยิ้มเอ่ยขึ้น


สีหน้าแจ่มใส แต่งแต้มแป้งฝุ่น ดูแล้วมีชีวิตชีวา


เสื้อผ้าก็เปลี่ยนใหม่แล้ว


หลิ่วเอ๋อร์ลูบหัวยิ้มๆ


“คุณหนูท่านตื่นเช้าขนาดนี้เชียว” นางว่า


คุณหนูจวินยิ้มไม่ได้เอ่ยตอบ


“หิวแล้วสินะ รีบไปล้างหน้าล้างตา พวกเราไปรับประทานอาหารกัน” นางเอ่ยขึ้น


หลิ่วเอ๋อร์ขานรับดีอกดีใจลงจากเตียง


“แล้วก็เสื้อผ้าใหม่” คุณหนูจวินชี้ไปที่ห่อผ้าน้อยบนโต๊ะ


หลิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาดวงตาสว่างวาบ ดีอกอีใจหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมา


“คุณหนู ท่านไปซื้อมาหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม


คุณหนูจวินสวมต่างหูอยู่หน้ากระจก


“ไม่ใช่” นางเอ่ยขึ้น “คนอื่นมอบให้”


หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ๋อทีหนึ่ง


“ต้องเป็นนายน้อยกำชับคนในร้านเลกเงินไว้แล้วแน่เลย” นางว่า กอดเสื้อผ้าดีอกดีใจเข้าไปแล้ว


คุณหนูจวินมองนางจากหน้ากระจกอยากพูดอะไรแต่ก็ช่างมัน


หลิ่วเอ๋อร์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเดินออกมา


“คุณหนู พวกเราไปทานที่ไหนเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม เดินตามคุณหนูจวินที่อยู่ด้านหน้า


คุณหนูจวินขานรับไม่เอ่ยคำ เพิ่งเดินลงบันไดก็เห็นเสี่ยวติงยื่นศีรษะอยู่ด้านหน้า มองพวกนางดวงตาสว่างขึ้นทันที หดกลับไป


“คุณหนู คุณหนูพวกเราไปทานที่ไหนเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์ตามมาเอ่ยถามอีกครั้ง


“รอประเดี๋ยว ดูว่าผู้อื่นเอาอย่างไรแล้วกัน” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น


ผู้อื่น?


หลิ่วเอ๋อร์งงเล็กน้อย


คนจากร้านแลกเงินมาหรือ?


นางตามคุณหนูจวินก้าวเข้าไปในโถงด้านหน้า ยังไม่ทันมองเห็นคนด้านในโถงชัดก็ได้ยินเสียงผู้ชายเอ่ยขึ้นข้างๆ หู


“ด้านข้างเป็นร้านของตระกูลเติ้ง สั่งอาหารบางอย่างไว้แล้ว ร้านนี้ข้าไปทานบ่อย คนครัวเป็นชาวหรู่หนาน”


หรู่หนาน?


หลิ่วเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกายแล้ว


แม้นางกับคุณหนูเติบโตที่ฝู่หนิง แต่นายท่านจวินเป็นชาวหรู่หนาน คนรับใช้ที่พามาก็ล้วนเป็นคนหรู่หนาน ทั้งบ้านกินดื่มล้วนเป็นความคุ้นชินแบบหรู่หนาน


ตระกูลฟางที่หยางเฉิงทำไมต้องแยกห้องครัวต่างหากทำอาหาร ก็เพราะรสที่กินแตกต่างกับคนตระกูลฟาง


คนตระกูลฟางตอนนี้ยิ่งหัวไวใส่ใจขึ้นทุกทีแล้ว


หลิ่วเอ๋อร์พอใจมากมองไปทางคนที่เอ่ยคำพูด ใบหน้าที่ยิ้มแย้มฉับพลันชะงักค้าง เบิกตาโต


“ท่าน ท่าน…” นางเอ่ยขึ้นติดอ่าง แล้วมองไปทางคุณหนูจวิน “คุณหนู ข้าไม่ได้ฝันใช่ไหมเจ้าคะ ข้ายังไม่ตื่นหรือ? ทำไมข้ามองเห็นคุณชายสิบหนิงเล่า?”


หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะ


“เพราะข้าก็บังเอิญอยู่ที่เมืองหลวงเหมือนกัน” เขาเอ่ยขึ้น


จริงรึ?


หลิ่วเอ๋อร์มองเขาสีหน้าประหลาดใจเหมือนเก่า


“เมื่อครู่ข้าออกไปข้างนอกบังเอิญพบกับคุณชายหนิงเข้า” คุณหนูจวินเอ่ยบอก


บังเอิญขนาดนี้?


“ในเมื่อพบแล้ว ทั้งยังเป็นคนบ้านเดียวกัน ข้ามาที่นี่ก่อนพวกเจ้าย่อมควรแสดงน้ำใจของเจ้าถิ่นให้เต็มที่” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ


หลิ่วเอ๋อร์มองหนิงอวิ๋นเจาแล้วก็มองคุณหนูจวิน


“พวกท่านพูดสอดรับกันจังนะเจ้าคะ” นางเอ่ยพึมพำ


สาวใช้คนนี้คิดมากแล้ว


เหมือนกับคนอื่น แค่เห็นชายหญิงยิ้มให้กันพูดจากันก็ต้องเกิดความคิดประหลาดๆ บางอย่าง


หนิงอวิ๋นเจายิ้มเล็กน้อย สายตามองไปทางคุณหนูจวิน


คุณหนูจวินก็ฉีกยิ้มเช่นกัน แม้กระทั่งสีหน้าลำบากใจยังไม่มี


นางไม่มีทางคิดมาก


หนิงอวิ๋นเจารอยยิ้มกดลึกขึ้น


“ตอนนี้ต้องแสดงน้ำใจของเจ้าถิ่นให้เต็มที่ ก่อนหน้านี้ที่หยางเฉิงทำไมท่านไม่ทำล่ะเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์ยังคงบ่นโกรธแค้นไม่ยุติธรรม


“เพราะตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้จักกัน” หนิงอวิ๋นเจาไม่ร้อนรนไม่โกรธยิ้มเอ่ยตอบ พูดจบก็มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง


หลิ่วเอ๋อร์ยิ่งไม่เข้าใจ


ตอนนั้นไม่รู้จัก? ตอนนี้รู้จักแล้ว? ตอนนี้รู้จักกันเมื่อไร?


ตอนนั้นวันที่สามเดือนสามที่หอจิ้นอวิ๋นหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ไป ต่อมาดึกดื่นเที่ยงคืนลอบพบ ที่เหลาสุราพบหน้าหลิ่วเอ๋อร์ก็ล้วนไม่รู้


“เจ้าหิวหรือไม่หืม?” คุณหนูจวินยิ้ม เอ่ยกับหลิ่วเอ๋อร์


นี่คุณหนูหมายความว่าไม่ให้ถามแล้ว หลิ่วเอ๋อร์ยังคงฟังออก ช่างเถิด พวกเขาตระกูลหนิงติดค้างคุณหนูอยู่ เขาอยากเลี้ยงถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาเลี้ยงไป


กินให้มากหน่อย!



“น้ำแกงพริกไทยมาอีกชาม”


หลิ่วเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น


เสี่ยวติงที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองนางตาโตอ้าปากค้าง


“เจ้า เจ้ายังกินลงหรือ?” เขาอดไม่ได้เอ่ยถาม


หลิ่วเอ๋อร์กลอกตาใส่เขา


“เพิ่มเต้าหูแห้งผัดน้ำตุ๋นไก่จานหนึ่ง” นางเอ่ยขึ้น


เสี่ยวติงมองหนิงอวิ๋นเจาที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง หนิงอวิ๋นเจากำลังคีบเส้นหมี่ผัดสองเส้นวางไว้ตรงหน้าตนเองอย่างระมัดระวัง แล้วเชิญคุณหนูจวิน


คุณชายทานอาหารมาแล้ว ถึงกับยังกินเส้นหมี่ผัดได้อีกสองเส้น


เอาเถอะ ความอยากอาหารของทุกคนมากพอดู


เสี่ยวติงเรียกพนักงานมาสั่งอาหารที่หลิ่วเอ๋อร์ต้องการ


“นี่เป็นเส้นมันภูเขาเย็นแท้ๆ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ข้ารู้สึกว่ากินได้ถึงรสดั้งเดิม”


คุณหนูจวินยกแขนเสื้อใช้ช้อนตักชิมคำหนึ่ง


“อร่อยมาก” นางยิ้มเอ่ยขึ้น


ส่วนถึงรสดั้งเดิมหรือไม่ นางกลับไม่รู้ เพราะนางไม่ใช่คนหรู่หนานแท้ๆ


แต่อาหารมื้อนี้กินอย่างสำราญยิ่งนัก อย่างไรนางก็หิวอยู่จริงๆ คืนวานตอนอยู่ในตลาดกลางคืน นางอยากกินอะไรอยู่บ้าง จนใจที่ไม่ได้นำเงินไป


นางกินอย่างสง่างามและสำราญใจ ที่สง่างามคือท่าทาง ที่สำราญคืออารมณ์ หนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่าทานอาหารกับเด็กสาวที่แท้ทานแล้วมีความสุขนัก


แน่นอนว่านี่สาเหตุเพียงพราะนางคือนาง


เด็กสาวคนอื่นย่อมไม่แน่ ก่อนหน้านี้เขาเคยร่วมงามเลี้ยงมาก่อนเหมือนกัน นั่งร่วมกับผู้หญิงมาก่อนเช่นกัน


หนิงอวิ๋นเจาอยากพูดอะไร แล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูด


“เรื่องเหล่านั้นของเจ้าข้าได้ยินมาหมดแล้ว” เขาคิดนิดหนึ่งก็พูดขึ้น ทั้งพยักหน้า “เจ้าทำได้ดีนัก ทำให้คนนับถือ”


นี่เป็นคำชมจริงใจจากใจ คุณหนูจวินยิ้ม


“ข้ารู้สึกว่าก็ไม่เลว” นางคิดนิดหนึ่งก็พูดออกมาบ้าง


แม้มีปริศนาที่อธิบายไม่ได้มากมาย และมีสิ่งไม่คาดฝันมากมาย แต่สิ่งที่นางต้องการก็นับว่าได้มาแล้ว อย่างเช่นเฉิงอวี่รักษาหายดีแล้ว อย่างเช่นนางไม่ต้องกังวลเรื่องเงินใช้แล้วด้วย ที่ดีใจยิ่งกว่าคือนางมาถึงเมืองหลวงแล้วเช่นกัน


หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะลั่นแล้ว รู้สึกว่านางตอบได้ตรงไปตรงมาทั้งยังเหมาะสมจริงๆ


เขาคิดไม่ถึงแต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล ทำให้คนเบิกบาน


คุณหนูจวินวางตะเกียบลง เช็ดมุมปากลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณ


“ขอบคุณคุณชายหนิงที่ต้อนรับ” นางว่า


หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นคำนับคืน


“คุณหนูของเจ้าจะไปแล้ว” เสี่ยวติงเอ่ยเตือนหลิ่วเอ๋อร์ที่ยังกินอยู่


หลิ่วเอ๋อร์ตอนนี้ถึงเหรอ ลุกขึ้นยืน


“พนักงาน ห่อกลับ” นางไม่ลืมเอ่ยขึ้น


นี่สาวใช้อะไรกัน มีท่าทางของสาวใช้…ของหญิงผู้ไม่ธรรมดาสักนิดที่ไหน


เสี่ยวติงทนมองตรงๆ ไม่ได้


………………………………………. 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 118 ครุ่นคิดถี่ถ้วน

 

ครั้งนี้หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้เข้ามาอีก แต่บอกลากับนางที่ประตูร้านอาหารจากไปแล้ว


หลิ่วเอ๋อร์ลูบหน้าอกโอดครวญตลอดทางกลับจนถึงด้านในโรงเตี๊ยม เดินไปเดินมาในห้อง คุณหนูจวินรู้สึกทั้งน่าขันทั้งน่าโมโหนัก


“เจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนุกเจ้าไปทำได้ แต่เงื่อนไขก่อนหน้าคือเรื่องน่าสนุกนี้ต้องไม่ทำร้ายตัวเอง” นางว่า


หลิ่วเอ๋อร์อิ่มแปล้ทรมานสุดจะเอ่ย ความย่ามใจและดีใจก่อนหน้านี้ไม่เหลือนานแล้ว ได้ฟังก็พยักหน้าติดกันหลายที


“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”นางหน้าเศร้าเอ่ยขึ้น “แต่ คุณหนู ท่านพบเข้ากับคุณชายสิบหนิงได้อย่างไรเจ้าคะ?”


“ก็อยู่บนถนนเดินไปเดินมาก็พบเข้า” คุณหนูจวินว่า


“บังเอิญขนาดนี้?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม “เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ เดินตามใจก็พบเข้าแล้ว? เป็นเขาตั้งใจหรือไม่เจ้าคะ?”


“ไม่ใช่” คุณหนูจวินหัวเราะเอ่ยขึ้น


คิดถึงบรรดาสหายที่ตามมาด้านหลังร่างของหนิงอวิ๋นเจา นี่ต้องไม่ใช่สิ่งที่จัดการไว้ก่อนอย่างแน่นอน


นอกจากนี้ หนึ่งคืนนี้เรื่องมากมายขนาดนั้นเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่หนิงอวิ๋นเจาจะจัดการได้


“ถ้าอย่างนั้นก็เบิงเอิญเกินไปแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์เดินกลับไปมาเอ่ยขึ้น “เขารู้หรือไม่ว่าพวกเราเข้าเมืองหลวงแล้ว? รู้ว่าพวกเราเข้าเมืองหลวงแล้วได้อย่างไร?”


คุณหนูจวินหาวทีหนึ่ง


“นี่ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ” นางเอ่ยขึ้น


เรื่องนี้ไม่สำคัญ? สำหรับคุณหนูแล้วเรื่องของคุณชายสิบหนิงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในใต้หล้าหรือ?


ตอนนี้ถึงกับไม่สำคัญแล้วหรือ?


“ถ้าอย่างนั้นเรื่องอะไรสำคัญเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม


คุณหนูจวินล้มตัวลงนอนบนเตียง


“นอน” นางเอ่ยขึ้น หลับตาลง



และในเวลาเดียวกันนี้หนิงอวิ๋นเจาที่เดินทางอย่างว่องไวก็หยุดฝีเท้าลง


เขาคิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


“เรื่องอะไรขอรับ?” เสี่ยวติงรีบเอ่ยถาม


“ข้าลืมถามนางว่ามาเมืองหลวงทำอะไร” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น


นี่นับเป็นเรื่องสำคัญอันใด เรื่องสำคัญไม่ใช่นางมาแล้วหรือ?


เสี่ยวติงไม่เข้าใจ


นั่นก็ใช่ หนิงอวิ๋นเจาเข้าใจได้เช่นกัน รั้งเท้าที่กำลังจะเลี้ยวหมุนกลับมา


นอกจากนี้กลับไปถามนางก็ไม่ดี หากเป็นเรื่องส่วนตัวเล่า ตนเองบุ่มบามถามเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ใช่คุ้นเคยกันนัก เลี่ยงไม่ให้นางคิดมาก


นางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เรื่องที่ต้องการทำอย่างไรก็คงได้รู้


หนิงอวิ๋นเจามุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เดินหน้าต่อไป เดินไปได้สองก้าวก็หยุดอีกครั้ง


“เสี่ยวติง ข้าเหมือนจะไม่ได้บอกคุณหนูจวินว่าข้าอยู่ที่ไหน” เขาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น


หากมีเรื่อง นางหาตนเองไม่พบ…


“แต่พวกเรารู้ว่านางอยู่ที่ไหนนะขอรับ” เสี่ยวติงเอ่ยตอบพูดไม่ออกอยู่บ้าง


คิ้วของหนิงอวิ๋นเจาไม่คลายออก


“นางจะอยู่ที่โรงเตี๊ยมตลอดได้อย่างไรเล่า หรือเจ้าไม่ได้ยินนางพูดว่า เมื่อวานนางเพิ่งมาถึง ที่นี่ควรเป็นเพียงที่พักชั่วคราว และโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังใกล้กับร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชาง คิดว่าร้านแลกเงินต้องจัดการที่พักให้นางอย่างรวดเร็วแน่” เขาว่า


เสี่ยวติงมองเขา


“คุณชายท่านคิดมากจริงๆ” เขาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น


คิดมาก?


หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้ว ไม่ชอบฟังคำนี้


นี่จะเรียกว่าคิดมากได้อย่างไรเล่า? นี่เดิมเป็นเรื่องที่ทุกคนควรคิดแล้วก็คิดไปถึงได้ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ทุกคนคิดได้ ยังเรียกว่าคิดมากกระไรอีก


“คุณชายพวกเรารู้ว่าร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางอยู่ที่ใด หากคุณหนูจวินย้ายไปยังสถานที่อื่นที่จัดไว้ พวกเขาก็ต้องรู้ ท่านไปถามสักหน่อยไม่ใช่รู้แล้วรึ”


เสี่ยวติงเอ่ยขึ้น


ใช่สิ ถามสักหน่อยก็รู้แล้ว


ก็ไม่มีอะไรถามไม่ได้


ที่หยางเฉิงดึกดื่นเที่ยงคืนเขายังเข้าประตูตระกูลฟางไปถามนางเลยหนิ นับประสาอะไรกับตอนนี้


นอกจากนี้ ตอนนี้นางก็ไม่ใช่นายหญิงน้อยของตระกูลฟางแล้ว


หนิงอวิ๋นเจาลำบากใจเล็กน้อย


เรื่องง่ายดายเช่นนี้ทำไมเขาคิดไม่ถึง ดูแล้วเขาคงคิดน้อยเกินไปแล้วจริงๆ


หนิงอวิ๋นเจาเดินหน้าต่อ ก้าวเท้าเร็วไว มุมปากยกเชิด รู้สึกเพียงความร้อนรนหงุดหงิดเมื่อคืนวานกวาดหายไปเกลี้ยง อารมณ์ดีเช่นนี้ยังคงอยู่จนกระทั่งเขาก้าวเข้าไปในที่พัก


ในห้องสหายกลุ่มหนึ่งนั่งกระจัดกระจายอยู่ แต่ละคนๆ สีหน้าไม่เป็นมิตรจ้องเขาเขม็ง


หนิงอวิ๋นเจางงไปนิดหนึ่ง


“เวลานี้แล้ว พวกเจ้าทำไมไม่ไปอ่านหนังสืออีก?” เขาเอ่ยขึ้น ไม่รอคนเหล่านี้เอ่ยตอบ “ปล่อยเวลาดีๆ ให้เสียเปล่าได้อย่างไร?”


บรรดาสหายรุมเข้ามา


“เจ้าไปมีเวลาดีๆ สินะ”


“คืนเงิน!”


“ต้องทบเพิ่มคืน! ชดเชยค่าที่ขายหน้าคนมาด้วย!”


“รีบบอกว่าคนบ้านเดียวกันคนนั้นเป็นอะไรกับเจ้า”


ในห้องเสียงโวยวายสับสนดังขึ้น หนิงอวิ๋นเจาย่ำแย่อยู่บ้างถูกคนหลายคนหยิกไว้จับไว้


“ข้าลืมไปเลย”


“ข้าจ่ายเงินให้”


“จ่ายเพิ่มให้เท่าหนึ่ง”


“เป็นคนบ้านเดียวกัน”


เขาหัวเราะเสียงดังเอ่ยตอบคำถามของพวกเขา


“หลอกคนให้มันน้อยๆ หน่อย คนบ้านเดียวกับเจ้าที่เมืองหลวงมากมายไป ไม่เห็นเจ้าท่าทางเช่นนี้”


“รีบพูด ที่แท้เป็นใคร”


“รู้จักกันตอนไหน?”


บรรดาชายหนุ่มไหนเลยจะปล่อยผ่านไปดีๆ เช่นนี้ ยังคงต่างคนต่างถามวุ่นวาย


สำหรับสถานที่ซึ่งนักเรียนมารวมตัวกันอันเงียบสงบแห่งนี้ เสียงเอะอะในห้องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน


มีคนดึงประตูห้องเปิด มองภาพนี้อย่างประหลาดใจ


“พวกเจ้า นี่ทำอะไรกัน?” เขาเอ่ยถาม


ผู้คนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่กรอบประตู ชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหนิงอวิ๋นเจา


น้องชายฝ่ายบิดาของหนิงอวิ๋นเจา ลูกชายคนรองของหนิงเหยียน อันดับสิบเอ็ดของตระกูลหนิงนั่นเอง


เขาเรียนหนังสือสู้บรรดาพี่ชายไม่ได้ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มุ่งสอบขุนนาง มุ่งเป็นขุนนางสืบทอดตามสายเลือด ตอนนี้ติดตามบิดาเป็นผู้ช่วย เรียนรู้กิจการงานในสนามขุนนาง ประการที่หนึ่งเพราะยุ่ง ประการที่สองเพื่อไม่รบกวนหนิงอวิ๋นเจาอ่านหนังสือน้อยนักจะมาที่แห่งนี้


คิดไม่ถึงเพิ่งมาถึงก็ทำให้เขาได้เห็นภาพนี้


“พวกเจ้าเดี๋ยวนี้ตั้งใจอ่านหนังสือแบบนี้แล้วหรือ?” หนิงสืออีเอ่ยถามประหลาดใจ


“สืออี เจ้ามาพอดี พี่ชายของเจ้าหน้าไม่อายจริงๆ เชิญพวกเรารับประทานอาหาร ผลสุดท้ายตัวเองไม่จ่ายเงินหนีไป” มีคนรีบทักทายเขาเอ่ยขึ้น


หนิงสืออีอึ้งไป


“อย่าไปฟังเขาพูดส่งเดช ข้าแค่ลืม” หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะเอ่ยขึ้น


“เจ้าพูดสิ เจ้าพูด เจ้าลืมเพราะเรื่องสำคัญอันใด?” บรรดาสหายพูดเอะอะขึ้นมาทันที


ในห้องวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง หนิงสืออีร้องเฮ้ติดกันหลายที


“เรื่องสำคัญอะไร เรื่องสำคัญอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่ข้าจะเล่า” เขาเอ่ยขึ้น ก้าวเข้ามานั่งลง “พวกเจ้ารู้ไหม? บุตรชายของเฉิงกั๋วกงถูกจับแล้ว”


คนในห้องมองไปทางเขาครู่หนึ่งนิ่งสงบ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง


“ใช่ พวกเรารู้แล้ว”


“พวกเราไม่เพียงรู้ ยังเห็นกับตาอีกด้วย”


“เจ้ารอพวกเราเสร็จเรื่องกับพี่ชายเจ้า ค่อยเล่าละอียดให้เจ้าฟัง”


ทุกคนหัวเราะเอ่ยเอะอะวุ่นวาย


หนิงสืออีผิดคาดไปบ้าง


“พวกเจ้าเห็นกับตาแล้ว?” เขาเอ่ยถาม


“ไม่เพียงเห็นกับตาว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงถูกจับ ยังเห็นหนิงอวิ๋นเจาได้หญิงทิ้งเพื่อนวิ่งตามสาวบ้านเดียวกันคนหนึ่งไปด้วย” บรรดาชายหนุ่มเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง


“สาวบ้านเดียวกันอะไร?” หนิงสืออีไม่เข้าใจเอ่ยถาม


“อย่าไปฟังพวกเขาพูดเหลวไหล” หนิงอวิ๋นเจายิ้มตอบ


“คุณหนูจวินที่มาจากหยางเฉิงผู้หนึ่ง…” สหายคนหนึ่งเอ่ยตอบขึ้นมาก่อนแล้ว


หลังจากนั้นทุกคนก็มองเห็นสีหน้าตะลึงของหนิงสืออี


“คุณหนูจวินที่มาจากหยางเฉิง?” เขาเอ่ยซ้ำอีกรอบ ราวกับกำลังคิดว่าคนผู้นี้เป็นใคร จากนั้นก็เหมือนเสี่ยวติงเบิกตาโต สีหน้าไม่อยากเชื่อ “คู่หมั้นคนนั้นของเจ้า? !”


ประโยคนี้ออกมาจากปากก็ผลัดไปถึงผู้อื่นสีหน้าตะลึงบ้างแล้ว


คู่หมั้น?


คู่หมั้น!


“อวิ๋นเจาถึงกับมีคู่หมั้นแล้ว?”


“หมั้นตั้งแต่เมื่อไร?”


“หมั้นแล้ว! ทำไมไม่พูดสักคำ!”


“ที่แท้บ้านเดียวกันคำนี้ก็หมายถึงคู่หมั้นได้!”


ในห้องตกเข้าสู่ความโกลาหลอีกครั้ง



“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ตอนนี้ขอให้ข้าย่อเรื่องยาวเล่าสั้นๆ”


หนิงอวิ๋นเจาแย่งผู้คนเอ่ยขึ้นเสียงดัง


คนในห้องตอนนี้ล้วนหยุดมองเขา


“พูดสิ” พวกเขาเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง


“สัญญาหมั้นน่ะมี แต่เพราะสาเหตุหลายประการยกเลิกไปแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น


ยกเลิกแล้ว?


บรรดาสหายตะลึงไป จากนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึง


หนิงอวิ๋นเจามองพวกเขาทันใดนั้นก็คำนับจริงจัง


“อวิ๋นเจาไม่พูดหลอกลวง” เขาเอ่ย “เรื่องนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ และสาเหตุนานานัปการในเรื่องนี้ก็ไม่เหมาะบอกเล่าแก่คนนอก ยังหวังให้ทุกท่านให้อภัย จะล้อเลียนข้าอย่างไรล้วนไม่เป็นไร”


เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปนิดหนึ่ง


“เพียงแต่พูดถึงคุณหนูจวินโปรดรักษาน้ำใจด้วย”


เขาพูดจบก็คำนับอีกครั้ง


……………………………………….

 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 120 สามกรมประชุมสอบสวนจริงจัง

 

ในเมื่อเป็นคดีที่ฮ่องเต้รับสั่งด้วยพระองค์เอง ขุนนางใหญ่หลายคนถูกเรียกมาเป็นพิเศษ ดังนั้นใครก็ไม่กล้าเฉยเมยคุมตัวจูจั้นมาที่ศาลต้าหลี่ทันที


มองเห็นคนขององครักษ์เสื้อแพร คนของกรมกลาโหมที่ยืนอยู่ด้านในจวน ผู้คนของศาลต้าหลี่สีหน้ายุ่งเหยิง


“นี่ถึงกับต้องให้สามกรมประชุมกันสอบ บุตรชายของเฉิงกั๋วกงก่อคดีใหญ่เข้าแล้วจริงๆ” มีคนหัวเราะเอ่ยเสียงเบา “ดูท่าครั้งนี้ฝ่าบาทคงพิโรธจริงๆ แล้ว”


คำพูดนี้ชักนำเสียงแค่นหัวเราะของคนผู้หนึ่งด้านข้างมา


“ถ้าพระหมื่นปีพิโรธจริงๆ ไหนเลยจะให้สามกรมประชุมสอบเขาอีก”


คนไม่กี่คนหันหน้ามามอง เห็นเป็นขุนนางเฒ่าคนหนึ่ง


“ธรรมดาแล้วสามกรมประชุมสอบสวน นั่นย่อมเป็นคดีใหญ่มาก แต่ก็ด้วยสามกรมประชุมสอบสวนกลุ่มอำนาจที่เกี่ยวข้องมากเกินไป ท้ายที่สุดไม่ลมตะวันออกกดลมตะวันตก ก็เป็นลมตะวันตกกดลมตะวันออก” ขุนนางเฒ่าเอ่ยต่อ บุ้ยปากไปทางด้านในโถง “ครั้งนี้ฝ่าบาทคงจะเห็นแก่หน้ากรมกลาโหมแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นพูดเช่นนี้ จะให้องครักษ์เสื้อแพรเสียหน้าหรือ?” ก็มีคนเอ่ยถาม


ขุนนางเฒ่าส่งเสียงชิชะ


“องครักษ์เสื้อแพรต้องมีหน้าตาอะไรเล่า องครักษ์เสื้อแพรไม่ต้องการหน้าตาเสียหน่อย” เขาหัวเราะเอ่ยเสียงเบา


คนไม่กี่คนจึงอดไม่ได้หัวเราะขึ้นมา


คำพูดแม้กล่าวเช่นนี้ แต่องครักษ์เสื้อแพรครั้งนี้ต้องอดกลั้นความโกรธแล้ว ก่อนหน้านี้รับคำสั่งไปจับตัวคน ไปถึงที่ใดไม่มีไม่เหมือนหมาป่าเหมือนเสือผู้คนหวาดกลัว ครั้งนี้ไปถึงแดนเหนือพวกเขาเป็นฝ่ายเกรงใจลดตัวลงก่อน ผลปรากฏว่าคนกลับหนีไปกลางทาง


วางอุบายใส่พวกเขาตลอดทางไม่ได้สงบ วันนี้จูจั้นยังมาถึงเมืองหลวง ก่อเรื่องจนทุกคนล้วนรู้ว่าผู้อื่นเป็นฝ่ายมามอบตัวเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรก็ทำอะไรเขาไม่ได้สักนิด


ต่อให้พูดว่าเรื่องที่องครักษ์เสื้อแพรทำเป็นเรื่องหน้าไม่อายเสียมาก อย่างเช่นขู่กรรโชกลักพาตัวทรมานให้สารภาพเอย อ้างว่าทำคดีหลอกเอาทรัพย์สินเอย แต่นั่นเป็นพวกเขาเป็นฝ่ายหน้าไม่อาย ย่อมไม่เหมือนผู้อื่นทำลายหนังหน้าพวกเขา


ดังนั้นด้านในโถง สายตาขององครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นจึงจ้องจูจั้นอย่างชิงชัง


“แผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงนี่สรุปแล้วเป็นเจ้าทำใช่หรือไม่?” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ”


“พยานบุคคลพยานวัตถุพวกเราล้วนมีแล้ว” อีกคนหนึ่งเอ่ยเย็นชา “ท่านชายสอบถามได้”


จูจั้นร้องอ๋อทีหนึ่ง


“ข้าทำเอง” เขาพยักหน้าตรงๆ


เขายอมรับทันที บรรดาองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ยินดีมากเท่าไร


“ถ้าเช่นนั้นท่านรู้ว่านี่ท่านทำความผิดอะไรไหม?” พวกเขาตวาดเอ่ย


จูจั้นส่ายศีรษะซื่อๆ


“ไม่รู้” เขาตอบตรงไปตรงมา


“จูจั้น” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา “ท่านใช้อำนาจกระทำการส่วนตน ใช้อำนาจทางทหารหาผลประโยชน์ สั่งการให้นายศาลาขายแผนที่เมืองหลวง ท่านใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบกอบทรัพย์เข้ากระเป๋าทำลายชาติทำร้ายประชาชน”


จูจั้นร้องฮะเบิกตาโต


“อย่าพูดมั่วซั่วนะ ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบอย่างไร? แผนที่นี้เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ พวกนายศาลาขายก็ยังได้เงินนิดๆ หน่อยๆ ไว้บำรุงศาลาพักม้า นี่จะเป็นการกอบทรัพย์เข้ากระเป๋าตนได้อย่างไร? ข้าไม่ได้ทำสักหน่อย ไม่เชื่อพวกเจ้าถามกรมกลาโหม ศาลาพักม้าด้านนั้นประหยัดเงินไปมากใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยขึ้น


ไม่ว่าองครักษ์เสื้อแพรอยากถามกรมกลาโหมหรือไม่ คนของกรมกลาโหมก็ก้าวออกมายืนแล้ว


“ไม่ผิด บรรเทาค่าใช้จ่ายที่รัดตัวของกรมกลาโหมไปได้อย่างแท้จริง ศาลาพักม้าด้านนี้ประหยัดเงินไปมา นอกจากนี้สภาพก็บูรณะดีขึ้นด้วย ที่ชัดเจนที่สุดคือม้าเดินทางที่เลี้ยงไว้ดีขึ้นมาก” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วโบกมือไปด้านข้าง “หยิบสมุดบัญชีมา”


ขุนนางพลเรือนคนหนึ่งถือสมุดบัญชีเดินออกมาทันที


“ปีที่แล้วเดือนสิบ ศาลาพักม้าเสียหายไม่ได้ซ่อมแซมสิบสี่แห่ง…” เขาเริ่มอ่านเสียงอ่อนเสียงเบา


“หยุด หยุด” บรรดาองครักษ์เสื้อแพรตวาดขึ้น “ใครอยากฟังเจ้าอ่านสมุดบัญชี สมุดบัญชีของพวกเจ้า พวกเจ้าพูดอย่างไรก็ได้”


แม่ทัพกรมกลาโหมคนนั้นถลึงตาทันที


“เฮ้ย พวกเจ้าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” เขาเอ่ย “เจ้าจะบอกว่าพวกเรากรมกลาโหมปลอมบัญชีรึ? เจ้าอยากตรวจไหม? เจ้าอยากตรวจสอบบัญชีของพวกเราไหม?”


นี่มันจงใจหาเรื่องแล้ว!


พวกองครักษ์เสื้อแพรเพลิงโทสะลุกขึ้นทันทีเช่นกัน


“ตรววจสอบบัญชีของเจ้ามีอะไรยากเล่า?” คนหนึ่งคิ้วตั้งเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าอยากถูกตรวจสอบไหมเล่า?”


ทันใดนั้นสถานการณ์ก็ตึงเครียดขึ้นมา ผู้คนของกรมกลาโหมลุกพรึบไปข้างหน้า ผู้คนขององครักษ์เสื้อแพรก็ไม่แสดงท่าทีอ่อนข้อเช่นกัน


“นี่ทำอะไรกัน นี่ทำอะไรกัน” เสียงของจูจั้นดังขึ้นข้างหลัง “ไม่ใช่กำลังถกคดีของข้าอยู่รึ? พวกเจ้าลากไปไหนแล้ว?”


เขาพูดพลางมองผู้ดำเนินคดีหลักสามฝ่ายที่นั่งอยู่บนแท่น


“ใต้เท้าทั้งหลายก็ไม่คุมสักหน่อย”


ข้าคุมได้ไหมเล่า? ตุลาการศาลต้าหลี่กึ่งปรือตาราวกับรูปปั้นดิน


ใต้เท้ารองเจ้ากรมกลาโหมที่มาสอบสวนคดีแทนเจ้ากรมสีหน้าหนักใจ ลู่อวิ๋นฉีอีกด้านหนึ่งสีหน้าราบเรียบ เขายกมือขึ้นเคาะผิวโต๊ะ


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรถอยหลังทันที


ผู้คนของกรมกลาโหมก็ถอยออกมาเช่นกัน


คนของศาลต้าหลี่สีหน้าไม่น่าดู มีเพียงจูจั้นยิ้มตาหยีอยู่


“ต่อ ต่อ” ตุลาการศาลต้าหลี่ตบไม้ปลุกสติ “แผนเมืองหลวงนี่ขอแค่มีเงินก็ซื้อได้ แพร่ไปถึงในเขตชาวจินแล้ว นี่อันตรายมากอย่างแท้จริง ท่านชาย ตัวท่านเป็นแม่ทัพทหารผู้ปกบ้านป้องเมือง นี่หมายความว่าอย่างไรหรือท่านไม่รู้?”


รอยยิ้มบนหน้าจูจั้นพลันสลายไป ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง


หากเขาไม่ยิ้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสีหน้าเคร่งขรึม ดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความดุร้ายไปบ้าง


ตุลาการศาลต้าหลี่ไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนดุร้ายเหี้ยมโหดมาก่อนก็ยังอดไม่ได้ผงะไปข้างหลังเล็กน้อย


บรรยากาศเข่นฆ่าของคนที่เคยเข้าสนามรบสังหารคนกับคนพวกที่ทวงแค้นชิงปล้นธรรมดาแตกต่างกันจริงๆ ความดุร้ายเช่นนั้นไม่ใช่ระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง


“ใต้เท้า ก็เพราะว่าข้าเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง ข้าย่อมรู้ว่าสิ่งใดทำได้สิ่งใดทำไม่ได้” จูจั้นเอ่ยปากพูด “แผนที่นี้ชี้บอกสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นไว้ ไม่เกี่ยวข้องสักนิดกับการป้องกันเมือง ไม่เกี่ยวข้องสักนิดกับสถานที่ตั้งที่ทำการราชการวังหลวง สถานที่ใดที่กล่าวถึงล้วนชี้บอกด้วยคำว่าหน้าหลังซ้ายขวา ไม่ได้มีระยะแม่นยำ ไม่นับว่าเป็นแผนผังได้สักนิด สำหรับแม่ทัพคนหนึ่งคนใดแล้ว แผนที่แผ่นนี้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง”


ตุลาการศาลต้าหลี่ขมวดคิ้ว


“แต่สิ่งนี้อย่างไรก็เป็นแผนที่เมืองหลวง ชาวจินได้ไป…” เขาเอ่ย


มุมปากจูจั้นโค้งขึ้นยกยิ้มขัดคำพูดของเขา


“ใช่แล้ว นี่เป็นแผนที่ซึ่งแสดงความรุ่งเรืองของเมืองหลวงแผ่นหนึ่ง ชาวจินเห็นเข้าต้องน้ำลายไหลสามฉื่อแน่นอน” เขาว่า “พวกเขาจะคิดทั้งวันทั้งคืน คิดถึงความรุ่งเรืองของเมืองหลวงเรา คิดภาพอันงดงามของเมืองหลวงของพวกเรา พวกเขาจะคิดจนแทบบ้า”


“ดังนั้นนี่ไม่ใช่ยกเนื้ออ้วนวางอวดสุนัขล่าเนื้อ เชิญให้มันมากินรึ?” องครักษ์เสื้อแพรหัวเราะหยันเอ่ยขึ้น


สายตาของจูจั้นทอดมองไปทางเขา


“พวกเดียวกันความคิดคล้ายกันจริงๆ มองเห็นสิ่งดีๆ ความคิดแรกของพวกเจ้าก็คือไปกินไปแย่ง” เขาว่า


เจ้าคนด่าคนไร้คำหยาบคนนี้!


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรโกรธจัด เสียงฟึบดังขึ้นชักดาบปักวสันต์ออกมา


ส่วนอีกด้านหนึ่งคนของกรมกลาโหมก็ชักอาวุธฟึบออกมาเหมือนกัน


“ทำอะไร ทำอะไร? จะลงทัณฑ์ตามอำเภอใจรึ?”


“นี่ไม่ใช่ห้องสอบคดีของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือของพวกเจ้า”


นี่ก็ไม่เหมือนห้องสอบสวนคดีของตุลาการศาลต้าหลี่ของข้า!


ตุลาการศาลต้าหลี่มองสองฝ่ายที่อยู่ในห้องพริบตาดาบหอกประจันหน้าแทบจะสู้กันขึ้นมา ในใจถอนหายใจ


“เงียบ เงียบ!” เขาตบไม้ปลุกสติหนักหน่วงติดจะโกรธเกรี้ยว


“ถอยไป ถอยไป ฟังใต้เท้าสอบสวนคดีความ” รองเจ้ากรมกลาโหมก็เอ่ยปากตามเช่นกัน


ลู่อวิ๋นฉีเคาะโต๊ะเช่นเดิม


สองฝ่ายเดือดดาลถอยไปอีกครั้ง


“ใช่ไหมล่ะ สอบสวนคดีก่อน อย่าดึงออกนอกเรื่อง” จูจั้นที่ยืนอยู่ด้านหลังยิ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


ทุกครั้งล้วนเป็นเจ้าดึงออกนอกเรื่อง!


ตุลาการศาลต้าหลี่มองเขาทีหนึ่ง สูดหายใจลึก


“ท่านชายในเมื่อท่านก็รู้ว่านี่ยั่วยวนชาวจินมากเพียงไร ท่านทำไมยัง…” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง


“ยั่วยวน?” จูจั้นเอ่ยขัดเขาอีกครั้ง “ยั่วยวนแล้วอย่างไร? พวกเราราชวงศ์ต้าโจวรุ่งเรืองเช่นนี้ อุดมสมบูรณ์ปานนี้ พวกเราทำไมต้องปิดบังซุกซ่อน พวกเราต้องให้ชาวจินรู้ ให้คนใต้หล้าล้วนรู้”


พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็มีความภาคภูมิใจอยู่บ้าง


“ยั่วยวน ยั่วยวนแล้วอย่างไร พวกเขาชาวจินน้ำลายยืด บอกจะกินก็กินได้รึ? ชาวจินรู้ ชาวบ้านต้าโจวของพวกเราก็รู้ พวกเราบรรดาแม่ทัพทหารที่อยู่ไกลยังแดนเหนือก็ล้วนรู้”


เขาพูดพลางหยิบแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงแผ่นหนึ่งกางออก


“คนมากมายที่แดนเหนือทั้งชีวิตล้วนไม่เคยมาเมืองหลวง ทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่มีทางมา ด้วยแผนที่นี้ พวกเขาจะได้รู้ว่าเมืองหลวงราชวงศ์ต้าโจวที่พวกเขาปกป้อง ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์มากเท่าไร ความเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์นี้เป็นของประชาชนราชวงศ์ต้าโจวเรา นี่เป็นสาเหตุและความหมายที่พวกเราแม่ทัพทหารเฝ้าพิทักษ์แดนเหนือ อาบเลือดสังหารศัตรู ตระเวณป้องกันชายแดน”


“พวกเราจะยอมให้คนมารุกรานมันได้อย่างไร! พวกเราไม่มีทางอนุญาตให้มีคนมารุกรานมันอีกเด็ดขาด ไม่มีทางให้โศกนาฏกรรมครั้งนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งเด็ดขาด!”


“ชาวจินหน้าสุนัขพรรค์นี้ อยากกินเนื้อของพวกเรา ไม่ง่ายดายขนาดนั้นเด็ดขาด”


“ใต้เท้าทั้งหลาย พวกท่านคิดว่าอาศัยแผนที่แผ่นนี้แผ่นเดียวก็จะทำให้ชาวจินบุกลงใต้ได้ ทำให้ประเทศไม่มั่นคงประชาชนไม่ปลอดภัย พวกท่านเห็นพวกเราแม่ทัพทหารเหล่านี้เป็นอะไร? เห็นกรมกลาโหมของราชวงศ์ต้าโจวเราเป็นอะไร? เห็นอำนาจของโอรสสวรรค์ราชวงศ์ต้าโจวที่วางเด่นอยู่เป็นอะไร!”


พูดถึงตรงนี้ก็เหวี่ยงแผนที่ลงกับพื้น


“พวกเขาจะมาก็ให้พวกเขามา พวกเขากล้ามา พวกเราก็กล้าให้พวกเขามาไม่ได้กลับ!”


คำพูดนี้จบลง บรรดาคนของกรมกลาโหมที่ดวงตาทั้งคู่ทอประกายฮึกเหิมอยู่ก่อนแล้วพลันร้องตะโกนพร้อมเพรียง


“ให้พวกเขามาไม่ได้กลับ! ให้พวกเขามาไม่ได้กลับ!”


“ปกบ้านป้องเมือง! ปกบ้านป้องเมือง!”


เสียงร้องตะโกนดุจสายฟ้าราวกับพลิกคว่ำหลังคาของโถงสวนคดีของศาลต้าหลี่ แล้วก็ทำให้ผู้คนที่มาสอดส่องด้านนอกตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน


ไม่ใช่สอบสวนคดีหรือ? ทำไมเหมือนกลายเป็นการปฏิญาณของกองทัพไปแล้ว? ด้านในที่แท้ทำอะไรกัน?


………………………………………. 

 

 


ภาค 2 ตอนที่ 121 มีคำพูดข้าก็พูดต่อหน้า

 

เสียงเอะอะในห้องฉับพลันดังขึ้น ฉับพลันก็เงียบลง


ดังขึ้นเพราะชายหนุ่มคนนั้นชูแขนร้องตะโกน เงียบลงก็เพราะว่าชายหนุ่มคนนั้นยกมือโบกทีหนึ่ง


บนหน้าบรรดาแม่ทัพทหารความตื่นเต้นยังไม่ทันสลาย ในแววตายังคงเป็นประกาย หน้าอกของพวกเขาพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง เหมือนกับเวลานี้ขอเพียงจูจั้นโบกมือไปข้างนอกทีหนึ่ง พูดว่าไปฟันโจรชาวจินฝูงนั้นกันเถอะ


ทุกคนก็จะไม่ลังเลสักนิดยกดาบโดดขึ้นม้าพุ่งออกไป


แน่นอนจูจั้นย่อมไม่ทำเช่นนั้น เขาคำนับให้ใต้เท้าที่ประชุมสอบสวนสามท่านซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูง


“แน่นอน ไม่อาจปฏิเสธว่าตอนเริ่มต้นข้าต้องการใช้สิ่งนี้หาเงินนิดหน่อยจริงๆ” เขาเอ่ย มองรองเจ้ากรมกลาโหม “ใต้เท้าหวงท่านคงยังจำได้ เวลานั้นพอดีช่วงหลงตง[1] งบทหารก้อนหนึ่งของพวกเราแถบเหนือเพราะเหตุผลนานานัปการไม่ส่งมาถึงสักที เหล่าพี่น้องอย่างไรก็ไม่แม้กระทั่งอาหารก็ไม่มีกินเสื้อผ้าหน้าหนาวก็ไม่มีใส่ได้กระมัง”


บนหน้าของรองเจ้ากรมกลาโหมติดจะเสียใจ


ความจริงแล้วเขาไหนเลยจะจำได้ว่าเวลาใด เพราะเรื่องงบทหารล่าช้าเป็นเรื่องที่เห็นบ่อยเหลือเกิน ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการล่าช้าที่ตั้งใจ อย่างไรจะใช้เงิน ขั้นตอนที่จำเป็นต้องขออนุมัติก็มากเหลือเกิน กรมการคลังบอกไม่มีเงิน แล้วจะทำอย่างไรได้


“ทำให้พวกท่านลำบากแล้ว” เขาเอ่ยปาก “งบทหารของช่วงเข้าหน้าหนาวปีนี้ผ่านเดือนหกจะจ่ายไป”


เขาชะงักนิดหนึ่ง


“แผนที่นี่ อย่างไรก็เป็นเงินเล็กน้อย ทั้งยังไม่ถูกกฏเกณฑ์ ทีหลังยังไงก็อย่าทำอีกเลย”


จูจั้นรับคำ


“เดิมทีก็จะไม่ทำแล้ว” เขาว่า ผายมือทำหน้าบริสุทธิ์ “แต่สิ่งนี้แม้ดูไปแล้วเป็นเงินเล็กน้อย แต่คนที่ต้องการได้เงินเล็กน้อยมากนัก นอกจากนี้แผนที่แบบนี้ก็ง่ายมากอีก รู้ตัวหนังสือไม่กี่ตัวเขียนไม่กี่ทีก็ทำออกมาได้แล้ว ข้าก็จนปัญญา การค้าของพวกเราโดนแย่งเสียแล้ว”


ตุลาการศาลต้าหลี่ในใจหัวเราะฮ่ะฮ่ะ คนที่แย่งการค้าขายของท่านน่ากลัวว่าคงมีไม่มาก


แต่เรื่องมาถึงวันนี้ ท่านยอมรับเรื่องนี้กับปากและสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่ทำแล้วก็พอแล้ว ส่งให้ฝ่าบาทตัดสินเถอะ


“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็พอเท่านี้ชั่วคราว รอข้าไล่เรียงข้อกฏหมายค่อยให้ฝ่าบาทตัดสินลงโทษ” เขาเอ่ย มองซ้ายขวาสองด้าน “ใต้เท้าหวง หัวหน้ากองพันลู่ พวกท่านว่าเช่นนี้ได้หรือไ?”


รองเจ้ากรมกลาโหมย่อมไม่มีความเห็น ลู่อวิ๋นฉีก็ดุจดั่งรูปปั้นดินองค์หนึ่ง


“ถ้าเช่นนี้ก็แบบนี้!” ตุลาการศาลต้าหลี่ตบไม้ปลุกสติทีหนึ่งปิดคดี “ถ้าอย่างนั้น…”


“ช้าก่อน” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยปากออกมา มองจูจั้น “บุตรชายแห่งเฉิงกั๋วกงท่านผลักรถม้าของผู้ตรวจการหูลงแม่น้ำยังไม่ได้อธิบายเลยนะ”


พูดขึ้นมาที่ฮ่องเต้ต้องการให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงมาเมืองหลวง ต้นเหตุก็เพราะเขาโยนผู้ตรวจการที่เมืองหลวงส่งไปแถบเหนือลงแม่น้ำ ผู้ตรวจการหูทั้งชีวิตไม่เคยถูกหยามหมิ่นเช่นนี้ โกรธจนออกจากแถบเหนือไปเดี๋ยวนั้น ร้องไห้กับฮ่องเต้ขอลาออก


ฮ่องเต้ตั้งคำถาม บุตรชายเฉิงกั๋วกงกัดฟันบอกท่าเดียวว่าแจ้งข่าวด่วนทางการทหารไม่ตั้งใจชน


“เรื่องนี้หรือ” จูจั้นเอ่ยขึ้น มองคนของกรมกลาโหม “ไม่ใช่จบไปแล้วรึ?”


รองเจ้ากรมกลาโหมตอนนี้ถึงทำท่าฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ตบหน้าผากทีหนึ่ง


“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าลืมไปเลย” เขาหันไปบอกกับลู่อวิ๋นฉี “หัวหน้ากองพันลู่ เป็นแบบนี้ ช่วงก่อนหน้านี้ตอนพวกเราได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบ ผู้ตรวจการหูบอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ตอนนั้นเขาดื่มสุรา เมาหนัก จำผิดแล้ว”


อะไร?


ตุลาการศาลต้าหลี่สีหน้าอึ้ง แม้กระทั่งองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ที่นั่นล้วนทำหน้าราวกับเห็นผี


แบบนี้ก็ได้?


เฉิงกั๋วกงสามารถจริงๆ นะ ผู้ตรวจการหูยังถูกกล่อมได้


ตุลาการศาลต้าหลี่ในใจถอนหายใจอีกครั้ง


มิน่ากล้าให้บุตรชายถูกส่งมาถึงเมืองหลวง นี่จัดการไว้เหมาะสมหมดแล้ว


“ใช่แล้ว พวกเรายังไม่ทันได้รายงาน รอท่านชายมาแล้วสอบทานก่อนค่อยสรุปสำนวนปิดคดี” รองเจ้ากรมกลาโหมมองตุลาการศาลต้าหลี่อีกครั้ง “ผู้ตรวจการหูบอกว่าท่านชายตอนนั้นบอกเขาชัดเจนแล้วว่ามีกิจทางการทหารเร่งด่วนต้องส่งข่าว เขาก็กำลังจะหลีกทางแล้ว แต่เพราะดื่มมากไปยืนไม่มั่นคง ผลสุดท้ายตกลงไปในแม่น้ำ ยังเป็นท่านชายช่วยเขาขึ้นมา”


เขาพูดแล้วก็ยกมือให้ผู้คนของกรมกลาโหมที่ยืนอยู่ข้างล่าง


“ไปเชิญผู้ตรวจการหูมา”


บรรดาทหารข้างนอกห้องโถงรับคำ กำลังจะไป ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน


“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ย


นี่เป็นประโยคแรกที่เขาพูดหลังเข้ามา คนทั้งหมดล้วนหยุดมองเขา


ลู่อวิ๋นฉีมองจูจั้น จากด้านบนแท่นอ้อมโต๊ะหลายตัวเดินลงมา


จูจั้นก็มองเขา


ลู่อวิ๋นฉีบนหน้าเรียบเฉย ส่วนจูจั้นมีรอยยิ้ม แต่คนทั้งหมดรู้สึกว่าบรรยากาศราวกับเงื้อดาบง้างธนูอยู่บ้าง


ลู่อวิ๋นฉีเดินไม่หยุดมาถึงตรงหน้าจูจั้นจึงหยุดลง


“คำถามสุดท้าย” เขาเอ่ยขึ้น “หัวหน้าของคนตัดฟืน เป็นใคร?”


คนตัดฟืน


ผู้คนได้ยินเข้าสีหน้าอึ้งไปพริบตาหนึ่ง แต่ก็คิดขึ้นมาได้ในทันที อย่างไรสำหรับกรมกลาโหมแล้ว คนตัดฟืนก็เป็นพวกที่ทำให้คนปวดหัวพวกหนึ่ง


ขบถใจกล้า แม้สังหารศัตรูได้ แต่ที่สุดก็ไม่ใช่พวกที่พวกเขาควบคุมได้


เหมือนกับดาบเป็นดาบดีเล่มหนึ่ง แต่ดาบนี้ไม่ได้กำอยู่ในมือตน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนดีใจ แต่เป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่เบิกบานอยู่บ้างแล้ว


คำถามนี้ของลู่อวิ๋นฉีฟังดูแล้วน่าสนใจ


สายตาของผู้คนหยุดบนร่างของจูจั้น


จูจั้นหัวเราะแล้ว


“ข้าก็อยากรู้มากเหมือนกัน” เขาว่า สีหน้าจริงจัง “เพียงแต่น่าเสียดายพวกเขาไม่ชอบพวกเราที่เป็นทหารเหล่านี้ ดังนั้นพบหน้ายากนัก แต่ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นผู้นำที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก หัวใจกว้างขวางดุจทุ่งหญ้า แม้เขาไม่อาจตัดฟืนได้ด้วยตนเอง แต่ในสายตาของทุกคนกลับเป็นคนตัดฟืนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดีที่สุด”


นับถือและชื่นชมอย่างจริงใจเช่นนี้ ไม่ได้ปิดบังเพราะคนตัดฟืนเป็นที่หวั่นเกรงของราชสำนักและกองทัพ


ลู่อวิ๋นฉีมุมปากขยับแล้ว นี่คือเขากำลังยิ้ม แม้ไม่ได้เจิดจ้าเช่นนั้นอย่างรอยยิ้มของจูจั้น แต่ก็ทำให้หน้าของเขาอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อยอยู่บ้าง


“ท่านไม่ใช่คนตัดฟืนคนหนึ่งหรือ?” องครักษ์เสื้อแพรด้านข้างมองเข้าใจรอยยิ้มของเขา พูดขึ้นทันที “ต้องการให้พวกเราหยิบพยานบุคคลพยานหลักฐานมาไหม?”


จูจั้นหัวเราะ ราวกับกระดากอายอยู่บ้าง


“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่ผิดข้าเคยพูดว่าข้าเป็นคนตัดฟืน…”


“เคยทำ ไม่ใช่เคยพูด” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยรับคำพูดของเขา


จูจั้นกลอกตาใส่เขา


“ใช่สิ คนตัดฟืนเท่ขนาดนั้น ข้าย่อมต้องไปลองดูบ้าง แต่ข้าห่วยเกินไป พวกเขาไม่ยอมให้ข้าลงสนามสักนิด แม้กระทั่งรังของพวกเขาก็ไม่ได้แตะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพบหัวหน้าเลย” เขาว่า “ยังไงพวกเจ้าถามมาข้า ข้าก็ไม่รู้ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ”


เขาห่วย ยังห่วยเกินไปอีกหรือ?


หนีรอดจากมือองครักษ์เสื้อแพรได้ ถ้าเช่นนั้นคนตัดฟืนพวกนั้นต้องร้ายกาจมากเท่าใดกัน


บรรดาองครักษ์เสื้อแพรสีหน้ายิ่งไม่น่าดู


นี่จงใจเยินยอผู้อื่นเหยียบย่ำพวกเขางั้นสิ


ฝ่ายตุลาการศาลต้าหลี่ทนไม่ไหวยกมือแตะขมับ


คำถามแรกกลายเป็นเขามีเหตุผลหนักแน่น คำถามที่สองกลายเป็นความเข้าใจผิด คำถามที่สามนี่กลับตอบปลิ้นปล้อนแล้ว


จะทำอะไรได้เล่า?


อย่างไรศาลต้าหลี่ก็เพียงถามคำถาม ท้ายที่สุดทำอย่างไรให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเถอะ


“ใต้เท้าหวง ใต้เท้าลู่ พวกท่านว่าเรื่องนี้…” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้น


“เรื่องนี้ก็ให้เป็นเช่นนี้เถอะ” ลู่อวิ๋นฉียากจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง มองยังไม่มองตุลาการศาลต้าหลี่สักที เพียงแค่มองจูจั้น


จูจั้นยิ้มให้เขา


“ถ้าเช่นนั้นจะบอกว่าใต้เท้าลู่ท่านย่อมปล่อยข้าแล้ว?” เขาเอ่ยขึ้น


ลู่อวิ๋นฉีก็ยิ้ม ก้าวเข้าไปข้างหน้าอีกก้าว


“เจ้ารู้ไหมทำไมข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้?” เขากดเสียงเบาเอ่ยขึ้น “เพราะเจ้ามีบิดา”


จูจั้นมองเขาหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง


“ข้าย่อมรู้” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น เมื่อเก็บเสียงหัวเราะไปได้ก็กดเสียงเบาเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้ไหมทำไมตอนนี้เจ้าจองหองเช่นนี้ได้?”


ลู่อวิ๋นฉีเพียงมองเขา


“เพราะเจ้าไม่มีบิดา” จูจั้นกดเสียงเบา เอ่ยคำหนึ่งเว้นจังหวะหนึ่ง “คนที่ไม่มีบิดาคนหนึ่ง ไร้ศีลธรรม ไร้ความเป็นมนุษย์ เดรัจฉาน เดรัจฉาน ย่อมจองหองพองขนได้”


พวกเขาแม้กดเสียงเบาเอ่ยกัน แต่ในโถงใหญ่เงียบสนิทไร้เสียง เสียงกดเบานี่จะเบาไปถึงไหนได้


ในห้องโถงใหญ่เงียบกริบ บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ชะงักนิ่งอีกครั้ง


……………………………………….


[1] หลงตง (隆冬) ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในปี 

 

 


ภาคที่ 2 ตอนที่ 119 อย่าได้พูดส่งเดช

 

ถึงกับจริงจังปานนี้


เสียงโหวกเหวกในห้องหายไปชะงักนิ่ง


หนิงอวิ๋นเจาผู้ได้ชื่อว่าคุณชายสายลมฤดูใบไม้ผลิ เป็นครั้งแรกที่พูดจา…ขึงขังเช่นนี้


หนิงสืออีกระแอมทีหนึ่ง


“พี่สิบ พวกเรารู้ว่าท่านเคร่งครัดกับความเป็นวิญญูชน แต่ที่นี่หาได้มีคนนอก ท่านทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนกระอักกระอ่วนแล้ว” เขาว่า “ก็แค่ล้อเล่นไหมเล่า หรือพวกเราจะไปโพนทะนาเรื่องนี้ไปทั่วจริงๆ รึไง?”


บรรดาสหายอย่างไรก็เป็นคนหนุ่มหัวไวมองสถานการณ์ทะลุ ทุกคนหัวเราะขึ้นมา


“ในเมื่ออวิ๋นเจา เจ้าพูดเช่นนี้ก็คงล้อเล่นไม่ได้แล้ว” พวกเขาหัวเราะเอ่ยขึ้น “เพื่อให้พวกเราปิดปาก เจ้าต้องเลี้ยงอาหารที่หอเต๋อเยว่สามมื้อ”


หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้วเช่นกัน


“พูดแล้วไม่คืนคำ” เขาเอ่ย แล้วหยิบถุงเงินออกมา “ข้าจ่ายเงินครั้งนี้ก่อน”


ทุกคนหัวเราะประสานเสียงขึ้นมาอีกครั้ง


หนิงสืออีก็หัวเราะตามด้วย แต่มองหนิงอวิ๋นเจากลับขมวดคิ้ว


รอคนอื่นขอตัวจากไป ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคนพี่น้อง หนิงสืออีก็ดึงเขาไว้


“พี่สิบ ก็แค่ตระกูลฟางมีราชโองการอันหนึ่ง ท่านต้องกลัวนางถึงขนาดนี้หรือ” เขาเขาส่งเสียงชิชะเอ่ยขึ้น “ท่านดูสิ เมื่อครู่คำพูดของท่านเรื่องที่ทำ ล้วนไม่เหมือนท่านเลย”


ไม่เหมือนเขาอย่างไร?


เขาย่อมทำเช่นนี้อยู่แล้ว


หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเล็กน้อย


“อย่าพูดเหลวไหล เจ้าสิทำไมหลุดปากพูดเช่นนี้ออกมาได้” เขาเอ่ย


หนิงสืออียิ้มขัดเขิน


“ใช่สิ ใช่สิ ไม่ดีเลย พูดเช่นนี้ คนที่คิดจะมาเป็นแม่สื่อให้ท่านก็ได้วิ่งหนีกันหมด” เขาว่า


นี่เป็นเรื่องสำคัญด้วยรึ?


หนิงอวิ๋นเจามองเขาทีหนึ่งไม่พูดจา


ไม่พูดกับคนเช่นนี้ให้ชัด ทั้งสมองก็ได้แต่จะคิดมากมาย


เป็นอย่างที่คิด หนิงสืออียักคิ้วมองเขาอีก


“คุณหนูจวินคนนั้นมาหาเจ้าจริงๆ รึ?” เขาเอ่ยถาม “นางจะทำอะไร? ได้ยินว่าตระกูลฟางมีราชโองการ หรือว่านางจะเอาราชโองการมาบีบเรื่องแต่งงานกับเจ้า?”


พูดถึงตรงนี้ตนเองก็หัวเราะลั่นแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นห้าพันตำลึงที่ขายเจ้า ใช่ต้องคืนกลับมาก่อนหรือไม่”


แมลงฤดูร้อนไม่อาจถกถึงน้ำแข็ง


หนิงอวิ๋นเจาไม่สนใจเขา


“เรื่องของบุตรชายเฉิงกั๋วกง ฝ่าบาทจัดการอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม


การเปลี่ยนหัวข้อสนทนานี้ตรงเกินไปแล้ว หนิงสืออีหัวเราะอีกครั้ง


“แต่คุณหนูจวินคนนี้ก็หาใช่ต้องสนใจ นางเป็นนายหญิงน้อยของตระกูลฟางอยู่ดีๆ อย่างไรคงไม่อาจทำเรื่องน่าเกลียดล่อลวงผู้ชายชาติตระกูลดีได้หรอกกระมัง” เขาว่า


แม้อยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาก แต่ได้ยินประโยคนี้ หนิงอวิ๋นเจายังคงขมวดคิ้ว


“นางไม่ใช่นายหญิงน้อยตระกูลฟาง” เขาว่า “นั่นเพียงเพื่อรักษาอาการป่วยให้แก่นายน้อยฟางจึงแสร้งหลอกเท่านั้น”


หนิงสืออีอึ้งไป


“นี่แสร้งหลอกได้ด้วยรึ?” เขาเอ่ยถาม


“เรื่องนี้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว คนหยางเฉิงล้วนรู้” หนิงอวิ๋นเจาว่า


หนิงสืออีมองเขา


“คนหยางเฉิงล้วนรู้ แล้วคนเมืองหลวงล้วนรู้ด้วยหรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมข้าไม่รู้?”


“เจ้าติดอยู่กับความยุ่งยากของเอกสารหนังสือ ข่าวเช่นนี้เอกสารหนังสือส่งต่อช้าที่สุด ปากชาวบ้านถึงเร็วที่สุด ไปเหลาสุราโรงน้ำชานั่งให้มากหน่อย บางเวลาก็มีประโยชน์ยิ่งกว่าเฝ้าโต๊ะทำงาน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น พลางจัดโต๊ะหนังสือนิดหนึ่งก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง “อย่างเช่นเรื่องบุตรชายเฉิงกั๋วกงถูกจับ บนถนนใหญ่ตอนนี้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว ทุกคนล้วนกำลังคาดเดาว่าฝ่าบาทจะลงโทษเขาอย่างไร”


“ยังลงโทษอย่างไรได้ หรือจะกำหนดความผิดลงโทษเขาได้จริงงั้นรึ?” หนิงสืออีถูกชักจูงเอ่ยตอบตามขึ้นมา


“ขอแค่กำหนดความผิดได้ย่อมต้องลงโทษได้ ส่วนมีหรือไม่มีความผิด” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “ก็ต้องดูว่าดีไม่ดี ได้ไม่ได้ก็เท่านั้น”


ทำได้ไม่ได้ ดีไม่ดี ไหวไม่ไหวตัดสินคนผู้หนึ่งว่ามีความผิดหรือไม่มีความผิดได้ เรื่องเช่นนี้หนิงสืออีติดตามบิดาเก็บประสบการณ์ในที่ว่าราชการ พลิกดูเอกสารหนังสือก็ดี ได้ยินขุนนางข้าราชการตำแหน่งน้อยเล่าเรื่องเก่าๆ ก็ดี เห็นมามากแล้ว


หนิงสืออีส่ายศีรษะหัวเราะแล้ว


“ข้ารู้สึกว่าไม่ได้” เขาว่า



และฝั่งในวังหลวงเวลานี้ ว่าราชการรอบเช้าจบลงแล้ว ขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูงที่หารือเรื่องในราชสำนักไปแล้วจับกลุ่มสองคนสามคนออกมาจากห้องหนังสือของฮ่องเต้ ลู่อวิ๋นฉีเหมือนเช่นองครักษ์เสื้อแพรที่ทำหน้าที่ทั่วไปยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเดิน ขุนนางชุดแดงเหล่านี้มองลู่อวิ๋นฉีเหมือนมองไม่เห็น


ทว่าเรื่องที่ควรพูดถึงก็ยังคงพูดถึง


“จะแต่งงานแล้ว หัวหน้ากองพันลู่ยังคงวุ่นทำงานอีก”


คำว่าอีกนี้ย่อมถูกเน้นเสียงหนัก


“ใครให้เขาเป็นหัวหน้ากองพันเล่า กรมสืบสวนฝ่ายเหนือก็ไม่มีผู้บัญชาการ”


“คาดว่าหลังแต่งงานครั้งนี้ ก็คงได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการคนหนึ่งแล้ว”


“นั่นก็ไม่แน่ เป็นผู้บัญชาการแล้วยังทำงานเช่นนี้ได้สะดวกหรือ?”


“อย่างไรกรมสืบสวนฝ่ายเหนือมีเขาก็พอแล้ว เขาอยู่วันหนึ่ง ฝ่าบาทก็ไม่ต้องวางคนไว้เป็นผู้บัญชาการวันหนึ่ง ก็แค่ชื่อเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไร”


คำถกเถียงเหล่านี้ล้วนเห็นบ่อยจนธรรมดา ไม่ว่าได้ยินหรือไม่ได้ยิน ลู่อวิ๋นฉีล้วนไม่สนใจ


บรรดาขุนนางในราชสำนักจากไป ด้านในห้องหนังสือกลับไม่ได้กลายเป็นเงียบสงบ


“ฝ่าบาท ข้าถูกใส่ร้าย”


ด้านในเสียงตะโกนดังออกมา


ต่อหน้าฮ่องเต้คนที่พูดจาเสียงดังเช่นนี้ได้ไม่มาก


บางคนก็ขวัญกล้า บางคนก็เสแสร้งแกล้งโง่


หายากที่คนข้างในจะมีทั้งหมด


ลู่อวิ๋นฉีนิ่งเฉยไร้วาจา


“….ฝ่าบาท ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหนี ข้าก็ไม่มีหนทาง…ท่านไม่รู้ องครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นน่ากลัวปานใด…ข้าย่อมไม่กล้าตกอยู่ในมือของพวกเขา”


“มีคำพูดอะไรข้าต้องการพูดกับฝ่าบาทด้วยตนเอง ให้ฝ่าบาทตรัสถามข้าด้วยพระองค์เอง บอกผ่านพวกเขาใครจะรู้ว่าจะส่งต่อกลายเป็นอะไรไป”


เสียงปังดังขึ้นด้านใน ราวกับฮ่องเต้ทุบสิ่งใดแหลกแล้ว


เสียงของจูจั้นหายไป ด้านในเงียบลง


“ข้าว่างฟังคำพูดของเจ้ารึ ข้าฟังเจ้าพูด กิจบ้านเมืองฎีกานี่ใครจะอ่าน? ท่านชาย เจ้าจะอ่านรึ?”


เสียงของฮ่องเต้ติดจะพิโรธ


เสียงของฮ่องเต้เหมือนเช่นตัวเขา ตลอดมาล้วนเป็นมิตรอ่อนโยน บันดาลโทสะเช่นนี้น้อยครั้งนักจะเห็น


บรรดาขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูล้วนทนไม่ไหวก้มศีรษะตัวสั่นระริก


ท่านชายคนนี้แหย่ฮ่องเต้ให้โกรธแล้วจริงๆ


“ใครมานี่สิ ใครมานี่สิ” ฮ่องเต้ตะโกนขึ้นด้านใน


บรรดาขันทีรีบผลักประตูเปิด


เสียงฮ่องเต้ดังกว่าเดิมลอยออกมา


“…ลู่อวิ๋นฉีเล่า? ให้เขาเข้ามา”


บรรดาขุนนางรีบหันไปส่งสายตาให้ลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉียกเท้าก้าวเดิน


“…ยังมี คนของศาลต้าหลี่เล่า? เรียกถานซงเข้ามา”


ถานซงคือตุลาการศาลต้าหลี่


นั่นก็คือบอกว่าเรื่องนี้ยังต้องให้กรมอาญาสอบสวนแล้ว


ลู่อวิ๋นฉีก้าวเดินต่อไป


เสียงของฮ่องเต้กลับยังไม่จบ หยุดไปนิดหนึ่ง


“ให้หานเฟิงของกรมกลาโหมเข้ามาด้วย ดูสิใต้บังคับบัญชาของเขาล้วนเป็นนายทหารอะไร”


กรมกลาโหมก็มาด้วย


ฝีเท้าของลู่อวิ๋นฉีชะงักเล็กน้อย


สามด้านล้วนร่วมสอบสวน


“ฝ่าบาท” เสียงของจูจั้นดังขึ้นอีกครั้ง


ลู่อวิ๋นฉีที่ก้าวเข้ามาในห้องแล้วมองไปด้านหน้า จูจั้นคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะหนังสือของฮ่องเต้ ข้างตัวมีถ้วยชาแตกกระจายอยู่ แต่บนหน้าเขากลับไม่หวาดกลัวตระหนกสักนิด ตรงกันข้ามเงยหน้าขึ้นมาสีหน้าดีใจ


“แบบนี้ดีเหลือเกิน สามฝ่ายล้วนสอบสวนข้าก็ไม่กลัวว่าคำพูดของฝ่ายหนึ่งจะใหญ่อยู่ฝ่ายเดียวแล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีใจ ไม่สนเศษกระเบื้องที่แตกกระจายตรงหน้า ก้มตัวโขกศีรษะ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”


ครั้งแล้วครั้งเล่าโขกต่อกันสามที เงยหน้าขึ้นมาบนหน้าผากก็ถูกเศษกระเบื้องทิ่มปริเลือดไหลเป็นทาง


บนหน้าเขายังคงมีรอยยิ้ม


นี่ไม่ใช่รอยยิ้มยะโสได้ใจ แต่เป็นรอยยิ้มยินดีไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย


ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือแน่นอนย่อมไม่เชื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไร้เดียงสาดังเช่นเด็กน้อยคนหนึ่งจริงๆ ทว่าให้ใครเห็นรอยยิ้มนี้ก็ยากจะไม่หายโกรธไปหลายส่วน


“ออกไป” เขาหน้าขรึมเอ่ยขึ้น “รอสอบความผิดของเจ้าออกมาได้จริงๆ เจ้าก็รู้ว่าข้าทรงพระปรีชาจริงหรือไม่แล้ว”


จูจั้นโขกศีรษะขอบพระคุณน้ำพระทัยอีกครั้ง ลู่อวิ๋นฉีก็ก้มศีรษะขานรับ


……………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม