Genius Doctor Black Belly Miss 1375-1381

 ตอนที่ 1375  อู๋เหยา (1)


เมื่อเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยของวิเศษกระจัดกระจายไปทั่ว  เย่ฉากับเย่เหม่ยก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้  พวกเขาจำได้ว่าของวิเศษบางอย่างเป็นของชั้นเลิศ  แต่พวกมันกลับ……โดนนายท่านเจว๋โยนทิ้งเนื่องจากไม่ดีพอ


[นายท่านเจว๋ช่วยทำแบบคนปกติหน่อยได้ไหมขอรับ?]


[ถ้าทำตามมาตรฐานของนายท่าน  ชาติไหนถึงจะหาของวิเศษที่เหมาะสมเจอล่ะขอรับ?]


[ท่านไม่สังเกตหรือว่าคุณหนูไม่อยากยืนรอท่านแล้วนะขอรับ?]


สายตาของทั้งสองคนย้ายไปมองที่ชั้นวางโครงกระดูกอีกชั้นที่จวินอู๋เสียเดินผ่านไปโดยไม่ได้ตั้งใจ


ตอนแรกจวินอู๋เสียก็ยังยืนอยู่ข้างๆจวินอู๋เหยา  รอให้เขาเลือกของวิเศษให้นาง  แต่ในไม่ช้านางก็ตระหนักว่า……นางไม่ควรยืนรออยู่ตรงนั้นจะดีกว่า  เพราะมันต้องใช้เวลานานแน่ๆ


นางตัดสินใจที่จะเดินดูรอบๆห้องโถงด้วยตัวเอง  จวินอู๋เหยาเคยพูดว่าสมบัติวิเศษที่มีคุณสมบัติเหมือนกับจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง  จะให้ความรู้สึกที่ประสานเข้ากันได้เมื่อสัมผัสมัน  แม้ว่านางจะไม่สามารถระบุการใช้ของวิเศษนั้นได้  แต่อย่างน้อยนางก็สามารถทดสอบปฏิกิริยาจากของวิเศษต่างๆได้


จวินอู๋เสียมีความเชี่ยวชาญในการใช้พลังวิญญาณอย่างมาก  นางแค่ต้องเรียกพลังขึ้นมานิดหน่อย  แล้วสัมผัสของวิเศษพวกนั้น  นางก็จะรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาจากพวกมัน


อย่างเช่นของวิเศษธาตุไฟ  เมื่อนางสัมผัสมัน  ฝ่ามือของนางจะรู้สึกแสบร้อน  ขณะที่สายฟ้าจะทำให้เจ็บแปลบเล็กน้อย  และธาตุน้ำทำให้นางรู้สึกเย็นยะเยือก……


จวินอู๋เสียอยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำ  นางจึงเดินดูไปรอบๆ  เสี่ยวเจว๋คว้าเครื่องประดับหยกจำนวนหนึ่งมาเคี้ยวอย่างมีความสุข  พร้อมกับทำตัวเป็นหางเล็กๆติดสอยห้อยตามจวินอู๋เสีย  ดวงตาสีแดงเข้มของเขาจ้องมองของวิเศษบนชั้นจนตาแทบจะถลนออกมาแล้ว


ถ้าบอกว่าในหินหยกมีพลังวิญญาณอยู่จำนวนหนึ่งที่ล่อหยกกล่อมวิญญาณได้  งั้นของวิเศษทั้งหมดที่บรรจุพลังมหาศาลพวกนี้ก็ไม่ต่างจากอาหารชั้นเลิศสำหรับเสี่ยวเจว๋  และเขาก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางพวกมัน  แม้ว่าเขาจะเคี้ยวหินหยกไปด้วย  แต่น้ำลายของเขาก็ยังไหลออกจากมุมปากอย่างช่วยไม่ได้  หลังจากที่จวินอู๋เสียได้เตือนเขาก่อนหน้านี้  เขาก็ไม่กล้าเดินไปรอบๆและ “จิน” ตามอำเภอใจอีก  ด้วยกลัวว่าจะทำให้จวินอู๋เสียไม่พอใจ  ดังนั้นเพื่อลดความตะกละของตัวเอง  เขาจึงเดินตามหลังจวินอู๋เสียอย่างใกล้ชิด  ใช้ภาพด้านหลังของนางเป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง


สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ  แต่ทำให้จวินอู๋เสียรู้สึกขำอย่างช่วยไม่ได้


นางก็ไม่ได้จะว่าหรอกถ้าเสี่ยวเจว๋จะคว้าของวิเศษมากิน  แต่นางก็ไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดผลกระทบกับเสี่ยวเจว๋ยังไงบ้าง


มันจะดีหรือไม่ดีสำหรับเขา  นางไม่สามารถตัดสินได้จริงๆ


แต่เมื่อเห็นสายตาที่น่าสงสารของเด็กน้อย  ใจของจวินอู๋เสียก็อ่อนยวบ


“มานี่”  จวินอู๋เสียยื่นมือข้างหนึ่งไปตรงหน้าเสี่ยวเจว๋


เสี่ยวเจว๋กระพริบตามองมือของจวินอู๋เสียที่ยื่นมาตรงหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วก็เอื้อมมือไปจับอย่างอายๆ


จวินอู๋เสียพาเสี่ยวเจว๋มาตรงหน้าจวินอู๋เหยาที่ยืนอยู่ท่ามกลางของวิเศษที่เขาโยนทิ้งไว้เกลื่อนกลาด


“อู๋เหยา”


“หืม?”  จวินอู๋เหยาตอบโดยไม่ได้คิด  หัวของเขายังจมอยู่ท่ามกลางของวิเศษทั้งหลาย  ขณะที่ค้นหาของที่ “เหมาะ” กับจวินอู๋เสีย  แล้วจู่ๆเขาก็ได้ยินจวินอู๋เสียเรียกเขา  แต่วินาทีต่อมานั้นเอง  สีหน้าของเขาก็กลายเป็นประหลาดใจทันที


[นางเรียกเขาว่าอู๋เหยาเหรอ?]


[ไม่ใช่พี่ใหญ่แล้วเหรอ?]


การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้นทำให้จวินอู๋เหยารู้สึกเหมือนมีลูกแมวกำลังใช้อุ้งเท้าเล็กๆข่วนเบาๆที่หัวใจของเขา  ทำให้เกิดความรู้สึกจั๊กจี้ที่น่าเบิกบานใจ  เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสดใสของจวินอู๋เสีย  แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


“ของวิเศษของข้าพักไว้ก่อนชั่วคราวก็ได้  ท่านช่วยเสี่ยวเจว๋ดูหน่อยได้ไหมว่ามีของที่เหมาะกับเขารึเปล่า?”  จวินอู๋เสียมองจวินอู๋เหยา  และเห็นสีหน้าแปลกๆบนใบหน้าของเขา


ตอนที่ 1376  อู๋เหยา (2)


จวินอู๋เหยามองจวินอู๋เสียโดยไม่พูดอะไรสักคำ  ดวงตาของเขาเบิกกว้างเล็กน้อย  เหมือนเขายังไม่หายจากอาการตกใจ


จวินอู๋เสียเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองดูสีหน้าที่หาดูได้ยากของจวินอู๋เหยา  แล้วพบว่ามันน่าขำมาก  นางขยับตัวไปข้างหน้าและเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบเร็วๆที่มุมปากของเขา


“มัวยืนงงอะไรอยู่?”  น้ำเสียงของนางแฝงแววหัวเราะเล็กน้อย


ด้วยเหตุนี้  จวินอู๋เหยาไม่เพียงช็อคไม่หาย  แต่กลับแข็งทื่อมากกว่าเดิม


เย่ฉากับเย่เหม่ยทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว  พวกเขาต่างเอามือปิดหน้า  ขณะที่เย่กูจ้องค้างอย่างตกตะลึง  สีหน้าเหลือเชื่ออย่างที่สุด


[นายท่านเจว๋……นายท่านเจว๋……ถูกยัยเด็กนั่น……เอาเปรียบ!!!]


“ไม่เต็มใจเหรอ?”  จวินอู๋เสียถามอย่างล้อเลียนเมื่อเห็นว่าจวินอู๋เหยายังคงยืนแข็งทื่อไม่เลิก


ในที่สุดจวินอู๋เหยาก็ได้สติกลับมา  เขาเอื้อมมือไปโอบรอบเอวของจวินอู๋เสียและดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดของเขา


“เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?  พูดอีกครั้งซิ”  เขาทำสายตาร้อนแรงราวกับมีลูกไฟลุกโชนอยู่ในดวงตาของเขา


“อู๋เหยาน่ะหรือ?  ทำไม?  ไม่ชอบหรือ?”  ดวงตาจวินอู๋เสียเป็นประกายเจ้าเล่ห์  ปกติเห็นจวินอู๋เหยานิ่งสงบมั่นคงเหมือนเขาไท่ซานพร้อมกับรอยยิ้มร้าย  การที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้บ้างทำให้นางรู้สึกว่ามันน่าสนใจทีเดียว


ได้เห็นอารมณ์ของเขาขึ้นๆลงๆเพราะนาง  ทำให้จวินอู๋เสียรู้สึกถึงความสำเร็จที่น่าพอใจ  ควบคู่ไปกับความหวานเล็กน้อยในหัวใจด้วย


[เอาล่ะ  นางต้องยอมรับ  ดูเหมือนนางจะติดนิสัยไม่ดีมาซะแล้ว]


จวินอู๋เหยาสูดหายใจเข้าลึกๆ  ขณะที่จวินอู๋เสียยังไม่ทันได้ตั้งตัว  เขาก็ก้มหน้าลงมาจูบที่ปากเล็กๆของนางซึ่งกำลังยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย


จูบที่ลึกซึ้งและดื่มด่ำได้สูบเอาอากาศออกจากปอดของพวกเขา  จวินอู๋เหยาต่อสู้กับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างหนักก่อนที่สถานการณ์จะเลยเถิดควบคุมไม่ได้


เขารู้ว่าจวินอู๋เสียสำคัญมากแค่ไหนในใจเขา  และเข้าใจว่านางแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง  แต่เขาคิดไม่ถึงว่าแค่คำเรียกขานก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตด้วยความรู้สึกเต็มตื้นได้ถึงขนาดนี้


เขานี่ช่างเอาใจง่ายซะจริงๆ


ความรู้สึกของเขาที่มีต่อจวินอู๋เสีย  เป็นสิ่งที่จวินอู๋เหยาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันพัฒนาจนมาเป็นแบบทุกวันนี้ได้อย่างไร


ในตอนแรก  เขาถูกปิดผนึกมานานเกินไป  และถูกตัดขาดคนทั้งโลกโดยสิ้นเชิง  ไม่สามารถจำได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบคนอื่นนั้นมันนานแค่ไหนแล้ว  จนกระทั่งเด็กน้อยคนนี้ปรากฏตัวขึ้น  จวินอู๋เสียในตอนนั้นอยู่ในสภาพที่เลวร้ายที่สุดที่เขาเคยเห็น


นางสกปรกไปหมดทั้งตัว  แม้แต่ใบหน้าเล็กๆก็เปื้อนจนไม่สามารถมองเห็นหน้าของนางได้อย่างชัดเจน  เห็นได้ชัดว่านางกำลังใกล้จะตาย  แต่ก็ยังใจเย็นพอที่จะเจรจากับเขา คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ได้อย่างสงบ


จวินอู๋เหยาจำไม่ได้แล้วว่าคนสุดท้ายที่กล้าพูดกับเขาตายไปนานแค่ไหนแล้ว


อาจเป็นเพราะถูกขังมานานเกินไป  แต่เขาก็ยอมรับและทำตามข้อตกลง  ส่งเด็กน้อยกลับไปที่วังหลินอ๋องอย่างปลอดภัย


จวินอู๋เหยาในตอนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดกับจวินอู๋เสีย  ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นแบบแลกเปลี่ยนที่ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน  ในเวลานั้นจวินอู๋เหยาต้องการตัวตนและที่พักพิงชั่วคราว  เขาจึงเข้าไปอยู่ในวังหลินอ๋องในฐานะจวินอู๋เหยา


แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า  การตัดสินใจแบบไม่ใส่ใจเพียงครั้งเดียวของเขาในตอนนั้น  จะเปลี่ยนทุกอย่างในอนาคตของเขา


ตอนแรกเขาแค่แกล้งเด็กน้อยที่เย็นชาเกินไป  เหมือนกับว่าเขาได้เจอของเล่นชิ้นใหม่  และเขายังช่วยนางเหมือนที่คนเอาใจสัตว์เลี้ยง  ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การล้อเล่นของเขาเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัว  กลายเป็นความรู้สึกแบบที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน


ตอนที่ 1377  อู๋เหยา (3)


เวลาเห็นนางขมวดคิ้ว  เขาก็จะปวดใจ  เวลาเห็นนางดื้อรั้น  เขาก็จะรู้สึกหมดหนทาง


นั่นเป็นครั้งแรกที่จวินอู๋เหยาได้รู้ว่าความรู้สึกของเขาได้รับผลกระทบจากคนอื่น  และความรู้สึกพวกนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อน  ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี


ดังนั้น  เขาจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับจวินอู๋เสียชั่วคราว  แต่เขาก็เป็นห่วงความปลอดภัยของนาง  จึงทิ้งเย่ฉาเอาไว้ให้อยู่ข้างกายนาง  คอยปกป้องนาง


จนกระทั่งที่หุบเขาเมฆา  ตอนที่เย่ฉาระเบิดตัวเอง  และจวินอู๋เสียพบกับอันตราย


พอเขาสัมผัสได้  เขาก็อยากจะวิ่งเข้ามาอยู่ข้างกายนางในทันทีที่ทำได้จนแทบทนไม่ไหว


ความรู้สึกสับสนเหล่านั้นเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ไม่ได้รับการควบคุม  มันพลุ่งพล่านเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้


จนกระทั่งเขาได้เห็นนางและโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน  เขาถึงได้รู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


นับจากนั้นเป็นต้นมา  จวินอู๋เหยาก็เลิกห้ามตัวเอง  และยอมรับความรู้สึกที่เขามีต่อนาง  ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม


เขาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะปกป้องเด็กน้อยของเขา


ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  เขาก็ไม่อยากหนีอีกต่อไปแล้ว


จวินอู๋เหยาอาจจะยังไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นเรียกว่าอะไร  แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับเขามาก  นั่นคือ  เขาอยากอยู่กับเด็กน้อยของเขา  ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไร  เขาอยากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนาง  ใช้ทุกสิ่งที่เขามีเพื่อปกป้องนาง


เขาไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นคืออะไร  แต่เขารู้  อักษรสามตัวที่อ่านว่า จวินอู๋เสีย กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา  ประทับอยู่ในตัวเขาตลอดชั่วนิรันดร์


ความคิดทั้งหมดหมุนวนอยู่ในใจเขาด้วยความเร็วแสง  ในที่สุดจวินอู๋เหยาก็ถอนริมฝีปากออก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  ถ้าทำได้เขาอยากจะให้ช่วงเวลานั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด


“ข้าชอบให้เจ้าเรียกอย่างนั้น”


อู๋เหยา  ชื่อของเขา  ไม่ว่าในอดีตเขาจะเป็นใคร  นับจากนี้เป็นต้นไป  เขาคือจวินอู๋เหยา  จวินอู๋เหยาที่เป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว


เขายอมทิ้งโลกทั้งใบเพื่อเป็นคนเดียวในใจนาง


แก้มทั้งสองข้างของจวินอู๋เสียเป็นสีชมพูระเรื่อ  แต่นางไม่ได้แสดงอาการเขินอายใดๆ  ขณะที่มองจวินอู๋เหยาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าจะหัวเราะอย่างไร  แต่ตอนนี้นางเริ่มคุ้นเคยกับการยิ้มให้เขาแล้ว


พวกเขาสองคนเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องพูด  บางคำไม่จำเป็นต้องพูดออกมา  ก็เข้าใจกันและกันแล้ว


คำกระซิบหวานหูหรือคำมั่นสัญญาถึงความรักชั่วนิรันดร์  ยังคงเทียบไม่ได้กับสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างหัวใจสองดวง


เมื่อความรู้สึกลึกซึ้งถึงขนาดนี้  คำพูดคำเดียวก็เป็นคำที่ไพเราะที่สุดแล้ว


“ถ้าท่านชอบ  ก็ช่วยหาของให้เสี่ยวเจว๋หน่อยซิ”  จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้น  เอาเปรียบนางไปแล้ว  ยังไม่ตอบแทนในส่วนของเขากลับมาอีกหรือ?


จวินอู๋เหยาหัวเราะเบาๆ  สีหน้าของจวินอู๋เสียมีการแสดงมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเทียบกับท่าทางเย็นชาของนางในตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก  ตอนนี้ดูน่าสนใจขึ้นมาก  และสิ่งที่เขาดีใจที่สุดก็คือ  เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในตัวนางด้วยตาของตัวเอง


[โชคดี……]


[ที่ไม่ได้พลาดไป]


“ข้าน้อยรับคำสั่งคุณหนูขอรับ”  จวินอู๋เหยาแกล้งล้อเลียนจวินอู๋เสีย  เขาทำหน้าเคร่งขรึมราวกับกำลังรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง


เย่กูแทบกระอักเลือดออกมาจากภาพที่เห็น  เขาตะลึงค้างไปทั้งตัวแล้ว


เย่ฉากับเย่เหม่ยตบบ่าเย่กูด้วยความเห็นใจ


[เดี๋ยวเขาก็ชินเองแหละ]


หลังจากได้รับ “กำลังใจ” จากจวินอู๋เสีย  จวินอู๋เหยาก็หยุดหาของวิเศษที่เหมาะสมสำหรับจวินอู๋เสีย  และหันไปมองเสี่ยวเจว๋ที่ยืนหัวหดอยู่ข้างๆ


เสี่ยวเจว๋กลัวจวินอู๋เหยาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว  เขาไม่กล้าขยับตัวมากเกินไปเมื่อเห็นจวินอู๋เหยาอยู่ตรงหน้า  ภาพของเด็กน้อยที่ยืนหวาดกลัวทำให้คนที่เห็นรู้สึกอยากโอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนเพื่อปลอบโยนเขา


น่าเสียดายที่อ้อมกอดของจวินอู๋เหยามีไว้ให้จวินอู๋เสียเพียงคนเดียวเท่านั้น


“หยกกล่อมวิญญาณเป็นของวิเศษที่ใช้ฟื้นฟูจิตวิญญาณ  แต่ที่นี่มีของที่ดีกว่านั้น  เจ้าหนู  วันนี้ข้าอารมณ์ดี  เพราะงั้นข้าจะเลือกของดีให้เจ้า”  จวินอู๋เหยาหัวเราะ  น้ำเสียงของเขาราวกับกำลังบอกทุกคนว่า  วันนี้เขาอารมณ์ดีมากจริงๆ!


ตอนที่ 1378  อู๋เหยา (4)


เสี่ยวเจว๋ไม่กล้าแม้แต่จะพูด  เขามองไปที่จวินอู๋เหยาเหมือนกำลังจะร้องไห้


ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดมีของวิเศษทุกประเภทมากมายเกินกว่าจะนับได้


จวินอู๋เสียไม่ได้คิดแค่ให้เสี่ยวเจว๋ฟื้นตัวเท่านั้น  ยังมีอีก 2 คนที่นางกังวลอยู่ในใจไม่แพ้กัน


คนหนึ่งคือ จวินกู้ พ่อของนางที่หยกกล่อมวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งได้รักษาร่างกายของเขาเอาไว้


ส่วนอีกคนก็คือ เยี่ยนปู้กุย อาจารย์ของนางที่สำนักหงส์เพลิง


นางไม่มีวิธีทำให้จวินกู้ฟื้นขึ้นมาได้  จึงได้ตั้งความหวังไว้กับจวินอู๋เหยาในการค้นหาของวิเศษเพื่อการนี้  ในส่วนปัญหาของเยี่ยนปู้กุยนั้นแก้ไขได้ง่ายกว่ามาก


ก่อนที่นางจะเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่แห่งนี้  จวินอู๋เสียสังเกตเห็นว่าหลังประตูหลายบานที่พวกเขาเดินผ่านไป  มีสมุนไพรและยาเป็นจำนวนมากที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี  สมุนไพรหลายชนิดเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน  และบางชนิดนางจำได้ว่าเป็นพันธุ์ที่มีค่าสูงและเป็นที่ต้องการอย่างมาก  และยังมีอีกหลายชนิดที่เยี่ยนปู้กุยต้องการ


ก่อนหน้านี้นางไม่มีเวลาดูพวกมันอย่างละเอียด  เนื่องจากพวกเขายังค้นหาของวิเศษกันอยู่  แต่ตอนนี้นางมีเวลาว่างไปตรวจสอบพวกมันแล้ว


จากนั้นจวินอู๋เสียก็ก้าวเท้าออกจากห้องโถงใหญ่  จวินอู๋เหยาเหลือบมองไปที่เย่ฉากับเย่เหม่ย  ทั้งสองคนคว้าแขนเย่กูขึ้นมาทันทีและวิ่งไปหาจวินอู๋เสีย


“คุณหนู!  ท่านกำลังจะไปไหนขอรับ?”  เย่ฉาถามด้วยความเคารพ


“ไปหาสมุนไพร”  จวินอู๋เสียมองไปที่เย่กูซึ่งถูกเย่ฉากับเย่เหม่ยจับไว้  ร่างกายของเขาเป็นเด็กอายุ 12 ปี  เย่ฉากับเย่เหม่ยร่างสูงใหญ่  ถูกสองคนนี้จับเอาไว้  เท้าของเย่กูจึงไม่ได้แตะพื้นเลย


“แค่ก  เราจะไปกับท่านด้วย  ที่นี่ใหญ่โต  พาเขามากับเรา  คุณหนูจะหาของได้สะดวกกว่าขอรับ”  เย่เหม่ยพูด


จวินอู๋เสียมองทั้งสามคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


พวกเขาเดินออกจากห้องโถงใหญ่ได้ไม่นาน  เย่เหม่ยก็เริ่มถามว่าจวินอู๋เสียต้องการหาสมุนไพรชนิดใด  จากนั้นก็แอบบอกให้เย่กูชี้ทางให้  เพื่อจะให้จวินอู๋เสียหาได้ง่ายขึ้น


จวินอู๋เสียและทั้งสามคนออกมานอกห้องโถงแล้ว  และกำลังยืนอยู่ที่ทางเดิน  เมื่อเห็นความเอาใจใส่ที่เย่ฉาและเย่เหม่ยมีต่อนางแล้ว  จวินอู๋เสียก็หยุดฝีเท้าในทันที


เย่ฉากับเย่เหม่ยก็หยุดเช่นกัน  พวกเขาไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียต้องการทำอะไร


จวินอู๋เสียหันกลับมามองทั้งสามคน  แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า  “ปล่อยเขาลง”


“ฮะ?”  เย่เหม่ยตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าจวินอู๋เสียกำลังพูดถึงเย่กู


เย่ฉากลับพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมจริงจังว่า  “คุณหนูขอรับ  เจ้านี่แข็งแกร่งมาก  ถ้าปล่อยเขา  แล้วเขากลับคำขึ้นมา  ข้าเกรงว่า……”


จวินอู๋เสียมองเย่ฉาอย่างเย็นชา  เย่ฉาหุบปากทันที


“ถ้าเขากลับคำพูดจริงๆ  เจ้าสองคนก็หยุดเขาไม่ได้อยู่ดี”  จวินอู๋เสียพูด


สีหน้าตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่ฉาและเย่เหม่ยทันที


[คุณหนูมองออกได้ยังไง?]


“ไม่เป็นไร  ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้ว  ไม่จำเป็นต้องแสดงละครแล้ว  ปล่อยเขาลง  จะได้เดินเร็วขึ้น”  จวินอู๋เสียพูดอย่างเสียไม่ได้  หลังจากเข้ามาในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด  นางก็รู้สึกว่าสติปัญญาของนางโดนดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า


เย่ฉาและเย่เหม่ยตกใจกับคำพูดของนาง  แม้ว่าพวกเขาจะเดาว่าจวินอู๋เสียรู้ตัวจริงของนายท่านเจว๋แล้ว  แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจนัก


แต่ด้วยคำพูดที่เพิ่งออกจากปากจวินอู๋เสียนี้  สิ่งที่พวกเขาเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้รับการยืนยันทันที


[คุณหนูรู้แล้วแน่นอน!]


“ไอ้เวรสองตัวนี้นี่!  ยังจับข้าไว้ทำไม!?  ถ้ายังอยากแสดงละครโง่ๆต่อ ก็ทำกันเอง!  ไม่ต้องลากข้าเข้าไปด้วย!”  เย่กูรู้ว่าการแสดงของเขาถูกมองออกแล้ว  เขาก็ยกเท้าเตะไปที่ด้านหลังของเย่ฉาและเย่เหม่ยทันที!  จากนั้นก็ลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคงพร้อมกับมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยสีหน้าหงิกงอ


ตอนที่ 1379  เริ่มการล่า (1)


ที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์มีเลือดไหลชุ่มพื้นดิน  ภายใต้หมอกหนาที่เย็นยะเยือก  มีผู้คนที่นอนตายอยู่ในแอ่งเลือดมากมายเกินกว่าจะนับได้


หลังจากที่เพิ่งต่อสู้ครั้งใหญ่  คนกลุ่มหนึ่งยืนหอบหายใจหนักอยู่ภายใต้หมอกหนา  มองดูกันและกันภายใต้แสงจากบอลเพลิงวิญญาณที่พวกเขาถืออยู่ในมือ


กลุ่มคนและม้ามีจำนวนเกินร้อย  บนร่างของทุกคนมีแสงสีม่วงจากพลังวิญญาณของพวกเขาหมุนวนอยู่  การต่อสู้ครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ทำให้พลังของพวกเขาหมดไปพอสมควร  และตอนนี้การต่อสู้ได้จบลงแล้ว  ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสได้พักหายใจหายคอซะที


“ไอ้พวกสมควรตาย  วิหารจิตหวนคืน  วิหารปีศาจเพลิง……พวกมันบ้ากันไปหมดแล้ว  ส่งคนมาที่อาณาจักรล่างกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า  ทำเหมือนไม่มีใครรู้ว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ในใจ”  หัวหน้าคนพวกนั้นพูดขึ้นขณะขมวดคิ้วจ้องมองพื้นรอบๆที่เต็มไปด้วยศพ  กลุ่มของเขาเพิ่งลงมาจากผาสุดสวรรค์ก็เจอเข้ากับคนกลุ่มอื่นที่มาจากวิหารอื่น  คนต่างกลุ่มเข้าปะทะกัน  ความตั้งใจของพวกเขาชัดเจนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ


“ช่วงนี้อาณาจักรล่างวุ่นวายโกลาหล  ข้าได้ยินว่าเบี้ยที่วิหารอื่นๆวางไว้ในอาณาจักรล่างถูกขุดรากถอนโคนโดยใครบางคน  แผนที่ที่ฝากไว้ที่อาณาจักรล่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย  พวกเขาจะไม่วิตกกังวลได้ยังไง?”  ชายอีกคนพูดไปหอบไป


ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ  หากพวกเขาเจอกับคนวิหารอื่นจากสิบสองวิหาร  อย่างมากพวกเขาก็แค่พูดจาเหน็บแนมดูถูกกันเล็กน้อย  ก่อนจะหาข้ออ้างแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง


แม้ว่าวัตถุประสงค์ของพวกเขาจะเหมือนกัน  แต่การที่พวกเขาจะหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดได้นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองทั้งหมด


ถึงยังไงวิหารต่างๆก็มีระดับพลังที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน  หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน  พวกเขาก็คงไม่สู้กัน


แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว


“เฮ้  เจ้าจำได้ไหมว่าเจ็ดวิหารนั่นหยิ่งผยองแค่ไหนตอนที่พวกมันได้แผนที่ไป?  คิดว่าได้เบาะแสใหญ่แล้ว  จะสามารถหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเจอก่อนคนอื่น  แต่หลายปีผ่านไป  พวกมันเจออะไรบ้าง?  แผนที่ที่พวกมันส่งไปอาณาจักรล่างได้หายไปแล้ว  และพวกมันก็สงสัยพวกเราที่เหลือ  ไร้สาระสิ้นดี  ตัวเองไม่มีความสามารถ  ก็ไม่ควรลากคนอื่นลงน้ำ  คิดว่าจะชี้นิ้วใส่ทุกคนได้  พวกมันคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพันรึไง?”  หัวหน้ากลุ่มกระอักเลือดออกมา  พวกเขาได้รับชัยชนะจากจำนวนที่เหนือกว่า  แต่ถึงยังไงคู่ต่อสู้ก็เป็นคนจากวิหารอื่น  พลังของพวกเขาไม่ใช่จะดูถูกได้  แม้ว่าพวกเขาจะชนะ  แต่ก็บาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก


“เราโชคดีที่ครั้งนี้ท่านผู้อาวุโสมองการณ์ไกล  สั่งให้พวกเรานำคนมาให้มากเข้าไว้  ถ้าเรามาที่นี่เหมือนชุดที่แล้ว  เราคงตกเป็นเหยื่อของศัตรูไปแล้ว”  ชายอีกคนพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน


พวกเขามาจากวิหารฝูหัว หนึ่งในสิบสองวิหาร  ในบรรดาสิบสองวิหาร  พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในระดับกลางในแง่ของพลังความแข็งแกร่ง  เป็นพวกที่ไม่โดดเด่น  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่ยอมแพ้กับการสืบหาที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเลย  และเช่นเดียวกับวิหารอื่นๆ  พวกเขาหาเบี้ยในอาณาจักรล่างให้ดำเนินการแทนพวกเขา  แต่เมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว  อาณาจักรล่างตกอยู่ในสงคราม  เบี้ยที่พวกเขามีก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก  พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปฏิบัติภารกิจด้วยตัวเอง


ตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้ว  พวกเขาได้ส่งคนลงมาที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์หลายกลุ่มเพื่อค้นหาที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด  แต่ไม่มีใครกลับไปเลยสักคน


พวกเขารู้แก่ใจดีว่าผาสุดสวรรค์เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย  จึงมักจะทิ้งคนเอาไว้เฝ้าที่ด้านบนสุดของผาสุดสวรรค์หนึ่งหรือสองคนเสมอ  ถ้าพวกเขายังคงไม่ได้รับข่าวสารใดๆหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน  คนที่เฝ้าอยู่ที่ด้านบนผาจะนำข่าวกลับไปให้พวกเขา


แต่เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกันแล้ว  กลุ่มที่วิหารฝูหัวส่งออกไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไม่ได้กลับมาเลยแม้แต่คนเดียว


ตอนที่ 1380  เริ่มการล่า (2)


สถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  วิหารฝูหัวส่งคนของพวกเขามาตรวจสอบ  แต่ก็ไม่พบวี่แววคนของพวกเขาเลย  นี่เป็นจุดหนึ่งที่พวกเขาพบว่าน่าสงสัยอย่างมาก  พวกเขาได้เชื่อมโยงมันเข้ากับความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้นในอาณาจักรล่างก่อนหน้านี้  ตอนที่วิหารอื่นๆพากันสับสนวุ่นวายที่เสียแผนที่ของตัวเองไป  และพวกเขาก็เริ่มคาดเดาบางอย่างที่เป็นลางไม่ดี


อย่างที่คิด  พวกเขาเพิ่งพบคนจากวิหารปีศาจเพลิงในการเดินทางครั้งนี้  และพวกนั้นก็เข้าโจมตีกลุ่มของพวกเขาทันที


ตอนที่คนจากวิหารจิตหวนคืนปรากฏตัว  การต่อสู้ก็รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว


“ไอ้พวกลูกหมาจากวิหารปีศาจเพลิงคิดว่าตัวเองเป็นนายใหญ่  ท่านผู้อาวุโสพูดถูก  คนทั้งหมดที่เราส่งลงมาที่นี่ก่อนหน้านี้ต้องถูกไอ้พวกวิหารเพลิงซุ่มโจมตีแน่”  คนของวิหารฝูหัวโกรธมาก  พวกเขาเตรียมตัวตายไว้แล้วในการออกค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด  สำหรับคนพวกนี้  การสืบทอดความจงรักภักดีและการอุทิศตัวให้กับวิหารฝูหัว  ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการเสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัวเป็นการแสดงออกถึงความทุ่มเทของพวกเขา


แต่การตายด้วยน้ำมือของคนจากวิหารอื่น  ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุด!


“พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์  พวกเราไม่มีเวลาเสียให้กับคนจากวิหารปีศาจเพลิงพวกนี้  เราควรอาศัยช่วงที่อาณาจักรล่างกำลังโกลาหลกันอยู่  และวิหารต่างๆก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ  ไปค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด”  หัวหน้ากลุ่มกล่าวอย่างระมัดระวัง


คนอื่นๆจากวิหารฝูหัวพากันพยักหน้าเห็นด้วย  หลังจากที่พวกเขาสงบลง  ความหนาวเย็นที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที  พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกพลังวิญญาณออกมาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น


ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนในกลุ่มนี้ลงมาที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์  พวกเขาเคยมาที่นี่พร้อมกับกลุ่มอื่นๆมาก่อน  แต่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มเดิมเสียชีวิตที่นี่  สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดพบ  แต่โชคดีพอที่จะรอดชีวิตหนีกลับไปที่วิหารฝูหัว  ครั้งนี้วิหารฝูหัวได้รวบรวมพวกมือเก่าพวกนี้เข้าด้วยกัน  รวมกลุ่มกัน 500 คนลงมาที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์อีกครั้ง


นี่อาจถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่ใหญ่มาก  แต่โชคร้าย  ในวันที่ 10 หลังจากที่พวกเขาลงมาที่ผาสุดสวรรค์  พวกเขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนจากวิหารปีศาจเพลิง  ตอนนี้จำนวนคนของพวกเขาลดลงไปมากกว่าครึ่ง  เหลือไม่ถึง 200 คน


แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์  การมาที่ผาสุดสวรรค์ไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขา  แม้ว่าจะไม่มีแผนที่  แต่จากการสำรวจหลายครั้งที่วิหารฝูหัวส่งมาในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้  และด้วยสถานที่ที่ผู้คนเหล่านั้นค่อยๆค้นพบ  คนกลุ่มนี้ก็ได้ค้นพบเส้นทางที่ปลอดภัยกว่าเล็กน้อย


จนกระทั่งพวกเขามาถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยแท่งน้ำแข็ง……


แท่งน้ำแข็งที่แหลมคมทำให้คนที่มองรู้สึกหนาวเยือก  และสิ่งที่ทำให้คนจากวิหารฝูหัวตกใจยิ่งขึ้นก็คือ  บนเส้นทางที่พวกเขาคุ้นเคยนี้  พวกเขามองเห็นร่างของคนบางคนรางๆผ่านหมอกหนา!


“มีคน!”  หัวหน้ากลุ่มตะโกนเตือน  คนที่อยู่ข้างหลังเขาต่างเตรียมพร้อมระวังตัว


แต่หลังจากรออยู่นาน  เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับใดๆ  ร่างมืดๆพร่ามัวยังคงซ่อนอยู่ในความมืด  ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย


คนหนึ่งในกลุ่มจึงแนะนำด้วยเสียงกระซิบว่า  “สถานการณ์แปลกๆ  เราควรลองไปดูก่อนดีไหม?”


หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้วก่อนจะสั่งให้พวกลูกน้องขว้างบอลเพลิงวิญญาณออกไปเพื่อให้ชั้นน้ำแข็งตรงหน้าพวกเขาสว่างขึ้น


และสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมานั้นทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง!


“เหวอ!!!”  คนที่ขี้ขลาดเข่าทรุดลงทันที  ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว  ดวงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า


ในชั้นน้ำแข็งตรงหน้าพวกเขา  มีศพนับไม่ถ้วนถูกแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุห้อยอยู่  ศพทั้งหมดถูกพลิกคว่ำ  ศีรษะหันลงพื้น  โดยมีแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุปาก!


ตอนที่ 1381  เริ่มการล่า (3)


วิธีการตายของทุกคนล้วนเหมือนกันหมด  ไม่มียกเว้นแม้แต่ศพเดียว  การตายในน้ำแข็งเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นได้บ่อย  สำหรับทุกคนที่มาไกลถึงแท่งน้ำแข็ง  พวกเขาตระหนักดีว่าความตายอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาในสถานที่แห่งนี้


แต่!


ไม่มีใครตายในสภาพเช่นนี้!


วิธีที่พวกเขาตาย  เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจทำเช่นนี้กับพวกเขา!


แม้ว่าหัวของพวกเขาจะเน่าไปแล้ว  แต่เสื้อผ้าบนศพพวกนั้นเหมือนกับที่คนของวิหารฝูหัวใส่อยู่  เห็นได้ชัดว่าศพเหล่านี้เป็นของคนกลุ่มสุดท้ายที่พวกเขาส่งมาที่ผาสุดสวรรค์แห่งนี้


แม้ว่าพวกเขาจะเดาได้ว่าคนพวกนี้เสียชีวิตไปแล้ว  แต่เมื่อคนจากวิหารฝูหัวเห็นสหายของพวกเขาตายด้วยตาของตัวเอง  พวกเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเย็นลง  ความหวาดกลัวคืบคลานออกมาจากในกระดูกของพวกเขา


เนื่องจากช่วงเวลาที่พวกเขาเสียชีวิตนั้นไม่ได้นานมากนัก  และอุณหภูมิที่นี่ก็ต่ำมาก  ศพพวกนั้นจึงยังค่อนข้างสมบูรณ์  ภาพที่โหดร้ายนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง


“แหวะ!”  บางคนทนไม่ไหวอาเจียนออกมา


เมื่อเห็นคนจากวิหารเดียวกันตายในลักษณะเช่นนี้  ศพของพวกเขาถูกจัดให้อยู่ในสภาพเดียวกันเช่นนี้  ความรู้สึกไม่สบายใจและความหวาดกลัวทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้


“ใครทำเรื่องนี้!  วิหารปีศาจเพลิง……วิหารจิตหวนคืน……หรือเป็นคนจากวิหารอื่น!?”  หัวหน้ากลุ่มตะโกนด้วยความโกรธ


“หัวหน้า  เราจะทำยังไง……พวกมัน……พวกมันจะยังอยู่แถวนี้รึเปล่า?  พวกมันอยากให้เราตายกันหมดจริงๆ!”  คนอื่นๆจากวิหารฝูหัวเริ่มลุกลี้ลุกลน  จำนวนคนที่เสียชีวิตที่นี่มีมากเกินไป  ทั้งหมดอัดแน่นเข้าด้วยกันจนเต็มช่องว่างเล็กๆระหว่างแท่งน้ำแข็ง  มองแวบเดียวซากศพที่ดูประหลาดก็ดูเหมือนจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง  และที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวมากขึ้นก็คือ  ในบรรดาศพทั้งหมดนั้น  พวกเขาเห็นว่าทุกคนมาจากวิหารฝูหัว  ไม่มีศพของคนวิหารอื่นๆเลยแม้แต่ศพเดียว


ความแข็งแกร่งของสิบสองวิหารนั้นอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน  หากไม่มีผู้อาวุโสมาเกี่ยวข้องในการต่อสู้แล้วล่ะก็  เป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิหารไหนเหนือกว่าแบบขาดลอยขนาดนี้  ดังนั้น  การที่มีเพียงคนของวิหารฝูหัวเท่านั้นที่บาดเจ็บล้มตายจึงเป็นไปไม่ได้


เว้นแต่ว่าคนที่โจมตีได้เคลื่อนย้ายร่างของพรรคพวกตัวเองออกไป  ไม่งั้นพวกเขาก็ต้องมีคนระดับผู้อาวุโสอยู่ด้วย!


ขนาดอยู่ในหมอกหนาที่หนาวเน็บ  หัวหน้ากลุ่มก็ยังเหงื่อออกเต็มหน้าผาก


“หัวหน้า……ข้าเคยได้ยินว่า……วิหารปีศาจเพลิงได้ส่งผู้อาวุโสคนหนึ่งมาที่ผาสุดสวรรค์เมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว  หนึ่งปีผ่านไป  ผู้อาวุโสคนนั้นก็ยังไม่ได้กลับไปที่วิหารปีศาจเพลิง  ท่านคิดว่าผู้อาวุโสคนนั้นคือคนทำเรื่องทั้งหมดนี้รึเปล่า?  เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาค้นพบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว  และกลัวว่าเราจะพบเข้า  พวกเขาก็เลย……”


หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้ว  ร่างกายของเขายิ่งเย็นลงไปอีก  นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้


ผู้อาวุโสที่หายไปจากวิหารปีศาจเพลิงคือผู้อาวุโสฮุย  แม้ว่าพลังของเขาจะไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ  แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว  เขาก็ยังมีพลังมากพอที่จะอยู่เหนือคนอื่นได้  นั่นเป็นครั้งแรกที่หนึ่งในสิบสองวิหารได้ส่งผู้อาวุโสไปที่ผาสุดสวรรค์  และนั่นทำให้วิหารอื่นๆไม่พอใจ


พวกเขาร้องขอกันอย่างหนักให้ประมุขวิหารปีศาจเพลิงเรียกผู้อาวุโสกลับมา  แต่ประมุขวิหารปีศาจเพลิงอ้างว่าผู้อาวุโสฮุยหายตัวไปเพื่อปฏิเสธการประท้วงจากวิหารอื่นๆ


แต่ใครจะเชื่อคำพูดเหล่านั้น?


ผู้อาวุโสของวิหารแข็งแกร่งเพียงใด  เป็นไปได้ยังไงที่จู่ๆจะหายตัวไปง่ายๆเช่นนั้น?


แทนที่จะพูดว่าผู้อาวุโสฮุยหายตัวไปจริงๆ  บอกว่าวิหารปีศาจเพลิงค้นพบเบาะแสสำคัญหรือพบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว  เลยให้ผู้อาวุโสฮุยคอยดูแลสถานการณ์ที่นี่ยังจะน่าเชื่อกว่า!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม