Genius Doctor Black Belly Miss 1303-1309

 ตอนที่ 1303  เจ้าคือน้องชายของข้า (1)


มารแดงไม่ได้เป็นอันตรายต่อวิญญาณของคน  แต่โลหิตแดงเป็น!


โลหิตแดงเป็นของที่ไม่สมบูรณ์  มันขาดวัตถุดิบหนึ่งอย่าง  และเป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด


นั่นก็คือ เลือดหนึ่งหยด แค่นั้นก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายแล้ว


จากที่เย่ฉาและเย่เหม่ยเห็น  สถานการณ์ของเสี่ยวเจว๋ดูมั่นคงดีแล้ว  แม้ว่าวิญญาณของเขาจะไม่สมบูรณ์และไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์อย่างเต็มที่  แต่จิตสำนึกของเขาก็ชัดเจน  ไม่มีอาการสับสนปั่นป่วนอะไรให้เห็นเลย


เขาเป็นแค่เด็กที่วิญญาณไม่สมบูรณ์  จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแยกแยะสิ่งต่างๆได้


ถ้าจวินอู๋เสียเห็นเสี่ยวเจว๋เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่ง  นางคงดีใจที่เสี่ยวเจว๋อยู่ในสภาพนั้น  แต่นางเห็นเด็กน้อยเป็น ‘น้องชาย’ ของนาง


คำพูดของจวินอู๋เหยาทำให้จวินอู๋เสียจมอยู่กับความคิด  นางเงียบไปครู่หนึ่ง  แล้วทันใดนั้นก็ลุกขึ้น  เดินตรงไปที่รถม้าของฟ่านจั๋ว


นางกระโดดขึ้นไปบนรถม้าอย่างคล่องแคล่วและดึงม่านเปิดออก  ทันใดนั้นนางก็เห็นร่างเล็กๆนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ในมุมที่ไกลที่สุดของรถม้า  บนใบหน้าเล็กๆนั่นมีน้ำตาใสๆไหลรินลงมาจากดวงตากลมโต  เขานั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ตรงนั้นคนเดียว  พร้อมกับกอดเข่าแน่น  ร่างกายสั่นด้วยแรงสะอื้น


เมื่อเห็นจวินอู๋เสียโผล่มา  ดวงตาของเสี่ยวเจว๋ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที  เขามองไปที่จวินอู๋เสียอย่างร้อนรน  แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลและไม่สบายใจ  แต่ก็ไม่ได้มีความเศร้าในแววตาแล้ว


เขาอ้าปากเล็กน้อยราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง  แต่ก็ไม่กล้า  น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม


ขณะที่จวินอู๋เสียมองดูร่างเล็กๆนั้น  ปฏิกิริยาของเขาทำให้นางนึกถึงจักรพรรดิน้อยตอนที่นางพบกับเขาครั้งแรก


เขาดูขี้กลัวเหมือนตอนนี้เลย


เขาไม่ได้เปลี่ยนไป


“อย่า……อย่าโกรธนะ……”  เสี่ยวเจว๋พูดเบาๆ เสียงสั่น  เขามองจวินอู๋เสียอย่างอ้อนวอน  เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกไม่สบายใจนี้มาจากไหน  แต่เขากลัวมากจริงๆ  กลัวว่าจวินอู๋เสียจะทิ้งเขา


“พี่ชาย……อย่าโกรธ……ข้า…..เลยนะ……”


เสียงของเขาสั่น  แทรกด้วยเสียงสูดหายใจ  เขาไม่กล้าร้องไห้ออกมาดังๆ  จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้


จวินอู๋เสียรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ  นางเดินเข้าไปข้างในแล้วนั่งลงมองเสี่ยวเจว๋ที่ร้องไห้อย่างหมดสิ้นหนทาง


“ข้าไม่ได้โกรธ”  จวินอู๋เสียพูดขณะที่มองเสี่ยวเจว๋ด้วยสายตาจริงจัง  “ถึงโกรธ  ก็ไม่ได้โกรธเจ้า  ข้าแค่……”


จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไรต่อ  หลังจากช่วยจักรพรรดิน้อยจากเมืองหลวงแคว้นจิ้ว  จวินอู๋เสียก็ได้รู้จากราชครูเหอว่าคนพิษที่แลกชีวิตของเขาเพื่อปกป้องจักรพรรดิน้อยนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน  แต่เป็นพี่ชายของจักรพรรดิน้อยนั่นเอง


พิษได้แทรกซึมลึกเกินไป  เขาได้สูญเสียการรับรู้ไปแล้วจนไม่สามารถจำใครได้


แต่ตอนที่จักรพรรดิน้อยตกอยู่ในอันตราย  พี่ชายของเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในทันที  ใช้ไหล่กว้างของเขาปกป้องคุ้มครองจักรพรรดิน้อยที่ไร้เดียงสา


ขนาดจิตวิญญาณถูกทำลายไปแล้ว  ก็ยังคงมีจิตใจที่จะทำเช่นนั้นได้  ในสายตาของจวินอู๋เสีย  นั่นเกือบจะเป็นปาฏิหาริย์


แต่……


นางไม่สามารถช่วยปาฏิหาริย์นั้นเอาไว้ได้


นั่นเป็นครั้งแรกที่จวินอู๋เสียไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  แม้ว่าจะมีทักษะและความรู้ด้านการแพทย์  แต่ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เลย


นั่นเป็นกรณีของพี่ชายของจักรพรรดิน้อย  และกรณีของจักรพรรดิน้อยก็เหมือนกัน


จวินอู๋เสียโกรธ  แต่โกรธตัวเอง  นางไม่เคยโทษคนอื่นเลย


นางเคยคิดว่า  ถ้าหากนางมีทักษะทางการแพทย์มากกว่านี้  นางจะสามารถช่วยพี่ชายของจักรพรรดิน้อยเอาไว้ได้หรือเปล่า?  นางจะรักษาจักรพรรดิน้อยได้ไหม?


แบบนั้นจักรพรรดิน้อยก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้  เขาจะได้กลับไปที่แคว้นจิ้วพร้อมกับพี่ชายของเขา  หรือเขาอาจจะได้สนุกกับชีวิตในฐานะจักรพรรดิน้อย  หรืออาจจะกลายเป็นท่านอ๋องที่ตั้งเป้าจะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร ฝึกฝนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพี่ชาย


ตอนที่ 1304  เจ้าคือน้องชายของข้า (2)


แบบนั้นจักรพรรดิน้อยก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้  เขาจะได้กลับไปที่แคว้นจิ้วพร้อมกับพี่ชายของเขา  หรือเขาอาจจะได้สนุกกับชีวิตในฐานะจักรพรรดิน้อย  หรืออาจจะกลายเป็นท่านอ๋องที่ตั้งเป้าจะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร ฝึกฝนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพี่ชาย


โชคร้ายที่นางไม่สามารถช่วยพี่ชายของจักรพรรดิน้อยเอาไว้ได้  และเกือบจะเสียจักรพรรดิน้อยไปด้วย……


จวินอู๋เสียที่มีชีวิตอยู่มาสองชาติ  ทั้งอดีตและปัจจุบัน  มีแค่สองเคสนี้เท่านั้นที่นางรู้สึกว่าความรู้ความสามารถทางการแพทย์ของนางช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี


“พี่ชายตัวน้อย……ไม่โกรธ……”  เสี่ยวเจว๋เหมือนจะรู้สึกได้ว่าท่าทางของจวินอู๋เสียไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว  ทำให้เขารู้สึกว่าจวินอู๋เสียในตอนนี้ไม่ได้รังเกียจที่เขาเข้าใกล้  แต่เขาก็ยังคงขยับก้นเล็กๆของเขาเข้าไปอย่างระมัดระวังมากอยู่ดี  ค่อยๆเขยิบเข้าไปทีละนิดเพื่อทดสอบระยะห่าง


จวินอู๋เสียมองใบหน้าประหม่าเล็กๆและดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ  ดูกลัวว่านางจะปฏิเสธและทิ้งเขาไป  แล้วอยู่ๆจวินอู๋เสียก็หัวเราะออกมาเบาๆ  แล้วยกมือขึ้นเลียนแบบท่าทางของจวินอู๋เหยา  ลูบหัวของเสี่ยวเจว๋


เสี่ยวเจว๋ทำตาโตจ้องมองจวินอู๋เสีย  นี่เป็นครั้งแรกที่จวินอู๋เสียทำกับเขาอย่างอบอุ่นเช่นนี้  แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจความหมายของการกระทำดังกล่าว  แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเขาชอบมันมาก


“เจ้าคือน้องชายของข้า  ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้า  แล้วก็เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้าแล้วนะ”  จวินอู๋เสียพูด  พยายามทำแววตาให้ดูอบอุ่นมากที่สุด


[นาง ‘เสีย’ พี่ใหญ่ไป  แต่ได้น้องชายมาคนนึง  สวรรค์เมตตานางมากเลยไม่ใช่หรือ?]


ไม่รู้ว่าเสี่ยวเจว๋เข้าใจคำพูดของจวินอู๋เสียรึเปล่า  แต่หลังจากได้ฟัง  เขาก็หยุดร้องไห้และมองจวินอู๋เสียด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย


ความรู้สึกไม่สบายใจดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว


……………………


เฉียวฉู่กับคนอื่นๆนั่งอยู่ข้างกองไฟ  ไม่กล้าเข้าไปรบกวนจวินอู๋เสียกับเสี่ยวเจว๋  พวกเขาไม่มีทางเลือก  ได้แต่นั่งมองตากันไปมา  แล้วสายตาของพวกเขาก็ไปจบอยู่ที่ร่างของจวินอู๋เหยาโดยไม่ได้ตั้งใจ  ทุกคนต่างอยากรู้ว่าจวินอู๋เหยาทำอะไรที่ผาสุดสวรรค์


เสียงร้องโหยหวนนั่นยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจของพวกเขา


แต่จวินอู๋เหยาไม่คิดที่จะพูดอะไร  หลังจากรออยู่นานก็ยังไม่เห็นจวินอู๋เสียออกมาจากรถม้า  เขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปดู


พอเขายกผ้าม่านขึ้น  ก็เจอกับภาพที่ทำให้หัวใจอบอุ่นอย่างมาก


ด้านในรถม้า  จวินอู๋เสียนั่งเอนไปด้านหนึ่ง  หลับสนิท  ขณะที่เสี่ยวเจว๋ซึ่งร้องไห้จนเหนื่อยก็นอนตักนางและล่องลอยไปในความฝัน


ภาพที่เงียบสงบนั้นทำให้จวินอู๋เหยามีรอยยิ้มอยู่ในแววตา  เขาปล่อยม่านลงเบาๆและหันหลังเดินกลับไปยังทางที่มา


“วันนี้เราจะพักผ่อนกันที่นี่  พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางไปผาสุดสวรรค์”


เขาจะปล่อยให้เด็กน้อยสองคนได้พักผ่อนดีๆสักหน่อย


ไม่มีใครกล้าคัดค้านคำพูดของจวินอู๋เหยาเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจวินอู๋เสียและเสี่ยวเจว๋ในรถม้า  และรอจนถึงค่ำก็ยังไม่เห็นสองคนนั้นออกมา  ฟ่านจั๋วจะกลับไปที่รถม้าเพื่อพักผ่อน  จวินอู๋เหยาก็บอกเขาว่าให้มาพักที่รถม้าของเขาแทนในคืนนี้


คำเชิญนั้น……


ทำให้ฟ่านจั๋วตกใจกลัวจนหนาวเย็นไปทั้งร่าง  เขารีบส่ายหน้าและปฏิเสธอย่างรวดเร็ว  จากนั้นก็วิ่งไปหาฮัวเหยาและเฉียวฉู่  ขอร้องให้พวกเขาแบ่งที่ให้เขาพักด้วย


ผู้เยาว์ทั้งสามเบียดกันอยู่ในรถม้าคันเดียวตลอดทั้งคืน


[อย่ามาล้อเล่นน่า!]


[นอนอยู่ในรถม้าคันเดียวกับพี่ใหญ่อู๋เหยา  ใครจะไปหลับลง!?]


คืนนั้น  จวินอู๋เหยาจึงมีเพียงท่านแบะแบะและกระต่ายโลหิตที่กลัวเขามากจนพากันสั่นตลอดทั้งคืนอยู่ในรถม้าเป็นเพื่อน  เขานอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน  ท่านแบะแบะและกระต่ายโลหิตก็กลัวจนไม่อาจหลับตาลงได้เช่นกัน……


ตอนที่ 1305  เริ่มเดินทาง (1)


เช้าตรู่วันต่อมา  พวกผู้เยาว์ต่างลงมาจากรถม้าด้วยหน้าตาสดชื่น  จวินอู๋เสียยืนรออยู่ข้างนอกนานแล้ว  ที่ยืนอยู่ข้างๆนางคือเสี่ยวเจว๋ผู้มีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าและไม่ยอมออกห่างจากนางแม้แต่ก้าวเดียว  แม้ว่าเขาจะกำลังถือถุงใส่หินหยกและเคี้ยวอย่างมีความสุข  แต่ดวงตาของเขาก็ไม่เคยละไปจากร่างของจวินอู๋เสียเลย


“เฮ้อ……เจ็บปวดเหมือนกันนะ  เสี่ยวเจว๋นอนอยู่ข้างๆข้ามาตลอดการเดินทางนี้  แล้วตอนนี้เขาก็ไม่มองมาที่ข้าเลยแม้แต่นิดเดียว”  ฟ่านจั๋วพูดพลางกุมหน้าอกอย่างปวดใจ  สายตามองไปที่เด็กน้อยซึ่งกำลังจ้องมองคนอื่นอยู่


“เขาไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วพูดกับเจ้าว่า ‘จินพี่ชาย’ ก็ดีมากแล้วนะ”  เฟยเหยียนพูดด้วยสีหน้าพอใจ  ไม่รู้ทำไม  ในบรรดาสหายทุกคน  นอกจากจวินอู๋เสียแล้ว  เสี่ยวเจว๋สนใจแค่หรงรั่วเท่านั้น  แต่ความสนใจนี้ทำให้เฟยเหยียนหัวเราะไม่ออกเลย


เขาไม่อยากเห็น ‘ภรรยาในอนาคต’ ของเขาถูกสัตว์ประหลาดตัวน้อยนั่นกิน


ถ้านางจะถูก ‘กิน’  เขาก็ต้องเป็นคน ‘กิน’ ซิ!


“พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้  ข้าก็รู้สึกดีขึ้นมาทันทีเลย”  ฟ่านจั๋วพูดพร้อมหัวเราะ  เทียบกับการที่เสี่ยวเจว๋มาพูด ‘จินพี่ชาย’ กับเขาล่ะก็  เขาว่าการถูกเมินก็เป็นเรื่องที่พอจะยอมรับได้


เฟยเหยียนกลอกตาใส่ฟ่านจั๋วแบบไม่เกรงใจเลย


ตอนที่จวินอู๋เหยาลงมาจากรถม้า  เย่ฉาและเย่เหม่ยก็อุ้มท่านแบะแบะและกระต่ายโลหิตออกมาแล้ว  แค่คืนเดียว  เจ้าสัตว์โง่ทั้งสองก็ดูเหมือนผ่านการทรมานครั้งยิ่งใหญ่มาและได้รับความบอบช้ำเป็นอย่างมาก  ทั้งสองดูซึมเศร้าและเหนื่อยล้า


ตรงข้ามกับแมวดำบนหลังของจวินอู๋เสียที่ดูกระฉับกระเฉงแข็งแรง


เมื่อเห็นจวินอู๋เหยา  เสี่ยวเจว๋ที่ยืนอยู่ข้างๆจวินอู๋เสียก็ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว  เว้นระยะห่างระหว่างตัวเขาและจวินอู๋เสีย  แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่นาง


“หลับสบายไหม?”  จวินอู๋เหยาไม่มีคนอื่นอยู่ในสายตา  เขาเดินตรงไปหาจวินอู๋เสีย  จ้องมองใบหน้าเล็กๆขาวเนียนของนางเหมือนกับว่ามองเท่าไรก็ไม่พอ


ในการเดินทางค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดครั้งนี้  จวินอู๋เสียไม่ได้แปลงโฉมปลอมตัว  นางยังคงอยู่ในรูปลักษณ์เดิมของตัวเอง


ตลอดปีที่ผ่านมา  จวินอู๋เสียปรากฏตัวในร่างของเด็กชายวัยรุ่นนั่นเกือบตลอดเวลา  หายากที่จะได้เห็นใบหน้าที่งดงามไร้ที่ตินี้  กระทั่งจวินอู๋เหยาก็ยังอดใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้


หนึ่งปีมานี้  สาวน้อยยิ่งสวยมากขึ้นเรื่อยๆ  กระทั่งทุ่งดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้านางก็ดูจืดชืดไร้สีสัน


“อืม”  จวินอู๋เสียตอบกลับเบาๆ  นางไม่คิดว่าจะหลับไปทั้งอย่างนั้น


“ทุกอย่างพร้อมไหม?”  นางเอ่ยปากถาม


จวินอู๋เหยาพยักหน้า


“อีกสักครู่ก็ออกเดินทางกันได้แล้ว”


ครั้งนี้พวกเขามีแผนที่ครบสมบูรณ์  ไม่ได้ค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดแบบคนตาบอดสิ้นไร้หนทางอีกแล้ว


หลังจากจัดแจงอะไรกันอีกนิดหน่อยเป็นครั้งสุดท้าย  จวินอู๋เสียกับเพื่อนๆก็ตัดสินใจออกเดินทาง


พวกเขายึดเชือกยาวหลายเส้นเอาไว้ที่ด้านบนของผาสุดสวรรค์  แล้วโยนปลายอีกด้านลงไป  หลังจากพวกเฉียวฉู่ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้ายและแน่ใจว่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว  ทุกคนก็มายืนอยู่ที่ขอบหน้าผา  และจ้องมองลงไปยังหมอกสีขาวข้างล่างซึ่งปกคลุมด้านล่างของผาสุดสวรรค์เอาไว้ด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น


“ไปกันเถอะ!”  จวินอู๋เสียพูดขึ้น


ทุกคนจับเชือกของตัวเองและเริ่มต้นปีนลงไปที่ด้านล่างของผาสุดสวรรค์ทันที!


แต่ขณะที่จวินอู๋เสียกำลังจับเชือกจะปีนลงไป  นางก็ถูกอุ้มขึ้นมานอนอยู่ในวงแขนที่แข็งแรงกำยำคู่หนึ่ง!


จวินอู๋เสียเงยหน้ามองจวินอู๋เหยาที่อุ้มนางขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ


ตอนที่ 1306  เริ่มเดินทาง (2)


จวินอู๋เหยาเลิกคิ้วขึ้น  เขามองสีหน้าสับสนงุนงงของจวินอู๋เสียแล้วพูดด้วยเสียงหัวเราะ


“ตรงส่วนนี้  ให้ข้าพาเจ้าลงไปเถอะ”


“อะไรนะ?”  จวินอู๋เสียยังคงตกใจ


จวินอู๋เหยาอุ้มจวินอู๋เสียที่งงเล็กน้อยเดินไปที่ขอบหน้าผาอย่างช้าๆ  เท้าของเขาเหยียบลงไปบนอากาศที่สายลมกรรโชกแรง  แต่ร่างของเขาก็ยังมั่นคง


“แบบนี้สะดวกกว่าเยอะเลยใช่ไหมล่ะ?”  จวินอู๋เหยาถามพลางมองจวินอู๋เสียยิ้มๆ  เหวลึกที่ดูเหมือนไร้ก้นของผาสุดสวรรค์ไม่แตกต่างจากพื้นดินที่มั่นคงสำหรับเขา  เขายืนอยู่กลางอากาศขณะที่พาพวกเขาลงไปอย่างช้าๆ


เฉียวฉู่รู้สึกตื่นเต้นมาก  เขาจับเชือกเอาไว้แน่นขณะที่ค่อยๆปีนลงไปทีละนิด  ประสบการณ์ครั้งก่อนทำให้พวกเขาทุกคนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเร็วเกินไปในตอนแรก  เก็บพลังเอาไว้จนถึงตอนที่ยากที่สุดจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า


“พี่ฮัว  เห็นรึเปล่า ทักษะของข้าพัฒนาขึ้นเยอะเลย”  เฉียวฉู่ถามขณะที่ปีนลงไปตามหน้าผาพลางอวดความคืบหน้าของตัวเอง


แต่ใบหน้าของฮัวเหยาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อย  เขาไม่ได้มองเฉียวฉู่เลยด้วยซ้ำ  แต่กลับมองไปที่ด้านหลังของเฉียวฉู่ด้วยสายตาตกตะลึง


เฉียวฉู่รู้สึกว่าปฏิกิริยาของฮัวเหยาค่อนข้างแปลก  ดูไม่เหมือนกำลังชื่นชมเขาเลยสักนิด  เขาจึงมองตามสายตาของฮัวเหยา


พอเห็นเข้า  เฉียวฉู่ก็แทบจะปล่อยเชือกหลุดมือจนเกือบตกลงไป!


เขารู้อยู่แล้วว่าทุกคนกำลังไต่เชือกปีนลงมาพร้อมกันกับเขา


แต่พอเห็นจวินอู๋เหยาอุ้มจวินอู๋เสียลอยอยู่กลางอากาศอย่างสง่างาม  ค่อยๆลงมาเรื่อยๆตามความเร็วระดับหอยทากของพวกเขา……


เฉียวฉู่ก็ทำตาพองโตทันที


เขารู้ว่าจวินอู๋เหยามีพลังเดินบนอากาศได้  แต่ไม่คิดว่าจวินอู๋เหยาจะใช้ความสามารถนี้กับสถานที่อย่างผาสุดสวรรค์ได้!


ถ้าจวินอู๋เหยาพาจวินอู๋เสียลงไปที่ด้านล่างผาสุดสวรรค์ด้วยความรวดเร็ว  เฉียวฉู่ยังรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลอยู่บ้าง  แต่……ที่จวินอู๋เหยาลงไปช้าขนาดนี้  เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพวกเขา


ด้วยความเร็วระดับนี้  กว่าจะถึงด้านล่าง  ไม่ใช่แค่วันเดียวแน่


พี่ใหญ่อู๋เหยามีพลังมากขนาดไหนกันแน่  ถึงสามารถคงสภาพนี้เอาไว้ได้นานขนาดนั้น


แถมยังอุ้มจวินอู๋เสียเอาไว้ด้วย……


ในตอนนั้นเฉียวฉู่ไม่สามารถหาคำพูดมาอธิบายความรู้สึกที่โหมกระหน่ำในใจของเขาได้อีกต่อไป!


[พี่ใหญ่อู๋เหยาใช่คนหรือเปล่าเนี่ย?]


[นี่มันไม่ใช่คนแล้ว!]


คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจของเฉียวฉู่ไม่หยุด


เทียบกับ ‘รถที่นั่งพิเศษส่วนตัว’ ของจวินอู๋เสียแล้ว  เฉียวฉู่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมาก  พวกเขาอาจจะมีประสบการณ์มาก่อนและเตรียมตัวได้ดีขึ้นในครั้งนี้  แต่ก็ไม่มีความหมายเลยเมื่อเทียบกับพลังสุดเทพของจวินอู๋เหยา


เฉียวฉู่เบนสายตาออกไปอย่างเงียบๆ  และหันไปพูดกับฮัวเหยาว่า  “พี่ฮัว  ท่านว่าถ้าข้าหมดแรง  พี่ใหญ่อู๋เหยาจะยอมแบกข้าไปด้วยไหม?”


ตอนนั้นแหละฮัวเหยาถึงได้หันมามองเฉียวฉู่  และพูดเสียงเรียบนิ่งว่า  “เจ้ากระโดดลงไปเองจะมีโอกาสมากกว่านะ”


“………”  เฉียวฉู่เงียบ


[ถึงนั่นจะเป็นความจริง  แต่……พี่ฮัวอย่าพูดตรงขนาดนี้จะได้ไหม!]


ดังนั้น  ขณะที่คนอื่นๆกำลังดิ้นรนอย่างยากลำบาก  จวินอู๋เสียก็ปลอดภัยอยู่ในอ้อมแขนของจวินอู๋เหยา  สุขสบายไปกับสิทธิพิเศษของตัวเอง


และในจุดนี้  ทุกคนก็เลือกที่จะไม่สนใจพวกเขา


[มันเจ็บปวดเกินไปที่จะมอง!]


ต้องทิ่มแทงจิตใจกันแบบนี้ด้วยเหรอ!?  พวกเขาอยากให้จวินอู๋เหยาพาจวินอู๋เสียลงไปเร็วๆก่อนเลย!


อย่าทำร้ายความรู้สึกกลุ่มผู้เยาว์ที่ไม่มีใครคอยโอ๋แบบนี้เลย!


……………..


ผู้แต่งเป่ยถูมือไปมา : นายท่านเจว๋  พอใจกับฉากในช่วงนี้ของท่านไหม?


นายท่านเจว๋ : อืม


ผู้แต่งเป่ย : งั้น ข้าอยากปรึกษาอะไรท่านหน่อย


นายท่านเจว๋ : โหวตประจำเดือน?


ผู้แต่งเป่ย : ไม่ๆๆ!  แต่ Big Penguin เปิดโหวต  ต้องให้แฟนๆนักอ่านโหวตลงคะแนน  ท่านพอจะช่วยเรียกคะแนนโหวตให้หน่อยได้ไหม?  ท่านก็เห็น  ช่วงนี้ข้าให้ผลประโยชน์ท่านไปเยอะเลยนะ  ชอบจูบนั้นไหมล่ะ?


นายท่านเจว๋ : …………


ผู้แต่งเป่ย : ข้าใส่ลิงก์สำหรับโหวตเอาไว้ในช่องคอมเม้นท์แล้ว  ท่านไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากถอดอีกสักครั้ง  โชว์ซิกแพค, Vไลน์, *ปิ๊บ ปิ๊บ*…… แค่นั้นแหละ


นายท่านเจว๋ : ก็ได้


ผู้แต่งเป่ย : ซึ้งใจน้ำตาไหลพราก!


 


 


นายท่านเจว๋ : เขียนคืนแต่งงานของข้ากับเสี่ยวเสียเอ๋อร์ในห้องหอ  แล้วข้าจะให้สิ่งที่เจ้าต้องการ


ผู้แต่งเป่ย : ……….


[แค่ก แค่ก  ไม่ชินกับการขอคะแนนโหวตแบบนี้เลยจริงๆ  ช่วงนี้ Big Penguin จัดกิจกรรม  หวังว่าผู้อ่านที่น่ารักของข้าจะช่วยโหวตให้ข้าด้วย (ไม่เสียเงิน)  ข้าใส่ลิงก์ไว้ที่ช่องคอมเม้นท์แล้ว ช่วยหน่อยน๊า ~~~  //คุกเข่าขอร้อง]


ตอนที่ 1307  เดินทางสู่อันตรายอีกครั้ง (1)


เมื่อมีประสบการณ์จากครั้งก่อน  ครั้งนี้ทุกคนจึงปีนลงผาสุดสวรรค์ได้ง่ายขึ้นมาก  จวินอู๋เสียเตรียมยาฟื้นฟูพลังวิญญาณเอาไว้เยอะมาก  แม้ว่ามันจะมีฤทธิ์อยู่ได้ไม่นาน  แต่จำนวนที่มากมายก็ชนะ  พวกเขากินยากันตลอดทางและพยายามไม่ใช้พลังวิญญาณให้มากเกินไป  บวกกับช่วงนี้  พลังวิญญาณของพวกเฉียวฉู่ก็เพิ่มอย่างมากอีกด้วย  พวกเขาค่อยๆเข้าใกล้ระดับขั้นสีครามแล้ว  อีกไม่นานก็จะทะลวงเข้าสู่ขั้นสีครามได้  จึงสามารถประคองพลังเอาไว้ได้นานขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก


เมื่อทุกคนมาถึงด้านล่างของผาสุดสวรรค์  สภาพของทุกคนยังดีอยู่มาก  พวกเขาไม่ได้รีบร้อนเดินทางต่อทันที  แต่กลับตั้งกระโจมพักง่ายๆขึ้นตรงตีนหน้าผาและพากันพักผ่อน  พวกเขารู้ว่าหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสพักกันอีกนาน  ดังนั้นจึงต้องฉวยโอกาสทุกวินาทีที่มีเพื่อให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด


เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่อยู่ในตอนนี้  เป็นเสื้อผ้าที่จวินอู๋เสียสั่งให้คนทำขึ้นเป็นพิเศษตอนอยู่ที่แคว้นฉี  อากาศที่ด้านล่างของผาสุดสวรรค์นั้นหนาวเย็นมากและมีความชื้นสูง  ถ้าอยากเดินอยู่ที่นี่ได้นานๆ  ก็ต้องมีมาตรการป้องกันที่ดี  ไม่งั้นพลังวิญญาณของพวกเขาจะหมดไปอย่างรวดเร็ว  เสื้อผ้าพวกนี้จวินอู๋เสียออกแบบตามแบบชุดทหารในศตวรรษที่ 24  แต่ในโลกนี้ไม่มีวัสดุที่กันน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ  จวินอู๋เสียจึงสั่งให้ช่างตัดเสื้อเคลือบเสื้อผ้าด้วยน้ำยากันน้ำที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ  น้ำยาพวกนี้มีระยะเวลาที่จำกัด  ช่วยรักษาความหนาแน่นของเนื้อผ้า  ถึงจะอยู่ที่ด้านล่างของผาสุดสวรรค์ที่ปกคลุมด้วยหมอก  พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าเสื้อผ้าจะเปียกจากความชื้นของหมอก


จวินอู๋เสียเอาลูกบอลเพลิงวิญญาณที่เตรียมไว้แล้วออกมาเพื่อให้แสงสว่างกับสถานที่ที่มีทัศนวิสัยต่ำมาก


การที่เสื้อผ้าของพวกเขายังแห้งอยู่  ทำให้พวกเฉียวฉู่ออมพลังวิญญาณที่จะต้องใช้รักษาอุณหภูมิร่างกายเอาไว้ได้มากเลยทีเดียว  แม้ว่าพวกเขาจะสวมเสื้อผ้าหลายชั้นทั้งข้างนอกและข้างใน  แต่ด้วยส่วนสูงและรูปร่างที่ได้สัดส่วนของพวกเขา  ทำให้พวกเขาไม่ดูพองกลมเพราะเสื้อผ้า  และมันก็ไม่ได้ขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกเขาแม้แต่น้อย


ธารน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาได้ผนึกร่างของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเอาไว้  จวินอู๋เสียยังสังเกตเห็นว่าในบริเวณที่ธารน้ำแข็งก่อตัวมากขึ้นนั้น  มีหลายร่างที่ถูกฝังอยู่ในน้ำแข็งแค่ครึ่งร่าง  ครั้งที่แล้วที่พวกเขามาที่นี่ยังไม่มีศพพวกนั้น  ดูจากเวลาที่ผ่านไปบวกกับปริมาณน้ำแข็ง  คนพวกนี้ต้องมาที่ผาสุดสวรรค์นี่หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้วแน่


แสดงว่าสิบสองวิหารยังไม่ล้มเลิกการค้นหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด  และร่างไร้วิญญาณเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผ่านไป


“ฮิๆ……พวกเจ้าว่า  พอเราหาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเจอ  แล้วเอาสมบัติของจักรพรรดิแห่งความมืดมาเป็นของเราแล้ว  ถ้าพวกสิบสองวิหารรู้เข้า  พวกนั้นจะโกรธจนคลั่งไปเลยไหม?”  เฉียวฉู่ถามพลางมองกองกระดูกที่เพิ่มจำนวนขึ้นที่ด้านล่างของผาสุดสวรรค์  ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มชั่วร้าย


สิบสองวิหารลงทุนลงแรงไปตั้งเท่าไร?  ต้องเสียคนไปกี่คน?  แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของประตูสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด!  แต่เขากับเพื่อนๆมาที่นี่มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว  อีกไม่นานสมบัติที่ทุกคนในอาณาจักรกลางปรารถนาก็จะตกอยู่ในมือของพวกเขา!  ความรู้สึกนั้นทำให้เลือดของพวกผู้เยาว์เดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น!


“พวกนั้นจะคลั่งรึเปล่า  ข้าไม่รู้หรอก  แต่ที่แน่ๆพวกนั้นจะต้องทำทุกอย่างเพื่อไล่ล่าพวกเราอย่างแน่นอน”  เฟยเหยียนพูดพร้อมกับยักไหล่  พวกเขายังคงพูดคุยเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่ได้  แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของพวกเขายังดีอยู่


“ทำได้ก็มาเลย!  ข้าไม่กลัวพวกมันหรอก!”  เฉียวฉู่พูดอย่างอวดดี


จวินอู๋เสียไม่ได้มีส่วนร่วมในการสนทนาของพวกเขา  นางนั่งอยู่ในกระโจมอย่างเงียบๆ  ขณะที่ถือบางอย่างที่ดูเหมือนเข็มทิศเอาไว้ในมือ


ตอนที่ 1308  เดินทางสู่อันตรายอีกครั้ง (2)


สิ่งนี้เรียกว่าจานแห่งโชคชะตา  ในทางทฤษฎีแล้วมันคล้ายกับเข็มทิศในชาติก่อนของจวินอู๋เสีย  เมื่อมีใครหลงทาง  ก็จะใช้มันเพื่อบ่งบอกทิศ  มันไม่ใช่ของหายาก  และจวินอู๋เสียก็นำมันมาด้วยเมื่อครั้งที่แล้ว  แต่เนื่องจากพวกเขาไม่มีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมาก่อน  จึงไม่ได้พึ่งพามันมากนัก  แค่ใช้มันไม่กี่ครั้งเวลาที่ค้นหาทางไปข้างหน้า


แต่ตอนนี้แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง


แผนที่แปดชิ้นส่วนที่ประกอบเข้าด้วยกันครบสมบูรณ์  แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดและภูมิประเทศทั้งหมดที่ด้านล่างของผาสุดสวรรค์ซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้หมอกหนา  รายละเอียดทั้งหมดได้อยู่ในหัวจวินอู๋เสียแล้ว  ด้วยทิศทางที่ล็อคไว้บนจานแห่งโชคชะตา  พวกเขาสามารถระบุตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาบนแผนที่และวางแผนได้ว่าพวกเขาจะเจอกับอะไรในหนทางข้างหน้า


จากสิ่งที่ปรากฏอยู่บนแผนที่  จุดที่ลึกที่สุดที่จวินอู๋เสียกับเพื่อนๆไปถึงเมื่อคราวที่แล้วนั้น  ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของระยะทางทั้งหมดเลย  และประสบการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้พวกเขาทุกคนบ่นว่ามันโหดสุดๆกันแล้ว


แค่หนึ่งในสิบก็ยากลำบากขนาดนั้นแล้ว  สำหรับพื้นที่ที่พวกเขาต้องเดินทางไปหลังจากนั้น  ถ้าไม่มีแผนที่  ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะใช้เวลาเท่าไร  แค่อุปสรรคมากมายที่ขวางทางก็มากพอจะคร่าชีวิตพวกเขาแล้ว


สิ่งที่พวกเขาเห็นจากแผนที่นั้น  ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดมากเท่าไร  ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น  ทุกสิ่งที่พวกเขาเจอในการเดินทางครั้งที่แล้วเป็นเพียงแค่การเล่นของเด็กเมื่อเทียบกับสิ่งนี้


“มีทำเครื่องหมายเอาไว้บนแผนที่ตรงนี้ว่าเป็นระยะที่สัตว์ประหลาดเคลื่อนไหวได้  พอไปถึงที่นั่นเราก็แค่หลีกเลี่ยงบริเวณนั้นซะ”  ฟ่านจั๋วชี้พื้นที่ที่แสดงบนแผนที่  พวกเขารู้จากประสบการณ์ครั้งก่อนแล้วว่าสัตว์ประหลาดที่พ่นเปลวไฟสีเขียวนั้นน่ากลัวขนาดไหน


เจ้าสิ่งนั้นเกือบฆ่าจวินอู๋เสีย  และถ้าท่านแบะแบะไม่เอาร่างตัวเองมาเป็นโล่ปกป้องนาง  จวินอู๋เสียก็คงตายอยู่ที่นี่แล้ว


จวินอู๋เสียมองจุดบนแผนที่ที่ฟ่านจั๋วชี้แล้วพยักหน้านิ่งๆ


บริเวณที่สัตว์ประหลาดอยู่ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้ด้วยหัวกะโหลกสีแดง  และหัวกะโหลกที่มีลักษณะเหมือนกันนั้นมีอยู่หลายสิบอันบนแผนที่  เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวน่ากลัวพวกนั้นไม่ได้เป็นของหายากที่นี่  พวกเขาเจอแค่ตัวเดียวก็ทำเอาบางคนบาดเจ็บสาหัสแล้ว  ตอนนี้มีแผนที่อยู่ในมือ  พวกเขาจึงรู้ว่าต้องหลีกเลี่ยงพื้นที่เหล่านั้นทั้งหมด


“ราชอาณาจักรแห่งความมืดทุ่มเต็มที่จริงๆ  เอาสัตว์ประหลาดมากมายพวกนี้มาเฝ้าสุสาน  ข้าว่านะถ้าเจ้าตัวพวกนี้อยู่ในมือใครในอาณาจักรกลาง  การจะขึ้นเป็นใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”  เฉียวฉู่พูดพลางลูบคาง  แม้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเกือบจะฆ่าเขา  แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเจ้าพวกนั้นโหดมากจริงๆ!


เย่ฉาและเย่เหม่ยที่นั่งอยู่ด้านหนึ่ง  เบนสายตาไปมองจวินอู๋เหยาอย่างเงียบๆ


[สัตว์ประหลาดที่เฉียวฉู่กับคนอื่นๆพูดถึง……]


[ที่จริงแล้วเป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่จวินอู๋เหยาเอามาแก้เบื่อตอนไม่มีอะไรทำ……]


แต่คำว่า ‘สัตว์เลี้ยง’ ก็ใช้ได้เฉพาะกับจวินอู๋เหยาคนเดียวเท่านั้น  กับคนอื่นๆ  เจ้ายักษ์พวกนั้นก็คือฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดนั่นแหละ


มีรอยยิ้มขี้เกียจปรากฏอยู่บนใบหน้าจวินอู๋เหยา  เขานั่งหันข้างพิงด้านหลังของจวินอู๋เสีย  มองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของจวินอู๋เสียโดยไม่พูดอะไรเลย


นับตั้งแต่วินาทีที่เขาลงมาถึงด้านล่างของผาสุดสวรรค์  เขาก็รู้ทันทีว่าสถานที่นี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของราชอาณาจักรแห่งความมืดจริงๆ  ของส่วนใหญ่ที่นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยพูดกับคนในกองทัพราตรีในเวลาที่เขาเบื่อ


รวมถึงเรื่อง ‘สัตว์เลี้ยงที่น่ารัก’ ของเขาก็ได้สวมบทเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน


แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า  เขาจะมีโอกาสได้มา ‘ตรวจสอบ’ การป้องกันที่วางไว้ป้องกันสุสานของเขาเอง


ตอนที่ 1309  เดินทางสู่อันตรายอีกครั้ง (3)


โอกาสที่ได้มาขุด ‘สุสาน’ ของตัวเองแบบนี้  ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะได้เจอ  อย่างน้อยเย่ฉาและเย่เหม่ยก็ไม่สามารถเดาได้เลยว่าในใจของจวินอู๋เหยาคิดอะไรอยู่  ตลอดการเดินทางมาที่นี่  พวกเขาไม่เห็นจวินอู๋เหยาแสดงความไม่พอใจในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย  เขายิ้มมาตลอดทางด้วยซ้ำ


ทั้งสองคนจึงได้แต่นิ่งเงียบ


[ยังไงซะ……]


[ตราบใดที่คุณหนูต้องการ  ก็ไม่มีอะไรที่นายท่านเจว๋จะไม่ให้นาง……]


หลังจากพักเล็กน้อย  ทุกคนก็กลับมามีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมอีกครั้ง  พวกเขาออกเดินทางไปบนเส้นทางสุดท้ายที่นำไปสู่สุสานจักรพรรดิแห่งความมืด!


เส้นทางที่พวกเขาเคยมา  ครั้งนี้กลานเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา  การระบุตำแหน่งปัจจุบันบนแผนที่  ก็แค่ให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่หลงทางไปจากจุดที่วางแผนไว้  และจะไปถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด


เมื่อมีแผนที่คอยบอกทาง  จวินอู๋เสียกับเพื่อนๆของนางก็สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายส่วนใหญ่ไปได้  ตลอดการเดินทางมีหมอกพิษอยู่รอบๆตัวพวกเขาและความหนาวเย็นที่เย็นจนถึงกระดูก  พวกเขากินยาแก้พิษและใช้พลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายเอาไว้  ครั้งที่สองนี่ทุกอย่างดูเหมือนจะง่ายขึ้นจริงๆ


แต่ความสะดวกสบายที่พวกเขาได้มานั้นแลกกับชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน  ซากศพที่กองเป็นภูเขาก็เพื่อรายละเอียดทุกส่วนสัญลักษณ์ทุกอันที่อยู่บนแผนที่นั้น


แผนที่ฉบับสมบูรณ์ที่จวินอู๋เสียถืออยู่ในมือนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด


เมื่อพวกเขาออกเดินทาง  ก็จะไม่สามารถหยุดพักได้เป็นเวลาหลายวัน  จะไม่มีโอกาสให้พวกเขาได้พักเลยสักครั้ง  และพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอดทนใช้พลังวิญญาณของตัวเอง


 


ถึงจะมีแผนที่อยู่ในมือ  แต่พวกเขาก็จะประมาทไม่ได้


หลังจากเดินอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงสัตว์ประหลาดและข้ามผ่านหนองโคลนมาแล้ว  จวินอู๋เสียกับเพื่อนๆก็มาถึงสถานที่ที่พวกเขาไม่เคยเหยียบย่างเข้ามา


อุณหภูมิในสถานที่นั้นลดลงอีกหลายองศา  ลูกบอลเพลิงวิญญาณในมือพวกเขาส่องสว่างในความมืด


มีดวงแสงส่องผ่านหมอกมาจางๆ  มันกระพริบผ่านหมอกมาอย่างต่อเนื่อง


“ทำไม……มีแสงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”  เฉียวฉู่ประหลาดใจ  แสงที่กระพริบอยู่กระจัดกระจายนั่นเห็นได้อย่างชัดเจน  แต่ในหมอกที่มืดมิดไม่มีที่สิ้นสุดนี้  มันยากที่จะเชื่อว่าจะมีแสงสว่างปรากฏขึ้นในนั้นได้


เฉียวฉู่อยากก้าวไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามแสงแปลกๆนั่น  แต่ฮัวเหยารีบลากเขากลับมาทันที


“นั่นไม่ใช่แสง”  จวินอู๋เสียพูดพลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย  มองไปยังแสงเล็กๆเหมือนดวงดาวจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในหมอกลึกลับ  นางหรี่ตาลงเล็กน้อย  หยิบลูกบอลเพลิงวิญญาณที่มีขนาดเท่าไข่ห่านออกมาจากกระเป๋ามิติ  หลังจากใส่พลังวิญญาณเข้าไปจำนวนมาก  นางก็ขว้างมันออกไปสุดแรง


ลูกบอลเพลิงวิญญาณขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟสว่างจ้าลอยละลิ่วผ่านหมอกลึกลับ  ทำให้พื้นที่ด้านหน้าพวกเขาสว่างขึ้นทันที


มันเป็นทะเลสาบน้ำแข็งที่ใสราวคริสตัล  แท่งน้ำแข็งแหลมคมยื่นออกมาจากพื้นน้ำแข็ง  ดูน่ากลัวเหมือนเขี้ยวสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เต็มไปหมดทั่วทั้งพื้นที่  ลูกบอลเพลิงวิญญาณขนาดเท่าไข่ห่านกลิ้งอยู่ระหว่างแท่งน้ำแข็งขนาดมหึมา  เสียงกริ๊งๆดังขึ้นทุกครั้งที่ถูกกระแทก


แท่งน้ำแข็งเป็นเหมือนกระจกสะท้อนแสงจากลูกบอลเพลิงวิญญาณ  ส่องจากแท่งหนึ่งไปอีกแท่งหนึ่งไม่รู้จบ  ทำให้พื้นที่ขนาดใหญ่สว่างขึ้นตรงหน้าพวกเขา……


เสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าจวินอู๋เสียและเพื่อนๆ  ภายในชั้นธารน้ำแข็งสีฟ้า  พวกเขาสามารถเห็นกระดูกสีขาวที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งหนาๆได้รางๆ  กระดูกมนุษย์สีขาวโพลนกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งในน้ำแข็ง  ดูแวบแรกเหมือนลวดลายแปลกๆที่ทำให้พื้นที่นี้ดูเป็นความงามที่เงียบสงบ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม