Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น 715-721

 EG บทที่ 715 จ้าวเหยียนผู้น่าสมเพช


 


ในระหว่างที่สอน ลีน่าคอยมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เธอรู้ว่าสิ่งที่บอดี้การ์ดของเฝิงหยู่พูดนั้นหมายถึงอะไรและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


 


เธอสงสัยว่าจะเกิดเรื่องขึ้นข้างนอกและกังวลว่าเฝิงหยู่จะได้รับบาดเจ็บ


 


หลังจากสอนเสร็จ ลีน่าก็รีบวิ่งออกไปที่ประตูโรงเรียน แต่ถนนข้างนอกนั้นว่างเปล่า มีแค่คนเดินถนนเท่านั้นที่เดินผ่านไปมา และเธอก็ไม่เห็นเฝิงหยู่อยู่แถวนั้นแล้ว


 


“คุณคะ มีอะไรเกิดขึ้นที่หน้าโรงเรียนหรือเปล่าคะ?” ลีน่าถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย


 


“อาจารย์ลี? จะมีอะไรเกิดขึ้นนอกโรงเรียนได้ยังไงล่ะครับ? มีแค่การต่อสู้ในตอนเช้าเท่านั้นและตำรวจก็มาจัดการไปเรียบร้อยแล้ว”


 


ลีน่ารู้สึกโล่งใจเมื่อเธอได้ยินแบบนั้น พ่อของจางฮั่นเป็นหัวหน้าตำรวจที่นั่น จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าพวกเขาถูกพาไปที่สถานีตำรวจ


 


ลีน่ากลับไปที่ห้องทำงานของเธอ เธออยากโทรหาเฝิงหยู่ แต่ก็ไม่ได้โทร เธอรู้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเฝิงหยู่และไม่อยากรบกวนเขาแพราะเขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่


 


ตอนนี้เฝิงหยู่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ที่สถานีตำรวจของเขต เขาอยู่ในห้องและค่อยๆ จิบชา จ้าวเหยียนซึ่งถูกทุบตีอย่างหนักนั่งอยู่ตรงข้ามเขา


 


“ผมพูดไปตั้งกี่รอบแล้วว่าพ่อของผมคือจ้าวซวงกัง ไอ้อันธพาลคนนี้สั่งให้คนมารุมทำร้ายผม ทำไมมันถึงไม่ถูกจับล่ะ?” จ้าวเหยียนตะโกนและทุบโต๊ะ


 


“ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณนะ! ลองกล้าทุบโต๊ะอีกสักรอบสิ” หัวหน้าทีมตำรวจกล่าว


 


ให้ตายสิ ถ้าพ่อของคุณไม่ใช่จ้าวซวงกัง ป่านนี้คุณจะยังได้นั่งอยู่ตรงนี้มั้ย? คุณเป็นคนพาคนพวกนั้นมาทำร้ายคุณเฝิง แต่สุดท้ายพวกคุณก็ถูกบอดี้การ์ดของเขาเล่นงานจนน่วมทุกคน


 


นอกจากนี้ คนที่สามารถพาอดีตทหารจำนวนมากมาเป็นบอดี้การ์ดให้ได้ยังถือว่าเป็นคนธรรมดาอีกหรอ? นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในสถานีตำรวจ คนๆ นี้พูดเพียงคำเดียวว่า “รอก่อน” เขาสงบมากและขนาดจ้าวเหยียนพูดว่าพ่อของเขาเป็นใคร เขาก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย


 


มีความเป็นไปได้เพียง 2 อย่างเท่านั้น อย่างแรกคือสมองของคนนี้ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างที่สองคือพ่อของคุณถือว่าเป็นคนไร้ตัวตนต่อหน้าเขานั่นเอง


 


คุณเห็นรถของคนๆ นี้มั้ย? ผมไม่เคยเห็นรุ่นนี้ในปักกิ่งเลย! คุณยังกล้าตะโกนขู่เขาอย่างโง่ๆ ที่นี่อีกหรอ? ผมจะรอดูว่าคุณจะพูดว่าไงเมื่อเส้นสายของชายคนนี้มาถึงที่นี่


 


หากไม่ใช่เพราะว่าคุณคอยพล่ามอยู่นั่นแหละว่าพ่อของคุณเป็นใคร ป่านนี้เรื่องนี้คงได้รับการจัดการไปนานแล้ว ผมก็คงไม่ต้องอยู่ที่นี่เพื่อจัดการกับคดีเล็กๆ แบบนี้หรอก


 


หลังจากนั้นไม่นาน รถยนต์จากกรมศึกษาธิการก็มาหยุดจอดอยู่ด้านนอก คนที่ดูเหมือนผู้นำเดินลงมาจากรถ เขาดูโมโหมาก หัวหน้าตำรวจประจำเขตกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนและมองเห็นรถคันนี้ เขาหันไปหาเลขาและบอกเขาว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ถามหาเขา ให้บอกไปว่าเขาไม่ได้อยู่ในออฟฟิศ!


 


ในแง่ของตำแหน่ง ทั้งจ้าวซวงกังและหัวหน้าตำรวจประจำเขตอยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งสองต่างมีอำนาจสูงในแผนกของตน แต่ทั้งคู่ไม่เคยติดต่อกันมาก่อน ดูท่าทางคุณเฝิงคนนั้นก็ไม่น่าจะใช่คนที่จะมาล้อเล่นได้ง่ายๆ หัวหน้าตำรวจประจำเขตตัดสินใจรอดูก่อน หากคุณเฝิงเป็นเพียงนักธุรกิจธรรมดาคนหนึ่ง เขาก็จะออกมาช่วยจ้าวซวงกัง


 


จ้าวซวงกังเข้าไปในสถานีตำรวจประจำเขต และเห็นรองหัวหน้าออกมายืนต้อนรับเขา เขาขมวดคิ้วและไม่พูดอะไรเลย พวกเขามาจากแผนกต่างกัน และกรมตำรวจเป็นแผนกที่มีอำนาจมาก เป็นเรื่องปกติที่หัวหน้าจะหลีกเลี่ยงเขา


 


จ้าวซวงกังโทรหาสถานีตำรวจประจำเขตและพวกเขาก็ไม่ได้ไว้หน้าเขาเลย เขาไม่พอใจมาก ลูกชายของผมถูกทำร้าย และทุกคนก็อ้างว่าลูกชายผมเป็นผู้บงการพร้อมด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายงั้นหรอ? ผมรู้จักลูกชายผมดี เขาเป็นเด็กดี


 


เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก จ้าวซวงกังและรองหัวหน้าตำรวจก็เดินเข้ามา หัวหน้าทีมรีบลุกขึ้นยืนและทักทายรองหัวหน้าทันที เมื่อเห็นว่ารองหัวหน้าไม่แนะนำจ้าวซวงกังให้รู้จัก หัวหน้าทีมก็ไม่ทักทายเขา


 


“พ่อ!” จ้าวเหยียนยืนขึ้นเมื่อพ่อของเขาเดินเข้ามา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำหน้าตาดุร้ายตลอด และเขาก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่น่าสงสารอย่างรวดเร็ว เสียงของเขาก็สั่นเครือ


 


เฝิงหยู่มองไปที่เขา เจ้าบ้านี้แสดงได้น่าสงสารจริงๆ แต่ไม่ว่าการแสดงของคุณจะดีแค่ไหนก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของพ่อคุณ หากเขาตัดสินใจผิด อย่ามาโทษผมก็แล้วกัน!


 


จ้าวซวงกังมองลูกชายของเขาแล้วหันไปหารองหัวหน้า เขากำลังรอฟังคำอธิบายอยู่ ตอนที่ผมโทรหา พวกคุณหาข้อแก้ตัวโน่นนี่นั่น ตอนนี้ผมมาอยู่ที่นี่ต่อหน้าแล้ว คุณยังไม่ไว้หน้าผมอีกหรอ?


 


“เรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว จ้าวเหยียนกลับไปได้” หัวหน้าทีมเห็นการแสดงออกของรองหัวหน้าและกล่าวในทันที


 


จ้าวเหยียนยังคงอยากจะพูดว่าเขาจะสั่งสอนเฝิงหยู่ แต่พ่อของเขาจ้องมองเขาและเขาก็นิ่งเงียบ แต่เมื่อเขาเดินผ่านเฝิงหยู่เขาพูดว่า “แกตายแน่!”


 


เฝิงหยู่วางถ้วยน้ำชาที่เขาถืออยู่และจู่ๆ ก็พูดว่า “ผมบอกตอนไหนให้ว่าพวกคุณทุกคนสามารถกลับไปได้?”


 


ทั้งห้องเงียบทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่เฝิงหยู่พูด รองหัวหน้าและสีหน้าของจ้าวซวงกังเปลี่ยนไป จ้าวซวงกังมองหน้าเฝิงหยู่ รองหัวหน้าแต่งตัวอยู่ในเครื่องแบบของเขาและเฝิงหยู่ก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้นำในเขตนี้ เขายังกล้าพูดคำพวกนี้อีกหรอ?


 


เขาคิดว่าเขาเป็นใคร?


 


“ให้ตายสิ! ฉันยังไม่ได้สั่งสอนแกเลย! แกยังกล้าทำตัวอวดดีอีกหรอ?” จ้าวเหยียนตะโกน พ่อของเขาอยู่ที่นั่นกับรองหัวหน้า คนๆ นี้ยังกล้าพูดกับเขาแบบนี้อีกหรอ?!


 


“หุบปาก!” จ้าวซวงกังดุ


 


จ้าวเหยียนไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาจึงไม่ขอให้คนที่นั่นจัดการกับเฝิงหยู่ ทำไมพ่อถึงไม่ช่วยเขา?


 


“คุณเป็นพ่อของเขาที่มาจากกรมศึกษาธิการหรอ? ผมคิดว่าคุณน่าจะเคยได้ยินชื่อผม ผมคือฝิงหยู่” เฝิงหยู่ยังคงนั่งอยู่ในขณะที่เขาพูดขึ้นมาลอยๆ


 


เฝิงหยู่? ทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นจัง? แต่จ้าวซวงกังจำเขาไม่ได้ คนๆ นี้ดูนิ่งมากและมันก็ไม่ใช่การแสดง เขาเคยรับราชการมาหลายปีและรู้วิธีตัดสินคนจากภาพลักษณ์ภายนอกของพวกเขา


 


จ้าวเหยียนโกรธมาก เขาขยับเข้ามาใกล้กับพ่อ และต้องการให้พ่อของเขาดูอาการบาดเจ็บของเขา เขาต้องการให้พ่อของเขาโกรธและสั่งสอนเจ้าคนอวดดีคนนั้น จะยิ่งดีมากขึ้นไปอีกถ้าพ่อของเขาสามารถทำให้คนๆ นี้หายตัวไปจากปักกิ่งได้ ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้จริง อาจารย์ลีจะต้องกลายเป็นแฟนสาวของเขาอย่างแน่นอน


 


พอถึงตอนนี้ หัวหน้าตำรวจประจำเขตก็เดินเข้ามาในห้อง


 


รองหัวหน้ารู้สึกประหลาดใจ หัวหน้าเป็นคนขอให้เขาจัดการเรื่องนี้เองไม่ใช่หรอ? ทำไมเขาถึงเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วยตัวเองล่ะ?


 


ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือหลังจากที่หัวหน้าเข้าห้องมาแล้ว เขาไม่ทักทายจ้าวซวงกังเลย แต่กลับยื่นมือทั้งสองออกมาและเดินไปหาเฝิงหยู่อย่างรวดเร็ว


 


“คุณเฝิงครับ ขอโทษนะครับที่ผมมาสาย ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”


 


จ้าวซวงกังอ้าปากจนขากรรไกรแทบค้าง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมหัวหน้าหลิวจึงเคารพคนๆ นี้มากขนาดนี้? ดูเหมือนว่าเขาจะ……กลัวคนๆ นี้ด้วยงั้นหรอ?


 


เฝิงหยู่? เฝิงหยู่!


 


ในที่สุดจ้าวซวงกังก็จำได้ว่าคนๆ นี้เป็นใคร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาคารไท่หัวจำนวนมากถูกสร้างขึ้นในโรงเรียนของปักกิ่ง ซึ่งผู้บริจาคอาคารพวกนั้นก็คือเฝิงหยู่นั่นเอง! ไม่ว่าเฝิงหยู่จะมีความสามารถมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้นำระดับสูงจะต้องอยากรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไว้อย่างแน่นอน หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป จะต้องเกิดกระแสแน่ๆ


 


จ้าวเหยียนไปทำให้คนๆ นี้ไม่พอใจได้ยังไง? จากพฤติกรรมของหัวหน้าหลิว เขาจะต้องได้รับคำสั่งจากผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่ามาอย่างแน่นอน ตำแหน่งของจ้าวซวงกังและหัวหน้าหลัวอยู่ในระดับเดียวกัน หัวหน้าระดับสูงของหัวหน้าหลิวก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเช่นกัน!


 


เผี๊ยะ!


 


จ้าวซวงกังตบลูกชายเขาอย่างแรงทันทีจนจ้าวเหยียนมองเห็นดาวลอยเต็มไปหมด และถอยห่างออกไปสองก้าวจากแรงกระแทกจากการตบก่อนที่จะล้มลงไปนั่ง


 


เขาแทบไม่เชื่อว่าพ่อจะตบเขา


 


“คุณเฝิงครับ ผมขอโทษที่ลูกชายของผมก่อเรื่อง เขาขาดวินัย มีการเปิดให้แลกเปลี่ยนตำแหน่งงานในที่ทำงานของเขา ผมจะให้เขาเข้าร่วมและส่งเขาไปยังจังหวัดทางตะวันตกเพื่อรับการฝึกอบรม เร็วเข้า รีบขอโทษคุณเฝิงเดี๋ยวนี้!”


 


จ้าวเหยียนถึงกับอึ้ง ไปภาคตะวันตกหรอ? พื้นที่ภูเขาที่กันดารพวกนั้นอ่ะนะ?


 


แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางจริงจังของพ่อเขา เขาก็ก้มหัวลงและขอโทษอย่างไม่เต็มใจ “ ผมขอโทษครับคุณเฝิง”


 


เฝิงหยู่ค่อยๆ ลุกขึ้น “คุณมีชื่อเสียงดี แต่คุณไม่ควรตามใจลูกชายจนเสียคน ส่วนเรื่องให้เขาเดินทางไปทำงานที่ภาคตะวันตกเพื่อรับการฝึกฝนก็เป็นความคิดที่ดี ผมจะไม่เอาเรื่องละกัน”


 


เฝิงหยู่เดินออกจากห้องไปและบอดี้การ์ดของเขาก็รออยู่ข้างนอกแล้ว พวกเขาเดินเรียงแถวตามท้ายเฝิงหยู่ ออกจากสถานีตำรวจประจำเขตอย่างเรียบร้อย ขนาดหลังจากที่พวกเขาขึ้นรถขับออกไปแล้ว ทุกคนที่สถานีก็ยังมองตามออกไปนอกหน้าต่าง


 


คนๆ นี้คือใครกัน?


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเฝิงหยู่ ยังมีธุระที่ต้องจัดการอีกมากมาย ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวซวงกังมีชื่อเสียงที่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวเหยียนยังไม่ได้ทำอะไรกับลีน่า… ป่านนี้เฝิงหยู่ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายแบบนี้แน่นอน


 


เฝิงหยู่โทรหาพ่อของจางฮั่นเพื่อขอบคุณเขา จากนั้นกดโทรออกหมายเลขอื่นต่อ “คุณมาถึงแล้วหรอ? ผมใกล้จะไปถึงที่นั่นแล้ว”


EG บทที่ 716 โทรศัพท์ไร้สาย


 


อาคารสำนักงานแห่งใหม่ตั้งอยู่ที่ถนนวงแหวนตะวันออกที่สาม บนอาคารมีตัวอักษรจีนโบราณสองตัวเขียนว่า “เฟิงหยู่”


 


อาคารนี้ทำให้เฝิงหยู่ต้องจ่ายไปค่อนข้างเยอะมาก แต่เขารู้สึกว่าเงินที่ใช้ไปนั้นคุ้มค่า นั่นเป็นเพราะพื้นที่นี้ถูกกำหนดให้เป็นเขตธุรกิจของปักกิ่ง


 


ในอนาคต บริษัทต่างชาติและบริษัทจีนจำนวนมากจะมาตั้งสำนักงานใหญ่ของจีนที่นี่ ซึ่งรวมถึงสถานีโทรทัศน์ CCTV และหนังสือพิมพ์พีเพิ้ลเดลี่ สถานที่แห่งนี้จะเป็นย่านธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน ซึ่งเทียบได้กับย่านธุรกิจของเซี่ยงไฮ้เลยทีเดียว


 


นอกจากนี้ ตัวอักษรจีนโบราณสองตัวที่โดดเด่นบนอาคารก็มีขนาดใหญ่มาก อาคารนี้จะกลายเป็นสถานที่สำคัญอย่างแน่นอน


 


แน่นอนว่าบริษัทเฟิงหยู่อิเล็กทรอนิกส์ไม่จำเป็นต้องมีอาคารสำนักงานใหญ่ขนาดนี้ ดังนั้นบริษัทเฟิงหยู่โลจิสติกส์ ไอว่าอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทเฟิงหยู่เภสัชกรรม  บริษัทเครื่องจักรเมืองปิง และบริษัทอื่น ๆ ของเฝิงหยู่ ก็มาตั้งสำนักงานในกรุงปักกิ่งที่อาคารแห่งนี้ด้วย สำนักงานใหญ่ของบริษัทไท่หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ย้ายมาอยู่ในอาคารนี้เช่นกัน


 


ชั้นว่างที่เหลืออยู่ของอาคารถูกปล่อยเช่าออกไป เฝิงหยู่พอใจกับค่าเช่าและก็ยังคงเป็นราคาค่าเช่าในยุคนี้ ในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว บริษัทที่เช่าสำนักงานในอาคารนี้ทำสัญญาเช่าระยะสั้น 3 ปี หากพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มค่าเช่า พวกเขาก็สามารถย้ายออไปได้ จะมีบริษัทอื่นที่ยินดีจ่ายค่าเช่าสูงแน่นอน


 


สำนักงานใหญ่ที่สุดที่ชั้นบนสุดคือสำนักงานของเฝิงหยู่ ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 500 ตารางเมตร ในสำนักงานของเขา มีทั้งห้องออกกำลังกาย มุมสันทนาการ มุมบันเทิง พื้นที่พักผ่อน และห้องอื่นๆ อีกมากมายเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ และมีแม้กระทั่งบันไดส่วนตัวขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า นี่เป็นคำขอพิเศษของเฝิงหยู่ เขาต้องการสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนหลังคาสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของเขาในอนาคต


 


กฎการบินในประเทศจีนเข้มงวดมาก แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กฎจะผ่อนปรนลง และผู้คนเริ่มมีเครื่องบินส่วนตัวและบริษัทสายการบิน


 


เฝิงหยู่ใช้ลิฟต์พิเศษเพื่อขึ้นมาที่สำนักงานของเขา เหม่ยจื้อเกาหยิบหูโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วโทรไปที่ห้องข้างๆ “เจ้านายมาถึงแล้ว”


 


เฝิงหยู่เดินไปที่มุมสันทนาการ ตรงนั่นมีบาร์และเขาก็เปิดตู้ มีผลไม้แห้งทุกชนิดและของอร่อยมากมายอยู่นั้น เขาหยิบผลไม้แห้งสองสามแผ่นแล้วมานั่งรอที่บาร์


 


ต้วนหย่งผิงจากไอว่าลิตเติ้ลไทแรนท์ ซวี่ลี่หัวจากไอว่าอิเล็กทรอนิกส์ เจียงว่านเหมิ่งจากเฟิงหยู่อิเล็กทรอนิกส์ และอีกสองสามคนเดินเข้ามาในห้อง เฝิงหยู่โบกมือให้พวกเขากินขนมด้วยกันและเหม่ยจื้อเกาก็ออกจากห้องและปิดประตู


 


“ตาเฒ่าด้วน โทรศัพท์ไร้สายที่คุณกำลังพูดถึงคืออะไร? เราพาวิศวกรทุกคนมาที่นี่แล้ว แค่บอกเรามาว่าคุณต้องการให้เราทำอะไรบ้าง”


 


เฝิงหยู่รู้สึกผ่อนคลายเพราะเขารู้ว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อชาติที่แล้วของเขา ต้วนหย่งผิงลาออกจากลิตเติ้ล ไทแรนท์ หลังจากที่ทะเลาะกับพวกเขาเรื่องการปรับโครงสร้างของบริษัท


 


แต่ต้วนหย่งผิงไม่หมดหวัง เขามีทักษะด้านเทคนิคและเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี เขาใช้ประโยชน์จากเส้นสายของเขาและได้รับใบอนุญาตในการผลิตโทรศัพท์ไร้สาย


 


เมื่อชาติที่แล้ว โทรศัพท์ไร้สายของ BBK เป็นที่นิยมมากในประเทศจีน พวกเขาครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70% สินค้านี้ช่วยให้ต้วนหย่งผิงเก็บรวบรวมเงินทุนได้อย่างรวดเร็วและก่อตั้งบริษัทขึ้นมา


 


ต่อมา บริษัท BBK อิเล็กทรอนิกส์เปิดตัวสินค้ามากมาย รวมถึงเครื่องขยายสัญญาณโทรศัพท์ เครื่องอ่าน โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ สินค้าทั้งหมดของพวกเขาขายดีมากในตลาด


 


นั่นเป็นเหตุผลที่เฝิงหยู่มั่นใจในตัวต้วนหย่งผิง เมื่อชาติที่แล้วของเขา ปีนี้เป็นปีที่ต้วนหย่งผิงก่อตั้งบริษัท BBK อิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าจะเร็วกว่าไม่กี่เดือน แต่ความสามารถด้านเทคโนโลยีของบริษัทนั้นสูงกว่าเมื่อชาติที่แล้วของเฝิงหยู่มาก


 


ต้วนหย่งผิงพยักหน้าและพูดกับทุกคนว่า “ในประเทศอื่นๆ มีโทรศัพท์ไร้สายมาหลายปีแล้ว มันก็แค่โทรศัพท์ที่ใช้คลื่นวิทยุในการเชื่อมต่อตัวโทรศัพท์และฐานเครื่อง ตัวโทรศัพท์ยังสามารถเชื่อมต่อได้ไกลหลายสิบเมตรจากฐานเครื่อง โทรศัพท์ไร้สายนี้สะดวกกว่าโทรศัพท์แบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่ยากอะไรและยังมีศักยภาพทางการตลาดที่ดีด้วย”


 


ซวี่ลี่หัวเคาะเถ้าบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่และพูดกับคนอื่นว่า “ พวกเราบริษัทไอว่า อิเล็กทรอนิกส์ สามารถจัดการเรื่องคลื่นวิทยุได้ครับ เราคุ้นเคยกับเทคโนโลยีนี้มากกว่าคนอื่นๆ”


 


แม้ว่าปัจจุบัน ไอว่า อิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นผู้ผลิตวิทยุติดตามตัวเท่านั้น แต่พวกเขาก็เริ่มผลิตวิทยุสื่อสารแล้ว พวกเขาอาจจะไม่ได้เก่งที่สุดสำหรับเทคโนโลยีนี้ในประเทศจีน แต่พวกเขาก็ดีกว่าต้วนหย่งผิงและคนอื่นๆ อย่างแน่นอน


 


นอกจากนี้ ซวี่ลี่หัวและคนของเขาก็ต้องการผลิตโทรศัพท์มือถือ เฝิงหยู่ก็สนับสนุนแนวคิดนี้ด้วย พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์ไร้สายนี้เพื่อทำให้เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือสมบูรณ์แบบได้


 


เจียงว่านเหมิ่งพูดเสริม “เราเก่งเรื่องการพัฒนา LCD และแผงปุ่มกดมากกว่า เราสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ครับ”


 


คนที่รับผิดชอบดูแลบริษัท เครื่องใช้ในบ้าน ไอว่า พูดว่า “เราไม่ได้เก่งเท่าคุณในด้านพวกนั้น แต่ถ้าพวกคุณต้องการคุณสมบัติการบันทึกเสียงโทรศัพท์ เราเก่งเรื่องนี้ หรือหากคุณต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับลำโพงและตัวรับสัญญาณ เราก็สามารถช่วยได้”


 


หลังจากคุยกันจบ พวกเขาก็มองหน้าต้วนหย่งผิง พวกเขาจะจัดการกับส่วนประกอบที่สำคัญทั้งหมดของผลิตภัณฑ์นี้ แล้วไอว่า ลิตเติ้ล ไทแรนท์ จะรับผิดชอบส่วนไหนหรอ?


 


“เราได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้ฐานเครื่องสามารถเชื่อมต่อกับตัวโทรศัพท์หลายเครื่องได้ นั่นหมายความว่าเราสามารถทิ้งส่วนโทรศัพท์ไว้ในห้องทุกห้องภายในบ้านโดยมีฐานเครื่องเพียงตัวเดียวเท่านั้นได้ ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ห้องไหนก็ตาม คุณก็สามารถรับสายได้ คนของผมเก่งเรื่องคลื่นวิทยุด้วยเหมือนกัน เราสามารถร่วมมือกันในเรื่องนี้ได้ อีกอย่างผมได้ทำการวิจัยตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์นี้แล้ว ในตลาดมีความต้องการโทรศัพท์ไร้สายมาก แต่แบรนด์ที่นำเข้ามีราคาแพงเกินไป ต้นทุนการผลิตโทรศัพท์ไร้สายไม่สูงมาก เราสามารถใช้ราคาที่ถูกกว่าเพื่อแข่งขันกับพวกเขาได้”


 


ตอนนี้โทรศัพท์ไร้สายมีราคาเท่าไหร่กันในประเทศจีน? 1 ถึง 2 พันหยวน! แบรนด์โทรศัพท์ไร้สายชั้นนำในประเทศจีน ได้แก่ ฟิลิปส์ โมโตโรล่า พานาโซนิค และซีเมนส์ จากการคำนวณของเจียงว่านเหมิ่ง ต้นทุนของโทรศัพท์ไร้สายไม่ถึง 200 หยวน พวกเขารู้สึกว่าต้นทุนอาจจะต่ำกว่านี้มากเนื่องจากขนาดของบริษัทยักษ์ใหญ่พวกนั้น


 


กำไรของพวกเขาเท่าไหร่กัน? ต้องมากกว่าต้นทุนหลายเท่าแน่ๆ!


 


ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมครั้งนี้มีความสามารถในการผลิตสินค้านี้เช่นกัน ด้วยผลกำไรที่สูงเช่นนี้ ทำไมเราไม่ผลิตและขายสินค้านี้ด้วยตัวเองล่ะ?


 


พวกเขาสองสามคนคุยกันซักพักแล้วก็สังเกตเห็นว่าเฝิงหยู่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ พวกเขาทั้งหมดเงียบลงและมองไปที่เฝิงหยู่


 


เฝิงหยู่วางลูกพีชแห้งที่เขาถือไว้และเช็ดมือของเขา จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำก่อนที่จะชี้ไปที่กองเอกสารบนโต๊ะ “ตรงนั้นคือข้อมูลที่ฟิลิปส์ส่งมาให้ พวกคุณลองอ่านดู”


 


ทุกคนงงมากในขณะที่เจียงว่านเหมิ่งจู่ๆ ก็ทำตาโต “ฟิลิปส์ให้เทคโนโลยีโทรศัพท์ไร้สายกับพวกเรางั้นหรอ?”


 


“เราเป็นหุ้นส่วนกับฟิลิปส์ และตกลงที่จะแบ่งปันเทคโนโลยีของเรา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่อะไร แต่ก็น่าจะช่วยพวกคุณประหยัดเวลาได้มาก นอกจากนี้ ฟิลิปส์ยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรบางส่วนของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องพวกนี้ แถมเรายังได้ใช้ฟรีๆ ด้วย”


 


พวกเขาทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ เทคโนโลยีที่บริษัทเฟิงหยู่อิเล็กทรอนิกส์แลกเปลี่ยนกับฟิลิปส์ นั้นไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด


 


“ดีเลยครับ ผู้จัดการเฝิง ถ้าเรามีข้อมูลนี้ รับประกันได้ว่าเราจะพัฒนาโทรศัพท์ไร้สายที่ดีที่สุดในโลกให้เสร็จได้ภายใน 3 เดือนครับ!” สีหน้าของต้วนหย่งผิงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้น


 


เฝิงหยู่หัวเราะ “ผมเชื่อใจทุกคนครับ โครงการโทรศัพท์ไร้สายนี้จะนำทีมโดยต้วนหย่งผิง คนอื่นๆ ที่เหลือสามารถส่งลูกน้องของคุณมาร่วมจัดตั้งทีมพัฒนาได้ เมื่อโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทุกคนจะได้รับความดีความชอบ ทุกคนจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงามครับ!!”


EG บทที่ 717 จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์?


 


“ผู้จัดการเฝิง สัญญาทั้งหมดถูกเซ็นแล้ว ไม่มีพลาดพนักงานสักคนครับ”


 


หลี่หมิงเต๋อโทรหาเฝิงหยู่เพื่อรายงานความคืบหน้า นี่เป็นเพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีนี้ มีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานของจีน บริษัททั้งหมดจะต้องลงนามในสัญญากับพนักงานของพวกเขาและจะต้องมีจ่ายเงินสมทบให้ระบบประกันสังคมด้วย


 


เมื่อมีการประกาศกฎหมายนี้ เฝิงหยู่บอกให้หลี่หมิงเต๋อเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับพนักงานทุกคนอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาคิดมาก


 


อย่างไรก็ตาม หลี่หมิงเต๋อบอกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ทุกคนในบริษัทไว้วางใจเฝิงหยู่


 


เฝิงหยู่รู้ว่าหลี่หมิงเต๋อพูดจาประจบเขา และพนักงานทุกคนไว้วางใจหลี่หมิงเต๋อมากกว่า แต่เฝิงหยู่ยังคงยืนยันให้หลี่หมิงเต๋อเซ็นสัญญาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เขาต้องอธิบายเงื่อนไขทั้งหมดในสัญญาและต้องไม่มีอะไรปิดบังพนักงาน


 


นอกจากนี้ บริษัทเครื่องจักรยังต้องจ่ายเงินประกันสังคมให้กับพนักงานทุกคน รวมถึงพนักงานที่โรงงานสาขาอย่างตรงเวลาด้วย


 


หลี่หมิงเต๋อยังไม่รู้เรื่องประโยชน์ของการจ่ายเงินประกันสังคม รัฐบาลจะดูแลพนักงานที่เกษียณอายุทั้งหมดแทนบริษัท สิ่งนี้จะช่วยให้บริษัทประหยัดเงินได้มาก


 


เนื่องจากนี่เป็นปีแรกที่กฎหมายเริ่มบังคับใช้ คนงานที่ใกล้จะเกษียณจึงมีทางเลือกในการจ่ายเงินก้อนและยังได้เงินทุนจากการเกษียณอายุด้วย แน่นอนว่าบริษัทต้องเป็นผู้รับภาระในการจ่ายเงินก้อนนี้ให้กับสำนักงานประกันสังคม ไม่ใช่พนักงาน


 


เมื่อหลี่หมิงเต๋อประกาศข่าวนี้ พนักงานทุกคนต่างก็ดีใจ แม้ว่าพวกเขาจะคอยพูดว่าพวกเขาไว้วางใจบริษัท และหลี่หมิงเต๋อ แต่พวกเขาทุกคนก็ยังกังวลว่าบริษัทจะไม่ดูแลพวกเขาหลังจากเกษียณอายุ


 


ตอนนี้ประเทศสัญญาว่าจะดูแลพวกเขาและพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป


 


บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงเป็นหนึ่งในบริษัทที่ดำเนินการเรื่องเซ็นสัญญาเสร็จสิ้นเร็วที่สุดในบรรดาองค์กรขนาดใหญ่ ผู้นำของบริษัทบางคนพยายามดึงเวลา พวกเขาต้องการรอจนถึงสิ้นปี แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าการจ่ายเงินที่ล่าช้าจะทำให้เกิดดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยเท่ากับธนาคาร เจ้าของธุรกิจรู้สึกว่าพวกเขาน่าจะใช้ประโยชน์จากเงินจำนวนนี้ได้ดีกว่าและผลตอบแทนจะสูงกว่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


แต่บริษัทของเฝิงหยู่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น บริษัททั้งหมดของเขามีเงินทุนเพียงพอ หากบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงต้องการกู้เงินธนาคาร ผู้จัดการธนาคารในจังหวัดหลงเจียงทุกคนจะรีบมาต่อคิวที่สำนักงานของหลี่หมิงเต๋อ และจะพยายามเสนอข้อเสนอที่ดีที่สุดให้


 


ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้นำระดับสูงเพิ่มเป้าหมายสูงให้กับธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ธนาคารได้ปรับกระบวนการกู้ยืมเงินให้ง่ายขึ้น


 


ตอนนี้ธนาคารได้ทำภารกิจที่ผู้นำระดับสูงมอบหมายให้พวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว และบางธนาคารก็ปล่อยเงินกู้ได้จำนวนมากกว่าที่เป้าหมายกำหนดไว้ แต่ตอนนี้ธนาคารประสบปัญหามากมาย บริษัทหลายแห่งและผู้คนต่างๆ ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้!


 


ธนาคารมีหนี้เสียจำนวนมากและทำให้ธนาคารต้องประสบกับการขาดทุนครั้งใหญ่


 


แต่ถ้าธนาคารปล่อยเงินกู้ให้แก่บริษัทเครื่องจักรเมืองปิง พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ พวกเขาทุกคนรู้ว่าบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงทำกำไรได้มากขนาดไหน และสินค้าของพวกเขาก็วางขายทั่วประเทศจีนและถึงขนาดส่งออกไปยังรัสเซีย


 


แม้ว่าบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจะไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ แต่ธนาคารก็สามารถกู้คืนหนี้ได้จากการประมูลทรัพย์สินของพวกเขา แต่หลี่หมิงเต๋อปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมดจากธนาคารเนื่องจากบริษัทไม่ได้ต้องการกู้ยืมเงินใดๆ


 


หากบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงขาดเงินทุน เฝิงหยู่ก็สามารถอัดฉีดเงินเข้าบริษัทได้ แน่นอนว่าเมืองจะไม่เห็นด้วยเพราะจะทำให้หุ้นของพวกเขาลดลง นี่เป็นบริษัทที่ดีและเมืองไม่ต้องการให้หุ้นของพวกเขาถูกลดจำนวนลง อีกวิธีหนึ่งก็คือการจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์


 


เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์จัดตั้งขึ้นในประเทศจีนเมื่อสองปีก่อน จึงมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเยอะมาก บริษัทพวกนี้ต้องการระดมทุนเพื่อการพัฒนาของตนเอง หนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากกว่าบริษัทอื่นคือบริษัทฉางหง


 


บริษัทฉางหงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว และเฝิงหยู่รู้ว่าราคาหุ้นจะพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่พวกเขาจดทะเบียน พวกเขารวบรวมเงินทุนจำนวนมากจากตลาดและขยายทั้งโรงงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนา และการทำตลาด


 


ปัจจุบัน ฉางหงกลายเป็นผู้นำแบรนด์ทีวีในประเทศจีน ไม่มีบริษัทไหนที่สามารถเอาชนะพวกเขาจากการครองสถานะนี้ในประเทศจีนได้


 


ผู้นำระดับจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของบริษัทฉางหงก็เริ่มสนับสนุนฉางหง นี่ถือเป็นความสำเร็จของจังหวัดด้วย มีบริษัทอย่างฉางหงเกิดขึ้นในจังหวัดของพวกเขา และพวกเขาจะยอมไม่ใช้ประโยชน์จากบริษัทนี้ได้อย่างไรกัน?


 


แต่เฝิงหยู่จำได้ว่าฉางหงประสบความสำเร็จเพียงแค่ 2 ถึง 3 ปีเท่านั้น การบริหารจัดการของบริษัทฉางหงจะเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงในอีกไม่ช้าและส่งผลให้บริษัทตกต่ำลง


 


ฉางหงมั่นใจในทีวีสีขนาด 21 นิ้วมากเกินไป และรู้สึกว่าสินค้านี้จะเป็นโทรทัศน์กระแสหลักในตลาด ตอนนี้ทีวีสีขนาด 21 นิ้วอาจดูเหมือนว่าเป็นโทรทัศน์กระแสหลักและบริษั ฉางหงก็มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของจีนในด้านนี้ ต้นทุนการผลิตของพวกเขายังต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทข้ามชาติอื่นๆ


 


แต่ในอีก 2 ปี ขนาดของโทรทัศน์จะยิ่งใหญ่ขึ้น โทรทัศน์ขนาด 25 นิ้ว, 29 นิ้ว, 32 นิ้ว, 34 นิ้วและแม้แต่ขนาด 42 นิ้วจะเริ่มปรากฏขึ้นในตลาด ผู้ผลิตโทรทัศน์ทุกรายเริ่มผลิตโทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด


 


อย่างไรก็ตาม ฉางหงยังคงยืนยันในการผลิตโทรทัศน์ขนาด 21 นิ้วและไม่ลดจำนวนการผลิตลง ส่งผลให้โทรทัศน์ของพวกเขาขายไม่ออกและมีสินค้าค้างอยู่ในคลังสินค้าของพวกเขา


 


นี่คือจุดเปลี่ยนของบริษัท และฉางหงร่วงหล่นจากการเป็นผู้นำตลาดในประเทศมาอยู่ที่อันดับ 2 อันดับของพวกเขายังคงลดลงเรื่อยๆ จนถึงอันดับ 4


 


แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้ยังไม่เกิดขึ้น ฉางหงยังสามารถทำกำไรได้มากมายในอีก 3 ปีข้างหน้า


 


รัฐบาลท้องถิ่นอิจฉากับความสำเร็จของบริษัทหลายแห่ง พวกเขารู้ว่าบริษัทไม่จำเป็นต้องขอเงินกู้ก็ยังสามารถระดมทุนและพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว


 


นอกจากนี้ หลังจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นตามราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น แบบนี้บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะเกิดขึ้นในจังหวัดหรือเมืองที่ปกครองโดยหน่วยงานท้องถิ่น บริษัทที่มีมูลค่า 100 ล้านอาจกลายเป็น 300 ล้านหยวนได้หลังจากที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หน่วยงานท้องถิ่นสามารถคุยโม้ต่อผู้นำระดับสูงของพวกเขาและพยายามที่จะเอาความดีความชอบได้


 


ดูอย่างบริษัท XXX ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อตอนที่ผมดูแลเมืองอยู่ บริษัทนี้มีมูลค่าเพียงแค่ 100 ล้านหยวนและตอนนี้มูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า ผู้นำระดับสูงจะคิดว่าบุคคลนี้เก่งด้านธุรกิจ นี่คือช่วงเวลาที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจ ผู้นำระดับสูงก็จะดูแลคนๆ นี้อย่างแน่นอน


 


ดังนั้นจึงมีบริษัทจำนวนมากที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทพวกนี้หลายแห่งยังไม่ถึงข้อกำหนดขั้นต่ำในการเข้าจดทะเบียน แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญเนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่นจะช่วยเหลือพวกเขาเอง นอกจากนี้ กฎหมายยังมีช่องโหว่มากมาย จำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว


 


บริษัทที่จดทะเบียนพวกนี้บางส่วนเติบโตขึ้นหลังจากที่จดทะเบียน และนักลงทุนทุกคนก็ทำเงินได้ แต่มีหลายบริษัทที่หุ้นไม่มีการเคลื่อนไหวเลยหลังจากที่จดทะเบียน บางบริษัทระดมทุนได้เป็นจำนวนมากจากตลาดหุ้น แต่เงินทุนทั้งหมดของพวกเขากลับหายไป รัฐบาลท้องถิ่นได้นำเงินไปหรือไม่ก็ผู้นำของบริษัทชิ่งหนีไปพร้อมกับเงิน


 


แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รัฐบาลท้องถิ่นทั้งหมดรู้สึกว่าการให้บริษัทภายใต้เขตอำนาจของตนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาประสบความสำเร็จมากขนาดไหน รัฐบาลท้องถิ่นทุกแห่งต้องการให้มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้น


 


หัวหน้าเรียกตัวหลี่หมิงเต๋อเข้าพบเพื่อพูดคุย เขาต้องการให้บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์!


 


นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลี่หมิงเต๋อโทรหาเฝิงหยู่ เขาต้องการความช่วยเหลือจากเฝิงหยู่


EG บทที่ 718 ยังไม่ถึงเวลา


 


ไม่ใช่จางรุ่ยเฉียงที่มาหาหลี่หมิงเต๋อ หากจางรุ่ยเฉียงต้องการให้บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เขาจะไม่มาหาหลี่หมิงเต๋อ เพราะเขารู้ว่าใครเป็นคนตัดสินใจในบริษัทนี้ ซึ่งก็คือเฝิงหยู่


 


คนที่มองหลี่หมิงเต๋อไปหาก็คือเลขาธิการของรัฐบาลเมืองปิง เขาต้องการความดีความชอบเพื่อการเลื่อนตำแหน่งของเขา เขารู้ว่าเฝิงหยู่เป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทเครื่องจักรและดูแลบริษัทโดยรวมทั้งหมด


 


แต่เมื่อเลขาธิการโทรหาเฝิงหยู่ เขาก็รู้ว่าเฝิงหยู่ไม่เต็มใจที่จะนำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นเขาจึงมาหาหลี่หมิงเต๋อโดยหวังว่าหลี่หมิงเต๋อจะโน้มน้าวเฝิงหยู่ได้ เขารู้ว่าเฝิงหยู่เชื่อใจหลี่หมิงเต๋อมาก ไม่งั้นเฝิงหยู่ก็จะไม่ขอให้หลี่หมิงเต๋อเกษียณอายุก่อนกำหนดจากการรับราชการและจ้างเขาเข้าไปทำงานที่บริษัทหรอก หลี่หมิงเต๋อยังได้รับหุ้นของบริษัทด้วย


 


เลขาธิการยังรู้สึกว่าจางรุ่ยเฉียงจะไม่หยุดเพียงแค่นี้เพราะรัฐบาลเมืองปิงทั้งหมดจะได้รับความดีความชอบหากบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากเลขาธิการได้รับการเลื่อนตำแหน่ง จางรุ่ยเฉียงจะสามารถเข้าดำรงตำแหน่งแทนเขาได้ จางรุ่ยเฉียงทำผลงานได้ดีในช่วงสองปีที่ผ่านมาและมีความหวังสูงมากในการเข้ารับตำแหน่งนี้ นอกจากนี้ เขายังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจังหวัดหมายเลข 1 ด้วย


 


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือว่ารัฐบาลจังหวัดหมายเลข 1 จะเกษียณอายุและไปอยู่เบื้องหลังในช่วงสิ้นปีนี้ ถึงตอนนั้น จางรุ่ยเฉียงจะต้องเสียการสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาในรัฐบาลจังหวัด มีหรอที่จางรุ่ยเฉียงจะไม่อยากเป็นเลขาธิการพรรคของรัฐบาลเมืองปิงหรอ? ในการรับราชการนั้น ถ้าทำผิดแค่ขั้นตอนเดียว นั่นหมายถึงความล้มเหลว


 


หลี่หมิงเต๋อไม่กล้าขัดใจกับเลขาธิการพรรค และเขาทำได้แค่ขอความช่วยเหลือจากเฝิงหยู่เท่านั้น


 


เฝิงหยู่รู้ว่าการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบรรทัดฐานสำหรับบริษัทต่างๆ เพื่อระดมทุน ซึ่งดีกว่าการกู้เงินจากธนาคารและสามารถเพิ่มมูลค่าของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ


 


แต่เฝิงหยู่ไม่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเมื่อบริษัทเข้าจดทะเบียนแล้ว หุ้นของเขาใน บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจะลดลง สำหรับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องมีการเสนอขายหุ้นอย่างน้อย 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดต่อประชาชน ถ้างั้นหุ้นของฝิงหยู่และพ่อของเขาจะน้อยกว่า 50%


 


แน่นอนว่าหลังจากที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นและหุ้นจะมีมูลค่ามากขึ้น แต่นั่นเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายหุ้นของพวกเขา เฝิงหยู่ไม่ได้อยากจะขายหุ้นของเขา


 


เมื่อชาติที่แล้วของเฝิงหยู่ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งที่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขาต้องการระดมทุน แต่เป็นเพราะพวกเขาลงทุนโดยการร่วมลงทุน แล้วนายทุนผู้ร่วมทุนทำเงินได้อย่างไร? ก็ขึ้นอยู่กับการขายหุ้นของบริษัทหลังจากที่พวกเขาได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์


 


ราคาหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการดีหรือบริษัทที่นักลงทุนชื่นชอบจะเพิ่มขึ้นหลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นายทุนผู้ร่วมทุนสามารถขายหุ้นของพวกเขาได้ในช่วงเวลานั้น บางครั้งพวกเขาอาจได้รับผลตอบแทนมากกว่า 20 เท่า


 


นอกจากนี้ โดยปกติแล้วนายทุนผู้ร่วมทุนจะเป็นเจ้าของหุ้นบุริมสิทธิ์ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ออกเสียง แต่จะได้รับเงินปันผล พวกเขาจะมีสิทธิ์ในการขายหุ้นก่อนด้วย


 


บางบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เพื่อลดอัตราส่วนหนี้สินของพวกเขา บริษัทหลายแห่งมีหนี้สินจำนวนมาก แต่ยังสามารถจดทะเบียนได้ เมื่อจดทะเบียนแล้วพวกเขาจะสามารถชำระหนี้ได้


 


แน่นอนว่ายังมีประโยชน์อีกมากมายสำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวนไม่มาก หากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะสามารถเพิ่มการรับรู้ตราสินค้าและภาพลักษณ์ของตราสินค้าได้ แต่บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ ตั้งแต่บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงเปิดตัวรถจักรยานยนต์ บริษัทก็ได้กลายเป็นแบรนด์ชั้นนำทั่วประเทศจีน ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของพวกเขาถูกขายดีเป็นเทน้ำเทท่า


 


บริษัทหลายแห่งที่กำลังทำผลงานไปได้สวย โดยเฉพาะบริษัทที่มีบุคคลเป็นเจ้าของ จะเลือกที่จะไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ซุนเฟิงโลจิสติกส์ ในชาติที่แล้วของเฝิงหยู่ หลายคนพยายามที่จะจดทะเบียนบริษัทนี้ในตลาดหลักทรัพย์ พวกเขาบอกเจ้าของว่าเขาสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้หากบริษัทจดทะเบียน แต่เจ้าของปฏิเสธเพราะเขาไม่ได้ร้อนเงิน


 


ข้อเสียอีกอย่างของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คือต้องมีการเปิดเผยเรื่องการเงินต่อสาธารณะ นี่ไม่ใช่เพราะว่าบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงมีหนี้สินหรือบัญชีปลอม แต่เป็นเพราะเฝิงหยู่ไม่ต้องการให้ชื่อของเขาปรากฏในรายงาน


 


แม้ว่าเฝิงหยู่จะไม่สามารถปกปิดความมั่งคั่งของเขาไว้ได้ทั้งหมด แต่เขาก็ยังชอบที่จะทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจและทำเงินอย่างเงียบๆ


 


เฝิงหยู่ต้องการที่จะจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งในฮ่องกงและโอนหุ้นทั้งหมดของเขาในบริษัทต่างๆ ไปยังบริษัท โฮลดิ้งแห่งนี้ที่ฮ่องกง แต่มันมีปัญหาเยอะ เฝิงหยู่ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อทำสิ่งนี้


 


ปัจจุบันฮ่องกงยังไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน หากเฝิงหยู่จะทำเช่นนี้ ผู้คนจะคิดว่าเขากำลังโอนทรัพย์สินของเขาไปต่างประเทศ เฝิงหยู่ยังต้องขอความช่วยเหลือจากนายท่านลู่ แต่นายท่านลู่ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เว้นแต่ว่าเฝิงหยู่จะขายหุ้นทั้งหมดในราคาตลาด ไม่งั้นรัฐบาลกลางจะเข้ามายุ่งและห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมใดๆ


 


ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังปี 1997 ซึ่งเป็นปีที่ฮ่องกงกลับคืนสู่จีน เฝิงหยู่ที่จะสามารถจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งในฮ่องกงได้ง่ายขึ้น


 


เฝิงหยู่คิดถึงเรื่องนี้และตัดสินใจที่จะรอ นอกจากนี้ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะจดทะเบียนบริษัทของเขาในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นจีนเพิ่งเริ่ม T+1 เพื่อป้องกันการปั่นหุ้นของตลาดหุ้น


 


แต่ปีนี้ตลาดหุ้นของจีนยังไม่เสถียร ประเทศจีนได้ออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมากและบริษัทรักษาความปลอดภัยหลายแห่งเริ่มเข้ามาปั่นหุ้นในตลาด ในช่วงสองปีนี้ ตลาดจะอยู่ในช่วงขาลงและนักลงทุนจะขาดความเชื่อมั่น หากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้ ราคาหุ้นอาจลดลง


 


แน่นอนว่าถ้าเฝิงหยู่ต้องการที่จะปั่นหุ้นในตลาดจริงๆ จะไม่มีใครเทียบเขาได้ ความรู้ด้านเทคนิคและการสนับสนุนทางการเงินของเขาอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศจีน


 


แต่เฝิงหยู่ไม่ต้องการทำเช่นนี้ เขาไม่ต้องการมีปัญหา แม้ว่าเขาจะสามารถปกปิดทุกอย่างได้ แต่คนอื่นอาจพบเจอในอนาคตและตราหน้าเขาว่าเป็นคนปั่นหุ้นในตลาดได้ เขาจะมีความผิดโทษฐานฉ้อโกงเงินที่หามาได้ยากของนักลงทุนรายอื่น


 


หลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฝ่ายบริหารต้องทำงานหนักมากขึ้น เฝิงหยู่รู้สึกว่าหลี่หมิงเต๋อและคนอื่นที่เหลือยังไม่มีความรู้เรื่องการบริหารจัดการบริษัทที่จดทะเบียนแล้ว แม้ว่าคนพวกนี้จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้ แต่ความเร็วและความสามารถในการยอมรับสิ่งใหม่นั้นก็ยังเร็วไม่พอ


 


นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนสูงมาก บริษัทจำเป็นต้องจ้างคนมาเพื่อตรวจสอบบริษัท จ้างทนายความ และอื่นๆ การตรวจสอบของบริษัทจะเข้มงวดมากขึ้นและทุกรายละเอียดเล็กๆ ของบริษัท จะต้องได้รับการตรวจสอบ และจะยิ่งลำบากมากขึ้นถ้าเฝิงหยู่ต้องโอนหุ้นบริษัททั้งหมดของเขาไปยังบริษัท โฮลดิ้งในฮ่องกง


 


มีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เฝิงหยู่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และรู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะจดทะเบียนบริษัทของเขาในตลาดหลักทรัพย์


 


เฝิงหยู่บอกหลี่หมิงเต๋อเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐพวกนั้นไม่ให้เข้ามายุ่ง เขามอบหุ้นของบริษัทบางส่วนให้หลี่หมิงเต๋อ และนี่คือความรับผิดชอบของเขา เฝิงหยู่จะไม่จดทะเบียนบริษัทของเขาเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐพวกนั้นมาเอาความดีความชอบไป


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง……เฝิงหยู่ไม่รู้จักเลขาธิการพรรคของเมืองปิง


 


เฝิงหยู่บอกหลี่หมิงเต๋อว่าถ้ายังไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆ ให้บอกเขาอีกที เขาจะกลับไปแก้ไขปัญหานี้เอง


EG บทที่ 719 จางรุ่ยเฉียงผู้เดือดร้อน


 


เฝิงหยู่คิดว่าหลี่หมิงเต๋อจะสามารถกำจัดเจ้าหน้าที่ของรัฐพวกนั้นได้อย่างน้อยสองสามวัน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถจัดการกับพวกนั้นได้ เขาก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือจากจางรุ่ยเฉียงได้เสมอ  แต่จางรุ่ยเฉียงโทรหาเฝิงหยู่ก่อนและขอให้เขาไปที่สำนักงานเพื่อหารือเกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัทเครื่องจักรในตลาดหลักทรัพย์


 


ทำไมจางรุ่ยเฉียงเปลี่ยนใจ? เฝิงหยู่ได้บอกจางรุ่ยเฉียงอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้จดทะเบียนบริษัทของเขาในตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นเพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เฝิงหยู่ต้องการให้บริษัทของเขาเติบโตต่อไปก่อนอีกสักสองสามปีก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ เขาสัญญาว่าเขาจะจดทะเบียนบริษัทในช่วงที่จางรุ่ยเฉียงยังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีอยู่ จางรุ่ยเฉียงรอต่ออีก 2 ปีไม่ไหวหรอ?


 


ที่จริงแล้ว ไม่ใช่จางรุ่ยเฉียงที่ไม่สามารถรอได้ แต่รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ต่างหาก


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 เป็นพวกคนแก่ๆ และผู้นำระดับสูงของเขาก็ขอให้เขาเตรียมพร้อมที่จะเกษียณไปอยู่เบื้องหลังตอนสิ้นปีนี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 อาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งก่อน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและถูกย้ายไปยังตำแหน่งที่งานเบาและสบายกว่านี้


 


ตำแหน่งของรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ตอนนี้อยู่ในระดับรัฐมนตรีระดับจังหวัดและเป็นสมาชิกของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศจีน ตำแหน่งลำดับต่อไปคือผู้นำระดับภูมิภาค ซึ่งระหว่างสองตำแหน่งนี้ ผลประโยชน์การเกษียณอายุมีความแตกต่างกันอย่างมาก นอกจากนี้ หากเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้นำระดับภูมิภาค เขาจะสามารถทำงานต่อไปได้อีกสองสามปี เขายังไม่อยากออกจากตำแหน่ง เขารู้สึกว่าเขายังสามารถช่วยเหลือประเทศได้


 


ปัญหาของจังหวัดหลงเจียงคือที่ตั้ง ซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับภูมิภาคชายฝั่งเลยในแง่ของการค้าขาย นอกจากนี้ รัฐบาลไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางและการพัฒนาก็ช้า มีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือกรมการเกษตรและป่าไม้ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน กระทรวงเกษตรและการปรับปรุงที่ดินเป็นฝ่ายดูแลกรมการเกษตร และกรมการป่าไม้อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักจัดการป่าและทุ่งหญ้าแห่งชาติ กำไรและภาษีทั้งหมดในวงการทั้งสองนี้ถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลประจำจังหวัด


 


คู่ค้ารายที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดหลงเจียงคือรัสเซีย ส่วนใหญ่พวกเขาส่งออกผลิตภัณฑ์อาหาร แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขากำลังส่งออกรถยนต์ของเฝิงหยู่และของใช้ที่จำเป็นอื่นๆ ด้วย แต่เมื่อเทียบกับภูมิภาคชายฝั่งทะเล ก็ยังมีความแตกต่างอยู่มาก


 


แต่อุตสาหกรรมหนักในจังหวัดหลงเจียงก็ดำเนินการไปได้ด้วยดี การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้สูงกว่าระดับเฉลี่ยของประเทศ ในบางภาคธุรกิจ เช่น การผลิตเครื่องจักรทางการเกษตรและรถยนต์ มีความก้าวหน้าและทันสมัยมากที่สุดในประเทศจีน


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งก่อนที่เขาจะเกษียณอายุไปอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและไม่จำเป็นต้องลาออกด้วย!


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 มีผลงานความสำเร็จบางอย่างแอบซ่อนอยู่และอาจลองสู้ดูสักตั้งเพื่อการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามของเขาก็มีผลงานครั้งสำคัญพอๆ กับเขาเหมือนกัน เขายังอยากกุมอำนาจอยู่และยังไม่อยากเกษียณ


 


ก่อนหน้านี้ในระหว่างการประชุมที่รัฐบาลกลาง รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ได้ยินผู้ว่าราชการจังหวัดคนอื่นๆ รายงานเกี่ยวกับผลงานของพวกเขา เขารู้ว่าทำไมคนพวกนี้ได้รับอนุญาตให้รายงานเกี่ยวกับการพัฒนาในจังหวัดของตัวเองในระหว่างการประชุม นั่นเป็นเพราะว่าจังหวัดของพวกเขามีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่ง


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 เข้าใจว่าเมื่อบริษัทได้รับการจดทะเบียนในรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลขแล้ว มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า! นั่นหมายความว่า 1 หยวนจะกลายเป็น 3 ถึง 5 หยวนงั้นหรอ? 100 ล้านจะกลายเป็น 3 ถึง 5 ร้อยล้านหรอ? นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจของจังหวัดจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว!


 


แม้ว่ารัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 จะรู้ว่าหุ้นของรัฐบาลจะลดลงหลังจากที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่เขารู้สึกว่าน่าจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นมากกว่า ไม่งั้นทำไมหลายบริษัทถึงได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ล่ะ?


 


เมื่อมองดูสีหน้าที่แสนภาคภูมิใจของผู้นำพวกนั้นและสีหน้าเห็นด้วยของผู้นำรัฐบาลกลางแล้ว รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ของหลงเจียงก็รู้สึกอิจฉา


 


หากเขายังไม่สามารถสร้างผลงานได้มากกว่านี้ เขาจะสูญเสียการเลื่อนตำแหน่งให้กับฝ่ายตรงข้าม!


 


ข้าราชการส่วนใหญ่เกษียณอายุกันหมดแล้วเมื่อตอนที่อายุเท่าเขา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 เคยชินกับการอยู่ในอำนาจและมีอำนาจ เขาเคยเป็นผู้สั่งการคนรอบข้างและไม่ยอมที่จะเสียอำนาจของเขา


 


เขารู้สึกว่าเขายังไม่บรรลุสิ่งที่เขาต้องการและยังสามารถทำงานได้ต่อ ทำไมเขาถึงต้องเกษียณไปอยู่เบื้องหลังและดำรงตำแหน่งที่มีงานเบาและสบายด้วยล่ะ? เขารู้สึกว่าผลงานของเขาดีกว่าผู้นำคนอื่นๆ และควรจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง


 


ไม่ใช่ว่าผู้นำระดับสูงไม่เห็นคุณค่าจากผลงานความช่วยเหลือของเขา แต่เป็นเพราะเขายังขาดบางอย่างที่ทำให้ตัวเขาโดดเด่นท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เหลือ


 


เมืองปิงมีบริษัทเครื่องจักรที่มีมูลค่าเพียงไม่กี่สิบล้านเท่านั้น หลังจากการพัฒนามาสองสามปี มูลค่าของ บริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็นหลักพันล้าน บริษัทนี้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของจีน นี่ถือเป็นความสำเร็จทางการเมืองครั้งใหญ่


 


แต่รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ จังหวัดอื่นๆ ก็มีบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านเหมือนกัน และบริษัทพวกนั้นก็เป็นรัฐวิสาหกิจ หากบริษัทเครื่องจักรสามารถเพิ่มมูลค่าให้ได้มากกว่าหมื่นล้านหยวน โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งของเขาก็จะสูงขึ้น


 


ถ้าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของจีนซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านอยู่ในจังหวัดที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ใครจะกล้าพูดว่านี่ไม่ใช่ความดีความชอบของเขา? ผู้นำระดับสูงจะต้องเห็นหัวเขาแน่นอน


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 เคยได้รับการยกย่องจากหัวหน้าสถาปนิก เจียงต้าหมิง กำปั้นเหล็กจู และผู้นำระดับประเทศคนอื่นๆ อีกมากมายมาก่อน หากเขาอายุน้อยกว่านี้ 5 ถึง 8 ปี เขาจะสามารถเข้าร่วมรัฐบาลกลางได้อย่างแน่นอน


 


แต่ตอนนี้เขาแก่แล้วและนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาที่จะต่อสู้เพื่อการเลื่อนตำแหน่ง


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 รู้ว่าจางรุ่ยเฉียงเป็นผู้เสนอเรื่องการปรับโครงสร้างของบริษัทเครื่องจักร และเขาก็สนับสนุนข้อเสนอนี้ด้วย หากเขาไม่สนับสนุนการปรับโครงสร้างครั้งนี้ มันจะประสบความสำเร็จได้หรอ? ในตอนนั้น การปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจทั้งหมดจะดำเนินการเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่มีผลประกอบการขาดทุนเท่านั้น แต่บริษัทเครื่องจักรยังคงทำผลกำไรได้อยู่


 


จางรุ่ยเฉียงสนิทกับเฝิงหยู่มากและรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ได้รับการร้องเรียนว่าจางรุ่ยเฉียงสมรู้ร่วมคิดกับนักธุรกิจเอกชนรายนี้อยู่ เขาเป็นคนหนึ่งที่ช่วยหยุดข่าวลือพวกนี้ทั้งหมดและสนับสนุนจางรุ่ยเฉียง


 


จางรุ่ยเฉียงสามารถมาถึงตำแหน่งปัจจุบันของเขานี้ได้ก็เพราะเขา หากเขาไม่ย้ายจางรุ่ยเฉียงจากสำนักงานการค้าต่างประเทศไปยังรัฐบาลเมืองปิง จางรุ่ยเฉียงก็คงยังเป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้จัก


 


จางรุ่ยเฉียงสามารถมาถึงตำแหน่งปัจจุบันของเขานี้ได้ก็เป็นเพราะความสามารถของเขาเองบางส่วน แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 เขาจะไม่สามารถเป็นนายกเทศมนตรีเมืองปิงได้ แม้ว่าจางรุ่ยเฉียงอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายกเทศมนตรี แต่เขาก็จะไม่ได้เป็นนายกเทศมนตรีของเมืองปิง และจะได้ดำรงตำแหน่งแค่ระดับเขต (รัฐมนตรี) เท่านั้น


 


นอกจากนี้ รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ยังช่วยสนับสนุนข้อเสนอของจางรุ่ยเฉียงในเรื่องการปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมเภสัชกรรมของเมืองปิงทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดการก่อตั้งบริษัทเภสัชกรรมเมืองปิง


 


มนุษย์ทุกคนเห็นแก่ตัวและมักจะคิดเอาแต่ได้ให้ตัวเอง แม้ว่าจางรุ่ยเฉียงจะสามารถช่วยยืดอายุการทำงานของรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข  1 ออกไปได้หลังจากที่เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่จางรุ่ยเฉียงก็ยังคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ต่อไป นี่เป็นสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ได้พูดคุยกับจางรุ่ยเฉียง และหวังว่าจางรุ่ยเฉียงจะช่วยเขาโน้มน้าวเฝิงหยู่ให้ จดทะเบียนบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงในตลาดหลักทรัพย์โดยเร็วที่สุดได้ เขาอยากให้จังหวัดหลงเจียงมีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้าน นี่คือไพ่ใบสุดท้ายในการต่อรองสำหรับเขาเพื่อให้หน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น


 


จางรุ่ยเฉียงรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดือดร้อน เขารู้ว่าเฝิงหยู่เป็นอัจฉริยะในเรื่องของธุรกิจ เขาไม่เคยเห็นใครประสบความสำเร็จเหมือนเฝิงหยู่มาก่อน แม้แต่นักธุรกิจในตำนานจากประเทศอื่นๆ ก็ไม่สามารถเทียบกับเฝิงหยู่ได้


 


เฝิงหยู่เคยบอกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และจางรุ่ยเฉียงเลือกที่จะเชื่อเขา นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้นำเรื่องนี้มาพูดอีกรอบ แต่ตอนนี้เขาต้องตอบแทนบุญคุณให้กับรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ซึ่งเป็นคนที่ช่วยให้เขาได้กลายมาเป็นนายกเทศมนตรี และเขาก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


ในที่สุดรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ก็ยอมถอยหนึ่งก้าว เขาขอให้จางรุ่ยเฉียงเพียงแค่โทรไปหาเฝิงหยู่และเขาจะพูดกับเฝิงหยู่เป็นการส่วนตัวเอง นี่คือเหตุผลที่จางรุ่ยเฉียงโทรตามให้เฝิงหยู่มาหาเขา


EG บทที่ 720 ปฏิเสธ


 


หลังจากเฝิงหยู่ได้พบกับจางรุ่ยเฉียง พวกเขาคุยกันสั้นๆ หลังปิดประตูลง จางรุ่ยเฉียงบอกกับเฝิงหยู่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ได้บังคับให้เฝิงหยู่จดทะเบียนบริษัทของเขาในตลาดหลักทรัพย์ เฝิงหยู่ก็ดีใจที่จางรุ่ยเฉียงไม่ได้พยายามบังคับเขา


 


หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากจางรุ่ยเฉียง ธุรกิจของเฝิงหยู่จะไม่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ ตอนที่เฝิงหยู่เริ่มทำธุรกิจ จางรุ่ยเฉียงก็มีโอกาสมากมายที่จะเข้ายึดครองธุรกิจของเขา


 


ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ต้องการพบเฝิงหยู่แค่นั้น เฝิงหยู่โอเคที่จะไปพบเขา แต่เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ให้บริษัทเครื่องจักรเมืองปิง หรือบริษัทเภสัชกรรมเมืองปิงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้ว่ารัฐบาลระดับจังหวัดจะช่วยทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้นก็ตาม แต่เขาก็จะไม่ตอบตกลง


 


นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม


 


แม้ว่าการจดทะเบียนบริษัทในตลาดช่วงขาลงอาจจะไม่ได้ขาดทุน แต่ก็จะทำให้ราคาหุ้นลดลง แล้วทำไมไม่รอจนกว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นล่ะ?


 


เวลา 10.00 น. เฝิงหยู่ตามจางรุ่ยเฉียงไปยังสำนักงานของรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1


 


นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรก และรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 เคยคุยกับเฝิงหยู่สองสามครั้ง แต่พวกเขาไม่ได้สนิทกัน เฝิงหยู่ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นกันเองเหมือนตอนที่เขาอยู่ในสำนักงานของจางรุ่ยเฉียง


 


“เลขาซวี่”


 


“เชิญนั่งครับ เสี่ยวหวัง เตรียมชาด้วย”


 


เลขาซวี่เดินไปที่โซฟาพร้อมกับจางรุ่ยเฉียงและเฝิงหยู่ นี่คือการแสดงความเป็นมิตร และเขาจะทำเช่นนี้กับคนี่เขาสนิทด้วยเท่านั้น เมื่อเขาพบเฝิงหยู่เป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา นั่นเป็นเพราะคนส่วนใหญ่จะรู้สึกประหม่าเมื่อพวกเขาต้องพบเจอคนที่อยู่ในตำแหน่ง


 


เมื่อรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 เห็นการพบเจอของเฝิงหยู่กับหัวหน้าสถาปนิกและกำปั้นเหล็กจู เขาก็สังเกตเห็นว่าเฝิงหยู่ไม่ได้รู้สึกประหม่าเลย สิ่งนี้ทำให้เขาเชื่อว่าความสำเร็จของเฝิงหยู่นั้นไม่ได้มาจากโชค


 


ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถพูดกับหัวหน้าสถาปนิกได้อย่างเป็นปกติจะยอมอ่อนข้อให้กับความกดดันของเขาได้อย่างไร? ชายหนุ่มคนนี้ได้รับการยกย่องจากหัวหน้าสถาปนิกและเขาได้ยินข่าวลือมาว่ากำปั้นเหล็กจูพยายามที่จะให้เขาไปทำงานด้วย รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ไม่กล้าใช้อำนาจในการกดดันเฝิงหยู่ หากคำพูดหลุดเผยแพร่ออกไป จะกลายเป็นจุดจบของอาชีพของเขาอย่างแท้จริง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพื่อนชาวฮ่องกงของเฝิงหยู่ และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทเครื่องจักรด้วย


 


รัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ไม่กล้ากดดันนักธุรกิจชาวฮ่องกง เขากลัวผลที่ตามมา ในช่วงเวลานี้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนจะต้องแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเพื่อการคืนฮ่องกงกลับสู่ประเทศจีน และไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ หรือสร้างปัญหาให้กับนักธุรกิจฮ่องกงได้


 


“ผู้จัดการเฝิงครับ ผมสงสัยอย่างนึง ทำไมคุณถึงไม่อยากให้บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ล่ะครับ? ถ้าคุณจดทะเบียนบริษัทของคุณ จะเกิดผลประโยชน์มากมายเลยนะครับ คุณจะได้รับผลตอบแทนสูงอีกด้วย” เลขาซวี่ถาม


 


“ผมยอมรับว่ามันจะเกิดผลประโยชน์มากมายจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะช่วยเพิ่มเงินทุนและยังเป็นการโปรโมทบริษัทได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ผมแน่ใจว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนหุ้นของเราตอนนี้ หุ้นส่วนใหญ่กำลังอยู่ในขาลง และมีเพียงไม่กี่หุ้นที่เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่านักลงทุนจำนวนมากไม่ได้กำลังซื้อหุ้น เมื่อปีที่แล้วและต้นปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีความผันผวนสูงและส่งผลกระทบต่อนักลงทุนจีน ถ้าบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจะเข้าจดทะเบียนตอนนี้ ราคาหุ้นอาจจะไม่ลดลง แต่ก็จะเพิ่มขึ้นไม่มาก ทำแบบนี้ไม่ฉลาดเลย”


 


“ทำไมถึงไม่ฉลาดล่ะครับ? ฟังจากที่คุณพูด คุณก็ไม่ได้คัดค้านการจดทะเบียนบริษัทนี้ในตลาดหลักทรัพย์ คุณแค่รู้สึกว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นไม่มากหรอครับ? แต่นั่นก็เป็นการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของคุณแล้ว แม้ว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นมากเมื่อคุณจดทะเบียนบริษัทในอีกสองปีต่อมา แต่มันต่างกันยังไงกับถ้าคุณจดทะเบียน บริษัทตอนนี้? การเติบโตอาจจะช้าลงในช่วงนี้ แต่ก็น่าจะสามารถไปถึงระดับเดียวกับอีกสองปีต่อมาได้” เลขาซวี่ถาม


 


เฝิงหยู่ส่ายหัว “ปัญหาคือ เรามีเหตุผลอะไรที่จะต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้? เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับการพัฒนาของบริษัทงั้นหรอ? เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ของบริษัทเราหรอ? บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงไม่ได้ขาดเงินทุนด้านการพัฒนา แม้ว่าบริษัทจะมีเงินทุนน้อย ผมก็สามารถเพิ่มการลงทุนในบริษัทให้ได้ ผมเคยบอกก่อนหน้านี้แล้วว่าผมต้องการสร้างประเทศจีนและยานพาหนะที่ดีที่สุดในโลก เรื่องนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันรถซงเจียงของเราก็มีชื่อเสียงมากในประเทศจีน เราอาจไม่ใช่อันดับหนึ่งในประเทศจีน แต่เราอยู่ใน 3 อันดับแรกของแบรนด์รถยนต์ในประเทศจีน ไม่มีแบรนด์รถยนต์ไหนที่เติบโตเร็วเท่ากับเรา”


 


เฝิงหยู่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนต่อรัฐบาลระดับจังหวัดหมายเลข 1 ว่าเขาไม่ต้องการผลประโยชน์ที่จะได้จากการ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงไม่ได้ขาดเงินทุนหรือชื่อเสียง แล้วทำไมบริษัทจึงควรจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยล่ะ?


 


เฝิงหยู่รู้ว่าทำไมเลขาซวี่จึงยืนยันให้เขาจดทะเบียนบริษัทของเขาในตลาดหลักทรัพย์ นั่นเป็นเพราะเขาต้องการได้รับความดีความชอบ แต่เฝิงหยู่ไม่ได้สนิทกับเลขาซวี่ และไม่คิดว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเลขาคนนี้ในอนาคตถ้าเขาช่วยเลขาซวี่ในตอนนี้


 


“ผู้จัดการเฝิงครับ ถ้าบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงเข้าจดทะเบียน ผมจะดูแลเอกสารและการอนุมัติทั้งหมดให้เอง นอกจากนี้ นโยบายต่างๆ เช่น การลดหย่อนภาษีและ ราคาที่ดินที่ถูกกว่า จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือบริษัท ของคุณ รัฐบาลระดับจังหวัดสามารถซื้อรถยนต์ซงเจียงได้หลายล็อตเลยนะครับ!” เลขาซวี่พูด


 


นี่เป็นข้อเสนอสูงที่สุดที่เลขาซวี่สามารถเสนอให้กับเฝิงหยู่ได้ เขาสามารถให้สัญญาได้มากกว่านี้ แต่นั่นจะเป็นการผิดกฎหมาย ถ้าเขาก้าวล้ำเส้นจริงๆ เขาอาจจะเดือดร้อนได้


 


เฝิงหยู่ส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “เลขาซวี่ครับ เราจ่ายภาษีทั้งหมดแล้วและยังบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้กับโรงเรียนในจังหวัดหลงเจียงทุกปี ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเมืองปิงไม่เหมาะสำหรับเราที่จะขยายโรงงาน แม้ว่าโรงงานของเรามีแผนที่จะขยายก็ตาม แต่เราจะเลือกตั้งโรงงานสาขาในภูมิภาคอื่นแทน ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับ”


 


เลขาซวี่รู้สึกผิดหวัง ทำไมเฝิงหยู่ถึงไม่ยอมสักที? ผมแสดงความจริงใจแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับข้อเสนอของผม


 


บริษัทหลายแห่งที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลระดับจังหวัด แต่เฝิงหยู่กลับไม่ต้องการให้บริษัทของเขาเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เขาไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวต่อตามเงื่อนไขที่เสนอเลยด้วยซ้ำ


 


เลขาซวี่ควรทำอย่างไร? นี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของอาชีพทางการเมืองของเขาแล้วหรอ?


 


จางรุ่ยเฉียงไม่แน่ใจว่าเขาจะปลอบใจเลขาซวี่หรือช่วยโน้มน้าวเฝิงหยู่ดี


 


“ผู้จัดการเฝิงครับ มีวิธีอื่นที่จะเปลี่ยนความคิดของคุณหรือเปล่า?” เลขาซวี่เป็นผู้นำที่ดุดันและเด็ดเดี่ยวต่อหน้าลูกน้องของเขา แต่ตอนนี้เขาดูหดหู่และสิ้นหวังมาก และจางรุ่ยเฉียงรู้สึกเศร้าที่ได้เห็นผู้นำที่เขานับถือนั้นมีท่าทีแบบนี้


 


จางรุ่ยเฉียงถามว่า “เฝิงหยู่ คุณช่วยพิจารณาเรื่องนี้หน่อยไม่ได้หรอ? เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับเลขาซวี่”


 


เฝิงหยู่ส่ายหน้า “ผมต้องรับผิดชอบต่อพนักงานทุกคนของบริษัทเครื่องจักรเมืองปิง นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากเราได้รับการจดทะเบียนและยังไม่ขายหุ้นของเราหรือราคาหุ้นลดลง มันจะกลายเป็นการขาดทุนของพนักงานทั้งหมด และจะเป็นการขาดทุนของเมืองปิงด้วย แต่ผมสัญญาว่าผมจะเชิญเลขาซวี่อย่างแน่นอนเมื่อบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์”


 


เลขาซวี่ไม่ได้โกรธเฝิงหยู่หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาทำงานหนักมาตลอดชีวิตและไม่ต้องการให้คนอื่นมาตำหนิเขาว่าเขาบังคับให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อประโยชน์ของตัวเอง นอกจากนี้ เรื่องนี้อาจทำให้พนักงานต้องประสบกับการขาดทุน เขาจะต้องรู้สึกผิดแน่ๆ ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น


 


ไม่เป็นไร อย่างน้อยที่สุดผมก็เกษียณอายุไปอยู่เบื้องหลังและใช้เวลาที่เหลือในตำแหน่งงานที่สบายๆ ก็ได้


EG บทที่ 721 ประกันสังคม


 


เมื่อเลขาซวี่กำลังจะบอกให้เฝิงหยู่กลับไป เฝิงหยู่ก็ถามทันทีว่า “คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับประกันสังคม?”


 


เลขาซวี่รู้สึกงง ทำไมจู่ๆ เฝิงหยู่จึงยกประเด็นนี้ขึ้นมาถาม? จางรุ่ยเฉียงมองหน้าเฝิงหยู่ เฝิงหยู่กำลังพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดหรือเปล่า?


 


จางรุ่ยเฉียงไม่สามารถปล่อยให้เลขาซวี่ตอบคำถามนี้ได้ และเขาตอบรีบตอบแทนว่า “ประกันสังคมเป็นเพียงกองทุนเกษียณอายุรูปแบบหนึ่ง เมื่อก่อนบริษัทจะทำหน้าที่ดูแลพนักงานที่เกษียณอายุและเงินบำนาญ นั่นหมายความว่าคนงาน 20 ถึง 30 คนต้องให้การสนับสนุนพนักงานที่เกษียณอายุ และจำนวนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเพราะมีผู้คนเกษียณมากขึ้น นอกจากนี้ หลายคนไม่สามารถเกษียณได้เพราะพวกเขาไม่ได้ทำงานให้กับบริษัทใดๆ พวกเขายังต้องทำงานแม้ในวัยชรา เราเรียนรู้เรื่องการประกันสังคมนี้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว”


 


เลขาซวี่มองหน้าเฝิงหยู่ จางรุ่ยเฉียงตอบได้ดีมาก และเขาต้องการได้ยินสิ่งที่เฝิงหยู่พูดเกี่ยวกับเรื่องการประกันสังคมนี้


 


“คำตอบของนายกเทศมนตรีจางนั้นฟังดูง่ายมาก แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการดำเนินการตามนโยบายนี้? ตอนนี้รัฐบาลของเรากำลังบังคับให้บริษัทในประเทศจีนจ่ายเงินสบทบประกันสังคมสำหรับพนักงานของพวกเขา แต่พวกคุณน่าจะรู้แล้วว่านโยบายนี้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน”


 


“คุณพยายามจะสื่อถึงอะไร? เลิกพูดจาอ้อมค้อมได้แล้ว!” จางรุ่ยเฉียงโมโห เฝิงหยู่คนนี้ชอบอวดรู้เสมอ จางรุ่ยเฉียงไม่ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับนโยบายนี้และแม้แต่คนในรัฐบาลกลางก็ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องการประกันสังคม พวกเขาถือว่าเรื่องนี้เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น


 


“ผมกล้าพูดเลยว่านโยบายนี้จะไม่ประสบความสำเร็จแม้ว่าหลังจากที่พวกคุณเกษียณไปแล้วก็ตาม!”


 


“คุณว่าไงนะ? คุณล้อพวกเราเล่นหรอ?! นี่เป็นนโยบายระดับชาติและมันจะใช้เวลานานมากกว่าจะประสบความสำเร็จได้ยังไงกัน?” จางรุ่ยเฉียงโกรธมาก โดยเฉพาะเฝิงหยู่ที่เอาเรื่องการเกษียณอายุขึ้นมาพูด เขากลัวว่าเลขาซวี่จะได้รับผลกระทบด้วย นอกจากนี้ จางรุ่ยเฉียงยังเหลือเวลาอย่างน้อยกว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะเกษียณ ทำไมเฝิงหยู่กล้าพูดว่านโยบายนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ?


 


เฝิงหยู่หัวเราะ “แล้วนโยบายการวางแผนครอบครัวของเราประสบความสำเร็จหรือเปล่าล่ะครับ? มีกี่คนกันเชียวที่ปฏิบัติตามนโยบายนี้จริงๆ?”


 


เลขาซวี่อยกจะเถียงเฝิงหยู่กลลับ คุณไม่ได้เป็นข้าราชการ คุณกล้ามาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลได้ยังไง?


 


แต่เมื่อเฝิงหยู่ยกนโยบายการวางแผนครอบครัวขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เลขาซวี่ก็เงียบ


 


นโยบายนี้เปิดตัวขึ้นในปี 1971 และเริ่มส่งเสริมแนวคิดนี้ในปี 1980 พวกเขาเริ่มต้นจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและสมาชิกเยาวชน โดยบังคับใช้กับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ในปี 1982 นโยบายนี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการและถูกกำหนดให้เป็นกฎหมาย จนถึงปัจจุบันนี้นโยบายนี้มีผลบังคับใช้มานานกว่าทศวรรษแล้ว แต่จำนวนประชากรก็ยังเพิ่มขึ้นทุกปี รัฐบาลเหมือนโดนขัดขวาง พวกเขาไม่สามารถบีบคอเด็กทารกพวกนั้นให้ตายทั้งหมดได้เมื่อพวกเขาเกิดมาแล้ว


 


ในหมู่บ้าน จำนวนประชากรมีความสำคัญต่อเกษตรกรมาก นโยบายนี้อาจใช้ได้ในเมือง แต่ในพื้นที่เพาะปลูกและหมู่บ้าน ผู้คนไม่สนใจนโยบายนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่มความพยายามในการบังคับใช้นโยบายนี้ในปี 1991 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ


 


นโยบายและกฎหมายพื้นฐานของรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จหลังจากผ่านไปกว่าทศวรรษ รัฐบาลสูญเสียทรัพยากรและกำลังคนจำนวนมากในการดำเนินการนี้ นอกจากนี้ นโยบายประกันสังคมยังไม่ได้กำหนดขึ้นใสตามกฎหมายพื้นฐานของประเทศจีน และแบบนี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือการประกันสังคมต้องอาศัยการจ่ายเงินทั้งจากบริษัทและพนักงาน ประการแรกพนักงานหลายคนจะคัดค้านเรื่องนี้ ทำไมต้องหักเงินเดือนของพวกเขาด้วย? ทุกคนที่เกษียณอายุในอดีตก็ไม่ได้จ่ายเงินสักแดงเดียวสำหรับเงินบำนาญของพวกเขา แล้วทำไมบริษัทหรือโรงงานจึงไม่สามารถดูแลพวกเขาได้หลังจากที่พวกเขาเกษียณ? พวกเขาอุทิศเกือบทั้งชีวิตให้กับบริษัท!


 


คนงานจะต้องการให้บริษัทจ่ายเบี้ยประกันสังคมทั้งหมด แต่ไม่มีบริษัทไหนที่สามารถทำได้ ซึ่งมันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ถ้าพิจารณาถึงจำนวนคนงานที่กำลังจะเกษียณ บางบริษัทที่ไม่ได้มีกิจการดีมากก็จะพุ่งตรงไปหารัฐบาลท้องถิ่น เราไม่สามารถจ่ายค่าประกันสังคมนี้ได้ หากคุณบังคับให้เราจ่ายเงิน บริษัทก็จะล้มละลายและคนงานทุกคนก็จะตกงาน!


 


“เพื่อให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องใช้ทั้งการประกันของบริษัทและการประกันสังคมเข้าด้วยกัน แต่จะหาสมดุลที่เหมาะสมได้อย่างไร? หากมีหลายคนมากเกินไปที่ได้รับการยอมรับให้เข้าสู่ระบบการประกันสังคม เบี้ยประกันที่รัฐบาลเรียกเก็บจะไม่เพียงพอที่จะดูแลประชาชน หากเบี้ยประกันสูงเกินไป  บริษัทก็จะไม่เต็มใจที่จะยอมรับนโยบายนี้”


 


ในประเทศอื่นๆ มีหลายวิธีที่รัฐบาลพวกนั้นเรียกเก็บเบี้ยประกันสังคม มันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับพวกเขาที่จะใช้เงินสมทบตามสัดส่วนจากทั้งบริษัทและบุคคล หรือใช้เงินสมทบในจำนวนที่เท่ากันจากทั้งบริษัท และบุคคล


 


วิธีการทั้งสองนี้พบได้ทั่วไปในประเทศอื่น แต่ทั้งคู่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งที่ประเทศจีนพยายามนำไปใช้คือเงินสมทบจากทั้งบริษัทและพนักงานตามสัดส่วนที่แน่นอน นโยบายนี้ยังคงมีผลบังคับใช้แม้กระทั่งก่อนที่เฝิงหยู่จะกลับชาติมาเกิดในชีวิตปัจจุบันของเขาตอนนี้


 


ใช้ทั้งการประกันจากบริษัทและการประกันสังคมเข้าด้วยกันงั้นหรอ? จางรุ่ยเฉียงและเลขาซวี่มองหน้ากัน มันยากที่จะนำทั้งสองอย่างมารวมกัน แต่ความจริงก็เหมือนกับที่เฝิงหยู่พูดไว้ หากการประกันทั้งสองประเภทไม่ถูกนำมาใช้ร่วมกัน นโยบายนี้จะไม่มีทางสำเร็จ บริษัทจะต้องดูแลพนักงานที่เกษียณอายุและจ่ายเงินประกันสังคม ซึ่งจะทำให้การเงินของบริษัทมีปัญหา


 


เลขาซวี่มองหน้าเฝิงหยู่ “บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจ่ายค่าประกันสังคมให้กับพนักงานยังไง?”


 


“บริษัทและพนักงานของเราจ่ายเบี้ยประกันร่วมกัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลต้องการหรอครับ?” เรื่องนี้เป็นเพียงการแนะนำโดยรัฐบาลกลางและยังไม่ได้บังคับให้บริษัทต้องปฏิบัติตาม นั่นเป็นเพราะว่ารัฐบาลไม่แน่ใจว่าคนงานจะมีปฏิกิริยาอย่างไร


 


“พนักงานทั้งหมดของคุณเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้หรอ?” เลขาซวี่ถามอย่างสงสัย เขาเคยได้ยินจากลูกน้องของเขาว่าคนงานจำนวนมากกำลังสร้างปัญหาให้กับบริษัทของพวกเขาก็เพราะเรื่องการประกันสังคมนี้แหละ บางคนก็นัดหยุดงานกันและบางคนก็ไปหาผู้นำระดับสูง พวกเขาทั้งหมดไม่ต้องการนโยบายนี้


 


“ง่ายมากเลยครับ เพียงแค่ขึ้นเงินเดือนของคนงานพวกนั้น หากพวกเขาต้องจ่าย 40 หยวนต่อเดือนสำหรับเงินสบทบประกันสังคม ผมก็จะเพิ่มเงินเดือนให้ 100 หยวนต่อเดือน ทำไมพวกเขาจะต้องคัดค้านด้วยล่ะครับ? บริษัทจะยังคงจ่ายเบี้ยประกันส่วนใหญ่ให้ หากเราทำให้เรื่องนี้ชัดเจนกับคนงาน พวกเขาก็จะเข้าใจ” เฝิงหยู่แสดงสีหน้าราวกับว่า  “ทำไมคุณถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้?”


 


เลขาซวี่พูดไม่ออก คุณคิดว่าทุกบริษัทในประเทศจีนเป็นเหมือนบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงของคุณงั้นหรอ? พวกเขาจะไปมีปัญญาเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานได้ยังไง? คุณหมายความว่ายังไงที่บอกว่าให้ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนกับคนงานและพวกเขาจะเข้าใจ? การเพิ่มค่าแรงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขายอมรับการประกันสังคมนี้


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพนักงานคืออะไร? ก็คือเงินเดือนของพวกเขานั่นแหละ!


 


เลขาซวี่ถอนหายใจในใจ บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงแห่งนี้รวยจริงๆ นอกจากพวกเขาจะจ่ายเงินเดือนสูงให้กับคนงานแล้ว ยังยินดีที่จะเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานอีก 100 หยวนงั้นหรอ? ซึ่งหมายความว่าคนงานระดับ 8 ของพวกเขาจะได้รับเงินเดือนมากกว่า 1,000 หยวนต่อเดือนงั้นหรอ? เงินเดือนประจำปีโดยเฉลี่ยของเมืองปิงมีมูลค่ามากกว่า 5,000 หยวนเพียงเล็กน้อยกว่าเมื่อปีที่แล้ว เงินเดือนเฉลี่ยนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 6,000 หยวนในปีนี้อันเนื่องมาจากเฝิงหยู่งั้นหรอ?


 


“เฝิงหยู่ วิธีการของคุณจะไม่ได้ผลกับบริษัทอื่น บริษัทอื่นๆ จะสามารถเพิ่มเงินเดือนพนักงานให้ได้มากแค่ไหนกันเชียว?” จางรุ่ยเฉียงขมวดคิ้ว


 


“ยังไงพวกเขาก็ต้องเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานของพวกเขา คนงานทุกคนไม่ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากเงินเฟ้อเมื่อปีที่แล้วหรอครับ? เศรษฐกิจปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมาก แล้วทำไมบริษัทถึงไม่สามารถเพิ่มเงินเดือนได้ล่ะ? คุณคิดว่าบริษัทพวกนั้นจะจ่ายภาษีให้รัฐบาลมากขึ้นและปล่อยให้รัฐบาลจ่ายค่าประกันสังคมของคนงานงั้นหรอ?” เฝิงหยู่ถาม


 


การเพิ่มเงินเดือนของพนักงานก็เท่ากับเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของบริษัทและลดผลกำไรของพวกเขาลง ด้วยเหตุนี้ บริษัทจะจ่ายภาษีลดลง ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นได้รับรายได้ภาษีน้อยลงด้วย


 


แต่ถ้าบริษัทไม่เพิ่มเงินเดือนของพนักงาน นโยบายประกันสังคมนี้ไม่มีทางประสบความสำเร็จแน่นอน เฝิงหยู่สงสัยว่าการแยกภาษีของประเทศและภาษีการใช้ที่ดินในปีที่แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกันสังคมนี้หรือเปล่า ดูผิวเผินแล้วเหมือนรัฐบาลท้องถิ่นจะได้รับรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงความรับผิดชอบของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย


 


เลขาซวี่และจางรุ่ยเฉียงคิดหนัก เฝิงหยู่พูดถูก แต่พวกเขาควรจะเดินหน้าต่อไปตามที่เฝิงหยู่บอกดีหรือเปล่า?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม