Infinity Armament สรรพวุธไม่สิ้นสุด 84-105

 IA:เล่ม 3 บทที่ 23: สถานการณ์พลิกผัน (ตอนที่ 2)


 


มีแค่เพียงนักผจญภัยสายบ้าพลังเท่านั้นที่รอด เขารีบวิ่งหนีออกไปทันที


แต่ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสาหินแหลมคมพุ่งขึ้นมาจากพื้นแทงทะลุเท้าของเขา ความเจ็บปวดมันเสียจนบีบให้เขาต้องตะโกนออกมาก่อนที่จะล้มลงไปบนพื้น และโดนฟ้าผ่าจากเรน่าต่อ


สิ่งที่ตามมาต่อจากนี้คือห่ากระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าใส่จนร่างของเขาแหลกสลายเป็นชิ้นเนื้อ


สนามนักผจญภัยถูกฆ่าตายทั้งหมด ชินยี่ถอนหายใจยาวๆ


ในจังหวะที่เขาลั่นไกส่งกระสุนออกไป เขาได้ใช้เทคนิคการผสานมานาลงไปด้วยทำให้พวกมันติดตามทั้งชาวอินเดียและเวียดนามคนนั้น 7 มานา และ 8 มานา ทำความเสียหายได้สูงถึง 70 และ 80 หน่วยเลยทีเดียว แถมยังด้วยความเสียหายจากปืนวิญญาณโลกันต์และกระสุนระดับ D ซึ่งนั่นก็เพียงพอสำหรับการฆ่าทั้งสองคนนั้นแล้ว


มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก ที่จริงแล้วเขาได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลของทั้งสามคนนั้นแล้ว นั่นจึงทำให้เขารู้ถึงค่าสถานะต่างๆทั้งหมด รวมไปถึงการคำนวนการหักค่าความเสียหายที่กระทำต่อนักผจญภัยคนอื่นด้วยกันอีก จนกว่าพลังชีวิตพวกเขาจะเหลือประมาณ 70 หรือ 80 หน่วย พวกเขาจะยังมีสิทธิ์รอดอยู่


แต่จริงๆแล้วการที่นักผจญภัยที่มีพลังชีวิตเหลือราวๆ 70 ถึง 80 นั้นยากต่อการสังหารให้ตายในทันทีมาก ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขามักจะไม่ใช้ยาฟื้นฟูกันในการต่อสู้หรอก และมักจะหนีออกไปตั้งหลักก่อนแล้วจึงใช้ยาฟื้นฟู


ชินยี่คำนวนเรื่องพวกนี้อย่างใจเย็นและรอบคอบ


เขารอจังหวะที่ดีที่สุด


นี่อาจจะเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยก็ว่าได้


โชคไม่ค่อยดีนักที่ชินยี่ไม่มีมานาพอ หลังจากที่วิเคราะห์ศัตรูไปแล้ว 4 ครั้ง การยิงปืน 3 นัดมันทำให้เขามานาแทบเกลี้ยง จนเหลือแค่เพียง 1 มานาเท่านั้นในตอนนี้ ไม่งั้นนักผจญภัยคนที่สามนั่นน่าจะตายคาที่ไปแล้ว


แต่ก็ยังเป็นไปตามคาด การยิงของชินยี่มันทำให้ทุกคนต้องตะลึง


ในเมืองโลหิตนั้น อย่างที่รู้กันอยู่ๆว่าปืนคืออาวุธที่มีพลังโจมตีต่ำแต่มีความเร้วในการโจมตีที่สูงพอๆกับราคาของมัน แถมยังมีข้อจำกัดอีกมาก พวกผู้เริ่มเล่นใหม่ควรจะมีใช้ แต่สำหรับพวกที่เก๋าเกมแล้วก็ควรจะเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นที่ถนัดมือกว่า อย่างไรก็ตามในวันนี้ชินยี่ได้แสดงให้ทุกคนรับรู้ถึงอานุภาพของอาวุธที่เรียกว่าปืน


แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่าการยิง 3 นัดนั้นมันกินมานาของเขาไปมากแค่ไหน มันเกือบจะทำให้เขาต้องสลบทันทีหลังจากยิงออกไปด้วยซ้ำ และในสถานการณ์ปกติแค่ 3 นัดน่ะฆ่าผู้เล่นที่พลังชีวิตเต็มไม่ได้หรอก


นักผจญภัยทั้งสามคนที่ตายไปต่างก็ดรอปหีบทุกคน เรน่ารีบเข้าไปเก็บมันทันที


เธอมองกลับไปที่ชินยี่ “นี่ของพวกเราใช่ไหม?”


“ถ้าเธอไม่อยากจะเสียเวลาทำข้อตกลงกับฉันใหม่ล่ะก็ เธอควรจะปล่อยมือจากหีบนั่นนะ” ชินยี่ปฏิเสธ


“นี่! อย่าขี้งกไปหน่อยเลยน่า พวกเรากำลังนำอยู่ พวกกลายพันธุ์เองก็เป็นของนายแล้วด้วยแล้วยังจะเอาหีบนี่อีกเหรอ?” เรน่าเถียง


“แต่ฉันไม่ได้พูดนี่ว่าจะไม่ให้พวกกลายพันธุ์นี่กับเธอ”


“แกพูดอะไรออกมาน่ะ?” ทั้งสี่นักผจญภัยตะวันตกพูดขึ้นมาพร้อมกัน


อีกสามคนที่เป็นนักผจญภัยตะวันออกตกตะลึง


หญิงสาวตะโกน “นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ?! พวกเราชนะแล้วนะ ทำไมเราต้องให้ของกับพวกมันอีกล่ะ? อีกอย่างนายก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตัดสินใจแทนพวกเรานะ!”


ชินยี่เล็งปืนไปยังหญิงสาว “เธอควรจะระวังปากให้มากกว่านี้นะ ฉันไม่ได้รับงานการกุศลนะเว้ย! เวลาที่ฉันออกแรงมันก็ต้องได้ค่าตอบแทนสิ! อย่าลืมสิว่าฉันน่ะเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้นะถ้าไม่ให้ฉันเป็นคนตัดสินใจล่ะก็ งั้นเอาแบบนี้ไหมล่ะ ให้ฉันกับไอพวกตะวันตกนี่เป็นพวกกันและฆ่าพวกเธอทั้งสามเลยเอาไหม?”


หญิงสาวช็อคที่เห็นชินยี่เป็นแบบนี้


ผู้เล่นคนอื่นรีบวิ่งเข้ามา “เฮ้ๆ พี่ชายไม่เห็นต้องถึงขั้นนี้หรอก พวกเราเองก็เป็นคนจีนเหมือนกัน ที่อานเหวียนเคยพูดอะไรไว้อย่าไปใส่ใจเลย ข้าขอโทษแทนเธอละกัน”


ฉินหยีพูดน้ำเสียงเย็นชา “เหรอ งั้นก็ยกพวกกลายพันธุ์มาให้ฉันซะ”


สามนักผจญภัยมองตากันก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูด “อานเหวียน ยกให้เขาซะ”


“แต่…”


“ยกให้เขาไปเถอะ! เขาช่วยชีวิตเรานะ! เขามีสิทธิ์ในพวกกลายพันธุ์นี่ไม่ใช่พวกเรา! พวกกลายพันธุ์มีแค่คนเดียวแต่พวกเรามีตั้งสามคน ยกมันให้เขาแล้วคิดซะว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณสิ!” หนึ่งในนั้นพูดด้วยเสียงโกรธเคือง


หญิงสาวนาม อานเหวียน ผลักจิมมี่ไปทางชินยี่อย่างไม่สบอารมณ์ หน้าอกของเธอกระเพื่อมไปตามจังหวะความโกรธเกรี้ยว


“อย่าเพิ่งโกรธกัน” ชินยี่เปลี่ยนอารมณ์แทบจะทันทีก่อนที่จะยิ้มแล้วพูดออกมา “ฉันไม่ได้พูดซักหน่อยว่าจะไม่ให้พวกเธอมีสิทธิ์ในตัวไอ้หมอนี่นะ”


“หมายความว่าไง?”


ทั้งเจ็ดคนงุนงงกันเป็นแถบๆ


ชินยี่พูดแบบนั้นออกมามันทำให้ทุกๆคนไม่เข้าใจในความคิดของเขาเป็นอย่างยิ่ง


ชินยี่พูดขึ้นช้าๆ “ฉันจะบอกว่ายังไงทุกคนก็จะยังได้ชิ้นส่วนของไอ้หมอนี่อยู่”


“เป็นไปไม่ได้หรอก!” เด็กหนุ่มคนนึงค้าน “ไอ้หมอนี่มันมีแค่ชีวิตเดียวนะเว้ย!”


“ใครบอกว่าจะให้ฆ่าไอ้หมอนี่กันล่ะ? ไอ้โง่เอ้ย แกก็รู้ไม่ใช่รึไงว่าพวกกลายพันธุ์น่ะมีค่ามากกว่าในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นะ” ชินยี่ตอบกลับ “อย่าลืมสิว่าไอ้หมอนี่มีความสามารถอะไร!”


ทุกคนยังคงไม่เข้าใจในคำพูดของชินยี่ แต่เรน่าที่มองออกก็ได้แสดงสีหน้าตะลึงออกมา “พระเจ้า… นี่นายหมายถึง…”


ชินยี่พยักหน้าและยิ้ม “อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ พวกเราทุกคนน่ะสามารถจบเรื่องนี้กันได้ด้วยดี…แถมกำไรก่อนใหญ่อีกด้วย”



IA:เล่มที่ 3 บทที่ 24 รีบเร่งเสริมกำลัง(ตอนที่ 1)


 


ความหมายที่ชินยี่บอกมีเพียงหนึ่งเดียว


พลังจิตของจิมมี่นั้นรุนแรงมากจนสามารถสังหารผู้มีพลังจิตในระยะ 10 เมตรโดยรอบตัวเขาได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าพวกกลายพันธุ์นั้นเกิดมาเพื่อฆ่าฟันกันเอง


นักผจญภัยส่วนใหญ่กล้วในพลังของเขามาก แต่เขาก็เป็นเพียงแค่พวกกลายพันธุ์ระดับ 4 ที่ค่อนข้างอ่อนแอ ซึ่งไม่มีใครคิดว่าจะมีคนกล้าใช้เขาเพื่อต่อกรกับพวกกลายพันธุ์ระดับสูง


แต่ชินยี่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ขอแค่เพียงมีจิมมี่ทุกความเป็นไปไม่ได้ก็คือความเป็นไปได้ เหมือนกับตัวละครประเภทศาสตราจารย์เอ็กซ์หรือแม็กนีโต้เองก็ไม่ได้ไร้เทียมทานขนาดนั้น


จิมมี่เหมือนกับไก่ที่ออกไข่ทองคำ ที่จะนำพาความมั่งคั่งมาให้แต่พวกเขาการไว้ชีวิตก็ย่อมดีกว่าการฆ่าเขาทิ้ง


นี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมชินยี่ถึงเลือกที่จะช่วยฝั่งตะวันตกกำจัดพวกทางใต้ ถ้าหากจะจัดการพวกกลายพันธุ์ระดับสูง อันดับแรกก็ต้องหามันให้เจอก่อน


ถึงชินยี่จะเคยไปที่สหรัฐฯมาหลายต่อหลายครั้งแต่เขาก็ไม่ได้เติบโตที่นั่น ความรู้ความเข้าใจที่เขามีต่อเมืองนิวยอร์คนั้นจึงเลือนลาง พวกตะวันตกนั้นไม่เก่งด้านการต่อสู้ก็จริงแต่พวกเขาสามารถใช้ความรู้ทางภูมิประเทศบวกกับข้อมูลความรู้ต่างๆเพื่อสร้างความได้เปรียบในการต่อสู้ได้ ซึ่งพวกตะวันตกเพิ่งจะได้ข้อมูลของพวกกลายพันธุ์มาเมื่อวาน พอมาวันนี้พวกเขาก็มาถึงที่นี่ทันที ระบบข่าวสารของพวกเขาต้องมีความรวดเร็วมาก


หลังจากจัดการกับพวกกลายพันธุ์ที่ถนน198 ชินยี่ก็ไม่มีแหล่งข้อมูลอื่นเพิ่มเติมเลย พวกตะวันตกอาจจะช่วยได้บ้างและชินยี่เองก็สามารถต่อสู้ได้อยู่ควบคู่ไปกับจิมมี่ด้วยได้ นี่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาพวกกลายพันธุ์ได้มากขึ้น


พวกเรน่าเองก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เมื่อชินยี่เตือนความจำพวกเธอเล็กน้อยก็ทำให้พวกเธอระลึกได้ว่าเกือบจะฆ่าไก่แล้วชิงไข่ทองคำไปซะแล้ว


สำหรับพวกนักผจญภัยตะวันออกแล้วเมื่อชินยี่พูดออกไปแบบนั้นก็ทำให้พวกเขาตาสว่างทันที


“นั่นหมายความว่า…”


“เราจะทำงานกันเป็นทีมเพื่อทำการกำจัดพวกกลายพันธุ์ พวกเราจะช่วยพวกตะวันตกให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งแต่พวกนายก็ต้องพยายามด้วย”


เรน่าและคนอื่นๆต่างมองหน้าหารือกันซักพักจากนั้นเรน่าก็พยักหน้าให้กับชินยี่และพูดขึ้น “ข้อเสนอนายมันก็น่าสนใจดี แต่นายมีอะไรมายืนยันล่ะว่านายจะไม่หักหลังฉัน? ถ้าคู่หูของนายยังรอดอยู่พวกนายก็จะมีจำนวนคนมากกว่าฉัน นอกจากว่านายจะให้ฉันเรียกพรรคพวกของฉันมามากกว่านี้ฉันถึงจะยอมเชื่อใจนาย”


“กำลังเสริมเอาไว้เป็นทางเลือกที่สองหลังจากที่ประเมินพลังของคู่ต่อสู้ได้ก่อน ฉันไม่อยากจะให้เกิดสถานการณ์ที่แบ่งสันปันส่วนได้ยากขึ้น ส่วนถ้าเป็นเรื่องของความเชื่อใจ…” ชินยี่พาจิมมี่เข้าไปในรถ “ฉันจะให้พวกเธอดูแลนายจิมมี่คนนี้ วิธีนี้ดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่แล้ว แต่อย่าลืมนะว่าพวกเราสู้เพื่อขึ้นเป็นที่หนึ่งส่วนพวกเธอสู้เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ และพวกทางใต้คือศัตรูหลักๆของเราในตอนนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้เราก็ควรหลีกเลี่ยงการปะทะกันเองโดยไม่จำเป็นให้ได้มากที่สุด เว้นเสียแต่ว่าเธอจะโง่พอที่จะทำแบบนั้น”


“ต่อให้พวกตะวันตกไปอยู่ที่สามพวกเราก็ต้องถูกกำจัดอยู่ดี”


“ตราบเท่าที่เธอยังให้ความร่วมมือกับฉัน ก็ไม่มีปัญหา”


“แล้วพวกเขาล่ะ?” หนุ่มผิวสีพูดถึงนักผจญภัยตะวันออกทั้งสามคน


อานเหวินตะโกน “พวกเราเอาด้วย!”


“งั้นก็ตามนั้น” ชินยี่กวักนิ้วชี้ไปที่เรน่า


เรน่าหยิบกล่องสมบัติที่ได้จากการฆ่านักผจญภัยเหล่านั้นออกมาให้ชินยี่


เขาส่ายหัว


เรน่าตะโกน “แต่คนสุดท้ายนั่นพวกเราเป็นคนฆ่านะ!”


ชินยี่ยังคงยิ้มเหมือนเดิม


เรน่าสบถ “ตาขี้งก!”


และกล่องที่สามก็ถูกนำออกมา


หลังจากชินยี่ได้กล่องที่สามแล้วเขาก็เปิดวิทยุสื่อสารขึ้นมา เขาก็ได้ยินเสียงปืนยิงกันดังสนั่นและเหวินโหรวก็พูดขึ้นมา “ชินยี่! นายแก้ปัญหาได้แล้วเหรอ?”


ชินยี่คลายคิ้ว “ใช่ แล้วถ้าเธอดูในรายชื่อพวกนั้นเธอจะเห็นพวกทางใต้ที่รายชื่อหายไปสามคน แต่ฟังจากเสียงแล้วเธอก็คงจะยุ่งอยู่กับทางนั้นใช่ไหมล่ะ? ฉันนึกว่าเธอจัดการพวกมันได้เร็วกว่านี้ซะอีก”


“มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้พวกกลายพันธุ์มันเข้ามาล้อมพวกเราไว้หมดแล้ว”


“อะไรนะ?” ชินยี่ช็อค “เป็นไปได้ยังไง?”


“ฉันไม่รู้! ตอนที่เรากำลังโจมตีฐานของพวกมัน ก็มีพวกกลายพันธุ์กลุ่มใหญ่ออกมาต่อต้านแถมยังเป็นพวกระดับสูงอีกด้วย โชคยังดีที่เจ้าอ้วนนั่นบอกพวกเราล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้และทำให้พวกเราหนีออกมาก่อนได้ แต่ตอนนี้พวกมันก็ตามเรามาด้วย!”


“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว ฉันจะพาคนมาเพิ่ม” ชินยี่ปิดวิทยุสื่อสารพร้อมรีบขึ้นไปสตาร์ทรถเบนซ์และหันไปพูดกับเรน่าและอานเหวิน “เพื่อนฉันกำลังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือที่ถนน198 ฉันคิดว่านี่อาจจะการเริ่มต้นการร่วมมือกันที่ดีก็ได้นะ… ว่าแต่รถเยอรมันนี่ก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย”


“เฮ้ นั่นรถฉันนะ!” เจ้าของรถตะโกนมาจากเบาะหลัง เขายังไม่ตาย


และชินยี่ก็ตบเขาจนสลบอีกครั้ง


“ฉันได้ยินว่าเพื่อนของนายต้องการความช่วยเหลือนะ ดูท่าว่าจะเร่งด่วนซะด้วยสิ” ชายผิวขาวนาม เลค พูดขึ้นมา “ขอโทษทีนะ แต่ฉันไม่คิดว่านี่จะเป็นการร่วมมือกันได้หรอก อีกอย่างคือการช่วยเพื่อนของนายมันไม่อยู่ในข้อตกลงนะ แต่ก็แน่นอนว่าข้อตกลงมันก็เปลี่ยนกันได้ถ้ามีเงินมาเกี่ยวข้อง”


ชินยี่มองไปที่เลคด้วยสายตาสงสาร “จะไม่มีใครเอาอะไรไปจากฉันได้ จนกว่าฉันจะอนุญาต นายไม่ต้องมาช่วยหรอก… เอ้อ ใช้ ลืมบอกไปนะว่าพวกที่มารุมเพื่อนฉันน่ะคือพวกกลายพันธุ์… ที่มากันแบบเยอะมาก”


จากนั้นชินยี่ก็เหยียบคันเร่งออกตัวไป


นักผจญภัยทั้งเจ็ดคนก็ได้แต่มองหน้ากัน


อันเหวินตะโกนขึ้นมาทันที “มัวรออะไรกันอยู่เล่า? รีบตามรถคันนั้นไปสิ”


แล้วสามคนก็วิ่งออกตามรถคันนั้นไป


เลคมองไปที่เรน่าก่อนที่เธอจะพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเราก็ต้องไปล่ะนะ”


“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องทำตามคำสั่งหมอนั่นด้วย อย่างลืมสิว่ามันเป็นปัญหาของเขาไม่ใช่ของเรา!” หนุ่มผิวสีพูดออกมา “พวกเรามีกันสี่คน พวกเขามีสาม แต่เขามีแค่คนเดียว ฉันอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงมีสิทธิ์กุมชะตาของพวกเรา?”


“ฉันจะไปรู้เหรอ!” เรน่าตวาดด้วยความโกรธ “นายอยากจะพลาดโอกาสฆ่าพวกกลายพันธุ์ใช่ไหม? นายจะอยากจะยุติข้อตกลงนี้ด้วยใช่ไหม? ไอ้โง่เอ้ย! อย่าลืมสิว่าจิมมี่ยังอยู่ในรถหมอนั่นนะ!”


จากนั้นเรน่าก็รีบวิ่งไปขึ้นรถของเธอ


“บ้าอะไรวะเนี่ย!” อีกสามคนที่เหลือก็ออกวิ่งตามไป


_______


ณ ถนน198 เหวินโหรว,จินกวง และฮงหลาน กำลังป้องกันตัวเองจากการโจมตีของพวกกลายพันธุ์รอบทิศทาง


จตุรัสนี้กลายเป็นสนามรบ ไฟเผาผลาญไปทั่วทั้งบริเวณกระสุนพุ่งผ่านไปมาพร้อมๆกับกลุ่มควันบนอากาศ


ทุกพื้นที่แทบจะเต็มไปด้วยพวกกลายพันธุ์ เฮลิคอปเตอร์บินผ่านน่านฟ้ากรุงนิวยอร์คและมีพวกกลายพันธุ์เป็นคนควบคุมมัน


จนถึงตอนนี้นักผจญภัยทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่เหยียดหยามพวกกลายพันธุ์ทั้งนั้น


ในสายตาของพวกเขาพวกกลายพันธุ์ก็ไม่ต่างอะไรจากกวางเรนเดียร์ที่กำลังรอให้นักผจญภัยมาพบและสังหารมัน


แต่พวกเขาพลาดอยู่หนึ่งอย่างนั่นก็คือ… พวกมันไม่ใช่กวางเรนเดียร์ที่รอให้ถูกฆ่า แต่มันกลับเป็นถึงสิงโตที่สามารถล่าพวกเขาคืนได้


นี่ไม่ใช่เกมจับกระต่ายอีกต่อไปแล้ว มันคือการล่าของนักล่า


เมื่อพวกมันโจมตีกลับทำให้พวกเขารับรู้ว่าพวกกลายพันธุ์นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้ พวกกลายพันธุ์นับร้อยติดอาวุธที่ล้ำสมัยแถมยังมีความสามารถพิเศษอีก นี่ไม่ใช่การต่อสู้แบบปกติอีกต่อไปแล้ว มันคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชัดๆ


เมื่อนักล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า ฮงหลานและคณะก็ได้แต่หลบอยู่ตามมุมถนนเพื่อหลีกเลี่ยงพวกกลายพันธุ์ และพวกเขาก็เข้ามาได้ถึงตรอกแห่งหนึ่งพวกกลายพันธุ์ก็กระโดดลงมาจากหลังคาและในมือของพวกมันก็กำระเบิดมือเอาไว้


“ข้างบน!” ฮงหลานตะโกนออกมา


จินกวงเล็งปืนขึ้นข้างบนและเหนี่ยวไก


พวกเขาไม่คิดว่าพวกกลายพันธุ์จะทำร่างกายของตัวเองให้กลายเป็นก้อนกลมกระเด้งไปมากับกำแพงเพื่อหลบหลีกกระสุนของเขา


“เชี่ยอะไรวะ!” จินกวงตะโกนเขายกมือขึ้นและใช้พลังเทเลคิเนซิส ระเบิดลูกนั้นก็พุ่งกลับไปหาพวกกลายพันธุ์และระเบิดร่างของพวกมันเป็นชิ้นๆพร้อมกับทำให้อีกตัวนึงติดไฟ


เมื่อร่างกายที่ขาดวิ่นของพวกมันหล่นลงบนพื้น มันก็ฟื้นฟูตัวเองกลับมาอีกครั้ง มันยิ้มและยิงปืนใส่เหวินโหรวในจังหวะที่เธอไม่สามารถหลบได้ โชคยังดีที่เธอมีไอเทมป้องกันกระสุนอยู่ ฮงหลานกู่ร้องและวิ่งเข้าใช้ขวานของเขาผ่ามันขาดตั้งแต่หัวจรดเท้า “มึงฟื้นตัวได้เหรอ? งั้นกูก็จะฆ่ามึงจนกว่ามึงจะตายนี่แหละไอ้เวรตะไลเอ้ย!”


ในตอนนั้นชายอ้วนก็เตือนพวกเขา “ระวัง!”



IA:เล่มที่ 3 บทที่ 24 รีบเร่งเสริมกำลัง(ตอนที่ 2)


 


ฮงหลานตะลึงที่จู่ๆก็มีจรวดพุ่งเข้ามาหาเขา


เขารีบกระโดดหลบขึ้นด้านบนด้วยความกลัว จรวดนั้นระเบิดขึ้นใต้เท้าของเขาส่งคลื่นอากาศกระแทกใส่เขาจนกระเด็น ฮงหลานสบถ “ทำไมมันถึงยิงแต่กูวะ!”


พลั่ก!


ร่างของเขาร่วงหล่นลงบนหลังคาไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก แรงระเบิดนั่นทำให้หัวของเขามึนไปหมด


ในจังหวะเดียวกันพวกกลายพันธุ์จำนวนมากกำลังโถมเข้าใส่เขา หนึ่งในนั้นกำลังยกเครื่องยิงจรวดขึ้นมาเล็งที่ฮงหลานอีกครั้ง เหวินโหรวกับจินกวงรีบยิงมันทันทีและพบว่ากระสุนของพวกเขานั้นไม่สามารถเข้าถึงตัวของมันได้ มันหันมายิ้มให้พวกเขาก่อนจะกลับไปเล็งเครื่องยิงจรวดของมันต่อ


ฮงหลานกัดฟัน แต่เพราะขวานของเขาทำให้หลังคานี้แตกเป็นรอยทางและพังทลายลงมา เขาร่วงลงมาพร้อมกับจรวดที่พุ่งผ่านหัวเขาไปฆ่าพวกกลายพันธุ์ตัวอื่น


ฮงหลานมึนงง “นี่นับเป็นสกิลของฉันไหมเนี่ย?”


เขายิ้มและหัวเราะ


พลั่ก! เขาร่วงลงบนพื้น ความเจ็บปวดเปลี่ยนจากรอยยิ้มกลายเป็นหน้าตาที่บูดบึ้ง


เสียง พลั่ก อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ตัวเขา มันคือเสียงของพวกกลายพันธุ์ที่ถือเครื่องยิงจรวดที่มีสกิลแบบเดียวกับชาโดว์แคทร่วงลงมาข้างๆเขา ฮงหลานรีบยกตัวมันขึ้นมาแต่เขาเหมือนรู้สึกว่ากำลังจับลมอยู่ ชายกลายพันธุ์ยิ้มให้เขาและต่อยไปที่จมูก


ใบหน้าของฮงหลานเองก็ยุบไปตามที่หมัดนั้นผ่าน มันรีบเล็งเครื่องยิงจรวดไปที่เขาอีกเป็นครั้งที่สาม


แต่ฮงหลานก็ผ่าอาวุธของมันให้ขาดเป็นสองท่อนทันที


“ไม่!” ชายกลายพันธุ์ส่งเสียงดัง


กระสุนข้างในระเบิดออกมา ในขณะที่ฮงหลานลอยขึ้นไปบนอากาศและหัวเราะเยาะมัน แรงระเบิดทำให้ชายกลายพันธุ์ตายในทันที ส่วนตัวฮงหลานเองก็กระเด็นขึ้นจากบ้านไป


เมื่อเขาร่วงลงมาก็มีพวกกลายพันธุ์มารุมล้อมเขาอีก


“แม่งเอ้ย! เมื่อไหร่จะหมดวะ?” เขาสบถอย่างเดือดดาล


แต่ยังไม่ทันที่พวกมันจะโจมตีก็มีกระสุนพุ่งเข้าใส่พวกมันจนพรุน


ฟรอสเดินทัพเข้ามาพร้อมกับทหารอีกสิบนาย


“ฟรอส นายมาที่นี่ทำไม? ไม่ใช่ว่านายต้องคุ้มกันทางออกทิศตะวันตกเหรอ?” ฮงหลานตะโกนและหยิบยาฟื้นฟูขึ้นมากระดกอย่างรวดเร็ว


“พวกเรายื้อเอาไว้ไม่ไหว พวกมันทรงพลังเกินไป!”


“บ้าจริง!” ฮงหลานตะโกนและรีบวิ่งกลับไปที่จินกวงกับเหวินโหรว “ฟรอสกับทหารมันยื้อพวกกลายพันธุ์ไม่ไหวแล้วและทางออกถูกปิดไปแล้ว”


“ชินยี่บอกว่าเขาจะมาพร้อมกำลังเสริม เราต้องยื้อไว้ให้ได้” เหวินโหรวร้องตอบ


“เราต้องเร่งให้เขามาเร็วกว่านี้”


“ฉันไม่อยากกวนเขา” เหวินโหรวตอบ “ตอนแรกเราบอกให้เขารอดูผลงาน แต่ตอนนี้เราต้องขอให้เขามาช่วย แค่นี้มันก็น่าอับอายมากพอแล้ว!”


จินกวงและฮงหลานมองหน้ากัน และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาคิดออกมาตรงกัน “ไม่เข้าใจพวกผู้หญิงเลยว้อย!”


พวกกลายพันธุ์โผล่ขึ้นมา ในมือของเขาถือรถบรรทุกไว้มันคำรามเสียงดังก่อนที่จะทุ่มรถใส่พวกเขา


“ฉิบหายละ!” เหวินโหรวมองไปที่รถที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาเรื่อยๆ “จินกวง!”


จินกวงตอบกลับเสียงดัง “ฉันไม่เหลือพลังจิตแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันยังต้องเปลี่ยนพลังชีวิตให้เป็นพลังจิตอยู่เลย ฉันต้องมียาฟื้นฟูอีกถึงจะทำได้!”


ฮงหลานตะโกน “หลบเร็ว!”


ทุกคนรีบหลบกันออกไปคนละทาง แต่ว่าพวกทหารพลร่มจากกองพลร่มที่ 2 นั้นหลบไม่ทัน


พวกทหารถูกขยี้แหลกคารถบรรทุกนั้นก่อนที่มันจะไถลไปกับพื้นและบดขยี้ทหารคนอื่นๆตายไปตามทาง


ในจังหวะเดียวกันก็ได้มีเสียงกระแทกดังสนั่นกึกก้อง แล้วรถบรรทุกก็หยุด


ทุกคนเห็นภาพของเหล่าเหากำลังใช้มือหยุดรถบรรทุกไว้


พลังทำลายล้างของรถบรรทุกนั้นสร้างความเสียหายให้กับร่างอ้วนท้วมนั่น 244 หน่วย เขาใช้ร่างของเขาเพื่อหยุดการโจมตีนั่น


“เจ้าอ้วน” ฮงหลานร้องออกมา


เจ้าอ้วนยิ้มน่าเกลียดออกมาแต่ในปากของเขาก็กระอักเลือดตามมาด้วยเช่นกัน “ไม่ต้องห่วง ค่า Vitality ของฉันสูงพอ ฉันไม่ตายหรอก”


“วันนี้แม่งคือวันเชี่ยอะไรวะเนี่ย!” ฮงหลานตะโกนออกมา


ในจังหวะนี้พวกกลายพันธุ์กลุ่มใหญ่ก็ได้รีบพุ่งเข้ามาหาพวกเขา


“เจ้าอ้วน ร่ายเกราะมานาให้ฉันหน่อย!” เหวินโหรวหักคอศัตรูที่ใกล้ที่สุดก่อนที่มันจะทำลายเกราะที่ว่านั่น


เจ้าอ้วนส่ายหัว “มานาของฉันหมดแล้ว”


“บ้าจริง!” เหวินโหรวสบถ ไม่ใช่เพียงแค่โล่มานาที่หมดลงแต่ไอเทมกันกระสุนของเธอเองก็หมดลงเช่นกัน


ปัง! ปัง! ปัง! กระสุนสามนัดพุ่งเข้าใส่ตัวเธอ เหวินโหรวกรีดร้องก่อนที่เธอจะยิงสวนกลับไปพร้อมๆกับเหวี่ยงแส้ในมือไปที่พวกกลายพันธุ์และมันก็หลบได้


เหวินโหรวตะลึง และหูของเธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆ


“มันอยู่ใต้ดิน”


ฮงหลานกู่ร้องและต่อยหมัดอันหนักหน่วงลงไปบนพื้น


เลือดไหลทะลักขึ้นมาจากบนพื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องทรมาณ


“เยี่ยมเลย!” เหวินโหรวตะโกน


แต่ในเวลาต่อมา พวกกลายพันธุ์อีกสี่ตัวก็โผล่ออกมา หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นและก็มีลูกระเบิดจำนวนมากพุ่งเข้ามาหาพวกเธอ เฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่ข้างบนก็สาดปืนกลหนักลงมาใส่พวกเขาสังหารทหารพลร่มตายไปอีกจำนวนมาก


ไม่ว่าจะพยายามกันซักเท่าใด สถานการณ์ก็มีแต่จะแย่ลงไปทุกที



IA:เล่ม 3 บทที่ 25 เร่งเสริมกำลังพล (ตอนที่ 1)


 


26 ชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มภารกิจ


ชินยี่ขับรถเบนซ์ด้วยความรวดเร็วพลางเปิดวิทยุสื่อสารไปด้วย


“เหวินโหรว สถานการณ์เป็นไงบ้าง?”


“แย่มากๆ! น่าจะต้านได้อีกไม่กี่นาทีเท่านั้น” แต่คนที่ตอบกลับมาคือฮงหลาน “พวกเรากำลังโดนล้อมจากทุกทางไม่มีทางหนีเลย”


“ยื้อไว้อีก 10 นาทีได้ไหมฉันกำลังจะถึงแล้ว”


“นายอยู่ไหนแล้ว”


“เพิ่งออกจากแมนฮัตตัน”


“งั้นนายคงมาไม่ถึงทันเวลาหรอก”


“เชื่อมั่นในสหายพวกแกหน่อยสิ”


“นายวางแผนจะผ่านนิวยอร์กแบบเมื่อวานไหม?”


“ไม่ล่ะ รอบนี้ฉันมีแผนอื่น” ชินยี่บอกก่อนจะตัดการสื่อสารทิ้งไป


ข้างหลังเขามีกลุ่มนักผจญภัยอีกสองกลุ่มกำลังตามมา กลุ่มแรกเป็นของเรน่าและอีกกลุ่มของอันเหวินในรถของพวกเขาเอง และพวกเขาก็เห็นว่ารถเบนซ์คันข้างหน้าเลี้ยวตัดลงบันไดไปข้างล่าง


“เขาทำบ้าอะไรน่ะ?” อันเหวินร้องออกมา “นั่นไม่ใช่ทางไปถนน198ซักหน่อย”


เรน่าที่เห็นแบบนั้นเองก็แปลกใจเช่นกัน แต่หลังจากนั้นพวกเธอก็เข้าใจ


ทางที่ชินยี่ขับลงไปคือสถานีรถไฟใต้ดินแมนฮัตตัน


“หมอนั่นจะเลือกจะใช้บริการรถไฟใต้ดินหรือไงเนี่ย!” เรน่าตะโกนโหวกเหวก


“บ้าไปแล้วรีไง? หมอนั่นขับรถมาเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินเนี่ยนะ!” เลคตะโกนบ้าง


“ถึงจะบ้าแต่ก็จริง แต่นี่คือทางที่เร็วที่สุดที่จะไปถนน 198 แล้วล่ะ หมอนี่มันฉลาดไม่เบา ฉันมั่นใจเลยว่านี่เป็นแผนพุ่งผ่านนิวยอร์คตามที่วางไว้เมื่อวาน”


“ไอ้บ้าบิ่นเอ้ย! สมองเขาทำจากอะไรวะเนี่ย?” สามนักผจญภัยตะวันตกตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน


และเรน่ากับอันเหวินเองก็รีบขับรถลงทางใต้ดินที่เป็นบันไดทำมุม 45องศา ลงตามมาเขามายังทางใต้ดิน


เพราะนิวยอร์คในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นอยู่ในช่วงสงครามและทำให้พวก MTR ต้องเข้าควบคุมระบบการขนส่งเกือบทั้งหมดของประเทศและนั่นทำให้แทบไม่มีผู้โดยสารในทางใต้ดินแห่งนี้เลย


ชินยี่ขับผ่านทะลุบูธขายตั๋วเข้ามายังชานชาลาและหยุดรถเพื่อรอรถไฟใต้ดินที่กำลังจะมา โดยที่มีผู้คนกำลังมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัว


เด็กหญิงคนนึงกำมือแม่ของเธอไว้ ดวงตาของเธอเบิกโตมองไปที่ชินยี่ “คุณรีบมากเลยเหรอคะ?”


แม่ของเธอตกใจมากจนต้องรีบเอามือปิดปากลูกสาวเธอเอาไว้


ชินยี่ถอดแว่นดำออกและยิ้มให้กับเธอ “มันคือการแข่งกับเวลาน่ะหนูน้อย”


รถของเรน่าเองก็ขับมาจอดข้างๆรถเบนซ์ของเขา เธอลดกระจกลงและพูดกับชินยี่ “นายคิดจะทำอะไรเนี่ย? เล่นขับรถลงมาข้างล่างแบบนี้?”


“ฉันต้องรีบไปให้เร็วที่สุด และไม่อยากจะลงเดินหลังจากไปถึงอีกสถานีล่ะนะ” ชินยี่ตอบกลับพลางใส่แว่นดำกลับตามเดิม


“แล้วนายจะทำแบบนั้นได้ยังไง?”


“ก็คงต้องใช้กำลังนิดหน่อย” ชินยี่ตอบกลับ


ในที่สุดรถไฟใต้ดินของเขตตะวันออกก็เข้าเทียบชานชาลาพร้อมกับเสียงอันดังก้อง


ชินยี่ตะบึงรถของเขาทะลุเข้าประตูรถไฟไป เขายิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อไล่ผู้โดยสารคนอื่นลงจากรถให้หมด และรถของเขาก็พุ่งเข้าไปจอดแทนที่นั่งและเสาเหล็กข้างใน


เลคที่เห็นภาพนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว “นี่เรน่าคราวหลังอย่าลืมเตือนฉันนะว่าหมอนี่มันไม่ใช่คนปกติทั่วไป”


“คิดว่าคงไม่ต้องหรอก เพราะเดี๋ยวเราก็จะบ้าตามเขาเหมือนกัน” เรน่าเหยียบคันเร่งพารถของตัวเองเข้าไปข้างในรถไฟโดยที่มีอันเหวินตามมาติดๆ


ผู้โดยสารคนอื่นๆได้แต่มองหน้ากันเอง ไม่มีใครกล้าเข้าไปซักคน


ชินยี่พูดกับแม่ของเด็กน้อย “เอ้า เข้ามาสิมีที่ว่างอีกตั้งเยอะแยะ”


แม่ของเด็กส่ายหัวด้วยความกลัว “ม่ะ ไม่เป็นไรเราไม่รีบค่ะ”


ชินยี่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้


เจ้าหน้าที่รถไฟประกาศออกเสียงตามสายด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น? รถเราโดนพวกกลายพันธุ์โจมตีเหรอ?”


และเมื่อเขาลงมาก็เห็นภาพของรถไฟเขาที่มีรถสามคันจอดอยู่ข้างใน


“เดี๋ยวนะ ตาฉันไม่ได้ฝาดใช่ไหม?” เขากรีดร้องออกมมา


ชินยี่เล็งปืนไปที่เขาและพูดเสียงเย็นชา “ไปขับรถซะ”


“ไม่ได้หรอก คุณทำรถไฟเสียหายและมัน…”


เสียงแหวกลมของกระสุนพุ่งผ่านหูของเขาไป


“ฉันบอกให้…ไปขับรถ” ชินยี่ยังคงสีหน้าเดิม ทำให้เขาต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้


รถไฟใต้ดินวิ่งตรงไปตามเส้นทางด้วยความเร็วคงที่ และด้วยการที่ชินยี่เอารถเข้ามามันทำให้ระบบไฟฟ้าของรถไฟเสียหาย หลอดไฟด้านบนกระพริบตลอดเวลา


ในระหว่างที่รอชินยี่เอาขาพาดออกมาจากหน้าต่างรถของเขาพลางดูดบุหรี่และหลับตาลง


และเรน่าก็กระโดดลงมาจากหน้าต่างด้านบนมาอยู่บนรถเบนซ์ของเขา


“ขอด้วยสิ” เธอพูด


“ไม่ล่ะ นานๆทีฉันถึงจะสูบ บุหรี่มวนนี้ฉันเองก็สูบมันมาหลายวันแล้ว” ชินยี่ตอบกลับและมองไปที่เจ้าของรถที่นั่งอยู่ด้านหลัง “เฮ้ย แกมีบุหรี่ไหมแบ่งให้หล่อนหน่อยดิ๊”


เจ้าของรถโยนซองมัลโบโร่ให้ชินยี่ “แกปล้นรถฉันแล้วยังจะเอาบุหรี่ไปอีกนะ!”


“เดี๋ยวคืนให้น่า สัญญาเลย”


“ถึงเวลานั้นรถฉันก็กลายเป็นเศษเหล็กวิ่งได้ไปแล้วล่ะโว้ย!” เจ้าของรถร้องออกมา


เรน่ามองชินยี่ด้วยความประหลาดใจ “นี่นายปล้นรถเขามาแล้วยังพ่วงเจ้าของมาอย่างนี้ทุกครั้งเหรอ?”


“ก็เอาไว้เวลาต้องคืนรถไง” ชินยี่ตอบ


“ดูแล้วนายน่าจะไม่เป็นคนแบบนั้นเลยนะ” เรน่าพูด “ฆ่าเขาทิ้งไปเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ?”


“เธอก็เห็นนี่ว่าฉันไม่ชอบฆ่าคน มันแค่เป็นส่วนหนึ่งของงานเท่านั้นเอง”


“งานเหรอ?” เรน่าเลิกคิ้วขึน “นี่นายมองทุกอย่างในโลกนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานงั้นเหรอ?”


“มุมมองแบบนี้มันทำให้ฉันยังคงมีสติในการจัดการปัญหาทุกอย่างน่ะ เธอจะมองว่ามันเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงก็ได้แต่มันก็แลกมากับค่าตอบแทนที่พอๆกันแหละ เกือบทุกคนบนโลกเองก็ต้องการวันพักผ่อนเหมือนกันใช่ไหมล่ะไม่มากก็น้อย ในขณะเดียวกันดูพวกเราสิแค่ทำงานครั้งเดียวต่อวันก็ได้พักยาวๆจนกว่าจะมีงานเข้าอีกครั้งหนึ่ง”


“ฉันไม่เคยมองในด้านนั้นเลย แต่บางทีนายอาจจะคิดถูกก็ได้นะ พูดถึงด้านงานอันตรายงานของเราอาจจะไม่เสี่ยงตายเท่าพวกทหารในสงครามและสิ่งที่พวกเขาได้รับหลังจากภารกิจนั้นก็ใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาต้องเสี่ยงอีก ถ้าเรายังเป็นทหารรับจ้างอยู่ พวกเราก็คงเป็นทหารรับจ้างที่ราคาโคตรแพงเลยล่ะ มองจากมุมนี้เราเทียบพวกเขาไม่ได้เลย แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็คือที่เมืองกระหายเลือดนั้นไม่เห็นด้วยกับงานของพวกเรา กลายเป็นว่าเราต้องให้ความร่วมมือแบบถูกบังคับไปเนี่ยสิ”


“ที่ประเทศจีนก็มีตัวอย่างแบบนั้นเยอะแยะไป”


“ยกตัวอย่างเช่น?”


“รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” ชินยี่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง



IA:เล่ม 3 บทที่ 25 เร่งเสริมกำลังพล (ตอนที่ 1)


 


26 ชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มภารกิจ


ชินยี่ขับรถเบนซ์ด้วยความรวดเร็วพลางเปิดวิทยุสื่อสารไปด้วย


“เหวินโหรว สถานการณ์เป็นไงบ้าง?”


“แย่มากๆ! น่าจะต้านได้อีกไม่กี่นาทีเท่านั้น” แต่คนที่ตอบกลับมาคือฮงหลาน “พวกเรากำลังโดนล้อมจากทุกทางไม่มีทางหนีเลย”


“ยื้อไว้อีก 10 นาทีได้ไหมฉันกำลังจะถึงแล้ว”


“นายอยู่ไหนแล้ว”


“เพิ่งออกจากแมนฮัตตัน”


“งั้นนายคงมาไม่ถึงทันเวลาหรอก”


“เชื่อมั่นในสหายพวกแกหน่อยสิ”


“นายวางแผนจะผ่านนิวยอร์กแบบเมื่อวานไหม?”


“ไม่ล่ะ รอบนี้ฉันมีแผนอื่น” ชินยี่บอกก่อนจะตัดการสื่อสารทิ้งไป


ข้างหลังเขามีกลุ่มนักผจญภัยอีกสองกลุ่มกำลังตามมา กลุ่มแรกเป็นของเรน่าและอีกกลุ่มของอันเหวินในรถของพวกเขาเอง และพวกเขาก็เห็นว่ารถเบนซ์คันข้างหน้าเลี้ยวตัดลงบันไดไปข้างล่าง


“เขาทำบ้าอะไรน่ะ?” อันเหวินร้องออกมา “นั่นไม่ใช่ทางไปถนน198ซักหน่อย”


เรน่าที่เห็นแบบนั้นเองก็แปลกใจเช่นกัน แต่หลังจากนั้นพวกเธอก็เข้าใจ


ทางที่ชินยี่ขับลงไปคือสถานีรถไฟใต้ดินแมนฮัตตัน


“หมอนั่นจะเลือกจะใช้บริการรถไฟใต้ดินหรือไงเนี่ย!” เรน่าตะโกนโหวกเหวก


“บ้าไปแล้วรีไง? หมอนั่นขับรถมาเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินเนี่ยนะ!” เลคตะโกนบ้าง


“ถึงจะบ้าแต่ก็จริง แต่นี่คือทางที่เร็วที่สุดที่จะไปถนน 198 แล้วล่ะ หมอนี่มันฉลาดไม่เบา ฉันมั่นใจเลยว่านี่เป็นแผนพุ่งผ่านนิวยอร์คตามที่วางไว้เมื่อวาน”


“ไอ้บ้าบิ่นเอ้ย! สมองเขาทำจากอะไรวะเนี่ย?” สามนักผจญภัยตะวันตกตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน


และเรน่ากับอันเหวินเองก็รีบขับรถลงทางใต้ดินที่เป็นบันไดทำมุม 45องศา ลงตามมาเขามายังทางใต้ดิน


เพราะนิวยอร์คในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นอยู่ในช่วงสงครามและทำให้พวก MTR ต้องเข้าควบคุมระบบการขนส่งเกือบทั้งหมดของประเทศและนั่นทำให้แทบไม่มีผู้โดยสารในทางใต้ดินแห่งนี้เลย


ชินยี่ขับผ่านทะลุบูธขายตั๋วเข้ามายังชานชาลาและหยุดรถเพื่อรอรถไฟใต้ดินที่กำลังจะมา โดยที่มีผู้คนกำลังมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัว


เด็กหญิงคนนึงกำมือแม่ของเธอไว้ ดวงตาของเธอเบิกโตมองไปที่ชินยี่ “คุณรีบมากเลยเหรอคะ?”


แม่ของเธอตกใจมากจนต้องรีบเอามือปิดปากลูกสาวเธอเอาไว้


ชินยี่ถอดแว่นดำออกและยิ้มให้กับเธอ “มันคือการแข่งกับเวลาน่ะหนูน้อย”


รถของเรน่าเองก็ขับมาจอดข้างๆรถเบนซ์ของเขา เธอลดกระจกลงและพูดกับชินยี่ “นายคิดจะทำอะไรเนี่ย? เล่นขับรถลงมาข้างล่างแบบนี้?”


“ฉันต้องรีบไปให้เร็วที่สุด และไม่อยากจะลงเดินหลังจากไปถึงอีกสถานีล่ะนะ” ชินยี่ตอบกลับพลางใส่แว่นดำกลับตามเดิม


“แล้วนายจะทำแบบนั้นได้ยังไง?”


“ก็คงต้องใช้กำลังนิดหน่อย” ชินยี่ตอบกลับ


ในที่สุดรถไฟใต้ดินของเขตตะวันออกก็เข้าเทียบชานชาลาพร้อมกับเสียงอันดังก้อง


ชินยี่ตะบึงรถของเขาทะลุเข้าประตูรถไฟไป เขายิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อไล่ผู้โดยสารคนอื่นลงจากรถให้หมด และรถของเขาก็พุ่งเข้าไปจอดแทนที่นั่งและเสาเหล็กข้างใน


เลคที่เห็นภาพนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว “นี่เรน่าคราวหลังอย่าลืมเตือนฉันนะว่าหมอนี่มันไม่ใช่คนปกติทั่วไป”


“คิดว่าคงไม่ต้องหรอก เพราะเดี๋ยวเราก็จะบ้าตามเขาเหมือนกัน” เรน่าเหยียบคันเร่งพารถของตัวเองเข้าไปข้างในรถไฟโดยที่มีอันเหวินตามมาติดๆ


ผู้โดยสารคนอื่นๆได้แต่มองหน้ากันเอง ไม่มีใครกล้าเข้าไปซักคน


ชินยี่พูดกับแม่ของเด็กน้อย “เอ้า เข้ามาสิมีที่ว่างอีกตั้งเยอะแยะ”


แม่ของเด็กส่ายหัวด้วยความกลัว “ม่ะ ไม่เป็นไรเราไม่รีบค่ะ”


ชินยี่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้


เจ้าหน้าที่รถไฟประกาศออกเสียงตามสายด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น? รถเราโดนพวกกลายพันธุ์โจมตีเหรอ?”


และเมื่อเขาลงมาก็เห็นภาพของรถไฟเขาที่มีรถสามคันจอดอยู่ข้างใน


“เดี๋ยวนะ ตาฉันไม่ได้ฝาดใช่ไหม?” เขากรีดร้องออกมมา


ชินยี่เล็งปืนไปที่เขาและพูดเสียงเย็นชา “ไปขับรถซะ”


“ไม่ได้หรอก คุณทำรถไฟเสียหายและมัน…”


เสียงแหวกลมของกระสุนพุ่งผ่านหูของเขาไป


“ฉันบอกให้…ไปขับรถ” ชินยี่ยังคงสีหน้าเดิม ทำให้เขาต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้


รถไฟใต้ดินวิ่งตรงไปตามเส้นทางด้วยความเร็วคงที่ และด้วยการที่ชินยี่เอารถเข้ามามันทำให้ระบบไฟฟ้าของรถไฟเสียหาย หลอดไฟด้านบนกระพริบตลอดเวลา


ในระหว่างที่รอชินยี่เอาขาพาดออกมาจากหน้าต่างรถของเขาพลางดูดบุหรี่และหลับตาลง


และเรน่าก็กระโดดลงมาจากหน้าต่างด้านบนมาอยู่บนรถเบนซ์ของเขา


“ขอด้วยสิ” เธอพูด


“ไม่ล่ะ นานๆทีฉันถึงจะสูบ บุหรี่มวนนี้ฉันเองก็สูบมันมาหลายวันแล้ว” ชินยี่ตอบกลับและมองไปที่เจ้าของรถที่นั่งอยู่ด้านหลัง “เฮ้ย แกมีบุหรี่ไหมแบ่งให้หล่อนหน่อยดิ๊”


เจ้าของรถโยนซองมัลโบโร่ให้ชินยี่ “แกปล้นรถฉันแล้วยังจะเอาบุหรี่ไปอีกนะ!”


“เดี๋ยวคืนให้น่า สัญญาเลย”


“ถึงเวลานั้นรถฉันก็กลายเป็นเศษเหล็กวิ่งได้ไปแล้วล่ะโว้ย!” เจ้าของรถร้องออกมา


เรน่ามองชินยี่ด้วยความประหลาดใจ “นี่นายปล้นรถเขามาแล้วยังพ่วงเจ้าของมาอย่างนี้ทุกครั้งเหรอ?”


“ก็เอาไว้เวลาต้องคืนรถไง” ชินยี่ตอบ


“ดูแล้วนายน่าจะไม่เป็นคนแบบนั้นเลยนะ” เรน่าพูด “ฆ่าเขาทิ้งไปเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ?”


“เธอก็เห็นนี่ว่าฉันไม่ชอบฆ่าคน มันแค่เป็นส่วนหนึ่งของงานเท่านั้นเอง”


“งานเหรอ?” เรน่าเลิกคิ้วขึน “นี่นายมองทุกอย่างในโลกนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานงั้นเหรอ?”


“มุมมองแบบนี้มันทำให้ฉันยังคงมีสติในการจัดการปัญหาทุกอย่างน่ะ เธอจะมองว่ามันเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงก็ได้แต่มันก็แลกมากับค่าตอบแทนที่พอๆกันแหละ เกือบทุกคนบนโลกเองก็ต้องการวันพักผ่อนเหมือนกันใช่ไหมล่ะไม่มากก็น้อย ในขณะเดียวกันดูพวกเราสิแค่ทำงานครั้งเดียวต่อวันก็ได้พักยาวๆจนกว่าจะมีงานเข้าอีกครั้งหนึ่ง”


“ฉันไม่เคยมองในด้านนั้นเลย แต่บางทีนายอาจจะคิดถูกก็ได้นะ พูดถึงด้านงานอันตรายงานของเราอาจจะไม่เสี่ยงตายเท่าพวกทหารในสงครามและสิ่งที่พวกเขาได้รับหลังจากภารกิจนั้นก็ใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาต้องเสี่ยงอีก ถ้าเรายังเป็นทหารรับจ้างอยู่ พวกเราก็คงเป็นทหารรับจ้างที่ราคาโคตรแพงเลยล่ะ มองจากมุมนี้เราเทียบพวกเขาไม่ได้เลย แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็คือที่เมืองกระหายเลือดนั้นไม่เห็นด้วยกับงานของพวกเรา กลายเป็นว่าเราต้องให้ความร่วมมือแบบถูกบังคับไปเนี่ยสิ”


“ที่ประเทศจีนก็มีตัวอย่างแบบนั้นเยอะแยะไป”


“ยกตัวอย่างเช่น?”


“รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” ชินยี่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง




IA:เล่ม 3 บทที่ 25 เร่งเสริมกำลังพล (ตอนที่ 2)


 


“งั้นถ้าเกิดว่าเราต้องเจอกับตาลุงโหดร้ายใช้งานคนผิดวิธีเก่ง แต่ดันเป็นคนใจกว่างแถมยังเป็นหัวอีก สิ่งที่เราทำได้ก็คือ?”


“ก้มหน้าก้มตาทำงานไปโดยห้ามปริปากบ่นยังไงล่ะ”


ทั้งสองจ้องกันซักพักก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันโดยที่เจ้าของรถนั่งงงไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น


“นายนี่มองโลกในแง่ดีจังเลยนะ”


“จงมองโลกในแง่ดี และอย่าคิดว่าโลกนี้มีแต่สิ่งเลวร้าย”


“คำคมของใครน่ะ?”


“ฉันเอง”


เรน่าขำหนักกว่าเดิม “ฉันชักจะเริ่มชอบนายแล้วสิ หลังจากที่เข้าใจได้ว่านายเป็นคนยังไง”


“โฮ่? เร็วขนาดนั้นเลย?” ชินยี่ขำ


“แน่นอน” เธอตอบกลับ “นายเป็นคนที่สามารถหัวเราะเยาะให้กับความตายได้ ถ้านายไม่ฆ่าคนมาเยอะแยะปานนี้ก็คงตายแทนพวกเขาไปแล้ว… นายคงผ่านเรื่องราวมามากมายเลยสินะ”


ชินยี่เงียบไปซักพัก ก่อนจะพูดต่อ


“แล้วถ้าฉันเป็นทั้งคู่ล่ะ?”


“ถ้างั้นนายก็คงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในเมืองกระหายเลือดแล้วล่ะ… ที่ชะตากำหนดให้ต้องแข็งแกร่งขึ้น” เรน่าตอบกลับแบบนั้นทำให้บรรยากาศรอบข้างเขาเปลี่ยนไปทันที


รถไฟกำลังจะถึงที่หมายแล้ว


เรน่ายิ้มอย่างน่าฉงนให้กับชินยี่ก่อนที่จะกลับไปที่รถของเธอ


ชินยี่พยักหน้าให้โดยที่อันเหวินกำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ


หลังจากที่รถไฟจอดที่ชานชาลารถทั้งสามก็รีบออกตัวขึ้นไปยังจุดหมายด้วยความรวดเร็ว


_______


ถนน198 ตกอยู่ในความโกลาหลเพราะการโจมตีจากพวกกลายพันธุ์


มันสามารถต่อสู้กับรัฐบาลของสหรัฐฯได้ แต่มันเองก็ยังต้องปกป้องเมืองหลวงของมันอยู่


หญิงกลายพันธุ์คนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาสายตาของเธอมองลงมายังท้องถนนที่มีการปะทะกันด้วยสายตาเย็นชา ผมสีขาวยาวของเธอทำให้เธอได้รับฉายา “สตรอม” โอโรโระ มุนโร


คนที่ยืนข้างเธอคือชายสองคน


หนึ่งในนั้นชายวัยกลางคนไว้ทรงผมประหลาดและมีหนวดเฟิ้ม เขาคือหนึ่งในตัวละครจากเรื่องเอ็กซ์เมน “วูฟเวอรีน” โลแกน


เขาถือซิการ์ใหญ่ในมือมองลงไปที่การต่อสู้ด้านล่างเช่นกัน เสียงทุ่มลึกของเขาพูดขึ้น “พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา”


พวกนักผจญภัยได้เปิดฉากโจมตีมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พวกกลายพันธุ์ไม่ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็พบว่าการโจมตีรอบนี้แตกต่างจากหลายๆครั้งที่ผ่านมา


เมื่อก่อนรัฐบาลสหรัฐฯได้ทำการโจมตีพวกเขามาก่อนหน้านี้แล้ว โดยพวกเขาส่งทหารเข้ามาล้อมไว้และใช้อาวุธที่ทำจากพลาสติก แถมก่อนที่จะทำการต่อสู้พวกเขายังเคลียร์ประชาชนรอบๆออกไปด้วย


แต่ในครั้งนี้มันต่างกันออกไป พวกที่บุกมาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของประชาชนคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ถึงจะมีจำนวนที่น้อยกว่าแต่ก็ทรงพลัง


เมื่อเช่นกันที่พวกกลายพันธุ์ต่อสู้โดยใช้คุณภาพมากกว่าเน้นจำนวน แต่ตอนนี้มันกลับกัน พวกที่รุกรานนั้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่ดีกว่ามาก


สำหรับพวกกลายพันุ์แล้วความกลัวคือสิ่งที่สุดยอด


ในที่สุดพวกเขาก็หาโอกาสจับพวกนักผจญภัยไว้ได้บางส่วน บางทีอาจจะใช้รีดข้อมูลสำคัญได้


“พวกมันไม่เหมือนพวกเรา สไตล์การต่อสู้มันพลิกแพลงต่อเวลา ความแข็งแกร่งของร่างกายเองก็ดีกว่าพวกเราบางคนเสียอีก” ชายหนุ่มข้างวูฟเวอรีนพูด เขาคือ ไอซ์แมน บ็อบบี้


“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ใช่ทหารจากทางการนะ เหมือนจะเป็นผู้มาเยือนจากต่างแดนมากกว่า” สตรอมบอก “ชาร์ล พูดถูก”


ดูเหมือนว่าพวกเอ็กซ์เมนจะไม่ได้แคร์เรื่องที่พวกกลายพันธุ์ตายซักเท่าไหร่ ทั้งสามคนไม่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้อยู่แล้วพวกเขาพยายามหาต้นกำเนิดของพวกนักผจญภัยมากกว่า


เพราะว่าที่จริงแล้วทั้งสามคนนี้ไม่ใช่สหายของพวกกลายพันธุ์อยู่แล้ว


หลังจากที่พวกเขารอกันนานเกินพอ วูฟเวอรีนก็เริ่มมองไปรอบๆ


ที่ตึกฝั่งตรงข้ามพวกเขามีชายสวมหน้ากากเหล็กอยู่ ตัวเขายืนตรงดั่งเสาสายตาเยือกเย็นจ้องมองไปที่การต่อสู้เบื้องล่าง


“ใครกันล่ะนั่น? หน้าตาแปลกๆนะ” วูฟเวอรีนถาม


“เขาใส่หน้ากากอยู่ นายจะเห็นหน้าเขาได้ไงโลแกน?” สตรอมตอบ “เขาถูกเรียกว่า เจเคน แฮก คู่หูคนสำคัญของแม็กนีโต้ เขาคือฆาตกรที่วิสคอนซินและยังเป็นผู้ก่อการร้ายที่เมืองดีทรอยด์อีก จำนวนคนที่ถูกฆ่าจากการกระทำของเขานั้นมากกว่าพวกกลายพันธุ์ที่นี่ทั้งหมดเสียอีก เขาคือฆาตกรโรคจิตที่แท้จริงเลยแหละและไม่คิดว่าแม็กนีโต้จะส่งเขามาที่นี่ด้วย ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อวานจะรังควานจิตใจเขามากเลยทีเดียว”


“เขาทำอะไรได้?”


“มนุษย์เหล็กไหล ผสมด้วยความเย็นชาของจิตใจทำให้เขากลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่น่ากลัว”


“นั่นเหมือนโคโลซัสเลยนะ” บ็อบบี้แทรก


“แต่แตกต่างกันอยู่” สตรอมตอบ


เจเคนเงยหน้าขึ้นมองไปที่สตรอมดวงตาที่เยือกเย็นภายใต้หน้ากากนั่นผสานไปด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว เขากระโดดลงไปร่างกายของพุ่งตรงดิ่งไปสู่พื้นดั่งลูกธนู


“ระวังด้วย!” ทหารตะโกนเตือนทุกคน


และเจเคนก็ร่วงลงมาทับหัวของเขาแหลกอย่างง่ายดายราวกับเหยียบลูกแตงโม แต่ยังไม่จบงานของเขาหลังจากที่เดินเหยียบซากของทหารคนนั้นแรงกระแทกจากการที่ตกลงมาได้สร้างรอยแตกขนาดใหญ่ราวกับอุกกาบาตตกใส่


ฮงหลานเหวี่ยงขวานเข้าโจมตีเขา แต่เจเคนก็ยกมือขึ้นป้องกันมัน


แคร้ง!


เสียงเหล็กกระทบกันสนั่นประกายไฟเกิดขึ้นที่แขนของเจเคน ฮงหลานเองก็ตกใจปนประหลาดใจ อีกฝ่ายพุ่งเข้าหาตัวเขาและกระแทกเข้าใส่ร่างของฮงหลาน


การกระแทกนั้นรุนแรงราวกับโดนกระแทกด้วยรถบรรทุก ฮงหลานกระเด็นออกไปไกลมากเจเคนหมุนแขนทำลายเสาหนึ่งต้นให้กระแทกฮงหลานกระเด็นไกลออกไปอีก


ฮงหลานร่วงลงบนพื้นและพบว่าพลังชีวิตของเขานั้นเหลือแค่เพียงครึ่งเดียวทั้งๆที่แค่โดนโจมตีเพียงสองครั้งเท่านั้น


เขาตะโกนอย่างหวั่นเกรง “หมอนี่แข็งแกร่งมาก!”


เหวินโหรวรีบวิ่งเข้าไปและใช้แส้ของเธอไปรัดรอบตัวเจเคนเพื่อที่จะเหวี่ยงเขาออกไป แต่เธอกลับไม่สามารถขยับร่างของเขาได้แม้แต่เพียงนิดเดียว


เจเคนหันไปมองเหวินโหรวและหัวเราะ “เธอไม่รู้เหรอว่าฉันหนักขนาดไหน”


เขาจับแส้และใช้มันดึงเหวินโหรวให้เข้ามาตัวเขาและเตรียมง้างแขนโจมตี แต่เหวินโหรวไหวตัวทันเธอรีบปล่อยมือจากแส้และยอมโดนแรงเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ เธอตีลังกากลางอากาศและลงมาบนพื้นอย่างนิ่มนวล เจเคนรีบพุ่งเข้าหาเธอทันที


“หยุดเขาไว้!” ฮงหลานตะโกนออกมา


ทหารหลายคนรีบวิ่งเข้ามาระดมยิงปืนใส่เขาแต่ไม่เป็นผล ร่างกายของเขาแข็งดั่งเหล็กไหลจนรับลูกกระสุนไว้ได้ เจเคนไม่ได้คิดจะหลบมันเลยด้วยซ้ำแต่เลือกที่จะพุ่งเข้าใส่ร่างของทหารสามคนทันที ความรู้สึกเดียวกันกับฮงหลานกระดูกของพวกเขาแตกทั่วร่างแต่ดวงตาของเจเคนยังคงจ้องไปที่เหวินโหรว


งานอดิเรกของเขาก็คือทรมาณหญิงสาวจนตาย


ในจังหวะที่เหวินโหรวกำลังถูกเจเคนเพ่งเล็งอยู่ก็ได้มีรถพุ่งทะลุกำแพงออกมาเหนือหัวของเธอและชนเข้ากับร่างของเจเคน


สำหรับเขาแล้วแค่นี้ถือว่าเบาเหมือนขนนกมาสะกิดเขาเอง ต่อให้เป็นรถถังพุ่งเข้าชนเขาก็ไม่ระคายเคืองอะไรทั้งนั้น


แต่สถานการณ์ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไป


เขารู้สึกได้ว่าร่างของเขาเบาหวิว ความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนกำลังไหลผ่านทั่วร่างของเขา


ทัศนวิสัยของเขาเต็มไปด้วยเลือดและไม่สามารถเพ่งสมาธิไว้ได้


เขาเพิ่งพบว่าตัวเขาเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ และร่วงลงกับพื้น พร้อมกับเห็นรอยยิ้มของชายคนที่นั่งอยู่ในรถ


นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกรถวิ่งทับบดขยี้หัวของเขาจนแตกกระจายย้อมพื้นที่ตรงนั้นให้เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดของเขา




IA:เล่ม 3 บทที่ 26 ราชินีแห่งพายุ (ตอนที่ 1)


 


เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วทุกคนในบริเวณนี้ ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้


เจเคน แฮก ตายแล้ว แถมยังตายเพราะถูกรถชนอีกต่างหาก


ร่างกายที่เป็นดั่งปราการเหล็กของเขาตั้งแต่ตอนที่เขาปรากฎตัว เหล่าผู้คนที่อยากจะล้างแค้นเขาก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครทำได้สำเร็จ


ยกเว้นเพียงแม็กนีโต้ที่เป็นศัตรูโดยกำเนิดกับเขา นอกจากนี้แล้วเขาก็ไม่เกรงกลัวใครในโลกทั้งสิ้น


แต่ทว่าในวันนี้เขาถูกจบชีวิตลงด้วยการถูกรถชน เขายังไม่ทันได้พูดอะไรซักคำก่อนตายด้วยซ้ำเหมือนกับเหยื่อที่ถูกเขาฆ่าอย่างไร้ปราณี


เขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก


ชินยี่เพิ่งจะมาถึง แต่เขาก็เพิ่งจะฆ่าเจเคนไปเรียบร้อยแล้ว


“ทำไมถึงช้าขนาดนี้!”


“เฮ้ย เฮ้ย รู้ตัวรึเปล่าว่าการที่ฉันต้องรีบมาที่นี่เนี่ยมันทำให้รถในเมืองนี้เบรคแตกชนกันกระจายวอดวายหมดแล้วน่ะ?” ชินยี่ที่นั่งอยู่ในรถชี้นิ้วไปที่กองเลือดนั่น “แต่พวกนายนี่ไร้ค่าฉิบหาย แค่ไอ้กลายพันธุ์ตัวเดียวนี่ยังล้มไม่ได้เลย”


บนอกของเจเคนก็มีหีบโผล่ขึ้นมา ชินยี่โบกมือแล้วทหารก็รีบโยนหีบใบนั้นมาให้เขา


“หมอนี่มันคือคนเหล็กหนักประมาณรถถังสิบคันรวมกันเห็นจะได้ มันน่าจะมีตำแหน่งระดับสูงของพวกกลายพันธุ์แน่ๆ”


“ฉันไม่สนหรอกว่ามันจะเป็นใคร” ชินยี่ตอบกลับเสียงดัง มือซ้ายหมุนพวงมาลัยพร้อมตัวรถ ปืนSpirit Flame ของเขาสาดกระสุนใส่พวกกลายพันธุ์ที่อยู่รอบๆ


พวกมันล้มตายลงจากกระสุนของชินยี่ และในจังหวะเดียวกันก็ได้มีรถอีกสองคันพุ่งเข้ามาจากถนนด้านข้าง


สายตาของเหวินโหรวมองไปเห็นกลุ่มของเรน่าทันที


“นั่นมันพวกจากตะวันตกนี่หว่า!”


“อย่าเข้าใจผิด พวกเขามาเพื่อช่วยเรา!” ชินยี่ตะโกนบอก


“เป็นไปได้ยังไง?” ทุกคนตะลึงในคำตอบของเขา


“งานถนัดของฉันคือเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร” ชินยี่ตะโกน “ถ้าใครไม่เชื่อก็ถามฮงหลานได้เลย!”


“ถามแม่มึงสิ! ฉันแค่จะปล้นแกรอบเดียวเอง ทำไมต้องเอามาเป็นประเด็นวะ!” ฮงหลานต่อยหน้าพวกกลายพันธ์พลางเงยหน้าขึ้นมาตอบเขา “แต่แปลกนะที่จู่ๆเจ้าพวกนี่มันก็อ่อนแอลงเนี่ย”


นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าพวกกลายพันธ์ทุกคนในตอนนี้ได้กลายเป็นคนธรรมดาไปแล้ว พูดให้ถูกก็คือพลังของพวกเขาถูกลบล้างออกไปชั่วคราว


จินกวงกับเจ้าอ้วนตะโกน “เฮ้ย! ฉันใช้พลังจิตไม่ได้!”


แม้จะพูดเหมือนกันแต่ก็ต่างกันอยู่คือ จินกวงนั้นกลัวแต่เจ้าอ้วนกลับตื่นเต้น


ชินยี่เหยียบคันเร่ง รถวิ่งออกไปในขณะที่พลังของจินกวงค่อยๆกลับคืนมา แต่พวกกลายพันธุ์บนเส้นทางของชินยี่นั้นกลับไร้ซึ่งพลัง


ชายกลายพันธุ์ที่เพิ่งขว้างรถบรรทุกไปหมายจะพุ่งเข้ามาหยุดชินยี่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่พบว่าเมื่อชินยี่กำลังพุ่งเข้าใกล้เขามากเท่าไหร่พลังของเขาก็ยิ่งถดถอยหายไปจนไม่เหรอและกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อของรถชินยี่


พวกกลายพันธุ์หลายตัวพยายามใช้ความเร็วเหนือมนุษย์เข้าฆ่าชินยี่และก็พบว่าพลังของตนเองก็หายไปเช่นกัน พร้อมกันนั้นเองชินยี่ก็สังหารเขาด้วยปืน


พวกกลายพันธ์หลายต่อหลายตัวพุ่งเข้าใส่ชินยี่และพบว่าพลังของตัวเองนั้นจะหายไปเมื่อเข้าใกล้เขาในระยะ 10 เมตร


เส้นทางรถของชินยี่นั้นแปลกมาก เขาขับรถเพื่อหาพวกกลายพันธุ์ที่ใกล้ที่สุดและคำนวนให้พวกมันเข้าใกล้จิมมี่ได้ในระยะที่ใกล้ที่สุด


นั่นทำให้เหล่านักผจญภัยคนอื่นหาจังหวะแล้วโจมตีกลับได้ทันที


รถของเรน่ากับอันเหวินเองก็วิ่งตามชินยี่ไปและฆ่าพวกกลายพันธ์ไปตามทาง


จนนักผจญภัยตะวันตกบางคนถึงกับตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจปนตื่นเต้น “โว้ว! พวกกลายพันธุ์เยอะฉิบหาย! นายไปหาพวกมันมาจากไหนเนี่ย?”


“ตรงกันข้ามเลย พวกมันเจอเราต่างหาก!” ชินยี่ตะโกน “ทีนี้ก็ฆ่าพวกแม่งให้สมใจอยากเลย!”


“อูร่า!” ทุกคนโห่ร้องขึ้นมาพร้อมๆกัน


อันเหวินกับเพื่อนของเธอหันมายิ้มให้กัน พวกเธอยอมรับแล้วว่าชินยี่นั้นมองการณ์ไกลกว่าทุกคนจริงๆ


ถ้าเป็นสถานการณ์ในตอนนีที่มีพวกกลายพันธ์เต็มไปหมดแบบนี้สิ่งที่พวกเขาต้องห่วงอย่างเดียวก็คือการเก็บแต้ม


จินกวงกับฮงหลานกู่ร้องออกมาและวิ่งตามรถชินยี่ไปพร้อมๆกับทำการโจมตีสุดบ้าคลั่ง ถึงเขาจะไม่รู้ว่าทำไมชินยี่สามารถทำให้พวกกลายพันธุ์หมดพลังได้ แต่มันก็เป็นเรื่องดีนี่นา


เหมือนดั่งมีรถเบนซ์ของชินยี่เป็นเวทีที่ห้อมล้อมไปด้วยนักผจญภัยหลายชีวิต สกิลและกระสุนพุ่งออกไปทั่วทั้งบริเวณ เป้นการต่อสู้ที่ชุลมุนมาก


ฮงหลานพุ่งเข้าไปหมายจะต่อยหน้าชายกลายพันธุ์คนหนึ่ง แต่ก่อนที่หมัดของเขาจะเข้าถึงก็ได้มีมีดบินเข้าเสียบมันตายเสียก่อน ฮงหลานหันกลับไปดูก็เห็นชายผิวขาว เลค กำลังยิ้มให้กับ


ฮงหลานตะโกน “ไอ้บ้า! นั่นมันเหยื่อฉันนะเว้ย!”


“คิดมากน่าเพื่อน ฉันมาช่วยนายนะ” เลคหัวเราะ


“ไปไหนก็ไป! ฉันไม่ต้องการให้นายช่วยเว้ย!” ฮงหลานร้องออกมาแล้วจากนั้นก็หมุนตัวต่อยหน้าพวกกลายพันธุ์ตัวอื่นต่อ


เลคยักไหล่และไล่ฆ่าพวกกลายพันธุ์ต่อ


แต่คนที่สบายที่สุดก็คือชินยี่ เขามีทหารจากกองพลร่มที่สองคอยต่อสู้ให้เขา ทหารเหล่านั้นจะเป็นเหยื่อหากเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกว่า และในทางกลับกันก็มีผลตรงกันข้าม


พวกเขาถูกฝึกมาให้เป็นเครื่องจักรสังหารและในสมรภูมิครั้งนี้ที่กำลังได้เปรียบ ทำให้พวกเขามารวมกลุ่มกันใหม่และทำการโจมตีสวนกลับทันที


พวกกลายพันธุ์หลายตัวล้มตายจากปืนของพวกเขา


ไม่เพียงแค่นั้นพวกเขาเองก็ยังคงเก็บกล่องสมบัติที่ดรอปจากตัวพวกมันให้ชินยี่ด้วย ถึงแม้ว่าพวกกลายพันธุ์จะมีโอกาสที่น้อยมากๆในการดรอปกล่องก็เถอะ แต่เมื่อจำนวนพวกมันเยอะขนาดนี้ก็ทำให้มีโอกาสที่สูงขึ้น


ชินยี่ไม่ว่างมาเก็บอะไรแบบนี้อยู่แล้วเพราะเขาต้องขับรถเพราะฉะนั้นทหารเหล่านี้จึงจัดการเก็บกล่องพวกนี้ทั้งหมดเช่นกัน แน่นอนว่าทั้งหมดทุกกล่องย่อมหมายถึงกล่องที่คนอื่นฆ่าพวกมันและดรอปทิ้งเอาไว้ด้วยเช่นกัน


ไม่กี่นาทีต่อมาพวกกลายพันธุ์ก็ค่อยๆแตกทัพหนีกระเจิงไป มันเป็นการโจมตีกลับที่สร้างความบอบช้ำให้กับกองทัพกลายพันธุ์ได้เป็นอย่างดี


ณ บนยอดตึกสูง สตรอมได้มองการต่อสู้ทั้งหมดอยู่บนนั้น


“จิมมี่! พวกมันเจอจิมมี่!” เธอชี้นิ้วไปที่รถ ถึงแม้มันจะอยู่ไกลจนมองยากแต่เธอก็พอจะเดาจากรูปร่างของชายหนุ่มหัวล้านได้ พลังที่เขามีก็คือพลังที่ทำให้พวกกลายพันธุ์ทุกคนสูญเสียพลัง


“ฉันจะไปพาเขากลับมา” วูฟเวอรีนบอก


“อย่านะโลแกน! ตราบเท่าที่พวกมันมีจิมมี่เราสู้พวกมันไม่ได้หรอก!”


“แล้วจิมมี่ล่ะ? เราไม่ได้มาเพื่อช่วยเขาเหรอ?”


“เราจะช่วยเขายังไงถ้าพวกเขายังมีจิมมี่อยู่กับตัวล่ะ? เราทำอะไรไม่ได้หรอก”


“อย่างที่ฉันบอกให้โจมตีตั้งแต่แรกแล้วไง แต่นี่เธอเลือกที่จะรอดูก่อนผลมันก็ออกมาเป็นอย่างนี้ไง”


“นายมันบ้าบิ่นเกินไปโลแกน พักก่อนเถอะ ยังไงจิมมี่ก็ยังไม่ตายเร็วๆนี้หรอก ไม่งั้นเขาน่าจะถูกฆ่าไปนานแล้ว”


“แล้วจะให้ทำยังไงต่อ?”




IA:เล่ม 3 บทที่ 26 ราชินีแห่งพายุ (ตอนที่ 2)


 


“พวกเราก็ต้องลงไป ไม่ต้องสนเรื่องลูกน้องของแม็กนีโต้หรอก เราต้องรายงานเรื่องให้ชาร์ล นี่มันผิดปกติแล้ว” สตรอมตะโกนและโบกมือ สายลมเข้ามาห้อมล้อมตัวเธอและพรรคพวกพร้อมกับพาตัวเธอขึ้นไปบนอากาศ


“ชินยี่! บนฟ้า!” เหวินโหรวชี้ขึ้นไปข้างบนและชินยี่ก็หันตาม


“นั่นมัน สตรอม!”


“กับวูฟเวอรีน”


“ไอซ์แมนด้วย!”


“จัดการมันเลย!”


นักผจญภัยทั้งหลายพุ่งตัวเข้าไปหาสตรอม


“อย่านะ!” ชินยี่ตะโกนห้าม ซึ่งมีเพียงฮงหลานกับอีกน้อยคนนักที่ฟังเขาและหยุดการกระทำนั่น แต่พวกตะวันตกยังเลือกที่จะยิงปืนของพวกเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า


สำหรับพวกเขาแล้วการปล่อยให้พวกกลายพันธ์หนีไปนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้


โดยเฉพาะพวกเลเวลสูงอย่างสตรอม


ตามที่ผู้อำนวยการเมืองโลหิตบอกมา ยิ่งตัวละครที่เจอมีเลเวลสูงมากขนาดไหน ของรางวัลก็จะยิ่งสูงขึ้นตาม


ยิ่งไปกว่านั้นพวกตัวละครเหล่านั้นมักจะมีโอกาส 100% ในการดรอปกล่องสมบัติเสียด้วย


แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเหมือนข้อจำกัดที่ว่าพวกตัวละครเหล่านี้นั้นไม่สามารถกำจัดได้โดยง่าย


วูฟเวอรีนเดินมาข้างหน้าสตรอมกับไอซ์แมน กระสุนทั้งหมดพุ่งเข้าใส่เขาแต่เพียงแค่เขายักไหล่กระสุนพวกนั้นก็หลุดออกจากร่างของเขา


ในจังหวะเดียวกันสตรอมก็แหงนมองขึ้นไปบนฟ้าดวงตาของเธอกลายเป็นสีขาวและยกมือขึ้น


และด้วยท่าทีของเธอทำให้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำขนาดใหญ่เหนือเขตตะวันออกนี้บดบังทัศนวิสัยของนักผจญภัยทุกคน


สายฟ้าแล่บจากก้อนเมฆ


“สตรอมกำลังควบคุมสภาพอากาศอยู่ ทุกคนระวังด้วย!” เหวินโหรวตะโกน


สายฟ้าได้ผ่าลงมาที่ชายผิวสีส่งให้ตัวเขาลอยขึ้นไปบนฟ้า


ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงตายไปแล้ว แต่ชายผิวสีนั่นมีค่าความอึดที่เยอะกว่าปกติอยู่เขาจึงยังไม่ตายทันทีและเหลือพลังชีวิตเพียงแค่ 2 ใน 3 ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาจนเหงื่อตกได้เหมือนกัน


จากนั้นสายฟ้าจำนวนมากก็ไล่ผ่าลงมาบนเขตตะวันออกนี้ เป็นฉากที่ดูตระการตามากถ้าพวกนักผจญภัยยังมีอารมณ์ว่างมาชื่นชมล่ะก็นะ พวกเขาหนีตายกันจ้าละหวั่นไม่ต่างอะไรกับหนูท่อที่ถูกไล่ที่


เท่านี้ยังไม่พอพวกเขายังโดนลมหนาวที่ถูกปล่อยออกมาจากไอซ์แมน อุณหภูมิถูกลดลงอย่างรวดเร็วและเกิดเป็นแท่งน้ำแข็งกลางอากาศ


เรน่าเงยหน้าขึ้นมองและสบถ “เวรแล้วไง”


แคร้ง!


เศษน้ำแข็งพุ่งลงมาดั่งพายุ แม้ว่ามันจะสร้างความเสียหายได้เพียงไม่กี่หน่วย แต่ด้วยความที่มันโถมมาเป้นพายุแบบนี้มันทำให้กลายเป็นความเสียหายที่น่ากลัวได้ในเพียงไม่กี่อึดใจ


“เข้าไปในห้าง!” ชินยี่ตะโกนและรถของเขาก็พุ่งเข้าไปในตัวอาคารพร้อมกับทุกๆคน


ฟรอสรีบพาทหารของเขาเข้าไปในอาคารแต่ทว่ามันก็สายเกินไป หลายต่อหลายคนล้มหายตายจากไปทำให้ใจของชินยี่แทบจะตกไปอยู่ตาตุ่ม


หลังจากที่พวกเขาไปหลบภัยกันในห้าง ภายนอกอาคารก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง แท่งน้ำแข็งทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง


พลังของสตรอมกับพลังของไอซ์แมนได้ก่อให้เกิดการทำลายล้างที่ทำให้นักผจญภัยต้องหนีตายไปตามๆกัน


หลังจากนั้นกลุ่มเมฆก็มลายหายไปพร้อมๆกับพวกกลายพันธุ์สามคนนั่น


เหวินโหรวถึงกับหน้าถอดสี “พวกมัน…แข็งแกร่งเกินไป”


“อย่าลืมสิว่าพวกเขาคือตัวเดินเรื่องหลัก” ชินยี่กระโดดออกมาจากรถ “ในบรรดาพวกกลายพันธ์แล้วทั้งสามคนนั้นแข็งแกร่งโคตรๆ”


เหวินโหรวประหลาดใจและถาม “นายคิดเรื่องนี้อยู่ใช่ไหม? ถึงได้บอกห้ามพวกเราโจมตี?”


“แต่มันก็ยังมีไอ้พวกที่ไม่ฟังกันอยู่!”


ชินยี่พูดอย่างเย็นชาพลางมองไปที่พวกนักผจญภัยตะวันตก


“แต่ก็ว่าเถอะ พวกเราเองก็ฆ่าพวกกลายพันธ์มามากพอแล้วใช่ไหม?” เลคยิ้ม


เพียงช่วงเวลาสั้นๆแต้มสังหารของทุกคนก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต้มเหล่านี้ทำให้พวกนักผจญภัยที่อยู่นอกพื้นที่นี้ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เลคเห็นว่าอันดับของเขาพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของพวกนักผจญภัยตะวันตกทั้งหมด และแต้มสังหารของฝั่งตะวันตกเองก็ไล่เลี่ยกับแต้มของทางใต้ทำให้พวกเขาสบายใจได้


แต่ในจังหวะนั้นชินยี่ก็พุ่งเข้าใส่เลคและส่งเขาลอยขึ้นไป


ชายผิวสีเห้นแบบนั้นจึงเข้าโจมตีชินยี่กลับหมายจะสั่งสอน แต่ชินยี่กลับหมุนตัวและเล็งปืนมายังเขาและเหนี่ยวไกลั่นกระสุนใส่หัวของเขา


แล้วจากนั้นชายคนนั้นก็คุกเข่าลงไปกองกับพื้น


“เฟลเล่อ!” เรน่าร้องออกมา


ความเสียหายจากกระสุนนั่นรุนแรงพอสมควร แถมเฟลเล่อยังได้รับบาดเจ็บมาจากพายุของสตรอมอีก ในจังหวะที่เขาโจมตีชินยี่พลังชีวิตของเขาก็แทบจะเป็นศูนย์อยู่แล้ว ดังนั้นกระสุนเพียงนัดเดียวเขาก็จากโลกนี้ไปทันที


มือซ้ายของชินยี่ถือ Vampire Touch อยู่และวางมันลงบนคอของเฟลเล่อ ปืนในมือขวาของเขาเล็งไปยังเลคที่กำลังลุกตัวเองขึ้นมา


นักเวทย์กำลังจะโจมตีแต่ทว่าฮงหลานกับจินกวงก็เข้ามาพูดกับเขาด้วยเสียงหนักอึ้ง “อย่าขยับเชียวไอ้หนุ่ม”


เหวินโหรวขยับแส้ของเขาหยุดการเคลื่อนไหวของเรน่าเอาไว้แม้แต่เจ้าอ้วนขี้ขลาดก็เล็งปืนขึ้น


เช่นเดียวกับอันเหวินกับพรรคพวกที่ไม่กล้าจะเข้าไปยุ่งเหมือนกัน


“อย่าโจมตีเขา!” เรน่าตะโกนด้วยความกลัว เธอไม่คิดว่าชินยี่จะโจมตีแบบไม่มีเหตุผลหรอก


“ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้!” ชินยี่พูดด้วยเสียงเย็นชา “แกรู้ไหมว่าฉันเกลียดคนประเภทไหนมากที่สุด? ไม่ใช่ไอ้โง่ ไม่ใช่ไอ้ขี้ขลาด ไม่ใช่แม้แต่ไอ้พวกเลวระยำด้วย แต่เป็นไอ้พวกที่เห็นแก่ตัว! ฉันยอมร่วมมือกับคนโง่ที่เชื่อฟังคำสั่งจากเพื่อนยังดีกว่าต้องมาทนกับไอ้พวกเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมเคารพเพื่อนร่วมทีมอย่างแก! ดังนั้นฉันจึงต้องสั่งสอนแก ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกฉันบอกได้เลยว่าฉันจะฆ่าแกเพื่อจบปัญหาทุกอย่างซะ”


“ชินยี่ พวกมันเป็นแค่พวกกลายพันธุ์ ภารกิจของเราคือกำจัดพวกมันไม่ใช่เหรอ? แล้วมันผิดตรงไหน?” เธอบอก


“ผิดตรงไหนเหรอ? ก็มันโจมตีตัวละครหลักแล้วพวกฉันก็โดนมันสวนกลับไง พวกแกรู้ไหมว่ามีทหารของฉันต้องตายไปกี่ศพจากพายุเมื่อกี้? ฟรอส!”


ฟรอสเดินออกมา


“รายงานความเสียหาย!”


“ทหารทั้งหมดที่เรามีในการปฏิบัตภารกิจนี้ มีด้วยกัน 100 นาย 34 นายไม่อยู่ที่นี่ 52 นายถูกสังหาร และ 23 นายถูกฆ่าด้วยพายุเมื่อกี้”


ชินยี่มองที่เรน่าอย่างโมโห “เธอได้ยินชัดไหม? เพราะความงี่เง่าของเธอทำให้ฉันต้องเสียทหารไป 23 นาย เพราะการกระทำที่ไม่ยั้งคิดของเธอ!”


“ฉะ…ฉันไม่รุ้ว่ามันจะเป็นแบบนี้” เรน่าร้องออกมา


“แหงสิวะ ฉันก็ไม่รู้หรอก มีหลายสิ่งในโลกนี้อีกมากที่ฉันยังไม่รู้ แต่เธอควรจะรู้ไว้อย่างหนึ่งว่าเมื่อเธอตัดสินใจใดๆก็ตามไม่ว่ามันจะดีหรือเลวร้าย แต่เธอก็จะต้องยอมรับในผลที่มันจะตามมาจากการตัดสินใจของเธอไม่ใช่คนอื่น! และตอนนี้ฉันต้องมารับกรรมจากความโง่เง่าของเธอ! แม่งเอ้ย! ถ้าฉันอยากจะโจมตีพวกตัวละครหลักล่ะก็ป่านนี้คงทำไปนานแล้วไม่ต้องใช้งานพวกไร้ค่าอย่างเธอหรอก!”


ชินยี่ตวาดเรน่าหนักมากจนนักผจญภัยคนอื่นๆไม่กล้าโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น


เรน่าได้แต่ขอโทษ “ฉัน…ฉันสามารถชดเชยความสูญเสียของนายได้นะ!”


ชินยี่จ้องไปที่เธอทันทีก่อนจะพูด “ชีวิตมันไม่ใช่สิ่งที่จะซื้อกลับมาได้ด้วยเงินนะ วันนี้ทหารที่ฉันเรียกมาตั้งมาตายเพราะเธอ และพรุ่งนี้ล่ะ? ปัญหานี้มันไม่สามารถถูกแก้ได้ด้วยเงินหรอกคุณนายเรน่า ถ้าเธอจะร่วมมือกับฉันเธอต้องทำความเข้าใจอย่างนึงว่า เธอจะต้องทำตามคำสั่งของฉันและห้ามฝ่าฝืนเข้าใจไหม? ถ้าทำไม่ได้ล่ะก็…ไสหัวไปซะ”


————————————


IA:เล่มที่ 3 บทที่ 27 หน้ากากแห่งการหลอกลวงและกำไลแห่งคู่รัก (ตอนที่ 1)


 


บางครั้งการทำให้ทุกคนเป็นที่ย่ำเกรงไม่ใช่เพราะว่าคุณถูกต้อง แต่เป็นเพราะบางคนนั้นหลงผิด


คำว่า “พวกพ้อง” เป็นภาษาสากลสำหรับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มบุคคล ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พวกพ้องก็คือสายสัมพันธ์ที่ทรงพลังแต่ไม่ควรค่าแก่การยึดถือ


ในความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันคำว่า “ความไม่เชื่อใจ” “วางแผนลับหลัง” “ทรยศ” ทุกๆอย่างค่อยๆถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ


และเมื่อใดก็ตามที่มีใครทำอะไรผิดพลาด ก็ย่อมที่จะมีคนฉวยโอกาสนี้เพื่อซ้ำเติมคนที่กระทำผิดให้จมดิน


ชินยี่ก็เป็นคนแบบนั้นแหละ


เรน่าถูกบังคับให้มอบหีบทุกหีบที่เธอดรอปได้จากพวกกลายพันธุ์ ตั้งแต่ตอนนี้จนจบภารกิจ พวกเธอจะไม่ได้รับอะไรอื่นทั้งสิ้นนอกจากแต้มสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเธอจะทำอะไรต้องได้รับการอนุมัติจากชินยี่เสียก่อน


ทีมอื่นไม่มีใครกล้าออกความเห็นทั้งนั้น


แม้ว่าการเป็นพันธมิตรกันก็ต้องมีจุดยืนที่ไม่อาจล้ำเส้นกัน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้มันถือว่าจำเป็นต้องมีบ้าง


หลังจากเจรจากันใหม่ ชินยี่บอกให้ทุกคนเก็บกวาดสถานที่นี้และรีบหนีออกไปจากที่นี่ เจ้าอ้วนเดินเข้ามาถามชินยี่ “เด็กคนนั้นร้องไห้และอยากจะออกไปจากที่นี่แล้ว เราปล่อยเขาไปได้ไหม?”


ชินยี่คิดก่อนตอบกลับ “ไม่ เก็บเขาไว้ก่อน”


ณ ตอนนี้ พายุที่สตรอมเรียกไว้ข้างนอกก็ได้หยุดลงไปนานแล้ว น้ำแข็งก็เริ่มละลายเหลือแต่เพียงพื้นที่โชกเลือด


ในการต่อสู้วันนี้นักผจญภัยทั้งหมดสิบสองคนได้ฆ่าพวกกลายพันธุ์ไปหลายร้อยตัวทำให้ขึ้นแท่นสู่อันดับหนึ่งได้ไม่ยาก โดยมีอันดับดังนี้


ชินยี่ 112 แต้ม ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่ง 50 แต้มของเขามาจากเจเคน แฮก ที่ถูกเขาฆ่าไปส่วนที่เหลือก็มาจากทหารของเขา


ฮงหลาน จินกวง และเหวินโหรว มีอันดับที่ไล่กันมาสอง,สาม และสี่ โดยมีแต้มสังหารอยู่ที่ประมาณ 70 – 80 แต่เดิมนักผจญภัยจากทางเหนือขึ้นแท่นเป็นที่หนึ่งซึ่งในตอนนี้ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ห้าทันที ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีแต้มเหลืออยู่ 40 แต้มและความเร็วในการล่าเหยื่อของเขาก็รวดเร็วมาก เจ้าอ้วนไม่ติดท็อป 10 แต่ก็ยังไม่เกิน 20 พวกฝั่งตะวันออกทำคะแนนขึ้นนำได้สูงมาก


เรน่ากับอันเหวินและคนอื่นได้แต้มสังหารไป 20 – 30 จากการต่อสู้ กลุ่มของอันเหวินขยับตนเองออกมาจากรายชื่อคนที่ต้องถูกกำจัดได้ และสี่คนจากกลุ่มนั้นก็ขึ้นไปติดท็อป10อันดับได้แล้ว และอันดับสุดท้ายก็คือพวกตะวันตกที่มีคะแนนนำพวกทางใต้อยู่เพียง 3 แต้มเท่านั้น


ยิ่งไปกว่านั้นฝั่งตะวันออกตอนนี้มีคนเหลืออีก 24 คน และเสียชีวิตไป 1 คน ฝั่งเหนือมี 23 คนและเสียไป 2 ฝั่งทางใต้มี 21 คนและเสียไปทั้งหมด 4 ฝั่งตะวันตกมีทั้งหมด 20 คนและตายไป 5


นี่คือเหตุผลว่าทำไมฝั่งตะวันตกถึงได้รั้งท้ายทุกฝ่าย ในวันแรก 5 นักผจญภัยฝั่งตะวันตกตายไปซึ่งทำให้กำลังของพวกเขาลดลงอย่างแรง บวกกับการที่เรน่ามีข้อมูลของพวกกลายพันธุ์แต่ก็ยังรั้งท้ายพวกชินยี่อยู่หนึ่งก้าว แต่ถึงกระนั้นพวกตะวันตกก็ยังได้เปรียบคนอื่นๆอยู่ในด้านความคุ้นชินกับภูมิประเทศ ถึงแม้ว่าจะไม่มีกำลังการต่อสู้ที่เยอะเท่าฝ่ายอื่น แต่ก็ไม่น่าจะยากเกินความสามารถพวกเขา


ชินยี่นับว่าครั้งนี้เป็นการเอาคืน


นี่คือเหตุผลว่าทำไมเรน่าถึงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก พวกเธอเลือกที่จะมาช่วยเขาแต่สุดท้ายก็ต้องมานั่งฟังชินยี่บ่นและเสียทุกอย่างที่ได้มายกเว้นแค่แต้มสังหาร ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นความผิดของเธอเต็มๆเพราะชินยี่ไม่ได้ร้องขอให้พวกเธอมาเสียหน่อย พวกเธอมาที่นี่ด้วยตัวเองและต้องรับผลกรรมที่ก่อขึ้น


และเมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายทั้งหมดก็แนะนำตัวเองกัน


อันเหวินและเพื่อนของเธอสองคน หลีชู และ หยางปิง ที่เป็นพวกหน้าใหม่จากภารกิจเริ่มต้นพร้อมกับอันเหวิน พวกเธอมาที่โลกนี้พร้อมๆกัน ถึงแม้ว่าความสามารถจะต่ำกว่าเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้นหลีชูและหยางปิงก็เข้ากันได้ดี


สำหรับเว่ยหน่าพวกเขาเคยสู้กันมาก่อนทำให้พวกเขาเข้าใจซึ่งกันและกันดี กลุ่มของชินยี่ได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งก่อนมาก และผู้ที่ชนะก็ไม่ได้ถูกติฉันท์นินทาแต่อย่างใด พวกเขากลับได้รับการยกย่องแทน


พวกเขาเริ่มคุยพัฒนาความสัมพันธ์กันจนสนิทกัน


ระหว่างที่คุยกันเหวินโหรวแอบถามชินยี่ “ไม่เป็นไรแน่นะ? ถ้าไม่ยอมอ่อนข้อให้พวกนั้นหน่อย พวกเขาจะพาลเกลียดเราเข้าไส้เอาได้นะ”


เธอหมายถึงที่เขาที่จะรีบรางวัลทุกอย่างจากเรน่า


“อย่าคิดว่าการที่เธอทำดีกับคนอื่นแล้วพวกเขาจะดีกลับนะ ความคิดแบบนั้นในที่นี่ลงถงขยะไปได้เลย จริงอยู่ที่ว่าเพื่อนร่วมงานที่ต้องแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันนั้นอาจจะต้องมีการรักษามารยาทกันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนเสมอไป พวกยุโรปกับอเมริกาไม่ใช่พวกที่มีจุดมุ่งหมายร่วมกันกับเรา พวกเขากับเราไม่ควรที่จะเป็นพันธมิตรกันถาวรไม่ว่าจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ตาม หลังจากนี้พวกนั้นก็จะทิ้งเรา ซึ่งนั่นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพวกมันหรอก และเมื่อพวกเราเจอกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง เราจะเป็นศัตรูกันและไม่ควรอย่างยิ่งที่จะผูกมิตรกับมัน สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับพวกเขาก็คือถ้าหากเราทำดีกับเขา พวกมันก็อาจจะขอบคุณหรือไม่ก็ได้และถ้าพวกเราใช้ความรุนแรง พวกเขาก็จะทำตามที่เราสั่งอย่างไม่ลังเลด้วยความกลัว ที่ตอนนี้พวกนั้นยังเชื่อฟังฉันอยู่ก็เพราะว่าพวกนั้นรู้สึกว่าอยู่กับฉันแล้วปลอดภัย ตราบใดที่เรายังทำแบบนี้อยู่พวกนั้นก็จะยอมทำตามอย่างไม่ขัดขืน แต่ถ้าเรายังคงระดับแบบนี้ต่อไปไม่ได้ต่อให้เราให้ของพวกมันเยอะขึ้นซักวันหนึ่งพวกมันก็ต้องทรยศเราอยู่ดี อย่าได้เชื่อใจพวกมันเป็นอันขาด”


ชินยี่พูดถึงเรื่องด้วยความเหนื่อยหน่าย “วิธีที่จะต้องใช้จัดการกับคนพวกนี้ ก็มีแต่ต้องให้มันเชื่องอย่างกับสัตว์เลี้ยงเท่านั้นแหละ ให้อาหารพวกมันแต่อย่าให้มันกินจนอิ่ม”


เหวินโหรวงุนงง “ในหัวของนายคิดแต่เรื่องใช้งานคนอื่นรึไงเนี่ย?”


“เรื่องแบบนี้เองก็มีให้เห็นมากมายบนโลกนี้นี่ ยกตัวอย่างเช่นอเมริกากับเกาหลีใต้ไง ใช่ไหมล่ะ?” ชินยี่หัวเราะ “แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้งานคนให้ถูกวิธีล่ะก็… งานถนัดของพวกเราชาวจีนเลยล่ะ”


เหวินโหรวหลุดขำออกมา “ถ้างั้นแล้วสามคนนั้นที่อยู่เขตตะวันออกล่ะ?”


“ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน สนับสนุนพวกมันในช่วงที่มันต้องการก็พอ ทำตัวตามปกติ”


“แบ่งแยกกันเหรอ?”


“แบ่งแยกสิ”


“รับทราบ” เหวินโหรวกระโดดไปขึ้นรถ “เอารถไปคืนเจ้าของด้วย นายทำมันเกือบพังแล้วนะรู้ตัวไหม”


ชินยี่มองไปที่เจ้าของรถซึ่งกำลังน้ำตาตกใน และเขาก็ได้แต่คำ


______


รถสามคันวิ่งออกจากความวุ่นวายบนถนน198


ยี่สิบนาทีต่อมา พวกเขาก็ไปจอดที่โรงแรมแห่งหนึ่ง


เป็นชั่วโมงที่ 28 แล้วนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาโลกนี้


ทุกคนพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เรน่าและเปาโลออกไปหาข่าวคราวบริเวณนี้ เฟลเล่อกับพวกตะวันออกขับรถไปที่ปั้มน้ำมัน เลคเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถและปลดระบบนำทาง GPS เพราะไม่รู้ว่าตำรวจนิวยอร์คจะมาเยือนพวกเขาเมื่อไหร่


ชินยี่เองต้องยอมรับว่าการร่วมมือกับพวกอเมริกานั้นสร้างความสะดวกสบายกับเขามาก แต่ก็ต้องใช้งานพวกเขาดีๆเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา


เจ้าอ้วนรับผิดชอบในการดูแลเด็กน้อยกับจิมมี่ เนื่องจากว่าเหลือกันแค่เพียงสี่คน พวกเขาก็เลยไปเช็คสภาพร่างกายกันในห้อง


พวกกลายพันธ์ดรอปหีบมาทั้งหมด 8 กล่อง กล่องแรกจากระดับ 4 เจเคน แฮก อีกหนึ่งมาจากระดับ 3 อีกสองมาจากพวกระดับ 2 และที่เหลือก็มาจากพวกระดับ 1


กล่องจากพวกระดับ 1 นั้นมีระเบิดที่มีค่าประมาณ 300BP ทั้งๆที่ราคาเต็มๆของมันประมาณ 1200BP ซึ่งราคาประมาณนั้นสามารถนำไปซื้อค่าสเตตัสได้แค่แต้มเดียวเท่านั้น


สำหรับกล่องระดับ 2 กล่องแรกมียาฟื้นฟูระดับต่ำที่ฟื้นได้แค่ 100 หน่วยเท่านั้น มีค่าแค่ 200BP อีกกล่องเป็นอาหารฟื้นฟู น่าแปลกใจอย่างนึงที่มันมีก้อนพลังจิตอยู่ในกล่องที่น่าจะเพิ่มแต้มพลังจิตได้ 20 แต้ม


จินกวงหัวเราะแล้วคว้าเจ้าก้อนนั้นแล้วพูด “นี่ของฉัน”


————————————–


IA:เล่มที่ 3 บทที่ 27 หน้ากากแห่งการหลอกลวงและกำไลแห่งคู่รัก (ตอนที่ 2)


 


ชินยี่ขำบ้าง “อย่าเพิ่งรีบร้อน นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเองอาจจะมีของที่ดีกว่านี้ก็ได้นะ”


เขาเปิดกล่องระดับสามและก็พบกับหน้ากากยิ้มแสนประหลาด


“Mask of Deceiver หลังจากที่สวมใส่หน้ากากนี้ จะทำให้ถูกเล็งเป้าจากมอนสเตอร์น้อยลงในโลกภารกิจ ความสามารถนี้ไม่มีผลต่อนักผจญภัยคนอื่น และถ้าเกิดว่าระหว่างที่ใส่หน้ากากแล้วไปโจมตีมอนสเตอร์ มอนสเตอร์ทุกตัวในโลกนั้นจะเข้าโจมตีผู้สวมใส่


หลังจากที่ใส่ไปแล้วหน้ากากต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงถึงจะปลดออกได้ และมีผลต่อความยากระดับ 1 สามารถอัพเกรดได้”


“โอ้ น่าสนใจดีนี่นา” เหวินโหรวพูดออกมา


“ไม่มีของแบบนี้ขายในร้านแน่ๆ” จินกวงมั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่น


“ของแบบนี้คงใช้ประโยชน์มากไม่ได้” ฮงหลานยิ้ม “มันแค่ลดความสนใจลงไม่ได้ลบให้หายไป พูดให้ถูกก็คือถ้าฉันใส่หน้ากากนี้ก็ไม่สามารถโจมตีได้อีก ได้แต่มองเพื่อนโดนโจมตีไปวันๆ แล้วถ้าฉันโจมตีคนอื่นทุกๆคนก็จะรุมกระทืบฉันอย่างบ้าคลั่งถ้าไม่มีเพื่อนอยู่ข้างๆอ่ะนะ แม่งโคตรไร้ประโยชน์”


“นายจะหวังอะไรกับกล่องระดับ 3 ล่ะ?” ชินยี่ขำ “บอกเหล่าเฮาไปว่านี่เป็นของเขา”


“ใช่เลย นี่เหมาะกับเขามาก” อีกหลายๆคนพากันหัวเราะ


เจ้าอ้วนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับของรางวัลกับเขาด้วย


ถ้าว่ากันตามข้อตกลง ชินยี่เองก็มีสิทธิที่จะไม่ให้ของกับเขาอยู่แล้ว


ชินยี่ตบบ่าเขาและหัวเราะ “รอบนี้นายทำได้ดีมาก นี่ไม่ได้ยอนะพูดจริงๆ นายควรจะได้รับรางวัลบ้างหน้ากากนี่จะทำให้นายลดโอกาสที่จะถูกโจมตีได้เพราะฉะนั้นนายน่าจะชอบ แต่ฉันต้องการให้นายเข้าใจอย่างนึง หน้ากากนี่ฉันเอาไว้ให้นายไว้เล่นๆไม่ได้ให้เพื่อทำให้นายตื่นเต้นอะไรจริงจัง ในการต่อสู้จริงๆอย่าคิดจะใช้มันเชี่ยว ไม่งั้นนายจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาด”


เจ้าอ้วนมองไปที่หน้ากากและพยักหน้า “ฉันรู้และสาบานเลยว่าจะไม่ใช้มันเพื่อหนีจากการต่อสู้”


จากนั้นเขาก็ใส่มัน


และกล่องสุดท้ายก็คือหีบของเจเคน แฮก


ทันทีที่เปิดจินกวงก็ขำออกมาดังๆ


มันคือก้อนพลังจิตอีกชิ้นนึง


ก้อนพลังจิตระดับ 4 เพิ่มค่าพลังจิต 40 แต้ม ซึ่งรวมกับค่าเก่าอยู่แล้วและบวกกับก้อนพลังจิตก่อนหน้านี้เข้าไปอีกจะทำให้เขามีทั้งหมดรวมกันได้ 170 แต้ม ยิ่งไปกว่านั้นอัตราการฟื้นฟูเองก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย


นอกจากก้อนพลังจิตแล้วก็ยังมีอย่างอื่นอยู่ในหีบ


มันคือกำไลมรกต


“Bracelet of Lover เพิ่มค่าเล็งเป้าของทุกสกิลที่ผู้สวมใส่มี 10 แต้ม เพิ่มโอกาสที่จะทำให้เกิดค่าพิเศษ 10% ลดคูลดาวน์ของสกิลลง 20% เพิ่มดาเมจของอาวุธ 5 แต้ม”


สกิลไอเทม Emerald Wound เมื่อนักผจญภัยติดสถานะ Curse จะทำให้ลดโอกาสการเกิดค่าพิเศษลง 5% และลดความเสียหายสกิลลง 20% เป็นระยะเวลา 1 – 3 นาที ไม่ส่งผลต่อการโจมตีปกติ เมื่อใช้กับศัตรูที่ไม่ใช่บอสจะทำให้เกิดความเสียหายกับผู้สวมใส่ 50% จากเลือดสูงสุด เป็นความเสียหายที่ถึงตาย เมื่อใช้กับศัตรูประเภทบอสจะเกิดดาเมจเพียง 10% จากเลือดสูงสุด และทำให้ติดพิษที่มีความเสียหาย 3 – 9 หน่วย เป็นเวลา 20 – 30 วินาที ความเสียหายไม่ถึงตาย ถ้าใช้กับมอนสเตอร์ที่ถูกอัญเชิญมาจะทำให้ติดสถานะ Madness ทำให้เจ้าของไม่สามารถควบคุมมันได้เป็นเวลา 3 – 5 นาที ค่าร่าย 0MP ค่าเล็งเป้า 25


Bracelet of Lover ความสามารถพิเศษ Mark of Love


ผู้สวมใส่สามารถเลือกคู่รักได้ 3 คน แต่ละคนจะเพิ่มค่าเล็งเป้าของทุกสกิล 5 แต้ม โอกาสที่จะเกิดค่าพิเศษ 5% ลดคูลดาวน์สกิล 10% เพิ่มดาเมจอาวุธ 3 แต้ม


ผู้ที่สวมใส่จะติดคำสาป Vitality ลด 2 MP ลดไป 3 Will ลดไป 5 เพิ่มค่าความเสียหายต่อเนื่อง 20% เมื่อคู่รักถูกโจมตี ความเสียหาย 30% ที่ได้รับจะถูกส่งไปให้กับผู้สวมใส่ และความเสียหายที่ส่งมาจะไม่ได้รับค่าเพิ่มเติม ถ้าเกิดคู่รักตายผู้สวมใส่จะสูญเสียค่า Vit ครึ่งนึง


หลังจากที่เลือกคู่รักแล้วสกิลของกำไลมรกตจะสามารถใช้งานได้ เลือกคู่รักหนึ่งคนสกิล Emerald Wound มีคูลดาวน์ 1 ชั่วโมง เลือก 2 คน จะมีคูลดาวน์ 40 นาที ถ้าหากเป้น 3 คนจะมีคูลดาวน์ที่ 20 นาที


จนกว่าเป้าหมายจะตาย Mark of Love จะไม่สามารถถูกยกเลิกได้


รายละเอียดเพิ่มเติม กำไลนี้เป้นของขวัญที่เจเคนมอบให้กับคนรักของเขาเพราะเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เจเคนโดนเธอหักหลังและเขาฆ่าเธอด้วยตัวเอง กำไลต้องสาปนี้จึงเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้สวมใส่


เพศที่ต้องการ เพศหญิง


หลังจากใส่จะไม่สามารถถอดออกได้


หลังจากเห็นคำอธิบายแบบนั้น ชินยี่ยอมรับเลยว่าเป็นอุปกรณ์ที่น่ารำคาญสุดๆ


แต่ถ้ามองที่ผลประโยชน์


การเพิ่มค่าเล็งเป้า 10 แต้มนี่ถือว่ามีค่ามากๆ นึกไปถึงบาดแผลของเหวินโหรวที่เกิดจากค่าเหล่านี้มีน้อยเกินไปทำให้เขาเข้าใจดีถึงความสำคัญของมัน ผ้าพันแผลเกรดต่ำที่พวกทางเหนือใช้กันมีค่าเล็งเป้าที่ 23 พูดให้ถูกก็คือถ้าสถานะเลือดออกมีค่าเล็งเป้ามากกว่า 23 ผ้าพันแผลนั่นก็ไร้ความหมาย ยิ่งเป็นของอย่าง Vampire Touch ที่มีค่าเล็งเป้า 30 ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องใช้ไอเทมที่มาค่าเล็งเป้าเกิน 30 ถึงจะขัดมันได้


ดังนั้นในเมืองโลหิต อุปกรณ์ที่เพิ่มค่าเล็งเป้านั้นมีค่ามากๆในหมู่นักผจญภัย


ยิ่งไปกว่านั้นการเพิ่มค่าพิเศษ 10% และลดคูลดาวน์นั้นมีค่ากับทุกคนมาก บวกกับดาเมจ 5 แต้มและสกิลที่ดีอย่าง BlueWound กำไลนี้ถือว่าเป็นของดีเลยทีเดียว แม้ว่าจะเป็นระดับความยากระดับ 3 ขึ้นไปก็ยังคุ้มค่าที่จะใช้ ถ้าไม่มีไอ้คำสาปนี่


ในตอนนี้ทุกคนมองไปที่เหวินโหรวด้วยรอยยิ้มประหลาด


อุปกรณ์นี้ถูกจำกัดเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น แต่เหวินโหรวเองก็มีค่าสเตตัสที่ต่ำอยู่แล้วถ้าเธอใส่กำไลนี่ไปล่ะก็เธอก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาเลย


ชินยี่ไอออกมา “ของชิ้นนี้มันก็ดีแต่ผลข้างเคียงมันก็น่ากลัวไปหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือถ้าใส่แล้วจะถอดไม่ได้ ซึ่งจะเป็นปัญหามากถ้าจะใส่อุปกรณ์อื่นลงไป ถ้าเธอใส่มันพวกเราจะได้ประโยชน์แต่เธอจะต้องแบกรับคำสาปนี้คนเดียว แถมยังต้องรับความเสียหายจากพวกเราอีกด้วย ถ้าเป็นฉันล่ะก็ไม่แนะนำให้ใช้หรอก”


เหวินโหรวหยิบกำไลนั่นขึ้นมามองมันและพูดขึ้นเบาๆ “เป็นกำไลที่สวยจังนะ เจ้าของก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็นคนที่สวยมากแน่ๆเลย”


และใส่มันเข้าไป


หน้าจอสถานะเด้งขึ้นมาทันที “คุณได้รับคำสาปจาก Bracelet of Lover คุณจะไม่สามารถถอดกำไลนี้ออกได้”


ชินยี่ขมวดคิ้ว “ไม่คิดให้ดีๆก่อนหน่อยเหรอ?”


“ไม่จำเป็นหรอก” เหวินโหรวยิ้ม “ฉันต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”


ทุกคนตะลึง


ไม่มีใครคาดคิดว่าเหวินโหรวจะตัดสินใจได้กล้าแกร่งแบบนี้


เพราะจริงๆแล้วในบรรดาทั้งสี่คน เหวินโหรวคือคนที่อ่อนแอที่สุด ถึงเธอจะเป็นคนที่เข้ามาใหม่แต่เธอก็ไม่อยากจะเป็นตัวถ่วง


ถึง Bracelet of Lover จะเป็นของที่อันตรายแต่มันก็ให้ประโยชน์กับเพื่อนร่วมทีมได้ดี เหวินโหรวเองก็ชอบโจมตีระยะกลางโดยใช้แส้ที่มีดาเมจน้อยที่สุดในบรรดาอาวุธระดับเดียวกัน ถึงจะเพิ่มมา 5 แต้มก็ไม่ได้มากเท่าชิ้นอื่นอยู่ดี แต่สำหรับเหวินโหรวนั้นเธออยากได้โอกาส 5% ที่จะเกิดค่าพิเศษมากกว่า มันทำให้รวมกันเป็น 15% ตามปกติแล้วต้องโจมตีด้วยแส้สองถึงสามครั้งถึงจะทำให้เกิดผลนั้น ซึ่งนั่นถือว่าเพิ่มความสามารถของเธอได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น Bluewound เองก็เป็นสกิลที่ทรงพลังอยู่แล้วดังนั้นค่าพลังโจมตีของเธอแทบจะเพิ่มขึ้นสองเท่า


ในมุมมองของเหวินโหรวมันอาจจะมีค่ามาก


ชินยี่มองไปที่เหวินโหรว “หลังจากภารกิจนี้เราจะหาอุปกรณ์ที่เพิ่ม Vit กับ Str ให้เธอเอง ฉันจะไม่ให้เธอต้องเป็นอันตรายไปมากกว่านี้”


“นั่นจะไม่เป็นการลำเอียงไปหน่อยเหรอ? เดี๋ยวทุกคนจะบ่นเอาน้า~” เหวินโหรวยิ้มทำให้หัวใจของชินยี่เต้นระรัว


ฮงหลานไอขัดจังหวะ “อ่ะแฮ่ม! ถ้าเธอจะเลือกฉันเป็นคู่รักล่ะก็ไม่มีปัญหานะ ฉันไม่ถือ”


ผัวะ!


แล้วที่เขี่ยบุหรี่ก็ถูกร่อนใส่หน้าฮงหลาน


———————————————-



IA:เล่ม 3 บทที่ 28 พลังจิตที่สอง (ตอนที่ 1)


 


หลังจากเปิดหีบหมดแล้ว ชินยี่ก็เปิดหีบที่ได้จากนักผจญภัยทางใต้ทั้งสามคน


ฮงหลานได้แต่ภาวนาว่าจะได้มีอุปกรณ์ที่เขาสามารถสวมใส่ได้กับเขาบ้าง “ได้โปรดๆ มีอุปกรณ์สายบ้าพลังหน่อยเถอะ ได้โปรดเถอะพระเจ้า อาเมน”


ชินยี่เห็นแบบนั้นก็แอบขำในใจ เขาเก็บหีบที่ได้จากนักผจญภัยสาย Str ไว้เปิดทีหลังและเปิดหีบที่ได้จากชาวอินเดียคนนั้นก่อน


ในโหมดภารกิจนี้นักผจญภัยสามารถฆ่ากันเองได้และจะสุ่มดรอปไอเทมในตัวพวกเขา 1 ชิ้น ดังนั้นชินยี่จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากเท่าไหร่


แต่ทว่า เมื่อชินยี่เปิดกล่องเขาก็เห็นไฟประหลาด


“Seed of Fire แรงค์ D เป็นไอเทมใช้งาน จะทำการเสริมธาตุไฟให้กับอาวุธหรืออุปกรณ์


เมื่อเลือกติดให้กับอาวุธกระยะประชิด การโจมตีปกติจะทำความเสียหายไฟ 5 – 20 % จากความเสียหายปกติ การเสริมพลังนี้จะหายไปเมื่อทำการโจมตีครบ 70 ครั้ง


เมื่อเลือกติดให้กับอุปกรณ์ป้องกัน จะได้รับ Flame Aura สะท้อนความเสียหาย 6 หลังจากที่โดนโจมตี และได้รับการป้องกันสถานะไฟ ค่าเล็งเป้า 22 การเสริมพลังนี้จะถูกยกเลิกเมื่อถูกโจมตีครบ 60 ครั้ง


เมื่อเลือกติดให้กับธนู การโจมตีปกติจะมีโอกาส 10% ที่จะเกิดสกิล Burst Flame ทำความเสียหาย 30 หน่วยในระยะ 3 x 3 เมตร การเสริมพลังนี้จะถูกยกเลิกเมื่อทำการโจมตีครบ 50 ครั้ง


เมื่อเลือกติดให้กับปืน จะได้รับอบิลิตี้ที่ทำให้ยิงกระสุนธาตุไฟได้ การเสริมพลังนี้จะถูกยกเลิกเมื่อทำการโจมตีครบ 100 ครั้ง


เมื่อเลือกติดให้กับกระสุนธรรมดา จะกลายเป็นกระสุนไฟ เปลี่ยนความเสียปกติให้เป็นธาตุไฟ สามารถติดได้สูงสุดที่ 100 นัด


ไอเทมนี้สามารถใส่ได้กับอุปกรณ์ระดับ D ลงไปเท่านั้น และเมื่อออกจากโลกภารกิจแล้วสถานะพิเศษที่เหลืออยุ่จะหมดไปทันที


“หา?” ทุกคนตกใจ


ชาวอินเดียคนนั้นดูเป็นคนที่ชื่นชอบในการใช้ไฟ ดังนั้นของที่ดรอปจากเขาจึงเป็นสิ่งที่เดี่ยวกับไฟ ก็เป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาได้


ชินยี่หัวเราะ “นี่คงจะเป็นของสำหรับฉันแล้วล่ะ”


“ก็ไม่เถียงหรอกนะว่านายเหมาะกับมันที่สุด เพราะมันก็บอกเองนี่ว่าอาวุธแรงค์ D ถึงจะใส่มันได้”


ชินยี่หยิบปืนของเขาขึ้นมาเตรียมไว้และแผงหน้าจอแจ้งเตือนก็เด้งขึ้นมา


มันเขียนบอกไว้ว่า “เมื่อใช้กระสุนธาตุไฟจะแสดงผลเป็นสองเท่า”


ฮงหลานเงียบกริบในทันที


เขาก็ไม่ใช่คนละโมภเท่าไหร่ แต่การที่ต้องมานั่งเห็นคนอื่นได้อุปกรณ์ของตัวเองเกือบทุกคนเนี่ยมันก็น่าเจ็บใจไม่น้อยเลย เขาได้แต่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยราวกับว่าพระเจ้ากำลังเล่นตลกกับเขา เขามองไปที่ชินยี่และเห็นหมอนั่นกำลังยิ้ม


ชินยี่ใส่ของชิ้นนั้นลงไปใน Infinite Bullet Magazine และหน้าจอก็เด้งขึ้นมาอีก


“หลังจากใช้ Seed of Fire กระสุนจะถูกอัพเกรดเป็นระดับ D


กระสุนไฟ (แรงค์ D) ความเสียหาย 12 สร้างความเสียหายไฟ 5 ต่อวินาทีในระยะเวลา 5 วินาที สามารถทับซ้อนได้ 3 ครั้ง ถ้าใช้กับปืนที่มีสถานะไฟ ความเสียหายไฟจะเพิ่มอีก 10 หน่วย และเพิ่มระยะเวลาอีก 3 วินาที ค่าเล็งเป้า +5 ยืนยัน?”


แน่นอนว่าของชิ้นนี้โคตรเหมาะกับชินยี่เลย


ความเสียหาย 10 ต่อวินาทีเป็นความเสียหายไฟ ถ้าซ้อนกัน 3 ครั้ง ก็จะเป็น 30 ต่อวินาที ซึ่งนั่นแรงกว่า Spirit Flame Gun ที่เขามีเสียอีก บอกได้เลยว่าเขาสามารถยิงไปไม่กี่นัดแล้วก็รอให้อีกฝ่ายถูกเผาจนตายก็ยังได้


เพราะว่าความเสียหายธาตุนั้นไม่ถูกลดด้วยค่าพลังป้องกัน มันจะถูกลดด้วยค่าป้องกันทางธาตุเท่านั้น ดังนั้นต่อให้เขาใช้มันกับนักผจญภัยคนอื่นๆมันก็ยังมีผลที่น่ากลัวอยู่


แต่ข้อจำกัดก็คือเขาสามารถใช้ได้แค่เพียง 100 นัดเท่านั้น หมดแล้วหมดเลยไม่มีเพิ่มเติม


ดังนั้นชินยี่จึงเลือกคำตอบไปว่า ไม่ยืนยัน


เหล็กๆจะดีต้องตีตอนที่ยังร้อน ซึ่งนี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาของมัน


จากนั้นเขาก็เปิดหีบจากนักผจญภัยเวียดนาม


“Poison Dart (20 นัด) อาวุธขว้างทำความเสียหายจากค่า Strength ของผู้ใช้ +10 และทำให้ติดพิษ 3 หน่วยต่อวินาที เป็นเวลา 8 วินาที ทำให้เป้าหมายช้าลง 20% ในช่วงระยะเวลานั้น ค่าเล็งเป้า 20 มีโอกาส 2% ที่จะทำให้เป้าหมายติดสถานะเหน็บชาและจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นเวลา 20 วินาที เมื่อสถานะเหน็บชาหมดไปเป้าหมายจะติดสถานะอ่อนแอลดค่าป้องกัน 1 เป็นเวลา 2 ชั่วโมง สกิลที่ต้องการ Basic-Level Throwing Forte ขายได้ 500BP”


ถือว่าดีใช้ได้สำหรับพิษจากลูกดอกนี่


แต่ว่าในจังหวะนี้ชินยี่ก็ถามขึ้น “มีใครเรียนสกิลที่ว่านี่ไหม?”


ทุกคนส่ายหัวพร้อมๆกัน


“บ้าจริง ได้ไอเทมที่ไม่มีใครใช้ได้ซะงั้น” ฮงหลานสบถในบรรดาทั้งสี่คนนี้ไม่มีใครที่มีความสามารถนั้นเลย


เอาจริงๆคือมันก็สามารถใช้ลูกดอกนี้ได้โดยที่ไม่ต้องมีสกิลที่นั่น แต่มันจะไม่มีเอฟเฟคพิเศษที่ว่าของมันเองซึ่งมั้นก็ไม่คุ้มอย่างแรง


ชินยี่ถอนหายใจ “ใครก็ได้ไปถามกลุ่มอันเหวินให้หน่อย ว่าใครมีสกิลสำหรับขว้างของบ้าง?”


ชินยี่เปิดหีบใบสุดท้าย มันไม่ใช่ไอเทมธรรมดาๆแต่มันคืออุปกรณ์สวมใส่


“Belt of the Guardian เมื่อสวมใส่ ค่าป้องกัน +12 ความเสียหายจากการโจมตีประชิดลดลง 10% สกิลไอเทม Last Stand เมื่อผู้สวมใส่ถูกโจมตีจนถึงแก่ชีวิตสกิลนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ ผู้สวมใส่จะเหลือรอดด้วยพลังชีวิต 1% ของทั้งหมด ค่าเล็งเป้า 45”


***อุปกรณ์นี่คือหนึ่งในเซตของ Guardian


ค่าสเตตัสที่ต้องการ Strength 20 Vitality 20


“หา?” เหวินโหรวงุนงง “นี่มันก็เป็นของดีอยู่นะ แถมยังเป็นเซตไอเทมอีกด้วย”


“น่าเสียดายที่เธอใส่ไม่ได้ล่ะนะ” ชินยี่ถอนหายใจ


อุปกรณ์เป็นเซตแบบนี้ถือส่าหายากในเมืองกระหายเลือด เพราะที่นั่นไม่มีขายของแบบนี้ ซึ่งมันจะหาได้จากโลกที่ต้องไปทำภารกิจเท่านั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการดรอปไอเทมเซตแบบนี้ ดังนั้นทุกคนจึงตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ


เข็มขัดนี้ถือได้ว่าเป็นของที่มีค่าที่สุดที่พวกเขาหาได้จากภารกิจนี้ ถ้าไม่นับที่ว่าค่าสเตตัสที่มันต่ำจนเกินไปแต่ว่าค่าเล็งเป้าของมันนั้นสูงมาก แต่ว่าน่าเสียดายที่เหวินโหรวนั้นมีค่าสเตตัสที่ไม่เหมาะสมกับมันซักเท่าไหร่


จินกวงบอก “หลังจากที่เรากลับไปได้แล้ว ก็ให้เธอเพิ่มค่า Str กับค่า Vit เพื่อให้เธอใส่มันได้ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ก็ให้ฮงหลานใช้ไปก่อน ดูทรงว่าถ้าเขาไม่ได้ของซักชิ้นเขาน่าจะเป็นบ้าไปแล้ว”


“โอเค นั่นหมายความว่าจะให้ฉันเป็นคนคอยสนับสนุนใช่ไหม?” ฮงหลานหัวเราะและหยิบเข็มขัดนั่นไป แต่เขาก็ไม่ได้ใสใจอะไรอยู่แล้วว่าเขาจะได้ส่วนแบ่งจากภารกิจนี้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเหวินโหรวเองก็ใส่ Bracelet of Lover อยู่หลังจากที่ใช้เลือกคู่รักแล้วจะมีความเสียหายจำนวนมหาศาลพุ่งไปที่เธอ ดังนั้นเมื่อใส่เข็มขัดนี้จะทำให้เธอปลอดภัยมากขึ้น


“นายไม่ขาดทุนแย่เหรอ? สามกล่องนี้นายเป็นคนหามาได้แต่เอามาให้พวกเราหมดแบบนี้” เหวินโหรวยิ้มให้ชินยี่


ชินยี่ตอบกลับอย่างขี้เกียจ “ฉันได้ Seed of Fire ไปแล้ว ส่วนลูกดอกนั่นถ้ามีใครใช้ได้ก็ขายให้พวกเขาเอาไปใช้ ส่วนเข็มขัดก็… เมื่อวานเธอบอกว่าฉันยังไมได้ให้ของขวัญเธอสินะ? งั้นเข็มขัดนี่แหละของขวัญ แค่ตอนนี้ให้ฮงหลานมันยืมใช้ไปก่อนชั่วคราว”


เหวินโหรวมองชินยี่ด้วยสายตาประหลาดปนความผิดหวัง


ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากให้ชินยี่มอบอุปกรณ์หรือไอเทมที่มันดีต่อใจเธอมากกว่าอุปกรณ์ที่เป็นของใช้จำเป็นแบบนี้


บางสิ่งในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้งานได้เสมอไป


————————————————————————–



IA:เล่ม 3 บทที่ 28 พลังจิตที่สอง (ตอนที่ 2)


 


หลังจากแจกจ่ายของเสร็จสิ้น ทุกคนก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากแยกย้ายกัน ชินยี่อธิบายว่าเขาได้ทำข้อตกลงกับเรน่าที่เซนทรัลปาร์ค และบอกกับจินกวง “จินกวง นายช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าพวกกลายพันธุ์มันล้อมพวกนายที่ถนน 198 ได้ยังไง?”


แล้วจินกวงก็เริ่มพูด


หลังจากที่พวกเขาไปถึงถนน 198 ด้วยความช่วยเหลือกองพลร่มที่2 พวกเขาก็ได้พบกับพวกกลายพันธุ์ที่กำลังหลบหนี


จินกวงตัดทางหนีไปยังโบสถ์อิซาเบลและในขณะที่กำลังจะเรียกชินยี่ เจ้าอ้วนก็บอกว่ามีอะไรซักอย่างที่ดูอันตรายมากกำลังเข้าใกล้พวกเขา


พวกเขาจึงรีบตัดสินใจถอยตามคำแนะนำของเจ้าอ้วน แต่จากนั้นพวกกลายพันธุ์ก็เข้ามาล้อมพวกเขาไว้


พวกมันโจมตีจินกวงกับทุกคนอย่างดุเดือดและพวกเขาเสียเปรียบเพราะพวกกลายพันธ์นั้นมีความหลากหลายทางความสามารถที่มากกว่าพวกเขา แต่โชคยังดีที่กองพลร่มที่2ยังสามารถต้านพวกกลายพันธุ์จากด้านข้างได้อยู่บ้างนั่นจึงทำให้พวกเขาสามารถยื้อได้จนชินยี่มาถึง


“ดูจากการโจมตีนี้ พวกกลายพันธุ์ก็คงจะเตรียมตัวมาอย่างดีเลย” จินกวงสรุปทั้งหมด


“นายหมายถึง พวกมันเล็งพวกเราไว้ตั้งแต่แรกงั้นเหรอ?” ชินยี่ถาม


จินกวงพยักหน้า “ฉันรู้สึกแบบนั้น หลังจากที่พวกเราใช้สกิลไปแล้วพวกมันก็ไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าพวกมันเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่ชัดกว่านั้นก็คือการที่มันโผล่มาล้อมพวกเราไว้แบบนี้แสดงว่ามันวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว”


“น่าแปลกนะ พวกมันรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเราได้ยังไง?”


“นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ฉันสนใจก็คือมีใครอยู่เบื้องหลังพวกมันรึเปล่า?”


ชินยี่ส่ายหัว “ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็น่าจะไม่มีใครรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเราได้นี่นา”


“ไม่น่าจะมีคนนอกที่รู้เรื่องพวกนี้ได้ เว้นเสียแต่ว่า…” จินกวงพูด


ชินยี่ตอบกลับ “จริงเหรอ? ไม่มีคนนอกจริงๆเหรอ? ถ้าไม่งั้นฉันกลัวว่าจะเป็น…”


ทุกคนต่างก็ตะลึง


เหวินโหรวร้องออกมา “อย่าบอกนะว่า…”


“ไอ้เด็กคนนั้นไง” ชินยี่ยิ้มอย่างน่ากลัว


——-


ชั่วโมงที่ 30


เมื่อเจอรรี่ ลาเชียส ถูกพาเข้ามาในห้อง ชินยี่และอันเหวินก็เริ่มเจรจากันเรื่องลูกดอกนี่


“1000BP? นี่นายบ้ารึไง?” อันเหวินจ้องชินยี่ พลางชี้ไปที่ลูกดอก “ไอ้นี่มันจริงๆราคาแค่ 500 BP เอง”


“แต่ว่าที่นี่มันไม่ใช่เมืองกระหายเลือดน่ะสิ ต่อให้เธอมีเงินมากแค่ไหนก็หาซื้อจากในเมืองไม่ได้หรอก นี่เธอรู้หลักการตลาดปะเนี่ย?” ชินยี่หัวเราะ


“เรื่องแบบนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่า!” อันเหวินตะโกน “หลักการที่ว่านายขายให้ฉันแพงๆแต่ฉันสามารถต่อราคาลงให้เหลือแค่ 200BP”


“งั้นฉันเอาไปขายให้ร้านดีกว่า”


“นายพูดเองนะว่าไม่มีร้านค้าแถวนี้” อันเหวินยิ้มอย่างผู้ชนะ


“ไม่เป็นไร ฉันไม่รีบ”


“ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้วด้วย หลังจบภารกิจนี้ฉันก็ไปหาของพวกนั้นได้อยู่แล้วทำไมฉันต้องซ้อด้วยราคาที่แพงระยำแบบนั้นด้วยล่ะ? อีกอย่างก็คือพวกเราไม่มีเงินเหลือแล้วด้วย”


“ถ้าเธอไม่มีเงินเหลือ งั้นมาทำข้อตกลงกัน ฉันจะให้พวกเธอใช้ลูกดอกนี่ไปก่อนภารกิจนี้ พวกเธอบอกว่าไม่สนใจใช่ไหม? แต่ฉันไม่เห็นด้วยว่ะ ดูจากฝีมือของพวกเธอแล้วต้องรีบเพิ่มกำลังของตัวเองอย่างรวดเร็วเลยแหละ แม้ลูกดอกนี่จะไม่เก่งมากแต่มันก็ยังพอถูไถได้แหละ”


“ขอบใจ แต่ไม่ล่ะฉันว่าพวกฉันเก่งขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพานาย”


“เธอต้องยืมมือฉันเพื่อเอาตัวรอดน่า เชื่อเถอะ” ชินยี่ขำ


อันเหวินเปลี่ยนสีหน้า “ชินยี่ นายเป็นคนที่เลวร้ายมากๆเลยนะรู้ตัวปะ? ถ้าพวกเราเก่งขึ้นแล้วนายก็จะได้หลอกใช้ประโยชน์จากเราง่ายขึ้นใช่ไหมล่ะ?”


“อย่าใช้คำว่า หลอกใช้ประโยชน์ สิ” ชินยี่ตอบกลับอันเหวิน “ฉันกำลังช่วยพวกเธออยู่นะ เฮ้ย จินกวงนายบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”


จินกวงลุกขึ้น “เรน่าบอกพวกเรามาว่าเธอเจอแหล่งกบดานของพวกกลายพันธุ์อีกแห่งแล้ว และมันดูใหญ่แบบไม่ธรรมดาเลย ดูทรงแล้วน่าจะเป็นฐานทัพหลักของพวกมันเลยล่ะ”


อันเหวินตกใจมาก เธอมองสลับจินกวงกับชินยี่


ชินยี่พูดอย่างจริงจัง “ทีนี้เธอเข้าใจแล้วรึยัง? ว่าพวกเรากำลังจะไปบุกฐานใหญ่ของพวกกลายพันธ์ ซึ่งจะมีพวกมันให้ฆ่ามากพอจนล้นเหลือแถมเราจะได้รางวัลมากขึ้นกว่าเดิมอีก ถ้าเธอคิดว่าเธอเก่งพอแล้วล่ะก็…” ชินยี่เก็บลูกดอกไป “งั้นฉันก็คงไม่ต้องขายนี่ให้เธอแล้วล่ะมั้ง”


“เดี๋ยวก่อน!” อันเหวินร้อง เธอมองไปที่เขาและชินยี่ก็ยิ้มกลับมาให้


หลังจากเธอกัดฟันซักพักนึงก็กระทืบเท้าและพูด “นับเงินมาเลยนายหน้าเลือด!”


เธอและชินยี่ทำข้อตกลงกัน


หลังจากขายของเสร็จชินยี่ก็ได้เงิน 1000BP เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อยๆ เขาหันหลังกลับไปเจอกับเจ้าอ้วนที่ยืนอยู่กับเจอรรี่ไม่ไกลออกไปไม่มาก เขาถามเจ้าอ้วน “นายมาตอนไหนเนี่ย?”


เจ้าอ้วนตอบตรงๆ “เมื่อกี้เอง เหวินโหรวบอกให้ฉันพาเด็กคนนี้เข้ามา เธอบอกว่าเราไม่ต้องเก็บเด็กคนนี้ไว้อีกต่อไปแล้ว”


“อ้อ!” ชินยี่ลูบหัวตัวเอง “ใช้แล้วปล่อยเขาไปได้เลย”


“แต่ว่าเขาได้ยินว่าพวกเราจะไปบุกฐานใหญ่พวกกลายพันธ์นี่”


ชินยี่ลูบคางอย่างครุ่นคิดและพูดขึ้น “ตามนั้นเลย ปล่อยตัวเขาไปก่อนแล้วจากนั้นเราก็จะไปบุกฐานพวกมันทันที ถ้าเราปล่อยเขาและรีบโจมตีทันทีเด็กคนนี้ไม่มีทางไปบอกคนอื่นทันหรอก ไม่ก็ถ้าเขารู้ทางไปฐานทัพพวกนั้นละก็นะ”


“โอเค” เจ้าอ้วนพยักหน้าและเดินไปกับเด็กชาย


หลังจากออกมาได้แล้วเจ้าอ้วนก็ผลักเด็กชาย “นายเป็นอิสระแล้ว”


เจอร์รี่มองไปที่เขาก่อนที่จะวิ่งออกไป


เขาไม่ได้วิ่งไปในเมือง แต่เป็นในป่า


หลังจากดูรอบๆแล้วว่าไม่มีใครตามเขามา เขาจึงส่งสัญญาณออกไป


ทันใดนั้นก็มีฝูงนกบินมาวนรอบหัวไหล่ของเขา เด็กหนุ่มบอกกับนกเหล่านั้น “นี่ ฉันต้องให้นายส่งข้อความไปที่จตุรัสไทม์สแควร์ นายรู้ทางไปใช่ไหม?”


ตาขวาของเขาเปล่งแสงสีทองออกมา และพูดอย่างช้าๆ


“ไปที่จตุรัสไทม์สแควร์และหาชายที่ชื่อ ชาร์ล และส่งต่อความทรงจำของฉันให้กับเขา ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโจมตีนะ ถ้านายไปถึงที่จตุรัสแล้วชาร์ลจะตามหานาย”


เจ้านกขยับหัวราวกับกำลังบันทึกข้อความแล้วจากนั้นเจ้านกก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด


เด็กหนุ่มตะโกน “อดทนไว้ นี่สำคัญต่อพวกเรามาก! ช่วยเราด้วยเถอะ!”


เจ้านกร้องออกมาอีกสองถึงสามครั้ง จากนั้นมันก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าและร่วงลงสู่พื้น


เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปดูอาการของมันและพบว่ามันตายเสียแล้ว


“ไม่! ไม่!” เด็กหนุ่มร้องไห้


จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเขา “ดูเหมือนว่านายต้องใช้สัตว์ที่มีสมองมากกว่านี้เพื่อที่จะส่งต่อความทรงจำของนายนะ”


เด็กหนุ่มรีบหันกลับมาและพบกับชินยี่ที่ยิ้มให้กับเขา


“ไม่นะ…” เด็กหนุ่มเริ่มร้องไห้


“ใช่…ฉันขอโทษที่หลอกนาย แต่ดูเหมือนว่าเราต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะ” ชินยี่บอกแบบนั้น นัยน์ตาของเขาแสดงถึงความอ่อนโยน


——————————————————-


 


IA:เล่ม 3 บทที่ 29 โชคชะตา (ตอนที่ 1)


 


เด็กหนุ่มถูกนำตัวกลับมา มันไม่ยากเท่าไหร่เลยที่จะตามตัวเขา


ชินยี่ยืนอยู่บนพื้นดินที่แห้งแล้งเงยหน้าขึ้นมองฟ้า โดยที่มีเหวินโหรวยืนอยู่ข้างๆเขา


เธอขอโทษ “ฉันถามเจ้าอ้วนแล้ว ช่วงสุดท้ายที่เขาอยู่กับเจอร์รี่ก็คือเมื่อคืน ฉันหละหลวมเกินไปหน่อยทั้งๆที่เจ้าอ้วนบอกให้ฉันระวังตัวมากกว่านี้”


“การประมาณคนอื่นต่ำเป็นเรื่องปกติ ฉันไม่แปลกใจหรอก ใครๆก็เคยพลาดมาก่อนทั้งนั้น เธออย่าไปคิดมากเลย”


เหวินโหรวกลอกตา “ทำไมฉันถึงรู้สึกนายไม่ค่อยพอใจกับฉันกันนะ?”


ชินยี่หัวเราะออกมา “ถ้าจะให้พูดล่ะก็ ให้คิดซะว่าตอนนี้ทุกคนรอบตัวเธอตอนนี้แข็งแกร่งมากและระมัดระวังตัวตลอดเวลา ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีกับเรามากๆ และถ้าคิดมากเกินไปก็จะขี้กังวลเกินไปแบบเจ้าอ้วน ถ้าเธอไปถึงจุดที่ต้องระแวงในตัวเด็กแล้วล่ะก็…นั่นแหละที่เรียกว่า โรคขี้ระแวง”


“ที่นายพูดมาก็ไม่ต่างกันเลยนะ” เหวินโหรวขำราวกับเด็ก


และอันเหวินก็โผล่เข้ามาหาพวกเธอ พร้อมกับยื่นลูกดอกคืนให้กับชินยี่ “เอาคืนไปเลย!


“หา?” ชินยี่ไม่เข้าใจ


“นายโกงฉันไป 500BP ยังไม่พอแถมที่อยู่ของพวกกลายพันธ์นี่นายก็หลอกฉันด้วย เรน่าไม่เจออะไรที่นั่นเลยเพราะว่ามันไม่มีอะไรที่นั่นไง เพราะฉะนั้นฉันคืนเจ้าลูกดอกนี่ให้นายแล้วก็คืนเงินฉันมาด้วย!” อันเหวินตะโกนด้วยความโกรธ


ชินยี่ตอบเสียงเบา “ฉันไม่มีที่อยู่ของพวกกลายพันธ์ซะหน่อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีมันนะ”


“ที่ไหน?”


“จตุรัสไทม์สแควร์”


“ชัวร์ไหม?”


“ไม่แน่ใจ แต่ก็แน่ใจได้อยู่”


“ทำไม?”


“นั่นก็เพราะว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกน้องของแม็กนีโต้ แต่เป็นนักเรียนของชาร์ล เซเวียร์ ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมสตรอมถึงโผล่มาเจอเราตอนที่สู้กับแม็กนีโต้ แต่โชคยังดีที่การต่อสู้ที่ผ่านมาเขาไม่ได้โผล่มาด้วย ไม่งั้นเราน่าจะเป็นปัญหามากกว่านี้ ชาร์ลอยู่ที่ไทม์สแควร์และฉันไม่อยากจะให้เขามายุ่งเกี่ยวด้วยซักเท่าไหร่”


จากที่แผงข้อมูล ศาสตราจารย์เอ็กซ์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของพวกกลายพันธ์ เขากับนักเรียนของเขาจึงยังเป็นกลางอยู่ พวกนั้นน่าจะอยู่ภายใต้แม็กนีโต้ ชินยี่ไม่อยากจะสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งจนเกินไปอย่างชาร์ล เซเวียร์ หรือ ศาสตราจารย์เอ็กซ์หรอก


แต่ศาสตราจาราย์เอ็กซ์ก็เหมือนกับว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการกลายพันธ์อยู่บ้าง ดังนั้นนักเรียนบางคนของเขาถึงไปอยู่กับฝั่งของแม็กนีโต้ และเมื่อเขารู้ถึงการมาของพวกนักผจญภัย ชาร์ลถึงเลือกที่จะแจ้งข่าวนี้กับแม็กนีโต้


“ถ้างั้นนายจะยอมแพ้เหรอ?”


“ใช่”


“งั้นก็เอาลูกดอกนี่กลับไปเซ่!” อันเหวินร้อง


ชินยี่เห็นท่าทางของเธอก็เลยพูดจากวนประสาทกลับไป “เธอไม่รู้เหรอว่าสินค้านี้ซื้อแล้วไม่รับคืนน่ะ?”


“ไม่สนโว้ย นายหลอกฉันนะ”


ได้ยินแบบนั้นชินยี่ก็เปลี่ยนสีหน้า “เธอนี่มันเป็นผู้หญิงที่โคตรน่ารำคาญแท้ อย่าลืมสิว่าเธอต้องจ่ายฉันหลังจากกลับไปจากโลกนี้แล้ว ก่อนที่ฉันมาจะโลกนี้ฉันก็ยืมเงินเขามาเหมือนกันแหละ และก็ต้องคืนเขาเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีใครรับประกันได้หรอกว่าถ้าให้ยืมมาแล้วจะได้คืนไหม ถ้าเกิดว่าคนที่ยืมดันตายในภารกิจนี้ก็ขาดทุน พูดง่ายๆก็คือฉันต้องคุ้มกันเธอให้รอดจนกลับไปได้ก่อนเพื่อที่จะให้เธอจ่ายเงินคืนฉันได้ ดังนั้น 500BP ที่เธอจ่ายไปก็เพื่อให้ได้สุดยอดบอดี้การ์ดอย่างฉัน คุ้มไหมล่ะ? แต่ว่าน่าเสียดายที่เธอไม่รู้เรื่องการจัดการเงินซักเท่าไหร่ เธอไม่สามารถคำนวนเรื่องกำไรได้ดีเพราะเธอมัวแต่คิดเรื่องราคาที่อยู่ตรงหน้า คนที่ไม่สนคุณค่าของสิ่งที่จ่ายไปแต่ไม่สนใจว่าได้ซื้ออะไรมาบ้างน่ะไม่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับใครทั้งนั้นแหละ… งั้นถ้าเธอไม่ต้องการลูกดอกนี่แล้วก็ยกเลิกข้อตกลงเลยละกัน”


เมื่อชินยี่พูดจบเขาก็เก็บลูกดอกและยกเลิกสัญญาไป


อันเหวินตะลึง ทั้งๆที่เธอถูกโกงไปตั้ง 500BP แต่ทำไมพอชินยี่พูดแล้วมันดูเหมือนกับว่าเธอได้กำไรซะงั้น


ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?


เธอไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน


ถึงในใจของเธอจะไม่ค่อยสนใจมากเรื่องที่ต้องให้ 500BP กับชินยี่ เพราะยังไงซะเขาก็เคยช่วยเธอมาก่อนเงินแค่นั้นก็ไม่น่าจะน้อยเกินไปสำหรับการตอบแทนนี่นา


การทดแทนคุณมันก็เรื่องหนึ่ง และการหลอกมันก็อีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน


อันเหวินรับไม่ได้ที่ต้องจ่ายเงินที่โดนโกงให้กับชินยี่ แต่หลังจากที่เขาพูดแบบนั้นมันแสดงได้ถึงความห่วงใยที่เขามีให้กับพวกเธอ ในจังหวะนี้อันเหวินงงไปหมดแล้ว


เหวินโหรวเดินมาข้างๆแล้วมองเธอด้วยสายตาน่าสมเพชและกระซิบ “ไม่มีใครกลัวหรอกว่าจะมีเพื่อนเยอะแยะ ยิ่งในโลกที่มีแต่การฆ่าฟันกันแบบนี้ ชินยี่ต้องการเพื่อนที่เก่งกาจแบบเธอนะเพราะว่ามันข้องเกี่ยวกับความเป็นความตายเลยนะ เขาคิดทบทวนมาดีแล้วแหละว่าเขาอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าลึกๆแล้วเธอเป็นคนที่เชื่อถือได้ไหมนะ ดังนั้นการที่เขาทำสัญญาแบบนี้มันก็ไม่เสียหายทั้งสองฝ่ายจริงไหมล่ะ? แถมเธอยังไม่ต้องผ่านการทดสอบลับๆจากเขาด้วย ถ้าเกิดเธอต้องการความช่วยเหลือล่ะก็เราก็พร้อมเสมอเพราะยังไงเราก็เป็นชาวจีนเหมือนกัน ถือว่าเป็นบริการพิเศษก็แล้วกันนะ”


_______


เมื่อชินยี่กลับมาที่โรงแรม เจอร์รี่ก็นั่งขดตัวเองอยุ่ที่มุมห้อง


ชินยี่มองไปที่เขาที่กำลังมีอาการตื่นตระหนก และพูดกับเอาอย่างอ่อนโยน “อย่ากลัวเลย ฉันไม่ทำร้ายนายหรอก”


เจอร์รี่ส่ายหัว “ฉันไม่กลัวหรอก”


ชินยี่ประหลาดใจนิดนึงกับคำตอบนั่น


จากดวงตาของเขาก็มีน้ำตาไหลออกมาทั้งสองข้าง เขาเช็ดน้ำตาก่อนจะมองชินยี่ “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนายต้องการจะฆ่าพวกเรา ทำไมมนุษย์ถึงอยู่ร่วมกับพวกกลายพันธ์ไม่ได้ล่ะ? พวกเราทำอะไรผิด? เพราะว่าแค่เราประหลาดนายถึงจะฆ่าเราเหรอ?”


ชินยี่ถอนหายใจเบาๆ


“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”


“นายหมายความว่าไง?” เจอร์รี่ตกใจ


“ฉันบอกว่านั่นไม่ใช่ความผิดของนาย”


“ทำไมนายถึง…”


“ถ้านายถามว่าทำไมฉันถึงฆ่าพวกกลายพันธุ์ล่ะก็ ฉันก็ตอบได้เพียงแค่ว่ามันเป็นเพราะโชคชะตาเท่านั้นแหละ ฉันบอกนายมากกว่านี้ไม่ได้หรอก แต่ฉันบอกได้เลยว่าสิ่งที่ฉันทำมันก็ไม่ถูกเหมือนกัน บางอย่างในชีวิตเราต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่ามันผิดแต่เราก็ต้องทำ”


เด็กหนุ่มมองชินยี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดว่า การฆ่าพวกกลายพันธ์เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง


เขาไมได้พูดถึงความแตกต่างของพวกกลายพันธ์ที่มีลึกซึ้งถึงระดับพันธุกรรม การมีอยู่ของพวกกลายพันธ์นั้นสั่นคลอนความปลอดภัยของคนปกติ เขาไม่ได้พูดแบบนั้นออกไป


แต่ในเวลาเดียวกันชินยี่เองก็ไม่ได้ท่าทีว่าจะหยุดการกระทำนี้


และเจอร์รี่ก็พูดขึ้น “ฉันไม่เชื่อว่าจะมีโชคชะตาไหนที่ไม่อาจขัดขืนได้”


“อย่าพูดอะไรโง่ๆน่าไอ้หนู คำพูดสวยหรูนั่นก็แค่เอาไว้หลอกคนทั่วไปเท่านั้นแหละ ทุกคนมีโชคชะตาของตัวเองและไม่ใช่ว่าทุกคนจะต่อต้านมันได้ ยกตัวอย่างเช่น นายเลือกเกิดไม่ได้ นายเป็นพวกกลายพันธ์ และโชคชะตาสำหรับพวกเราคือเกิดมาเพื่อกำจัดพวกนาย เพราะฉะนั้นฉันจึงเลือกได้ว่าจะฆ่าหรือปล่อยใครไป”


———————————————



IA:เล่ม 3 บทที่ 29 โชคชะตา (ตอนที่ 1)


 


เด็กหนุ่มถูกนำตัวกลับมา มันไม่ยากเท่าไหร่เลยที่จะตามตัวเขา


ชินยี่ยืนอยู่บนพื้นดินที่แห้งแล้งเงยหน้าขึ้นมองฟ้า โดยที่มีเหวินโหรวยืนอยู่ข้างๆเขา


เธอขอโทษ “ฉันถามเจ้าอ้วนแล้ว ช่วงสุดท้ายที่เขาอยู่กับเจอร์รี่ก็คือเมื่อคืน ฉันหละหลวมเกินไปหน่อยทั้งๆที่เจ้าอ้วนบอกให้ฉันระวังตัวมากกว่านี้”


“การประมาณคนอื่นต่ำเป็นเรื่องปกติ ฉันไม่แปลกใจหรอก ใครๆก็เคยพลาดมาก่อนทั้งนั้น เธออย่าไปคิดมากเลย”


เหวินโหรวกลอกตา “ทำไมฉันถึงรู้สึกนายไม่ค่อยพอใจกับฉันกันนะ?”


ชินยี่หัวเราะออกมา “ถ้าจะให้พูดล่ะก็ ให้คิดซะว่าตอนนี้ทุกคนรอบตัวเธอตอนนี้แข็งแกร่งมากและระมัดระวังตัวตลอดเวลา ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีกับเรามากๆ และถ้าคิดมากเกินไปก็จะขี้กังวลเกินไปแบบเจ้าอ้วน ถ้าเธอไปถึงจุดที่ต้องระแวงในตัวเด็กแล้วล่ะก็…นั่นแหละที่เรียกว่า โรคขี้ระแวง”


“ที่นายพูดมาก็ไม่ต่างกันเลยนะ” เหวินโหรวขำราวกับเด็ก


และอันเหวินก็โผล่เข้ามาหาพวกเธอ พร้อมกับยื่นลูกดอกคืนให้กับชินยี่ “เอาคืนไปเลย!


“หา?” ชินยี่ไม่เข้าใจ


“นายโกงฉันไป 500BP ยังไม่พอแถมที่อยู่ของพวกกลายพันธ์นี่นายก็หลอกฉันด้วย เรน่าไม่เจออะไรที่นั่นเลยเพราะว่ามันไม่มีอะไรที่นั่นไง เพราะฉะนั้นฉันคืนเจ้าลูกดอกนี่ให้นายแล้วก็คืนเงินฉันมาด้วย!” อันเหวินตะโกนด้วยความโกรธ


ชินยี่ตอบเสียงเบา “ฉันไม่มีที่อยู่ของพวกกลายพันธ์ซะหน่อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีมันนะ”


“ที่ไหน?”


“จตุรัสไทม์สแควร์”


“ชัวร์ไหม?”


“ไม่แน่ใจ แต่ก็แน่ใจได้อยู่”


“ทำไม?”


“นั่นก็เพราะว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกน้องของแม็กนีโต้ แต่เป็นนักเรียนของชาร์ล เซเวียร์ ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมสตรอมถึงโผล่มาเจอเราตอนที่สู้กับแม็กนีโต้ แต่โชคยังดีที่การต่อสู้ที่ผ่านมาเขาไม่ได้โผล่มาด้วย ไม่งั้นเราน่าจะเป็นปัญหามากกว่านี้ ชาร์ลอยู่ที่ไทม์สแควร์และฉันไม่อยากจะให้เขามายุ่งเกี่ยวด้วยซักเท่าไหร่”


จากที่แผงข้อมูล ศาสตราจารย์เอ็กซ์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของพวกกลายพันธ์ เขากับนักเรียนของเขาจึงยังเป็นกลางอยู่ พวกนั้นน่าจะอยู่ภายใต้แม็กนีโต้ ชินยี่ไม่อยากจะสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งจนเกินไปอย่างชาร์ล เซเวียร์ หรือ ศาสตราจารย์เอ็กซ์หรอก


แต่ศาสตราจาราย์เอ็กซ์ก็เหมือนกับว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการกลายพันธ์อยู่บ้าง ดังนั้นนักเรียนบางคนของเขาถึงไปอยู่กับฝั่งของแม็กนีโต้ และเมื่อเขารู้ถึงการมาของพวกนักผจญภัย ชาร์ลถึงเลือกที่จะแจ้งข่าวนี้กับแม็กนีโต้


“ถ้างั้นนายจะยอมแพ้เหรอ?”


“ใช่”


“งั้นก็เอาลูกดอกนี่กลับไปเซ่!” อันเหวินร้อง


ชินยี่เห็นท่าทางของเธอก็เลยพูดจากวนประสาทกลับไป “เธอไม่รู้เหรอว่าสินค้านี้ซื้อแล้วไม่รับคืนน่ะ?”


“ไม่สนโว้ย นายหลอกฉันนะ”


ได้ยินแบบนั้นชินยี่ก็เปลี่ยนสีหน้า “เธอนี่มันเป็นผู้หญิงที่โคตรน่ารำคาญแท้ อย่าลืมสิว่าเธอต้องจ่ายฉันหลังจากกลับไปจากโลกนี้แล้ว ก่อนที่ฉันมาจะโลกนี้ฉันก็ยืมเงินเขามาเหมือนกันแหละ และก็ต้องคืนเขาเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีใครรับประกันได้หรอกว่าถ้าให้ยืมมาแล้วจะได้คืนไหม ถ้าเกิดว่าคนที่ยืมดันตายในภารกิจนี้ก็ขาดทุน พูดง่ายๆก็คือฉันต้องคุ้มกันเธอให้รอดจนกลับไปได้ก่อนเพื่อที่จะให้เธอจ่ายเงินคืนฉันได้ ดังนั้น 500BP ที่เธอจ่ายไปก็เพื่อให้ได้สุดยอดบอดี้การ์ดอย่างฉัน คุ้มไหมล่ะ? แต่ว่าน่าเสียดายที่เธอไม่รู้เรื่องการจัดการเงินซักเท่าไหร่ เธอไม่สามารถคำนวนเรื่องกำไรได้ดีเพราะเธอมัวแต่คิดเรื่องราคาที่อยู่ตรงหน้า คนที่ไม่สนคุณค่าของสิ่งที่จ่ายไปแต่ไม่สนใจว่าได้ซื้ออะไรมาบ้างน่ะไม่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับใครทั้งนั้นแหละ… งั้นถ้าเธอไม่ต้องการลูกดอกนี่แล้วก็ยกเลิกข้อตกลงเลยละกัน”


เมื่อชินยี่พูดจบเขาก็เก็บลูกดอกและยกเลิกสัญญาไป


อันเหวินตะลึง ทั้งๆที่เธอถูกโกงไปตั้ง 500BP แต่ทำไมพอชินยี่พูดแล้วมันดูเหมือนกับว่าเธอได้กำไรซะงั้น


ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?


เธอไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน


ถึงในใจของเธอจะไม่ค่อยสนใจมากเรื่องที่ต้องให้ 500BP กับชินยี่ เพราะยังไงซะเขาก็เคยช่วยเธอมาก่อนเงินแค่นั้นก็ไม่น่าจะน้อยเกินไปสำหรับการตอบแทนนี่นา


การทดแทนคุณมันก็เรื่องหนึ่ง และการหลอกมันก็อีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน


อันเหวินรับไม่ได้ที่ต้องจ่ายเงินที่โดนโกงให้กับชินยี่ แต่หลังจากที่เขาพูดแบบนั้นมันแสดงได้ถึงความห่วงใยที่เขามีให้กับพวกเธอ ในจังหวะนี้อันเหวินงงไปหมดแล้ว


เหวินโหรวเดินมาข้างๆแล้วมองเธอด้วยสายตาน่าสมเพชและกระซิบ “ไม่มีใครกลัวหรอกว่าจะมีเพื่อนเยอะแยะ ยิ่งในโลกที่มีแต่การฆ่าฟันกันแบบนี้ ชินยี่ต้องการเพื่อนที่เก่งกาจแบบเธอนะเพราะว่ามันข้องเกี่ยวกับความเป็นความตายเลยนะ เขาคิดทบทวนมาดีแล้วแหละว่าเขาอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าลึกๆแล้วเธอเป็นคนที่เชื่อถือได้ไหมนะ ดังนั้นการที่เขาทำสัญญาแบบนี้มันก็ไม่เสียหายทั้งสองฝ่ายจริงไหมล่ะ? แถมเธอยังไม่ต้องผ่านการทดสอบลับๆจากเขาด้วย ถ้าเกิดเธอต้องการความช่วยเหลือล่ะก็เราก็พร้อมเสมอเพราะยังไงเราก็เป็นชาวจีนเหมือนกัน ถือว่าเป็นบริการพิเศษก็แล้วกันนะ”


_______


เมื่อชินยี่กลับมาที่โรงแรม เจอร์รี่ก็นั่งขดตัวเองอยุ่ที่มุมห้อง


ชินยี่มองไปที่เขาที่กำลังมีอาการตื่นตระหนก และพูดกับเอาอย่างอ่อนโยน “อย่ากลัวเลย ฉันไม่ทำร้ายนายหรอก”


เจอร์รี่ส่ายหัว “ฉันไม่กลัวหรอก”


ชินยี่ประหลาดใจนิดนึงกับคำตอบนั่น


จากดวงตาของเขาก็มีน้ำตาไหลออกมาทั้งสองข้าง เขาเช็ดน้ำตาก่อนจะมองชินยี่ “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนายต้องการจะฆ่าพวกเรา ทำไมมนุษย์ถึงอยู่ร่วมกับพวกกลายพันธ์ไม่ได้ล่ะ? พวกเราทำอะไรผิด? เพราะว่าแค่เราประหลาดนายถึงจะฆ่าเราเหรอ?”


ชินยี่ถอนหายใจเบาๆ


“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”


“นายหมายความว่าไง?” เจอร์รี่ตกใจ


“ฉันบอกว่านั่นไม่ใช่ความผิดของนาย”


“ทำไมนายถึง…”


“ถ้านายถามว่าทำไมฉันถึงฆ่าพวกกลายพันธุ์ล่ะก็ ฉันก็ตอบได้เพียงแค่ว่ามันเป็นเพราะโชคชะตาเท่านั้นแหละ ฉันบอกนายมากกว่านี้ไม่ได้หรอก แต่ฉันบอกได้เลยว่าสิ่งที่ฉันทำมันก็ไม่ถูกเหมือนกัน บางอย่างในชีวิตเราต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่ามันผิดแต่เราก็ต้องทำ”


เด็กหนุ่มมองชินยี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดว่า การฆ่าพวกกลายพันธ์เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง


เขาไมได้พูดถึงความแตกต่างของพวกกลายพันธ์ที่มีลึกซึ้งถึงระดับพันธุกรรม การมีอยู่ของพวกกลายพันธ์นั้นสั่นคลอนความปลอดภัยของคนปกติ เขาไม่ได้พูดแบบนั้นออกไป


แต่ในเวลาเดียวกันชินยี่เองก็ไม่ได้ท่าทีว่าจะหยุดการกระทำนี้


และเจอร์รี่ก็พูดขึ้น “ฉันไม่เชื่อว่าจะมีโชคชะตาไหนที่ไม่อาจขัดขืนได้”


“อย่าพูดอะไรโง่ๆน่าไอ้หนู คำพูดสวยหรูนั่นก็แค่เอาไว้หลอกคนทั่วไปเท่านั้นแหละ ทุกคนมีโชคชะตาของตัวเองและไม่ใช่ว่าทุกคนจะต่อต้านมันได้ ยกตัวอย่างเช่น นายเลือกเกิดไม่ได้ นายเป็นพวกกลายพันธ์ และโชคชะตาสำหรับพวกเราคือเกิดมาเพื่อกำจัดพวกนาย เพราะฉะนั้นฉันจึงเลือกได้ว่าจะฆ่าหรือปล่อยใครไป”


———————————————



IA:เล่ม 3 บทที่ 29 โชคชะตา (ตอนที่ 2)


 


“ฉันไม่เข้าใจ”


“ใช่ นายไม่เข้าใจ มันก็เหมือนกับที่นายไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีพวกกลายพันธ์ไง นายก็ไม่เข้าใจพวกเราเหมือนกันฉันอธิบายมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอก ฉันบอกได้แค่คำเดียวว่าฉันก็ไม่ได้ภูมิใจนักหรอกกับการฆ่าพวกกลายพันธ์น่ะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะเจอกับศัตรูจริงๆเหมือนกัน”


เด็กหนุ่มคิดก่อนที่จะตอบกลับ “มีคนบังคับนายให้ทำใช่ไหม?”


รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของชินยี่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร


ในภารกิจนี้ พวกเขาไม่ได้บอกว่าห้ามเปิดเผยข้อมูลของพวกเขา แต่ชินยี่ก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงการมีอยู่ของพวกเขาอยู่แล้ว


เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาบ้าง แต่เขาก็ไม่อยากจะลองของหรอก


จากนั้นไม่นานชินยี่ก็มองไปที่เจอร์รี่แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “งั้น… เมื่อวานนายติดต่อกับศาสตราจารย์เอ็กซ์สินะ? เขาเป็นครูของนายเหรอ?”


ชายหนุ่มพยักหน้า “ใช่ เขาเป็นคนดีมากเลย”


“เป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ” ชินยี่ตอบ


“นายรู้จักเขาเหรอ?” เด็กหนุ่มตื่นเต้น เขารู้แล้วว่ามีคนสั่งให้พวกชินยี่ทำ เด็กหนุ่มจึงลดท่าทีเกลียดชังลงมาบ้าง


“แน่นอน ฉันเดาได้เลยว่าเขาน่าจะเดินได้ด้วยขาของตัวเองอยู่”


เด็กหนุ่มยิ้ม “ใช่ แต่เขาก็ยังเป็นคนแก่อยู่ดี”


“นายเคยติดต่อกับแม็กนีโต้บ้างไหม?” ชินยี่ลองโยนหินถามทาง


เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธและตอบกลับทันที “เขาเป็นตาแก่ที่ดื้อด้านมาก เขาเชื่อว่าอนาคตควรจะเป็นของพวกกลายพันธ์ เพราะว่าพวกกลายพันธ์คือสัญลักษณ์ของการวิวัฒนาการมนุษย์ เขายังบอกอีกว่าการที่มนุษย์ฆ่าพวกเราก็เพราะว่าพวกเขากลัวเรา แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมนุษย์ต้องกลัวเราด้วย แล้วทำไมมนุษย์ถึงต้องออกล่าเรา?”


“นั่นเพราะพวกนายยังพัฒนาไม่ถึงจุดสูงสุดยังไงล่ะ” ชินยี่ตอบ “นายเคยเห็นเสือในสวนสัตว์ไหม?”


เด็กหนุ่มพยักหน้า


เขาพูดต่อ “คนดูแลสัตว์น่ะดูแลพวกมันเป็นอย่างดี แต่เสือน่ะเดิมทีเกิดมาเพื่อเป็นนักล่า เพราะฉะนั่นบางครั้งที่เสือเกิดคลั่งขึ้นมามันก็จะฆ่าคนดูแลโดยไม่ลังเล มีตัวอย่างแบบนี้ให้เห็นเยอะแยะ และเมื่อเสือตัวใดฆ่าคนไปแล้วล่ะก็ตามกฎหมายก็จะบอกว่าเสือตัวนั้นไม่สามารถถูกเลี้ยงดูได้อีกต่อไป ไม่ว่าในอนาคตมันจะทำตัวเป็นยังไงก็ตาม นายรุ้ไหมว่าทำไม?”


“เพราะเขากลัวเสือตัวนั้น?”


“ใช่ เพราะพวกเขากลัวมัน แม้ว่ามนุษย์จะฝึกมันมามากแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ยังกลัวพวกมันอยู่ ตราบใดที่มนุษย์ต้องการพวกเขาจะฆ่าเสือให้หมดโลกเลยก็ยังได้ ความกลัวและความแข็งแกร่งคือสิ่งที่แยกจากกัน พวกมนุษย์น่ะทรงพลังกว่าพวกกลายพันธ์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่กลัวพวกกลายพันธ์ และถ้าพวกกลายพันธ์ยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆพวกมันจะต่อต้านมนุษย์แน่ๆ”


“นายกำลังจะบอกว่า… นายเห็นด้วยกับแม็กนีโต้เหรอ?” เจอร์รี่กำลังแปลกใจ


“เขาก็พูดไม่ผิดหรอกในมุมมองของพวกกลายพันธ์ เขาเริ่มสงครามนี้เพื่อสร้างหายนะแต่เขาไม่สามารถจบมันได้เพราะเขาไม่มีทางชนะ บางครั้งต่อให้ไม่มีความหวังผู้คนก็ยังดิ้นรนกันต่อไปจนถึงที่สุด”


“แต่ยังไงเขาก็ต้องตาย ฉันเห็นพวกกลายพันธ์ตายมานักต่อนักแล้ว ศาสตราจารย์บอกว่าเขาไม่อยากจะให้เกิดสงครามขึ้น และอยากให้พวกเราอยู่ร่วมกับมนุษย์ด้วยความสันติ แต่เขาทำไม่ได้…” เจอร์รี่กระซิบ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า


เขามองที่ชินยี่พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ฉันขอร้องล่ะ อย่าฆ่าใครอีกเลย! ไม่ว่านายจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม พวกเขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์นะ พวกเขาไม่สมควรที่จะต้องตาย ปล่อยพวกเขาไปเถอะนะได้โปรด?”


สิ้นสุดคำพูดของเขาน้ำตาก็เอ่อล้นออกมา


ยังไงเสียเขาก็ยังเป็นเด็ก เมื่อเขาร้องไห้แล้วก็หยุดไม่ได้น้ำตาของเขาไหลลงบนพื้น


ชินยี่ยืนมองเขาร้องไห้อยู่เงียบๆ และรู้สึกเจ็บปวดเล็กๆในใจเขา


ผ่านไปซักพักเขาจึงพูดขึ้นช้าๆ บางทีอาจจะมีทางแก้ปัญหานี้ก็ได้นะ


———————————————



IA:เล่ม 3 บทที่ 30 การร่วมมือ (ตอนที่ 1)


 


เจอร์รี่แปลกใจที่ได้ยินแบบนั้นจากชินยี่


“นายหมายความว่าไง?”


“ตามที่นายได้ยินเลย ฉันเองก็ไม่ได้ชอบสถานการณ์แบบนี้พอๆกับนาย และถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะอยากจะหยุดมัน”


“นายกำลังจะบอกว่า นายจะเป็นคนหยุดทุกอย่างนี้ใช่ไหม!” เขาตะโกนด้วยความตื่นเต้น


ชินยี่ส่ายหัว “ไม่ใช่ ฉันแค่จะเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่าง”


“ยังไง?”


“ภารกิจของฉันคือฆกำจัดพวกกลายพันธ์ และไม่สามารถยกเลิกได้ แต่ฉันสามารถเลือกได้ว่าจะฆ่าใครได้เพื่อที่จะทำตามเป้าหมาย” เขาพูดอย่างระมัดระวัง


“นายจะทำยังไงล่ะ?”


“ฉันจะแยกพวกมันออกมา พวกกลายพันธ์บางคนก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้แต่บางคนไม่ หลายๆคนที่เมื่อค้นพบพลังของตัวเองแล้วก็มักจะใช้มันในการทำสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ พลังคือสิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้มนุษย์นั้นหลงผิด ถ้าคนเราเลือกที่จะใช้พลังเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายส่วนตัวโดยไม่สนสิ่งอื่นใด มันก็จะก่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างมนุษย์และพวกกลายพันธ์ได้ และเพราะมันเป็นแบบนั้นแหละพวกมนุษย์ถึงได้เกลียดพวกกลายพันธุ์มากจนทำให้รัฐบาลต้องดำเนินการผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่ 12 และเป็นต้นเหตุของสงครามนี้… และมันมีพวกกลายพันธุ์ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้อยู่ และแน่นอนว่าฉันสามารถฆ่าพวกมันได้โดยที่ฉันไม่รู้สึกผิด”


“แล้วนายจะแยกระหว่างพวกที่ดีกับพวกที่เลวได้ยังไง?”


“ทำไม่ได้หรอก การที่จะเผชิญหน้ากับรัฐบาลสหรัฐฯ แม็กนีโต้ต้องเกณฑ์พวกกลายพันธุ์มารวมตัวกัน เขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะดีหรือเลว แน่นอนว่ามันทำให้แผนของฉันลำบากขึ้นเยอะ เพราะฉันไม่สามารถคนที่ฆ่าหรือไม่ฆ่าออกจากกันไม่ได้แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนทำได้…”


พูดจบชินยี่ก็มองไปที่เจอร์รี่ “นายทำได้ใช่ไหมเจอร์รี่? ฉันต้องการให้นายช่วยแยกระหว่างคนที่ดีหรือเลวให้หน่อย”


“ฉันเหรอ?” เด็กหนุ่มมองไปที่ชินยี่


“ใช่! นายนั่นแหละ” ชินยี่พยักหน้า “นายคือนักเรียนของศาสตราจารย์เอ็กซ์ นายมีพลังที่คุยกันผ่านจิตได้เหมือนกับเขา นายสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพวกกลายพันธุ์”


ได้ยินแบบนั้นเด็กชายถึงกับหน้าถอดสี


ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่มีพลังที่ว่า แต่ชินยี่ก็ยังสามารถยืนยันในสิ่งที่เขาสงสัยได้อยู่


“เจอร์รี่ ลาเชียส พวกกลายพันธุ์ระดับ 3 พลังจิตที่มี 1.ด้านการสั่งการ 2.ด้านการสื่อสาร”


เด็กผู้มีพลังจิตถึงสองชนิด และเป็นถึงระดับ 3 ชินยี่ไม่รู้หรอกว่าความสามารถด้านการสื่อสารของเขาเป็นยังไงเพราะเด็กหนุ่มคนนี้ยังไม่เคยใช้มันให้เขาเห็น


แต่นั่นคือสิ่งที่ชินยี่สนใจ


พลังแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นพลังทางจิตใจก็ไม่ปาน พลังนี้ทำให้เด็กคนนี้สามารถสื่อสารกับพวกสัตว์ได้ และถ้าเด็กคนนี้สามารถพูดคุยกับสัตว์ได้ ก็ไม่มีปัญหากับการสื่อสารในจิตใจของมนุษย์แน่ๆ


และเมื่อชินยี่นึกขึ้นได้แบบนั้น มันก็ได้ทำให้เขาคิดไว้แล้วว่าเด็กคนนี้จะต้องช่วยเขาได้


“นายบอกไว้ว่าจะฆ่าพวกที่เลวและปล่อยพวกที่ไม่เกี่ยวข้องกันไป นั่นหมายความว่านายไม่สามารถขัดขืนภารกิจของนายได้แต่นายสามารถเลือกวิธีที่จะทำภารกิจได้อย่างนั้นเหรอ?”


“ฉันยังบอกได้อีกนะว่า จะมีใครคนอื่นเข้ามาฆ่าพวกกลายพันธุ์แบบนายอีก เป็นคนที่มีภารกิจแบบเดียวกันกับฉันซะด้วย”


ชินยี่บอกด้วยความจริงใจ เขาคิดว่ามันก็แฟร์ที่สุดแล้วที่เขาจะสามารถให้ข้อมูลกับเด็กคนนี้เพื่อกล่อมใจเขา


ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาทำแบบนี้เพื่อตัวเองหรือว่าเพื่อพวกกลายพันธุ์ แต่ถ้าเกิดว่าเจอร์รี่ยินดีที่จะช่วยพวกเขาในการค้นหาล่ะก็มันคงรวดเร็วและดีกว่าวีน่าเสียอีก


มันจึงควรค่าแก่การลอง


ชินยี่ไม่กังวลถึงเรื่องศีลธรรมในจิตใจของพวกกลายพันธุ์ในเมืองนิวยอร์คอยู่แล้ว เพราะอย่างที่เขาบอกไปแล้วว่าพลังเหนือมนุษย์นั้นมันสามารถทำให้คนดีกลายเป็นคนเลวได้โดยไม่ต้องคำนึงอะไรเลย


ถ้าจะให้นับจำนวนของพวกที่ใช้พลังในทางที่ผิดในดงผู้ใช้พลังแบบนั้นมันก็คงจะเป็นไปได้ยาก


และในความเป็นจริงนั้นจะมีพวกที่ใช้พลังทำเรื่องผิดกฎหมายและโดนตั้งโทษประหารอย่างเจเคน แฮก ที่โดนโทษประหารเกิน 100 กระทงไปแล้ว


ตราบใดที่เจอร์รี่ยินดีที่จะช่วยเขา การตามหาพวกตัวร้ายในดงคนปกตินั้นก็คงจะไม่ยากอะไร สิ่งที่เขาจะต้องกังวลต่อจากนี้ก็คือการที่เขาจะฆ่าพวกนั้นยังไงมากกว่า


ในจังหวะเดียวกันเจอร์รี่ก็มองมาที่ชินยี่ และชินยี่ก็ยิ้มให้เขา


สีหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป


เขามองชินยี่พร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า “นายหลอกฉัน! นายมันขี้โกหก! นายหลอกฉันมาสองครั้งแล้วคิดว่าฉันจะเชื่อใจนายได้เหรอ? นายก็ไม่ต่างจากคนอื่นหรอก นายแค่จะหลอกใช้ฉันเพื่อตามหาพวกกลายพันธุ์คนอื่น! อย่าคิดว่าฉันจะช่วยนายเลย นายไม่ได้มาเพื่อช่วยฉันอยู่แล้ว!”


“เจอร์รี่นั่นไม่ใช่ประเด็นนะ ฟังกันก่อน ถ้านายไม่เชื่อใจฉัน นายก็ใช้พลังอ่านใจฉันดูเลยสิ…”


“ฉันอ่านจิตใจของคนที่เก่งกว่าฉันไม่ได้หรอก! และต่อให้ทำได้ฉันก็ไม่เชื่อนาย!” เด็กหนุ่มตะโกนและปฏิเสธคำพูดของชินยี่


ชินยี่มองเขาซักพักก่อนจะถอนหายใจและเดินออกจากห้องไป


ข้างนอกห้องนั่นเหวินโหรวกำลังยืนกอดอกหลังพิงกำแพงอยู่ เธอหัวเราะเมื่อเห็นเขาเดินออกมา


ชินยี่ประหลาดใจและถาม “เธอได้ยินเหรอ?”


เหวินโหรวเป็นคนขี้เล่น เธอทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับ “ฉันมีพลังในการฟังที่ดีกว่าคนทั่วไปก็จริง แต่ฉันก็ไม่ค่อยใช้มันหรอก เพราะฉันคิดว่าโลกนี้มันน่ารำคาญเกินไป แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าบางทีมันก็ทำให้ฉันล่วงรู้ข้อมูลดีๆบางอย่างได้น่ะ”


ชินยี่ยิ้มแห้งๆออกมา “นี่ไม่ใช่ความลับหรอก มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบ แต่เธอดันได้ยินตอนที่ฉันผิดหวังซะเต็มเปาเลยนะ ฉันคิดว่ารอบนี้มนุษยชาติจะต้องสูญพันธ์เพราะการไม่เชื่อใจของเด็กคนเดียวแน่ๆ แต่มันก็น่าแปลกนะตอนฉันหลอกเขาฉันดันทำได้สำเร็จ แต่พอฉันบอกความจริงเขากลับไม่เชื่อซะงั้น”


เหวินโหรวตอบ “นั่นเพราะว่านายไม่ได้ต้องการจะหลอกเขาไง นายไม่ได้คิดว่าเขาเป็นศัตรู”


“หา?” ชินยี่ทำหน้างง


เหวินโหรววางมือของเธอบนไหล่ของเขา “นายจำไม่ได้เหรอว่าเวลาเจรจากับคนอื่นน่ะ เราต้องสร้างความเชื่อใจจากเขาก่อน แต่นี่นายเล่นหลอกเขาไปตั้งสองครั้งเพราะนายระแวงในท่าทีของเขาและยกขึ้นเป็นสิ่งแรกที่ต้องคิดเตรียมรับมือ แต่ตอนนี้มันกลับกันนายไม่ได้สนใจเขาเลย เพราะนายไม่ได้คิดว่าเขาเป็นศัตรู นายเสนอแผนที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย นายจึงไม่เห็นเขาเป็นศัตรู แต่นายก็ไมได้ใส่ใจอีกด้านหนึ่งของความรู้สึกเขา”


ชินยี่ประหลาดใจพลางลูบคางตัวเองแล้วคิดทบทวน “เธอพูดถูก ไม่ใช่ว่าการประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไปคือข้อผิดพลาด แต่ที่ผิดจริงๆก็คือการที่ไม่คิดว่าเขาคือศัตรู”


“ทีนี้นายรู้รึยังว่าต้องทำยังไง?”


“แน่นอน บอกตามตรงเลยว่าไม่ยากเกินความสามารถฉันแน่” ชินยี่หัวเราะออกมา


—————————————————-


IA:เล่ม 3 บทที่ 30 การร่วมมือ (ตอนที่ 2)


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา เรน่าก็กลับมาถึงพร้อมกับข่าวดี


เธอได้ข้อมูลของพวกกลายพันธุ์มาจากเครือข่ายใกล้เคียงกับโรงแรมนี้ ห่างออกไปประมาณ 8 กิโลเมตร


“ฉันแน่ใจเลยว่ามีพวกลายพันธุ์อยู่แถวนั้นแน่นอน เพราะว่าที่นั่นมันไม่ปกติ”


“แล้วอะไรคือไม่ปกติ?” ชินยี่ถาม


“ถ้านายขับรถชนคนที่นั่น แล้วถ้าจะออกไปดูว่าคนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่ไหม ร่างของเขาจะหายไป ในอดีตเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ แต่ตอนนี้ผู้คนเริ่มนับว่าเป็นการกระทำของพวกกลายพันธุ์แล้วล่ะ”


“ใช่เลย!” นักผจญภัยคนอื่นขำออกมา


ชินยี่ปรบมือ “โอเค ถ้างั้นเราก็ไปดูที่เขตนั้นกันเลย เหล่าเฮานายจะต้องดูแลจิมมี่และเจอร์รี่ หวังว่าจะเก็บเกี่ยวครั้งนี้จะดีกว่าครั้งไหนๆ และจงจำไว้ว่าเราต้องจับเป็นพวกมันทุกคนห้ามฆ่าใครทั้งนั้น”


“ทำไมล่ะ?” เรน่าถาม


ชินยี่จ้องไปที่เธอ “เธอสงสัยงั้นเหรอ?”


แล้วเธอก็หุบปากทันที


8 กิโลเมตรถือว่าไม่ไกลมากและชินยี่กับทุกคนก็ไปถึงอย่างรวดเร็ว


ทีมของเรน่าคุ้นชินกับเมืองนิวยอร์คเป็นอย่างดี และการค้นหาของพวกเธอก็โดดเด่นกว่าคนอื่นๆมาก แต่ก็เพราะความโชคร้ายของวันแรกที่มีคนในทีมของเธอตายไปถึง 5 คน จากนั้นเมื่อเจอกับพวกกลายพันธุ์กลุ่มอื่นก็ช้ากว่าชินยี่ไปก้าวหนึ่งอีก และวันนี้อันเหวินก็ยังนำพวกเธออยู่อีกหนึ่งก้าว แต่หลังจากที่ร่วมมือกับชินยี่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะดีขึ้นมาบ้าง


ทุกคนพบร่องรอยของพวกกลายพันธุ์


มีด้วยกันทั้งหมด 7 คน และน่าจะไม่ใช่พวกองค์กร ดูแล้วเหมือนกับพวกที่มารวมกันเป็นกลุ่มก่อนเล็กๆ ถึงกระนั้นการจับเป็นพวกนนั้นก็ยังยากอยู่ดี แม้ว่าจะกินแรงไปบ้างแต่ก็ยังจับกุมพวกมันได้ทั้งหมด


หลังจากจับเขาได้ทั้งหมดเจอร์รี่ก็ถูกเรียกตัวมาที่นี่


ชินยี่บอกกับเขา “ฉันรู้ว่านายไม่เชื่อใจฉัน แต่ฉันสามารถบอกนายได้ว่านี่คือสิ่งที่ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็น ตอนนี้ฉันมีพวกกลายพันธุ์ทั้งหมดเจ็ดคน และฉันไม่รู้ว่าใครดีใครเลวทั้งนั้น ถ้านายบอกฉันมาว่าใครสมควรอยู่ฉันก็จะปล่อยพวกเขา”


เจอร์รี่ประหลาดใจมาก “นายพูดจริงเหรอ?”


“แน่นอน” เขาตอบกลับ “แต่จำไว้หนึ่งอย่าง ทุกๆครั้งที่นายให้ปล่อยตัวพวกเขานายจะต้องหาพวกตัวร้ายมาให้ฉันอย่างน้อยสองคน”


แล้วยังกระซิบอีก “ฉันไม่อยากจะเริ่มที่เด็กและผู้บริสุทธิ์ซักเท่าไหร่ แต่นายก็น่าจะรู้ดีนะว่าบนโลกนี้ก็มีสิ่งที่ไม่ควรจะลองของอยู่ ถ้านายคิดจะหลอกฉันล่ะก็ ฉันมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาจะต้องชดใช้อย่างสาสม แต่ฉันเองก็ไม่ชอบแบบนั้นเหมือนกันเพราะฉันเองก็ไม่โง่ เพราะฉะนั้นอย่าคิดจะล้ำเส้นเป็นอันขาด เข้าใจนะ?”


เจอร์รี่ได้ยินแบบนั้นก็ตัวสั่นยิ่งไปเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของชินยี่อีก เขาพยักหน้าด้วยความกลัวและมองไปที่ทั้งเจ็ดคนนั่น


จากนั่นซักพักเขาก็พูด “พวกเขาไม่สมควรตาย”


“ปล่อยพวกเขา” ชินยี่ออกคำสั่ง


“แต่…” เรน่ากับคนอื่นๆพูดขึ้น


“บอกให้ปล่อยไง!” ชินยี่พูดอีกครั้ง


“แต่นี่เป็นเหยื่อที่พวกเราหาเจอและจับเองนะ!” เรน่าบ่น “นายจะปล่อยพวกมันไปเพราะคำพูดของเด็กคนเดียวไม่ได้ อย่างน้อยก็เหลือไว้ให้พวกเราเก้บแต้มหน่อยเถอะ ซักสี่คนก็ได้…นะ?”


ถึงเธอจะรู้ตัวดีว่าชินยี่กำลังทำอะไรอยู่ แต่อารมณ์ของเรน่าก็ไม่สามารถยอมรับมันได้ แม้ฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้จะสนิทกันมาก นักผจญภัยจากสองฝ่ายต่างก็ไล่ล่าพวกกลายพันธุ์อย่างไม่หยุดยั้ง เรน่าอยากจะเห็นฝั่งตะวันตกขึ้นเป็นที่สามแต่ทางใต้เองก็ไล่เลี่ยตามเธอกันมา


ถึงจะยังมีเวลาอีกเยอะก่อนที่ภารกิจนี้จะจบลง แค่การที่ออกจากเขตอันตรายได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว…อย่างน้อยก็ด้านจิตใจล่ะนะ


“ฉันบอกให้…ปล่อยพวกเขา!” ชินยี่เสียงด้วยน้ำเสียงเย็นชา


ทีมเรน่ามองกันและกัน รวมไปถึงนักผจญภัยจากตะวันออกด้วย ด้วยบทเรียนจากลูกดอกพิษทำให้พวกเขาเริ่มกลัวชินยี่ในใจลึกๆ


“ก็ได้ ก็ได้! ฉันจะยอมฟังนายก็ได้!” เรน่าตะโกนอย่างช่วยไม่ได้


พวกกลายพันธุ์ทั้งเจ็ดคนถูกปล่อยตัวไป และชินยี่ก็หันมาพูดกับเด็กหนุ่ม “ทีนี้นายเชื่อใจฉันรึยัง?”


เด็กหนุ่มพยักหน้า


“ถ้างั้นตอนนี้นายติดหนี้ฉันทั้งหมด 14 คน นายต้องพาฉันไปหาพวกเขา หรือ จะให้ฉันคิดว่านายหลอกฉันก็ได้และจากนั้นสัญญาที่ฉันให้ไว้ก็จะเป็นโมฆะ”


“นายจะได้ตัวพวกเขาแน่นอน”


——————————————-


IA:เล่ม 3 บทที่ 31 เสียชีวิตทันที (ตอนที่ 1)


 


ชั่วโมงที่ 46


“อ๊า!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นทำลายความเงียบงันในตอนกลางคืน


“หนีเร็ว! พวกนักล่ามาแล้ว!”


ด้วยเสียงร้องนั่นก็ได้มีร่างเงาอยุ่บนถนนไม่กี่ร่างกำลังวิ่งไปที่ทางออก


แสงจากปากกระบอกปืนวูบวาบขึ้นทั่วความมืดมิด และเมื่อมันจบลงความมืดก็กลับมาปกคลุมที่นี่อีกครั้ง


ร่างเล็กบางพุ่งไปที่ถนนและฆ่าเป้าหมายของเขาทีละตัว


พวกกลายพันธุ์สองคนรีบวิ่งไปที่ทางเดินยาวและหยุดลงเพื่อพักหายใจ พวกเขาได้ยินถึงเสียงลมผ่านหัวพวกเขา


ร่างใหญ่ปรากฎขึ้นพร้อมกับง้างมือต่อยเข้าไปที่หน้าอกพวกเขาควักหัวใจออกมา


เขาล้มลงร่างของเขาสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะสิ้นใจ


ชายกลายพันธุ์อีกคนนึงเกรงกลัวในภาพที่เกิดขึ้นมาก แต่ก็ไม่สามารถขยับหรือขัดขืนได้ เขาไม่คิดว่านักล่าจะจ้องมาที่เขาก่อนที่จะปล่อยตัวเขาไป


ทำไมเขาถึงรอดล่ะ? ชายกลายพันธุ์ไม่สามารถเดาคำตอบได้


ในค่ำคืนที่มืดมิดแบบนี้มีผู้ที่ล้มหายตายจากพร้อมกับผู้มีชีวิตรอดไปพร้อมๆกับการฆ่าอย่างบ้าคลั่งของนักล่า


พวกมันมาและจากไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม พวกมันฆ่าคนอย่างโหดร้ายราวกับสัตว์ป่า ในขณะเดียวกันเหยื่อที่ยังมีชีวิตก็มิอาจพูดอะไรได้มากได้แต่อาศัยจังหวะดีๆแล้วหลบหนีหายไปในเงามืด


พวกเขาไม่รู้ว่านอกสนามรบนั่นมีคนสองคนกำลังสอดส่องมาในเงามืดแห่งนี้พร้อมกับคำแนะนำให้กับเหล่ามือสังหาร


“จินกวง สิบสองเมตรไปทางซ้ายมือ พวกกลายพันธุ์สามตัว ฆ่าเฉพาะคนผิวสีเท่านั้นห้ามยุ่งกับอีกสองคนที่เหลือ”


“รับทราบ”


“เรน่า จัดการผู้ชายที่ถนน45 มีพวกมันอยู่สองคนและอย่ายุ่งกับผู้หญิง”


“รับทราบ… นักผจญภัยทุกคนในโลกนี้ต่างก็ตามหาพวกกลายพันธุ์อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่เว้นแม้แต่การฆ่าเด็ก ส่วนพวกเรากลับเน้นเลือกฆ่าเฉพาะพวกคนไม่ดี อย่างกับเล่นเกมเลยนะ” เรน่าตอบกลับอย่างมีอารมณ์


เหวินโหรวพูดแทรกขึ้น “อย่าสนใจเลย นี่เป็นสไตล์ของเราแหละ”


เลคเองก็อยากพูดบ้าง “มันก็เหมือนกับเล่นเกมล่าเหยื่อน่ะแหละ แต่แค่ว่าเราเดิมพันด้วยชีวิตเราด้วย”


จินกวงพูดต่อ “ฉันพูดคำนั้นไปเมื่อเช้านะ”


และจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น


ในจังหวะนั้นก็มีเสียงวิทยุที่เป็นเสียงของฮงหลานดังขึ้น “มันไม่มีการต่อสู้อ่ะ แม่งโคตรไม่เร้าใจเลย”


“เหลืออีกแค่สองคนเท่านั้นทุกคน พยายามเข้ารีบจบงานนี้ให้ได้ก่อนรุ่งสางกัน!” ชินยี่จ้องมองไปที่กล้องอินฟราเรดในรถ


และข้างๆเขาก็คือเจอร์รี่และจิมมี่


จิมมี่นั้นเป็นคนที่ดูอะไรก็ได้มากๆ หลังจากที่ถูกจับมาเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแม้กระทั่งสีหน้าเขายังคงมองทุกสิ่งด้วยสายตาเย็นชาเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นพวกนักล่าในตอนนี้,ชินยี่กับเจอร์รี่ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาไม่เคยแม้แต่จะเปลี่ยนสี


มันเป็นการจับคู่ที่ดูแปลกประหลาดมาก


สี่ชั่วโมงต่อมา ณ ตอนนี้คือเวลา 8 โมงเช้า พวกเขาเข้าวันที่สาม


จากเมื่อวานจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้ว 20 ชั่วโมง


เจอร์รี่ได้นำพาพวกเขาไปจนถึงพวกกลุ่มคนกลายพันธุ์กลุ่มเล็กๆ


อันดับของทุกคนค่อยๆไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แต้มจากการไปถล่มฐานใหญ่ๆก็เถอะ แต่การที่พวกเขาออกล่ากลุ่มเล็กๆแต่ได้แต้มตลอดเวลามันก็โอเคอยู่


ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีไหนจะดีกว่า แต่สำหรับทีมที่ต้องการจะไต่ขึ้นไปอันดับสูงๆมันก็ถือว่าช้าอยู่ กลับกันแล้วการเก็บแต้มแบบนี้สำหรับคนที่เป็นหัวแถวก็ถือว่ามีความมั่นคงไม่ใช่น้อย


เพราะว่าแต้มสังหารของเรน่าสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย จึงทำให้ทีมตะวันตกรอดจากอันดับสี่ขึ้นมาได้ ในตอนนี้ทางใต้ถือว่ารั้งท้ายไปแล้ว


ฝั่งตะวันนั้นครอบคลุมตั้งแต่ยุโรปไปจนถึงสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯก็ไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ของเขตนี้ ในบรรดาทั้งหมด 25 คนของทางตะวันตกบวกกับเรน่าและอีกสี่คนที่เหลือนอกนั้นถือว่าเป็นชาวยุโรปทั้งหมด


ถึงแม้ว่าพวกสหรัฐฯจะคุ้นชินกับที่นี่แต่มันก็ไม่ใช่ดินแดนที่พวกเขารู้จักอยู่ดี ดังนั้นความได้เปรียบด้านสถานที่จึงไม่มีผลมากนัก


ต้องขอบอกว่าสิ่งที่ชินยี่พูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด คอนเซปเรื่องการรวมชาติพันธุ์ของเมืองกระหายเลือดนั้นฝังรากลึกไปถึงจิตใจ นั่นส่งผลให้นักผจญภัยแทบทุกคนจัดทีมกันยากมาก ถ้าทั้งสี่คนของทีมเรน่าต้องถูกแยกไปเติมทีมอื่นให้เต็ม ศักยภาพพวกเขาก็คงจะพุ่งสูงขึ้นไม่ใช่น้อย แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าพวกตะวันตกนั้นไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากนักเป็นพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนกันเสียมาก แถมเรน่าเองก็ยังเสียท่าตอนช่วงวันแรกๆอีกทำให้ทีมตะวันออกและชินยี่แซงขึ้นนำไปได้


มีเสียงกรีดร้องสองเสียงดังในระยะไกล


เสียงนั้นคือเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขา


และนั่นก็คือฐานสุดท้ายที่เจอร์รี่แนะนำให้ชินยี่


หลังจากออกล่าเสร็จสิ้น พวกเขาก็เริ่มทยอยกลับ


ฮงหลานเป็นคนแรกที่กลับมาถึงก่อน เขากระโดดขึ้นรถและพูดภาษาจีนกับชินยี่ “ฉันไม่เข้าใจอย่างนึง”


“อะไรล่ะ?” ชินยี่ถาม


“ทำไมเราต้องเก็บพวกอเมริกันนี่ไว้ด้วย? เราสามารถช่วยพวกตะวันออกได้เพราะอันดับของพวกเขาไม่ได้ส่งผลต่อพวกเราซักหน่อย แต่พวกสี่คนนั้นนายใช้ให้พวกเขาไปหาคนให้เรา แต่ตอนนี้เรามีเจ้าเด็กคนนี้แล้วทำไมเราถึงไม่ไล่พวกเขาไปล่ะ?”


ชินยี่มองฮงหลานแปลกๆ “นายคิดว่าพวกเขาไร้ค่าจนต้องโยนทิ้งแล้วเหรอ?”


————————————-


IA:เล่ม 3 บทที่ 31 เสียชีวิตทันที (ตอนที่ 2)


 


“แล้วมันไม่ใช่รึไง?” ฮงหลานถามด้วยความงง “นี่คือโลกความเป็นจริงนะ เราไม่ต้องแบ่งแต้มให้ใครหรอก”


“อันดับแรกคือฉันต้องยึดถือในคำสัญญาก่อน การโกหกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะหักหลังมันก็อีกเรื่องหนึ่ง นายจะต้องการแต้มพวกนั้นเยอะๆไปทำไม?”


ฮงหลานไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดีและชินยี่ก็ลูบหัวเขา “นายนี่มันโง่ชะมัด แต้มสังหารจริงๆแล้วมันไม่มีค่าอะไรเลย ในภารกิจนี้สิงที่สำคัญที่สุดก็คืออันดับโดยรวมของพวกเราทุกคน ตราบใดที่พวกเรามีอันดับสูงๆกันแล้วเราจะมาห่วงอะไรกับแต้มแค่ 100 หรือ 1000 แต้มล่ะ?”


ฮงหลานก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี “แต่ถ้าไม่มีพวกนั้นแล้วพวกเราก็จะได้แต้มเยอะกว่านะ อันดับหนึ่งก็จะไม่หนีไปไหนด้วย อย่าลืมสิว่ายังมีเวลาเหลืออีกตั้งหนึ่งวัน”


“นายรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่ยั่งยืนที่สุดในโลก?”


“อะไรนะ?”


“อันดับหนึ่งไง!” ชินยี่พูดด้วยเสียงจริงจัง “นายคิดว่าต้องใช้แต้มเท่าไหร่ถึงจะขึ้นอยู่อันดับหนึ่งได้ถาวร? หนึ่งพัน? หนึ่งหมื่น? หรือมากกว่านั้น? เพราะว่าความโลภมันไม่มีที่สิ้นสุดไงแล้วนายรู้ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้? นายต้องคิดใหม่อีกครั้ง ถ้าเราไม่ช่วยเรน่าและเมื่อพวกตะวันตกแพ้ในภารกิจนี้ พวกเขาจะเป็นบ้าใช่ไหม? อย่าลืมสิว่าพวกนั้นก็รู้สถานการณ์ของพวกเราเหมือนกัน แล้วพวกเขาจะทำยังไง? คนเราเมื่อจนตรอกมันก็จะทำอะไรบ้าๆได้เสมอแหละ แล้วจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? พวกนั้นจะไปบอกคนอื่นว่าเรามีเจอร์รี่และจิมมี่แล้วเราจะทำยังไง? ฆ่าพวกมันเหรอ? ถ้าเราต้องสู่กับพวกเขาจริงๆยังไงพวกเขาก็แพ้ แต่พวกนั้นก็อาจจะฆ่าพวกของเราไปซักคนหรืออาจสองคนคงไม่เกินความสามารถพวกเขาหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจอร์รี่กับจิมมี่ นายคิดว่าจะปกป้องสองคนนั้นจากเสือที่บ้าคลั่งแบบนี้ได้เหรอ?”


ฮงหลานงงหนักกว่าเดิมอีกเมื่อได้ยินแบบนั้น


และชินยี่ก็พูดต่อ “กลับกัน เราอยู่อันดับหนึ่งอยู่แล้วและยังได้แต้มเพิ่มอีกมากมายซึ่งไม่สลักสำคัญอะไรกับทีมเราอยู่แล้ว แล้วรู้ไหมพวกเขาจะคิดยังไง? พวกนั้นรู้ว่าการร่วมมือกับเรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ พวกนั้นก็จะขอบคุณและสรรเสิรญเราและถ้าเกิดว่าบังเอิญมีการต่อสู้เกิดขึ้นแต่จนกว่าศึกนั้นจะเกี่ยวข้องกับชีวิตของทั้งฝ่ายตะวันตก ยังไงพวกนั้นก็จะอยูข้างเราและพวกเราก็จะมีลูกน้องจำนวนมากไว้ใช้งานเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพวกเราได้ในภารกิจต่อไป และถ้าเกิดว่าพวกนั้นกล้าสู้กับพวกพ้องตะวันตกของตัวเองแล้วล่ะก็ ทำไมพวกเราจะไม่ได้กำไรล่ะ? ได้ยินแบบนี้แล้วนายยังคิดว่าไม่ควรเก็บพวกนั้นไว้อีกไหม?”


ฮงหลานตามไม่ทันจริงๆ และต้องใช้เวลานานกว่าจะทำคามเข้าใจในคำพูดของชินยี่ทั้งหมดได้


เขาบ่นพึมพำ “แม่งโว้ย! ไม่เข้าใจซักนิด!”


“เอาเถอะ ฟังเขาไว้ก็ไม่เสียหายนะ” สองเงาโผล่มาจากมุมมืด นั่นก็คือจินกวงกับเหวินโหรว


ห่างออกไปไม่ไกลก็มีเจ้าอ้วนอยู่ด้วย


ชินยี่ดูเวลาจากแผงหน้าจอ “ใกล้จะเช้าแล้ว พวกเราควรจะหยุดและก็กลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว”


“นอนอีกแล้วเหรอ?” ฮงหลานตะโกน


“เราออกล่ามาทั้งวันทั้งคืนแล้วนะ ถ้านายไม่เหนือยฉันก็เหนื่อยแทนละกัน” ชินยี่ตอบกลับ


“แต่ตอนนี้ฉันกำลังโคตรดีดเลย! พวกเราไม่ใช่คนธรรมดาซักหน่อยและฉันมั่นใจเลยว่าฉันสามารถอยู่แบบนี้ได้ไปจนจบภารกิจ!” ฮงหลานตะโกน


“เรื่องของนายเถอะ ฉันจะนอนแล้ว” ชินยี่ชี้ไปที่หัวเขาเอง “ฉันขอนอนซักสี่ชั่วโมงละกัน”


ฮงหลานกับจินกวงสบตากันจากนั้นก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้


______


กลับมาที่โรงแรมเอ็มไพร์ สองห้องที่ถูกจองเผื่อในเหตุฉุกเฉินก็ได้แบ่งให้พวกอันเหวินและเรน่าได้ใช้


เพราะว่ากลับมาตอนเช้า พวกเธอจึงหลับกันจนถึงเที่ยง


ในช่วงเวลานั้นบริกรโรงแรมก็นำอาหารเช้ามาให้ อาหารเช้า 6 ที่สำหรับสามห้อง


ครึ่งนึงถูกกินโดยเจ้าอ้วน และอีกครึ่งโดยเจอร์รี่กับจิมมี่


ดังนั้นเมื่อทุกคนตื่นขึ้นมาด้วยความหิวโหยเป็นอย่างมาก แม้ว่านักผจญภัยจะมีความอดทนต่อความต้องการด้านนี้สูงกว่าคนทั่วไปก็เถอะ แต่พวกเขาก็ยังต้องการมีชีวิตที่กินดีอยู่ดีเหมือนกัน เมื่อมองไปที่รายชื่ออันดับรวมก็ยังไม่พบเรื่องที่น่าใจหายแต่อย่างใด ทุกคนจึงแห่กันไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหาร


ร้านที่เคยเป็นสุดยอดของที่สุด และในตอนนี้มันลับกลายเป็นร้านที่ว่างเปล่า


และนี่คือชั่วโมงที่ 54


4 ชั่วโมงในการพักผ่อนนั้นไม่เพียงพอแม้แต่นักผจญภัยก็ตาม แต่ก็น่าจะพอสำหรับการเคลื่อนที่ครั้งต่อไป


พวกเขาพึงพอใจกับบริการระดับ VIP เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาหารที่โคตรเจ๋ง


“ถ้านี่คือโลกเสมือนจริง ทำไมเราถึงไม่สามารถกินสเต็กเสมือนจริงแล้วทำให้กระเพาะของพวกเราอิ่มได้ล่ะ?” ฮงหลานพูดในขณะที่ส้อมกำลังจิ้มเนื้อสเต็กอยู่


จินกวงหัวเราะ “บางทีนายก็อาจจะเป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้นมาก็ได้นะ บางทีพวกเราในที่นี้อาจจะเป็นแค่ดวงวิญญาณที่อยู่ในโลกเสมือนจริงแบบเดอะแมททริกซ์ก็ได้นะ?”


ฮงหลานทุบโต๊ะ “หยุดเลย! อย่าพูดถึงหนังเชียว ฉันเอียนกับหนังเต็มทีแล้ว ถ้านายต้องดูหนังทุกๆวันมันก็น่าเบื่อไหมล่ะ”


“ไม่ใช่ทุกวัน ทุกเดือน” ชินยี่พูดให้เขาคิด


คำพูดนั้นทำเอาทุกคนขำกันทั้งโต๊ะ แต่เหวินโหรวกลับเตะเขาอย่างไม่ยั้งเท้า


ชินยี่ขำ “โอเคๆ ฉันจะไม่เล่นมุกอีกแล้ว แต่เรื่องของเรื่องก็คือฉันมีเรื่องที่อยากจะถามแต่มันก็ไม่สมควรจะถามอยู่ในตอนนี้เพราะว่ามีผู้หญิงตั้งสามคนในที่นี้ ถ้างั้นฉันจะถามเรน่าก่อนเพราะดูแล้วเธอน่าจะแก้ปัญหานี้ได้”


“แล้วนายจะถามอะไร?” เรน่าถาม


“ตั้งแต่ที่เธอมาที่เมืองกระหายเลือด ประจำเดือนเธอมารึยัง?”


เรน่าชาไปทั้งหน้า และหญิงสาวที่เหลือเองก็หน้าแดง


แต่ชินยี่กลับทำสีหน้าจริงจังมาก


เรน่าคิดแล้วก็ส่ายหัว “ฉันคิดว่าที่เมืองกระหายเลือดนี่มันยกเลิกระบบบางอย่างของร่างกายเราออกไป…”


แม้เรน่าจะพูดแบบนั้นแต่เธอก็รู้สึกผ่อนคลาย


ชินยี่มองไปที่เหวินโหรวซึ่งก็ได้คำตอบเดียวกัน ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงอันเหวินด้วย


“แล้วนายถามทำไม?” เหวินโหรวถามกลับ


ชินยี่ยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัย”


“ไม่เชื่อหรอก อย่างนายเนี่ยนะแค่สงสัย” เหวินโหรวขยิบตาพร้อมทำสีหน้าแบบ ฉันรู้จักทุกอย่างเกี่ยวกับนายนะ


ชินยี่คิดแล้วก็ตอบ “ฉันแค่อยากรู้เฉยๆว่าที่เมืองกระหายเลือด และในภารกิจเนี่ย นอกจากอิสรภาพแล้วเรายังมีสิ่งที่ยังคงเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่บ้างไหม? เช่น พวกเลือดตกยางออก”


ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ตะลึง


จากนั้นเลคก็พูดขึ้น “เชี่ยอะไรล่ะนั่น? เราต้องคิดถึงการมีชีวิตรอดสิ ไม่ใช่คิดถึงการสร้างชีวิต”


“คำถามคือ ทำไม?”


“อาจจะเป็นการทำให้นักผจญภัยหญิงมีพลังที่ดีขึ้นเพราะไม่มีประจำเดือน?” เรน่าตอบ


ชินยี่ถามต่อ “แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้ชายก็ไม่ได้รับผลในส่วนนั้นน่ะสิ?”


“ก็อาจจะใช่ แต่นายก็ยืนยันไมได้หรอก”


“ถ้าเกิดว่านักผจญภัยชายไปมีอะไรกับผู้หญิงในโลกภารกิจ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ในโลกเสมือนนี่และสร้างชีวิตได้ไหม? แล้วถ้าสร้างได้สิ่งที่กำเนิดออกมาจะเป็นอะไรล่ะ? ของจริง? หรือของเสมือน?” ชินยี่ถาม


ทุกคนแน่นอนว่าตะลึงกับคำถามเหล่านี้


ฮงหลานอ้าปากค้าง ก่อนจะพูดขึ้น “นายน่ะคิดมากไปแล้ว”


ชินยี่ยิ้มและจิบน้ำ เขาขอบุหรี่จากบริกรและสูบมัน “มันมีปัญหาหลายๆอย่างในโลกนี้ที่เราต้องหาคำตอบ และปัญหาที่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องการเอาตัวรอด… ในความคิดของฉัน การเอาตัวรอดอย่างเดียวมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด”


จินกวงตอบกลับ “นั่นก็เพราะว่าพวกเราไม่มีใครที่อยากจะตายน่ะสิ… แต่กับนายมันไม่ใช่”


ชินยี่ขำ ไปพร้อมๆกับบรรจงกินอาหารกลางวันต่อ


ทุกคนยังพูดคุยกันต่อไป


ฮงหลานดื่มหนักมากและชูแก้วขึ้นพร้อมตะโกน “เอ้า! ดื่ม! เพื่อจีนอันยิ่งใหญ่และการร่วมมือกันระหว่างจีนกับอเมริกา!”


โทนเสียงเขาเหมือนกับพวกผู้นำประเทศที่ชอบนำพาความฉิบหายชอบกล


เจ้าอ้วนเองก็ดื่มจนเมา และพูดผิดๆออกไป “เพื่อปราบพวกปีศาจอเมริกาไชโย!”


พวกนักผจญภัยตะวันออกขำกันหมดทุกคน แต่เรน่ากับพวกอเมริกันเท่านั้นที่จ้องไปยังพวกเขา


เหวินโหรวเอาบ้าง “เพื่อการมีชีวิตรอด ไชโย!”


ชินยี่เสริม “เพื่ออิสรภาพ!”


เหวินโหรวมองไปที่เขาพร้อมด้วยสายตาที่จ้องมองอย่างลึกซึ้งและกระซิบกับเขา “ใช่ เพื่อมีชีวิตรอดและเพื่ออิสรภาพ!”


“เอ้า ชนแก้ว!”


ทุกแก้วชนกัน และแสงไฟก็พุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างช้าๆ


“นั่นมันสัญญาณนี่นา!” อันเหวินตะโกนพร้อมลุกขึ้นยืน


และพร้อมกันนั้นก็มีแผงหน้าจอแจ้งเตือนดังขึ้นมา


“รหัส E1244 เสียชีวิต”


“รหัส E2236 เสียชีวิต”


—————————


IA:เล่ม 3 บทที่ 32 ออกล่า (ตอนที่ 1)


 


นักผจญภัยทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกกับสัญญาณแจ้งเตือนที่ดังขึ้นมา


เหวินโหรวคือคนแรกที่วิ่งออกไปดูสัญญาณนั่นแล้วจึงหันกลับมาบอก “สัญญาณนั่นถูกส่งมาจากป่าบนถนน79”


ชินยี่ตะโกน “รีบไปช่วยพวกเขาเร็ว!”


ทุกคนรีบกรูกันออกมาจากร้าน โดยที่ยังไม่ทันได้จ่ายเงินแม้แต่คนเดียวกลายเป็นพวกกินแล้วชิ่งกันทั้งคณะเลยทีเดียว ทำให้ลูกค้าคนอื่นและบริกรงงกันทุกคน


แต่ก่อนจะได้ออกไปหมดทุกคน ชินยี่ก็หันกลับมาบอกกับสามคนนี้


“เหล่าเฮา เจอร์รี่ กับจิมมี่ พวกนายอยู่ที่นี่ห้ามไปไหนเด็ดขาด!”


“เรน่าเธอกับทีมล่วงหน้าไปก่อนเลย ถ้าเป็นพวกกลายพันธุ์ก็ให้ฆ่าทิ้งได้ทันที แต่ถ้าเป็นพวกตะวันออกสู้กับพวกตะวันตกสู้กันก็ไปหยุดนักผจญภัยของฝั่งตัวเองซะ และถ้าเป็นเขตอื่นล่ะก็ให้ทำเป็นว่าไม่รู้จักฉันแล้วจากนั้นก็ฆ่าพวกมันทิ้งได้เลย!”


“รับทราบ!”  และทุกคนก็รีบวิ่งกันออกไป


ชินยี่รีบกลับไปขึ้นรถ จินกวงเหยียบคันเร่งและพารถวิ่งตรงไปยังถนน79ทันที


แสงไฟยังคงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ทุกๆคนจึงรีบทำตามแผนของตนเอง


รถของชินยี่วิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว เหวินโหรวที่นั่งอยู่ในรถมองไปทางแสงไฟนั่นด้วยกล้องส่องทางไกล และใช้พลังในการดักฟังของเธอ


“ได้อะไรมั่งไหม?” ชินยี่ถาม


“มันเงียบมาก…แปลกเกินไปแล้ว… ราวกับว่าไม่มีใครเคลื่อนไหวเลย” เหวินโหรวจ้องไปที่ป่านั่น “ฉันสัมผัสได้แต่ว่าไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เลย”


“พวกนั้นตายหมดแล้วเหรอ?” ฮงหลานถาม


ทันใดนั้นก็ได้มีประกาศแจ้งเตือนขึ้นมาอีก


“รหัส E3359 เสียชีวิต”


นักผจญภัยตะวันออกตายไปอีกคน


“เหวินโหรว!”


“ฉันไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ!” เธอตอบกลับ เธอหันทิศทางไปยังป่านั่นแต่กลับได้ยินแต่เพียงเสียงลมและใบไม้


“เป็นไปได้ยังไง?”


“ระวังตัวไว้ด้วย ศัตรูน่าจะแข็งแกร่งมากๆ” ชินยี่ทำสีหน้าจริงจัง


เมื่อรถของพวกเขาวิ่งไปถึงป่า ก็มีเสียงปืนดังขึ้นระรัวจากในป่า เหวินโหรวกรีดร้องออกมาก่อนที่จะตกรถลงจากหลังคา เพราะเสียงปืนเมื่อกี้แทบจะทำให้หัวของเธอระเบิด


แต่ชินยี่ก็จับมือเธอเอาไว้ทันเวลา ในขณะที่เขากำลังจะใช้สกิลฮีล เหวินโหรวก็ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร นี่มันแค่…”


“มันก็แค่เหมือนกับมีคนเอาพลุไฟมาจุดข้างๆหูเธอทำให้โสตประสาทเธอแทบจะระเบิดเลยใช่ไหม?”


“…ใช่” เหวินโหรวยิ้ม


เสียงปืนดังไปได้ซักพักแล้วจึงเงียบ


หน้าแจ้งเตือนขึ้นมาอีกครั้ง


“รหัส E2987 เสียชีวิต”


สีหน้าของทุกคนในที่นี้ซีดลงไปทุกทีๆ


ในเพียงไม่กี่นาทีนักผจญภัยตะวันออกตายไปถึงสี่คน


เมื่อรถของพวกเขาขับมาจนถึงทางเข้าป่า ชินยี่ก็บอกกับทุกคน “หยุดรถ แล้วเดี๋ยวพวกเราจะลงเดินกันต่อ”


จินกวงหยุดรถแล้วลงมา การที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการซุ่มโจมตีทั้งนี้ก็เพราะว่ารถของพวกเขานั้นคือเป้าหมายที่เห็นได้เด่นชัดมากแม้จะอยู่ในป่าก็ตาม


ด้านหลังพวกเขาก็มีกลุ่มของอันเหวินวิ่งตามมา


ทั้งเจ็ดคนค่อยๆเข้าไปในป่าด้วยความระมัดระวัง ต้นไม้ที่สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมพื้นที่แห่งนี้จนหมด จะมีก็เพียงแค่แสงอาทิตย์ที่สามารถส่องผ่านรูที่เหลือไว้จากใบไม้เท่านั้น


พื้นดินเป็นดินโคลนหนา ฮงหลานกับจินกวงอาสาเดินนำหน้า เหวินโหรวอยู่ด้านข้าง และชินยี่อยู่ตรงกลาง กลุ่มของอันเหวินทิ้งระยะห่างไปทางด้านหลังของพวกเขาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เวลาถูกซุ่มโจมตีแล้วจะโดนไปพร้อมๆกัน และเป็นการดูแลกันและกันไปในตัวด้วย


“เหวินโหรว?” จินกวงกระซิบ


“เงียบมาก” เธอตอบ


“พวกมันตายกันหมดแล้วรึไง?” ฮงหลานถามบ้าง


“เป็นไปไม่ได้” ชินยี่ส่ายหัว


“แล้วทำไมมันถึงได้เงียบแบบนี้ล่ะ?”


“พวกมันอาจจะหลบอยู่” ชินยี่มองไปรอบๆ “เพราะแถวนี้เหมาะแก่การซุ่มโจมตีมาก”


ในจังหวะนี้ เหวินโหรวชี้นิ้วไปทางทิศใต้ “มีคนอยู่ตรงนั้น!”


ทุกคนรีบหันอาวุธไปยังทิศทางนั้นทันที


เสียงวิ่งเหยียบใบไม้ดังออกมาชัดเจนว่ากำลังมีคนมาทางนี้ ยิ่งเสียงใกล้เข้ามามากเท่าใดทุกคนก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น


และเมื่อเสียงนั้นมาถึงก็ปรากฎร่างของชายคนนึงที่เปรอะเลือดไปทั้งร่าง


“เสี่ยวฉวน!” เหวินโหรวตะโกนเรียก


เขาคือนักผจญภัยที่เสียพี่น้องไปใน ปฏิบัติการณ์ Market Garden ที่ชินยี่เคยชวนเขาไปเมื่อเดือนที่แล้ว


จากตอนนั้นถึงตอนนี้รูปร่างของเขาก็แทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย


ลำคอของเขามีรอยตัดพร้อมกับเลือดที่ยังไหลอยู่ ตาซ้ายของเขาถูกควักออกไป มีรอยตัดที่แขนซ้ายยาวไปจนถึงไหล่ และมือขวาของเขากำปืนไว้อย่างแน่น…


เมื่อเขาเห็นพวกชินยี่ เขาก็พยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับไม่มีเสียงออกมาจากนั้นร่างของเขาก็ล้มลง


ชินยี่รีบวิ่งเข้ามาที่ร่างของเขา “เสี่ยวฉวน! เกิดอะไรขึ้น? บอกฉันมา!”


ดวงตาที่เหลือของเสี่ยวฉวนมองมาที่ชินยี่และพยายามจะพูดอีกครั้ง และคราวนี้กลับเป็นเลือดที่ทะลักพุ่งออกมาจากปากของเขา


ชินยี่ใช้พลังของเขาในการรักษา แต่กลับมีข้อความเด้งขึ้นมา


“เป้าหมายติดสถานะเฉพาะ ทักษะฮีลไม่มีผล”


เขาจึงเปลี่ยนมาเป็นใช้ปืนของเขายิงกระสุนรักษาใส่เสี่ยวฉวน และก็มีข้อความเด้งขึ้นเหมือนเดิม


“กระสุนรักษาไม่ได้ผล จนกว่าเป้าหมายจะหายจากสถานะเฉพาะ จะไม่สามารถรับการรักษาได้”


ชินยี่ตวาดอย่างโมโห “โธ่เว้ย! ฉันรักษาเขาไม่ได้!”


“เอายาฟื้นฟูให้เขาสิ!” ฮงหลานบอก


“ไม่ได้ผลหรอก! คอหอยเขาถูกตัดแถมเส้นเลือดยังฉีกขาดอีก เขากินหรือดื่มอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” อันเหวินพูดแทรก


————————————


IA:เล่ม 3 บทที่ 32 ออกล่า (ตอนที่ 2)


 


หลังจากมาที่เมืองกระหายเลือด นักผจญภัยทุกคนจะไม่มีจุดที่ทำให้ถึงตายแต่ร่ายกายของพวกเขาก็ยังสามารถถูกตัดหรือฉีกขาดได้ ถ้าพวกเขาเสียแขนไป เลือดจะลดลงแต่ก็ยังสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้แต่ว่าจะไม่สามารถงอกแขนกลับมาได้เหมือนเดิม ต่อให้ดวงตาหายไปรักษาไปก็จะไม่งอกกลับมาใหม่เช่นกัน และถ้าเกิดว่าสูญเสียหัวไป… ก็มีแต่ตาย


แน่นอนว่าแผลแค่นี้ไม่ทำให้เสี่ยวฉวนถึงตาย แต่การที่ลำคอของเขาได้รับบาดเจ็บนั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถใช้ยาฟื้นฟูได้ทุกชนิด


เมื่อเห็นผลเป็นแบบนั้นทุกคนก็ได้แต่สิ้นหวัง


ชินยี่ได้แต่จ้องมองเขาอย่างนั้น ดวงตาของเขาดำมืดสิ้นหวังยิ่งกว่าใดๆ


“เสี่ยวฉวน! บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้น! ใครทำร้ายนาย?” ชินยี่ถาม


เสี่ยวฉวนเปิดปาก แต่ด้วยลำคอที่ถูกตัดแหว่งไปทำให้เขาไม่สามารถส่งเสียงใดๆออกมาได้ แน่นอนว่าถ้าเป็นคนธรรมดาที่ไม่ใช่นักผจญภัยก็คงจะตายไปแล้ว


ในจังหวะนี้มือของเขาที่กำปืนอยู่ก็คลายออก และพยายยามวาดรูปไปบนพื้น ซึ่งได้เป็นรูปของตัวอักษร N


“พวกทางเหนือเหรอ?” ชินยี่ประหลาดใจ


เสี่ยวฉวนพยักหน้า ซึ่งทำให้เขาเสียเลือดมากขึ้นไปอีก ดวงตาของทุกคนแดงก่ำไปด้วยความเศร้า


และน่าแปลกใจมากกับการที่เขามีเลือดให้เสียเยอะขนาดนี้


“พวกมันมีกี่คน?”


เสี่ยวฉวนส่งเสียงประหลาดออกมา เขาพยายามทำนิ้วให้เป็นตัวเลขแต่ก็ไม่มีแรง มือของเขาสั่นอยู่อย่างนั้นจนสุดท้ายก็หมดแรงและสิ้นใจไป


“พวกมันมีกี่คน?” ฮงหลานยังคงถามอยู่


ชินยี่จับแขนของฮงหลาน “เขาตายแล้ว”


ในขณะที่กำลังวางร่างของเขาลงบนพื้น ก็ได้ปรากฎหีบขึ้นบนตัวของเขาจากความว่างเปล่า


ชินยี่กำลังจะหยิบหีบใบนั้น แต่สัญชาตญาณก็ได้เตือนเขาถึงภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา


“ระวัง!” ชินยี่ร้องบอกทุกคน


ในจังหวะเดียวกันต้นไม้ใกล้เขาก็ปรากฎร่างๆหนึ่งขึ้นพร้อมกับวิ่งตรงมาที่ชินยี่


อีกฝ่ายเข้ามาเร็วมากจนชินยี่หลบไม่ทันแน่ๆ เขาจึงเปลี่ยนไปเป็นขว้างหีบใส่เขาเพื่อถ่วงเวลา


หีบพวกนี้ก็เหมือนกับตราเลือด มันคือของที่ไม่มีวันถูกทำลายได้ มีหลายคนพยายามลบล้างตราเลือดแต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ บางคนถึงขั้นตัดแขนตัวเองทิ้งแต่มันก็จะไปปรากฎบนส่วนอื่นของร่างกายแทน


และในจังหวะที่เขาพุ่งมือขวาที่มีบางสิ่งส่องแสงได้ขนาดเล็กออกมา มันก็ชนกับหีบหลีกเลี่ยงหมัดสังหารไปได้


เขาเปลี่ยนไปใช้มือซ้ายและพยายามจับหีบใบนั้นไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อเขาได้หีบแล้วเขาก็กระโดดทันที พร้อมๆกันนั้นทุกคนก็ได้ระดมยิงใส่เป้าหมายที่อยู่กลางอากาศ เขาหมุนตัวกลางอากาศและเปลี่ยนให้การกระโดดกลายเป็นการเหาะพาร่างของตัวเขาเองไปที่นักผจญภัยคนอื่น


ภาพที่เห็นตรงหน้าพวกเขายากเกินจะอธิบาย และไม่มีใครสามารถตั้งรับมันได้ทัน เขาพุ่งไปหาฮงหลาน


ฮงหลานกู่ร้องพร้อมทิ้งปืนและง้างหมัดของเขาพุ่งเข้าใส่มัน แต่เขาก็ใช้หีบที่เก็บมาป้องกันไว้ได้


มันเรียนรู้จากการกระทำของชินยี่


หมัดของฮงหลานต่อยหีบกระเด็นออกไปแต่มันก็ยังมีแรงส่งส่งผลให้โดนร่างของมันอยู่ดี และมันก็สร้างความประหลาดใจด้วยการเปลี่ยนท่าทางการบินบนอากาศอีกครั้ง


กระสุนนับไม่ถ้วนพุ่งไปหามัน แต่มันก็พุ่งเป้าหมายไปหาหลีชูพร้อมด้วยมีดคม แต่หลีชูเองก็รวดเร็วพอ เขาทิ้งปืนและวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหลบแล้วจากนั้นก็ชักดาบขึ้นมาพร้อมกับใช้สกิล


“สกิล Cross Spliting (ระดับ 3) ทำการฟาดฟัน 3 – 10 ครั้งใส่เป้าหมาย ในแต่ละครั้งจะมีความเสียหาย 1 ใน 3 ของค่า Str ผู้ใช้งาน และสามครั้งแรกจะไม่สามารถหลบหรือป้องกันได้”


มันไม่คิดแม้แต่จะหลบและเลือกรับสกิลของหลีชูพร้อมกับทิ้งร่างของมันใส่เขา จากนั้นมันก็กระหน่ำแทงใส่ร่างของหลีชูหลายครั้งและปิดท้ายด้วยการเหยียบอย่างแรงใส่ร่างของหลีชูพร้อมด้วยใช้มีดของมันปาดคอเขา สุดท้ายมันก็กระโดดขึ้นไปเกาะกิ่งไม้เพื่อใช้ดีดตัวมันขึ้นไปบนฟ้า


หลีชูล้มลงและร่างปริศนานั่นก็หายตัวไปอย่างลึกลับ


กระสุนจำนวนมากพุ่งเข้าไปที่ต้นไม้นั่นและทำลายจนสิ้นซาก จากนั้นจึงหยุดลง


ชินยี่ตรวจสอบรอบๆก่อนจะพูดขึ้น “ยิงไม่โดนซักนัดเลย”


“เป็นไปได้ยังไง?” ฮงหลานตะโกน


ทั้งๆที่เจ็ดต่อหนึ่งแท้แต่กลับไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย ฮงหลานรู้สึกเจ็บจี๊ดในอกเบาๆ


อันเหวินร้องไห้วิ่งเข้ามาหาหลีชูพร้อมเรียกชื่อเขา “หลีชู!”


ชินยี่มองกลับไปก็เห็นอันเหวินกำลังอุ้มร่างของหลีชูอยู่ เขาถูกแทงทั้งหมด 6 แผลแต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือคอของเขาถูกตัดจนเป็นแผลแบบเดียวกับเสี่ยวฉวนพร้อมด้วยเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด


ชินยี่รีบวิ่งเข้าไปเอามือปิดที่แผล พร้อมกับส่ายหัวไปที่อันเหวิน


เธอพยายามข่มตาของเธอลง


หลีชูได้รับบาดเจ็บแบบเดียวกับเสี่ยวฉวน เป็นเหยื่อที่ทำได้แค่รอวันตาย


ไม่นานหลังจากนั้นหลีชูก็พลังชีวิตหมดลง


ทุกคนมองร่างของเขาด้วยความสั่นเทา


มันเป็นใครกันแน่? แม้ว่าจะมีกันถึง 7 คนก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีของเขาได้ แถมมันยังฆ่าเพื่อนเขาไปอีก 1 คนอีก


————————————


IA:เล่ม 3 บทที่ 33 ตัดกิ่งก้าน (ตอนที่ 1)


 


ชั่วโมงที่ 55


ในป่าแห่งนี้มีความโศกเศร้าปกคลุมไปทั่ว


ทั้งหกคนยืนล้อมกันเป็นวงกลมระวังภัยให้กันและกัน


ชินยี่บอก “เราต้องระวังกันให้มากขึ้น ไอ้หมอนั่นมันยังอยู่ที่นี่ เหวินโหรวเธอได้ยินอะไรไหม?”


เหวินโหรวตอบกลับ “ไม่… ไม่ได้ยินเลย นายเห็นไหมว่ามันมาจากไหน?”


ชินยี่ส่ายหัว “ไม่เลย มันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันโชคดีที่ยังรอดมาได้ หมอนั่นมันเร็วมากๆ”


“เขาเร็วมากจริงๆ ค่า Agility น่าจะเกิน 60” จินกวงตอบ “ว่าแต่หมอนั่นมีเงินพอที่จะอัพสเตตัสได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”


ชินยี่ส่ายหัว “นั่นไม่น่าจะใช่สเตตัสอย่างเดียวแล้ว มันน่าจะมีไอเทมคอยช่วยอยู่”


แม้แต่เขาก็ยังไม่มีเวลาที่จะใช้สกิลตรวจสอบมันเลยด้วยซ้ำ


ก่อนที่มันจะถูกโจมตี มันใช้สกิลไปแล้วถึงสามสกิล สกิลการตัดคอนั่นมาจาก DoT แน่ๆ, สกิลที่ทำให้เขาเปลี่ยนทิศทางของตัวเองกลางอากาศได้ และสกิลอำพรางตัว


สามสกิลนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมาก แต่เมื่อใช้ในพื้นที่ป่าแบบนี้มันทำให้การล่าเป็นไปตามที่เขาต้องการ


ในจังหวะที่มันทำการโจมตีชินยี่แอบไปเห็นหน้าของมันเข้า


ผิวสีดำพร้อมด้วยลวดลายประหลาดบนใบหน้า,ขนนกประหลาดบนหัวล้านของมัน,สร้อยคอที่ทำจากกระดูกสัตว์,แขนยาว และเท้าเปล่า


ภาพที่เขาเห็นจินตนาการออกมาเป็นพวกคนเถื่อนจากชนเผ่าแอฟริกาได้เลย


ถึงแอฟริกาจะเป็นประเทศเขตร้อน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีป่าดงดิบ บางเผ่าอาศัยอยู่ในป่าแบบนั้นทำให้ป่าแถบนั้นเปรียบเสมือนบ้านของเขาโดยที่มีงูและปลิงเป็นสัตว์เลี้ยง บางเผ่าก็ใช้การพลางตัวพร้อมด้วยอาวุธสุดโบราณพรั่งพร้อมไปด้วยความกล้าหาญและจิตใจที่แน่วแน่ทำให้เขาเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์


พวกเขามีความอดทนที่สูงมากเมื่อต้องล่าเหยื่อที่ใช้เวลานาน


และด้วยความสามารถที่เมืองกระหายเลือดเพิ่มเข้ามาให้อีก ทำให้มันแทบจะกลายเป็นสุดยอดนักรบไปเลยโดยที่มีหมอนี่เป็นข้อพิสูจน์


นักผจญภัยของทางเหนือแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งในแบบของตัวเอง ครั้งที่แล้วพวกชินยี่ได้เจอกับพวกที่ต่อสู้ระยะประชิด แต่ในครั้งนี้พวกเขาพบกับพวกสายลอบสังหาร พวกเขาไม่สามารถรับมือการโจมตีแบบนี้ได้ทันท่วงที และการโจมตีของมันยังอันตรายถึงตายอีกด้วย


“เราจะทำยังไงกันต่อ?” ฮงหลานถาม


ชินยี่หยุดและคิด


ณ พุ่มไม้ที่ห่างจากเขาไปไม่ไกลมันก็ส่งเสียงประหลาด


ทุกคนมองที่พุ่มไม้นั่นพร้อมกันและระดมยิงใส่มันจนพุ่มไม้นั่นแทบพรุน


จากนั้นสิบวินาที เสียงปืนก็หยุดลง


ฮงหลานพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้นั่น และกลับออกมาพร้อมกับกระต่ายที่โชกไปด้วยเลือด “ไอ้หมอนั่นกลายเป็นอาหารเย็นของพวกเราซะแล้ว”


ทุกคนจำออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น “นายนี่มันไม่กลัวอะไรเลยสินะ?”


อันเหวินจ้องไปที่ชินยี่ “นี่นายยังขำได้อีกเหรอ?”


“เธอต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายบ้างนะ เธอไม่คิดเหรอว่าพวกเรากำลังระแวงมากจนเกินไป? และการระแวงนั่นจะทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียกำลังพร้อมด้วยทำให้ประสาทและการตอบสนองของพวกเราทื่อลง อันเหวินฉันรู้ว่าเธอกับหลีชูเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่คนตายยังไงก็คือคนตาย และอย่าบอกฉันเชียวนะว่าตั้งแต่มาที่เมืองกระหายเลือดนี่เธอยังไม่ชินกับความตาย ควบคุมอารมณ์ของเธอหน่อยสิ! เมืองกระหายเลือดไม่ต้องการความรู้สึกไร้สาระนั่นหรอกนะ!”


เมืองกระหายเลือดไม่ต้องการความรู้สึกไร้สาระนั่นหรอกนะ ประโยคนี้ทำเอาทุกคนตะลึงไปตามๆกัน


เหวินโหรวมองชินยี่อย่างประหลาด แต่ใบหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง


นายคิดว่าเมืองกระหายเลือดไม่ต้องการความรู้สึกไร้สาระพวกนั้นจริงๆเหรอ? เหวินโหรวถอนหายใจในอก


“นายบอกเองนะว่าหมอนั่นมันไปแล้วน่ะ? แถมทุกคนยังบาดเจ็บด้วย” นักผจญภัยหยางปิงถาม


ในช่วงชุลมุนเขารับคลื่นแรงจากหมัดของฮงหลานด้วยแถมยังโดนลูกหลงจากหลีชูอีก หยางปิงเป็นสายความเร็วดังนั้นความเสียหายที่ได้รับจึงไม่ใช่น้อยๆ


แต่ชินยี่ไม่เห็นด้วย “ไม่ หมอนั่นยังไม่ไปไหน รอจังหวะที่จะเก็บศพพวกเราทีละคนๆ”


“นายรู้ได้ไง?” คนอื่นๆถาม


“เพราะว่ามันคือเทคนิคของเขา!” ชินยี่ตอบ “เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นมันก็ไม่คิดจะหนีหรอก บาดแผลมันก็แค่เล็กน้อยสำหรับมัน ยังไงมันก็ใช้ยาฟื้นฟูได้อยู่แล้ว มันไม่คิดจะถอยแน่ๆ”


“มันบ้ารึไง? นี่มันโหมดภารกิจนะ ไม่ใช่โหมดฆ่ากันเอง มันจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร?” หยางปิงยังไม่เข้าใจสถานการณ์โดยรวม


ชินยี่ยิ้ม “ไม่ มันไม่ได้บ้าแต่มันเป็นสิ่งที่มันจำเป็นต้องทำ”


“อะไรล่ะ?”


“กฎของธรรมชาติ ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ” ชินยี่ตอบ


นักผจญภัยที่คอยดักฆ่าคนอื่นก็คือคนธรรมดาที่ต้องกินอยู่ทั่วไป


แต่มันคือนักฆ่าที่ฆ่าเพื่อเหตุผลส่วนตัวเท่านั้น มันไม่ได้ล่าแม้แต่เพื่อหีบด้วยซ้ำ


ความบ้าคลั่งนี้ฝังรากลึกลงไปในตัวมันขับเคลื่อนให้พวกมันแข็งแกร่งและไร้ความปราณี


ดังนั้นมันจะมีสองทางเลือกนั่นก็คือ ตายอย่างน่าเวทนา กับ กลายเป็นศัตรูที่ทรงพลัง


คำพูดของชินยี่ทำเอาทุกคนประหม่ากันไปหมด


อันเหวินหัวหน้าไปทางป่าและตะโกน “ออกมาสิ เจ้าสัตว์ป่า!”


เสียงของเธอก้องไปทั้งป่าแต่ไม่มีการตอบสนอง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวจนเธอวิ่งเข้าไปในป่าและชักปืนออกมายิงอย่างบ้าคลั่ง


ต้นไม้ใบหญ้าร่วงล้มลงระเนระนาด ปลอกกระสุนกระทบกันนัดต่อนัดตามด้วยเสียงร้องไห้ของอันเหวิน


“กลับมานี่อันเหวิน!”


ปรากฎเงาขึ้นในพุ่มหญ้าใกล้เคียง มันพุ่งตรงไปยังอันเหวิน


ชินยี่ยิงออกไปสามนัดในเงานั่น แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อกระสุนของเขากระทบเป้าหมายแต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีขยับเลยแม้แต่น้อย ในจังหวะเดียวกันนั้นอันเหวินก็เล็งปืนของเธอไปที่เงานั่นและสาดกระสุนแบบไม่ยั้งมือ


เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่ามันคือศพของนักผจญภัยกลุ่มเดียวกับเสี่ยวฉาน


“ข้างหลัง!” ชินยี่ตะโกนบอก


อันเหวินรีบหันกลับไปและพบกับมีดคมกริบกำลังเข้าใกล้คอของเธอ


ฮงหลานพุ่งเข้าไปและต่อยอันเหวินจนกระเด็นออกไปโดยที่มีดนั่นพุ่งเข้าแขนของอันเหวินแทน มันบาดลึกจนเป็นแผลใหญ่ และมือซ้ายของฮงหลานก็เหวี่ยงขวานใส่ศัตรู


ร่างปริศนานั่นคำรามเสียงประหลาดออกมาและร่างของมันก็พุ่งกลับไปทันทีอย่างนิ่มนวลไม่แม้กระทั่งหยุด ราวกับหักล้างทุกกฎบนโลก


————————————-


IA:เล่ม 3 บทที่ 33 ตัดกิ่งก้าน (ตอนที่ 2)


 


ฮงหลานตะลึงในการพลิกผันของมัน มันกระโดดถอยกลับไปยังพุ่มไม้ที่มันพุ่งออกมาและหายไปอีกครั้ง


ทุกคนรีบวิ่งไปที่พุ่มไม้นั่นและไม่พบกับอะไรซักนิด


“บ้าเอ้ย! บ้าจริง! บ้าที่สุด!” ฮงหลานโกรธพร้อมสบถคำด่ามากมาย “ไอ้เวรตะไลนี่มันมีสกิลอะไรวะ? แล้วมันหายไปได้ยังไง?”


“บางทีอาจจะเป็นความสามารถในการหายตัว แต่ไม่สามารถใช้ได้เมื่อถูกโจมตี” ชินยี่พูด


“เหมือนพวกยาล่องหนเหรอ?” เหวินโหรวถาม


ชินยี่พยักหน้า “ใช่”


“เป็นไปไม่ได้ สกิลที่แย่ที่สุดสำหรับการพรางตัวคือแรงค์ B” จินกวงพูด เขาเคยเห็นสกิลแรงค์ B ที่ใกล้เคียงกันแบบนี้จากในร้านค้า ตอนนั้นเขารู้สึกอิจฉาคนที่มีสกิลนี้เป็นอย่างมาก


“นักผจญภัยระดับเดียวกับเราไม่น่าจะมีสกิลแบบนี้ได้นะ บางทีเขาอาจจะมีสกิลที่คล้ายคลึงกันก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องมีข้อเสียหรือข้อจำกัดบ้างแหละ บางทีมันอาจจะไม่ใช่การล่องหนก็ได้?”


ชินยี่ดวงตาเป็นประกาย


ถ้ามันไม่ใช่สกิลพรางตัว แล้วมันคืออะไรล่ะ? สมองของชินยี่ประมวลผลอย่างรวดเร็ว


จู่โจมจากต้นไม้


หมุนตัวกลางอากาศ


จังหวะเพียงเสี้ยววินาทีในการเปลี่ยนแปลง


พร้อมด้วยรอยยิ้มน่ากลัว,สายตาที่เยือกเย็น,มือที่ถือมีด มันช่างน่าแปลกและฉงนใจยิ่ง


สมองของชินยี่ประมวลผลราวกับเครื่องเล่นหนังในระดับวินาทีต่อวินาที ฉากต่อฉาก


“อ๊อก!” เขาตะโกนขึ้นพร้อมกับอาเจียนออกมา


“ชินยี่!” เหวินโหรวรีบวิ่งไปหาเขา “เกิดอะไรขึ้น?”


“ไม่… ไม่เป็นไร” ชินยี่ส่ายหัวพร้อมคำตอบ “แค่ปวดหัวนิดหน่อยนะ บางทีอาจจะใช้สมองมากไปก็ได้”


“แล้วได้อะไรมั่ง?” เหวินโหรวถามต่อ


“นิดหน่อย แต่ยังไม่แน่ใจ” ชินยี่ตอบ “แต่ถ้ามีครั้งหน้าฉันเดาได้เลยว่า ฉันจะมองรูปแบบของมันออก”


เขากระซิบไปที่ข้างหูเหวินโหรว ดวงตาของเธอเบิกกว้างก่อนที่จะมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ


ชินยี่พยักหน้าให้เธอ


“เข้าใจแล้ว” เหวินโหรวตอบกลับ


คราวนี้ฮงหลานคือคนที่ดูแลบาดแผลของอันเหวิน


สกิลที่มันใช้โจมตีอันเหวินสร้างความเสียหาย 10 หน่วย และทำความเสียหายต่อเนื่อง 8 หน่วยต่อวินาทีเป็นเวลา 15 วินาที ฮงหลานพยายามใช้ผ้าพันแผลห้ามเลือดแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะค่าเล็งเป้าที่น้อยเกินไป


ดูจากรูปแบบของสกิลแล้วน่าจะอยู่ในระดับ 4 หรือ 5


สกิลนี้ไม่ได้รุนแรงอะไรมาก กุญแจสำคัญก็คือโจมตีให้โดนลำคอเพื่อสร้างความเสียหายสองเท่าจากการโจมตีจุดอ่อนและยังเป็นการตัดการฟื้นฟูของเป้าหมายด้วย เรียกว่า ฟันทีเดียวตาย หรือถ้าอีกฝ่ายดันมีค่าพลังชีวิตที่สูงเกินไปมันก็จะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจากการโจมตีธรรมดาก่อนที่จะปิดฉากสังหารด้วยสกิลเดิม


ชินยี่มองไปที่บาดแผลของอันเหวินและเข้าใจสกิลที่ว่านี้ทันที


“หมอนี่มันไม่น่าจะมีแค่สามสกิลนะ อาจจะมีสกิลอื่นซ่อนอยู่” เขาบอก


“ใช่ทักษะ Expert Fighting Forte ไหม?”


“ฉันคิดว่าไม่” ชินยี่ปฏิเสธ “รูปแบบของมันคือการลอบสังหาร มันไม่น่าจะใช้เงินไปอัพ Fighting Forte หรอก มันน่าจะเลือกอย่างอื่น”


“งั้นจะเป็นอะไร?”


ในขณะที่ชินยี่กำลังจะตอบ ก็มีเสียงวิทยุดังขึ้นด้วยเสียงของเรน่า


ก่อนจะเข้ามาในป่านี้ เรน่าถูกขอร้องให้ไปขอความช่วยเหลือจากด้านนอก


เธอตะโกนผ่านวิทยุด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “ชินยี่! พวกเราถูกโจมตี!”


ชินยี่ประหลาดใจ “มันเป็นใคร?”


“นักผจญภัย”


“จำนวนคนล่ะ?”


“ห้าคน เลคเองก็บาดเจ็บด้วย”


ทุกคนช็อคไปตามๆกัน


ในป่านี้มีนักผจญภัยจากทางเหนือมากกว่าหนึ่งงั้นเหรอ?


“พวกเรากำลังไป!” ชินยี่ตะโกนบอก


หลังจากที่วางสายเขาก็ออกคำสั่ง “รีบไปช่วยเรน่า!”


อันเหวินถามกลับ “แล้วหมอนี่ล่ะ? เราจะปล่อยมันไว้แถวนี้จริงๆเหรอ?”


“ไม่ต้องห่วง” ชินยี่ตอบน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะอยู่รอมันที่นี่ มันไม่ปล่อยพวกเราไปหรอก และฉันก็จะไม่ปล่อยให้มันไปไหนเช่นกัน”


———————————-

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม