Grasping Evil จักรพรรดิปีศาจหนิง 191 - 216

 191 ทะลวงแก่นทองคำ (4)

ผู้เยาว์อายุ 10 ปีเดินเลียบสระน้ำ


 


สายน้ำกระจ่างใส สีหน้าผู้เยาว์สดใส


 


“ที่นี่คือดินแดนแห่งความฝัน ผลแห่งความฝัน 9 ผลทำให้ข้าต้องอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน 450 ปี… จุดสุดท้ายของความฝัน สมควรเป็นหัวใจแห่งปีศาจ ข้าต้องคลายปมหัวใจแห่งปีศาจทีละนิด และบรรลุสู่แก่นทองคำ”


 


ในขณะที่เดินชมสระ ความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้น


 


ในอดีตที่ตนล่อให้ผู้เยาว์ในขอบเขตเปิดเส้นชีพจรไล่ตาม ตนอาศัยความคุ้นชินผืนป่าหลบหลีก ล่อให้ผู้เยาว์เหล่านั้นเข้าไปยังส่วนลึกของป่า กลิ่นอายของพวกมันกระตุ้นความสนใจของราชาหมาป่า ทำให้พวกมันทั้งหมดถูกสังหาร


 


นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่หนิงฝานเริ่มสังหาร โดยอาศัยราชาหมาป่า


 


หนิงฝานย้อนกลับไปตระกูลหนิงเพื่อส่งสมุนไพร


 


ผู้ดูแลตระกูลหนิงเฝ้ามองผู้ที่กลับมา มันไม่สนใจทาสในตระกูล


 


การที่ต้องเข้าไปหาสมุนไพรในป่าถือเป็นเรื่องอันตราย ทาสที่เข้าไปตายในนั้นหลายคน แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีกับตระกูล


 


ตระกูลหนิงส่งคนเข้าไปทั้งหมด 471 คน เหลือกลับออกมาเพียง 97


 


ผู้ที่รอดกลับมาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สมุนไพรติดมือกลับมา ผู้ที่ได้ก็ได้สมุนไพรที่มีอายุเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น


 


ในกลุ่มคนที่กลับมา หนิงฝานใน 10 ขวบก็บสมุนไพรกลับมาได้หลายชนิด


 


ผู้ดูแลตระกูลประหลาดใจเล็กน้อย มันหลี่ตามองหนิงฝาน และสังเกตุเห็นว่าแววตาของเด็กคนนี้ดูลึกล้ำราวกับมหาสมุทร ไม่อาจมองออกว่าเด็กผู้นี้มีนิสัยใจคออย่างไร


 


“เจ้าชื่ออะไร?”


 


“หนิงฝาน”


 


“สมุนไพรพวกนี้เจ้าเก็บมาเองเหรอ?”


 


“ใช่”


 


“เจ้าอยากเข้าร่วมกลุ่มเก็บสมุนไพรของตระกูลหรือเปล่า?”


 


“ไม่”


 


“ทำไม?”


 


ผู้ดูแลเริ่มไม่พอใจ เด็กหนุ่มเบื้องหน้าไม่หวาดกลัวยามมันจ้องมอง ทั้งยังกล้าปฏิเสธข้อเสนอของมัน


 


ในตระกูลหนิง ทาสคนใดที่ได้เข้าร่วมกลุ่มเก็บสมุนไพร จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น


 


ในแต่ละปี ผู้ดูแลตระกูลจะคัดเฟ้นเด็ก 3 คนที่หาสมุนไพรมาได้เยอะที่สุด หากได้เข้าร่วมกลุ่มหาสมุนไพร หน้าที่มีเพียงทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ ผลตอบแทนที่ได้คืออาภรณ์และอาหารชั้นดี


 


ข้อเสนอเช่นนี้ เหตุใดเด็กเบื้องหน้าถึงปฏิเสธ


 


ที่สำคัญ เด็กเบื้องมันผู้นี้ยังให้ความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง


 


และนั่นทำให้เหงื่อของมันเริ่มพรั่งพรูโดยไม่รู้ตัว


 


“ก็แล้วแต่เจ้า ไม่อยากเข้าร่วมก็ไม่ต้องเข้า… ส่วนสมุนไพรคิดเป็น 172 เหรียญเงิน แต่ข้าจะให้เจ้า 202 เหรียญเงิน ถือว่าข้าใจกว้างมาก ถ้าเผื่อเจ้าอยากเข้าร่วมกลุ่มเก็บสมุนไพรของข้า ก็ให้มาหาข้า”


 


หนิงฝานป้องมือ รับเหรียญเงินแล้วเดินจากไป


 


หนิงฝานถอนหายใจ


 


“ในครั้งนั้น ข้าอยากเข้าร่วมกลุ่มเก็บสมุนไพรแทบตายแต่ก็ไม่ได้เข้า… พวกที่เข้าร่วมเองก็ถูกเจ้านายน้อยเทียนสังหารตายจนหมด”


 


“นายน้อยเทียน… หนิงเทียน! ข่าวลือว่ามันชอบหนิงฉิงเอ๋อร์มาก เลยใช้หนิงฟงไปจับตัวนางมา… หรือจะเป็นมันที่ตามจับตัวข้าและหนิงกู่เพื่อนำไปขายเป็นกระถางขัดเกลา”


 


“ความฝันนั้นช่างลึกล้ำ… ทำให้ข้าได้เห็นเรื่องราวในอดีต ทั้งยังเปลี่ยนแปลงมันได้ตามใจปรารถนา… สงสัยจะเป็นผลมาจากผลแห่งความฝัน”


 


เมื่อทำงานลุล่วง หนิงฝานเดินออกจากเมืองไห่หนิง ตรงไปยังภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นมีหนิงกู่ที่กำลังฝึกวิชาอย่างขันแข็ง


 


หนิงกู่ยามนี้อายุได้ 9 ปี ในมือถือกระบี่ร่ายรำ เมื่อเห็นหนิงฝานมา หนิงกู่หยุดมือ ใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งความสุข


 


“พี่กลับมาแล้ว…”


 


กลับมาแล้ว… ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่หนิงฝานจากแคว้นหวู่ไปนาน


 


“ในโลกของความเป็นจริง ข้าไม่อาจมอบโอกาสให้หนิงกู่ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ… แต่ในความฝัน ข้าทำได้!”


 


หากเจ้าต้องการชีวิตที่เรียบง่าย ข้าจะมอบสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามให้เจ้า… หากเจ้าอยากเป็นจักรพรรดิผู้ครองแคว้น ข้าจะมอบวิชาฝึกฝนที่ทรงพลังให้เจ้า…


 


ในดินแดนแห่งความฝันแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้


 


“พี่… เกิดอะไรขึ้น?” หนิงกู่สังเกตุเห็นว่าหนิงฝานดูแปลกไป หนิงกู่ไม่รู้ว่าพี่ชายของตนไม่ใช่ทาสที่อ่อนแออีกต่อไป แต่เป็นปีศาจที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก


 


“วิชาดีๆ?”


 


“อืม… เป็นวิชาขัดเกลาร่างกาย นามว่า ‘วิชากระดูกยักษ์’! ”


 


เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ หนิงฝานเป็นเด็กร่างกายผอมบาง สูงเพียง 6 ฉื่อ แต่ตัวหนิงฝานในยามนี้ดูแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ


 


หลังจากถ่ายทอดวิชาจนตะวันตกดิน หนิงฝานก็มุ่งหน้าเข้าเมืองหนิงไห่ที่ไร้ซึ่งทหารป้องกัน


 


ในอดีต หนิงฝานล่อหนิงฟงและพรรคพวกไปให้ราชาหมาป่าสังหาร


 


และในอดีต พี่ชายของหนิงฟง…นายน้อยเทียน รู้ว่าการที่น้องชายของมันตายเกี่ยวพันกับหนิงฝาน


 


ราตรีนี้ในอดีต หนิงฝานตั้งใจจะเข้าเมืองเพื่อซื้อสมุนไพรมาเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายให้หนิงกู่ แต่เมื่อไปถึงร้านขายสมุนไพร เขากลับถูกกลุ่มผู้เยาว์รุมล้อม และนำตัวไปพบหนิงเทียน!


 


เมื่อได้พบหนิงฝานเทียน มันใช้วิชาอ่านจิตวิญญาณและลบความทรงจำเขา จากนั้นก็ปล่อยเขากลับมา…


 


ดังนั้นในราตรนี้ เมื่อหนิงฝานไปถึงร้านขายสมุนไพร เขาจึงหยุดฝีเท้า ผู้เยาว์ 7 คนที่แฝงตัวในความมืดปรากฏกาย


 


“อย่าขยับ! ตามพวกมาซะดีๆ นายน้อยเทียนอยากพบเจ้า!”


 


ชายร่างใหญ่คนหนึ่งจับตัวหนิงฝาน แต่ยามนั้นเอง แววตาหนิงฝานกลับแปรเปลี่ยน


 


“ขอบเขตเปิดเส้นชีพจรที่ 1… มิน่าในอดีตถึงหักกระดูกไหล่ข้าได้ง่ายๆ… แต่ตอนนี้เจ้าตายซะ!”


 


หนิงฝานกระทืบพื้น เมืองทั้งเมืองสั่นสะเทือน


 


แม้แรงสั่นสะเทือนจะไม่ได้แรงมากนัก แต่นั่นก็เกินขีดจำกัดที่ร่างกายมนุษย์จะทนได้


 


ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ 3 คนของเมืองหนิงแตกตื่น


 


“ผู้ใดกล้าบุกรุกเมืองไห่หนิง!” เสียงของชายชราคนหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วท้องนภา ทำให้ผู้คนในเมื่อแตกตื่น


 


ผู้เยาว์ทั้ง 7 คนถูกแรงสั่นสะเทือนบดขยี้ร่างแหลกละเอียด พร้อมกับหนิงฝานที่เหยียบย่างนภาหายไป


 


หนิงฝานปรากฏตัวยังตำหนักแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเป็นตำหนักของนายน้อยเทียน!


 


บนที่นอน นายน้อยเทียนอายุ 19 ปีกำลังเสพสุขกับสองสาวใช้อย่างมีความสุข


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหนิงฝาน แววตาของมันแปรเปลี่ยนเย็นชา


 


“ทาสอย่างเจ้าเข้ามาในนี้ได้ยังไง? ข้ารู้ว่าเจ้าคือหนิงฝาน” หนิงเทียนผละออกจากสาวใช้ทั้งสองคน และเร่งสวมใส่อาภรณ์


 


มันอารมณ์เสียที่โดนขัดจังหวะ


 


มันสัมผัสได้ว่าหนิงฝานเข้าตำหนักของมันมาคนเดียว หากคนรับใช้ทั้ง 7 คนของมันกลับมา พวกนั้นต้องถูกลงโทษ


 


“ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะจะล้างความทรงจำเจ้า แต่เจ้าวางใจได้ เจ้าไม่ตายหรอก แค่สมองเสื่อมเล็กน้อย…”


 


“เจ้าทำได้หรอ?”


 


หนิงฝานเย้นหยัน


 


ในอดีตหนิงฝานถูกหักกระดูกไหล่ไป เมื่อยามที่มาตำหนักแห่งนี้จึงหมดสติ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรเขาบ้าง


 


หากในอดีตถูกลบความทรงจำจนสมองเสื่อมในขณะที่หมดสติ แสดงว่าในตอนนั้นสมควรมีคนมาช่วย


 


หนิงฝานในตอนนี้อยากเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร… ช่างน่าอัศจรรย์ที่ผลแห่งความฝันจะทำให้รู้เรื่องนั้นด้วย


 


แววตาหนิงเทียนแปรเปลี่ยนเย็นชา มันรู้ว่าทาสเบื้องหน้าของมันไม่หวาดกลัว


 


ในยามนั้นเอง ด้านนอกตำหนักมีเส้นแสงสีครามปรากฏ


 


หนิงฉิงเอ๋อร์!


 


นางได้ยินว่าคืนนี้หนิงเทียนจะทรมานทาสคนหนึ่ง


 


และนางก็ได้ยินมาว่าทาสคนนั้นเกี่ยวข้องกับความตายของหนิงฟง


 


นางไม่โง่ นางเดาได้ว่าผู้ที่แอบดูนางอาบน้ำคือหนิงฟง และผู้ที่ตะโกนเตือนนางในวันนั้นคือหนิงฝาน


 


“นายน้อยเทียน เห็นแก่ข้าฉิงเอ๋อร์ ปล่อยคนผู้นั้นไปเถอะ… เขาเป็นเพียงทาสคนหนึ่งเท่านั้น”


 


แม้นางจะกล่าวกับหนิงเทียนอย่างนอบน้อม แต่แววตาของนางกลับเย็นชา


 


ครั้งนี้คือครั้งที่ 2 ที่นางช่วยหนิงฝาน แต่นางไม่เคยกล่าวถามชื่อของหนิงฝาน เพราะนางไม่เห็นหนิงฝานสายตา


 


เมื่อได้ทราบถึงผู้ที่มา หนิงฝานหลับตาและถอนหายใจ


 


“หนิงเทียน นับจากวันนี้ไป เจ้าต้องหายไปจากตระกูลหนิงตลอดกาล…”


 


หนิงฝานยกมือขึ้นเล็กน้อย ปราณที่ทรงพลังราวกับสะเทือนไปทั้งสวรรค์ปรากฏ


 


หนิงเทียนไม่อาจขยับเคลื่อนไหว มันยืนนิ่งรอให้หนิงฝานประชิดตัว


 


สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง ทั้งตกตะลึงและหวาดกลัว… นี่มันเป็นปราณระดับใด!


 


ไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย…


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชาราวกับเทพปีศาจ!


 


“ล้างวิญญาณ!”


 


ชั่วอึดใจนั้นเอง ผู้อาวุโสสามของตระกูลหนิงสีหน้าแปรเปลี่ยน มันเร่งทะยานมายังตำหนักหนิงเทียน


 


หนิงฉิงเอ๋อร์ที่อยู่ในเหตุการณ์สั่นสะท้าน


 


บุรุษเบื้องหน้านางสังหารคนได้อย่างเลือดเย็น!


 


“เจ้าเป็นใคร!”


 


“หนิงฝาน!”


 


เสียงสายหนึ่งสะท้อนก้องผ่านผืนนภายามราตรี


 


หนิงฝานก้าวเดินไปเบื้องหน้า แต่ละเท้าที่ก้าว ทำให้รูปลักษณ์แปรเปลี่ยน


 


เมื่อก้าวไปข้างหน้าได้ 6 ก้าว ผู้เยาว์อายุ 10 ปี เติบโตเป็นผู้เยาว์อายุ 16 ปี


 


ความทรงจำจากจิตวิญญาณของหนิงเทียนได้ปรากฏขึ้นในหัว


 


“เป็นมันจริงๆ…” แววตาหนิงฝานเผยเจตนาสังหาร


 


ในอดีตก่อนจะถูกขาย หนิงเทียนเป็นผู้ใช้วิชาลบความทรงจำของหนิงฝาน ก่อนจะขายให้กับโจรเพื่อนำไปขายต่อเป็นกระถางขัดเกลา


 


เหตุที่มันทำแบบนั้น หนึ่งเพราะหนิงฝานเป็นตัวการที่ทำให้หนิงฟงตาย สองคือหนิงฝานดึงความสนใจของหนิงฉิงเอ๋อจากมันไป


 


“เป้าหมายต่อไปคือแคว้นหวู่… แต่ตอนนี้เป็นเวลาตายของเจ้า ใครคิดช่วยมัน…ตาย!”


 


ราตรีที่เงียบสงัด กลายเป็นราตรีแห่งฝันร้ายของผู้เชี่ยวชาญในเมืองไห่หนิง


 


นายน้อยหนิงเทียนถูกทำลายวิญญาณ ร่างถูกสับเป็นชิ้นๆตายอย่างน่าสยดสยองด้วยฝีมือของหนิงฝาน


 


ผู้อาวุโสใหญ่ในขอบเขตแก่นทองคำทั้งสามของตระกูลหนิง เหยียบย่างนภาหยุดยืน เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ


 


คนผู้นั้นมีนามว่าหนิงฝาน!


 


ศัตรูที่น่าหวาดหวั่นของตระกูลหนิง


 


เมื่อปลิดชีพหนิงเทียน หนิงฝานก็มุ่งออกจากแคว้นเยว่ ตรงไปยังแคว้นหวู่…


 


ผลอันลึกลับของผลแห่งความฝันทำให้ปมภายในใจถูกคลาย


 


ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอันตรายกับหนิงฝาน ภายในแคว้นหวู่มีศัตรูของเขาอยู่มากมาย และคราวนี้ถึงคราวชำระแค้น


 


หนิงฝานก้าวเดินอย่างเชื่องช้า เพียงแต่ แต่ละก้าวที่เคลื่อนที่ ข้ามระยะทางพันจ้างภายในพริบตา


 


วันคืนผันผ่าน หนิงฝานมุ่งหน้าผ่านไปถึงตำแหน่งที่เป็นที่ตั้งของนิกายเหอฮวน


 


ที่นั่นมีสตรี 107 คนยืนพร้อม พวกนางทุกคนเป็นผู้ที่หนิงฝานแค้นเคืองอย่างที่สุด


 


หนิงฝานเยียบย่างนภาสูง บังคับควบคุมกระถางแยกโอสถถล่มใส่พวกนาง


 


กระถางแรกทำลายข่ายอาคม! กระถางที่สองทำลายนิกาย! และกระถางที่สามทำลายขุนเขาและสายน้ำ!


 


เสียงที่ดังราวกับอัสนีฟาดผ่าน สะท้อนก้องไปทั่วผืนนภา


 


“ข้าคือหนิงฝานในวันนั้น และวันนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้เป็น 100 เท่า!”


 


ปราณในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุดกดดัน


 


ภูมิประเทศรอบข้างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหล่าสตรีของนิกายเหอฮวนสีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง


 


ในสถานที่ไกลออกไป หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี กำลังร่วมรักอย่างมีความสุข


 


“เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆเลย ข้าเกือบจะถึงแล้ว…”


 


“จะรีบร้อนไปไหน ข้ายังไม่พอใจเลย รั้งไว้ก่อนแล้วห้ามหยุด…”


 


ผู้ที่กำลังร่วมรัก หนึ่งคือผู้อาวุโสนิกายเทียนหลีโม่…หวู่ตงหนาน อีกหนึ่งคือประมุขนิกายเหอฮวน…ชาเจี่ยวยู่


 


แรงสั่นสะเทือนและเสียงที่ราวกับอัสนีฟาดผ่าทำให้ทั้งสองหวาดกลัว หวู่ตงหนานที่ใกล้จะถึงฝั่งฝัน กลับแห้งเหี่ยวโดรยราในทันที


 


“ผะ…ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ!”


 


ทันทีที่มันกล่าวจบ มันรู้สึกราวกับบางสิ่งเคลื่อนเข้าปะทะศีรษะ ก่อนศีรษะของมันจะหายไป โลหิตสาดกระจายเต็มเตียง


 


โลหิตเปรอะเปื้อนใบหน้าและเรือนร่างของชาเจี่ยวยู่ ก่อนที่เงาร่างของผู้เยาว์คนหนึ่งจะปรากฏ


 


“ผะ…ผู้อาวุโสโปรดเมตตา…”


 


“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก… ข้ากล่าวแล้วว่าจะให้พวกเจ้าได้ชดใช้เป็น 100 เท่า… ในอดีต พวกเจ้าทำกับข้าเหมือนเป็นกระถางขัดเกลา แต่วันนี้ พวกเจ้าทุกคนต้องเป็นกระถางขัดเกลาของข้า”


 


“ย่อมได้…” ชาเจี่ยวยู่ไม่กล้าปฏิเสธ


 


ร่างกายสั่นสะท้าน หนิงฝานเอื้อมมือจับเข้าหน้าอกของนางอย่างแรง ชั่วพริบตานั้น นางกลับรู้ราวกับอวัยวะเบื้องล่างของนางเปียกชุ่มราวกับกำลังจะถึงเป้าหมายที่นางเฝ้าฝัน


 


ศิษย์สตรีของนิกายเหอฮวนอีก 107 คนก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน เว้นแต่เพียงจื่อเฮ่อเท่านั้น…


192 บรรลุแก่นทองคำขั้นสูงสุด

ภายในตำหนักที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เสียงครามกระเส่าของสตรีดังระงม


 


สตรีเยาว์วัยมากมายถูกพรากความบริสุทธิ์ โลหิตแห่งพรหมจรรย์ไหลริน สองขาสั่นเทาไม่อาจควบคุม


 


“พ… พอแล้ว ข้าไม่อยากได้อีกแล้ว…”


 


พวกนางร้องขอความเมตตา แต่สิ่งที่พวกนางได้รับกลับมีเพียงเสียงผ่อนลมหายใจที่เย็นชาจากบุรุษผู้หนึ่ง


 


ใบหน้าของพวกนางยังแดงก่ำ ของเหลวยังไหลรินออกจากหว่างขา


 


ทุกสิ่งดำเนินไป


 


บุรุษผู้นั่นราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


 


แม้ของเหลวที่หว่างขาพวกนางหยุดไหลริน แต่พวกนางยังคงถูกกระทำเช่นนั้นไม่พัก


 


“เจ้าคุกเข่าลงแล้วเลียซะ!”


 


“เจ้ากางขาออก!”


 


ทั้งเจ็บปวด ทั้งเสียวซ่านมีความสุข ปะปนไปในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์แห่งนี้


 


แล้วปราณหยินแรงเริ่มของพวกนางทั้งหมดก็ถูกช่วงชิง…


 


สตรีแทบทั้งหมดตกตาย ฝันร้ายดำเนินอย่างต่อเนื่อง 3 วัน 3 คืน


 


หนิงฝานสวมอาภรณ์แล้วออกจากตำหนัก สตรีของนิกายเหอฮวนที่ยังเหลือรอดมีเพียงคนเดียว


 


ภายนอกตำหนัก สตรีเยาว์วัยนางหนึ่งยืนมองหนิงฝานที่เดินเข้ามา


 


“พี่ชาย… ท่านอย่าได้ข่มเหงจื่อเฮ่อเลย…” นางกล่าว น้ำตาเป็นสายไหลริน


 


นางหวาดกลัวบุรุษเบื้องหน้าอย่างที่สุด


 


ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ตนต้องประสบ สีหน้าของนางยิ่งทุกข์ทนมัวหมอง


 


หากต้องทนให้บุรุษผู้นี้ย่ำยี ขอข้าตายด้วยน้ำมือตนเองเสียดีกว่า!


 


นางดึงปิ่นปักผมออกจากศีรษะ แล้วเข้าที่ลำคอของตน


 


ใบหน้าที่หมองเศร้า หยาดน้ำตาที่ไหลริน ทำให้หนิงฝานที่เฝ้าดูเสียใจอย่างที่สุด


 


จื่อเฮ่อคือเด็กสาวผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับราวี


 


นางคือผู้ช่วยชีวิต คือผู้มอบสร้อยหยินหยาง และทำให้เขาได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกตน


 


แต่หากจะก้าวผ่าน… หนิงฝานต้องตัดนางจากใจ!


 


แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน แม้จะรู้ว่านางคือส่วนสำคัญของหัวใจปีศาจ แต่นางที่อยู่ตรงหน้า…ก็ยากจะตัดใจสังหาร


 


นางคือบริสุทธิ์ไร้มลทิน


 


นางคือผ้าขาวที่ไม่สำควรเกลือกกลั้วโลหิต


 


แต่หนิงฝานกลับเป็นฉุดรั้งนางลงมาให้มัวหมอง


 


แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้…


 


“เด็กโง่… ข้าจะยอมให้เจ้าบาดเจ็บได้ยังไง… ต่อให้เจ้าเป็นหัวใจปีศาจของข้า แต่หากจะให้ข้าตัดเจ้าออกไปจากใจ ข้าจะหักใจทำได้ยังไง…”


 


“จงรู้ไว้… ข้ายอมพลิกสวรรค์เพื่อแลกกับตัวเจ้า”


 


“จงรู้ไว้… ข้ายอมเป็นปฏิปักษ์กับสวรรค์เพื่อให้เจ้าไม่ต้องด่างพร้อย”


 


“จงรู้ไว้… หากให้ข้าละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อเจ้า ข้าขอลุกขึ้นต่อต้านสวรรค์ ทรยศกับการฝึกฝนของผู้เชี่ยวชาญในอดีต”


 


หนิงฝานยื่นมือสัมผัสใบหน้าของนางเบาๆด้วยความรักใคร่ เช็ดน้ำตาที่ไหลริน คำกล่าวที่ออกมาจากในหนิงฝาน ทำให้จิตใจดวงน้อยๆของนางสั่นไหว ใบหน้าแดงระเรื่อ


 


“ข… ข้าไม่เข้าใจที่ท่านกล่าว”


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ… เจ้ารู้เพียงว่า เจ้าคือหัวใจปีศาจ ที่ข้าไม่อาจตัดเจ้าออกไปจากใจได้…”


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา ดินแดนแห่งความวันผุสลาย!


 


ผืนนภา ผสุธาปั่นป่วน ทุกสิ่งพลิกผัน เหลือไว้เพียงโลกดั้งเดิม!


 


หนิงฝานยืนมือไพล่หลังท่ามกลางดินแดนรกร้างไร้สิ้นสุด จ้องมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


“ข้าจะไม่ยอมตัดความรู้สึกออกจากใจ!”


 


คำกล่าวนั้นราวกับทำให้พิภพและสวรรค์พิโรธ


 


อัสนีสีแดงฉานฟาดผ่านกระหน่ำ!


 


ในสมัยโบราณ การฝึกฝนแบ่งออกเป็นสามสาย! ได้แก่ ‘ฝ่ายธรรมะ’ ‘ฝ่ายคนทรยศ’ และ ‘ฝ่ายปิดบังซ่อนเร้น’!


 


ฝ่ายธรรมะคือฝ่ายที่ได้รับการยินยอมจากสวรรค์ เป็นผู้ผดุงความยุติธรรมกำจัดคนชั่ว! เมื่อยามที่บรรลุแก่นทองคำ ต้องตัดขาดซึ่งญาติมิตร พี่น้อง ครอบครัว บุตร และภรรยา! เต๋าแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่คือไร้ซึ่งจิตใจ ไร้ซึ่งอารมณ์เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป ปลายทางของการฝึกตนฝ่ายนี้ คือการบรรลุ ‘เทพ’


 


ฝ่ายปิดบังซ่อนเร้น คือฝ่ายที่ซ่อนความจริงจากสวรรค์ เหมือน ‘ชู่เฉินสื่อ’ ที่ก่อนจะบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ ทำเหมือนตัดความรู้สึก แต่ที่แท้กลับไม่ได้ตัดความรู้สึกทิ้ง จิตใจจึงปั่นป่วนและรวนเรได้ง่าย… ฝ่ายนี้เป็นฝ่ายที่อ่อนด้อยที่สุดใน 3 ฝ่าย ผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนฝ่ายนี้จึงถูกเรียกขานว่า ‘อสูร’


 


ส่วนฝ่ายคนทรยศ… คือผู้ที่ยืนกรานจะต่อต้านสวรรค์ คงไว้ซึ่งความรู้สึก เผชิญหน้ากับความพิโรธของสวรรค์… ผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนฝ่ายนี้ จะถูกเรียกว่า ‘ปีศาจ’


 


เทพ อสูร และปีศาจ… ปีศาจนั้นได้ชื่อว่าสังหารผู้คนอย่างไร้หัวใจ ไร้ซึ่งความเมตตา…


 


ปีศาจต้องท้าทายสวรรค์ จึงต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์


 


แต่ละขั้นที่บรรลุแก่นทองคำ จะต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์


 


หากไม่สามารถต่อต้านอัสนีพิโรธของสวรรค์ได้ ก็จะตกตายไป


 


เพราะเต๋าแห่งสวรรค์นั้น ไม่ไว้สำหรับผู้ที่เชื่อฟังเท่านั้น!…


 


อัสนีแดงฟาดผ่า ผืนดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ผมดำขลับหนิงฝานพลิ้วไสว แววตาเย็นชาราวน้ำแข็ง


 


หน้าผากเปล่งแสงดาราเจิดจ้า ร่างกายขยายใหญ่แปรสภาพเป็นยักษ์สูง 100 จ้าง อัสนีแดงที่ฟาดผ่าราวกับผ่าเข้าใส่ศิลาแข็ง ไม่เกิดผลกระทบใดๆ


 


อัสนีบนท้องนภารวบรวมพลัง แรงกดดันเพิ่มพูนมหาศาล อัสนีแดงแปรเปลี่ยนเป็นอัสนีโลหิต ฟาดผ่ากระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง


 


แต่นั่นกลับไม่อาจขู่ขวัญหนิงฝาน


 


อัสนี 10 สายฟาดผ่าไม่อาจทำอันตราย


 


อัสนี 100 สายฟาดผ่าไม่อาจทำอันตราย


 


อัสนี 1000 สายผสานแล้วฟาดผ่า!


 


หนิงฝานในร่างยักษ์เปล่งเสียงคำรามลั่น


 


เส้นผมดำขลับขาวขึ้น ใบหน้าข้างซ้ายปรากฏลวดลายสีดำ ก่อนที่ทั่วร่างหนิงฝานจะกลายเป็นสีดำสนิท


 


เข้าต้านอัสนีสายยักษ์ที่ฟาดผ่าลงมา


 


วันคืนผันผ่าน… จากวันเป็นเดือน… จากเดือนเป็นปี… กระทั่งเคลื่อนเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของผลแห่งความฝัน หากหนิงฝานไม่อาจทนอัสนีสวรรค์ได้ เขาจะก้าวผ่านขอบเขตแก่นทองคำไม่เสร็จ!


 


หากพลาดโอกาสบรรลุ ความกลัวก็จะฝังลงในหัวใจ ครั้งหน้าที่หนิงฝานต้องเผชิญกับการทะลวงขอบเขตแก่นทองคำอีก หนิงฝานจะไร้ซึ่งความกล้าที่ต้องเผชิญกับมัน


 


ทันใดนั้นเอง ชื่อชู่เฉินสื่อผุดขึ้นในใจ หวนนึกถึงเส้นทางแห่งเต๋าที่ชายชราถากถาง


 


“แม้ไร้ซึ่งพิรุณ…แต่ยังมีพิรุณแฝงเร้น แม้จะไร้ซึ่งขุนเขา…แต่ยังมีขุนเขาแฝงเร้น มังกรเร้นกายในวารี…พร้อมปรากฏกายได้ทุกเมื่อ… หนอนดักแด้…รอวันปรากฏกายเป็นผีเสื้อ แม้ราชาไม่ลงมือสังหาร…แต่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจ ในโลกใบนี้ไม่ได้แค่พิภพและสวรรค์!”


 


คำกล่าวของชู่เฉินสื่อสะท้อนก้องในจิตใจ แววตาของหนิงฝานปรากฏอัสนีแปรบปราบ!


 


ดาราอัสนีของหนิงฝานสามารถอัสนีสวรรค์ได้ เหตุใดจะควบคุมอัสนีในยามนี้ไม่ได้!


 


อัสนีโลหิตสีแดงฉานแฝงด้วยเจตนาสังหารของสวรรค์!


 


หากไร้ซึ่งเจตนาสังหาร อัสนีสวรรค์ก็ไม่อาจสัมผัสกาย!


 


“เพียงพลิกฝ่ามือ…พิรุณโปรยปราย!”


 


หนิงฝานในร่างยักษ์พลิกฝ่ามือ พิรุณโปรยปรายพรั่งพรมทุกหนแห่ง


 


“แผ่นดินให้กำเนิดอัสนี ผืนฟ้าให้กำเนิดพิรุณ!”


 


ผืนดินสั่นเสือนอย่างรุนแรง พิรุณโปรยปรายโหมกระหน่ำ


 


อัสนีสีแดงฉานกระหน่ำผืนพิภพเป็นสาย เสียงดังกระหึ่มสะท้อนไปทั่วผืนนภาที่พรั่งพรมด้วยพิรุณ ราวกับสวรรค์ร่ำไห้


 


“นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสชู่เฉินสื่อกล่าวถึง… พิรุณถือกำเนิดจากผืนพิภพ โปรบปรายต่อต้านลิขิตสวรรค์ วนเวียนเป็นวัฏจักรอนันต์! ข้าจะไม่ตัดความรู้สึกของข้า… ข้าจะทะลวงแก่นทองคำ!”


 


ข้าจะทะลวงแก่นทองคำ!


 


ข้าจะทะลวงแก่นทองคำ!!


 


ข้าจะทะลวงแก่นทองคำ!!!


 


ชั่วพริบตานั้น ดาราอัสนีบนหน้าผากหนิงฝานแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม


 


อัสนีสีแดงฉานที่ฟาดฝ่าสั่นไหวไม่เป็นสาย พวกมันเริ่มหวาดกลัว!


 


กลิ่นอายของหนิงฝานร่างยักษ์ เพิ่มพูนมหาศาลในพริบตา


 


แก่นทองคำมนุษย์ และแก่นทองคำของอสูรผสานรวมเป็นหนึ่ง!


 


แรงกดดันเพิ่มพูนเป็นขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น… ขั้นกลาง… ขั้นสูง… และขั้นสูงสุด…


 


ดินแดนแห่งความฝันแตกสลาย


 


ร่างหนิงฝานที่นั่งอยู่ในถ้ำ เปล่งแรงกดดันที่รุนแรงจนทำให้ถ้ำพังทะลาย!


 


ผ่านมาเพียง 60 ปีในวิหารสาบสูญ หนิงฝานบรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด! อีกเพียงก้าวเดียวจะบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม


 


แต่เมื่อบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ จิตใจของหนิงฝานก็เปลี่ยนไป


 


ความเมตตาหมดสิ้น


 


เขาจะช่วงชิงสตรีทุกคนในทะเลไร้สิ้นสุดส่วนนอก เพื่อยกระดับพลังของตน


 


หนิงฝานในยามนี้ได้ก้าวเข้าสู่เส้นแห่งปีศาจโดยสมบูรณ์…


193 ข้าจะบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม

ผ่านไป 10 ปี ภูเขาและสายน้ำที่ถูกทำลายก็ฟื้นฟู ทิวทัศน์ที่งดงามคืนเก่า


 


ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หนิงฝานใช้เวลาไปกับการปรับขอบเขตพลังให้เสถียร


 


เมื่อยามนี้ขอบเขตพลังเสถียร หนิงฝานจะก้าวต่อไป เวลาในวิหารสาบสูญยังเหลืออยู่ เขาจะบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มให้ได้


 


ด้วยระดับของหนิงฝานในยามนี้ เขามีโอกาสทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มสำเร็จเพียง 3 ใน 10 ส่วน


 


การที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปจะบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มนั้น ทั้งปราณและระดับพลังต้องบรรลุถึงขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด ทั้งยังต้องฝึกฝนธาตุทั้ง 5 ให้บรรลุแจ่มแจ้ง


 


จึงกล่าวได้ว่าแค่ปราณอย่างเดียวไม่พอ ยังใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปีในการทำความเข้าใจธาตุทั้ง 5


 


การทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มและขอบเขตแก่นทองคำต่างกันราวฟ้ากับเหว


 


เมื่อบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ หนิงฝานทะยานสูงขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุดได้อย่างง่ายดาย


 


ผลแห่งความฝันทั้ง 9 ผลช่วยให้จิตใจของหนิงฝานก้าวหน้าไป 450 ปี เทียบเท่ากับครึ่งก้าวดวงจิตแรกเริ่ม


 


สัมผัสเทพบรรลุถึงดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง หากทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มสำเร็จ สัมผัสอาจบรรลุไปถึงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง


 


ยามนี้หนิงฝานมีปราณที่เพียงพอ มีระดับจิตใจที่เพียงพอ มีสัมผัสเทพที่เพียงพอ เหลือเพียงความเข้าใจในธาตุทั้ง 5


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มต้องก่อดวงจิตขึ้นภายในร่าง ดวงจิตนั้นเกิดจากการผสานธาตุทั้ง 5 เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นต้นดำเนิดของพลังทั้งหมด


 


แม้จะกล่าวว่าผสานธาตุทั้ง 5 ให้เป็นหนึ่ง ก่อดวงจิตแรกเริ่ม จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มใช้ธาตุทั้ง 5 ได้ แต่แท้จริงแล้ว ธาตุหลักของแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับเส้นลมปราณ ธาตุอื่นๆนอกจากนั้นเป็นเพียงส่วนเสริมให้สมบูรณ์เท่านั้น


 


ยามนี้หนิงฝานมีธาตุวารี เพลิง อัสนี และไม้ จะขาดก็เพียงธาตุพิภพ ก็จะทำให้หนิงฝานเริ่มก่อดวงจิตแรกเริ่มได้


 


หนิงฝานนำคัมภีร์วิชาศพปีศาจออกมา


 


วิชาศพปีศาจมีพื้นฐานมาจากธาตุพิภพ ซึ่งเป็นสิ่งที่หนิงฝานขาด


 


นอกจากนี้ หนิงฝานยังต้องยกระดับแต่ละวิชาของตน ให้บรรลุขอบเขตที่ 4 เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม


 


นอกจากนี้ หนิงฝานยังต้องฝึกวิชามุกหยิน วิชาของนิกายจี๋หลิง ที่จะสร้างมุกหยินที่เกิดจากการบีบอัดปราณตามวิชา จนกลายเป็นมุกเม็ดหนึ่ง หากผสานมุกนั้นเข้ากับแก่นทองคำ จะทำให้ความเข้มข้นของปราณเพิ่มพูน ทั้งยังทำให้อัตราความสำเร็จในการบรรลุแก่นทองคำเพิ่มขึ้นอีก 1 ใน 10 ส่วน


 


“หากทำได้ทั้งหมดอย่างที่คิด ข้าจะมีอัตราความสำเร็จเพิ่มเป็น 6 ใน 10 ส่วน… หากเพิ่มโอสถก่อดวงจิตเข้าไป อาจเป็น 7 ใน 10 ส่วน เพราะในโอสถก่อดวงจิตอัดแน่นไปด้วยธาตุทั้ง 5… น่าเสียดายที่ผลไม้แห่งเต๋าหมด ทั้งยังนำกระถางขัดเกลาออกมาบ่มเพาะไม่ได้… จะมีวิธีใดที่ยกระดับความเข้มข้นของปราณได้อีก? อ้อ… ยังมีวิธีนั้น!”


 


ดวงตาหนิงฝานเป็นกระกาย เขาพับแขนเสื้อขึ้น ปราณในร่างผันผวน


 


เพลิงกระดูกขาว…


 


แก่นปราณเยือกแข็ง…


 


และ ปราณเยือกแข็งกระดูกขาว…


 


เพลิงปีศาจ และปราณเยือกแข็งสวรรค์ทั้ง 3 ชนิดนี้ หากหนิงฝานดูดซับพวกมันได้ โอกาสในการทะลวงดวงจิตแรกเริ่มอาจเพิ่มอีก 2 ใน 10 ส่วน


 


แม้จะไม่มีผลไม้แห่งเต๋าหรือกระถางขัดเกลา แต่หนิงฝานก็สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จเป็น 9 ใน 10 ส่วนได้


 


“ต้องฝึกฝนยกระดับวิชาก่อน จากนั้นดูดซับเพลิงปีศาจและปราณเยือกแข็งสวรรค์ สุดท้ายก็กินโอสถก่อดวงจิต และเริ่มทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม!”


 


การทะลวงดวงจิตแรกเริ่มต้องก่อดวงจิตแรกเริ่มให้สำเร็จ! เมื่อแรกเข้าวิหารสาบสูญ หนิงฝานเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ แต่เมื่อออกจากวิหาร เขาต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม!


 


30 ปีผันผ่าน วิชาย่างก้าวหิมะ วิชาปีศาจทมิฬ และวิชาอื่นๆบรรลุขอบเขตที่ 4


 


และยามนี้ หนิงฝานกำลังจะเริ่มฝึกฝนวิชาศพปีศาจ


 


ตามคัมภีร์บอกเล่า ผู้ที่จะฝึกฝนวิชาศพปีศาจได้นั้น ต้องมีเส้นลมปราณพิเศษเฉพาะ ซึ่งก็คือเส้นลมปราณปีศาจโบราณ แต่เมื่อเทียบกับวิชากระดูกยักษ์แล้ว มันยากกว่านับหมื่นเท่า


 


การฝึกฝนจำเป็นต้องปรุงโอสถเฉพาะทางขึ้นมากิน สะกดกลิ่นอาย และต้องมีศพเป็นจำนวนมากเพื่อจะได้ดูดซับปราณจากซากศพ… แต่หากไม่มีซากศพ สามารถดูดกลืนพลังจากพิภพ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นปราณศพได้


 


เป้าหมายของวิชานี้คือ สร้างปราณศพแก่นชีวิตทั้ง 3 หากทำได้ก็ถือว่าบรรลุวิชา


 


เรื่องโอสถไม่ใช่ปัญหา จะขาดก็เพียงไม่อาจหาซากศพในโลกใบนี้ได้


 


ดังนั้นหนิงฝานจึงทำได้เพียง เปลี่ยนมาดูดซับพลังจากผืนพิภพ และสร้างให้พวกมันเป็นปราณศพขึ้นม


 


หนิงฝานขุดถ้ำลงไปลึกมาก ใต้นั้นมีแรงกดดันที่รุนแรง


 


เมื่อผ่านไป 40 ปี หนิงฝานสร้างปราณศพแก่นชีวิตที่ 1 ได้สำเร็จ


 


ผ่านไปอีก 30 ปี ปราณศพแก่นชีวิตที่ 2 ก็สำเร็จ


 


และผ่านไปอีก 20 ปี หนิงฝานก็สร้างปราณศพแก่นชีวิตที่ 3 ขึ้นมาได้


 


หนิงฝานใช้เวลาทั้งหมด 90 ปีในการสร้างปราณศพแก่นชีวิตทั้ง 3 เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายคือ ผสานพวกมันทั้ง 3 เป็นหนึ่ง


 


การจะผสานพวกมันเข้าด้วยกัน ต้องทุ่มพลังไม่น้อยจึงจะสำเร็จ


 


หนิงฝานขบคิดและรั้งรอ  แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจทำ


 


ผ่านไปอีก 10 ปี ในที่สุดหนิงฝานก็ผสานปราณศพแก่นชีวิตทั้ง 3 ได้สำเร็จ แต่ก่อนจะสำเร็จ ก็ผิดพลาดมาหลายครั้ง


 


ยามนี้ ปราณศพจำนวนมหาศาลกำลังผสานเข้ากับเส้นลมปราณของหนิงฝาน เพื่อให้กลายเป็นส่วนของปราณในร่าง


 


และจะช่วยให้เส้นลมปราณหยินหยางของหนิงฝาน สามารถเปลี่ยนให้ปราณพิภพกลายเป็นปราณศพได้


 


นั่นหมายความว่า หนิงฝานบรรลุธาตุทั้ง 5 เป็นที่เรียบร้อย


 


วิชาแปลงหยินหยางเองก็ทรงพลังขึ้นมาก


 


วิชาแปลงหยินหยาง คล้ายคลึงกับเส้นลมปราณโบราณ… เส้นลมปราณโบราณได้แก่ เส้นลมปราณเทพ เส้นลมปราณอสูร และ เส้นลมปราณปีศาจ ทั้งสามเส้นลมปราณนี้ เรียกรวมได้ 3 ชนิด


 


ชนิดแรกคือ ‘เส้นลมปราณวิญญาณ’ เป็นเส้นลมปราณของผู้ที่ฝึกวิชาธาตุต่างๆ เช่นเส้นลมปราณอัสนี เส้นลมปราณเพลิง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเส้นลมปราณวิญญาณ เป็นผู้ที่รับมือได้ยาก เพราะผู้เชี่ยวชาญในสายนี้ สามารถเปลี่ยนร่างกายของตนให้กลายเป็นปราณธาตุ เรียกว่า ‘กายาปราณ’ สามารถป้องกันการจู่โจมได้เป็นอย่างดี เหมือนเทพอัสนีแห่งวิหารพิรุณในอดีต ที่ครอบครองกายาอัสนี และเอาชนะเทพกษัตริย์ของโลกใบอื่นได้


 


ชนิดที่ 2 ของคือ เส้นลมปราณกายา… ยกตัวอย่างเช่น เส้นลมปราณศพ เส้นลมปราณกระดูก เส้นลมปราณกระบี่ เส้นลมปราณมังกร หรืออื่นๆอีกมากมาย ผู้ที่ครอบครองเส้นลมปราณเหล่านี้จะเน้นการฝึกไปที่ร่างกาย ยกระดับให้ร่างกายทรงพลัง กระทั่งกลายร่างเป็นยักษ์สูงนับหมื่นจ้าง ต้านรับการจู่โจมของเซียน หรือกระทั่งแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆ


 


และชนิดสุดท้ายคือ ‘เส้นลมปราณอัตลักษณ์’


 


เส้นลมปราณนี้แตกต่างจากเส้นลมปราณทั้งสองชนิด ไม่ได้สืบทอดร่างกายที่ทรงพลัง ไม่สืบทอดปราณที่ทรงพลัง แต่ผู้ที่ครอบครองเส้นลมปราณชนิดนี้จะมีพลังพิเศษบางอย่างเฉพาะตน


 


ยกตัวอย่างเช่น หากหนิงฝานมีพลังที่สตรีไม่อาจต่อต้าน นั่นหมายความว่า ไม่ว่าสตรีคนใดก็ไม่อาจต่อต้านเขาได้


 


หรือเป็นเส้นลมปราณอมตะ มีความสามารถพิเศษคืออมตะ ไม่ว่าจะฆ่าฟัน เผา หรือกระทำสิ่งใดก็ไม่ตาย แต่ต่อให้ตายจริงๆ อีกไม่นานก็จะกลับมาเกิดใหม่… ผู้เชี่ยวชาญที่ครอบครองเส้นลมปราณชนิดนี้ ไม่ว่ายังไงเหล่าเซียนหรือผู้ที่แข็งแกร่ง ก็ยังไม่อยากมีปัญหากับผู้เชี่ยวชาญที่ครอบครองเส้นลมปราณอัตลักษณ์


 


อีกตัวอย่างคือเทพกษัตริย์เนี่ย มันครอบครองเส้นลมปราณอัตลักษณ์ที่ทำให้มีความสามารถพิเศษคือ ยิ่งได้รับบาดเจ็บมากขนาดไหน หากอาการบาดเจ็บหายดีจะทำให้แข็งแกร่งขึ้น


 


ในอดีตหนิงฝานเคยทำให้เทพกษัตริย์เนี่ยบาดเจ็บสาหัส หากมันหายดี มันก็จะทรงพลังยิ่งขึ้น


 


ความสามารถนี้ของมันไม่ได้รับสืบทอดจากหานหยวนจี๋ และนี่อาจเป็นเหตุให้มันหักหลังชายชรา…


 


หากจะกล่าว วิชาแปลงหยินหยางเหมือนกับเส้นลมปราณอัตลักษณ์ ที่ทำให้มันครอบครองความสามารถพิเศษ เพียงแต่มากกว่า 1 อย่าง


 


ความสามารถพิเศษอย่างแรกคือการดูดซับพลังจากการขัดเกลาผสาน


 


อีกหนึ่งคือช่วงชิงความสามารถจากเส้นลมปราณอื่นๆ แล้วนำมาเป็นของตัวเอง! เรื่องนี้มีน้อยคนที่รู้


 


เมื่อสังหารปีศาจศพเฒ่า หนิงฝานก็ช่วงชิงวิชาของมัน และสามารถฝึกฝนวิชาของมันได้


 


และหากหนิงฝานสังหารเทพกษัตริย์เนี่ยได้ วิชาและความสามารถของมัน หนิงฝานฝึกวิชาได้เหมือนกัน…


 


ในอดีตผู้ที่ได้รับสืบทอดวิชาแปลงหยินหยางมา สามารถใช้ความสามารถพิเศษได้เพียง 1 อย่าง นั่นเพราะคนเหล่านั้นไม่มีสร้อยหยินหยาง


 


การที่ได้ครอบครองสร้อยหยินหยาง ทำให้หนิงฝานกลายเป็นผู้สืบทอดอย่างสมบูรณ์…


 


การที่เป่ยเซี่ยวเหมินแห่งหอคอยโอสถไม่ชอบใจหนิงฝานนัก ไม่ใช่เพราะวิชาที่หนิงฝานฝึกฝน แต่เป็นเพราะนางสัมผัสถึงระดับพลังที่แท้จริงของหนิงฝานไม่ได้


 


หนิงฝานละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดและเริ่มฝึกฝน…


 


เมื่อยกระดับวิชาต่างๆได้เสร็จ ขั้นต่อไปคือผสานกับเพลิงปีศาจ และปราณเยือกแข็งสวรรค์ เพียงแต่การจะผสานได้นั้น ผู้เชี่ยวชาญต้องบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณเป็นอย่างน้อย เพียงแต่หนิงฝานมีสร้อยหยินหยางช่วย ซึ่งก่อนหน้านี้ เขายังผสานกับเพลิงปีศาจทมิฬ


 


ยามนี้หนิงฝานบรรลุแก่นทองคำขั้นสูงสุดแล้ว สมควรดูดซับเพลิงปีศาจ หรือปราณเยือกแข็งได้ง่ายขึ้น


 


แม้จะกล่าวเช่นนั้น ตัวช่วยสำคัญของหนิงฝานคือสร้อยหยินหยาง…


 


ในภูเขาลูกที่หนิงฝานอยู่นั้น มีปราณเพลิงที่รุนแรง เหมาะกับการดูดซับปราณเยือกแข็งสวรรค์


 


หากหนิงฝานดูดซับปราณเยือกแข็งสวรรค์ได้ อาจจะทำให้ปราณของเขาบรรลุถึง 93 เกราะเลยก็ได้


 


“ข้าจะบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม”


 


แววตาของหนิงฝานหนักแน่น…


 


ยามนี้ในโลกของความเป็นจริง เวลาได้ล่วงเลยไป 10 ปีแล้ว แต่ 10 ปีนั้นสั้นนัก


 


ภายในเมืองเต๋าทมิฬ… ชายชราผมแดงนั่งปรับลมหายใจอยู่ภายในห้อง จิงสั่วได้รับบาดเจ็บ แววตาเกรี้ยวกราด


 


เมื่อสองเดือนก่อน จิงสั่วเพิ่งกลับออกจากวิหารสาบสูญ ยามนี้จิงสั่วเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มเต็มขั้น


 


ในอดีต หนิงฝานทะยานออกจากเรือล่องสวรรค์เพียงลำพังเพื่อช่วยเหลือชู่ซวนเชียนสื่อ เมื่อจิงสั่วมาถึงเกาะเผิงไหล ชายชราได้ว่าจ้างผู้เยาว์ประสานวิญญาณวิของหารสาบสูญ ว่าหากได้ข่าวของผู้ที่ชื่อซัวหมิงให้เร่งแจ้งข่าว จากนั้นจึงเข้าวิหารสาบสูญไป


 


จิงสั่วเชื่อว่าหนิงฝานมากความสามารถ ต่อให้ช่วยชู่ซวนเชียนสื่อไม่ได้ อย่างน้อยๆก็เอาชีวิตกลับมาได้ แต่หากนางตาย จิงสั่วก็ไม่รู้จะปลอบหนิงฝานยังไง


 


จิงสั่วเชื่อว่าผู้เยาว์คนนั้นไม่กล้าทรยศหักหลังมัน


 


ยามนี้ จิงสั่วยังไม่รู้ว่าหนิงฝานช่วยชู่ซวนเชียนสื่อได้สำเร็จ


 


จิงสั่วไม่รู้ว่า ผู้เยาว์ที่ว่าจ้างนั้น ได้ทรยศหักหลังตน นำแผ่นหยกที่สลักรูปลักษณ์ของซัวหมิง ขายให้กับคนอื่น


 


ซึ่งผู้ที่ว่าคือคนของวังผนึกอสูร ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งวัง นามหยิงเก้อ


 


มันเองก็ได้ออกประกาศไปว่าผู้ใดให้เบาะแสของซัวหมิงได้ จะได้รับ 1 แสนหยกสวรรค์


 


เมื่อผู้เยาว์คนนั้นรู้ว่าจิงสั่วและหยิงเก้อกำลังตามหาซัวหมิง มันจึงนำเบาะแสไปขายให้กับหยิงเก้อ


 


ผ่านไป 10 ปีหลังจากจิงสั่วออกมาจากวิหารสาบสูญ ผู้เยาว์คนนั้นแจ้งว่าไม่พบซิวหมิง


 


จิงสั่วทำได้เพียงถอนหายใจ มนุษย์มีชีวิตไม่แน่นอน ต่อให้เป็นผู้ที่สวรรค์เลือกก็ยังต้องตาย


 


ช่างน่าเศร้า


 


จิงสั่วถอนหายใจ และตั้งใจว่าจะกลับไปแคว้นเยว่ของตน เพื่อยกระดับให้แคว้นเยว่กลายเป็นแคว้นระดับกลาง


 


แต่คาดไม่ถึงว่าหลังออกจากเกาะเผิงไหล จิงสั่วจะถูกซุ่มโจมตี! คนผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสุดท้าย มันเข้าจู่โจมอย่างหนักหน่วงโดยไม่บอกเหตุผล!


 


แม้จิงสั่วจะบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม แต่ยังไม่อาจรับมืออีกฝ่ายได้ จนสุดท้าย ต้องใช้เพลิงครามจู่โจมแล้วหาโอกาสหนี


 


ภายนอกเกาะเผิงไหล หยิงเก้อซัดฝ่ามือสังหารผู้เยาว์ประสานวิญญาณที่ทรยศจิงสั่ว


 


“จิงสั่วผู้นั้นไม่ธรรมดา ถึงจะเพิ่งบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม แต่เพลิงครามนั่นไม่ธรรมดา… หรือมันจะเป็นคนสำคัญของวิหารสาบสูญ? ข่าวลือบอกว่าวิหารสาบสูญให้ความสำคัญกับเพลิงครามมาก แต่ถึงมันจะเป็นคนสำคัญแล้วยังไง? ข้าได้ใช้ ‘ผนึกอสูรสีเทา’ กับมัน มันหนีไปไหนไม่รอดแล้ว!”


 


“อ้านต้าของถามผู้อาวุโส! หากจับตัวมันผู้นั้นได้ และสาวไปถึงตัวซัวหมิงได้ ข้าขอเป็นผู้สังหารซัวหมิงด้วยตนเอง!” อ้านต้าแววตาเป็นประกาย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มันทะลวงระดับเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง แต่มันรู้ว่าแค่ลำพังมันคนเดียวย่อมไม่อาจเอาชนะซัวหมิงได้ จึงต้องให้ผู้อาวุโสลงมือด้วย


 


อ้านต้าผู้นี้คือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากประกาศิตสังหาร


 


“ได้! หากเจอตัวมัน ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ลงมือสังหาร… แต่ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือจิงสั่ว หากมันออกจากเกาะเมื่อไหร่ ปล่อยให้มันออกห่างเกาะได้สักหมื่นลี้ ข้าจะตามไปจับตัวมันแล้วอ่านความทรงจำ เมื่อนั้นเราก็รู้ที่อยู่ของซัวมิง”


 


แววตาหยิงเก้อแปรเปลี่ยนชั่วร้าย มันไม่เห็นจิงสั่วในสายตา


 


ภายในเมืองเต๋าทมิฬ… จิงสั่วที่กำลังรักษาตัวอยู่นั้น แตกตื่นอย่างบอกไม่ถูก


 


มันลืมตาขึ้นฉับพลัน แววตาเผยความประหลาดใจไม่อยากเชื่อ มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่ด้านหลัง


 


แต่ในห้องแห่งนี้มีข่ายอาคมระดับดวงจิตแรกเริ่มคุ้มกัน เหตุใดคนผู้นี้ถึงเข้ามาได้ หรือคนผู้นี้จะมาลอบจู่โจม!


 


แม้กลิ่นอายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่ก็เกือบเทียบเคียงขั้นกลาง ที่สำคัญ คนผู้นี้ให้ความรู้สึกที่อันตรายยิ่งกว่าหยิงเก้อ


 


แม้ผู้ที่ปรากฏด้านหลังจะแผ่กลิ่นอาย แต่หากสังเกตุดีๆ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาดูคล้ายศพที่ไร้ลมหายใจ


 


สีหน้าจิงสั่วแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง เป็นครั้งแรกที่มันเคยเห็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังขนาดนี้


 


“เจ้าเป็นใคร!” จิงสั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา โคจรปราณพร้อมหลบหนี


 


แต่ในชั่วพริบตานั้น ทุกสิ่งรอบกายจิงสั่วราวกับถูกหยุดนิ่ง


 


“อยู่นิ่งๆ!”


 


ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นชี้นิ้วมายังจิงสั่ว แสงสีเทาพันธนาการ ปราณที่โคจรไว้แตกซ่าน ทั่วร่างนิ่งแข็งไม่อาจขยับ


 


แสงสีเทานั้นแฝงด้วยสัมผัสของเพลิงและน้ำแข็ง


 


จิงสั่วไม่อาจขัดขืนการตรึงร่างไม่แม้แต่น้อย


 


และการตรึงร่างในลักษณะนี้ มันเพิ่งเคยเห็น


 


คนผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!


 


จิงสั่วตัดสินใจเตรียมจะระเบิดร่างของตน เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ แต่ชั่วพริบตานั้น คนผู้นั้นได้ถอนการตรึงร่างไป


 


“สหายเต๋าจิงไม่ต้องกังวล นี่ข้าเอง…”


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


จิงสั่วประหลาดใจ หรือคนผู้นี้เป็นสหายของตน แต่ตนเองมีสหายที่แข็งแกร่งระดับนี้ด้วยหรือ?


 


แต่เมื่อหันหน้ามาดู จิงสั่วต้องดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายนิ่งแข็งไม่อาจจยับ


 


“ส…สหายเต๋าหนิง! นั่นเจ้าเหรอ?”


 


“ข้าเอง…” หนิงฝานยิ้มเล็กน้อย แม้จะยืนนิ่ง แต่ปราณรอบข้างกลับผันผวนจนจิงสั่วยากจะโคจร มีเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงเท่านั้นที่ทำได้แบบนี้  แต่หนิงฝานทำได้


 


“เจ้าสมควรบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ… เหตุใดถึงบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม? แต่ปราณของเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มไม่ผิด อีกไม่นานคงบรรลุขั้นกลาง… สหายเต๋าหนิง 10 ปีมานี้เจ้าไปทำอะไรมา ทำไมถึงก้าวจากกึ่งแก่นทองคำไปยังดวงจิตแรกเริ่มได้!”


 


จิงสั่วสังเกตุหนิงฝานอย่างละเอียด พบว่ายามนี้กระดูกของหนิงฝานมีอายุได้ 320 ปีแล้ว


 


จาก 20 เป็น 320 ปี! ความเร็วเป็น 32 เท่า หมายความว่าเขาใช้วิหารชั้น 5!


 


วิหารชั้น 5 มีเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณและนักปรุงโอสถที่ 5 เท่านั้นที่ใช้ได้


 


นักปรุงโอสถผันแปรที่ 5… ก่อนหน้านี้หนิงฝานเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ไม่ใช่เหรอ? เหตุใดถึงก้าวไปถึงระดับนั้นได้


 


“เจ้า…” จิงสั่วมีคำถามมากมาย แต่ในขณะที่กำลังจะถาม กลับกระอักโลหิตออกมาก่อน


 


“เจ้าบาดเจ็บ!”


 


หนิงฝานแผ่สัมผัสเทพตรวจสอบร่างจิงสั่ว เขาพบปราณสีเทาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่าง


 


หนิงฝานชี้นิ้วไปที่ร่างจิงสั่ว ก่อนที่ปราณสีเทาจะสลายไป


 


ปราณสีเทานั้นเป็นปราณอสูร และผู้ที่ครอบครองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง


 


“วังผนึกอสูร!”


 


แววตาหนิงฝานเผยเจตนาสังหาร


 


วังผนึกอสูรต้องถูกกำจัด


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงย่อมครณามือ


 


ยามนี้หนิงฝานบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นเต็มตัว สัมผัสเทพบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง แปรเปลี่ยนเป็นยักษ์สูง 100 จ้างได้ มีเพลงกระบี่ตัดวิญญาณ 3 กระบวนท่า มีดรรชนีตรึงร่าง มีอัสนีโลหิต มีสมบัติชั้นยอด มีย่างก้าวสีเทา มีอาวุธเทพโบราณใหม่ ‘แส้อัสนี’…


194 สมบัติชนิดใดกัน

ผนึกอสูรสีเทาแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


หยิงเก้อที่ซ่อนตัวอยู่นอกเกาะเผิงไหล ดวงตาเบิกกว้างตกตะลึง


 


“เป็นไปไม่ได้! ผนึกอสูรสีเทาที่ข้าแอบวางไว้ในตัวจิงสั่ว…ถูกทำลาย! ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณช่วยถอนผนึกออกให้งั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้! บนเกาะเผิงไหลมีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเพียงผู้เดียวคือประมุขวิหารสาบสูญ… หรือจะมีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอีกคน! เป็นไปไม่ได้! หากผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเป็นผู้ถอนผนึกให้จริง ข้าต้องสัมผัสถึงตัวตนมันได้… แต่หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณแล้วเป็นผู้ใด!”


 


“เกิดอะไรขึ้นผู้อาวุโส? ซัวหมิงปรากฏตัวแล้วหรือ?” แววตาอ้านต้าเผยเจตนาสังหารและตื่นเต้น


 


“ซัวหมิง…นั่นสิ! ต้องเป็นมันแน่ มิน่าผนึกอสูรสีเทาของข้าถึงสัมผัสไม่ได้… ซัวหมิงมีสมบัติที่ไม่ธรรมดากับตัว มันต้องแอบช่วยจิงสั่วแน่… ฮ่าฮ่า เจ้าซัวหมิงต้องตามสัมผัสผนึกอสูรสีเทามาหาข้าแน่ ไปกันเถอะ ออกให้ห่างจากเกาะเผิงไหลหมื่นลี้ เมื่อพ้นระยะเขตของวิหารสาบสูญ เราจะฆ่ามัน”


 


แววตาหยิงเก้อเป็นประกาย มันคว้าร่างอ้านต้าทะยานออกห่างจากเกาะเผิงไหล


 


ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านไปมาตกตะลึง


 


หยิงเก้อที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วนั้น อย่างน้อยต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง!


 


เมื่อพ้นระยะหมื่นลี้ หยิงเก้อชะงักฝีเท้า ยืนมือไพล่หลังอยู่กลางผืนนภา แผ่แรงกดดันที่รุนแรงออกมา


 


กลิ่นอายของหยิงเก้อต่างไปจากผู้เชี่ยวชาญทั่วไป กลิ่นอายของดูทรงพลังไร้ผู้ต้าน นอกจากนี้ มันยังเป็นผู้ที่อยู่ในชื่อ ‘ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมที่อันตราย’!


 


ที่ทะเลส่วนในของทะเลไร้สิ้นสุด มีการจัดอันดับผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมที่อันตรายเอาไว้ ซึ่งหยิงเก้อถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 342!


 


คนผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีที่มาที่ไม่ธรรมดา!


 


“ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งวังผนึกอสูร…หยิงเก้อ! มันถึงกับออกมาจากทะเลส่วนใน มาอาละวาดในทะเลส่วนนอกของข้า”


 


“วังผนึกอสูรทรงพลังมากเลยเหรอ?”


 


“ไม่ใช่แค่ทรงพลัง… แต่ยังเป็น 1 ใน 72 นิกาย และเป็น 1 ใน 7 เกาะที่ไม่ควรยั่วยุ! ประมุขของพวกมันคือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นสูงสุด… มีฉายาว่า ‘ประมุขเจ็ดแห่งทะเลส่วนใน’! หากไม่ใช่เพราะทะเลส่วนในมีข้อตกลงกับวิหารพิรุณว่าห้ามออกจากทะเลส่วนใน ป่านนี้ทะเลส่วนนอกคงตกอยู่ภายใต้การปกครองของมันไปแล้ว”


 


“อะไรนะ! วังผนึกอสูรทรงพลังขนาดนั้นเลยหรอ? ดูจากท่าทางของมันแล้ว เหมือนมันกำลังรอใครอยู่”


 


“จะเป็นไปได้ยังไง! เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง ใครหล่ะจะกล้ายั่วยุมัน”


 


ผู้เชี่ยวชาญบริเวณนั้นพูดคุย แต่หยิงเก้อที่ได้ยินกลับไม่พอใจ


 


ปราณจำนวนมหาศาลปะทุ พื้นที่โดยรอบกว่าพันลี้สั่นสะเทือน หมอกขาวปกคลุม พร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น


 


ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำและผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่พูดคุยเมื่อครู่กระอักโลหิต ปราณภายในร่างปั่นป่วน ผนึกอสูรสีเทาฝังลงไปในร่างของพวกมัน


 


“นี่มัน… วิชาที่สร้างชื่อให้กับหยิงเก้อ! แย่แล้ว ต้องเร่งหาโอสถผันแปรที่ 3 ถอนพิษ ไม่อย่างนั้น…”


 


ผู้เชี่ยวชาญที่ต้องพิษและถูกผนึกอสูรสีเทาหวาดกลัวอย่างที่สุด พวกมันเร่งทะยานออกห่างหยิงเก้ออย่างสุดชีวิต


 


เพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำไม่อาจหนีได้ทัน หมอกสีขาวปกคลุมแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงฟ้า ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำที่หนีไม่ทันร้องลั่น ก่อนถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน!


 


วิชาระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง วิชาที่เปลี่ยนให้พื้นที่รอบข้างกลายเป็นทะเลเพลิง!


 


“ไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!”


 


หยิงเก้อหัวเราะลั่น ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้มันอีก


 


ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตกำลังทะยานหลบหนี รุ้งหิมะสายหนึ่งก็ตรงส่วนมา มุ่งหน้าไปยังทิศทางของหยิงเก้อ


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มเหล่านั้นพยายามเพ่งมองผู้ที่มา แต่ไม่มีใครเห็นเงาร่างของคนผู้นั้นได้ชัด


 


คนผู้นั้นทะยานเข้าไปในทะเลเพลิงของหยิงเก้อ หยุดยืนกลางท้องภาพ แววตาเรียบเฉย


 


ทะเลเพลิงของหยิงเก้อทำอะไรคนผู้นี้ไม่ได้


 


“ทำลาย!”


 


เมื่อสิ้นเสียง หมัดทะลายน้ำแข็งสำแดงอานุภาพ!


 


หมัดที่ชกออกเปล่งแสงสีเงิน ทั้งยังแฝงไปด้วยปราณน้ำแข็งที่น่าสะพรึงกลัว!


 


เพียงหมัดเดียว ทะเลเพลิงถูกพัดกระจุย ราวกับท้องนภาถูกพลิกด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว


 


วิชาที่สร้างชื่อของหยิงเก้อถูกทำลายอย่างง่ายดาย!


 


แต่การจู่โจมยังไม่หมดเท่านั้น เมื่อหมัดที่ทรงพลังเปิดทาง สัมผัสกระบี่สีดำทมิฬก็พุ่งตรงเข้าหาหยิงเก้อ เข้าปะทะร่างของมันจนทำให้มันต้องร่นถอยกว่า 10 ก้าว มันเร่งนำสมบัติที่ทรงอานุภาพเข้าต้านรับ และตกตะลึงกับหมัดและปราณกระบี่ของอีกฝ่าย


 


ฝ่ายอ้านต้า สีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง อานุภาพขากหมัดทะลายน้ำแข็งเมื่อครู่กระแทกร่างของมันไปไกล ปราณในร่างปั่นป่วน โลหิตไหลรินออกจากร่างอย่างต่อเนื่อง แม้มันจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง แต่โลหิตยังไม่หยุดไหล ยามนี้มันบาดเจ็บสาหัส!


 


“วังผนึกอสูรไม่เห็นจะเท่าไหร่… ยามนี้ถึงครามตายของเจ้าแล้ว!”


 


อ้านต้ารู้สึกราวกับทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมันตามไม่ทัน ก่อนหน้านี้มันเคยเห็นหน้าซัวหมิง แต่เมื่อจะไล่ตาม กลับถูกประกาศิตสังหารของอีกฝ่ายเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส… แม้ศิษย์พี่ทั้งสองข้องมันจะถูกซัวหมิงสังหาร แต่มันก็ยังไม่เห็ยซัวอยู่ในสายตา แต่ยามนี้ เพียงหมัดเดียวของอีกฝ่ายมันก็ไม่อาจต้านรับ


 


วิชาเมื่อครู่ของหยิงเก้อคือวิชาทะเลเพลิงที่ทรงพลัง แม้อีกฝ่ายจะบรรลุกระดูกเงิน และมีพลังน้ำแข็งที่ไม่ธรรมดา แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะสะกดเพลิงวิญญาณระดับ 4 ของมัน แต่หมัดทะลายน้ำแข็งและปราณกระบี่ของบุรุษเบื้องหน้ากลับทำลายได้อย่างง่ายดาย


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่หลบหนีชะงักฝีเท้า


 


นอกจากคนเหล่านั้นจะตกตะลึงกับพลังของหนิงฝานแล้ว ยังตกตะลึงกับคำกล่าว


 


หนิงฝานกล่าวราวกับไม่เห็นวังผนึกอสูรอยู่ในสายตา!


 


สีหน้าหยิงเก้อแปรเปลี่ยนมืดมน มันหันกล่าวกับอ้านต้า


 


“เจ้าเข้าไปพัวพันซัวหมิงไว้!”


 


“ผู้อาวุโส… ข้า…” อ้านต้าหวาดกลัว ความหาญกล้าที่ลั่นวาจาว่าจะสังหารหนิงฝานหายไป


 


“เอาสมบัตินี่ไป!” หยิงเก้อนำบางสิ่งออกมาแล้วโยนให้อ้านต้า


 


เมื่อได้รับ อ้านต้าที่หวาดกลัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น


 


“ขอบคุณผู้อาวุโส 7 ที่มอบสมบัติให้ข้า! หากมีสิ่งนี้อยู่ย่อมสังหารมันได้อย่างง่ายดาย!”


 


เมื่อกล่าวจบ อ้านต้าได้กระตุ้นสมบัติ ปรากฏเป็นผนึกสีทอง บนผนึกมีภาพสลักของอสูรที่ทรงพลัง… ผนึกเปล่งแสง อสูรสีทองขนาดเท่าภูเขาปรากฏ มันกระโดดเข้าใส่หนิงฝานอย่างรวดเร็ว


 


การปรากฏตัวของมัน ทำให้เกิดคลื่นเสียงกวาดผ่านไปรอบทิศ


 


อานุภาพของเสียงที่แผ่ออกไป ทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มกลุ่มที่หลบหนีบาดเจ็บซ้ำ


 


อสูรที่ปรากฏดูคล้ายกับระฆังทะเลตะวันออก แต่มันยังไม่ทรงพลังมากนัก


 


“สมบัติอัญเชิญอสูรโบราณ… เป็นสมบัติที่ดี แต่ยังอ่อนด้อยเกินไป… ตายซะ!”


 


หนิงฝานสัมผัสหน้าผาก นำ ‘แส้อัสนีโลหิต’ ออกมา


 


แส้นี้คือเอ็นมังกรที่หนิงฝานได้มา จากนั้นเขาสร้างมันขึ้นใหม่ด้วยโลหะดาราและอัสนีโลหิต


 


แส้ได้รับการเสริมอานุภาพจากปราณหนิงฝาน และอัสนีโลหิตในตอนที่หนิงฝานจะทะลวงขอบเขตแก่นทองคำ จนยามนี้ แส้อัสนีได้ยกระดับเป็นสมบัติขั้นสูงสุดแล้ว


 


เมื่อหนิงฝานลงแส้ เสียงอัสนีฟาดผ่าจนทำให้หยิงเก้อและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆหวาดกลัว


 


เพราะแส้อัสนีโลหิตนั้น ราวกับแฝงอัสนีสวรรค์อยู่


 


แส้ที่ลงไปเมื่อครู่ ปลิดศีรษะของอสูรตนนั้น! นอกจากนี้ แส้เมื่อครู่ยังทำให้มิติแผันผวน


 


แต่การจู่โจมยังไม่หมดเพียงเท่านั้น


 


ปลายแส้ยังฟาดเข้าที่หน้าอกของอ้านต้า อานุภาพของอัสนีทะลักเข้าจู่โจมตันเถียนจนรู้สึกเจ็บปวด และมันยังรู้สึกราวกับถูกกระชากบางสิ่งออกมาจากร่าง!


 


หากได้ตรวจสอบร่างกายของอ้านต้า จะเห็นเกราะโปร่งใสปกคลุมดวงจิตแรกเริ่มของมันเอาไว้


 


เกราะนั่นคือสมควรเป็นสมบัติล้ำค่า เกราะชิ้นนี้เป็นที่ต้องการของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม เพราะเมื่อร่างกายของผู้เชี่ยวชาญสูญสลาย เกราะนั่นจะทำหน้าที่คุ้มกันดวงจิตแรกเริ่มให้หลบหนีได้


 


เพียงแต่… เมื่อสมบัติชิ้นนั้นถูกแส้อัสนีหวดฟาด มันก็แตกเป็นชิ้นไปแล้ว


 


“สมบัติชนิดใดกัน! นอกจากจะพังเกราะของข้าได้ ยังดึงเอาจิตวิญญาณแรกเริ่มของข้าออกมาได้”


 


“โอ้! ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ตาย คงต้องลงแส้ที่สอง!”


 


*เพี้ยะ!*


 


แส้ฟาดเข้าร่วมอ้านต้า อัสนีโลหิตกระหน่ำเข้าที่ร่างของมันอย่างรุนแรง


 


ยามนี้มันไร้ซึ่งสิ่งใดคุ้มกันดวงจิตแรกเริ่ม ดวงจิตแรกเริ่มของมันจึงถูกทำลาย


 


จิตวิญญาณสูญสลาย ดวงจิตแรกเริ่มถูกทำลาย… อ้านต้าตาย ใบหน้าแข็งค้างด้วยสีหน้าหวาดกลัว!


 


หากหนิงฝานมีแส้อัสนีนี้อยู่ ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญที่ใช้สมบัติจู่โจม เขาย่อมรับมือได้ง่าย


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา เขาหันมองหยิงเก้อพลางเดินเข้าหามันทีละก้าว แต่ในจังหวะนั้นเอง กระบี่บินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


 


กระบี่บินเล่มนั้นคือสมบัติขั้นสูงสุดที่สร้างชื่อให้กับหยิงเก้อ นามว่า ‘กระบี่ปลิดชีพ’ เป็นกระบี่บินที่ต้องดูดซับแสงอาทิตย์ยามจู่โจม ทั้งยังมีความสามารถในกลบเกลื่อนกลิ่นอายได้เป็นอย่างดี หากไม่ใช่ผู้ที่มีสัมผัสเทพสูงชั้นกว่าผู้ที่ใช้กระบี่ ก็ไม่อาจสัมผัสถึงมันได้


 


แต่แล้ว แส้ในมือหนิงฝานก็ฟาดเข้าที่กระบี่บินอย่างรุนแรง


 


หยิงเก้อตกตะลึงและกระอักโลหิต


 


“เป็นไปไม่ได้!”


 


มันไม่เข้าใจว่าเหตุใดซัวหมิงผู้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขึ้นต้น ถึงได้สัมผัสถึงกระบี่ของมันได้


 


แต่ที่ทำให้มันประหลาดใจยิ่งกว่า คือเหตุใดแส้ที่ฟาดกระบี่บิน ถึงได้ทำให้ผู้ใช้ของมันบาดเจ็บไปด้วย


 


“เข้าใจแล้ว! ที่แท้เจ้าเป็นผู่เชี่ยวชาญของตระกูลซัวในตำนาน ทุกวิชาที่เจ้าใช้! เจ้าต้องเป็นคนของตระกูลซัวไม่ผิดแน่!”…


195 

“ตระกูลซัวแห่งทะเลส่วนใน… ฮึ่ม ข้าเพิ่งมอบของขวัญในผู้นำตระกูล แต่วันนี้กลับต้องมาต่อสู้กับคนในตระกูล!”


 


สีหน้าหยิงเก้อกลับคืนสู่ความสงบ มันนำรูปปั้นสัตว์อสูรสีทองขนาดเท่าฝ่ามือออกมา


 


รูปปั้นสัตว์อสูรแผ่กลิ่นอายโบราณ รูปลักษณ์ของมันดูเหมือนหมาป่าเขาเดียว


 


สัตว์อสูรอัสนี!


 


รูปปั้นที่หยิงเก้อเอาออกมาสมควรเป็นสมบัติอัญเชิญอสูรโบราณ!


 


“วิชาอัญเชิญอสูร สัตว์อสูรอัสนี!”


 


หยิงเก้อใช้นิ้วสัมผัสลงบนรูปปั้นสัตว์อสูร รูปปั้นสีทองเปล่งแสง แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงหมุนวน อัสนีสีทองแปรปราบ กลิ่นอายของหยิงเก้อเพิ่มพูนจนน่าตระหนก


 


ทั่วร่างหยิงเก้อเคลือบฉาบด้วยอัสนีแสงสีทอง… อัสนีคุ้มกาย!


 


หนิงฝานที่สงบนิ่งรั้งแส้กลับ ก่อนหวดแส้ที่ฉาบด้วยอัสนีโลหิตเข้าใส่ร่างหยิงเก้ออย่างรุนแรง แต่พริบตานั้น สัตว์สีทองปรากฏตัว เปล่งเสียงคำรามกึกก้อง


 


ในมือหยิงเก้อปรากฏดาบสีทองเล่มใหญ่ แววตาแปรเปลี่ยนเย็นชา


 


“ซัวหมิง! แส้ของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้!”


 


“ใช่… สมแล้วที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง ข้าคงกระชากตันเถียนของเจ้าออกมาไม่ได้ง่ายๆ ข้าดูแคลนเจ้าเกินไป… อีกอย่าง วิชาอัญเชิญอสูรกับสมบัติอัญเชิญอสูรของเจ้าก็ดูจะไม่ธรรมดา”


 


แววตาหนิงฝานเป็นประกาย เขารั้งแส้กลับคืนและเก็บมันไป


 


หนิงฝานยังไม่ได้ตั้งชื่อให้แส้ แส้ของเขามีพลังในการตรึงร่างไม่ให้ขยับเคลื่อนไหวด้วยการอาศัยพลังจากอัสนีสวรรค์


 


หากศัตรูเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ในระหว่างที่พวกมันกำลังใช้วิชา หนิงฝานสามารถฉวยโอกาสให้แส้จู่โจม สร้างความเสียหายต่อศัตรูอย่างมาก


 


แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนหยิงเก้อจะประมาทหนิงฝานเกินไป ในเมื่อแส้ไม่อาจทำอันตรายได้ ก็อย่าได้คิดว่าจะชนะหนิงฝานได้ง่ายๆ


 


ดูเหมือนแส้อัสนีที่เป็นถึงอาวุธเทพจะอะไรอีกฝ่ายไม่ได้


 


แต่ถึงจะทำอันตรายไม่ได้ ก็ใช่ว่าหนิงฝานจะไม่มีหนทาง หนิงฝานมีวิธีสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง


 


เมื่อเก็บแส้แล้ว แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยน!


 


โคจรปราณกระบี่เตรียมพร้อม


 


สีหน้าหนิงฝานสงบนิ่ง ผมดำพลิ้วสไว เขาเดินเข้าหาหยิงเก้อทีละก้าว


 


แต่ละก้าวที่เดิน ท้องนภาโดยรอบสั่นไหว


 


แต่ละก้าวที่เดิน ทำให้จิตใจของหยิงเก้อสั่นสะท้าน


 


แรงกดดันที่เข้าโหมกระหน่ำ ทำให้มันรู้สึกราวกับถูกพิรุณซัดสาด


 


แม้ไร้ซึ่งพิรุณ แต่อำนาจของพิรุณยังคงอยู่!


 


ตระกูลซัว? วังผนึกอสูร? หนิงฝานไม่ได้สนใจกล่าวถาม เพราะหากอ่านความทรงจำของหยิงเก้อ เขาก็จะรู้ทุกสิ่ง


 


จากที่หยิงเก้อเห็น มันรู้ว่าหนิงฝานไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นทั่วๆไป เพราะวิชาผสานระหว่างมันกับรูปปั้นอสูร ทำให้มันครอบครองอัสนีทองคำที่ทรงพลัง แม้ตระกูลซัวจะเชี่ยวชาญการใช้อัสนี ย่อมต้องหวาดกลัวอัสนีของมันยามนี้ แต่ซัวหมิงเบื้องหน้ากลับไม่สะทกสะท้าน


 


และไม่นาน หยิงเก้อกลับพบว่ามันทำผิดพลาดครั้งใหญ่!


 


มันประเมิณพลังของหนิงฝานคาดเคลื่อนไปมากเกินไป!


 


เพราะแต่ละก้าวที่หนิงฝานเข้าประชิดมัน มันรู้สึกราวกับถูกเหยียบย่ำจิตใจ


 


เมื่อหนิงฝานเดินได้ 3 ก้าว สีหน้าของหยิงเก้อซีดขาว ปราณและโลหิตในร่างปั่นป่วน


 


เมื่อเดินได้ 5 ก้าว ปราณในร่างก็ยากจะโคจร กระทั่งยากจะสูดลมหายใจ


 


เมื่อเดินได้ 8 ก้าว จิตใจของหยิงเก้อหนักอึ้งราวกับถูกภูเขาหนักพันล้านจินกดทับ ยิ่งหนิงฝานเดินเข้าใกล้ มันยิ่งรู้สึกราวกับว่าค่อยๆถูกกระบี่จ่อมายังลำคอ


 


มันเริ่มตระหนักได้ว่า แต่ละก้าวที่หนิงฝานเดิน เขาได้ใช้วิชากระบี่แฝงไปด้วย วิชากระบี่นั้นกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ไม่ผิดแน่…เป็นวิชากระบี่ในระดับดวงจิตแรกเริ่ม


 


เมื่อหนิงฝานเดินได้ครบ 9 ก้าว แรงกดดันของหนิงฝานเปลี่ยนไป ราวกับตัวเขาเป็นกระบี่ที่พร้อมสังหารหยิงเก้อได้ทุกเมื่อ


 


“เป็นวิชากระบี่ที่ไม่ธรรมดา! แต่เสียดายที่ไม่มีกระบี่คู่กาย!”


 


หยิงเก้อนำกระบี่วางขวางหน้าระหว่างมันและหนิงฝาน


 


พร้อมกันนั้น แววตาหนิงฝานกลับเฉียบคมราวกับกระบี่ เจตนาสังหารปะทุ แหงนหน้ามองท้องนภาที่มีพิรุณสีโลหิตโปรยปราย


 


พิรุณโลหิตหนึ่งหยดเทียบได้กับกระบี่หนึ่งเล่ม ทำให้ห่าพิรุณคือกลายเป็นห่ากระบี่!


 


“กระบี่ตัดวิญญาณ ‘เก้าย่างเหยียบสวรรค์’!”


 


พิรุณโลหิตจำนวนมหาศาลกรีดเฉือนร่างของหยิงเก้อ จนทำให้ตัวมันในยามนี้ราวกับแมลงที่บินตกลงสระ แล้วถูกปลาเล็กปลาน้อยจำนวนมากรุมทึ้ง


 


ดาบทองคำคู่กายหยิงเก้อกระทบหยาดพิรุณ บริเวณที่สัมผัสถูกทะลวงเป็นรูโหว่!


 


ดวงตาหยิงเก้อเบิกกว้าง! วิชากระบี่ของหนิงฝานกลับทำลายอาวุธวิญญาณขั้นสูงสุดของมันได้ หากผู้ที่เผชิญกับห่าพิรุณของหนิงฝานคือผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น คนเหล่านั้นคงตายไปนานแล้ว


 


“เป็นไปไม่ได้! คนของตระกูลซัวไม่มีผู้ใช้กระบี่! เหตุใดมันถึงรู้วิชากระบี่! แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ยังยากจะต้านรับวิชาของมัน!”


 


หยิงเก้อกระตุ้นวิชาอัญเชิญอสูร ปรากฏเป็นสัตว์อสูรสีทองปรากฏกายบดบังตัวมันจากพิรุณโลหิต


 


ในเมื่อสมบัติขั้นสูงสุดยังต้านรับวิชากระบี่ไม่ได้ สมบัติอื่นๆที่มีคงไม่อาจต้านไหว


 


ไม่นานเรื่องที่มันหวาดกลัวก็เกิดขึ้น!


 


ร่างของสัตว์อสูรที่สองถูกทะลวง หยาดพิรุณทะลวงการป้องกัน สัมผัสเข้ากับร่างของหยิงเก้อ!


 


หยาดพิรุณคือกระบี่ กระบี่เกิดจากเจตจำนงค์เทพพิรุณ แฝงด้วยอำนาจสวรรค์… หยาดพิรุณก่อเกิดเป็นกระบี่ ไม่ใช่ทั้งปราณ ไม่ใช่ทั้งสัมผัสเทพ แต่เป็นกระบี่ที่ทรงพลังอย่างที่สุด!


 


เมื่อหยิงเก้อรู้ว่าหยาดพิรุณสัมผัสร่าง นั่นก็สายเกินไปแล้ว


 


หยาดพิรุณทะลวงเข้าร่าง กรีดเฉินผ่านอวัยวะภายในต่างๆ ดิ่งลงสู่ตันเถียนและดวงจิตแรกเริ่ม!


 


ความประมาทเพียงชั่วครู่ ทำให้หยิงเก้อบาดเจ็บสาหัส กระอักโลหิตอย่างต่อเนื่อง


 


ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ แต่แววตากลับแปรเปลี่ยนบ้างคลั่ง ก่อนจะอ้าปากคายเอามุกสีแดงโลหิตออกมา!


 


มุกนั่นมีชื่อว่า ‘มุกป่วนสวรรค์’เป็นมุกที่เอาไว้ทำลายข่ายอาคมที่ทรงพลังโดยเฉพาะ โดยการเปล่งพลังที่ทำให้พลังธรรมชาติปั่นป่วน


 


พิรุณกระบี่ของหนิงฝานทรงพลังยากจะต้านรับ แต่หากมีมุกป่วนสวรรค์ มันจะทำลายวิชาของหนิงฝานได้


 


มุกป่วนสวรรค์มีค่านับล้านหยกสวรรค์ แต่การนำมารักษาชีวิต มันย่อมไม่เสียดาย


 


“ทำลายมันซะ!”


 


หยิงเก้อบดมุกป่วนสวรรค์ในมือ พลังที่รุนแรงแผ่นไปบนท้องภาพ อากาศสั่นไหว ผืนนภาพปรากฏรอยปริแตกจำนวนมหาศาล ก่อนที่พิรุณของหนิงฝานจะหายไป


 


หนิงฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย สมแล้วที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง ถึงกับมีสมบัติระดับนี้ติดตัว


 


แม้หยิงเก้อจะทำลายเก้าย่างเหยียบสวรรค์ แต่สีหน้าของมันยามนี้ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก


 


มันยื้อชีวิตได้ด้วยมุกป่วนสวรรค์ หากมันพลาดอีกครั้ง มันอาจไม่รอด… หากเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด หากหยาดพิรุณไม่ทะลวงร่างตรงๆ ก็คงยากจะทำอันตรายได้


 


แต่สิ่งที่หยิงเก้อไม่รู้คือ เก้าย่างเหยียบสวรรค์ของหนิงฝานไม่ได้ใช้ปราณแม้แต่น้อย แต่เป็นการหยิบยืมพลังในธรรมชาติ ดังนั้นยามนี้ หนิงฝานจึงยังเปี่ยมไปด้วยพลัง


 


ผิดกับหยิงเก้อที่แทบจะไร้กำลัง มันหวาดกลัวหนิงฝาน ในทะเลส่วนใน มันคือผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงที่โดดเด่น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหนิงฝาน มันกลับไม่อาจตอบโต้


 


นั่นหมายความว่า แม้ระดับพลังของหนิงฝานไม่สูงส่ง แต่ความแข็งแกร่งกลับก็เทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด


 


“ข้ายังเหลือมุกป่วนสวรรค์อีกมาก! ซัวหมิง… ถือว่าเห็นแกหน้าวังผนึกอสูร ปล่อยข้าไป แล้วความแค้นระหว่างเราถือว่าสิ้นสุด”


 


แววตามันแปรเปลี่ยนจริงจัง ป้องมือกล่าวกับหนิงฝานและเตรียมจะหนีไป


 


มันคิดว่าหนิงฝานคงสังหารมันได้ง่ายๆ แต่การที่ยังไม่สังหารมันนั้น อาจหมายความว่าอีกฝ่ายเมตตามัน


 


“ฮึ่ม! เป็นคนของตระกูลซัวแล้วยังไง? สุดท้ายพวกมันก็ต้องหวาดกลัววังผนึกอสูรอยู่ดี หากข้าหนีรอดไปได้ ข้าจะไปรายงานท่านประมุข!”


 


แต่หยิงเก้อไม่รู้ว่ามันคิดผิด


 


จริงอยู่ที่หนิงฝานสังหารมันได้ง่ายๆ แต่เขายังไม่สังหารมัน เพียงแต่…เขาไม่กลัววังผนึกอสูร!


 


เมื่อตอนที่อยู่ในวิหารสาบสูญ หนิงฝานคิดค้นวิชากระบี่เป็นของตน นอกจากนี้ เขายังได้ดัดแปลงเพลกระบี่เพลิงผันแปร และเพลงกระบี่กระดูกขาวราวขุนเขา… เมื่อบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม หนิงฝานก็ฝึกใช้ ‘เพลงกระบี่อยู่ที่ใจ’ ที่ได้มา ทำให้ยามนี้เขามีเพลงกระบี่ทั้งหมด 4 กระบวนท่า


 


เมื่อเห็นท่าทีว่าหยิงเก้อกำลังจะหนี แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา


 


“หากเจ้ารับวิชากระบี่ที่สองของข้าได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไป!”


 


หนิงฝานสัมผัสหน้าผาก นำกระบี่แยกสวรรค์ออกมา!


 


เมื่อกระบี่แยกสวรรค์ปรากฏ ปราณดั้งเดิมภายในร่างหนิงฝานเริ่มโคจร ถ่ายเข้าไปในกระบี่ก่อนจะฟาดเข้าใส่หยิงเก้อที่กำลังจะหลบหนี


 


“ซัวหมิง! ข้าเป็นคนของวังผนึกอสูร เจ้ากล้าฆ่าข้าเหรอ?”


 


“หุบปาก! เพลิงหม่น… อัสนีกระหน่ำ… ใบไม้ร่วงโรย… ภูเขาพังทะลาย… สรรพสิ่งเยือกแข็ง… สามวิชากระบี่รวมศูนย์… เพลงกระบี่ดั้งเดิม!”


 


เพลิงลุกโหมบนตัวกระบี่ แต่ภายในเพลิงกลับแฝงด้วยธาตุทั้งห้าที่ผสานเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเพลิงขาว


 


กระบี่แรกแสดงถึงอานุภาพของกระบี่


 


แต่กระบี่ที่สอง…แสดงถึงอำนาจกระบี่ดั้งเดิม


 


หนิงฝานฟาดฟันกระบี่แยกสวรรค์ ปราณกระบี่สีขาวพุ่งออกจากกระบี่ ตัดผ่านทุกสรรพสิ่งที่ขวางทาง กระทั่งกระทบเข้าร่างหยิงเก้ออย่างรวดเร็วจนมันตอบสนองไม่ทัน


 


ปราณกระบี่ทะลวงร่าง ปะทุอำนาจที่ทรงพลังจนเกือบจะทำให้ดวงจิตแรกเริ่มของมันถูกสะบั้น


 


“กระบี่ดั้งเดิม! มีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่ และเข้าใจธาตุต่างๆในโลกเป็นอย่างดี จึงจะใช้วิชานี้ได้… แบบบี้แล้วข้าจะไปสู้กับมันได้ยังไง… แต่โชคดีที่ยันต์คุ้มกายทำงาน ไม่งั้นข้าคงตายไปแล้ว”


 


ยันต์คุ้มกายของหยิงเก้อทำงาน ช่วยชีวิตของมันให้รอดพ้นจากความตาย แต่ถึงอย่างนั้น… ยามนี้มันก็ไร้ซึ่งสิ่งที่จะยื้อชีวิตแล้ว


 


“หืม? กระบี่ที่สองยังสังหารเจ้าไม่ได้… เช่นนั้นคงต้องหวังเพิ่งกระบี่ที่ 3…”


 


“อะไรนะ! กระบี่ที่ 3!”


 


หยิงเก้อหวาดกลัว


 


กระบี่แรกแสดงถึงอานุภาพของกระบี่ เป็นวิชากระบี่ระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น


 


กระบี่ที่สองแสดงถึงพลังกระบี่ดั้งเดิม เป็นวิชากระบี่ระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง


 


เมื่อกล่าวถึงกระบี่ที่ 3 อย่างน้อยกระบี่นั้นควรจะเป็นวิชาระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง!


 


“ข้าต้องหนี ไม่ว่ายังไงก็ต้องหนีให้ได้!”


 


หยิงเก้อโคจรปราณเพื่อใช้ย่างก้าวพริบตา


 


หนิงฝานแข็งแกร่งมาก มากเกินกว่าที่มันจะรับมือ ดังนั้นมันจึงเค้นทุกอย่างที่มีเพื่อหนี ไม่งั้นชีวิตมันคงจบสิ้นที่นี่


 


หยิงเก้อขยับนิ้วเป็นท่าทาง… มันกำลังใช้วิชาอสูร พร้อมกับนำศพอสูร 2 ตัวออกมา ก่อนศพอสูรทั้งสองจะขยายขนาดขึ้น


 


หยิงเก้อกัดปลายลิ้น พ่นแก่นโลหิตเข้าเสริมอานุภาพของศพอสูร


 


“วิชาอสูร… สร้างศพอสูร!”


 


หยิงเก้อผ่าทะเลสติเป็น 3 ส่วน แบ่ง 2 ส่วนเข้าไปในศพของสัตว์อสูรทั้ง 2


 


วิชานี้คือการแบ่งทะเลสติออกเป็น 3 ส่วน เพื่อนำไปใส่ศพสัตว์อสูร ทำให้มันมีชีวิตอีกครั้ง


 


ไม่นาน ศพสัตว์อสูรทั้งสองลืมตา ร่างของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษ 2 คนในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง ยืนประกบข้างหยิงเก้อ


 


หากจะกล่าวให้ถูก วิชาที่หยิงเก้อใช้เมื่อครู่คือวิชาแปลงศพ และแบ่งทะเลสติของตนใส่เข้าไป เพื่อทำให้ศพเหล่านั้นกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังทัดเทียมผู้ใช้


 


หยิงเก้อหัวเราะลั่น ความมั่นใจเต็มเปี่ยม มันไม่หนีอีกแล้ว!


 


“สำเร็จ! ฮ่าฮ่า ข้านี่โชคดีจริงๆที่ใช้วิชาที่ไม่สมบูรณ์ได้สำเร็จ ตอนนี้มีตัวข้าถึง 3 ร่าง แต่ละร่างเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง! ซัวหมิง! ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว!”


 


ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตุการต่อสู้ตกตะลึง!


 


เป็นครั้งแรกที่พวกมันได้เห็นศพอสูรที่มีปราณเป็นของตน


 


หากหยิงเก้อสร้างร่างได้หลายร่างเช่นนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ คนผู้นั้นยังต้องหวั่นเกรงมัน


 


เพราะหยิงเก้อใช้วิชาที่ทรงพลังที่สุดของวังผนึกอสูร!


 


นี่คือสาเหตุที่พวกมันออกมาทะเลส่วนนอก ควบคุมสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลเข้าจู่โจมผู้คน เพื่อให้สัตว์อสูรเหล่านั้นยกระดับ และนำไปเป็นร่างศพของพวกมัน


 


ฉากที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญคิดว่าหนิงฝานสู้หยิงเก้อไม่ได้


 


แม้หนิงฝานจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงถึง 3 คน


 


หากพวกมันร่วมมือ คงแสดงศักยภาพได้อย่างสูงสุด แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังต้องล่าถอย


 


แต่หนิงฝานยังคงยืนนิ่งไม่กล่าวคำ


 


กระบี่แยกสวรรค์ในมือสั่นเทา แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นกระบี่ใหญ่สีขาวที่ดูทรงพลัง


 


อัสนีแปรบปราบ กระบี่ยักษ์เปล่งอานุภาพราวกับขุนเขาที่ทรงพลัง


 


แต่ในชั่วพริบตานั้น กระบี่ยักษ์ราวกับแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่บินสีขาว พุ่งทะยานเข้าหาหยิงเก้อ


 


ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ หนิงฝานปรากฏกายหลังหยิงเก้อพร้อมกับกระบี่ยักษ์ที่อาบโชกไปด้วยโลหิต!


 


กระบี่บินเมื่อครู่เป็นเพียงเงากระบี่ลวง ที่ดัดแปลงมาจากเพลงกระบี่ในระดับแก่นทองคำ


 


เพลงกระบี่เมื่อครู่ ผู้ใช้ต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง รวบรวมพละกำลังไว้ที่เท้า จากนั้นพุ่งทะยานออกไปพร้อมกับฟาดฟันกระบี่ในพริบตา!


 


“เพลงกระบี่ที่ 3.. กระบี่เงา… เพลงกระบี่นี้ผลาญกำลังกายของข้าไปไม่น้อย หากไม่เพราะข้าบรรลุขอบเขตกระดูกเงินที่ 2 ข้าคงใช้ไม่ได้… ช่างน่าเสียดายศพของเจ้า”


 


ทันทีที่สิ้นเสียหนิงฝาน ศพอสูรทั้งสองร่างเปล่งเสียงร้องโหยหวน แล้วกลายเป็นหมอกโลหิตในพริบตา


 


เพลงกระบี่ระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง แต่เพลงกระบี่ที่เค้นกำลังกายจนถึงขีดสุด แลกกับอำนาจการทำลายที่ทรงอานุภาพ


 


หยิงเก้อสิ้นสติ หนิงฝานฉวยเอาดวงจิตแรกเริ่มของมัน แล้วผนึกไว้ในกระเป๋าเก็บของตน


 


เมื่อเก็บเอากระเป๋าของหยิงเก้อ และเก็บกระบี่แยกสวรรค์แล้ว แววตาหนิงฝานก็แปรเปลี่ยนเย็นชา


 


“ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่อยู่โดยรอบ ส่งหยกสวรรค์ให้ข้าคนละ 1 ล้าน และมาให้ข้าประทับตราวิญญาณ หากไม่ยอม ข้าจะสังหารให้หมด”


 


“อะไรกัน! พวกข้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับวังผนึกอสูร พวกข้าเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัดเท่านั้น เหตุใดท่านต้องช่วงชิงหยกสวรรค์ของพวกข้าด้วย!”


 


“ท่านเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง ไม่สมควรออกมาก่อเรื่องที่ทะเลส่วนนอก”


 


“หุบปาก”


 


ร่างหนิงฝานเปล่งแสงสีเทาก่อนที่เงาร่างจะหายไป แล้วปรากฏกายเบื้องหน้าผู้เชี่ยวชาญที่ต่อรองเมื่อครู่พร้อมกับซัดฝ่ามือเข้าใส่ ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นตอบสนองไม่ทัน จนโดนฝ่ามือเปลี่ยนให้เป็นหมอกโลหิต เหลือเพียงดวงจิตแรกเริ่มที่กำลังหวาดกลัว


 


“ที่แท้เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด เดิมทีข้านึกว่าพวกเจ้าเป็นผู้คนนิกายสักแห่งจึงคิดจะไว้ชีวิต แต่ในเมื่อเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด พวกเจ้าก็ตายได้แล้ว!”


 


ร่างของหนิงฝานแปรเปลี่ยนลำแสงหลายสาย ตรงดิ่งเข้าทะลวงร่างของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่เหลืออยู่เพียง 5 คน


 


พวกมันทุกคนร้องลั่ง ปราณกระบี่ของหนิงฝานทะลวงร่างเข้าทำลายดวงจิตแรกเริ่มโดยตรง โดยที่คงสภายร่างเนื้อของพวกมันไว้


 


หากเป็นผู้เชี่ยวชาญสังกัดนิกาย คนพวกนั้นจะมีแผ่นหยกที่เอาไว้แสดงสถานะการคงอยู่ของตัวเอง หากเกิดเขาไปสังหารคนพวกนั้น ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอาจไม่พอใจและออกตามล่าเขา


 


แต่หากเป็นผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด ต่อให้สังหารไปก็ไม่มีผู้ใดตำหนิ… ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมเอาชนะคนอ่อนแอ


 


ตั้งแต่หนิงฝานกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่าอธรรม หนิงฝานก็โหดเหี้ยมมากขึ้น


 


หลังจากจัดการทั้งหมด หนิงฝานได้กระเป๋าเก็บของของหยิงเก้อ อ้านต้า และผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัดอีก 6 คน ในกระเป๋าพวกมันรวมๆสมควรมี 20 ล้านหยกสวรรค์เป็นอย่างน้อย


 


สิ่งที่หนิงฝานทำถือเป็นเรื่องธรรมดาของทะเลไร้สิ้นสุด


 


ผู้ที่อยากลี้ภัยจากการเข่นฆ่าสังหาร ก็เข้าร่วมนิกาย


 


แต่หากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด ก็ต้องเตรียมใจที่จะถูกสังหาร…


 


หนิงฝานยังคงไม่จากไป เขาแหงนมองท้องนภาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน


 


“นายน้อยหญิงเป่ยถึงกับมาดูข้าสังหารผู้คนถึงที่นี่เลยเหรอ?”


 


“ช่างเป็นเจตนาสังหารที่น่ากลัว…” ลึกเข้าไปในหมู่เมฆ สตรีอาภรณ์แดงนางหนึ่งกำลังจ้องมองหนิงฝาน


 


“เจ้าสังหารได้หมดจดไม่ลังเล… จากเจตนาสังหารของเจ้า หรือเจ้าคิดจะสังหารข้าอีกคน?”


 


“ฮ่าฮ่า ข้าจะไปกล้าได้ยังไง ท่านมีทาสรับใช้ในขอบเขตตัดวิญญาณ… ข้าขอตัวลา!”


 


แล้วหนิงฝานก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเทาทะยานหายไป


 


ในระหว่างนั้น เป่ยเซี่ยวเหมินกลับเลียปาก


 


“เป็นเจตนาสังหารที่น่าอร่อยจริงๆ หากข้าได้กินคนผู้นั้น… เจตนาสังหารดาราสวรรค์ที่ 10 ของข้าคง…”


 


“นายหญิงน้อย ท่านจะยั่วยุคนผู้นั้นไม่ได้!” ทหารศิลาร่างยักษ์ปรากฏตัว


 


“ฮึ่ม! เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมอันต่ำต้อย ที่อยู่ในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่แข็งแกร่งเทียบเท่าขั้นสูง เหตุใดต้องกลัว!”


 


“คนผู้นั้นให้ความรู้สึกที่คุกคามต่อข้า ยังมีบางสิ่งที่คนผู้นั้นยังไม่ได้แสดงออกมา และหากแสดงออกมา ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาชีวิตตัวเองได้หรือเปล่า”


 


“งั้นเหรอ? เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าดูแคลนคนผู้นั้น? แต่ยังไงมันก็เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น ยากที่จะรับมือกับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้”


 


หนิงฝานกลับมาถึงเกาะเผิงไหล


 


“สตรีนางนั้นมีเจตนาสังหารต่อข้า ถึงแม้จะเบาบางก็เถอะ… แต่นางจัดเป็นกระถางขัดเกลาชั้นดี หากได้นางมาครอง ด้วยสถานะของนางแล้ว ข้าจะเข้านอกออกในวิหารสาบสูญได้ดั่งใจ และวิหารสาบสูญแห่งนี้ ก็จะตกเป็นของข้า… หากไม่มีทหารศิลานั่นอยู่ ก็จัดการนางได้ไม่ยาก”


 


ก่อนจะเข้าไปฝึกฝนในวิหารสาบสูญ หนิงฝานสังหารผู้เชี่ยวดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางได้ เมื่อกลับออกมา เขาก็เอาชนะผู้มีชื่อเสียงของวังผนึกอสูร


 


ยามนี้หนิงฝานกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมเต็มตัว ไม่ว่าจะต้องใช้เล่ห์กลใดๆ เขาก็จะทำให้สิ่งที่คาดหวังไว้ลุล่วง นั่นคือนำสตรีทุกคนในทะเลส่วนนอกเป็นกระถางขัดเกลา!


196

เมื่อหนิงฝานสังหารอ้านต้า ผนึกอสูรสีเทาได้สลักลงไปในร่างของเขา


 


เมื่อสังหารหยิงเก้อ ผนึกอสูรสีม่วงได้สลักลงไปในร่างของเขา


 


หนิงฝานสามารถทำลายผนึกอสูรสีเทาได้ แต่ผนึกอสูรสีม่วงทำลายไม่ได้


 


ผนึกอสูรสีม่วง เป็นผนึกที่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเป็นผู้สลักไว้ หลังจากนี้หนิงฝานคงต้องเผชิญหน้ากับการตามล่าจากผู้เชี่ยวชาญของวังผนึกอสูร


 


ความแค้นและการไล่ล่าจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด เว้นแต่วันใดที่หนิงฝานแข็งแกร่งพอจะทำลายวังผนึกอสูรได้ การไล่ล่าถึงจะจบลง


 


“ตอ่ให้ข้าทำลายผนึกนี่ไม่ได้ แต่อย่าคิดว่าจะตามล่าข้าได้!”


 


หนิงฝานมีอัฐิสวรรค์ที่กลบเกลื่อนร่องรอยของตนได้


 


ผู้ที่รู้ว่าหนิงฝานสังหารอ้านเอ๋อร์และอ้านซาน มีเพียงหยิงเก้อและอ้านต้าเท่านั้น


 


และผู้ที่รู้ว่าหนิงฝานสังหารหยิงเก้อและอ้านต้า ก็มีเพียงเป่ยเซี่ยวเหมิน


 


ยามนี้หนิงฝานไม่รู้ว่าเป่ยเซี่ยวเหมินคือมิตรหรือศัตรู แต่นางเองก็ไม่กล้าละเมิดวิหารสาบสูญ จึงย่อมไม่เปิดเผยตัวตนหนิงฝาน ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดจึงกลับไปสู่จุดเริ่มต้น… ผู้คนรู้จักเพียงว่าหนิงฝานมีแซ่ซัว แต่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นหน้ามาก่อน


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่เฝ้าดูการต่อสู้ หนิงฝานสังหารคนเหล่านั้นทั้งหมด


 


แม้คนเหล่านั้นจะบาดเจ็บ แต่หากปล่อยให้คนเหล่านั้น จะนำมาซึ่งปัญหาร้ายแรง


 


ในทางกลับกัน หากก่อนหน้านี้หนิงฝานหยิงเก้อสู้กันจนบาดเจ็บสาหัส พวกมันคงเข้ารุมสังหารเขาแล้ว


 


นี่คือกฏของทะเลไร้สิ้นสุดที่หนิงฝานต้องตระหนักถึงทุกเมื่อ


 


หากจะให้ตรากตำฝึกฝนจนตนเองบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ หนิงฝานต้องฝึกฝนราวๆ 6 แสนปี แต่ชีวิตของเขาอยู่ได้เพียง 5 พันปีเท่านั้น แม้ผู้เชี่ยวชาญจะกล่าวว่าตนเป็นผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด แต่พวกมันย่อมต้องเพิ่งพาขุมกำลังใหญ่เพื่อยกระดับพลัง


 


ในเมื่อไม่อาจครอบครองก็ต้องช่วงชิง


 


แต่ถึงอย่างนั้น หนิงฝานเป็นถึงนักปรุงโอสถ แม้ไม่ต้องสังหารปล้นชิง เขาก็ยังปรุงโอสถผันแปรที่ 4 หรือ 5 เพื่อนำไปขายได้


 


หนิงฝานเหยียบย่างนภาบนเกาะเผิงไหล


 


มุ่งตรงไปยังห้องของจิงสั่ว


 


เมื่อจิงสั่วที่กำลังเฝ้ารอเห็นหนิงฝานกลับมา มันก็หัวเราะ เพราะต่อให้หนิงฝานสังหารหยิงเก้อไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เอาชนะได้


 


แต่เมื่อมันเห็นรอยยิ้มของหนิงฝาน มันกลับตกตะลึง! เพราะร่างกายของหนิงฝาน มีกลิ่นอายของความอาฆาตอยู่


 


หากผู้ใดลงมือเข่นฆ่าสังหาร ปราณโลหิตจะโชยออกมาจากร่าง แต่หากผู้ที่ถูกเข่นฆ่าเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม ร่างผู้ที่สังหารจะแผ่กลิ่นอายของความอาฆาตออกมา แต่หากลงมือสังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ร่างกายจะแผ่กลิ่นอายปราณปีศาจ เพราะผู้ที่ลงมือสังหารถือเป็นคนชั่วช้า


 


หากเป็นทั่วไป กลิ่นอายความอาฆาตจะค่อยๆหายไปจาก


 


แต่ของหนิงฝานที่ยังไม่หายไป แสดงว่าเขาสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มมากกว่า 1 คน


 


“สหายเต๋าหนิง กลิ่นอายความอาฆาตจากตัวเจ้ารุนแรงมาก”


 


“อืม… ก็ข้าสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มไป 8 คน”


 


“อะไรนะ! 8 คน!” สีหน้าจิงสั่วแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง หนิงฝานออกจากห้องมันไปไม่นานก็กลับมา แต่นี่กลับสังหารผู้คนร่วม 8 คน


 


ด้วยที่ถือกำเนิดในแคว้นระดับล่าง ตัวตนของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มถือเป็นผู้ที่ทรงพลังและทรงอำนาจ


 


จิงสั่วเลือกที่จะติดตามหนิงฝาน เริ่มจากการร่วมมือต่อสู้กับปีศาจศพเฒ่า จากนั้นก็เผชิญอันตรายด้วยกันในแคว้นจิน


 


ยามนี้ หนิงฝานผู้ยืนอยู่เยื้องข้างน่ามัน ยังเปี่ยมไปด้วยพลังหลังจากการสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มไป 8 คน


 


แม้หนิงฝานจะสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มไป 8 คน แต่แววตายังเรียบเฉยไร้ความรู้สึก


 


หนิงฝานเปลี่ยนไป


 


มีเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มของแคว้นระดับกลางเท่านั้น ที่จะมีแววตาเช่นนี้


 


“เด็กผู้นี้ไม่ได้เป็นเด็กเหมือนวันวานอีกแล้ว… เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมเต็มตัว กลิ่นอายที่แผ่ออกมาดูราวกับผู้ปกครองแคว้น แม้ราชาแคว้นจินยังไม่มีกลิ่นอายเช่นนี้… ฮ่าฮ่า ในอดีตข้าเคยได้รับคำทำนายว่าอย่ายั่วยุเด็กผู้นี้ หากวันนั้นข้าไม่ได้เข้าหาเขา ข้าคงไม่มีวันนี้”


 


หากจิงสั่วยั่วยุหนิงฝานในวันนั้น เขาคงกลายเป็นเหมือนปีศาจศพเฒ่า


 


“สหายเต๋าจิงสั่ว เจ้ารีบกลับแคว้นเยว่เถอะ ข้ามีความแค้นกับวังผนึกอสูร เกรงว่าพวกมันจะมาตามล่าข้าถึงที่นี่”


 


“ฮ่าฮ่า ข้าไม่รั้งอยู่ที่นี่แน่ ไม่งั้นข้าคงเอาชีวิตไม่รอด”


 


“นี่กระเป๋าสมบัติ…ท่านรับไว้ ข้ามีเพียงคำขอเดียวจะขอร้องท่าน หากท่านไปถึงแคว้นเยว่เมื่อใด ผู้ใดที่เคยคิดร้ายกับข้า ขอให้ท่านสังหารมันให้หมด!”


 


หนิงฝานยื่นกระเป๋าของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่สังหารให้จิงสั่ว ในนั้นมีสมบัติขั้นสูงสุดระดับต่ำและสูงอยู่หลายชิ้น


 


เมื่อจิงสั่วแผ่สัมผัสเทพตรวจสอบ สีหน้าแปรเปลี่ยนมีความสุขทันที และเร่งรับคำหนิงฝาน


 


“สหายเต๋าหนิงวางใจ ตราบใดที่ข้ายังอยู่แคว้นเยว่ จะไม่มีใครกล้ารุกรานเมืองเจ้าแน่!”


 


จิงสั่วรู้ว่าหนิงฝานจะก้าวเดินต่อไป จึงหวังจะฝากฝังให้มันช่วยดูแลเมืองหนิง


 


เมื่อเห็นจิงสั่วรับคำอย่างจริงจัง หนิงฝานก็พยักและกล่าวในสิ่งที่เพิ่งนึกขึ้นได้


 


“ข้านึกขึ้นได้ว่าสหายเต๋าจิงสั่วมีต้นกำเนิดเพลิงคราม…”


 


“ใช่… เมื่อครั้งที่ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ ข้าท่องเที่ยวไปยังทวีปต่างๆและได้มันมาโดยบังเอิญ หากสหายเต๋าหนิงต้องการ ข้าจะมอบให้!”


 


หากทำเช่นนั้น ระดับพลังจิงสั่วจะต้องได้รับความเสียหาย แต่ถึงอย่างนั้น มันไม่กล้าปฏิเสธหนิงฝาน


 


หนิงฝานส่ายหน้า แล้วนำต้นกำเนิดเพลิงปีศาจทมิฬออกมา


 


เพลิงครามจัดเป็นเพลิงปีศาจอันดับ 8 ส่วนเพลิงปีศาจทมิฬจัดเป็นอันดับ 7!


 


การที่หนิงฝานมอบให้สมควรมีเหตุผลสำคัญ


 


“นำต้นกำเนิดเพลิงนี้กลับไปแคว้นเยว่ แล้วป่าวประกาศว่าต้นกำเนิดเพลิงนี้คือเพลิงปีศาจทมิฬของหานหยวนจี๋ และนำมันไปเพาะเลี้ยงในเส้นชีพจรพิภพ”


 


“นี่… รับทราบ!”


 


จิงสั่วเข้าใจเจตนาของหนิงฝาน


 


ในอดีตขุนพลอสูรได้ส่งอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มไปตามหาเพลิงปีศาจทมิฬในแคว้นจิน… ที่ผ่านมาหนิงฝานยังไม่รู้ว่าเพลิงปีศาจนั้นทรงพลังขนาดไหน แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว แล้วก็รู้อีกว่า ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณไม่ได้สนใจเพลิงปีศาจทมิฬมากนะ


 


เพราะเพลิงปีศาจทมิฬไม่ได้ทรงพลังที่สุด… ยังมีอีกหลายระดับที่เหนือกว่า


 


หนิงฝานตั้งใจทำให้แคว้นเยว่มีเส้นชีพจรเพลิงปีศาจที่ทรงพลัง


 


หนิงฝานถอนหายใจ จากนั้นนำหยกร้อนสีดำก้อนหนึ่งออกใส


 


ในวันที่หนิงฝานบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม เขาพยายามทำให้เพลิงปีศาจทมิฬทรงพลังขึ้น แต่มันได้ให้กำเนิดหยกสีดำออกมาก้อนหนึ่ง


 


หยกสีดำก้อนนี้คือสิ่งที่เกิดจากเจตจำนงค์เทพของหานหยวนจี๋ ที่เข้าศึกษาเพลิงชนิดนี้อยู่เป็นเวลานาน


 


ในที่สุดหนิงฝานก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใด ท่านเสวี่ยถึงไม่กล้าลงมือกับเขา


 


“ไสหัวไป!” เสียงที่บางเบา แต่กลับแฝงด้วยกลิ่นอายของเซียน


 


ใบหน้าที่เย็นชาของหนิงฝานปรากฏรอยยิ้ม


 


“อาจารย์… ผ่านมา 10 ปีแล้ว ท่านที่อยู่ในโลกกระบี่จะเป็นยังไงบ้าง…”


 


หนิงฝานไร้ซึ่งบิดาและมาดา มีเพียงหานหยวนจี๋ที่นำเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝน เปรียบดั่งเป็นบิดาอีกคน


 


ที่เมืองฉีเหม่ยแห่งนั้น หนิงฝานมีทั้งอาจารย์และภรรยา แม้ที่นั่นจะหนาวเหน็บ แต่ก็อบอุ่น


 


และความอบอุ่นนั้น เทพกษัตริย์เนี่ยก็ทำลายไป


 


“หานเนี่ยเทียน… ข้าจะยกระดับพลัง อีก 90 ปีให้หลัง เจ้าเตรียมตัวรับศึกให้ดีๆ”…


 


หนิงฝานเช่าบ้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเกาะเผิงไหล


 


บ้านหลังนี้มีราคาเช่นอยู่ที่ 100 หยกสวรรค์ต่อวัน… สำหรับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม หยกสวรรค์จำนวนนี้ไม่นับเป็นอันใด


 


หนิงฝานจะหาโอกาสเพื่อให้ได้ฝึกฝน โดยการใช้วิหารสาบสูญ เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้ตายไปก็คงไม่มีทางบรรลุเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


1 หมื่นเกราะสำหรับปราณในขอบเขตตัดวิญญาณ… หากไม่ได้โอสถช่วยเสริม คงยากจะบรรลุตามที่หวัง


 


วิธีที่จะทำให้สมหวังเร็วที่สุด…คืองัดทุกสิ่งที่มีออกมาใช้!


 


ก่อนจะจากวิหารสาบสูญไป หนิงฝานต้องบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณก่อน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หนิงฝานตั้งใจจะทำให้สตรีทุกคนในทะเลไร้สิ้นสุดส่วนนอกกลายเป็นกระถางขัดเกลาของตน


 


ผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัดส่วนใหญ่คือผู้เชี่ยวชาญที่มาจากแคว้นต่างๆ นั่นเป็นโอกาสที่หนิงฝานจะชิงตัวมา


 


หนิงฝานไม่อยากฆ่าคน และไม่อยากเข้าร่วมขุมกำลังใด เพราะแต่ละขุมกำลังย่อมมีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากร ไม่มีผู้ใดยอมทุ่มทรัพยากรทั้งหมดให้หนิงฝานแน่


 


ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่เป็นสตรี จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


 


เพียงแต่ สตรีที่บรรลุขอบเขตสูงชั้นนั้นมีน้อยมาก หากได้ดูดซับพลังจากสตรีในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น จะเพิ่มเกราะได้ 20 เกราะ ขั้นกลางเพิ่มได้มากกว่า 20 เกราะ และขั้นสูงเพิ่มได้เพียงเกือบๆ 30 เกราะ


 


นอกจากดูดซับจากสตรีแล้ว ยังมีผลไม้แห่งเต๋าในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม ที่จะช่วยเพิ่มพูนปราณราว 20 เกราะ แต่ราคาขายของมันอยู่ที่ 5 ล้านหยกสวรรค์ ยิ่งเป็นงานประมูล ราคาก็ยิ่งสูง แต่กระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มกลับขายอยู่ในราคาเพียง 3 ล้านหยกสวรรค์


 


ซึ่งที่นิกายกระถางปรุงโอสถ มีกระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขาย…


 


นิกายกระถางปรุงโอสถจะคัดเลือกผู้ที่มีพรสวรรค์ เพื่อนำมาเป็นกระถางขัดเกลาโดยการฝึกฝนอย่างหนัก


 


การซื้อกระถางขัดเกลาจึงถือเป็นวิการที่ดีในการยกระดับพลัง


 


ยามนี้ ดูเหมือนจะมีการประมูลกระถางขัดเกลาที่นิกายกระถางปรุงโอสถ และในงานก็มีอีกหลายสิ่งที่ประมูล


 


เรื่องที่จะดูดซับพลังจากอสูรทั้งสองตนที่หนิงฝานจับมา เขาจะซื้อกระถางขัดเกลาก่อน


 


แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น หนิงฝานจะจัดการกับดวงจิตแรกเริ่มของหยิงเก้อก่อน…


 


หนิงฝานนำดวงจิตของมันออกมา แล้วใช้วิชาอ่านความทรงจำ


 


ตามความทรงจำที่ได้ หนิงฝานได้ทรงจำเกี่ยวกับสมบัติอัญเชิญอสูร และวิชาอัญเชิญอสูร


 


เมื่อได้สิ่งที่สำคัญมา เขาก็ทำลายดวงวิญญาณของพวกมันทิ้ง…


197 

วิชาขจัดวิญญาณ คือการทำลายวิญญาณให้หายไปตลอดกาล


 


ทะเลสติของหยิงเก้อมีขนาดเล็กลง เพราะมันใช้วิชาอสูรแยกทะเลสติออกเป็น 3 ส่วน


 


ที่กล่าวถึงไม่ใช่เพราะทะเลสติของมันมีความพิเศษ สิ่งที่พิเศษคือวิชาอสูรที่นอกจากจะแยกส่วนทะเลสติได้แล้ว ยังทำให้ทะเลสติแต่ละแห่งมีปราณอสูรเป็นของตน


 


หนิงฝานแผ่สัมผัสเทพสำรวจทะเลสติของหยิงเก้อ วารีภายในเป็นสีเทา คลื่นซัดสาดราวกับมหาสมุทร


 


วารีแต่ละหยดเต็มไปด้วยความทรงจำ


 


หยิงเก้อเป็นผู้ครอบครองเส้นลมปราณอสูร เป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรม มันฝึกฝนวิชาอสูรและปีศาจมากมายในทะเลไร้สิ้นสุดส่วนใน มันเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้สืบทอดเส้นชีพจรโบราณ คล้ายกับหนิงฝานเมื่อครั้งอดีต


 


ความทรงจำที่แล่นผ่านหัวหนิงฝานมีมากมายราวกับน้ำหลาก เขาเห็นความเป็นไปของชีวิตมัน เห็นทะเลโลหิตที่มันผ่าน เห็นชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวันกระทั่งผ่านไป 1,700 ปี


 


มันอยู่ในรายชื่อผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมะที่อันตราย เป็นผู้อาวุโส 7 ของขุมกำลังที่แข็งแกร่ง


 


ทะเลสติของมันเริ่มแห้งเหือด ลึกลงไปใต้นั้น มีผนึกอสูรสีม่วงซ่อนอยู่


 


ผนึกนั้นคือความลับที่เก็บซ่อน เป็นผนึกที่หนิงฝานไม่อาจทำลายได้


 


หนิงฝานผสานทำความเข้าใจกับ ‘วิชาอัญเชิญอสูร’ และ และ ‘วิชาผสานอสูร’ ที่หยิงเก้อได้ฝึกฝน แต่ผลที่ได้คือ ทะเลสติได้ทำลายตัวเองไป


 


หนิงฝานเร่งถอนสัมผัสเทพกลับ มุมปากปรากฏโลหิตสีม่วง


 


ผนึกอสูรสีม่วงนั้น สมควรเป็นจ้าววังผนึกอสูรที่เป็นผู้สลักไว้


 


ผนึกนี้ทำให้ที่เป็นเกราะคุ้มกันยามที่ถูกวิชาอ่านความทรงจำ หรือจะประทับตราวิญญาณใดๆซ้ำ


 


หนิงฝานนั่งปรับลมหายใจอยู่นาน กระทั่งกลับคืนสู่ความสงบ


 


“ทะเลส่วนในอันตรายมาก… ไม่ว่ามนุษย์ อสูร หรือปีศาจ ต่างเข่นฆ่าสังหารกันอย่างไร้การควบคุม ข้าต้องบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางเป็นอย่างน้อย จึงจะไปเยือนที่นั่นได้… เส้นทางแห่งการฝึกฝนในภายหน้า ความต่างระหว่างระดับยิ่งกว้างมากขึ้น แม้จะครอบครองเส้นลมปราณโบราณ ยังยากจะยกระดับตน…”


 


หนิงฝานกลั่นดวงจิตแรกเริ่มของหยิงเก้อและของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มคนอื่นๆที่สังหาร ปราณอสูรของเขายกระดับขึ้น 10 เกราะ โดยตอนนี้ ปราณอสูรอยู่เพียงขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลางเท่านั้น


 


หนิงฝานเก็บตัว 3 วัน ขับกลิ่นอายอาฆาตแค้นให้หายไป… หนิงฝานนำตัวชุ่ยหลิงและเย่หลิงออกมาจากแหวน จากนั้นมุ่งไปยังโรงสุราของตรกูลฉินเพื่อสอบถามเรื่องงานประมูลของนิกายกระถางปรุงโอสถ


 


ในช่วงเวลาที่หนิงฝานฝึกฝนอยู่ภายในวิหาร ชุ่ยหลิงและเย่หลิงที่อยู่ในแหวนได้บรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลาง หากเทียบที่ว่าพวกนางเป็นกระถางขัดเกลา ยามนี้พวกนางสมควรมีราคา 5 หมื่นหยกสวรรค์ต่อคน


 


แต่หนิงฝานไม่มีวันขายพวกนาง เขาพาพวกนางออกมาสูดอากาศภายนอก ด้วยระดับความแข็งแกร่งของหนิงฝานยามนี้ เขาสามารถคุ้มครองพวกนางได้


 


เวลาในวิหารสาบสูญผ่านไปหลายร้อยปี แต่ภายนอกและภายในแหวนผ่านไปเพียง 10 ปี ยามนี้ พวกนางประหลาดใจเมื่อจ้องมองหนิงฝาน ระดับพลังของเขาต่างจากเมื่อก่อนมาก


 


ภายในห้องดื่มสุราส่วนตัว ข่ายอาคมกั้นขวางเพื่อความเป็นส่วนตัว สตรีสองคนยืนกระนาบซ้ายขวา คอยรินสุราให้หนิงฝานด้วยความเคารพและสงสัย


 


แม้ภายในห้องจะมีข่ายอาคมกั้นขวาง แต่ยังได้กลิ่นทะเลจากภายนอกอย่างชัดเจน


 


“นายท่านบรรลุพลังระดับไหนแล้ว ตอนนี้ข้าสัมผัสไม่ได้เลย หรือว่าท่านจะบรรลุแก่นทองคำขั้นสูงแล้ว?”


 


หนิงฝานส่ายหน้าพลางหัวเราะ บอกใบ้ให้พวกนางทายอีกครั้ง… เมื่อได้อยู่กับคนใกล้ชิดในวันวาน กริยาและความรู้สึกที่หนิงฝานแสดงออกมาจึงไม่ต่างเมื่อก่อน


 


“ข้าอนุญาติให้พวกเจ้าลองตรวจสอบดู!”


 


“ข… ข้าไม่กล้าสัมผัสกายท่านหรอก!” ชุ่ยหลิงตัวสั่น แต่แววตาของนางกลับตรงกันข้าม ผิดกับเย่หลิงที่ยื่นมือสัมผัสในตำแหน่งตันเถียนของหนิงฝานอย่างรวดเร็ว


 


แม้มีอาภรณ์ขวางกั้น แต่ยังสัมผัสได้ถึงมือนุ่มๆของนางที่กำลังสัมผัส


 


“ถ้าสัมผัสถึงไม่ได้ เช่นนั้นน่าจะไม่ใช่ขอบเขตแก่นทองคำ… ข้าของลองอีกรอบ” สีหน้าของเย่หลิงดูราวกับสาวน้อยบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่แววตาของนางกลับดูเจ้าเล่ห์ ลำคอแดงราวกับกำลังเขินอาย หัวใจเต้นรัว


 


ชุ่ยหลิงและเย่หลิงถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นกระถางขัดเกลาตั้งแต่ยังเด็ก พวกนางได้เรียนรู้อะไรมามากมาย จนกล่าวได้ว่ามากความสามารถเรื่องขัดเกลาผสาน


 


หากเป็นผู้เชี่ยวชาญทั่วไปคงต้านทานการยั่วยวนของพวกนางไม่ไหว แต่เมื่อร่วมรักกับพวกนางจนพวกนางดูดซับพลังของคนผู้นั้นจนพร้อมสรรพ คนผู้นั้นก็ถึงคราวตาย พวกนางไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนอย่างที่เห็น


 


แต่ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องของพวกนางก่อนที่จะได้พบหนิงฝาน


 


ในแต่ละวัน พวกนางต้องอาศัยอยู่ภายในแหวน ในนั้นไม่มีผู้ใดคลายความกระหายให้พวกนาง มีเพียงพวกนางเท่านั้นที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน


 


แต่ยิ่งเวลาผันผ่าน ความต้องการก็สะสมเพื่อพูนจนยากจะเติมเต็ม


 


ความรู้สึกเช่นนี้แม้สตรีทั่วไปก็มี มีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนจิตใจจนเข็มแข็งได้เท่านั้นถึงจะสะกดความปรารถนาได้ แต่ผู้ที่ถูกฝึกฝนให้เป็นกระถางขัดเกลานั้นต่างออกไป คนเหล่านั้นต้องคงความรู้สึกเช่นนั้นไว้ ยิ่งมีความต้องการมาก ยิ่งตอบสนองผู้เป็นนายได้มาก


 


ยามนี้หนิงฝานเป็นนายของพวกนาง หากหนิงฝานไม่กล่าวว่าต้องการพวกนาง พวกนางก็ไม่อาจร้องขอให้หนิงฝานสนองความต้องการให้ได้


 


การที่หนิงฝานผู้เป็นการไม่ดูดซับพลังของพวกนางเฉกเช่นผู้เป็นนายทั่วไปทำ พวกนางทราบซึ้งในบุญคุณมาก แต่พวกนางก็รู้สึกผิดหวังในเวลาเดียวกัน


 


พวกนางรู้ว่าการได้ติดตามหนิงฝานเป็นเรื่องโชคดี แต่จนถึงเดียวนี้ หนิงฝานยังไม่เอ่ยปากขอขัดเกลาผสานกับพวกนางสักครั้ง


 


เดิมทีพวกนางรอให้หนิงฝานบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ เผื่อหนิงฝานจะต้องการพวกนาง


 


แม้ความใคร่จะเพิ่มพูนจนยากจะปิดบัง แต่ผู้พี่อย่างชุ่ยหลิงกลับไม่กล่าว


 


เย่หลิงผู้เป็นน้องก็เช่นกัน


 


“บางที… วันนี้อาจมีโอกาส…” ชุ่ยหลิงขบคิด


 


นางจะฉวยโอกาสยามที่สัมผัสตันเถียน เคลื่อนมือเข้าไปในอาภรณ์และคว้า…สิ่งนั้น!


 


ชุ่ยหลิงมั่นใจว่าสามารถกระตุ้นราคะของผู้เป็นนายได้… และจากนั้นก็…


 


“เย่หลิง เจ้ากล่าวเช่นนั้นได้ยังไง! เราไม่ควรสัมผัสกายนายท่าน!” ใบหน้าชุ่ยหลิงแดงก่ำ สิ่งที่นางกล่าวกับสีหน้าที่แสดงออกไม่ตรงกัน


 


“พี่ก็…” เย่หลิงมองชุ่ยหลิงด้วยสายตาแปลกๆ


 


หนิงฝานทำได้เพียงฝืนยิ้ม จิตใจของเขายกระดับไปมาก เหตุใดจะไม่รู้ว่าพวกนางกำลังคิดอะไร


 


ชุ่ยหลิงช่างอาจหาญ ถึงกับกล้ามีความคิดเช่นนั้นกับตน


 


แต่เมื่อพวกนางเป็นเช่นนี้ แม้เขาจะดูดซับพลังพวกนาง แต่คงปล่อยไปเฉยๆไม่ได้


 


ยามนี้หนิงฝานเป็นผู้เชี่ยวฝ่ายอธรรมโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่พ่อพระที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลย


 


แต่ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่หนิงฝานยังกังวลว่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจะจับตามองเขาอยู่


 


“เด็กโง่เอ๋ย… ไว้คราวหน้าค่อยสัมผัสเถอะ…” หนิงฝานหัวเราะ แต่พวกนางกลับทำสีหน้าผิดหวังอย่างที่สุด กระทั่งบุ้ยปากเบือนหน้าหนี


 


นายท่านใจร้าย นายท่านช่างไร้อารมณ์…


 


“ฮ่าฮ่า… ผู้อาวุโสมีสาวงามถึงสองคนคอยปรนนิบัติ ทำเอาข้าอิจฉาเสียจริง… ข้าน้อยคือผู้นำตระกูลฉิน ‘ฉินหมิง’ คารวะผู้อาวุโสซัว”


 


เสียงของชายชราดังขึ้นจากภายนอกห้อง


 


ชายชราเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูง แรงกดดันที่แผ่ออกมาเต็มไปด้วยกลิ่นอายโลหิตที่เข้มข้น จนทำให้สตรีทั้งสองคนหวาดกลัว ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับราชาปีศาจ


 


แต่ชายชราผุ้นั้นกลับเรียกขานหนิงฝานว่าผู้อาวุโส ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมอย่างที่สุด!


 


หรือนายของพวกนางจะบรรลุดวงจิตแรกเริ่มแล้ว!?


 


แม้หนิงฝานไม่บอก แต่พวกนางไม่โง่!


 


“ฉินหมิง? เข้ามา” รอยยิ้มบนใบหน้าหนิงฝานหายไป กลับคืนสู่ความสงบเรียบเฉย


 


เพราะผู้ที่มาไม่มีค่าพอให้เขายิ้ม


 


ฉินหมิงไม่กล้าประมาท มันค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านประตู เลี่ยงสายตาไม่มองหนิงฝานและสตรีทั้งสอง เพราะกลัวจะทำให้หนิงฝานไม่พอใจ


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม มันระวังการกระทำอย่างที่สุด


 


“ที่ผู้อาวุโสเรียกข้ามาไม่รู้ว่าเรื่องอะไรสอบถามเป็นพิเศษ… หากข้ารู้ ข้าจะตอบท่านทั้งหมด!”


 


“ข้าอยากรู้ข้อมูลของนิกายกระถางปรุงโอสถทั้งหมด และอยากรู้สถานที่จัดการประมูลกระถางขัดเกลา!”


 


“รายละเอียดนั้นมีมากโข หากจะให้เล่าทั้งวันทั้งคืนคงไม่หมด แต่ข้ามีแผ่นหยกที่บันทึกข้อมูลทั้งหมดของนิกายกระถางปรุงโอสถไว้ หากท่านต้องการซื้อกระถางขัดเกลาจากงานประมูล ในแผ่นหยกนี้ก็มีรายละเอียดเรื่องนั้นด้วย แต่หากผู้อาวุโสยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจ ข้าก็พร้อมจะบอกเล่าให้ผู้อาวุโสฟัง…”


 


“ไม่จำเป็น แค่ได้แผ่นหยกนี่ก็ดีมากแล้ว”


 


“ขอรับ… ช่างน่าเสียดาย” ฉินหมิงถอนหายใจ แม้คนผู้นี้จะนอบน้อมต่อหนิงฝาน แต่ฉากหลังของมันผ่านการเข่นฆ่ามามากมายนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้น ใช่ว่ามันจะนอบน้อมกับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มทุกคน อย่างน้อยจิงสั่วที่อยู่มาก่อนก็ไม่ได้รับความเคารพแบบนี้


 


มันมองหนิงฝานราวกับเทพแห่งการสังหาร เพราะมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโลหิตและเจตนาสังหารที่เหนือชั้นกว่าอย่างเทียบไม่ติด


 


มันจึงเข้ามมาหาหนิงฝานด้วยตนเอง เพราะหากได้พูดคุยกับหนิงฝานเป็นการส่วนตัว ย่อมทำให้มันได้ประโยชน์ไม่น้อย


 


อีกอย่าง มันรู้ว่าหนิงฝานอายุเพียง 340 ปี แต่การที่ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ นั่นหมายความว่าเขามีพรสวรรค์อย่างที่สุด


 


“นายท่าน คนผู้นั้นดูเคารพนายท่านมาก หรือว่า… ท่านจะบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มแล้ว”


 


ชุ่ยหลิงกล่าวถามพลางยิ้มเจื่อน


 


เพราะหนิงฝานที่บรรลุดวงจิตแรกเริ่ม หายให้เขามาดูดซับพลังพวกนาง เขาจะได้ประโยชน์อะไร?


 


มิน่านายท่านถึงได้ถามเรื่องงานประมูลกระถางขัดเกลา… สงสัยพวกข้าคงจะถูกขายแล้ว


 


ที่นายท่านยังเก็บพรหมจรรย์ของพวกข้าไว้ ก็เพื่อจะนำไปขายนี่เอง!


 


เพราะพวกข้าไม่มีพรสวรรค์มากพอ จึงไม่อาจอยู่ข้างกายนายท่านได้


 


ความเจ็บปวด โศกเศร้า และเสียใจอย่างที่สุด ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่งดงามของพวกนาง


 


ชุ่ยหลิงก้มหน้า น้ำตาไหลริน


 


“นายท่าน.. ย… เย่หลิงไม่ดีตรงไหน… หากท่านบอก ข้าก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลง…”


 


“เงียบเดี๋ยวนี้ ในเมื่อนายท่านตัดสินใจ ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจขัดขืน…” ชุ่ยหลิงพยายามยิ้ม แต่น้ำตายิ่งไหลริน


 


หนิงฝานที่กำลังจะดูข้อมูลในแผ่นหยก ตกตะลึงกับสิ่งพวกนางเป็น


 


จากคำกล่าวของพวกนาง ดูเหมือนพวกนางจะเข้าใจว่าเขากำลังขาดหยกสวรรค์ จึงตั้งใจจะขายพวกนางไป


 


แต่ถึงอย่างนั้น หนิงฝานมีหยกสวรรค์กับตัวถึง 20 ล้าน นับเป็นจำนวนไม่น้อย


 


แต่ต่อให้มีหยกสวรรค์น้อยยังไง เขาก็ไม่มีวันทรยศคนที่ผูกพันธ์ และขายพวกนางไปอย่างแน่นอน


 


“พวกเข้าทำให้ข้าเศร้าใจจริงๆ…” หนิงฝานยิ้ม เอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้พวกนาง แต่การกระทำของเขากลับทำให้พวกนางตกตะลึง!


 


เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หนิงฝานสัมผัสกายพวกนาง!


 


“นายท่าน…” พวกนางมีสิ่งต่างๆมากมายอยากจะกล่าว แต่เมื่อเห็นแววตาหนิงฝาน กลับหวาดกลัวจนไม่กล้า…


 


ในห้องถัดไป สตรีอาภรณ์แดงนางหนึ่งกำลังแอบฟังหนิงฝาน


 


“ทหารศิลา… เจ้าเห็นมั้ยว่าซัวหมิงผู้นั้นกำลังจะไปนิกายกระถางปรุงโอสถ คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมที่ฝึกฝนวิชาขัดเกลาผสาน… ท่านแม่และท่านพี่บอกว่า บุรุษนั้นไร้หัวใจ โดยเฉพาะกับพวกที่ฝึกฝนวิชาฝ่ายอธรรม ที่รู้จักแต่เพียงขัดเกลาผสาน… ที่ซัวหมิงไปที่นั่น หรือว่าเพราะคิดจะซื้อกระถางขัดเกลา… แต่บางทีมันอาจจะซื้อบุรุษมาเพื่อ… ฮ่าฮ่า! แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว…”


 


แล้วความคิดฟุ้งซ่านก็โลดแล่นในหัวของนาง


 


“แต่จะว่าไปซัวหมิงผู้นั้นก็หล่อเหลาไม่น้อย… ”


 


“ทหารศิลาเจ้าดูสิ มันกำลังเช็ดน้ำตาให้กระถางขัดเกลา น่าตลกจริงๆ! ใครสอนให้มันทำแบบนั้น?”


 


“ทหารศิลา?!”


 


“นายหญิงน้อย ข้าไม่แอบดูความส่วนตัวของผู้อื่น ข้าขอไปก่อน หากท่านประสบอันตราย ข้าจึงจะออกมาช่วย”


 


แล้วเงาร่างของทหารศิลาก็หายไปทันที


 


“ฮึ่ม! น่าหงุดหงิดจริงๆ!” นางตบโต๊ะ อาหารและเครื่องดื่มบนสลายกลายเป็นผง


 


อีกฟากฝั่ง… หนิงฝานในยามนี้เผยแววตาเย็นชา จนทำให้เย่หลิงและชุ่ยหลิงหวาดกลัว


 


นายหญิงน้อยเป่ยช่างน่ารำคาญ!


 


ดูเหมือนต้องหาทางสั่งสอนนางบ้าง


 


“พวกเจ้าอย่าร้องไห้เลย… จริงอยู่ที่ข้าบรรลุดวงจิตแรกเริ่มแล้ว แต่ข้าไม่มีวันขายพวกเจ้าเด็ดขาย… ไม่มีวัน!”


 


“จริงหรอ!” ชุ่ยหลิงเช็ดน้ำตา สองมือคว้าจับหนิงฝานไม่ปล่อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่มีความสุข


 


“จริงสิ… ชุ่ยหลิง ทำไมเจ้าไม่ลองสัมผัสใต้อาภรณ์ข้า หากเจ้าตรวจสอบดูดีๆ บางทีอาจสัมผัสถึงดวงจิตแรกเริ่มของข้าก็ได้”


 


นิ่งฝานนั่งจิบชาพลางยิ้มอย่างคลุมเครือ เขาตั้งใจจะร่วมรักสองพี่น้องเพื่อแก้เผ็ดเป่ยเซี่ยวเหมินที่แอบดู


 


ในเมื่อกล้าแอบดู ก็ต้องให้เห็นฉากร่วมรักอันเร่าร้อน ให้มันฝังอยู่ในความทรงจำของนางไม่อาจลืม


 


หากบุรุษได้เห็นบุรุษร่วมรักกัน คงไม่ต่างจากฝันร้าย


 


แต่เป่ยเซี่ยวเหมินที่ผิดแปลก การได้เห็นบุรุษและสตรีร่วมรัก คงเป็นเหมือนฝันร้ายของนาง


 


“นายท่านให้ข้าสัมผัสจริงๆเหรอ…”


 


“อืม!”


 


“งั้น… ถ้าสัมผัสกับดวงจิตแรกเริ่มของท่าน…”


 


ชุ่ยหลิงใจเต้ชนรัว มือน้อยๆเริ่มปลดอาภรณ์หนิงฝาน


 


ในระหว่างนั้น นางหันมองผู้เป็นน้อง อีกฝ่ายกำลังปิดตาแน่น แต่ดูเหมือนจะหลี่ตาแอบมอง


 


“ท่านพี่… ไม่ต้องถอดหมดก็ได้ มันโจ่งแจ้งเกินไป ไม่งั้นนายท่านจะหาว่าท่านมีความคิดชั่วร้ายนะ!”


 


“ฮึ่ม! ข้าไม่พลาดโอกาสนี้แน่!”


 


พวกนางพูดคุยด้วยสัมผัสเทพ


 


หนิงฝานนั่งหลับตา ปล่อยให้มืออุ่นๆของชุ่ยหลิงเคลื่อนสัมผัส


 


ยามนี้ชุ่ยหลิงใจเต้นรัวแทบระเบิด นี่เป็นครั้งแรกที่นางกล้าที่สุดในชีวิต!


 


มือน้อยๆสัมผัสหน้าท้อง เคลื่อนลงหาท้องน้อยอย่างช้าๆพร้อมกับถ่ายพลังเข้าไปในร่างหนิงฝาน


 


พริบตานั้น สิ่งที่อยู่ใต้ตันเถียนตั้งผงาด!


 


พร้อมกับมือน้อยๆของชุ่ยหลิงที่คว้าแน่นไม่ปล่อย


 


หนิงฝานรู้เจตนาของนาง แต่เขาไม่ได้ต่อต้าน ปล่อยให้ความเป็นบุรุษของตนผงาดอย่างเต็มที่


 


“นายท่าน ข้าขอโทษ ข้า…” ชุ่ยหลิงทำหน้าตาไร้เดียงสา แต่มือที่คว้าหนิงฝานน้อยไว้กลับลูบสัมผัสไม่หยุด


 


“ไม่ต้องกังวล… ข้ารู้สึกสบายมาก…”


 


คำกล่าวนั้นทำให้เพลิงปรารถนาของชุ่ยหลิงลุกโชน


 


เย่หลิงที่มองรู้สึกอิจฉาอย่างที่สุด


 


เพราะยามนี้ นายท่านตอบสนองความต้องการของพวกนางแล้ว


 


มือหนึ่งชุ่ยหลิงลูบสัมผัสหนิงฝานน้อย อีกมือลูบสัมผัสหน้าอกของตน แววตาเป็นประกายเริ่มพร่ามัว


 


“นายท่าน… แม้ใช้มือข้ายังไม่อาจสัมผัสดวงจิตแรกเริ่มของท่านได้… ขอข้าเข้าไปสัมผัสใกล้กว่านี้ด้วย…ปาก…ได้หรือไม่?”


 


“ได้สิ!” หนิงฝานไม่ปฏิเสธ เพราะนั่นคือเรื่องที่น่ายินดี


 


แล้วชุ่ยหลิงก็ปลดอาภรณ์ตน เคลื่อนกายเข้าประชิดหว่างขาหนิงฝาน จากนั้นก็!


 


แล้วเสียงครางกระเส่าของสตรีทั้งสองนางก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของเป่ยเซี่ยวเหมินที่อยู่ห้องข้างๆ


 


“อะไรกันเนี่ย! ทำไมถึงเป็นแบบนี้! น่ารังเกียจ… น่าขยะแขยงที่สุด… ทำไมสตรีถึงทำแบบนั้นกับบุรุษได้!”


 


ดูเหมือนมารดาไม่เคยบอกนางว่า เรื่องระหว่างบุรุษสตรีเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ…


198

สตรีผู้งดงามนางหนึ่งนั่งคร่อม คิ้วขมวดแน่น น้ำตาไหลริน


 


แม้ดวงตาจะคลอไปด้วยน้ำตา แต่แววตากลับเผยถึงความสุข


 


ความปรารถนที่อัดอั้นมานานปี ทะลักออกมาในพริบตา!


 


ใบหน้าชุ่ยหลิงแดงก่ำ ในปากเต็มไปด้วยของเหลว ลมหายใจถี่กระชั้น


 


ความสุข และกลิ่นหอมที่โชยออกมาจากตัวนาง ทำให้นางน่าลุ่มหลง


 


“นายท่าน… สบายตัวหรือเปล่า?!” แววตาของนางดูเปี่ยมไปด้วยความสุข


 


บุรุษมากมายปรารถที่จะทำเรื่องบนเตียงอย่างเร่าร้อนเพื่อทำให้ตนเองและคู่ของตนพอใจ สตรีเองก็ปรารถนาจะทำให้บุรุษพึงพอใจเช่นกัน


 


“สบายมาก… รสชาติเป็นไงบ้าง” หนิงฝานลูบสัมผัสผมที่นุ่มสลวยของนาง


 


หนิงฝานเองได้ปลดปล่อยความปรารถนาที่อัดอั้นมานานกว่า 320 ปี สิ่งที่หนิงฝานหลั่งออกมานั้น เป็นสิ่งที่สั่งสมจากการฝึกวิชา ดังนั้น มันจึงเปรียบเหมือนโอสถผันแปรที่ 3


 


“อร่อย… แต่ดูเหมือนข้าคนเดียวจะรั้งเอาไว้ไม่หมด… คงต้องให้น้องข้าช่วยใช้ลิ้นทำความสะอาด ไม่งั้นจะเสียของเอา”


 


“ข… ข้า…”


 


ชุ่ยหลิงเปิดโอกาสให้น้องสาวของนาง


 


“นายท่านอนุญาติหรือไม่?”


 


“ข้าอนุญาติ… แต่…”


 


ใบหน้าเย่หลิงแดงก่ำ


 


“ถึงท่านพี่จะบอกว่าใช้ลิ้น… แต่ข้าอยากใช้อย่างอื่นช่วยมากกว่า”


 


“อะไรนะ! ใช้อย่างอื่น…”


 


ในขณะนั้นเอง เย่หลิงเริ่มปลดอาภรณ์จนเหลือเพียงผ้าบางๆที่ปกปิดบริเวณท้องน้อย


 


นางตั้งใจไม่ปลด เพราะรอให้หนิงฝานเป็นคนปลดด้วยตนเอง


 


“นายท่าน… ข้ารู้สึกไร้เรี่ยวแรง นายท่านพอจะช่วยข้า…”


 


เหลือผ้าเพียงชิ้นเดียวที่ขวางกั้นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์


 


แต่ยามนั้นเอง หนิงฝานกลับลุกยืน อุ้มนางนอนลงบนโต๊ะกินข้าว!


 


สุราหกกระจาย เปรอะเปื้อนไปทั่วโต๊ะ


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนราวกับปีศาจผู้หิวกระหาย


 


สัมผัสเทพที่ทรงพลังถูกปลดปล่อย ทำให้เสียงที่เกิดในห้องตน ดังไปยังห้องข้างๆ


 


เสียงลมหายใจถี่กระชั้น ดังสะท้อนทั่วห้องข้างๆ


 


“นายท่านเมตตาข้าด้วย…” เย่หลิงกล่าวอ้อนวอน


 


“งั้น… ข้าจะเริ่มช้าๆ”


 


“และเจ้าอาจต้องทนเจ็บบ้าง…”


 


บางสิ่งเริ่มเคลื่อนเข้าไปในร่างกายของนางช้าๆ พร้อมกับโลหิตที่ไหลซึม


 


แม้จะเตรียมใจอยู่ก่อน แต่เย่หลิงยังต้องหลับตาแน่น น้ำตาไหลริน


 


“ข้าจะขอช่วยนายท่าน…”


 


ชุ่ยหลิงยังไม่ทันได้กล่าวจบ หนิงฝานใช่แขนรวบตัวนาง ริมฝีปากประกบจนทำให้ชุ่ยหลิงรู้สึกไร้กำลัง


 


มือซ้ายประครองร่างเย่หลิงที่นอนอยู่บนโต๊ะ พลางขยับท่อนร่างของร่างกายเพื่อช่วยเติมเต็มความสุขให้นาง แขนขวาโอบประครองร่างของชุ่ยหลิง ริมฝีปากประกบ ลิ้นสอดใส่พัวพัน


 


ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเร่าร้อน นุ่มนวล และอ่อนโยน…


 


แต่ที่ห้องข้างๆ กลับมีเสียงด่าทอของสตรีดังขึ้น


 


“ไร้ยางอาย ไร้ยางอาย ไร้ยางอายที่สุด!”


 


แล้วร่างของเป่ยเซี่ยวเหมินก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกไป


 


ดวงตาของนางแดงก่ำ เจตนาสังหารเพิ่มพูนจนยากจะควบคุม


 


“เจ้าซัวหมิงสารเลว คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำแบบนี้กับข้า! ไร้ยางอาย! ชั่วช้า! สารเลว!”


 


ในชั่วลมหายใจนั้น เสียงบางอย่างก็ดังออกมาจากอกของนาง พร้อมกับนางกระอักโลหิต


 


จิตใจของนางปั่นป่วนอย่างที่สุด


 


“มันต้องรู้แน่ว่าข้าแอบดู เลยจงใจทำแบบนั้น!”


 


ในเมืองเต๋าทมิฬมีกฏห้ามไม่ให้สังหารผู้คน แต่เจตนาสังหารของนางไม่อาจควบคุม บนหน้าผากนางเริ่มปรากฏดาราสีแดงฉาน เป็นหนึ่งในดาราเทพ ‘ดาราสังหารที่ 10’


 


เมื่อดาราสังหารที่ 10 ปรากฏ จิตใจที่ปั่นป่วนก็ได้รับการตอบสนอง


 


“สารเลวซัวหมิง! ข้าเป่ยเซี่ยวเหมินจะฆ่าเข้า!”


 


ระหว่างทางที่นางพุ่งผ่าน ไม่ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญใด อยู่ในระดับพลังใด นางสังหารทิ้งทั้งหมด!


 


เพราะมีเพียงโลหิตเท่านั้นที่ทำให้นางสงบลงได้


 


ราตรีมาเยือน สตรีสองนางเข้าสู่นิทราด้วยความเหนื่อยอ่อน


 


หนิงฝานลูบสัมผัสใบหน้าที่งดงามของพวกนางอย่างอ่อนโยน ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย


 


“เป่ยเซี่ยวเหมินคงไม่มารบกวนข้าไปสักพัก ข้าต้องไปงานประมูลนิกายกระถางปรุงโอสถ ไม่รู้ว่าที่นั่นจะมีกระถางขัดเกลาพอให้ข้าทะลวงดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางหรือเปล่า…”


 


กระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มไม่ใช่ผักปลาที่จะหาได้ง่าย ต่อให้ขุมกำลังใดทุ่มฝึกฝนกระถางขัดเกลา ก็ใช่ว่าจะบรรลุถึงขอบเขตนั้นได้ง่ายๆ


 


ต่อให้หนิงฝานดูดซับปราณจากสตรีทั้งสองนางข้างกายก็ยังไม่พอ


 


ต่อให้หาซื้อกระถางขัดเกลาได้ก็ยังไม่พอ


 


ต่อให้ดูดซับพลังจากเป่ยเซี่ยวเหมินก็ยังไม่พอ


 


หนิงฝานยามนี้ไม่ใช่เด็กเหมือนวันวาน เขากลายเป็นปีศาจเต็มตัว


 


หัวใจของหนิงฝานคล้ายราตรีที่มืดมิด แม้จะมีดาราประกายแสง แต่ก็ไม่ได้โด่ดเด่น


 


“นายท่าน…” สตรีทั้งสองนางรู้สึกตัว จ้องมองหนิงฝานด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อพยายามลุกนั่ง พวกนางกลับรู้สึกระบม


 


หนิงฝานไม่ได้ดูดซับพลังจากพวกนาง แต่เป็นการขัดเกลาผสาน ที่ทำให้พวกนางได้ประโยชน์ไม่น้อย อย่างน้อยๆก็ทำให้ปราณของพวกนางยกระดับเทียบเท่าการฝึกฝน 10 ปี


 


หนิงฝานนำแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา ยกจ่อที่ศีรษะแล้วถ่ายสัมผัสเทพเข้าไป


 


ผ่านไปช่วงหนึ่ง หนิงฝานก็กล่าวขึ้น


 


“นิกายกระถางขัดเกลาตั้งอยู่ใน ‘เมืองทะเลทรายตอนใต้’ ด้วยความเร็วของข้ายามนี้ คงใช้เวลาประมาณ 1 วันจึงจะไปถึง ด้วยย่างก้าวสีเทา หนึ่งชั่วยามคงเดินทางได้หลายหมื่นลี้… งานประมูลจะจัดขึ้นในอีก 10 วันข้างหน้า ในช่วง 10 วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้ายกระดับพลังก่อนจะออกเดินทาง”


 


หนิงฝานยื่นมือออกไป เปลวเพลิงสีเทาลุกโหม


 


เพลิงที่ปรากฏคือเพลิงหยินหยาง ที่เกิดจากเพลิงผสานกับน้ำแข็ง


 


ในตอนที่อยู่เมืองฉีเหม่ย แม้หนิงฝานจะมีปราณน้ำแข็งในร่าง แต่รากฐานของมันยังไม่ทรงพลังมากนัก ทำให้ธาตุไฟยังเด่นกว่า


 


แต่ยามนี้ เพลิงปีศาจทมิฬ เพลิงกระดูกขาว ปราณเยือกแข็งกระดูกขาว และแก่นปราณเยือกแข็ง… สองเพลิง สองน้ำแข็งได้ผสานรวมเป็นหนึ่ง จนทำให้ทรงพลังพอที่จะทำอันตรายผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้ นี่เป็นหนึ่งในไพ่ตายของหนิงฝาน ที่ทรงอานุภาพอย่างที่สุด


 


ในระหว่างที่อยู่ในวิหารสาบสูญ หนิงฝานลองใช้เพลิงชนิดนี้ อานุภาพของมันทำลายภูเขาและสายน้ำในระยะหมื่นลี้จนสูญสิ้น


 


แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ หนิงฝานต้องเสียเวลาฟื้นฟูปราณถึง 3 เดือน…


 


เพลิงของหนิงฝานเหนือว่าที่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม และผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณจะต้านรับ


 


บางทีไพ่ตายนี้อาจทำให้ทหารศิลาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเป็นกังวล


 


วิชาย่างก้าวของหนิงฝานก็เปลี่ยนไป เมื่อเพลิงและน้ำแข็งผสาน แสงสีที่ได้ก็เปลี่ยนเป็นสีเทา ความเร็วก็เพิ่มพูนจนเกือบจะเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ แม้จิงสั่วจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับเดียวกัน แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่กลับห่างกันจนเทียบไม่ติด


 


หากจะกล่าว หนิงฝานในยามนี้สมควรแข็งแกร่งจนแทบจะไร้ผู้ต้านในทะเลส่วนนอก


 


“กระถางขัดเกลาของนิกายกระถางปรุงโอสถมีจำกัด แถบนี้คงมีไม่กี่ขุมกำลังที่ขาย… ดูเหมือนข้าคงต้องเดินทางข้ามฝั่งมหาสมุทร หากข้าบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ข้าก็จะเร่งทะลวงขั้นสูง… หากกระถางขัดเกลาในทะเลส่วนนอกหมด ข้าจะไปยังทะเลส่วนใน ช่วงชิงกระถางขัดเกลาที่นั่น ด้วยพลังของข้า หากข้าระมัดระวัง วิหารพิรุณก็ไม่มีทางทำอะไรข้าได้!”…


 


อีกฝั่ง นายน้อยหญิงเป่ยกลับมายังวิหารโอสถด้วยเนื้อตัวที่อาบโชกไปด้วยโลหิต เมื่อเหล่าคนรับใช้เห็นสภาพ พวกนางรู้ทันทีว่าคนมีคนทำให้นายหญิงน้อยเป่ยโกรธแค้น


 


“นายหญิงน้อย… ใครทำให้ท่านโกรธถึงขนาดนี้… ให้พวกข้าได้ช่วยท่านผ่อนคลายเถอะ”


 


“ไสหัวออกไปจากที่นี่!”


 


ดูเหมือนเป่ยเซี่ยวเหมินยังไม่หายโกรธ


 


แต่เมื่อนางสงบใจได้ นางก็ไปอาบน้ำ เดินตรงไปยังที่นอนเพื่อพัก แต่เมื่อนางหลับตา ในความฝันก็ปรากฏใบหน้าของซัวหมิงที่กำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย ที่กำลังเดินตรงมาหานางด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า


 


ซัวหมิงฉีกกระชากอาภรณ์ของนางจนขาดสะบั้นโดยที่นางไม่อาจขัดขืน จากนั้นก็พรากพรหมจรรย์ของนางไป…


 


“อย่า… อย่า!!!”


 


แล้วนางก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน บริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของนางเปียกชุ่ม


 


“ซัวหมิง…ไอ้สารเลว!”


 


นางโกรธแค้น แต่ในใจกลับเริ่มหวาดกลัวซัวหมิง!


 


ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่นางหวาดกลัว


 


ด้วยความหื่นกระหาย ด้วยท่วงท่าที่หนักหน่วง ภาพเหล่านั้นติดตานางไม่อาจลบ


 


“ข้านอนไม่หลับ… ทหารศิลา เล่านิทานให้ข้าฟังที… ทหารศิลา? เจ้าอยู่ไหน?” นางเริ่มฉุนเฉียว เพราะไม่รู้ทหารศิลาไปไหน…


 


ในราตรีที่ประดับด้วยจันทรากระจ่าง


 


กลิ่นอายบางอย่างที่อ่อนจางเคลื่อนเข้าใกล้ที่พักของหนิงฝาน พร้อมกับความโกรธเกรี้ยวที่มุ่งเป้าไปยังหนิงฝานเพียงคนเดียว


 


เสียงที่เกรี้ยวกราดราวกับศิลาถล่มดังขึ้นข้างหูหนิงฝาน


 


“ไอ้สารเลว! เจ้าทำลายจิตใจนายหญิงน้อยของข้า เจ้ามีเหตุผลอะไรจงอธิบาย!”


 


“อธิบาย? ช่างน่าขัน! นางตั้งใจจะสังหารข้าก่อน แล้วจะให้ข้าอธิบายอะไรอีก!”


 


เมื่อเสียงของทหารศิลาดังขึ้น หนิงฝานก็นำสตรีทั้งสองกลับเข้าไปในแหวน ร่างแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงออกไปนอกที่พัก


 


ผมดำขลับพลิ้วไสว แววตาเด็ดเดี่ยว ยืนเผชิญหน้ากับทหารศิลาร่างยักษ์! หนิงฝานสัมผัสได้ว่าทหารศิลากำลังตรงมาหาเขา


 


“ไปขอโทษนายหยิงน้อยซะ!”


 


“ถ้าข้าปฏิเสธหล่ะ?” หนิงฝานขมวดคิ้ว


 


“งั้นก็ตาย!”


 


“ดี!”


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา เพลิงหยินหยางลุกโหมที่ฝ่ามือ


 


หนิงฝานไม่อาจต่อกรอีกฝ่ายได้ยามนี้ จึงจำเป็นต้องใช้เพลิงหยินหยาง


 


แววตาที่เรียบเฉยของทหารศิลาแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว เพลิงที่ปรากฏทำให้มันสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรง เดิมทีมันคิดจะจับตัวหนิงฝานไปหาเป่ยเซี่ยวเหมิน


 


แต่ตอนนี้ดูเหมือนสถานะการณ์จะไม่เป็นแบบนั้น


 


ในชั่วลมหายใจนั้นเอง เสียงสะลึมสะลือของสตรีนางหนึ่งก็ดังออกมาจากสร้อยหยินหยาง


 


“คนของวิหารสาบสูญเป็นพวกชอบยกตนข่มท่าน… น้องชาย เจ้าอยากให้พี่สาวคนนี้ช่วยทำให้มันเป็นสัตว์เชื่องๆหรือเปล่า?”


 


“โอ้! ท่านมีวิธีเหรอ?!” ดวงตาหนิงฝานเป็นประกาย


 


หากสามารถลอบจู่โจมทหารศิลาได้ เขาก็ไม่ต้องเจ็บตัว และหากนำมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้ ก็ไม่มีใครในทะเลส่วนนอกที่กล้าเป็นศัตรูกับเขาอีก


 


“แน่นอน ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังแล้วว่าวิหารสาบสูญเป็นศัตรูของข้า ข้าก็เลยค้นหาวิธีจัดการกับ ‘ทหารศิลา 8 วิถี’ เหมือนเจ้านั่น! ว่าแต่…เจ้าบรรลุดวงจิตแรกเริ่มแล้ว นั่นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่! แต่เจ้าจงจำเอาไว้ เมื่อข้าช่วยเจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องฝึกฝนวิชาแปลงหยินหยางให้ยกระดับถึงขอบเขตที่ 3 เมื่อใดที่เจ้าบรรลุ เมื่อนั้นเจ้าก็จะช่วยข้าได้… หากไม่แล้ว ข้าก็จะถูกโลกหยินใบนี้กลืนกินอย่างสมบูรณ์…”




ตอนที่ 199

 

เจตนาต่อสู้ปกคลุมผืนฟ้า


 


ม่านมิติแยกสถานที่แห่งนี้เป็นเอกเทศน์


 


ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่โดยรอบรู้ว่ากำลังจะเกิดการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มระดับสูง ก็ยากจะทะลวงพลังที่ปกคลุมของทหารศิลา


 


ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมักจะใช้วิธีการเช่นนี้เวลาที่จะต่อสู้ แต่หนิงฝานเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก


 


“ข้าเกิดมาเพื่อสู้!”


 


ทหารศิลาตวาดลั่นราวกับอัสนีฟาดผ่า


 


ทั่วร่างแผ่เจตนาต่อสู้ที่รุนแรง ราวกับมันเกิดมาเพื่อต่อสู้เท่านั้น!


 


เจตนาต่อสู้ที่บริสุทธิ์ไร้สิ่งใดเจือปนของมัน ทำให้ผู้เชี่ยวชาญโดยรอบหวาดกลัว


 


แต่ก่อนที่เจตนาต่อสู้จะแผ่มาถึงตัวหนิงฝาน มันกลับสลายไป


 


เจตจำนงค์เทพพิรุณแผ่จากร่างหนิงฝาน ทำให้พิรุณพรั่งพรมโดยรอบ


 


เจตจำนงค์เทพพิรุณสยบเจตนาต่อสู้ แต่ยังไม่อาจชะล้างม่านมิติได้


 


ความกลัวปรากฏขึ้นในแววตาของทหารศิลา แต่มันยังตั้งมั่นว่าจะสังหารหนิงฝานให้ได้


 


“เจตจำนงค์เทพพิรุณ… เจตจำนงค์เทพที่ต่ำชั้น ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะทำร้ายนายหญิงน้อยเซี่ยวเหมิน วันนี้ก็เป็นวันตายของเจ้า”


 


เมื่อกล่าวจบ ทหารศิลาชกหมัดเต็มกำลัง เสียงหมัดแหวกอากาศดังสนั่นราวกับภูเขาถล่ม


 


หนิงฝานทำสีหน้าเย้ยหยัน ร่างกายขยายขนาดสูงใหญ่ถึง 100 จ้าง หมัดขนาดยักษ์กำแน่น เหวี่ยงออกจนเกิดเป็นแสงสีราวกับน้ำแข็งบริสุทธิ์ เข้าปะทะกับหมัดของทหารศิลา


 


หลั่วโยว่ สตรีผู้อยู่ในสร้อยหยินหยางมีวิชาลับที่จะใช้จัดการกับทหารศิลา และด้วยปราณของนางในยามนี้ การจะใช้วิชาจึงเป็นเรื่องง่าย


 


เพียงแต่นานถูกขังอยู่ในสร้อยหยินหยางมานานปี ปราณของนางก็ถูกโลกแห่งหยินภายในนั้นดูดซับจนแทบไม่เหลือ


 


ต่อให้ยามนี้นางออกมาจากสร้อยได้ กว่านางจะฟื้นฟูพลัง คงใช้เวลาอีกหลายปี…


 


ยามนี้ สิ่งที่หนิงฝานต้องทำคือถ่วงเวลา เพราะการจะใช้วิชาได้นั้น อย่างน้อยต้องใช้เวลา 3 ลมหายใจ


 


ดังนั้น หนิงฝานต้องรับหมัดของทหารศิลาให้ได้


 


แต่ทหารศิลาแข็งแกร่งกว่าที่หนิงฝานคิดไว้มาก


 


เมื่อหมัดปะทะกัน แรงปะทะแล่นผ่านหมัดของหนิงฝานจนทำให้ปริแตก


 


หนิงฝานสัมผัสได้ว่า ระดับร่างกายของทหารศิลาไม่ใช่ขอบเขตกระดูกเงิน แต่เป็นขอบเขตกระดูกหยก!


 


ร่างกายในขอบเขตกระดูกหยกสามารถต้านรับการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้ ดังนั้นทหารศิลาในยามนี้ จึงมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัว


 


เมื่อครู่หมัดของทหารศิลาใช้ออกเพียงกำลังกาย ไม่ได้ใช้ปราณเสริม แต่กลับทำให้หนิงฝานบาดเจ็บได้ในชั่วพริบตา จึงทำให้สถานะการณ์ของหนิงฝานเข้าขั้นวิกฤตทันที!


 


หนิงฝานตกตะลึง แต่จิตใจไม่ปั่นป่วน เขาเร่งปะทุพลัง ใช้หมัดทะลายน้ำแข็งเสริมกำลังต้านหมัดของทหารศิลา


 


อานุภาพหมัดของทหารศิลาลดลง 1 ใน 10 ส่วน หนิงฝานฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนกระบวนท่า ซัดฝ่ามือน้ำแข็งอีก 19 ฝ่ามือซ้อน จนทหารศิลาไม่มีโอกาสได้ออกหมัดที่ 2


 


หมัดในขอบเขตกระดูกหยกช่างรับมือได้ยาก


 


“ร่างกายในขอบเขตกระดูกหยก ต่อให้ไม่ใช้ปราณเสริมการจู่โจม ก็สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้ง่ายๆ”


 


อีกฝ่ายเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ทั้งยังบรรลุขอบเขตกระดูกหยก ต่อให้หนิงฝานเผยไพ่ในมือ ก็ไม่สามารถเอาชนะทหารศิลาได้ อย่างมากก็ทำได้แค่หลบหนี


 


หนิงฝานตระหนักได้ถึงความต่างของตนและทหารศิลาเป็นอย่างดี หากเป็นผู้เชี่ยวชาญกึ่งตัดวิญญาณ หนิงฝานสามารถต่อกรได้ แต่หากเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณที่แท้จริง ระดับยังห่างกันมากเกินไป


 


หนิงฝานตกตะลึงกับพลังของทหารศิลา ทหารศิลาเองก็ตกตะลึงกับพลังของหนิงฝานเช่นกัน


 


เดิมทีมันคิดว่าหนิงฝานจะใช้เพลิงแปลกๆนั่นต่อกรกับมัน แต่ยามนี้ดูเหมือนว่า หนิงฝานไม่ได้อ่อนแออย่างที่มันคิด


 


อายุกระดูก 340 ปี บรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม ทั้งร่างกายยังบรรลุขอบเขตกระดูกเงิน คนเช่นนี้นับว่าหาได้ยาก


 


หมัดที่ทหารศิลาชกออกมาเมื่อครู่ เพียงพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง  แต่หนิงฝานกลับต้านรับด้วย 19 ฝ่ามือจนสามารถลบล้างหมัดของมันได้


 


เหตุการณ์เช่นนี้ แม้เป็นผู้สืบทอดของเทพและปีศาจโบราณที่บรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มก็ทำไม่ได้


 


“ไม่เพียงนายหญิงน้อยจะมองเจ้าผิด… ข้าเองก็มองเจ้าผิดเช่นกัน… ที่เจ้ารับหมัดข้าได้แม้จะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น ตัวเจ้าคู่ควรกับการเป็นตัวแทนของโลกทั้ง 9… แต่น่าเสียดายที่เจ้าทำร้ายนายหญิงน้อย จึงไม่ได้โอกาสที่จะเป็นตัวแทนของโลกทั้ง 9!”


 


ตัวแทนของโลกทั้ง 9?


แม้หนิงฝานสงสัยว่ามันคืออะไร แต่เขาไม่กล่าวถาม เพราะถึงถามไปก็อาจไม่ได้คำตอบ


 


เหลืออีก 2 ลมหายใจ


 


ไม่ว่ายังไงตอนนี้หนิงฝานก็ต้องรับมือกับทหารศิลาให้ได้


 


ทหารศิลาหยัดยืนมั่นคง ก้าวเท้าออกไปเบื้องหน้าอย่างหนักแน่น… ก้าวแรกร่างกายขยายเป็น 200 จ้าง ก้าวที่ 2 ขยายเป็น 200 จ้าง เมื่อเดินถึงก้าวที่ 7 ร่างกายก็ขยายใหญ่ 700 จ้าง


 


ปราณที่ทรงพลังจำนวนมหาศาลโคจรมาที่หมัด ก่อนจะเปลี่ยนให้แขนทั้งข้างกลายเป็นกระบี่ศิลา


 


“วิชาศิลา… หมัดกระบี่ศิลา!”


 


วิชาร่างกายระดับตัดวิญญาณ!


 


หนิงฝานตกตะลึง หากโดนกระบี่ศิลานี่เข้าไป ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มอย่างหนิงฝานคงไม่ทางรอด


 


กระบี่เล่มนั้นทรงพลังราวกับขุนเขา ทรงพลังราวกับแปรเปลี่ยนอำนาจแห่งพิภพให้เป็นกระบี่


 


ด้วยร่างสูงใหญ่กว่า 700 จ้าง ร่างกายขอบเขตกระดูกหยก… เพียงกระบี่ก็สามารถปลิดชีพผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้


 


หนิงฝานเร่งเว้นระยะห่างจากทหารศิลา นิ้วชี้และกลางสัมผัสกลางหน้าผาก ดาราอัสนีเปล่งแสงเจิดจ้า ชักกระบี่แยกสวรรค์คู่กายออกมา


 


หากจะต้านรับกระบี่ ย่อมต้องใช้กระบี่ด้วยกัน!


 


มือซ้ายหนิงฝานถือกระบี่แยกสวรรค์ มือขวาชูเหนือศีรษะ วาดวงกลมบนนภา ก่อเกิดวงแหวนขนาดยักษ์เหนือภูเขาขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง จากนั้นใช้มือขวาชี้นิ้วไปยังภูเขาลูกนั้น ชักนำพลังเข้ามาที่นิ้วมือ


 


วงแหวนขนาดยักษ์เหนือภูเขาหายไป แทนที่ด้วยเงากระบี่ขนาดยักษ์เหนือท้องนภา ในชั่วลมหายใจที่เงากระบี่ปรากฏ ทหารศิลารู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก เมื่อก้มมอง เห็นปราณกระบี่ที่เหมือนกับเงากระบี่บนท้องนภา ปักคาอยู่ตำแหน่งหัวใจของมัน หลังจากนั้นปราณกระบี่ได้ปะทุพลังอย่างรุนแรงราวกับอัสนีฟาดผ่า ทำให้บริเวณหัวใจของทหารศิลาเป็นรูโหว่


 


ปราณกระบี่ที่ปรากฏคือ เพลงกระบี่ที่ 4 ของหนิงฝาน… กระบี่อยู่ที่ใจ! เพลงกระบี่นี้ถูกปรับปรุงยกระดับให้บรรลุถึงระดับดวงจิตแรกเริ่มขึ้นสูงสุด หากผู้เชี่ยวชาซตัดวิญญาณโดนกระบี่นี้เข้าไป อานุภาพกระบี่จะกระจายไปทั่วร่างกายภายใน สะบั้นอวัยวะภายในจนได้รับบาดเจ็บร้ายแรง


 


หนิงฝานขยับมือขวาชี้ไปยังภูเขาอีกลูก เสียงภูเขาถล่มดังสนั่น


 


พลังจากภูเขาเสริมเข้ามาในร่าง กระตุ้นให้ปราณกระบี่ของหนิงฝานทรงพลังยิ่งขึ้น นับเป็นเพลงกระบี่ประสานระหว่างกระบี่อยู่ที่ใจ และดรรชนีกระบี่


 


การถูกจู่โจมสองระรอกด้วยกระบี่อยู่ที่ใจ และดรรชนีกระบี่ ทำให้ทหารศิลาได้รับบาดเจ็บ


 


แม้อาการบาดเจ็บจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ทำให้สีหน้าทหารศิลาแปรเปลี่ยนอัปลักษณ์ การที่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มจะทำให้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณบาดเจ็บได้นั้นคือเรื่องเพ้อฝัน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงสร้างความเสื่อมเสียให้กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ที่สำคัญ หนิงฝานยังเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น


 


แต่นั่นไม่ได้ทำให้หนิงฝานภูมิใจ เพราะกระบี่อยู่ที่ใจ และดรรชนีกระบี่คือไพ่ตายของเขา แต่กลับทำอันตรายทหารศิลาได้เพียงเล็กน้อย


 


ผู้เชี่ยวชาญทรงพลังกว่าที่คาดคิดไว้มาก


 


แต่ยามนี้ เหลือเพียงลมหายใจแล้ว


 


ความสามารถและวิชาของหนิงฝานเหนือกว่าที่ทหารศิลาคาดเดาไว้มาก หากมันเข้าใจไม่ผิด จะดรรชนีกระบี่หรือกระบี่อยู่ที่ใจ สมควรเป็นวิชาของโลกกระบี่ เพียงแต่ในสายตาของโลกกระบี่หรือแดนสวรรค์ วิชากระบี่ของหนิงฝานยังไม่ควรค่าให้กล่าวถึง แต่ในสายตาของโลกพิรุณ หนิงฝานนับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างที่สุด


 


หากรู้ก่อนว่าหนิงฝานจะมากพรสวรรค์ขนาดนี้ ทหารศิลาคงเร่งเร้าให้เป่ยเซี่ยวเหมินมอบโอกาสเป็นตัวแทนของโลกทั้ง 9 ให้กับหนิงฝาน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว


 


ที่สำคัญ การที่หนิงฝานทำร้ายจิตใจนายหญิงของมัน ย่อมทำให้มันไม่อาจให้อภัยหนิงฝานได้


 


การที่มันได้ถือกำเนิดขึ้นมานั้น สิ่งที่ต้องทำเพียงสิ่งเดียวคือปกป้องเป่ยเซี่ยวเหมิน


 


ไม่ว่าใครที่ทำร้ายนาง คนผู้นั้นคือศัตรู!


 


“ไม่ว่าเจ้าจะมีวิชามากมายเท่าใด แต่สุดท้ายเจ้าก็เป็นได้แค่มด… ในแดนสวรรค์ คนเช่นเจ้ามีมากมายราวกับดาาบนนภา!”


 


ทหารศิลาโคจรพลัง ชักนำเศษศิลาที่แตกกระจายกลับมาก่อตัวคืนรูปอีกครั้ง พร้อมปรากฏเส้นสายสีแดงบนร่าง


 


“ข้าถือกำเนิดมาเพื่อนายหญิงน้อย และเชื่อมต่อกับนายหญิงน้อยทางความคิด เพราะฉะนั้นข้าย่อมใช้อำนาจของปราณสังหารสวรรค์ที่ 10 ได้… วิชาที่ข้ากำลังจะใช้ แค่ข้าชี้นิ้ว ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณก็ไม่รอด เจ้าเองก็ไม่มีทางรอดไปได้เช่นกัน… วิชาสุดท้ายแห่งปราณสังหารสวรรค์ที่ 10… ‘เจ็ดสังหาร’! ”


 


ทหารศิลานี้นิ้วไปบนนภา ท้องนภาที่ดาษดื่นดารา ปรากฏดาราสีโลหิต 7 ดวง!


 


ดาราแต่ละดวงแฝงด้วยอานุภาพที่ทรงพลัง การปรากฏตัวของมันทำให้หนิงฝานเสียวสันหลังวาบ


 


หากดาราเหล่านั้นกระหน่ำเข้าใส่ หนิงฝานคงไม่รอด


 


วิชาที่ทหารศิลาใช้ทรงพลังมาก หากจะต้านรับ ต้องใช้เพลิงหยินหยางเท่านั้น


 


วิชานี้ เป็นการจู่โจมเต็มกำลังของทหารศิลา


 


เพลิงหยินหยางสามารถใช้งานได้ 2 รูปแบบ แบบแรกคือการนำอานุภาพเพลิงที่รุนแรงสังหารศัตรู แต่ก็ส่งผลกระทบกับผู้ใช้อย่างรุนแรงไม่แพ้กัน


 


แบบที่สองคือการตรึงร่างศัตรูไม่ให้เคลื่อนไหว


 


การตรึงร่างจะอาศัยอำนาจของพลังหยินหยางเพื่อตรึงร่างศัตรู แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ ทั้งยังไม่ได้ทำให้ผู้ใช้เหน็ดเหนื่อยมาก… การตรึงร่างนั้นได้มาจากการศึกษาระฆังทะเลตะวันออก มันมีวิชาเทพตรึงร่าง หนิงฝานก็เปลี่ยนให้มันกลายเป็นวิชาของตนโดยการชี้นิ้วไปยังเป้าหมาย หากผู้ที่ต้องวิชามีระดับพลังด้อยกว่าหนิงฝาน คนผู้นั้นจะถูกผนึกโดยสมบูรณ์ และมีเพียงหนิงฝานเท่านั้นที่แก้ผนึกได้


 


ด้วยปราณของหนิงฝานยามนี้ เขาตรึงร่างผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นได้ง่ายๆ ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางได้ 10 ลมหายใจ ขั้นสูงได้ 3 ลมหายใจ และขั้นสูงสุดได้ 1 ลมหายใจ


 


แต่กับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ อาจตรึงร่างได้เพียงชั่วพริบตา ซึ่งใช้ในการขัดจังหวะการใช้วิชาของอีกฝ่ายเท่านั้น!


 


ในระหว่างที่เผชิญหน้ากับวิกฤติร้ายแรง ดวงตาหนิงฝานเปล่งแสงสีเทา เพลิงสีเทาถูกจุดขึ้นที่นิ้วแล้วชี้ไปยังทหารศิลา


 


ชั่วลมหายใจนั้น เพลิงสีเทาแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าใส่ทหารศิลา เสียงราวกับบทสวดโบราณดังรอบทิศ สติของทหารศิลาหายไปชั่วขณะ!


 


เมื่อสติของทหารศิลาขาดหายไป ดาราสีโลหิตทั้ง 7 ดวงก็พังทะลาย!


 


แต่ยังไม่เพียงเท่านั้น


 


เมื่อทหารศิลาคืนสติ มันสัมผัสได้ถึงวิชาตรึงร่าง แต่สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง


 


“จักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์ตะวันออก… ‘วิชาตรึงสวรรค์’! ไม่… เป็นไปไม่ได้! วิชานี้สาบสูญไปนานแล้ว อีกอย่าง อานุภาพของมันยังไม่ใช่วิชาตรึงสวรรค์ที่แท้จริง ฮึ่ม! ถึงเจ้าจะตรึงร่างข้าได้ แต่วิชานี้ก็ต้องผลาญปราณของเจ้าไปไม่น้อย มาดูกันว่าเจ้าจะใช้ได้อีกสักกี่ครั้ง!”


 


“เจ้าไม่มีทางรอดเกิน 3 ลมหายใจแน่!”


 


แล้วเวลาก็ดำเนินมาจนครบสามลมหายใจพอดี!


 


ชั่วลมหายใจนั้น วิชาลับก็แผ่ออกมาจากสร้อยหยินหยาง พร้อมกับเสียงผ่อนลมหายใจที่เหนื่อยอ่อนของหลั่วโยว่


 


แสงสีขาวสายหนึ่งปรากฏในทะเลสติหนิงฝานก่อนสลายไป แต่ชั่วลมหายใจนั้นเอง กลิ่นอายของหนิงฝานก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


 


แววตาของหนิงฝานแปรเปลี่ยน ยามนี้ดูราวกับดาราที่สุกสกาว แตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญทุกผู้ที่อยู่บนโลก


 


แววตาเช่นนั้นมีเพียงเซียนเท่านั้นที่ครอบครอง!


 


เมื่อทหารศิลาสบตาหนิงฝาน มันกลับสั่นสะท้าน!


 


เป็นความกลัว ความกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


 


มันรู้สึกราวกับว่าเพียงถูกสายนั้นจ้องมอง มันก็ตาย!


 


เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะทหารศิลาถูกสร้างให้มาเพื่อเป็นทาส! และวิชาที่หนิงฝานใช้ คือวิชาที่ใช้สยบทาสโดยเฉพาะ!


 


“นี่… จักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์เหนือ ‘วิชาไว้ทุกข์แด่ความตาย’! เป็นไปไม่ได้!”


 


ทหารศิลาตกตะลึง มันรู้ราวกับสึกว่าไม่อาจต่อต้านสายตานั้นได้


 


หนิงฝานนิ่งเงียบไม่ตอบสนอง แววตาราวกับเห็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอย่างทหารศิลาเป็นเพียงมดปลวก ไม่ควรค่าให้กล่าวใดๆด้วย


 


“วิชาไว้ทุกข์คือการจองจำชีวิต… ทาสนับล้านไม่อาจขัดขืน หากชี้นิ้วสั่ง เจ้าต้องทำตาม!”


 


หนิงฝานยกนิ้วชี้


 


แสงสีดำเปล่งออกจากนิ้ว พุ่งตรงไปยังร่างของทหารศิลา


 


ทหารศิลาสั่นสะท้าน ผนึกรูปจันทราปรากฏขึ้นบนร่างกายของมัน ราวกับยามนี้ ชีวิตของมันอยู่ในมือหนิงฝานแล้ว!


 


“เจ้าเป็นใคร! เจ้าเป็นใครกันแน่! เหตุใดเจ้าถึงได้ครอบครองวิชาของจักรพรรดิสวรรค์! เป็นไปไม่ได้!”


 


ถูกอย่างที่ทหาศิลากล่าว ระฆังทะเลตะวันออกของหนิงฝานไม่ได้เกี่ยวข้องวิชาตรึงสวรรค์


 


ส่วนวิชาไว้ทุกข์แก่ความตาย ก็ไม่ใช่วิชาของหนิงฝานด้วย


 


แต่รายละเอียดเหล่านั้น หนิงฝานไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มันเข้าใจ


 


หนิงฝานหลับตา เมื่อลืมตา แววตาเมื่อครู่หายไป กลับคืนสู่แววตาที่เย็นชา


 


“ตอนนี้เจ้าเป็นทาสของข้าแล้ว”


 


“ไม่มีทาง!”


 


โทสะของทหารศิลาพุ่งพล่าน แต่แววตาที่เย็นชาของหนิงฝาน กลับดูราวกับเปล่งสัมผัสเทพที่ทรงพลังจนยากจะคาดถึง ทำให้ร่างของทหารศิลาแตกกระจาย


 


เมื่อยามที่มันถูกเป่ยเซี่ยวเหมินบดขยี้ร่างด้วยสายตา มันไม่โกรธแค้น แต่เมื่อหนิงฝานทำบ้าง กลับกลายเป็นเรื่องอัปยศของมัน


 


แม้มันจะก่อร่างขึ้นเหมือนเดิมได้ แต่ยามนี้มันกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


มันรู้ได้ทันทีว่าหากหนิงฝานต้องการสังหารมันจริง มันคงไม่รอด


 


ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอย่างมันกลับต้องมาพลาดท่าให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า!


 


ทหารศิลาเริ่มหวาดกลัว


 


เพียงแต่ไม่ได้กลัวที่ตนเองจะตาย แต่กลัวที่นายหญิงน้อยของมันจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่อันตราย เพราะมันไม่อาจอารักขานางได้อีกแล้ว


 


“ปล่อยข้าไปเถอะ!”


 


“หนวกหู!”


 


แววตาหนิงฝานเปล่งกระกาย ร่างของทหารศิลาแตกกระจายอีกครั้ง ทำให้มันบาดเจ็บมากกว่าเดิม


 


ปล่อย? ทำไมต้องปล่อย? มันคิดจะสังหารหนิงฝาน โดยอาศัยพลังที่เหนือกว่า แต่พอมันสู้ไม่ได้ ก็ร้องขอความเมตตาให้ปล่อยมันไป!


 


“หากเจ้าไม่ปล่อยข้า ข้าจะไม่ช่วยเป็นกำลังให้เจ้า!”


 


“ก็ได้… แต่ข้าจะไปจับตัวเป่ยเซี่ยวเหมินมาแล้วทำให้นางกลายเป็นกระถางขัดเกลา ตอนนี้นางไม่มีเจ้าคอยคุ้มกันแล้ว”


 


“เจ้ากล้าเหรอ! หากเจ้ากล้าล่วงเกินนายหญิงน้อย ผู้นำคอคอยอีก 3 แห่ง และผู้นำวิหารหลักจะตามล่าเจ้า! หากเจ้ากล้าพรากพรหมจรรย์ของนายหญิงน้อย ผู้เชี่ยวชาญทั้งโลกพิรุณจะตามฆ่าเจ้า!”


 


มันคิดว่าจะขู่หนิงฝานได้ แต่หนิงฝานกลับหัวเราะกับคำกล่าวของมัน


 


“ผู้เชี่ยวชาญทั้งพิรุณโลกพิรุณตามฆ่า… พวกมันจะทำอะไรข้าได้!”


 


พวกมันจะทำอะไรข้าได้!


 


พวกมันจะทำอะไรข้าได้!!


 


พวกมันจะทำอะไรข้าได้!!!


 


เสียงของหนิงฝานสะท้อนก้องไปทั่วท้องนภา แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่ได้ยินยังสั่นสะท้าน ทหารศิลาเองก็เช่นกัน


 


ทหารศิลากระอักโลหิตสีดำ


 


บ้า… บ้าไปแล้ว เหตุใดไม่กลัวการตามล่าสังหารจากผู้เชี่ยวชาญทั้งโลกพิรุณ


 


ต่อให้บ้ายังไงอย่างน้อยก็ต้องรักชีวิตตัวเอง…


 


ยามนี้ทหารศิลาไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือของหนิงฝาน


 


“เจ้าพักดีกับเป่ยเซี่ยวเหมืน แต่ตอนนี้เจ้าต้องพักดีกับข้า… งั้นเอาแบบนี้ เรามาทำข้อตกลงกัน”


 


“ข้อตกลงอะไร!”


 


“ถึงเจ้าจะเป็นทาสของข้า แต่ข้าจะอนุญาติให้เจ้าออกห่างกายข้าได้ ข้ารับปากว่าจะไม่ท้ายเป่ยเซี่ยวเหมิน เรื่องราวต่างๆที่ขัดแย้งก็ถือซะว่าเคยไม่เกิดขึ้น”


 


“เป็นไปไม่ได้! แบบนี้แล้ว…”


 


“เจ้าไม่มีทางปฏิเสธ หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะฆ่าเจ้า จากนั้นก็จัดการเป่ยเซี่ยวเหมิน… เจ้าคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”


 


หนิงฝานรู้ว่าทหารศิลาไม่ได้หวาดกลัวความตาย เพราะมันถูกสร้างขึ้นให้ปกป้องเป่ยเซี่ยวเหมินเท่านั้น


 


หากมันไม่ยอมรับใช้หนิงฝานด้วยใจ ต่อให้ควบคุม มันก็ไม่ยอมทำตายคำสั่ง


 


ทาสอย่างมันมีสติปัญญา หากลบล้างสติปัญญาไป มันก็ใช้งานไม่ได้ ต่อให้สังหารมันก็ไม่ยอมรับ


 


หากจะทำให้มันยอมรับ หนิงฝานต้องลงมือกับเป่ยเซี่ยวเหมินเท่านั้น


 


หากนำเป่ยเซี่ยวเหมินมาขู่ ทหารศิลาต้องหวาดกลัวแน่


 


ดังนั้น หนิงฝานต้องใช้เป่ยเซี่ยวเหมินเพื่อขู่ทหารศิลา


 


หากหนิงฝานได้ทหารศิลาเป็นทาสรับใช้ การครอบครองกระถางขัดเกลาทั้งทะเลส่วนนอกคงไม่ใช่เรื่องยาก


 


“ข้าให้เวลาเจ้าคิด 3 ลมหายใจ…”


 


“ก็ได้… แต่ข้ามีข้อแม้!”


 


ทหารศิลารับคำทันที


 


“ข้าจะช่วยเจ้าสังหารศัตรู แต่จะไม่ยอมเป็นทาสเจ้า… นายของข้าคือนายหญิงน้อยผู้เดียวเท่านั้น ที่สำคัญ เจ้าต้องช่วยนางคลายความหวาดกลัวในใจ และปกป้องนาง…”


 


“เป็นไปไม่ได้! ว่าแต่เจ้ามีสิทธิ์มาต่อรองด้วยเหรอ? เหลือ 2 ลมหายใจ!”


 


“ช้าก่อน…เจ้าจะได้เป็นแขกพิเศษของวิหารสาบสูญ หากเจ้ามีปัญหา วิหารสาบสูญจะยื่นมือช่วย!”


 


“ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์กับข้า ข้าไม่สน!”


 


“เป็นสิ… เพลิงครามนั่นไง! หากเจ้าขอยืม นายหญิงน้อยต้องให้แน่”


 


“ไร้สาระ ข้าไม่ต้องการ! ข้าหาวิธีเอาเพลิงนั่นมาเองได้… เหลือ 1 ลมหายใจ”


 


ทหารศิลาไม่พอใจ มันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ แต่ต้องมาต่อรองกับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม


 


ในขณะที่มันกำลังคิดว่าจะทำยังไง จู่ๆมันก็ผุดความคิดขึ้น


 


“หากเจ้ายอมที่จะคอยปกป้องนายหญิงน้อย ข้ามีวิชาลับที่จะช่วยให้เจ้าทะลวงจากขอบเขตกระดูกเงินสู่ขอบเขตกระดูกหยก และขอบเขตกระดูกทองคำ!”


 


“วิชาลับ? น่าสนใจดี”


 


หนิงฝานมองทหารศิลาด้วยความประหลาดใจ มันเป็นเพียงทาส แต่กลับเฉลียวฉลาดและรู้จักยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์


 


ขอบเขตกระดูกหยก ขอบเขตกระดูกทองคำ


 


ขอบเขตกระดูกหยกสามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้ หากเป็นขอบเขตกระดูกทองคำ อาจต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงได้


 


แต่ให้เขาคอยปกป้องเป่ยเซี่ยวเหมิน… บ้าหรือเปล่า?


 


“ข้อเสนอของเจ้าน่าสนใจ… แต่ข้าจะยอมเป็นแขกพิเศษของวิหารสาบสูญ หากเกิดเป่ยเซี่ยวเหมินลำบาก ข้าจะยอมช่วยหนหนึ่ง เพราะจะให้ข้าไปวิ่งตามนางไปทั่ว ข้าทำไม่ได้… นี่คือเงื่อนไขสุดท้ายของข้า หากเจ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องคุยกัน”


 


ทหารศิลาขบฟัน และยอมลดเงื่อนไขจากที่เคยกล่าวไว้ล่าสุด


 


“งั้นเอาแบบนี้! ข้าจะมอบวิชาลับให้เจ้า แต่เจ้าห้ามทำร้ายนายหญิงน้อย แล้วเจ้าก็ต้อง…”


 


“หนวกหู! เลิกต่อรองได้แล้ว!”


 


หนิงฝานขมวดคิ้ว ขยับนิ้วเป็นท่าทาง รอยสลักผนึกจันทราปรากฏเปล่งแสงเจิดจ้า เปลี่ยนให้ทหารศิลากลายเป็นเหมือนอาวุธสังหารที่มีแววตาว่างเปล่า


 


“ครั้งหน้าข้าจะช่วงชิงวิชาขัดเกลาร่างกายของเจ้า… นางกำลังมา! หากนางรู้ว่าข้าเป็นคนช่วงชิงเจ้าคงไม่ใช่เรื่องดี…”


 


หนิงฝานโคจรปราณ ย่างก้าวพริบตาพุ่งทะยานพร้อมกับม่านมิติที่พังทะลาย


 


ไม่นานนักสตรีในอาภรณ์แดงก็ทะยานเข้ามาอย่างเร่งร้อน


 


เมื่อมาถึง นางชงักฝีเท้า นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของทหารศิลาที่เหลืออยู่ แต่ตัวมันกลับไม่อยู่


 


“ทหารศิลาเจ้าไปไหน… เจ้าซัวหมิงทำร้ายข้า ช่วยข้าล้างแค้นด้วย…”


 


นางเริ่มกังวล แววตาเริ่มปรากฏปราณสังหาร


 


แต่ก่อนที่นางจะคลั่ง นางกลับต้องเร่งสะกดมันไว้ แววตากลับคืน ดูราวกับสาวน้อยผู้โดดเดี่ยว


 


“ทหารศิลา เจ้าอยู่ไหน…”


 


“ทหารศิลา เจ้าอยู่ไหน…”


 


“เจ้าซัวหมิงนั่นด้วย… ทหารศิลา ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันอีก…”


 


“ท่านปู่ทหารศิลา… ท่านหายไปไหน” นางโดดเดี่ยว ดวงตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาไม่ต่างสาวน้อยนางหนึ่ง…

 

 

 


ตอนที่ 200

 

ผ่านไป 10 วัน… เมืองทะเลทรายตอนใต้!


 


เมืองแห่งนี้อยู่ทางตอนใต้ของเกาะเผิงไหล บริเวณนั้นเป็นทะเลทราย มีปราณวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์


 


สถานที่แห่งนี้นับเป็นสรวงสวรรค์ของผู้เชี่ยวชาญ…แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรม


 


เพราะสถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งของนิกายกระถางปรุงโอสถ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประมูลกระถางขัดเกลา!


 


ในทะเลทรายแห่งนั้น มีโอเอซิสอยู่แห่งหนึ่ง พื้นที่กว้างกว่าพันลี้ และมีกำแพงสูงล้อมรอบ


 


ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณและผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำจำนวนมากขี่อูฐมุ่งตรงไปยังงานประมูล


 


ยามนี้ หนิงฝานนำชุ่ยหลิงและเย่หลิงโดยสารอูฐสูงใหญ่กว่า 10 จ้าง วิ่งตะบึงตรงไปยังงานประมูล


 


อูฐตัวนี้มีเป็นสัตว์อสูรในขอบเขตแก่นทองคำ ความเร็วของมันเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสุดท้าย


 


อูฐแต่ละตัวจะโดยสารคนได้ 10 คน แต่ละคนที่ขึ้นโดยสาร ต่างนั่งแยกกันไป


 


บนหลังอูฐที่หนิงฝานโดยสาร มีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำหลายคน


 


ชายชราในชุดคลุมม่วงผู้หนึ่ง ดวงตาหรี่แคบ ใบหน้าซีดขาวราวกับเพิ่งเสร็จสมอารมณ์หมายกับสตรีมา


 


มันได้รับมอบหมายให้เดินทางมาเยือนนิกายกระถางปรุงโอสถ


 


ชายชราผู้นี้หันมองไปยังทิศทางที่หนิงฝานนั่งอยู่พลางกลืนน้ำลาย


 


มันไม่ได้มองหนิงฝาน แต่มองสาวงามข้างกายหนิงฝาน!


 


แต่ไม่ใช่แค่มันคนเดียว ผู้เชี่ยวชาญแทบทุกคนบนหลังอูฐมองพวกนาง สายตาหื่นกระหายหวาดผ่านเรือนร่างของพวกนาง


 


เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะหนิงฝานอำพรางระดับพลังของตนไว้เพียงแก่นทองคำขั้นกลาง เพราะอยากพาพวกนางเที่ยวชมโลกอย่างผ่อนคลาย


 


แต่ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญที่อยู่บนหลังอูฐยามนี้ ปรารถนาพวกนางเป็นอย่างมาก


 


กระถางขัดเกลามีราคาแพงมาก หากช่วงชิงกระถางขัดเกลาของหนิงฝานได้ ย่อมขายได้ราคางาม เพราะพวกนางเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นกลาง ทั้งยังงดงามเป็นอย่างมาก


 


ในบรรดาผู้ที่ร่วมเดินทาง มีเพียงชายชราในชุดคลุมม่วงเท่านั้นที่เผยแววตาโลภอย่างชัดเจน


 


เพราะมีมันเดียวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูง มันมั่นใจว่าสามารถจัดการกับผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นกลางทั้งสามคนได้


 


“ไอ้หนู… พวกนางเป็นกระถางขัดเกลาชั้นยอดหนิ… ข้าขอพวกนางได้หรือเปล่า? ข้าจะเอาพวกนางไปขัดเกลาผสาน พอหมดประโยชน์ก็จะเอาไปขายไป น่าจะได้ราคางามน่าดู… ข้าเป็นคนของ ‘นิกายอักขระม่วง’ ฝีกฝนวิชายันต์ ถ้าจะให้จัดการพวกเจ้าทั้ง 3 คนคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ติดปัญหาแค่อย่างเดียว คือเกาะเผิงไหล่ไม่อนุญาติให้มีการต่อสู้ แต่มันก็พอมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง… ตรงไปตามเส้นทางนี้สักพัก จะเป็นพื้นที่สุสานของนิกายกระถางปรุงโอสถ ที่นั่นสามารถเข่นฆ่ากันได้ตามใจ แต่ถึงข้าไม่ลงมือ ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูงคนอื่นๆคงไม่ปล่อยให้พวกนางรอดมือไปแน่!”


 


มันมองชุ่ยหลิงและเย่หลิงด้วยแววตาหื่นกระหาย ก่อนหันหนีไปอีกทาง


 


ตัวมันในยามนี้ ยืนมือไพล่หลังอย่างองอาจ ราวกับผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในโลก


 


ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำคนหนึ่งที่นั่งอยู่ มองชายชราคนนั้นด้วยแววตานับถือ


 


“สมแล้วที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของนิกายใหญ่ทั้ง 10… ข้านับถือยิ่งนัก คนที่ยิ่งใหญ่เช่นท่าน เกิดมาข้าเพิ่งเคยพบเห็น! หรือท่านจะเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูงที่ทรงพลังที่สุดในนิกาย?”


 


“ใช่ที่ไหน… สหายเต๋ากล่าวเกินไป ในนิกายของข้ามีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูงมากมาย ข้าไม่ควรค่าให้กล่าวถึงหรอก”


 


แม้จะกล่าวว่าสหายเต๋า แต่สายตาที่ชายชรามองผู้เชี่ยวชาญคนนั้น ราวกับไม่คู่ควรให้พูดคุยด้วย เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นต้น


 


แต่การได้รับคำเยินยอเช่นนั้นก็ทำให้มันพอใจมาก


 


มันเป็นผู้อาวุโสของนิกายอักขระม่วงฝ่ายนอก


 


มันแผ่กลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูงที่น่าเกรงขาม ทำให้อูฐที่โดยสารหวาดกลัว


 


โดยทั่วไปแล้ว อูฐทะเลทรายมักเป็นสัตว์อสูรที่เย่อหยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูงและผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มสามารถแผ่แรงกดดันให้อูฐไม่กล้าขัดขืนได้ แต่ยังไม่อาจทำให้มันยอมศิโรราบ


 


“การที่ข้าทำให้อูฐยอมศิโรราบ แสดงว่าแข็งแกร่งไม่ธรรมดา อาจจะเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูงสุดบางคนเลยด้วยซ้ำ” ชายชรากล่าวในใจพลางยิ้ม


 


แต่มันเข้าใจบางอย่างผิดไป


 


ที่อูฐดูหวาดกลัวนั้น ไม่ได้เป็นเพราะตัวมัน


 


แต่ที่มันหวาดกลัวคือหนิงฝาน ที่กำลังนั่งจิบสุราอย่างสบายใจ!


 


โดยทั่วไปแล้ว สัตว์อสูรจะมีสัมผัสรู้ถึงอันตรายร้ายแรง มันสัมผัสได้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาจากหนิงฝาน จนทำให้มันสั่นสะท้าน


 


“นายท่าน พวกมันคิดจะล่วงเกินข้า…” ชุ่ยหลิงและเย่หลิงกล่าวกับหนิงฝานด้วยสัมผัสเทพ


 


“อืม…” หนิงฝานยังคงจิบสุราต่อไป


 


“ฮ่าฮ่า เจ้าดูสบายใจมาก ทั้งๆที่เจ้านั่นคิดจะฆ่าเจ้า” หลังจากที่หลั่วโยว่ช่วยหนิงฝานทำให้ทหารศิลาเป็นทาส นางก็กล่าวว่าจะพักผ่อน 29 วัน จากนั้นก็จะมาคอยดูหนิงฝานดูดซับพลังจากเหล่าสตรี เพราะหากหนิงฝานทำให้วิชาแปลงหยินหยางทะลวงระดับได้


 


หนิงฝานยิ้มเล็กน้อย


 


แม้หนิงฝานจะดูไม่สนใจ แต่เขารู้ดีว่าใครมีเจตนาร้าย หรือใครที่คิดล่วงเกินพวกนาง


 


ผ่านไปไม่นาน อูฐทะเลทรายก็พาไปถึงผู้เชี่ยวสถานที่ที่เขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง ในนั้นมีต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่


 


และบนกึ่งก้านขนาดใหญ่ของมัน มีศีรษะของผู้เชี่ยวชาญห้อยอยู่กว่าหลายพัน


 


ส่วนใหญ่คนที่ตายคือผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ แต่ในจำนวนศีรษะเหล่านั้น ก็มีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มราว 10 คน


 


สถานที่แห่งนั้นมีไว้สำหรับการฆ่าฟัน


 


ชั่วลมหายใจนั้นเอง ชายชราอาภรณ์ม่วงหันกลับมาหาหนิงฝาน ในมือถือยันต์สีม่วงไว้ 3 แผ่น!


 


แววตาที่มันมองหนิงฝาน เปี่ยมไปด้วยเจตนาสังหาร!


 


“ไอ้หนู ข้าจะให้โอกาสเจ้า… ส่งสตรีสองคนนั้นมา แล้วข้าจะเมตตาปล่อยเจ้าไป!”


 


เมื่อกล่าวจบ ยันต์ในมือมันสลายกลายเป็นเพลิงสีม่วงลุกโหมขึ้นบนฝ่ามือของมัน


 


“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นยันต์ระดับสูง… ยันต์เพลิงม่วงที่ทรงพลังพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นกลางได้


ง่ายๆ… เพียงแต่เพลิงนั้นอาจทำอันรายพวกนางไปด้วย…”


 


“ตาเฒ่านั่นโหดเหี้ยมจริงๆ แต่ก็คาดไม่ถึงว่ามันกล้ากล่าวว่าจะปล่อยไป… สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่สังหารได้อย่างอิสระ ไม่ใครปล่อยมันไว้หรอก”


 


ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆบนหลังอูฐเตรียมพร้อมอาวุธ หากหนิงฝานหรือชายชราเพลี่ยงพล้ำ พวกมันจะลงมือทันที


 


สถานที่แห่งนี้คือสุสาน เป็นที่ฝังสมบัติหรืออาวุธมากมาย เหมาะกับการเก็บไปขายเพื่อทำเงิน


 


ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำกำลังขบคิด จู่ๆพวกมันกลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก


 


พวกมันสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรง!


 


หนิงฝานกำลังจะลงมือ!


 


แรงกดดันที่ทรงพลังของหนิงฝานทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน


 


การสั่นสะเทือนและแรงกดดัน ทำให้อูฐตกใจกลัว และเริ่มออกนอกเส้นทาง


 


“ถ้าเจ้าไปผิดทาง ข้าจะฆ่าเจ้า”


 


หนิงฝานกล่าวพร้อมกับแผ่เจตนาสังหาร แรงกดดันเพิ่มพูนจนแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม!


 


รอยยิ้มบนใบหน้าชายชราหายไป มันรู้ว่ามันไม่มีทางรอดแล้ว!


 


ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆก็หวาดกลัวและตกตะลึง ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มร่างกายผอมบางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม!


 


“แย่แล้ว!”


 


“พวกมันตะโกนในใจแทบพร้อมกัน”


 


ถึงแม้พวกมันจะสัมผัสถึงอันตรายร้ายแรง แต่พวกมันกลับไม่มีโอกาสได้หนี!


 


“เขตสุสาน… สังหารเพื่อช่วงชิง ข้าชอบ!”


 


สัมผัสกระบี่กวาดผ่าน ผู้เชี่ยวชาญนับ 10 ถูกสังหาร!


 


แม้เป็นผู้ที่ควบคุมอูฐก็ไม่รอด!


 


เหลือเพียงอูฐทะเลทรายที่ยังทนกับความหวาดกลัว และวิ่งตะบึงต่อไป


 


ชุ่ยหลิงและเย่หลิงตกตะลึง พวกนางไม่ได้ตกตะลึงที่หนิงฝานสังหาร แต่ตกตะลึงที่หนิงฝานไม่กลัวว่าจะยั่วยุนิกายต้นสังกัดของพวกมัน


 


อย่างเช่นการสังหารชายชราชุดคลุมม่วง นิกายอักขระม่วงของมันต้องส่งผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมาตามล่า!


 


“นายท่าน ดูเหมือนตาเฒ่าชุดคลุมม่วงจะเป็นคนของ 10 นิกายใหญ่ บางทีอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอยู่…”


 


ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณแข็งแกร่งขนาดไหนนั้น พวกนางคาดไม่ถึง


 


แต่เมื่อหนิงฝานแสดงทหารศิลาให้พวกนางดู พวกนางก็เข้าใจ


 


“แล้วเราจะควบคุมอูฐตัวนี้ยังไง ตอนนี้คนบังคับมันก็ตายไปแล้ว…” ชุ่ยหลิงกล่าวถาม


 


“ข้ายกหน้าที่ให้เจ้า… เจ้าไปนั่งที่นั่งตรงนั้น ทหารศิลารับหน้าที่สังหาร พวกเจ้าสองคนก็คอยป้องกันช่วยกัน… พวกเราจะฆ่าเพื่อชิงสมบัติที่นี่!”


 


หนิงฝานต้องการหยกสวรรค์เป็นจำนวนมาก


 


และต้องการให้คนของนิกายกระถางปรุงโอสถมาที่นี่…


 


นิกายกระถางปรุงโอสถ… ห้องลับแห่งหนึ่ง บรรพบุรุษนิกายกระถางขัดเกลา ‘เซียวว่านโหลว’ กำลังเก็บตัวฝึกฝนเพื่อทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด


 


“การประมูลน่าจะเริ่มแล้ว…” เซียวว่านโหลวขบคิดราวกับอยากออกไปร่วมงานประมูล แต่ในขณะนั้นเอง ประมุขนิกายกระถางปรุงโอสถกลับวิ่งมาอย่างหน้าตาตื่น


 


“ท่านบรรพบุรุษ เกิดเรื่องแล้ว! มีคนมาสังหารเพื่อช่วงชิงสมบัติในเขตสุสาน!”


 


“ฮ่าฮ่า แค่เรื่องเล็ก ไว้พวกมันสังหารจนได้หยกสวรรค์มากพอ หยกสวรรค์พวกนั้นก็จะกลายเป็นของเราอยู่ดี”


 


“ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้น… คนที่ก่อเรื่องคือผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม มันขวางเส้นทางมาที่นี่ และสังหารทุกคนที่ผ่านมา! ตอนนี้มันฆ่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำไปหลายพันคนแล้ว!”


 


“อะไรนะ? ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม? พลังระดับนั้นย่อมสังหารแก่นทองคำได้ง่าย แต่การทำเช่นนั้นไม่ต่างไปกับการยั่วยุขุมกำลังในทะเลส่วนนอก…”


 


“แต่นอกจากแก่นทองคำแล้ว ยังมีดวงจิตแรกเริ่มอีก 11 คน ในจำนวนนั้นมี 3 คนเป็นดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง!”


 


“มันเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดเหรอ? มันชื่ออะไร?”


 


“ซัวหมิง!”

 

 

 


ตอนที่ 201

 

สุสานแห่งนิกายกระถางปรุงโอสถ ผืนทรายที่แห้งกร้านและชโลมไปด้วยโลหิต


 


สัมผัสเทพของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงแผ่ปกคลุมพื้นที่กว้าง 2 พันลี้ แต่ยามนี้ ดูราวกับมันกลายเป็นสีดำสนิท


 


หากผู้ใดแผ่สัมผัสเทพเข้าสำรวจ จะถูกจู่โจมด้วยสัมผัสกระบี่ หากคนผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นต้นขั้นต้น พวกมันจะถูกสังหารทันที แต่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางที่พอจะป้องกันสัมผัสกระบี่ได้ เมื่อย่างกรายเข้าไปภายในพื้นที่สุสาน พวกมันจะถูกเคลื่อนสีดำกวาดผ่านร่างและตายไป


 


ผู้ใดที่ย่างกรายเข้าไปภายในเขตสุสาน คนผู้นั้นจะถูกสังหารทันที


 


ผู้ที่เดินทางมานิกายกระถางปรุงโอสถส่วนใหญ่ มาเพื่อซื้อกระถางขัดเกลา คนเหล่านี้ล้วนไร้หัวใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับล่าง หรือกระทั่งคนธรรมดาทั่วไป พวกมันไม่เว้น


 


ผู้เชี่ยวชาญของนิกายกระถางปรุงโอสถที่อยู่มานานหลายปี พวกมันเคยเห็นพายุทรายมามากมาย แต่ฉากที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก


 


สุสานนิกายกระถางปรุงโอสถ สังหารเพื่อช่วงชิง… ผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางผ่านล้วนเตรียมตัวมาเพื่อสังหาร ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อถูกสังหาร


 


เมื่อข่าวเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำหลายพัน และผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม 11 คนถูกสังหารได้แพร่ออกมา ผู้คนก็เริ่มหวาดกลัว


 


อูฐจำนวนมากยืนเรียงแถวยาว เว้นระยะห่างจากสุสานไกลพอสมควร ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไป มีแต่เพียงผู้ที่รอดชีวิตออกมาเท่านั้นที่ออกจากสุสาน


 


ผู้เชี่ยวชาญจำนวนรู้เพียงว่า มือสังหารในสุสานแห่งนี้มีนามว่าซัวหมิง แต่รายละเอียดเกี่ยวกับคนผู้นี้ไม่มีผู้ใดรู้


 


“ผู้อาวุโสซัวหมิง ขอให้ท่านละเว้นการเข่นฆ่าสังหารเถอะ!”


 


เสียงที่ดังมาแฝงด้วยแรงกดดันในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด!


 


เมื่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่รั้งอยู่นอกสุสานมองไปตามเสียง เห็นสตรีผู้งดงามนางหนึ่ง สีหน้าพวกมันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง


 


“ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด! คาดไม่ถึงว่าจะกล้าย่างกรายเข้าไปในสุสาน นักฆ่าที่อยู่ในนั้นแข็งแกร่งขนาดสังหารผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำไปหลายพัน ซึ่งยังสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มไปหลายคน!”


 


“ข้าไม่เคยได้ยินนามซัวหมิงมาก่อน! ข้าว่ามันต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจากทะเลส่วนในแน่!”


 


“ได้ยินว่าในทะเลส่วนในมีตระกูลซัวอยู่… หรือคนผู้นี้จะเป็นคนของตระกูลซัว!”


 


“ข้าก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ามันสังหารคนไปมากมาย ป่านนี้น่าจะได้หยกสวรรค์มากกว่าร้อยล้านแล้ว!”


 


“ถ้าฆ่ามันได้ เราก็จะได้หยกสวรรค์มหาศาล แต่ว่า… เราคงสู้มันไม่ได้!”


 


ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนเฝ้ารอดูเหตุการณ์ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มยังไม่กล้าเข้าไป


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงเองก็เช่นกัน แค่เห็นสีดำทมิฬที่ปกคลุมพื้นที่ พวกมันก็หวาดกลัวจนแข้งขาอ่อน


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม 11 คนก่อนหน้านี้ ย่างกรายเข้าไปสุสานด้วยความโลภ เพื่อหวังจะสังหารซัวหมิง ชิงหยกสวรรค์ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือไม่มีใครรอดกลับมา


 


หยกสวรรค์ร้อยล้าน มีเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเท่านั้นที่มีหยกสวรรค์มากขนาดนี้… ดังนั้น หากผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณรู้ว่ามีหยกสวรรค์นับร้อยล้านรออยู่ในสุสาน พวกมันย่อมหวั่นไหวไปตามความโลภ


 


‘หลัวเฟย’ ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายอักขระม่วง มันเองก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


แม้มันจะได้ยินว่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำในนิกายมันถูกสังหารที่สุสานแห่งนี้ มันไม่สนใจ


 


แต่สิ่งที่ทำให้มันสนใจคือหยกสวรรค์


 


มันไม่สนใจว่าหนิงฝานสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้ยังไงตั้ง 11 คน แต่มันรู้ว่าหนิงฝานต้องได้ผลไม้แห่งเต๋าระดับดวงจิตแรกเริ่ม!


 


ทั้งหยกสวรรค์นับร้อยล้าน… ทั้งผลไม้แห่งเต๋า…


 


ซัวหมิงผู้นั้นช่างกล้าเข่นฆ่าสังหาร ยั่วยุขุมกำลังที่ทรงพลังในทะเลส่วนนอก ดังนั้น หลัวเฟยจึงคิดว่าซัวหมิงคือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


เพราะการที่ขุมกำลังในทะเลส่วนนอกไม่กล้าตำหนิ เพราะอีกฝ่ายสมควรเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


แต่หากเกิดไม่ใช่… การที่มีหยกสวรรค์ร้อยล้านเดินทางไปทั่วทะเลส่วนนอก ก็รังแต่จะนำภัยพิบัติมาสู่ตน


 


“ฮึ่ม! ถึงเจ้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญของทะเลส่วนใน แต่ข้าไม่กลัว! วิหารพิรุณมีข้อตกลงกับทะเลส่วนในว่า ห้ามคนของทะเลส่วนในออกมาทะเลส่วนนอก! หากสังหารเจ้าและช่วงชิงหยกสวรรค์มาได้ ต่อให้ตระกูลซัวตามล่าข้าก็ไม่กลัว ข้าแค่ซ่อนตัว และซื้อโอสถมาเพื่อยกระดับพลัง แบบนั้น ข้าก็จะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณได้ไม่ยาก”


 


มันทะยานเข้าไปในสุสาน เมื่อสัมผัสกระบี่ของหนิงฝานสัมผัสร่าง มันรู้ทันทีว่าซัวหมิงผู้นั้นเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น!


 


แม้ข่าวว่าซัวหมิงแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด… แต่มันคือผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดของจริง!


 


“หยกสวรรค์ของเจ้าต้องเป็นของข้า!”


 


มันพุ่งทะยานเข้าหาหนิงฝาน มือยื่นคว้าจับสัมผัสกระบี่ของหนิงฝานเพื่อทำลาย


 


“ซัวหมิง! เจ้ากล้าฆ่าคนของนิกายอักขระม่วง เจ้าคงรู้ว่าผลจะเป็นยังไง!”


 


“ผลที่ตามมาอะไรกัน? ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”


 


แสงสีเทาวาบผ่าน ผู้เยาว์ในอาภรณ์ขาวดำปรากฏตัว!


 


เมื่อมันแผ่สัมผัสเทพหาหนิงฝาน มันมั่นใจว่าหนิงฝานเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น


 


เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่กลับทำตัวอวดดี เข่นฆ่าผู้คนมากมาย!


 


หลัวเฟยฝึกฝนมา 1,400 ปี กระทั่งได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่และมีเชื่อเสียง


 


แม้มันเชื่อว่าสามารถสังหารหนิงฝานได้ แต่แววตาหนิงฝานกลับสงบอย่างน่าประหลาด


 


ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด มันย่อมไม่กลัว


 


“นิกายอักขระม่วง? น่าสนใจดีหนิ! ข้าฆ่าคนของพวกเจ้าไป ก็เลยส่งเจ้ามาแก้แค้น แต่ถ้าข้าฆ่าเจ้าอีกคน คงไม่มีใครกล้ามาแล้ว! ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น ก็ยังต้องหวาดกลัวข้า… ใช่หรือไม่ทหารศิลา?”


 


“อืม… ผู้ที่สังหารผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ สังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นไปจนถึงขั้นสูง กระทั่งยังทำให้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณบาดเจ็บได้… หากไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ก็ไม่มีใครกล้ายั่วยุเขาหรอก…”


 


เสียงสายหนึ่งกล่าวตอบ ดังออกมาจากร่างหนิงฝาน


 


เมื่อหลัวเฟยแผ่สัมผัสเทพไปยังหนิงฝาน มันสัมผัสได้ว่ามีบางคนแฝงตัวอยู่ในร่างหนิงฝาน


 


ความหวาดกลัวผุดขึ้นในใจของมันทันที!


 


ผู้ที่สามารถปกปิดตัวตนจากสัมผัสของมันได้ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเท่านั้น!


 


ซัวหมิงผู้นี้มีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณข้างกาย! มิน่าถึงสังหารผู้คนไปมากมาย


 


มีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณข้างกายเช่นนี้ อย่าว่าแต่สังหารเพื่อชิงสมบัติที่นี่ ต่อให้เป็นทะเลส่วนทั้งหมดก็สามารถทำได้


 


“ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม 12 คนน่าจะพอ… ทหารศิลา ฆ่ามัน! ดึงเอาดวงจิตแรกเริ่มของมันมา แล้วคงร่างของมันไว้อย่างสมบูรณ์…” หนิงฝานกล่าวอย่างเรียบเฉย


 


“ขอรับ!”


 


ทหารศิลาที่มีร่างกายใหญ่โตปรากฏข้างกายหนิงฝาน ร่างใหญ่โตราวกับขุนเขา ใบหน้าข้างซ้ายมีรูปจันทราสีดำประทับอยู่


 


ทันใดนั้นเอง เสียงร้องอย่างน่าเวทนาของหลัวเฟยก็ดังขึ้น จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่รอบนอกสุสานสีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง!


 


“เกิดอะไรขึ้น! เสียงร้องนั่น… ต้องเป็นเสียงของผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอักขระม่วงไม่ผิดแน่! หรือมันจะถูกสังหารไปแล้ว!”


 


“หลัวเฟยเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด! มันตายได้ยังไงกัน!”


 


“ใครก็ได้ลองไปดูที…”


 


แต่ใครจะโง่ไปดู?


 


แม้พวกมันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรม แต่พวกมันล้วนหวาดกลัวและรักชีวิต จึงไม่มีใครกล้าเข้าไป


 


แม้พวกมันจะต้องการกระถางขัดเกลาเพื่อทะลวงจุดตีบตัน แต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจจากไป


 


พวกมันจะไม่มาเข้าร่วมงานประมูลนิกายกระถางปรุงโอสถอีก


 


สุสานและนิกายกระถางปรุงโอสถอยู่ห่างกัน 2 พันลี้!


 


งานประมูลแต่ละครั้งจะจัดขึ้นทุกๆ 10 ปี มีผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมกว่าหมื่นคน


 


แต่ยามนี้ ผู้เชี่ยวชาญกว่าครึ่งได้ถูกหนิงฝานสังหาร หนีไปอีก 3 ใน 10 ส่วน เหลือเพียง 2 ส่วนเท่านั้น


 


หนิงฝานถอนสัมผัสกระบี่ สลายหมอกสีดำ ทหารศิลาเองก็เปลี่ยนตนเองเป็นรูปศิลาปประทับลงบนมือหนิงฝาน


 


“ดวงจิตแรกเริ่ม 12 คนน่าจะพอ… น่าจะช่วยให้ข้าบรรลุขอบเขตกระดูกเงินที่ 2… ‘รอยสักปีศาจโลหิต’ ได้ ส่วนศพของพวกแก่นทองคำ ก็เป็นแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยงวิชาศพอสูร… การสังหารครั้งนี้ได้ทั้งหยกสวรรค์และทรัพยากรยกระดับร่างกาย… แต่การกระทำเช่นนี้ใช่ว่าจะทำได้ทุกที่ หากเข่นฆ่าผู้คนในแคว้นต่างบนโลก คงถูกผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกของวิหารพิรุณตามฆ่า”


 


หนิงฝานเก็บซากศพจำนวนมากเข้าสู่แหวน


 


จากนั้นกลับไปยังอูฐของตนที่มีสตรีทั้งสองนางรออยู่ แล้วมุ่งหน้าสู่นิกายกระถางปรุงโอสถ


 


ทหารศิลาบอกว่ามีวิชาลับที่จะยกระดับร่างกายให้แข็งแกร่งได้


 


แต่การจะฝึกวิชานั้น จำเป็นต้องใช้โลหิตจำนวนมาก เพื่อสร้างเป็นรอยสักปีศาจ และโลหิตที่ต้องการนั้น ต้องเป็นโลหิตของแก่นทองคำ ดวงจิตแรกเริ่ม หรือตัดวิญญาณเท่านั้น


 


หนิงฝานไม่รู้ว่าจะไปหาโลหิตและศพของแก่นทองหรือดวงจิตแรกเริ่มจากไหนได้มากขนาดนั้น แต่โชคดีที่ก่อนจะถึงนิกายกระถางปรุงโอสถมีสุสาน ที่สามารถเข่นฆ่ากันได้ตามปรารถนา


 


แก่นทองคำ 3,711 คน ดวงจิตแรกเริ่ม 12 คน หยกสวรรค์ร้อยล้าน จนทำให้หนิงฝานมีหยกสวรรค์กว่า 130 ล้าน นอกจากนี้ยังมีสมบัติ สมุนไพร ผลไม้แห่งเต๋าแก่นทองคำ 27 ผล และวิชาอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผลไม้แห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่ม


 


เพียงวันเดียว จำนวนคนที่หนิงฝานสังหาร แทบจะเทียบเท่าจำนวนผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของแคว้นระดับกลางเกือบทั้งหมดของแคว้น


 


หากราชาแคว้นจินรู้เรื่องนี้เข้า… ไม่รู้มันจะหวาดกลัวขนาดไหน!


 


เรื่องที่สร้างความแค้นเคืองให้กับขุมกำลังในทะเลส่วนนอก…เหตุใดต้องกลัว ตอนนี้มีขุมกำลังใดบ้างที่ทำอันตรายหนิงฝานได้ แม้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมาเอง หนิงฝานก็ยินดีต้อนรับ


 


“ทหารศิลา เจ้าทำได้ดีมาก…” หนิงฝานกล่าวชม


 


“ฮึ่ม! อย่าลืมเรื่องที่เจ้าให้สัญญาข้าไว้หล่ะ!” เสียงกล่าวดังออกมาจากรูปศิลาบนมือหนิงฝาน


 


“แล้วเรื่องรอยสักปีศาจโลหิต… ข้าต้องสลักรอยสักไหนลงไป?”


 


“ข้ามีรอยสักอยู่ 3 แบบ ‘รอยสักปีศาจโบราณ’ ‘รอยสักขุนพลอสูร’ และ ‘รอยสักปีศาจน้ำแข็ง’… รอยสักที่ดีที่สุดคือรอยสักระดับขุนพลอสูร แต่ด้วยเจ้าฝึกฝนวิชาศพปีศาจ ทำให้ร่างกายของเจ้าเป็นธาตุดิน ฉะนั้นจึงสลักได้แค่รอยสักระดับทหารเหมือนข้า…”


 


“รอยสักระดับขุนพลอสูร?” หนิงฝานนึกถึงขุนพลอสูรลี่เป่ย


 


“ปีศาจและอสูรนั้นแตกต่างจากมนุษย์ พวกผู้เชี่ยวชาญทั่วไปจะทำหน้าที่ยกระดับเผ่า ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มเปรียบดั่ง ‘ทหาร’ ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเปรียบดั่ง ‘ขุนพล’ ผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงเปรียบดั่ง ‘จอมทัพ’ และผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกเปรียบดั่ง ‘กษัตริย์’… ข้าไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวรอยสักระดับต่างๆมากนัก และข้าก็รู้ว่าข้าอาจปกป้องนายหญิงน้อยไม่ได้…”


 


“อืม… ข้าคงต้องหวังเพิ่งเจ้าเรื่องสลักรอยสักแล้ว”


 


“ฮึ่ม! ถ้าเจ้าทำตามที่รับปาก…ข้าจะช่วย แต่จำไว้ว่าการาสลักรอยสักนั้นเจ็บมาก”


 


“เจ็บมาก? ข้าชอบ!”


 


หนิงฝานนั่งปรับลมหายใจและฟื้นฟูปราณ การเข่นฆ่าสังหารไปมากมายแบบนี้ ทำให้เขาเหนื่อยอ่อน


 


หนิงฝานรู้ว่าหากตนเองไม่แข็งแกร่งพอ ก็อาจเป็นคนที่ถูกสังหารในสุสาน


 


การเข่นฆ่าถือเป็นการคัดคน หากผู้ใดไม่ไร้ซึ่งความกล้า ก็ไม่ต้องเข้านิกายกระถางปรุงโอสถ…


 


ถ้ำภายในนิกายกระถางปรุงโอสถ


 


เซียวว่านโหลวขมวดคิ้วแน่น


 


มันผู้เป็นเจ้าของถิ่น กลับถูกผู้อื่นเข่นฆ่าและปล้นชิงในเขตของมัน


 


ยามนี้ผู้เชี่ยวชาญยกให้หนิงฝานเป็นตัวอันตราย


 


ผู้คนเชื่อว่าหนิงฝานคือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เซียวว่านโหลวสนใจ


 


ยามนี้ มันกำลังโศกเศร้ากับการที่ไม่ค่อนมีคนมางานประมูล


 


“จบแล้ว… จบสิ้นแล้ว นิกายของข้ามาถึงคราวหายนะแล้ว”


 


ซัวหมิงเข่นฆ่า สังหาร และช่วงชิงในเขตของนิกายกระถางปรุงโอสถ


 


หากผู้ที่ตายเป็นผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัดก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นผู้เชี่ยวชาญมีสังกัด ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังเล็กหรือใหญ่ นิกายกระถางปรุงโอสถก็ไม่กล้ายั่วยุ


 


“เจ้ามีอะไรก็รีบๆไปทำ!”


 


เซียวว่านโหลวก้มหน้า รับฟังคำของบรรพบุรุษนิกาย


 


แต่ในยามนั้นเอง ผู้ช่วยประมุขนิกาย ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นกลับรีบวิ่งมา


 


“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! มีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มตายด้วย!”


 


“ว่าไงนะ! ซัวหมิงผู้นั้นชักจะมากเกินไปแล้ว พลังของมันอยู่ระดับไหน?”


 


“เอ่อ… คือ…” ผู้ช่วยประมุขนิกายเผยสีหน้าหวาดกลัว


 


“เลิกอ้อมค้อมได้แล้ว! หรือมันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง!” เซียวว่านโหลวคาดเดา


 


“ไม่ใช่.. คือ… นิกายอักขระม่วง…”


 


“นิกายอักขระม่วง! หนึ่งในสิบนิกายใหญ่ในทะเลส่วนนอก สมควรส่งผู้อาวุโสในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงมา!” เซียวว่านโหลวกล่าว


 


สังหารผู้คนในถิ่นมัน ซ้ำยังสังหารผู้เชี่ยวชาญของนิกายอักขระม่วง


 


“ไม่ใช่…” ผู้ช่วยประมุขส่ายหน้า


 


“แล้วตกลงมันคืออะไรกันแน่!”


 


“หนึ่งในผู้ที่ถูกสังหารไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง… แต่เป็นสูงสุด”


 


“อะไรนะ! ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดก็ถูกสังหาร!” เซียวว่านโหลวรู้สึกราวกับถูกอัสนีฟาดผ่า


 


จบ… จบสิ้นแล้ว


 


ป่านนี้เรื่องราวของซัวหมิงคงแพร่ไปทั่วทุกที่ บางทีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอาจไม่กลั่วยั่วยุ


 


แม้พวกมันจะโกรธแค้นไม่พอใจ แต่ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องซัวหมิง…

 

 

 


ตอนที่ 202

 

งานประมูลของนิกายกระถางปรุงโอสถเป็นไปอย่างเงียบเหงา


 


ภายในหอคอยสีทอง ปกติจะเต็มไปด้วยผู้คนคึกคัก แต่ตอนนี้มีผู้เข้าร่วมประมูลเพียง 2 พันคน


 


บรรยากาศที่เงียบเหงาเช่นนี้ ทำให้การประมูลไม่คึกคัก


 


ผู้ที่ดำเนินงานประมูลคือชายชราชุดเงิน แซ่หลิง เรียกขานว่าผู้เฒ่าหลิง ชายชราเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ในทะเลส่วนนอกแห่งนี้ ชายชรานับเป็นผู้ดำเนินงานประมูลที่ไม่โด่ดเด่น


 


ในงานประมูลแต่ละครั้ง นิกายกระถางปรุงโอสถจะนำกระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำและประสานวิญญาณมาร่วมร้อยคน และผู้ที่จะทำให้งานประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด คือกรถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม


 


กระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มเป็นที่ต้องตาของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณและผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม


 


หากผู้ดำเนินงานประมูลไม่แข็งแกร่งพอ ก็ยากจะรักษาความสงบในงานได้


 


ในหอคอยแห่งนี้มีการจัดสถานที่อวดโฉมกระถางขัดเกลา 3 ลำดับขั้น ขั้นแรกเป็นตำแหน่งที่นั่งของกระถางขัดเกลาในขอบเขตประสานวิญญาณ ขั้นสองเป็นที่นั่งของกระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำ และขั้นสุดท้าย เป็นที่นั่งของกระถางขัดเกลาขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม


 


หนิงฝานนำเย่หลิงและชุ่ยหลิงไปยังห้องรับรองพิเศษของหอคอย ที่นั่นจะมีข่ายอาคมบดบัง แต่ยังมองเห็นเหล่ากระถางขัดเกลาที่อยู่เบื้องล่างได้


 


ยามนี้ชื่อเสียงของซัวหมิงโด่งดังไปทั่วทะเลส่วนนอก แต่ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นหน้า แม้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจะเรียกขานนามซัวหมิงอย่างคุ้นเคย แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้จัก


 


เพราะผู้ที่ก้าวล่วงเข้าไปในเขตสัมผัสกระบี่ของหนิงฝาน พวกมันล้วนไม่รอดชีวิตกลับมา


 


แม้ผู้คนจะพยายามคาดเดาที่มา แต่ก็ยังไม่มีใครรู้อยู่ดี


 


“นายท่าน ข้าได้ยินมาว่ากระถางขัดเกลาแต่ละคนล้วนเป็นสตรีที่โดดเด่น กระถางขัดเกลาในขอบเขตประสานวิญญาณและดวงจิตแรกเริ่มมีสตรีที่งดงามอยู่หลายคน ตัวท่านที่มีหยกสวรรค์มากมาย คงจะเหมาซื้อพวกนางทั้งหมด แล้วตั้งวังสนมของท่านใช่มั้ย?”


 


ชุ่ยหลิงกล่าวด้วยความขุ่นเคือง


 


“ไม่หรอก… กระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำ ต่อให้ข้าดูดซับพลังจนหมด ก็เพิ่มพลังได้เพียงครึ่งเกาะ หลังจากนั้นพวกนางก็ไร้ค่า ฉะนั้นผู้ที่เป็นประโยชน์สมควรเป็นกระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม”


 


การขัดเกลาผสานคือการดูดซับพลังของอีกฝ่าย หากจะให้รักษาสภาพร่างกายที่สมบูรณ์เอาไว้คงเป็นไปไม่ได้ หากก่อตั้งวังสนมเหมือชุ่ยหลิง สตรีมากมายนับไม่ถ้วนจะถูกย่ำยีมากจนเกินไป กระทั่งกล่าวได้ว่าตนเองเป็นคนชั่วช้าสามานย์


 


“งั้นหมายความว่า ที่นายท่านขัดเกลาผสานกับพวกข้าก็ไม่เป็นประโยชน์เลยงั้นเหรอ?”


 


“ไม่ใช่อย่างนั้น… ทักษะบนเตียงของพวกเจ้าทำให้ข้าพอใจมาก” หนิงฝานยิ้มพลางจิบชา


 


ใบหน้าชุ่ยหลิงแดนระเรื่อ นางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น


 


“นายท่านต้องทำ…กับพวกข้าอีก…”


 


“วันนี้ยังทำไม่ได้ มีคนจับตาดูเราอยู่”


 


หนิงฝานหุบยิ้ม แววตาแปรเปลี่ยนเย็นชา สัมผัสกระบี่สีดำพุ่งทะลวงห้องไป 3 ห้อง จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด 3 คนกระอักโลหิต สีหน้าตกตะลึง!


 


เป็นมันจริงๆ… มันคือซัวหมิง! มือสังหารที่โหดเหี้ยม!


 


ห้องพิเศษที่จัดอยู่บนชั้น 3 ของหอคอย มีอยู่ด้วยกันร่วม 100 ห้อง แต่ตอนนี้ มีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มจับจองเพียง 70 ห้อง


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดทั้งสามคนเมื่อครู่ไม่กล้าปริปาก หากซัวหมิงต้องการกระถางขัดเกลาคนใด พวกมันคงไม่กล้าประมูลแข่ง เพราะไม่ว่ายังไงพวกมันก็ไม่ร่ำรวยเหมือนซัวหมิง


 


พวกมันไม่โง่ พวกมันรู้ซัวหมิงคือชื่อปลอม! เพราะไม่มีคนฉลาดคนใดที่ใช้ชื่อจริงออกเข่นฆ่าสังหารเช่นนั้น


 


ผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายอักขระม่วง…หลัวเฟย ที่หนิงฝานสังหารไปนั้น เป็นผู้มีชื่อเสียงในทะเลส่วนนอก ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณก็ไม่กลั่วยั่วยุ เพราะการที่มันได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกาย หมายความว่าต้องมีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณหนุนหลัง


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดทั้งสามคนที่หนิงฝานจู่โจมเมื่อครู่ ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าหลัวเฟย


 


ต่อให้พวกมันร่วมมือ ก็ยังไม่สามารถเอาชนะหลัวเฟยได้ในร้อยกระบวนท่า ต่อให้พวกมันสังหารหลัวเฟยได้ ก็ยังเอาชีวิตของหลัวเฟยไม่ได้


 


ในเมื่อหลัวเฟยยังไม่อาจสู้ซัวหมิงได้ แล้วพวกมันจะไปสู้ได้ยังไง


 


หากผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดถูกสังหาร ดวงจิตแรกเริ่มที่สละร่างจะหลบหนีได้รวดเร็วเป็นเท่าทวี มีเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเท่านั้นที่ไล่จับทัน


 


การที่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้ มีเพียงสองกรณีเท่านั้น


 


อย่างแรกคือมีไพ่ตายในมือ ที่สามารถเปล่งการจู่โจมเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้ และอย่างคือ ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณอยู่ข้างกาย


 


โดยทั่วไป หลัวเฟยไม่ใช่คนโง่ ที่มันคิดลงมือกับหนิงฝาน เพราะมีหยกสวรรค์จำนวนมากเป็นเดิมพัน


 


แต่สุดท้ายมันก็แพ้…


 


ดังนั้นผู้เชี่ยวชาซดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดทั้งสามคนนั้นถึงได้กลัวหนิงฝาน…


 


นิกายกระถางปรุงโอสถ มีผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม และมีกระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม


 


แต่นอกจากนิกายกระถางปรุงโอสถแล้ว ยังมีหลายขุมกำลังที่มีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม หนึ่งในนั้นคือเกาะมุกหยกฟ้า ซึ่งเป็นแหล่งรวมของสตรี


 


ซึ่งเกาะมุกหยกฟ้าสมควรมีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มมากมาย


 


สำหรับผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมนั้น สตรีเปรียบดั่งกระถางขัดเกลา แต่เหตุที่พวกนางอยู่ร่วมกับขุมกำลังต่างๆได้อย่างสงบสุข แสดงว่าพวกนางไม่ธรรมดา


 


ต่อให้ไม่มีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ แต่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของนิกายได้ นั่นหมายความว่าพวกนางบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่


 


หากให้หนิงฝานใช้ทหารศิลาไปปล้นนิกายใหญ่ทั้ง 10 หรือเกาะมุกหยกฟ้า อัตราความสำเร็จคงไม่สูงนัก เพราะฝนขุมกำลังเหล่านี้ สมควรมีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณซ่อนตัวอยู่ หากหนิงฝานจะปล้นชิงสำเร็จนั้น เขาคงต้องบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณเสียก่อน


 


“ข้าและผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังห่างชั้นเกินไป อย่างมากก็แค่รับมือได้แค่ 3 ลมหายใจ…” หนิงฝานหวนนึกถึงยามที่ต่อสู้กับทหารศิลา


 


หากไม่ได้หลั่วโยว่ช่วย หนิงฝานคงทำได้เพียงใช้เพลิงหยินหยาง แลกการจู่โจมกับทหารศิลา โดยที่ทำให้ทั้งคู่บาดเจ็บ


 


วิชาตรึงสวรรค์ และวิชาไร้ทุกข์แด่ความตาย หลั่วโยว่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ส่วนวิชาที่ใช้จัดการกับทาสรับใช้นั้น ก็ดูเหมือนนางจะได้มาโดยบังเอิญ


 


นางถ่ายทอดวิชาให้หนิงฝานแล้ว หากครั้งหน้าเขาได้พบกับทาสรับใช้เช่นทหารศิลาอีก ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ หนิงฝานก็จัดการได้


 


นอกจากนี้ นางยังถ่ายทอดเคล็ดความของวิชากระบี่เพลิงให้หนิงฝานด้วย


 


สิ่งที่เขาจะตอบแทนนางได้มีเพียงสิ่งเดียว… คือเร่งทำให้วิชาแปลงหยินหยางบรรลุขอบเขตที่ 3 เพื่อทำให้เขาสามารถเปิดโลกหยินได้!


 


ดังนั้น หนิงฝานต้องใช้กระถางขัดเกลาเป็นจำนวนมหาศาล!…


 


ผู้อาวุโสหลิงกระแอม บรรยากาศในงานประมูลเงียบสงัด งานประมูลที่แท้จริงได้เริ่มขึ้น


 


“ข้าจะไม่กล้าถึงกฏการประมูลให้มากความ… การประมูลครั้งนี้ จะเปิดประมูลเพียงกระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงขึ้นไป ส่วนกระถางขัดเกลาที่มีระดับต่ำลงมานั้น ผู้ใดต้องการข้าจะขายให้… กระถางขัดเกลาขอบเขตประสานวิญญาณมีราคาอยู่ที่ 5 พันหยกสวรรค์ แก่นทองคำขั้นต้น 5 หมื่นหยกสวรรค์… เอาหล่ะ… ข้าขอประกาศเริ่มงานประมูล และเริ่มประมูลกระถางขัดเกลาขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูง ผู้ใดต้องการ เชิญเสนอราคา!”


 


เมื่อผู้อาวุโสหลิงกล่าวจบ งานประมูลก็เต็มไปด้วยเสียงตะโกน


 


เดิมทีนิกายกระถางปรุงโอสถจะไม่ขายกระถางขัดเกลาขอบเขตประสานวิญญาณ ด้วยเพราะเกาะเผิงไหลแห่งมีมีปราณอุดมสมบูรณ์ การที่ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณจะยกระดับเป็นแก่นทองคำจึงใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี หากกระถางขัดเกลาบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นนับ 10 เท่า


 


แต่การที่นิกายกระถางปรุงโอสถนำมาขายเช่นนี้ ก็เพื่อไม่อยากให้ผู้ที่มากลับไปมือเปล่า


 


เป้าหมายของผู้ที่มาร่วมงานประมูลย่อมมีเพียงสิ่งเดียว ดังนั้นจึงต้องได้สิ่งนั้นกลับไปบ้าง


 


ซัวหมิงผู้สังหารผู้เชี่ยวชาญไปมากมาย จนทำให้ขุมกำลังในทะเลส่วนนอกโกรธแค้น เมื่อประมูลกระถางขัดเกลาเสร็จ สมควรเร่งกลับเข้าไปยังทะเลส่วนใน เพื่อหลบเลี่ยงภัยพิบัติที่จะตามมา…


 


การที่นิกายกระถางปรุงโอสถประกาศขายกระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำถือเป็นเรื่องดี เพราะผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ไม่มีปัญญาประมูลกระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำ ก็จะได้กระถางขัดเกลากลับไปเช่นกัน


 


สตรีที่งดงามหลายคนทยอยเดินขึ้นมาบนเวที พวกนางแต่ละคนสวมใส่กระโปรงสั้นที่เผยให้เห็นถึงชั้นในที่ใส่


 


เวทีการประมูลมีขนาดใหญ่ รองรับผู้คนได้นับพัน สตรีจำนวนมากขึ้นมาอวดโฉม พวกนางแต่ะคนล้วนงดงามต้องตา แม้เป็นสตรีด้วยกันยังหลงเสน่ห์


 


สตรีแต่ละคนห้อยป้ายที่คอ บนนั้นมีชื่อของพวกนาง หมายเลข ระดับพลัง อายุกระดูก ราคา และความสามารถพิเศษเขียนไว้ ให้ผู้ที่ต้องการประมูลตัดสินใจได้ง่าย


 


“โอ้โห! หมายเลข 3 ขนาดแค่ขอบเขตประสานวิญญาณยังงดงามราวกับนางฟ้า! ข้าว่า ถึงนางไม่เป็นประโยชน์ในการยกระดับพลัง แต่หากให้เป็นคนรับใช้ แค่นั้นก็คงมีความสุขมากแล้ว!”


 


“ข้าชอบหมายเลข 11 ฮ่าฮ่า เท้าก็เล็ก ขาก็งาม…”


 


“อืม… หมายเลข 105… แก่นทองคำขั้นต้น รูปร่างเย้ายวน เป็นประโยชน์กับการยกระดับพลังของข้า”


 


“หมายเลข 755 ก็ไม่ธรรมดา ถึงจะไม่เป็นประโยชน์กับการยกระดับพลัง แต่สมควรเติมเรื่องบนเตียงได้”


 


ผู้เชี่ยวชาญพูดคุยพลางมองเหล่าสตรีด้วยความหื่นกระหาย


 


แต่ในระหว่างนั้น สัมผัสเทพสายหนึ่งได้กวาดผ่านสตรีทุกคนบนเวที เจ้าของสัมผัสเทพคือหนิงฝาน


 


สตรีเหล่านี้สมควรถูกชิงตัวมาตั้งแต่เด็ก เพื่อฝึกให้เป็นกระถางขัดเกลา ชีวิตของพวกนางสมควรไร้ซึ่งความสุข ไร้ซึ่งความสบาย มีแต่ความอยุติธรรมในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีผู้ใดกล้าบ่นกล่าว


 


ห้ามทรยศหักหลังผู้เป็นนายที่ซื้อตนไป… พวกนางถูกปลุกฝังมาเช่นนั้น


 


หนิงฝานหลับตา สตรีในขอบเขตแก่นทองคำไม่เป็นประโยชน์กับเขา เขาจึงไม่คิดจะซื้อพวกนาง


 


นอกจากนี้ หนิงฝานยังรู้สึกเศร้าใจกับพวกนาง ที่อีกไม่นานคงกลายเป็นเครื่องมือบำบัดความใครของคนเหล่านั้น พลังที่สั่งสมมาไม่เหลือ และตกตายอย่างน่าอนาถ แต่หากผู้ใดโชคดี ก็อาจมีชีวิตรอด แต่เป็นได้เพียงทาสบำบัดความใคร่เท่านั้น


 


พวกนางช่างโชคร้าย… โลกช่างไม่ยุติธรรม…


 


หากไร้พลังก็ไร้ที่ยืน… นี่คือกฏของโลกแห่งผู้ฝึกตน


 


เย่หลิงเผยสีหน้าเศร้าหมอง นางไม่กล้ามองสตรีเหล่านั้น ความทรงจำเมื่อครั้งที่อยู่ในนิกายจี๋หลิงหวนคืน


 


ส่วนชุ่ยหลิงแม้ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า แต่ความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์ก็หวนคืน ครั้งนั้น…ผู้อาวุโสนิกายคนหนึ่งเมา เดินเข้ามาในห้องของนางและเตรียมจะล่วงเกินโดยที่นางไม่อาจขัดขืน แต่โชคดีที่ผู้ดูแลศิษย์ผ่านมาพอดี จึงช่วยนางได้ทัน ไม่อย่างนั้น…


 


สตรีจำนวนมากที่อยู่บนเวที อีกไม่นานคงเผชิญชะตากรรมที่เลวร้าย เพราะผู้เชี่ยวชาญมากมาย กำลังจับจ้องพวกนางด้วยแววตาหื่นกระหาย พวกมันยอมจ่ายเพื่อให้ได้พวกนางมาครอบครอง


 


“นายท่าน…ช่วยซื้อพวกนางได้หรือเปล่า!” ชุ่ยหลิงลุกยืน เดินมาหน้าหนิงฝานและคุกเข่า แววตาเศร้าหมองน่าสงสาร


 


มีคนเคยกล่าวว่า ผู้ใดที่ถูกตามใจ…ก็จะร้องขอให้ตามใจอยู่อย่างนั้น


 


ชุ่ยหลิงที่คุกเข่าต่อหน้าหนิงฝาน จึงทำให้เขาขมวดคิ้ว


 


หนิงฝานไม่ใช่คนดี เหตุใดต้องช่วยเหลือสตรีเหล่านั้น แม้การดูดซับพลังพวกนางจะช่วยยกระดับพลังได้เล็กน้อย แต่การจะดูดซับพลังจากพวกนางครบก็ยังต้องเวลา หากพวกนางมีพันคนจะต้องใช้เวลานานขนาดไหน?


 


“ท่านพี่… พอได้แล้ว…” เย่หลิงกลัวหนิงฝาน แม้หนิงฝานจะใจดีกับพวกนาง แต่นางรู้ดีว่าพวกตนไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะร้องขอสิ่งใดกับหนิงฝานได้


 


อีกอย่าง ยามนี้หนิงฝานไม่ใช่เด็กเหมือนก่อน แต่เป็นผู้ที่มีอายุเกือบ 300 ปีแล้ว


 


“น้องข้า… เจ้าลืมแล้วเหรอ ว่าในอดีตพวกเราต้องเจออะไรมาบ้าง” ชุ่ยหลิงขบฟัน นางหวาดกลัวหนิงฝาน นางไม่รู้ว่าหนิงฝานคิดอะไรอยู่


 


“ท่านพี่…” เย่หลิงขบฟัน นางใจอ่อนต่อผู้เป็นพี่ และร่วมคุกเข่าต่อหน้าหนิงฝานอีกคน “นายท่านโปรดยกโทษให้พี่ข้าด้วย…”


 


“พวกเจ้ารู้หรือเปล่า ถ้าจะซื้อพวกนางทุกคน อย่างน้อยๆต้องใช้ 30 ล้านหยกสวรรค์…” หนิงฝานส่ายหน้า


 


“30 ล้าน…” ชุ่ยหลิงหน้าซีด หยกสวรรค์มากขนาดนี้ ต่อให้ปล้นชิงทั้งแคว้นเยว่ก็ยังได้ไม่ถึง นางไม่รู้ว่าหนิงฝานมีหยกสวรรค์มากมายเท่าไหร่ แต่การที่จะให้เขาเอามันมาทุ่มเช่นนี้ นับว่าสูญเปล่า


 


“เด็กโง่ พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ… ไปหาพวกนางแล้วซื้อพวกนางทุกคนมาให้ข้า!”


 


“ข…ข้าเข้าใจ… เดี๋ยว! เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะ? ท่านยอมช่วยพวกนางจริงๆเหรอ?” ดวงตาชุ่ยหลิงเป็นประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


“อืม… ถ้าให้พวกเจ้าคุกเข่าอยู่แบบนี้ข้าคงปวดหัวแย่… แต่พวกเจ้าฟังไว้ให้ดี ข้าไม่ได้ช่วยพวกนาง ข้าซื้อพวกนางมาเป็นกระถางขัดเกลา ไม่ว่ายังไงข้าก็จะดูดซับพลังพวกนาง พวกเจ้าเข้าใจเหรือเปล่า?”


 


หนิงฝานยิ้มพลางเช็ดน้ำตาให้ชุ่ยหลิง


 


“ข้าเข้าใจ! แค่ให้พวกนางได้ปรนนิบัติท่าน ก็ถือเป็นโชคดีของพวกนางแล้ว” ชุ่ยหลิงพยักหน้าด้วยความดีใจ


 


“เจ้ายกย่องข้าเกินไปแล้ว เอาหล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า…” หนิงยิ้ม


 


“ในแหวนกระถางขัดเกลายังเหลือพื้นที่ให้พวกนางอยู่อาศัย พวกนางแต่ละคนล้วนเป็นกระถางขัดเกลาชั้นยอด แต่ระดับพลังยังต่ำเกินไป… ถึงอย่างนั้น การที่ซื้อพวกนางมาก็ยังคุ้มค่า หากพวกนางทั้งหมดบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม และข้าดูดซับพลังพวกนางในยามนั้น ข้าคงทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณได้ง่าย ยิ่งเมื่อยามบาดเจ็บ การดูดซับพลังจากพวกนางก็ทำให้รักษาอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น แต่การที่พวกนางจะบรรลุระดับนั้นยังต้องใช้เวลา… ข้าจะยกหน้าที่ให้เจ้าช่วยฝึกฝนพวกนางในแหวน เจ้าจะรับหน้าที่หรือเปล่า?”


 


“ข้ารับ! ข้าขอสัญญากับนายท่าน ว่าจะฝึกฝนพวกนางเป็นอย่างดี แต่ว่า… ข้าอยากให้นายท่านช่วยตั้งชื่อกลุ่มให้พวกข้าด้วย!”


 


“ชื่อกลุ่ม?” หนิงฝานหัวเราะพลางลูบสัมผัสศีรษะของชุ่ยหลิงด้วยความเอ็นดู เดิมทีเขาไม่คิดจะฝึกสตรีเหล่านั้นให้แข็งแกร่ง ชื่อกลุ่มจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะขนาดแส้อัสนีของเขายังไม่มีชื่อ… หรือควรจะตั้งชื่อให้ด้วย?


 


“พวกเจ้ารีบไปได้แล้ว… นี่หยกสวรรค์ ไปซื้อพวกนางมาให้หมด หากล่าช้า คนพวกนั้นจะชิงพวกนางไปก่อน!”


 


“รับทราบ!” แล้วชุ่ยหลิงกับเย่หลิงก็เร่งนำกระเป๋าหยกสวรรค์ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกล่าวคำที่ทำให้งานประมูลคืนสู่ความสงบอีกครั้ง


 


“กระถางขัดเกลาทั้ง 1,079 คน นายท่านของข้าต้องการทั้งหมด!”


 


งานประมูลเงียบสงัดราวกับป่าช้า


 


ผู้เชี่ยวชาญทุกคนกล่าวไม่ออก ผู้ใดกันที่หิวโซขนาดจะเหมาสตรีนับพันไปครอบครอง


 


แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญหันมองไปยังต้นเสียงและพบว่าต้นเสียงมาจากชั้น 3 คนเหล่านั้นไม่กล้ากล่าว เพราะดูเหมือนจะมีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่ต้องการพวกนาง


 


แต่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มจะต้องการพวกนางไปทำไม?


 


เรื่องนั้นไม่มีใครกล้าถาม ผู้ที่กล้าส่งเสียงมีเพียงสตรีในขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลาง แต่จากลักษณะแล้ว นางคงเป็นผู้รับใช้ของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม


 


นางถือกระเป๋าไว้ในมือ ในนั้นสมควรมีหยกสวรรค์หลาย 10 ล้าน


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่กล้าควักหยกสวรรค์นับหลาย 10 ล้านออกมาเหมาซื้อกระถางขัดเกลาเช่นนี้ สมควรเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง


 


แม้จะโกรธแค้นไม่พอใจ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือแสดงสีหน้า


 


หากไม่แข็งแกร่งพอก็คงไม่หยกสวรรค์หลาย 10 ล้าน


 


ผู้คนเดาว่า ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มคงทุ่มเทฝึกฝนมานับพันปี และยามนี้คงหิวกระหายใครอยากกินสตรีนับพันในคราวเดียว… ยิ่งหิวกระหายก็ยิ่งคลั่ง ผู้ใดขวางคนเช่นนี้ก็เท่ากับตาย!


 


“สหายเต๋าช่างมั่งคั่ง… นับถือ… นับถือ…”


 


ผู้ที่กล่าวคือหนึ่งใน 3 ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดที่หนิงฝานจู่โจม


 


การที่มันเอ่ยปากกล่าว นับเป็นการประจบเอาใจ


 


คนผู้นั้นเป็นใคร?


 


หรือจะเป็นซัวหมิง… มือสังหารที่โหดเหี้ยมและเก่งกาจ!


 


ยิ่งผู้เชี่ยวชาญในงามขบคิดก็ยิ่งหวาดกลัว


 


ยามนี้ สตรีในอาภรณ์ขาวที่งดงามนางหนึ่ง กำลังเดินถือถุงหยกสวรรค์ออกมา แม้นางจะงดงามราวกับนางสวรรค์ แต่ไม่มีผู้ใดกล้ามอง


 


ในเมื่อเป็นสตรีของคนผู้นั้น ใครเล่าจะกล้าช่วงชิง ใครเล่าจะกล้ามอง


 


เมื่อทุกคนเริ่มคาดเดาว่าผู้ที่เหมาซื้อกระถางขัดเกลาคือผู้ใด พวกมันก็เร่งป้องมือไปยังตำแหน่งห้องของหนิงฝาน ก่อนจะเร่งออกจากนิกายกระถางปรุงโอสถอย่างรวดเร็ว และหนีจากเกาะเผิงไหลในทันที


 


สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหตุมาจากชื่อเสียง แม้ไม่เคยสัมผัส แต่ชื่อเสียงนั้นก็กลายเป็นตำนาน ที่สามารถขู่ขวัญผู้คนให้หวาดกลัวได้


 


แม้พวกมันจะไม่ได้เห็นหน้าซัวหมิง แต่พวกมันเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำหลายพัน ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มอีก 12 คนถูกสังหารภายในวันเดียว


 


ทะเลส่วนนอกต้องปั่นป่วนโกลาหล เพราะผู้ที่ชื่อซัวหมิง…

 

 

 


ตอนที่ 203

 

 


ทั่วทั้งงานประมูลเงียบสงัด แม้เข็มหล่นยังได้ยิน


 


ชุ่ยหลิงจ่ายหยกสวรรค์ ก่อนนำสตรีจำนวนมากไปยังห้องของหนิงฝาน


 


ผู้อาวุโสหลิงกระแอมก่อนดำเนินงานประมูลต่อ…


 


แต่ยามนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว


 


ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณและผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำบางคนป้องมือแล้วจากไป


 


กระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูง หากอยู่ในแคว้นระดับล่าง นับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง นั่นหมายความว่า ราคาประมูลของพวกนางย่อมสูงเสียดฟ้า


 


แต่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มพร้อมที่จะประมูลแย่งชิงพวกนาง…


 


ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากขบคิด ซัวหมิงผู้นั้นลึกลับเกินหยั่งถึง ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง


 


ผู้เชี่ยวชาญที่มาต่างภาวนาไม่ให้ซัวหมิงร่วมประมูลแย่งชิงสตรีคนอื่นๆ


 


แม้พวกมันจะรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นกระถางขัดเกลาคนใด ย่อมไม่รอดมือหมาป่าหิวโซเหล่านี้ แต่ถึงอย่างนั้น พวกมันก็หวังที่กลับบ้านไปพร้อมกับกระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูง


 


พวกมันต่างเดาว่า เหตุที่ซัวหมิงสังหารผู้คนไปมากมาย เพราะต้องการหยกสวรรค์นำมาประมูลกระถางขัดเกลา แม้จะมีหยกสวรรค์นับร้อยล้าน ก็คงเอามาลงกับสตรีจนหมด แม้ระดับพลังของซัวหมิงจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดของทะเลส่วนนอก แต่จากการสังหารแล้ว ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังต้องหวาดหวั่น


 


“กระถางขัดเกลานางนี้ อายุกระดูก 200 ปี ขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูง เป็นผู้ที่มีเรือนร่างงดงาม ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1 แสนหยกสวรรค์…”


 


เมื่อผู้อาวุโสหลิงกล่าวจบ งานประมูลก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง!


 


“ข้า 110,000!”


 


“ข้าให้ 120,000!”


 


“ข้า 140,000!”


 


“170,000!”


 


“200,000!”


 


“300,000!”


 


“400,000!”


 


เมื่อราคาพุ่งถึง 4 แสนหยกสวรรค์ ก็ไม่มีใครกล้าประมูลอีก ชายชราในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางเดินออกจากห้อง ตรงไปยังเวทีเพื่อจ่ายหยกสวรรค์


 


แต่ก่อนที่ชายชราจะจ่าย ประตูห้องหนิงฝานกลับเปิดออก สตรีในอาภรณ์ขาวเดินออกมาพลางกล่าว


 


“นายท่านของข้าให้ 410,000 หยกสวรรค์… นอกจากนี้ กระถางขัดเกลาคนต่อๆไป ไม่ว่าจะเป็นแก่นทองคำขั้นสูงหรือสูงสุด นายท่านของข้าให้ราคา 2 เท่าของราคาเริ่มต้น ทั้งท่านยังกล่าวอีกว่า หวังว่าสหายเต๋าจะไม่ประมูลแข่งขัน”


 


แล้วงานประมูลก็เข้าสู่ความโกลาหล


 


“อะไรกัน! ซื้อกระถางขัดเกลาไปแล้วพันคน ยังมีหน้าจะซื้อกระถางขัดเกลาเพิ่มอีกเหรอ? คิดจะเหมาคนแบบนั้น ราคาย่อมพุ่งสูงหลาย 10 ล้าน เจ้าจ่ายไหวหรือไง?”


 


“อย่าสำคัญตัวผิดไป!”


 


“ตาเฒ่านั่นคงเสียหน้าน่าดู! กำลังจะจ่ายหยกสวรรค์แท้ๆ แต่กลับถูกคัดหน้า แม้จะเป็นผู้นำ ‘ศาลากระบี่วายุ’ แต่ไม่รู้ว่าจะสู้ราคาต่อหรือเปล่า!”


 


“ข้าว่าไม่กล้าหรอก… คนผู้นั้นคือซัวหมิง มันไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่!”


 


ผู้เชี่ยวชาญพูดคุย ชายชราเมื่อครู่หันมองไปยังตำแหน่งห้องหนิงฝาน แค่นเสียงด้วยความไม่พอใจและกลับห้องไป


 


การกระทำของหนิงฝาน ทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มทุกคนไม่กล้าเอ่ยคำ


 


ซัวหมิงผู้นั้นเป็นเหมือนสิงโตกระหาย ต่อให้มีกระถางขัดเกลามากเท่าไหร่ สุดท้ายคงต้องถูกเขมือบทั้งหมด


 


ไม่พอใจ… ผู้เชี่ยวชาญหลายคนไม่พอใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายคือซัวหมิง ต่อให้ไม่พอใจขนาดไหนแต่ไม่มีใครกล้ายั่วยุ


 


ผิดกับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่กล่าวคำเยินยอออกนอกหน้า


 


“สหายเต๋านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับกล้าทุ่มหยกสวรรค์หลายสิบล้านเพื่อสาวงาม… นับถือ นับถือ..”


 


นับถือกับผี…


 


เยินยอไร้สาระ…


 


การที่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดจะกล่าวคำเยินยอเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องผิดวิสัย


 


ชายชราผู้นั้นต้องทนกับคำกล่าวของคนอื่นๆ ทั้งต้องทนกับคำเยินยอซัวหมิง หากมันไม่ทน มันคงชักกระบี่มุ่งตรงไปยังห้องซัวหมิงแล้ว


 


ผู้อาวุโสหลิงหัวเราะกลบเกลื่อนบรรยากาศที่ไม่สู้ดีของงานประมูล เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


 


มันจึงไม่กล้าตัดสินใจเอง มันกล่าวกับ ‘เสี่ยวว่านหลู’ ผู้เชี่ยวชาญที่ซ่อนตัวอยู่ภายในนิกายเพื่อขอความเห็น


 


เมื่อได้รับคำสั่งมา ผู้อาวุโสหลิงหัวเราะและกล่าวขึ้น


 


“ผู้อาวุโสในนิกายได้ตัดสินใจแล้ว กระถางขัดเกลาในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงและขั้นสูงสุดรวม 87 คน จะขายให้สหายเต๋าในราคา 57 ล้านหยกสวรรค์… เชิญสหายเต๋าจ่ายหยกสวรรค์ได้!”


 


“อืม… ชุ่ยหลิง เอาหยกสวรรค์ไปจ่าย”


 


เสียงของผู้เยาว์ดังขึ้น แต่กลับฟังดูเย็นชาอย่างที่สุด


 


ความเย็นชาเช่นนี้ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ แต่เป็นความเย็นชาของผู้ที่เห็นทะเลโลหิตมานับไม่ถ้วน!


 


น้ำเสียงนี้ไร้ซึ่งปราณปรุงแต่ง แต่กลับทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหทดสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว


 


อันตราย!


 


คนผู้นั้นสมควรเป็นซัวหมิงจริงๆ!


 


ชุ่ยหลิงนำหยกสวรรค์ไปจ่าย พร้อมกับนำสตรีทั้ง 87 คนกลับห้องไป


 


ชุ่ยหลิงแอบถอนหายใจ สตรีทั้ง 87 คนนี้ หากอยู่ในแคว้นเยว่ย่อมถือเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง หรือถึงขั้นเป็นประมุขนิกาย แต่ชะตากรรมของพวกนางกลับกลายมาเป็นกระถางขัดเกลา


 


นับวัน… นายท่านของข้าก็ยิ่งแข็งแกร่ง…


 


“พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำของนายท่าน…” ชุ่ยหลิงกล่าวอย่างเรียบเฉย แม้นางจะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นกลาง แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าขัดคำสั่งนาง


 


“รับทราบ!”


 


สตรีเหล่านั้นรับคำด้วยความเคารพ เพราะผู้ที่ซื้อพวกนางมานั้นแข็งแกร่ง จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มในงานประมูลสงบคำ และกลายเป็นจ้าวแห่งงานประมูลครั้งนี้


 


ผ่านไปพักใหญ่ ผู้อาวุโสหลิงก็ดำเนินงานประมูลต่อ


 


บรรยากาศงานประมูลเข้าสู่ความตรึงเครียด เพราะหลังจากนี้ จะเป็นการประมูลกระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม


 


กระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นมีเพียง 2 คน ไม่รู้ว่าซัวหมิงผู้นั้นจะช่วงชิงอีกหรือไม่…


 


หากช่วงชิง คนอื่นๆที่ต้องการสมควรต่อสู้แย่งชิงด้วยชีวิตเพื่อให้ได้มา!


 


แต่พวกมันก็หวังว่าไม่ให้เป็นเช่นนั้น… ทำได้แค่หวัง…


 


การประมูลต่อจากนี้คือการประมูลที่สำคัญที่สุดของงาน


 


ผู้อาวุโสหลิงกลืนน้ำลาย ตั้งสติ ก่อนดำเนินการประมูล


 


“จากนี้ถึงคราวของกระถางขัดเกลาใยขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม ทุกท่านคงเฝ้ารอมานาน กระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มนั้นมี 2 คน… คนแรกอยู่กับนิกายเรามา 50 ปี อีกคนเพิ่งทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มได้สำเร็จ พวกนางนับเป็นกระถางขัดเกลาชั้นยอด ราคาเริ่มต้นจึงอยู่ที่ 3 ล้านหยกสวรรค์!”


 


เมื่อสิ้นสุดคำประกาศ งานประมูลที่สมควรคึกคัก กลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาด!


 


เพราะพวกมันกำลังรอให้ซัวหมิงตัดสินใจ หากไม่แล้ว พวกมันจึงจะเริ่มประมูล!


 


“3.01 ล้าน!” เสียงผู้เยาว์คนหนึ่งดังขึ้น


 


ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเผยสีหน้าผิดหวัง ในที่สุดซัวหมิงก็ไม่ยอมปล่อย


 


แม้จะเพิ่มราคาขึ้นเพียง 1 หมื่น แต่ไม่มีผู้ใดกล้าประชันราคา


 


ยามนี้ ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดทั้ง 3 คนนั้นไม่กล้ากล่าวชม พวกมันทำได้เพียงถอนหายใจ ไม่กล้าประชันราคากับหนิงฝาน คงต้องรออีก 50 ปีข้างหน้าจึงจะร่วมงานประมูลใหม่


 


“เอ่อ…” ผู้อาวุโสหลิงยิ้มเจื่อน กระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มกลับจะได้ขายในราคา 3.01 ล้าน ยามนี้สมควรเคาะราคาตัดสิน


 


แต่มันกลับไม่กล้าเคาะราคา แม้เสี่ยวว่านหลูที่อยู่ในที่ลับสีหน้ายังแปรเปลี่ยน


 


ซัวหมิงผู้นี้ทำเกินไป! มันแสดงพลังโดยการสังหารผู้เชี่ยวชาญไปมากมายเพื่อให้ให้ทุกคนหวาดกลัว อย่างน้อย มันควรเปิดทางให้คนอื่นบ้าง


 


บรรยากาศในงานยังคงเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำ


 


“ได้ยินว่าในงานประมูลสามารถใช้ผลไม้แห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่มได้… นี่คือผลไม้แห่งเต๋าของข้า ราคา 5.01 ล้านหยกสวรรค์ ข้าขอใช้มันแทนก็แล้วกัน!”


 


แววตาของสตรีทั้งสองคนที่อยู่เวทีประมูลเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าซัวหมิงผู้นั้นจะกล้าทำเช่นนี้!


 


*อ๊อก!* เสี่ยวว่านหลูที่ซ่อนตัวกระอักโลหิต


 


สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มจำนวนแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง


 


ผลไม้แห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่ม! นี่ซัวหมิงถึงขนาดจะใช้ผลไม้แห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่มแลกกระถางขัดเกลา


 


ยามนั้นเอง ชายชราที่ถูกหนิงฝานซื้อกระถางขัดเกลาตัดหน้าก็ทนไม่ไหว มันชักกระบี่และเตรียมจะมุ่งไปห้องหนิงฝาน


 


ซัวหมิงผู้นั้นกระทำไม่ไว้หน้า ถึงขนาดนำผลไม้แห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่มที่ผู้เชี่ยวตัดวิญญาณต้องการ ออกมาร่วมงานประมูล


 


ไม่ว่าหนิงฝานจะซื้อกระถางขัดเกลาอีกกี่คน มันไม่ตำหนิ แต่นี่ถึงกับเอาผลไม้แห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่มออกมา!


 


แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งก็กรูกันออกมาจากทางเดินด้านข้างของห้องประมูล ทำให้บรรยากาศงานประมูลเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


ผู้ที่มามีทั้งหมด 17 คน ทั้งหมดสวมอาภรณ์ดำ


 


ในคนกลุ่มนั้น มีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น 11 คน ขั้นกลาง 4 คน ขั้นสูง 1 คน และขั้นสูงสุดอีก 1 คน


 


ผู้คนในงานจำได้ว่าคนเหล่านี้คือคนของตระกูลเซี่ยง บางทีคนของตระกูลเซี่ยงอาจถูกซัวหมิงสังหารในสุสาน จึงได้นำคนในตระกูลมาแก้แค้น


 


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับผิดคาด เพราะสายตาคนเหล่านั้นจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสหลิง!


 


พวกมันไม่รู้ว่าซัวหมิงอยู่ที่นี่ พวกมันคิดว่าหลังจากซัวหมิงสังหารจนพอใจ มันก็มุ่งหน้าออกจากเกาะเผิงไหลไปแล้ว


 


บางที คนของตระกูลเซี่ยงอาจใช้ข้ออ้างนี้ มาททำลายงานประมูล และช่วงชิงกระถางขัดเกลาไป!


 


“หลิงกุ่ยคู! เรียกเสี่ยวว่านหลูออกมาเดี๋ยวนี้! น้องชายของข้าถูกสังหารตายในเขตของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ!”


 


“ผู้อาวุโสใจเย็นๆก่อน…” ผู้อาวุโสหลิงยิ้มเจื่อน


 


“ไสหัวไป!” เซี่ยงเหลียวตะคอกด้วยเสียงที่ทรงพลัง จนทำให้หลิงกุ่ยคูถอยหลังไปถึง 10 ก้าว เมื่อหยุดยืนได้มั่นคง มันก็กระอักโลหิต


 


“ข้าจะพูดอีกครั้ง! เจ้าปล่อยให้น้องข้าถูกสังหารตายที่นี่ หนี้แค้นนี้ หากไม่เพราะเห็นแก่นหน้าเสี่ยวว่านหลู ข้าฆ่าเจ้าทิ้งไปแล้ว! เสี่ยวว่านหลู ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


เซี่ยงเหลียวไม่รู้ซัวหมิงอยู่ที่นี่


 


เสี่ยวว่านหลูเองก็โกรธมากจนกระอักโลหิต และหมดสติไปเป็นที่เรียบร้อย มันจะปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร?


 


ในเมื่อเสี่ยวว่านหลูไม่ยอมปรากฏตัว ผู้ช่วยประมุขนิกายอย่างหลิงกุ่ยคูจึงต้องรับหน้า แต่ด้วยแววตาอาฆาตของเซี่ยงเหลียวแล้ว มันก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย


 


“เสี่ยวว่านหลู! ข้าบอกให้เจ้าออกมาไม่ได้ยินหรือไง? ดี! ในเมื่อเจ้าเลือกแบบนี้… สหายทั้งหลาย ข้าต้องขออภัยที่รบกวน วันนี้พวกข้าตระกูลเซี่ยวจะทำลายนิกายกระถางปรุงโอสถให้ราบคาบ… วิชาปีศาจเสียง ‘วารีพิโรธ’!”


 


เซี่ยงเหลียวเงยหน้า บริเวณหน้าอกโป่งพอง ดวงตาปูนโปน ก่อนเปล่งเสียงที่ทรงพลังออกมา!


 


เสียงที่เปล่งด้วยวิชา แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นที่แฝงด้วยพลังทำลายล้าง ตรงเข้าใส่หลิงกุ่ยคู!


 


วิชาระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง วิชาปีศาจเสียง ‘วารีพิโรธ’!


 


คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นสีดำ กระแทกร่างของกระถางขัดเกลาสองคนจนปลิว และได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


แต่เมื่อคลื่นเสียงกำลังจะกระทบร่างหลิงกุ่ยคู แสงสีเทาก็พุ่งออกมาจากห้องแห่งหนึ่ง มาเบื้องหน้าหลิงกุ่ยคู่และกล่าวอย่างเรียบเฉย “สะลาย!”


 


แม้จะกล่าวอย่างเรียบเฉย แต่เสียงนั่นกลับรุนแรงราวกับอัสนีบาต คลื่นเสียงสีดำของเซี่ยงเหลียวถูกทำลายในพริบตา แต่อานุภาพของเสียงเมื่อครู่ยังไม่หมด กระทบเข้าใส่ร่างเซี่ยงเหลียว ผลักให้มันถอยไปหลายก้าว สีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง!


 


วิชาคลื่นเสียงของมันยากที่ผู้ใดจะต้านทาน แต่ผู้เยาว์ที่ผอมบางเบื้องหน้ากลับทำลายได้อย่างง่ายดาย!


 


เพราะเสียงของผู้เยาว์นั้นแฝงด้วยอำนาจสวรรค์ วิชาคลื่นเสียงของเซี่ยงเหลียวจึงไม่อาจเทียบเคียง!


 


“เด็กน้อย! เจ้าเป็นใคร! ข้ามีธุระกับนิกายกระถางปรุงโอสถ เหตุใดเจ้ากล้าสอดมือ? เจ้าไม่รู้เหรอว่าตระกูลเซี่ยงของข้ามีชื่อเสียงขนาดไหน เด็กอย่างเจ้าจะไปเทียบอะไรได้!”


 


แววตาเซี่ยงเหลียวแปรเปลี่ยนมืดมน


 


“บอกมา เจ้าชื่ออะไร? หากเจ้าเป็นแค่เด็กในขุมกำลังที่อ่อนแอ ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


“อืม…” แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนมืดมน


 


ที่หนิงฝานยื่นมือช่วย ไม่ใช่เพราะอยากทำความดี ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้านิกายกระถางปรุงโอสถ


 


“ข้าชื่อ ‘ซัวหมิง’!”


 


ซัวหมิง!


 


ซัวหมิง!!


 


ซัวหมิง!!!


 


คำกล่าวนี้ราวกับอัสนีฟาดผ่าลงกลางทะเลสติของเซี่ยงเหลียว ใบหน้าที่เย่อหยิ่งไม่กริ่งเกรงผู้ใด แปรเปลี่ยนหวาดกลัวอย่างที่สุด!


 


คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นซัวหมิง


 


ปีศาจที่สังหารน้องของมัน ปีศาจที่สังหารผู้เชี่ยวชาญไปมากมาย!


 


ไม่ผิดแน่! คนผู้นี้ให้ความรู้สึกอันตรายร้ายแรง กลิ่นโลหิตที่แผ่ออกมาจากร่างรุนแรง แม้ระดับพลังจะอยู่เพียงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นก็ตาม!


 


เป็นไปได้ยังไง?


 


“ข…ขอบคุณ!” หลิงกุ่ยคูป้องมือให้ซัวหมิง คาดไม่ถึงว่าซัวหมิงผู้นั้นจะช่วยมัน


 


“ไม่ต้องมากพิธี… ท่านจากนิกายกุ่ยเชว่ไปนานมาก ท่านหลิง… หลิงกุ่ยคู!”…

 

 

 


ตอนที่ 204

 

เซี่ยงเหลียวจ้องมองผู้เยาว์เบื้องหน้าอย่างเงียบสงัด แววตาแปรเปลี่ยนเย็นชา แต่แฝงด้วยความหวาดกลัว


 


ซัวหมิง คนผู้นี้สังหารน้องชายของมัน ทั้งยังสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้


 


เหตุใดมันจึงอยู่ที่นี่!


 


กลิ่นอายที่อันตรายถึงชีวิตแผ่ออกมาจากร่างของมัน… หรือคนผู้นี้จะสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงได้จริงๆ?


 


แรงกดดันและกลิ่นอายที่อันตราย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตระกูลเซี่ยงทุกคนสั่นสะท้าน


 


เซี่ยงเหลียวตกตะลึง มันเข่นฆ่าสังหารมาทั้งชีวิต แต่กลับยังไม่อาจเทียบเคียงซัวหมิง!


 


กังวล… หวาดกลัว… เคียดแค้น… ความรู้สึกหลากหลายแล่นอยู่ในใจของมัน


 


ต่อให้ซัวหมิงสังหารหลัวเฟยได้… แต่มันก็สังหารได้เช่นกัน!


 


ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เซี่ยงเหลียวบรรลุถึงจุดตีบตันของขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มเริ่ม หากผ่านจุดนั้นไปได้ ก็บรรลุตัดวิญญาณ!


 


ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ที่มันยกพวกมาบุกนิกายกระถางปรุงโอสถ คิดชิงกระถางขัดเกลาและผลแห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่ม ก็เพื่อเตรียมจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ


 


หากมันทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณได้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณแห่งขุมกำลังใหญ่ทั้ง 10 และผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณไร้สังกัดอีก 3 คน ก็ไม่มีใครต่อกรมันได้! ตระกูลเซี่ยวจะกลายเป็นขุมกำลังอันดับต้นๆของทะเลส่วนนอก


 


ที่สำคัญ ซัวหมิงผู้นั้นจะไม่ใช่ศัตรูที่มันกังวลอีก


 


“ซัวหมิง… บัญชีแค้นที่เจ้าสังหารน้องชายข้ายังไม่สะสาง แต่เจ้ายังมีหน้าออกรับแทนนิกายกระถางปรุงโอสถ! ช่างน่าขันจริงๆ! เป็นแค่เด็กไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้าคิดเหรอว่าตระกูลเซี่ยงของข้าจะยอมอยู่เฉย ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่าโลกนี้ยังมีผู้ที่เหนือกว่าเจ้าอยู่!”


 


เซี่ยงเหลียวไม่เห็นหนิงฝานอยู่ในสายตา


 


“เจ้าคิดว่าทำได้เหรอ?” หนิงฝานเย้ยหยัน


 


“รนหาที่ตาย!”


 


โทสะเซี่ยงเหลียวปะทุ มันก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างองอาจ หนวดและผมขาวพลิ้วไสว แรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ปรากฏ


 


บรรยากาศภายในงานประมูลเปลี่ยนไป ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่อยู่ภายในหายใจลำบาก พวกมันรู้สึกราวกับภูเขาหนักอึ้งกดทับ เมื่อผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นสังเกตุชายชรา สีหน้าก็แปรเปลี่ยนใหญ่หลวง!


 


เซี่ยงเหลียวผู้นี้บรรลุถึงขั้นที่จิตใจและพลังผสานเป็นหนึ่ง พูดอีกนัยคือมันบรรลุถึงจุดตีบตันของขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มแล้ว!


 


เท้าที่ก้าวออกไปของมันราวกับเหยียบไปที่หัวใจของทุกคน


 


เมื่อผู้นำเคลื่อนไหว ผู้เชี่ยวชาญอีก 16 คนของตระกูลเซี่ยงก็ชักอาวุธ ทะยานเข้าจู่โจมหนิงฝาน!


 


เซี่ยงเหลียวอ้าปาก คายกระถางขนาดเล็กออกมา 9 ใบ กระถางเหล่านั้นขยายขนาดจนกลายเป็นกระถางยักษ์ แต่ละใบทรงอานุภาพเทียบเท่าสมบัติวิญญาณขั้นสูงสุด พวกมันลอยสูง กระหน่ำถล่มเข้าใส่บริเวณงานจนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้


 


ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการจู่โจมของกระถางทั้ง 9 ใบ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดลมปั่นป่วน กระอักโลหิต แต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ รอบข้างงานประมูลถูกทำลายจนราบ… แม้ซัวหมิงจะทรงพลัง แต่เซี่ยงเหลียวก็แสดงพลังที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันออกมา


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มยังคงรั้งอยู่โดยรอบเพื่อเฝ้าดูผลการต่อสู้ พวกมันแต่ละคนนำสมบัติป้องกันตัวออกมาต้านรับการจู่โจม


 


พวกมันคิดว่าซัวหมิงต้องได้รับความพ่ายแพ้ เพราะเซี่ยงเหลียวที่ครึ่งก้าวบรรลุตัดวิญญาณ ปราณที่ทรงพลังกว่า 5 พันเกราะ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดก็ไม่อาจรับมือ… แม้ซัวหมิงไม่อาจเทียบชั้นเซี่ยงเหลียวเรื่องระดับพลัง แต่การจู่โจมของมันผสานกับคนของตระกูลเซี่ยงที่เหลือ ย่อมต้องทำให้บาดเจ็บอยู่บ้าง


 


แต่สิ่งที่ปรากฏกลับแตกต่างไปจากที่ทุกคนคาดคิด


 


เพราะในขณะที่คนตระกูลเซี่ยงลงมือ ซัวหมิงก็เคลื่อนไหว!


 


ซัวหมิงก้าวเท้าไปเบื้องหน้า 9 ก้าว แต่ละเก้าแฝงด้วยพลังที่รุนแรง จนทำให้พื้นดินโดยรอบรัศมีพันลี้สั่นสะเทือน เมื่อก้าวเท้าครบ 9 ก้าว ปราณกระบี่ที่ทรงพลังปรากฏ หักล้างแรงกดดันที่ทรงพลังของเซี่ยงเหลียวจนหมดสิ้น!


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น 11 คน ถูกปราณกระบี่ที่ทรงพลังจู่โจมจนกระอักโลหิตอย่างหนักและหมดสติไป เหลือเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง 3 คน และขั้นสูงอีก 1 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้พวกมันทั้ง 4 จะร่วมมือต้านรับปราณกระบี่ แต่ไม่อาจต้านไหว! จนพวกมันทุกคนต้องล่าถอยด้วยสีหน้าแตกตื่น


 


เซี่ยงเหลียวก็แตกตื่นเช่นกัน มันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญกึ่งตัดวิญญาณ ครอบพลังที่รุนแรงน่าเกรงขาม แต่กลับไม่อาจต้านอานุภาพของปราณกระบี่เบื้องหน้าได้อย่างสิ้นเชิง! มันคาดไม่ถึงว่าการเท้าเพียง 9 ครั้ง จะทำให้สำแดงปราณกระบี่ที่ทรงพลังในระดับนี้ได้ ทั้งชีวิตที่ผ่านมา มันเคยเห็นเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณที่เปล่งพลังระดับนี้ได้


 


ความโกรธ เคียดแค้น และอิจฉาฉายขึ้นในแววตาของมัน เพราะซัวหมิงที่เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่กลับสามารถเปล่งพลังเทียบเคียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้


 


เมื่อมันจ้องเข้าไปในดวงตาหนิงฝาน มันเห็นแสงสีแดงโลหิตราวกับแสงดาราวาบผ่านผ่าน แสงนั่นราวกับแฝงด้วยอำนาจของสวรรค์ จนทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดดวงตา


 


ดาราอัสนีปรากฏกลางหน้าผาก แส้อัสนีโลหิตกวัดแกว่งเฆี่ยนฟาด


 


ทุกที่ที่แส้ฟาดลง เทียบเคียงอัสนีฟาดผ่า ทำให้ซัวหมิงในยามนี้ดูราวกับเทพแห่งอัสนี!


 


แส้เฆี่ยนฟาดลงที่กระถางทั้ง 9 ใบของเซี่ยงเหลียว


 


แม้กระถางจะหนักอึ้งราวกับขุนเขา แต่แส้ที่แฝงด้วยอำนาจสวรรค์ เหตุใดกระถางเหล่านั้นจะเทียบเคียง!


 


แม้กระถางทั้ง 9 ใบนั้นจะสร้างขึ้นเลียนแบบสมบัติเซียน แต่ในสายตาหนิงฝาน มันยังไม่ถึงขั้นนั้น


 


ในสายตาของจักรพรรดิสวรรค์เช่นหนิงฝาน แม้ระดับของกระถางทั้ง 9 ใบจะสูง แต่ยังมีข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆอยู่มากมาย หากจะทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆสมควรไม่ใช่เรื่องยาก


 


ยังอ่อนด้อยนัก… แม้จะพยายามเลียนแบบมากขนาดไหน แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงอยู่ดี


 


“ทะลายไปซะ!”


 


หนึ่งแส้ที่เฆี่ยนใส่กระถาง หมายถึงกระถางถูกทำลาย


 


ผ่านไปเพียงพริบตา กระถางทั้ง 9 ใบที่เซี่ยงเหลียวภูมิตใจ กลับเหลือเพียงเศษซากไร้ค่า


 


หนิงฝานเฆี่ยนแส้ใส่จุดที่บกพร่องของกระถางเหล่านั้นอย่างแม่นยำ เมื่อจุดบกพร่องถูกจู่โจมจนเกิดรอยร้าว รูปแบบวิญญาณที่สลักอยู่บนกระถางก็เสียหาย นำมาซึ่งการพังทะลายของกระถางที่ไม่อาจต้านทางการจู่โจมที่ทรงพลังได้


 


สีหน้าเซี่ยงเหลียวแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง กระถางทั้ง 9 ใบคือชุดสมบัติขั้นสูงสุด แต่กลับถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย!


 


เป็นไปไม่ได้! แส้ของซัวหมิงเป็นเพียงสมบัติขั้นสูงสุดระดับกลาง ไม่สมควรทำลายสมบัติของมันได้ง่ายๆเช่นนี้


 


และในชั่วพริบตานั้นเอง สิ่งที่มันคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น!


 


เมื่อกระถางถูกทำลาย อัสนี 9 สายก็ตรงเข้าหามันอย่างรวดเร็ว! อัสนีทั้งหมดนั้นพุ่งตรงเข้าตำแหน่งตันเถียนของมัน เมื่ออันตรายมาเยือนอย่างใกล้ชิด ขนทั่วร่างของมันก็ลุกชัน!


 


มันมีสมบัติคุ้มกันดวงจิตแรกเริ่มเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่สมบัติชิ้นนั้นป้องกันอัสนีได้เพียง 1 สาย เมื่อเกราะถูกทำลาย อัสนีทั้ง 8 สายที่เหลือก็กระหน่ำเข้าดวงจิตแรกเริ่มของมัน กระทั่งสีหน้าแปรเปลี่ยนหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


อัสนีอะไรกัน! แม้เป็นเกราะหยกที่เป็นสมบัติวิญญาณขั้นสูงสุดระดับสูงสุดยังไม่อาจต้านได้


 


“นี่มันวิชาลับของตระกูลซัว! วิชาอัสนีที่ตระกูลวัวถนัด คนผู้นี้เป็นคนของตระกูลซัวจริงๆ! ข้าเป็นถึงกึ่งตัดวิญญาณ เหตุใดอัสนีแค่นี้ถึงต้านรับไม่ได้!”


 


อัสนีฟาดผ่าดวงจิตแรกเริ่มของมันอย่างรุนแรงจนเกือบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ สมควรทราบว่าดวงจิตแรกเริ่มของมันไม่เหมือนดวงจิตแรกเริ่มของผู้เชี่ยวชาญทั่วไป สมควรแข็งแกร่งกว่านับ 100 เท่า แม้ถูกอัสนีของตระกูลซัวจู่โจม มันก็ไม่กลัว


 


แต่อัสนีสีโลหิตที่กำลังจู่โจมมันยามนี้กลับทรงพลังจนคาดไม่ถึง!


 


เซี่ยงเหลียวได้รับบาดเจ็บสาหัส กระอักโลหิตสีทองออกมาเป็นจำนวนมาก กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างลดลงอย่างรวดเร็ว


 


มันอาศัยจังหวะนี้ล่าถอยและขับอัสนีภายในร่างออก แต่ในชั่วพริบตาต่อมา อัสนีอีกระรอกกลับจู่โจมซ้ำจนมันไม่อาจตั้งตัวได้ทัน!


 


มันต้านรับเต็มกำลัง อัสนีแต่ละสายที่ฟาดร่าง ผลักมันร่นถอยไปหลายก้าว


 


เมื่ออัสนีฟาดผ่าไป 8 สาย ใบหน้าของมันแปรเปลี่ยนหมองค้ำอย่างที่สุด ราวกับมันกำลังจะต้านไม่ไหว!


 


มันตกตะลึง แส้อัสนีเบื้องหน้าทรงพลังกว่าวิชาอัสนีของตระกูลวัวจนเทียบไม่ติด!


 


นั่นมันอัสนีอะไร? สมควรไม่ใช่อัสนีที่เกิดจากวิชา แต่สมควรเป็นอัสนีที่ช่วงชิงมาจากสวรรค์!


 


หรือจะเป็นอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์!


 


เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซี่ยงเหลียวดูราวกับเข้าใจบางสิ่ง


 


มันรู้แล้วว่าเหตุที่แส้ของซัวหมิงทรงพลัง เพราะสร้างขึ้นมาจากอัสนีสวรรค์ ทัณฑ์แห่งสวรรค์ที่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำต้องประสบ มันรุนแรงจนยากจะต้านทาน แต่ซัวหมิงผู้นี้กลับฉวยโอกาสนั้น เปลี่ยนให้มันกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลัง


 


ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปไม่อาจทำเช่นนี้ได้ มีเพียงผู้สืบทอดของเทพที่แท้จริงเท่านั้นที่จะทำได้!


 


ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจต้านการจู่โจมของซัวหมิงผู้นี้ได้


 


ผู้ที่ควบคุมทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้ได้ไม่ใช่ผู้ที่มันสมควรยั่วยุ!


 


“พวกเจ้ามาข้าต้านเร็วเข้า!” เซี่ยงเหลียวออกคำสั่ง แต่เมื่อชำเลืองมองคนในตระกูล คนเหล่านั้นกลายเป็นเหมือนตุ๊กตายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว


 


“ปิดบัญชี!” หนิงฝานชี้นิ้วไปยังเซี่ยงเหลียว ใช้วิชาตรึงร่าง!


 


ปลายนิ้วเปล่งแสงเจิดจ้า ร่างของผู้เชี่ยวชาญตระกูลเซี่ยงไม่อาจขยับเคลื่อนไหว!


 


เซี่ยงเหลียวหวาดกลัวอย่างที่สุด ไม่ว่าจะขัดขืนเช่นใดก็ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว! หากมันทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อให้ราดจากการตรึงร่าง อย่างน้อยๆต้องใช้เวลา 1 ลมหายใจ!


 


หากมันอยากรอด มีเพียงวิธีนั้นวิธีเดียว…


 


เมื่อคนของตระกูลเซี่ยงถูกตรึงร่าง หนิงฝานเปลี่ยนจากแส้เป็นกระบี่ เมื่อกระบี่แยกสวรรค์ปรากฏ วงแหวนสายหนึ่งได้ปรากฏล้อมรอบตัวหนิงฝาน


 


วงแหวนนั้นดูราวกับเจตจำนงค์ที่ก่อขึ้นด้วยอานุภาพของกระบี่!


 


วงแหวนเปล่งแสงเจิดจ้า ผสานเข้ากับกระบี่จนกลายเป็นอานุภาพที่ไม่อาจคาดเดา พร้อมกันนั้น ผู้เชี่ยวชาญตระกูลเซี่ยงแต่ละคนรู้สึกเจ็บที่หัวใจอย่างรุนแรง


 


เพลงกระบี่ที่ 4… กระบี่อยู่ที่ใจ!


 


กระบี่ดูทะลวงหัวใจของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นและขั้นกลางทั้ง 15 คนพร้อมกัน กระบี่สำแดงเดช ร่างกายของมันขยายใหญ่กระทั่งระเบิดเป็นหมอกโลหิต ดวงจิตแรกเริ่มถูกทำลายไม่เหลือ!


 


ในจังหวะนั้น ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงอาศัยการทำลายร่างเนื้อ นำดวงจิตแรกเริ่มของตนหนีไปอย่างสุดชีวิต แต่กระบี่แยกสวรรค์ของหนิงฝานแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงติดตามไป ไม่นานกระบี่ก็ไล่ทันและทะลวงดวงจิตแรกเริ่ม จากนั้นนำกลับมาให้หนิงฝาน


 


ผู้เชี่ยวชาญตระกูลเซี่ยงตาย 15 คน ถูกจับอีก 1!


 


เซี่ยงเหลียงกัดปลายลิ้น พ่นแก่นโลหิตผสานกับปราณ ทะลายวิชาตรึงร่างหนิงฝาน… มันเอาชีวิตรอดจากกระบี่อยู่ที่ใจของหนิงฝานได้อย่างคาดไม่ถึง


 


ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้ามองคาดไม่ถึงว่าเซี่ยงเหลียวจะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ถึงแม้หัวใจของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดจะบาดเจ็บสาหัส แต่มันยังทรงพลังไม่เปลี่ยน


 


เซี่ยงเหลียวในยามนี้ตกตะลึงและหวาดกลัว ผมขาวชโลมด้วยโลหิต


 


มันไม่รอดแน่!


 


คราวนี้เท่ากับมันนำคนของตระกูลเซี่ยงมาตาย


 


ซัวหมิงผู้นี้ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ทั้งแส้ ทั้งกระบี่ ทั้งวิธีการที่ไร้หัวใจ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังต้องหวาดหวั่น


 


มันต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้!


 


“ย่างก้าวพริบตา!”


 


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว มันโคจรพลังทั้งหมด เพื่อเตรียมหนีอย่างสุดชีวิต


 


มันรู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือของซัวหมิง แต่เรื่องหลบหนี แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังตามมันได้ยาก ดังนั้น มันจึงมั่นใจว่าซัวหมิงไม่อาจตามทัน


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่รั้งดูการต่อสู้หวาดกลัว


 


ซัวหมิงสามารถทำให้เซี่ยงเหลียวผู้แข็งแกร่งตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ ทั้งยังสังหารคนของตระกูลเซี่ยงไปอีกร่วม 15 คน และจับอีก 1 คนที่อยู่ในสภาพดวงจิตแรกเริ่มไปเป็นๆ


 


ซัวหมิง! ปีศาจกระหายโลหิตซัวหมิง! ผู้ที่เป็นจ้าวแห่งนักแห่งสุสานนิกายกระถางปรุงโอสถ


 


แม้เป็นเซี่ยงเหลียวยังต้องคิดหลบหนี!


 


แต่ชั่วพริบตานั้น เซี่ยงเหลียวขว้างบางสิ่งจนกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งตรงเข้าหาหนิงฝาน เมื่อเขาคว้าจับ แสงนั่นทะลวงผ่านฝ่ามือเข้าไปในร่าง แล้วแปรเปลี่ยนเป็นเข็มขนาดเล็กพุ่งตรงเข้าหาดวงจิตแรกเริ่ม


 


สีหน้าหนิงฝานแปรเปลี่ยน! เขารู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเข็ม ราวกับเคยพบที่ไหนมาก่อน ที่สำคัญ กลิ่นอายที่แผ่ออกมายังเป็นกลิ่นอายของสตรี


 


แม้หนิงฝานจะพยายามโคจรปราณยังยากหยุดยั้ง เข็มเล่มนั้นเคลื่อนเข้าใกล้ดวงจิตแรกเริ่มทีละนิด หนิงฝานเร่งกระตุ้นสร้อยหยินหยาง… มันแผ่พลังป้องกันที่ทรงพลังออกมาคลุมดวงจิตแรกเริ่มเอาไว้ สร้อยหยินหยางคือสมบัติเซียน ใช่ว่าสิ่งใดจะทะลวงการป้องกันได้!


 


เมื่อหนิงฝานเพ่งสัมผัส เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าเข็มเล่มนั้นเป็นเข็มขนาดเล็กเพียงไม่กี่ชุน


 


ช่างเป็นสมบัติที่ทรงพลัง! แม้จะเป็นเพียงเข็มขนาดเล็ก แต่เป็นถึงสมบัติวิญญาณขั้นสูงสุดระดับสูงสุด! หากถูกมันทะลวงดวงจิตแรกเริ่ม แม้ไม่ตายแต่ก็ต้องบาดเจ็บไม่น้อย


 


กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเข็มเป็นกลิ่นของสตรีที่หนิงฝานคุ้นเคย แต่เขานึกไม่ออก!


 


เซี่ยงเหลียวอาศัยช่วงจังหวะที่หนิงฝานต้านเข็ม หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้หนิงฝานจะเร่งความเร็วสูงสุดก็ใช่ว่าจะตามมันทันได้ง่ายๆ ความเร็วที่เทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเช่นนั้น ใครเล่าจะตามทัน?


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา เขาก้มมองรูปสลักศิลาที่อยู่บนฝ่ามือพลางกล่าว


 


“ทหารศิลา ไปจับมันกลับมา!”


 


“รับทราบ!” มีเพียงหนิงฝานที่ได้ยินเสียงของทหารศิลา


 


ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่โดยรอบยังคงตกตะลึงไม่หาย


 


เซี่ยงเหลียว… หนีไปได้…


 


แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอีกไม่นาน ทหารศิลาจะไปจับตัวมันกลับมา


 


การต่อสู่ที่รุนแรงเกิดขึ้นในพริบตา ยามนี้ งานประมูลพังทะลาย ความเงียบสงัดที่ได้ยินเพียงสายลมพัดผ่าน


 


ซัวหมิงผู้นี้แข็งแกร่ง! แม้ไม่ได้สังหารเซี่ยงเหลียว แต่ก็ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสจนแทบเอาชีวิตไม่รอด คนผู้นี้แข็งแกร่งพอที่จะเหยียบย่างไปที่ใดก็ได้ในทะเลส่วนนอก!


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดสามคนนั้นยังไม่จากไป แม้พวกมันไม่ได้ดูแคลนพลังของซัวหมิง แต่พลังที่ซัวหมิงแสดงออกมาเหนือล้ำกว่าที่พวกมันคาดเดาไว้มาก ในหมู่พวกมัน ไม่มีผู้ใดทรงพลังเท่าเซี่ยงเหลียว หากเปลี่ยนเป็นพวกมันที่รับการจู่โจมของซัวหมิง พวกมันคงตาย 2 และหนีไปได้ 1


 


หากพวกมันรู้ว่าหนิงฝานส่งทหารศิลาออกไปตามล่าเซี่ยงเหลียว พวกมันคงหวาดกลัวมากกว่านี้ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีผู้ใดมีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มเป็นทาส แม้เป็นนิกายใหญ่ทั้ง 10 ก็ไม่กล้ายั่วยุคนเช่นนี้


 


ชายชราที่คิดจะจู่โจมหนิงฝานเพราะเอาผลไม้แห่งเต๋าดวงจิตแรกเริ่มออกมาแลกสตรี ยามนี้เหงื่อไหลโทรมกาย มือไม้สั่นเทาไม่อาจถือกระบี่ในมือได้อีก


 


อันตราย! คนผู้นี้อันตรายเกินไป! แม้ตระกูลเซี่ยงจะยกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมา แต่ยังไม่อาจทำอันตรายซัวหมิงได้ ซ้ำยังถูกซัวหมิงสังหารตายอย่างน่าอนาถ


 


หลิงกุ่ยคูก็ตกตะลึง ในยามที่หนิงฝานกล่าวว่ามันคือผู้อาวุโสที่จากนิกายกุ่ยเชว่มานาน มันก็เดาออกทันทีว่าซัวหมิงก็มาจากแคว้นเยว่เช่นกัน และที่อีกฝ่ายยอมยื่นมือช่วย เพราะเห็นแก่ความเป็นคนของนิกายกุ่ยเชว่เหมือนกัน ด้วยความที่มันเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง หากกลับไปแคว้นเยว่ คงกลายเป็นผู้มากพรสวรรค์ที่ยากจะหาคนเทียบเคียง แต่เมื่อมันได้เห็นซัวหมิง ตัวมันไม่นับเป็นอันใด หากหนิงฝานกลับแคว้นเยว่ แคว้นเยว่คงยกระดับกลายเป็นแคว้นระดับกลาง


 


แต่ที่มันสงสัยคือ ซัวหมิงมีอายุกระดูกเพียง 340 ปี มันมั่นใจว่าเมื่อ 300 ปีที่แล้ว ในแคว้นเยว่มีคนเช่นนี้อยู่ และไม่มีผู้ใดที่ชื่อซัวหมิง


 


แม้คนของตระกูลเซี่ยงจะไม่มา งานประมูลก็ตกอยู่ในกำมือของซัวหมิงอยู่ดี กระถางขัดเกลาคงตกอยู่ในมือซัวหมิงทั้งหมด


 


“งานประมูลจบแล้ว พวกท่านทุกคนเร่งออกไปจากเมืองแห่งนี้โดยเร็ว! ข้าซัวหมิงจะรั้งอยู่ที่นี่ หากผู้ใดยังดื้อรั้นจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อ ข้าจะถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนของตระกูลเซี่ยง และจะถูกสังหารทั้งหมด! เกราะดำ… จัดการ!”


 


ปราณกระบี่สีดำกวาดกผ่าน ทหารในชุดเกราะสีดำปรากฏตัว!


 


รอบนอกของเมืองแห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำและประสานวิญญาณของตระกูลเซี่ยงล้อมอยู่ แต่ยามนี้ พวกมันถูกปราณกระบี่ของหนิงฝานสังหารตายในพริบตา


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มในงานประมูลแตกตื่น ซัวหมิงผู้นี้มีทั้งสัมผัสกระบี่ ทั้งยังมีทาสรับใช้ทรงพลัง!


 


ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเร่งหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่มีผู้ใดกล้ารั้งอยู่ต่อ


 


เหตุใดพวกมันต้องอยู่ แม้มีข้อสงสัย เหตุใดพวกมันจะกล้าถาม ในเมื่องานประมูลจบลง พวกมันก็ไม่มีธุระอะไรต้องทำ การที่พวกมันได้เห็นการต่อสู้ที่รุนแรง นับเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างที่สุด ดังนั้น พวกมันจึงป้องมือให้ก่อนเร่งจากไป


 


สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเคารพ


 


แต่ก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดจะจากไป พวกมันก็หันมากล่าว


 


“สหายเต๋าซัวหมิงช่างเก่งกาจ! ข้าคือผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด หลิวเหว่ย หากสหายเต๋ามีเวลา อยากเชิญมาร่วมดื่มชาสักถ้วย”


 


“นับถือ นับถือ! หากเป็นไปได้ข้าขอให้สหายเต๋าซัวหมิงมาเป็นแขกพิเศษของข้า ข้าคือประมุขของเกาะเซียน หนึ่งในสิบขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของทะเลส่วนนอก หากสหายเต๋ามาเยี่ยมเยือน ข้าจะต้อนรับเป็นอย่างดี!”


 


“ฮ่าฮ่า สหายเต๋าซัวหมิงช่างเก่งกาจ! ข้าหลินซู คนของตระกูลหลิน ณ ทะเลส่วนใน หากสหายเต๋ากลับทะเลส่วนในเมื่อใด เชิญสหายเต๋ามาเยี่ยมเยือนข้าบ้าง”


 


เมื่อพวกมันกล่าวจบ หนิงฝานพยักหน้าให้เล็กน้อย


 


ผ่านไป 10 ลมหายใจ เมืองกลางทะเลทรายแห่งนี้ว่างเปล่า ผู้เชี่ยวชาญที่มาเยือนจากไป เหลือแต่คนของนิกายกระถางปรุงโอสถ… ส่วนคนของตระกูลเซี่ยง เหลือเพียงซากศพเท่านั้น


 


คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวหลิงกุ่ยคู แต่หนิงฝานไม่ได้เปิดโอกาสให้มันไถ่ถาม


 


“สหายเต๋าหลิงเร่งเตรียมสถานที่สงบให้ข้าเถอะ ข้าต้องพักแล้ว”


 


“เอ่อ… ย่อมได้!” หลิงกุ่ยคูไม่กล้ากล่าวให้มากความ


 


เรื่องพักผ่อนเป็นเพียงข้ออ้าง ที่จริงแล้วหนิงฝานจะขับเข็มที่อยู่ในร่างออกมา แม้จะมีสร้อยหยินหยางต้านเข็มเอาไว้ แต่หากไม่ขับมันออกมาก็ถือเป็นอันตรายอยู่ดี


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดช่างอันตราย หากหนิงฝานไม่มีทหารศิลาอยู่ เขาอาจตามจับเซี่ยงเหลียวกลับมาไม่ได้


 


หากไม่มีสร้อยหยินหยาง หนิงฝานคงบาดเจ็บสาหัสจากเข็มเล่มนั้น


 


การที่มีทหารศิลาอยู่ เซี่ยงเหลียวคงหนีไปไหนไม่พ้น


 


เหตุที่หนิงฝานไม่ใช้ทหารศิลาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะเขาเลี่ยงที่จะไม่ให้วิหาญสาบสูญล่วงรู้ หากพวกมันรู้ว่าเขาชิงทหารศิลาไป ปัญหามากมายจะตามมา แม้เขาจะไม่กลัวก็ตาม


 


หนิงฝานไม่ชอบปัญหา


 


แม้การมาเยือนดินแดนทะเลทรายแห่งนี้จะต่างไปจากที่คาดคิด แต่ผลที่ได้นับว่าดีไม่น้อย


 


เขาได้กระถางขัดเกลาอย่างที่หวัง ได้ผลไม้แห่งเต๋า… ในระหว่างที่รอให้ทหารศิลากลับมา หนิงฝานจะฟื้นฟูพลังให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม และจะดูดซับกระถางขัดเกลาที่ซื้อมา เพื่อทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง!


 


“ดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง… เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าข้าจะได้บรรลุเร็วขนาดนี้!”


 


แววตาหนิงฝานเป็นประกาย แต่ในใจนั้นยังกังวล


 


แม้ระดับพลังจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ระดับจิตใจของหนิงฝานยังตามไม่ทัน… การยกระดับจิตใจยังนับเป็นปัญหาอยู่


 


หากมีผลแห่งความฝันก็คงดี… ไม่รู้ว่าตอนนี้หมิงเชว่จะเป็นยังไงบ้าง…


 


ในแคว้นสมุทร… สาวน้อยนางหนึ่งยืนบนเมฆเซียนระดับสี่ ในอ้อมกอดมีสัตว์พิรุณขนเงิน ข้างกายมีสัตว์พิรุณในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มอยู่หลายตัว


 


ในขณะที่หนิงฝานกำลังนึกถึงนางอยู่นั้น จู่ๆนางก็จามขึ้น


 


“ฮั๊ดชิ่ว! ท่านปู่ต้องดุข้าแน่… แต่ช่างเถอะ ยังไงท่านปู่ก็ออกมาจากสุสานไม่ได้ ข้าจะไปเกาะที่ข้าเห็นในฝัน ข้าอยากรู้ว่าซือชางคือใคร ทำไมข้าถึงฝันถึงเกาะนั้นทุกวัน”…

 

 

 


ตอนที่ 205

 

เสี่ยวว่านหลูตื่น…


 


มันได้รับรายงานว่าตระกูลเซี่ยงมาหาเรื่องนิกายของมัน มันหวาดกลัว


 


แต่เมื่อได้ยินว่าซัวหมิงออกหน้ารับมือกับตระกูลเซี่ยง ตัวมันที่กำลังจะผ่อนคลายกลับต้องประหลาดใจ เพราะยามนี้ ซัวหมิงพักอยู่ในนิกายของมัน


 


“โชคร้ายแท้ๆ…เหตุใดมันถึงไม่จากไป? หลิงกุ่ยคู่ เรื่องราวเป็นมายังไง? ”


 


“เอ่อ… ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดูเหมือนซัวหมิงผู้นั้นจะรู้จักข้า”


 


“หืม? เจ้าว่าอะไรนะ!”


 


เสี่ยวว่านหลูตกตะลึง


 


“นี่เจ้ารู้จักซัวหมิงเหรอ?”


 


“ไม่ใช้แบบนั้น ข้าไม่รู้จักซัวหมิงเลย…”


 


“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง! ถ้าไม่ใช่เพราะมันเห็นหน้าเจ้า มันจะฆ่าล้างตระกูลเซี่ยงหรือไง? ไม่รู้หล่ะ… ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ต้องชักชวนให้มันเป็นแขกคนพิเศษของนิกายเราให้ได้”


 


“เราเป็นพี่น้อง มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน เรื่องนี้เจ้าต้องช่วยข้า หากได้ซัวหมิงมาเป็นแขกคนพิเศษ นิกายเราย่อมเฟื่องฟู…”


 


ภายในถ้ำแห่งหนึ่งมีน้ำตกที่งดงาม แม้แถบนี้จะเป็นทะเลทราย แต่ภูเขาลูกนี้มีแหล่งน้ำ


 


ภายในถ้ำ ชุ่ยหลิงและเย่หลิงกำลังฝึกฝนกระถางขัดเกลาทั้ง 1100 คน กระถางขัดเกลาส่วนใหญ่อยู่ขอบเขตประสานวิญญาณ แต่ก็มีผู้ที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงและขั้นสูงสุดอยู่หลายสิบคน


 


พวกนางทุกคนถูกประทับตราวิญญาณ และถอนตราประทับของนิกายกระถางปรุงโอสถทิ้ง


 


“จากนี้ไป ข้าและพวกเจ้าทุกคนคือ ‘องครักษ์หญิงตระกูลหนิง’ ให้พวกเจ้าทุกคนเปลี่ยนมาใช้แซ่หนิง… ข้าคือหัวหน้าพวกเจ้า นาม ‘หนิงชุ่ยหลิง’ ส่วนนางคือรองหัวหน้า นาม ‘หนิงเย่หลิง’… เข้าใจหรือเปล่า?”


 


“รับทราบ… แต่เหตุใดต้องแซ่หนิง? นายท่านแซ่ซัวไม่ใช่เหรอ?”


 


“ไว้ข้าจะเล่าให้ฟังหลังเราเข้าไปในแหวนกระถางขัดเกลา…”


 


“พี่ชุ่ยหลิง ข้าขอถามได้หรือเปล่าว่า… แหวนกระถางขัดเกลาคืออะไร?”


 


“มันคือสมบัติประเภทที่อยู่อาศัยที่นายท่านสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง! ภายในนั้นมีพื้นที่กว้างขวาง มีแม่น้ำ ภูเขา ที่ซึ่งข้าและคนอื่นๆฝึกฝนอยู่”


 


“อะไรนะ! นายท่านมีสมบัติที่อยู่อาศัย…” พวกนางตกตะลึงพลางเปล่งเสียงอุทาน


 


“อืม! เอาไว้ข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง… แต่ตอนนี้พวกเราทุกคนคือกระถางขัดเกลาของนายท่าน พวกเราต้องตระหนักถึงสถานะของตนให้ดี เอาหล่ะ ข้าจะบอกกฏเกณฑ์แก่พวกเจ้า….”


 


หนิงฝานที่เฝ้าดูชุ่ยหลิงเอาประกาศกฏเกณฑ์อย่างเอาจริงเอาจัง แอบหัวเราะ ตอนนี้เขามีรังทาสสวาทเป็นของตนแล้ว


 


หนิงฝานถอนสัมผัสเทพกลับจากการเฝ้ามองชุ่ยหลิงและเหล่าสตรีคนอื่นๆ ยามนี้เขาอยู่ในสถานที่หรูหราโอ่โถงแห่งหนึ่ง ในนั้นมีเตียงนอน ไม่ไกลมีสตรีสองนาง เขาจ้องมองพวกนางพลางยิ้มให้


 


สตรีทั้งสองนาง หนึ่งสวมอาภรณ์เหลือง อีกหนึ่งสวมอาภรณ์คราม ใบหน้างดงาม และเป็นถึงกระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม


 


พวกนางจ้องมองหนิงฝานด้วยความนับถือและหวาดหวั่น


 


ในฐานะที่เป็นกระถางขัดเกลา พวกนางรู้ชะตากรรมของตนเป็นอย่างดี ผู้ใดซื้อไป พวกนางก็ต้องปรนบัติคนผู้นั้น


 


แม้ผู้ที่ซื้อไปจะดูดซับพลังพวกนางจนหมด…พวกนางก็ยอม แม้จะถูกกระทำราวกับเป็นสัตว์เลี้ยง…พวกนางก็ยอม แม้ผู้เป็นนายเรียกสหายมาร่วมเสพสม…พวกนางก็ยอม แม้จะถูกสังหารหลังจากดูดซับพลังพวกนางจนหมด…พวกนางก็ยอม นั่นคือชะตากรรมของพวกนาง


 


การที่ได้หนิงฝานเป็นนาย…พวกนางก็มีความสุขแล้ว


 


นอกจากหนิงฝานจะรูปงาม แต่ยังแข็งแกร่งทรงพลังจนน่าหวาดกลัว การได้เป็นกระถางขัดเกลาของคนเช่นนี้ ทำให้พวกนางภาพภูมิใจ


 


พวกนางรู้ว่าการเป็นกระถางขัดเกลาไม่ใช่เรื่องผิด พวกนางเห็นชุ่ยหลิงและเย่หลิงมีชีวิตอย่างอิสระ แม้เป็นกระถางขัดเกลา แต่ยังออดอ้อนผู้เป็นนายได้ ยิ้มได้ หัวเราะได้… ชีวิตของกระถางขัดเกลาเช่นนี้ทำให้พวกนางอิจฉา


 


การได้ยืนต่อหน้าหนิงฝานเช่นนี้ ทำให้พวกนางเกรง


 


เพราะยามนี้ กลิ่นอายโลหิตยังไม่สลายไปจากร่างหนิงฝาน


 


การที่พวกนางถูกเรียกตัวมา เจตนาย่อมีเพียงสิ่งเดียว…คือร่วมรัก แม้พวกนางจะถูกฝึกให้รับมือกับสถานะการณ์เช่นนี้ แต่พวกนายังเลี่ยงกังวลไม่ได้


 


“นายท่าน… พวกข้า…” พวกนางกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย ใบหน้าแดงก่ำ ขาทั้งสองข้างสั่นเทา


 


“อืม… ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะอยากดูดซับพลังพวกเจ้า ระดับพลังในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มของพวกเจ้าจะหายไป แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า และจะคงระดับพลังของพวกเจ้าไว้ที่แก่นทองคำขั้นต้น… พวกเจ้านับเป็นผู้มีพรสวรรค์ หากตั้งใจฝึกฝนตามวิชาที่ข้าให้เสริมกับการใช้โอสถ พวกเจ้าจะฟื้นฟูกลับมายังดวงจิตแรกเริ่มได้ไม่ยาก”


 


“รับทราบ ขอบคุณนายท่านไม่สังหารพวกข้า!”


 


พวกนางกลัวว่าหนิงฝานจะดูดซับพลังของพวกนางจนหมด


 


แต่เมื่อได้ยินว่าจะคงไว้ขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น พวกนางก็ทรุดเข่าและกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา


 


“ลุกขึ้นเถอะ… มานั่งข้างๆข้า”


 


หนิงฝานยิ้มเล็กน้อย เป็นเชิงบอกใบ้พวกนางเตรียมตัว


 


การขัดเกลาผสานนั้นต้องทำให้สตรีบรรลุถึงจุดสูงสุดจึงจะได้ผลดี


 


ตามวิชาแปลงหยินหยางแล้ว ก่อนจะเริ่มดูดซับพลัง ฝ่ายบุรุษต้องทำให้ร่างกายและจิตใจของสตรีผ่อนคลายให้ถึงที่สุด


 


สถานที่หนิงฝานอยู่คือภูเขาที่เงียบสงบ ทิวทัศน์งดงาม มีตำหนักที่ก่อสร้างอย่างโอ่อ่า ขับรับกับทิวทัศน์ที่เงียบสงบ


 


หนิงฝานเอื้อมมือลูบสัมผัสใบหน้าของสตรีอาภรณ์เหลืองเบาๆ จ้องมองนัยตาอย่างอ่อนโยน ทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อน


 


มืออีกข้างรวบกอดสตรีอีกนางอย่างเบามือ เมื่อร่างกายของทั้งสองสัมผัสกัน อุณหภูมิที่แล่นผ่านจากแผ่นอกหนิงฝานเข้าสู่ร่างของนาง ทำให้นางสั่นไหว


 


ยามนี้พวกนางตระหนกอย่างที่สุด


 


“พวกเจ้ามีชื่อว่าอะไร?” หนิงฝานกอดพวกนางเบาๆ พลางโคจรวิชาเย้ายวนยามกล่าวถาม


 


“มะ… ไม่มี ข้าหมายเลข 947 ส่วนนางหมายเลข 38… แต่หากนายท่านจะมอบชื่อให้ พวกข้าก็ยินดี”


 


พวกนางรู้ว่าหนิงฝานแอบโคจรวิชาเย้ายวน แต่พวกนางก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ… ลมหายใจพวกนางเริ่มถี่กระชั้น หน้าอกสะท้อนขึ้นลงเบาๆ ความกังวลและหวาดกลัวค่อยๆเลือนหายไป


 


“เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้… เจ้าสวมอาภรณ์เหลืองดูคล้ายส้ม ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า ‘หนิงเทียนเอ๋อร์’… ส่วนเจ้าชอบอาภรณ์ครามดูคล้ายแหน… ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า ‘หนิงปิงเอ๋อร์’ พวกเจ้าชอบหรือเปล่า?”


 


หนิงฝานลูบสัมผัสหัวไหล่พวกนาง เคลื่อนลงมายังเอวคอดกิ่ว พลางโคจรวิชาดรรชนีคลายหยิน สัมผัสบริเวณหน้าท้องของพวกนางเบาๆ


 


“ขอบคุณนายท่าน~~”


 


น้ำเสียงพวกนางเริ่มสั่นไหว แววตาเริ่มพร่ามัว


 


ร่างกายหนิงเทียนเอ๋อร์เริ่มไร้เรี่ยวแรงอย่างช้าๆ ด้วยการสัมผัสจากหนิงฝาน นางดูราวกับงูที่เอนกายแนบชิด สองมือคล้องแขน เงยหน้าขบกัดที่ลำคอหนิงฝานเบาๆ ลิ้นเลียซุกไซร้ใบหู


 


หนิงปิงเอ๋อร์ก็เช่นกัน ร่างกายนางไร้เรี่ยวแรง หน้าอกคู่งามถูกคว้าจับ จนทำให้ร่างกายของนางกระตุกด้วยความตกใจพลางเปล่งเสียงที่เย้ายวน


 


น้ำเสียงของนางดูราวกับนางผ่อนคลายอย่างที่สุด ราวกับได้ปลดปล่อยความตึงเครียดออกมาอย่างเต็มที่


 


นางปลดอาภรณ์ของตนอย่างช้าๆ เหลือไว้เพียงผ้าบางที่ขวางกั้นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของนาง นางแสดงท่าทียั่วยวน เชื้อเชิญให้หนิงฝานเป็นผู้ปลดมันออก


 


“นายท่าน… ได้โปรด… เบามือกับข้าด้วย”


 


“วางใจเถอะ… เจ้าเป็นกระถางขัดเกลาของข้า ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี”


 


ผ้าบางถูกปลด สองขาขาวนวลราวกับหยกเปิดอ้า เผยให้เห็นสิ่งที่วิจิตงดงามราวกับหยกสลัก ขับเน้นให้เย้ายวนด้วยราตรีมืดสลัว


 


หนิงฝานโคจรวิชาเย้ายวน ลูบสัมผัสกายพวกนางอย่างถนุถนอม


 


เสียงครางกระเส่าดังขึ้นเป็นระยะ


 


เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมที่สุด หนิงฝานเคลื่อนสอดของตน เข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของหนิงปิงเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน


 


“ข้าเจ็บ… อืม… อื้ม~~”


 


“เบาๆ… เบาอีก… อื้ม~ แบบนั้นแหละ…”


 


“นายท่านเก่งจริงๆ… ปิงเอ๋อร์ต้องการท่าน…”

 

 

 


ตอนที่ 206

 

ราตรีผันผ่าน สตรีทั้งสองนางหลับไหลด้วยใบหน้าที่เผยรอยยิ้มแห่งความสุข


 


พวกนางร่วมรักกับหนิงฝานโดยสมัครใจ การร่วมรักจึงเต็มไปด้วยความสุข


 


หนิงฝานสวมอาภรณ์นั่งอยู่บนเบารองข้างเตียง


 


พวกนางถูกหนิงฝานดูดซับพลังจนทำให้เหลือเพียงขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น เดิมทีหนิงฝานมีปราณ 93 เกราะ หลังจากได้พลังพวกนาง เพิ่มเป็น 135 เกราะ!


 


หนิงฝานนำผลไม้แห่งเต๋าแก่นทองคำออกมา 27 ลูก…. หากนำพวกมันไปขายสมควรได้ราคาดี แต่อย่างน้อยๆ พวกมันก็ช่วยเพิ่มปราณได้เกือบ 1 เกราะต่อผล


 


หากกินพวกมันไปทั้งหมด สมควรยกระดับปราณได้ถึง 20 เกราะ! ซึ่งเป็นระดับที่สามารถบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางได้


 


ในหมู่สมบัติที่ได้มาจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่สังหาร ในนั้นมีโอสถผันแปรที่ 4 ‘โอสถก่อแรกเริ่ม’ หนิงฝานตาลุกวาว


 


เพราะโอสถชนิดนี้เพิ่มโอกาสในการทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง


 


หนิงฝานหลับตา โคจรปราณเพื่อดูดซับพลังจากผลไม้แห่งเต๋า และโอสถ เพื่อเตรียมทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง


 


หากหนิงฝานทะลวงขอบเขตได้สำเร็จ การได้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางด้วยอายุเพียง 340 ปี แม้เป็นผู้สืบทอดของเทพโบราณยังอับอาย


 


ภายในตันเถียนหนิงฝาน ดวงจิตแรกเริ่มกำลังอ้าปากดูดกลืนเอาปราณเข้าไปในตันเถียน ทำให้ดวงจิตแรกเริ่มที่ได้รับการหล่อเลี้ยงค่อยๆขยายขนาดขึ้น


 


ส่วนของศีรษะเริ่มปรากฏ แต่ยังไร้หน้าตา มือเท้าปรากฏ แต่ยังไม่อาจเยียดยืด… ยามนี้มันกำลังดูดซับปราณเข้าสู่ร่างอย่างต่อเนื่อง


 


กล่าวอีกนัย การยกระดับสู่ดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง คือการหล่อเลี้ยงให้ดวงจิตแรกเริ่มเติบโต


 


การบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง คือการหล่อเลี้ยงให้ดวงจิตกลายเป็นรูปร่างเหมือนเด็กทารก เมื่อบรรลุสู่ดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง ดวงจิตแรกเริ่มจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ดวงจิตแรกเริ่มจะเติบโตโดยสมบูรณ์ และเมื่อใดที่ดวงจิตแรกเริ่มยกระดับเป็นเทพ ก็จะบรรลุสู่ขอบเขตตัดวิญญาณ


 


หลังจากนั้นไม่กี่วันสตรีทั้งสองนางตื่น พวกนางไม่กล้ารบกวนหนิงฝาน เร่งสวมอาภรณ์แล้วไปเข้าร่วมกลุ่มของชุ่ยหลิงทันที


 


ผ่านไป 1 เดือน ดวงจิตแรกเริ่มของหนิงฝานเติบโตเป็นทารก ระดับพลังแตะขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง สีหน้าหนิงฝานในยามนี้ดูกระจ่างใส ผมยาวขึ้น ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็ก แถบไม่ต่างจากหนิงฝานคนเดิม


 


ทันใดนั้น หนิงฝานก็ลืมตา!


 


“ทะลวง!”


 


ปราณรอบทิศไหลทะลักเข้าสู่ร่างหนิงฝาน แรงกดดันเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากกินผลไม้แห่งเต๋าแก่นทองคำและดวงจิตแรกเริ่ม ปราณของหนิงฝานเพิ่มพูนถึง 182 เกราะ เมื่อรวมกับปราณจำนวนมหาศาลที่ดูดซับเข้ามา ระดับพลังก็เพิ่มเป็น 190 เกราะ


 


เมื่อแรงกดดันบรรลุถึงจุดสูงสุด ตำหนักที่หนิงฝานอยู่ก็พังทะลายจากแรงกดดัน


 


เมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์สีแดงฉานปรากฏเหนือท้องนภา!


 


เมื่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญเห็น จึงรู้ว่ามีคนกำลังจะทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง


 


เหล่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มจำนวนมากแผ่สัมผัสเทพไปตามแหล่งที่มา พบว่าเมฆนั้นอยู่ทางทะเลทรายตอนใต้ของเกาเผิงไหล ซึ่งสถานที่แห่งนั้น เป็นสถานที่ที่ปีศาจร้ายอย่างซัวหมิงเก็บตัวฝึกฝนอยู่ แม้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ไม่รู้ แต่ไม่มีผู้ดใดกล้าไปสำรวจ


 


เขตทะเลทรายตอนใต้ของเกาะเผิงไหล ยามนี้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เดินแดนปีศาจ’ ไม่มีใครกล้าย่างกราย


 


ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นามซัวหมิงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งทะเลส่วนนอก ผู้เชี่ยวชาญแห่งขุมกำลังใหญ่ทั้ง 10 ล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนอยากไปสำรวจ แต่เมื่อรู้ว่าซัวหมิงยังเก็บตัวอยู่ที่นั่น จึงไม่มีใครกล้าไป…


 


การปรากฏขึ้นของเมฆทัณฑ์สวรรค์ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในนิกายกระถางปรุงโอสถตกตะลึง… ก่อนจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ ผู้เชี่ยวชาญต้องเผชิญกับ ทัณฑ์สวรรค์อัสนี ทัณฑ์สวรรค์เพลิง และทัณฑ์สวรรค์วายุ เพียงแต่ ไม่เคยมีทัณฑ์สวรรค์ของผู้ใดเป็นสีแดงเช่นนี้


 


สีแดงหมายถึงความโกรธแค้นของสวรรค์ หมายถึงผู้ที่แหกกฏสวรรค์ เมฆาจึงกลายเป็นสีแดงฉานเหมือนโลหิต


 


เบื้องล่างเมฆสีแดงฉาน ผู้เยาว์ในอาภรณ์ขาวดำเหยียบย่างนภา ในมือถือแส้อัสนีโลหิตเฆี่ยนฟาดเข้าใส่เมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์


 


จนสุดท้าย เมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์ไม่อาจก่อตัวสำเร็จ เพราะถูกแส้ของหนิงฝานฉีกทำลาย


 


“ทัณฑ์สวรรค์แล้วยังไง… ข้ามีดาราอัสนี จ้าวแห่งอัสนี อย่าได้หยิ่งผยองต่อหน้าข้า!”


 


แส้เฆี่ยนฟาดอีกหลายสิบครั้ง ก่อนจะเมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์จะหายไป


 


ผู้เชี่ยวชาญของนิกายกระถางขัดเกลาหวาดกลัว คนเช่นใดถึงกล้าท้าทายสวรรค์! คนเช่นนี้นับเป็นปีศาจที่แท้จริง!


 


เหล่าสตรีของหนิงฝานจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความดีใจ


 


เพราะผู้ที่ฉีกกระชากเมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์คือนายของพวกนาง!


 


เมื่อยามอยู่ดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น ผุ้เป็นนายสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้ ยามนี้บรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ย่อมทรงพลังกว่าก่อนมาก


 


แม้เป็นเมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์ที่เพิ่งปรากฏ ก็ถูกทำลายไปต่อหน้า


 


หนิงฝานกลับเข้าถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อเก็บตัว หลังจากนั้น 10 วันก็ออกมา


 


หนิงฝานกิน ‘โอสถเสริมดวงจิต’ ที่ช่วยให้ระดับพลังของตนเสถียร


 


ยามนี้ ตำหนักที่พังด้วยแรงกดดันของหนิงฝานได้รับการสร้างใหม่


 


นอกจากปราณที่บรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางแล้ว สัมผัสเทพยังบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด!


 


หากใช้ย่างก้าวพริบตา แม้ความเร็วจะรวดเร็วกว่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด แต่ยังช้ากว่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


สัมผัสกระบี่ของหนิงฝานก็ยกระดับแต่ไม่ได้มากนัก เพราะการยกระดับสัมผัสกระบี่ของหนิงฝาน จำเป็นต้องใช้ปราณกระบี่สังหารเทพที่ทรงพลัง


 


แส้อัสนีโลหิต หลังจากทำลายและดูดซับอำนาจจากเมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์ มันก็ยกระดับเป็นสมบัติขั้นสูงสุดระดับสูงสุด


 


หากให้หนิงฝานต่อสู้กับเซี่ยงเหลียวอีกครั้ง นอกจากจะสังหารมันได้ ยังสามารถจับมันมาเป็นๆได้ เพราะย่างก้าวพริบตาของเขายามนี้ รวดเร็วจนกลายเป็นฝันร้ายของเซี่ยงเหลียว


 


“ยินดีด้วยนายท่าน ขอให้ท่านแข็งแกร่งเหนือผู้ใด เป็นผู้ครอบครองเกาะเผิงไหล!”


 


เหล่ากระถางขัดเกลาทั้งหมดกล่าวอย่างพร้อมเพรียงด้วยน้ำเสียงเคารพ


 


แม้ยามนี้จะมีกระถางขัดเกลาเพียงพันคน แต่ในอนาคตอาจมีเป็นหมื่น เป็นแสน กระทั่งอาจเป็นล้าน


 


“อืม… พวกเจ้าฝึกฝนต่อเถอะ อีก 10 วันให้หลังเราจะไปจากที่นี่!”


 


“นายท่าน… ประมุขนิกายกระถางปรุงโอสถ…เสี่ยวว่านหลู มาขอพบท่าน” ชุ่ยหลิงกล่าว


 


“ให้เข้ามา!”


 


หนิงฝานไม่ได้สนใจเสี่ยวว่านหลู แต่เขาพอจะเดาได้ว่า ที่มันมาเพราะอยากเทียบเชิญตนให้เป็นส่วนหนึ่งของนิกายกระถางขัดเกลา เพื่ออาศัยความแข็งแกร่งของหนิงฝาน


 


หนิงฝานไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขามีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่า


 


ตอนนี้หนิงฝานมีเข็มเงินที่ถอนออกมาจากในร่าง


 


หนิงฝานอ่านความทรงจำของคนตระกูลเซี่ยง แม้ค้นความทรงจำของเซี่ยงเหลียวก็ยังไม่พบที่มาของเข็ม รู้เพียงว่าเข็มเล่มนี้ได้มาจากลานสวรรค์โบราณส่วนนอกโดยบังเอิญ


 


เหตุที่หนิงฝานสนใจเข็มเล่มนี้เป็นเพราะ มันสามารถลอบจู่โจมได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว


 


ในหมู่เชี่ยวชาญ ผู้ที่มีสมบัติอย่างสร้อยหยินหยางเหมือนหนิงฝานคงมีเพียงหยิบมือ ดังนั้นหากใช้เข็มลอบจู่โจมผู้เชี่ยวชาญทั่วไป คนเหล่านั้นสมควรถูกสังหารได้ง่ายๆ


 


อีกอย่างที่หนิงฝานสนใจ คือเข็มเล่มนี้มีกลิ่นหอมของสตรีนางหนึ่ง


 


เมื่อขบคิดอยู่หลายครั้งจึงจำได้ว่า กลิ่นหอมนี้เป็นของศพนางสวรรค์ที่อยู่ในโลง!


 


บางที… เข็มเล่มนี้นางอาจเคยใช้มาก่อนตาย


 


ที่สำคัญ ศพนางสวรรค์และมู่เหว่ยเหลียงสมควรเกี่ยวพันกัน


 


ตอนนี้หนิงฝานยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับศพนางสวรรค์ได้ หากทำได้ หนิงฝานจะอ่านความทรงจำนาง แต่ด้วยนางไม่มีดวงจิตในร่าง จึงไร้ซึ่งทะเลสติให้อ่านความทรงจำ


 


เดี๋ยวก่อน… ศพนางสวรรค์ไม่มีจิตวิญญาณ


 


“หรือเหว่ยเหลียงคือนางสวรรค์… เป็น 1 ใน 3 จิตวิญญาณเซียน 7 จิตวิญญาณมนุษย์” ด้วยเหตุผลนี้ทำให้อธิบายได้ว่า เหตุใดมู่เหว่ยเหลียงถึงได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนศพนางสวรรค์ แต่เหตุที่พวกนางมีกลิ่นอายต่างกัน เพราะมู่เหว่ยเหลียงเป็นดวงจิต 1 ส่วนของทั้งหมด


 


ดังนั้น ดวงจิตของนางจึงยังสมควรวนเวียนอยู่ในลานสวรรค์โบราณ


 


การที่จิตวิญญาณของนางปรากฏในป่าแห่งภูติพราย อธิบายได้ว่าป่าแห่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของลานสวรรค์โบราณ!


 


แต่เหตุใดจิตวิญญาณของหนิงหงหงถึงได้อยู่ในป่าแห่งภูติพรายเช่นกัน เป็นไปได้ว่า ช่วงเวลานั้นนางไปหาสมบัติในลานสวรรค์โบราณและตกตายที่นั่น จึงถูกนำจิตวิญญาณมายังป่าแห่งภูติพราย


 


การที่ป่าแห่งนั้นตั้งอยู่บนแคว้นเยว่ ก็อาจเป็นไปได้ว่า บนแคว้นเยว่มีเส้นทางที่จะนำไปสู่ลานสวรรค์โบราณ!


 


“ลานสวรรค์โบราณ…”


 


หนิงฝานนึกถึงหานหยวนจี๋


 


อีก 90 ปีทางเข้าลานสวรรค์โบราณจะเปิดออก ซึ่งเป็นวันที่เทพกษัตริย์เนี่ยจะมาเยือน


 


หากเทพกษัตริย์สามารถเดินทางเข้าสู่ลานสวรรค์โบราณได้ แสดงว่าโลกปีศาจก็มีทางเข้าลานสวรรค์โบราณ นั่นหมายความว่า มันก็สามารถเดินทางมาแคว้นเยว่ได้เช่นกัน


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็หวนถึงวิหคทมิฬ… เหตุใดวิหคทมิฬถึงได้สิ้นใจในนิกายกุ่ยเชว่ หรืออาจเป็นเพราะเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงในลานสวรรค์โบราณ วิหคทมิฬจึงตกลงมายังแคว้นเยว่!


 


แต่เหตุใดอีกร่างของแม่ชีพรหมจรรย์จึงอยู่ใรแคว้นเยว่ เหตุใดหานหยวนจี๋จึงอยู่ในแคว้นเยว่… ยามนี้สิ่งที่หนิงฝานสนใจที่สุดคือการหาวิธีรักษาเหม่ยน้อย…คนรักของหานหยวนจี๋ ยามนี้เขายังไร้ความหวัง บางทีอาจมีโอสถบางชนิดอยู่ในลานสวรรค์โบราณ


 


ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น แคว้นเยว่สมควรเป็นสถานที่ไม่ธรรมดา


 


ไม่แปลกที่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำอย่างหนานหยางสื่อจะได้พบกับศพนางสวรรค์จากลานสวรรค์โบราณ…


 


ชิ้นส่วนต่างๆของเรื่องราว ทำให้หนิงฝานสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้าง


 


อย่างเรื่องที่กุ่ยเชว่สื่อสร้างนิกายกุ่ยเชว่เพื่อปกป้องหุบเหขาวิหคทมิฬ


 


เรื่องที่วิหคทมิฬตายและให้กำเนิดสมุนไพรปีศาจ เรื่องที่ศิษย์นิกายกุ่ยเชว่ต้องเข้าไปสังหารภูติผีในป่าแห่งภูติพราย เรื่องที่ภูติผีบางตนเคยอยู่ในลานสวรรค์โบราณ เมื่อถูกกักอยู่ในป่าแห่งภูติพราย พวกมันก็ทรงพลังขึ้น


 


ป่าแห่งภูติพรายสมควรมี 9 ชั้น แต่ในโลกพิรุณกลับมีเพียง 7 ชั้น ดังนั้น อีก 2 ชั้นสมควรอยู่ในลานสวรรค์โบราณ


 


หากทางเข้าลานสวรรค์เปิดออก ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมหาศาลจะกรูกันเข้าไปภายใน


 


ในอีก 90 ปีข้างหน้า นอกจากหนิงฝานจะต้องสังหารเทพกษัตริย์เนี่ย เขายังต้องหาทางรักษาคนรักของหานหยวนจี๋ด้วย


 


“น่าปวดหัวจริงๆ…”


 


หนิงฝานสลัดความความคิดต่างๆ แคว้นเยว่เป็นสถานที่ลึกลับ เขาต้องกลับไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง


 


เมื่อสมองผ่อนคลาย หนิงฝานก็ขบคิด ว่าจะกลับไปแคว้นหวู่เพื่อตามหาศพของหนิงหงหง


 


แต่ตอนนี้ สิ่งที่ต้องทำคือยกระดับพลังของตนเสียก่อน


 


เรื่องที่จะอ่านความทรงจำของศพนางสวรรค์ หนิงฝานต้องแข็งแกร่งพอจึงจะทำได้ ยามนี้… วิธีที่จะยกระดับพลังได้เร็วที่สุดคือการดูดซับพลังจากอสูร 2 นางที่หนิงฝานจับตัวมา และต้องสลักรอยสักปีศาจโลหิตเพื่อยกระดับร่างกาย… ก่อนหน้านี้หนิงฝานสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มไป 12 คน สมควรช่วยให้เขายกระดับถึงขอบเขตกระดูกเงินที่ 2 ได้ แต่ยามนี้สังหารเพิ่มไปเป็น 17 คน สมควรช่วยให้เขายกระดับถึงขอบเขตกระดูกเงินที่ 3 ได้ไม่ยาก


 


สิ่งที่ต้องทำ อย่างแรกคือยกระดับร่างกาย อย่างที่สองคือดูดซับพลังจากอสูร 2 นาง และสุดท้าย… จัดการกับศพนางสวรรค์!


 


หนิงฝานเรียกทหารศิลาพลางนำศพในกระเป๋าออกมา


 


“ทหารศิลา ข้าเตรียมโลหิตมาครบพร้อมแล้ว เจ้าช่วยข้าสลักรอยสักปีศาจโลหิตได้หรือเปล่า?”


 


“เจ้ายังไม่ได้ช่วยเหลือนายหญิงน้อยเลย ข้าไม่ทำให้หรอก!” ทหารศิลาปฏิเสธ


 


“ข้าไปแน่ไม่ต้องห่วง!” หนิงฝานขมวดคิ้ว


 


ทหารศิลาเงียบอยู่นานก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างไร้หนทาง


 


“หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด! เอาเป็นว่าข้าจะช่วย แต่บอกไม่ก่อนว่ามันเจ็บมาก!”


 


“ยิ่งเจ็บยิ่งดี ข้าชอบ…”


 


หนิงฝานพับแขนเสื้อพลางนำโอสถจักรพรรดิหยกออกมา


 


แต่เมื่อทหารศิลาเห็นโอสถจักรพรรดิหยก แววตามันเปล่งประกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


 


“นี่… โอสถจักรพรรดิหยก เจ้ามีได้ยังไง? เจ้าเป็นใคร?”


 


“ไม่ต้องรู้หรอก สลักรอยสักปีศาจโลหิตให้ข้าได้แล้ว”


 


“เจ้าต้องเป็นตัวแทนของโลกทั้ง 9 เพื่อช่วยนายหญิงน้อย… ถึงระดับพลังจะไม่บรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยก แต่ก็มีโอกาสไปเยือนแดนสวรรค์…” ทหารศิลากล่าว


 


“น่าสนใจดี!” หนิงฝานสนใจในสิ่งที่ทหารศิลากล่าว เขาเองก็อยากรู้เรื่องราวของสวรรค์เช่นกัน…

 

 

 


ตอนที่ 207

 

4 แดนสวรรค์… 9 แดนพิภพ…


 


โลกทั้ง 9 ใบคือเปรียบเหมือนแดนสวรรค์ระดับล่าง ในบรรดาโลกทั้งหมดนั้น โลกที่แข็งแกร่งที่สุด จัดลำดับได้เป็น โลกปีศาจ โลกอสูร โลกเซียน โลกเซียนพิภพ ตามด้วยโลกแห่งธาตุทั้ง 5 ได้แก่ โลกพิรุณ โลกกระบี่ โลกเพลิง โลกภูเขา และโลกต้นไม้ ระดับพลังสูงสุดของโลกทั้ง 9 ใบคือขอบเขตไร้แบ่งแยก และผู้ไม่อาจบรรลุเซียน ผู้ไม่อาจบรรลุเซียนอสูร ผู้ไม่อาจบรรลุเซียนปีศาจ กลุ่มคือผู้ที่ไม่อาจบรรลุความเป็นเซียนได้สำเร็จ


 


แดนสวรรค์ทั้ง 4 ประกอบด้วย ทะเลเหนือล่องสวรรค์ ทะเลตะวันออกไร้สวรรค์ ทะเลตะวันตกแห่งพรหม และทะเลใต้จักรพรรดิสรรค์ ในแต่ละแห่งจะมีสถานที่ตั้ง ‘ตำหนักเซียน’ ประจำขุมกำลังที่ปกครอง… ทะเลตะวันออกปกครองโดย ‘ศาลาไร้ธรรม’ ทะเลเหนือปกครองโดย ‘วิหารสาบสูญ’


 


4 ขุมกำลังใหญ่มักจะส่งผู้สืบทอดของตนลงมายังโลกทั้ง 9 เพื่อหาประสบการณ์ และหาผู้ที่เป็นตัวแทนของโลก ที่จะมีโอกาสขึ้นไปเยือนแดนสวรรค์ แต่ผู้ที่ได้สิทธิ์นั้น ต้องเข้าร่วมกับขุมกำลังนั้นๆด้วย


 


แดนสวรรค์ทั้ง 4 มีชื่อเรียกหลากหลาย มีทั้ง ‘แดนมหาสมุทรทั้ง 4’ และ ‘โลกที่แตกสลาย’ เป็นส่วนหนึ่งของลานสวรรค์โบราณที่มนุษย์สามารถยกระดับตนให้ขึ้นมาได้


 


เมื่อเผ่าอสูรบรรลุเซียน พวกมันจะไม่ขึ้นไปยังแดนสวรรค์ทั้ง 4 แต่จะไปยัง ‘ดินแดนวิญญาณอสูร’… ข่าวลือว่าที่แห่งนั้นแบ่งออกเป็น ‘โลกที่ตื่นขึ้น’ และ ‘โลกแห่งความฝัน’ แต่รายละเอียดของมันนั้น ทหารศิลาไม่ทราบ


 


เผ่าปีศาจเองก็เช่นกัน เมื่อพวกมันบรรลุความเป็นเซียน พวกมันจะไปยัง ‘หุบเหวปีศาจโบราณ’


 


ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นคำบอกเล่าของทหารศิลา ที่หนิงฝานเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก


 


“ซัวหมิง หากเจ้ายอมเป็นตัวแทนของวิหารสาบสูญ นายหญิงน้อยสามารถพาเจ้าขึ้นไปยังแดนสวรรค์… เจ้าคงรู้ดีว่าว่าการที่ผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกจะบรรลุเซียนนั้นยากขนาดไหน… การจะบรรลุเซียนได้นั้น ต้องมี ‘พรแห่งเทพ’ และ ‘อำนาจแห่งเพลิงผลาญ’ จึงจะช่วยให้บรรลุเซียนได้ง่าย”


 


“ขอข้าคิดดูก่อน…”


 


หนิงฝานนิ่งเงียบ


 


การได้เป็นตัวแทนของวิหารสาบสูญนับเป็นเรื่อบที่เย้ายวนใจ เพราะตามความทรงจำจักรพรรดิสวรรค์ การยกระดับพลังจะถึงอยู่แค่ขอบเขตไร้แบ่งแยก แต่เมื่อบรรลุถึงขอบเขตไร้แบ่งแยกแล้ว ความทรงจำของจักรพรรดิสวรรค์ก็จะไม่มีประโยชน์อีก


 


เขาต้องบรรลุเซียนเหมือนกับผู้เชี่ยวชาญทั่วไป ซึ่งมีไม่ถึง 1 ใน 100 ส่วนที่ทำสำเร็จ


 


หากได้เป็นตัวแทน จะบรรลุเซียนได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่… การเป็นตัวแทนหมายถึงต้องเข้าร่วมวิหารสาบสูญ ซึ่งหนิงฝานไม่อยากทำแบบนั้น


 


หนิงฝานแตกต่างจากเป่ยเซี่ยวเหมินผู้ท้าทายสวรรค์ การเลือกเข้าร่วมวหารสาบสูญเพื่อบรรลุเซียนย่อมดีกว่า อีกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนายหญิงน้อยของทหารศิลาอาจจะดีขึ้น


 


ยามนี้หนิงฝานยังไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ตนเองจะเป็นเซียน จึงยังไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้ในยามนี้ การยอมรับที่จะเป็นตัวแทนของขุมกำลังในแดนสวรรค์ เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ถ้วนถี่ อย่างน้อยๆก็อยากจะถามอาจารย์ของตนก่อน เขาอยากให้อาจารย์ได้ไปแดนสวรรค์ด้วย


 


“เรื่องนี้ในอนาคตค่อยว่ากัน… ตอนนี้สลักรอยสักปีศาจก่อน” หนิงฝานกล่าวอย่างเรียบเฉย


 


“อืม…” ทหารศิลาเข้าใจ มันไม่อยากบังคับ หากหนิงฝานไม่เป็นศัตรูกับวิหารสาบสูญแต่แรก ป่านนี้คง…


 


“วิชาสลักนี้สืบทอดมาจากเผ่าปีศาจโบราณ นามว่า ‘เผ่าสลักศิลา’ แม้วิชานี้จะถูกเปิดเผยอย่างแพร่หลาย แต่เผ่ามนุษย์ยังไม่รู้จัก… แต่ข้าก็ไม่ได้รู้จักเผ่านี้มากนัก รู้แค่ว่า ในสมัยโบราณกาล เผ่านี้ใช้วิชาสลักของตน สร้างเส้นลมปราณเทพปีศาจโบราณขึ้นมาได้! ฮ่าฮ่า นอกเรื่องไปเยอะ… พูดง่ายๆก็เผ่าอสูรและเผ่าปีศาจมีร่างกายที่แข็งแกร่งกระทั่งสามารถทนต่อวิชาสลักได้… รอยสักที่ข้าจะสลักให้เจ้าคือ รอยสักปีศาจระดับทหาร… การสลักนั้นขั้นต่ำต้องสลัก 7 เข็ม มากสุด 99 เข็ม ค่อยๆสลักไปที่ละจุดกระทั่งครบจำนวน… ข้าขอเตือนว่าขั้นตอนการสักนั้นเจ็บมาก”


 


“เจ้านี่พูดมากจริงๆ…”


 


“ก็มันเจ็บจริงๆนี่นา… ถึงร่างกายของข้าจะแข็งแกร่ง แต่พอสลักไปถึงเข็มที่ 13 ร่างของข้าแทบสลาย… ขนาดผู้สืบทอดในแดนสวรรค์ที่มากพรสวรรค์ อย่างมากก็ทนได้ไม่เกิน 24 เข็ม… ดังนั้น การสลักนี้จึงไม่นิยมใช้กับคนทั่วไป จะใช้แค่กับทาสอย่างพวกข้าเท่านั้น…”


 


“งั้นหมายความว่า ถ้าข้าเรียนวิชาสลักกับเจ้า ข้าก็จะสามารถสักกับทาสหรือศพที่ข้าสร้าง จนมันยกระดับร่างกายถึงขอบเขตกระดูกหยกได้ใช่!”


 


ถ้าเป็นแย่างนั้นจริง หนิงฝานจะสามารถยกระดับเกราะทมิฬ หรือกระทั่งศพที่เขากำลังจะสร้างให้บรรลุถึงขอบเขตกระดูกหยกได้ คราวนี้เขาจะได้ทาสในขอบเขตตัดวิญญาณ ที่แข็งแกร่งพอจะรุกรานโลกพิรุณ


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก วิชาสลักไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หากเจ้าไม่มีเวลาเป็นพันปี เจ้าก็เรียนรู้ไม่ได้ หรือต่อให้เรียนรู้ได้ เจ้าต้องสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มนับร้อยเพื่อเอาโลหิตของพวกมันมาให้ศพของเจ้ายกระดับร่างกาย อีกอย่าง ยังเคยมีใครลองสลักกับศพ จึงไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า… เอา ‘เข็มเซียน’ มาให้ข้ายืมหน่อย”


 


“เข็มเซียน?”


 


หนิงฝานยื่นเข็มเล่มหนึ่งให้ทหารศิลา


 


“อา… นี่คือเข็มของนางสวรรค์แห่งลานสวรรค์โบราณ ที่ใช้งานเย็บปักถักร้อย หากเจ้ามีโอกาสได้ไปเยือนลานสวรรค์โบราณ เจ้าก็จะได้เห็น… เข็มเซียนนี้เหมาะกับวิชาสลัก การสลักนั้นแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน… ขั้นตอนแรกคือการลงเข็ม ขั้นตอนที่สองคือการถ่ายโลหิตเข้าไปยังรอยสัก และขั้นตอนสุดท้ายคือการกระตุ้นรอยสัก…”


 


หนิงฝานปลดอาภรณ์ท่อนบน เผยแผ่นหลังที่เล็กและดูไม่แข็งแกร่ง ทำให้ทหารศิลาขมวดคิ้ว


 


“ร่างกายผอมบาง อย่างมากคงทนการสลักได้แค่ 7 เข็ม… การสลักก็ว่าเจ็บแล้ว โอสถจักรพรรดิหยกก็เจ็บยิ่งกว่า แม้เป็นเทพยังหวาดกลัวอานุภาพของมัน ข้าแนะนำว่า ยามที่สลักเจ้าห้ามกินโอสถจักรพรรดิหยกเด็ดขาด”


 


“เจ้าไม่ต้องกังวล…” หนิงฝานไม่ได้บอกทหารศิลาว่าสามารถใช้ความเจ็บข่มความเจ็บได้ ต่อให้สลักไปกี่รอย แต่โอสถจักรพรรดิหนกสมควรหักล้างความเจ็บได้


 


“จะเริ่มเข็มแรกแล้ว!”


 


เข็มในมือทหารศิลาเปล่งประกายเจิดจ้าง ก่อนเคลื่อนแทงเข้าไปบนแผ่นหลังหนิงฝานลึก 3 ชุน จากนั้นถ่ายโลหิตที่ผ่านการควบกลั่นด้วยวิชามาลงไปหนึ่งหยด


 


ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วแผ่นหลังหนิงฝาน เขาขมวดคิ้วแน่น มันเจ็บปวดเหมือนทหารศิลาว่า แต่ยังไม่มากพอที่จะทำให้หนิงฝานเปล่งเสียง


 


ทหารศิลาประหลาดใจ มันคาดไม่ถึงว่าผู้เยาว์ร่างกายผอมบางจะสามารถทนกับความเจ็บปวดระดับนี้ได้


 


แต่ละเข็มที่สลักนั้น จะทำให้ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะทนไม่ได้


 


ผู้เยาว์เบื้องหน้าทั้งมากพรสวรรค์และมีจิตใจแน่วแน่ ทำให้ทหารศิลานับถือ


 


แม้ซัวหมิงผู้นี้จะเป็นศัตรู แต่ก็สมเป็นบุรุษ!


 


หากไม่เพราะเป็นศัตรู ทหารศิลาคงอยากคบหาหนิงฝานเหมือนเพื่อน


 


“เข็มที่ 2!”


 


แล้วความเจ็บก็เพิ่มขึ้น 1 ใน 10 ส่วน แต่ดูเหมือนหนิงฝานจะยังทนได้


 


เข็มที่ 3… เข็มที่ 4… แม้ถึงเข็มที่ 6 หนิงฝานก็ยังไม่ส่งเสียง แต่เมื่อสลักถึงเข็มที่ 7 ทหารศิลาก็เริ่มตระหนก เพราะเข็มนี้จะเป็นตัดสินว่า การสลักครั้งนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว


 


“ถ้าเจ็บก็บอกนะ… เข็มที่ 7!”


 


เมื่อเข็มที่ 7 ฝังลงไปบนแผ่นหลังหนิงฝาน รอยสักก็ดูเป็นรูปเป็นร่าง


 


แต่ความเจ็บที่สั่งสมมานั้น ทำให้หนิงฝ่านต้องลืมตา


 


เขาพยายามขบฟัน และไม่เปล่งเสียงร้อง


 


ยัง… ยังไม่พอที่จะให้ใช้โอสถจักรพรรดิหยก…


 


แววตาของทหารศิลาแสดงออกถึงความนับถือหนิงฝานมากขึ้น เพราะความอดทนของผู้ที่ชื่อซัวหมิง เป็นผู้ที่คาดไม่ถึงจริงๆ


 


“ต่อเลยอย่าหยุด!”


 


“ได้!”


 


ในเมื่อทหารศิลายังทนได้ 13 เข็ม ตนเองก็ไม่น่ามีปัญหา


 


ทหารศิลาคิดว่า หากหนิงฝานร้องออกมาเมื่อใด เมื่อนั้นคงถึงขีดจำกัด ทหารศิลาคงต้องหยุดมือ เพราะมันคิดว่า หนิงฝานย่อมไม่มีทางร้องบอกให้หยุด!


 


เข็มที่ 8… 9… กระทั่งถึงเข็มที่ 13! เข็มที่ทหารศิลาไม่อาจต้านทานไหว หนิงฝานในยามนี้เหงื่อท่วมตัว แต่เขายังไม่ร้องออกมาสักคำ!


 


เข็มที่ 14… 15… กระทั่งถึงเข็มที่ 24! เป็นจำนวนที่ผู้สืบทอดในแดนสวรรค์ไม่อาจต้านทาน แต่หนิงฝานยังทนได้ ยามนี้ ใบหน้าหนิงฝานซีดขาวดูไม่ค่อยดี


 


เข็มที่ 25… 26… กระทั่งถึงเข็มที่ 31! ร่างกายหนิงฝานสั่นเทาอย่างรุนแรง แม้เขาไม่เปล่งเสียงร้อง แต่ดูเหมือร่างกายจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว


 


ทหารศิลากลืนน้ำลายอึกใหญ่! หากเรื่องที่หนิงฝานทนได้ถึง 31 เข็มแพร่งพรายในแดนสวรรค์คงปั่นป่วนวุ่นวาย การที่ซัวหมิงทนได้มากขนาดนี้ สมควรกล่าวได้ว่า จิตใจของเขาแข็งแกร่งดั่งหินผา


 


บนแผ่นหลังหนิงฝานปรากฏรอยสักรูปหมู่เมฆและภูเขา


 


“เอาหล่ะ 31 เข็มก็มากพอแล้ว!”


 


“ยังไม่พอ! ข้าต้องสลักให้ได้… 99 เข็ม!”


 


“ไม่ได้! ร่างกายของเจ้ามาถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้ายังขืนดึงดัน ร่างกายของเจ้าจะทนเจ็บไม่ไหวซะก่อน…” ทหารศิลาเป็นห่วงหนิงฝาน


 


หนิงฝานสังเกตุเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของทหารศิลา


 


การที่แสดงความเป็นห่วงต่อศัตรูเช่นนี้นับเป็นเรื่องแปลกอย่างที่สุด


 


“ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องใช้โอสถจักรพรรดิหยกแล้ว…” แววตาหนิงฝานเป็นประกาย ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วง หนิงฝานก็กล้าที่จะบอกความลับ


 


“ข้าอยากเห็นว่าโอสถจักรพรรดิหยกและรอยสักของเจ้า มันจะเจ็บสักแค่ไหน!”


 


แล้วหนิงฝานก็กินโอสถจักรพรรดิหยกเม็ดที่ 4!


 


สีหน้าทหารศิลาแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง


 


“นี่เจ้าเป็นบ้าอะไร! แค่รอยสักก็ยากจะทนแล้ว เจ้ายังกินโอสถจักรพรรดิหยกเข้าไปอีก… เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง! ”


 


เมื่อโอสถเข้าไปในร่าง โอสถก็เริ่มออกฤทธิ์ เส้นลมปราณและอวัยวะต่างๆเริ่มถูกทำลายแล้วสร้างใหม่ ซึ่งความเจ็บระดับนั้น สามารถหักล้างกับความเจ็บจากการสลักได้!


 


ซึ่งนี่เป็นการยกระดับร่างกายที่รวดเร็วมาก


 


“ต่อเลย!” หนิงฝานกล่าวอย่างเย็นชา


 


ทหารศิลานิ่งอึ้ง แต่ความแน่วแน่ของหนิงฝานทำให้มันหวั่นไหว


 


มันเริ่มหวาดกลัวหนิงฝาน!


 


มันไม่ได้หวาดกลัวผนึกที่หนิงฝานฝังไว้บนร่างมัน แต่หวาดกลัวจิตใจที่โหดเหี้ยม!


 


เมื่อยามที่หนิงฝานเป็นคนธรรมดา เขากล้าเข้าไปยังอาณาเขตของราชาหมาป่า เพื่อล่อให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไล่ตามตนเอง ไปถูกราชาหมาป่าฆ่า


 


เมื่อยามที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน หนิงฝานในขอบเขตเปิดเส้นชีพจร สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณได้… เมื่อบรรลุขอบเขตประสานวิญญาณ หนิงฝานก็เข้าสู่ป่าแห่งภูติพราย และสังหารภูติในขอบเขตแก่นทองคำ


 


เมื่อยามบรรลุกึ่งแก่นทองคำ หนิงฝานก็สังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม… เมื่อบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม ก็สร้างชื่อเสียงในทะเลส่วนนอก จนผู้เชี่ยวชาญแทบทั้งหมดหวาดกลัว


 


ยิ่งมีทาสรับใช้ในขอบเขตตัดวิญญาณ ใครเล่าจะกล้ายั่วยุ!


 


ในชั่วพริบตานั้นเอง ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจของทหารศิลา เป็นความเชื่อที่ว่า หากเป็นคนผู้นี้…หากเป็นซัวหมิงผู้นี้ ต้องทนได้ 99 เข็มอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ครั้งอดีต ยังไม่เคยมีผู้ใดทนได้ครบ 99 เข็มมาก่อน


 


“ข้ามีโอกาสได้เห็นผู้เชี่ยวชาญที่มากพรสวรรค์ในแดนสวรรค์มามากมาย แต่ยังไม่เคยเห็นใครแบบเจ้ามาก่อน!”


 


แววตาทหารศิลาเปล่งประกายเจิดจ้า และเริ่มลงเข็มอย่างต่อเรื่อง


 


32… 33… 41!


 


42… 52… 62… 71!


 


72… 82… 92… 98!


 


เมื่อดำเนินมาถึงเข็มที่ 98 ฤทธิ์ของโอสถจักรพรรดิหยกก็หมดลง!


 


จึงทำให้หนิงฝานรู้ราวกับร่างกายกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ!


 


ยามนี้ รอยสักหมู่เมฆและภูเขาปีศาจ เหลืออีกเพียงจุดเดียวก็จะสมบูรณ์!


 


ทหารศิลาที่เฝ้ามองรอยสักที่เกือบจะสมบูรณ์ แข็งค้างตกตะลึง


 


“เป็นไปได้ยังไง! รอยสักอสูรโลหิต กลับกลายเป็น ‘รอยสักอสูรพิภพทมิฬ’ รอยสักปีศาจโบราณที่ 2 ที่หายสาบสูญ!”


 


รอยสักปีศาจระดับขุนพลมีด้วยกัน 3 ชนิด แต่ทั้งหมดนั้นหายสาบสูญ… คาดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะพัฒนามาจากรอยสักระดับทหารที่สมบูรณ์


 


เหลืออีกเพียง 1 จุดเท่านั้น อีกเพียง 1 เข็มก็จะทำให้รอยสักสมบูรณ์ได้


 


แต่หนิงฝานในยามนี้กำลังจะหมดสติเต็มที


 


สีหน้าไม่สู้ดีไร้สติ ร่างกายราวกับถูกฉักกระชาก ดวงจิตแรกเริ่มปั่นป่วนไม่เสถียร


 


แต่สิ่งที่ทำให้ทหารศิลาไม่กล้าหยุดมือคือ…แววตาหนิงฝาน!


 


“เข็มสุดท้าย… รอยสักระดับทหาร… จะกลายเป็นรอยสักระดับขุนพลใช่มั้ย?”


 


“ใช่… แม้รอยสักระดับขุนพลจะมีมากมายหลายหมื่น แต่ของเจ้าเป็นรอยสักระดับขุนพลอันดับ 2… รอยสักปีศาจทมิฬทมิฬ หากเจ้าสลักได้ครบ ร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า!”


 


“ดี.. เอาเลย!”


 


“แต่ร่างกายของเจ้ากำลังจะไม่ไหว…”


 


“แล้วยังไง!”


 


ดวงตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต แต่โลหิตเหล่านั้นค่อยๆจางไป แปรเปลี่ยนเป็นดวงกระจ่างใสและเย็นชา ผมที่ยาวอยู่แล้วยาวขึ้น ทั่วร่างแผ่ปราณสีดำ แปรเปลี่ยนหนิงฝานกลายเป็นอีกคน!


 


“นี่! นี่มันร่างจำแลงของผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก!”


 


ทหารศิลาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น


 


ต่อให้เป็นผู้สืบทอดของเทพ หากยังไม่บรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยก ก็ไม่มีทางสร้างร่างจำแลงขึ้นมาได้


 


ซัวหมิงเป็นผู้ใด! เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม แต่กลับสร้างร่างจำแลงได้!


 


“แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าร่างข้าจะสลายแล้ว! ลงมือเลย!” ดวงตาหนิงฝานดำสนิท แต่ยังแฝงด้วยความเย็นชา


 


“ได้!


 


แล้วทหารศิลาก็กัดฟันทนลงเข็มสุดท้าย!


 


รอยสักผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์!


 


แต่ร่างกายของหนิงฝานไม่อาจทนกับความเจ็บระดับนี้ได้ เพราะไร้ซึ่งฤทธิ์โอสถจักรพรรดิหยกหักล้าง


 


ร่างจริงพังทะลาย… ร่างจำแลงแตกซ่านเป็นหมอกสีดำจาความเจ็บปวดที่รุนแรง


 


เมื่อร่างจำแลงสลาย หนิงฝานพยายามรวบรวมสติก่อร่างขึ้นมาใหม่!


 


“ก่อร่าง… ก่อร่าง!”


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนราวกับคนบ้า แต่หมอกสีดำที่กระจัดกระจายเริ่มกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แรงกดดันของหนิงฝานคงที่และหนักแน่นราวกับขุนเขา


 


หนิงฝานทนต่อต่อการสลักรอยสักได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้ครอบครองรอยสักระดับขุนพล!


 


“สำเร็จ! สำเร็จ!” ทหารศิลาหัวเราะลั่น มันสามารถสลักรอยสักให้หนิงฝานจนสำเร็จ และได้ล่วงรู้ความจริงของรอยสักด้วย


 


“ยัง… ยังเหลืออีก 2 ขั้นตอน!”…


 


1 เดือนผ่านไปในพริบตา


 


โลหิตที่เตรียมไว้ได้ผสานเข้ากันกับรอยสักบนแผ่นหลัง


 


ม่านหมอกสีดำทมิฬปกคลุมถ้ำ ในใจหนิงฝานปรากฏภาพหุบเหวปีศาจที่ด้านล่างไร้ก้นบึ้ง หนิงฝานหยัดยืนอยู่เหนือว่าและพยายามจะเอาชนะมัน


 


“เป็นเพียงหุบเหวอสูรโบราณ อย่าคิดว่าจะอยู่เหนือข้าได้!”


 


“กระตุ้นรอยสักได้!”


 


ผ่านไปอีก 1 เดือน จู่ๆหนิงฝานก็ลืมตา ดวงตาเปล่งกระกาย ผมยาวพลิ้วสไว


 


“ขั้นตอนที่ 3 สำเร็จ”


 


ร่างกายหนิงฝานยกระดับจากขอบเขตกระดูกเงินที่ 2 เป็นขอบเขตกระดูกเงินขั้นสูงสุด


 


เหลืออีกเพียงก้าวเดียวหนิงฝานจะสามารถต้านรับการจู่โจทของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


แต่ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายยามนี้ หนิงฝานสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้ในหมัดเดียว


 


“ตอนนี้ ข้าสามารถสังหารเซี่ยงเหลียวได้ใน 3 หมัด!” แววตาหนิงฝานเปล่งประกาย


 


ที่ตาขวาของหนิงฝาน ปรากฏดาราพิภพทมิฬ!


 


หนิงฝานมีดาราเทพกลางหน้าผาก ‘ดาราอัสนี’


 


และมีดาราปีศาจอีกหนึ่ง นามว่า ‘ดาราพิภพ’


 


ยามนี้หนิงฝานมีความรู้สึกแปลกๆ


 


เขารู้สึกราวกับว่าสามารถถอนจิตวิญญาณของเกาะเผิงไหลออกมาได้ทุกเมื่อ


 


สิ่งต่างๆบนโลกล้วนมีจิตวิญญาณ… ภูเขามีจิตวิญญาณ สายน้ำมีจิตวิญญาณ ดาราบนนภาก็มีจิตวิญญาณ


 


แต่การถอนจิตวิญญาณเหล่านั้นออกมา ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้


 


หนิงฝานกลายเป็นข้อยกเว้น… ดาราพิภพที่ตาขวา สามารถช่วยถอนจิตวิญญาณธรรมชาติเพื่อนำมายกระดับพลัง


 


หากหนิงฝานทำแบบนั้น เขาคงยกระดับพลังได้เร็วมาก…


 


แต่น่าเสียดาย… ด้วยร่างกายหนิงฝานในยามนี้ ยังไม่อาจทนรับพลังมหาศาลของเกาแห่งนี้ได้ แม้เป็นขอบกระดูกหยกก็ยังทำไม่ได้


 


ดวงตาขวาหนิงฝานเป็นประกาย แผ่สัมผัสออกไปรอบทิศ


 


ในเมื่อดึงจิตวิญญาณทั้งเกาะไม่ได้ เขาจึงเลือกที่จะดึงจิตวิญญาณของเมืองทะเลทราย ที่เป็นตำแหน่งที่ตั้งของนิกายกระถางปรุงโอสถ


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณ หนิงฝานก็ดึงมันออกมาทันที


 


ในมือหนิงฝานปรากฏบางสิ่งที่แผ่พลังอันรุนแรง ทันใดนั้น หนิงฝานกลืนสิ่งนั้นเข้าไป ปราณจำนวนมหาศาลแผ่ไปทั่วร่าง ทำให้ปราณของเขาเพิ่มเป็นเกือบ 2000 เกราะในชั่วพริบตา !


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยน ให้ความรู้สึกราวกับตนคือตัวตนโบราณที่เกิดมาพร้อมกับโลกใบนี้


 


“เป็นวิชาที่ดี… หากข้ามีปราณไม่พอ ข้าก็สามารถหยิบยืมพลังได้!”


 


ปราณของเมืองทะเลทรายค่อยกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างช้าๆ


 


“ปรับลมหายใจสักพัก แล้วเริ่มดูดซับพลังของอสูรสตรีทั้งสองนาง หากพวกนางเห็นระดับพลังข้า พวกนางจะทำหน้ายังไง…”


 


นอกถ้ำ… เสี่ยวว่านหลูยืนมือไพล่หลัง สีหน้าไม่สู้ดี


 


มันรอหนิงฝานอยู่ตรงนี้มานานเกิน 2 เดือน การที่ปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญกึ่งดวงจิตแรกเริ่มอย่างมันเฝ้ารอ นับว่าเย่อหยิ่งไม่น้อย


 


“ช่างเย่อหยิ่งนัก!”


 


มันแอบด่าทอหนิงฝานในใจ มันคิดจะหว่านล้อมให้หนิงฝานเข้าร่วมขุมกำลังของมัน แต่ดูเหมือนยามนี้ มันดูกลายเป็นทาสของหนิงฝานที่ต้องเฝ้ารอ


 


แต่ในขณะนั้นเอง มันกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดที่อยู่ตรงหน้า


 


แต่ไม่นานกลิ่นอายก็หายไป มันสัมผัสได้ราวกับว่าพื้นดินไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ราวกับจิตวิญญาณนั้นหายไปพร้อมกับอีกความรู้สึก เป็นความรู้สึกที่จิตวิญญาณของมันกำลังจะถูกช่วงชิง


 


“นี่มัน… ‘วิชาดึงวิญญาณ’ ของผู้เชี่ยวชาญ ซัวหมิงเก็บตัวฝึกฝนภายใน! คนผู้ที่สมควรเป็นตำนานของโลกพิรุณ ผู้สามารถดึงจิตวิญญาณออกมาได้ แม้ไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก”


 


ยามนี้มันตั้งใจแน่วแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกระถางปรุงโอสถ มันก็จะรอพบซัวหมิงให้ได้!


 


เพราะซัวหมิงผู้นี้ มีโอกาสเป็นเซียนในอนาคต!


 


หากเกิดมันรู้ว่าหนิงฝานสร้างร่างจำแลงได้ มันคงเรียกขานหนิงฝานเป็นบิดา


 


และยามนี้ มันเห็นซัวหมิงผู้นั้น สำคัญยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณในทะเลส่วนนอก และเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลส่วนในเสียอีก…

 

 

 


ตอนที่ 208

 

วิชาแปลงหยินหยางขอบเขตที่ 1 ระดับ 8


 


วิชาศพอสูรขอบเขตที่ 1 ระดับ 9


 


[** ถ้าจำไม่ผิดระดับวิชาทั้งสองจะสูงกว่านี้ ไม่มั่นใจว่าทำไมตอนนี้ถึงบอกระดับต่ำกว่าเดิม แต่ช่างมันเถอะ!]


 


ปราณ 190 เกราะ ปราณอสูร 28 เกราะ


 


ระดับพลังขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง สัมผัสเทพขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ร่างกายขอบเขตกระดูกเงินขั้นสูงสุด หรือกึ่งกระดูกหยก!


 


อีกเพียงก้าวเดียวจะบรรลุขอบเขตกระดูกหยก!


 


หนิงฝานนั่งปรับลมหายใจพลางมองแหวนกระถางขัดเกลาที่สวมอยู่มือซ้าย


 


อสูรทั้งสองนาง… ผู้เป็นทาสรับใช้ของขุนพลอสูรลี่ป่าน!


 


ยามนี้ หนิงฝานสามารถสังหารพวกนางได้อย่างง่ายดาย!


 


แต่ยามนี้ คือโอกาสที่เขาเฝ้าตามหา โอกาสที่จะได้ยกระดับวิชาแปลงหยินหยางและปลดความสามารถที่ 2 ของสร้อยหยินหยาง


 


หากขัดเกลาผสานกับอสูรทั้งสองนางสำเร็จ เมื่อนั้นวิชาแปลงหยินหยางจะทะลวงระดับ!


 


วิชาแรกของสร้อยหยินหยางคือ การขัดเกลาผสาน แต่วิชาที่ 2 นั้นยังไม่อาจทราบ


 


“ออกมา!”


 


แหวนเปล่งแสง สตรีในร่างเปลือยเปล่าสองนางในสภาพหมดสติ ปรากฏตัวอยู่บนพื้นเบื้องหน้า


 


อสูรตนแรกมีนางว่า ‘หงยี่’ อีกนางมีนามว่า ‘จื่อฟา’ เรือนร่างของพวกนางเย้ายวนจนยากจะต้านทาน แต่ใบหน้ากลับอัปลักษณ์เกินทน… หนิงฝานพับแขนเสื้อ โบกมือเล็กน้อยในสายลมเย็นพัดพา ปลุกพวกนางตื่นจากหลับไหล


 


“ที่นี่…” หงยี่มองเห็นรอบข้างไม่ชัด นางหลับไหลมานานจึงยังไม่ตื่นตัวดี แต่จื่อฟากลับได้สติมากกว่า เมื่อนางเห็นใบหน้าหนิงฝาน แววตาแปรเปลี่ยนเคียดแค้น


 


“เจ้า!”


 


นางสัมผัสได้ว่าภายในห้องไม่มีข่ายอาคม มีหน้าฝานเพียงลำพังกับพวกนางที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มถึง 2 คน


 


ไร้ซึ่งความกลัว ไร้ซึ่งความกังวล ในสายตาของนาง หนิงฝานเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณเท่านั้น


 


“ฮึ่ม! ถึงกลับกล้าปล่อยตัวพวกข้าออกมา 2 คนพร้อมกัน ประมาทซะจริง!”


 


จื่อฟาแลบลิ้นพร้อมกับตวัดลิ้นจนเกิดเป็นใบมีดวายุตรงเข้าหาหนิงฝาน ใบมีดวายุนี้ไม่คมเท่าดรรชนีกระบี่ของหนิงฝาน ไม่ใช่วิชาอสูรระดับสูงทั่วไป แต่ก็เพียงพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ


 


แต่หนิงฝานกลับแสดงสีหน้าเรียบเฉย ขยับนิ้วเป็นท่าทางก่อนที่ใบมีวายุของนางจะสลาย!


 


การตอบโต้ของหนิงฝานทำให้นางได้รับบาดเจ็บไม่น้อย นางกระอักโลหิตคำโต สีหน้าแตกตื่นหวาดกลัว!


 


นางเคยเห็นวิชาที่หนิงฝานใช่มาก่อน เพียงแต่อานุภาพที่หนิงฝานเปล่งออกมานั้น ใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มทั่วไปจะทำได้


 


“จ… เจ้า! อ๊อก!!” ทั้งนางและหงยี่แทบไม่อยากเชื่อสายตา


 


“เป็นไปไม่ได้! นี่เจ้าบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางแล้ว! เป็นไปไม่ได้”


 


ต้องมีอะไรผิดแน่!


 


ในอดีตหนิงฝานยังเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ!


 


แม้วิชาเย้ายวนของหนิงฝานยากจะต้านทาน แต่พวกนางก็มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก หนิงฝานจะจัดการพวกนางไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน เขาต้องทุ่มสุดตัวเพื่อเอาชนะพวกนาง


 


แต่ตอนนี้ แค่หนิงฝานขยับมืออเล็กน้อย จื่อฟาก็บาดเจ็บสาหัส ความแข็งแกร่งระดับเทียบเท่าขุนพลอสูรของพวกนาง!


 


“พี่ฟง เราหนีกันเถอะ!”


 


หงยี่คว้าจื่อฟาและทะยานหนีเต็มกำลัง


 


ใครใช้ให้หนิงฝานประมาท เรียกพวกนางออกมาโดยไม่วางข่ายอาคมไว้ก่อน


 


แต่ชั่วพริบตานั้น ร่างหนิงฝานกลับแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเทาเข้าประชิดพวกนาง


 


เมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกนางก็ล้มตัวนอนบนเตียง ขนาบข้างหนิงฝานโดยไม่อาจเคลื่อนไหว


 


“ปล่อยพวกข้าไปเถอะ!”


 


หนิงฝานเย้ยหยัน


 


เหตุที่เขาไม่วางข่ายอาคมเพราะไม่จำเป็น!


 


อสูรด้อยค่าอย่างพวกนางคิดจะรอดพ้นจากเงื้อมมือ… ฝันไปหรือเปล่า?


 


“เป็นไปได้ยังไง! เจ้าใช้วิชาอะไรทำพวกข้าดิ้นไม่หลุด! เป็นไปไม่ได้ ขนาดนายท่านยังทำแบบนี้ไม่ได้!”


 


“ถึงลี่ป่านจะทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำไม่ได้เหมือนมัน… พวกเจ้าไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมมือข้าไปได้ ข้าจะดูดซับพลังพวกเจ้า!”


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงกล้าพูดแบบนี้! นายท่านของข้าแข็งแกร่ง หากเจ้ากล้า…” นางกล่าวไม่ออก


 


แม้ใบหน้าของนางดูอัปลักษณ์ แต่เรือนร่างของนางเย้ายวนอย่างที่สุด


 


“ถ้าข้ากล้า… แล้วจะเป็นยังไง!”


 


หนิงฝานบีบหน้าอกจื่อฟาอย่างแรง ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างจนทำให้นางแทบอยากตาย


 


“ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้!”


 


แววตานางเคียดแค้นชิงชัง แม้ยามนี้นางจะเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่ร่างกายกลับเริ่มไร้กำลัง… แม้หน้าตาอัปลักษณ์ แต่เรือนร่างที่งดงามเย้ายวนนั้น ก็ชวนให้เกิดอารมณ์อย่างที่สุด


 


เมื่อครู่หนิงฝานใช้วิชาตรึงร่างกับนาง ทำให้นางไม่อาจขยับเคลื่อนไหว นางทำได้เพียงมองดูหนิงฝานกระทำกับหน้าอกของตนอย่างไร้หนทางขัดขืน


 


แม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้นระดับร่างกายและมือ แต่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มอย่างนางกลับรู้สึกราวกับมือของหนิงฝาน สัมผัสร่างกายของตนจริงๆ


 


สารเลว…


 


นางรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก เหตุใดนางต้องติดตามหนิงฝานเพื่ออัฐิสวรรค์ จนทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้


 


“ถ้าเจ้ายังไม่หยุด นายท่านของข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! ยามนี้ท่านก็อยู่ในแคว้นจินแห่งนี้เช่นกัน”


 


“นายท่าน? แคว้นจิน? อา… เจ้าคงไม่รู้ว่านายท่านของเจ้ากลับไปโลกอสูรแล้ว ฉะนั้น มันจะทำอะไรข้าได้”


 


หนิงฝานเย้ยหยัน แส้อัสนีโลหิตปรากฏในมือ


 


แส้ของหนิงฝานทำมาจากเอ็นมังกรอัสนี แม้หนิงฝานจะชำระล้างกลิ่นอายจนแทบไม่เหลือ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายเล็กน้อยหลงเหลืออยู่… ไม่ผิดแน่ กลิ่นอายนี้เป็นของขุนพลอสูร!


 


“นี่เจ้าดึงเส้นเอ็นมังกรของนายท่านออกมา! สารเลว! ข้าจะฆ่าเจ้า!” นางดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต จนพ้นจากพันธะนาการ แล้วกัดเข้าที่ลำคอของหนิงฝานอย่างแรง


 


ดูเหมือนนางจะเทิดทูนขุนพลอสูรมาก กระทั่งหลุดจากพันธะนาการของหนิงฝาน


 


แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่นางเคารพเทิดทูนกลับไม่เห็นคุณค่าชีวิตของผู้รับใช้อย่างนาง ดูเหมือนนางจะมอบความเทิดทูนผิดคน


 


“ตอนนี้มันยังไม่ตาย แต่ข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่”


 


“เจ้ากล้าคิดร้ายกับนายท่าน ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา


 


“ข้าได้ยินมาว่า ขุนพลอสูรจะทำลายใบหน้าของสตรีที่มันไม่ชอบ แต่หากชอบ ก็จะนำไปเป็นอสูรบำบัดความใคร่ และพวกเจ้าทั้งสองคนก็คงถูกมันทำลายใบหน้ามาจนเสียโฉม”


 


“ไม่! ไม่ใช่… นายท่านไม่ได้ตั้งใจ” สีหน้าจื่อฟาดูราวกับหวนนึกถึงเหตุการ์ณ์ที่น่าสะพรึงกลัว


 


แต่หงยี่กลับตรงกันข้าม นางแสดงสีหน้าเศร้ามอง


 


น้ำตาแห่งความทุกข์หลั่งไหลอาบแก้มพวกนาง


 


พวกนางรู้ว่านายท่านของตนหนีไปแล้ว แต่พวกนางก็ยังเทิดทูน


 


“ช่างน่าสนใจ… แต่ไม่ว่าพวกเจ้าจะรู้สึกยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับข้า พวกเจ้าเป็นได้แค่กระถางขัดเกลา”


 


“เจ้า!” พวกนางอุทานขึ้นพร้อมกัน


 


“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ถามว่าข้ากล้าหรือเปล่า… ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กล้าหรือไม่กล้า แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่าต่างหาก… ยามนี้ข้าต้องการกระถางขัดเกลา แล้วพวกเจ้าก็เป็นกระถางขัดเกลาของข้า นั่นคือชะตากรรมที่พวกเจ้าไม่อาจเลี่ยง… หากพวกเจ้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ข้าจะคงระดับพลังไว้ให้ที่แก่นทองคำขั้นต้น และจะไม่สังหารพวกเจ้า!”


 


“ไม่มีทาง! พวกข้าเป็นบ่าวของนายท่าน มีเพียงนายท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะคู่ควรกับพวกข้า…!”


 


หนิงฝานจ้องมองหงยี่และจื่อฟา


 


“พวกเจ้าไม่มีทางเลือก!”


 


หนิงฝานค่อยปลดอาภรณ์ของจื่อฟาแต่ละชิ้น เผยให้เห็นหน้าที่ขาวนวลและงดงาม


 


นางใบหน้าแดงก่ำ แม้จะอายแต่ก็ทำได้เพียงแค่หลับตา นางรู้ว่าหนิงฝานกำลังจ้องหน้าอกนาง


 


แต่ในขณะนั้น มือของหนิงฝานกลับเคลื่อนลงไปที่ท้องน้อย จนทำให้นางสั่นเทาไปทั้งร่าง


 


น้ำตาไหลรินอาบแก้ม นางอยากอ้อนวอนให้ผู้เป็นยายมาช่วย  แต่นางก็รู้ดีว่าต่อให้ทำเช่นใด นางก็ไม่มีโอกาสหนี


 


นางรู้ว่านายท่านของนางเลือดเย็น แต่นางยังคงไม่อาจลืม


 


นางไม่ลืมว่านายท่านของนางเป็นผู้ทำลายใบหน้าที่นางภาคภูมิใจ


 


ไม่นานนัก นางก็รู้สึกบริเวณอวัยวะเพศ ก่อนจะมีความรู้สึกเข้ามาแทน


 


น้ำตาไหลรินเป็นสาย ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า และผิดหวังที่ผู้เป็นนายทิ้งไป


 


“ข้าอยากตาย… ข้าไม่อยู่ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์แบบนี้ ยามนี้ข้าไร้ผู้เป็นนายแล้ว… ข้าอยากตาย!” นางฝืนกัดปลายลิ้น แต่นางรู้ดีว่าต่อให้กัดไป ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มอย่างนางย่อมไม่ตาย


 


แต่ในชั่วลมหายใจนั้น หนิงฝานกลับสอดนิ้วเข้าไปในปากของนาง กันไม่ให้นางกัดลิ้นตัวเอง


 


“ถึงเจ้าจะไร้เป้าหมายในการมีชีวิต แต่หากเจ้ามีชีวิต เจ้าก็ยังหาเป้าหมายได้ อย่างน้อยๆ หากเจ้าเป็นดอกไม้ ข้าก็ยังได้ชื่นชมความงาม… ถึงเจ้าจะเป็นศัตรูของข้า แต่หากเจ้าช่วยข้ายกระดับพลัง ข้าก็จะหาทางฟื้นฟูใบหน้าให้”


 


“ฟื้นฟูนใบหน้า?” แววตานางเป็นประกายและเปี่ยมไปด้วยความหวัง


 


“โอสถผันแปรที่ 5… โอสถคืนโฉม! ถึงมันจะไม่ใช่โอสถที่เกี่ยวกับความงามโดยตรง แต่ก็ช่วยเจ้าฟื้นฟูใบหน้าได้… หากมีเวลาข้าจะปรุงมันให้”


 


เมื่อนางเริ่มคืนสติ นางก็เริ่มรับรู้ความรู้สึกจากร่างกายได้


 


“ข้าเจ็บ… เบาๆหน่อย”


 


จื่อฟาเป็นสตรีที่ไม่เหมือนสตรีทั่วไป นางสามารถหลุดจากพันธะนาการของวิชาตรึงร่างได้ หรือต่อให้ตรึงร่างของนางได้นั้น อานุภาพของวิชาก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง


 


เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะนางมีจิตใจที่แน่วแน่ และปรานาอย่างแรงกล้าว่าจะหลุดจากพันธะนาการให้ได้


 


หากหนิงฝานฝืนดูดซับพลังจากนาง อย่างมากก็จะได้ปราณเพิ่มเพียง 1 เกราะ


 


แต่หากนางยอมร่วมมือและบรรลุจุดสูงสุดของความสุข หนิงฝานจะได้ 20 เกราะโดยไม่ยาก


 


ดังนั้น การจะทำให้ผ่อนคลายและยอมร่วมมือ เขาต้องหาทางปลอบนาง และชี้เส้นทางให้นางใหม่


 


ไม่แปลกที่มีคำกล่าวว่า หากสตรีใดหัวใจแหลกสลาย สตรีผู้นั้นก็ง่ายจะชักจูง


 


“ข้าต้องทำยังไง ถึงจะช่วยเจ้าขัดเกลาผสานได้ง่ายขึ้น…” นางกล่าวถาม นางไม่ขัดขืนแล้ว ต่อให้หนิงฝานเป็นศัตรูและดูดซับพลังนาง แต่เขายังให้สัญญาว่าจะไว้ชีวิต ซึ่งเทียบกันแล้ว จิตใจของหนิงฝานสูงส่งกว่าขุนพลอสูรมาก


 


แม้จะให้นางทำใจรักหนิงฝานไม่ได้ แต่ยามนี้นางต้องเป็นกระถางขัดเกลาของเขาอย่างไร้ทางเลือก


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจหันหลังกลับ มีแต่ต้องก้าวเดินต่อไป…


 


“ทำใจให้สบาย…”


 


หนิงฝานใช้ดรรนีคลายหยินกับนาง จนลมหายใจของนางถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ


 


นางกอดหนิงฝานแน่น สองข้าหนีบเอวหนิงฝานไม่ปล่อย


 


นางไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันเหมือนอัสนีกำลังแล่นไปทั่วร่างของนาง


 


สองมือที่สวมกอดศัตรูไม่วาง ทำให้ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏขึ้นในใจ


 


ความสัมพันธ์เช่นนี้คืออะไร…


 


ความสัมพันธ์เดียวระหว่างทั้งคู่คือศัตรู แต่ยามนี้กลับต้องมาร่วมรักกัน…


 


“ขัดเกลาผสานกับกระถางขัดเกลาที่อัปลักษณ์อย่างข้า…  คงลำบากใจเจ้าน่าดู”


 


“อาจารย์ข้ากล่าวไว้ว่า… หากปิดไฟ ไม่ว่าผู้ใดก็เหมือนกัน! แต่สำหรับเจ้าแล้ว เจ้างดงามยิ่งกว่าสตรีมากมายที่ข้าได้พานพบ”


 


“อืม…”


 


ความรู้สึกซับซ้อนเพิ่มพูน สองมือยังกอดหนิงฝานไม่วาง พลางรับแรงกระแทกอย่างต่อเนื่อง


 


แม้จิตใจของนางไม่ได้ชื่นชอบหนิงฝาน แต่ร่างกายกลับยอมรับเขา


 


ผ่านไประยะหนึ่ง นางกลับเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมหนิงฝาน ขยับโยกเอวอย่างต่อเนื่อง


 


ผ่านไปอีกระยะ หนิงฝานใช้ดรรชนีคลายหยินกับหงยี่ ดึงนางเข้ามาร่วมศึกอีกคน


 


เสียงครางกระเส่าแห่งความสุขดังสะท้อน


 


ปราณอสูรยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุด วิชาแปลงหยินหยางก็บรรลุขอบเขตที่ 2!


 


เคล็ดความและรายละเอียดของวิชาในขอบเขตที่ 2 ดังสะท้อนก้องอยู่ในทะเลสติหนิงฝาน


 


“ ‘วิชาคารม’ เมื่อกล่าวสิ่งใดออกไปจะส่งผลต่อความรู้สึกในใจของอีกฝ่าย สามารถล้วงความลับจากสตรีได้… ผู้ใดคิด…เรารู้… วิชาอันแนบเนียนไร้ซึ่งร่องรอยใดๆให้สัมผัสถึง ราวกับจิตใจบุรุษที่ยากหยั่งถึง แต่หากจะกล่าวให้สตรีใดเป็นกระถางขัดเกลาตน สตรีผู้นั้นต้องมีระดับพลังที่ไม่สูงกว่าตนเกินหนึ่งขอบเขตใหญ่”


 


หนิงฝานตกตะลึง


 


วิชาอะไรกันถึงได้ท้าทายสวรรค์ขนาดนี้


 


วิชาขัดเกลาผสานคือวิชาที่เปรียบได้ดั่งไม้แข็ง ส่วนวิชาคารมเปรียบได้ดั่งไม้อ่อนเช่นนั้นหรือ?


 


เพียงคำกล่าวก็สามารถทะลายความรู้สึกด้านลบที่สตรีมีต่อตน กระทั่งสุดท้าย ทำให้นางตกหลุมรักตนได้!


 


หนิงฝานขมวดคิ้ว วิชานี้ไม่สมกับวิถีทางของเขา


 


แม้สตรีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก หากตนบรรลุขอบเขตเดียวกัน เพียงพูดคุยก็คลายความเป็นปฏิปักษ์ กระทั่งกลายเป็นสนิทสนมกับพวกนางได้โดยง่าย


 


ต้องลอง!


 


หนิงฝานกระตุ้นสร้อยหยินหยาง พลังสายหนึ่งแผ่ออกจากร่างของเขา เข้าไปยังทะเลสติของพวกนางอย่างเงียบงัน


 


จื่อฟากล่าวขึ้น “ข้าอยากตายไปพร้อมๆกับเจ้า…”


 


หงยี่กล่าว “เจ้าเก่งกาจ… ข้ารู้สึกสบายมาก…”


 


จื่อฟายังไม่ยอมหนิงฝานทั้งใจ ผิดกับหงยี่ที่มอบกายให้หนิงฝานแล้ว


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยน วิชานี้ช่างท้าทายสวรรค์!


 


แบบนี้แล้วเขาก็สามารถล้วงความลับจากอีกฝ่ายได้ง่ายๆ


 


“ขนาดวิชาแปลงหยินหยางขอบเขตที่ 2 ยังท้าทายสวรรค์ขนาดนี้ ถ้าเป็นขอบเขตที่ 3 จะขนาดไหน…”


 


“วิชาในขอบเขตที่ 3 จะทำให้เข้าติดใจจนลืมไม่ลง… เจ้าจะเปิดโลกหยินได้ เป็นนายของที่นี่ ได้ครอบครองอนุสรณ์เพลิง… จะเป็นบุรุษหรือสตรี หากเจ้านำคนเหล่านั้นเข้ามาในโลกหยิน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีอะไร เจ้าจะล่วงรู้ทั้งหมด”


 


เสียงของหลั่วโยว่ดังขึ้น


 


“ท่านรู้ได้ยังไง?”


 


“ทำไมข้าจะไม่รู้… ข้าเห็นอนุสรณ์เพลิงอยู่ทุกวัน วิชาเซียนมากมายก็อยู่ในอนุสรณ์นี้… จะว่าไป ข้าเผลอหลับไปไม่นาน เจ้าก็บรรลุวิชาแปลงหยินหยางขอบเขตที่ 2 แล้ว…”


 


หนิงฝานไม่กล่าวคำ เขากระตุ้นสร้อยหยินหยาง เพื่อลองค้นความลับจากหลั่วโยว่


 


แต่ก็ไม่สำเร็จ… แม้ปราณของนางจะลดลงไปมาก แต่วิชาคารมก็ยังไม่ได้ผล


 


หนิงฝานเลิกคิดเรื่องวิชา และตั้งใจขัดเกลาผสานกับจื่อฟาและหงยี่ต่อ


 


ปราณอสูรของหนิงฝานบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม ตาซ้ายแปรเปลี่ยนเป็นดาราสีเขียวเข้ม


 


เพียงคิด ดาราก็เปล่งประกาย…


 


ดาราที่ปรากฏอยู่ในตาซ้ายของซัวหมิงคือ ‘ดาราแห่งป่า’


 


เมื่อหนิงฝานคิดจะเคลื่อนไหว ปีกสีเขียวก็ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง ปีกคู่นี้คือปีกวายุอัสนีที่เสริมพลังด้วยปราณอสูรช่วยให้หนิงฝานเคลื่นที่ได้เร็วขึ้น


 


ยามนี้หนิงฝานมีดาราครบ 3 แล้ว


 


หนิงฝานเก็บปีก นิ่งเงียบชั่วขณะ


 


หนิงฝานขบคิดถึงเรื่องที่ตนเองทำไปมาก ทั้งสังหารอย่างเลือดเย็น… ทั้งดูดซับพลังอย่างไร้หัวใจ แต่นั่นคือเส้นทางของผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมที่ต้องเดินฝ่าไป…


 


“ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไม่เปลี่ยน…”


 


วันคืนผันผ่าน หนิงฝานยิ่งเติบใหญ่สมบูรณ์


 


แม้มนุษย์จะมีแปรเปลี่ยนไปบ้าง แต่สำหรับจื่อเฮ่อ… หลานเหม่ย… และชู่ซวนเชียนสื่อ หนิงฝานจะไม่ลบพวกนางออกไปจากใจเด็ดขาด


 


โดยเฉพาะกับจื่อเฮ่อ


 


นางเป็นทั้งชีวิตของหนิงฝาน


 


“จื่อเฮ่อ… แม้ข้าจะเป็นปีศาจ แม้ข้าจะดูไม่เปลี่ยนไป แม้ข้าจะชั่วมากมาย แต่พอคิดถึงเจ้า…ข้าก็คิดถึงรอยยิ้มของเจ้า”


 


หนิงฝานยิ้มเล็กน้อย บิดยืดกายคลายเมื่อย


 


หนิงฝานเป็นปีศาจเต็มตัว แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเขา ย่อมไม่มีผู้ใดดูออก


 


หนิงฝานเป็นเหมือนกระบี่ในฝัก ซึ่งฝักกระบี่นั้นคือจื่อเฮ่อ


 


แล้วจิตใจของหนิงฝานก็บรรลุระดับตามปราณทัน!


 


“ดีหล่ะ… จิตใจข้ายกระดับตามทันแล้ว สมควรแก่เวลาให้ทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง… ตอนนี้ข้ามีปราณ 190 เกราะ ยังขาดอีก 110 ก็จะทะลวงระดับได้อย่างราบรื่น นั่นหมายความว่า ข้าต้องหากระถางขัดเกลาขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มให้ได้อีก 6 คน ส่วนการบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ต้องใช้ปราณถึง 1,500 เกราะ และยิ่งจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ ต้องใช้ปราณถึง 10,000 เกราะ… แค่จะทะลวงดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดก็ยากแล้ว ต้องหากระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มถึง 500 คน แต่สตรีในโลกนี้ก็มีจำกัด… แม้ในทะเลส่วนในจะมีสตรีมากมาย แต่ใช่ว่าจะหาได้ถึง 500 คน”


 


หนิงฝานยิ้มอย่างไร้หนทาง


 


ดูเหมือนการจะบรรลุตัดวิญญาณจะกลายเป็นเรื่องยากแล้ว


 


นั่นทำให้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมีน้อย…

 

 

 


ตอนที่ 209

 

สายลมพัดผ่านดอกหญ้า เคล้าเสียงเหล่าสตรีที่กำลังฝึกฝน


 


หนิงฝานวางข่ายอาคมที่มีตาข่ายอาคมมากถึง 1400 แห่งล้อมรอบภูเขาแห่งหนึ่ง ตาข่ายอาคมแต่ละแห่งใช้หยกสวรรค์ 1 พันเป็นแหล่งพลังงาน


 


เมื่อปลดปล่อยสัมผัสเทพเข้าควบคุมข่ายอาคม ม่านพลังปรากฏปิดล้อมภูเขา… ข่ายอาคมระดับตัดวิญญาณขั้นต้น ‘ปีศาจปกปิดรอย’


 


เมื่อวางข่ายอาคมเสร็จ หนิงฝานขมวดคิ้ว นำโลกศพที่อยู่ภายในแหวนออกมา


 


ภายในโลงศพยังมีเสียงตะกุยของศพปีศาจที่กำลังพยายามจะออกมา


 


“เจ้าจะเป็นศพของเหว่ยเหลียงหรือเปล่านั้น… ข้าค้นทะเลสติของเจ้าดูก็รู้…”


 


ศพนางสวรรค์กลายเป็นศพปีศาจ เทียบได้กับศพที่เกิดจากวิชาศพอสูรขอบเขตที่ 2 ซึ่งแข็งแกร่งผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณทั่วไป


 


แต่ยามนี้ ระดับร่างกายของหนิงฝานเกือบจะบรรลุขอบเขตกระดูกหยก สมควรไม่ได้ด้อยไปกว่าศพนางสวรรค์มากนัก อีกอย่าง ข่ายอาคมที่หนิงฝานวางไว้ยังเสริมกำลังให้เขาด้วย


 


นอกจากนี้ ข่ายอาคมยังลดทอดกำลังของศพปีศาจ ทำให้นางอ่อนแอลง


 


ไม่ว่ายังไง หนิงฝานต้องหาความจริงๆจากตัวนางให้ได้


 


เมื่อเอื้อมสัมผัสฝาโลง แล้วเคลื่อนมันออก


 


แต่เมื่อฝาโลงแง้มเปิด ดวงตาหนิงฝานต้องเบิกกว้าง สองเท้าขยับนำร่างถอยห่างอย่างรวดเร็ว


 


มือซีดขาวข้างหนึ่ง เล็บที่แหลมคมยาว 2 ฉื่อ โผล่พ้นโลงออกมา!


 


ปราณซากศพที่ทรงพลังแผ่พุ่ง ระดับของมันเกือบจะเทียบเท่าขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง! ดีที่หนิงฝานกางข่ายอาคมไว้ ไม่งั้นคนทั้งเกาะเผิงไหลคงตกตะลึง


 


หนิงฝานตกตะลึงกับความเร็วในการยกระดับพลังของศพปีศาจ


 


ครั้งแรกที่หนิงฝานได้พบกับศพปีศาจ การเปิดฝากโลงของเขาในคราวนั้น ทำให้เงื่อนไขที่ศพนางสวรรค์จะแปรเปลี่ยนเป็นศพปีศาจสมบูรณ์


 


ภายในป่าแห่งภูติพราย หนิงฝานเปิดฝาโลงอีกครั้งเพื่อดูใบหน้าของนางเทียบกับมู่เหว่ยเหลียง และหนิงหงหง และครั้งนั้น ก็เกือบจะทำให้ศพแปรเปลี่ยนเป็นศพปีศาจเกือบจะสมบูรณ์


 


ครั้งที่ 3 คือบนเรือ นั่นทำให้ศพนางสวรรค์กลายเป็นศพปีศาจโดยสมบูรณ์ และครั้งนั้น เกราะทมิฬที่หนิงฝานสร้างขึ้นเกือบจะถูกทำลาย ซึ่งยามนั้น นางแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น


 


ผ่านไปไม่นาน ยามนี้นางเกือบจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางแล้ว!


 


ความเร็วเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีศพเพียงไม่กี่ร่างที่ยกระดับพลังได้เร็วเท่านี้


 


เมื่อปราณศพกระจายไป หนิงฝานที่ถอยไปถึง 3 ก้าวจึงหยุดนิ่ง


 


มือซีดขาวเคลื่อนเปิดฝาโลง ใบหน้าที่ขาวซีด ริมฝีปากสีแดง รูปร่างงดงาม ห่มคลุมด้วยอาภรณ์ขาว… นางช่างดูคล้ายมู่เหว่ยเหลียงมาก


 


คิ้วโค้งมน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาเป็นสีเขียว กลิ่นกายเน่าเหม็น


 


“ร่างกายของนางเริ่มเน่าเปลือย”


 


หนิงฝานขมวดคิ้ว เขารู้แล้วว่าทำไมนางถึงยกระดับพลังได้อย่างรวดเร็ว นั่นเพราะนางยอมสละร่างกายเพื่อให้ได้พลัง!


 


ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้หัวใจหนิงฝานบีบรัดแน่น


 


หากนี่เป็นศพของหมู่เหว่ยเหลียงจริง เขาต้องปกป้องไม่ให้เน่าสลาย


 


แต่ต่อไม่ใช่ศพของมู่เหว่ยเหลียง หนิงฝานก็สมควรคงร่างเอาไว้ เพราะหากปล่อยให้เน่าสลายไป ร่างของนางจะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล


 


แม้หนิงฝานจะดูเป็นห่วงและสนใจศพนางสวรรค์ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้ใส่ใจด้วย


 


ตายมาหลายปี ศพแปรเปลี่ยนเป็นศพปีศาจ สูญเสียความทรงจำทั้งหมด จิตวิญญาณไม่กระจ่างใส จะเหลือก็เพียงแต่ร่างกายที่คงสภาพได้เพราะโลง


 


แม้ความทรงจำจะเลือนลาง แต่ยังมีเงาของคนผู้หนึ่งที่นางไม่อาจลืมเลือน


 


คนผู้นั้นคือผู้เยาว์ไร้ยางอาย แม้ตนเป็นศพก็ยังไม่เว้น!


 


ดังนั้น สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของนางคือ ต้องฆ่ามัน ฉีกมันเป็นชิ้นๆ แล้วกินมัน


 


“ไอ้…สา…ระ…เลว!”


 


เสียงของนางไม่ได้ฟังดูรื่นหู ฟังดูแหบแห้งเพราะคอที่เน่า


 


ชั่วพริบตานั้น นางทะยานเข้าหาหนิงฝาน อ้าปากปรากฏเป็นเขี้ยวที่แหลมคม ราวกับอยากกัดหนิงฝานให้ตาย


 


หนิงฝานร่นถอยอย่างต่อเนื่อง ส่วนนางก็พยายามใช้เล็บที่แหลมคมจู่โจม


 


เจตจำนงค์ที่รุนแรงของนางก่อให้เกิดวังวนพายุขึ้นที่ด้านหลังหนิงฝาน ความรุนแรงของมันสามารถฉีกกระชากร่างผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้ง่ายๆ


 


หนิงฝานเสียวสันหลังวาบ แม้จะเร่งหลบอย่างรวดเร็ว แต่ยังได้รับผลกระทบจากวังวน ทำให้เขารู้สึกราวกับมีบางอย่างกระแทกเข้าที่แผ่นหลังอย่างแรง


 


ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีโลหิต กรงเล็บตะปบเข้าใส่ลำคอหนิงฝาน หากถูกนางจับได้ ต่อให้มีร่างกายในขอบเขตกระดูกหยกก็อาจถูกหักคอตายได้


 


“ในเมื่อเจ้าเกลียดข้ามากขนาดนี้…” แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา เขารู้ว่าจะออมมือไม่ได้ ไม่งั้นฝ่ายที่ตายอาจเป็นตัวเขา


 


เมื่อร่างกายบรรลุขอบเขตกระดูกเงินขั้นสูงสุด ยามกระตุ้นใช้กำลังกาย ร่างกายจะเปล่งแสงสีเงิน ยามนี้ หนิงฝานชกหมัดเข้าต้านนางอย่างรุนแรง


 


“หมัดทะลายน้ำแข็ง!”


 


หมัดที่ทรงพลังเข้าปะทะกับกรงเล็บของนาง แต่ด้วยที่นางทรงพลังกว่า จึงต้านรับหมัดหนิงฝานได้อย่างง่ายดาย


 


เดิมทีหนิงฝานคิดว่ามือของนางคงนุ่ม แต่เมื่อเข้าปะทะกลับกลายเป็นว่าแข็งยิ่งกว่าเหล็ก


 


หนิงฝานรู้สึกราวกับมือกำลังจะหัก และผลจากการปะทะก็ทำให้หนิงฝานปลิวไปเกือบพันจ้าง


 


หากไม่ใช่เพราะข่ายอาคมที่วางไว้ หนิงฝานคงไม่อาจรับหมัดนางได้


 


โชคดีแล้วที่มือไม่หัก


 


“สมแล้วที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลาง…”


 


หนิงฝานเช็ดคราบโลหิตที่มุมปาก ปลดปล่อยสัมผัสเทพกระตุ้นให้ข่ายอาคมทำงาน


 


ข่ายอาคมเปล่งเสียงเล็กน้อย เสียงบทเพลงขับขานดังขั้น


 


เมื่อเสียงนั้นได้ยินถึงหูของนาง นางกลับกรีดร้อง สองมือกุมหัวราวกับปวดมาก


 


ข่ายอาคมนี้ถูกจัดเตรียมมาเพื่อปีศาจหรืออสูรที่หลุดเข้ามา ซึ่งจะช่วยให้พวกมันควบคุมตัวเองได้ยาก


 


นางยังคงกุมศีรษะไม่หยุด และเปล่งเสียงคำราม


 


ท่าทางเจ็บปวดของนางทำให้หนิงฝานยากจะทนไหว แต่เขาก็ไม่มีวิธีช่วงนาง


 


นางเริ่มขยับร่างกายได้ลำบากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นหนิงฝานกำลังเดินเข้ามาใกล้ แววตาของนางก็แปรเปลี่ยนหวาดกลัว ราวกับหนูที่หนีตาย


 


“ไม่… อย่า… เข้ามา…”


 


นางพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ยากจะทำได้


 


หนิงฝานถอนหายใจ นั่งคุกเข่าลงบนพื้น รวบตัวนางเข้ามาให้ในอ้อมกอด นิ้วมือขยับเป็นท่าทางแล้วสัมผัสเข้าที่หน้าผากของนาง


 


“ไม่ต้องกลัว ไม่เจ็บหรอก… วิชาค้นศพ!”


 


วิชาค้นศพคือการดึงเอาความทรงจำของศพออกมา


 


ภายในศพอาจมีความทรงจำที่ไม่ประติดประต่อเหลืออยู่ หนิงฝานพยายามทำความเข้าใจแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ


 


ภาพที่ปรากฏในหัวของเขายามนี้คือภาพของทวีปแห่งหนึ่ง


 


หนิงฝานพยายามค้นแล้วพบเศษเสี้ยวความทรงจำอื่นๆ หนิงฝานเร่งเปลี่ยนไปยังความทรงจำเหล่านั้น


 


ความทรงจำเหล่านั้นมีสีแดงฉาน ยังคงใสชัดเหมือนวันวาน นั่นเพราะเป็นความทรงจำที่แสนเศร้าในอดีตของนาง


 


นอกจากความทรงจำเหล่านั้นแล้ว  ก็ยังมีความทรงสีฟ้า ซึ่งเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความทรงจำเหล่านี้ เป็นต้นกำเนิดของศพปีศาจ


 


หนิงฝานหลับตาลง ไล่ดูความทรงจำที่เหลือ


 


แล้วภาพหนึ่งก็ปรากฏ เป็นภาพของแดนสวรรค์ สตรีนางหนึ่งผู้มีใบหน้าเหมือนมู่เหว่ยเหลียง ยืนอยู่หน้าประตู่ขนาดยักษ์


 


“ทำไม… ทำไมท่านต้องหลอกข้า ทำไมท่านต้องเปิดประตู ทำไมท่านต้องหักหลังตำหนักสวรรค์ ท่านพ่ออุตส่าห์เชื่อใจท่าน”


 


“ฮ่าฮ่า มู่หว่านเลียง ยังไงเจ้าก็ไม่เข้าใจ… ข้ามันเป็นแค่คนนอก แต่เจ้าเป็นถึงบุตรสายวของจักรพรรดิสวรรค์… และเป็น… ศัตรูของข้า”


 


ความทรงจำสิ้นสุดลงเท่านี้ หนิงฝานขมวดคิ้ว


 


เท่าที่เขาเข้าใจคือความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวพันกับแดนสวรรค์และลานสวรรค์


 


แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจประติดประต่อได้


 


แต่อย่างน้อยๆ สิ่งที่หนิงฝานอยากรู้ก็ปรากฏ นั่นคือศพนางสวรรค์ร่างนี้เป็นของมู่เหว่ยเหลียง


 


ส่วนเรื่องกลิ่นอายที่ต่างกัน อาจเป็นเพราะตอนตาย จิตวิญญาณของหมู่เหว่ยเหลียงกระจัดกระจายไปทั่ว


 


หนิงฝานก้มมองศพปีศาจที่อยู่ในอ้อมอก ยามนี้แววตาที่เกลียดชังยังคงจ้องมองด้วยความเกลียดชัง


 


หากศพนางสวรรค์คือมู่เหว่ยเหลียงจริง ต่อให้ร่างกายของนางจะกลายเป็นศพ แต่ก็ต้องรักษา


 


“เจ้าจำเข็มนี่ได้หรือเปล่า…” หนิงฝานนำเข็มสีเงินออกมา


 


“เข็ม…เข็ม..เย็บปัก”


 


นางดูราวกับจะนึกอะไรได้ และเริ่มสงบ


 


“ข้า… อยากได้” ดวงตาของนางค่อยๆคืนสู่สภาพปกติ


 


หนิงฝานขบคิดชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจวางเข็มลงในมือของนาง


 


แล้วนางก็ยิ้มอย่างพอใจ


 


ศพปีศาจยิ้ม!


 


“หากเจ้ายอมเชื่อฟัง ไม่ก่อความวุ่นวาย ข้าจะมอบเข็มให้…”


 


“ข้า… จะเชื่อ…ฟัง ข้า… อยาก…ได้เข็ม” นางอ้อนวอนราวกับเด็กน้อย


 


หากไม่รู้ว่านางแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ไม่รู้ว่าร่างกายของนางเน่าเปื่อย หนิงฝานคงมองนางเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง


 


“ข้าจะเชื่อฟัง… ไม่กินเจ้า…” นางกล่าว


 


“ขอบคุณ…”


 


หนิงฝานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้


 


ศพนางสวรรค์นี้ มีนิสัยเหมือนมู่เหว่ยเหลียงมาก แค่เขาใช่เล่ห์กลเล็กน้อย นางก็คล้อยตามแล้ว


 


นางเป็นคนจิตใจดี บริสุทธิ์ ไม่แปลกที่จะถูกหลอกและจบด้วยการถูกสังหาร


 


หนิงฝานถอนข่ายอาคม นางก็กลับมาขยับได้อีกครั้ง


 


ยามนี้ ดูเหมือนนางจะกลัวหนิงฝานเล็กน้อย


 


นางรู้ว่าหนิงฝานเป็นผู้กระตุ้นข่ายอาคม จนทำให้นางไม่อาจเคลื่อนไหว นั่นทำให้นางคิดว่าสู้หนิงฝานไม่ได้


 


นางยังเหลือความทรงจำกับเข็มเล่มนี้อยู่ นั่นทำให้เข็มเล่มนี้เป็นเหมือนทุกสิ่งของนาง


 


“แสง… ข้า… เข็ม…” นางกล่าว


 


“แสง… แสงอะไร?” หนิงฝานสงสัย


 


“แสง…” นางชี้ไปหาหนิงฝานและชี้กลับมาที่ตนเอง “ข้า…”


 


จากนั้นยกเข็มขึ้นพลางยิ้มเล็กน้อย “เข็ม!”


 


หนิงฝานเข้าใจในสิ่งที่นางพยายามสื่อ


 


แสงที่นางกล่าวถึงคือข่ายอาคม เมื่อยามหนิงฝานกระตุ้นข่ายอาคม มันแปล่งแสดง


 


“แสง… ข้า… ” นางขมวดคิ้วพลางเล่นกับเข็มในมือ


 


“อืม… แต่ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำก่อน จะได้รักษาร่างกายเจ้าไปด้วย”


 


หนิงฝานจ้องมองศพปีศาจ ก่อนจะเก็บโลงศพไป


 


แม้นางจะแข็งแกร่ง แต่สติปัญญายังด้อยอยู่ ตัวนางในยามนี้ยังไม่ฉลาดเท่าเกราะทมิฬของหนิงฝาน นางสมควรโดนคนอื่นๆหลอกได้ง่ายๆ


 


นอกจากนี้ การต่อสู้ของนางยังไร้แบบแผน นางยังสังหารอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจมิตรศัตรู ในระหว่างการต่อสู้ บางทีหนิงฝานอาจตกเป็นเป้าหมายของนางอีกก็ได้


 


ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยุดการเน่าสลายของนาง สิ่งที่สองคือใช้วิชาศพอสูรกับนาง


 


ศพปีศาจนั้นคือร่างที่ไร้ชีวิต ทะเลสติพังทะลาย จึงไม่สามารถประทับตราวิญญาณได้ แต่ในวิชาศพอสูร มีวิชาลับบางอย่างที่จะทำให้ศพปีศาจเชื่อฟังได้


 


แต่สมควรทราบว่าวิชานี้ จะไม่สามารถสั่งให้ศพปีศาจจู่โจมใครได้อย่างอิสระ


 


ในอนาคต หนิงฝานคงต้องหาวิธีช่วยมู่เหว่ยเหลียงออกมาจากป่าแห่งภูติพราย และผสานวิญญาณเข้ากับศพปีศาจให้ได้…


 


ยามนี้ หนิงฝานไม่อาจบังคับศพปีศาจได้ด้วยกำลัง


 


เขาบอกให้คนเตรียมน้ำอุ่นไว้ จากนั้นพาศพปีศาจมา


 


“ปลดอาภรณ์แล้วไปอาบน้ำ จากนั้นข้าจะช่วยรักษาร่างกายเจ้าให้”


 


“ข้า… ไม่… อาบ…”


 


“งั้นข้าช่วย…”


 


“ไม่…”


 


นางไม่ยอมอาบน้ำ และไม่ยอมปลดอาภรณ์


 


ก่อนตายนางเป็นถึงธิดาของจักรพรรดิสวรรค์ เมื่อนางตาย นางจึงอาบเองไม่เป็น


 


หนิงฝานจึงลองกระตุ้นสร้อยหยินหยาง เพื่อลองใช้วิชาคมรม แต่กลับไม่ได้ผล


 


เมื่อร่างไร้ลมหายใจ หัวใจก็หยุดเต้น ย่อมไม่สนใจฟังคำกล่าว


 


งั้นคงเริ่มจากทำให้ร่างของนางอ่อนนุ่มลงก่อน


 


หนิงฝานพานางมายังเตียงนอน จากนั้นคว้าเข้าที่เอวของนางจนนางสั่นสะท้าน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว


 


“ห้ามขัดขืน ไม่งั้นข้าจะยึดเข็มคืน”


 


“ก็ได้…” นางกล่าวด้วยความเศร้า ดวงตากลับคืนปกติ…

 

 

 


ตอนที่ 210

 

สองมือนวดเค้น โคจรวิชา ร่างกายศพปีศาจอ่อนลง


 


เรือนร่างเปลือยกาย นอนแช่น้ำอุ่นในอ่างน้ำ นางรู้สึกแสบเล็กน้อย


 


“ร้อน…” นางกล่าวด้วยแววตาน่าสงสาร


 


“อืม…” หนิงฝานจ้องมองพลางจุ่มมือลงไปในน้ำ น้ำที่เตรียมให้นางอาบมีอุณภูมิพอดีสำหรับคนทั่วไปอาบ แต่ดูเหมือนสำหรับนางจะร้อนเกินไป


 


บางทีร่างกายของศพปีศาจจะมีอุณภูมิที่ต่ำกว่าคนทั่วไปมาก


 


แม้นางเป็นศัตรู…แต่ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นภรรยา


 


แม้นางไม่ใช่ภรรยา แต่มู่เหว่ยเหลียงถือเป็นคนสำคัญของหนิงฝานคนหนึ่ง จึงไม่ได้ปฏิบัติกับศพปีศาจแตกต่างจากภรรยามากนัก


 


หนิงฝานถ่ายปราณน้ำแข็งลงไปในอ่างเล็กน้อย เพื่อทำให้น้ำเย็นขึ้น


 


สีหน้านางดูผ่อนคลาย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่งดงาม ราวกับสบายเป็นอย่างมาก


 


“แสง… ขอบคุณ…”


 


“อืม แต่อย่าเพิ่งขยับตัวไปมา ข้าจะอาบน้ำให้เจ้า”


 


ใบหน้าของมีร่องรอยของการเน่าเปื่อยส่วนหนึ่ง แต่ดวงตาของนางกระจ่างชัด ใสสื่อ และบริสุทธิ์ สองมือยกแกว่งสัมผัสหมอกที่ลอยวนอยู่ภายในห้อง พลางเปล่งเสียงฮึมฮัมอย่างอารมณ์ดี


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยามนี้ ทำให้หนิงฝานนึกถึงซื่อหวูเสีย


 


“ซือซือ…”


 


หนิงฝานพึมพัม พับแขนเสื้อขึ้น แล้วเริ่มทำความสะอาดร่างกายของศพปีศาจอย่างระมัดระวัง


 


ผู้คนในโลกภายนอกคงจินตนาการไม่ออกว่า ซัวหมิงผู้โหดเหี้ยม จะมีด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้เหมือนกัน


 


เมื่อยามที่หนิงฝานบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง เขาจิตใจของเขายังไม่อาจทนรับปราณปีศาจที่รุนแรงได้ แต่เมื่อบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง จิตใจได้ยกระดับ จึงรับกับปราณปีศาจที่รุนแรงได้


 


“เหว่ยเหลียง… เจ้าร้อนหรือเปล่า…”


 


ศพปีศาจทั่วไปจะไร้ความรู้สึก ไม่อาจสัมผัสร้อนเย็น ไม่อาจสัมผัสเจ็บปวด แต่ศพปีศาจของมู่เหว่ยเหลียงกลับต่างออกไป นางรับรู้ร้อนเย็น รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด


 


“ไม่… เจ็บ…” นางส่ายหน้า หนิงฝานสระทำความสะอาดผมดำสลวยของนางอย่างเบามือ


 


ดวงตาของนางกระจ่างใสราวกับดารา นางเงยหน้า ดวงตากลมโตจ้องมองหนิงฝานด้วยความสนใจ


 


จากนั้นยกมือชี้ที่มาที่ตน พลางกล่าวด้วยความสงสัย “ข้า…ชื่อ…อะไร?”


 


“เจ้าชื่อมู่เหว่ยเหลียง ข้าชื่อหนิงฝาน แต่ในทะเลไร้สิ้นสุดส่วนนอกนี้ ให้เจ้าเรียกข้าว่าซัวหมิง”


 


“ไม่… เจ้า… ชื่อแสง!” นางกล่าวอย่างเอาแต่ใจ


 


“ตามใจเจ้าเถอะ…” เมื่อสระล้างผมเสร็จ หนิงฝานก็ทำความสะอาดใบหน้า ไหล่ แขน หน้าอก ลำตัว แผ่นหลัง กระทั่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของนางอย่างระมัดระวัง


 


ทุกครั้งที่หนิงฝานสัมผัสโดนบริเวณที่ไวต่อความรู้สึก ร่างกายนางจะสั่นสะท้าน ดวงตาเปล่งแสงสีเขียว แต่หนิงฝานก็จะขู่นางไว้


 


กระทั่งผ่านไปหลายครั้ง เมื่อดวงตาของนางเปล่งแสงสีเขียว จู่ๆก็กลับเป็นดวงตาปกติด้วยตัวนางเอง… นับเป็นสัญญาณที่ดี


 


แล้วนางก็ไม่ขัดขืนที่หนิงฝานจะสัมผัสร่าง


 


“เจ้าพักผ่อนเถอะ…”


 


หลังจากเช็ดตัว หนิงฝานพานางเดินตรงไปเตียงนอน ปลดผ้าเช็ดตัว และให้นางนอนลง


 


“พักผ่อน… คือ… อะไร”


 


“นั่นสิ… ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นศพปีศาจ ไม่จำเป็นต้องนอน งั้นเจ้าก็นอนเฉยๆก่อน ข้าจะหาวิธีทำให้ร่างของเจ้าไม่เน่าสลาย…”


 


หลายวันผ่านไป หนิงฝานใช้เวลาไปกับการบดสมุนไพรเพื่อนำมาทั่วร่างนาง


 


แม้นางไม่ได้ชอบให้หนิงฝานสัมผัสกายนัก แต่นางก็ค่อยๆปรับตัวได้ นางเองก็นำอาภรณ์ที่หนิงฝานใส่มาเย็บเป็นรูปดอกไม้


 


ดอกไม้ที่นางเย็บไม่ได้มีให้เห็นบนโลกมนุษย์ หนิงฝานจึงไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขารู้จากความทรงจำของจักรพรรดิสวรรค์ ว่ามันคือ ‘ดอกยู่ถาน’


 


ร่างกายของนางยามนี้ไม่เหมือนก่อน ไม่อาจรักษาบาดแผลได้ด้วยตนเอง สิ่งที่หนิงฝานพอทำได้จึงเป็นการช่วยหยุดการเน่าสลาย ในวิชาศพปีศาจมีวิธีลับที่ช่วยให้ศพคืนสภาพโดยการใชเพลิง ทั้งยังสามารถปกปิดปราณศพที่แผ่ออกมาจากตัวนางได้ด้วย


 


เมื่อหนิงฝานจุดเพลิงพิภพขึ้น นางหวาดกลัว แต่เมื่อนางเชื่อใจหนิงฝาน นางก็ยอมเดินเข้าไปในทะเลเพลิงที่หนิงฝานเตรียมไว้


 


บาดแผลและรอยเน่าสลายต่างๆบนร่างนางค่อยๆฟื้นสภาพ ผิวกายกลับมาเรียบเนียน ปราณศพราวกับถูกผนึกไม่อาจสัมผัสได้


 


แต่ใบหน้า และริมฝีปากของนางยังซีดไร้โลหิต แต่โดยรวมก็ไม่ต่างไปจากสตรีทั่วไปนัก


 


นางมัดรวบผมดำสลวย เข็มเงินเล่มนั้นเก็บไว้ในแขนเสื้อเพื่อเป็นอาวุธ


 


หากนางไม่กล่าว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นศพ


 


หากนางไม่แสดงพลัง ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลาง


 


หนิงฝานพานางออกจากที่พัก ไปพบกับเหล่าสตรีของเขา พวกนางล้วนมองมู่เหว่ยเหลียงด้วยความสงสัย


 


มู่เหว่ยเหลียงยามนี้นับว่าดูดีไม่แพ้สตรีที่งดงามทั่วไป คิ้วโก่งโค้งได้รูป ท่าทางดูสูงศักดิ์ ไม่มีผู้ใดกล้สลบหลู่นาง


 


นางช่างคล้ายซื่อหวูเสีย


 


และบริสุทธิ์ไร้มลทินเหมือนมู่เหว่ยเหลียง


 


“ยินดีด้วยที่นายท่านได้ผู้รับใช้คนใหม่…” ชุ่ยหลิงและเย่หลิงกล่าว สตรีคนอื่นๆป้องมือคารวะ


 


“อืม… ตอนนี้เราอยู่ในนิกายกระถางปรุงโอสถนานเกินไปแล้ว ยามนี้พวกเจ้าเข้าไปในแหวนก่อน หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าจะให้พวกเจ้าออกมา”


 


“รับทราบ”


 


ได้เวลาที่ต้องออกเดินทาง!


 


หนิงฝานรั้งอยู่ในนิกายกระถางขัดเกลามาเกือบ 3 เดือน แต่ก็ถือว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก


 


ปราณดั้งเดิมขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ปราณอสูรขอบเขตแรกเริ่มขั้นต้น ร่างกายขอบเขตกระดูกเงินขั้นสูงสุด สัมผัสเทพขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด


 


วิชาแปลงหยินหยางขอบเขตที่ 2 ทั้งยังมีศพนางสวรรค์เป็นผู้รับใช้


 


แม้ยามนี้นางยังไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีนัก แต่สักวันหนึ่งหากนางทำได้ หนิงฝานจะมีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม 2 คนเป็นผู้รับใช้


 


ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เสี่ยวว่านหลูยังคงเฝ้ารอหนิงฝานอย่างอดทน


 


เมื่อมันเห็นหนิงฝานและศพนางสวรรค์กลับมา มันเร่งไปต้อนรับและต้องตกตะลึง


 


ยามนี้ มันไม่อาจสัมผัสระดับพลังของหนิงฝานได้แล้ว!


 


แรงกดดันเมื่อ 3 เดือนที่แล้วกับยามนี้ แตกต่างราวกับพิภพสวรรค์


 


หากไม่เพราะมันได้เห็นหนิงฝานสังหารผู้คนราวกับผักปลา มันคงคิดว่าหนิงฝานเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มันไม่เข้าใจ แต่ที่พอคิดได้คือหนิงฝานคงดูดซับกระถางขัดเกลาของตนทั้งหมด


 


แต่ถึงอย่างนั้น มันรู้ว่าระดับพลังของหนิงฝานยามนี้ คือขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง เพราะมันเห็นทัณฑ์สวรรค์ปรากฏกับตา เพียงแต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า หนิงฝานแข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดอยู่หลายเท่า


 


ก่อนจะเก็บตัวฝึกฝนยังเอาชนะเซี่ยงเหลียวได้ แต่หลังจากการเก็บตัวฝึกฝนครั้งนี้ ในทะเลส่วนนอก นอกจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ คงไม่มีใครสู้หนิงฝานได้


 


“ยินดีด้วยที่สหายเต๋าซัวก้าวหน้าไปมาก!”


 


“ฮ่าฮ่า ท่านสุภาพไปแล้ว” หนิงฝานป้องหมัดพลางยิ้ม แต่เสี่ยวว่านหลู่หลับตกตะลึง


 


รอยยิ้ม!!


 


ปีศาจที่สังหารผู้คนอย่างเลือดเย็นกำลังยิ้ม!


 


ช่างน่ากลัวจริงๆ…


 


มีข่าวลือว่า ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวจะสะกดเจตนาสังหารของตนไว้ ยิ่งสะกดไว้มากยิ่งยิ้มมาก


 


เสี่ยวว่านหลูสั่นสะท้าน มันกลัวว่าจะพูดไม่ถูกหูซัวหมิงเข้า


 


เพราะไม่งั้น เหตุใดซัวหมิงต้องยิ้มให้มัน… และเป็นรอยยิ้มที่แปลกมาก!


 


“สหายเต๋าซัว เจ้ามีอะไรไม่พอใจข้าหรือเปล่า?” เสี่ยวว่านหลูถามด้วยความสงสัย


 


“ไม่มีหรอก… เป็นท่านมากกว่าที่อุตส่าห์รอข้ามานาน ท่านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”


 


“ฮ่าฮ่า… เป็นเช่นนั้น ข้าจะขอกล่าวไม่อ้อมค้อม ข้าอยากให้สหายเต๋ามาเป็นประมุขนิกายของเรา!”


 


“ประมุขนิกาย?”


 


หนิงฝานประหลาดใจ เขาเดาว่าอย่างมากเสี่ยวว่านหลูคงขอให้เป็นผู้ใหญ่ของนิกาย แต่นี่กลับขอให้เป็นประมุข!


 


แต่หากเป็นผู้อาวุโสใหญ่นิกายกระถางขัดเกลา…ก็ไม่ต่างจากการเป็นทาส


 


หากประมุขนิกายกระถางปรุงโอสถเป็นหนิงฝาน คงไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องนิกายแห่งนี้อีก


 


ทั้งหนิงฝานจะยังได้เป็นเจ้าของนิกาย


 


“สหายเต๋าเสี่ยว… ข้าว่าเรามาคุยกันก่อนเถอะ…” หนิงฝานมองเสี่ยวว่านหลูอย่างมีนัย การที่มันยอมให้โจรอย่างหนิงฝานมาครอบครองนิกาย มันมีเจตนาอะไรแอบแฝง


 


หากสร้อยหยินหยางสามารถทำให้บุรุษคายความจริงออกมาได้ หนิงฝานก็อยากทำให้เสี่ยวว่านหลูยอมพูดความจริง


 


“สหายเต๋าซัวอย่าได้เข้าใจผิด… ข้าบริสุทธิ์ใจที่จะให้สหายเต๋ามาเป็นประมุขนิกาย เพื่อช่วยให้นิกายผ่านวิกฤต ทั้งข้ายังรู้มาว่าเจ้าและผู้อาวุโสหลิง…”


 


“หากเรื่องใดที่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ ข้าจะไม่ทำ ฉะนั้นท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างเรื่องความสัมพันธ์!” หนิงฝานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


 


“แน่นอน… การเป็นประมุขนิกายกระถางปรุงโอสถ สหายเต๋าซัวย่อมได้ประโยชน์…” เสี่ยวว่านหลูกล่าว มันแอบผิดหวัง เดิมทีมันหวังใช้ความสัมพันธ์มาทำให้หนิงฝานคล้อยตาม แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว


 


“สิ่งแรก… สหายเต๋าจะได้หยกสวรรค์ทั้งหมดที่จ่ายในงานประมูลคืน… อย่างที่สอง นิกายกระถางปรุงโอสถจะเปลี่ยนชื่อเป็นนิกายกระถางขัดเกลา เพื่อฝึกฝนกระถางขัดเกลาให้สหายเต๋าเพียงคนเดียวเท่านั้น”


 


เสี่ยวว่านหลูกล่าวพลางสังเกตุสีหน้าหนิงฝาน


 


สิ่งที่มันกล่าวแม้จะดูน่าสงสัย แต่ข้อเสนอกลับเย้ายวนอย่างที่สุด เพียงแต่นั่นไม่ได้ทำให้หนิงฝานไขว้เขว อีกอย่าง สิ่งเสี่ยวว่านหลูกล่าวมาสมควรเป็นข้อผูกมัดที่ยากจะแก้


 


“หากข้าต้องการหยกสวรรค์ แค่ข้าสังหารสหายเต๋าข้าก็ได้มา… ส่วนเรื่องกระถางขัดเกลา หากยกให้ข้าทั้งหมดและข้านำพวกนางจากไป กว่าฝึกฝวนกระถางขัดเกลาใหม่คงใช้เวลานาน ดังนั้น ข้อเสนอของท่านจึงไม่น่าสนใจ!”


 


สีหน้าหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา เสี่ยวว่านหลูหวาดกลัวและเร่งถอยไปหลายก้าว


 


“สหายเต๋าซัวใจเย็นก่อน…. ข้ายังกล่าวไม่หมด!”


 


“ว่ามา!”


 


“สหายเต๋ารู้จัก ‘นิกายปีศาจสำราญ’ หรือเปล่า?”


 


“หนึ่งในสิบขุมกำลังใหญ่… ได้ยินว่าที่นั่นเป็นเหมือนแหล่งบ่มเพาะกระถางขัดเกลา ข้าเองก็ตั้งใจว่าจะไปที่นั่นสักวัน…”


 


หนิงฝานสะกดอารมณ์ เสี่ยวว่านหลูผ่อนคลายลงเล็กน้อย มันรู้แล้วว่าซัวหมิงผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่จะหลอกได้ง่ายๆ


 


ข้อเสนอทั้งสองข้อของมันคือการผูกมัดหนิงฝานก็จริง แต่ข้อเสนอที่ 3 นี้ มันมั่นใจว่าจะทำให้หนิงฝานสนใจได้


 


เพราะข้อมเสนอที่ 3 นี้สิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างที่สุด


 


“สหายเต๋าซัวคงไม่รู้ ว่ากระถางขัดเกลาของนิกายปีศาจสำราญนั้น ได้มาจากการปล้นฆ่าในทะเลส่วนนอกแห่งนี้ แต่จริงๆแล้ว กระถางขัดเกลามาจากทะเลส่วนในมากกว่า… มีข่าวลือว่าหนึ่งในเจ็ดขุมกำลังใหญ่ของทะเลฝ่ายใน เป็นผู้ดูแลนิกายปีศาจสำราญ… อีกไม่นานจะมีการประมูลกระถางขัดเกลาที่นั่น งานประมูลแบ่งออกเป็น 3 ระดับชั้น หนึ่งสำหรับแก่นทองคำ สองสำหรับดวงจิตแรกเริ่ม และสามสำหรับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด เพียงแต่…ใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดทุกคนจะเข้าร่วมได้ มีเพียงผู้ที่ได้รับคำเชิญของประมุขนิกายปีศาจสำราญเท่านั้นที่เข้าร่วมงานได้ ต่อให้สหายเต๋าซัวแข็งแกร่ง แต่หากไม่ได้รับคำเชิญก็ไม่อาจเข้าร่วมงานได้ และไม่สามารถซื้อกระถางขัดเกลาระดับสูงจากที่นั่นได้”


 


“แต่ว่า…มันเกี่ยวอะไรกับข้อเสนอสองข้อแรก? หรือท่านได้รับคำเชิญจากประมุขนิกายปีศาจสำราญ จึงจะเอามาเป็นข้อต่อรองว่า หากข้ายอมเป็นประมุขนิกายกระถางขัดเกลาท่าน แล้วท่านจะมอบเหรียญตราคำเชิญให้ข้า?”


 


“ถูกต้อง! เหรียญตรานี้ ผู้ก่อตั้งนิกายกระถางขัดเกลาได้รับมาจากประมุขนิกายปีศาจสำราญเมื่อนานมาแล้ว ทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน… ข้าสาบานได้ว่า หากสหายเต๋านำเหรียญตรานี้ไปเข้าร่วมงานระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด สหายเต๋าอาจได้รับ ‘นมมารดาใต้พิภพ’ จากนิกายปีศาจสำราญเป็นของขวัญด้วย!”


 


“นมมารดาใต้พิภพ?”


 


หนิงฝานตกใจ เขาเคยได้ยินมาว่า นมมารดาใต้พิภพ 1 หยดสามารถยกระดับพลังได้ถึง 10 เกราะในคราวเดียว นับเป็นสมบัติล้ำค่า


 


สิ่งที่หนิงฝานสนใจไม่ใช่นมมารดาใต้พิภพ แต่เป็น ‘หัวใจแห่งมารดาพิภพ’


 


นมมารดาใต้พิภพ คือของเหลวที่เกิดจากหัวใจแห่งมารดาพิภพ หากนิกายปีศาจสำราญมีนมมารดาใต้พิภพ แสดวงว่าพวกมันต้องมีหัวใจแห่งมารดาพิภพอยู่


 


มีข่าวลือว่า หากผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้ดูดวับพลังจากหัวใจแห่งมารดาพิภพ จะทำให้เพิ่มพลังได้ถึงหนึ่งในสิบส่วน หรือกระทั่งบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ!


 


การจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณนั้นทำได้ยาก การที่ได้ปราณเพิ่มถึง 1 ใน 10 ส่วนในคราวเดียว นับว่าท้าทายสวรรค์อย่างมาก


 


หากได้นมมารดาใต้พิภพจากการเข้าร่วมงานประมูล นับว่าคุ้มค่า


 


หนิงฝานคาดไม่ถึงว่านิกายปีศาจสำราญจะมีหนึ่งในเจ็ดขุมกำลังใหญ่ของทะเลส่วนในปกครอง ทั้งยังมอบนมมารดาใต้พิภพให้…


 


โลกใบนี้ไม่ได้โอกาสดีๆหยิบยื่นโดยไร้สิ่งตอบแทน ยิ่งกับเฉพาะคนที่สร้างปัญหาอย่างหนิงฝาน


 


หากมีเหรียญตราของนิกายปีศาจสำราญ มีตำแหน่งประมุขนิกายกระถางขัดเกลา แม้จะได้เข้าร่วมงานประมูลระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด แต่หนิงฝานกลัวว่าพวกมันจะไม่ได้ให้นมมารดามใต้พิภพง่ายๆ อาจต้องทำบางสิ่งเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน


 


หนิงฝานจ้องมองเสี่ยวว่านหลู


 


มันตั้งใจจะกล่าวบางสิ่ง แต่เมื่อเห็นสายตาหนิงฝาน มันกลับไม่กล้าเอ่ยคำ


 


“ถึงท่านจะพูดแบบนั้น… แต่การจะได้เหรียญตรามา อาจต้องทำบางสิ่งแลกเปลี่ยน…”


 


“เฮ้อ… บางทีความจำคนแก่อย่างข้าก็เลอะเลือน ถือว่าลืมๆคำพูดของข้าไปก็แล้วกัน… แต่การได้ครอบครองเหรียญตรานั้น จะนำประโยชน์ต่างๆมาสู่ตัวท่าน แต่ถึงอย่างนั้น ข้าคาดว่าต้องทำตามคำขอของพวกมัน โดยการเข้าสู่ ‘ดินแดนโลกล่มสลาย’ เพื่อตามหาบางสิ่ง สถานที่แห่งนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ต่อให้ทำไม่สำเร็จ ยังไงก็ได้นมมารดาใต้พิภพอยู่ดี”


 


เสี่ยวว่าหลูยิ้ม แต่บนหน้าผากของมันกลับปรากฏเม็ดเหงื่อ มันพยายามจะปิดบังอาสิ่งกับหนิงฝาน แต่ไม่สำเร็จ


 


“อันตรายหรือเปล่านั้น…ข้าจะเป็นตัดสิน! ท่านไม่ควรปิดบังข้า… ยามนี้ท่านกลับไปก่อน ข้าจะพิจารณาดูอีกที ”


 


“ย่อมได้!” เมื่อกล่าวเสร็จมันก็เร่งจากไป หากมันยังอยู่และพูดอะไรออกไป อาจทำให้หนิงฝานไม่พอใจ


 


แม้มันจะเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง แต่มันต้องนอบน้อมต่อหนิงฝาน


 


มันหวังว่าหนิงฝานจะรับตำแหน่งประมุขนิกาย ไม่อย่างนั้น มันคงต้องหนี!


 


เมื่อเสี่ยวว่านหลูจากไป หนิงฝานก็เรียกทหารศิลาออกมา เพื่อยืนยันคำกล่าวของมัน แล้วทหารศิลาก็บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่รู้


 


“มันไม่ได้โกหกจริงๆ ที่นิกายปีศาจสำราญมีหัวใจแห่งมารดาพิภพ… การที่จะได้นมมาดาใต้พิภพมา ต้องเข้าสู่ดินแดนโลกล่มสลายเพื่อสังหารสัตว์อสูร ชิงเอาแก่นอสูรมา… สถานที่แห่งนั้นอยู่ก้นทะเล มีเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณเท่านั้นที่เข้าไป เพียงแต่…ถึงพวกมันจะให้เก็บแก่นอสูร แต่สิ่งที่พวกมันต้องการจริงๆคือแก่นอสูรตัดวิญญาณ!”


 


“สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ? ให้เข้าไปชิงแก่นอสูรของมันกลับมา ใครบอกว่าเป็นเรื่องอันตราย…นี่มันบ้าชัดๆ!” หนิงฝานขมวดคิ้ว


 


“แต่สัตว์อสูรตัดวิญญาณของที่นั่นไม่เหมือนทั่วไป… หากสัตว์อสูรแก่นทองคำเข้าไปในนั้น 100 ปีให้หลังพวกมันจะถูกบังคับให้ทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ แต่ถึงปราณของพวกมันจะเทียบเท่าขอบเขตตัดวิญญาณ แต่วิชาที่พวกมันใช้อยู่เพียงขอบเขตแก่นทองคำ หากเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดสมควรสังหารมันได้… แม้จะสังหารไม่สำเร็จ ก็ยังได้นมมารดาใต้พิภพ 1 หยด แต่หากได้แก่นอสูรตัดวิญญาณ ก็สามารถนำไปแลกนมมารดามใต้พิภพได้อีก… มีข่าวลือว่า ครั้งหนึ่งมีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณสังหารสัตว์อสูรตัดวิญญาณได้ 11 ตัว ก็สามารถนำไปแลกเป็นนมมารดาใต้พิภพเพิ่มได้อีก 11 หยด… ดังนั้นหากเจ้าต้องการบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง เจ้าต้องไปที่นั่น…”


 


“มีปราณในขอบเขตตัดวิญญาณ แต่วิชากลับเป็นเพียงแก่นทองคำ… ‘สัตว์อสูรตัดวิญญาณเทียม’ แก่นอสูรของพวกมัน 1 แก่น เท่ากับนมมารดาใต้พิภพ 1 หยด… นับว่าคุ้มค่า หากพบสัตว์อสูรตัดวิญญาณที่แท้จริง ข้าต้องถอย แต่หากเป็นสัตว์อสูรตัดวิญญาณเทียมค่อยฆ่ามัน! หากฆ่าได้พันตัว ก็จะได้ปราณเพิ่มประมาณ 10000 เกราะ บางทีอาจมีโอกาสได้ชิงหัวใจแห่งมารดาพิภพ หรือของล้ำค่าอื่นๆ”


 


“ข้าไม่ว่าเรื่องที่เจ้าจะไปนิกายปีศาจสำราญ แต่เรื่องที่รับปากข้าเจ้าจะว่ายังไง?” ทหารศิลากล่าว


 


“วางใจเถอะ ก่อนจะออกจากเกาะเผิงไหล ข้าจะไปพบนาง!”


 


หนิงฝานขี้เกียจต่อปากต่อคำ จึงนำทหารศิลากลับเข้าไปเช่นเดิม


 


ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาก็จะรับคำขอของเสี่ยวว่านหลู


 


แต่ในชั่วลมหายใจที่หนิงฝานจะเก็บทหารศิลา ทหารศิลาหันมองศพนางสวรรค์


 


นั่นทำให้ดวงตาของนางเปล่งแสงสีเขียว นอกจากหนิงฝานแล้ว นางไม่ชอบให้บุรุษใดมองนาง


 


แววตาของนางทำให้ทหารศิลาสั่นสะท้าน สงสัย และหวาดกลัว


 


“นางไม่มีปราณ แต่เหตุใดถึงให้ความรู้สึกน่ากลัวขนาดนั้นได้! หรือนางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลาง! ซัวหมิงทำให้ผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นมาเป็นผู้รับใช้ได้ยังไง?”…


 


ตอนที่ 211

 

สุดท้ายหนิงฝานก็เลือกที่จะรับคำขอของเสี่ยวว่านหลู และได้รับหยกสวรรค์เกือบล้านมาด้วย


 


ด้วยสถานที่แห่งนี้คือทะเลไร้สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นนิกายย่อมมีทรัพยากรจำกัด


 


แต่หากนำเสี่ยวว่านหลูไปอยู่ในแคว้นจิน มันสมควรแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชาแคว้นจิน


 


ผ่านไปอีกหลายวัน หนึ่งผู้เยาว์หนึ่งสตรี มาถึงเมืองเต่าทมิฬ


 


ยามนี้ เหล่าผู้คนในเมืองเป็นเหมือนมดปลวกสำหรับหนิงฝาน เพราะที่มาในครั้งนี้ เป็นการมาที่ต่างจุดประสงค์ จึงได้ความรู้สึกที่แตกต่าง


 


ระหว่างทางในเมือง ศพนางสวรรค์หันมองซ้ายขวา รอบๆนั้นมีแผงลอยที่ผู้เชี่ยวไร้สังกัดมาตั้งขาย สินค้ามีทั้งสมบัติและเครื่องประดับมากมาย หากเหมาซื้อมันทั้งหมด ไม่รู้ต้องเสียหยกสวรรค์ไปมากเท่าไหร่


 


แต่หนิงฝานไม่อาจทำอะไรได้ เขาต้องซื้อให้นางอยู่ดี


 


หากนางยื่นมือจะเอา หนิงฝานต้องซื้อให้


 


“แสง… อาภรณ์ตัวนั้น…” นางบุ้ยปากเล็กน้อย


 


หนิงฝานประสบสถานการณ์ยากลำบาก ยามนี้เขาเหมือนแม่ที่พาลูกสาวมาซื้อของ


 


“พอแล้วนะ!”


 


หนิงฝานลูบหัวนางเบาๆ  ของใช้เหล่านี้เป็นของฟุ่มเฟือย


 


เมื่อครั้งอดีต หนิงฝานที่ยังไม่บรรลุแก่นทองคำ เดินทางมาเมืองแห่งนี้ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส จึงไม่ได้เดินชมภายในเมือง


 


แต่ยามนี้หนิงฝานเดินเที่ยวชมอย่างผ่อนคลาย ภาพบรรยากาศในเมืองยามนี้ สมกับที่สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสามเกาะใหญ่ของทะเลส่วนนอก…


 


หอคอยโอสถทางใต้…คนสองคนเดินตรงไปช้าๆ


 


เมื่อย่าหลาน…สตรีที่ทำหน้าที่ต้อนรับเห็นหนิงฝานมา สีหน้าของนางเผยความสุขทันที


 


“ย่าหลานคารวะท่านซัว ไม่ทราบว่าท่านซัวมีธุระอะไร?”


 


ก่อนหน้านี้ที่หนิงฝานมา นางได้เห็นด้วยตาว่าหนิงฝานถูกนำไปยังตำหนักของจ้าวหอคอยเพื่อทดสอบระดับการปรุงโอสถ แม้ผู้อาวุโสโม่จะไม่ได้บอกผลการทดสอบ แต่ย่าหลานรู้ว่าหนิงฝานต้องผ่านการทดสอบ


 


เพียงแต่นางไม่รู้ว่าที่หนิงฝานทดสอบคือนักปรุงโอสถระดับ 5!


 


นางได้ยินชื่อของปีศาจซัว ได้ยินเรื่องราวต่างๆ นางจึงเชื่อว่าซัวหมิงผู้เป็นนักปรุงโอสถและปีศาจซัวผู้นั้นคือคนเดียวกัน


 


แต่ไม่ว่าจะชื่นชมหรือสิ่งใด หนิงฝานไม่ต้องการ เพราะเขามีสาวงามและโดดเด่นข้างกายแล้ว


 


“รบกวนแม่นางย่าหลานไปบอกผู้อาวุโสโม่ว่าข้าต้องการพบ”


 


“ผู้อาวุโสโม่บอกว่า หากท่านซัวหมิงมาไม่ต้องแจ้ง ให้พาไปพบได้เลย…”


 


ยามนี้ผู้อาวุโสโม่กำลังทดสอบการปรุงโอสถของผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ 4 คน


 


ในจำนวน 4 คนนั้น มี 2 คนที่บรรลุนักปรุงโอสถผันแปรที่ 2 ขั้นสูงสุด และยามนี้กำลังพยายามทะลวงไปยังนักปรุงโอสถผันแปรที่ 3


 


ระหว่างการทดสอบ ทั้งหมดปรุงโอสถอย่างตั้งใจ


 


ในจำนวน 3 ใน 4 คนนั้น ดูท่าว่าจะปรุงโอสถล้มเหลว มี 1 คนที่ปรุงโอสถได้สำเร็จ แต่คุณภาพของโอสถน่าผิดหวังเกินไป


 


“พวกเจ้าไม่ผ่าน!”


 


ชายชราพับแพนเสื้อ โบกมือดับเพลิงที่คนทั้ง 4 ใช้ปรุงโอสถ


 


10 ปีผ่านไปนับจากวันนั้น ชายชราบรรลุนักปรุงโอสถผันแปรที่ 3 ขั้นสูงสุด อีกเพียงก้าวเดียวจะบรรลุนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4


 


ชายชราเสียเวลากับ 4 คนนี้มาก สู้เอาเวลาไปยกระดับการปรุงโอสถยังดีเสียกว่า


 


แม้ชายชราจะหยาบคายโดยการดับเพลิงที่ใช้ปรุงโอสถไป แต่นักปรุงโอสถทั้ง 4 คนนั้นไม่กล้าเอ่ยคำ พวกมันเพียงป้องมือคารวะแล้วจากไป ในขณะที่เดินกลับ พวกมันล้วนมีสีหน้ามัวหมอง แต่เมื่อเห็นย่าหลานนำหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีตรงไปยังผู้อาวุโสโม่ พวกมันตกตะลึง


 


สีหน้าของย่าหลานเปี่ยมด้วยความเคารพนับถือ แตกต่างจากปกติวิสัยของนางโดยสิ้นเชิง


 


ทั้ง 4 คนนั้นเป็นพี่น้องกัน หนึ่งในนั้นมีผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับย่าหลาน นามยู่เว่ย อายุกระดูก 100 ปี เป็นนักปรุงโอสถ และเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสแห่งหอคอยโอสถเหนือ มันชอบพอย่าหลานมาก แต่นางไม่ชายตามองมันแม้แต่น้อย แต่วันนี้ แววตาของนางกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


 


เมื่อมันเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้เยาว์ มันจ้องมองด้วยสายตาอาฆาต


 


แม้ว่ามันไม่ทราบว่าหนิงฝานเป็นใคร แต่มันก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับหนิงฝานแล้ว


 


แต่ต่อให้มันรู้ ด้วยที่ย่าหลานมีใจให้หนิงฝาน ยังไงมันก็โกรธแค้นอยู่ดี


 


แต่เมื่อมันเหลือไปเห็นสตรีที่เดินตามหลังหนิงฝาน แววตาที่เคียดแค้นแปรเปลี่ยนตกตะลึง


 


ในโลกของผู้ฝึกตน สตรีส่วนใหญ่จะงดงามราวกับเทพธิดา แต่สตรีที่งดงามเช่นนั้น กลับหาได้ยากอย่างที่สุด


 


เอวคอดกิ่ว เรือนร่างงดงามเย้ายวน ยิ่งใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากไร้เลือดฝาด ยิ่งทำให้ผู้ที่เห็นสงสาร… อาภรณ์ที่นางสวนใส่ขับส่งให้นางดูบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์


 


ตัณหาปรากฏในแววตาของมัน!


 


ความสนใจของมันยามนี้พุ่งเป้าไปที่ศพนางสวรรค์


 


ยามนี้ หนิงฝานและศพนางสวรรค์ไม่ได้แผ่นกลิ่นอายใดๆ จึงทำให้ดูเหมือนคนทั่วไปเท่านั้น


 


การที่ย่าหลานเคารพโดยที่ไร้ซึ่งพลัง แสดงว่าคนผู้นั้นมีที่มาไม่ธรรมดา


 


แต่มีที่มาแล้วอย่างไร? ในทะเลส่วนนอกแห่งนี้ มีใครบ้างที่สนใจเรื่องนั้น หากไม่แข็งแกร่งจริงก็ตาย!


 


เป็นเพียงผู้เยาว์เปิดเส้นชีพจร แต่กลับมีสาวงามระดับนั้นเป็นผู้ติดตาม ดังนั้นมันจึงเกิดความคิดจะสังหารหนิงฝาน เพื่อช่วงชิงผู้ติดตาม


 


ต้องช่วงชิงมาให้ได้… ก้นของนางโค้งมนได้รูปน่าสัมผัส ฮ่าฮ่า…


 


เมื่อศพนางสวรรค์เดินมาใกล้ ยู่เว่ยคืนสีหน้าปกติ  แต่เมื่อนางเดินผ่านไป มันจึงยกมือตีเข้าที่ก้นของนาง


 


มันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ การสัมผัสเรือนร่างของสตรีในขอบเขตเปิดเส้นชีพจร ย่อมหลบหนีได้ทันโดยที่นางไม่รู้ตัว


 


มันเคยกระทำกริยาเช่นนี้มาหลายครั้ง


 


แต่มือของมันยังไม่ทันได้สัมผัสกายศพนางสวรรค์ มือของผู้เยาว์คนหนึ่งกลับจับแขนของมันไว้


 


ยู่เว่ยไม่อาจขยับ แขนข้างที่ถูกจับถูกบดกระดูกจนแตก!


 


ความเจ็บปวดที่ยากจะทนทานแล่นไปทั่วร่าง มันเงยหน้ามองเจ้าของมือ ก่อนพบกับแววตาที่เย็นชา


 


แววตาเช่นนั้นทำให้มันเสียวสันหลัง!


 


มันรู้สึกราวกับชีวิตกำลังจะจบสิ้นด้วยสายตาคู่นั้น!


 


นี่มันจิตสังหารระดับใด!


 


แค่จ้องมอง มันรู้สึกราวกับเส้นลมปราณของมันกำลังจะฉีกเป็นชิ้นๆ


 


กลับกลายเป็นว่าผู้เยาว์เบื้องหน้ามันคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง


 


ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ… หรือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ!


 


แต่คำกล่าวของมันกลับไร้ความหมาย บรรยากาศรอบข้างสั่นสะเทือน ร่างของยู่เว่ยระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิต


 


วิธีสังหารเช่นนี้ อีก 3 คนที่เหลือไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พวกมันตระหนักได้ทันทีว่า ผู้เยาว์เบื้องหน้าต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ เพราะมีเพียงผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำเท่านั้นที่สังหารผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณได้อย่างง่ายดาย


 


“เจ้ากล้าสังหารพี่ยู่เว่ย ตอ่ให้เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ ข้าก็ขอสู้ตาย! ท่านยู่หลงแห่งหอคอยโอสถที่ 3 ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่!”


 


“อืม… ข้าชื่อซัวหมิง เจ้าไปบอกมันมาหาข้า!”


 


“ได้! ข้าจะไปบอกว่าเจ้าชื่อซัวหมิง!”


 


พวกมันทั้งสามคนเร่งจากไป เพื่อแจ้งเรื่องต่อยู่หลง


 


ย่าหลานยืนมือปิดปากด้วยความตกตะลึง


 


นางคิดว่าหนิงฝานมีความสามารถสูงส่ง ไม่น่าจะเป็นคนเลือดเย็นแบบนี้ แต่ดูเหมือนตอนนี้ เขาจะเป็นคนโหดเหี้ยมเหมือนข่าวลือ


 


ซัวหมิงผู้นี้คือซัวหมิงคนเดียวกันที่ทำให้ทะเลส่วนนอกปั่นป่วน…ปีศาจซัวหมิง


 


ไม่! ซัวหมิงผู้นั้นสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้


 


แต่ซัวหมิงตรงหน้า แม้จะแข็งแกร่ง แต่มีอายุกระดูกเพียงแค่ 340 ปี เหตุใดจะแข็งแกร่งขนาดนั้นได้


 


ย่าหลานเริ่มเป็นกังวล


 


“ท่านซัว ท่านนำปัญหามาสู่ตนแล้ว… ท่านไม่ควรสังหารยู่เว่ย แม่ว่าข้าจะไม่ชอบมันก็เถอะ…”


 


“ไม่สมควรสังหาร? มันคิดสัมผัสสตรีของข้า แบบนั้นยังไม่สมควรอีกเหรอ?” หนิงฝานยิ้มให้ย่าหลานเล็กน้อย แม้เขาจะไม่ได้แผ่เจตนาสังหารของมัน แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้นางสั่นสะท้าน ราวกับมีปีศาจร้ายซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มนั้น


 


“ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น… ท่านยู่หลงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง ที่ท่านสังหารบุตรชายของมันไป เรื่องคงไม่จบง่ายๆ ข้าว่าท่านรีบไปจากที่นี่เถอะ…”


 


“ไม่จำเป็น วันนี้ข้าตั้งใจมาหาผู้อาวุโสโม่ เพราะจะรับคำเทียบเชิญเป็นนักปรุงโอสถกิตติมศักดิ์ของวิหารสาบสูญ… ต่อให้เป็นยู่หลง มันก็ไม่กล้ามาก่อเรื่องกับข้าหรอก!”


 


ไม่กล้าก่อเรื่องกับข้า!


 


แม้จะเป็นคำกล่าวที่อวดดี


 


แต่คำกล่าวของหนิงฝานกลับทำให้ย่าหลานเชื่ออย่างบอกไม่ถูก


 


หนิงฝานลงมือสังหารเพื่อผู้ติดตาม ทั้งผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มยังไม่กล้าหาเรื่อง


 


หรือซัวหมิงผู้นี้จะเป็นซัวหมิงในข่าวลือจริงๆ!


 


“เอาหล่ะย่าหลาน…. พาข้าไปพบผู้อาวุโสมู่ได้แล้ว!”


 


ภายในหอคอยโอสถเหนือ… ยู่หลงกำลังปรุงโอสถผันแปรที่ 4


 


ยามนี้มันเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 3 ขั้นสูงสุดแล้ว เหลืออีกเพียงก้าวเดียวจะบรรลุนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4


 


หากมันปรุงโอสถผันแปรที่ 4 นี้สำเร็จ ก็จะนับว่าความสามารถมันถึงระดับนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4


 


“อีกเพียงนิดเดียว… ฮ่าฮ่า หากปรุงโอสถรวมเพลิงได้สำเร็จ ข้าก็จะบรรลุสิ่งที่หวัง!”


 


มันเผยสีหน้าตื่นเต้น ทักษะปรุงโอสถของมันกำลังก้าวหน้าอย่างช้าๆ


 


แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง คน 3 คนกลับผลักประตูห้องเข้ามาอย่างเร่งร้อน


 


“ท่านผู้นำตระกูล! เกิดเรื่องร้ายแล้ว!”


 


ในช่วงคับขันสำคัญของการปรุงโอสถ ยู่หลงเสียสมาธิ ทำให้ปรุงโอสถล้มเหลว!


 


โอสถผันแปรที่ 4… นักปรุงโอสถผันแปรที่ 4… เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!


 


ยู่หลงบันดาลโทสะ โคจรปราณไว้ที่ฝ่ามือแล้วตบเข้าที่คนทั้ง 3 ที่เข้ามา ร่างของพวกมันปลิวกระแทกเข้ากับผนังห้อง กระอักโลหิตอย่างรุนแรง และตายคาที่ 2 คน!


 


ยู่หลงไม่ใช่ผู้ที่จะยอมใคร!


 


กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ มันต้องผ่านสมรภูมิและการสังหารมาแล้วมากมาย!


 


ต่อให้เป็นคนในตระกูลมันก็สังหารได้


 


โอกาสที่ 10 ปีจะมีครั้ง สุดท้ายกลับล้มเหลว ต่อให้เป็นคนในตระกูลก็สังหารได้ เหตุผลที่มันจงใจให้เหลือรอด 1 คน เพราะต้องการทราบข่าวเรื่องสำคัญ


 


“บอกเรื่องร้ายมา ข้าให้เวลา 3 ลมหายใจ! แต่ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระ ตาย!”


 


ที่มันมาเพราะจะรายงานเรื่องที่บุตรชายของมันถูกสังหาร ในเมื่ออีกฝ่ายให้เวลา 3 ลมหายใจ มันจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด


 


“ยู่เว่ยตาย… ตายที่หอคอยโอสถใต้…” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา


 


“อะไรนะ! พวกเจ้าไปทดสอบการปรุงโอสถที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงตายได้? ใครเป็นคนทำ! มันผุ้นั้นต้องไม่รู้จักข้า หากเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำย่อมไม่กล้าลงมือ! มันเป็นใคร!”


 


“ซัว…” ด้วยแรงกดดันของยู่หลง ทำให้มันหายใจได้ยาก


 


“ซัว? ซัวอะไร? ดี…ในเมื่อพูดไม่ได้ก็ตายซะ! ข้าจะไปหาตัวมันที่หอคอยใต้เอง!”


 


ยู่หลงโกรธแค้น การที่อีกฝ่ายสังหารเพียงบุตรชายของมัน แต่คนอื่นๆกลับหนีมาได้ แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก อาจเป็นเพียงผู้เชี่ยวแก่นทองคำขั้นต้น ไม่งั้นคงไม่ปล่อยให้ 3 คนนั้นหนีมา


 


มันแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธ ทะยานออกจากหอคอยเหนือ มุ่งไปยังหอคอยใต้!


 


“เจ้าแซ่ซัว! เจ้าฆ่าบุตรชายข้า ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”


 


ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำและดวงจิตแรกเริ่มมากมายภายในเมืองแหงนหน้ามอง


 


“นั่นปีศาจเฒ่ายู่หลง! บุตรชายของมันถูกสังหาร? คงมีอะไรสนุกๆให้ดูแล้ว…”


 


ยู่หลงที่ทะยานด้วยความเร็วสูงตกเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย


 


ยามนี้มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นโลหิตของบุตรชาย จากผู้ที่ลงมือสังหาร ซึ่งยามนี้ อยู่ในหอคอยใต้!


 


“เจ้าคนแซ่ซัว ข้าให้เวลาเจ้า 3 ลมหายใจ ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


ทันทีที่สิ้นเสียง สีหน้าโกรธแค้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


ยามนี้มันจะเสียใจก็สายไปแล้ว!…

 

 

 


ตอนที่ 212

 

เมืองเผิงไหล่มีกฏห้ามบิน เว้นแต่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญดวง


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มแต่ละคนที่กลับมายังเมืองเต่าทมิฬ เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ไกลๆ


 


ยู่หลง! นักปรุงโอสถผันแปรที่ 3 ขั้นสูงสุด ผู้เชี่ยวชาญ ดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น หนึ่งในนักปรุงโอสถกิตติมศักดิ์ของหอคอยโอสถเหนือ


 


ไม่ว่าจะเป็นฝีมือปรุงโอสถหรือการต่อสู้ ล้วนเป็นที่โปรดปรานของจ้าวหอคอย


 


แต่บุตรชายของมันกลับถูกคนของหอคอยโอสถใต้สังหาร… มันย่อมไม่อาจปล่อยผ่าน เพราะเหตุใดอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกสังหารเป็นบุตรชายของมัน


 


ยู่หลงจ้องมองหอคอยโอสถใต้ด้วยสายตาเย็นชา


 


ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญแกนทองคำขั้นต้น มีคนแซ่ซัวมากมาย แม้คนเหล่านั้นจะมีตระกูลซัวที่ยิ่งใหญ่หนุนหลัง แต่ยู่หลงก็กล้าสังหารพวกมัน


 


นอกจากโกรธแค้นที่บุตรชายถูกสังหาร มันยังโกรธแค้นที่ต้องพลาดโอกาสในการทะลวงระดับนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4!


 


“เจ้าคงแซ่ซัว ข้าให้เวลาเจ้า 3 ลมหายใจ… ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


มันตะหวาดลั่น ยืนมือไพล่หลังกลางนภาอย่างอาจหาญ! แรงกดดันระดับดวงจิตแรกเริ่มปกคลุมท้องฟ้า ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำและประสานวิญญาณจำนวนมากในเมืองนับถือ


 


ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม… ผู้ที่ทำลายแคว้นได้เพียงลำพัง แรงกดดันทรงพลังน่าเกรงขาม ทำให้ผู้ที่สัมผัสถึงไม่อาจต่อต้าน


 


ยู่หลงเผยเจตนาสังหารอย่างชัดเจน หากใครกล้าขวาง ผู้นั้นถือเป็นศัตรู!


 


ด้วยแรงกดันของมัน ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มทั่วไปตกตะลึง… เพราะยู่หลงผู้นี้มีปราณสังหารที่รุนแรงมาก!


 


แต่ชั่วพริบตาถัดมา ทั่วทั้งเมืองเต่าทมิฬกลับเงียบสงัด ดวงตาผู้เชี่ยวชาญทุกคนเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ!


 


แววตายู่หลงแปรเปลี่ยนหวาดกลัวสุดขีด!


 


ผู้เยาว์ในอาภรณ์ขาวปรากฏตัวเบื้องหน้าโดยที่มันรู้ตัว ทั้งใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้หวาดกลัว


 


แรงกดดันของผู้เยาว์เบื้องหน้าหักล้างแรงกดดันของยู่หลงจนหมดสิ้น จนทำให้มันรู้สึกราวกับร่วงหล่นลงเหวลึกกว่าหมื่นจ้าง!


 


มันสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจนทำให้หัวใจเต้นรัว เหงื่อกาฬไหล่รินเป็นสาย


 


ไม่ผิดแน่! ผู้เยาว์เบื้องหน้าคือผู้ที่สังหารบุตรชายของมัน!


 


แต่…คนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เหตุใดกลับยิ้ม ทั้งยังไม่อาจสัมผัสถึงพลังของอีกฝ่าย ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงคนธรรมดา! สายตาที่จ้องมองมัน ทำให้รู้สึกราวกับว่าร่างของมันกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ปราณในร่างปั่นป่วน!


 


“เจ้า… เจ้า!” จิตใจที่ผ่านการขัดเกลามานับพันปีของมัน สั่นสะท้านด้วยความกลัว


 


มันไม่อาจสัมผัสพลังของคนเบื้องหน้าได้


 


แต่คนผู้นั้นกลับทำให้มันหวาดกลัว


 


“ข้าคือซัวหมิง… ออกมาตามเสียงของเจ้าแล้ว…”


 


ซัวหมิง!


 


ผู้ที่สังหารผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่สุสานนิกายกระถางขัดเกลาก็ชื่อซัวหมิง เมื่อยามที่เกิดเรื่อง ยู่หลงอยู่ระหว่างเก็บตัวฝึกฝน เมื่อออกมาและทราบข่าว มันจึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะแม้ซัวหมิงจะน่าสะพรึงกลัว แต่ก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว


 


แต่มันคิดผิด มันคิดว่าผู้ที่สังหารบุตรชายคือผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นต้น มันจึงกล้าออกมาถึงที่ แต่ที่ไหนได้กลับเป็นซัวหมิง!


 


นอกจากยู่หลงที่หวาดกลัว! ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ แก่นทองคำ และดวงจิตแรกเริ่มในเมืองก็หวาดกลัว พวกมันเร่งถอยห่างจากทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้อง


 


ซัวหมิงผู้นั้น แรงกดดันเช่นนั้น สมควรเป็นคนเดียวกันกับข่าวลือที่แพร่ไปทั่วทะเลส่วนนอก


 


ยู่หลงผู้อาจหาญกลายเป็นคนขลาดเขลา


 


ใบหน้าซีดขาวไร้โลหิต สองมือที่ไพล่หลังสั่นเทาไม่อาจควบคุม


 


“ข้าคิดจะฆ่ามันเพื่อทวงความยุติธรรมให้บุตรชาย แต่นี่…”


 


มันแอบตำหนิบุตรชายในใจ


 


มันเป็นผู้เลี้ยงดูมาย่อมรู้จักนิสัยของบุตรชายเป็นอย่างดี เมื่อมันเห็นหนิงฝานพร้อมกับสตรีในอาภรณ์ขาว มันรู้ทักทีว่าบุตรชายของมันเป็นฝ่ายผิด ไม่อย่างนั้น ซัวหมิงผู้นี้คงไม่ลดมือลงมาสังหารผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ


 


บุตรชายสารเลว ถึงกับกล้ายั่วยุตัวหายนะเช่นนี้!


 


แต่เจ้าพวก 3 ตัวที่รอดไปนั้นชั่วร้ายกว่า ถึงกับกล้าไม่ยอมบอกรายละเอียดกับมัน บอกแค่แซ่แล้วตายไป หากมันรู้ว่าผู้ที่สังหารคือซัวหมิง ต่อให้มันกล้าหาญกว่านีอีกหมื่นเท่า มันก็ไม่มาหาเรื่องซัวหมิงแน่


 


“ขออภัยด้วยสหายเต๋า เรื่องนี้ข้าเข้าใจผิดไปเอง! หากข้ารู้ก่อนว่าสหายเต๋าอยู่ที่นี่ ข้าคงไม่กล้ามารบกวน! ข้าต้องขออภัยสหายเต๋าจริงๆ นี่เป็นของแทนคำขอโทษจากข้า!”


 


“แทนคำขอโทษ? แต่บุตรชายท่าน…”


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชาอย่างรวดเร็วราวกับพลิกหน้า หน้าตำรา เจตนาสังหารที่รุนแรงปรากฏ จนทำให้ยู่หลงต้องเร่งโยนกระเป๋าให้


 


“บุตรชายข้าล่วงเกินท่านหมิง มันสมควรตายแล้ว!”


 


ท่านหมิง? สมควรตาย?


 


หนิงฝานเย้ยหยัน ยู่หลงเป็นเพียงคนขี้ขลาด ที่ยอมกล่าวสิ่งใดก็ได้ที่จะทำให้มันรอดชีวิตไป


 


ท่านหมิง? คำว่าท่านในทะเลส่วนนอก ใช้กับเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ


 


หนิงฝานรับกระเป๋าที่มันโยนมาพลางมองด้วยสีหน้าเย้ยหยัน


 


“1 ล้านหยกสวรรค์… ชีวิตเจ้ามีค่าแค่นี้เหรอ? แค่นี้ยังไม่พอ จงมาให้ข้าประทับตราวิญญาณ แล้วเป็นทาสของข้าซะ!”


 


เหตุที่หนิงฝานไม่สังหารมัน เป็นเพราะเขาได้ยินมาว่า มันก็เป็นหนึ่งแขกที่ได้รับเทียบเชิญจากนิกายปีศาจสำราญ มันสมควรมีประโยชน์กับหนิงฝาน และอาจช่วยแนะนำบางสิ่ง… ข่าวลือว่านิกายปีศาจสำราญมีพื้นที่กว้างกว่า 1 แสนลี้ ปราณภายในนั้นปั่นป่วน หากเป็นผู้ไม่คุ้นเคยกับที่นั่น ก็ไม่อาจเข้าไปได้


 


“อะไรนะ! ข้า…ข้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มเหมือนกัน…” สีหน้ายู่หลงแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง มันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังในแคว้นระดับล่าง เหตุใดจะยอมเป็นทาสได้


 


“งั้นก็ตาย!”


 


หนิงฝานก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มทั้งเมืองปวดหัว รู้สึกราวกับถูกกระบี่ทิ่มแทงจิตวิญญาณ


 


เก้าย่างเหยียบสวรรค์… ก้าวที่หนึ่ง!


 


ระดับของหนิงฝานยามนี้ เพียงก้าวเดียวก็ทำให้ยู่หลงเจ็บที่บริเวณหน้าอก ก่อนกระอักโลหิตอย่างรุนแรง


 


สถานะการณ์ของยู่หลงยามนี้เหมาะกับคำกล่าวที่ว่า 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น แม้มันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่ไม่คู่ควรพอที่จะยืนต่อหน้าหนิงฝาน!


 


เก่าย่างเหยียบสวรรค์… หาก 9 เดินครบ 9 ครั้ง จะสำแดงวิชากระบี่ที่ทรงพลังออกมา… ก้าวแรกยู่หลงบาดเจ็บ ก้าวที่ 3 ยู่หลงบาดเจ็บสาหัส ก้าวที่ 5 อาจทำให้มันสิ้นชีวิต! หากก้าวครบ 9 ครั้ง ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางก็ไม่รอด!


 


แต่ในขณะที่ยู่หลงกำลังจะกล่าวยอมเป็นทาส แรงกดดันที่ทรงพลัง 3 สายปรากฏ หักล้างก้าวแรกของหนิงฝาน… ชายชรา 3 คนในอาภรณ์ขาว คราม และน้ำตาลปรากฏ พวกมันเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด


 


“ที่แท้เป็นสามจ้าวหอคอยโอสถ! สงสัยได้ยินว่ายู่หลงกำลังจะถูกประทับตราวิญญาณจึงเร่งมาดู”


 


เมื่อผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด 3 คนปรากฏตัว ยู่หลงคิดว่าอีกฝ่ายคงมาช่วย ไม่ให้มันต้องเป็นทาสของซัวหมิง


 


ส่วนหนิงฝานขมวดคิ้ว เมื่อทั้งสามปรากฏตัว


 


ชายชราอาภรณ์ครามมีปราณ 6000 เพราะ อาภรณ์ขาวมี 6500 เกราะ และอาภรณ์น้ำตาล 7000 เกราะ! อีกไม่นานทั้งสามจะถึงจุดตีบตัน


 


“ผู้น้อยยู่หลงคารวะผู้อาวุโสฉิง ผู้อาวุโสเป่ย และผู้อาวุโสเฮ่อ!”


 


ชายชราสองคนพยักหน้า แต่ชายชราในอาภรณ์น้ำตาลกลับมองมันด้วยสายตาเย็นชา


 


“หุบปาก!”


 


ยู่หลงไม่กล้าเอ่ยคำ มันไม่กล้ายั่วยุจ้าวหอคอยเหนือ


 


จ้าวหอคอยตะวันตกและตะวันออกป้องมือให้หนิงฝาน แต่จ้าวหอคอยเหนือกลับกล่าวขึ้น


 


“สหายเต๋าซัวหมิงแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางแต่กลับสร้างชื่อไปทั่วทั้งทะเลส่วนนอก… แต่ยามนี้เจ้ากำลังจะข่มเหงคนของวิหารสาบสูญ นับเป็นการดูหมิ่นข้า หากสหายเต๋ายอมรามือ ข้าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แต่หากสหายเต๋ายังยืนยันตามเดิม ข้าก็คงต้องลงมือ!”


 


คำกล่าวของจ้าวหอคอยเหนือเปิดทางให้หนิงฝานถอย


 


แต่ซัวหมิงสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้ เหตุใดจะสังหารคนเหล่านี้ไม่ได้!


 


ส่วนเรื่องที่หนิงฝานเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 มีเพียงเป่ยเซี่ยวเหมิน โม่หยุน และลู่ซิงเท่านั้นที่รู้ ทั้งสามไม่อยากให้เรื่องที่หนิงฝานเป็นนักปรุงโอสถกิตติมศักดิ์เปิดเผย


 


หากเทียบกันเพียงระดับพลัง ผู้อาวุโสฉิงไม่กลัวซัวหมิง ต่อให้จ้าววิหารสาบสูญมาเอง มันก็ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่ง


 


หนิงฝานขมวดคิ้ว


 


การที่เขายอมไว้ชีวิตยู่หลงก็นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้ว แต่ยามนี้ จ้าวหอคอยโอสถเหนือกลับสอดมือ หากมันทำเช่นนี้ที่อื่น มันคงไม่รอด


 


ผู้ที่มีขุมกำลังหนุนหลังย่อมทำตัวถือดี แต่การถือดีต่อหน้าหนิงฝานคือสิ่งที่ผิดมหันต์!


 


ขนาดทหารศิลาหนิงฝานยังกล้าช่วงชิง แม้จ้าวหอคอยโอสถเหนือจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่โดดเด่น แต่หนิงฝานไม่ได้เห็นมันอยู่ในสายตา


 


ผู้ที่จะหยัดยืนอยู่ในทะเลส่วนนอกได้ต้องแข็งแกร่ง


 


เดิมทีหนิงฝานเพียงต้องการเข้าร่วมเป็นนักปรุงโอสถกิตติมศักดิ์ของวิหารสาบสูญ แต่ดูเหมือนตอนนี้คงไม่สั่นสอนจ้าววิหารเหนือไม่ได้แล้ว


 


“ที่ข้ามาวิหารสาบสูญวันนี้ก็เพื่อจะเข้าร่วมวิหารสาบสูญ แต่บุตรชายของยู่หลงกลับกล้าล่วงเกิดภรรยาข้า ทั้งจ้าวหอคอยเหนือยังเห็นดีเห็นงาม… เห็นทีคราวนี้ข้าต้องให้วิหารสาบสูญอธิบาย!”


 


“ฮ่าฮ่า… เจ้าคิดว่าทำได้เหรอ? ดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางแต่กลับคิดรับมือดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดถึง 3 คน… เจ้าคิดว่าโลกนี้มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง? เจ้าอยากได้คำอธิบายแบบไหน? หยกสวรรค์? โอสถ? หรือเข้าร่วมวิหารสาบสูญ? ฮึ่ม กล้าทำร้ายคนของข้า ทั้งยังกล้าข่มขู่!” จ้าวหอคอยโอสถเหนือกล่าวเย้ยหยัน


 


“ข้าอยากเป็นจ้าวหอคอยโอสถเหนือ!”


 


“ปากดีนัก!”


 


ชายชราเหวี่ยงมือเข้าหาหนิงฝาน ปราณในรัศมีพันลี้แปรเปลี่ยนเป็นห่าพิรุณเพลิงระดมเข้าใส่หนิงฝาน


 


เมื่อศพนางสวรรค์เห็นหนิงฝานตกอยู่ในอันตราย นางเตรียมจะลงมือ หากเป็นนาง สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ง่าย นางจะกลัวแต่เฉพาะหนิงฝาน คนอื่นๆนางไม่กลัว!


 


แต่ก่อนที่นางจะลงมือ หนิงฝานกลับกุมมือน้อยๆของนางไว้พลางส่ายหน้า


 


“รอข้าอยู่ที่นี่นะ”


 


การแสดงออกของนางทำให้หนิงฝานมีความสุขมาก นางไม่ได้เกลียดชังเขาแล้ว


 


เหตุที่หนิงฝานจะลงมือด้วยตนเอง ก็เพราะต้องการตำแหน่งของชายชรา ที่สำคัญ แค่เขาคนเดียวก็เกินพอ


 


ชื่อเสียง กิตติศัพท์ หนิงฝานจะช่วงชิงมันมาให้หมด!


 


เพลิงของชายชราเป็นเพลิงระดับ 4… ‘เพลิงวิญญาณแมงป่อง’ เป็นเพลิงที่ไม่ได้ทรงพลังมากนัก


 


หนิงฝานชี้นิ้ว เพลิงกระดูกขาวและเพลิงปีศาจทมิฬปรากฏ เข้าผสานส่งเสริมจนกลายเป็นเพลิงสีเทาห้อมล้อมท้องนภา


 


สีหน้าชายชราแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง มันคาดไม่ถึงว่าเพลิงวิญญาณแมงป่องของมันถูกพัดหายในพริบตา!


 


แม้เป็นเพลิงระดับ 4 แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเพลิงระดับ 5 ล้วนเป็นได้เพียงมดปลวก!


 


ที่สำคัญ เพลิงระดับ 5 ที่ปรากฏมีด้วยกันถึง 2 ชนิด จ้าวหอคอยคนอื่นๆที่เป็นนักปรุงโอสถล้วนมีความรู้เรื่องเพลิง ดังนั้น เพลิงที่หนิงฝานจุดขึ้นจึงทำให้พวกมันหวาดกลัว


 


เพลิงชีพจรพิภพ เพลิงระดับ 5 แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังยากจะหา! แต่หนิงฝานกลับมีในครอบครอง… ยามนี้ หนิงฝานกลัวว่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณคนใดในทะเลส่วนนอกจะช่วงเพลิงปีศาจ!


 


“เพลิงชีพจรพิภพ! เพลิงกระดูกขาวและเพลิงปีศาจทมิฬ! เป็นไปไม่ได้! แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังยากจะหาเพลิงระดับนี้ เหตุใดเจ้าถึงมีในครอบครอง!”


 


“ไม่เกี่ยวกับเจ้า… วังวนวังกรเพลิงที่ 8!”


 


เพลิงสีเทาหมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนแปรเปลี่ยนเป็นมังกรทะยานไปทั่วผืนนภา


 


“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว… ข้าจัดการจ้าวหอคอยทุกคนที่อยู่ที่นี่!”…

 

 

 


ตอนที่ 213

 

คำกล่าวของหนิงฝานฟังดูอวดดี ถึงกับจะสังหารจ้าวหอคอยโอสถทั้ง 3 เพื่อชิงตำแหน่ง


 


แต่ถึงจะอวดดี ด้วยชื่อเสียงของซัวหมิงก็ทำให้ผู้คนเชื่อถือ ทั้งยังคู่ควรให้เย่อหยิ่งอวดดี!


 


คาดไม่ถึงว่าจากการล้างแค้นของยู่หลง จะกลายเป็นแบบนี้


 


และยังคาดไม่ถึงว่าซัวหมิงจะแสดงฝีมือ…


 


หนิงฝานต้องการตำแหน่งจ้าวหอคอยโอสถเหนือ ตะวันออก และตะวันตกทั้งหมด


 


เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หนิงฝานขบคิดบางสิ่ง


 


ตนเองขัดแย้งกับหอคอยโอสถเหนือ หอคอยโอสถเหนือยังไม่รู้ว่าหนิงฝานเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 อีกไม่นานเรื่องราวที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น แต่เหตุใดผู้นำวิหารสาบสูญถึงยังไม่ปรากฏตัว


 


แต่หากมันรู้ว่าหนิงฝานคือนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 มันยิ่งต้องมา


 


ขนาดหนิงฝานกล่าวว่าจะช่วงชิงตำแหน่งจ้าวหอคอยโอสถ มันก็ยังไม่มา


 


นั่นหมายความว่า เรื่องนี้มีเหตุผลแอบแฝงบางอย่าง


 


สิ่งที่หนิงฝานพอจะเดาได้คือ เป่ยเซี่ยวเหมิน อาจจะอยากให้หนิงฝานสังหารพวกมัน


 


อาจเป็นไปได้ว่า จ้าวหอคอยทั้ง 3 ทำให้วิหาญสาบสูญไม่พอใจ


 


ลู่ชิงน่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเป่ยเซี่ยวเหมิน


 


ส่วนจ้าวหอคอยทั้งสามสมควรเป็นนักปรุงโอสถในทะเลส่วนนอก ไม่ก็คนที่วิหารพิรุณส่งมา


 


หรือไม่ พวกมันทั้ง 3 คนอาจเป็นคนของขุมกำลังใดขุมกำลังหนึ่งที่เป็นศัตรูกับลู่ชิง พูดง่ายๆคือวิหารสาบสูญอยากกำจัดพวกมันทิ้ง ลู่ชิงจึงไม่สอดมือ ถือเป็นการยืมมีดฆ่าคน


 


หากไม่ใช่วิธีนี้ มันก็ไม่อาจทำอะไรอย่างไร้เหตุผลได้ มันจึงต้องจำยอมให้จ้าวหอคอยทั้ง 3 รั้งตำแหน่งต่อไป


 


ลู่ชิงอาจรู้ว่าหนิงฝานแข็งแกร่งกว่าพวกนั้น


 


ด้านหนิงฝานเอง อีกไม่นานก็ต้องเดินทางไปเข้าร่วมงานประมูลของนิกายปีศาจสำราญ แม้เขาจะไม่เห็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดอยู่ในสายตา แต่การเพิ่มพูนชื่อเสียงอย่างการสังหารคนเพิ่มก็นับเป็นเรื่องดี


 


คำกล่าวของหนิงฝานทำให้จ้าวหอคอยทั้ง 3 ตระหนก


 


พวกมันล้วนหวั่นกับเพลิงชีพจรพิภพของหนิงฝาน


 


“ฮ่าฮ่า คาดไม่ถึงว่านอกจากเพลิงคราม ยังได้พบเพลิงกระดูกขาว และเพลิงปีศาจทมิฬ… หากข้าเจ้าได้ ภารกิจของพวกข้าที่มีต่อท่านหยานก็จะเสร็จสิ้น”


 


ท่านหยาน?


 


หนิงฝานขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะเดาถูก


 


ข่าวลือว่าท่านหยานแห่งวิหารพิรุณ ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลางเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 วิชาลับเพลิง ที่สามารถยกระดับการปรุงโอสถได้ด้วยการดูดกลืนเพลิง นอกจากนี้ ท่านหยานที่ว่ายังเป็นนักปรุงโอสถกิตติมศักดิ์ของวิหารสาบสูญ


 


ดังนั้น จ้าวหอคอยทั้งสามจึงเป็นคนของวิหารพิรุณ เป้าหมายของพวกมันคือเพลิงครามของเป่ยเซี่ยวเหมิน


 


หนิงฝานพอจะเดาได้ว่าทำไมเพลิงครามถึงอยู่กับเป่ยเซี่ยวเหมิน นั่นเพราะสถานะของลู่ชิงไม่อาจปกป้องเพลิงได้


 


ดังนั้น การสังหารจ้าวหอคอยทั้ง 3 จึงถือเป็นการช่วยเหลือวิหารสาบสูญในทางอ้อม


 


หากสังหารพวกมันได้ ลู่ชิงจะตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหนิงฝาน เมื่อถึงยามนั้น เขาอาจได้เป็นผู้เชี่ยวชาญกิตติมศักดิ์ของวิหารสาบสูญ ต่อให้ขอเพลิงครามก็อาจไม่ยาก


 


“ดูเหมือนข้าต้องสู้กับพวกมันถึงตาย… เหว่ยเหลียง เจ้ารอข้าที่นี่ จำไว้…ว่าอย่ากินใครเด็ดขาด แล้วข้าจะรียกลับมา”


 


“แสง… เล็ก… หัวใจ…”


 


หนิงฝานลูบผมนางเบาๆ แล้วหันมองจ้าวหอคอยทั้ง 3 ด้วยสายตาเย็นชา


 


“เมืองเต่าทมิฬคงไม่เหมาะสู้รบ ตามข้าไปสู้ในทะเล!”


 


หนิงฝานแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเทามุ่งออกไป ความเร็วขงอเขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มคนอื่นๆคาดไม่ถึง แม้เป็นจ้าวหอคอยทั้ง 3 ยังต้องขมวดคิ้ว


 


พวกมันหันมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเผยสายตาที่โลภ เมื่อพวกมันพยักหน้าให้กัน ก็ทะยานไล่ตามหนิงฝานไปอย่างรวดเร็ว


 


ยามนี้ต่อให้ลู่ชิงสอดมือก็ไม่ทันแล้ว เพราะพวกมันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองเพลิงของหนิงฝาน


 


หากเป็นในแคว้น การกระทำเช่นนี้ถือเป็นสิ่งต้องห้าม แต่หากเป็นทะเลไร้สิ้นสุด ถือเป็นเรื่องปกติ


 


ณ ขอบนอกของทะเลส่วนนอก


 


สายลมพัดพา คลื่นทะเลสงบ ไร้ซึ่งเจตนาสังหาร


 


หนิงฝานร่อนลงผิวทะเล จ้าวหอคอยทั้ง 3 รายล้อม แต่ละคนอยู่ห่างจากหนิงฝานพันจ้าง


 


รอบรัศมีหมื่นลี้ ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ยังมีหลายคนที่เข้าใกล้เพื่อเฝ้าชมการต่อสู้


 


“ซัวหมิง ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ส่งเพลิงปีศาจทมิฬและเพลิงปีศาจกระดูกขาวมาซะ แล้วพวกข้าจะไม่ถือสาในสิ่งที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่”


 


“ไม่จำเป็น… วิหารสาบสูฐไม่ขัดขวางเรื่องที่ข้าจะสังหารพวกเจ้า พวกเจ้าดูไม่ออกเหรอ?”


 


“ทำไมจะดูไม่ออก? ลู่ชิงอยากยืมมือเจ้าสังหารพวกข้า แต่อย่างเจ้าคงไม่มีทางทำได้! ยังไงมันก็ต้องผิดหวังแน่นอน!”


 


จ้าหอคอยตะวันออกเผยแววตาเย็นชา พลิกหงายฝ่ามือจุดเพลิงครามปกคุลผืนฟ้ากว่าพันลี้ จนดูคล้ายกับดอกบัวขนาดยักษ์


 


เพลิงระดับ 4 เพลิงบัวหยก!


 


จ้าวหอคอยตะวันตกขมวดคิ้ว เปล่งเสียงคำราม เพลิงสีฟ้าปกคลุมผิวทะเลราวกับต้มทะเลจนเดือด


 


เพลิงระดับ 4 เพลิงสมุทร!


 


จ้าวหอคอยทุกคนล้วนเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 เหตุที่พวกมันมีปราณที่ทรงพลัง เพราะพวกมันฝึกปรุงโอสถมาตั้งแต่เด็ก ยามนี้ก็ผ่าน 1600 ปีแล้ว


 


ยิ่งด้วยเข้าร่วมวิหารพิรุณ สมุนไพรที่ใช้ปรุงโอสถจึงมีไม่ขาด ทำให้วิชาการปรุงโอสถของพวกมันไม่ธรรมดา ยิ่งต้องปรุงโอสถทุกวัน พวกมันยิ่งมีปราณที่ทรงพลังยิ่งกว่าผู้เชี่ยวทั่วไปมาก


 


แม้ทักษะการต่อสู้ของพวกมันจะไม่ได้เก่งกาจมากนัก แต่จุดแข็งของพวกมันอยู่ที่การควบคุมเพลิง


 


ในความคิดพวกมัน แม้หนิงฝานครอบครองเพลิงชีพจรพิภพ ที่เหนือกว่าพวกมันทั้ง 3 แต่หากผสานปราณและการควบคุมเข้าไปในเพลิง ก็น่าจะต่อกรเพลิงชีพจรพิภพได้


 


พวกมันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด การที่หนิงฝานเรียกพวกมันออกมาทะเลแบบนี้ ดูจะประมาทจนเกินไป


 


หากสถานที่แห่งนี้มีข่ายอาคมคอยหนุนเสริมหนิงฝาน สิ่งที่พวกมันตระเตรียมกันไว้คงพังไม่เป็นท่า แต่ที่นี่ไม่มีข่ายอาคม เพราะเมื่อครู่พวกมันทดสอบเผาพื้นที่โดยรอบดูแล้ว


 


นั่นแสดงให้เห็นว่า ผู้เยาว์เบื้องหน้าพวกมัน มั่นใจว่าจะสังหารพวกมันทั้ง 3 คนได้


 


เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ที่เอาชนะผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้โดยบังเอิญ ยังมีหน้าคิดจะสู้กับพวกมัน หากมีจ้าวหอคอยแค่คนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มีตั้ง 3 คน!


 


“ฮึ่ม! เด็กเอ๋ย… ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า จะบอกกล่าวถึงผู้ที่จะทำให้พวกข้าหวาดหวั่น ผู้ที่คอยหนุนหลังเจ้า ไม่อย่างนั้นหล่ะก็…” จ้าวหอคอยเหนือเย้ยหยัน พลางแอบโคจรเพลิงเพื่อลอบจู่โจม


 


แต่ในขณะที่มันยังไม่ได้ทันได้กล่าวจบ หนิงฝานกลับกล่าวขึ้น


 


“หนวกหู! ไม่เห็นจะเท่าไหร่!”


 


หนิงฝานกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง!


 


น้ำแข็งที่ไม่ทราบที่มา ปกคลุมพื้นนับพันลี้!


 


การปรากฏของน้ำแข็ง ทำให้เพลิงแมงป่องม่วงของจ้าวหอคอยเหนือสั่นไหวและสลายไปอย่างช้าๆ


 


สีหน้ามันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง มันตกตะลึงกับการจู่โจมหนิงฝาน


 


แต่ถึงจะตกตะลึงกับการตอบโต้ของหนิงฝาน แต่พวกมันไม่หวาดหวั่น!


 


“ร่วมมือกัน! วิชาเพลิง… เพลิงแมงป่องพิรุณ!”


 


“เพลิงดอกบัวพลิ้วไหว!”


 


“มหาสมุทรสี่ชั้น!”


 


พวกมันใช้วิชาเพลิงที่ทรงพลังที่สุดจู่โจม


 


วิชาระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ผสานกับปราณที่ทรงพลังจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ก็รับมือพวกมันไม่ได้ง่ายๆ


 


บนท้องนภา เพลิงแปรสภาพเป็นดอกบัวเพลิงขนาดยักษ์ราวกับมีชีวิต


 


เหนือผิวทะเล เพลิงสีฟ้าเคลื่อนไหวราวกับคลื่นทะเล 4 ชั้น ภายในอัดแน่นไปด้วยเจตนาสังหารที่รุนแรง


 


เพลิงสีน้ำตาลโปรยปรายราวกับพิรุณ เพลิงหนึ่งสายทรงพลังพอให้สังหารผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ


 


เปลวเพลิงที่ทรงพลังรายล้อมหนิงฝาน แต่เขากลับเผยสีหน้าเย้ยหยัน


 


เขาก้าวเดินไปเบื้องหน้า เปลวเพลิงสั่นไหว ราวกับพวกมันหวาดกลัว


 


“เพลิง… ธาตุที่แข็งแกร่ง…. จงเข้ามาในร่างของข้า”


 


หนิงฝานขมวดคิ้ว พลังสายหนึ่งแผ่ออกมาจากสร้อยหยินหยาง แปรเปลี่ยนตัวหนิงฝานกลายเป็นเหมือนวังวน


 


เพลิงของจ้าวหอคอยทั้งสามเริ่มถูกดูดกลืนเข้าสู่ร่างหนิงฝานผ่านทางปาก ลงสู่ท้อง แล้วดูดซับเข้าสู่สร้อยหยินหยาง


 


สร้อยหยินหยางไม่เกรงกลัวเพลิง!


 


ในอดีต หนิงฝานเคยใช้สร้อยหยินหยางดูดกลืนเอาเพลิงปีศาจทมิฬเข้ามา


 


แต่ยามนี้ หนิงฝานบรรลุดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง หากไม่ใช่เพลิงระดับ 6 ก็ไม่คู่ควรเผยตนต่อนหน้าหนิงฝาน!


 


นั่นทำให้หนิงฝานไม่กลัวท่านหยานแห่งวิหารพิรุณ


 


ท่านหยานดูดซับเพลิงได้


 


หนิงฝานก็ดูดซับเพลิงมาหล่อเลี้ยงสร้อยหยินหยางได้เหมือนกัน!


 


เดิมทีสร้อยหยินหยางของหนิงฝานมีลักษณ์เป็นเหมือนอัญมณีสีโลหิต แต่หลังจากดูดซับเพลิงเข้ามา ซีกซ้ายของมันกลายเป็นสีแดงอ่อน ซีกขวากลายเป็นสีแดงเข้ม ราวกับแบ่งแยกเป็นหยินกับหยาง


 


ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ หนิงฝานก็ดูดซับเพลิงเข้าไปจนหมด!


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้จ้าวหอคอยทั้งสามเสียวสันหลัง


 


เด็กคนนี้ดูดซับเพลิงของพวกมันเข้าไปได้ยังไง?


 


ขนาดท่านหยานยังทำไม่ได้ จะมีก็เพียงจ้าวแห่งเพลิงในตำนานที่ทำได้


 


หรือเด็กคนนี้จะมีเส้นลมปราณเทพโบราณ…เส้นลมปราณเพลิง!


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกมันก็ไม่ควรยั่วยุ เพราะเทพกษัตริย์แห่งโลกพิรุณสั่งว่า ห้ามแตะต้องผู้ที่มีเส้นลมปราณเทพโบราณเด็ดขาด


 


พวกมันทั้งสามไม่มีเวลาให้ขบคิด เพราะยามนี้หนิงฝานได้โต้กลับแล้ว!


 


เปลวเพลิงจำนวนมหาศาลที่อยู่ในสร้อยหยินหยาง โคจรรวบรวมอยู่ที่ปลายนิ้วหนิงฝาน ผสานเข้ากับเพลิงกระดูกขาวและเพลิงปีศาจทมิฬ


 


“วังวนมังกรเพลิงที่ 9!”


 


น้ำเสียงที่หนิงฝานกล่าว ราวเสียงจากขุมนรก!


 


หนิงฝานชี้นิ้วไปยังพวกมัน 3 คน


 


เพลิงสีเทา 9 ชั้นรายล้อมพวกมันทั้ง 3 ก่อตัวสูงเสียดฟ้า


 


ทุกสิ่งในรัศมีพันลี้เดือดพล่าน


 


วังวนให้กำเนิดมังกรเพลิงสีเทาทั้งหมด 9 ตัว แต่ละตัวยาวร่วมพันลี้ และทรงพลังพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง


 


มังกร 2 ตัวเข้าจู่โจมจ้าวหอคอยเหนือและตะวันตก พวกมันรับมือได้อย่างยากลำบาก ส่วนมังกรอีก 7 ตัวเข้ารุมจู่โจมจ้าวหอคอยตะวันออกที่อ่อนแอที่สุด!


 


ในระหว่างที่มังกรเพลิงกำลังเข้าพัวพัน หนิงฝานคิดสังหารคนผู้หนึ่งก่อน เพราะอัตราความสำเร็จในการสังหารมันโดยสมบูรณ์มีมากที่สุด หากหนิงฝานลอบจู่โจม มันย่อมไม่อาจรับมือ


 


แล้วหนิงฝานก็อาศัยจังหวะที่เคลื่อนไหวกลืนไปกับสภาพแวดล้อมเพื่อลอบจู่โจม


 


จ้าวหอคอยเหนือเดาแผนของหนิงฝานออก


 


จ้าวหอคอยตะวันออกเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกมัน การที่หนิงฝานให้มังกรถึง 7 ตัวไปจู่โจม ให้ก็แสดงถึงเจตนาอย่างชัดเจน


 


เด็กคนนี้โหดเหี้ยม!


 


จ้าวหอคอยเหนือคำรามลั่น กัดปลายลิ้นพ่นแก่นโลหิตเสริมพลังและทำลายมังกรเพลิง


 


มังกรเพลิงเหล่านี้ทรงพลังพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง


 


มันเร่งมุ่งทะยานไปหาจ้าวหอคอยตะวันออก


 


“น้องสาม เจ้าไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยแล้ว!”


 


จ้าวหอคอยเหนือเข้าช่วยจ้าวหอคอยตะวันออกต่อกรกับมังกร แม้พวกมันจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย


 


จ้าวหอคอยตะวันตกที่เห็นจ้าวหอคอยตะวันออกอยู่ในอันตราย มันก็ขบกัดปลายลิ้น ทำลายมังกรเพลิงและมุ่งหน้าไปช่วยจ้าวหอคอยตะวันออก


 


แต่เงาร่างสายหนึ่งกลับปรากฏขึ้นด้านหลังของมันอย่างไร้ที่มา และกระหน่ำหมัดใส่แผ่นหลังของมันราวกับห่าพิรุณ!


 


เกราะระดับสูงสุดขั้นสูงคุ้มกายไม่อาจต้านรับหมัดจำนวนมากได้ เมื่อเกราะพังทะลาย จ้าวหอคอยตะวันตกร้องลั่น


 


หมัดของหนิงฝานกระหน่ำเข้าที่แผ่นหลังของมันจนยุบเข้าไปในร่างเล็กน้อย


 


จ้าวหอคอยตะวันตกตกตะลึง มันคาดไม่ถึงว่าเป้าหมายของหนิงฝานจะเป็นมัน!


 


ทั้งยังคาดไม่ถึงว่าหมัดของหนิงฝานจะทรงพลังขนาดนี้


 


หมัดของครึ่งก้าวกระดูกหยก กระหน่ำใส่แผ่นหลัง เสียงกระทบดังสนั่นราวกับภูเขาถล่ม!


 


*อ๊อก!!*


 


จ้าวหอคอยตะวันตกบาดเจ็บสาหัส


 


จ้าวหอคอยเหนือและตะวันออกโกรธแค้นและตกตะลึง แม้พวกมันจะเข้าช่วยจ้าวหอคอยตะวันตกก็สายเกินไปแล้ว


 


ข่าวลือว่า ซัวหมิงมีระดับร่างกายอยู่เพียงขอบเขตกระดูกเงินขั้นแรก แต่ตอนนี้กลับเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็บรรลุกระดูกหยก หากบรรลุขั้นนั้น แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณก็สามารถต่อกรได้


 


“เป็นไปไม่ได้!”


 


จ้าว หอคอยตะวันตกเร่งนำสมบัติชิ้นหนึ่งออกมาแล้วฟาดเข้าใส่หนิงฝาน จากนั้นฉวยโอกาสหลบหนีอย่างรวดเร็ว


 


สมบัติที่ปรากฏคือเจดีย์ขนาดเล็กที่แข็ง และแฝงด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว


 


เจดีย์ขยายขนาดสูงใหญ่พันจ้าง ร่วงหล่นประทับเข้าใส่หนิงฝานอย่างรุนแรง


 


เจดีย์นี้เสริมด้วยวิชาพิเศษ ‘ทลายกฏ’ ไม่ว่าเป็นวิชาใดก็ไม่สามารถหยุดการจู่โจมของมันได้! วิธีเดียวที่จะหยุดมันได้คือมีสมบัติในระดับเดียวกัน หรือไม่ก็ร่างกายที่ทรงพลังมากๆ


 


เท่าที่จ้าวหอคอยตะวันตกเห็น แม้ร่างกายหนิงฝานจะทรงพลัง และบรรลุขอบเขตกระดูกเงินขั้นสูงสุด แต่ถึงอย่างนั้น มีเพียงขอบกระดูกหยกเท่านั้นที่จะรับการจู่โจมได้


 


แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น!


 


ร่างหนิงฝานเปล่งแสงสีเงิน ขยายร่างเป็นยักษ์สูงร้อยจ้าง เหวียงหมัดเข้าปะทะกับเจดีย์ที่กำลังจะประทับลงมา


 


หมัดและเจดีย์เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง เจดีย์หยุดเคลื่อนไหว บริเวณที่กระทบกับหมัดเกิดรอยร้าว!


 


“เป็นไปไม่ได้! ขนาดผู้บรรลุขอบเขตกระดูกหยกยังไม่อาจรับมือกับอาวุธขั้นสูงสุดระดับสูงไม่ได้!”


 


เป็นเรื่องจริงที่ขอบเขตกระดูกหยกรับมือกับเจดีย์นั่นไม่ได้ แต่หนิงฝานที่ผ่านการสลักรอยสักปีศาจมา แม้การจู่โจมจะยังด้อยกว่าขอบเขตกระดูกหยก แต่การป้องกันไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน


 


เมื่อหยุดการจู่โจมได้ หนิงฝานในร่างยักษ์หันมองจ้าวหอคอยตะวันตก ก่อนกลายเป็นลำแสงไล่ตามไป ชั่วพริบตานั้น แสงสายหนึ่งที่ไม่ใช่หนิงฝาน พุ่งเข้าหาจ้าวหอคอยตะวันตก!


 


ดรรชนีตรึงร่าง! ได้ผลกับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด 1 ลมหายใจ!


 


จ้าวหอคอยตะวันตกเร่งพ่นแก่นโลหิตออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อสลัดวิชาตรึงร่าง แต่เงาร่างขนาดยักษ์กลับปรากฏขึ้นตรงหน้า มือขนาดใหญ่คว้าร่างของมันไว้แน่นจนไม่อาจขยับ!


 


ยักษ์ตนนั้นอ้าปาก หย่อนร่างของจ้าวหอคอยตะวันตกลงไปแล้วเคี้ยว! ร่างกาย…หรือกระทั่งดวงจิตแรกเริ่มไม่อาจรอดพ้นความตาย!


 


อีกฝั่ง… จ้าวหอคอยตะวันออกและเหนือที่ทำลายมังกรเพลิงไปนั้น หน้าซีดขาวราวกระดาษ


 


เด็กนั่น… เด็กนั่นบ้าไปแล้ว!


 


มีเพียงเผ่าอสูรเท่านั้นที่กล้ากินคนเป็นๆเข้าไป หากเป็นมนุษย์ เลือดของผู้เชี่ยวชาญจะทรงพลังจนเกินไป จนเส้นลมปราณอาจฉีกขาดได้


 


จ้าวหอคอยที่เหลือรอดสองคนหวาดกลัว เพราะจ้าวหอคอยตะวันตกถูกสังหารโดยสมบูรณ์!


 


ต่อให้หนิงฝานไม่ใช้เล่ห์กล และสู้กันซึ่งหน้า แม้จ้าวหอคอยเหนือที่มั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าจ้าวหอคอยตะวันตก ยังต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน


 


“นี่คือพลังที่แท้จริงของซัวหมิง… เป็นไปไม่ได้ ถ้ามันแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมถึงปล่อยให้เซี่ยงเหลียวรอดไปได้! เดี๋ยวก่อน!… หลังจากวันนั้นข่าวคราวของเซี่ยงเหลียวก็เงียบไป ไม่มีข่าวว่ามันถือกำเนิดใหม่ หรือว่า…ในวันนั้นมันจะหนีไม่พ้น และถูกซัวหมิงสังหารตาย!”


 


ยามนี้ มีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม 3 คนแล้วที่ถูกซัวหมิงสังหาร


 


“เด็กคนนั้นไม่ธรรมดา! หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ก็ไม่มีใครเอาชนะมันได้! บัดซบเอ้ย พวกเราหนี!” จ้าวหอคอยตะวันออกขบฟันกล่าว


 


“หนี!” จ้าวหอคอยเหนือพุ่งทะยานอย่างไม่ลังเล


 


แต่ในขณะที่พวกมันเพิ่งใช้ย่างก้าวพริบตา ยักษ์ตนนั้นกลับชี้นิ้วมายังพวกมัน พร้อมกับวิชาตรึงร่าง จนพวกมันไม่อาจขยับเคลื่อนไหว


 


“สายไปแล้ว!”


 


จ้าวหอคอยเหนือสั่นสะท้านและโกรธเกรี้ยว


 


“ซัวหมิง! เจ้าสังหารจ้าวหอคอยตกวันตก แหกกฏที่วิหารพิรุณข้าตั้งไว้ เจ้าไม่รอดแน่!”


 


“ทะเลไร้สิ้นสุดแห่งนี้ไร้กฏ!”


 


“ดี! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแบบนี้! เจ้าก็ต้องชดใช้อย่างสาสม! ข้าจะตกตายไปพร้อมกับเจ้า ‘กระบี่ผ่าสวรรค์!’”…

 

 

 


ตอนที่ 214

 

กระบี่ยาวหนึ่งจ้างปรากฏ ตัวกระบี่งดงามราวกับหยก ลวดลายปรากฏเด่นชัด ทั้งยังแผ่กลิ่นอายโบราณ


 


แม้จะกล่าวว่ากระบี่ แต่หากเรียกว่ามีดจะเหมาะสมกว่า


 


การปรากฏตัวของมีดเล่มนั้น ทำให้หนิงฝานสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรง


 


อำนาจสวรรค์แผ่ออกมาจามีดเล่มนั้น จ้าวหอคอยเหนือเหวี่ยงมันเบาๆ ริ้วแสงสีครามบางๆที่แฝงด้วยพลังมิติกวาดผ่านท้องนภา


 


สมบัติพิภพ!


 


มีเพียงสมบัติพิภพเท่านั้นที่เปล่งอานุภาพแบบนี้ได้!


 


หากมีดนั่นสัมผัสร่าง ต่อให้เป็นหนิงฝานก็ต้องบาดเจ็บไม่น้อย!


 


แม้เป็นแส้อัสนีก็ไม่อาจต่อกรกับมีดเล่มนั้นได้ เพราะแสเอัสนีอาจเป็นฝ่ายเสียหายเอง!


 


แต่ในชั่วพริบตานั้น หนิงฝานกลับสัมผัสพบบางสิ่ง


 


แม้มีดเล่มนั้นจะแฝงด้วยอำนาจสวรรค์ที่ทรงพลัง แต่หากเทียบกับสมบัติพิภพที่แท้จริงแล้ว ยังอ่อนกว่ามาก


 


มีดเล่มนั้นเป็นสมบัติชนิดที่เรียกว่า ‘สมบัติวิญญาณสวรรค์’ มนุษย์มีลำดับขั้นในการพัฒนาตน สมบัติหรืออาวุธก็มีเช่นกัน… ธาตุทั้ง 5 ในธรรมชาติควบรวมยกระดับเป็นปราณดั้งเดิม ปราณดั้งเดิมควบรวมยกระดับเป็นปราณสวรรค์


 


ยามที่มีดเล่มนั้นกรีดเฉือน มันเปล่งริ้วแสงสีครามมุ่งออกไป อานุภาพของมันสังหารผู้ที่ยังไม่บรรลุขอบเขตกระดูกหยก จากริ้วแสง มีดเล่มนั้นสมควรมีปราณสวรรค์ธาตุดิน


 


แต่ด้วยที่มันเปล่งอานุภาพของปราณสวรรค์ได้ไม่มากเท่าที่ควร จึงกล่าวได้ว่าบางที… มีดเล่มนั้นอาจเคยเป็นอาวุธพิภพ แต่


 


ในเมื่อได้รับความเศษหาย มันจึงเป็นเพียงสมบัติวิญญาณสวรรค์ไร้ค่า!


 


อีกเหตุผล สมบัติวิญญาณสวรรค์แท้จริง หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้นก็ไม่สามารถใช้ การที่ได้จ้าวหอคอยเหนือใช้ได้ แสดงว่ามันไม่ใช่สมบัติวิญญาณสวรรค์ที่แท้จริง


 


“ซัวหมิง! ต่อให้เจ้ามีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่หากถูกมีดเล่มนี้กรีดเฉือน เจ้าไม่มีทางรอดแน่! ถึงเซี่ยงเหลียวก้าวพลาดเสียท่าให้เจ้า แต่ข้าจะไม่มีทางซ้ำรอยมัน!”


 


จ้าวหอคอยเหนือหน้าซีดขาวราวกระดาษ แม้มันจะแสดงสีหน้าเย้ยหยัน แต่จากท่าทางแค่ขยับมีดก็คงเต็มกลืน


 


แต่การที่มีมีดเล่มนั้นในมือก็ทำให้มันมั่นใจ ว่าต่อให้ศัตรูเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ มันก็สร้างรอยแผลให้ได้!


 


“น้องสาม เจ้าเอาสมบัตินี่ไปกันไม่ให้มันหนี… ยามนี้ ข้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อฆ่ามัน หากเราสังหารมันไม่ได้ น้องสองก็จะตายอย่างไร้ค่า!”


 


“ได้!”


 


จ้าวหอคอยตะวันออกที่สลัดหลุดจากวิชาตรึงร่าง ทะยานเข้าขวางทางหนีของหนิงฝานไว้


 


เมื่อทางหนีถูกปิด จ้าวหอคอยเหนือใช้มีดแทงตนเอง! โลหิต กล้ามเนื้อ ปราณ… ทุกสิ่งถูกดูดกลืนเข้าสู่มีด จนทำให้สีหน้าของมันซีดขาวยิ่งนั้น ร่างกายหดสั้นลง ผอมราวกับหนังหุ้มกระดูก


 


แสงสีครามสายใหญ่ส่งลงจากท้องนภาสู่ทะเล ราวกับเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน


 


ลำแสงสีครามเปล่งแสงสว่าวเจิดจ้า อากาศรอบข้างสั่นไหวราวกับกำลังถูกกระชาก ก่อนที่ท้องนภาจะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ


 


ทันใดนั้นเอง ริ้วแสงสีครามราวกับจันทรเสี้ยว ดิ่งจากท้องนภาเข้าหาหนิงฝาน สัมผัสอันตรายร้ายแรงคืบคลาน เร่งย่างก้าวพริบตาหลบหนีเต็มกำลัง แต่เมื่อตัวเขาเปลี่ยนตำแหน่ง ริ้วแสงกลับติดตามเขาไป


 


ดวงตาหนิงฝานเบิกกว้าง ริ้วแสงที่ติดตามมานั้นคือ ‘กระบี่วิญญาณสวรรค์’ เป็นสิ่งที่รับมือได้ยากมาก!


 


เมื่อไร้ซึ่งสมบัติขั้นวิญญาณสวรรค์ ก็ต้องใช้ร่างกายต้านรับ!


 


การจู่โจมนี้ คือการจู่โจมที่รุนแรงที่สุดที่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มจะใช้ได้ ซึ่งทรงพลังเทียบเท่าการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น!


 


ตาขวาปรากฏดาราพิภพ หยิบยืมพลังธาตุดินจากพื้นดิน ก่อตัวเป็นโล่สีเหลืองขนาดยักษ์ พร้อมกับใช้สัมผัสกระบี่ในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ก่อตัวเป็นดักแด้หุ้มร่าง ภายในดักแด้ ร่างกายของหนิงฝานเปล่งสีเงินเจิดจ้า รอยสักอสูรปรากฏ พร้อมกับสมบัติป้องกันนับ 10 เตรียมพร้อม


 


โล่ดินของหนิงฝานทรงพลังพอที่จะต้านรับการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด แต่เมื่อต้องเผชิญกับกระบี่วิญญาณสวรรค์ โล่ห์ถูกผ่าเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย


 


แต่นั่นก็ช่วยลดทอนอานุภาพของกระบี่ลง 5 ใน 10 ส่วน


 


แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา คมกระบี่เข้าปะทะกับดักแก้สัมผัสกระบี่


 


*แคร้ก!*


 


สัมผัสกระบี่ทรงพลังขนาดต้านการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด แตกสลายราวกับเปลือกไข่ที่เปราะบาง


 


แม้คมกระบี่ยังเข้าไม่ถึงตัว แต่กลับทิ้งรอยแผลขนาดเล็ก ที่ทำให้ทะเลสติของเขาได้รับบาดเจ็บ


 


การป้องกันสองชั้นเอาไม่อยู่!


 


อานุภาพกระบี่ช่างน่าสะพรึงกลัว


 


กระบี่ยังเหลืออานุภาพอยู่ 3 ใน 10 ส่วน!


 


หนิงฝานกระตุ้นสมบัติป้องกันที่เตรียมไว้ แต่ละชิ้นล้วนเป็นสมบัติขั้นสูงสุด แต่ก็ถูกกระบี่ทำลายในพริบตา!


 


สมบัติป้องกันที่หนิงฝานได้มาจากผู้เชี่ยวชาญที่สังหาร ถูกนำออกมาใช้แทบทั้งหมด เพื่อให้หนิงฝานได้ถอยห่างจากคมกระบี่


 


แต่ด้วยอานุภาพที่ยังน่าสะพรึงกลัว คมกระบี่เคลื่อนเข้าหาเหนือศีรษะหนิงฝานอย่างรวดเร็ว!


 


กระบี่รวดเร็วจนแทบไม่ทันตั้งตัว จึงเหลือเพียงปราการสุดท้ายให้ป้องกัน!


 


หนิงฝานชกหมัดเข้าต้านคมกระบี่ เมื่อหมัดสัมผัสคมกระบี่ หมัดของเขาถูกผ่า คมกระบี่กวาดผ่านร่างอย่างรวดเร็ว


 


ควันสีปะทุทั่วร่างหนิงฝาน ก่อนที่ร่างของเขาจะระเบิด!


 


กระบี่วิญญาณสวรรค์สิ้นฤทธิ์!


 


แม้จะสังหารหนิงฝานได้ แต่อานุภาพกระบี่ก็ถูกลดทอนจนหมดสิ้น!


 


“ซัวหมิงช่างแข็งแกร่ง… ถึงปราณกระบี่เมื่อครู่จะทรงพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธวิญญาณสวรรค์ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณยังได้รับบาดเจ็บ การที่มันสลายอำนาจกระบี่ได้อย่างหมดจด แสดงว่าพลังของมันใกล้เคียงกับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณมาก!”


 


จ้าวหอคอยเหนือแสดงสีหน้าเย้ยหยัน


 


กระบี่เมื่อครู่ดูดกลืนแก่นโลหิตของมันไปเกือบหมด มันเองก็ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงไม่น้อย ต่อให้ได้โอสถดีขนาดไหน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 100 ปีในการรักษา แต่ถึงอย่างนั้น ปราณของมันก็อาจฟื้นฟูกลับได้แค่เพียง 5 พันเกราะ


 


แม้มันจะสังหารหนิงฝานได้ แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย ถึงอย่างนั้น มันก็จะได้เพลิงชีพจรพิภพถึง 2 ชนิดไปมอบให้ท่านหยานของมัน


 


และมันก็จะได้โอสถผันแปรที่ 5 เป็นการตอบแทน และนั่น ก็จะช่วยให้มันบรลุขอบเขตตัดวิญญาณได้


 


“ฮ่าฮ่า! น้องสาม เจ้ารีบไปยังที่ที่มันตาย แล้วหาเพลิงชีพจรพิภพดู ข้าจะขอพักสักเดี๋ยว”


 


“แต่… เพลิงชีพจรพิภพจะไม่ถูกทำลายแล้วเหรอ?”


 


“เป็นไปไม่ได้! กระบี่จิตวิญญาณสวรรค์ทำลายเฉพาะร่างกายและดวงจิตแรกเริ่ม ส่วนเพลิงชีพจรพิภพเป็นสิ่งลึกลับ ไม่น่าจะถูกทำลายไปด้วย… แต่กระบี่เมื่อครู่ก็แฝงด้วยพลังมิติ หรือว่าเพลิงจะถูกพลังมิติบดขยี้ไปแล้ว? แบบนั้นแย่แน่”


 


แต่ในขณะที่จ้าวหอคอยเหนือกำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อดูดซับโอสถอยู่นั้น มันกลับเสียวสันหลังวาบ


 


สัมผัสกระบี่สีดำทมิฬจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นด้านหลังของมัน ก่อนแปรสภาพเป็นเงาร่างของผู้เยาว์ในอาภรณ์ดำ!


 


สีหน้าของผู้เยาว์คนนั้นซีดขาว แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ยังไม่ตาย!


 


“เจ้าจู่โจมได้น่าประทับใจมาก… กระบี่วารีผันแปร!”


 


สีหน้าจ้าวหอคอยเหนือแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง


 


มันร้องขอให้จ้าวหอคอยตะวันออกช่วยไม่ทัน


 


เพราะเสียงของผู้ที่อยู่ด้านหลังของมันช่างคุ้นหู… ไม่ผิดแน่… ต้องเป็นมัน!


 


“ซัวหมิง! เจ้ายังไม่ตาย! เป็นไปได้ยังไง!”


 


กระบี่สีดำเล่มใหญ่ปรากฏ จ้าวหอคอยเหนือร้องลั่น!


 


แขนขวาที่ถือมีดของมันถูกตัดขาด


 


กระบี่สีดำแทรกผ่านเข้าไปในร่างของมัน ทำลายเส้นลมปราณ ทำลายตันเถียน และเข้าจู่โจมดวงจิตแรกเริ่ม!


 


ร่างของมันถูกกระบี่สีดำฟาดฟันเป็นชิ้น แต่ก่อนที่ดวงจิตแรกเริ่มของมันจะถูกทำลาย ดวงจิตแรกเริ่มเปล่งแสงสีทอง และพุ่งออกจากร่างอย่างรวดเร็ว!


 


มันไม่เชื่อว่าหนิงฝานยังไม่ตาย สถานะการณ์ยามนี้กลับตาลปัตร


 


เป็นไปได้ยังไง กระบี่วิญญาณสวรรค์สมควรปลิดชีพมันแล้ว เหตุใดยังมีชีวิตอยู่!


 


ในช่วงเวลาคับขัน หนิงฝานใช้วิชากระบี่วารีผันแปร สลายร่างของตนเป็นสัมผัสกระบี่นับไม่ถ้วน แล้วก่อตัวขึ้นใหม่


 


ส่วนจ้าวหอคอยเหนือก็อาศัยช่วงคับขันหลบหนีออกมาได้เช่นกัน


 


“เป็นไปไม่ได้!” จ้าวหอคอยเหนือแผดเสียงคำรามลั่น


 


“ก่อนที่เจ้าจะตาย ข้ามีสิ่งที่อยากจะกล่าวกับเจ้า… ที่เจ้าทุ่มเททุกสิ่งเพื่อท่านหยานแห่งวิหารพิรุณ เป็นเพราะมันเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5…. เจ้าไม่รู้เหรอว่าข้าก็เป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 เหมือนกัน? เจ้าคิดผิดแล้วที่ยั่วยุข้า…”


 


“อะไรนะ! เจ้าเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5!” จ้าวหอคอยเหนือตกตะลึง หากมันรู้ก่อนว่าหนิงฝานคือนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ผลที่ได้คงไม่เป็นแบบนี้


 


น่าเศร้า…ช่างน่าเศร้าอย่างที่สุด!


 


ซัวหมิงผู้นี้เก่งกาจ จัดการไม่ได้ง่ายๆ ตอนนี้มันต้องรีบหนีให้พ้นก่อน ต้องกลับไปวิหารพิรุณ ไปขอให้ท่านหยานช่วย!


 


“คิดจะหนีเหรอ?”


 


หนิงฝานชี้นิ้วไปหาพวกมันทั้งสองคน พวกมันรู้สึกราวกับถูกน้ำแข็งที่เย็นเฉียบปกคลุมร่าง จนยากจะเคลื่อนไหว


 


หนิงฝานกินแขนของจ้าวหอคอยเหนือเข้าไป กุมมีดของมันไว้ในมือ และสัมผัสได้ถึงอำนาจสวรรค์ที่ไหลเข้าสู่ร่าง


 


กระบี่ตัดวิญญาณสวรรค์… หนิงฝานประมาทมันเกินไป คาดไม่ถึงว่ามันจะสำแดงอานุภาพได้มากขนาดนั้น


 


ยามนี้หนิงฝานมีปราณไม่มาก จึงยังไม่อาจใช้งานสมบัติวิญญาณสวรรค์ได้


 


จ้าวหอคอยทั้งสองพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากการตรึงร่าง แต่เมื่อมันหลุด หนิงฝานก็ตรึงร่างพวกมันอีกครั้ง


 


หนิงฝานแผ่กลิ่นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด วิชาตรึงร่างที่ใช้ พวกมันสลัดหลุดไม่ได้ง่ายๆ


 


“สหายเต๋าซัวหมิง หากเจ้ายอมปล่อยพวกข้าไป เมื่อกลับไปถึงวิหารพิรุณ ข้าจะไม่รายงานเรื่องใดๆทั้งนั้น?”


 


“งั้นเหรอ? อย่าใจร้อนไป ข้ากำลังหาวิชาใช้มีดเล่มนี้อยู่…”


 


“เจ้ายังใช้มันไม่ได้หรอก อย่างน้อยต้องบรรลุตัดวิญญาณ…”


 


“หุบปาก!”


 


เสียงของหนิงฝานราวกับอัสนีฟาดผ่า จนทำให้จิตใจของพวกมันสั่นสะท้าน


 


ยามนี้ บรรยากาศรอบข้างหนิงฝานเริ่มเปลี่ยนไปช้าๆ


 


เขายื่นมือราวกับคว้าจับบางสิ่ง


 


“ถอนวิญญาณ…”


 


จิตวิญญาณของพิภพที่อยู่ลึกลงไปใต้มหาสมุทร ราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับหนิงฝาน ทำให้ปราณของเขาเพิ่มขึ้น!


 


300 เกราะ… 500 เกราะ… 1000 เกราะ…


 


2000 เกราะ…. 5000 เกราะ… 10,000 เกราะ!


 


ปราณบรรลุในจุดที่เทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ แม้จะทำให้หนิงฝานได้รับบาดเจ็บเพิ่ม แต่ปราณจำนวนี้ก็มากพอให้ใช้มีดได้เต็มอานุภาพ


 


“ถอนวิญญาณ… เข้าใจแล้ว! เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มแต่ใช้วิชาระดับนี้ได้ ข้านับถือๆ… ช่างโชคดีที่ได้ตายด้วยมือของเจ้า แต่หากเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าจะ…”


 


“หุบปาก!”


 


มีดสั้นเปล่งอานุภาพเต็มกำลัง หนิงฝานตะวัดมีดเป็นแนวนอน ริ้วแรงสีครามทรงจันเสี้ยวกวาดผ่านผืนนภา ราวกับสะบั้นทุกสิ่งที่กีดขวาง


 


สีหน้าจ้าววิหารทั้งสองแปรเปลี่ยนหวาดกลัวสุดขีด


 


ทั้งร่างกาย ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งดวงจิตแรกเริ่ม ไม่อาจรอดพ้นจากคมกระบี่ได้


 


จ้าวหอคอยทั้งสองร้องลั่น พลังมิติปะทุ บดขยี้ร่างและดวงจิตแรกเริ่มของพวกมันจนสลาย เสียงระเบิดสนั่นกึกก้อง


 


สายลมโชย คลื่นทะเลซัดสาด… บริเวณนั้น เหลือผู้เยาว์คนเดียวที่ยืนอยู่กลางนภา พลางก้มมองมีดในมือ


 


“สมบัติวิญญาณสวรรค์ทรงพลังมาก… ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ก็ไม่อาจประมาทมันได้ กระบี่แยกสวรรค์ของข้ายังไม่อาจเทียบเคียง”…


 


ภายในเมืองเต่าทมิฬ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมารุมล้อมหอคอยโอสถใต้ ที่นั่น ลูู่ชิง เป่ยเซี่ยวเหมิน และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของวิหารสาบสูญมารวมตัวกัน เฝ้ามองเหรียญชีวิตของจ้าวหอคอยทั้ง 3 เงียบๆ


 


เหรียญชีวิตของจ้าวหอคอยตะวันตกแตกก่อน ไม่นาน อีกสองเหรียญก็แตกตาม นั่นหมายความว่า จ้างหอคอยทั้งสามถูกสังหาร!


 


คอหอโอสถใต้เงียบสงัด


 


ไม่นาน ข่าวการตายของจ้าวหอคอยทั้ง 3 ก็แพร่ไปทั่วทะเลส่วนนอกอย่างรวดเร็ว


 


ซัวหมิงสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด 3 คนได้เพียงลำพัง


 


ที่สำคัญ 3 คนนั้นยังเป็นตัวตนระดับสูงของวิหารพิรุณ


 


ยามนี้ ซัวหมิงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่แข็งแกร่งที่สุด!…

 

 

 


ตอนที่ 215

 

เมื่อหนิงฝานปรากฏตัวเหนือท้องนภาเมืองเต่าทมิฬ ทั้งเมืองเงียบสงัด


 


ลมทะเลพัดโชยกลิ่นเกลือเคล้ากับกลิ่นโลหิต ทั่วร่างหนิงฝานแผ่กลิ่นอายสังหารที่รุนแรง


 


ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในเมืองไม่กล้าเอ่ยคำ


 


แรงกดดันที่มองไม่เห็น ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญแอบกลืนน้ำลาย


 


ซัวหมิง! คนผู้นี้สังหาร 3 จ้าวหอคอยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้เพียงลำพัง!


 


คนผู้นี้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่แข็งแกร่งที่สุด!


 


“แยกย้ายกันได้แล้ว…” หนิงฝานกล่าวเบาๆ แต่เสียงกลับสะท้อนก้อง


 


ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดพร้อมใจป้องมือ และแยกย้ายกันไป


 


เมืองเต่าทมิฬที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน กลายเป็นเมืองที่เงียบสงัด ถนนที่เคยพลุกพล่านไร้ซึ่งผู้คน


 


หนิงฝานหลับตา สัมผัสกับความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก ยามนี้ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดในทะเลส่วนนอก ก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเขา


 


นี่คือชื่อเสียงและกิตติศัพท์ ที่ปม้เป็นนายน้อยของขุมกำลังใหญ่ก็ยังไม่มี


 


ในทะเลส่วนนอกแห่งนี้ ปูมหลังที่มาล้วนไร้ค่า ความแข็งแกร่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เอาชีวิตรอด!


 


หนิงฝานเหยียบย่างนภา ร่อนลงหาศพนางสวรรค์


 


นางที่เดิมทีนิ่งสงบ แต่เมื่อเห็นหนิงฝาน แววตาที่สงบนิ่งสั่นไหว สองมือซีดขาวเหยียดยื่น สัมผัสใบหน้าหนิงฝานอย่างอ่อนโยน


 


“แสง… บาดเจ็บ…”


 


“ไม่เป็นไร… บาดแผลเล็กน้อย ไปเถอะ… ข้าช่วยวิหารสาบสูญจัดการปัญหาแล้ว หากลู่ชิงไม่ขอบคุณค่า คงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร”


 


หนิงฝานยิ้มให้นางพลางกุมมือน้อยๆเดินไปตามถนนที่ว่างเปล่า


 


ณ หอคอยโอสถโอสถใต้…


 


ผู้อาวุโสโม่สีหน้าแปรเปลี่ยนซับซ้อน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็นั่งไม่ติดที่


 


นักปรุงโอสถผันแปรที่ 3 27 คน… นักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 5 คน… พวกมันล้วนสงบคำ บรรยากาศดูอึมครึม


 


หลังจากเหรียญที่แสดงถึงการมีชีวิตของจ้าวหอคอยทั้ง 3 แตก ข่าวการตายของพวกมันก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นที่พูดคุยของผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน


 


ผู้คนรู้ว่าลู่ชิงเจตนาไม่สอดมือ เพื่อยืมมีดสังหารคน


 


หรือจะกล่าวอีกนัย การตายของจ้าวหอคอยทั้ง 3 เป็นประโยชน์ต่อวิหารสาบสูญ


 


แม้สิ่งที่ซัวหมิงทำจะเป็นประโยชน์ต่อวิหารสาบสูญ แต่ควรแล้วหรือที่จะตอบแทนซัวหมิง?


 


เพราะสิ่งที่ซัวหมิงทำคือการสังหารคนของวิหารสาบสูญ หากวิหารยังมอบรางวัลให้ซัวหมิง ชื่อเสียงของวิหารก็จะมัวหมอง


 


นำปีศาจที่สังหารนักปรุงโอสถของตน เพื่อมาเป็นนักปรุงโอสถของตน… ชื่อเสียงเช่นนี้ย่อมไม่รื่นหู


 


แต่ถึงแม้ไม่อาจตบรางวัลหรือยกย่อง ก็ไม่อาจลงโทษได้เช่นกัน… ซัวหมิงสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดไป 3 คน จึงได้ชื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่แข็งแกร่งที่สุด บางที… ซัวหมิงอาจแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น


 


ไม่จำเป็นต้องลงโทษ ไม่จำเป็นต้องยั่วยุ… คนผู้นี้ไม่สมควรเป็นศัตรูด้วย


 


นอกจากนี้ ลำพังกำลังของวิหารสาบสูญในทะเลส่วนนอกก็ไม่อาจกำราบซัวหมิงได้ หากเผลอยั่วยุ อาจส่งผลร้ายกับพวกมันแทน


 


ดังนั้น ผู้ใดที่พบซัวหมิงจึงไม่กล้าเอ่ยคำ เพราะหากเกิดผิดหูเข้า อาจนำภัยพิบัติมาสู่มัน…


 


ลู่ชิงวางถ้วยน้ำชา แม้สีหน้าจะดูสงบ แต่นิ้วมือที่กระดิกเคาะโต๊ะกลับแสดงถึงความร้อนใจ มันไม่คิดจะจับตัวซัวหมิง แต่กำลังคิดว่าจะตอบแทนอีกฝ่ายอย่างไร


 


มันจดจำภาพที่ซัวหมิงจุดเพลิงชีพจรพิภพ 2 ชนิดขึ้นพร้อมกันได้แม่น


 


ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก พูดคุยเรื่องการต่อสู้ระหว่างซัวหมิงและจ้าวหอคอยทั้งสาม แต่บางคนกลับสนใจเรื่องที่ซัวหมิงยอมเผยไพ่ในมืออย่างเพลิงชีพจรพิภพ


 


ลู่ชิงเดาว่า บางทีซัวหมิงผู้ครอบครองเพลิงชีพจรพิภพ อาจสนใจเพลิงคราม…


 


“แย่แน่…”


 


ต้องเป็นปัญหาแน่นอน…


 


หากเปลี่ยนจากซัวหมิงเป็นจ้าวหอคอยเหนือ ลู่ชิงคงมอบโอสถผันแปรที่ 5 ให้จำนวนหนึ่ง อีกฝ่ายคง


พอใจ


 


แต่ซัวหมิงนั้นไม่เหมือนกัน เขาสังหารจ้าวหอคอยทั้ง 3 ได้เพียงลำพัง ซ้ำยังใช้เวลาไม่นาน ต่อให้เป็นลู่ชิงเองก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้


 


ซัวหมิงผู้นั้นมีพลังล้ำลึก… หากอีกฝ่ายต้องการเพลิงครามจริง ลู่ชิงก็ไม่กล้าปฏิเสธ


 


ดูเหมือนการยืมมีดสังหารคน จะกลายเป็นดาบสองคมไปเสียแล้ว


 


จ้าวหอคอยตายไป 3 ซ้ำยังอาจต้องเสียเพลิงคราม


 


“แย่แน่ๆ…”


 


ลู่ชิงหันมองเป่ยเซี่ยวเหมินที่กำลังกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยพลางยิ้มเจื่อน


 


“นายหญิงน้อย ท่านช่วยข้าคิดหน่อยว่าจะตอบแทนซัวหมิงยังไง…”


 


ลู่ชิงพยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออก


 


หากไม่สนใจพลังของซัวหมิง ลำพังแค่อีกฝ่ายเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ที่สามารถปรุงโอสถที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ มันก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไง


 


จำนวนของนักปรุงผันแปรที่ 5 มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะไปเข้าร่วมกับวิหารพิรุณ และนักปรุงโอสถเหล่านั้น ล้วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี


 


ดังนั้น สำหรับวิหารสาบสูญของมัน นักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 คงมีแค่ซัวหมิงคนเดียว!


 


“ถ้ามีปัญหามากก็ฆ่าทิ้งซะก็สิ้นเรื่อง… ข้าเองก็ไม่ค่อยพอใจมันอยู่แล้ว!”


 


*พรู๊ด!!*


 


ลู่ชิงสำลักน้ำชา


 


สมแล้วที่เป็นยนายหญิงน้อยของมัน ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ไม่เคยรับผลที่จะตามมา


 


อีกอย่าง ต่อให้มันลงมือ ก็ใช่ว่าจะสังหารซัวหมิงได้ง่ายๆ หรือต่อให้สังหารได้ มันก็คงกลายเป็นศัตรูกับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณจำนวนมาก…


 


เพียงได้ชื่อว่าเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะยั่วยุแล้ว!


 


ในอดีต… มีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลางคนหนึ่ง ล่วงเกินสตรีนางหนึ่ง แต่มันคาดไม่ถึงว่าสตรีนางนั้นจะเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5… ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงโกรธแค้น และลั่นวาจาว่าจะแก้นแค้นให้นาง


 


นางปรุงโอสถ ‘โอสถแบ่งแยกและหลอมรวม’ เพื่อชักชวนเหล่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด


 


นางปรุงโอสถ ‘ปราณต้นกำเนิด’ เพื่อชักชวนผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น


 


นางปรุงโอสถ ‘วิญญาณกระจ่าง’ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ได้ครอบครองเจตจำนงค์เทพมากขึ้น


 


เมื่อตระเตรียมพร้อมสรรพ นางนำผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดกว่าร้อยคน ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น 11 คน และขั้นกลาง 3 คน เข้าล้อมนิกายแห่งหนึ่ง จากนั้นเปิดฉากสังหารจนราบ…


 


ลู่ชิงไม่รู้ที่มาของหนิงฝาน แต่การที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ แสดงว่าไม่ธรรมดา หากอีกฝ่ายเอ่ยปาก ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณแทบทั้งหมดย่อมยอมช่วย


 


ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ลู่ชิงคิด…


 


แต่เป่ยเซี่ยวเหมินไม่เหมือนกัน นางทำตัวเย่อยหยิ่ง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณหรือ หรือผู้เชี่ยวชาญดัดแปลง นางก็ไม่สนใจ


 


“นายหญิงน้อยอย่าลืม… ว่าด้วยสถานะของท่านแล้ว จะยั่วยุซัวหมิงไม่ได้…” ลู่ชิงทำมือเป็นท่าทางบางอย่าง ก่อนที่เป่ยเซี่ยวเหมินจะหน้าแดง


 


หนิงฝานเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5… มารดาของเป่ยเซี่ยวเหมินก็กล่าวว่า อย่าได้ยั่วยุนักปรุงโอสถ


 


“งั้นข้าไม่ขอยุ่ง… เจ้าอยากทำอะไรก็เชิญ! แต่ข้าไม่ให้เพลิงคราม!”


 


เมื่อกล่าวจบ นางแค่นเสียงและเดินจากไป…


 


แต่ในจังหวะนั้นเอง หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏกาย


 


สตรีคือศพนางสวรรค์ ส่วนบุรุษคือหนิงฝาน!


 


“ดูเหมือนนายหญิงน้อยเป่ยจะไม่พอใจข้า… แต่ข้ามั่นใจว่าไม่เคยยั่วยุท่านมาก่อน หรือจะเป็นยามนั้น… ยามที่ข้าร่วมรักกับสตรีของข้า แล้วท่านก็แอบมองอยู่ห้องข้างๆ ข้าว่าข้าสมควรเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่า… ท่านจะตำหนิข้าไม่ได้”


 


“ฮึ่ม! ใครแอบดูเจ้า! อีกอย่าง เจ้าจะเสียหายได้ยังไง ก็ของเจ้ามัน…”


 


เป่ยเซี่ยวเหมินแอบดูหนิงฝาน อีกอย่าง ยามนี้นางยังไร้ซึ่งเจตนาสังหารใดๆ เพียงด่าทอเท่านั้น


 


ทุกคนในวิหารสาบสูญจะรู้จักนิสัยของนางดี ปกติแล้วนางไม่เป็นแบบนี้


 


หรือว่านางจะชอบซัวหมิง?


 


ต้องใช่แน่ เพราะผู้เดียวที่ยังต่อปากต่อคำกับนางได้ มีเพียงซัวหมิงเท่านั้น


 


เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแล้ว!


 


นายหญิงน้อยที่ 4 แห่งวิหารสาบสูญบนแดนสวรรค์ ผู้ซึ่งทำให้เซียนมากมายต้องหวาดหวั่น กลับตกหลุมรักผู้เชี่ยวชาญบนโลกอย่างซัวหมิง?


 


แต่ถึงไม่ตกหลุมรัก การแอบดูซัวหมิงร่วมรักก็กระทบกับความไร้เดียงสาของนาง!


 


นายหญิงน้อย 4 แห่งวิหารสาบสูญ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนมหาสมุทรเหนือ หากสูญสิ้นความไร้เดียงสา ลู่ชิงต้องหัวหลุดจากบ่า!


 


“นายหญิงน้อย ท่านจะกล่าวแบบนั้นไม่ได้…”


 


“ข้าจะพูดแล้วเจ้ามีปัญหาอะไร? ข้าเห็นมันร่วมรัก เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่า แต่มันก็ไร้ยางอายไม่ยอมหยุด!”


 


หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีร่วมรัก เหตุใดต้องอาย?


 


แม้ลู่ชิงจะกล่าวเตือนว่านางไม่ควรพูด แต่นางก็ไม่หยุด


 


สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ลู่ชิงคาดไม่ถึง มันจึงไม่รู้จะรับมือยังไง


 


หากแลกกับการที่ซัวหมิงจะหยุดโต้เถียงกับนาง และปกปิดเรื่องที่นางสูญเสียความไร้เดียงสาไป ต่อให้ต้องยกตำแหน่งจ้าวหอคอยและเพลิงครามให้ ลู่ชิงก็ยอม


 


ศพนางสวรรค์สงสัย นางไม่เข้าใจวส่าเหตุใดคนเหล่านี้ต้องทำท่าทางร้อนรน


 


แต่หนิงฝานกลับยิ้มเล็กน้อยอย่างมีนัย


 


“ข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับนายหญิงน้อยเพียงลำพัง เชิญพวกท่านกลับไปก่อน ไม่งั้นพวกท่านอาจได้ยินเรื่องที่ไม่อยากได้ยิน”


 


“พวกเจ้าไปได้แล้ว!” ลู่ชิงถอนหายใจ ในเมื่อซัวหมิงยอมหยุดโต้เถียงกับนาง พวกมันก็ยอมจากไป


 


“เจ้าอย่าลืมหล่ะว่าต้องมาให้ข้าประทับตราวิญญาณ…” หนิงฝานชี้ไปยังยู่หลงพลางยิ้มเล็กน้อย


 


ยู่หลงแตกตื่น มันหวาดกลัวจตัวสั่นแต่ก็ต้องพยักหน้า


 


“ในเมื่อท่านหมิงกล่าว เหตุใดข้าจะกล้าขัด การได้เป็นทาสของท่านนับเป็นเกียรติของข้าแล้ว”


 


คาดไม่ถึงว่ายู่หลงที่เย่อหยิ่ง จะแสดงท่าทางอ่อนน้อม


 


ซัวหมิงผู้นี้แข็งแกร่ง ลู่ชิงและเป่ยเซี่ยวเหมินไม่ขัดที่ยู่หลงจะกลายเป็นทาส…

 

 

 


ตอนที่ 216

 

เป่ยเซี่ยวเหมินยืนมือไพล่หลัง หากมองจากข้างหลัง นางเหมือนเด็กสาวอายุ 14 ปี ผมดำขลับ ผิวขาวนวลราวกับหยก กลิ่นกายหอมราวกับบุบผา


 


แต่บุบผาก็มีหนาม…


 


เด็กสาวที่น่ารักอย่างนาง เป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจอย่างที่สุด


 


แต่หนิงฝานคิดว่า หากนางไม่เป็นเช่นนั้น นางก็เอาตัวรอดในทะเลส่วนนอกแห่งนี้ไม่ได้


 


ความรู้สึกหลากหลายปรากฏในจิตใจ ครั้งนี้ที่มาเยือนวิหารสาบสูญ หนิงฝานได้ทหารศิลาคู่กาย และได้เป็นจ้าวหอคอยโอสถทั้ง 3


 


แม้การกระทำจะก่อปัญหาตามมา แต่ก็ทำให้เขาได้ประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน


 


หนิงฝานสนใจในตำรับโอสถผันแปรที่ 5 โดยเฉพาะโอสถแบ่งแยกและหลอมรวม ซึ่งจะช่วยเพิ่มปราณให้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้นได้เป็นอย่างมาก


 


แต่ที่วิชาหารสาบสูญไม่มีตำรับโอสถ


 


หนิงฝานต้องหามันด้วยตนเอง


 


ยิ่งวันคืนผันผ่าน ประโยชน์ที่ได้จากความทรงจำของจักรพรรดิสวรรค์ก็ยิ่งน้อยลง หากหนิงฝานบรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยก ทุกสิ่งหลังจากนั้นหนิงฝานต้องพึ่งพาตนเอง…


 


ตั้งแต่เป่ยเซี่ยวเหมินเกิดมา นางได้รับทาสรับใช้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ได้รับวิชาต่างๆมากมาย รวมกับได้รับโอสถเพื่อช่วยยกระดับพลัง แต่ถึงอย่างนั้น ยามนี้หนิงฝานกลับไม่กลัวนางอีกต่อไปแล้ว


 


ต่อให้ไม่ใช่ดรรชนีคลายหยิน หนิงฝานก็มั่นใจว่าจะไม่แพ้นาง


 


แม้นางจะมีปราณสังหารที่น่าสะพรึงกลัว แต่นางย่อมไม่เคยผ่านสงครามที่ถึงตายมาก่อน


 


หอคอยโอสถใต้…


 


ภายในหอคอยดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ข้าวของ


กระจัดกระจายราวกับเป่ยเซี่ยวเหมินเพิ่งบันดาลโทสะ


 


“นายหญิงน้อยใจเย็นๆก่อน”


 


“หรือจะให้ข้าฆ่าเจ้าแทน!”


 


เป่ยเซี่ยวเหมินกล่าวอย่างเย็นชา


 


แต่ถึงนางจะกล่าวเช่นนั้น ในใจของนางกลับสวนทาง


 


เป่ยเซี่ยวเหมือนกล่าว “ฮึ่ม! เจ้าจะไปไหนก็ไป! หากปราณสังหารของข้าเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา ข้าอาจพลั้งมือฆ่าเจ้า… เศษซากพวกนั้นจนป่านนี้ยังไม่มีใครเก็บกวาด เจ้าเร่งไปทำความสะอาดได้แล้ว”


 


หนิงฝานจ้องมอง ยามนี้เป่ยเซี่ยวเหมินดูเหมือนนายที่กำลังตำหนิบ่าว นางไม่ได้ใช้อารมณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว


 


เป่ยเซี่ยวเหมินเดินเข้าสู่หอคอย ในขณะที่เดินนั้น จู่ๆนางก็ชะงักฝีเท้า หนิงฝานและศพนางสวรรค์ที่เดินตามมาก็ชะงักฝีเท้าเช่นกัน โดยที่รักษาระยะห่างไว้ที่ 10 จ้าง


 


เพราะ 10 จ้างคือระยะที่ปลอดภัย


 


หากมีอันตรายใดๆเกิดขึ้น หนิงฝานจะตอบสนองได้ทัน


 


เมื่อเห็นหนิงฝานรักษาระยะห่าง เป่ยเซี่ยวเหมินประหลาดใจ นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะระวังตัวเช่นนี้


 


นางหันกลับมา เดินเข้าหาหนิงฝานอีกก้าว แต่หนิงฝานก็รีบพาศพนางสวรรค์ถอยห่างอีก 1 ก้าว เว้นระยะ 10 จ้างเหมือนเดิม


 


“ฮึ่ม! คาดไม่ถึงว่าคนที่ดูประมาทอย่างเจ้าจะระมัดระวังตัวขนาดนี้ เจ้ากลัวข้าจะกินเจ้าหรือไง?”


 


“แน่นอน… เจ้าเป็นคนแรกที่แอบดูข้าร่วมรัก ซ้ำยังพาข้าเข้ามาในที่ที่อบอวนไปด้วยกลิ่นกายที่หอมหวนของเจ้า หากข้าไม่รักษาระยะห่าง ข้ากลัวว่าจะอดใจไม่อยู่”


 


“ไร้สาระ!” นางกำหมัดแน่น นางเร่งถอยห่างจากหนิงฝาน


 


ในโลกของผู้เชี่ยวชาญนั้น หากตนมีพลังมากกว่า ก็จะรับมือศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นผู้ที่มีพลังใกล้เคียงกัน ฝ่ายใดประมาทกว่า ฝ่ายนั้นย่อมเสียเปรียบ


 


เมื่อครู่หนิงฝานสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แผ่ออกมาจากตัวนาง เป็นสิ่งที่อันตราย เขาจึงเว้นระยะห่าง


 


ที่นิ้วมือของนางนั้น มีแหวนเล็กๆอยู่วงหนึ่ง ซึ่งมันกำลังเปล่งแสงจางๆ


 


นางเป็นถึงผู้ครอบครองปราณสังหารที่ทรงพลัง มีพลังในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด หากจะลงมือกับหนิงฝานตรงๆคงเป็นเรื่องยาก


 


แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังมีวิธี


 


นางมองหนิงฝานแล้วยิ้มพลางกล่าว “ซัวหมิง! ข้าว่าเจ้าคงอยากได้เพลิงคราม… แต่ข้าไม่ให้!”


 


“นายหญิงน้อยเป่ย… ไม่คิดสังหารข้าแล้วเหรอ?”


 


แววตาหนิงฝานเผยเจตนาสังหาร นางรู้สึกสั่นสะท้านพลางผงะถอยโดยไม่รู้สึกตัว สีหน้าแตกตื่น


 


ซัวหมิงผู้นี้ทรงพลัง… สมคำร่ำลือ


 


แต่เขารู้ได้ยังไงว่านางคิดจะจัดการเขา?


 


แล้วทำไมนางต้องสังหารเขา


 


เขาเป็นถึงนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ท่านแม่บอกว่าต้องดีกับคนเช่นนี้ให้มาก ที่สำคัญ หนิงฝานยังครอบครองเส้นลมปราณโบราณ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นชนิดใด แต่ด้วยความเร็วในการยกระดับพลัง และความแข็งแกร่ง ก็ทำให้เขาควรค่าที่จะได้เป็นตัวแทนของวิหารสาบสูญ


 


“เขาคู่ควรแก่ตำแหน่งตัวแทน… เหตุใดข้าต้องคิดสังหารเขา”


 


หรือคิดจะสังหารก็เพื่อยกระดับพลัง?


 


หรือเพราะหนิงฝานทำให้จิตใจของนางมัวหมอง


 


เหตุใดเมื่อทราบข่าวว่าหนิงฝานต้องสู้กับจ้าวหอคอยทั้ง 3 นางจึงต้องรีบออกมาดู


 


เหตุผลเพราะอะไรนั้นนางเองก็ไม่เข้าใจ นางรู้แค่ว่านางเกลียดหนิงฝานมาก


 


นางขบฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น แต่ถึงนางจะไม่เข้าใจ แต่หนิงฝานเข้าใจ


 


นั่นคือนางชอบเขา…


 


แต่หากจะกล่าวว่าชอบก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ต้องกล่าวว่าการสังหารของหนิงฝานถึงจะถูก


 


“น่าสนใจ…”


 


แววหนิงฝานแปรเปลี่ยน คืนสู่ความสงบ พลางจ้องมองนาง


 


เขามองสำรวจเรือนร่างของนางตั้งแต่หัวจรดเท้า


 


“เจ้า… เจ้ามองอะไร! ตัวข้าไม่มีอะไรน่าสนใจสักหน่อย!”


 


“จริงเหมือนเจ้าว่า แต่แหวนที่อยู่นิ้วเจ้าสมควรเป็นสมบัติชั้นเลิศ มันน่าจะเป็น ‘แหวนหยวนเหยา’”


 


“เจ้ารู้ได้ยังไง!”


 


จิตใจนางเริ่มปั่นป่วนสับสน จนเผลอแสดงออกทางสีหน้า


 


เดิมทีนางคิดจะใช้แหวนวงนี้จัดการหนิงฝาน แต่ดูเหมือนหนิงฝานจะมองออก จนทำให้นางอับอาย


 


นางยกมือขึ้น แหวนเปล่งแสง ส่งพลังสายหนึ่งตรงเข้าหาหนิงฝานและศพนางสวรรค์


 


หนิงฝานแอบกระตุ้นสร้อยหยินหยาง เพื่อหวังใช้มันต้านสมบัติของนาง เมื่ออำนาจสองสายเข้าปะทะ พวกมันก็หักล้างกันไป


 


“เป็นไปได้ยังไง?”


 


นางโบกมือ ส่งพลังจากแหวนเข้าใส่หนิงฝานอีกครั้ง แต่ก็ยังทำอะไรหนิงฝานไม่ได้อยู่ดี


 


ผิดกับศพนางสวรรค์ที่ได้รับผลกระทบไม่น้อย หากไม่ได้หนิงฝานกุมมือไว้ นางคงตกที่นั่งลำบาก


 


ยามนี้ นางรู้สึกถึงภัยจากหนิงฝานมากขึ้น


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าก็มีสมบัติคุ้มหายเหมือนกัน! คาดไม่ถึงว่ามนุษย์จะมีสมบัติระดับนี้ แต่ข้ายังมีอีกชิ้น!”


 


แต่ทันใดนั้นเอง ร่างของนางกลับไหวเอนราวกับจะล้ม แต่ก็กลับมายืนได้อย่างมั่นคง


 


ใบหน้าของนางซีดขาว กลิ่นโลหิตลอยคละคุ้ง


 


โลหิต!


 


หนิงฝานมองนางแปลกๆ


 


“ช่างน่าสนใจจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเจ้าที่เป็นผู้ฝึกตนจะมี…”


 


“หุบปาก! ห้ามมอง! สารเลว ไร้ยางอาย! ตอนนี้…”


 


นางดูไร้เรี่ยวแรง โลหิตเปื้อนพื้น กระโปรงของนางเปรอะโลหิต


 


ถึงแหวนหยวนเหยาจะจัดการหนิงฝานไม่ได้ แต่หากนางใช้ปราณสังหาร สมควรจัดการหนิงฝานได้ง่าย


 


แต่คาดไม่ถึงว่ามันจะ… มาได้เวลาพอดี


 


แย่แล้ว! ยิ่งรอยยิ้มของมันยิ่งทำให้ข้าแย่! รอยยิ้มน่ารังเกียจนั่น ทำให้ข้าอยากจะสังหารมันให้สิ้นซาก!


 


“วิชาขั้นสูงสุดแห่งปราณสังหารสวรรค์… สังหารเจ็ดกระบวนท่า! แต่ก็ทำให้ข้าต้องขายหน้า!”


 


นางเร่งเอามือปิดกุมบริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของนาง พร้อมกันนั้น โลหิตที่หลั่งออกมาเปล่งแสง แล้วผสานกลับเข้าไปในร่างกาย นางเคลื่อนไหว เงาร่างแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงเข้าประชิด พร้อมเตะเข้าที่ใบหน้าหนิงฝาน


 


ร่างกายของในขอบเขตกระดูกเงินขั้น 3 เมื่อผสานกับวิชาของนาง ทำให้ร่างกายของนางแข็งแกร่งขนาดที่ทำลายสมบัติขั้นสูงสุดระดับสูงสุดได้


 


ยามนี้ร่างกายของนางแผ่แรงกดดันที่รุนแรง แต่ด้วยในหอคอยมีข่ายอาคม แรงกดดันจึงไม่เล็กลอดออกไปภายนอก เหตุที่นางเลือกลงมือที่นี่ ก็เพราะกลัวว่าลู่ชิงจะขัดขวาง


 


แม้ลูกเตะของนางจะทรงพลังจนน่าสะพรึงกลัว แต่หนิงฝานยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง มือข้างที่เปล่งแสงสีเงินเหยียดยื่น รับลูกเตะของนางอย่างผ่อนคลาย


 


นางตกตะลึงใหญ่หลวง เพราะร่างกายของหนิงฝานแข็งแกร่ง กึ่งขอบเขตกระดูกหยก


 


นอกจากนี้ หนิงฝานยังควบคุมพลังได้เป็นอย่างดี เพราะหากเขาออกแรงเกินไป เท้าของนางจะหักเอาได้


 


“เป็นไปได้ยังไง… ทำไมมนุษย์เช่นเจ้าถึงได้มีร่างกายที่ทรงพลังกว่าข้า! ทั้งยังมีหน้ามาออมมือให้ บัดซบ สารเลว ย้าห์~”


 


ปราณสังหารสวรรค์ของนางสูญเสียการควบคุม


 


ซัวหมิงผู้นี้แข็งแกร่ง ไม่ตว่าต้องทำยังไง ก็ต้องสังหารมันให้ได้


 


นางไม่ได้โกรธแค้นที่หนิงฝานรับการจู่โจมนางได้ แต่ที่นางโกรธเป็นเพราะหนิงฝานออมมือให้


 


ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มของหนิงฝาน ในฐานะที่นางเป็นนายหญิงน้อยของขุมกำลังใหญ่ในแดนสวรรค์ นางก็ยิ่งไม่พอใจ


 


นางขบฟันแน่น ระดมลูกเตะใส่หนิงฝานอย่างหนักหน่วง แต่ในชั่วลมหายใจนั้น หนิงฝานเปลี่ยนจากฝ่ามือต้านรับ คว้าจับเข้าไปที่เท้าของนาง แล้วรวบตัวนางมากอดไว้


 


นายหญิงน้อยแห่งแดนสวรรค์ ผู้ที่ไม่ว่าผู้ดใดก็หวาดกลัว กลับถูกหนิงฝานกอด


 


แม้นางพยายามดิ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรง ยิ่งดิ้น หนิงฝานยิ่งกอดนางแน่นขึ้น… หากเขาไม่คว้าตัวนางไว้ เมื่อครู่นางอาจปลิวจากแรงสะท้อนของฝ่ามือที่ต้านรับลูกเตะ


 


แต่บางที ปล่อยให้นางปลิวไปยังจะดีเสียกว่า


 


“จะ… เจ้าจะทำอะไรข้า!”


 


เลือดลมของนางปั่นป่วนอย่างที่สุด


 


แม้นางจะมีรูปลักษณืเหมือนเด็กสาว แต่นางก็ผ่านชีวิตมาพอสมควร


 


“ที่แท้เจ้าคิดจะล่วงเกินข้า… ในที่สุดฝันร้ายของข้าก็เป็นจริง…”


 


นางเค้นพลังเฮือกสุดท้าย อ้าปากงับเข้าที่ไหล่หนิงฝาน แต่ด้วยนางไม่ค่อยมีแรง จึงไม่เป็นอันตรายอะไร


 


“คิดว่าข้าจะดูดซับพลังเจ้าเหรอ? เป่ยเซี่ยวเหมิน เจ้าอย่าสำคัญตัวผิด… ถึงเจ้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด แต่หากข้าดูดซับ อย่างมากก็ได้ปราณแค่ 30 เกราะ ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพราะจะเติมเต็มคำสัญญากับคนผู้หนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่า… สตรีที่ฝึกตนส่วนใหญ่จะหมดประจำเดือนเมื่อบรรลุขอบเขตประสานวิญญาณ แต่เจ้ากลับยังเป็นประจำเดือน… แต่จะว่าไป ข้าก็อยากเห็นประจำเดือนของสตรีเหมือนกัน”


 


หนิงฝานยิ้ม


 


เดิมทีหนิงฝานก็คิดจะดูดซับพลังของนาง แต่ในเมื่อนางเป็นประจำเดือน เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดไป


 


ประจำเดือนถือเป็นเรื่องทั่วไปของมนุษย์ แต่ในผู้ฝึกตนกลับหาได้ยากมาก


 


สตรีที่ฝึกตนทั่วไปจะไม่มีประจำเดือน แต่การที่นางมีประจเดือนเป็นเพราะเส้นลมปราณของนาง ยิ่งเมื่อนางบรรลุขอบเขตใหญ่ ประจำเดือนของนางก็จะยิ่งมาเยอะ


 


แม้หนิงฝานจะชนะนาง แม้นางจะเป็นกระถางขัดเกลาชั้นเลิศ แต่เขากลับหมดอารมณ์


 


หากหนิงฝานดูดซับพลังของนาง คงยากจะปกปิดเรื่องนี้ แดนสวรรค์คงโกรธแค้น และส่งเซียนมาเพื่อสังหารเขา


 


“ปล่อยข้า…” หนิงฝานกอดนางแนบแผ่นอก ร่างกายของนางที่สัมผัสกับเขา ทำให้นางอับอาย ที่สำคัญ โลหิตของนางยังคงไหลไม่หยุด


 


แม้หนิงฝานจะไม่ค่อยพอใจนาง แต่เขาก็อยากช่วยให้โลหิตของนางหยุดไหล


 


การทำให้ประจำเดือนของนางหยุดไหลนั้นไม่ยาก ต้องใช้บางสิ่งสัมผัสบริเวณท้องน้อยของนาง


 


“เหว่ยเหลียง เจ้าออกไปรอข้างนอก อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด”


 


“อืม…” ศพนางสวรรค์เดินไปหน้าประตูและเฝ้าไว้


 


หนิงฝานอุ้มเป่ยเซี่ยวเหมินไปยังที่นอน แล้วโยนลงไป


 


อย่างน้อยๆนางก็ดีใจที่หนิงฝานไม่ได้ดูดซับพลัง


 


เพียงแต่สิ่งที่นางอาย คือหนิงฝานล้วงมือเข้ามาใต้กระโปรง แล้วพยายามจะปลดกระโปรงนางออก แต่ดูเหมือนวิธีการจะยุ่งยากเกินไป หนิงฝานจึงกระชากอาภรณ์ของนางจนขาด


 


เรือนร่างเปลือยเปล่าเผยสู่สายตาหนิงฝาน


 


แววตานางแปรเปลี่ยนหวาดกลัว นางพยายามเอามือปิดหน้าอกของตนไว้ แต่ก็ทำไม่ได้


ถึงอย่างนั้น หนิงฝานก็ไม่ได้มองสำรวจเรือนร่างนาง เขาเอื้อมมือคว้าขาของนางไว้


 


“เจ้า… สารเลว… ห้ามมองนะ… หากเจ้ากล้าดูดซับพลังข้า ข้าจะ…”


 


“ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้คิดจะดูดซับพลังเจ้า แต่ข้าจะช่วยทำให้โลหิตหยุดไหล… ถ้าปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆแบบนี้ เจ้าได้ตายแน่”


 


สีหน้าหนิงฝานเรียบเฉย เขาไม่ได้สนใจเรือนร่างของนางแม้แต่น้อย


 


“ซัวหมิง เจ้าคนชั่ว!”


 


“ก็บอกแล้วไงว่าจะช่วยทำให้โลหิตหยุดไหล”


 


หนิงฝานสัมผัสบริเวณท้องน้อยของนาง โคจรปราณ จากนั้นจึงเลือนลงมายังส่วนลับ


 


เมื่อพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกสัมผัส นางก็ร้องไห้ทันที


 


“อย่าจับ…!”


 


“อยู่นิ่งๆ ถ้าเจ้ายังขัดขืน ข้าจะชิงเพลิงครามและป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป”


 


“เจ้ากล้าเหรอ!”


 


“ไม่ว่าใครก็ถามแบบนี้… เป่ยเซี่ยวเหมิน ที่ข้ายอมช่วยเจ้าก็นับว่าดีแล้ว”


 


หนิงฝานไม่สนใจนาง และเริ่มงานของตน


 


“ถ้าเจ้ายอมเชื่อฟังข้า วันหนึ่งทหารศิลาจะกลับมาหาเจ้า” หนิงฝานกล่าวอย่างเรียบเฉย


 


“อะไรนะ! ท่านปู่ทหารศิลาอยู่กับเจ้า! เป็นไปได้ยังไง?”


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้… แต่หากยอมเป็นกระถางขัดเกลาของข้า แล้วข้าจะบอก”


 


“ไม่…” นางกล่าวคำได้อย่างยากลำบาก


 


มือหนิงฝานที่สัมผัส ทำให้ลมหายใจของนางเริ่มถี่กระชั้น


 


เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม