Genius Doctor Black Belly Miss 1375-1381
ตอนที่ 1375 อู๋เหยา (1)
เมื่อเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยของวิเศษกระจัดกระจายไปทั่ว เย่ฉากับเย่เหม่ยก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้ พวกเขาจำได้ว่าของวิเศษบางอย่างเป็นของชั้นเลิศ แต่พวกมันกลับ……โดนนายท่านเจว๋โยนทิ้งเนื่องจากไม่ดีพอ
[นายท่านเจว๋ช่วยทำแบบคนปกติหน่อยได้ไหมขอรับ?]
[ถ้าทำตามมาตรฐานของนายท่าน ชาติไหนถึงจะหาของวิเศษที่เหมาะสมเจอล่ะขอรับ?]
[ท่านไม่สังเกตหรือว่าคุณหนูไม่อยากยืนรอท่านแล้วนะขอรับ?]
สายตาของทั้งสองคนย้ายไปมองที่ชั้นวางโครงกระดูกอีกชั้นที่จวินอู๋เสียเดินผ่านไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตอนแรกจวินอู๋เสียก็ยังยืนอยู่ข้างๆจวินอู๋เหยา รอให้เขาเลือกของวิเศษให้นาง แต่ในไม่ช้านางก็ตระหนักว่า……นางไม่ควรยืนรออยู่ตรงนั้นจะดีกว่า เพราะมันต้องใช้เวลานานแน่ๆ
นางตัดสินใจที่จะเดินดูรอบๆห้องโถงด้วยตัวเอง จวินอู๋เหยาเคยพูดว่าสมบัติวิเศษที่มีคุณสมบัติเหมือนกับจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง จะให้ความรู้สึกที่ประสานเข้ากันได้เมื่อสัมผัสมัน แม้ว่านางจะไม่สามารถระบุการใช้ของวิเศษนั้นได้ แต่อย่างน้อยนางก็สามารถทดสอบปฏิกิริยาจากของวิเศษต่างๆได้
จวินอู๋เสียมีความเชี่ยวชาญในการใช้พลังวิญญาณอย่างมาก นางแค่ต้องเรียกพลังขึ้นมานิดหน่อย แล้วสัมผัสของวิเศษพวกนั้น นางก็จะรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาจากพวกมัน
อย่างเช่นของวิเศษธาตุไฟ เมื่อนางสัมผัสมัน ฝ่ามือของนางจะรู้สึกแสบร้อน ขณะที่สายฟ้าจะทำให้เจ็บแปลบเล็กน้อย และธาตุน้ำทำให้นางรู้สึกเย็นยะเยือก……
จวินอู๋เสียอยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำ นางจึงเดินดูไปรอบๆ เสี่ยวเจว๋คว้าเครื่องประดับหยกจำนวนหนึ่งมาเคี้ยวอย่างมีความสุข พร้อมกับทำตัวเป็นหางเล็กๆติดสอยห้อยตามจวินอู๋เสีย ดวงตาสีแดงเข้มของเขาจ้องมองของวิเศษบนชั้นจนตาแทบจะถลนออกมาแล้ว
ถ้าบอกว่าในหินหยกมีพลังวิญญาณอยู่จำนวนหนึ่งที่ล่อหยกกล่อมวิญญาณได้ งั้นของวิเศษทั้งหมดที่บรรจุพลังมหาศาลพวกนี้ก็ไม่ต่างจากอาหารชั้นเลิศสำหรับเสี่ยวเจว๋ และเขาก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางพวกมัน แม้ว่าเขาจะเคี้ยวหินหยกไปด้วย แต่น้ำลายของเขาก็ยังไหลออกจากมุมปากอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่จวินอู๋เสียได้เตือนเขาก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่กล้าเดินไปรอบๆและ “จิน” ตามอำเภอใจอีก ด้วยกลัวว่าจะทำให้จวินอู๋เสียไม่พอใจ ดังนั้นเพื่อลดความตะกละของตัวเอง เขาจึงเดินตามหลังจวินอู๋เสียอย่างใกล้ชิด ใช้ภาพด้านหลังของนางเป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง
สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ แต่ทำให้จวินอู๋เสียรู้สึกขำอย่างช่วยไม่ได้
นางก็ไม่ได้จะว่าหรอกถ้าเสี่ยวเจว๋จะคว้าของวิเศษมากิน แต่นางก็ไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดผลกระทบกับเสี่ยวเจว๋ยังไงบ้าง
มันจะดีหรือไม่ดีสำหรับเขา นางไม่สามารถตัดสินได้จริงๆ
แต่เมื่อเห็นสายตาที่น่าสงสารของเด็กน้อย ใจของจวินอู๋เสียก็อ่อนยวบ
“มานี่” จวินอู๋เสียยื่นมือข้างหนึ่งไปตรงหน้าเสี่ยวเจว๋
เสี่ยวเจว๋กระพริบตามองมือของจวินอู๋เสียที่ยื่นมาตรงหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เอื้อมมือไปจับอย่างอายๆ
จวินอู๋เสียพาเสี่ยวเจว๋มาตรงหน้าจวินอู๋เหยาที่ยืนอยู่ท่ามกลางของวิเศษที่เขาโยนทิ้งไว้เกลื่อนกลาด
“อู๋เหยา”
“หืม?” จวินอู๋เหยาตอบโดยไม่ได้คิด หัวของเขายังจมอยู่ท่ามกลางของวิเศษทั้งหลาย ขณะที่ค้นหาของที่ “เหมาะ” กับจวินอู๋เสีย แล้วจู่ๆเขาก็ได้ยินจวินอู๋เสียเรียกเขา แต่วินาทีต่อมานั้นเอง สีหน้าของเขาก็กลายเป็นประหลาดใจทันที
[นางเรียกเขาว่าอู๋เหยาเหรอ?]
[ไม่ใช่พี่ใหญ่แล้วเหรอ?]
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้นทำให้จวินอู๋เหยารู้สึกเหมือนมีลูกแมวกำลังใช้อุ้งเท้าเล็กๆข่วนเบาๆที่หัวใจของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกจั๊กจี้ที่น่าเบิกบานใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสดใสของจวินอู๋เสีย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ของวิเศษของข้าพักไว้ก่อนชั่วคราวก็ได้ ท่านช่วยเสี่ยวเจว๋ดูหน่อยได้ไหมว่ามีของที่เหมาะกับเขารึเปล่า?” จวินอู๋เสียมองจวินอู๋เหยา และเห็นสีหน้าแปลกๆบนใบหน้าของเขา
ตอนที่ 1376 อู๋เหยา (2)
จวินอู๋เหยามองจวินอู๋เสียโดยไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเล็กน้อย เหมือนเขายังไม่หายจากอาการตกใจ
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองดูสีหน้าที่หาดูได้ยากของจวินอู๋เหยา แล้วพบว่ามันน่าขำมาก นางขยับตัวไปข้างหน้าและเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบเร็วๆที่มุมปากของเขา
“มัวยืนงงอะไรอยู่?” น้ำเสียงของนางแฝงแววหัวเราะเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้ จวินอู๋เหยาไม่เพียงช็อคไม่หาย แต่กลับแข็งทื่อมากกว่าเดิม
เย่ฉากับเย่เหม่ยทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกเขาต่างเอามือปิดหน้า ขณะที่เย่กูจ้องค้างอย่างตกตะลึง สีหน้าเหลือเชื่ออย่างที่สุด
[นายท่านเจว๋……นายท่านเจว๋……ถูกยัยเด็กนั่น……เอาเปรียบ!!!]
“ไม่เต็มใจเหรอ?” จวินอู๋เสียถามอย่างล้อเลียนเมื่อเห็นว่าจวินอู๋เหยายังคงยืนแข็งทื่อไม่เลิก
ในที่สุดจวินอู๋เหยาก็ได้สติกลับมา เขาเอื้อมมือไปโอบรอบเอวของจวินอู๋เสียและดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
“เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? พูดอีกครั้งซิ” เขาทำสายตาร้อนแรงราวกับมีลูกไฟลุกโชนอยู่ในดวงตาของเขา
“อู๋เหยาน่ะหรือ? ทำไม? ไม่ชอบหรือ?” ดวงตาจวินอู๋เสียเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ปกติเห็นจวินอู๋เหยานิ่งสงบมั่นคงเหมือนเขาไท่ซานพร้อมกับรอยยิ้มร้าย การที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้บ้างทำให้นางรู้สึกว่ามันน่าสนใจทีเดียว
ได้เห็นอารมณ์ของเขาขึ้นๆลงๆเพราะนาง ทำให้จวินอู๋เสียรู้สึกถึงความสำเร็จที่น่าพอใจ ควบคู่ไปกับความหวานเล็กน้อยในหัวใจด้วย
[เอาล่ะ นางต้องยอมรับ ดูเหมือนนางจะติดนิสัยไม่ดีมาซะแล้ว]
จวินอู๋เหยาสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่จวินอู๋เสียยังไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็ก้มหน้าลงมาจูบที่ปากเล็กๆของนางซึ่งกำลังยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
จูบที่ลึกซึ้งและดื่มด่ำได้สูบเอาอากาศออกจากปอดของพวกเขา จวินอู๋เหยาต่อสู้กับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างหนักก่อนที่สถานการณ์จะเลยเถิดควบคุมไม่ได้
เขารู้ว่าจวินอู๋เสียสำคัญมากแค่ไหนในใจเขา และเข้าใจว่านางแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าแค่คำเรียกขานก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตด้วยความรู้สึกเต็มตื้นได้ถึงขนาดนี้
เขานี่ช่างเอาใจง่ายซะจริงๆ
ความรู้สึกของเขาที่มีต่อจวินอู๋เสีย เป็นสิ่งที่จวินอู๋เหยาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันพัฒนาจนมาเป็นแบบทุกวันนี้ได้อย่างไร
ในตอนแรก เขาถูกปิดผนึกมานานเกินไป และถูกตัดขาดคนทั้งโลกโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถจำได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบคนอื่นนั้นมันนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งเด็กน้อยคนนี้ปรากฏตัวขึ้น จวินอู๋เสียในตอนนั้นอยู่ในสภาพที่เลวร้ายที่สุดที่เขาเคยเห็น
นางสกปรกไปหมดทั้งตัว แม้แต่ใบหน้าเล็กๆก็เปื้อนจนไม่สามารถมองเห็นหน้าของนางได้อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางกำลังใกล้จะตาย แต่ก็ยังใจเย็นพอที่จะเจรจากับเขา คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ได้อย่างสงบ
จวินอู๋เหยาจำไม่ได้แล้วว่าคนสุดท้ายที่กล้าพูดกับเขาตายไปนานแค่ไหนแล้ว
อาจเป็นเพราะถูกขังมานานเกินไป แต่เขาก็ยอมรับและทำตามข้อตกลง ส่งเด็กน้อยกลับไปที่วังหลินอ๋องอย่างปลอดภัย
จวินอู๋เหยาในตอนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดกับจวินอู๋เสีย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นแบบแลกเปลี่ยนที่ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ในเวลานั้นจวินอู๋เหยาต้องการตัวตนและที่พักพิงชั่วคราว เขาจึงเข้าไปอยู่ในวังหลินอ๋องในฐานะจวินอู๋เหยา
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า การตัดสินใจแบบไม่ใส่ใจเพียงครั้งเดียวของเขาในตอนนั้น จะเปลี่ยนทุกอย่างในอนาคตของเขา
ตอนแรกเขาแค่แกล้งเด็กน้อยที่เย็นชาเกินไป เหมือนกับว่าเขาได้เจอของเล่นชิ้นใหม่ และเขายังช่วยนางเหมือนที่คนเอาใจสัตว์เลี้ยง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การล้อเล่นของเขาเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัว กลายเป็นความรู้สึกแบบที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ตอนที่ 1377 อู๋เหยา (3)
เวลาเห็นนางขมวดคิ้ว เขาก็จะปวดใจ เวลาเห็นนางดื้อรั้น เขาก็จะรู้สึกหมดหนทาง
นั่นเป็นครั้งแรกที่จวินอู๋เหยาได้รู้ว่าความรู้สึกของเขาได้รับผลกระทบจากคนอื่น และความรู้สึกพวกนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับจวินอู๋เสียชั่วคราว แต่เขาก็เป็นห่วงความปลอดภัยของนาง จึงทิ้งเย่ฉาเอาไว้ให้อยู่ข้างกายนาง คอยปกป้องนาง
จนกระทั่งที่หุบเขาเมฆา ตอนที่เย่ฉาระเบิดตัวเอง และจวินอู๋เสียพบกับอันตราย
พอเขาสัมผัสได้ เขาก็อยากจะวิ่งเข้ามาอยู่ข้างกายนางในทันทีที่ทำได้จนแทบทนไม่ไหว
ความรู้สึกสับสนเหล่านั้นเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ไม่ได้รับการควบคุม มันพลุ่งพล่านเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้
จนกระทั่งเขาได้เห็นนางและโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน เขาถึงได้รู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
นับจากนั้นเป็นต้นมา จวินอู๋เหยาก็เลิกห้ามตัวเอง และยอมรับความรู้สึกที่เขามีต่อนาง ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม
เขาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะปกป้องเด็กน้อยของเขา
ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่อยากหนีอีกต่อไปแล้ว
จวินอู๋เหยาอาจจะยังไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นเรียกว่าอะไร แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับเขามาก นั่นคือ เขาอยากอยู่กับเด็กน้อยของเขา ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไร เขาอยากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนาง ใช้ทุกสิ่งที่เขามีเพื่อปกป้องนาง
เขาไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นคืออะไร แต่เขารู้ อักษรสามตัวที่อ่านว่า จวินอู๋เสีย กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ประทับอยู่ในตัวเขาตลอดชั่วนิรันดร์
ความคิดทั้งหมดหมุนวนอยู่ในใจเขาด้วยความเร็วแสง ในที่สุดจวินอู๋เหยาก็ถอนริมฝีปากออก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าทำได้เขาอยากจะให้ช่วงเวลานั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด
“ข้าชอบให้เจ้าเรียกอย่างนั้น”
อู๋เหยา ชื่อของเขา ไม่ว่าในอดีตเขาจะเป็นใคร นับจากนี้เป็นต้นไป เขาคือจวินอู๋เหยา จวินอู๋เหยาที่เป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว
เขายอมทิ้งโลกทั้งใบเพื่อเป็นคนเดียวในใจนาง
แก้มทั้งสองข้างของจวินอู๋เสียเป็นสีชมพูระเรื่อ แต่นางไม่ได้แสดงอาการเขินอายใดๆ ขณะที่มองจวินอู๋เหยาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าจะหัวเราะอย่างไร แต่ตอนนี้นางเริ่มคุ้นเคยกับการยิ้มให้เขาแล้ว
พวกเขาสองคนเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องพูด บางคำไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ก็เข้าใจกันและกันแล้ว
คำกระซิบหวานหูหรือคำมั่นสัญญาถึงความรักชั่วนิรันดร์ ยังคงเทียบไม่ได้กับสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างหัวใจสองดวง
เมื่อความรู้สึกลึกซึ้งถึงขนาดนี้ คำพูดคำเดียวก็เป็นคำที่ไพเราะที่สุดแล้ว
“ถ้าท่านชอบ ก็ช่วยหาของให้เสี่ยวเจว๋หน่อยซิ” จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้น เอาเปรียบนางไปแล้ว ยังไม่ตอบแทนในส่วนของเขากลับมาอีกหรือ?
จวินอู๋เหยาหัวเราะเบาๆ สีหน้าของจวินอู๋เสียมีการแสดงมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเทียบกับท่าทางเย็นชาของนางในตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก ตอนนี้ดูน่าสนใจขึ้นมาก และสิ่งที่เขาดีใจที่สุดก็คือ เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในตัวนางด้วยตาของตัวเอง
[โชคดี……]
[ที่ไม่ได้พลาดไป]
“ข้าน้อยรับคำสั่งคุณหนูขอรับ” จวินอู๋เหยาแกล้งล้อเลียนจวินอู๋เสีย เขาทำหน้าเคร่งขรึมราวกับกำลังรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง
เย่กูแทบกระอักเลือดออกมาจากภาพที่เห็น เขาตะลึงค้างไปทั้งตัวแล้ว
เย่ฉากับเย่เหม่ยตบบ่าเย่กูด้วยความเห็นใจ
[เดี๋ยวเขาก็ชินเองแหละ]
หลังจากได้รับ “กำลังใจ” จากจวินอู๋เสีย จวินอู๋เหยาก็หยุดหาของวิเศษที่เหมาะสมสำหรับจวินอู๋เสีย และหันไปมองเสี่ยวเจว๋ที่ยืนหัวหดอยู่ข้างๆ
เสี่ยวเจว๋กลัวจวินอู๋เหยาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เขาไม่กล้าขยับตัวมากเกินไปเมื่อเห็นจวินอู๋เหยาอยู่ตรงหน้า ภาพของเด็กน้อยที่ยืนหวาดกลัวทำให้คนที่เห็นรู้สึกอยากโอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนเพื่อปลอบโยนเขา
น่าเสียดายที่อ้อมกอดของจวินอู๋เหยามีไว้ให้จวินอู๋เสียเพียงคนเดียวเท่านั้น
“หยกกล่อมวิญญาณเป็นของวิเศษที่ใช้ฟื้นฟูจิตวิญญาณ แต่ที่นี่มีของที่ดีกว่านั้น เจ้าหนู วันนี้ข้าอารมณ์ดี เพราะงั้นข้าจะเลือกของดีให้เจ้า” จวินอู๋เหยาหัวเราะ น้ำเสียงของเขาราวกับกำลังบอกทุกคนว่า วันนี้เขาอารมณ์ดีมากจริงๆ!
ตอนที่ 1378 อู๋เหยา (4)
เสี่ยวเจว๋ไม่กล้าแม้แต่จะพูด เขามองไปที่จวินอู๋เหยาเหมือนกำลังจะร้องไห้
ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดมีของวิเศษทุกประเภทมากมายเกินกว่าจะนับได้
จวินอู๋เสียไม่ได้คิดแค่ให้เสี่ยวเจว๋ฟื้นตัวเท่านั้น ยังมีอีก 2 คนที่นางกังวลอยู่ในใจไม่แพ้กัน
คนหนึ่งคือ จวินกู้ พ่อของนางที่หยกกล่อมวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งได้รักษาร่างกายของเขาเอาไว้
ส่วนอีกคนก็คือ เยี่ยนปู้กุย อาจารย์ของนางที่สำนักหงส์เพลิง
นางไม่มีวิธีทำให้จวินกู้ฟื้นขึ้นมาได้ จึงได้ตั้งความหวังไว้กับจวินอู๋เหยาในการค้นหาของวิเศษเพื่อการนี้ ในส่วนปัญหาของเยี่ยนปู้กุยนั้นแก้ไขได้ง่ายกว่ามาก
ก่อนที่นางจะเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ จวินอู๋เสียสังเกตเห็นว่าหลังประตูหลายบานที่พวกเขาเดินผ่านไป มีสมุนไพรและยาเป็นจำนวนมากที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี สมุนไพรหลายชนิดเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน และบางชนิดนางจำได้ว่าเป็นพันธุ์ที่มีค่าสูงและเป็นที่ต้องการอย่างมาก และยังมีอีกหลายชนิดที่เยี่ยนปู้กุยต้องการ
ก่อนหน้านี้นางไม่มีเวลาดูพวกมันอย่างละเอียด เนื่องจากพวกเขายังค้นหาของวิเศษกันอยู่ แต่ตอนนี้นางมีเวลาว่างไปตรวจสอบพวกมันแล้ว
จากนั้นจวินอู๋เสียก็ก้าวเท้าออกจากห้องโถงใหญ่ จวินอู๋เหยาเหลือบมองไปที่เย่ฉากับเย่เหม่ย ทั้งสองคนคว้าแขนเย่กูขึ้นมาทันทีและวิ่งไปหาจวินอู๋เสีย
“คุณหนู! ท่านกำลังจะไปไหนขอรับ?” เย่ฉาถามด้วยความเคารพ
“ไปหาสมุนไพร” จวินอู๋เสียมองไปที่เย่กูซึ่งถูกเย่ฉากับเย่เหม่ยจับไว้ ร่างกายของเขาเป็นเด็กอายุ 12 ปี เย่ฉากับเย่เหม่ยร่างสูงใหญ่ ถูกสองคนนี้จับเอาไว้ เท้าของเย่กูจึงไม่ได้แตะพื้นเลย
“แค่ก เราจะไปกับท่านด้วย ที่นี่ใหญ่โต พาเขามากับเรา คุณหนูจะหาของได้สะดวกกว่าขอรับ” เย่เหม่ยพูด
จวินอู๋เสียมองทั้งสามคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
พวกเขาเดินออกจากห้องโถงใหญ่ได้ไม่นาน เย่เหม่ยก็เริ่มถามว่าจวินอู๋เสียต้องการหาสมุนไพรชนิดใด จากนั้นก็แอบบอกให้เย่กูชี้ทางให้ เพื่อจะให้จวินอู๋เสียหาได้ง่ายขึ้น
จวินอู๋เสียและทั้งสามคนออกมานอกห้องโถงแล้ว และกำลังยืนอยู่ที่ทางเดิน เมื่อเห็นความเอาใจใส่ที่เย่ฉาและเย่เหม่ยมีต่อนางแล้ว จวินอู๋เสียก็หยุดฝีเท้าในทันที
เย่ฉากับเย่เหม่ยก็หยุดเช่นกัน พวกเขาไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียต้องการทำอะไร
จวินอู๋เสียหันกลับมามองทั้งสามคน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ปล่อยเขาลง”
“ฮะ?” เย่เหม่ยตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าจวินอู๋เสียกำลังพูดถึงเย่กู
เย่ฉากลับพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมจริงจังว่า “คุณหนูขอรับ เจ้านี่แข็งแกร่งมาก ถ้าปล่อยเขา แล้วเขากลับคำขึ้นมา ข้าเกรงว่า……”
จวินอู๋เสียมองเย่ฉาอย่างเย็นชา เย่ฉาหุบปากทันที
“ถ้าเขากลับคำพูดจริงๆ เจ้าสองคนก็หยุดเขาไม่ได้อยู่ดี” จวินอู๋เสียพูด
สีหน้าตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่ฉาและเย่เหม่ยทันที
[คุณหนูมองออกได้ยังไง?]
“ไม่เป็นไร ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงละครแล้ว ปล่อยเขาลง จะได้เดินเร็วขึ้น” จวินอู๋เสียพูดอย่างเสียไม่ได้ หลังจากเข้ามาในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด นางก็รู้สึกว่าสติปัญญาของนางโดนดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เย่ฉาและเย่เหม่ยตกใจกับคำพูดของนาง แม้ว่าพวกเขาจะเดาว่าจวินอู๋เสียรู้ตัวจริงของนายท่านเจว๋แล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจนัก
แต่ด้วยคำพูดที่เพิ่งออกจากปากจวินอู๋เสียนี้ สิ่งที่พวกเขาเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้รับการยืนยันทันที
[คุณหนูรู้แล้วแน่นอน!]
“ไอ้เวรสองตัวนี้นี่! ยังจับข้าไว้ทำไม!? ถ้ายังอยากแสดงละครโง่ๆต่อ ก็ทำกันเอง! ไม่ต้องลากข้าเข้าไปด้วย!” เย่กูรู้ว่าการแสดงของเขาถูกมองออกแล้ว เขาก็ยกเท้าเตะไปที่ด้านหลังของเย่ฉาและเย่เหม่ยทันที! จากนั้นก็ลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคงพร้อมกับมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยสีหน้าหงิกงอ
ตอนที่ 1379 เริ่มการล่า (1)
ที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์มีเลือดไหลชุ่มพื้นดิน ภายใต้หมอกหนาที่เย็นยะเยือก มีผู้คนที่นอนตายอยู่ในแอ่งเลือดมากมายเกินกว่าจะนับได้
หลังจากที่เพิ่งต่อสู้ครั้งใหญ่ คนกลุ่มหนึ่งยืนหอบหายใจหนักอยู่ภายใต้หมอกหนา มองดูกันและกันภายใต้แสงจากบอลเพลิงวิญญาณที่พวกเขาถืออยู่ในมือ
กลุ่มคนและม้ามีจำนวนเกินร้อย บนร่างของทุกคนมีแสงสีม่วงจากพลังวิญญาณของพวกเขาหมุนวนอยู่ การต่อสู้ครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ทำให้พลังของพวกเขาหมดไปพอสมควร และตอนนี้การต่อสู้ได้จบลงแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสได้พักหายใจหายคอซะที
“ไอ้พวกสมควรตาย วิหารจิตหวนคืน วิหารปีศาจเพลิง……พวกมันบ้ากันไปหมดแล้ว ส่งคนมาที่อาณาจักรล่างกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ทำเหมือนไม่มีใครรู้ว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ในใจ” หัวหน้าคนพวกนั้นพูดขึ้นขณะขมวดคิ้วจ้องมองพื้นรอบๆที่เต็มไปด้วยศพ กลุ่มของเขาเพิ่งลงมาจากผาสุดสวรรค์ก็เจอเข้ากับคนกลุ่มอื่นที่มาจากวิหารอื่น คนต่างกลุ่มเข้าปะทะกัน ความตั้งใจของพวกเขาชัดเจนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ
“ช่วงนี้อาณาจักรล่างวุ่นวายโกลาหล ข้าได้ยินว่าเบี้ยที่วิหารอื่นๆวางไว้ในอาณาจักรล่างถูกขุดรากถอนโคนโดยใครบางคน แผนที่ที่ฝากไว้ที่อาณาจักรล่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาจะไม่วิตกกังวลได้ยังไง?” ชายอีกคนพูดไปหอบไป
ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ หากพวกเขาเจอกับคนวิหารอื่นจากสิบสองวิหาร อย่างมากพวกเขาก็แค่พูดจาเหน็บแนมดูถูกกันเล็กน้อย ก่อนจะหาข้ออ้างแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง
แม้ว่าวัตถุประสงค์ของพวกเขาจะเหมือนกัน แต่การที่พวกเขาจะหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดได้นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองทั้งหมด
ถึงยังไงวิหารต่างๆก็มีระดับพลังที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน พวกเขาก็คงไม่สู้กัน
แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เฮ้ เจ้าจำได้ไหมว่าเจ็ดวิหารนั่นหยิ่งผยองแค่ไหนตอนที่พวกมันได้แผนที่ไป? คิดว่าได้เบาะแสใหญ่แล้ว จะสามารถหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเจอก่อนคนอื่น แต่หลายปีผ่านไป พวกมันเจออะไรบ้าง? แผนที่ที่พวกมันส่งไปอาณาจักรล่างได้หายไปแล้ว และพวกมันก็สงสัยพวกเราที่เหลือ ไร้สาระสิ้นดี ตัวเองไม่มีความสามารถ ก็ไม่ควรลากคนอื่นลงน้ำ คิดว่าจะชี้นิ้วใส่ทุกคนได้ พวกมันคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพันรึไง?” หัวหน้ากลุ่มกระอักเลือดออกมา พวกเขาได้รับชัยชนะจากจำนวนที่เหนือกว่า แต่ถึงยังไงคู่ต่อสู้ก็เป็นคนจากวิหารอื่น พลังของพวกเขาไม่ใช่จะดูถูกได้ แม้ว่าพวกเขาจะชนะ แต่ก็บาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก
“เราโชคดีที่ครั้งนี้ท่านผู้อาวุโสมองการณ์ไกล สั่งให้พวกเรานำคนมาให้มากเข้าไว้ ถ้าเรามาที่นี่เหมือนชุดที่แล้ว เราคงตกเป็นเหยื่อของศัตรูไปแล้ว” ชายอีกคนพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน
พวกเขามาจากวิหารฝูหัว หนึ่งในสิบสองวิหาร ในบรรดาสิบสองวิหาร พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในระดับกลางในแง่ของพลังความแข็งแกร่ง เป็นพวกที่ไม่โดดเด่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่ยอมแพ้กับการสืบหาที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเลย และเช่นเดียวกับวิหารอื่นๆ พวกเขาหาเบี้ยในอาณาจักรล่างให้ดำเนินการแทนพวกเขา แต่เมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว อาณาจักรล่างตกอยู่ในสงคราม เบี้ยที่พวกเขามีก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปฏิบัติภารกิจด้วยตัวเอง
ตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้ว พวกเขาได้ส่งคนลงมาที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์หลายกลุ่มเพื่อค้นหาที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด แต่ไม่มีใครกลับไปเลยสักคน
พวกเขารู้แก่ใจดีว่าผาสุดสวรรค์เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย จึงมักจะทิ้งคนเอาไว้เฝ้าที่ด้านบนสุดของผาสุดสวรรค์หนึ่งหรือสองคนเสมอ ถ้าพวกเขายังคงไม่ได้รับข่าวสารใดๆหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน คนที่เฝ้าอยู่ที่ด้านบนผาจะนำข่าวกลับไปให้พวกเขา
แต่เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกันแล้ว กลุ่มที่วิหารฝูหัวส่งออกไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไม่ได้กลับมาเลยแม้แต่คนเดียว
ตอนที่ 1380 เริ่มการล่า (2)
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน วิหารฝูหัวส่งคนของพวกเขามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบวี่แววคนของพวกเขาเลย นี่เป็นจุดหนึ่งที่พวกเขาพบว่าน่าสงสัยอย่างมาก พวกเขาได้เชื่อมโยงมันเข้ากับความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้นในอาณาจักรล่างก่อนหน้านี้ ตอนที่วิหารอื่นๆพากันสับสนวุ่นวายที่เสียแผนที่ของตัวเองไป และพวกเขาก็เริ่มคาดเดาบางอย่างที่เป็นลางไม่ดี
อย่างที่คิด พวกเขาเพิ่งพบคนจากวิหารปีศาจเพลิงในการเดินทางครั้งนี้ และพวกนั้นก็เข้าโจมตีกลุ่มของพวกเขาทันที
ตอนที่คนจากวิหารจิตหวนคืนปรากฏตัว การต่อสู้ก็รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไอ้พวกลูกหมาจากวิหารปีศาจเพลิงคิดว่าตัวเองเป็นนายใหญ่ ท่านผู้อาวุโสพูดถูก คนทั้งหมดที่เราส่งลงมาที่นี่ก่อนหน้านี้ต้องถูกไอ้พวกวิหารเพลิงซุ่มโจมตีแน่” คนของวิหารฝูหัวโกรธมาก พวกเขาเตรียมตัวตายไว้แล้วในการออกค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด สำหรับคนพวกนี้ การสืบทอดความจงรักภักดีและการอุทิศตัวให้กับวิหารฝูหัว ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการเสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัวเป็นการแสดงออกถึงความทุ่มเทของพวกเขา
แต่การตายด้วยน้ำมือของคนจากวิหารอื่น ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุด!
“พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราไม่มีเวลาเสียให้กับคนจากวิหารปีศาจเพลิงพวกนี้ เราควรอาศัยช่วงที่อาณาจักรล่างกำลังโกลาหลกันอยู่ และวิหารต่างๆก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ไปค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด” หัวหน้ากลุ่มกล่าวอย่างระมัดระวัง
คนอื่นๆจากวิหารฝูหัวพากันพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากที่พวกเขาสงบลง ความหนาวเย็นที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกพลังวิญญาณออกมาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนในกลุ่มนี้ลงมาที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์ พวกเขาเคยมาที่นี่พร้อมกับกลุ่มอื่นๆมาก่อน แต่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มเดิมเสียชีวิตที่นี่ สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดพบ แต่โชคดีพอที่จะรอดชีวิตหนีกลับไปที่วิหารฝูหัว ครั้งนี้วิหารฝูหัวได้รวบรวมพวกมือเก่าพวกนี้เข้าด้วยกัน รวมกลุ่มกัน 500 คนลงมาที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์อีกครั้ง
นี่อาจถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่ใหญ่มาก แต่โชคร้าย ในวันที่ 10 หลังจากที่พวกเขาลงมาที่ผาสุดสวรรค์ พวกเขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนจากวิหารปีศาจเพลิง ตอนนี้จำนวนคนของพวกเขาลดลงไปมากกว่าครึ่ง เหลือไม่ถึง 200 คน
แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์ การมาที่ผาสุดสวรรค์ไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขา แม้ว่าจะไม่มีแผนที่ แต่จากการสำรวจหลายครั้งที่วิหารฝูหัวส่งมาในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้ และด้วยสถานที่ที่ผู้คนเหล่านั้นค่อยๆค้นพบ คนกลุ่มนี้ก็ได้ค้นพบเส้นทางที่ปลอดภัยกว่าเล็กน้อย
จนกระทั่งพวกเขามาถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยแท่งน้ำแข็ง……
แท่งน้ำแข็งที่แหลมคมทำให้คนที่มองรู้สึกหนาวเยือก และสิ่งที่ทำให้คนจากวิหารฝูหัวตกใจยิ่งขึ้นก็คือ บนเส้นทางที่พวกเขาคุ้นเคยนี้ พวกเขามองเห็นร่างของคนบางคนรางๆผ่านหมอกหนา!
“มีคน!” หัวหน้ากลุ่มตะโกนเตือน คนที่อยู่ข้างหลังเขาต่างเตรียมพร้อมระวังตัว
แต่หลังจากรออยู่นาน เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับใดๆ ร่างมืดๆพร่ามัวยังคงซ่อนอยู่ในความมืด ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
คนหนึ่งในกลุ่มจึงแนะนำด้วยเสียงกระซิบว่า “สถานการณ์แปลกๆ เราควรลองไปดูก่อนดีไหม?”
หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้วก่อนจะสั่งให้พวกลูกน้องขว้างบอลเพลิงวิญญาณออกไปเพื่อให้ชั้นน้ำแข็งตรงหน้าพวกเขาสว่างขึ้น
และสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมานั้นทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง!
“เหวอ!!!” คนที่ขี้ขลาดเข่าทรุดลงทันที ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว ดวงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
ในชั้นน้ำแข็งตรงหน้าพวกเขา มีศพนับไม่ถ้วนถูกแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุห้อยอยู่ ศพทั้งหมดถูกพลิกคว่ำ ศีรษะหันลงพื้น โดยมีแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุปาก!
ตอนที่ 1381 เริ่มการล่า (3)
วิธีการตายของทุกคนล้วนเหมือนกันหมด ไม่มียกเว้นแม้แต่ศพเดียว การตายในน้ำแข็งเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นได้บ่อย สำหรับทุกคนที่มาไกลถึงแท่งน้ำแข็ง พวกเขาตระหนักดีว่าความตายอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาในสถานที่แห่งนี้
แต่!
ไม่มีใครตายในสภาพเช่นนี้!
วิธีที่พวกเขาตาย เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจทำเช่นนี้กับพวกเขา!
แม้ว่าหัวของพวกเขาจะเน่าไปแล้ว แต่เสื้อผ้าบนศพพวกนั้นเหมือนกับที่คนของวิหารฝูหัวใส่อยู่ เห็นได้ชัดว่าศพเหล่านี้เป็นของคนกลุ่มสุดท้ายที่พวกเขาส่งมาที่ผาสุดสวรรค์แห่งนี้
แม้ว่าพวกเขาจะเดาได้ว่าคนพวกนี้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อคนจากวิหารฝูหัวเห็นสหายของพวกเขาตายด้วยตาของตัวเอง พวกเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเย็นลง ความหวาดกลัวคืบคลานออกมาจากในกระดูกของพวกเขา
เนื่องจากช่วงเวลาที่พวกเขาเสียชีวิตนั้นไม่ได้นานมากนัก และอุณหภูมิที่นี่ก็ต่ำมาก ศพพวกนั้นจึงยังค่อนข้างสมบูรณ์ ภาพที่โหดร้ายนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
“แหวะ!” บางคนทนไม่ไหวอาเจียนออกมา
เมื่อเห็นคนจากวิหารเดียวกันตายในลักษณะเช่นนี้ ศพของพวกเขาถูกจัดให้อยู่ในสภาพเดียวกันเช่นนี้ ความรู้สึกไม่สบายใจและความหวาดกลัวทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
“ใครทำเรื่องนี้! วิหารปีศาจเพลิง……วิหารจิตหวนคืน……หรือเป็นคนจากวิหารอื่น!?” หัวหน้ากลุ่มตะโกนด้วยความโกรธ
“หัวหน้า เราจะทำยังไง……พวกมัน……พวกมันจะยังอยู่แถวนี้รึเปล่า? พวกมันอยากให้เราตายกันหมดจริงๆ!” คนอื่นๆจากวิหารฝูหัวเริ่มลุกลี้ลุกลน จำนวนคนที่เสียชีวิตที่นี่มีมากเกินไป ทั้งหมดอัดแน่นเข้าด้วยกันจนเต็มช่องว่างเล็กๆระหว่างแท่งน้ำแข็ง มองแวบเดียวซากศพที่ดูประหลาดก็ดูเหมือนจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวมากขึ้นก็คือ ในบรรดาศพทั้งหมดนั้น พวกเขาเห็นว่าทุกคนมาจากวิหารฝูหัว ไม่มีศพของคนวิหารอื่นๆเลยแม้แต่ศพเดียว
ความแข็งแกร่งของสิบสองวิหารนั้นอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน หากไม่มีผู้อาวุโสมาเกี่ยวข้องในการต่อสู้แล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิหารไหนเหนือกว่าแบบขาดลอยขนาดนี้ ดังนั้น การที่มีเพียงคนของวิหารฝูหัวเท่านั้นที่บาดเจ็บล้มตายจึงเป็นไปไม่ได้
เว้นแต่ว่าคนที่โจมตีได้เคลื่อนย้ายร่างของพรรคพวกตัวเองออกไป ไม่งั้นพวกเขาก็ต้องมีคนระดับผู้อาวุโสอยู่ด้วย!
ขนาดอยู่ในหมอกหนาที่หนาวเน็บ หัวหน้ากลุ่มก็ยังเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
“หัวหน้า……ข้าเคยได้ยินว่า……วิหารปีศาจเพลิงได้ส่งผู้อาวุโสคนหนึ่งมาที่ผาสุดสวรรค์เมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว หนึ่งปีผ่านไป ผู้อาวุโสคนนั้นก็ยังไม่ได้กลับไปที่วิหารปีศาจเพลิง ท่านคิดว่าผู้อาวุโสคนนั้นคือคนทำเรื่องทั้งหมดนี้รึเปล่า? เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาค้นพบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว และกลัวว่าเราจะพบเข้า พวกเขาก็เลย……”
หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้ว ร่างกายของเขายิ่งเย็นลงไปอีก นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้
ผู้อาวุโสที่หายไปจากวิหารปีศาจเพลิงคือผู้อาวุโสฮุย แม้ว่าพลังของเขาจะไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เขาก็ยังมีพลังมากพอที่จะอยู่เหนือคนอื่นได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่หนึ่งในสิบสองวิหารได้ส่งผู้อาวุโสไปที่ผาสุดสวรรค์ และนั่นทำให้วิหารอื่นๆไม่พอใจ
พวกเขาร้องขอกันอย่างหนักให้ประมุขวิหารปีศาจเพลิงเรียกผู้อาวุโสกลับมา แต่ประมุขวิหารปีศาจเพลิงอ้างว่าผู้อาวุโสฮุยหายตัวไปเพื่อปฏิเสธการประท้วงจากวิหารอื่นๆ
แต่ใครจะเชื่อคำพูดเหล่านั้น?
ผู้อาวุโสของวิหารแข็งแกร่งเพียงใด เป็นไปได้ยังไงที่จู่ๆจะหายตัวไปง่ายๆเช่นนั้น?
แทนที่จะพูดว่าผู้อาวุโสฮุยหายตัวไปจริงๆ บอกว่าวิหารปีศาจเพลิงค้นพบเบาะแสสำคัญหรือพบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว เลยให้ผู้อาวุโสฮุยคอยดูแลสถานการณ์ที่นี่ยังจะน่าเชื่อกว่า!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น