Genius Doctor Black Belly Miss 1382-1388
ตอนที่ 1382 เริ่มการล่า (4)
ในขณะที่คนจากวิหารฝูหัวกำลังกังวลอย่างมากนั้น ร่างสองร่างยังคงซ่อนตัวอยู่เงียบๆภายในหมอกหนา พวกเขาไม่ได้ถือสิ่งใดที่ให้แสงสว่างไว้ในมือเลย แต่ดูเหมือนว่าสายตาของพวกเขาสามารถมองทะลุผ่านหมอกลึกลับและมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
“เฮ้ ไอ้พวกโง่อีกกลุ่มมาหาเราถึงที่แล้ว” หนึ่งในผู้เยาว์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“อย่ามัวแต่เสียเวลาเลย” เสียงเย็นชาของผู้เยาว์อีกคนดังขึ้นในหูเขา
หมอกหนาที่ทำให้ผู้คนมองอะไรไม่เห็นนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เยาว์ทั้งสองคนนี้กลับเหมือนไม่มีมันอยู่เลย ไม่มีอะไรปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขาเลยสักนิด สายตาของพวกเขามองทะลุผ่านหมอกและเห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ท่าทางหวาดกลัวของคนจากวิหารฝูหัวสะท้อนให้เห็นชัดเจนในดวงตาของพวกเขา
“อย่าเพิ่งรีบร้อน โอกาสที่เราจะได้ต่อสู้หายากจะตาย ข้ารออยู่นานแล้ว งานสนุกๆแบบนี้มักถูกเจ้าตัวร้ายพวกนั้นแย่งไปตลอด เดือนที่แล้วก็ไม่ถึงตาข้าเลย คันมือคันไม้อยู่นานแล้ว ท่านรู้ไหม?”
ผู้เยาว์ที่เสียงเย็นชากวาดสายตามองเพื่อนของเขา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา
“เจ้าอยากเสียเวลากับคนพวกนี้ หรือจะรีบกลับไปเพิ่มพลังวิญญาณสุดท้ายของเจ้า? ถ้าข้าจำไม่ผิด การฝึกฝนของเจ้าดูเหมือนจะช้าที่สุดในบรรดาพวกเราทุกคนนะ”
คำพูดเดียวของผู้เยาว์เสียงเย็นชาทำให้สหายของเขามีสีหน้าซึมเศร้าทันที
“ก็ได้ๆๆ! จริงๆเลย พี่ฮัว ท่านจะชมข้าบ้างไม่ได้หรือไง? ข้าไม่ได้พัฒนาช้าสักหน่อย พวกท่านต่างหากที่เร็วเหมือนปีศาจ! ข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้แหละ ไปล่ะนะ!” ผู้เยาว์ที่ซึมเศร้าบ่นอย่างไม่พอใจ ร่างของเขาพุ่งออกไปด้านหน้าทันที!
คนของวิหารฝูหัวที่กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่ได้สังเกตเลยว่าความตายใกล้ถึงตัวพวกเขาแล้ว!
ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของคนกลุ่มนั้น!
เลือดอุ่นๆพุ่งเป็นสายขึ้นไปในอากาศ แล้วตกลงมาเหมือนสายฝน!
ชายที่ยืนอยู่แถวหน้าไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเพียงว่าคนทั้งกลุ่มที่ถูกความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจอยู่แล้ว จู่ๆก็เกิดโกลาหลวุ่นวายขึ้น!
กลุ่มคนที่เงียบกันอยู่ก็มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวดังขึ้น คนมากกว่าร้อยตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย!
“ศัตรูโจมตี! ศัตรูโจมตี!” ใครบางคนในกลุ่มร้องตะโกนออกมา
หัวหน้ากลุ่มตกใจ เขาพยายามกดความกลัวในใจเอาไว้และตะโกนขึ้นว่า “ทุกคนตั้งสติไว้! อย่าตื่นตกใจ! พวกเรามีคนตั้งเยอะ ไม่ว่าใครจะมา เราก็จะทำให้มันไม่สามารถกลับไปได้!”
ตั้งแต่ตอนที่คำพูดกล้าหาญพวกนั้นออกจากปากเขา ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ได้หยุดลงเลยสักวินาที
ผู้เยาว์ที่ยืนอยู่ในหมอกหนาเฝ้ามองสหายของเขาสร้างความวุ่นวายขึ้นในกลุ่มคนจากวิหารฝูหัวแล้วถอนหายใจเบาๆ แหวนภูติประจำตัวบนนิ้วของเขาเรืองแสงอ่อนๆ และขลุ่ยกระดูกสีขาวอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขา
จากนั้นชายหนุ่มก็จรดขลุ่ยที่ริมฝีปากของเขาอย่างใจเย็นและค่อยๆเป่าทำนองเพลงอย่างช้าๆ
เสียงอันไพเราะของขลุ่ยดังก้องขึ้นในพื้นที่ว่างเปล่าภายใต้หมอกหนา ลอยล่องอยู่ท่ามกลางเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ฟังดูลึกลับอย่างมาก
คนของวิหารฝูหัวที่ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ย ความรู้สึกแปลกๆก็กระจายไปทั่วร่างทันที
ความกลัว ความตื่นตระหนก และความไม่สบายใจของพวกเขาดูเหมือนจะหายไปเมื่อได้ยินท่องทำนองจากเสียงขลุ่ยนั้น ความรู้สึกสบายๆและขี้เกียจซึมเข้าไปในทุกเส้นประสาทของพวกเขา ทำให้ทุกคนพากันทิ้งดาบในมือโดยไม่รู้ตัว คนที่ต้องการเรียกภูติประจำตัวออกมาก็ค่อยๆผ่อนคลายลงช้าๆ ทันใดนั้นแขนขาของพวกเขาก็รู้สึกหนักจนทนไม่ไหว จิตใจเหนื่อยล้าจนไม่อยากแม้แต่จะคิด ทุกอย่างตรงหน้าไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
ตอนที่ 1383 เริ่มการล่า (5)
พวกเขาอยากจะพักผ่อนนอนหลับอย่างเดียวเท่านั้น
คนพวกนั้นเลิกต่อต้านกันทีละคน พวกเขานั่งลงบนพื้นที่สกปรกและเย็นยะเยือก ดูเหมือนจะลืมเลือนไปแล้วว่าสถานที่ที่พวกเขาอยู่นั้นอันตรายแค่ไหน แล้วพวกเขาก็นอนลงบนพื้นหลับไปจริงๆ
หัวหน้ากลุ่มจากวิหารฝูหัวมองดูพรรคพวกของเขานอนลงบนพื้นและหลับไปทีละคนด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาไม่สามารถต่อสู้กับความเหนื่อยล้าที่คืบคลานเข้ามาในทุกส่วนของร่างกายได้ เขารู้สึกเหนื่อยมากและง่วงมาก สติสัมปชัญญะของเขากำลังกรีดร้องให้เขารู้ว่าสถานที่นี้เต็มไปด้วยอันตรายอย่างที่สุด แต่ไม่รู้ว่าทำไม ดูเหมือนใจของเขาไม่สามารถกระตุ้นความร้อนรนวิตกกังวลและความสามารถในการดิ้นรนต่อสู้ออกมาได้เลยแม้แต่นิดเดียว
หัวหน้ากลุ่มสะบัดศีรษะอย่างแรง แต่ไม่สามารถสลัดความรู้สึกแปลกๆที่เข้ามาในตัวเขาได้ ขาทั้งสองข้างของเขาหนักเหมือนตะกั่ว ดวงตาเหมือนกำลังจะปิดลงทุกเมื่อ เขาดิ้นรนอย่างสิ้นหวังเพื่อที่จะลืมตาเอาไว้ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นพรรคพวกของเขาค่อยๆล้มลงบนกองเลือดของตัวเองทีละคน จากนั้นร่างสูงเพรียวก็เดินเหยียบแอ่งเลือดเข้ามาช้าๆ เขาปรากฏตัวออกมาจากภายในหมอกหนารอบตัวเขา
เด็กหนุ่มที่หล่อเหลาเป็นพิเศษคนหนึ่ง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด
“เฮ้ คนนี้ไม่เลวนี่ ยังไม่ล้มอีกหรือ?” ผู้เยาว์คนนั้นพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
หัวหน้ากลุ่มอยากจะหนี แต่หัวเข่าของเขาดูเหมือนจะหยั่งรากลึกลงไปในพื้นดิน เขาคุกเข่าอยู่ที่นั่น ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
“เจ้ายังไม่ได้จัดการกับพวกมันทั้งหมดหรือ?” เสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะด้านหลังของหัวหน้ากลุ่ม ผู้เยาว์อีกคนในชุดสีม่วงเข้มปรากฏตัวออกมา ใบหน้าของผู้เยาว์คนนั้นงดงามอย่างน่ากลัว สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจไม่รู้ลืมก็คือ ไฝใต้ตาหางของเขาที่เหมือนหยดน้ำตา
“จัดการเดี๋ยวนี้แหละ!” ผู้เยาว์คนแรกเดินมาหาหัวหน้ากลุ่มด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และเอื้อมมือไปจับหัวของหัวหน้ากลุ่ม
“พวก……พวกเจ้า……เป็นใคร……” หัวหน้ากลุ่มพูดด้วยความยากลำบาก
“หือ? เราหรือ? ถ้าเจ้าต้องการ เรียกเราว่านักล่าสิบสองวิหารก็ได้” เด็กหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วหมุนมือที่จับส่วนบนของศีรษะชายคนนั้นทันที!
‘กร๊อบ!’
คอของหัวหน้ากลุ่มถูกหักทันที
“เรียบร้อย!” ผู้เยาว์คนนั้นปล่อยมือ แล้วปัดฝุ่นออกจากมือ พร้อมกับยิ้มกว้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองสหายของเขา
“ข้าว่านะ พี่ฮัว……คราวหน้าท่านลงมือช้าหน่อยก็ได้ ข้ายังไม่ทันสนุกเลย ท่านก็ทำให้พวกมันทุกคนป้องกันตัวเองไม่ได้แล้ว แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้พลังของข้ามาไกลแค่ไหนแล้วเมื่อเทียบกับสิบสองวิหาร?” เด็กหนุ่มผู้ฮึกเหิมที่เต็มไปด้วยคราบเลือดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเฉียวฉู่ที่เข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดพร้อมกับพวกของจวินอู๋เสียเมื่อหนึ่งปีก่อนนั่นเอง!
และที่ยืนอยู่กับเฉียวฉู่นั่นก็คือฮัวเหยา
หนึ่งปีที่พวกเขาอยู่ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ก้าวออกจากที่นั่นเลยสักครั้ง แต่ได้ขังตัวเองอยู่ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ฝึกฝนพลังวิญญาณอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกเขาเพิ่งออกมาข้างนอกเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้วนี่เอง
ฮัวเหยามองเฉียวฉู่ด้วยสายตาเย็นชา เขาหมุนขลุ่ยกระดูกสีขาวในมือรอบหนึ่ง ก่อนมันจะเปลี่ยนรูปกลับไปเป็นแหวนประจำตัวบนนิ้วของเขา
“เสี่ยวเสียให้เรามาที่นี่เพื่อฆ่าคนของสิบสองวิหาร ไม่ใช่ให้มาดูว่าพลังของเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว” ฮัวเหยาตอบอย่างเย็นชา
ถ้าเรื่องที่สุสานจักรพรรดิถูกค้นพบแล้วแพร่กระจายออกไป มันจะทำให้อาณาจักรกลางทั้งหมดไล่ล่าพวกเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นช่วงที่พวกเขาเก็บตัวฝึกในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด เย่ฉา เย่เหม่ย และเย่กู เป็นคนช่วยพวกเขากำจัดคนที่สามารถเดินทางมาถึงช่วงกลางของด้านล่างผาสุดสวรรค์ทั้งหมด
ตอนที่ 1384 เริ่มการล่า (6)
เมื่อ 3 เดือนที่แล้วนี้เองที่พวกเขาได้รับอนุญาตจากจวินอู๋เหยา ถึงได้มีโอกาสออกมาและเอางานเก็บกวาดจากพวกเย่ฉามาทำบ้าง
“พี่ฮัว ท่านต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ? ไม่อยากลองดูบ้างหรือว่าพลังของท่านพัฒนาไปมากแค่ไหน?” เฉียวฉู่ถาม ตอนแรกเขาอยากเอามือไปวางที่หลังศีรษะ แต่พอเห็นว่ามือเปื้อนเลือด เขาก็เอามือลง
“ข้าลองแล้ว” ฮัวเหยาตอบอย่างใจเย็น
เฉียวฉู่ตาลุกวาวทันที “เมื่อไร?”
ฮัวเหยากวาดสายตามองไปยังศพบนพื้น “ขลุ่ยกระดูกใช้ได้ดีเลย ใช่ไหมล่ะ?”
“………” เฉียวฉู่พูดไม่ออก เขาคิดว่าฮัวเหยาหมกมุ่นคิดอยู่เรื่องเดียว กลายเป็นว่าตัวเขาเองที่มองข้ามไป!
“เราจะจัดการกับศพพวกนี้ยังไง? เสียบแท่งน้ำแข็งไว้หรือ?” เฉียวฉู่กระแอมในลำคอขณะมองไปที่ศพบนแท่งน้ำแข็ง นั่นคงเป็นผลงานของเฟยเหยียนตอนที่เขามาที่นี่
“พวกที่เสียบไว้แล้วก็มากพอจะเป็นคำเตือนได้ เราจะเผาศพพวกนี้ที่นี่” ฮัวเหยาพูดพลางส่ายหน้า
ครั้งนี้ศพมีจำนวนมาก หากจะเสียบไว้ทั้งหมด มันจะใช้เวลามากเกินไป
“ได้!” เฉียวฉู่พับแขนเสื้อขึ้นทันที เผยให้เห็นท่อนแขนที่แข็งแรงและมีมัดกล้าม ภายใต้ความหนาวเหน็บที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์ พวกเขาสองคนแต่งตัวบางมาก แต่กลับรู้สึกสบายกว่าตอนที่มาถึงที่นี่ครั้งแรกมาก
ทันทีที่เฉียวฉู่เปิดท่อนแขนของเขาออกมา แหวนประจำตัวของเขาก็สว่างวาบทันที แสงนั่นกลายเป็นมังกรเพลิง 2 ตัววนรอบแขนของเขา!
พวกมันรวมตัวกันกลายเป็นถุงมือคู่หนึ่งคลุมมือและท่อนแขนของเขาเอาไว้ ถุงมือกลายเป็นสีแดงเพลิง ส่องแสงเจิดจ้าออกมาเป็นเปลวไฟ
เฉียวฉู่กระแทกหมัดเข้าด้วยกัน มังกรเพลิงสีแดงพุ่งออกมาจากหมัดของเขา เข้าปกคลุมร่างไร้วิญญาณของคนจากวิหารฝูหัว ไฟโหมกระหน่ำลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที!
หมอกหนากระจายหายไป คลื่นความร้อนแผดเผาออกมาจากเปลวไฟ กลืนกินซากศพที่กองอยู่ในแอ่งเลือด
ในชั่วพริบตา ศพของคนมากกว่าร้อยคนถูกเผาจนแทบไม่เหลือซากภายใต้เปลวไฟที่โหมกระหน่ำ เหลือเพียงกองสีดำเล็กๆเท่านั้น
เฉียวฉู่ยกเลิกถุงมือที่แขนและลงนั่งยองๆบนพื้น ก่อนจะเป่ากองสีดำนั้นแรงๆ
กองสีดำนั้นกระจายออกเป็นผงลงไปที่ดินและโคลนที่ด้านล่างของผาสุดสวรรค์
เปลวไฟจางลง หมอกหนากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ลบล้างร่องรอยทั้งหมด ไม่มีใครรู้ว่าที่นี่วันนี้มีการเข่นฆ่ากันเกิดขึ้น
เมื่อแน่ใจว่าเก็บกวาดเรียบร้อย ร่างของเฉียวฉู่และฮัวเหยาก็กลายเป็นสายฟ้า 2 สาย พุ่งหายไปจากลานแท่งน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด เสี่ยวเจว๋อยู่ที่หน้าประตูซึ่งเปิดอ้าไว้ แอบยื่นหัวออกมาจากด้านหลัง ดวงตาสีแดงเข้มของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่มองดู “เด็กหญิง” ที่ชื่อ เย่เจี๋ย ซึ่งกำลังนั่งยองๆอยู่บนพื้น ทำความสะอาดห้องโถง
ร่างอ้วนกลมเล็กจิ๋วตามหลังเย่เจี๋ยพลางส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข ทันใดนั้นมันก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง จึงหันหน้าไปมอง และเห็นเสี่ยวเจว๋ซ่อนอยู่หลังประตู
“จี๊ด!” หนูนรกกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเย่เจี๋ยด้วยความตกใจ และซ่อนตัวในผมของเย่เจี๋ยพร้อมกับตัวสั่นงันงก ดวงตาสีดำของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะมองไปที่ใบหน้าไร้เดียงสาของเสี่ยวเจว๋
เสี่ยวเจว๋มองหนูนรกที่หวาดกลัว แต่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เขาแค่อ้าปากเล็กน้อย มุมปากมีรอยเปียกชื้นที่น่าสงสัยย้อยลงมา
“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าห้ามกินหนูนรก!” เสียงตะโกนอย่างไม่พอใจดังขึ้นจากด้านหลังของเสี่ยวเจว๋
เสี่ยวเจว๋กำลังจะหันกลับมา เขาก็โดนทุบหัวเข้าหนึ่งที เด็กน้อยเอามือกุมหัวด้วยความเศร้า มองเฟยเหยียนที่ยืนโกรธอยู่ข้างหลัง
ตอนที่ 1385 หน้ากากภูติไม้
“ฮึก……” เสี่ยวเจว๋น้ำตาคลอ
แต่เฟยเหยียนมีภูมิคุ้มกันต่อการแสดงแบบนี้แล้ว จิตวิญญาณของเด็กน้อยได้รับการฟื้นฟูจากของวิเศษทีละนิด ช่วงนี้สติของเขาชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าจะยังฟื้นฟูกลับมาได้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีการรับรู้ประมาณเด็กอายุ 5-6 ขวบแล้ว แต่ถึงจิตวิญญาณของเขาจะฟื้นฟูกลับมาในระดับหนึ่งแล้ว นิสัยตะกละของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด!
นับตั้งแต่เสี่ยวเจว๋ได้เห็นหนูนรกคายสมบัติออกมามากมายไม่สิ้นสุด ดวงตาของเขาเวลามองหนูนรกก็แปลกไป เมื่อไม่นานมานี้ เย่เจี๋ยที่เปลี่ยนร่างจากเย่กู ก็พบว่าหนูนรกของนางหายตัวไป เด็กหญิงที่แสดงออกไม่เก่งก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที
สุดท้าย หนูนรกก็ถูกดึงออกมาจากปากของเสี่ยวเจว๋โดยจวินอู๋เสีย
ตอนที่หนูนรกถูกดึงออกมา เจ้าตัวเล็กที่น่าสงสารหมดสติไปแล้วด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าหลังจากนั้นจวินอู๋เสียจะสั่งสอนเสี่ยวเจว๋อย่างเข้มงวดแล้ว แต่เสี่ยวเจว๋ก็ยังมองหนูนรกด้วยแววตาแปลกๆเหมือนเดิม
แววตาที่บอกอย่างโจ่งแจ้งอยู่ตลอดเวลาว่า “เจ้าดูน่าอร่อยมาก” แทบจะทำให้หนูนรกที่น่าสงสารเป็นบ้าไปแล้ว
“เก็บน้ำตาไปซะ มันไม่ได้ผลกับข้าหรอก” เฟยเหยียนดุ
เสี่ยวเจว๋ทำปากยื่นหน้าเศร้า
เย่เจี๋ยได้ยินเสียงของเฟยเหยียนจากในห้องโถงและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นิสัยของนางแตกต่างจากเย่กูที่ขี้หงุดหงิดอย่างมาก เย่เจี๋ยเป็นคนเก็บตัวมาก นางพูดมากกับจวินอู๋เสียตอนที่จวินอู๋เสียย้ายวิญญาณของนางไปอยู่ในร่างเจ้าแมวดำเท่านั้น เพราะนางเห็นจวินอู๋เสียเป็นร่างวิญญาณ คนจากเผ่าวิญญาณมีความใกล้ชิดกับวิญญาณมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการสื่อสารกับพวกเขา
แต่ถ้าให้เย่เจี๋ยพูดกับคนล่ะก็ สามวันคงได้แค่คำเดียว
เฟยเหยียนส่งสายตาขอโทษให้เย่เจี๋ย แล้วลากเสี่ยวเจว๋ออกไป
มันค่อนข้างแปลกทีเดียว ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด เย่กูที่เป็นผู้พิทักษ์สุสานต่อต้านพวกเขาแค่ครั้งเดียวในตอนแรกเท่านั้น จากนั้นก็กลายมาเป็นพวกเดียวกับพวกเขาซะอย่างนั้น บางครั้งที่เขาปรากฏตัวออกมา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทสนมกับเย่ฉาและเย่เหม่ยมาก
ทุกคนก็ดูเหมือนจะยอมรับเย่กูกับเย่เจี๋ยเข้าเป็นพวกเดียวกันอย่างไม่มีเงื่อนไข
เหตุผลก็ไม่มีอะไรนอกจากชื่อสกุลของพวกเขา—เย่
คนของกองทัพราตรีทั้งหมดใช้ชื่อสกุลว่า เย่ ในใจของผู้เยาว์ทุกคนที่นั่นเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้
“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าทึ่มเฉียวกลับมาแล้ว เสี่ยวเสียให้ข้ามาบอกพวกเจ้าให้ไปที่นั่น” ฟ่านจั๋วพูดยิ้มๆขณะเดินเข้ามา เขาตะโกนพูดกับเฟยเหยียนมาแต่ไกล
ในห้องโถงหลักของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ของวิเศษที่เคยมีอยู่เต็ม บัดนี้ลดจำนวนลงไปเล็กน้อย แม้ว่าจำนวนที่ลดลงไปนั้นยากจะสังเกตเห็น แต่ถ้าดูให้ดีๆแล้ว จะสามารถมองเห็นชั้นวางโครงกระดูกที่ว่างเปล่าอยู่ในนั้นสองสามชั้น
ภายในห้องโถงที่กว้างขวางนั้น ร่างเล็กๆยืนอยู่ข้างชั้นวางโครงกระดูกสีขาว นั่นเป็นร่างที่งดงามของหญิงสาว แม้ว่าจะถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อผ้า แต่ก็ไม่สามารถซ่อนส่วนโค้งส่วนเว้าที่หญิงสาวพึงมีได้
บนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นมีหน้ากากสีเงินอยู่ ทั้งสองด้านของหน้ากากแกะสลักอักษรรูนที่เป็นสัญลักษณ์ของพลังชีวิตเอาไว้อย่างประณีต
“เสี่ยวเสีย! เรากลับมาแล้ว!” ร่างหนึ่งที่กระตือรือร้นมากเข้ามาในห้องโถงใหญ่
หญิงสาวที่ยืนอยู่ในห้องโถงค่อยๆถอดหน้ากากออก ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นงดงามจนทำให้คนที่มองถึงกับลืมหายใจ หน้ากากที่หญิงสาวคนนั้นถอดออกกลายเป็นแสงอยู่ในมือนางและค่อยๆหดเล็กลงเปลี่ยนเป็นต่างหู จากนั้นหญิงสาวก็ใส่มันไว้ที่หูของนาง
ต่างหูเล็กๆอันนั้น หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ หน้ากาก ที่เรียกว่า หน้ากากภูติไม้
ตอนที่ 1386 ออกจากการเก็บตัว
มันเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดของวิเศษที่ถูกฝังลงในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด จวินอู๋เหยาใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆในการเลือกกว่าจะเจอของวิเศษแบบถาวรชิ้นนี้ซึ่งเหมาะสมกับจวินอู๋เสียมากที่สุด
จวินอู๋เสียที่สวมต่างหูนี้ เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนแล้ว ร่างของนางสูงขึ้นเพรียวขึ้น ใบหน้างดงามมากขึ้น นางยืนเอามือห้อยลงข้างตัวขณะหันไปมองเฉียวฉู่กับฮัวเหยาที่กลับมา ดูงดงามราวกับภาพวาด
ในเวลาหนึ่งปี ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนฟ้าดินขึ้นกับพวกผู้เยาว์กลุ่มนี้ และนี่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
“ฮ่าๆ คราวนี้มีร้อยกว่าคนแน่ะ ทุกคนถูกข้ากับพี่ฮัวกำจัดในทันที! ความรู้สึกแบบนี้มันสุดยอดเกินบรรยายเลย!” เฉียวฉู่พูดด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว
ย้อนกลับไปในช่วงแรกที่พวกเขาถูกสิบสองวิหารตามล่า ต้องซ่อนตัวและอยู่อย่างยาจก มีความแค้นฝังลึก แต่ไม่สามารถล้างแค้นให้พ่อแม่และครอบครัวได้ ตอนนี้พวกเขามีพลังที่ใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตแล้ว! ความรู้สึกที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้นั้น ทำให้พวกเขาดีอกดีใจมากจนต้องโห่ร้องออกมา
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้สนใจความตื่นเต้นของเฉียวฉู่มากนัก
พวกเขาฝึกฝนกันหนักมากตลอดปีที่ผ่านมา ฝึกกันจนไม่ได้หลับได้นอน ครึ่งปีที่กินกันแต่น้ำค้างและผลไม้ ก็เพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ?
ฮัวเหยามองเฉียวฉู่ที่ตื่นเต้นอย่างมากด้วยสายตาจนปัญญา
ไม่นาน เฟยเหยียน ฟ่านจั๋ว และหรงรั่วก็วิ่งเข้ามาเช่นกัน พวกผู้เยาว์ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“หยุดเลย! ข้าไม่อยากฟังเจ้าพล่าม!” เฟยเหยียนพูดขึ้นทันทีที่เห็นเฉียวฉู่กำลังจะเปิดปากและกระโดดด้วยความตื่นเต้น บอกอย่างเด็ดขาดเลยว่าเขาไม่อยากฟังเฉียวฉู่โม้
เฉียวฉู่ทำปากคว่ำ
ฮัวเหยาก้าวออกมาและพูดว่า “ออกไปข้างนอกครั้งนี้ สิบสองวิหารได้เพิ่มจำนวนคนที่ส่งลงมาข้างล่างเยอะมาก และทุกคนก็มาจากอาณาจักรกลาง นั่นค่อนข้างแปลกอยู่นะ”
สิบสองวิหารรู้ถึงอันตรายที่ผาสุดสวรรค์ เพื่อรักษาพลังอำนาจของพวกเขาไว้ พวกเขาจึงมักจะใช้เบี้ยในอาณาจักรล่างให้มาเสี่ยงตายแทน แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่พวกเขาออกจากการเก็บตัวฝึกพลัง และรับหน้าที่แทนเย่ฉากับเย่เหม่ย พวกเขาก็ค้นพบว่าไม่มีคนจากอาณาจักรล่างมาที่ผาสุดสวรรค์อีกเลย ในกลุ่มคนที่พวกเขาโจมตี ทั้งหมดเป็นคนจากอาณาจักรกลาง และจำนวนคนก็เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เจอ
“สิบสองวิหารไม่ได้ใช้ประโยชน์จากอาณาจักรล่างแค่วันสองวัน ทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนวิธีแบบไม่มีเหตุผลอย่างนี้? ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะเกิดรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา ไปถามพวกพี่เย่ฉาเรื่องนี้ พวกเขาก็บอกว่าพวกเขาไม่เห็นคนจากอาณาจักรล่างมาที่ผาสุดสวรรค์ตั้งแต่เมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว” ฮัวเหยาพูดอย่างระมัดระวังเล็กน้อย
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาเก็บตัวฝึกพลังและตัดขาดจากโลกภายนอก พื้นที่เคลื่อนไหวของพวกเขาในตอนนี้มีแค่ที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์เท่านั้น
ตั้งแต่สิบสองวิหารค้นพบว่าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดอยู่ที่ไหน พวกเขาก็เริ่มกระจายข่าวเกี่ยวกับผาสุดสวรรค์ในอาณาจักรล่าง แต่ละวิหารต่างใช้กลุ่มอำนาจในอาณาจักรล่างเป็นเบี้ย ถ้าพวกเขายังไม่ได้ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอนของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด สิบสองวิหารก็จะไม่เสียสละคนของตัวเอง และทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาลดลง โดยไม่ใช้ประโยชน์จากลูกแกะบูชายัญของพวกเขาในอาณาจักรล่างแบบนี้หรอก
จวินอู๋เสียหรี่ตา นางตระหนักถึงสิ่งที่ฮัวเหยาพูดถึงอยู่แล้ว ถึงได้บอกให้ฮัวเหยาคอยดูเรื่องนี้ในการออกล่าครั้งนี้
“ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในอาณาจักรล่างหรืออาณาจักรกลาง ถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้” จวินอู๋เสียก้มหน้าคิด ดวงตาส่องประกายเย็นชา
“พวกเจ้าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” นางถามขึ้น
พวกของเฉียวฉู่มองหน้ากัน เข้าใจแทบจะทันทีว่าจวินอู๋เสียพูดถึงอะไร พวกเขารีบตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว! เราทุกคนพร้อมลงมือทุกที่ทุกเวลา!
สายตาของจวินอู๋เสียย้ายจากพวกเพื่อนๆไปที่จวินอู๋เยาว์ ซึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้ และตอนนี้ก็ยืนอยู่ตรงประตู มุมปากของนางยกยิ้มบางๆ ขณะที่นางพูดอย่างเด็ดขาดว่า
“ถึงเวลาที่เราควรจะกลับไปแล้ว”
ตอนที่ 1387 โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่ (1)
ริมถนนเก่าแก่ในร้านน้ำชาเล็กๆที่ทรุดโทรม นักเดินทางหลายคนนั่งกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-3 คนที่โต๊ะของพวกเขา ขณะที่ดื่มกินเพื่อดับกระหายและให้อิ่มท้อง
ขบวนรถม้าวิ่งเข้ามาจอดที่ข้างถนน ผู้เยาว์ในชุดเสื้อผ้าสดใสกลุ่มหนึ่งก้าวลงมาจากรถม้า เทียบกับนักเดินทางคนอื่นๆที่เสื้อผ้าสกปรกมอซอจนถึงขั้นขาดรุ่งริ่งแล้วนั้น ผู้เยาว์ในชุดเสื้อผ้าสดใสและใบหน้าหล่อเหลากลุ่มนี้จึงโดดเด่นสะดุดตา
“ลูกค้าต้องการสั่งอะไรขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“เอาอะไรก็ได้มากินหน่อย แล้วก็น้ำกับน้ำชาด้วย” ผู้เยาว์ร่างผอมเล็กน้อยคนหนึ่งพูดขึ้นขณะนั่งลงพร้อมกับเพื่อนๆ
เพิ่งเข้าฤดูร้อน อากาศจึงค่อนข้างร้อน ร้านน้ำชาครึ่งร้านไม่มีหลังคา และหันเข้าหาพระอาทิตย์ตรงๆ อุณหภูมิที่ร้อนเหมือนเตาอบทำให้คนรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำ
“ร้อนจะตายอยู่แล้ว……ชักคิดถึงความหนาวเย็นก่อนหน้านี้แล้วซิ” เฉียวฉู่บ่นขณะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะ ดูเหมือนความร้อนจะทำให้ความชื้นในร่างของเขาระเหยไปหมด พวกเขาไม่ได้ก้าวออกจากผาสุดสวรรค์มาเป็นปี ความหนาวเย็นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์ ทำให้พวกเขาไม่สามารถแยกแยะฤดูกาลได้ พอออกมาจากที่นั่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงจากหนาวเป็นร้อนทำให้พวกเขาทนไม่ไหว
จวินอู๋เสียนั่งอยู่ตรงข้ามเฉียวฉู่ เพื่อให้สะดวกในการเดินทาง นางจึงปลอมตัวเป็นชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ไม่ได้ปกปิดโฉมหน้าตัวเองอีกต่อไป
“ทำไมข้ารู้สึกว่าที่นี่มันแปลกๆ?” เฟยเหยียนมองลูกค้าคนอื่นๆในร้านน้ำชา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของทุกคนสกปรกมาก ไม่มีสักคนที่สวมเสื้อผ้าดีๆเลย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ออกมาจากผาสุดสวรรค์เป็นเวลานาน และพื้นที่ที่พวกเขาอยู่ก็ค่อนข้างห่างไกล แต่พวกเขาก็ยังจำได้ว่าตอนที่พวกเขากลับมาที่นี่ ในละแวกใกล้เคียงนี้มีหมู่บ้านอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าเมืองต่างๆ แต่ก็ยังดูสะอาดและเรียบร้อยอยู่ไม่น้อย
แค่ไม่ถึงหนึ่งปี ผู้คนที่นี่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าของนักเดินทางดูซีดเซียว สีหน้าก็มึนตึงแฝงความกังวล ถ้าเฟยเหยียนต้องหาคำมาอธิบายพวกเขาล่ะก็ เขาคิดว่าคนพวกนี้ดูเหมือนผู้ลี้ภัยมากกว่า
“อาจเกิดความอดอยากขึ้นล่ะมั้ง” ฟ่านจั๋วพูดพลางถอนใจ
เสี่ยวเอ้อร์ที่นำอาหารมาให้ได้ยินคำพูดของฟ่านจั๋วเข้า เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ่านจั๋วกับเพื่อนๆทันที
“พวกท่านไม่ใช่คนท้องถิ่นหรือขอรับ?”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ?” เฟยเหยียนถามพร้อมกับเลิกคิ้ว
“ฮ่าๆ เราไม่ได้เกิดภาวะอดอยากขึ้นที่นี่ ข้าคิดว่าพวกท่านไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่ใช่ไหมขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ถาม
“หือ? เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ?” เฟยเหยียนถามอย่างสงสัย
“ในปีที่ผ่านมา โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่ขอรับ ไม่ต้องพูดถึงที่ห่างไกลของเราว่าอยู่กันลำบากลำบนเลย ขนาดในแคว้นใหญ่ๆ สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีกว่านี้มากนัก ข้าเห็นว่าพวกท่านแต่งตัวสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ไม่เหมือนกำลังหลบหนี จากทิศทางที่พวกท่านมา ดูเหมือนพวกท่านจะไปทางตะวันออก ขอข้าน้อยพูดอะไรสักนิดเถิด โปรดเชื่อข้า อย่าไปที่นั่น โลกนี้ไม่ได้สงบสุข ที่นี่ห่างไกล จึงปลอดภัยกว่า แต่ถ้าพวกท่านไปทางตะวันออกจนถึงชายแดนของแคว้นอื่น พวกท่านอาจต้องเจอปัญหาใหญ่” เสี่ยวเอ้อร์เห็นพวกจวินอู๋เสียแต่งตัวดี คิดจะเก็บเกี่ยวกำไรเพิ่มสักเล็กน้อย จึงพูดขึ้นอีกสองสามคำ
จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อย “โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่งั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ พวกท่านยังไม่รู้หรือ? มันเป็นแบบนี้มาหนึ่งปีแล้ว มีสงครามอยู่ทุกที่ ผู้ลี้ภัยก็หนีเอาชีวิตรอดไปทุกหนทุกแห่ง เห็นลูกค้าที่โต๊ะอื่นๆไหมขอรับ? พวกเขาเพิ่งหนีมาจากทางตะวันออก ตอนนี้ทางตะวันออกไม่ใช่สถานที่ที่ควรไป เมื่อก่อนทุกคนต่างอิจฉาคนที่อาศัยอยู่ในเมืองที่เจริญรุ่งเรือง แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนอยากหนีไปให้ไกล ในเมื่อพวกท่านไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย พวกท่านกลับไปจะดีกว่านะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์แนะนำ
ตอนที่ 1388 โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่ (2)
คำพูดของเสี่ยวเอ้อร์ทำให้พวกของจวินอู๋เสียตกตะลึง
เกิดสงครามทั่วทุกแห่งงั้นหรือ?
ก่อนที่จวินอู๋เสียจะออกเดินทางไปที่ผาสุดสวรรค์ อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์ในอาณาจักรล่างนั้นมั่นคงทีเดียว แคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเจริญรุ่งเรืองที่สุดอยู่ในกำมือของจวินอู๋เสีย แคว้นจิ้วที่ยิ่งใหญ่อันดับสองก็ถูกแบ่งมอบให้กับแคว้นฉีและแคว้นเฉียวซึ่งช่วยยกระดับอำนาจของพวกเขาขึ้นอย่างมาก จากนั้นจวินอู๋เสียก็ดึงทั้งสามแคว้นเข้ามาเป็นพันธมิตรกัน และด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสามแคว้นรวมกัน การนำความมั่นคงมาสู่ดินแดนทั้งหมดก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ นอกจากนั้น กลุ่มอำนาจอื่นๆอีกหลายกลุ่มก็ได้รับการช่วยเหลือจากจวินอู๋เสียเช่นกัน ดังนั้นด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ แผ่นดินก็ไม่น่าจะเกิดกลียุคขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งปี!
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พี่ชายเสี่ยวเอ้อร์ช่วยเล่าให้เราฟังอีกหน่อยได้ไหม? พวกเราเก็บตัวอยู่ในภูเขามานาน ไม่รู้สถานการณ์โลกตอนนี้เลย” ฟ่านจั๋วถามด้วยความกังวลเล็กน้อย เขาดึงเอาก้อนทอง 1 ก้อนออกมาวางลงบนโต๊ะ
เสี่ยวเอ้อร์ทำตาพองจมูกบานทันที มือของเขาสั่นระริกขณะหยิบก้อนทองขึ้นมาซ่อนในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงเวลาสั้นๆแค่ชั่วพริบตานั้น ก็เพียงพอจะดึงดูดสายตาของลูกค้าคนอื่นๆในร้านน้ำชาให้หันมาทางพวกเขาแล้ว
“ท่านลูกค้าอยากรู้อะไรขอรับ? ข้าน้อยจะบอกพวกท่านทุกอย่างเลย”
ฟ่านจั๋วเหลือบมองจวินอู๋เสีย หลังจากได้รับสัญญาณจากนาง เขาก็ถามขึ้นว่า “พี่เสี่ยวเอ้อร์บอกว่ามีสงครามเกิดขึ้นทุกที่ หมายความว่ายังไง? มีแคว้นไหนเริ่มสงครามงั้นหรือ?”
เสี่ยวเอ้อร์สั่นหัว “จะเป็นแค่แคว้นใดแคว้นหนึ่งได้ยังไงขอรับ ถ้าสงครามเกิดขึ้นเพราะแคว้นเดียวล่ะก็ คนทั้งโลกจะตกอยู่ในกลียุคแบบนี้ได้ยังไง? จริงๆแล้ว……” เสี่ยวเอ้อร์หยุดนิดนึงและมองไปรอบๆตัว เขากำก้อนทองในแขนเสื้อก่อนจะพูดเสียงเบาว่า
“ข้าได้ยินมาว่า เกิดโรคระบาดขึ้นในแคว้นต่างๆ ทำให้มีคนตายจำนวนมาก แต่เรื่องแปลกก็คือ คนที่เป็นโรคนี้ไม่ได้ตาย พวกเขากลับแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก แต่สูญเสียการรับรู้อย่างสิ้นเชิง กลายเป็นร่างที่ไร้จิตใจ รู้จักแต่การฆ่าราวกับถูกปีศาจครอบงำ ตอนแรกโรคระบาดนี้ปรากฏแค่ในแคว้นเล็กๆไม่กี่แคว้นเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันแพร่กระจายไปทั่วทุกแห่งได้อย่างไร คนที่ติดโรคกลายเป็นคนบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว ขนาดกองทัพของแคว้นเหล่านั้นก็ยังสู้ไม่ได้ ตอนนี้คนบ้าพวกนั้นกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ทั้งโลกจึงเกิดกลียุคขึ้น ข้าได้ยินว่าตอนนี้แคว้นเหยียนนำกองกำลังร่วมกับแคว้นฉีและแคว้นเฉียว พยายามจะควบคุมสถานการณ์อยู่”
“แต่สถานการณ์ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าทำไม คนบ้าพวกนั้นไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกปวด ไม่รู้จักความหวาดกลัว เอาแต่ฆ่าโดยไม่สนใจชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าใครรวบรวมคนบ้าพวกนี้เข้าด้วยกัน ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกมันกำลังเข้าต่อสู้กับกองกำลังพันธมิตรสามแคว้น สถานการณ์นี้กระจายไปยังแคว้นต่างๆหลายแคว้น ไม่มีแคว้นไหนปลอดภัย โรคระบาดดูเหมือนจะเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ วุ่นวายโกลาหลกันไปหมด”
“ที่นี่อยู่ไกลมาก เราเลยไม่ค่อยได้เห็นคนบ้าพวกนั้นบ่อยนัก แต่ถ้าพวกท่านไปทางตะวันออกมากกว่านี้ พวกท่านจะเจอมันง่ายขึ้น คนบ้าพวกนั้นกินคนและแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ พวกมันไม่สนใจว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือคนแก่ ไม่มีใครรอด น่ากลัวมากจริงๆขอรับ” คำอธิบายของเสี่ยวเอ้อร์มีรายละเอียดที่ชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้โกหก
พวกเฉียวฉู่พากันตกตะลึง สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาเคยเจอมาก่อน!
นั่นไม่ใช่โรคระบาด แต่เป็นคนพิษที่สร้างโดยวิหารจิตหวนคืน!!
ดวงตาของจวินอู๋เสียเปลี่ยนเย็นเยียบทันที นางไม่คิดเลยว่าหลังจากเก็บตัวฝึกฝนอยู่หนึ่งปี พวกเขาจะออกมาเจอโลกที่ตกอยู่ในกลียุคเช่นนี้!
เสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าใบหน้าของผู้ฟังกลายเป็นไม่น่าดูขึ้นมา เขาก็หดหัวถอยออกไปทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น