Hunter’s Lady ดรุณีสุดที่รัก 132-138

ตอนที่ 132 ลงหลักปักฐาน

พวกเขาต่างจ้องมองเซียวจิงซันที่ถือผ้าอ้อมเปียกฉี่เดินออกไปด้านนอกแล้วพากันอุทานออกมา “ท่านแม่ทัพเซียวซักผ้าอ้อมเป็นด้วย!”


เผยจั้นเฟิงมองทุกคนแวบหนึ่ง ก่อนจะตีหน้าขรึมสั่งให้ทุกคนตามเซียวจิงซันออกไป แต่ทุกคนเหมือนไม่เข้าใจ เอาแต่ยืนนิ่งจ้องมองทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของเหมยจื่อ


เผยจั้นเฟิงจึงชักสีหน้าแล้วส่งเสียงตะเบ็งออกมาว่า “พวกเจ้าจะมาตะลึงอยู่ตรงนี้ทำไม ยังไม่รีบออกไปอีก!”


พวกเขาต่างทำอะไรไม่ถูก ได้แต่แสร้งทำเป็นลูบหน้าปะจมูกไปมา แล้วพากันเดินตามเผยจั้นเฟิงออกไปด้านนอก พอเห็นว่าทุกคนออกมากันครบแล้ว เผยจั้นเฟิงยังช่วยปิดประตูบ้านให้เหมยจื่อด้วย


เหมยจื่อเห็นท่าทางของเผยจั้นเฟิงก็อดรู้สึกซาบซึ้งใจในความละเอียดอ่อนของเขาไม่ได้ นางนั่งลงบนขอบเตียง อุ้มลูกน้อยไว้แนบอกแล้วเปิดเสื้อออกเพื่อให้ลูกกินนม


เซียวจิงซันกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงลานหน้าบ้านหยิบอ่างน้ำที่ใช้ซักผ้าอ้อมออกมา เผยจั้นเฟิงเองก็พลอยนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นเพื่อพูดคุยกับเขาด้วย เมื่อเห็นทั้งสองนั่งยองๆ อยู่ คนที่เหลือก็ไม่กล้ายืนและก็ยิ่งไม่กล้านั่งจึงนั่งยองๆ ตามกันไปหมด


เซียวจิงซันซักผ้าอ้อมพลางพูดคุยไปด้วยว่า “ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านในป่าเขา ข้าเองก็เป็นแค่นายพรานธรรมดาๆ คนหนึ่ง ต่อไปก็ไม่ต้องเรียกว่าท่านแม่ทัพกับฮูหยินอะไรนั่นอีก”


เผยจั้นเฟิงพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้ามองทุกคน “ที่ท่านแม่ทัพใหญ่พูด พวกเจ้าจำได้หรือไม่?”


“จำได้ขอรับ” ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียง


สายตาของเซียวจิงซันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มขณะมองเผยจั้นเฟิงอย่างจนใจ


เผยจั้นเฟิงจึงรู้ตัว เขายกมือขึ้นลูบจมูกตนเอง ก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า “อืม ข้าก็จำได้แล้วพี่เซียว”


ด้านนอกพวกผู้ชายพูดคุยกันเรื่องต่างๆ อยู่พักใหญ่ ส่วนด้านในเหมยจื่อก็ให้ลูกน้อยกินนมจนอิ่มแล้ว นางสวมเสื้อปิดมิดชิดอย่างเรียบร้อยก่อนจะกล่อมลูกน้อยให้นอนหลับแล้ววางเขาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นหญิงสาวก็หันมองออกไปทางหน้าต่าง


เหมยจื่อพบว่าด้านนอกยังคงมีหิมะโปรยปรายอยู่ ท่ามกลางละอองหิมะที่ร่วงหล่นมีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่นั่งยองๆ ไม่พูดไม่จากันอยู่เต็มลานบ้าน เฝ้ามองเซียวจิงซันซักผ้าอ้อม


และนอกลานบ้านยังมีอดีตม้าศึกอยู่อีกฝูง ตอนนี้พวกมันกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ บนหลังแบกสัมภาระที่ว่ากันว่ามีทั้งรังนก สร้อยกับจี้คุ้มภัยและหยกคุ้มภัยอะไรพวกนั้น


.


ผ่านไปครู่หนึ่งเซียวจิงซันก็ซักผ้าอ้อมเสร็จ


เขาใช้มือรูดเกล็ดหิมะที่เกาะอยู่บนราวเชือกออกแล้วนำผ้าอ้อมไปตาก เผยจั้นเฟิงมองตามด้วยความสงสัย “ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ตากผ้าไว้ตรงนี้จะไม่กลายเป็นน้ำแข็งไปหรือ?”


เซียวจิงซันจึงอธิบายว่า “ปกติแล้วก็จะเอาไปอังไว้ข้างเตาไฟ แต่วันนี้ข้างเตาไฟก็ตากไว้เต็มไปหมดจึงต้องเอามาตากไว้ตรงนี้ก่อน อีกเดี๋ยวค่อยเอาเข้าไปด้านใน”


เผยจั้นเฟิงฟังแล้วก็กระจ่าง กล่าวอย่างเข้าใจว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”


ทุกคนที่อยู่รายรอบพยักหน้าหงึกหงักตามไปด้วย “ยามพี่เซียวอยู่ในสนามรบก็วางแผนแยบยลยิ่ง ตอนนี้แม้แต่งานในบ้านก็จัดการได้อย่างรอบคอบไม่แพ้กันเลย”


เหมยจื่อที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างในบ้านพอได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา นางใช้นิ้วจิ้มเบาๆ ตรงหว่างคิ้วของลูกน้อยที่กำลังหลับสนิทแล้วเปรยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เห็นหรือยัง ท่านพ่อของเจ้าเคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ตอนนี้กำลังซักผ้าอ้อมให้เจ้าอยู่ด้านนอก ต่อไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเจ้าต้องเป็นคนเก่งเช่นกันนะ”


.


หลังจากซักผ้าอ้อมเสร็จ


เซียวจิงซันมองฝูงม้าที่ยืนเงียบสงบอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปราย แล้วหันกลับมามองบรรดาสหายที่ยังยืนจ้องตนเองตาปริบๆ จากนั้นก็คิดถึงปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


ยามที่อากาศเหน็บหนาวถึงเพียงนี้ ภายในบ้านห้องหับก็น้อยนักแล้วจะให้พวกเขาพักกันอย่างไร?


อันที่จริงพวกโจรป่าก็เคยปลูกกระท่อมอยู่ที่นี่ แต่เพราะปล่อยทิ้งร้างเอาไว้นาน ตอนนี้แม้แต่หลังคาใบจากของกระท่อมก็ถูกลมพัดปลิวไปหมดจึงไม่อาจเข้าไปพักอาศัยได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากคนแล้วก็ยังมีฝูงม้า คอกลาของที่บ้านของตนคงไม่พอให้ม้าทั้งหมดเข้าไปอยู่ได้แน่


ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี เซียวจิงซันก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งทั้งส่งเสียงพูดคุยทั้งหัวเราะเดินมาแต่ไกลและกำลังมุ่งหน้ามาทางตน พอพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ก็พบว่าเป็นเฉินหงอวี่ เหยียนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ตื่นกันตั้งแต่เช้าแล้วชักชวนกันมาเพราะได้ยินว่ามีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ขี่ม้ามาที่บ้านของเซียวจิงซัน


หากจะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้พวกของเฉินหงอวี่และบรรดาโจรป่าเคยร่วมกันต่อสู้กับฝูงหมาป่าเพื่อปกป้องคนในหมู่บ้าน นับแต่นั้นพวกเขาก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี พอมองจากที่ไกลก็จดจำกันได้ทันที เฉินหงอวี่หัวเราะจนเห็นฟันขาวเรียงเต็มปากพร้อมทั้งตะโกนเสียงดังว่า “นั่นพี่เผยไม่ใช่หรือ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมา!”


พวกโจรป่าเองก็จำได้ว่าผู้ที่ตะโกนเรียกคือเฉินหงอวี่ พวกเขารีบวิ่งออกไปที่ประตูใหญ่แล้วทักทายเสียงดังกลับไป ต่างฝ่ายต่างดีใจที่ได้เจอมิตรสหายที่จากกันไปนาน บ้างก็ตบบ่าบ้างก็โอบไหล่ มิตรภาพของชายหนุ่มที่เคยร่วมมือร่วมแรงขับไล่ฝูงหมาป่าให้ล่าถอยนั้นหยั่งลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขาอย่างไม่มีวันลบเลือน


สุดท้ายแล้วเป็นเฉินหงอวี่ที่ตบบ่าของเผยจั้นเฟิงแล้วกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ถือเสียว่าพวกท่านได้กลับบ้านแล้ว!”


ประโยคนี้ทำเอาชายฉกรรจ์อกสามศอกอย่างเผยจั้นเฟิงถึงกับขอบตาแดง เขากุมมือของเฉินหงอวี่ไว้แน่น กล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ต่อจากนี้หมู่บ้านลี่สุ่ยก็คือบ้านของพวกข้า ยามนี้พวกข้ากลับจากทำศึกแล้ว!”


เฉินหงอวี่ยิ้มอย่างยินดี “กลับมาก็ดี น้องชายคนเล็กของข้าก็ไปร่วมทำศึกกับกองทัพเช่นกัน ไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีจดหมายมาบอกว่ากำลังจะกลับ พ่อแม่ของข้าจึงปรึกษากันว่าจะให้เขาแต่งงานมีครอบครัวเสียที ในเมื่อพวกท่านกลับมาแล้ว ข้าจะไปบอกพวกแม่สื่อทาบทามผู้หญิงดีๆ มาให้พวกท่านด้วย เอาอย่างพี่จิงซันสร้างครอบครัวและปลูกบ้านช่องใหม่”


เผยจั้นเฟิงได้ยินก็มีสีหน้าลำบากใจ “โธ่! พูดไปถึงไหนกันนี่ พวกข้าทั้งจนทั้งไม่มีอะไร หญิงสาวที่ไหนจะยอมแต่งงานด้วย สุดท้ายคงต้องโดดเดี่ยวตามเคย”


เฉินหงอวี่กลับไม่เห็นด้วย เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางหัวเราะ จากนั้นก็หันไปมองบรรดาพี่น้องที่อยู่ด้านหลัง “พี่เผยของพวกเจ้าบอกว่าจะไม่แต่งงาน หรือพวกเจ้าก็ตั้งใจจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ?”


บรรดาพี่น้องอดีตโจรป่าต่างพากันกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็มีพวกใจกล้าหน่อยที่หัวเราะแล้วตะโกนตอบไปว่า “พวกเราไม่ยอมอยู่เป็นโสดแน่!”


เหยียนที่ยืนทำหน้าเคร่งขรึมไม่พูดไม่จามาตลอดกลับพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าดูสหายเซียวเป็นแบบอย่าง เขาก็กลับมาจากภายนอกเหมือนพวกเจ้า เดิมทีก็อาศัยอยู่ตัวคนเดียว เก็บตัวเงียบไม่ชอบพูดคุยกับใคร หลังจากนั้นก็ได้แต่งงานกับเหมยจื่อ แล้วดูตอนนี้สิ! มีทั้งครอบครัวทั้งการงานและยังมีลูกน้อยน่ารักอีกด้วย ชีวิตความเป็นอยู่นับวันก็ยิ่งสบายขึ้นเรื่อยๆ”


พี่น้องทุกคนพากันแอบชำเลืองมองเผยจั้นเฟิง “พวกข้าก็ต้องเอาอย่างพี่เซียวอยู่แล้ว อยู่ที่หมู่บ้านลี่สุ่ยหาผู้หญิงมาแต่งด้วยสักคนหนึ่ง”


เผยจั้นเฟิงจำต้องพูดด้วยสีหน้าจนใจ “เอาเถอะ! ต่างคนต่างคิดหาวิธีตบแต่งกันเองแล้วกัน ตกลงว่าพวกเราจะลงหลักปักฐานมีเมียมีลูกกันอยู่ที่นี่!”


บรรดาพี่น้องต่างมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็โห่ร้องส่งเสียงดังอื้ออึง


เผยจั้นเฟิงถึงกับส่ายศีรษะอย่างระอา ส่วนเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ตบบ่าของเขาเป็นการปลอบแล้วบอกว่า “นี่เป็นธรรมชาติของลูกผู้ชาย”


.


พอมีคนมากขึ้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูง่ายขึ้น


ยามนี้ปัญหาเรื่องว่าพวกโจรป่าจะอยู่อาศัยกันอย่างไรได้กลายเป็นปัญหาของทุกคนไปเสียแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงช่วยกันออกความเห็นต่างๆ นานา สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า…


ก่อนอื่นต้องให้พวกเขาแยกย้ายกันไปนอนตามบ้านของชาวบ้านก่อนสักระยะ หลังจากนั้นก็รีบซ่อมแซมกระท่อมหลังเก่าที่ผุพัง อย่างน้อยก็ต้องมุงหลังคาเสียใหม่ให้พอมีที่บังแดดกันฝน เช่นนี้ปัญหาเรื่องที่พักอาศัยก็หมดห่วงไปได้


ส่วนเรื่องฝูงม้า เฉินหงอวี่เสนอขึ้นมาว่าอันที่จริงก็มีบางครอบครัวในหมู่บ้านที่เลี้ยงม้าเลี้ยงลาอยู่ด้วย ดังนั้นก็จะมีคอกเลี้ยงสัตว์อยู่ที่บ้าน ในเมื่อมีคอกอยู่แล้วหากจะเลี้ยงม้าเพิ่มอีกสักตัวก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงจัดให้ม้าแต่ละตัวถูกนำไปเลี้ยงตามบ้านเรือนของชาวบ้าน เมื่อถึงเวลาหากใครมีความจำเป็นต้องใช้สัตว์พาหนะก็สามารถมาหยิบยืมม้าของพวกเขาไปใช้ได้ ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย


พอได้ฟังข้อเสนอที่ดีเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะได้รับเสียงปรบมือจากทุกคน บางคนยังกล่าวชื่นชมด้วยว่าเฉินหงอวี่นั้นเป็นคนฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ดังนั้นคนในหมู่บ้านที่มีคอกเลี้ยงสัตว์จึงให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มอกเต็มใจ ท้ายที่สุดปัญหานี้ก็สะสางได้เป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน


—————————————————————————————————–

 

 

 


ตอนที่ 133 เด็กน้อยฟ่านถวน

 

เผยจั้นเฟิงจึงสั่งให้ทุกคนปลดสัมภาระและเอาข้าวของต่างๆ ลงจากหลังม้าเสียก่อน


ม้าแต่ละตัวบรรทุกของมาเป็นจำนวนมาก ทว่าของส่วนใหญ่กลับไม่ใช่ของพวกตน แต่เป็นของที่ซื้อมามอบให้เซียวจิงซันกับเหมยจื่อ และแน่นอนว่าต้องมีส่วนของชาวบ้านในหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย


ไม่นานทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ข่าวว่าพวกโจรป่ากลับมาแล้ว จึงมีชาวบ้านทยอยกันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย พวกเขาเองก็ใจกว้างไม่น้อย เอาข้าวของมากมายมาแบ่งปันแจกจ่ายให้กับทุกๆ บ้าน พอพวกชาวบ้านเห็นว่าเป็นของที่หาได้ยากก็ไม่กล้าที่จะรับ ทว่าสุดท้ายก็ทนต่อแรงคะยั้นคะยอของพวกเขาไม่ได้จึงต้องรับมาด้วยความยินดี


.


ใกล้เวลาเที่ยงวัน หิมะก็หยุดตกพอดี


เซียวจิงซันหาคนมาช่วยปัดกวาดหิมะตรงลานบ้านจนสะอาด จากนั้นเขาก็ยกชั้นวางของสองชั้นมาวางตรงลานหน้าบ้าน แล้ววางแท่งเหล็กพาดไว้ชั้นบน ส่วนชั้นล่างมีหม้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อจัดการของพวกนี้เรียบร้อยเขาก็ไปที่บ่อเก็บเสบียง เอาแกะที่เก็บไว้ออกมาตัวหนึ่งแล้วบอกว่าจะทำแกะย่างให้ทุกคนได้กินกัน


เมื่อทุกคนได้ยินก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ต่างมาร่วมแรงแข็งขันช่วยกันทำ บรรดาหญิงสาวไปช่วยเหมยจื่อต้มน้ำแกงในครัว ส่วนพวกผู้ชายก็ช่วยเซียวจิงซันเตรียมย่างเนื้อแกะ เด็กๆ ในหมู่บ้านก็มามุงดูกันอย่างสนุกสนาน


เมื่อพวกชาวบ้านเห็นกองไฟขนาดใหญ่ถูกก่อขึ้นเพื่อย่างแกะทั้งตัว แล้วยังมีบรรดาชายหนุ่มนั่งห้อมล้อมรอบกองไฟนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากนักจึงทยอยกันมาดูอย่างคึกคัก เหมยจื่อเข้าไปหยิบผลไม้สดและผลไม้แห้งที่เก็บสะสมไว้ออกมาแบ่งปันให้กับพวกเด็กๆ และพวกสาวๆ ทุกคนจึงนั่งกินไปพลางพูดคุยเล่นกันไปพลาง ล้อมวงผิงไฟอยู่ที่ลานบ้านอย่างรื่นเริง


เปลวไฟสีแดงสว่างวูบวาบอยู่ภายในลานบ้านสะท้อนกับกำแพงหินสีขาวโพลนเพราะหิมะที่เกาะอยู่ส่องประกายวิบวับราวกับผลึกแก้ว เสียงพูดคุยหัวเราะของทุกคนดังลอยไปไกลแสนไกล เดิมทีวันนี้เป็นวันที่อากาศหนาวเหน็บ แต่เพียงพริบตาบรรยากาศก็พลันอบอุ่นขึ้นมา


หลังจากยกแกะขึ้นย่างได้พักใหญ่ หนังด้านนอกของแกะก็ค่อยๆ เหลืองกรอบ จนกระทั่งมีน้ำมันสีเหลืองๆ ไหลออกมา เมื่อใช้ส้อมจิ้มเข้าไป น้ำมันนั้นก็ไหลหยดลงบนกองไฟด้านล่างพลันเกิดเสียงซู่ กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วทั้งลานเล็กๆ ทำให้ผู้คนต่างน้ำลายสอ ยามนี้ไม่ต้องพูดถึงพวกเด็กที่อยากจะลิ้มลองรสชาติ แม้แต่พวกผู้ใหญ่เองยังแอบกลืนน้ำลายกันเป็นแถว


เซียวจิงซันและเผยจั้นเฟิงช่วยกันผ่าครึ่งแกะตัวนั้นแล้วหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งให้กับทุกคน พวกเด็กๆ รับเนื้อแกะย่างส่วนของตนไปแล้วก็รีบใส่เข้าปากอย่างตะกละตะกลามจนเกือบจะลวกปากพองกันเป็นแถว


ตอนนี้เหมยจื่ออยู่ในบ้าน นางเพิ่งให้นมลูกน้อยเสร็จและกล่อมจนนอนหลับไปแล้วถึงได้ออกมาที่ด้านนอก อาจินรีบส่งเนื้อแกะย่างนุ่มๆ ให้เหมยจื่อชิ้นหนึ่ง “รีบมากินเถอะ รสชาติดียิ่งนัก”


เหมยจื่อรับมาแล้วก็กวาดตามองไปรอบๆ จึงเห็นว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่ได้รับเนื้อแกะย่างแล้ว ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเซียวจิงซันนั้นกำลังตักน้ำแกงในหม้ออยู่


เหมยจื่อเห็นว่าเนื้อแกะย่างที่อยู่ในมือของพวกโจรป่านั้นชิ้นไม่ได้ใหญ่นักก็คิดว่าพวกเขาน่าจะกินไม่อิ่มท้อง นางจึงเดินไปข้างกายของเซียวจิงซันแล้วกระซิบบอกว่า “ท่านไปเอาเนื้อสัตว์ที่เก็บไว้ออกมาย่างอีกเถิด พวกเขาเหนื่อยกันมาทั้งวัน ข้าเกรงว่าพวกเขาคงยังกินไม่อิ่มเป็นแน่”


เซียวจิงซันพยักหน้ารับ “ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่พอดี ตั้งใจจะไปเอาหมูป่าตัวหนึ่งในบ่อเสบียงออกมาย่างเพิ่ม”


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็เห็นเฉินหงอวี่กับพวกอีกหลายคนเดินกอดห่อผ้าขนาดใหญ่เข้ามาในลานบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากลับไปตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดจึงไม่ได้อยู่กินแกะย่างเมื่อครู่


พอพวกเขามาถึงก็วางห่อผ้าบนลงบนโต๊ะแล้วแก้ห่อผ้าออก จึงได้เห็นว่าด้านในมีหมั่นโถวที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ร้อนๆ


เฉินหงอวี่ร้องเรียกทุกคนอย่างเบิกบาน “จะกินแค่เนื้อแกะย่างได้อย่างไร มา…รีบมารับหมั่นโถวร้อนๆ ไปกินด้วยกันเถิด”


เซียวจิงซันคิดไม่ถึงว่าพวกเฉินหงอวี่จะช่วยนำอาหารมาสมทบจึงมองพวกเขาด้วยสายตาชื่นชม


เฉินหงอวี่มองชาวบ้านที่กำลังกินเนื้อแกะย่างกันอย่างเอร็ดอร่อยแล้วตะโกนขึ้นอีกครั้ง “เมื่อสองปีก่อนหมู่บ้านของพวกเรามีหมาป่าบุกเข้ามา หากไม่ได้พี่น้องโจรป่ากลุ่มนี้ พวกเราคงไม่พ้นต้องเป็นอาหารของหมาป่าไปแล้ว”


พอผู้คนในหมู่บ้านได้ยินก็พากันพูดว่า “ไม่ผิด” และยังกล่าวเสริมอีกว่า “เป็นเพราะพวกโจรป่าช่วยพวกเราสู้กับฝูงหมาป่า! แม้พี่เซียวจะมีความสามารถ แต่หากไม่มีพวกเขาและอาศัยเพียงกำลังของชาวบ้านอย่างพวกเราก็เกรงว่าจะรับมือกับฝูงหมาป่าไม่ไหวเป็นแน่”


อาชิวประสานมือคารวะอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วกล่าวว่า “พวกท่านคือผู้มีพระคุณของหมู่บ้านเราจริงๆ!”


เฉินหงอวี่พยักหน้าเห็นด้วย “ยามนี้พวกเขาได้กลับมาเยือน ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ บนภูเขาล้วนมีแต่หิมะปกคลุมแล้วพวกเขาจะมีอะไรกินกัน?”


พวกชาวบ้านต่างมองหน้ากันไปมา ไม่นานก็คิดขึ้นได้จึงทยอยกันกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกลัดกลุ้มไป พวกเราล้วนมีเสบียงอาหารสะสมเอาไว้ทุกบ้าน เพียงสละกันคนละนิดย่อมต้องมีกินอยู่แล้ว”


ชาวบ้านอีกคนพูดเสริมว่า “ในหมู่บ้านของเรามีกันตั้งหลายร้อยคน ทำไมจะเลี้ยงดูพี่น้องแค่สิบกว่าคนไม่ได้กันเล่า!”


เฉินหงอวี่รอจนทุกคนพูดจบ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปยืนบนที่สูง โบกมือเป็นสัญญาณแล้วกล่าวว่า “ดี! พวกเราร่วมใจสามัคคีกันแบบนี้ รับรองว่าต้องดูแลพวกพ้องที่มาใหม่ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในหมู่บ้านเราได้แน่! วันนี้กินให้อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยหาเมียสักคน!”


พอได้ยินเขาพูดประโยคสุดท้าย ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมา


บรรดาโจรป่าได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ต่างพากันขอบตาแดงน้ำตาคลอหน่วย แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของเขาก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้เช่นกัน


พอกลับมาหมู่บ้านลี่สุ่ยก็เหมือนได้กลับบ้านตนเอง เรื่องอาหารการกินก็ไม่ต้องเป็นห่วง และอีกไม่นานก็หาภรรยาได้!


.


หมู่บ้านเล็กๆ ในป่าเขา


เรื่องอาหารการกินในช่วงฤดูหนาวย่อมต้องน่ากังวลเป็นธรรมดา เพราะถ้าอากาศหนาวจัดก็จะออกไปหาของป่าไม่สะดวก เพียงพริบตาในครอบครัวก็มีผู้ชายกินจุเพิ่มขึ้นมามากมาย ตอนแรกเหมยจื่อจึงยังห่วงว่าเสบียงอาหารจะไม่พอ ทว่ายามนี้เมื่อเห็นผู้คนในหมู่บ้านร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือ นางจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง หากทุกคนสามัคคีกัน ฤดูหนาวปีนี้คงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย


พวกโจรป่าเองก็ขยันขันแข็งไม่เบา เพียงไม่นานพวกเขาก็ช่วยกันซ่อมแซมกระท่อมหลังเก่าที่เดิมทีผุผังไปแล้วขึ้นมาใหม่จนสามารถย้ายเข้าไปอยู่อาศัยได้ นับแต่นั้นพวกเขาก็ลงหลักปักฐานอยู่ในหมู่บ้านลี่สุ่ยแห่งนี้จริงๆ


ส่วนเรื่องชื่อของเจ้าตัวน้อยซึ่งตอนแรกยังหาชื่อที่เหมาะสมไม่ได้ พวกโจรป่าเองก็ช่วยออกความเห็นกันมากมาย ทว่าพอมีคนนำเสนอขึ้นมาก็ต้องมีคนขัดทุกครั้ง สุดท้ายการปรึกษาหารือจึงกลายเป็นการถกเถียงจนหาข้อสรุปไม่ได้


กระทั่งวันหนึ่งเมื่อมารดาของเหมยจื่อนำข้าวเหนียวนึ่งมาปั้นเป็นก้อนแล้วแจกให้กับทุกคน ขณะที่พวกเขากำลังกินข้าวปั้น ปากก็ถกเถียงกันไปด้วย “นี่ก็แค่ชื่อของเด็กน้อยไม่ใช่หรือ ไหนเลยต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ ชาวบ้านอย่างพวกเราขอแค่ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและเลี้ยงง่ายก็พอ ดังนั้นแค่ชื่อเพียงเลือกที่เรียบง่ายสักหน่อยก็ได้แล้ว”


ตอนนั้นในมือพวกโจรป่าต่างก็ถือข้าวปั้นอยู่ คนหนึ่งในกลุ่มจึงพูดขึ้นว่า “ข้าวปั้นนี่ข้าชื่นชอบยิ่งนัก เวลากินรสชาติก็อร่อยและยังอิ่มท้องดีด้วย อีกทั้งยังหาได้ง่ายหรือจะเอามาตั้งเป็นชื่อก็ได้ด้วย!”


เหมยจื่อได้ยินก็วิ่งถลาออกมาจากครัวทั้งๆ ที่ในมือยังถือกระบุงใบหนึ่งอยู่ นางหัวเราะชอบใจแล้วกล่าวว่า “หากเป็นชื่อเล่น ให้ชื่อ ‘ฟ่านถวน’ ก็ถือว่าไม่เลวเลย”


ทุกคนพากันตบหน้าขาดังฉาดและเห็นด้วยกับชื่อนี้ พวกเขาตัดสินใจรอให้เซียวจิงซันกลับมาแล้วค่อยถามความเห็นของเขาอีกที ทว่าเซียวจิงซันกลับไม่มีความคิดเห็นอื่นใดเพราะเรื่องนี้สำคัญที่เหมยจื่อ ขอเพียงนางเห็นชอบ เช่นนั้นชื่อ ‘ฟ่านถวน’ ก็ถือว่าเหมาะ ถึงอย่างไรชื่อนี้ก็เป็นเพียงชื่อที่เรียกกันทั่วไป ต่อไปยังสามารถตั้งชื่อที่เป็นทางการได้อีก


.


ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ


เจ้าหนูฟ่านถวนเติบโตขึ้นท่ามกลางการดูแลจากท่านอาทั้งหลาย ยามนี้เด็กชายสามารถคลานไปมาซุกซนอยู่บนเตียงได้แล้ว พวกท่านอาต่างก็ชอบมาหยอกล้อเล่นกับเขา บ้างก็ให้ขี่คอขี่หลัง พอเด็กน้อยขึ้นขี่หลังได้ก็มักจะดึงผมท่านอาเล่นอย่างสนุกสนาน ยิ่งพอได้เห็นท่านอาแสร้งส่งเสียงร้อง “โอ๊ยๆ” เขาก็จะหัวเราะชอบใจจนเห็นฟันซี่น้อยๆ สีขาวสะอาด


—————————————————————————————————

 

 

 


ตอนที่ 134 สมบัติล้ำค่าของหลู่จิ่งอัน

 

ในช่วงนี้เซียวจิงซันกำลังคิดวางแผนเรื่องความเป็นอยู่ระยะยาวให้กับพวกพี่น้องโจรป่า


ชายหนุ่มยึดหลักที่ว่าหากอาศัยอยู่บนเขาก็ต้องทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับป่าเขา แต่ถ้าอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำก็ต้องทำอาชีพที่เกี่ยวกับน้ำ


ในเมื่อผืนป่าบนภูเขาแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก อันที่จริงแล้วต่อให้พวกโจรป่ายึดอาชีพเป็นนายพรานออกไปล่าสัตว์กันทั้งหมดก็ย่อมไม่เป็นปัญหาด้วยว่ามีภูเขาทั้งลูกที่ถือได้ว่าเป็นขุมทรัพย์มหาศาล และในนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยยากรเพื่อยังชีพไม่มีวันหมดสิ้น


ทว่าเซียวจิงซันกลับคิดอีกว่าหากอาศัยเพียงการล่าสัตว์เพื่อยังชีพก็ถือเป็นการพึ่งพาธรรมชาติในการทำมาหากินมากเกินไป หากถึงช่วงฤดูหนาวก็จะมีแต่หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งป่าเขา คนกลุ่มนี้ก็อาจจะอดอยากได้


เซียวจิงซันจึงแบกพลั่วเหล็กเดินสำรวจไปรอบๆ เนินเขา ในที่สุดก็คิดออกมาได้วิธีหนึ่ง นั่นคือการบุกเบิกพื้นที่รกร้าง


เมื่อเรื่องนี้ถูกนำไปพูดคุยอย่างแพร่หลายทั่วทั้งหมู่บ้าน ผู้คนที่ยืนล้อมวงฟังต่างก็ไม่อยากเชื่อโดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้าน เฉินจิ้งจู่ลูบหนวดเคราพลางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “หมู่บ้านลี่สุ่ยของเรามีพื้นที่เท่านี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ อยากจะบุกเบิกพื้นที่รกร้างงั้นรึ? จิงซันเอ๊ย…” เขาตั้งใจลากเสียงยาวแล้วกล่าวต่อว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! หากสามารถทำได้บรรพชนของพวกเราก็คงทำไปแล้ว”


เซียวจิงซันยิ้มมุมปาก แววตามุ่งมั่นยิ่งนัก เขากวาดตามองพี่น้องโจรป่าที่อยู่ด้านหลังแล้วถามเสียงหนักว่า “บุกเบิกพื้นที่รกร้าง พวกเจ้าทำได้หรือไม่?”


กลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีจิตวิญญาณของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยมตะโกนตอบอย่างพร้อมเพรียง “ได้!”


เฉินหงอวี่เดินเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า “คนมากย่อมมีกำลังมาก เรื่องนี้ก็พอมีทางสำเร็จได้ หากจะบุกเบิกจริงข้าขอร่วมด้วย!”


เมื่อเฉินหงอวี่พูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันแสดงความคิดเห็น มีเพียงครอบครัวที่มีที่ทางมากอยู่แล้วที่ได้แต่ยืนมองพวกเขาด้วยแววตาเคลือบแคลง


ผู้ใหญ่บ้านเฉินจิ้งจู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หากพวกเจ้าจะทำข้าก็ไม่ห้าม แต่ถ้ามัวแต่เอาเวลาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ไปบุกเบิก พอถึงเวลาแล้วขาดแคลนเสบียงอาหาร ข้าก็ช่วยไม่ได้นะ”


.


เมื่อมีเซียวจิงซันผู้เป็นถึงอดีตแม่ทัพใหญ่คอยออกคำสั่ง


อีกทั้งมีอดีตทหารมาคอยเป็นลิ่วล้อ เรื่องนี้มีหรือจะไม่สำเร็จ!


เมื่อใกล้ผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิ ที่ดินรกร้างสิบกว่าหมู่ก็ถูกถางเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นย่อมมีพวกที่อิจฉาริษยาเป็นธรรมดา ทว่าคนที่อยากขอเข้าร่วมด้วยนั้นมีเยอะกว่ามาก


ผู้ใหญ่บ้านเฉินจิ้งจู่ทำเพียงเฝ้าดูไม่พูดไม่จา แต่ลูกสะใภ้ที่มีสินเดิมเป็นที่ดินหลายหมู่เริ่มพร่ำบ่นให้ฝูเกอเข้าไปร่วมบุกเบิกในครั้งนี้ด้วย เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในที่ดินอย่างคนอื่นบ้าง เฉินจิ้งจู่จึงชักสีหน้าใส่นาง เพราะมาถึงตอนนี้แล้วเขาจะมีหน้าไปขอเข้าร่วมกับเซียวจิงซันหรือเฉินหงอวี่ได้อย่างไร


ตอนนี้เซียวจิงซันแบ่งคนทำงานออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้ทำการถางพื้นที่รกร้างต่อไป อีกส่วนให้รับผิดชอบไถหว่านและเพาะปลูกในที่ดินใหม่ หวังเพียงว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงจะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง


เหมยจื่อเป็นกำลังหลักในการนำหญิงสาวในหมู่บ้านมาช่วยกันรับผิดชอบเรื่องเสบียงอาหาร นอกจากพวกนางจะช่วยส่งข้าวส่งน้ำให้กับผู้ที่ใช้แรงงาน ยังเรียกได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้พี่น้องโจรป่าได้พบกับหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน จึงเป็นธรรมดาที่อาจมีบางคู่ถูกตาต้องใจกัน เหมยจื่อที่เฝ้ามองอยู่ตลอดเริ่มนึกสนุกจึงมีความคิดว่าจะเป็นแม่สื่อให้กับพวกเขา


บางครั้งเหมยจื่อก็จะพาเซียวฟ่านถวนไปยังที่นาเพื่อดูทุกคนทำงาน ฟ่านถวนเองก็ชอบคลานเล่นอยู่ตามแปลงนาด้วยท่าทางมีความสุข บางครั้งเขาก็เล่นสนุกจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน ดังนั้นในยามปกติเหมยจื่อจึงไม่ให้เขาลงไปคลานในนา แต่ก็มีบ้างที่นางมองไม่ทัน เซียวจิงซันที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยปากว่า “ถึงอย่างไรที่นาก็มีแต่ดินโคลน เจ้าให้เขาคลานเล่นก็ได้”


เหมยจื่อลองคิดดูก็ถูกของสามี ตอนที่นางยังเป็นเด็กก็คลานเล่นตามพื้นดินแบบนี้เช่นกัน นางจึงปล่อยลูกชายให้ได้สนุกสนานตามใจ


นับแต่นั้นเจ้าหนูน้อยเซียวฟ่านถวนก็ยิ่งได้ใจ บางครั้งก็เล่นจนใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลน เหลือเพียงดวงตากลมโตจ้องมองผู้คนอย่างซุกซน ทำเอาพวกผู้ใหญ่พากันหัวเราะอย่างเอ็นดู จากนั้นบรรดาท่านอาและอาสะใภ้ต่างก็จะแย่งกันอุ้มตัวเขาแล้วพาไปล้างหน้าล้างตาที่ริมลำธาร


วันเวลาผ่านไปเช่นนี้จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังทำงานอยู่ในที่นาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงแหบห้าวตะโกนเรียกชื่อเซียวจิงซัน คนส่วนใหญ่จึงเงยหน้ามอง ก็เห็นคนสองคนกับม้าสองตัวกำลังควบตรงมาทางนี้ คนทั้งสองช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน…


หลังจากเหมยจื่อเพ่งสายตามองก็รู้สึกยินดี ชายหนุ่มท่าทางหยาบกร้านผู้นั้นที่แท้ก็คือหลู่จิ่งอันที่ไม่ได้พบกันมานาน ส่วนข้างกายของเขาก็คือเผิงเอ๋อหญิงรับใช้คนสนิทที่เคยดูแลปรนนิบัตินางมาก่อน ยามนี้คนทั้งสองนั่งมาบนหลังม้าตัวเดียวกัน ดูท่าทางสนิทชิดเชื้อกันยิ่งนัก ส่วนม้าอีกตัวบรรทุกหีบขนาดมหึมามาด้วยใบหนึ่ง


ทันทีที่หลู่จิ่งอันมองเห็นเซียวจิงซัน เขาก็พลิกตัวลงจากหลังม้าแล้ววิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว เซียวจิงซันเองก็โยนพลั่วในมือทิ้งแล้วรีบไปต้อนรับ พวกเขาต่างไม่ได้สนใจดินโคลนที่เปื้อนอยู่เต็มมือ โอบร่างของแต่ละฝ่ายแล้วหัวเราะเสียงดังก้อง บรรดาพี่น้องคนอื่นๆ พากันวางเครื่องไม้เครื่องมือที่ถืออยู่แล้ววิ่งเข้ามาสมทบ


ขณะที่ทุกคนกำลังแย่งกันซักถามหลู่จิ่งอัน เหมยจื่อก็ปลีกตัวไปตักน้ำบริเวณใกล้ๆ กับที่นาและเอาของแห้งๆ ออกมาจัดเตรียม ก่อนจะเรียกให้ทุกคนมานั่งลงกินร่วมกันและจะได้พูดคุยกันไปด้วย


พอสอบถามหลู่จิ่งอันแล้วก็ได้ความว่า อันที่จริงหลังจากเซียวจิงซันจากไปได้ไม่นาน เขาก็เริ่มเตรียมการที่จะออกจากเมืองหลวงเช่นกัน เขาได้นำเงินทองที่เก็บสะสมไว้เป็นเวลานานไปแลกเป็นของมีค่าที่สามารถพกติดตัวอได้ง่าย และหลังออกจากราชสำนักแล้วก็ท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพทั้งเหนือจรดใต้ ท้ายที่สุดจึงค่อยเดินทางมาหาเซียวจิงซันที่นี่


เหมยจื่อจับมือของเผิงเอ๋อพลางเอ่ยถามหลู่จิ่งอันอย่างยั่วเย้า “พี่หลู่ ที่จริงท่านมาเพียงคนเดียวก็ได้ เหตุใดต้องพาเผิงเอ๋อของเรามาด้วยเล่า?”


เมื่อเผิงเอ๋อได้ยินคำถามจากนายหญิงที่ตนเคยปรนนิบัติใกล้ชิด ใบหน้านางก็แดงเรื่อ รีบก้มหน้างุดทันที แต่หลู่จิ่งอันกลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า “อาซ้อ ก่อนหน้านี้ข้าเคยรับปากว่าจะดูแลเผิงเอ๋อแทนพวกท่าน ดังนั้นตอนจะจากมาข้าก็เลยฉุกคิดได้ เช่นนี้แล้วข้าจะทิ้งนางได้อย่างไร จึงต้องพานางมาด้วยกันนี่ไงเล่า”


เหมยจื่อกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยไล่ต้อนต่อ “แต่นางเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว กลับต้องมาขี่ม้าตัวเดียวกันกับท่านอีก…”


หลู่จิ่งอันดื่มน้ำพร้อมกับบอกอย่างหน้าชื่นตาบานไปด้วยว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องแต่งงานกับนางแน่”


คำพูดของเขาฟังดูห้วนๆ ง่ายๆ ทำให้เผิงเอ๋อยิ่งเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ ผู้คนรอบข้างพากันโห่ร้องด้วยความปีติยินดี


เดิมทีตอนที่เซียวจิงซันและเหมยจื่อรีบร้อนจากมา เผิงเอ๋อก็ไร้ที่พักพิงจึงจำต้องไปอยู่ในจวนของหลู่จิ่งอัน ใครจะคาดคิดว่าตอนนี้นางจะมีวาสนากลายเป็นคู่ครองของเขาไปแล้ว


.


เมื่อในหมู่บ้านมีชายฉกรรจ์เพิ่มขึ้นมามากมาย


หนำซ้ำยังมีหลู่จิ่งอันกับเผิงเอ๋อตามมาสมทบด้วยอีก เฉินหงอวี่จึงพาผู้ใหญ่บ้านมาทำสำมะโนครัวให้กับทุกคน นับแต่นี้ไปพวกเขาก็สามารถลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวอยู่ที่หมู่บ้านลี่สุ่ยได้แล้ว


หลู่จิ่งอันตั้งใจจะเลียนแบบพี่ใหญ่ของตนจึงปลูกบ้านหลังหนึ่งอยู่ข้างๆ บ้านของพวกเขา อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากเหมยจื่อและเซียวจิงซันในเรื่องการจัดงานแต่งงานอย่างเรียบง่ายเพื่อตบแต่งเผิงเอ๋อมาเป็นภรรยาอีกด้วย


ตอนแรกที่มาถึงหลู่จิ่งอันได้เอาข้าวของล้ำค่าที่พกติดตัวมาแจกจ่ายให้กับทุกคน แต่เมื่อทุกคนรับมาพินิจพิจารณาแล้วต่างก็ส่งคืนให้เขา หลู่จิ่งอันจึงพูดอย่างรู้สึกขายหน้าว่า “นี่เป็นของที่ข้าอุตส่าห์แบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาเชียวนะ พวกเจ้ารับเอาไว้เถิด ต่อไปภายภาคหน้ายังใช้ทำทุนได้!”


หลังจากวันนั้นทุกครั้งที่หลู่จิ่งอันติดตามเซียวจิงซันออกไปยังที่ดินรกร้างกลางป่าเพื่อถางหญ้า ขณะที่มือของเขาสัมผัสจอบพลั่วไปจนถึงมีดถางหญ้า ก็จะได้ยินเขาทอดถอนใจแล้วบ่นพึมพำว่า “ข้าร่ำรวยถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องมาทำงานเช่นนี้ด้วยเล่า!”


ทว่าเซียวจิงซันกลับไม่สนใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป บรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เห็นแก่หน้าอดีตแม่ทัพใหญผู้นี้ พวกเขาไม่แม้แต่จะสนใจมองหลู่จิ่งอันด้วยซ้ำ ส่วนพวกหญิงสาวชาวบ้านและบรรดาฮูหยิน พอได้ยินพวกนางก็พากันเอามือป้องปากแอบหัวเราะคิกคัก บางคนยังแสร้งแกว่งอาหารในมือไปมา ปากก็พูดเย้าแหย่ว่า “ท่านลองเอาของสีเหลืองๆ เงาๆ พวกนั้นมาแลกสิ ไม่แน่ว่าพวกข้าอาจจะยอมแบ่งปันแผ่นแป้งให้ท่านกินบ้างก็ได้”


หลู่จิ่งอันกระแทกเท้าลงบนโคลนอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้ามีเงินแล้วแค่เพียงของกินจะหาซื้อไม่ได้!”


—————————————————————————————————

 

 

 


ตอนที่ 135 เจ้าดูผิดแล้ว + คำสารภาพของอาจิ้ง (1)

 

หลังจากนั้นไม่นานหลู่จิ่งอันก็ได้รู้ว่าเขาสามารถใช้เงินของตัวเองได้เพียงเดือนละครั้ง


และต้องใช้ตอนที่ลงจากเขาเพื่อเลือกซื้อข้าวของต่างๆ กลับไปยังหมู่บ้าน


หลู่จิ่งอันเดินเข้าไปในตลาดด้วยความสงสัยแล้วก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าประหลาดใจ! บรรดาทองคำก้อนซึ่งเป็นของมีค่าของตนถูกผู้คนในตลาดทำราวกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน!


นั่นเพราะคนในเมืองเล็กๆ เช่นนี้เคยใช้กันเพียงเหรียญโลหะทองแดงเท่านั้น!


.


ค่ำคืนนั้น


เผิงเอ๋อก็พบว่าสามีของตนกำลังใช้เท้าถีบหีบขนาดมหึมาใบหนึ่งออกไปนอกบ้าน นางจึงถามอย่างสงสัย “นั่นมันของล้ำค่าของท่านไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึง…”


หลู่จิ่งอันไม่รอให้เผิงเอ๋อพูดจบก็ตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย “ช่างเถอะ! ข้าวของพวกนี้อยู่ที่นี่ก็มีแต่ทำให้รกเปล่าๆ บ้านของเราเดิมทีก็ไม่ได้กว้างขวางแล้วจะเก็บให้เกะกะทำไม!”


เผิงเอ๋อถามต่ออย่างงุนงง “ท่านให้ม้าแบกมันมาตลอดทาง ต้องเสียแรงไปไม่น้อย ท่านก็ลองหาสักที่เก็บเอาไว้ก่อนก็ได้นี่ ทำไมต้องโยนมันทิ้งด้วยเล่า”


หลู่จิ่งอันมาลองคิดดูก็เห็นด้วย “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเก็บมันไว้ในบ่อก็แล้วกัน ข้างในนั้นเก็บของได้ไม่น้อยเลย”


หลังจากนั้นเผิงเอ๋อก็ได้เห็นกับตาว่า สามีของตนแบกหีบอันหนักอึ้งใบนั้นออกไปด้านนอกแล้วปีนลงไปในบ่อใต้ดิน เขาวางหีบไว้ด้านในสุดของบ่อ ในตอนท้ายยังถีบมันทีหนึ่งก่อนจะพูดอย่างโมโหว่า “เงินทองของล้ำค่าเช่นเจ้า ข้าไม่ต้องการแล้ว!”


.


ในคืนเดียวกัน


เหมยจื่ออาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยเสร็จก็พาไปกล่อมนอนจนกระทั่งเขาหลับ นางถึงได้ขึ้นไปนอนบนเตียงกับเซียวจิงซัน


หญิงสาวซุกกายเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของสามีอย่างเงียบเชียบ ใช้นิ้วเขี่ยหน้าอกของเขาเล่นแล้วนึกไปถึงตอนที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ผ่านไปแค่ชั่วพริบตานางก็กลายเป็นแม่คนเสียแล้ว


เหมยจื่อไล้นิ้วมือเบาๆ ไปตามรอยแผลเป็นบนอกของเซียวจิงซัน แล้วจู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงยื่นมือไปจับที่มือขวาของเขา หลายวันมานี้ถึงเซียวจิงซันจะทำงานถางกลบพื้นที่รกร้างมาตลอด แต่เขาก็ใช้เพียงมือซ้ายในการจับพลั่ว ไม่ค่อยได้ใช้มือขวาออกแรงมากนัก


หยิงสาวถอนหายใจยาว ใบหน้าเนียนซุกไซ้อยู่บนแผงอกแกร่ง พึมพำเสียงแผ่วว่า “ต่อไปมือข้างนี้ของท่านจะไม่หายเป็นปกติแล้วหรือ?”


มือใหญ่ของเซียวจิงซันโอบรอบเอวนาง พลางลูบแผ่นหลังหญิงสาวอย่างเบามือก่อนจะกล่าวว่า “วางใจเถิด ต่อไปก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”


เหมยจื่อยังคงรู้สึกสงสารเขา “ต้องรออีกนานแค่ไหนจึงจะดีขึ้นเล่า?”


ทว่าเซียวจิงซันกลับไม่ตอบ เพียงใช้มือหยาบกร้านลูบไล้ไปตามแผ่นหลังนวลเนียนของนาง


เหมยจื่อถูกมือใหญ่สัมผัสจนรู้สึกจักจี้ ร่างกายก็พลอยอ่อนปวกเปียกไปหมดจนต้องขยับเข้าไปแนบชิดกับอกของเขามากขึ้น ยามนี้ลมหายใจของเซียวจิงซันเริ่มถี่กระชั้นยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นเขาก็ออกแรงยกทั้งร่างของนางให้ขึ้นมานั่งคร่อมบนร่างของตน


เหมยจื่อตกใจจนร้องเสียงหลง กำหมัดทุบลงบนอกหนาแล้วบ่นว่า “คนนิสัยไม่ดี ข้าตกใจหมดเลย!”


ขณะที่มือกำลังทุบอกแข็งๆ ของเขา นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ หญิงสาวจ้องมองเขาอย่างกังขาในใจ


เซียวจิงซันหัวเราะเสียงทุ้ม ดวงตาเป็นประกาย “เจ้ามองอะไรกัน?”


เหมยจื่อก้มหน้ามองมือข้างขวาของเขาที่ประคองเอวของตนอยู่ “เมื่อครู่น่าจะเป็นมือข้างนี้ที่ยกตัวข้าให้ลอยขึ้นมาใช่หรือไม่?”


เซียวจิงซันกลับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เด็กโง่ เจ้าดูผิดแล้ว!”


พอพูดจบมือทั้งสองข้างของเขาก็ประคองเอวนางเอาไว้ พยายามกดตัวนางให้ตรงกับตำแหน่งที่กำลังชูชันของตัวเอง


ทันทีที่สิ่งนั้นเข้าไปด้านในเหมยจื่อพลันรู้สึกอึดอัดตรงช่วงล่าง ทว่าความคิดกลับยังจดจ่อกับเรื่องที่ตนสงสัย ในใจยังคงวุ่นวายอยู่ท่ามกลางการกระแทกกระทั้นขึ้นลงอย่างเร่าร้อน


เมื่อครู่…นางต้องไม่ได้ดูผิดแน่!


—————————————————————————————————


คำสารภาพของอาจิ้ง (1)


.


ข้าชื่อว่า ‘อาจิ้ง’ ปีนี้อายุสิบเอ็ด


สถานที่ที่ข้าอาศัยอยู่มีชื่อว่าหมู่บ้านลี่สุ่ย หมู่บ้านนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ทุกครอบครัวล้วนมีบ้านที่ปลูกสร้างอย่างมั่นคงแข็งแรง รอบๆ บ้านของพวกข้าห้อมล้อมไปด้วยที่ดินหลายแปลง ที่ดินพวกนี้เป็นที่ที่ใช้ทำมาหากินร่วมกัน ปกติแล้วท่านพ่อท่านแม่ของข้ารวมถึงพวกท่านอาและอาสะใภ้จะช่วยกันทำการเพาะปลูก ดังนั้นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ก็จะจัดสรรปันส่วนให้กับทุกคน


เมื่อยามว่างเว้นจากงานเพาะปลูก พวกท่านอาก็จะเข้าไปในป่าลึกโดยมีท่านพ่อของข้าเป็นผู้นำกลุ่ม เพื่อเสาะหาอาหารป่ามาให้ทุกคน และทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ เด็กอย่างพวกข้าต่างก็น้ำลายสอไปตามๆ กัน


ท่านพ่อของข้าเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ท่านแม่ของข้าก็มีรอยยิ้มอ่อนหวาน ข้ายังมีพี่ชายคนหนึ่งที่ชอบพาข้าวิ่งเล่นไปทั่วทั้งหุบเขา และแน่นอนว่าข้ายังมีท่านอาและอาสะใภ้อีกจำนวนมาก


ท่านอาทุกคนล้วนดีกับข้ายิ่งนัก ในบรรดาท่านอาทั้งหมด ข้าชอบท่านอาหลู่กับท่านอาเผยมากที่สุด ท่านอาหลู่เพียงแค่ตบมือก็สามารถแสดงกลให้ข้าดูได้แล้ว หนำซ้ำบนคางยังมีหนวดเคราให้ข้าดึงเล่นได้ด้วย แน่ล่ะ! พอข้าเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ข้าก็ไม่กล้าดึงเล่นอีก o(╯□╰)o


เพราะท่านแม่บอกว่าถ้าข้ายังกล้าดึงหนวดเคราของท่านอาหลู่ นางก็จะไม่ให้ข้ากินขาหมูอีกต่อไป พอคิดถึงกลิ่นหอมๆ และรสชาติของเนื้อขาหมูแล้ว ข้าจึงรู้สึกว่าควรอยู่ให้ห่างจากหนวดเคราของอาหลู่น่าจะดีกว่า ความสนุกสนานเช่นนั้นกินไม่ได้สักหน่อย


หลังจากการเล่นหนวดเคราของท่านอาหลู่เป็นเรื่องต้องห้าม ข้าจึงเปลี่ยนไปเข้าหาท่านอาเผยแทน


ท่านอาเผยผู้นี้ปกติแล้วไม่ค่อยพูดจา แต่ท่านอาก็ดีกับข้ามาก ตัวท่านอาเองมีลูกชายถึงสามคนซึ่งล้วนแต่ซุกซนทั้งนั้น ท่านอาจึงรักและเอ็นดูข้ามาก หากข้าต้องการอะไร ท่านอาก็จะหามาให้ทุกครั้ง บางครั้งท่านอายังเอาขาหมูที่เก็บไว้ในบ่อเก็บเสบียงมาให้ข้ากินอีกด้วย ทว่าท่านอากลับไม่มีหนวดเคราให้ข้าดึงเล่น ข้าจึงแสร้งทำเป็นปาดน้ำตาด้วยความเศร้าเสียใจและขอให้ท่านอาไปปีนต้นไม้เป็นเพื่อนข้าแทน น่าเสียดายที่ท่านอาไม่หลงกล กลับบอกให้ข้าไปหาพี่ใหญ่แล้วให้เขาช่วยสอนปีนต้นไม้


เฮ้อ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ไม่มีวันพาข้าไปปีนต้นไม้ด้วยเด็ดขาด แม้ท่านอาเผยไม่สนับสนุนข้าก็ช่างเถิด ในใจข้าก็เข้าใจได้อย่างดีเพราะข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว


วันหนึ่งพี่เทียนเฟยลูกชายของท่านอาหลู่มาหาข้าแล้วพูดอย่างใจดีว่า “ไปหาสมบัติด้วยกันไหม?”


ข้ามองพี่เทียนเฟยด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายแวบหนึ่ง ในใจพลันคิดว่าหาสมบัติอะไรกัน พื้นที่บนเขาแห่งนี้พวกเราก็ท่องเที่ยวไปจนทั่วมาตั้งนานแล้ว ทว่าพี่เทียนเฟยกลับทำท่าทางลับๆ ล่อๆ บอกว่า “พี่ฟ่านถวนบอกว่าในบ่อเสบียงของบ้านข้ามีของบางอย่างน่าสนใจ ตอนกลางคืนจะมีแสงแวววับด้วย”


พอข้าได้ยินก็ชักจะสนุกขึ้นมา ข้ารู้ดีว่าพี่ใหญ่ของข้านั้นเป็นคนที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ความคิดที่เขาเสนอนั้นต้องไม่เลวเป็นแน่


.


วันรุ่งขึ้น


ท่านพ่อและบรรดาท่านอาต่างพากันไปยังที่นา ท่านแม่และพวกท่านอาสะใภ้ก็ช่วยกันเอาของกินต่างๆ ออกมาตากที่ลานหน้าบ้านเพื่อทำเป็นของแห้ง


หลังจากพี่ใหญ่ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ ข้าก็หนีตามเขาออกมาข้างนอกทันที ทว่าพอถึงลานหน้าบ้านของท่านอาหลู่ ข้าก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่นั่นแล้ว พอคิดว่าอีกเดี๋ยวจะได้เห็นสมบัติล้ำค่าที่เปล่งแสงได้ ใบหน้าทุกคนก็ดูตื่นเต้นยิ่งนัก


ว่ากันว่าบ่อเก็บเสบียงแห่งนี้เมื่อก่อนครอบครัวของท่านอาหลู่เคยใช้งาน ต่อมาเป็นเพราะบ่อนั้นเล็กเกินไปจึงถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้อีกแล้ว ตอนนี้พวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่ปากบ่อ มีก็เพียงกลิ่นแปลกๆ ที่โชยออกมาตรงหน้า แต่ด้านในนั้นมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น


พี่ฟ่านถวนถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วล้วงแท่งไม้จุดไฟออกมาอันหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นแท่งไฟนั้นเข้าไปในบ่อ พี่เทียนเฟยถามด้วยความสงสัย “เจ้าทำอะไรหรือ? เจ้าจะเผาสมบัติทั้งหมดหรือไงกัน?”


ข้าอดหัวเราะขำท่านพี่เทียนเฟยไม่ได้ “พี่ไม่รู้หรอกหรือ ท่านพ่อข้าเคยบอกว่าบ่อที่ไม่ได้ใช้งานมานาน ด้านในอาจจะมีไอพิษก็เป็นได้จึงต้องใช้ไฟเผาสักหน่อยก่อน”


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พี่ใหญ่ก็โน้มกายลงดมกลิ่น สุดท้ายก็พูดว่า “ลงไปได้แล้ว”


พอพูดจบเขาก็กระโดดลงไปทันที แต่พี่เทียนเฟยยังลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยกระโดดตามลงไป จากนั้นท่านพี่คนอื่นๆ ก็ไม่ยอมรั้งรออีก รีบกระโดดตามลงไปติดๆ ส่วนข้าก็ถลกขากางเกงขึ้น จับที่ปากบ่อไว้แล้วกระโดดตามลงไปเช่นกัน เสียงของพี่เทียนเฟยตะโกนขึ้นมาว่า “เร็วเข้า ข้ารอรับเจ้าอยู่”


ข้าไม่ได้สนใจฟังเขา แต่ค่อยๆ หย่อนตัวลงไปก้นบ่อ ความจริงแล้วภายในบ่อนั้นมีดินและใบไม้ทับถมเต็มไปหมด หากตกลงไปก็ไม่น่าจะเจ็บเท่าไร ข้ารู้ว่าท่าทางเช่นนี้ของพี่เทียนเฟยก็เพียงเพื่อจะเอาใจข้าเท่านั้น สำหรับเรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดีกว่าใคร


หลังจากที่เด็กทั้งกลุ่มกระโดดลงไปแล้ว บ่อเล็กๆ ก็แน่นเบียดเสียดขึ้นมาทันที


—————————————————————————————————-

 

 

 


ตอนที่ 136 คำสารภาพของอาจิ้ง (2)

 

ท่ามกลางความมืดมิด


คนนี้ก็ว่าเจ้าเหยียบเท้าข้า คนนั้นก็พูดเจ้าถอยไปหน่อยข้าจะหาสมบัติ สุดท้ายพี่ใหญ่ของข้าก็พูดเตือนเสียงเบาว่า “อย่าพูดมาก สมบัติต้องอยู่ในนี้นี่แหละ!”


ทุกคนเงียบเสียงทันควัน สายตามองตามที่พี่ใหญ่ที่ชี้ลงไปตรงเท้าของตน


ทุกคนจึงเห็นว่าตรงนั้นมีของบางอย่างกำลังส่องแสงวาววับเล่นกับแสงไฟอยู่ มีทั้งที่เป็นแสงสีขาว แสงสีเขียว แล้วยังมีแสงสีแดงอีกด้วย เป็นแสงที่ดูแวววาวยิ่งนัก แสงตะเกียงน้ำมันของที่บ้านยังไม่อาจเทียบกับสิ่งนี้ได้เลย


พวกเราทุกคนต่างพากันตกตะลึง จ้องมองพี่ใหญ่ขุดเศษซากใบไม้ที่ทับถมนั้นออก ในที่สุดก็เอาสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในออกมาจนได้ พอเห็นเช่นนี้ทุกคนก็ได้สติกลับมาแล้วเริ่มทำในสิ่งเดียวกัน นั่นคือนั่งยองๆ แล้วขุดหาสมบัติ บางคนก็ขุดได้สีขาว บางคนก็ขุดได้เป็นก้อนกลมๆ ส่วนข้านั้นมือไม้ว่องไวคว้าไปเจอพวงสีแดงแสนสวยพวงหนึ่งขึ้นมาได้


พี่ใหญ่เห็นพวกเรากำลังวุ่นวายชุลมุนกันยกใหญ่จึงเรียกทุกคนมาปรึกษา แล้วบอกว่าสมบัติในนี้มีมากมาย ไม่สู้เอาของส่วนใหญ่เก็บซ่อนไว้ที่เดิมจะดีกว่าและให้ทุกคนเอาออกไปเพียงคนละชิ้น แบบนี้จะได้ไม่ถูกผู้ใหญ่จับได้


เด็กๆ ทั้งกลุ่มล้วนเชื่อในสิ่งที่พี่ฟ่านถวนพูดมาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่จะไม่มีความเห็นเป็นอื่น ต่างพากันแสดงท่าทางว่าเห็นด้วย ทุกคนจึงกำสมบัติไว้ในมือคนละชิ้นแล้วปีนขึ้นมาจากบ่อ


พี่เทียนเฟยหยิบได้สมบัติสีเขียว ขนาดใหญ่ประมาณไข่ห่านเห็นจะได้ ข้าเห็นแล้วก็นึกอยากได้มันขึ้นมา รู้สึกว่าถ้าสีเขียวของเขาได้เข้าคู่กับสีแดงของข้าคงจะงดงามน่าดู พี่เทียนเฟยเองก็รู้ความคิดของข้า เขาจึงจะยกมันให้กับข้า แต่พอข้าลองทบทวนดูแล้วก็จำต้องส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะข้าคงรับของของเขามาเปล่าๆ ไม่ได้


วันนั้นภายในใจของทุกคนต่างตื่นเต้นยินดีกันมากและก็รู้สึกหวาดหวั่นไม่แพ้กัน เฝ้าพะวงถึงแต่เรื่องสมบัติทำให้เวลาทำอะไรก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ท่านแม่ของข้าถึงขนาดถามด้วยความแปลกใจว่า “อาจิ้งเจ้าชอบกินขาหมูที่สุดไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้ไม่ค่อยเห็นเจ้ากินเลย”


ข้ารีบก้มหน้ามองชามที่เต็มไปด้วยขาหมู! แล้วจำต้องแสร้งทำให้ดูเหมือนปกติ รีบก้มลงกัดแทะกินเนื้อขาหมูเพื่อให้ท่านแม่ไม่สงสัย


.


หลังจากที่พวกเราได้สมบัติกันมาแล้ว


ทุกคนต่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเคย ยามว่างมักจะแอบเอามันออกมาเล่นจนพี่ใหญ่ของข้าไม่พอใจ เขาเตือนทุกคนว่าให้เก็บรักษาของพวกนี้ไว้ให้ดี ห้ามไม่ให้ผู้ใหญ่เห็นเด็ดขาด ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่กลัวจะถูกพวกผู้ใหญ่ยึดคืนไป แต่ข้าเองกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วผู้ใหญ่คงต้องรู้สักวันแน่


สุดท้ายก็เป็นจริงตามที่คาดการณ์ไว้ ลูกชายคนโตของท่านอาเผยชื่อว่าเถี่ยตั้น ปกติข้าเรียกเขาว่าพี่เถี่ยตั้น พี่เถี่ยตั้นชอบสาวน้อยนางหนึ่งที่อยู่ฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านที่ชื่อว่าเสี่ยวยา และเพื่อประจบเอาใจนาง พี่เถี่ยตั้นจึงเอาสมบัติของตนไปให้เสี่ยวยา แต่ใครเลยจะรู้ว่ากลับถูกเสี่ยวซันของบ้านสกุลเฉินเห็นเข้า พอเสี่ยวซันเห็นก็อยากจะเล่นสมบัตินั้นบ้างจึงเข้าไปยื้อแย่งกับพี่เถี่ยตั้น ผลสุดท้ายทั้งสองก็เกิดต่อยตีกันขึ้นมา


ตอนที่ถูกจับได้ พวกผู้ใหญ่จับพวกเขาแยกออกจากกันและสอบถามถึงสาเหตุ เสี่ยวซันของบ้านสกุลเฉินถึงกับร้องไห้โฮเสียงดัง ร้องไห้ไปพลางเล่าไปพลางว่า “ข้าอยากเล่นสมบัติสีฟ้านั่น!”


พวกผู้ใหญ่พากันมึนงงไปหมด ซักถามต่อว่าอะไรคือสมบัติสีฟ้า พอถึงตรงนี้พวกเราต่างพากันถอยหลบไปด้านหลัง ส่วนพี่ฟ่านถวนก็ตีหน้าตายไม่ยอมพูดยอมจา


หลังจากท่านพ่อข้ากับท่านอาหลู่มาถึง ท่านพ่อก็เค้นถามพี่ใหญ่ทันที ส่วนท่านอาหลู่ก็เค้นถามพี่เทียนเฟย แต่ทั้งสองคนปากแข็งยิ่งนักต่างก็ไม่ยอมพูด สุดท้ายก็เป็นท่านพ่อของข้าที่ร้ายกาจกว่าใคร


ท่านพ่อเปลี่ยนไปสอบถามเด็กคนหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มของพวกเราแทน เด็กคนนั้นพอถูกท่านพ่อข้าทำสายตาดุจ้องมองเข้าหน่อย สุดท้ายก็ปล่อยโฮเสียงดัง มือสั่นงันงกหยิบสมบัติที่ซ่อนอยู่ตรงขอบกางเกงของตัวเองออกมามอบให้ท่านพ่อข้า


ท่านอาหลู่เดินเข้ามาคว้าเอาสมบัติชิ้นนั้นไป พอมองอย่างละเอียดก็พูดด้วยความสงสัย “หินสีก้อนนี้ช่างคุ้นตาเสียจริง…”


เพียงครู่เดียวท่านอาก็หายสงสัย สีหน้าพลันแข็งกร้าวขึ้นก่อนจะเงยหน้ามองท่านพ่อข้าอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นของที่พกติดตัวมาด้วยในตอนนั้นนี่!”


.


จากนั้นสมบัติของพวกเราก็ถูกยึดคืนไปจนหมด


พอเด็กแต่ละคนกลับถึงบ้านก็ถูกพ่อแม่ของตัวเองอบรมสั่งสอนกันยกใหญ่ ท่านแม่ข้าโมโหถึงขนาดไปหักกิ่งหลิวเล็กๆ กิ่งหนึ่งมาหมายจะตีข้ากับพี่ใหญ่ แต่ท่านพ่อช่วยปกป้องข้าไว้แล้วบอกว่าหากจะตีก็ต้องตีฟ่านถวนที่พาน้องไปเล่นในที่ไม่ควร


ท่านแม่ของข้าเชื่อฟังท่านพ่อตลอดมา ตอนนั้นจึงใช้กิ่งหลิวตีเพื่ออบรมสั่งสอนพี่ใหญ่…


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ข้าเองก็ไม่กล้ามองต่อ รีบปิดตาแล้ววิ่งขึ้นไปหลบบนเตียง แสร้งทำให้ดูน่าสงสาร ข้ารู้ดีว่าท่าทางเช่นนี้จะทำให้ท่านพ่อยิ่งสงสารข้ามากขึ้นกว่าเดิม


แต่ใครจะรู้ว่าท่านแม่กลับหันมาดุใส่ข้าว่า “ท่านดูนางแกล้งทำสิ นางกลัวที่ไหนกัน ในใจยังแอบดีใจอยู่เลย!”


ข้าได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่ม ในใจก็ตะโกนร่ำร้องอยู่ตลอดว่า ‘ฟ้าดินโปรดเมตตา ข้าไม่ได้แอบดีใจ ข้าแค่ไม่อยากโดนตี! ข้าแค่อยากจะกินขาหมูต่อไปอีก!’


นับตั้งแต่วันนั้นกลุ่มเด็กๆ ก็ไม่มีใครได้เห็นแม้แต่เงาของสมบัติล้ำค่านั้นอีกเลย บ่อใต้ดินที่เคยไปขุดหาสมบัติก็ถูกปิดตายไปแล้ว พวกข้าอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ แต่เมื่อฤดูหนาวมาเยือนก็มีหิมะให้เล่น ในฤดูใบไม้ผลิก็มีตั๊กแตน ฤดูร้อนมีจักจั่น ส่วนฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถปีนต้นไม้ไปตีรังผึ้งมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้กินกันได้ พวกข้าล้วนมีความสุขสนุกสนานกันยิ่งนักทำให้เรื่องสมบัติเหล่านั้นถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้น


.


หลังจากนั้นไม่กี่ปี


พี่ฟ่านถวนก็เอาแต่พูดถึงเรื่องที่จะออกไปท่องเที่ยวด้านนอกภูเขา ท่านแม่ย่อมไม่ยินยอม ส่วนท่านพ่อก็ไม่ออกความเห็นใดๆ ข้าเองก็ทำได้เพียงออกความคิดเห็นที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น


สุดท้ายตอนเช้ามืดที่พวกเรายังคงหลับกันอยู่ พี่ใหญ่ก็ออกจากบ้านไปเพียงลำพัง ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้บนโต๊ะ…


ท่านแม่ร้องไห้จนแทบจะเป็นลม พร่ำพูดว่าเจ้าลูกคนนี้ไม่ได้พกอะไรติดตัวไปด้วยเลย ออกไปตัวเปล่าเช่นนี้คงต้องลำบากเป็นแน่ เด็กที่เคยอยู่แต่ในป่าในเขา การออกไปภายนอกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านพ่อของข้ากลับแกว่งจดหมายฉบับนั้นไปมาแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เขาเอาสร้อยไข่มุกของหลู่จิ่งอันไปด้วย”


พอข้ารู้อย่างนี้ก็อดขุ่นเคืองไม่ได้ หรือเดิมทีพี่ใหญ่ได้ขโมยสมบัติล้ำค่านั่นออกมาถึงสองชิ้น พอโดนจับได้ก็ส่งคืนไปแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น!


ช่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย!


แต่ข้าจะทำอย่างไรได้ จากนั้นข้าก็คิดได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ฉลาดด้อยไปกว่าเซียวฟ่านถวน แล้วเหตุใดข้าจึงไม่มีสิทธิ์ออกไปท่องเที่ยวโลกภายนอกสักครั้งเล่า?


น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าไม่มีความคิดที่จะซุกซ่อนสมบัติล้ำค่าที่ขโมยมาไว้อีกสักชิ้น!


พอพี่เทียนเฟยเห็นข้าเศร้าเสียใจจึงแอบบอกว่า “ท่านแม่ของข้ามีเงินก้อนเล็กๆ สีขาวมันวาวอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อก่อนตอนที่ท่านแม่อยู่ภายนอกได้เก็บสะสมเอาไว้ มันอยู่ในหีบบนโต๊ะเครื่องแป้งมาตลอด”


ข้าถึงกับตาลุกวาวทันที ชำเลืองมองสาบเสื้อของพี่เทียนเฟยแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เราออกไปด้วยกันเถอะ!”


ในที่สุดพี่เทียนเฟยก็ขโมยก้อนเงินเล็กๆ สีขาวมันวาวมาได้จริงๆ พวกเราเลือกช่วงเวลาเช้าตรู่ที่ฟ้ายังไม่สางออกไปจากหมู่บ้านลี่สุ่ยด้วยกัน


ตอนที่เดินออกจากลานบ้านไปแล้ว ข้าพลันรู้สึกไม่อยากจากท่านพ่อและท่านแม่ไป แต่พอหันกลับมามองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปในบ้าน ข้าก็เห็นท่านพ่อยังคงโอบกอดท่านแม่ไว้เช่นเดิม ท่านแม่ในวันนี้ยังคงเหมือนเด็กน้อยที่ซบอยู่ในอ้อมกอดของท่านพ่อไม่เปลี่ยนแปลง


ข้าได้แต่แอบยิ้มในใจ คิดได้ว่าท่านแม่ยังมีท่านพ่อ ส่วนท่านพ่อก็มีท่านแม่ หากขาดพวกเราไปพวกท่านก็ไม่ต้องกลัวเหงา อีกอย่างข้าต้องกลับมาแน่!


พอคิดได้เช่นนี้ข้าก็แบกห่อสัมภาระน้อยๆ จากไปอย่างไม่ลังเลอีก


เช้าตรู่ของวันนี้ บนเขายังมีเมฆหมอกหนาทึบ ข้ากับพี่เทียนเฟยช่วยกันคลำทางเพื่อลงไปจากภูเขาด้วยกัน พอเดินข้ามผ่านภูเขาลูกน้อยลูกหนึ่งมาได้ก็หันกลับไปมองด้านหลังจึงยังเห็นว่ามีหมอกปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้พวกเรามองไม่เห็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่คุ้นเคยอีกแล้ว


พี่เทียนเฟยส่งเสียงเร่งข้าว่า “เร็วเข้า ไม่เช่นนั้นอาจถูกจับได้นะ”


ข้ามาคิดๆ ดูก็จริงตามที่เขาว่าจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตามไป ตอนนั้นข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าการออกไปครั้งนี้จะกินเวลาเนิ่นนานหลายปี


.


หลายปีผ่านมา


ข้าเดินทางไปมากมายหลายที่ ได้พบเจอผู้คนมาก็เยอะ และได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นประสบการณ์มานับไม่ถ้วน


ข้าได้พบเจอกับการล่มสลายของราชวงศ์หนึ่ง และก็ได้เห็นการก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ และข้ายังได้พบกับเรื่องที่ต้องพิสูจน์ใจผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า


แน่นอนว่า… ข้ายังได้พบกับชายผู้หนึ่งที่รักและเอาใจใส่ข้าไปตลอดชีวิตเหมือนที่ท่านพ่อรักท่านแม่


ผ่านไปอีกหลายปีพี่ฟ่านถวนก็บอกกับข้าว่า “พวกเรากลับบ้านกันเถิด”


ข้าพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล


ข้าจับมือชายอีกคนที่รักข้าแล้วบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “มีที่ห่างไกลแห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านลี่สุ่ย ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดีมาก”


—————————————————————————————————–

 

 

 


ตอนที่ 137 เช้าวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อน

 

วันที่เซียวจิงซันหวนกลับมาที่หมู่บ้านลี่สุ่ยเป็นเช้าวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อน


เขากลับไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้านทันทีแต่ตรงไปเคารพหลุมฝังศพของบิดาตนเองก่อน


สถานที่ฝังศพบิดาอยู่บนเนินเขาใต้กองหิน ตอนนี้ในกองหินมีทั้งดินทั้งหญ้าและต้นไม้เล็กๆ ขึ้นปกคลุมอยู่เต็มจนแทบจะหาหลุมฝังศพไม่พบ ยังดีที่ตอนนั้นเขาได้นำต้นหลิวต้นหนึ่งมาปลูกไว้ และยามนี้หลิวต้นนั้นก็สูงขึ้นมากแล้ว


เซียวจิงซันหยิบกริชออกมาแล้วค้อมกายลงตัดหญ้าที่ขึ้นรกออก บริเวณหลุมฝังศพจึงดูสะอาดสะอ้านขึ้นมาหน่อย พอเสร็จแล้วเขาก็โยนกริชในมือลงบนพื้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหน้าหลุมศพ


ถึงในอดีตบิดาของเขาจะเป็นอาจารย์เปิดสำนักสอนหนังสือ ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่คนมากเรื่องหรือเคร่งครัดในระเบียบแบบแผนจึงไม่ได้เลี้ยงบุตรชายมาอย่างเข้มงวดสักเท่าไร ดังนั้นในตอนนี้เซียวจิงซันจึงไม่ได้คุกเข่าคารวะหน้าหลุมศพตามประเพณี อีกทั้งบิดาก็ไม่ชอบเห็นเขาคุกเข่าเช่นกัน


เขาเด็ดหญ้าหางกระรอกที่อยู่ใกล้มือมาก้านหนึ่งแล้วนำมาคาบไว้ในปาก จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมฆบดบัง


เซียวจิงซันยิ้มน้อยๆ มองหลุมฝังศพแล้วพูดกับบิดาว่า “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”


ทว่าไร้เสียงใดๆ ตอบกลับมา หุบเขานั้นยังคงเงียบเหงาอ้างว้างเช่นเดิม


เซียวจิงซันยิ้มออกมาทั้งๆ ที่น้ำตาเริ่มรื้นขึ้น “ท่านพ่อ ตอนที่ท่านแม่จากไป เหตุใดท่านถึงพาข้ามาอยู่ที่นี่เล่า? คงจะเหมือนกับข้าในยามนี้ที่ได้เห็นทุกสิ่งมาหมดสิ้นแล้วใช่หรือไม่?”


เมื่อสายลมพัดโชยมา ต้นหญ้าที่ปกคลุมเหนือหลุมศพก็พลิ้วไหวน้อยๆ เซียวจิงซันถอนหายใจยาวแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ตอนที่ข้าบอกว่าจะไปจากที่นี่ ท่านคงคาดเดาอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งข้าต้องกลับมาใช่ไหม?”


เขานิ่งเงียบไป คำถามนี้ไร้ซึ่งคนตอบเสียแล้ว


เซียวจิงซันหงายตัวลงนอนบนกองหญ้าที่ตนถอนออกมาเมื่อครู่ เงยหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่ทอดยาวไปบรรจบกับทิวเขาเบื้องหน้าอันห่างไกล แสงสว่างสาดส่องลงมาราวกับกำลังชโลมจิตใจผู้คนให้กลับมาเบิกบานอีกครั้ง


ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ได้กลิ่นหญ้าสดใหม่ที่เพิ่งถูกตัดพลางหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน


ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงชายผ้าระไปกับพงหญ้าดังสวบสาบ บางครั้งยังมีเสียงเล็กๆ ครวญเพลงอย่างแผ่วเบาที่ได้ยินไม่ชัดเจนนัก


เซียวจิงซันค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อย…


เขาออกจากหมู่บ้านไปหลายปี ตอนนี้จึงไม่หลงเหลือความคุ้นเคยกับผู้คนในหมู่บ้าน เมื่อกลับมาถึงก็ตรงมาคารวะบิดาก่อนจึงยังไม่ได้พบเจอกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเลย


ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง สายตามองผ่านพงหญ้าที่สูงประมาณครึ่งตัวคนก็พบว่าที่ไกลออกไปมีสาวน้อยนางหนึ่ง


นางสวมชุดกระโปรงผ้าเนื้อหยาบ แบกตะกร้าหวายไว้บนหลังในมือถือเคียว ปากก็ครวญเพลงไปด้วย นางเหลียวซ้ายแลขวาตามพงหญ้าราวกับกำลังมองหาอะไรอยู่ หยาดน้ำค้างทำให้กระโปรงผ้าเนื้อหยาบเปียกชื้น เหงื่อไหลรินลงมาจากสองแก้มแดงระเรื่อ แต่ท่าทางของนางกลับดูมีความสุขยิ่งนัก ดวงตาเป็นประกายสุกใส ศีรษะเล็กๆ นั้นโยกไปมาอย่างอารมณ์ดี


เซียวจิงซันเห็นแล้วก็หัวเราะเบาๆ เขานั่งกอดเข่าอยู่ตรงหน้าหลุมศพบิดา ในใจคิดว่าที่ตรงนี้เป็นพงหญ้ารกทึบไม่สะดุดตา แม่สาวน้อยคนนี้คงมองไม่เห็นเขาเป็นแน่


แล้วก็เป็นจริงดังคาด นางไม่รู้เลยว่าอีกฟากหนึ่งจะมีหลุมฝังศพตั้งอยู่ และยิ่งไม่เห็นว่าตรงนี้มีผู้ชายตัวโตคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย


ตอนนี้ดูเหมือนนางหาหญ้าที่ตนเองต้องการได้แล้วจึงส่งเสียงร้องลั่นออกมาอย่างยินดี ทรุดตัวลงนั่งยองๆ วางตะกร้าหวายบนพื้นแล้วเริ่มลงมือตัด


เซียวจิงซันยิ้มน้อยๆ หันไปมองบิดาแล้วกระซิบเสียงแหบพร่า “ท่านพ่อ หลุมศพของท่านฮวงจุ้ยดีไม่เบา หญ้าที่งอกออกมายังเอาไปเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย”


เสียงตอบกลับมากลับกลายเป็นเสียงตัดหญ้าที่ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด


เซียวจิงซันคิดอย่างจนใจ หากตนเองลุกขึ้นมาในตอนนี้ก็เกรงว่าจะทำให้แม่นางน้อยตกใจ เขาจึงทำได้เพียงทิ้งกายลงนอนอีกครั้ง ถึงอย่างไรยามนี้ดวงตะวันก็เพิ่งจะขึ้น แม้จะยังมีน้ำค้างยามเช้าอยู่บ้างแต่ตนเองนั้นหนังหนาทนได้อยู่แล้ว ดังนั้นขอพักสายตาอยู่หน้าหลุมฝังศพของบิดาสักงีบก่อนแล้วกัน


ตอนที่เซียวจิงซันลืมตาตื่นอีกครั้ง รอบด้านช่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว เขาคิดว่าแม่นางน้อยคนนั้นน่าจะตัดหญ้าเสร็จแล้วจึงกลับไป พอคิดจะลุกขึ้นนั่งสายตาก็เหลือบเห็นว่านางยังอยู่…


นางไม่เพียงยังอยู่ ตอนนี้นางยังถอดชุดกระโปรงออก เหลือเพียงเสื้อตัวในสีชมพูที่ปกปิดได้เพียงเนินอกน้อยๆ เอาไว้ มือข้างหนึ่งของนางถือเคียว ส่วนมืออีกข้างกำลังยกชายกระโปรงขึ้นมาพัดวี


เซียวจิงซันถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ยามนี้คงไม่อาจลุกขึ้นได้เสียแล้ว เขาทำได้เพียงทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ เพราะหากแม่นางน้อยผู้นี้บังเอิญเห็นเขาเข้า นางย่อมต้องตกใจเป็นแน่


เซียวจิงซันหันไปยิ้มเฝื่อนกับหลุมฝังศพบิดา แอบบ่นพึมพำในใจ “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้ากลายเป็นพวกถ้ำมองไปเสียแล้ว”


ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวบ้านใดกันถึงได้ประมาทเลินเล่อเช่นนี้


เขาได้แต่ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองไปทางแม่นางน้อยที่ใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมนั่นอีก แต่ในใจก็อดครุ่นคิดไม่ได้…


นางน่าจะอายุประมาณสิบห้าสิบหกเห็นจะได้ เช่นนั้นตอนที่เขาออกจากหมู่บ้านไปนางก็น่าจะเกิดแล้ว เซียวจิงซันหวนคิดถึงผู้คนในอดีตแต่ก็ไม่อาจเดาได้ว่านางจะเป็นลูกสาวบ้านใดกันแน่ ทว่าอยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนจะออกเดินทาง พี่ชายสกุลซูที่มาส่งได้อุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย


เขาคิดถึงความน่ารักของเด็กหญิงคนนั้น ริมฝีปากเล็กที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียน ดวงตาดำขลับเป็นประกายกะพริบปริบๆ เด็กน้อยร้องให้อุ้มตลอดเวลาแล้วยังชอบพ่นน้ำลายเล่นอีกด้วย


ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขาพลันได้ยินเสียงหนุ่มน้อยตะโกนดังมาแต่ไกล


“เหมยจื่อ เหมยจื่อ!”


เซียวจิงซันสะดุ้งตกใจ มองไปทางแม่นางน้อยที่สวมเพียงเสื้อปิดอก เกรงว่านางจะถูกคนอื่นเห็นเข้า แต่ท่าทางของนางกลับดูดีใจยิ่งนัก ยังคงยิ้มแย้มเบิกบานพลางตะโกนกลับไปว่า “ฝูเกอ เจ้าอย่าเพิ่งเข้ามานะ! รอตรงนั้นก่อน!”


จากนั้นมีเสียงสวบสาบดังแว่วให้ได้ยิน แม่นางน้อยผู้นั้นน่าจะกำลังใส่ชุดกระโปรงของตน


ส่วนคนด้านนอกที่นางเรียกว่า ‘ฝูเกอ’ กำลังหัวเราะพลางกล่าวว่า “เหมยจื่อ เจ้านั้นชอบไม่ฟังข้าอยู่เรื่อย ก็ได้ๆ ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้ เร็วๆ เข้าล่ะ!”


ใบหน้าคมสันของเซียวจิงซันเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังคิดว่าตนเองควรจะหลบไปดีหรือไม่ หนุ่มน้อยที่ตามมาน่าจะเป็นคู่รักของนาง ทั้งสองคงคิดจะหาที่ลับหูลับตาคนสักหน่อย แต่ตอนนี้กลับถูกเขาเห็นจนหมดแล้ว


แต่เมื่อมองไปรอบๆ หากเขาขยับเขยื้อนในตอนนี้ เสียงต้นไม้ใบหญ้าก็จะทำให้แม่นางน้อยตกใจ ถึงตอนนั้นก็คงจะอธิบายกันยากแล้ว


หลังจากแม่นางน้อยแต่งกายเสร็จเรียบร้อ นางก็เดินออกไปหาหนุ่มน้อยฝูเกอที่ยืนรออยู่ ทั้งสองนั่งเคียงกันอยู่ในพงหญ้า พูดคุยหยอดคำหวานให้กัน ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกไม่ขาด


คำพูดคำจาของแม่นางน้อยนั้นช่างใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม ยามหัวเราะก็สดใสยิ่ง ยามเก้อเขินก็ดูน่ารักไร้เดียงสา


เซียวจิงซันทอดถอนใจอย่างแผ่วเบาทีหนึ่งแล้วล้มตัวลงนอนในพงหญ้าตามเดิม พูดกับหลุมศพบิดาอย่างจนใจ “ท่านพ่อ ท่านว่าข้าควรหาภรรยาสักคนดีหรือไม่?”


พูดจบก็ยิ้มหยันให้ตนเองแล้วกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ!”


.


ในที่สุดคู่รักหนุ่มสาวก็ยอมจากไปเสียที


เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เซียวจิงซันจำต้องเป็น ‘พวกถ้ำมอง’ แอบฟังคนอื่นพลอดรักกัน หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าเข้าไปในหมู่บ้าน


ตอนแรกผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ต้อนรับการกลับมาอย่างอบอุ่น แต่ต่อมาก็มีข่าวลือแปลกๆ ว่าเขาเป็นโจรป่า ผู้คนจึงค่อยๆ ถอยห่างจากเขา


ยังดีที่ก่อนหน้าเขาเคยผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย แค่สายตาของผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้จึงไม่อาจทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนได้


ทุกเช้าเมื่อตะวันเริ่มทอแสงอ่อนเซียวจิงซันก็จะออกไปล่าสัตว์ ทุกคืนก่อนนอนก็จะร่ายรำมวยสักกระบวนท่าเพื่อยืดเส้นยืดสาย นับเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างแท้จริง


—————————————————————————————————

 

 

 


ตอนที่ 138 ชีวิตทั้งหมดนับจากนี้ข้าจะดูแลเอง

 

หลังจากที่เขาได้พบแม่นางน้อยในวันนั้น


ไม่ว่าเขาจะเจตนาหรือไม่เรื่องราวของนางก็มักจะแว่วมาเข้าหู เขาจึงได้รู้ว่านางคือเด็กผู้หญิงที่พ่นน้ำลายเล่นใส่ตนในตอนนั้นจริงดังคาด เขายังจำได้ว่าพี่ซูเรียกนางว่าแม่หนู คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นจะตั้งชื่อให้ว่าเหมยจื่อ


พอนึกถึงเหมยจื่อ เซียวจิงซันที่ร่ายรำมวยอยู่ภายใต้แสงจันทร์นวลจบกระบวนท่าพอดีก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ นางคือลูกสาวของพี่ซูสินะและก็คือแม่หนูน้อยที่ตนเคยอุ้มเมื่อครั้งนั้น จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ตอนนี้กลายเป็นสาวแรกรุ่น ทั้งตัดหญ้าได้ร้องเพลงก็ได้ หนำซ้ำยังรู้จักพลอดรักกับชายหนุ่มอยู่ในพงหญ้าอีกด้วย


เขาไม่รู้ว่าหากพี่ซูยังมีชีวิตอยู่จะรู้สึกอย่างไรกัน เขารู้เพียงใจตัวเองตอนนี้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย


.


ค่ำคืนนั้น


เซียวจิงซันตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน หวนกลับไปเมื่ออดีตนานมาแล้ว ท่ามกลางความเลือนรางพี่ซูยังมีชีวิตอยู่ อีกฝ่ายส่งแม่หนูน้อยมาให้เขาอุ้ม เซียวจิงซันรับแม่หนูตัวกลมเนื้อนวลมาอุ้มไว้ เด็กหญิงตัวน้อยน่ารักเนื้อตัวนุ่มนิ่มทำให้จิตใจแข็งกระด้างของเขาพลันอ่อนโยนลง


ในความฝันเขาได้ยินพี่ซูพูดอย่างนึกขำว่า “นางดูท่าจะชอบเจ้า หากไม่ใช่เพราะเจ้ากำลังไปจากที่นี่ ข้าก็อยากจะยกนางให้กับเจ้า”


เซียวจิงซันเริ่มจะรู้สึกงุนงง คำพูดประโยคนี้ในตอนนั้นพี่ซูเหมือนจะเคยพูดไว้จริงๆ ใช่หรือไม่?


เขาพยายามหวนคิดถึงมัน แต่ทุกสิ่งรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวายไปหมดจนเขาไม่อาจตั้งสติคิดถึงมันได้อีก


ทว่าขณะที่กำลังมึนงงในความฝัน พอเขาก้มหน้าลงก็ได้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่สดใสราวสายน้ำกำลังกะพริบปริบๆ จ้องมองตนอยู่ ริมฝีปากน้อยแดงระเรื่อคลี่ออกเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ช่างเย้ายวนใจผู้ที่ได้มอง


เซียวจิงซันสะดุ้งตกใจอีกครั้ง แม่หนูน้อยในอ้อมกอดเปลี่ยนเป็นแม่นางน้อยผู้ใสซื่อไปตั้งแต่เมื่อไรกัน!


ชายหนุ่มตกใจตื่น เหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผาก แสงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่างทาบลงมาบนร่างของเขา เซียวจิงซันนอนเบิกตาโพลงอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา


อันที่จริงหลังจากเขากลับมาก็ได้ยินว่าพี่ซูจากโลกนี้ไปแล้ว เดิมทีก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนคารวะซูฮูหยินสักครั้งเพื่อไถ่ถามว่ามีอะไรที่ตนพอจะช่วยเหลือได้บ้าง แต่เมื่อมีข่าวลือเรื่องของตน เซียวจิงซันก็รู้สึกว่าซูฮูหยินพยายามจะหลบหน้า พอมาลองคิดอีกทีในฐานะแม่ม่าย นางย่อมต้องคิดมากเป็นธรรมดา เพราะเขานั้นเป็นหนุ่มโสดตัวคนเดียว หนำซ้ำยังมีข่าวไม่ค่อยดีนัก เช่นนั้นควรหลีกเลี่ยงที่จะข้องเกี่ยวด้วยน่าจะดีกว่า


ทว่าเขาเองก็ยังอดคิดถึงเรื่องของเหมยจื่อไม่ได้ ต่อมาเขาก็ได้รู้ว่าหนุ่มน้อยฝูเกอก็คือลูกชายของผู้ใหญ่บ้าน


เซียวจิงซันก้มหน้าพลางใคร่ครวญ เขาเอาใจช่วยขอให้ความรักของเหมยจื่อนั้นราบรื่นเป็นไปด้วยดี หวังว่านางจะสามารถแต่งงานเข้าไปอยู่ในครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านได้ เมื่อเป็นเช่นนี้พี่ซูที่อยู่บนสวรรค์ก็คงสามารถวางใจได้แล้ว


.


น่าเสียดายที่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น


ผู้ใหญ่บ้านพาคนมาหยามหมิ่นตระกูลซูถึงบ้าน ทว่าเหมยจื่อก็ยังตัดสินใจจะหนีไปกับหนุ่มน้อยคนนั้น ผลสุดท้ายอีกฝ่ายกลับหักหลังทิ้งนาง ชาวบ้านพากันติฉินนินทากันไปทั่ว แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมต้องดังเข้าหูของเขาด้วย


เซียวจิงซันร่ายรำมวยจนจบกระบวนท่า วันนี้เขาออกแรงด้วยท่วงท่าดุดันมากกว่าที่เคย หลังจากรำมวยจนเสร็จเหงื่อไหลโซมกาย เขาก็เลิกเสื้อผ้าเนื้อหยาบตัวนอกขึ้นแล้วเดินไปริมลำธารเพื่อให้สายน้ำใสเย็นช่วยชำระล้างร่างกายให้คลายความร้อนระอุ


ถึงเขาจะภาวนาให้แม่หนูน้อยที่ตัวเองเคยอุ้มเมื่อวันวานได้มีชีวิตที่ราบรื่น ให้บุตรสาวของผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเหลือตนเองนั้นไร้ซึ่งอุปสรรค และอยากให้แม่นางน้อยที่สวมเพียงเสื้อปิดอกนั่งร้องเพลงอยู่ในพงหญ้าอย่างสบายอารมณ์ได้มีความสุขไปตลอดชีวิต ทว่าเขาก็ทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ข้างๆ ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรนางได้เลย


ขณะที่สายน้ำในลำธารไหลวนเวียนอยู่รอบกาย เซียวจิงซันก้มหน้าลงจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองบนผิวน้ำ ในใจนึกอยากจะถามพี่ซูว่า…


ตอนนี้ข้าสามารถช่วยทำอะไรให้ลูกสาวท่านได้บ้าง?


มีบ้างหรือไม่?


คืนนั้นเซียวจิงซันนอนไม่หลับรู้สึกกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน ในเมื่อไม่อาจข่มตานอนได้แล้ว เขาจึงลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่ แบกคันธนูขึ้นบ่า เหน็บกริชไว้ที่เอวและออกจากบ้านไปล่าสัตว์


.


ขณะที่อยู่ในป่าลึก


เขาไล่ล่าพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย โก่งคันธนูให้ง้างออกราวกับจันทร์เต็มดวง ค่อยๆ หรี่ตาเล็งแล้วปล่อยมือ ลูกธนูพลันพุ่งออกไป


เขาคือเซียวจิงซันผู้ที่เคยฝ่าฟันมาแล้วทุกสนามรบ บั่นหัวศัตรูมานับไม่ถ้วน ผู้ที่ยอมถอดเสื้อเกราะแม่ทัพใหญ่ออกแล้วละทิ้งอำนาจวาสนา ผู้ที่มีหัวใจดั่งเหล็กกล้าไม่หวั่นไหวต่อความงดงามอันเย้ายวนของสตรี


สำหรับบุรุษผู้นี้ยังจะมีสิ่งใดที่ดูดดึงความสนใจของเขาได้อีกเล่า?


.


ตอนที่กลับจากล่าสัตว์


ที่เอวของเซียวจิงซันมีไก่ป่าตัวหนึ่งแขวนอยู่ ด้านหลังแบกกระต่ายป่าตัวใหญ่หนึ่งตัว พอได้ออกแรงเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น


ขณะที่เดินกลับหยดน้ำค้างทำเอาเสื้อของเขาเปียกปอน ชายหนุ่มเดินอยู่ท่ามกลางสายหมอกในยามเช้าด้วยฝีเท้าแผ่วเบาว่องไวจนหญิงสาวที่เผชิญหน้าโดยบังเอิญถึงกับตกตะลึง


สาวน้อยนางนั้นเดินผ่านเขาไปาวกับมองไม่เห็น แต่เขารู้ว่านางแอบปรายตามองมาแวบหนึ่งก่อนจะรีบหลุบตาลง


เซียวจิงซันเกิดความรู้สึกแปลกชอบกล แต่ก็ยังเดินผ่านนางไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง


ทว่าเมื่อสาวเท้ายาวกลับมาถึงบ้านตนเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ท่าทางของหญิงสาวผู้นั้นดูผิดปกติเกินไป อีกทั้งในเวลาเช่นนี้เหตุใดนางจึงออกมาเดินในป่าเพียงลำพัง แม้แต่ตะกร้าหวายหรือเคียวก็ไม่ได้นำมาด้วยอย่างเคย


เซียวจิงซันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางข้าวของทั้งหมดลงแล้วรีบวิ่งออกไปด้านนอกทันที


ตลอดทางไร้ซึ่งผู้คน ท่ามกลางสายหมอกยามเช้าเขากลับพบหญิงสาวนางนั้นอย่างรวดเร็ว นางกำลังพาดสายคาดเอวเนื้อหยาบขึ้นไปแขวนบนกิ่งโน้มเอียงของต้นไม้


นางกำลังจะฆ่าตัวตาย!


เซียวจิงซันโจนตัวออกไปเหมือนดั่งลูกธนูที่พุ่งออกจากสาย เพียงพริบตาก็ไปถึงใต้ต้นไม้ มือซ้ายดึงกริชออกมาตัดสายคาดเอวที่พาดอยู่บนต้นขาดสะบั้น มือขวาประคองร่างหญิงสาวแล้วรวบนางมากอดไว้ในอ้อมอก


ลมหายใจนางเริ่มรวยริน!


เขามองแก้มที่เคยแดงระเรื่อทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นซีดขาว มองดวงตาคู่งามที่เคยสุกใสในยามนี้กลับหลับสนิท เซียวจิงซันขบฟันแน่น ก้มหน้าลงต่อลมหายใจให้กับนาง


รสสัมผัสของริมฝีปากช่างอ่อนนุ่มและบอบบาง


ขณะที่เซียวจิงซันถอนริมฝีปากออกจากเรียวปากงาม ลมหายใจของนางก็เริ่มกลับมาสม่ำเสมอแต่ยังคงหมดสติอยู่


เซียวจิงซันมองริมฝีปากที่เปียกชื้นแดงเจ่อเพราะตนเองแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกแขนเสื้อขึ้นช่วยเช็ดรอยเปียกชื้นนั้นออกให้


ชายหนุ่มลุกยืนพร้อมกับช้อนกายนางขึ้นอุ้ม แล้วรีบสาวเท้ายาวพานางกลับไปบ้านตระกูลซู


เซียวจิงซันย่อมรู้จักบ้านของนางเป็นอย่างดี แต่ยามนี้คนในตระกูลซูกลับแสดงออกว่าไม่รู้จักเขาเสียแล้ว


ทันทีที่ซูฮูหยินเห็นหน้าของเซียวจิงซัน สีหน้าของนางก็ไม่สู้ดีนัก ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าลูกสาวของตนถูกเขาอุ้มไว้ในอ้อมแขน สีหน้าของผู้เป็นมารดาก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่


แต่เซียวจิงซันกลับไม่ได้แยแสสีหน้าของอีกฝ่าย เขาเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดไม่จาแล้ววางร่างของเหมยจื่อลงบนเตียงนอน


ตอนแรกในใจก็ยังลังเลอยู่ สุดท้ายเขาก็ทำไปตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มมองผ้าห่มที่พับไว้อย่างเรียบร้อยบนเตียง แล้วเลือกหยิบผืนที่สีสันดูใหม่ที่สุดมาห่มลงบนร่างของเหมยจื่ออย่างเบามือ


น้องสาวเหมยจื่อมองเขาด้วยสายตาเดียดฉันท์แวบหนึ่งแล้วบ่นพึมพำว่า “ผ้าห่มผืนนั้นเป็นผ้าห่มที่ข้าใช้ประจำ”


น้องชายเหมยจื่อที่เดิมทีจ้องมองพี่ใหญ่ของตนด้วยความวิตกกังวล ตอนนี้ก็อดหันมามองเซียวจิงซันด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ได้


มารดาของเหมยจื่อก็มองเขาอย่างจนใจ ปากก็พร่ำพูดว่า “เซียวจิงซัน เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก”


เซียวจิงซันกลับไม่ได้ตอบอะไร พอห่มผ้าให้เหมยจื่อเรียบร้อยก็หันหลังเดินจากไป


ในใจของชายหนุ่มคิดเพียงว่าต้องรีบลงจากเขา นำของป่าหายากที่หามาได้เมื่อหลายวันก่อนไปขายแลกเงิน


เขาจึงจะสามารถตระเตรียมสินสอดที่ดีเพียบพร้อมให้กับหญิงสาวผู้นี้ได้!


———————————————————————————————–


จบบริบูรณ์

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม