Genius Doctor Black Belly Miss 1331-1337
ตอนที่ 1331 สุสานที่หายไป (1)
ความยากลำบากที่โหดร้ายซึ่งทุกคนต้องเผชิญในทุกๆย่างก้าว ไม่อาจหยุดพวกเขาจากการเดินหน้าต่อไปได้ พวกจวินอู๋เสียเดินทางผ่านผาสุดสวรรค์ไปจนถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขาในที่สุด
พวกเขากำลังมองดูทะเลดอกไม้ที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า ดอกไม้สีม่วงแผ่ขยายไปทั่วผืนดินจนสุดสายตา สายลมพัดดอกไม้พริ้วไหวเอนไปมา งดงามราวภาพวาด ความแตกต่างที่ตรงกันข้ามนี้ไม่เข้ากับอันตรายที่พวกเขาเจอมาตลอดทางเลย
“สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดอยู่ไหนล่ะ?” ฟ่านจั๋วถามขึ้นขณะมองไปที่ทุ่งดอกไม้กว้างไกลสุดสายตาด้วยสายตาว่างเปล่า ตามตำแหน่งที่ระบุไว้บนแผนที่ พวกเขาควรยืนอยู่ตรงหน้าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว แต่ข้างหน้าพวกเขาในตอนนี้ นอกจากทุ่งดอกไม้ ก็ไม่เห็นวี่แววของอย่างอื่นเลย
หลังจากผ่านความทรมานที่ไม่สามารถจินตนาการได้มานับไม่ถ้วน พวกจวินอู๋เสียก็ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมดอกไม้ สีเขียวข้างใต้ทำให้ทะเลดอกไม้สีม่วงดูสดใสมากขึ้น ยามที่ลมพัด ทะเลดอกไม้ก็พริ้วไหวเป็นระลอกคลื่น กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยอบอวล เป็นภาพที่สวยงามอย่างแท้จริง แต่พวกเขากลับรู้สึกได้แค่ความสิ้นหวัง
บนแผนที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าตำแหน่งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดอยู่ด้านหน้าพวกเขาไม่กี่ร้อยเมตรนี้เอง แต่ในรัศมีหนึ่งพันเมตรมีแต่ทุ่งดอกไม้ที่พริ้วไหวตามสายลม เมื่อไม่มีหมอก พื้นที่ทั้งหมดรอบตัวพวกเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และเหนือหัวพวกเขา ถึงมีเมฆปกคลุมอยู่ แต่แสงอาทิตย์ก็ส่องลงมา ทำให้ภาพตรงหน้าพวกเขาสว่างไสว
นอกจากดอกไม้สีม่วงแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นให้เห็นอีกเลย
เหมือนไม่เคยมีสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดอยู่เลย ไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นเลยสักนิด
“เป็นไปได้ยังไง……เป็นไปได้ยังไง……” เฉียวฉู่คร่ำครวญ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าหลังจากที่พวกเขาทุ่มเทพยายามกันมาอย่างสุดกำลังแล้ว นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาได้
ไม่มีอะไรเลย……
ไม่มีอะไรทั้งนั้น……
ทิวทัศน์ที่สวยงามตรงหน้าผลักคนทั้งกลุ่มให้ตกลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง
จวินอู๋เสียมองทุ่งดอกไม้ที่ไร้ที่สิ้นสุด สายลมพัดกลีบดอกไม้ขึ้นโปรยปรายไปทั่วบริเวณ กลีบดอกไม้สีม่วงหมุนวนรอบตัวนาง นำพากลิ่นหอมมาให้ แต่นางก็ไม่รู้สึกดีเลยสักนิด
จวินอู๋เสียหยิบแผนที่ออกมาตรวจสอบตำแหน่งของพวกเขาอีกครั้ง ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับ ยกเว้นเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? จวินอู๋เสียขมวดคิ้ว ทุกอย่างที่ระบุเอาไว้บนแผนที่แม่นยำไม่มีข้อผิดพลาด ซึ่งแปลว่าแผนที่นี้เป็นของแท้ พ่อแม่ของพวกเฉียวฉู่ต้องเสียสละกันไปมากเท่าไรในตอนนั้นเพื่อทำแผนที่นี้ให้สมบูรณ์?
พวกเขาเห็นกองกระดูกมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนตลอดทางที่มาที่นี่ และตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ จำนวนคนที่เสียชีวิตที่ผาสุดสวรรค์นั้นมีมากมายเกินกว่าจะนับได้แล้ว ตัวเลขนั้นไม่น่าจะแค่หลักหมื่น แต่น่าจะถึงหลักล้าน……หรือหลายสิบล้าน ที่ผาสุดสวรรค์ได้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของพวกเขา แผนที่ที่สร้างขึ้นจากชีวิตของผู้คนมากมายนั้นจะผิดได้ยังไง?
เป็นไปไม่ได้……
จวินอู๋เสียปฏิเสธแนวคิดนั้นโดยสิ้นเชิง พ่อแม่ของฟ่านจั๋วและคนอื่นๆได้เสียชีวิตไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตรวจสอบว่าคนพวกนั้นได้พบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดจริงๆหรือเปล่า?
และเหวินหยูก็เคยเข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดมาแล้วจริงๆ แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าไปที่นั่นได้ยังไง หรือว่าเขาออกจากที่นั่นมาได้ยังไง แต่เหวินหยูก็ได้เข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดผ่านทางผาสุดสวรรค์อย่างแน่นอน นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดอยู่ที่นี่จริงๆ
แต่……
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขานี่คืออะไรล่ะ?
จวินอู๋เสียไม่เข้าใจเลย สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดอยู่ที่ผาสุดสวรรค์อย่างแน่นอน นางเชื่อว่าพ่อแม่ของพวกฟ่านจั๋วได้พบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดก่อนจะกลับไปที่อาณาจักรกลางพร้อมแผนที่หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ด้วยความภักดีที่พวกเขามีต่อสิบสองวิหารในเวลานั้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรายงานเท็จ
ตอนที่ 1332 สุสานที่หายไป (2)
แผนที่นั้นเป็นของแท้ และสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดก็ไม่สามารถปลอมได้ งั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เจอมันล่ะ?
มีบางอย่างผิดปกติที่นี่
“อย่าเพิ่งร้อนใจกันเกินไป ทุกคนพักหายใจแล้วค่อยๆคิดให้ดีๆ” เมื่อเห็นเพื่อนๆพากันหดหู่สิ้นหวัง หรงรั่วก็พูดขึ้นทันที พวกเขาเหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทาง ร่างกายและจิตใจก็ถูกใช้งานอย่างสาหัส ตอนนี้สภาพจิตใจของพวกเขาจึงไม่มั่นคง แต่พวกเขาต้องไม่ทำให้ตัวเองผิดหวังจนเกินไป
“ทุกคนพักผ่อนกันเถอะ เจ้าทึ่มเฉียว ส่งถุงน้ำเจ้าให้ข้าหน่อย ของข้าหมดเกลี้ยงแล้ว หิวน้ำจะตายแล้วเนี่ย” เฟยเหยียนพูดพร้อมกับนั่งลงบนทุ่งดอกไม้ ยื่นมือออกไปรับถุงน้ำที่เฉียวฉู่โยนมาให้ ก่อนจะเงยหน้าเทน้ำลงในลำคอ
น้ำเย็นไหลผ่านลำคอของเขา ทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ทำให้ความปั่นป่วนในใจของเขาคลายลง
ทุกคนนั่งลงท่ามกลางทะเลดอกไม้สีม่วง พวกเขามาถึงขั้นที่ว่าไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้ว แทนที่จะโกรธและหงุดหงิด ทำไมไม่ให้ตัวเองพักสักหน่อยและทำให้หัวเย็นลงบ้าง ร่างกายที่เหนื่อยล้าก็จะได้พักฟื้นสักเล็กน้อย
ทุกคนใช้โอกาสพักที่หาได้ยากนี้พยายามฟื้นฟูพละกำลังของตัวเอง พวกเขาดื่มและกินอาหารเพื่อให้ท้องอิ่ม อาหารแห้งส่วนใหญ่ที่กินก็คือเนื้อที่แห้งและแข็ง เวลาเคี้ยวก็จะจืดชืดไร้รสชาติเหมือนกินท่อนไม้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังต้องกินของแบบนี้มาตลอดหนึ่งเดือน จนต่อมรับรสชาติของพวกเขาไม่รู้สึกอะไรแล้ว
สิ่งที่เฉียวฉู่ปรารถนามากที่สุดในตอนนี้ก็คือ หลังจากที่พวกเขาออกจากผาสุดสวรรค์กลับไปที่แคว้นฉีได้ ขออาหารดีๆให้พวกเขากินสักมื้อ จะเป็นอะไรก็ได้ ต่อให้เป็นแค่ข้าวต้มธรรมดากับกับข้าวจานเล็กๆ เขาก็ไม่รังเกียจเลยสักนิด ตราบใดที่ไม่ต้องเคี้ยวเนื้อแห้งบ้าๆพวกนี้อีก!
“ตอนกลับไป ข้าอยากเลี้ยงฉลองติดต่อกันทั้งเดือน จะกินให้อ้วกเลย!” เฉียวฉู่บ่นพลางเคี้ยวเนื้อแห้งเหนียวๆ แล้วลงนอนกางแขนบนทุ่งดอกไม้ อุณหภูมิที่นี่อบอุ่นสบายเหมือนฤดูใบไม้ผลิ แตกต่างจากความหนาวจัดและร้อนจัดก่อนหน้านี้ เมื่อรวมกับกลิ่นหอมของดอกไม้และทิวทัศน์ที่สวยงาม ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ผิดที่ผิดเวลา เขาก็คิดว่านี่เป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว
น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากชื่นชมมันเลยสักนิด
“ขอบ่อน้ำให้ข้าลงแช่น้ำก่อนเถอะ” เฟยเหยียนพูดพลางเอนหลังลง เขาสกปรกซะจนเกือบทนตัวเองไม่ได้แล้ว เนื่องจากที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์ไม่มีแหล่งน้ำมากนัก ถึงมี ถ้าไม่มีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ ก็เต็มไปด้วยพิษร้ายแรงถึงตาย ไม่มีแหล่งน้ำไหนที่ใช้ได้เลย
ตอนนี้เขาอยากอาบน้ำอุ่นๆ ล้างเนื้อล้างตัวเอาสิ่งสกปรกออกไปให้หมด
เสียงบ่นของเฉียวฉู่กับเฟยเหยียนคงทำให้เขาคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ฟ่านจั๋วที่นั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้ก็เอ่ยถามฮัวเหยาที่มักจะเงียบอยู่เสมอว่า
“ตอนกลับไป เจ้าอยากทำอะไร?”
ฮัวเหยาหันไปมองฟ่านจั๋ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “อยากนอนหลับดีๆสักตื่น”
เขาจำครั้งสุดท้ายที่ได้นอนหลับอย่างสงบสุขไม่ได้แล้ว เวลาที่พวกเขาต้องพักผ่อนที่ด้านล่างของผาสุดสวรรค์นั้นสั้นมาก และมักจะถูกล้อมรอบด้วยอันตรายทุกรูปแบบ ต่อให้หลับได้ พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองหลับสนิทเกินไปได้
ฟ่านจั๋วหัวเราะเบาๆและเอามือเท้าคางพลางพูดว่า “ข้าอยากกลับไปดูสำนักวายุประจิม” เขาอยากรู้ว่าพี่ชายของเขาที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่เป็นยังไงบ้าง และเขาก็คิดถึงบ้านไม้ไผ่เล็กๆของเขาที่อยู่ที่นั่น
ความคิดที่มีความสุขช่วยให้จิตใจที่กระวนกระวายหงุดหงิดของพวกผู้เยาว์ค่อยๆสงบลง มุมปากของทุกคนมีรอยยิ้มบางๆขึ้นมา ในวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเยาว์วัยเลือดร้อน พวกเขาจึงไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
“ที่จริงข้าสงสัยอะไรบางอย่างมาตลอดเลย” เฉียวฉู่พูดพร้อมกับลุกขึ้นนั่งอย่างกระทันหัน
“อะไร?” ฮัวเหยาถามพร้อมกับมองหน้าเขา
“เจ้าว่าสิบสองวิหารส่งคนมาตั้งเยอะแยะนับไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มีแค่พ่อแม่ของพวกเราที่พบที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด เจ้าไม่คิดว่ามันบังเอิญมากเกินไปบ้างเหรอ?” เฉียวฉู่ถามพลางเกาหัว
ตอนที่ 1333 สุสานที่หายไป (3)
ภายในสิบสองวิหารไม่เคยขาดแคลนคนที่มีความสามารถ แม้ว่าพ่อแม่ของพวกเฉียวฉู่จะแข็งแกร่งพอสมควร แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พวกหัวกะทิของสิบสองวิหาร นอกจากพ่อแม่ของพวกเขาห้าคน ก็ยังมีอีกสองคนจากวิหารอื่นที่หาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดพบเช่นกัน สิ่งที่แปลกก็คือเวลาที่คนพวกนั้นไปถึงสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดคือวันเดียวกันและรวมตัวกันเข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด
ถ้าบอกว่าหลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย พวกเขาคือหนึ่งในล้านคนที่หาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดพบ มันก็อธิบายได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ในวันนั้นมีคนจำนวนมากได้เข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่ว่าสิบสองวิหารจะส่งคนออกไปมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครสักคนที่สามารถค้นหาสถานที่นั้นพบอีก
จะต้องรู้ว่า พ่อแม่ของพวกเขาไม่มีแผนที่อะไรอยู่ในมือเลย และแม้ว่าหลังจากนั้นแผนที่จะถูกแบ่งออกไป แต่อย่างน้อยสิบสองวิหารก็มีเงื่อนงำบางอย่างแล้ว แต่ในช่วงสิบกว่าปีหลังจากนั้น ก็ไม่มีใครหามันพบอีกเลย
นั่นมันแปลกจริงๆ
“เรื่องนั้นข้าก็เคยคิดมาก่อน” ฮัวเหยาพูดพลางหรี่ตา ในวันนั้นมีคนจำนวนมากจากหลายกลุ่มที่ค้นพบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด และหลังจากจักรพรรดิแห่งความมืดตายไปหลายปี ก็ยังมีคนเพียงกลุ่มเดียวที่ทำสำเร็จ นั่นมันค่อนข้างจะไร้เหตุผลไปหน่อย
“ข้าจำได้ว่าพ่อของข้าได้ไปที่อาณาจักรกลางก่อนเพื่อกลับไปรายงาน แม่ของข้ายังคงอยู่ที่อาณาจักรล่างกับข้าเพียงคนเดียว ตอนนั้นข้าเห็นแผนที่บนหลังของแม่ และเนื่องจากข้ายังเด็กเกินไป จึงไม่รู้ความหมายเบื้องหลังแผนที่นั้น และถามแม่อย่างไร้เดียงสาว่าทำไมถึงอยากทำแผนที่สถานที่ที่แม่เคยไปมาแล้ว แต่แม่ของข้าบอกว่านางจำอะไรไม่ได้เลย” ฟ่านจั๋วพูดพร้อมกับหรี่ตาเล็กน้อย เขาเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ยังมีโอกาสพูดคุยกับครอบครัวหลังจากพบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว
ส่วนพ่อแม่ของเฉียวฉู่และคนอื่นๆนั้น พวกเขาถูกจับทันทีที่กลับไป
ตอนแรกพวกเขารู้สึกเพียงว่าสิบสองวิหารชั่วร้ายมากที่ฆ่ากระทั่งคนที่จงรักภักดีต่อพวกเขา
แต่ในตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
“ถ้าสิบสองวิหารกังวลว่าคนจากราชอาณาจักรแห่งความมืดจะพบว่าพวกเขาเจอสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว ก็แค่ซ่อนคนที่เจอสุสานไว้ก็ได้นี่นา ทำไมต้องฆ่าพวกเขาเร็วขนาดนั้นด้วย? นอกจากนั้น แผนที่ที่คนของพวกเขาถืออยู่ก็ไม่สมบูรณ์ แทนที่จะเก็บแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์เอาไว้ ทำไมไม่เก็บคนที่พบสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเอาไว้แทนล่ะ?” ในใจของฟ่านจั๋วจมอยู่กับความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ ทำให้เขาไม่สามารถคิดออกว่าอะไรคือสาเหตุที่พ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตาย
แต่พอสงบจิตใจคิดให้ดีแล้ว ก็ดูเหมือนว่ามีความไม่สอดคล้องกันมากมายกับวิธีที่เขาเคยคิดมา
“ถ้าสิ่งที่แม่ของเจ้าพูดเป็นความจริง งั้นเหตุผลที่สิบสองวิหารฆ่าพวกเขาก็กระจ่างแล้ว” จวินอู๋เสียพูดขึ้นทันที
“สิบสองวิหารแอบค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด และกลัวว่าคนจากราชอาณาจักรแห่งความมืดจะรู้เข้า ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ใครมาเล่นงานได้ ถ้าพ่อแม่ของพวกเจ้ายังจำสถานที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดได้อย่างแม่นยำ พวกเขาก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเป็นอย่างที่แม่ของฟ่านจั๋วพูดว่าพวกเขาลืมไปแล้ว งั้นคุณค่าของพวกเขาในสายตาของสิบสองวิหารก็ยังน้อยกว่าแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์พวกนั้น คนที่ไม่มีประโยชน์อะไรก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้ คนจากราชอาณาจักรแห่งความมืดก็จะไม่มีอะไรมาเล่นงานพวกเขาได้” จวินอู๋เสียอธิบาย นางเคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ แต่คำพูดของฟ่านจั๋วในวันนี้ได้ทำให้ข้อสงสัยของนางกระจ่างแล้ว และได้ให้คำอธิบายที่มีเหตุผลในสิ่งที่นางไม่เข้าใจ
ตอนที่ 1334 สุสานที่หายไป (4)
พ่อแม่ของพวกฟ่านจั๋วอาจโชคดีที่เข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดได้ และโชคของตอนนั้นก็บังเอิญเกิดขึ้นในวันเดียวกัน ดังนั้นจึงมีเพียงคนที่เข้ามาใกล้สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดในวันนั้นเท่านั้นที่สามารถค้นหาเป้าหมายที่แท้จริงได้
และหลังจากที่เข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด พวกเขาก็เจอกัน เพื่อที่จะยับยั้งอีกฝ่ายที่มาจากวิหารอื่น พวกเขาจึงคิดทำแผนที่ขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะพูดอย่างนั้น แต่ทุกคนก็รู้แก่ใจดีว่าแผนที่ก็แค่วิธีแก้ปัญหาแบบผิวเผินเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขาจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ได้ แผนที่ก็ไม่จำเป็นอะไรเลย
แต่หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเจอกับอะไรเข้า เมื่อออกจากสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด พวกเขาก็ลืมทุกอย่างทันที……
การเดาของนางทำให้นางนึกถึงสิ่งที่เหวินหยูเคยบอกไว้ เหวินหยูได้รับบาดเจ็บสาหัสและคิดว่าคงรอดอยู่ได้ไม่นาน แต่พอเขาหมดสติไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ใครบางคนก็นำเขาออกจากผาสุดสวรรค์
นอกจากนั้น เขาก็จำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำทั้งหมดในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเหลือเพียงความว่างเปล่า
เรื่องนั้น ตอนแรกจวินอู๋เสียคิดว่าเป็นเพราะเหวินหยูบาดเจ็บหนักมากจนทำให้ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอคิดย้อนกลับไป ก็น่าสงสัยว่าเขาจำไม่ได้ หรือว่า……ความทรงจำของเขาถูกลบออกไป?
จวินอู๋เสียมองไปยังทุ่งดอกไม้ที่ไร้ที่สิ้นสุดด้วยแววตาสิ้นหวัง
แผนที่ไม่น่าผิด และสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดก็อยู่ตรงนั้น
แต่พวกเขากลับมองไม่เห็น ไม่สามารถสัมผัสได้ เหมือนกับว่ามันหายไปจากที่นั่น
หลายปีที่ผ่านมานี้ สิบสองวิหารส่งยอดฝีมือมาที่ผาสุดสวรรค์มากมายเท่าไรแล้ว? แม้ว่าจวินอู๋เสียจะระบุจำนวนไม่ได้ แต่นางก็รู้ว่าคนพวกนั้นทุกคนล้วนแข็งแกร่งกว่าพวกนาง
พวกเขาสามารถหาทางมาถึงที่นี่ได้เหมือนพวกนาง แต่การได้เห็นทะเลดอกไม้ที่ไร้ที่สิ้นสุดนี้ทำให้พวกเขาหมดหวัง
พวกเขาหามันไม่เจอ หรือเจอแล้วแต่ไม่รู้ตัว?
ถ้าไม่ใช่เพราะแผนที่ที่อยู่ในมือ จวินอู๋เสียคงไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด
สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดหายไปอยู่ที่ไหนกัน?
จวินอู๋เสียลุกขึ้นยืนและเดินต่อไปในทะเลดอกไม้
ทันใดนั้น ร่างเล็กๆก็โผล่มาตรงหน้านาง
มงกุฎดอกไม้ที่ทำจากดอกไม้สีม่วงปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบหน้าสีชมพูระเรื่อของเสี่ยวเจว๋เงยขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังขณะมองจวินอู๋เสีย มือสองข้างยื่นมงกุฏดอกไม้ให้จวินอู๋เสีย
“พี่ชายตัวน้อย ของขวัญ……ให้……ท่าน……” เสี่ยวเจว๋พูดด้วยเสียงประหม่าปนเขิน
จวินอู๋เสียประหลาดใจ นางยกมือขึ้นขยี้ผมสีแดงเพลิงของเสี่ยวเจว๋ เด็กน้อยทำเหมือนมาเที่ยว ไม่ได้มีท่าทางกังวลใจหรือหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ก็ดีเหมือนกัน อยู่อย่างไร้กังวลก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างเศร้าโศกระทมทุกข์ไปตลอด
จวินอู๋เสียลงนั่งยองๆ มองดูเสี่ยวเจว๋
“ช่วยใส่ให้หน่อยซิ”
เสี่ยวเจว๋กระพริบตาปริบๆ มือเล็กๆของเขาสั่นขณะยกมงกุฎดอกไม้ที่ไม่ค่อยสวยนั่นขึ้นช้าๆและวางลงบนหัวของจวินอู๋เสีย
“สวยมาก” หลังจากที่เสี่ยวเจว๋ใส่ให้จวินอู๋เสีย เขาก็ก้าวถอยหลังไปอย่างอายๆ มือเล็กๆของเขากุมไว้ที่ด้านหลัง บิดตัวไปมาด้วยความเขินเล็กน้อย
จวินอู๋เสียยิ้มบางๆ สายตาของเลื่อนขึ้นไปเหนือไหล่ของเสี่ยวเจว๋อย่างไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเอง นางก็ชะงักค้าง แววตาประหลาดใจผุดขึ้นมา นางยืนขึ้นและมองไปยังทะเลดอกไม้ที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า
ตอนที่ 1335 สุสานที่หายไป (5)
สายตาที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ของจวินอู๋เสียดึงดูดความสนใจของพวกเฉียวฉู่
“เสี่ยวเสีย มองอะไรอยู่น่ะ?” เฉียวฉู่ลุกขึ้นนั่ง กลีบดอกไม้ติดเต็มตัวไปหมด
“เจ้าเดาหัวใจของเด็กสาวไม่ออกหรอก” เฟยเหยียนกระซิบขณะมองไปที่มงกุฎดอกไม้บนหัวของจวินอู๋เสีย จากนั้นก็แอบชำเลืองมองไปที่หรงรั่ว ก่อนจะเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ออกมาจากก้านจำนวนหนึ่ง แล้วนั่งอยู่เงียบๆท่ามกลางทุ่งดอกไม้ สองมือของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“โอ้ เรื่องของหัวใจเด็กสาว ข้าคงรู้ไม่มากเท่าเจ้าจริงๆ เหยียนเอ๋อร์……” เฉียวฉู่พูดอย่างมีนัย แกล้งลากเสียงที่พยางค์สุดท้าย
เฟยเหยียนกลอกตาใส่เขา แล้วยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองต่อไป
เขาไม่มีเวลามายุ่งกับเจ้าทึ่มนั่นหรอก!
“เจ้าเห็นอะไรเหรอ?” หรงรั่วถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาจวินอู๋เสีย เท่าที่นางรู้จักจวินอู๋เสียมา ทุ่งดอกไม้ตรงหน้าพวกเขาไม่มีทางกระตุ้นความสนใจจวินอู๋เสียได้มากขนาดนั้นหรอก แล้วนางก็มีท่าทางปกติมาตลอด ทำไมจู่ๆถึงจ้องมองไปข้างหน้าแบบนั้นล่ะ?
จวินอู๋เสียไม่พูดอะไร แต่เอามงกุฏดอกไม้ออกจากหัวมาถือไว้ในมือ สายตายังคงจ้องนิ่งอยู่ที่เดิม
เสี่ยวเจว๋ก้มหน้าด้วยความเศร้า เขาคิดว่า “พี่ชายตัวน้อย” ไม่ชอบมงกุฎดอกไม้
“ดูนี่ซิ” จู่ๆจวินอู๋เสียก็ยกมือขึ้นและชี้ไปยังทิศทางที่ตัวเองมองอยู่
เหนือทุ่งดอกไม้ มีมงกุฎดอกไม้อีกอันลอยอยู่กลางอากาศ มงกุฎดอกไม้นั้นทำออกมาไม่สวยเลย ถักออกมาแบบหลวมๆ เหมือนอันที่อยู่ในมือของจวินอู๋เสียเป๊ะ
“เกิดอะไรขึ้น?!” หรงรั่วพูดอย่างประหลาดใจ นางตกใจเล็กน้อยจากภาพที่เห็นตรงหน้า
มงกุฎดอกไม้ลอยได้ มันแปลกเกินไปแล้ว และพอจวินอู๋เสียขยับมงกุฎดอกไม้ในมือ มงกุฎดอกไม้อีกอันก็ขยับตาม!
“กระจกลวงตา!” ฟ่านจั๋วอุทาน ลุกพรวดขึ้นมาและกระโจนสองก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างๆจวินอู๋เสีย
“กระจกลวงตา?” จวินอู๋เสียถามอย่างสงสัย
“ข้าก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่เคยได้ยินแม่ของข้าพูดถึง แต่ก็จำไม่ได้แล้ว” ฟ่านจั๋วดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จากนั้นเขาก็หันไปมองจวินอู๋เหยาที่อยู่ด้านข้างทันที
“พี่ใหญ่อู๋เหยา ท่านรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
จวินอู๋เหยาเดินมาข้างๆจวินอู๋เสียและมองดูปรากฏการณ์แปลกประหลาดนั่น แต่ก็ไม่มีคำถามใดๆในสายตาของเขา เขาหยิบเอามงกุฎดอกไม้จากมือของจวินอู๋เสีย และท่ามกลางสายตาจ้องมองอย่างกระวนกระวายของเสี่ยวเจว๋ เขาโยนมันขึ้นไปในอากาศทันที
พอมงกุฏดอกไม้สีม่วงถูกโยนขึ้นไป มันก็แตกกระจายออก กลีบดอกไม้ร่วงหล่นกระจัดกระจายลงมาอย่างช้าๆ ราวกับเกล็ดหิมะตกลงมา
และอีกฝั่งหนึ่งก็เกิดภาพอย่างเดียวกันขึ้น
เหมือนกันเป๊ะเลย!
“กระจกสะท้อนจันทร์” จวินอู๋เหยายิ้มมุมปาก เขาก้มหน้ามองจวินอู๋เสีย
“นี่คือเขตแดนชนิดหนึ่งเหมือนที่เราเคยเจอก่อนหน้านี้ แต่อันนี้ซับซ้อนกว่านิดหน่อย มันจะสะท้อนภาพสิ่งต่างๆได้ และอันนี้น่าจะสะท้อนแต่ภาพของพืชเท่านั้น”
มันเป็นภาพเดียวกันอย่างแน่นอน แต่มีแค่ภาพสะท้อนของมงกุฎดอกไม้ให้เห็นเท่านั้น ไม่มีภาพของจวินอู๋เสียและคนอื่นๆเลย ราวกับว่ามีพลังบางอย่างเอาภาพของพวกเขาออกไป
จวินอู๋เสียใจเต้นแรงขึ้นมาทันที นางวิ่งขึ้นไปข้างหน้า
ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงแรงกดดันแปลกๆบางอย่างที่หยุดนางเอาไว้ไม่ให้ไปข้างหน้าต่อได้!
เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นป้องกันไม่ให้นางผ่านไป
จวินอู๋เสียใจเต้นแรง นางยกมือขึ้นและวางมือลงบนกำแพงที่ไร้รูปร่างนั้น ภายใต้ฝ่ามือของนาง นางรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แข็งและเย็นของหิน!
สุสานจักรพรรดิแห่งความมืด!
ตอนที่ 1336 สุสานที่หายไป (6)
จวินอู๋เสียใจเต้นแรง นางยกมือขึ้นและวางมือลงบนกำแพงที่ไร้รูปร่างนั้น ภายใต้ฝ่ามือของนาง นางรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แข็งและเย็นของหิน!
สุสานจักรพรรดิแห่งความมืด!
จวินอู๋เสียรู้สึกถึงกำแพงที่มองไม่เห็น นางก้มหน้าลงมองดอกไม้รอบๆเท้า ตรงเท้าของนาง ดอกไม้ดูไม่เชื่อมต่อกันเหมือนว่าพวกมันถูกตัดขาดออกไปบางส่วน
มันคือการบิดเบือนพื้นที่!
จวินอู๋เสียสูดหายใจเข้าลึกๆ
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดยอดฝีมือมากมายที่มายังผาสุดสวรรค์แล้วยังไม่สามารถหาที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดได้ทั้งๆที่ผ่านมานานมากแล้ว ที่แท้ก็เป็นเพราะว่า……
สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดนั้นคือสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นนั่นเอง!
อย่างที่จวินอู๋เหยาบอกไว้ เขตแดนที่เรียกว่า “กระจกสะท้อนจันทร์” นั้นถูกกางไว้นอกสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเพื่อเอาไว้สร้างภาพลวงตา ในภาพจะสะท้อนแค่พืชเท่านั้น เมื่อมองจากระยะไกล สถานที่ทั้งหมดจะดูเหมือนทะเลดอกไม้ที่ไร้ที่สิ้นสุดทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า สร้างความสิ้นหวังให้ผู้คน แต่ใครจะคิดว่าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแท้จริงแล้วจะซ่อนอยู่ในทะเลดอกไม้นั้น?
ต่อให้คนพวกนั้นหาทางมาจนถึงที่นี่ได้ พวกเขาก็จะถูกภาพลวงตาทำให้สับสน ไม่มีใครสักคนจะคาดคิดว่าความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นตั้งอยู่กลางทะเลดอกไม้สีม่วงนั่นเอง
หลังจากผ่านอุปสรรคที่โหดร้ายทารุณมาได้ พอคนพวกนั้นมาถึงสถานที่นี้ พวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง “กระจกสะท้อนจันทร์”
ดอกไม้ที่ดูเหมือนๆกันไปหมดก็ไม่ได้ดูผิดปกติอะไรเมื่อมองจากระยะไกล ถ้าไม่ใช่เพราะความไร้เดียงสาของเสี่ยวเจว๋ที่พยายามทำมงกุฎดอกไม้ให้จวินอู๋เสีย แล้วมันก็สะท้อนใน “กระจกสะท้อนจันทร์” ล่ะก็ พวกเขาอาจจะไม่มีวันค้นพบความลับนี้เช่นกัน
สุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ที่จริงแล้วอยู่ตรงหน้าพวกเขานี่เอง!
ในที่สุดพวกเขาก็หาเจอแล้ว!
“สุสานจักรพรรดิแห่งความมืด เราหาเจอแล้ว” เสียงของจวินอู๋เสียดังขึ้น บอกข่าวดีให้กับเพื่อนๆของนางที่อยู่ข้างหลัง
พวกเฉียวฉู่ลุกพรวดขึ้นมาทันที ดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นราวกับมีไฟอยู่ในนั้น ความทรมานและความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่ได้รับมาตลอดการเดินทาง ดูเหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที เลือดในตัวเริ่มเดือดพล่าน!
หลังจากผ่านมาหลายปี ในที่สุดพวกเขาก็พบมัน!
“เจอแล้ว……เราหาเจอแล้ว……” เสียงของเฉียวฉู่เริ่มสั่น ขอบตาแดงขึ้นมาทันที หลังจากอดทนอย่างเงียบๆมานานหลายปี ในที่สุดพวกเขาก็หาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเจอ ความรู้สึกที่พวกเขาสะกดกลั้นไว้มานานก็ระเบิดออกในตอนนี้เอง!
“อ๊ากกกกกกกกก!!!”
เสียงคำรามดังขึ้นเพื่อระบายความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาจากในหัวใจ
“พี่ใหญ่อู๋เหยา มีวิธีคลายเขตแดน “กระจกสะท้อนจันทร์” นี่ไหม?” ฮัวเหยาพยายามระงับความตื่นเต้นในใจขณะถามขึ้นด้วยเสียงที่สงบนิ่ง
การค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดนั้น พวกเขาประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แม้ว่าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดจะอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ทำได้แค่รู้สึกถึงมัน แต่มองไม่เห็นมัน พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้จากการสัมผัสเท่านั้น
พวกเขาไม่มีเงื่อนงำเลยว่าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดใหญ่แค่ไหน ถ้าหากต้องพึ่งมือสัมผัสไปเรื่อยๆทีละนิ้วล่ะก็ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ากี่ปีกี่เดือนกว่าพวกเขาจะหาทางเข้าเจอ
“เขตแดนแบบนี้ เจ้าจะต้องค้นหารากของมันให้เจอและทำลายมันซะก็แค่นั้น” จวินอู๋เหยาพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นดวงตาของจวินอู๋เสียเปล่งประกายด้วยความดีใจ อารมณ์ของเขาก็ดูเหมือนจะดีตาม
สำหรับท่าทางอารมณ์ดีของจวินอู๋เหยานั้น เย่ฉากับเย่เหม่ยตอนนี้สามารถนิ่งเฉยและสงบสติอารมณ์ได้แล้ว
นายท่านเจว๋พาคุณหนูมาขุดสุสานของตัวเอง เรื่องนี้ยังทำได้ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว แล้วตอนนี้ก็ยังช่วยพวกเขาฝ่าเขตป้องกันของสุสานตัวเองอีกด้วย!
เพื่อทำให้คุณหนูยิ้มได้ นายท่านเจว๋ของพวกเขาทำได้ทุกอย่างจริงๆ!
ตอนที่ 1337 สุสานที่หายไป (7)
ทุกคนเริ่มค้นหาสิ่งที่น่าสงสัยรอบๆเขตแดนทันที สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว และจวินอู๋เหยาก็พูดไว้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่คงเขตแดนเอาไว้น่าจะเป็นผลึกคริสตัลหลายอัน พวกเขาก็แค่ต้องทำลายมันซะ แล้วเขตแดนก็จะถูกทำลาย
พูดง่ายกว่าทำ เพราะผลึกคริสตัลไม่ได้หาเจอได้ง่ายๆ พวกเขามองไม่เห็นว่าสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดใหญ่ขนาดไหน ทุกคนจึงเดินตามขอบไปเรื่อยๆ ใช้การก้าวเท้าเป็นการวัดระยะที่แน่นอน และหลังจากเดินอยู่นาน พวกเขาก็ยังไม่พบจุดเลี้ยวตรงไหนเลย ทุกคนยังยืนอยู่ด้านแรกของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด
เฟยเหยียนกับหรงรั่วเดินไปทางเดียวกัน แม้ว่าสายตาของเฟยเหยียนจะมองอยู่ที่หลังของหรงรั่ว แต่มือก็ยังสัมผัสไปรอบๆเพื่อค้นหา อีกมือหนึ่งซ่อนไว้ที่ด้านหลัง เขาเพิ่มความเร็วในการเดินขึ้นอย่างเงียบๆ และเดินขึ้นไปถึงด้านหลังของหรงรั่ว
หรงรั่วกำลังจดจ่อกับการหาผลึกเขตแดน แล้วจู่ๆก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างวางลงบนหัว นางเอื้อมมือไปแตะอย่างงงๆ แล้วก็พบว่าในมือเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้
หรงรั่วหันกลับไปและเห็นเฟยเหยียนยืนอยู่ข้างหลังพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสที่คุ้นเคย
“สวยมากเลย” เฟยเหยียนพูดยิ้มๆ
หรงรั่วมองภาพสะท้อนของมงกุฎดอกไม้ในเขตแดน มงกุฏดอกไม้บนหัวนางเมื่อเทียบกับของเสี่ยวเจว๋แล้วทำออกมาได้ดีกว่ามาก ดอกไม้สีม่วงถูกถักเข้าด้วยกันกับใบไม้สีเขียวอย่างประณีต มันค่อนข้างสวยทีเดียว
แต่ริมฝีปากของหรงรั่วแข็งทื่อเล็กน้อย นางมองเฟยเหยียนอย่างจนปัญญา
ใบหน้าของเฟยเหยียนประดับด้วยรอยยิ้มสดใส แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหรงรั่ว รอยยิ้มของเขาก็เริ่มจางหายไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึก หลังจากวันที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างพวกเขาสองคน หรงรั่วก็จงใจทำตัวเหินห่างกับเขา คนสองคนที่เมื่อก่อนตัวติดกันมาตลอด ตอนนี้กลับเงียบใส่กันอย่างน่าอึดอัด การที่หรงรั่วหลบเลี่ยงเขาไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ทำให้ในใจของเฟยเหยียนรู้สึกเศร้าอยู่เสมอ
ความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่เฟยเหยียนไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
“เจ้า……ไม่ชอบเหรอ?” เสียงของเฟยเหยียนสะดุดเล็กน้อย
หรงรั่วมองหน้าเฟยเหยียนพร้อมกับขมวดคิ้ว นางเอามงกุฎดอกไม้ออกจากหัวแล้ววางมันไว้ในมือของเฟยเหยียน
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้แก่ใจดีอยู่แล้ว ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้” หรงรั่วพูดอย่างกลัดกลุ้ม นางกับเฟยเหยียนสนิทกันมาก แต่นางเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนที่ดีที่สุด เป็นเหมือนพี่น้องที่แท้จริงของตัวเอง
ก็แค่นั้น
“ทำไม?” เฟยเหยียนถามเบาๆ
ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?
หรงรั่วถอนใจ นางเริ่มรู้สึกอึดอัดในอก
“ข้าไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดว่าข้าเป็น ที่จริงแล้วข้า……”
ขณะที่หรงรั่วกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น!
ทั้งสองลืมเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ทันที พวกเขาหันไปทางเสียงอย่างรวดเร็ว!
จวินอู๋เสียกำลังค้นหาผลึกคริสตัลที่จะคลายเขตแดน และหลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่ง นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเล็กๆยื่นออกมาที่ใต้ฝ่าเท้า นางลงนั่งยองๆทันที และกวาดเอาดินรอบๆสิ่งที่ยื่นออกมาใต้ดอกไม้พวกนั้น
ผลึกคริสตัลสีม่วงแวววาวปรากฏขึ้นในดิน นางรวบรวมพลังวิญญาณให้ลุกเป็นไฟ แล้วซัดพลังเข้าใส่ผลึกคริสตัลอันนั้น!
ทันทีที่กำปั้นของนางโดนผลึกคริสตัล คริสตัลสีม่วงสวยอันนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆทันที ในเวลาเดียวกับที่ผลึกคริสตัลแตก ก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น และก่อนที่จวินอู๋เสียจะทันได้ตอบสนอง นางก็รู้สึกว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของนางยุบตัวลงและจมลงไปทันที!
จากนั้นพลังอันแข็งแกร่งก็ลากนางลงไปพร้อมกับพื้นดินที่ยุบตัวลง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น