Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น 729-735

 EG บทที่ 729 ถ้าทารกร้องไห้ ก็จะได้กินนม


 


“ฟาร์มสามารถลงทุนได้ด้วยหรอ?” ใบหน้าของจางรุ่ยเฉียงเกือบบิดเบี้ยว เขาสับสนไปหมดและไม่เข้าใจว่ามันจะได้ผลยังไง


 


“ทำไมฟาร์มถึงร่วมลงทุนไม่ได้ล่ะครับ? ฟาร์มทุกแห่งเป็นหน่วยงานแยกของแต่ละบุคคลไม่ใช่หรอครับ? บริเวณที่ดิน ผลผลิต และพืชผลเก็บเกี่ยวทั้งหมดล้วนมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ฟาร์มพวกนี้เป็นของรัฐและไม่ได้เป็นของบุคคล แบบนี้พืชผลของพวกเขาก็ถือว่าเป็นเงินทุนในการลงทุนของเกษตรกรได้ กลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อซื้อวัตถุดิบและเมื่อมีการขายผลิตภัณฑ์แปรรูป เกษตรกรก็จะได้รับเงินปันผลด้วย”


 


“ไม่ได้นะครับ……ถ้าฟาร์มลงทุนด้วยผลผลิตเก็บเกี่ยวและพืชผลของพวกเขา ฟาร์มของรัฐพวกนั้นจะทำงานได้ยังไง? พวกเขาจะไม่สามารถจ่ายเงินให้เกษตรกรได้ แล้วจะปล่อยให้ฟาร์มของรัฐเป็นหนี้เกษตรกรงั้นหรอ” เลขาหลิวถาม


 


“นั่นคือปัญหาของกระทรวงเกษตรรัฐและการปรับปรุงที่ดิน พวกเขาจะคิดหาทางออกเอง กระทรวงสามารถขอรับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง เงินกู้ธนาคารหรือรับเงินอุดหนุนช่วยเหลือต่างๆ ได้ คุณก็น่าจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ฟาร์มของรัฐจะใช้เฉพาะผลผลิตเก็บเกี่ยวในปีแรกเพื่อมาลงทุนเท่านั้น ตั้งแต่ปีที่สองเป็นต้นไป สินค้าจะถูกขายและบริษัทจะมีเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบ ด้วยวิธีนี้กลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินทุนจัดตั้งและยังจะได้รับการจัดหาวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องด้วย”


 


จางรุ่ยเฉียงจุดบุหรี่ เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ส่งบุหรี่ให้เลขาหลิว เลขาหลิวรับบุหรี่ด้วยมือทั้งสองข้างและหันหลังให้จางรุ่ยเฉียงเพื่อจุดบุหรี่


 


เฝิงหยู่มองหน้าชายทั้งสองคนที่อยู่ต่อหน้าเขา พวกเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักและไม่สนใจเขาเลย


 


ให้ตายสิ ตอนที่ผมเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อชาติที่แล้ว ผมเป็นคนที่สูบบุหรี่หนักมาก ทำไมตอนนี้แค่กลิ่นบุหรี่ผมถึงกับทนไม่ได้? ช่างทรมานจริงๆ ที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางชายสูบบุหรี่สองคนนี้


 


ครั้งต่อไปผมต้องนำซิการ์มาเองบ้างล่ะ ถ้าพวกเขาเริ่มสูบบุหรี่ ผมจะสูบซิการ์บ้าง มาดูกันว่าใครสามารถทนควันได้เก่งกว่ากัน!


 


หลังจากสูบบุหรี่เสร็จสิ้น จางรุ่ยเฉียงเงยหน้าขึ้นมองเฝิงหยู่ “แล้วเงินที่เหลือล่ะ? เราจะแก้ปัญหายังไง?”


 


“ก็รายงานไปยังผู้นำระดับสูงสิครับ จังหวัดหลงเจียงกำลังจะเป็นจังหวัดเกษตรกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศจีน เกษตรกรรมเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศจีน พวกคุณทุกคนกำลังปูทางให้สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรในอนาคต รัฐบาลกลางจะไม่สนับสนุนงั้นหรอ? การสนับสนุนของรัฐบาลเป็นเพียงคำพูดอย่างเดียวเท่านั้นหรอ? พวกเขาควรให้การสนับสนุนทางการเงินด้วยไม่ใช่หรอ?” เฝิงหยู่เกลือกตา เรื่องรับเงินจากผู้นำระดับสูง พวกคุณน่าจะรู้ดีมากกว่าผมนะ


 


“คุณกำลังจะบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องตั้งงบเงินทุนใดๆ และจะสามารถจัดตั้งบริษัทนี้ได้โดยการใช้เพียงแค่ข้อเสนอเท่านั้นหรอ?” ดวงตาของจางรุ่ยเฉียงเบิกโต


 


“มันเป็นเรื่องแปลกใหม่ตรงไหนหรอครับ? ผมก็แค่เสนอความคิดให้คุณฟัง คุณยังคิดว่าผมโกหกคุณอยู่อีกหรอ? รัฐบาลควรให้เงินทุนไม่ใช่หรอ? บริษัทแห่งนี้จะเป็นโครงการนำร่อง แล้วโครงการนำร่องไม่ควรได้รับเงินทุนจากประเทศและได้รับการสนับสนุนตามนโยบายของรัฐบาลหรอครับ? อีกอย่าง นี่ไม่ใช่บริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาลอยๆ เราได้กำหนดช่องทางการจัดจำหน่ายเอาไว้แล้ว”


 


“เราจัดตั้งช่องทางการจัดจำหน่ายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” จางรุ่ยเฉียงสับสน พวกเขายังไม่ได้เริ่มจัดตั้งกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางเลยด้วยซ้ำ และคุณมาอ้างว่ามีการจัดตั้งช่องทางการจัดจำหน่ายแล้วเนี่ยนะ? คุณกำลังจะบอกให้ผมไปโกหกพวกผู้นำระดับสูงงั้นหรอ?


 


เฝิงหยู่ตบเบาๆ ที่หน้าอกตัวเอง “ผมจะเป็นคนดูแลสินค้าทั้งหมดของกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉาง ผมรับประกันผลกำไรของกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉาง ผมกล้ารับประกันว่าถ้าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ จะไม่ทางที่สินค้าจะเหลือทิ้งไว้บนชั้นวางของแน่นอน และการชำระเงินก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผมสามารถช่วยสร้างแบรนด์ให้ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายครับ”


 


เฝิงหยู่แสดงสีหน้าให้จางรุ่ยเฉียงเห็นราวกับว่า “ผมช่วยคุณตั้งเยอะ เร็วเข้า ชมผมหน่อยสิ!” แต่จางรุ่ยเฉียงกลับเกลือกตามองบน


 


“คุณจะดูแลสินค้าทั้งหมดเนี่ยนะ? คุณจะมาควบคุมการกระจายสินค้าของบริษัทล่ะสิไม่ว่า นั่นคือเส้นเป็นเส้นตายของบริษัท เราจะมอบหมายให้คุณจัดการได้ยังไง?” จางรุ่ยเฉียงถาม


 


“โอเค งั้นคุณอยากจัดตั้งช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยตัวเองใช่มั้ยครับ? แม้ว่าผมจะให้เวลาพวกคุณ 3 ปี พวกคุณก็ไม่มีทางจัดตั้งช่องทางการจัดจำหน่ายได้ถึง 50% ของช่องทางที่ผมมีอยู่ในตอนนี้หรอก ผมยังสามารถส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศได้ เช่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา คุณสามารถทำแบบนั้นได้หรือเปล่า? จะถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากหากคุณสามารถสินค้านอกจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ แบรนด์ของเหล้าขาว นมผง และสินค้าอื่นๆ ที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้จะสามารถนำไปขายได้ไกลสุดก็แค่ในจังหวัดเหลียวเท่านั้นหรอ?” เฝิงหยู่พูดพร้อมกับกอดอก เขานั่งไขว้ห้างและจงใจกระดิกเท้า เขาแสดงสีหน้ารำคาญ


 


จางรุ่ยเฉียงเงียบ สิ่งที่เฝิงหยู่พูดคือความจริง หากรัฐบาลจังหวัดมีช่องทางการจัดจำหน่ายของเฝิงหยู่ เศรษฐกิจของหลงเจียงก็จะดีที่สุดในประเทศจีน พวกเขาไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับรัสเซียได้


 


แต่บริษัทการค้าไท่หัวของ เฝิงหยู่นั้นแตกต่างออกไป นอกจากผลผลิตทางการเกษตรแล้ว การส่งออกทั้งหมดของทั้งจังหวัดไปยังรัสเซียยังไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบริษัทการค้าไท่หัวได้เลย!


 


นอกจากนี้ เฝิงหยู่ยังสามารถขายสินค้าล่าสุดของเขาได้ทั่วประเทศจีนและในต่างประเทศภายในเวลาอันสั้น  ไม่มีทางที่รัฐบาลระดับจังหวัดจะสามารถทำได้ อีกอย่าง หากพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากเฝิงหยู่ พวกเขาสามารถรายงานให้ผู้นำระดับสูงฟังได้ว่าบริษัทจะไม่มีปัญหาเรื่องยอดขายของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ต้องจัดตั้งโรงงานและเริ่มการผลิตเท่านั้น


 


“แม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปัญหาการขาย แต่ผู้นำระดับสูงจะยอมเห็นด้วยเพียงเพราะแค่เหตุผลนี้หรือเปล่า? จะทำยังไงถ้าพวกเขาอนุมัติให้เงินแค่จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น?” จางรุ่ยเฉียงถาม


 


“คุณเคยได้ยินคำพูดว่าถ้าทารกร้องไห้ ก็จะได้กินนมหรือเปล่า? การได้รับเงินทุนแบบนี้จากผู้นำระดับสูงนั้นขึ้นอยู่กับเส้นสายและข้อเสนอของคุณ เส้นสายจะขึ้นอยู่กับพวกคุณทุกคน ผมเชื่อว่าผู้นำในรัฐบาลระดับจังหวัดจะต้องมีเส้นสายกับผู้นำระดับสูง สำหรับข้อเสนอนั้นก็จะขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณจะพูดให้เห็นภาพสวยงามได้ขนาดไหน”


 


ถ้าทารกร้องไห้ ก็จะได้กินนม? นี่มันตรรกะอะไรกัน?!


 


แต่หลังจากที่จางรุ่ยเฉียงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง มันก็เหมือนกับที่เฝิงหยู่พูดจริงๆ โดยปกติหากผู้นำไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับผู้นำระดับสูง พวกเขาจะไม่ได้รับนโยบายดีๆ ที่ออกโดยรัฐบาลกลาง แต่การเปรียบเทียบแบบนี้ฟังดูแล้วแย่เกินไป


 


นอกจากนี้ การพูดให้เห็นภาพสวยงามจากข้อเสนองั้นหรอ? ฟังดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพยายามหลอกพวกผู้นำระดับสูงยังไงยังงั้น


 


“เราจะจัดการเรื่องหารติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ ในรัฐบาลกลางเอง แล้วเราควรเขียนข้อเสนอยังไงดี?” จางรุ่ยเฉียงถาม


 


“เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณด้วยเช่นกัน ผมไม่ใช่คนที่จัดการบริษัทนี้ ผมไม่จำเป็นต้องเขียนข้อเสนอนี้ให้กับพวกคุณ จริงมั้ย? เว้นแต่ว่า……พวกคุณยอมมอบหุ้นให้ผมบางส่วน!”


 


“หวังมากเกินไปละ! คุณอยากได้หุ้นจากการเขียนข้อเสนองั้นหรอ? คุณรวยมากขนาดนี้แล้ว ปล่อยให้คนอื่นบ้างเหอะ” จางรุ่ยเฉียงด่า เฝิงหยู่ไม่ใช่คนโลภเรื่องเงินเนื่องจากเขาบริจาคเงินจำนวนมากทุกปี แต่เด็กเหลือขอคนนี้ต้องการหุ้นในธุรกิจอะไรก็ตามที่ทำกำไรได้ และพยายามใช้ประโยชน์จากทุกเรื่อง


 


“เห็นมั้ยครับ…เราช่างต่างกันจริงๆ คุณไม่รู้วิธีเขียนข้อเสนอและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทจะดำเนินการอย่างไร ผมเป็นคนที่เสนอความคิดทั้งหมดให้คุณ คุณรู้หรือเปล่าว่าในประเทศอื่นๆ มีบริษัทที่ปรึกษาซึ่งเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะด้วย? พวกเขาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการให้คำปรึกษาและราคาก็แพงมาก ทำไมผมจะขอเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการให้คำปรึกษาทั้งหมดนี้บ้างไม่ได้ล่ะครับ? คุณรู้หรือเปล่าว่าบริษัททางภาคใต้มีที่ปรึกษาด้วยนะ? เงินเดือนของที่ปรึกษานั้นสูงกว่าผู้จัดการทั่วไปในบางบริษัทอีก!”


 


“มันเป็นไปไม่ได้ คุณคิดว่าผู้นำระดับสูงจะเห็นด้วยหรอถ้ามีบุคคลธรรมดามาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทนี้?”


 


“คุณกำลังจะบอกว่าผมควรทำงานให้ฟรีๆ และไม่ได้อะไรตอบแทนงั้นหรอครับ? พี่หลิว ดูหัวหน้าของคุณสิ ถ้าเขาทำธุรกิจ ผมแน่ใจว่าเขาจะไม่มีเพื่อนแน่นอน!” เฝิงหยู่บ่นกับเลขาหลิว


 


เลขาหลิว “……” ผู้จัดการเฝิง ผมขอร้องล่ะ คุณเลิกวิจารณ์หัวหน้าผมต่อหน้าผมได้ไหม? คุณทำให้ดูเหมือนว่าเรากำลังนินทาผู้นำของผมกันอยู่ คุณกำลังพยายามทำให้ผมมีปัญหางั้นหรอ?


 


“คุณช่วยเราเรื่องข้อเสนอและผมจะให้เงินอุดหนุนช่วยเหลือแก่บริษัทอาหารแปรรูปหัวไท่หัว แบบนี้โอเคมั้ย?” จางรุ่ยเฉียงตอบด้วยความโกรธ


 


“อ่า…… ค่อยยังชั่วหน่อย มาครับพี่หลิว เราจะเริ่มพูดคุยกันตอนนี้เลย แล้วคุณช่วยจดบันทึกไว้ด้วยนะครับ” เฝิงหยู่รู้สึกดีขึ้นเมื่อเขาได้ยินคำสัญญาของจางรุ่ยเฉียง


EG บทที่ 730 กลยุทธ์ “168”


 


เมื่อชาติที่แล้วของเฝิงหยู่ เขาไม่เคยเขียนข้อเสนออะไรสักอย่าง แต่เขาอาศัยจากการอ่านข้อเสนอมากมายบนอินเทอร์เน็ต เป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลประกาศแผนการใดๆ พนักงานรัฐจะต้องจัดทำข้อเสนอที่คล้ายกันตามมา ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลกลางหากพวกเขาไม่ได้จัดทำข้อเสนอที่คล้ายกันขึ้นมา


 


ตัวอย่างเช่นโครงการเส้นทางสายไหม หรือที่รู้จักกันในนามว่าเส้นทางสายไหมทางบกและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์การกระตุ้นจีนผ่านวิทยาศาสตร์และการศึกษา แผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของจีน กลยุทธ์การพัฒนาพื้นที่ภาคาตะวันตก แผนการปรับปรุงฟื้นฟูพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลยุทธ์อุตสาหกรรมใหม่ กลยุทธ์การสร้างเมืองใหญ่ กลยุทธ์การกระตุ้นจีนผ่านทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น


 


ในบรรดากลยุทธ์ทั้งหมดนี้ เฝิงหยู่ประทับใจแผนยุทธศาสตร์ 168 มากที่สุด นี่คือสโลแกนของแผนการของรัฐบาล ซึ่งแผนนี้ประกอบด้วย 1 เป้าหมาย 6 การสนับสนุนหลัก และ 8 โครงการสำคัญ รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งคอยพูดสโลแกนนี้ซ้ำๆ อยู่ตลอด ขนาดหมู่บ้านก็มีแผนที่คล้ายคลึงกัน


 


แต่ในตอนนี้ แผนนี้ยังไม่เกิดขึ้น


 


“จังหวัดหลงเจียงของเราเสนอให้จัดตั้งกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางหลังจากผ่านการพิจารณาอย่างจริงจังแล้ว เราได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ 168 เพื่อให้บริษัทนี้ประสบความสำเร็จ”


 


“ห้ะ? แผนอะไรนะ? แผนยุทธศาสตร์ 168 หรอ?” จางรุ่ยเฉียงขัดจังหวะ นี่มันแผนการอะไรกัน? เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ใครเป็นคนคิดแผนนี้?


 


เฝิงหยู่มองหน้าจางรุ่ยเฉียงอย่างไม่พอใจ “คุณยังอยากให้ผมพูดต่อหรือเปล่า?”


 


“โอเคๆ……พูดต่อเลย คุณพูดจบแล้วเดี๋ยวผมค่อยถามทีเดียว”


 


“แผนยุทธศาสตร์ 168 ประกอบด้วย 1 เป้าหมาย 6 การสนับสนุนหลัก และ 8 โครงการสำคัญ”


 


จางรุ่ยเฉียงขมวดคิ้ว ทำไมฟังดูเหมือนเป็นสโลแกนเลยล่ะ? เขาเป็นคนที่ทำงานจริงและเกลียดพวกสโลแกนที่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ เขาเกลียดพวกลูกน้องของเขาที่ชอบคิดคำขวัญสวยหรู แต่กลับไม่เห็นผลงานอะไรเลย


 


เมื่อจางรุ่ยเฉียงเขียนรายงานของรัฐบาล เขาแทบจะไม่ใช้สโลแกนเลย เขาแค่ตั้งเป้าหมายแล้วก็ทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น หลายครั้งที่เขาทำมากกว่าเป้าหมายเสียอีก นี่คือวิธีการทำงานของเขา


 


“แผนยุทธศาสตร์ 168” ของเฝิงหยู่เป็นเพียงแค่สัญญาลมๆ แล้งๆ หรือเปล่า? ตอนนี้พวกเขาอายุเท่าไหร่กันแล้ว? ผู้นำระดับสูงไม่สนใจสโลแกนพวกนี้หรอก!


 


“เป้าหมายของแผนนี้คือการค้าอุตสาหกรรมการเกษตร เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนากลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางให้เป็น บริษัทที่แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ภายใน 10 ปี เรามุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทแบบอย่างในอุตสาหกรรมการเกษตรสมัยใหม่ของจีนและมีอิทธิพลต่อตลาดต่างประเทศด้วย!”


 


เอ๊ะ? จางรุ่ยเฉียงก็ยังคงรู้สึกว่าแผนนี้เป็นแค่สโลแกน แต่สโลแกนนี้ก็ฟังดูเหมือนจะเป็นไปได้ หากจัดตั้งกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางขึ้นเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะมีการแข่งขันสูงและแข็งแกร่งมาก ในบรรดาอุตสาหกรรมเกษตรกรรมสมัยใหม่ทั้งประเทศ พวกเขาจะเป็นบริษัทแบบอย่างได้อย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังลังเลเรื่องการมีอิทธิพลในตลาดต่างประเทศ


 


ไม่ใช่เพราะเขาไม่มั่นใจมากพอ จางรุ่ยเฉียงก็เคยไปประเทศอื่นเพื่อศึกษาดูงาน การพัฒนาด้านเกษตรกรรมของจีนยังห่างไกลจากประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เป็นต้น


 


แต่จางรุ่ยเฉียงคิดเกี่ยวกับข้อความนี้ซักพัก ฟังดูแล้วก็น่าจะเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติจากผู้นำระดับสูง


 


“การสนับสนุนหลักหกประการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ก็คือ ฐานการเลี้ยงโคนมและสัตว์ปีก ฐานการผลิตข้าว ฐานการแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตร ฐานการวิจัยการเกษตร” เฝิงหยู่หยุดกะทันหัน


 


“การสนับสนุนหลักหกประการไม่ใช่หรอ? แล้วทำไมมีแค่ 4 ล่ะครับ?” เลขาหลิวเงยหน้าขึ้นและถาม “อีกสองประการคืออะไรหรอครับ?”


 


เฝิงหยู่กำลังคิดอยู่ในใจ อีกสองประการคืออะไรนะ? หากวิทยานิพนธ์สำเร็จการศึกษาสำหรับมหาวิทยาลัยของเขาไม่ใช่เรื่อง <การบริหารจัดการเกษตรกรรมสมัยใหม่> ล่ะก็ เขาก็คงนึกการสนับสนุน 4 ประการแรกไม่ออกเหมือนกัน


 


แต่ผมเป็นใครล่ะ? อย่าว่าแต่การสนับสนุนหลักอีกแค่ 2 ประการเลย ต่อให้อีก 20 ประการผมก็คิดออกเองได้ เพียงแต่ผมต้องใช้เวลาในการคิดก็เท่านั้นเอง


 


“ชาหมดแล้วครับ”


 


“ผู้จัดการเฝิงครับ กรุณาอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องกลางคันได้มั้ยครับ? คุณพูดเรื่องการสนับสนุนหลัก 6 ประการให้จบก่อนไม่ได้หรอครับ? โอเคๆ…งั้นเดี๋ยวผมรีบไปเอาชามาให้ใหม่นะครับ” เลขาหลิวเดินออกไปจากห้องทำงานพร้อมถ้วยน้ำชาของเฝิงหยู่ และเฝิงหยู่ก็รีบคิดอย่างรวดเร็ว เขายังคงต้องคิดเรื่อง 8 โครงการสำคัญต่ออีกด้วย


 


“ผู้จัดการเฝิงครับ นี่ชาของคุณ แต่มันก็ยังร้อนมาก คุณพูดเรื่องการสนับสนุนหลัก 6 ประการต่อได้เลยนะครับ? พอคุณพูดจบ ชาคงหายร้อนพอดี” เลขาหลิวกลับมาอย่างรวดเร็ว เขานั่งลงและหยิบปากกาพร้อมจดอย่างกระตือรือร้น


 


“อีกสองประการก็คือฐานโลจิสติกส์ และฐานเกษตรเชิงนิเวศน์” เฝิงหยู่ประทับใจกับตัวเองที่คิดหาคำตอบได้ ผมนี่ฉลาดจริงๆ


 


“แล้วโครงการสำคัญ 8 โครงการล่ะครับ?” เลขาหลิวจดบันทึกและถาม


 


“8 โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงอุตสาหกรรมป่าไม้ โครงการฝึกอบรมและการศึกษาของพลเรือนโครงการยกระดับเครื่องจักร……เอ่อ……โครงการยกระดับการแปรรูปอาหาร โครงการยกระดับเมืองขนาดเล็ก โครงการยกระดับโครงการรัฐวิสาหกิจ โครงการใช้ที่ดิน และโครงการเกษตรกรรมขนาดใหญ่ครับ”


เฝิงหยู่นับตัวเลขด้วยมือไปด้วยในขณะที่เขาพูดถึงโครงการสำคัญทั้ง 8 โครงการ ในที่สุดเขาก็นึกทั้ง 8 โครงการออก


 


“ผู้จัดการเฝิงครับ มีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ โครงการปรับปรุงอุตสาหกรรมป่าไม้หมายความว่ายังไงครับ?” เลขาหลิวถาม


 


“ป่าไม้สามารถกลายเป็นอุตสาหกรรมได้ คุณสามารถหาถั่วสนหรือเห็ดจากป่าแล้วเอาไปขายได้ แล้วไม้ล่ะ? ไม้เป็นวัสดุก่อสร้างทั่วไปและยังสามารถนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ได้ด้วย หากรัฐบาลระดับจังหวัดสามารถสร้างแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ได้ล่ะก็ ก็จะสร้างผลกำไรได้เช่นกัน”


 


เลขาหลิวจดเรื่องวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ลงไปในบันทึกของเขาและถามต่อ “โครงการเกี่ยวกับการฝึกอบรมและการศึกษาของพลเรือนคืออะไรหรอครับ? มันเกี่ยวกับกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางยังไงครับ?”


 


“เรื่องนี้สำคัญมาก หากพวกคุณกำลังจะปล่อยให้ฟาร์มของรัฐทั้งหมดเข้ามาในบริษัท คุณจำเป็นต้องให้ความรู้แก่เกษตรกร บริษัทควรดูแลเรื่องการให้ความรู้แก่พวกเขา การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประชาชน ยังมีเกษตรกรหลายคนที่ไม่รู้หนังสือ นอกจากนี้ ยังเป็นนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มระดับการศึกษาของประชาชนด้วย กลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางเป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบ การดำเนินการทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของเรา!” เฝิงหยู่เริ่มพล่ามไปเรื่อย


 


แต่จางรุ่ยเฉียงและเลขาหลิวไม่ได้รู้สึกว่าเฝิงหยู่กำลังพูดไร้สาระ ความประทับใจของพวกเขาในตัวเฝิงหยู่ คือคนที่ชอบบริจาคเงินเพื่อการศึกษา


 


“แล้วโครงการยกระดับเมืองขนาดเล็กคืออะไรครับ? โครงการนี้มีเหตุผลอะไร?”


 


“ฟังนะครับ จำนวนประชากรที่ฟาร์มของรัฐมีน้อยมาก ที่ดินมีจำนวนมากแต่ประชากรมีเพียง 10,000 ถึง 20,000 คน ฟาร์มของรัฐที่ใหญ่กว่าบางแห่งมีประมาณ 100,000 คนและพวกเขายังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก เรารู้กันดีว่าประชากรขนาดเล็กจะจำกัดการเติบโตของเราและจะจัดการได้ยาก แถมยังสิ้นเปลืองทรัพยากรของเราด้วย เราควรรวบรวมทุกคนในฟาร์มและสร้างเมืองทันสมัยขนาดเล็กขึ้นมาให้พวกเขา ใครบอกว่าเกษตรกรไม่สามารถอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์สูงได้? ใครบอกว่าจะมีถนนคอนกรีตในทุ่งนาไม่ได้บ้าง?”


 


จางรุ่ยเฉียงพยักหน้า นี่เป็นจุดที่ดี รัฐบาลกลางเคยมีข้อเสนอแนะที่คล้ายๆ แบบนี้มาก่อน แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากรัฐบาลไม่มีเงินในการย้ายถิ่นที่อยู่จำนวนมาก ใครจะเป็นคนจ่ายค่าก่อสร้างล่ะ?


 


แผนของเฝิงหยู่คือให้กลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางรับผิดชอบในเรื่องพวกนี้ในอนาคต แต่ก็จะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายมาก


 


“คุณจดบันทึกทุกอย่างแล้วใช่มั้ย? พวกคุณสามารถต่อยอดจากประเด็นที่ผมพูดไว้ได้ แต่จำไว้ว่าคุณต้องอธิบายข้อดีให้รายละเอียดมากๆ และหาข้อเสียมาสักหนึ่งหรือสองข้อ เช่น จำนวนเงินลงทุนขั้นต้นสูง เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อเสนอนี้มีแต่ข้อดีอยู่ด้านเดียวมากเกินไป สำหรับส่วนที่เหลือ ผมคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องสอนคุณทั้งหมด”


 


เฝิงหยู่หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้วจิบชา เขารู้สึกภูมิใจเมื่อเห็นท่าทีที่จางรุ่ยเฉียงและเลขาหลิวมองเขา ผมเป็นคนเก่ง!


EG บทที่ 731 การใช้เงินทุน


 


ซวี่ฉางโหย่ว พลิกอ่านรายงานต่อหน้าเขา เขาอ่านทุกบรรทัดและทุกคำอย่างจริงจัง เขายังอ่านบางประโยคซ้ำหลายรอบด้วย หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาก็เงยหน้าขึ้น


 


“คุณเขียนรายงานนี้เองหรอ?”


 


จางรุ่ยเฉียงพยักหน้าเล็กน้อยและตอบว่า “เลขาผมเป็นคนเขียนครับ ส่วนผมก็อ่านและแก้ไขเล็กน้อย แนวคิดหลายอย่าง เช่น ยอมให้ฟาร์มร่วมลงทุนและติดต่อผู้จัดจำหน่ายก่อนล่วงหน้า และแผนยุทธศาสตร์ ‘168’ ที่ระบุไว้ในข้อเสนอนี้มาจากความคิดของเฝิงหยู่ เราแก้ไขเพียงเล็กน้อยเท่านั้นครับ”


 


ซวี่ฉางโหย่วพอใจกับผลงานของจางรุ่ยเฉียง นี่คือสิ่งที่เขาชอบเกี่ยวกับจางรุ่ยเฉียง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีความสามารถเท่านั้น ซวี่ฉางโหย่วได้พบปะกับผู้คนที่มีความสามารถมากมายในรัฐบาล ชนชั้นสูงเกือบทั้งหมดในประเทศจีนตอนนี้อยู่ในรัฐบาล แต่เขาชอบจางรุ่ยเฉียง เพราะจางรุ่ยเฉียงจะพูดความจริงและไม่เคยเรียกร้องขอความดีความชอบของคนอื่นเลย


 


นี่เป็นนิสัยสำคัญที่ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความสามารถมากมักจะไม่มี


 


ซวี่ฉางโหย่ว รู้สึกว่าคนที่มีนิสัยแบบนี้จะไม่ลืมแรงบันดาลใจครั้งแรกของพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะปีนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดแล้วก็ตาม พวกเขาจะยังคงคิดถึงประชาชนอยู่และนี่คือเหตุผลที่ ซวี่ฉางโหย่วดูแลและสนับสนุนจางรุ่ยเฉียง


 


“ข้อเสนอของคุณบอกว่าเงินลงทุนทั้งหมดต้องใช้ 10,000 ล้านหยวนและต้องยื่นเรื่องต่อรัฐบาลกลางเพื่อขอเงินทุน เราจะระดมเงินทุนที่เหลือเอง แต่ทำไมคุณไม่ระบุสัดส่วนไปเลยล่ะ?”


 


“ถ้าจะให้ผมระบุสัดส่วน ผมจะขอเงินทุนจากรัฐบาลกลางเพิ่มนะครับ แต่เฝิงหยู่เตือนผมว่าหากรัฐบาลกลางให้เงินสนับสนุนโครงการส่วนใหญ่ในแผนการนี้ บริษัทนี้จะไม่อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลระดับจังหวัด แต่จะไปขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง เราจะได้รับผลกำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”


 


ซวี่ฉางโหย่วพยักหน้า การจัดตั้งกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางเพื่อพัฒนาจังหวัดหลงเจียง และเป็นจังหวัดหลงเจียงเองที่เสนอความคิดนี้ขึ้นมา พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลกลางแย่งเอาไปหน้าตาเฉยแน่นอน


 


“ผมยังมีอีกหนึ่งคำถาม เรากำลังจะขอเงินจากรัฐบาลกลาง แล้วถ้ารัฐบาลกลางต้องการหุ้นในบริษัทด้วยล่ะ? เราจะปฏิเสธพวกเขายังไงดี?” ซวี่ฉางโหย่วถาม หากรัฐบาลกลางยืนกรานที่จะขอถือหุ้นในบริษัทนี้ด้วย พวกเขาก็ต้องมอบผลกำไรบางส่วนให้กับพวกเขา


 


“รัฐบาลกลางจะได้รับส่วนแบ่งผลกำไรจากกระทรวงเกษตรรัฐและการปรับปรุงที่ดิน ข้อเสนอนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่น ทำไมรัฐบาลกลางถึงไม่ยอมปล่อยเราไปล่ะ? ผมเป็นห่วงแค่ว่ากระทรวงการเกษตรจะพยายามควบคุมบริษัทนี้ทั้งหมด เราต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าบริษัทนี้สำคัญต่อเรามากแค่ไหน”


 


“คุณกำลังจะบอกว่าเราควรจัดตั้งกลุ่มผู้นำงั้นหรอ?” นี่คือสิ่งที่รัฐบาลจีนมักจะทำกัน กลุ่มผู้นำจะแบ่งความรับผิดชอบให้กับผู้นำแต่ละคนและแสดงให้คนอื่นเห็นว่ารัฐบาลระดับจังหวัดให้ความสำคัญกับบริษัทนี้


 


“เปล่าครับ บริษัทนี้จะเป็นบริษัทแบบถือหุ้นและจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตด้วย จังหวัดหลงเจียงของเราจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดและเราควรมีสิทธิ์แต่งตั้งประธานของบริษัทนี้”


 


ซวี่ฉางโหย่วคิดว่าจางรุ่ยเฉียงต้องการเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้นำเสียอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจางรุ่ยเฉียงตั้งใจที่จะเป็นประธานของกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางงั้นหรอ?


 


“คุณต้องการดำรงตำแหน่งนี้หรอ?”


 


“เปล่าครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นประธานคนแรก คุณเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด”


 


ซวี่ฉางโหย่วรู้สึกประหลาดใจ ให้เขาเป็นประธานงั้นหรอ? เขาคิดอยู่พักหนึ่ง ใช่แล้ว ถ้าผมได้เป็นประธาน ใครจะกล้ามาแข่งกับเขาเพื่อควบคุมบริษัทนี้? คนที่มีคุณสมบัติพวกนั้นในรัฐบาลกลางจะไม่กล้าขอย้ายไปที่จังหวัดหลงเจียงเพื่อมาแข่งกับเขา แบบนี้จังหวัดหลงเจียงจะเข้าควบคุมบริษัทได้ทั้งหมด


 


“เป็นความคิดที่ดีที่จะให้ผมเป็นประธาน แล้วคุณคิดว่าใครควรเป็นผู้จัดการทั่วไป?”


 


หากผู้นำยินดีที่จะหารือเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งบุคลากรกับคุณ นั่นหมายความว่าเขาถือว่าคุณเป็นผู้ช่วยที่ไว้วางใจได้


 


“ผมคิดว่าเราควรให้คนในอุตสาหกรรมเกษตรเป็นผู้จัดการทั่วไป นอกจากนี้ เรายังสามารถหาคนที่เก่งในธุรกิจด้านนี้มาด้วยครับ”


 


“คุณไม่อยากเป็นผู้จัดการทั่วไปหรอ?” ซวี่ฉางโหย่วมองหน้าจางรุ่ยเฉียงและถาม


 


“เมืองปิงยังมีงานอีกมาก ผมทำหน้าที่อื่นไม่ไหวแล้วครับในตอนนี้” จางรุ่ยเฉียงไม่ได้บอกว่าเขาไม่ต้องการเป็นผู้จัดการทั่วไป แต่เขาบอกว่าเขายังไม่ไหวที่จะทำในตอนนี้


 


หากกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉางจัดตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะมีอนาคตที่สดใส นอกจากนี้ ยังเป็นสถานที่ที่จะสร้างความสำเร็จครั้งสำคัญ จางรุ่ยเฉียงจะไม่ล้มเลิกการได้รับดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปแน่นอน


 


แต่จางรุ่ยเฉียงรู้ว่าจะต้องใช้เวลาและความทุ่มเทอย่างมากในช่วงเริ่มแรก หากเขามุ่งเน้นที่กลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉาง เขาจะไม่ทำงานบริหารที่เมืองปิงได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกเมืองปิงก่อน


 


“โอเค ถ้าผมเป็นประธานบริษัท เราน่าจะได้รับนโยบายที่ดีและเงินทุนจากรัฐบาลกลาง แต่ถ้าเงินทุนที่มอบให้เรานั้นไม่เพียงพอและเราไม่สามารถระดมทุนที่เหลือได้ล่ะ?”


 


“เราสามารถกู้เงินจากธนาคาร และให้รัฐบาลระดับจังหวัดเป็นผู้ค้ำประกันได้ครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา” แม้ว่าผู้นำระดับสูงได้หยุดดำเนินการดังกล่าว แต่รัฐบาลท้องถิ่นยังคงมีหลายวิธีที่จะดำเนินการเกี่ยวกับระเบียบนี้ได้ ทุกอย่างจะดีถ้าพวกผู้นำระดับสูงทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งและไม่รู้เห็นอะไร


 


“ปัญหาเงินทุนเริ่มต้นนั้นได้รับการแก้ไขแล้ว คุณบอกว่าทุกฟาร์มต้องจัดตั้งบริษัท ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบแรกเริ่มต้นได้ แต่ผลผลิตการเก็บเกี่ยวเป็นของเกษตรกร ไม่ใช่ของฟาร์ม คุณกำลังจะบอกให้เราออกสัญญากู้ยืมเงินให้กับเกษตรกรพวกนั้นหรอ?”


 


“พวกเขาสามารถทำงานได้เหมือนพวกเราและขอเงินกู้จากธนาคารเพื่อชำระค่าพืชผลได้ ฟาร์มจะลงทุนในพื้นที่ของพวกเขาเอง หุ้นที่พวกเขาได้รับจะเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อย รัฐบาลระดับจังหวัดจะถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น หากฟาร์มยังได้รับเงินกู้ไม่มากพอ ก็ปล่อยให้พวกเขาขอเงินทุนจากรัฐบาลกลางเอง ผมคิดว่ากระทรวงเกษตรรัฐและการปรับปรุงที่ดินจะสามารถหาทางออกให้กับฟาร์มพวกนั้นได้ครับ ก็เหมือนกันกับพื้นที่ป่าไม้หรือการทำไร่นาในป่า แต่การทำไร่นาในป่าสามารถใช้ได้เฉพาะพื้นที่ป่าที่ได้รับอนุญาตให้ตัดไม้เพื่อลงทุนได้เท่านั้น พื้นที่ที่ห้ามตัดไม้นั้นไม่สามารถนำมาลงทุนได้ แบบนี้กระทรวงเกษตรรัฐและการปรับปรุงที่ดินและกรมบริหารจัดการป่าไม้และทุ่งหญ้าของรัฐจะถูกจำกัดโดยกลุ่มบริษัทเป่ยต้าฉาง ซึ่งก็เหมือนกับที่ถูกเราจำกัด”


 


“จากสิ่งที่คุณพูดมา ดูเหมือนว่ารัฐบาลระดับจังหวัดไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเลยนะ”


 


“ใช่ครับ เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก มีคนบอกผมว่าการใช้เงินทุนที่ดีนั้นเหมือนกับการจับหมาป่าสีขาวด้วยมือเปล่า ซึ่งได้ผลในลักษณะเดียวกัน” จางรุ่ยเฉียงมีสีหน้าแปลกๆ เมื่อเขาพูดถึงสิ่งนี้ เขาคิดว่าเจ้าเด็กบ้าคนนั้นกลายเป็นเศรษฐีได้ยังไง


 


“จับหมาป่าสีขาวด้วยมือเปล่างั้นหรอ? แต่เราจะได้รับเงินกู้จำนวนมากจากธนาคารและยังต้องชำระคืนเงินกู้ในอนาคตอีกนะ”


 


“ก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มทุน และใช้เงินทุนเพื่อชำระเงินกู้จากธนาคาร เราอาจจะมีเงินเหลือสำหรับการเติบโตที่รวดเร็วขึ้นก็ได้หลังจากที่ชำระคืนเงินกู้แล้ว”


 


กลยุทธ์นี้เป็นสิ่งที่เฝิงหยู่คิดไว้ นำเงินกู้มาพัฒนาบริษัทก่อน หลังจากที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แล้ว ให้ใช้เงินทุนมาชำระเงินกู้ แม้ว่าหุ้นในบริษัทของรัฐบาลระดับจังหวัดจะลดลง แต่มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก มูลค่าของหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน


 


บริษัทนี้จะยังคงเป็นของจังหวัด นี่เป็นเพียงวิธีง่ายๆ ในการใช้เงินทุนและรัฐบาลระดับจังหวัดสามารถควบคุมบริษัทขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก


 


หากยังระดมเงินทุนไม่เพียงพอจากการจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เฝิงหยู่ก็ยินดีที่จะซื้อหุ้นบางส่วนหรือจะให้ลงทุนโดยตรงในบริษัทเลยก็ได้


 


จางรุ่ยเฉียงรู้สึกตกใจเมื่อเฝิงหยู่บอกเขาเกี่ยวกับกลยุทธ์นี้ พวกเขาสามารถระดมทุนด้วยวิธีนี้ได้และมันก็ถูกกฎหมายด้วย!


 


“ตกลง ผมจะเรียกประชุมในตอนบ่ายและคุณจะเป็นคนประกาศแผนนี้ในที่ประชุม เราจะโน้มน้าวทุกคนเพื่อทำให้แผนนี้ประสบความสำเร็จ!”


 


หมายเหตุ: สำนวนจีนคำว่า จับหมาป่าสีขาวด้วยมือเปล่า หมายถึงการได้รับสิ่งที่มีค่าโดยแลกกับของที่ไร้ค่าหรือโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย


EG บทที่ 732 การสอบวิทยานิพนธ์


 


วันนี้เป็นวันสอบวิทยานิพนธ์ในห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง


 


หัวหน้าคณะและอาจารย์สองคนนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว แต่ละคนมีวิทยานิพนธ์วางอยู่ตรงหน้าพวกเขา นักศึกษาที่ดูมีความมั่นใจคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา ข้างหลังเขามีนักศึกษาที่ดูตื่นเต้นสองสามคนนั่งเรียงเป็นแถว


 


“ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มได้เลย” หัวหน้าคณะกล่าว


 


“เรียนอาจารย์และนักศึกษา ผม เฝิงหยู่จากคณะบริหาร รุ่น 91 ผมดีใจที่ได้มาที่นี่เพื่อสอบวิทยานิพนธ์ ผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะได้ประโยชน์อะไรไปบ้างจากเซสชั่นของผม”


 


นักศึกษาคนอื่นๆ ที่กำลังรอคิวตัวเองกำลังซุบซิบกัน เฝิงหยู่คนนี้ดูอวดดีมาก พวกเราทุกคนจะเริ่มต้นประโยคด้วยการพูดว่า หวังว่าอาจารย์และนักศึกษาคนอื่นๆ จะพอใจกับคำตอบของเรา ถ้าพูดอะไรก็ตามในทำนองนี้เท่ากับว่าเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตในมหาวิทยาลัยของเราทันที เฝิงหยู่คนนี้ช่างกล้าที่อ้างว่าเขาต้องการให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากวิทยานิพนธ์ของเขา เขาคิดว่าอาจารย์สามารถเรียนรู้อะไรจากเขาได้งั้นหรอ?


 


ทั้งมหาวิทยาลัยรู้ว่าเฝิงหยู่นั้นมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เขาสามารถที่จะซื้ออพาร์ทเม้นท์นอกมหาวิทยาลัยได้ แม้แต่อาจารย์ที่ได้รับเงินเดือนสูงบางคนในมหาวิทยาลัยยังขี่มอเตอร์ไซค์อยู่เลย แต่เฝิงหยู่กลับขับรถไปมหาวิทยาลัย ที่สำคัญรถของเฝิงหยู่มีราคาแพงมาก พวกเขาได้ยินมาว่ารถของเขามีมูลค่าหลายแสน แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนเป็นรถซ่งเจียง ซึ่งเป็นรุ่นที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ที่นั่งทั้งหมดทำจากหนังแท้


 


มีข่าวลือว่าอาจารย์ใหญ่และพนักงานทุกคนของมหาวิทยาลัยสนิทกับเฝิงหยู่ เขาสามารถโดดเรียนเมื่อไหร่ก็ได้แถมไม่ต้องมาเรียนซ้ำอีกด้วย!


 


นักศึกษาทุกคนยังงงด้วยว่าเฝิงหยู่ได้เป็นหนึ่งในนักศึกษาแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยฮ่องกงได้ยังไง นักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นอยู่ได้เพียง 6 เดือน แต่เฝิงหยู่สามารถอยู่ที่นั่นได้ 1 ปี!


 


แม้ว่าคุณจะมีเส้นสายและคนหนุนหลังที่มีอำนาจมาก แต่คุณก็ควรรู้สถานะของคุณ คุณจะมาพูดราวกับว่าตัวเองกำลังจะสอนหนังสือให้พวกอาจารย์ได้ยังไง


 


หากอาจารย์รู้สึกโกรธขึ้นมา พวกเขาจะทำให้คุณสอบไม่ผ่าน และคุณต้องกลับไปทำใหม่ซ้ำอีกครั้ง! ฉันล่ะอยากให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ


 


นอกจากนี้ คุณยังไม่ได้เซ็นสัญญาใดๆ กับหน่วยงานไหนเลย พวกเราทุกคนเข้ารับราชการกันหมดแล้ว รัฐบาลอาจยุติการมอบหมายงานในตอนนี้ แต่นั่นก็สำหรับมหาวิทยาลัยทั่วไป แต่สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งนั้นแตกต่างกัน หน่วยงานของรัฐจะยังคงมาที่นี่เพื่อรับสมัครนักศึกษาที่เรียนจบและยังไม่ได้ศึกษาต่อ


 


มีนักศึกษาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ได้เข้ารับราชการ นักศึกษาพวกนี้จะไปทำงานในภาคเอกชน พวกเขาได้ยินมาว่าภาคเอกชนจ่ายเงินให้พนักงานดีมาก พวกเขาสามารถรับเงินเดือนได้สูงถึง 1,000 หยวนต่อเดือน!


 


“สิ่งที่ผมพูดคือบทสรุปของวิทยานิพนธ์ของผมครับ ผมยินดีรับฟังคำถามที่เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของผม มีมั้ยครับ?”


 


เฝิงหยู่ไม่ได้ดูสคริปต์ของเขาในช่วง 20 นาทีที่ผ่านมา เขาสามารถสรุปวิทยานิพนธ์ของเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งสร้างแรงกดดันให้นักศึกษาคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก ขนาดเวลานักศึกษาดูสคริปต์ พวกเขายังพูดติดอ่างอยู่ดี


 


แต่การบอกอาจารย์ว่าคุณยินดีรับฟังคำถามนั้นดูเหมือนจะมากเกินไป นักศึกษาคนก่อนหน้าเฝิงหยู่ก็พูดในแบบเดียวกันและก็โดนด่าเรียบร้อย


 


เอ๊ะ? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอาจารย์ไม่ถามสักคำ? พวกเขากำลังคุยกันเองเรื่องวิทยานิพนธ์หรือเปล่า? วิทยานิพนธ์ของเขามีปัญหาหรอ? อาจารย์น่าจะเคยเห็นวิทยานิพนธ์ของเขามาก่อน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


 


หัวหน้าคณะมองไปที่เฝิงหยู่ “เฝิงหยู่ ผมจำได้ว่าคุณเป็นนักศึกษาที่เข้ามหาวิทยาลัยได้โดยตรงเลยใช่มั้ย? คุณยังเคยได้เข้าร่วมค่ายฤดูร้อนที่มอสโกด้วย และคุณก็ประทับใจกับภาษารัสเซียมาก ข้อกำหนดสำหรับวิทยานิพนธ์ของคุณคือการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ แต่คุณเลือกที่จะแปลเป็นภาษาต่างประเทศ 2 ภาษา ซึ่งก็คือรัสเซียและอังกฤษ คุณเก่งภาษาต่างประเทศทั้งสองภาษานี้เลยหรอ?”


 


นักศึกษาคนอื่นๆ ตกตะลึงมาก นี่มันคำถามอะไรกัน? นี่มันคือเซสชั่นการสอบวิทยานิพนธ์ ก็ควรจะถามคำถามที่เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ไม่ใช่หรอ? ทำไมเป็นคำถามเกี่ยวกับภาษาล่ะ?


 


นอกจากนี้ เฝิงหยู่นี้ยังได้แปลวิทยานิพนธ์ของเขาเป็นภาษาต่างประเทศอีกสองภาษาด้วยหรอ? เขาพยายามอวดฉลาดงั้นหรอ? จากนิสัยที่เข้มงวดของหัวหน้าคณะ เฝิงหยู่น่าจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ!


 


“ใช่แล้วครับ ผมสามารถใช้ภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษเพื่อสอบวิทยานิพนธ์ของผมได้” เฝิงหยู่ตอบอย่างภาคภูมิใจ


 


เฝิงหยู่เขียนวิทยานิพนธ์นี้เอง เขายังใช้พจนานุกรมศัพท์เฉพาะเพื่อตรวจสอบคำศัพท์ด้วย เขาเข้าใจทุกคำในวิทยานิพนธ์และไม่มีปัญหาในการใช้คำพวกนั้นในการสนทนา สำหรับเฝิงหยู่แล้ว การสอบวิทยานิพนธ์แบบปากเปล่านั้นง่ายกว่าการเขียนวิทยานิพนธ์เยอะมาก


 


เมื่อนักศึกษาคนอื่นได้ยินคำตอบของเฝิงหยู่ พวกเขาก็เริ่มซุบซิบกันเอง เฝิงหยู่อวดดีมากไปแล้ว เขาต้องการสอบวิทยานิพนธ์โดยใช้สองภาษางั้นหรอ?!


 


แต่คราวนี้เฝิงหยู่น่าจะมีปัญหา ศาสตราจารย์นูและศาสตราจารย์ฮวางเก่งภาษาต่างประเทศ หนึ่งในนั้นรู้จักภาษาอังกฤษและอีกคนก็รู้จักภาษารัสเซีย เฝิงหยู่คนนี้จะต้องทำการสอบวิทยานิพนธ์อีกรอบแน่ๆ!


 


ศาสตราจารย์นูถามคำถามสองข้อเป็นภาษาอังกฤษและเฝิงหยู่ก็ตอบได้อย่างง่ายดาย นักศึกษาคนอื่นๆ ได้ยินสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของเฝิงหยู่อย่างคล่องแคล่ว และพวกเขาก็รู้สึกอาย หลายคนต้องการศึกษาต่อในต่างประเทศ แต่พวกเขาไม่เก่งภาษาต่างประเทศ


 


เมื่อศาสตราจารย์ฮวางถามเฝิงหยู่เป็นภาษารัสเซีย เฝิงหยู่ก็สามารถตอบเขาด้วยภาษารัสเซียที่สมบูรณ์แบบได้ คำถามที่อาจารย์ทั้งสองถามนั้นไม่ใช่เรื่องยากและ เฝิงหยู่ก็รู้คำตอบ


 


“เงียบๆ กันหน่อย! ไม่เห็นหรอว่ากำลังสอบวิทยานิพนธ์กับนักศึกษาคนนี้อยู่ ทำไมพวกคุณไม่ไปคุยกันที่อื่น?” หัวหน้าคณะตะโกนและกระแทกโต๊ะ นักศึกษพวกนี้ไร้ระเบียบวินัยจริงๆ พวกเขาจะทำงานได้ดีในอนาคตได้ยังไง?


 


นักศึกษาคนอื่นๆ พากันเงียบและก้มหน้าลง หากหัวหน้าคณะเป็นคนให้คะแนนพวกเขา คราวนี้ต้องเป็นจุดจบของการสอบวิทยานิพนธ์ของพวกเขาแน่ๆ


 


หากพวกเขาสอบวิทยานิพนธ์ไม่ผ่าน พวกเขาจะไม่สามารถสำเร็จการศึกษาได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นหลายกรณีแล้วในอดีต


 


หัวหน้าคณะยังถามคำถามเฝิงหยู่อีกสองสามข้อ คำถามบางเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีและบางคำถามก็เกี่ยวกับวิธีการทำวิทยานิพนธ์ของเขา ยังมีคำถามอีกข้อหนึ่งที่ถามเกี่ยวกับรายละเอียดของวิทยานิพนธ์ แต่เฝิงหยู่ก็สามารถตอบคำถามพวกนี้ได้ดี


 


เฝิงหยู่ตอบคำถามทุกข้อได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ได้นิ่งเงียบหรือใช้เวลาคิดคำตอบเลย


 


หลังจากเฝิงหยู่ตอบคำถามสุดท้าย หัวหน้าคณะและอาจารย์สองคนก็มีการพูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็บอกเฝิงหยู่ว่า “ดีมาก พวกผมพอใจกับการสอบวิทยานิพนธ์ของคุณ เราบอกได้เลยว่าคุณได้คะแนนเต็ม! คุณเป็นคนเดียวในมหาวิทยาลัยของเราที่ได้คะแนนเต็มในการสอบวิทยานิพนธ์!”


 


ว้าว!!!!!!!!!!!!!!


 


นักศึกษาคนอื่นอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ อาจารย์ประกาศว่าเฝิงหยู่ได้รับคะแนนเต็มและเป็นคนเดียวที่ได้รับคะแนนเต็มด้วยงั้นหรอ? วิทยานิพนธ์ของเขาดีจริงหรอ? แค่วิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องการจัดการฟาร์มมันจะดีแค่ไหนกันเชียว?


 


เฝิงหยู่คนนี้ต้องใช้เส้นสายแน่ๆ ไม่งั้น เขาไม่มีทางได้คะแนนเต็มหรอก! ตอนที่เขาตอบคำถาม เขาไม่ได้นึกคำตอบเลย ขนาดผมมาจากทีมโต้วาที ผมยังทำไม่ได้เลย ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือเฝิงหยู่รู้คำถามก่อนเซสชั่นนี้ เขารู้ว่าอาจารย์กำลังจะถามอะไรและเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว!


 


เฮ้อ……นี่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนหรือเปล่าเนี่ย? แม้แต่การสอบวิทยานิพนธ์ก็สามารถโกงกันได้ ดูเหมือนว่าคงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่จะไม่เรียนต่อที่นี่


 


“ขอบคุณครับ” เฝิงหยู่คำนับแล้วเดินกลับไปที่ที่นั่งของเขา


 


เฝิงหยู่ดูนิ่งมาก เขาดูเหมือนจะไม่กังวลอะไรเลย ดูเหมือนว่าการตอบคำถามทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเลย แถมเขายังยิ้มตลอดเซสชั่น เขาดูมั่นใจมาก


 


จากที่สังเกตการณ์มาทั้งหมดนี้ ทำให้นักศึกษาคนอื่นๆ สรุปได้ว่าเฝิงหยู่ใช้เส้นสายแน่ๆ นักศึกษาที่ทำการสอบวิทยานิพนธ์เสร็จจะต้องรู้สึกโล่งอก แต่เฝิงหยู่กลับไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินว่าตัวเองได้คะแนนเต็ม!


 


โกงกันชัดๆ!


EG บทที่ 733 แย่งชิงตัว


 


“ตาเฒ่าลู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกลับมารับสมัครนักศึกษา ผมก็จบจากมหาวิทยาลัยนี้เหมือนกัน ทำไมคุณถึงปกปิดคนเก่งแบบนี้ไม่ให้ผมรู้? หากเขายังคงศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เขาไม่ได้จะศึกษาต่อ ทำไมคุณไม่บอกผม?” ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่สำนักงานของหัวหน้าคณะบริหารจัดการ


 


“ตาเฒ่าโจว ผมไม่ได้ปิดบังอะไรคุณเลย ผมถามนักศึกษาคนนี้แล้ว และเขาไม่ต้องการเข้ารับราชการ” ผู้อำนวยการลู่ตอบ


 


“เราเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเปล่า? เราคือกระทรวงการต่างประเทศ! ไม่ใช่ว่าเราจะรับใครเข้าทำงานก็ได้นะ เรียกนักศึกษาคนนั้นมาเลย ผมจะคุยกับเขา ผมไม่เชื่อว่าเขาไม่ต้องการเข้าทำงานที่แผนกผม!” ตาเฒ่าโจวขึ้นเสียง


 


“โอ้ ตาเฒ่าลู่ยุ่งอยู่หรอ? ตาเฒ่าโจวก็อยู่ที่นี่ด้วยหรอ?” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาและทักทายพวกเขา


 


“ตาเฒ่าเมิ่งหรอ? ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” ตาเฒ่าโจวรู้สึกไม่ดี การรับสมัครนักศึกษาเข้าทำงานโดยหน่วยงานภาครัฐน่าจะจบลงได้แล้ว ซึ่งควรจะตัดสินได้ในระหว่างการฝึกงานแล้ว


 


ตาเฒ่าเมิ่งมาถึงที่นี่ในวันนี้นั่นหมายความว่าเขาก็มาหานักศึกษาที่มีความสามารถเช่นกัน!


 


“ผมมาที่นี่เพื่อรับสมัครนักศึกษา”


 


“รับสมัครหรอ? หน่วยงานของคุณน่าจะทำการรับสมัครเสร็จไปตั้งนานแล้วนิ” ตาเฒ่าโจวถาม


 


“แล้วคุณล่ะ? ทำไมถึงมาที่นี่?”


 


“ผมมาคุยกับตาเฒ่าลู่” ตาเฒ่าโจวตอบ


 


“คุณมาคุยหรอ? โอเค งั้นผมก็มาคุยเรื่องงานกับตาเฒ่าลู่เหมือนกัน ตาเฒ่าลู่ คณะของคุณมีนักศึกษาที่ชื่อเฝิงหยู่หรือเปล่า? คุณเรียกให้เขามาพบได้มั้ย? กระทรวงเกษตรของเราต้องการตัวเขา”


 


อะไรนะ? ตาเฒ่าเมิ่งอยากได้เฝิงหยู่ไปทำงานด้วยหรอ? พวกเขาจะทำแบบนั้นยังไง? เราอยากได้นักศึกษาคนนี้ก่อนนะ!


 


“เดี๋ยวนะตาเฒ่าเมิ่ง คุณหมายความว่าไงที่บอกว่ากระทรวงเกษตรต้องการตัวเขา ผมมาถึงที่นี่ก่อน เขาเป็นของกระทรวงการต่างประเทศของเราแล้ว!”


 


ตาเฒ่าโจวลุกขึ้นยืนทันที หากตาเฒ่าลู่เห็นด้วยกับความต้องการของตาเฒ่าเมิ่ง เขาก็ไม่สามารถกลับไปตอบหัวหน้าของเขาได้ นักศึกษาคนนี้รู้จักภาษาต่างประเทศสองภาษา เข้าร่วมค่ายฤดูร้อนที่มอสโก และเคยไปฮ่องกงเพื่อเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน นักศึกษาที่มีความสามารถแบบนี้ควรเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ!


 


นักศึกษาคนนี้จะไปทำอะไรในกระทรวงเกษตร? ทำแบบนั้นเท่ากับว่าใช้คนเก่งอย่างเปล่าประโยชน์จริงๆ!


 


ฟังจากที่พูดแล้วตาเฒ่าเมิ่งรู้ว่าตาเฒ่าโจวยังไม่ได้รับเฝิงหยู่เข้าไปทำงาน เขายังรอเฝิงหยู่อยู่ โอเค งั้นเขาก็จะอยู่ในห้องทำงานด้วย เขาไม่เชื่อว่าข้อเสนอของเขาจะน่าดึงดูดน้อยกว่ากระทรวงการต่างประเทศ มีชายหนุ่มตั้งกี่คนที่เต็มใจอยากมาทำงานที่นี่?


 


“ผมไม่ต้องการคุยกับคุณ ผมจะรอที่นี่ด้วย เมื่อเฝิงหยู่มาถึง ก็ให้เขาตัดสินใจเอง ผมรู้ว่าเขาจะเลือกแผนกของผมอย่างแน่นอน ตาเฒ่าโจว คุณจะกลับไปตอนนี้เลยก็ได้นะ” ตาเฒ่าเมิ่งพูดอย่างมั่นใจ


 


“ไร้สาระ! เขาจะไปทำอะไรได้ที่แผนกของคุณ ไปเป็นช่างหรือคนขับรถแทรคเตอร์งั้นหรอ? อนาคตของเขาจะพังพินาศถ้าเขาไปทำงานที่แผนกคุณ เขารู้จักภาษาต่างประเทศตั้งสองภาษาและมีประสบการณ์ในต่างประเทศ เขาเหมาะสมกับแผนกของผมมากกว่า!”


 


ตาเฒ่าเมิ่งโมโห การเข้าทำงานที่กระทรวงเกษตรหมายถึงการเป็นช่างหรือคนขับรถแทรคเตอร์งั้นหรอ? ให้ตายสิ! แบบนี้ดูถูกกันมากเกินไปแล้ว!


 


ตาเฒ่าเมิ่งไม่ได้โต้เถียงกับตาเฒ่าโจวต่อ เมื่อเฝิงหยู่มาถึง เขาก็มั่นใจว่าเฝิงหยู่จะเลือกทำงานในแผนกของเขา สวัสดิการในแผนกของเขายอดเยี่ยมมาก!


 


ผู้อำนวยการลู่เห็นชายทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันก็รีบเข้ามาขัดอย่างรวดเร็ว “เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ที่นี่มันมหาวิทยาลัยนะ อีกอย่าง ผมขอย้ำอีกรอบ เฝิงหยู่บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ต้องการเข้าทำงานที่กระทรวง ไม่มีประโยชน์หรอกที่คุณทั้งคู่จะมาแย่งชิงตัวเขากัน”


 


“ตาเฒ่าลู่ ไม่ว่าเขาจะอยากหรือไม่อยากเข้าทำงาน มันก็เป็นเรื่องของเรา ไม่เกี่ยวกับคุณ คุณแค่เรียกเขามาที่นี่ก็พอ” ตาเฒ่าโจวตอบ


 


พอตาเฒ่าเมิ่งได้ยินแบบนี้ แสดงว่าพวกเขายังไม่ได้เรียกนักศึกษามาที่นี่งั้นหรอ? เขารีบพูดทันที “ตาเฒ่าลู่ คุณไม่จำเป็นต้องเรียกเฝิงหยู่มาก็ได้ บอกผมมาว่าเขาพักอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะไปหาเขาเอง”


 


ตาเฒ่าเมิ่งเต็มใจที่จะลดสถานะของตัวเองลงเพื่อให้ได้นักศึกษาที่มีความสามารถแบบนี้


 


ตาเฒ่าเมิ่งอยากได้ตัวเฝิงหยู่ไปทำงานด้วยมากเพราะผู้นำระดับสูงของเขาเป็นคนออกคำสั่งนี้มา เมื่อสองวันก่อน ผู้นำระดับสูงของเขาได้อ่านบทความจากหนังสือเวียนภายใน ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับเรื่องการจัดการฟาร์ม มันกลายเป็นแรงบันดาลใจอย่างมาก


 


ผู้นำระดับสูงรู้ว่าคนที่เขียนบทความนี้เป็นคนที่มีความสามารถในด้านการเกษตร บุคคลนี้เป็นศาสตราจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญจากจังหวัดอื่นหรือเปล่า? ไม่ว่าบุคคลนี้จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เขาควรถูกย้ายตัวไปทำงานที่กระทรวงเกษตร!


 


ผู้นำระดับสูงสั่งให้ลูกน้องไปสืบมาว่าใครเป็นผู้เขียนบทความนี้ เขาดีใจมากเมื่อรู้ว่าคนเขียนคือนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง บทความนี้ถูกส่งมาจากมหาวิทยาลัยและเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์สำเร็จการศึกษาของเขา


 


นักศึกษาคนนี้จะต้องได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงานในแผนกของเขา!


 


อีกด้านหนึ่ง ตาเฒ่าโจวได้ยินจากอาจารย์คนหนึ่งในมหาวิทยาลัยปักกิ่งว่ามีนักศึกษาที่เก่งภาษาต่างประเทศสองภาษา นักศึกษาคนนี้ยังไม่ได้รับการคัดเลือกจากหน่วยงานใดเลย หากอาจารย์ไม่ได้เข้าร่วมในการสอบวิทยานิพนธ์ครั้งนั้น เขาก็ไม่รู้ว่านักศึกษาคนนี้สามารถพูดภาษาต่างประเทศทั้งสองภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว อาจารย์คนนั้นเคยสอนเฝิงหยู่เพียงแค่หนึ่งภาคเรียน และไม่รู้จักเขามากนัก


 


ตาเฒ่าโจวรู้ว่านักศึกษาที่มีความสามารถนี้ต้องได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ เขารีบรายงานเรื่องนี้ให้ผู้นำระดับสูงทราบและผู้นำระดับสูงก็เห็นด้วยกับเขา มันเป็นเรื่องยากที่จะหาคนที่มีความสามารถแบบนี้ นักศึกษาคนนี้จะต้องได้รับการคัดเลือก แม้ว่าแผนกของเขาจะมีโควต้าการรับสมัครเต็มแล้ว แต่เขาก็จะเพิ่มอีกที่หนึ่งให้เฝิงหยู่!


 


“ตาเฒ่าเมิ่ง มันจะมากเกินไปแล้วนะ ผมมาถึงที่นี่ก่อน ผมก็ควรจะได้พบกับนักศึกษาคนนี้ก่อนสิ”


 


“คุณหมายความว่ายังไงที่บอกว่าคุณอยู่ที่นี่ก่อน? คุณคิดว่าคุณกำลังซื้อผักในตลาดหรือไง?! นี่คืออาชีพในอนาคตของนักศึกษา เราต้องเคารพการตัดสินใจของเขา แผนกของผมเพิ่งสร้างที่พักใหม่สำหรับพนักงานของเรา ถ้าเฝิงหยู่เข้าแผนกของผม เขาสามารถพักที่นั่นได้ และถ้าเขาแต่งงาน เขาก็จะได้อพาร์ทเมนต์ใหม่ที่มี 3 ห้องนอน คุณได้ยินหรือเปล่า? อพาร์ตเมนต์ 3 ห้องนอนเลยนะ!” ตาเฒ่าเมิ่งเหม่ยขึ้นเสียง


 


“เขาจะได้อพาร์ทเมนต์ที่มี 3 ห้องนอนงั้นหรอ? เขายังไม่ผ่านการรับรองให้พักในที่อยู่อาศัยประเภทนั้น คุณไม่มีทางทำแบบนั้นได้?!” ตาเฒ่าโจวโกรธมาก อพาร์ทเมนต์แบบ 3 ห้องนอนนั้นมีไว้สำหรับหัวหน้ากรมและระดับที่สูงกว่าเท่านั้น!


 


“ผู้นำของเราบอกว่าเราควรดูแลและใส่ใจพนักงานที่มีความสามารถเช่นนี้ ไม่มีใครว่าอะไรในการให้สิทธิพิเศษพวกนี้แก่เขา นอกจากนี้ ที่พักของพนักงานเราก็อยู่ข้างๆ กลุ่มนักเต้นทางรถไฟ แถวนั้นมีสาวสวยเยอะแยะ เรายังสามารถแนะนำแฟนให้เขาได้ด้วย” เมิ่งเฒ่าตอบอย่างภูมิใจ


 


“คุณ……คุณจะมารับสมัครพนักงานแบบนี้ได้ยังไง?” มือของตาเฒ่าโจวสั่นด้วยความโกรธ เขามาจากกระทรวงการต่างประเทศและสามารถพูดออกเสียงได้ชัดเจน แต่ตอนนี้เขากลับพูดไม่ออก


 


“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ ตาเฒ่าลู่ บอกผมมาว่าเฝิงหยู่พักอยู่ที่ไหน ผมจะไปคุยกับเขาตอนนี้”


 


ผู้อำนวยการลู่อยากบอกทั้งสองคนว่าเฝิงหยู่จะไม่สนใจข้อเสนอของพวกเขาหรอก แต่เนื่องจากพวกคุณไม่เชื่อที่ผมพูด ก็ตามใจ ผมจะปล่อยให้พวกคุณต้องเอาหัวโขกฝาผนังกันเอง คอยดูเถอะ


 


ฮึ่ม! อย่าคิดว่านักศึกษาของผมทุกคนจะอยากเข้าทำงานที่แผนกของพวกคุณเหลือเกิน!


EG บทที่ 734 ความใฝ่ฝันของผมคือการเป็นนักธุรกิจ  


 


“พี่ๆ ครับ! ผมสอบวิทยานิพนธ์เสร็จแล้ว ผมจะเลี้ยงอาหารเย็นคืนนี้เอง! เราไปกินที่ร้านฉวนจวี้เต๋อกันเถอะ!” เฝิงหยู่ตะโกนในหอพักของเขา


 


“เปลี่ยนเสื้อเสื้อผ้าและรีบไปกันเถอะ!”


 


ก๊อกๆๆ……


 


“เฝิงหยู่พักอยู่ในหอพักนี้หรือเปล่า?” ตาเฒ่าเมิ่งเเข้ามาในห้องและถาม


 


“ห้ะ? ใช่ครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ?” เทียนเล่ยรีบดึงกางเกงของเขาขึ้นมาทันทีและถาม คนๆ นี้เป็นใครกัน? อยู่ดีๆ เข้าห้องคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง?


 


โชคดีที่เป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงเข้ามาล่ะ?


 


“ผมมาจากกระทรวงการเกษตร ผมนามสกุลเมิ่ง ผมมาหาเฝิงหยู่”


 


“โอ้ น้องสี่ มีคนมาหาน่ะ” เทียนเล่ยตะโกน คนนี้ดูเหมือนจะเป็นข้าราชการ เขาจะมาหาเรื่องเฝิงหยู่หรือเปล่า?


 


คนไหนคือเฝิงหยู่?


 


เฝิงหยู่กำลังเก็บข้าวของอยู่ เขาคิดว่าจะเอาของใช้บางอย่างไปเก็บในรถก่อน ดังนั้นพอตอนเรียนสำเร็จการศึกษา เขาจะได้มาเอาที่เหลือซึ่งไม่ค่อยเยอะมากนัก


 


เฝิงหยู่เงยหน้าขึ้นเมื่อเขาได้ยินเทียนเล่ยเรียกหาเขา เขาเห็นชายอีกคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะตามหาเขาเช่นกัน


 


“อ่าว ตาเฒ่าโจวมาทำอะไรที่นี่?” ตาเฒ่าเมิ่งเฒ่าห้ามตาเฒ่าโจวเอาไว้


 


เทียนเล่ยกำลังจะถามว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่เมื่อเขาเห็นทัศนคติของตาเฒ่าเมิ่ง เขาเลือกที่จะเงียบ คนที่เพิ่งเข้ามาในห้องดูเหมือนว่าจะเป็นข้าราชการเช่นกัน แม้ว่าครอบครัวของเทียนเล่นจะมีเส้นสายบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจมากนัก เขาไม่ต้องการที่จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสองคนนี้ไม่พอใจ


 


เทียนเล่ยเป็นคนนิ่งเงียบมากกว่าคนอื่น แต่คนอื่นที่เหลือไม่ได้เป็นแบบนั้น ชายหนุ่มหลายคนในวัยของเขาเป็นพวกหุนหันพลันแล่น


 


หวังเล่ยซึ่งมาจากเมืองปิงลุกยืนขึ้นและห้ามชายทั้งสอง “ผมไม่สนใจว่าคุณจะมาจากหน่วยงานไหน แต่คุณควรจะมีมารยาทพื้นฐานบ้าง ใครอนุญาตให้คุณสองคนเข้ามามิทราบ?”


 


ตอนที่หวังเล่ยเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยแรกๆ เขาเป็นคนเงียบมาก แต่ตอนนี้เขามีความมั่นใจมากขึ้น นอกจากนี้เขายังเป็นคนเดียวในหอพักของพวกเขาที่จะศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา


 


หวังเล่ยจะไม่ออกไปทำงานในปีนี้ ส่วนเพื่อนร่วมห้องที่เหลือได้รับอิทธิพลจากเฝิงหยู่ นอกเหนือจากเทียนเล่ยที่เข้ามารับราชการ ส่วนที่เหลือก็เลือกที่จะเข้าทำงานในภาคเอกชน ภาคเอกชนจ่ายเงินดีกว่าและให้ผลประโยชน์มากกว่า หวังเล่ยก็ตัดสินใจเข้าทำงานในภาคเอกชนในอนาคต เขาไม่ชอบทำงานในรัฐบาล


 


เนื่องจากหวังเล่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าทำงานกับรัฐบาลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อผู้นำพวกนี้เป็นอย่างดี


 


ตาเฒ่าโจวหยุดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้น นักศึกษาคนนี้อวดดีเกินไปแล้ว เขากล้าด่าพวกผู้นำหรอ? ขณะที่ตาเฒ่าโจวกำลังจะด่าหวังเล่ย ตาเฒ่าเมิ่งก็หัวเราะและพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ จริงๆ ผมเคาะประตูแล้ว แต่โดนเขาผลักเข้ามาข้างใน คุณช่วยผมโทรหาเฝิงหยู่หน่อยได้มั้ยครับ ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขา”


 


ตาเฒ่าโจวโกรธมาก คุณพูดงี้หมายความว่ายังไง? คุณเป็นคนที่อยากแย่งชิงนักศึกษาคนนี้กับผมเอง ถ้าคุณไม่ได้มาถึงที่นี่ก่อนหน้าผม ผมจะเข้ามาในห้องได้ยังไง? ตอนนี้คุณกำลังพยายามทำตัวเป็นคนดีและพยายามป้ายสีให้ผมเป็นคนเลวงั้นหรอ?


 


เฝิงหยู่เดินเข้ามาและพูดว่า “ผมชื่อเฝิงหยู่ครับ พวกคุณมาหาผมหรอครับ?”


 


“เฝิงหยู่ สวัสดีครับ ผมมาจากกระทรวงการต่างประเทศ คุณเรียกผมว่าลุงโจวก็ได้ครับ ผมต้องการเชิญคุณไปทำงานกับกระทรวงการต่างประเทศของเรา ด้วยความสามารถของคุณ คุณสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วแน่นอน มีข้อดีอีกอย่างในการทำงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศนะครับ คุณจะสามารถเดินทางไปหลายประเทศและพบกับผู้นำจากทั่วทุกมุมโลกได้!”


 


ก่อนที่เฝิงหยู่จะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ ตาเฒ่าโจวก็คว้าเฝิงหยู่ด้วยมือทั้งสองของเขาและไม่ยอมปล่อย


 


ขณะที่เฝิงหยู่กำลังจะดึงมือขวากลับ มือซ้ายของเขาก็ถูกใครสักคนจับเอาไว้


 


“เฝิงหยู่ ผมชื่อเมิ่งต้าหมิงครับ ผมมาจากกระทรวงการเกษตร ผมเป็นตัวแทนของแผนกเพื่อเชิญคุณไปทำงานกับเรา เราจะนำเสนอผลประโยชน์ที่ดีให้คุณ เมื่อคุณเข้าร่วมงานกับเรา เราจะมอบหมายอพาร์ทเมนต์ให้คุณ หากคุณแต่งงานเราจะให้อพาร์ทเมนต์ที่มี 3 ห้องนอน! ขนาดแค่อพาร์ทเมนท์แบบ 2 ห้องนอนหน่วยงานของพวกเขายังมีให้พนักงานไม่พอเลยครับ ไปต่างประเทศหลายประเทศงั้นหรอ? คุณอยู่ไกลจากบ้านมานานแล้ว! เราจะดูแลคุณเองและผมสัญญาว่าคุณจะเป็นหัวหน้าแผนกภายใน 3 ปี!”


 


หวังเล่ยตกใจ อะไรกันเนี่ย? อพาร์ตเมนต์แบบ 3 ห้องนอนหรอ? นี่คือแผนการปฏิบัติตามปกติในอดีตเมื่อก่อน แต่รัฐบาลพยายามที่จะยกเลิกสิ่งนี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการแบบนี้ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง แต่การเป็นหัวหน้าแผนกภายใน 3 ปีนี่มันมากเกินไปแล้ว! นั่นมันคือการปฏิบัติต่อนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาต่างหาก


 


ชายสองคนนี้มาจากกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการเกษตร ซึ่งเป็นแผนกจากรัฐบาลกลาง ตอนนี้กำลังขาดกำลังคนหรอ? ปัญหาการขาดกำลังคนรุนแรงมากจนเจ้าหน้าที่รัฐต้องมาทำการรับสมัครด้วยตัวเองถึงหอพักนักศึกษาเลยหรอ?


 


เฝิงหยู่สะบัดมือของเขาแล้วดึงมือออก เทียนเล่ยนำเก้าอี้สองตัวมาให้ผู้นำทั้งสองคน เพื่อนร่วมห้องที่เหลือไม่สนใจผู้นำพวกนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ เขากำลังจะเข้ารับราชการในไม่ช้า ใครจะไปรู้ว่าผู้นำคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้อาจจะกลายเป็นผู้นำในอนาคตของเขาก็ได้


 


การทำงานในยุคนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้นำ ผู้ที่เข้าไปทำงานใหม่ต้องทำทุกอย่างที่ผู้นำสั่ง ผู้นำไม่สนใจความสามารถพิเศษของคุณหรอก งานที่ได้รับมอบหมายขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้นำ บ่อยครั้งที่พบว่าบัณฑิตจากคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ต้องไปทำงานในแผนกสื่อสาร


 


ตาเฒ่าโจวกำลังจะนั่งลง แต่ตาเฒ่าเมิ่งโบกมือของเขา “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ ผมยืนคุยกับเฝิงหยู่ก็ได้”


 


ตาเฒ่าโจวด่าในใจ ตาเฒ่าเมิ่ง ตำแหน่งของคุณเทียบเท่ากับรองนายกเทศมนตรีเมือง คุณต้องทำตัวเหมือนอยากได้นักศึกษาไปทำงานด้วยจนตัวสั่นแบบนี้ด้วยหรอ?!


 


“เฝิงหยู่ ลองพิจารณากระทรวงเกษตรของเราดูก่อนนะ คุณต้องได้ใช้ความสามารถของคุณอย่างเต็มที่แน่นอน!” ตาเฒ่าเมิ่งมองเฝิงหยู่ เขาบอกข้อเสนอของเขาและมั่นใจว่าเฝิงหยู่จะยอมรับอย่างแน่นอน


 


เพื่อนร่วมห้องที่เซ็นสัญญากับบริษัทเอกชนต่างพากันอิจฉาเฝิงหยู่ หากหน่วยงานของรัฐมาเสนอผลประโยชน์ให้กับพวกเขา พวกเขาจะไม่ไปทำงานกับบริษัทเอกชน


 


แต่พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าเฝิงหยู่จะไม่เห็นด้วยไม่ว่าผู้นำทั้งสองคนนี้จะทำอะไรก็ตาม ผู้นำสองคนนี้ไม่เคยรู้ประวัติของเฝิงหยู่เลยหรือไง? เฝิงหยู่มีฐานะร่ำรวยและจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะเข้าไปทำงานในหน่วยงานราชการในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ?


 


“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบคุณทั้งคู่นะครับ แต่เมื่อคุณทุกคนมารับสมัครผมถึงที่นี่ ผมจะบอกให้ฟังชัดๆ นะครับว่าผมไม่สนใจเข้าทำงานกับรัฐบาล” เฝิงหยู่ส่ายหัว ในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยว่าทำไมคนสองคนนี้ถึงมารับสมัครเขา?


 


เฝิงหยู่ไม่รู้ว่าวิทยานิพนธ์ของเขาถูกตีพิมพ์ในจดหมายเวียนภายในภาครัฐ เขาไม่ได้รับเงินเลยสักแดง มหาวิทยาลัยไม่ได้แจ้งเรื่องนี้กับเฝิงหยู่


 


มหาวิทยาลัยจะส่งวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกไปยังผู้นำระดับสูง นักศึกษาทุกคนรู้เรื่องนี้ เฝิงหยู่ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาไม่คิดว่าจะวิทยานิพนธ์ของเขาจะถูกส่งไป


 


ตาเฒ่าโจวและตาเฒ่าเมิ่งต่างพากันตกตะลึงที่ได้ยินเฝิงหยู่ปฏิเสธพวกเขาตรงๆ พวกเขาจัดทำข้อเสนอที่ดีมาก แต่เฝิงหยู่ยังคงปฏิเสธพวกเขาแบบนี้!


 


“เฝิงหยู่ครับ โปรดพิจารณาอีกครั้งนะครับ หากคุณมีความต้องการเรื่องอื่น เราสามารถพูดคุยกันได้ ถ้าเราทำให้ได้ เราจะให้คุณหมดเลย!” ตาเฒ่าเมิ่งก้าวไปข้างหน้า ผู้นำของเขาสั่งให้เขารับสมัครเฝิงหยู่มาให้ได้ไม่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็ตาม


 


เฝิงหยู่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋าของเขา เขาแสดงให้ชายทั้งสองดูและพูดว่า“ครอบครัวของผมร่ำรวยมากและความใฝ่ฝันของผมก็คือการทำธุรกิจ ต้องใช้เวลานานแค่ไหนหรอครับกว่าจะซื้อรถยนต์ได้ถ้าผมเข้าทำงานในรัฐบาล? รถของผมแพงกว่ารถของหัวหน้าคุณอีก แม้ว่าพวกเขาจะมีเงิน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถซื้อได้”


 


เฝิงหยู่หันไปหาเพื่อนร่วมห้องและตะโกนว่า “พร้อมหรือยัง ไปกันเถอะ ไปร้านฉวนจวี้เต๋อกัน สั่งได้เต็มที่ตามที่ต้องการเลยนะ!”


 


หวังเล่ยออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขามองตาเฒ่าโจวและตาเฒ่าเมิ่ง “พวกคุณจะกลับมั้ยครับ? ผมต้องล็อคห้อง”


 


ตาเฒ่าโจวและตาเฒ่าเมิ่งมองหน้ากันแล้วเดินออกไป ตาเฒ่าโจวยังคงพอยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ตาเฒ่าเมิ่งรับไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าจะมีหน้ากลับไปเผชิญกับผู้นำของเขาอย่างไรดี


EG บทที่ 735 ลาก่อนมหาวิทยาลัย


 


ตอนนี้คือเดือนกรกฎาคมและเฝิงหยู่ก็จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เมื่อเขาได้รับหนังสือรับรองการสำเร็จการศึกษา นั่นหมายความว่าวันนั้นคือวันสุดท้ายในชีวิตรั้วมหาวิทยาลัยของเขา


 


เฝิงหยู่โดดเรียนมาโดยตลอดและเข้าร่วมเฉพาะชั้นเรียนที่เขาสนใจเท่านั้น บางวิชาเขาไม่ได้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่เขาอดรู้สึกเศร้าไม่ได้ที่จะต้องสิ้นสุดชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย


 


เฝิงหยู่แทบจะไม่ค่อยคลุกคลีกับเพื่อนร่วมชั้น เขาสนิทกับเพื่อนร่วมห้องในหอพักมากกว่า แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่เมื่อพวกเขาทั้งหมดกำลังแยกย้ายไปคนละทาง เฝิงหยู่ก็คิดถึงการใช้ชีวิตอาศัยในหอพัก


 


พวกเขาเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เตะฟุตบอล ดื่มและกินด้วยกัน


 


เฝิงหยู่ใช้ชีวิตสองแบบ คนพวกนี้ที่เคยเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาเมื่อชาติที่แล้วกลับได้มาผูกพันกับเขาในชาตินี้


 


แม้ว่าเฝิงหยู่จะรู้ว่ามันง่ายมากที่จะนัดเจอเพื่อนร่วมห้องของเขาเพราะพวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในปักกิ่งก็ตาม และเฝิงหยู่ก็มีเวลาว่างมากด้วย แต่มันก็แตกต่างจากการอาศัยอยู่ด้วยกันในห้อง


 


หลังจากทุกคนเริ่มทำงาน พวกเขาจะมีเพื่อนใหม่และความสนใจในเรื่องใหม่ๆ บางทีพวกเขาอาจจะไม่สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนก็ได้


 


นักศึกษาที่จบการศึกษาบางคนจะกลับมาดูที่ห้องเรียน โรงอาหารและสถานที่อื่นๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากไป


 


หลายคนคิดถึงช่วงเวลาในมหาวิทยาลัย พวกเขาเดินไปรอบๆ มหาวิทยาลัยเพื่อรำลึกถึงชีวิตที่นั่น


 


หลังจากโบกมือลาเพื่อนร่วมห้องของเขาแล้ว เฝิงหยู่ก็ขับรถไปยังอพาร์ตเมนต์ของเขาที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขาอาจจะไม่กลับมาที่อพาร์ตเมนต์นี้อีกในอนาคต แต่เขาจะไม่ขายมัน นี่เป็นการลงทุนที่ดีด้วย มูลค่าของอพาร์ทเมนท์นี้จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าในอีก 10 ปีข้างหน้า


 


เฝิงหยู่มองดูเพื่อนและมหาวิทยาลัยของเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไป เขาหวังว่าพวกเขาทั้งหมดจะสามารถทำตามความฝันได้สำเร็จและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอนาคต


 


ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิต เฝิงหยู่ได้ถามเพื่อนร่วมห้องของเขาก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาสนใจที่จะทำงานใน บริษัทของเขาหรือไม่ แต่ทุกคนกลับส่ายหน้า


 


ตอนที่พวกเขาทุกคนอยู่ในมหาวิทยาลัย เฝิงหยู่จ่ายเงินให้ทุกครั้งเวลาที่พวกเขาออกไปกินข้าวข้างนอกกัน คนอื่นๆ ไม่ได้พยายามจะจ่ายเงินเพราะเฝิงหยู่บอกว่าเขารวยมากจนเขาไม่สามารถใช้เงินคนเดียวหมดได้ ทุกคนควรช่วยพ่อแม่ประหยัดเงิน เมื่อพวกเขาสามารถหาเงินได้ในอนาคต ค่อยมาเลี้ยงเขาก็ได้ แม้จะเลี้ยงแค่อาหารข้างทาง เขาก็ยินดี


 


หลังจากนั้น พวกเพื่อนๆ ก็ไม่ได้พยายามช่วยเฝิงหยู่ประหยัดเลย พวกเขาจะสั่งทุกอย่างที่อยากกินแล้วก็เอามากินด้วยกัน แต่เมื่อเฝิงหยู่ขอให้พวกเขาไปทำงานในบริษัทของเขา เพื่อนร่วมห้องของเขากลับปฏิเสธ


 


การเลี้ยงข้าวก็คือเรื่องหนึ่ง ส่วนการทำงานกับเฝิงหยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


 


เฝิงหยู่ไม่ได้บังคับพวกเขา เขาบอกแค่ว่าถ้าพวกเขามีปัญหาอะไรในอนาคต ก็สามารถมาหาเขาได้


 


“ผู้จัดการเฝิงต้องการจะไปไหนครับ?”


 


“ไปรับเธอที่มหาวิทยาลัยซือต้า”


 


พิธีสำเร็จการศึกษาของลีน่าก็เสร็จสิ้นลงเช่นกัน แต่เธอจะศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยของเธอ


 


บางครั้งเฝิงหยู่ก็รู้สึกว่าการเรียนต่อในระดับบัณฑิตศึกษาก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับลีน่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเฝิหยู่อยู่รอบๆ ก็ไม่มีใครสามารถรังแกเธอได้


……


 


“นายอารมณ์ไม่ดีหรอ? คงรู้สึกเศร้าเพราะเรียนจบแล้วน่ะสิ?”


 


เฝิงหยู่มองลีน่า “เธอคิดว่าฉันเป็นคนเจ้าอารมณ์หรอ?”


 


ในฐานะนายหน้าทางการเงินในชาติที่แล้วของเขา เขาเก่งในเรื่องการจัดการอารมณ์มาก หากเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้และปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำทำให้การตัดสินใจ เขาจะสูญเสียทุกอย่าง เช่นเดียวกับที่เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก่อนหน้านี้


 


แน่นอนว่าเฝิงหยู่ยังมีด้านที่เป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหว แต่เฝิงหยู่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์อ่อนไหวสำหรับเรื่องการสำเร็จการศึกษา ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีกในอนาคตซักหน่อย


 


ลีน่าบีบแก้มทั้งสองของเฝิงหยู่เบาๆ แล้วดึงยืดออก “ถ้างั้นก็ยิ้มให้ฉันดูหน่อย”


 


เฝิงหยู่ “……” นี่เป็นวิธีบังคับให้ฉันยิ้มงั้นหรอ?


 


“ไปกันเถอะ วันนี้เธออยากกินอะไร?”


 


ลีน่าคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันอยากกินเครปเทียนจิน (เจียนปิ่งกั่วจึ)”


 


เฝิงหยู่บีบจมูกของเธอ “เธอสามารถขอกินอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ได้นะ คนที่อยู่ข้างๆ เธอตอนนี้คือคนที่รวยที่สุดในจีน ในอีกสองปี ฉันจะเป็นคนที่รวยที่สุดในเอเชีย แต่เธอกลับให้ฉันพาไปกินเครปเทียนจินเนี่ยนะ?”


 


“ว้าว!!!! นายนี่สุดยอดเลย! นายเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศจีนแล้วหรอ? ปีที่แล้วนายบอกฉันแล้วไม่ใช่หรอ? ฉันก็แค่อยากกินเครปเทียนจิน มีหญิงชราขายอยู่ที่ร้านแผงลอยริมถนนตรงมุมถนนด้านหน้าไปกินกบฉันหน่อยนะๆๆ……”  ลีน่ากอดแขนเฝิงหยู่ และเขย่าเบาๆ


 


เฝิงหยู่ยอมและพูดว่า “เลี้ยวซ้ายด้านหน้าและจอดเมื่อคุณเห็นรถเข็นขายเครปเทียนจินครับ”


 


เหม่ยจื้อกางพยักหน้าและแสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่เบาะหลัง หลิวจื้อฉวนเป็นคนสั่งให้เขาห้ามถามคำถามและต้องทำเป็นไม่สนใจกับทุกสิ่งที่เขาเห็น งานของเขาคือแค่ขับรถและปกป้องผู้จัดการเฝิงเท่านั้น หากเขาสามารถทำสิ่งพวกนี้ได้ เงินเดือนของเขาอาจสูงกว่าผู้บัญชาการในบริษัทเก่าของพวกเขาเสียอีก


 


รถเข็นอาหารนี้ขายเครปเทียนจินแบบดั้งเดิมสุดๆ ซึ่งเป็นเพียงเครปที่ใส่ไข่และห่อด้วยแป้งกรอบเท่านั้น ไม่มีการโรยต้นหอมหรือมันฝรั่งฝอยอะไรทั้งนั้น ซึ่งมีขนาดเล็กเกินไป แม้ว่าเฝิงหยู่จะไม่ได้กินเก่งเหมือนเหวินตงจวิน แต่เขาก็ไม่รู้สึกอิ่มเลย


 


“คุณยายหวังคะ หนูอยากได้เครปเทียนจิน 3 ชิ้น เพิ่มไข่สองชิ้น และก็ขอเป็นชิ้นใหญ่สุดค่ะ” ลีน่าจูงมือเฝิงหยู่ขณะที่เธอสั่งอาหาร


 


ลีน่ารู้ชื่อของเจ้าของร้านนี้ด้วยหรอ? เธอต้องเป็นลูกค้าประจำที่นี่แน่ๆ เครปเทียนจินที่นี่รสชาติดีกว่าที่อื่นหรอ? ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ?


 


เมื่อลีน่าส่งเครปเทียนจินชิ้นใหญ่ให้เฝิงหยู่ เขาก็กัดคำใหญ่ ซึ่งรสชาติก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้ถือว่าอร่อยเลย


 


แต่เมื่อเฝิงหยู่เห็นลีน่ากำลังกินอย่างมีความสุข เขาก็รู้สึกว่าเครปเทียนจินรสชาติดีขึ้นทันที เหม่ยจื้อกางก็เป็นเหมือนเดิม เขากินเครปเทียนจินทั้งหมดภายในเวลาไม่ถึงนาทีและเช็ดปากเรียบร้อย หลังจากนั้นเขาก็ไปยืนสังเกตการณ์รอบๆ ไม่ไกลจากเฝิงหยู่


 


“อร่อยมั้ย?” ลีน่าถามเฝิงหยู่เมื่อกลับมาที่รถ


 


“ฉันไม่ค่อยชอบกินนะ เธอมาที่นี่บ่อยหรอ? เธอชอบกินเครปเทียนจินที่นี่หรอ?”


 


“ใช่ ยายของฉันเคยทำเครปเทียนจินให้กิน และเครปเทียนจินร้านนี้รสชาติก็คล้ายกับของยายฉันเลย  หลังจากที่ฉันมาที่นี่และเจอร้านแผงลอยนี้ ฉันก็กลับมากินอีกบ่อยมาก”


 


“โอเค งั้นคราวหน้าฉันจะมากินเป็นเพื่อนเธอที่นี่อีก เราจะกลับมากินบ่อยๆ” เฝิงหยู่พูด


 


“กลับมากินบ่อยๆ หรอ? ไม่เอาอ่ะ จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้ชอบรสชาติเหมือนกัน ทั้งหมดเป็นความผิดของนายนั่นแหละ ชอบพาฉันไปกินแต่ของอร่อยๆ จนเคยตัวไปหมดแล้ว”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า……โอเคๆ มันเป็นความผิดของฉันคนเดียวก็ได้ ฉันยังไม่อิ่ม ไปหาอะไรกินต่อกันเถอะ”


 


ลีน่าขยับเข้ามาใกล้เฝิงหยู่และกระซิบเบาๆ “ ฉันก็ยังไม่อิ่มเหมือนกัน เครปเทียนจินของฉันเล็กกว่าของนายอีก ด้านหน้ามีร้านเบเกอรี่ เราไปกินเค้กกันดีกว่า อยู่ดีๆ ฉันก็รู้สึกอยากกินเค้กช็อกโกแลตอ่ะ”


 


“ได้สิ ถ้าเธอชอบเค้กร้านนั้น ฉันจะซื้อเบเกอรี่ให้ทั้งร้านเลย”


 


การอยู่กับลีน่าทำให้เฝิงหยู่ลืมความรู้สึกอ่อนไหวเรื่องการสำเร็จการศึกษาไปได้…….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม