Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น 659-672

 EG บทที่ 659 ทุกคนต่างให้บัตรช้อปปิ้ง


 


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตใช้เงินลงทุนกับการโฆษณาทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ในทุกมณฑลที่สาขาของพวกเขาตั้งอยู่


ในขณะเดียวกันบทความและการ์ตูนที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หลากหลายหัวข้อก็ดูน่าสนใจเช่นกัน ซึ่งบทความที่ชมเชยอาชีพครูและอิทธิพลที่ครูมีต่อนักเรียนก็เป็นบทความที่ต้องเสียเงินจ้างทั้งหมดเช่นกัน


เมื่อครั้งที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจ้างคนให้เขียนบทความเหล่านี้ พวกเขาต่างงงเป็นไก่ตาแตกแต่เมื่อจำได้ว่าวันครูใกล้จะมาถึงอีกไม่กี่วันก็เลยคลายความสงสัยลง นอกจากนี้พวกเขายังได้รับเงินค่าจ้างและบทความเหล่านี้ยังถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อีกด้วย


แม้ว่าพวกเขาจะไม่คุ้นชินกับการยกย่องอาชีพครูและอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแต่การเป็นนักเขียนมืออาชีพทำให้พวกเขาสามารถรังสรรค์บทความดีๆออกมาได้ แต่เมื่อพวกเขาส่งต้นฉบับไปให้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตตรวจสอบผลงานดู พวกมันกลับถูกปฏิเสธทั้งหมด!


ตลกไปหรือเปล่า? บทความของพวกเขาจะถูกปฏิเสธได้อย่างไร? เราคือมืออาชีพและส่วนใดของบทความของเราที่ไม่ได้มาตรฐาน หากคุณเป็นบรรณาธิการหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ก็ยังพอสามารถวิจารณ์บทความของเราได้ แต่นี่! พวกคุณเป็นใครถึงกล้ามาปฏิเสธบทความของเรา


โดยไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตให้เหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้นว่าบทความเหล่านี้ไม่ได้แสดงธรรมเนียมอันเก่าแก่ของการเคารพครู


ธรรมเนียมอันเก่าแก่ของการเคารพครู? แล้วธรรมเนียมนี้มันคือสิ่งใด?


มีนักเขียนที่หัวดีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นึกธรรมเนียมการเคารพครูออกนั่นคือการมอบของขวัญต่างๆเพื่อแสดงความขอบคุณแก่คุณครู เร็วๆนี้ก็จะถึงวันครูแล้วและนี่ต้องเป็นแนวทางที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตต้องการให้พวกเขาเขียนขึ้นมาใช่หรือไม่? ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตต้องการให้พวกเขาแสดงเรื่องราวของการให้ของขวัญแก่ครูเพื่อแสดงถึงความเคารพที่มีต่อครูสินะ?


ดังนั้นนักเขียนคนนี้จึงเริ่มเขียนบทความขึ้นมาใหม่ตามแนวทางนี้และไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะจ่ายเงินให้เขาทันทีที่ได้เห็นบทความของเขา ซึ่งบทความของเขาจะได้ตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ในหลายๆมณฑล


นักเขียนผู้นี้เป็นเพียงนักข่าวประจำสำนักพิมพ์เล็กๆของเมืองๆหนึ่ง ชื่อเสียงของเขาจะเพิ่มขึ้นถ้าบทความของเขาถูกตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ของมณฑลต่างๆ


หลังจากตีพิมพ์บทความนี้ออกไป นักเขียนคนอื่นๆก็เข้าใจในเจตนารมณ์ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตทันที พวกเขาเริ่มค้นหาข้อมูลเก่าๆและกิจกรรมต่างๆที่สามารถนำมาใส่ในบทความของพวกเขาได้ พวกเขาทั้งหมดต่างส่งเสริมธรรมเนียมอันมหัศจรรย์นี้ ท้ายที่สุดบทความของพวกเขาก็ได้รับการยอมรับจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หลายๆฉบับ ค่าจ้างที่ได้รับจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและสำนักพิมพ์ก็ค่อนข้างสูงอีกด้วย


หากดูตั้งแต่สมัยอดีตที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่ก็ต่างให้ของขวัญแก่ครู นี่ก็ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไม่ต่างจากการให้ของขวัญในประเพณีตรุษจีนเลยสักนิด นี่คือการส่งต่อทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่สมัยอดีต มันไม่ใช่การติดสินบนอย่างแน่นอน!


ผู้ปกครองส่วนหนึ่งที่ไม่คิดจะมอบของขวัญให้กับครูในตอนแรกก็ต้องเปลี่ยนใจในท้ายที่สุด ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ก่นด่านักเขียนเหล่านี้ในใจเช่นกัน


คนเหล่านี้สนับสนุนให้ครูรับของขวัญ!


ในบทความที่ถูกตีพิมพ์ออกมามันหมายความว่าหากเราไม่ได้มอบของกำนัลให้กับครู เราก็จะถูกมองว่าไม่ทำตามธรรมเนียมดั้งเดิม หากเราไม่ทำตามธรรมเนียมดังกล่าวลูกๆหลานๆของเราจะใช้ชีวิตในโรงเรียนได้ดีหรือไม่?


แม้ว่าทางโรงเรียนจะอ้างว่าครูมักปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันแต่นั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ครูก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งย่อมมีความลำเอียงและมีสิทธิพิเศษให้กับนักเรียนบางคนได้เช่นกัน นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้!


พวกเขาจะให้ครูดูแลและรักนักเรียนเหมือนลูกในไส้ได้อย่างไร? วิธีแรกก็คงต้องให้นักเรียนคนนั้นเป็นเด็กดีเชื่อฟังครูบาอาจารย์และมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมจนทำให้ครูภูมิใจได้


อีกวิธีหนึ่งก็คงเป็นการมอบของขวัญให้กับครูนี่ล่ะ!


ตอนนี้เหล่าผู้ปกครองต่างเคร่งเครียดว่าจะมอบของขวัญอะไรให้กับครูดี? ให้ของขวัญเหมือนสมัยก่อนดีหรือเปล่านะ? ในอดีตของขวัญที่ครูมักจะได้รับประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญประมาณ 6 อย่างยกตัวอย่างเช่น คื่นฉ่าย,ถั่วแดง,เนื้อสัตว์หายาก,ไข่ เป็นต้น แต่ดูแล้วไม่น่าจะได้ผลนัก!


หากนักเรียนให้ของขวัญเหล่านั้นกับครูสงสัยครอบครัวของครูคนนั้นจะต้องกินคื่นฉ่ายไปนานกว่าหนึ่งเดือนและพวกเขาก็คงหลอนกับคื่นฉ่ายไปอีกนาน แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า? สมัยก่อนผู้ปกครองบางคนยังให้ 4 สมบัติทางการศึกษาให้กับครูด้วยเช่นกัน แต่ในยุคนี้ใครจะมานั่งฝึกคัดตัวอักษรกันล่ะ? ครูหลายๆคนคงลืมไปแล้วกระมังว่าวิธีจับแปรงลบกระดานต้องทำอย่างไร? พวกเขาไม่ได้มาสนใจว่าลายมือตัวเองจะต้องสวยหรือเปล่าเมื่อตั้งใจเพียงแค่สอนหนังสือเท่านั้น! ปากกาลูกลื่นล่ะ? อย่างน้อยมันก็ต้องเป็นปากกาทองคำเพราะคงไม่มีครูคนใดไม่มีปากกาลูกลื่นหรือปากกาหมึกซึมหรอกนะ!


ของขวัญที่จะมอบให้อีกฝ่ายนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายจะสามารถจดจำเราได้ แต่ของขวัญที่ดูเหมาะสมคืออะไรล่ะ? ผู้ปกครองหลายๆคนต่างกลุ้มใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก!


.


.


“โอ๊ะ! เฮียซัน! ลูกชายเฮียเรียนอยู่ ม.6 หรือเปล่านะ? วันครูก็ใกล้มาถึงทุกที แล้วเฮียล่ะจะให้ของขวัญครูหรือเปล่า?”


“เราจะไม่ให้ของขวัญครูได้ยังไงกัน? ผู้ปกครองคนอื่นๆก็กำลังหาของขวัญกันจ้าล่ะหวั่นเลยล่ะและถ้านายไม่ให้ของขวัญกับครูนะ คิดเหรอ?ว่าลูกๆของเราจะมีชีวิตที่ดีในโรงเรียน? ลูกชายฉันก็กำลังจะสอบเข้ามหา’ลัยในปีหน้าแล้ว ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีสำคัญสำหรับเขา ฉันต้องทำทุกอย่างให้แน่ใจว่าครูในโรงเรียนจะไม่ละเลยเขา! นายเองก็เหมือนกัน ลูกชายนายก็อยู่ม.6ไม่ใช่เหรอ? นายจะไม่ให้ของขวัญกับครูหรือไง?”


“ผมก็อยากให้เหมือนกันล่ะเฮียแต่ไม่รู้จะหาของขวัญอะไรให้ ผมก็เลยมาถามเฮียนี่ล่ะว่าจะให้ของขวัญอะไรกับครูดี?”


“เอ้า! นี่นายไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์หรอกเหรอ? ตอนนี้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเสนอขายบัตรช้อปปิ้งแล้วนะ!นายสามารถใช้บัตรนี้เพื่อซื้อสินค้าในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ ฉันว่าจะให้บัตรช้อปปิ้งมูลค่า 500 หยวนแก่ครูน่ะ เพื่อนๆที่ทำงานฉันก็ทำแบบเดียวกัน เพียงแค่ให้บัตรช้อปปิ้งนี้ให้กับครูต่อให้มันจะราคาแพงแค่ไหนแต่มันก็คุ้มหากให้ครูดูแลลูกๆของเราให้ดี”


“500 หยวน? มันเพงมากเลยนะ! เงินเดือนผมแค่ 360 หยวนเอง”


“อย่างกไปหน่อยเลยน่า เมียนายเองก็ทำงานไม่ใช่เหรอ? แค่ทนไปกับมันสักเดือนหนึ่งก็ได้น่า นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของลูกชายนายเลยนะ ถ้าเขาไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากครูในโรงเรียนมันก็คงยากที่เขาจะสอบเข้ามหา’ลัยดีๆได้ ฉันว่าจะไปซื้อบัตรช้อปปิ้งที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วล่ะ นายจะไปด้วยมั้ย?”


“ไปสิ!.แต่รอผมก่อนนะ ผมต้องไปเอาเงินกับเมียผมก่อน”


.


.


“ที่รัก..ปีนี้ลูกชายของเราก็เรียนอยู่ม.6แล้วนะค่ะ เขาจะเรียนจบในปีนี้แล้วและเราจะให้เขาไปนั่งเรียนอยู่หลังห้องได้อย่างไร? นี่ก็ใกล้ถึงวันครูแล้วด้วย ฉันได้ยินมาจากเพื่อนที่ทำงานว่าพวกเขาจะให้ของขวัญกับครูของลูกๆ แล้วเราล่ะ?จะให้ของขวัญครูของลูกเราด้วยหรือเปล่า? เราต้องทำทุกอย่างเพื่อเป็นใบเบิกทางให้ลูกเราเข้ามหา’ลัยให้ได้”


“ตกลง! แต่เราจะให้อะไรดีล่ะ? ครูของลูกเราเป็นผู้ชายถ้าให้เหล้าสัก 2 ขวดกับบุหรี่สัก 2ซองจะน่าเกลียดไปมั้ย?”


“ไม่ดีกว่า ฉันเห็นคนอื่นๆจะมอบบัตรช้อปปิ้งของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตให้กับครูกัน ด้วยบัตรใบนั้นครูของลูกเราก็สามารถเอาไปซื้อของที่เขาต้องการได้ ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีเหล้ากับบุหรี่ขายนี่น่า”


“แล้วเราควรให้เท่าไหร่ดี?”


“ฉันได้ยินว่าผู้ปกครองคนอื่นๆจะให้บัตรช้อปปิ้งราคา 500 หยวนกันแต่ฐานะเราดีกว่าพวกเขา!ถ้าอย่างนั้นเราให้บัตร 1,000 หยวนกันเถอะ”


“1,000หยวน? ถึงผมจะทำงานในบริษัทต่างประเทศแต่เงินเดือนผมแค่ 800 หยวนเองนะ!”


“แต่คุณยังมีโบนัสนี่คะ? นี่คืออนาคตของลูกเราเลยนะ เราก็ต้องให้สิ่งที่จะทำให้ครูจดจำลูกชายของเราได้ เราไปซื้อบัตรช้อปปิ้งราคา 1,000หยวนกันพรุ่งนี้เลย! เราจะเอาไปมอบให้ครูและให้เขาหาที่นั่งเรียนดีๆให้กับลูกเรา!”


“เอาอย่างนั้นก็ได้”


.


.


“ที่รัก..พรุ่งนี้ตอนคุณไปส่งลูกที่โรงเรียน อย่าลืมมอบบัตรใบนี้กับครูหลิวด้วยล่ะ”


“มันคือบัตรช้อปปิ้งของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตงั้นหรือ? คุณไปซื้อมันมาใช่มั้ย? แล้วทำไมมันเป็นแค่บัตร 1,000หยวนล่ะ? คุณสามารถทำอะไรกับเงินแค่ 1,000หยวนได้? ฉันรู้นะ? ว่าคุณมีบัตรราคา 3,000หยวนอยู่กับคุณด้วย ให้บัตร 3,000 หยวนกับครูหลิวดีกว่า คุณยินดีที่จ่ายเงินแพงๆเพื่อเอาใจลูกค้าของคุณแต่กลับมาประหยัดกับเรื่องที่เกี่ยวกับลูกของเรานี่นะ?! ”


“อึ้ม!..อึ้ม!..อึ้ม!..คุณจะบ่นอะไรของคุณกันเนี่ย? แค่ 1,000หยวนก็พอแล้วมั้ง! การที่ผมให้ของขวัญราคาแพงๆกับลูกค้าก็เพราะว่าผมสามารถทำกำไรจากพวกเขาได้มากกว่าที่ผมเสียไปอีก! คุณคิดว่าบ้านของเราและรถยนต์จากซงเจียงมอเตอร์ได้มาฟรีๆโดยไม่พึ่งลูกค้าหรือไง? หากเอาบัตรช้อปปิ้งราคา 3,000 หยวนไปให้พ่อแม่ของเรามันจะไม่ดีกว่าหรือ? เราควรตอบแทนสิ่งดีๆให้กับพวกเขาบ้าง พวกเขาต่างประหยัดเพื่อพวกเรามามากแล้ว”


“เรื่องนั้นฉันก็เข้าใจแต่ถ้าในอนาคต ลูกของเราได้เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐล่ะ? มันจะไม่ดีกว่าหรือไง? ดูตัวคุณสิ! คุณอาจหาเงินได้เยอะจากการทำธุรกิจของคุณแต่เมื่อคุณต้องไปเจอเจ้าหน้าที่ของรัฐคุณก็ยังต้องก้มหัวเพื่อเคารพพวกเขาอยู่ดี”


“เลิกพูดมากได้แล้ว! ตอนนี้ผมเมาและก็ปวดหัวมากเลย..ไปชงชามาให้ผมสักถ้วยสิ!”


“คุณก็ดีแต่สั่งฉันเท่านั้นล่ะ!..ถอดเสื้อคลุมของคุณออกฉันจะเอามันไปแขวน! เดี๋ยวฉันจะไปต้มน้ำร้อนก่อน ส่วนคุณก็ไม่อาบน้ำก่อนเถอะ”


ภรรยาบ่นให้สามีเบาๆก่อนจะเดินไปชงชาร้อนทันที


.


.


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตสามารถขายบัตรช้อปปิ้งได้มากกว่า 50,000 ใบต่อหนึ่งสาขาในช่วง 2-3 วันก่อนที่วันครูจะมาถึง แม้แต่เฝิงหยู่ก็ไม่ได้คาดหวังว่ายอดขายจะสูงมากขนาดนี้ ผู้ปกครองในยุคนี้ช่างบ้าระห่ำยิ่งนัก พวกเขาสามารถทำทุกอย่างเพื่อลูกๆหลานของตน!



EG บทที่ 660 พร้อมใจใช้บัตรช้อปปิ้ง


 


ความหมายของวันครูเปลี่ยนไป


หลายๆคนต่างพูดถึงเรื่องนี้ วันนี้ควรจะเป็นวันที่ได้ขอบคุณและแสดงความเคารพต่อครูอาจารย์ แน่นอนว่าวันนี้ถูกกำหนดให้เป็นวันเทิดทูนอาชีพครูรวมถึงปรับปรุงคุณภาพชีวิตและการทำงานของครูให้ดียิ่งขึ้นแต่ตอนนี้มันกลายมาเป็นวันมอบของขวัญให้กับครูเสียแล้ว


ผู้ปกครองก็เริ่มเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน พวกเขาอาจไม่ได้ให้ของขวัญที่มีราคาแพงกว่าคนอื่นๆแต่ก็ไม่ยอมให้ของขวัญของตนเองน้อยหน้าใครเช่นกัน ครูหลายๆคนจะได้รับของขวัญเป็นจำนวนมากในวันนี้


วันครูในปีก่อนๆครูมักจะได้รับบุหรี่หรือใบชา ครูบางคนก็จะได้รับไก่หรือเป็ด แน่นอนว่าของเหล่านี้เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ยิ่งนัก แต่ปีนี้จะแตกต่างไปจากทุกๆปีเพราะครูส่วนใหญ่จะได้รับบัตรช้อปปิ้งของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต


ไม่แน่ใจว่าผู้ปกครองเหล่านี้นัดแนะกันมาก่อนหรือไม่? เพราะมูลค่าบัตรช้อปปิ้งมีราคาที่ใกล้เคียงกัน โดยผู้อำนวยการโรงเรียนและอธิการบดีของมหาวิทยาลัยคือคนที่ได้รับบัตรช้อปปิ้งมากที่สุด


ครูทุกคนพยายามเก็บบัตรช้อปปิ้งเหล่านี้เป็นความลับ แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่มีใครโอ้อวดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่พวกเขาได้รับ สุดท้ายแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาภูมิใจเลยสักนิด


แต่พอเลิกงานพวกเขาก็แทบจะเดินชนไหล่กันที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต


สิ่งแรกที่บรรดาครูทั้งหลายทำหลังจากได้รับบัตรช้อปปิ้งคือไปเอ่ยชวนภรรยาหรือสามีของตนเพื่อไปเดินซื้อของที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต บัตรเหล่านี้จะใช้ได้เฉพาะช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น


เมื่อครูเดินไปเจอเพื่อนร่วมงานของตนก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้แก่กันแต่ที่นี่คือไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ใช่โรงเรียนของพวกเขาสักหน่อย! นอกจากนี้ครูในโรงเรียนก็เฮโลกันมาที่นี่พร้อมกับเข็นรถเข็นไปมาทั่วซุปเปอร์มาร์เก็ต บนรถเข็นก็เต็มไปด้วยข้าวของต่างๆไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นวีซีดี พัดลม ฯลฯ ย่อมหมายความว่าครูคนอื่นๆก็ได้รับบัตรช้อปปิ้งในราคาแพงๆเช่นกัน


ในเมื่อทุกคนต่างก็ได้เหมือนกันแล้วจำเป็นต้องอายอะไรอีก? พวกเขาสามารถซื้อสินค้าด้วยกันได้


“ครูหนิว..มีหม้อหุงข้าวยี่ห้อดังอยู่ตรงนั้นด้วย เราไปซื้อด้วยกันมั้ย?”


“ได้สิ! โอ้!? เครื่องเล่นวีซีดียี่ห้อนี้ดีหรือเปล่า? ฉันอยากได้สักเครื่องเหมือนกัน”


“ต้องดีอยู่แล้วสิ..มันคือยี่ห้อวินด์แอนด์เรนเชียวนะ!มันเป็นยี่ห้อดังระดับโลก!สโลแกนของพวกเขาบอกว่า‘ถูกเลียนแบบบ่อยครั้งแต่ไม่มีใครเทียบได้!’”


“แล้วเครื่องเล่นวีซีดียี่ห้อนี้วางขายตรงไหนหรือ? ฉันอยากได้บ้างจัง”


ครูหนิวเลิกคิ้วสูง ดูท่าวันนี้ครูซานจะได้รับบัตรช้อปปิ้งจากบรรดาผู้ปกครองมาเยอะทีเดียวแต่ครูซานเป็นครูที่ดีมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ปกครองจะทุ่มเต็มที่เพื่อเอาใจเขา


“มันอยู่ตรงนั้น! เดี๋ยวไปดูหม้อหุงข้าวกันก่อนแล้วฉันจะพาครูหนิวไปดูเครื่องเล่นวีซีดีต่อ”


ในระหว่างที่พวกเขากำลังจ่ายเงิน พวกเขาก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยจำนวนมาก บ้างก็เป็นครูจากโรงเรียนเดียวกัน บ้างก็เป็นครูจากโรงเรียนอื่น พวกเขายังเห็นผู้บริหารระดับสูงของเขตการศึกษามาซื้อของที่นี่อีกด้วย


นี่เป็นการพิสูจน์ว่าครูทุกคนได้รับของขวัญมากมายในช่วงวันครูนี้


.


.


เสี่ยวลี่ได้งานเป็นแคชเชียร์ที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต เธอดีใจมากที่ได้งานนี้แม้ว่างานของเธอจะยากแต่เงินเดือนของเธอก็สูงกว่าพ่อแม่ของเธอมากนัก


วันนี้เธอสังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกออกไป ลูกค้าหลายๆคนที่เข้ามาชำระเงินต่างรู้จักกัน ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ แม้จะไม่ใหญ่เท่าปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้แต่ประชากรก็หลายล้านคนเช่นกัน การที่ลูกค้าเหล่านี้ต่างรู้จักกันจะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?


อืม..อาจเป็นเพราะที่นี่คือไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและลูกค้าเหล่านี้มาซื้อของที่นี่เพราะโฆษณา


แต่คนเหล่านี้ต่างเรียกกันและกันว่าครู คนพวกนี้ต่างเป็นครูกันทั้งนั้น อย่าบอกนะว่าวันนี้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของครูไปเสียแล้ว?


เมื่อทำการคิดเงินเสี่ยวลี่ก็ถึงกลับตกใจ บัตรช้อปปิ้ง? บัตรช้อปปิ้ง?  บัตรช้อปปิ้งอีกแล้ว!?


ครูเหล่านี้ต่างจ่ายเงินด้วยบัตรช้อปปิ้งกันทั้งหมด


อะไรนะ? เงินในบัตรไม่พองั้นหรือ? ไม่เป็นไรฉันยังมีอีกใบ! คิดเงินจากบัตรใบนั้นให้หมดไปเลย ฉันยังมีอยู่ในกระเป๋าอีก! ไม่พออีกแล้ว? ไมต้องตกใจไป ฉันยังมีอีก!


ลูกค้ามากกว่าครึ่งชำระสินค้าด้วยบัตรช้อปปิ้งและส่วนใหญ่ต่างมีบัตรช้อปปิ้งมากกว่าหนึ่งใบ


บัตรช้อปปิ้งที่ถูกที่สุดที่เสี่ยวลี่เห็นมีมูลค่า 500 หยวนและใบที่แพงที่สุดมีมูลค่า 5,000 หยวน แน่นอนว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นครู


ทางโรงเรียนใจดีขนาดนี้เลยหรือ? ครูทุกคนต่างได้รับบัตรช้อปปิ้งในวันครูเป็นเพราะโรงเรียนซื้อให้อย่างนั้นหรือ? เงินเดือนเฉลี่ยของครูน้อยกว่า 500 หยวนหากเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็อาจได้มากกว่าเล็กน้อย แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ทางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่งบประมาณน้อยขนาดนี้จะยอมควักกระเป๋าซื้อบัตรช้อปปิ้งแจกให้เพราะราคาอย่างต่ำๆก็ 500 หยวนแล้ว


แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าครูจำนวนมากต่างพากันมาซื้อของในวันนี้ พวกเขาได้บัตรช้อปปิ้งมาจากไหนกันแน่?ทำไมแต่ละคนถึงมีมากกว่า 1 ใบ


เสี่ยวลี่ไม่เข้าใจในประเด็นนี้และอยากรู้เป็นอย่างมาก แต่ในระหว่างการฝึกอบรมกฎข้อหนึ่งที่พนักงานเช่นเธอต้องถือปฏิบัติคือการให้บริการลูกค้าต้องมาก่อนและเธอไม่สามารถชวนลูกค้าคุยได้ ลูกค้าหลายๆคนไม่ชอบให้พนักงานซักถามอะไรที่เป็นการละลาบละล้วงและแน่นอนว่าการถามถึงรายได้และสาเหตุที่ได้บัตรมาเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง


เสี่ยวลี่ยังคงเงียบและตั้งใจทำงานของตนต่อไป เธอรับบัตรจากลูกค้าและแจ้งยอดเงินคงเหลือให้กับลูกค้าฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า!


วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยกว่าวันอื่นๆ มันไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์แต่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับมากกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยซ้ำ นอกจากนี้สินค้าที่ลูกค้าเลือกซื้อยังเป็นชิ้นใหญ่ แม้ว่าลูกค้าบางคนจะซื้อเหล้าและบุหรี่ไปบ้างแต่มันก็เป็นยี่ห้อที่มีราคาแพงๆทั้งนั้น ดูเหมือนคนรวยจะเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตา


เสี่ยวลี่ทำงานในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมาประมาณ 1 เดือนแล้ว เธอไม่เคยเห็นลูกค้าซื้อสินค้าราคาแพงๆพร้อมกันขนาดนี้มาก่อน ทั้งโทรทัศน์สียี่ห้อฟิลิปส์ราคาเกือบ 3,000 หยวน ทั้งตู้เย็นยี่ห้อต่างประเทศต่างก็ถูกขนลงจากชั้นวาง


ดูท่าพนักงานส่งของจะต้องรับศึกหนักในวันนี้  การขนส่งสินค้าในวันนี้มากกว่ายอดรวมของทั้งสัปดาห์เสียอีกแต่พนักงานส่งของต่างพากันยิ้มออก เป็นเพราะยิ่งส่งมากพวกเขาก็จะได้รับเงินมากขึ้น ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้มีบริการจัดส่งฟรี พวกเขาคิดค่าขนส่งด้วย ค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงมากนักและลูกค้าส่วนใหญ่ไม่สามารถขนสินค้าขนาดใหญ่กลับด้วยตัวเองได้ พวกเขาจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการขนส่งสินค้าของพวกเขากลับไป


ค่าจัดส่งของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตถูกกว่าขนส่งข้างนอกทั้งยังรวมค่าติดตั้งในราคานี้ด้วย หากมีความเสียหายใดกับสินค้าในระหว่างการขนส่ง ทางไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเป็นผู้รับผิดชอบและชดเชยค่าเสียหายให้


ไม่มีใครต้องการให้เกิดความเสียหายต่อสินค้าราคาเกือบ 3,000 หยวน แม้ว่าเหล่าลูกค้าจะรู้สึกไม่ชชอบใจที่จะต้องเสียค่าขนส่งแต่ถ้าพวกเขาขนกลับไปเองและพยายามติดตั้งสินค้าจนเกิดความเสียหายแล้วล่ะก็? พวกเขาจะต้องแย่แน่ๆ!


.


.


“ผู้จัดการครับ!..เราได้สรุปยอดขายคร่าวๆของวันนี้แล้วครับ จำนวนลูกค้าเกือบ 85%ใช้บัตรช้อปปิ้งเพื่อชำระสินค้าและรายรับของวันนี้มากกว่ายอดรวมของสัปดาห์ที่แล้วอีกครับ!”


ผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เก็ตพยักหน้ารับ


“ความคิดของผู้จัดการเฝิงช่างยอดเยี่ยมจริงๆ นี่ขนาดไม่มีโปรโมชั่นใหม่แต่ยอดขายกลับสูงกว่าช่วงโปรโมชั่นเสียอีก มันแค่วันแรกเท่านั้น พรุ่งนี้จะต้องมีลูกค้ามากกว่านี้แน่นอน!”


ผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เก็ตคาดว่าผู้ที่มีบัตรช้อปปิ้งยังไม่ได้มาซื้อของที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด พวกเขาอาจเดินทางมาในวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็หลังจากนั้น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะถึงอย่างไรบัตรช้อปปิ้งก็มีวันหมดเขตและพวกเขาต้องมาใช้บริการก่อนวันครบกำหนดอย่างแน่นอน


ครั้งแรกเฝิงหยู่ได้กำหนดวันหมดเขตไว้ที่ 3 เดือนแต่ฟู่เกิงเฉิงและผู้บริหารที่เหลือคิดว่ามันนานเกินไปแค่ 1 เดือนก็พอแล้ว นอกไปจากวันครูยังมีเทศกาลอื่นๆอีกมากที่รออยู่และมีถึง 3 เทศกาลในเดือนเดียวกัน พวกเขาต้องเพิ่มแรงกระตุ้นในคนเหล่านี้กล้าที่จะใช้บัตรช้อปปิ้งออกมาซื้อของโดยเร็วที่สุด


เฝิงหยู่เห็นด้วยในที่สุดเพราะลูกค้าต่างมีพฤติกรรมตามที่คาดไว้จริงๆ พวกเขาจะยังไม่มั่นใจเมื่อต้องใช้บัตรช้อปปิ้งชำระแทนเงินสด


ถึงเวลาแล้วที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะผลิตบัตรช้อปปิ้งออกมาอีกชุด



EG บทที่ 661 ห๊ะ?! ก่อตั้งธนาคาร?


 


“เฮียหลี่..บริษัทของเราควรจะซื้อบัตรช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลตรุษจีนกับวันหยุดประจำแห่งชาติหรือไม่ครับ? บริษัทเรามีเงินสำรองหรือเปล่าครับ?”


“มีสิ! แต่บางเมืองที่บริษัทเราอยู่ไม่มีไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตนะ?!พนักงานของเราคงจะใช้บัตรช้อปปิ้งไม่ได้”


หลี่หมิงเต๋อตอบกลับทันที


“เฮียสามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้เลยนะครับ..เพราะผมเองได้ยินคนงานของเราบ่นกันให้แซ่ดว่าไม่อยากได้ของขวัญแบบเดิมๆอีกแล้ว อ้อ!เดี๋ยวเราค่อยให้บัตรกำนัลของห้างอื่นให้กับพวกเขาแทนก็ได้ แต่ไม่ต้องกังวลไปภายในปีหน้าทุกๆเมืองที่โรงงานของเราตั้งอยู่จะต้องมีสาขาของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไปประจำการอย่างแน่นอน! เดี๋ยวผมจะให้คนรู้จักในเมืองปิงมาคุยเรื่องนี้กับเฮียเองและเฮียก็สามารถแนะนำบริษัทของเราที่ตั้งอยู่ในเมืองที่เหลือได้เลยนะครับ”


เฝิงหยู่ยินดีที่จะสนับสนุนบัตรช้อปปิ้งเหล่านี้ บริษัทในเครือของเขาทั้งหมดจะมอบของขวัญให้กับพนักงานและเฝิงหยู่คิดที่จะมอบเป็นบัตรช้อปปิ้งแทน เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการสร้างกำไรให้กับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตให้มากที่สุด ด้วยวิธีนี้จะทำให้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้รับเงินกู้ในช่วงสิ้นปีนี้ได้


ในยุคนี้เพื่อให้ได้เงินกู้จากธนาคาร คอนเนคชั่นทางธุรกิจและรายการเดินบัญชีในช่วง 3 เดือนก่อนขอกู้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


ฟู่เกิงเฉิงและผู้บริหารคนอื่นๆต่างออกหาทำเลที่เหมาะสมกันอีกครั้ง เฝิงหยู่ไม่ต้องลงมือจัดการกับอะไรอีก เขาเพียงแค่นั่งรอเฉยๆอยู่ในสำนักงานใหญ่ของเมืองปักกิ่งหากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ต้องปรับปรุงอะไรอีกแล้ว


หลี่หมิงเต๋อทราบดีว่าเฝิงหยู่มีบริษัทในเครือเป็นจำนวนมากและการที่เขาเข้าพบตนในวันนี้ก็เพื่อให้เขาอนุมัติการสั่งซื้อหรือสั่งจองบัตรช้อปปิ้ง ตราบใดที่เงินเข้าสู่บัญชีธนาคาร ทางธนาคารจะเห็นยอดเงินนี้ทันที นี่จะเป็นตัวอย่างให้กับบริษัทอื่นๆทำตามเพื่อเพิ่มยอดขายให้แก่บัตรช้อปปิ้ง


เฝิงหยู่เห็นด้วยกับวิธีนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคนงานของเขาจะได้รับโบนัสและสวัสดิการอันยอดเยี่ยม มันอาจไม่ได้ดีที่สุดในประเทศจีนแต่ก็ควรเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่มีนโยบายนี้


เฝิงหยู่ตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่งของโรงงานตนเองที่มีที่ตั้งเกือบทุกมณฑลของประเทศจีน มันอาจไม่มีปัญหากับโรงงานที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองใหญ่ๆแต่บริษัทที่ตั้งอยู่ในเขตชนบทเช่นกวนเช็งล่ะ? คนงานของเขาจะนำบัตรช้อปปิ้งไปใช้ที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้อย่างไร?


นั่งรถไฟไปที่เซินเจิ้นหรือกวางโจวเพื่อไปซื้อของในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและนั่งรถไฟกลับมาอย่างนั้นหรือ?


แต่ฟู่เกิงเฉิงก็เริ่มหาทำเลในเขตกวนเช็งแล้วเช่นกัน เขาเชื่อว่าจำนวนประชากรของกวนเช็งจะเพิ่มขึ้นและมันจะกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมในอนาคตอย่างแน่นอน ชีวิตคนงานในโรงงานค่อนข้างลำบากและส่วนใหญ่มักจะใช้จ่ายอย่างประหยัด พวกเขาเลือกจะประหยัดเงินโดยการเลือกซื้อของราคาถูก พวกเขาไม่นึกรังเกียจที่จะเดินทางไกลเพื่อไปซื้อราคาถูกๆเพื่อประหยัดเงินให้ได้สัก 10-20 เซนต์


เฝิงหยู่ต่อสายโทรศัพท์ไปหาคนผู้หนึ่งทันที


“ผู้จัดการหลิว..ผมเฝิงหยู่นะครับ! คุณยังอยู่ที่ปักกิ่งหรือเปล่าครับ? พอดีผมมีเรื่องอยากจะสอบถาม.. ลีโนโวได้มอบของขวัญให้กับพนักงานในช่วงวันตรุษจีนและวันหยุดประจำชาติหรือเปล่าครับ? ”


[“อืม..ส่วนใหญ่เราจะแจกขนมไหว้พระจันทร์และผลไม้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน..ส่วนวันหยุดแห่งชาติก็จะแจกเป็นอาหารแห้ง..บางครั้งก็จะเป็นเงินสด”]


หลิวชุนซีนึกสงสัยว่าทำไมเฝิงหยู่จึงเอ่ยถามตนเช่นนี้


“ขนมไหว้พระจันทร์?..คุณชอบทานมันหรือครับ?”


[“มันไม่เกี่ยวหรอกนะว่าผมจะชอบหรือไม่ชอบ? มันเป็นประเพณีที่ทำต่อๆกันมานะครับ เราต้องทานขนมไหว้พระจันทร์ในช่วงเทศกาลตรุษจีนและทานบ๊ะจ่างในช่วงเทศกาลตวนอู่”] (1)


“สิ่งที่ผมกำลังหมายถึงก็คือ..คุณคิดว่าถ้าเรามอบเป็นเงินสดหรือบัตรช้อปปิ้งให้กับคนงานของเราจะดีกว่ามั้ย? คนงานสามารถนำไปซื้อของที่ตัวเองต้องการหรืออาจจะเอาไปเลือกซื้อขนมไหว้พระจันทร์แบบที่ตัวเองชอบก็ได้ ผมเห็นว่าผลประกอบการของเราก็เป็นไปด้วยดี เราเองก็ต้องปฏิบัติกับพนักงานของเราให้ดีเช่นกัน”


[“ผู้จัดการเฝิง..ผมรู้หรอกนะครับว่าคุณมีส่วนเอี่ยวกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย หากคุณต้องการให้ผมซื้อบัตรช้อปปิ้งของคุณก็บอกมาตรงๆเถอะครับไม่ต้องมาอ้อมค้อมให้เสียเวลา..เอาเป็นว่าผมจะไปหารือกับกรรมการบริหารคนอื่นๆและก็จะซื้อบัตรช้อปปิ้งของคุณแล้วกัน อ้อ!ตอนนี้คุณอยู่ปักกิ่งแล้วหรือเปล่า? ถ้าคุณว่างก็แวะเข้ามาบริษัทหน่อยสิครับ พอดีผมมีธุระจะคุยกับคุณพอดี”]


“ตกลงครับ..พอดีตอนบ่ายผมไม่มีเรียน..เดี๋ยวผมจะแวะเข้าบริษัทแล้วกัน”


.


.


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฝิงหยู่มาเยือนสำนักงานลีโนโวสาขาปักกิ่ง เขาไม่ค่อยชอบที่นี่นัก หลิวชุนซีขี้เหนียวเกินไป เขาไม่คิดที่จะจัดห้องทำงานให้กับเฝิงหยู่!


แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้เข้ามาทำงานที่นี่บ่อยๆอยู่แล้ว เขาไม่เคยเข้าร่วมประชุมประจำเดือนและเคยมาที่นี่เพียงครั้งเดียวเมื่อตอนดูผลประกอบการประจำปี หลังจากดูเสร็จเขาก็เดินทางกลับทันที พนักงานส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท พวกพนักงานต่างคิดว่าเขาเป็นญาติห่างๆของหลิวชุนซีเท่านั้น


เฝิงหยู่เดินทางมาถึงลีโนโวสาขาปักกิ่งและฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็เอ่ยเรียกเขาด้วยคำว่า ‘คุณเฝิง’ก่อนจะพาไปยังห้องรับรองและปล่อยเขาทิ้งไว้ในห้องหลังจากเสิร์ฟน้ำชาให้เขาเรียบร้อยแล้ว หากเธอรู้ว่า‘คุณเฝิง’ที่เธอเอ่ยเรียกเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เธอจะไม่แสดงปฏิกิริยาแบบนี้อย่างแน่นอน


“สวัสดีครับผู้จัดการเฝิง!สบายดีนะครับ..เอาเป็นว่าผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน..คุณพอจะมีเงินทุนเยอะมั้ยครับ?”


เฝิงหยู่มองหลิวชุนซีอย่างนึกสงสัย


“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? บริษัทมีเงินสำรองไม่พอหรือครับ?แต่รายงานเมื่อเดือนที่แล้วก็ยังไปได้ดีนี่ครับ? หรือว่ามีคนคิดขายหุ้น? เขาขายเท่าไหร่หรือครับ? เดี๋ยวผมจะซื้อมันไว้เอง”


หากลีโนโวมีคนขายหุ้นแน่นอนว่าเฝิงหยู่ยินดีที่จะซื้อมันไว้ ในส่วนธุรกิจเครื่องPCของลีโนโวมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆและเมื่อทำการเปิดตัวWindow95ในปีหน้าการใช้งานเครื่องPCก็จะง่ายขึ้น


นั่นเป็นเวลาที่เครื่องPCจะกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก หน่วยงานราชการ ธนาคาร บริษัท ฯลฯ ก็จะสั่งซื้อเพื่อไปใช้งานเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่ามันคือโอกาสที่จะทำให้ลีโนโวเข้ายึดครองตลาดเครื่องPCในประเทศจีนได้


นอกจากนี้เครื่องPCของลีโนโวยังติดตั้งออปติคัลไดรฟ์ที่ถูกพัฒนาและปรับปรุงได้เร็วกว่าชีวิตก่อนของเฝิงหยู่ มันไม่ใช่แค่อ่านแผ่นซีดีแบบธรรมดาได้เพราะเครื่องPCของลีโนโวได้ติดตั้งออปติคัลไดรฟ์ที่สามารถอ่านแผ่นวีซีดีได้ต่างหาก คุณสมบัตินี้จะทำให้ลีโนโวสามารถขายเครื่องPCได้ราวกับขายแพนเค้กเลยทีเดียว


นี่เป็นช่วงเวลาที่ลีโนโวจะเปล่งประกาย แล้วทำไมพวกเขาถึงเลือกขายหุ้นตอนนี้ด้วยล่ะ?


“ไม่มีใครคิดขายหุ้นหรอกครับแต่เป็นเพราะผู้ประกอบการบางรายอยากจะสร้างธนาคารเอกชนขึ้นมา หนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนผมเอง เขาขอให้ผมติดต่อคุณและเชิญคุณให้ร่วมลงทุนกับพวกเขา ว่าแต่คุณสนใจมันหรือเปล่า?”


สร้างธนาคารงั้นเหรอ? ให้ตายเถอะ! คนพวกนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ


แต่เฝิงหยู่ก็พอจำได้คร่าวๆว่าชีวิตก่อนของเขามีธนาคารเอกชนตั้งขึ้นในเมืองจีน นี่คือธนาคารแห่งนั้นหรือเปล่า?


“ผมสนใจอยู่ครับ ว่าแต่คุณพอจะบอกได้มั้ย? ว่ามีใครบ้างที่ร่วมลงทุนด้วย? มันจะได้รับการอนุมัติจริงๆงั้นหรือ?แล้วรัฐบาลเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือเปล่า?”


“เพราะรัฐบาลกลางเห็นด้วยกับสิ่งนี้ ผมถึงได้กล้าถามคุณ! กลุ่มคนที่เป็นแกนนำจัดตั้งธนาคารเอกชนแห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงธุรกิจ พวกเขาคือลิ่วหย่งห่าวจากนิวโฮปกรุ๊ป,หลู่สีเฉียงจากโอเชี่ยนไวด์โฮดิ้ง,บริษัทประกันชีวิตของเมืองจีน,ฉีต้าชู่จากไจแอนท์อินเตอร์แอคทีพกรุ๊ปและบริษัทชื่อดังอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาล้วนแต่เป็นบริษัทชั้นนำและมีชื่อเสียงระดับประเทศ”


หลิวชุนซีอธิบายให้เฝิงหยู่ฟัง


“แล้วพวกเขารู้จักผมได้ยังไง?”


เฝิงหยู่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่เคยพบกลุ่มคนที่หลิวชุนซีพูดถึงมาก่อน คนเดียวที่เฝิงหยู่เคยพบก็คือฉีต้าชู่แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกันด้วยซ้ำ


“อันที่จริงแล้ว..หลู่สีเฉียงกับลิ่วหย่งห่าว..เข้ามาพบผมครับ พวกเขาต้องการให้ลีโนโวเข้าร่วมลงทุนด้วยและให้เราเป็นคนดูแลระบบซอฟต์แวร์พร้อมกับระบบต่างๆของธนาคาร แต่ก็อย่างที่คุณทราบตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของลีโนโว เงินทั้งหมดของเราได้ลงทุนกับการพัฒนาระบบและเร่งผลิตสินค้าออกเป็นจำนวนมากเพื่อผลกำไรที่กลับมาตอบแทนในอนาคต ทำให้ตอนนี้เราไม่มีเงินทุนสำรองมากพอที่จะไปร่วมลงทุนกับธนาคารเอกชนได้ แต่ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีก็เลยแนะนำคุณให้กับพวกเขาไป ผมคิดว่าหากเป็นเรื่องเงินแล้ว คุณน่าจะเป็นคนที่รวยที่สุดในบรรดาพวกเขาแล้วกระมัง”


หลิวชุนซีคะเนเงินเก็บของเฝิงหยู่ไว้คร่าวๆ แม้ว่าเขาจะไม่มีตัวเลขใดๆในใจแต่เขาก็รู้ดีว่าเฝิงหยู่เป็นผู้ถือหุ้นลำดับ3ของบริษัทMicrosoft


อีกทั้งยังเป็นเจ้าของโรงงานและบริษัทต่างๆทั่วประเทศจีน เขาจะต้องมีคอนเนคชั่นที่หนาแน่นคนหนึ่งอย่างแน่นอน หากเขาเข้าร่วมลงทุนกับธนาคารนี้ มันจะสามารถดำเนินการและพัฒนาไปได้อย่างราบรื่น นั่นคือเหตุผลที่เขาเรียกเฝิงหยู่มาเพื่อเจรจาเรื่องนี้โดยเฉพาะ


“แล้วธนาคารแห่งนี้ชื่อว่าอะไรครับ?”


“ธนาคารมินเช็งแห่งประเทศจีน!”(2)


 


(1)เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง, เทศกาลตวนอู่ หรือ เทศกาลต่วนหงอ (อักษรจีน: 端午节,端陽節) ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ หรือ “โหงวเหว่ยโจ่ว” เป็นการระลึกถึงวันที่คุดก้วนหรือ ชีว์หยวนหรือ ชีหยวน (อักษรจีน: 屈原, Qu Yuan (340-278 ปีก่อนคริสต์ศักราช) กวีผู้รักชาติแห่งรัฐฉู่ กระโดดน้ำเสียชีวิต นอกจากนี้ ในประเทศจีน บริเวณแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง), ฮ่องกง, ไต้หวัน, มาเก๊า ยังมีการละเล่น แข่งเรือมังกร (Dragon Boat Festival 龙舟赛) จัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันนี้ด้วย ทางรัฐบาลจีนยังกำหนดให้วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 นี้เป็น วันกวีจีน (The Chinese Poet’s Day) อีกด้วย เนื่องจากชีหยวน นับเป็นอีกผู้หนึ่งที่เป็นกวีคนสำคัญของจีน


 


(2) China Minsheng Bank/ธนาคารมินเช็งแห่งประเทศจีน/ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1996 ในกรุงปักกิ่งเป็นธนาคารแรกในประเทศจีนที่มีผู้ก่อตั้งเป็นหน่วยงานเอกชน ธนาคารก่อตั้งโดย Jing Shuping นักกฎหมายและนักธุรกิจชาวจีน


EG บทที่ 662 พบปะลิ่วหย่งห่าว


 


“ผมขอเวลาคิดหน่อยแล้วกัน..ว่าแต่?คุณไม่รู้จริงๆหรือครับว่าบริษัทไท้หัวการเกษตรของพ่อผมเป็นคู่แข่งกับนิวโฮปกรุ๊ป? แถมนิวโฮปกรุ๊ปยังเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องของอาหารสัตว์แต่ของพ่อผมเป็นอันดับสอง”


หลิวชุนซีชะงักค้างไปทันที เขาจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? เขายอมรับว่าธุรกิจของพ่อเฝิงหยู่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะการเป็นบริษัทจำหน่ายอาหารสัตว์อันดับสองของจีนย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ก็ว่าอยู่ทำไมชื่อนี้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก!


“ผู้จัดการเฝิง..แม้ว่าคุณทั้งคู่จะเป็นคู่แข่งกันแต่ก็เป็นการแข่งขันที่สูสีและยุติธรรมไม่ใช่หรือครับ? ไม่เห็นจำเป็นสักนิดที่จะต้องทำตัวเหมือนเป็นศัตรูกัน อีกอย่างพวกคุณก็ไม่เคยขัดแย้งหรือมีปัญหาอะไรกันมาก่อน ผมพูดถูกใช่มั้ยครับ?”


“ใช่ครับ..เราไม่เคยมีปัญหากัน! ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยติดต่อลิ่วหย่งห่าวให้ผมหน่อยแล้วกัน ผมอยากจะคุยกับเขาสักหน่อย”


เฝิงหยู่ส่งยิ้มบางๆให้


ที่จริงแล้วบริษัทไท้หัวการเกษตรเพิ่งถูกก่อตั้งได้ไม่นาน เฝิงหยู่เองก็ต้องการดึงตัวลิ่วหย่งห่าวเข้ามาทำงานในบริษัทของเขาเช่นกัน แต่ตอนนั้นลิ่วหย่งห่าวและน้องชายของเขาได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาก่อนและมันยังประสบความสำเร็จสูงอีกด้วย


มณฑลเสฉวนเป็นแหล่งเลี้ยงหมูรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มันมีฟาร์มเลี้ยงหมูและฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยทำเลที่ได้เปรียบเช่นนี้ทำให้นิวโฮปกรุ๊ปสามารถพัฒนากิจการของตนเองได้อย่างรวดเร็ว


ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ของไท้หัวการเกษตรส่วนใหญ่จะถูกส่งไปยังฟาร์มหมูของตนเองและมณฑลใกล้เคียง พวกเขาไม่สามารถเจาะเข้าตลาดเสฉวนได้เลย


เฝิงหยู่ไม่รู้จักลิ่วหย่งห่าวเป็นการส่วนตัวแต่จางหมิงต้องรู้จักเขาอย่างแน่นอน เป็นเพราะบริษัทไท้หัวการเกษตรไปแย่งส่วนแบ่งทางตลาดของนิวโฮปกรุ๊ปมา


โชคดีที่นิวโฮปกรุ๊ปไม่ได้ผลิตอาหารสำหรับหมูเพียงอย่างเดียว พวกเขายังผลิตอาหารสำหรับวัว แพะ ไก่ เป็ดและสัตว์ๆอื่นอีกหลายประเภท พวกเขาอาจได้รับผลกระทบจากไท้หัวการเกษตรอยู่บ้างแต่ผลกระทบก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก


เฝิงหยู่เองก็อยากรู้จักสองพี่น้องลิ่วอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะลิ่วหย่งห่าวพี่ชายคนโต


“ตกลง! เดี๋ยวผมจะรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในครั้งนี้เอง เอาไว้ผมจัดเวลาและสถานที่ได้แล้วจะแจ้งให้คุณทราบอีกที แล้วคุณคิดว่าธนาคารมินเช็งแห่งประเทศจีนพอไปได้หรือไม่? จะมีคนเข้ามาใช้บริการจำนวนมากหรือเปล่า?”


“ธนาคารก็ไม่ต่างจากจิ่นซวง[1]ในสมัยอดีตหรอกครับ ถ้าเราจะจัดตั้งธนาคารขึ้นมาเราก็ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจในศักยภาพของเราก่อน หลังจากนั้นเราค่อยหากำไรจากการกินอัตราดอกเบี้ย เราอาจปล่อยสินเชื่อด้วยการคิดดอกเบี้ยต่ำๆเพื่อดึงดูดใจลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการเยอะๆ มันดูง่ายมากเลยล่ะครับหากจะบริหารงานธนาคาร”


สิ่งที่เป็นโจทย์ยากมากที่สุดของการทำธุรกิจธนาคารก็คงเป็นปัญหาการถอนเงินจากที่อื่นและค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสีย หากไม่มีสาขาธนาคารนั้นๆในพื้นที่ ลูกค้าก็จะไม่สามารถถอนเงินได้และแม้ว่าพวกเขาจะถอนเงินออกจากธนาคารอื่นได้พวกเขาก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมอยู่ดี


ข้อได้เปรียบของเฝิงหยู่หากเขาเข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้คือจำนวนพนักงานและสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทที่สูงลิ่ว แม้จะมีเพียงพนักงานในบริษัทของเขาเป็นลูกค้าในธนาคารมินเช็งมันก็ยังเป็นจำนวนที่สูงเทียบได้กับธนาคารอื่นๆด้วยซ้ำ หากบริษัทในเครือของเฝิงหยู่ทั้งหมดเข้าใช้บริการในธนาคารมินเช็ง การทำธุรกรรมและบัญชีของพวกเขาจะต้องสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน


วันนั้นหลังจากที่เฝิงหยู่กลับไปถึงบ้าน เขาก็เรียกให้จางหมิงมาพบเขาที่ปักกิ่งทันที แม้ว่าเฝิงหยู่จะไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจการครั้งนี้ แต่มันก็ยังมีประโยชน์ต่อไท้หัวการเกษตรหากพวกเขาได้หุ้นส่วนเพิ่มหรือได้รับความร่วมมือจากนิวโฮปกรุ๊ป


ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับธนาคารในประเทศจีนที่จะได้รับการพัฒนาแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดเช่นกัน เป็นเพราะธนาคารที่มีอยู่ในประเทศจีนตอนนี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับโลกอนาคตในชีวิตก่อนของเฝิงหยู่


นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่มากมายที่ยังไม่ถูกพบและยังไมได้รับการแก้ไข ธนาคารต้องเผชิญกับการแทรกแซงจากรัฐบาล ตัวอย่างเช่นหน่วยงานท้องถิ่นจะแทรกแซงการดำเนินงานและการจัดการของธนาคารแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอำนาจในการทำเช่นนั้นก็ตาม


ปัจจุบันมีธนาคารหลายแห่งในประเทศจีนและรัฐมนตรีจู้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศจีน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ธนาคารของรัฐมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้และได้กำจัดการทุจริตหลายๆอย่างออกไป นอกจากนี้ธนาคารเองก็ยังไม่ได้จัดตั้งเครือข่ายธนาคารที่เข้มแข็ง แม้ว่าจะมีบัตร เอทีเอ็มอยู่ในขณะนี้แต่ก็มีตู้เอทีเอ็มไม่มากนัก ผู้คนยังใช้สมุดบัญชีธนาคารเพื่อฝากถอนหรือทำธุรกรรมทางการเงินเช่นเดิม


การทำธุรกรรมระหว่างธนาคารด้วยกันเองก็มีปัญหาและบัตรเครดิตยูเนี่ยนเพย์[2]ก็ยังไม่ถูกคิดค้นขึ้น มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงสำหรับการทำธุรกรรมในแต่ละครั้ง มันคงเป็นเรื่องน่าเบื่อเกินไปสำหรับธนาคารหน้าใหม่ที่ต้องวิ่งวุ่นสร้างคอนเนคชั่นกับธนาคารอื่นทั้งหมด


นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังยึดติดกับความคิดเดิมๆ เมื่อพวกเขาทราบว่านี่ไม่ใช่ธนาคารของรัฐความคิดแรกของพวกเขาก็คือ‘ธนาคารนี้ไม่ปลอดภัย’จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาฝากเงินเข้าธนาคารนี้และไม่สามารถถอนออกมาได้? จะเป็นอย่างไรถ้าจู่ๆมันก็ถูกปิดตัวลง


ผู้ถือหุ้นในธนาคารก็เหมือนกับผู้ถือหุ้นในบริษัทต่างๆ มันมีความเสี่ยงที่จะล้มละลายและปิดตัวลงได้ตลอด ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็มักจะมีตัวอย่างให้เห็นมาหลายกรณีแล้ว


แต่เฝิงหยู่เองก็ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้เพราะธนาคารมินเช็งสามารถปล่อยสินเชื่อและเอกสารที่ใช้จะทำได้ง่ายขึ้นและมันจะทำให้เขาได้วงเงินกู้ที่สูงขึ้นกว่าเดิม


หลังจากบัตรเครดิตยูเนี่ยนเพย์ถูกคิดค้นขึ้น ก็จะมีตู้เอทีเอ็มผุดขึ้นเป็นจำนวนมากและคาดว่าธนาคารมินเช็งจะสามารถเติบโตได้ดี เฝิงหยู่เองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้กำไรจากธุรกิจนี้มากนัก เขาเพียงต้องการความสะดวกในการขอสินเชื่อเท่านั้น


คนกลุ่มนี้ที่คิดก่อตั้งธนาคารมินเช็งขึ้นมาก็คงมีความคิดคล้ายๆกัน มันเป็นการระดมทุนอีกวิธีหนึ่งและมันยังเป็นการระดมทุนที่ถูกกฎหมายอีกด้วย


อีกไม่กี่ปีกลุ่มผู้ก่อตั้งธนาคารมินเช็งจะได้รับอนุมัติเงินกู้เป็นจำนวนมาก ธุรกิจของพวกเขาจะโตขึ้นและพัฒนาอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะความพร้อมของเงินทุนที่มีให้กู้ไม่อั้นนั่นเอง


.


.


3 วันต่อมา พวกเขาทั้งหมดได้นัดพูดคุยกันที่ห้องวีไอพีของเฉวียนจวี้เต๋อ [3]


หากนัดประชุมที่สำนักงานมันก็จะดูเป็นทางการเกินไป ร้านอาหารชื่อดังจึงเป็นตัวเลือกของการประชุมในครั้งนี้ มันเหมือนการนัดเจอกันของเพื่อนฝูง แม้ว่าข้อตกลงในวันนี้จะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ทุกๆคนก็จะไม่รู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจกันตามหลัง


ลิ่วหย่งห่าวตะลึงไปครู่หนึ่งเมื่อพบจางหมิงที่นี่


“นี่ใช่ผู้จัดการจางแห่งไท้หัวการเกษตรหรือเปล่าครับ?”


จางหมิงส่งยิ้มให้และยื่นมือไปจับทักทายกับลิ่วหย่งห่าว


“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งครับคุณลิ่ว..ผมนึกว่าคุณจะลืมผมไปแล้วเสียอีก”


หลิวชุนซีจึงจัดการแนะนำให้พวกเขาได้รู้จักกัน


“ไท้หัวการเกษตรเป็นบริษัทของคุณพ่อผู้จัดการเฝิงครับ..ผู้จัดการเฝิง!นี่คือคุณลิ่วหย่งห่าวครับ”


“ผมเฝิงหยู่..ยินดีที่ได้รู้จักครับ”


เฝิงหยู่ส่งยิ้มให้ก่อนยื่นมือไปจับทักทาย


“ผมลิ่วหย่งห่าว..ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานมากแล้ว ในที่สุดผมก็ได้มาพบคุณในวันนี้..ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าไท้หัวการเกษตรเป็นกิจการของครอบครัวคุณด้วย”


ลิ่วหย่งห่าวไม่ได้ขอตัวกลับทันทีที่เจอหน้าจางหมิงและเฝิงหยู่ทำให้หลิวชุนซีรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก


“เรามาทานอาหารกันก่อนเถอะครับ..ผมสั่งอาหารเอาไว้แล้ว เดี๋ยวเราค่อยคุยรายละเอียดระหว่างที่ทานข้าวด้วยกัน”


ทันทีทีเริ่มทานอาหาร ลิ่วหย่งห่าวก็เอ่ยขึ้นอย่างโอ้อวด


“เป็ดปักกิ่งของเฉวียนจวี้เต๋อ..ถูกเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์จากบริษัทของผมเองครับ..ตอนนี้ฟาร์มใหญ่ๆทั่วประเทศจีนต่างสั่งอาหารสัตว์จากบริษัทของผมกันทั้งนั้น”


ลิ่วหย่งห่าวยิ้มเยาะใส่จางหมิง ไท้หัวการเกษตรมีเพียงอาหารหมูเท่านั้น พวกเขาคิดจะมาแข่งกับนิวโฮปกรุ๊ปได้อย่างไร?


จางหมิงหัวเราะและตอบกลับทันที


“ส่วนเราก็มีเทียนเผิงหมูสด..เราคือผู้จัดจำหน่ายหมูสดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศจีน เรายังมีฟาร์มหมูของเราเองและยังมีแฮมคุณภาพสูงอีกด้วย อ้อ! เรายังขยายตลาดของเราไปยังไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย! มันคือไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเลยนะครับ?!..คุณคงเข้าใจนะครับว่าผมกำลังหมายถึงอะไร?”


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต? ไท้หัวการเกษตร? ทั้งสองบริษัทนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่? หลิวหย่งห่าวเงยหน้ามองเฝิงหยู่ก่อนจะเห็นว่าเฝิงหยู่กำลังแต้มยิ้มมุมปากให้ตนอยู่ ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นกิจการของครอบครัวเขาด้วยงั้นรึ? แต่จากรายงานที่เขาได้รับมาบอกว่าประธานหลี่มหาเศรษฐีชาวฮ่องกงเป็นคนก่อตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ขึ้นมา หรือว่าเฝิงหยู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย?


เฝิงหยู่ส่งสายตาไปหาจางหมิงเพื่อให้เขาหยุดพูด


“จางหมิง..คุณลิ่วเป็นตัวแทนจากนิวโฮปกรุ๊ปนะครับ..บริษัทของพวกเขาย่อมเหนือกว่าเราในเรื่องของอาหารสัตว์อยู่แล้ว ว่าแต่คุณลิ่วครับ? บริษัทของคุณบริหารงานโดยคุณและครอบครัวของคุณใช่หรือเปล่า? แล้วมันเคยมีความขัดแย้งอะไรระหว่างคุณกับพี่น้องของคุณเมื่อถึงเวลาปันผลหรือเปล่าครับ?”


[1] จิ่นซวง/Qianzhuang คือ สำนักแลกเปลี่ยนเงินตราหรือธนาคารขนาดเล็กในอดีตของจีนที่ก่อตั้งขึ้นมาอย่างอิสระโดยไม่ขึ้นตรงกับทางการหรือหน่วยงานในราชสำนัก


[2] บัตรเครดิตยูเนี่ยนเพย์ หรือ Unionpay ถือเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายการรับชำระเงินที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้จ่าย เป็นบัตรเครดิตที่มีต้นเครือข่ายมาจากประเทศจีน โดยปัจจุบันได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่มีสถาบันการเงินหลายแห่งที่ให้บริการบัตรเครดิตยูเนี่ยนเพย์ โดยแต่ละที่ก็มีสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นส่วนลดแตกต่างกันไป


 


[3] เฉวียนจวี้เต๋อ หรือฉวนจู้เต๋อ (จีน: 全聚德; พินอิน: Quánjùdé) เป็นภัตตาคารอาหารจีนเก่าแก่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 150 ปีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง นอกจากตำรับอาหารสูตรวังหลวง ยังขึ้นชื่อลือชาเรื่อง เป็ดปักกิ่ง ที่ใช้กรรมวิธีปรุงแบบ “แขวนย่าง” ด้วยฟืนจากไม้ผลไม้ เช่น พุทรา ท้อ หรือสาลี่ ที่นี่ยังอวดอ้างสรรพคุณว่า เป็ดร้านนี้กินได้ทั้งตัว (all duck banquet)


เฉวียนจวี้เต๋อเป็นหนึ่งในสุดยอดยี่ห้อเก่าแก่ของจีน (老字號)  ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย ทั้งในฐานะอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ยอดขายเป็ดปักกิ่งปีละกว่าสองล้านตัว มีอาหารจานเป็ดให้เลือกกว่า 400 ชนิด ให้บริการลูกค้ากว่าห้าล้านรายต่อปี ปัจจุบัน ยังขยับขยายกิจการและขายแฟรนไชส์ไปสร้างชื่อในต่างแดนด้วย


EG บทที่ 663 โครงการกวงซี


 


ลิ่วหย่งห่าวชักสีหน้าไม่พอใจทันที เฝิงหยู่ต้องการจะสื่อถึงอะไร? มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของฉันแล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย? แต่เฝิงหยู่ก็พูดถูกจุดเพราะมันเป็นปัญหาที่นิวโฮปกรุ๊ปเผชิญอยู่จริงๆ พี่น้องทั้งสี่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาแต่การจัดสรรหุ้นส่วนยังไม่ชัดเจนนักส่งผลให้การบริหารงานและแบ่งเงินปันผลไม่ลงตัวนัก แน่นอนว่ามันเป็นปัญหาที่สำคัญจริงๆ


ในปี ค.ศ.1992 ลิ่วหย่งห่าวได้เล็งเห็นปัญหานี้จึงจ้างบุคคลภายนอกเพื่อเข้ามาจัดการบริหารบริษัทแต่นี้คือธุรกิจของครอบครัวและน้องๆของเขาไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น พวกเขามีมุมมองที่ต่างออกไป นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมดต่างแต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว ซึ่งพวกเขาก็ล้วนมีปัญหาที่ต้องจัดการในครอบครัวและยังต้องเผชิญกับปัญหาว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดบริษัทต่อไปในอนาคต นี้เป็นปัญหาที่พวกเขาต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด


หากมีแค่ 4 พี่น้อง มันจะสามารถแก้ไขได้โดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้มันกลายเป็น 4 ครอบครัว! ลิ่วหย่งห่าวปวดหัวไม่น้อยกับปัญหานี้


“ผมจัดการปัญหานี้ได้แน่! คุณไม่ต้องมาห่วงผมหรอกครับ!”


ลิ่วหย่งห่าวตอบกลับ น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย


“ผมเองก็ไม่เก่งในเรื่องการบริหาร..บริษัทของพ่อผมก็เหมือนกัน นั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกลงหุ้นเป็นจำนวนมากในธุรกิจต่างๆและไม่เคยลงมือบริหารบริษัทด้วยตัวเองเลย! หากผมจะแนะนำคุณก็คงต้องขอให้คุณยุติเรื่องนี้ด้วยไวที่สุด ไม่แน่ว่าในอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอาจเปลี่ยนไป อย่างน้อยที่สุดที่คุณควรจะทำก่อนคือการจัดสรรหุ้นส่วนและแบ่งสรรหน้าที่ต่างๆให้ลงตัว แน่นอนว่าคุณต้องเป็นคนที่ได้หุ้นมากที่สุด หากไม่มีคุณก็คงไม่มีนิวโฮปกรุ๊ปในวันนี้”


ลิ่วหย่งห่าวยอมรับในสิ่งที่เฝิงหยู่พูดเพราะมันคือสิ่งที่เขาคิดจะทำเช่นกัน หากเขาไม่ทำในสิ่งที่ชัดเจนกับน้องๆของเขาแล้วล่ะก็มันก็คงจะจัดการเรื่องต่างๆได้ยากขึ้นเมื่อธุรกิจของพวกเขาโตขึ้นกว่านี้ อย่างน้อยตอนนี้น้องชายของเขาก็ยังฟังเขาอยู่ อีกไม่กี่ปีลูกๆของพวกเขาก็จะโตขึ้นและหลายๆอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน


การที่ผู้จัดการเฝิงบอกว่าตัวเองไม่ได้บริหารด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก มีด้วยหรือคนที่เป็นเจ้าของกิจการจะมอบอำนาจให้คนอื่นบริหารบริษัทของตนเอง แต่หลิวชุนซีบอกกับเขาว่าธุรกิจทั้งหมดของผู้จัดการเฝิงเป็นไปได้ดี ทุกบริษัทต่างทำกำไรได้มหาศาล นี่คงเป็นสูตรลับของเขาใช่มั้ย?


ฉันควรฟังกลุ่มผู้บริหารที่ฉันจ้างมาและเลิกตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองดีหรือไม่?


“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ..ผมจะเก็บไปพิจารณาอีกที”


“ไม่เป็นไรครับ..อ้อ! ผมได้ยินมาว่าคุณจัดทำโครงการกวงซีขึ้นมาหรือครับ? ผมมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมได้หรือเปล่า?”


เฝิงหยู่อมยิ้มและถามออกไป


เฝิงหยู่นับถือลิ่วหย่งห่าวเป็นอย่างมากเพราะเขาเป็นคนใจบุญ เขาเริ่มต้นก่อตั้งโครงการกวงซีกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่อีก 9 ราย โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนจนในประเทศจีน มันสามารถช่วยคนจำนวนมากโดยเฉพาะในหมู่บ้านชนบท


แน่นอนว่าลิ่วหย่งห่าวยังเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาทางการเมืองและสภาประชาชนแห่งชาติ ผู้ประกอบการอีก 9 รายก็เช่นกัน บางทีพวกเขาอาจมีเหตุผลอื่นที่เลือกก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นมาแต่เฝิงหยู่ก็จะเต็มใจเชื่อว่าพวกเขาต้องการช่วยเหลือคนยากจนและตั้งใจทำงานเพื่อการกุศลจริงๆ


โครงการกวงซีถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนแผนระดับชาติฉบับ 7 ปีของรัฐบาลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร 80 ล้านคนให้พ้นจากความยากจน (1994-2000) วัตถุประสงค์ของโครงการกวงซีคือการกำจัดความยากจน พวกเขาจะเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ชนบทและภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในประเทศจีน


โครงการกวงซีจะขอให้นักธุรกิจเข้าไปลงทุนในพื้นที่ชนบทเพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ นี่ไม่ใช่โครงการที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือหรือบริจาคเงินให้แก่คนในพื้นที่นั้นๆ การลงทุนที่เสียไปจะต้องได้ผลตอบแทนกลับคืนมาแต่ผลตอบแทนอาจจะน้อยมากหรืออาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลกำไร


เฝิงหยู่สนใจโครงการนี้เพราะโครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การศึกษาเช่นกัน สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของเฝิงหยู่ เขาจึงอยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ เขาไม่ได้คิดที่จะสร้างโรงงานในพื้นที่ชนบทตราบใดที่เขามีผลกำไรมหาศาลอยู่แล้ว


ในอนาคตหลังจากนี้โครงการกวงซีจะได้รับรางวัลจากองค์การสหประชาชาติ


ลิ่วหย่งห่าวรู้สึกตกใจไม่น้อยที่ได้ยินว่าเฝิงหยู่อยากเข้าร่วมโครงการกวงซีด้วย โดยปกติแล้วนักธุรกิจจะมองผลกำไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแต่ผู้จัดการเฝิงคนนี้กลับต่างออกไป


“ไม่มีปัญหาครับ..ผมจะดึงคุณเข้าไปเป็นสมาชิกในโครงการนี้เอง!แต่คุณรู้หรือเปล่าครับ?ว่าผลตอบแทนจากโครงการนี้ไม่ได้สูงและยังใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้เห็นกำไร นอกจากนี้คุณยังต้องบริจาคเงินหรือสิ่งของต่างๆเป็นประจำทุกๆปี คุณแน่ใจจริงๆหรือครับว่าจะเข้าร่วมโครงการนี้?”


ลิ่วหล่งห่าวอธิบายให้เฝิงหยู่ฟัง


ลิ่วหย่งห่าวไม่ต้องการให้เฝิงหยู่คิดว่าพวกเขากำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อหาเงินจากมณฑลที่เป็นเขตชนบทโดยเฉพาะทางภาคตะวันตกและลืมจุดประสงค์หลักๆของพวกเขาไปเสียก่อน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กำไรแต่มันก็ไม่ใช้จุดประสงค์ของโครงการนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและพัฒนาพื้นที่ให้เจริญ


โครงการนี้อย่างน้อยก็ใช้เวลา 3-5 ปีแต่ถ้าโชคร้ายหน่อยก็ใช้เวลาไปถึง 30-50 ปี! เฝิงหยู่ยังเด็กอยู่เลยหรือว่าเขาป่วยถึงมีความคิดเช่นนี้?


“เท่าที่ผมจำได้คร่าวๆ มันน่าจะมีอาคารเรียนหลายแห่งในมณฑลเสฉวนนะครับ คุณเคยเห็นมันบ้างหรือเปล่า? ครอบครัวของผมและตัวผมเองได้บริจาคเงินเป็นจำนวนมากแทบทุกปีแต่เราให้ความสำคัญไปที่การศึกษาเท่านั้นครับ ซึ่งจะต่างกับพวกคุณ ผมได้ยินมาว่าพวกคุณต่างมุ่งเน้นไปที่การสุขาภิบาลและวัฒนธรรมของภูมิภาคนั้นๆ พวกคุณทุกคนต่างดีกว่าพวกผมมากนัก”


จางหมิงก็เอ่ยสำทับเช่นกัน


“ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา..ผู้จัดการเฝิงของเราบริจาคเงินไปมากกว่า 100 ล้านหยวนแล้วครับ”


จางหมิงรวมจำนวนเงินที่เฝิงหยู่มอบเป็นทุนสำหรับการทำวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วย แน่นอนว่ามันมากกว่า 100 ล้านหยวนอย่างแน่นอน


ลิ่วหย่งห่าวกลืนน้ำลายอึกใหญ่


“เท่าไหร่นะครับ?! มากกว่า 100 ล้านหวยเลยรึ!”


เฝิงหยู่เต็มใจบริจาคเงินจำนวนมากขนาดนี้เลยหรือ? แรงจูงใจที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?


เฝิงหยู่พอใจกับสิ่งที่จางหมิงเอ่ยแต่ก็แกล้งทำเป็นเอ่ยปรามเขาออกไป


“จางหมิง…พูดอะไรเช่นนั้น? สิ่งที่คุณลิ่วและเพื่อนๆของเขาทำต่างหากที่เรียกว่าการกุศลอย่างแท้จริง”


“ผู้จัดการเฝิง..ทำไมคุณถึงบริจาคเงินมากขนาดนั้น?”


ลิ่วหย่งห่าวเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาไม่เชื่อว่าเฝิงหยู่จะบริจาคเงินโดยไม่คิดหวังสิ่งใด เฝิงหยู่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและนักธุรกิจมักจะไม่ทำอะไรที่ไม่ได้ผลกำไรตอบแทน


“ผมต้องการมีภาพลักษณ์ที่ดีและทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมต้องการให้เด็กๆในพื้นที่ชนบทได้รับโอกาสที่ดีในการศึกษา ผมอยากให้พวกเขามีความปลอดภัยในการเรียนโดยการมอบอาคารที่แข็งแรงและมีมาตรฐานให้กับพวกเขา อาคารเรียนของไท้หัวจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนอนาคตของชาติเช่นเด็กๆเหล่านี้”


เฝิงหยู่ตอบอย่างจริงจัง


“ผู้จัดการเฝิง..คุณเป็นคนดีจริงๆ..ผมชื่นชมคุณมาก!”


ลิ่วหย่งห่าวกล่าว


“นั่นแสดงว่าคุณลิ่วไม่ได้ต่อต้านที่จะให้ผมเข้าร่วมโครงการนี้ใช่มั้ยครับ?”


“แน่นอนครับ! ผมจะไปต่อต้านได้อย่างไร? หากใครคิดต่อต้านผมจะจัดการพวกเขาเอง! เอาไว้เราค่อยคุยรายละเอียดเรื่องนี้กันภายหลังนะครับ เราควรหาโอกาสพูดคุยกันอีกครั้ง ผมดีใจจริงๆที่ได้มาพบคุณในวันนี้”


ลิ่วหย่งห่าวรับปากและเอ่ยเชิญชวนอย่างรวดเร็ว


หลิวชุนซีรู้สึกงงเมื่อเห็นพวกเขาทั้งคู่พูดคุยกันอย่างถูกคอ แต่นี่พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่? พวกเขาควรพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการร่วมทุนก่อตั้งธนาคารมินเช็งไม่ใช่หรือ? นี่ฉันรออยู่นะ! หากธนาคารมินเช็งก่อตั้งขึ้นลีโนโวอาจได้รับสัมปทานให้เข้าติดตั้งคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานในธนาคารได้ พวกคุณค่อยไปพูดเรื่องโครงการกวงซีทีหลังก็ได้นี่นา?


“เฮียลิ่ว!..ผู้จัดการเฝิง! เป็ดปักกิ่งกำลังร้อนๆเลย รีบทานมันตอนนี้ดีกว่าหากมันเย็นเดี๋ยวรสชาติจะเปลี่ยนได้”


หลิวชวนซีตัดสินใจขัดจังหวะพวกเขา


“พอพูดถึงเฉวียนจวี้เต๋อขึ้นมา..ผมก็นึกขึ้นมาได้! เห็นว่าพอมีหุ้นส่วนใหม่เพิ่มเข้ามา ที่นี่ก็มีการเปลี่ยนแปลงและขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดด ดูเหมือนมันจะไปได้ดีทีเดียว”


ลิ่วหย่งห่าวเอ่ยขึ้นลอยๆ


“ขอบคุณสำหรับคำชม”


ลิ่วหย่งห่าวชะงักเล็กน้อย ฉันชื่นชมเฉวียนจวี้เต๋อ! แล้วมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ?


หลิวชุนซีเป็นคนแก้ความกระจ่างให้กับลิ่วหย่งห่าว


“ผู้จัดการเฝิงเป็นหุ้นส่วนของเฉวียนจวี้เต๋อครับ”


ห๊ะ?! ทำไมผู้จัดการเฝิงคนนี้ถึงมีหุ้นส่วนในธุรกิจประเภทนี้ด้วย? คุณเป็นคนบอกฉันไม่ใช่หรือ?ว่าเขาทำธุรกิจประเภทเครื่องยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วเป็ดปักกิ่งพวกนี้มันใช่เครื่องยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไหนกัน?


EG บทที่ 664 บริษัทเหล่านี้มีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่?


 


การขัดจังหวะขึ้นกลางครันของหลิวชุนซีเตือนให้ลิ่วหย่งห่าวนึกจุดประสงค์ของการประชุมครั้งนี้ขึ้นมาได้ การนัดพบกันในครั้งนี้ก็เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารมินเช็ง เขาลืมไปเสียสนิทเมื่อยกเรื่องโครงการกวงซีขึ้นมาพูดคุยกัน


“ผู้จัดการเฝิง..ผมไม่คิดมาก่อนว่าธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จขนาดนี้”


“มันไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายขนาดนั้นหรอกครับ เมื่อเทียบกับบริษัทข้ามชาติหลายๆแห่ง ธุรกิจของผมแทบจะไม่มีอะไรเลย ผมเพียงแค่ทำธุรกิจหลายหลายรูปแบบก็เท่านั้นเอง”


“ถ้าบริษัทของผู้จัดการเฝิงไม่ประสบความสำเร็จ? แล้วบริษัทของผมล่ะครับ?คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว! ชุนซีคงคุยเรื่องธนาคารมินเช็งกับคุณมาบ้างแล้ว คุณมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ?”


“ผมยินดีร่วมลงทุนในธุรกิจนี้ครับแต่ผมมีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง บรรดาหุ้นส่วนทั้งหมดมีใครรู้วิธีบริหารธนาคารบ้างครับ?”


คนที่เฝิงหยู่รู้จักและพอจะมีความคุ้นเคยกับธุรกิจธนาคารก็คงจะเป็นหลี่เซ่อเค่ยเพราะเขาเคยทำงานในธนาคารที่ประเทศแคนาดา


“เราไม่ต้องกังวลเรื่องการบริหารไปหรอกครับเพราะถึงอย่างไรผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็ต้องเป็นบริษัท ไชน่าประกันชีวิตอยู่แล้ว พวกเขาย่อมมีประสบการณ์มากกว่าเราและเราก็แค่ร่วมลงทุนกับพวกเขาเท่านั้น”


มันเหมือนกับชีวิตครั้งก่อนของเฝิงหยู่ แม้จะเป็นธนาคารเอกชนแต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดก็ยังคงเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ธนาคารนี้เพียงแค่จัดแจงเรื่องการถือหุ้นให้โปร่งใสขึ้นเท่านั้น


เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีเนื่องจากธนาคารมินเช็งค่อนข้างประสบความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมาของเฝิงหยู่หลังจากปี 1998 ธนาคารนี้จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามันคือช่วงเวลาที่ธนาคารเกือบทั้งหมดของจีนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว


แต่ยังมีปัญหาที่คอยขัดขวางการเติบโตของธนาคารมินเช็งอยู่เช่นกัน ในยุคนี้มีกฎระเบียบและนโยบายของธนาคารจำนวนมากที่จำกัดการเติบโตของธนาคาร รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในช่วงเริ่มต้นธนาคารมินเช็งไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองทุนเหล่านี้และมันเป็นสิ่งที่จำกัดการเติบโตของธนาคารได้มากทีเดียว


หากธนาคารมินเช็งมีแผนการดำเนินงานเหมือนธนาคารอื่นๆของรัฐบาล การพัฒนาก็จะดีขึ้นมากทีเดียว


ในอนาคตข้างหน้าบริษัทไชน่าประกันชีวิตจะกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดสุดของประเทศจีน มันจะเป็นบริษัทประกันที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก บริษัทแห่งนี้จะมีเงินสำรองเป็นจำนวนมากเพราะเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของธนาคารมินเช็งซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างไม่อั้นจากธนาคาร ในปีหน้า<กฎหมายบังคับใช้>จะถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการและจะเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยของจีน กำไรของบริษัทไชน่าประกันชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


การผสมผสานในด้านการประกันภัยและการธนาคารเป็นรูปแบบที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในต่างประเทศ ธนาคารจะใช้เบี้ยประกันภัยของลูกค้าในการให้สินเชื่อและการลงทุน ผลกำไรจะถูกนำมาใช้เพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทน หากไม่มีธนาคารบริษัทจะสามารถหาเงินมาจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยได้จากไหน? ฝากเงินในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยแล้วเอามาจ่ายเบี้ยประกันงั้นรึ??


รัฐบาลจีนต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยและเป็นการอนุญาตให้ธนาคารมินเช็งสามารถจัดการในเรื่องนี้ได้ทางอ้อม รัฐบาลไม่ได้เอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการซึ่งร่วมทุนก่อตั้งธนาคารแห่งนี้ขึ้นมาแต่อย่างใด


“ทุนจดทะเบียนเริ่มต้นของธนาคารแห่งนี้เป็นจำนวนเท่าไหร่และต้องมีบริษัทร่วมลงทุนกี่บริษัท?แล้วจำนวนหุ้นสูงสุดที่เราจะเป็นเจ้าของได้คือเท่าไหร่ครับ?”


เฝิงหยู่เอ่ยถามรายละเอียดยาวเหยียด


เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือมีอำนาจสูงสุดในการบริหาร แต่เฝิงหยู่สามารถใช้เงินจากบริษัทในเครือของเขาทั้งหมดเพื่อร่วมลงทุนในธนาคารแห่งนี้ มันจะทำให้เขาได้ที่นั่งสูงสุดของฝ่ายกรรมการบริหารและเขาจะยังคงมีอิทธิพลเหนือผู้บริหารเหล่านี้


เฝิงหยู่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการบริหารธนาคารและรัฐบาลจะไม่มีทางให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมีอภิสิทธิ์ในการตัดสินใจโดยไม่ฟังความคิดเห็นของเขาเช่นกัน


“ทุนจดทะเบียนเริ่มต้นมีมูลค่า 10,000 ล้านหยวนและหุ้นที่เราสามารถมีได้มากที่สุดคือ49%ซึ่งยังไม่มีกฎข้อบังคับในการซื้อขายหุ้นในอนาคตออกมา ส่วนบริษัทที่จะร่วมลงทุนก็ไม่ได้ถูกกำหนดไว้แต่เราต้องการอย่างน้อย 10-20 บริษัทเพราะวิธีนี้เราจะสามารถกระจายความเสี่ยงได้ ”


ลิ่วหย่งห่าวอธิบายให้เฝิงหยู่ฟัง


10,000 ล้านหยวนไม่ได้เป็นจำนวนเงินที่มากเกินกว่าเฝิงหยู่จะหาไม่ได้แต่มันก็ไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนมากนักในตอนนี้


เฝิงหยู่สามารถดึงเงินก้อนนี้จากกองทุนรัสเซียกองทุนสหรัฐและกระเป๋าของตัวเองได้ แต่สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันของจีนและจำนวนคู่แข่งของธนาคารมินเช็งจะทำให้กำไรที่ได้รับลดน้อยลง อย่างไรก็ตามหากธนาคารดำเนินการตามปกติ ความเสี่ยงในการขาดทุนก็จะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ


การลงทุนในธุรกิจธนาคารก็เพื่อความสำเร็จในอนาคต ถ้าเฝิงหยู่สามารถเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของธนาคารมินเช็งได้ มันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาในการจัดการด้านการเงินและหาเงินทุนเพิ่มสำหรับธุรกิจต่างๆของเขา นอกจากนี้ธุรกิจธนาคารยังมีการดำเนินงานที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล เฝิงหยู่จะสามารถรับข่าวสารและนโยบายต่างๆของรัฐบาลได้โดยตรง ซึ่งนโยบายต่างๆของรัฐบาลจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจทั่วประเทศ


เฝิงหยู่นึกสงสัยว่าการที่นักธุรกิจเหล่านี้ต้องการเข้าร่วมในธุรกิจธนาคารก็เพื่อต้องการรู้แผนการและทิศทางในอนาคตของรัฐบาลล่วงหน้า เนื่องจากธุรกิจธนาคารไม่ได้เป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรมากนักแต่ในอนาคตหากธนาคารได้รับการจดทะเบียนมันจะกลายเป็นธุรกิจที่มั่นคงและสร้างผลกำไรได้อย่างมหาศาล


“คุณลิ่วครับ ผมสามารถแนะนำบริษัทอื่นๆให้เข้าร่วมได้หรือไม่?หากเป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกงสามารถเข้าร่วมได้หรือเปล่า?”


เฝิงหยู่เอ่ยถามอีกครั้ง


“หากเป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกงผมเกรงว่าจะไม่ได้หรอกครับ! แม้ว่าฮ่องกงจะเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่นโยบายต่างๆในปัจจุบันยังคงแตกต่างกันเล็กน้อย อีกอย่างฮ่องกงเองก็ยังไม่ได้กลับคืนสู่ประเทศจีน มันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ?ถ้าจู่ๆนักธุรกิจเหล่านั้นคิดที่จะเปลี่ยนสัญชาติขึ้นมา?”


“แต่ประเทศจีนของเราก็มีธนาคารต่างชาติไม่ใช่หรือครับ?”


“บริษัทไชน่าประกันชีวิตมีส่วนเกี่ยวข้องกับธนาคารมินเช็งด้วยทำให้ธนาคารนี้ต่างออกไปจากธนาคารอื่นๆ มันไม่สามารถร่วมทุนกับกองทุนหรือองค์กรจากต่างประเทศได้ แต่ก็ไม่เป็นไรเช่นกันหากคุณจะแนะนำนักธุรกิจหรือองค์กรขนาดใหญ่ให้กับธนาคารมินเช็ง ขอแค่ให้บริษัทเหล่านั้นมือสะอาดและมีเงินสนับสนุนมากพอ! ที่สำคัญที่สุดบริษัทเหล่านั้นต้องเป็นของคนจีน”


“แล้วถ้าบริษัทนั้นมีหุ้นส่วนเป็นคนฮ่องกงล่ะครับ? แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนจีนจะสามารถร่วมลงทุนได้หรือเปล่า?”


เฝิงหยู่ถามอีกครั้ง


“มันไม่ได้ถูกระบุเอาไว้ครับ เอาไว้ผมจะไปหาคำตอบนี้ให้กับคุณทีหลังเอง ว่าแต่? มันเป็นบริษัทอะไรหรือครับ?”


หลิวหย่งห่าวถามกลับเพราะสงสัยว่าบริษัทเหล่านี้คือบริษัทอะไร ทำไมเฝิงหยู่จึงพยายามที่จะให้ร่วมลงทุนในธนาคารแห่งนี้ด้วย


“บริษัทเครื่องจักรเมืองปิง,วินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิกส์,ไอว่าอิเล็กทรอนิกส์,ร้านจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าวินด์แอนด์เรน อ้อ! มีลีฮาฮากรุ๊ป,เครือไอว่า,ลิตเติ้ลไทร์อั้น,ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต,ไท้หัวการเกษตร,ไท้หัวเทรดดิ้ง,ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตกรุ๊ป,องค์กรยาเมืองปิง,วินด์แอนด์เรนโลจิสติกส์และเฉวียนจวี้เต๋อกรุ๊ป”


ลิ่วหย่งห่าวได้ยินชื่อเพียง 2-3 บริษัทก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นบริษัทที่เฝิงหยู่ร่วมลงทุนด้วย ไม่แน่ว่าเฝิงหยู่อาจเป็นหัวเรือใหญ่เพราะจากชื่อบริษัททั้งหมดต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาไม่ว่าจะเป็นวินด์แอนด์เรน ไอว่า ไทหัว ฯลฯ บริษัทเหล่านี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฝิงหยู่อย่างแน่นอน!แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฝิงหยู่จะมีบริษัทมากมายขนาดนี้


ลิ่วหย่งห่าวพอรู้มาบ้างว่าเฝิงหยู่ร่วมลงทุนกับเครื่องจักรเมืองปิง แต่ลีฮาฮากรุ๊ปและองค์กรยาเมืองปิงก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฝิงหยู่ด้วยเช่นกัน


ลิ่วหย่งห่าวชื่นชมในตัวซ่งจิงเซียนของลีฮาฮากรุ๊ปในการพัฒนาบริษัทของเขาให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีน เฝิงหยู่เป็นหุ้นส่วนในลีฮาฮากรุ๊ปด้วยหรือเพียงแค่รู้จักกับซ่งจิงเซียนเท่านั้น?


องค์กรยาเมืองปิงเพิ่งตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาต่างเป็นที่ที่นิยมและน่าจะสร้างกำไรได้จำนวนมาก บริษัทนี้ก็เกี่ยวข้องกับเฝิงหยู่ด้วยหรือ?


เดี๋ยวก่อนนะ! ทำไมเฝิงหยู่ถึงอยากแนะนำบริษัทมากมายขนาดนี้? เขาต้องการให้บริษัทเหล่านี้ร่วมลงทุนในกิจการธนาคารมินเช็งและให้ได้ที่นั่งในตำแหน่งคณะกรรมการบริหารมากกว่าใครงั้นรึ?!


EG บทที่ 665 คู่แข่งซุปเปอร์มาร์เก็ต!


 


การพบกันครั้งแรกระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น ลิ่วหย่งห่าวคิดว่าถึงแม้เฝิงหยู่จะไม่ร่วมลงทุนกับทางธนาคารมินเช็งก็ไม่เป็นไรเพราะเฝิงหยู่แสดงเจตนาที่จะเข้าร่วมกับโครงการกวงซี


ลิ่วหย่งห่าวไม่ใช่คนตัดสินใจสูงสุด แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งธนาคารแต่ก็ยังเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจในการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายอยู่ดี


เฝิงหยู่เองก็ไม่ได้รีบร้อนถ้าหากเขาจะลงทุนกับธนาคารจริงๆปีค.ศ. 1998 น่าจะเป็นปีที่เหมาะสมที่สุด หากลงทุนในตอนนี้มันจะไม่คุ้มค่านักแต่พอถึงปีค.ศ. 1998 เฝิงหยู่จะเป็นคนสยบสถาบันการเงินทุกแห่งของเอเชียและเขาจะมีเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เฝิงหยู่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีทางที่ธนาคารมินเช็งจะก่อตั้งแล้วเสร็จภายในปีหน้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็คือปีค.ศ. 1996 เขาอาจปล่อยให้คนอื่นๆลงทุนในธนาคารก่อนแล้วเขาค่อยลงทุนกับธนาคารหลังปีค.ศ. 1998 เป็นต้นไป ถึงแม้เขาอยากจะกู้เงินจากธนาคารมินเช็งมากเพียงใดแต่ในเวลานี้ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้


การขยายตัวของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังต้องได้รับสินเชื่อจากธนาคารอื่น เฝิงหยู่รับผิดชอบติดต่อธนาคารในจีน ส่วนฟู่เกิงเฉิงและคนอื่นๆรับผิดชอบติดต่อธนาคารในฮ่องกง พวกเขาจะเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขต่างๆก่อนจะตัดสินใจเลือกกู้เงินจากธนาคารใดธนาคารหนึ่ง


เฝิงหยู่ยังจำได้ว่าเมื่อชีวิตก่อนของเขา หลี่เซ่อเค่ยได้รับเงินกู้เป็นจำนวนมากจากการทำธุรกิจเพียงแค่ธุรกิจเดียว ฝั่งฮ่องกงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะประธานหลี่เป็นหุ้นส่วนของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย


เฝิงหยู่คิดว่าเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ การเลือกทำเลที่เหมาะสมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเขาต้องได้มันมาก่อนที่คู่แข่งจะปรากฏตัวขึ้น


ปัจจุบันมีธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กอยู่ในประเทศจีนอยู่บ้างเช่นBHGซุปเปอร์มาร์เก็ด พวกเขาจดทะเบียนบริษัทเร็วกว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่ขนาดของพวกเขาไม่ใหญ่มากนัก ทั้งความหลากหลายของสินค้า การให้บริการ โปรโมรชั่นการขาย กลยุทธ์ต่างๆของพวกเขาก็เทียบไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ติด แม้ว่าBHGต้องการก่อตั้งไฮเปอร์มาร์เก็ตขึ้นแต่ไฮเปอร์มาร์เก็ตของพวกเขาก็เป็นได้แค่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น


การมีทำเลที่ตั้งที่ดีหมายถึงการหลั่งไหลเข้ามาของลูกค้าอย่างไม่ขาดสาย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก


ในเซี่ยงไฮ้ BHGซุปเปอร์มาร์เก็ตส่งผลกระทบต่อการเติบโตของหัวซุปเปอร์มาร์เก็ตพอสมควร แม้ว่าBHGซุปเปอร์มาร์เก็ตจะมีเพียงแค่ 2 สาขาแต่กำไรของพวกเขาก็ถือว่าสูงมาก


แต่หลังจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดสาขาที่ 2 ในเซี่ยงไฮ้ผลกำไรของBHGซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เริ่มลดลง


กลยุทธ์ของเฝิงหยู่คือการแย่งส่วนแบ่งตลาดของBHGซุปเปอร์มาร์เก็ตมาให้ได้


ซึ่งสุดท้ายแล้วรูปแบบการบริหาร การจัดวางสินค้า การขยายแฟรนไชส์ การเข้าถึงผู้บริโภค รวมไปถึงรูปแบบการดำเนินงานต่างๆของBHGซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ไม่สามารถเทียบกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ แม้แต่อาคารของพวกเขาก็ดูเก่าและมองเห็นสายไฟได้ทุกพื้นที่ BHGซุปเปอร์มาร์เก็ตยังไม่ได้มาตรฐานพอที่จะสู้กับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้อย่างสูสี


ผู้จัดการไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตในสาขาเซี่ยงไฮ้สามารถดึงตัวพนักงานของBHGซุปเปอร์มาร์เก็ตมาทำงานกับพวกเขาได้เป็นจำนวนมาก เพราะพวกเขาจ่ายเงินเดือนสูงกว่า ทั้งยังมีสวัสดิการและโอกาสก้าวหน้าสูงกว่าอีกด้วย


พนักงานที่ตัดสินใจมาทำงานที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้รับแจ้งว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะยังขยายสาขาเดิมให้ใหญ่ขึ้นและยังมีการจัดตั้งสาขาใหม่อีกหลายสาขา หากพนักงานเหล่านี้ถูกเลือกให้ไปสาขาใหม่สวัสดิการต่างๆที่พวกเขาได้รับก็จะเพิ่มขึ้นและอาจได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในอนาคต


สาขาใหม่อาจไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้ อาจจะเป็นในซูโจวหรือไม่ก็ตั้งที่เซี่ยงไฮ้นี่ล่ะ พนักงานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องไปทำงานไกลบ้าน


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมีเครือข่ายธุรกิจที่มั่นคงและราคาสินค้าที่วางจำหน่ายก็มีราคาที่ถูกมาก พนักงานจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ไปสำรวจราคาสินค้าของBHGซุปเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็ตั้งราคาสินค้าชนิดเดียวกันให้ถูกกว่า


ในตอนแรกเฝิงหยู่คิดว่ากำไรจากธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตจะไม่สูงมากนักอย่างมากสุดก็ประมาณ 20% แต่หลังจากเปิดตัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ไม่นานผลกำไรกลับสูงเกินคาด


ถุงน่องที่วางขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปมีราคาที่ 10 หยวน โดยมีต้นทุนเพียง 3 หยวนซึ่งไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตวางขายในราคา 8 หยวน แน่นอนว่าผลกำไรเกือบ 2 เท่าของราคาทุน


ไวน์แดงยี่ห้อGreat Wall ที่วางจำหน่ายในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าทั่วไปมีราคาสูงกว่า 20 หยวนแต่ราคาทุนที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อได้มีราคาน้อยกว่า 10 หยวนและพวกเขาก็จำหน่ายในราคา 18 หยวน แค่ไวน์ยี่ห้อนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถดึงดูดลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก


กำไรจากผลิตภัณฑ์นำเข้ามีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะถูกนำเข้าจากบริษัทไม่กี่แห่งและพวกเขาก็ตั้งราคาขายที่สูงลิ่ว แต่ผลิตภัณฑ์นำเข้าชนิดเดียวกันที่วางจำหน่ายในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับมีราคาที่ถูกกว่าและกำไรก็ยังมากกว่าต้นทุนถึง 2 เท่าอยู่ดี


สินค้าทั้งหมดที่วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตมีราคาถูกกว่าที่อื่น แม้แต่ไข่พวกเขาก็ยังขายในราคาที่ถูกกว่าตลาดสด


ควบคู่ไปกับการตลาดที่ดีจึงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ทุกวันและต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นทั้ง 2 สาขาในเซี่ยงไฮ้สามารถดึงดูดนักช้อปที่บ้านไกลมาใช้บริการได้ก็เพราะผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมีราคาถูกกว่าที่อื่น10% และบางรายการมีราคาถูกกว่าที่อื่นถึง 20%


กำไรได้ค่อนข้างสูงและยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีโปรโมรชั่นรายวันเพื่อเอาใจลูกค้าและยอดขายโดยรวมของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เพิ่มขึ้นในทุกๆสัปดาห์


ความสำเร็จของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตส่งผลกระทบต่อ BHGซุปเปอร์มาร์เก็ตและมันคือสิ่งที่ฟู่เกิงเฉิงต้องการ ฟู่เกิงเฉิงได้กำหนดทำเลใหม่ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นจุดที่BHGซุปเปอร์มาร์เก็ตตั้งอยู่แล้ว หากเขาสามารถซื้อกิจการของBHGซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 สาขาได้ เขาจะสามารถสร้างไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งใหม่เพิ่มขึ้นได้และธุรกิจจะเป็นไปด้วยดีอย่างแน่นอน แม้ว่าจะใช้เวลาในปรับปรุงและตกแต่งซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งใหม่อีกหลายเดือนแต่เมื่อนึกถึงผลกำไรที่จะเกิดขึ้นก็นับเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและยังสามารถกำจัดคู่แข่งไปได้อีกหนึ่งราย


ไม่เพียงแต่ในเซี่ยงไฮ้เท่านั้น ยังมีห้างสรรพสินค้าอีกหลายแห่งทั้งปักกิ่ง,เมืองปิง,เทียนจิน,เซินเจิ้น,จินลินและอีกๆหลายมณฑล พวกเขาต่างพยายามที่จะปรับปรุงห้างของตนเองให้เหมือนกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต


ตัวอย่างเช่นห้างสรรพสินค้าสองชั้นในเมืองปิงถูกปรับปรุงให้เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต แม้แต่การจัดวางชั้นวางและการเรียงสินค้าก็เหมือนกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่มีผิด


เฝิงหยู่เรียกจางหลิงเซียงมาสอบถามในประเด็นนี้เช่นกัน เขาเคยติดต่อซื้อห้างแห่งนี้ไปก่อนหน้านี้แล้วแต่ฝ่ายรัฐบาลของเมืองปิงปฏิเสธที่จะขายให้กับเขา เพราะต้องการจะเปลี่ยนให้มันเป็นย่านการค้าแห่งใหม่ของเมืองปิง แล้วจู่ๆซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีการจัดการเหมือนกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็โผล่ขึ้นมาแทน?


จางหลิงเซียงตอบอย่างอายๆ คนของเขาเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้และเขาก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน พอรู้เรื่องนี้เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตก็พร้อมจะเปิดให้บริการแล้ว ชั้นวางสินค้าถูกจัดวางทั่วทั้งพื้นที่แล้วและพวกเขาไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่เป็นเพียงซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้เลย


เฝิงหยู่เองก็ไม่ได้กังวลอะไร ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะสามารถไล่ตามพวกเขาทันแม้ว่าทำเลดีๆจะถูกแย่งไปก่อนก็ตาม เช่นเดียวกับเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้นและกวางโจว  ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลกับซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆพวกนี้


ฟู่เกิงเฉิงค่อนข้างสนใจทำเลของซุปเปอร์มาร์เก็ตเมืองปิง เขาต้องการซื้อมันมากกว่าห้างสรรพสินค้าหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งอื่น


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมีการตลาดที่แข็งแกร่งและหลายๆคนก็เคยเห็นไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตผ่านช่องข่าวต่างๆมาบ้างแล้ว พวกเขาจะรู้สึกอยากมาเยี่ยมชมซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ด้วยตัวเองและเมื่อมาถึงที่แล้วพวกเขาก็จะรู้ว่าสินค้าต่างๆมีราคาถูกเพียงใด


หลังจากเปิดตัวบัตรสมาชิกและบัตรช้อปปิ้งไปแล้วไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ฐานลูกค้าที่แน่นขึ้น แน่นอนว่าการเปิดตัวของไท้หัวซุปปอร์มาร์เก็ตทำให้ร้านขายของชำ ตลาด ร้านขายส่งและร้านอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบจนหมด ธุรกิจของพวกเขาไม่ดีเหมือนแต่ก่อน!


ทำเลที่ฟู่เกิงเฉิงและคนอื่นเล็งไว้ ส่วนใหญ่ถูกยึดครองจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งอื่นแล้ว ซึ่งทางออกที่พวกเขามีคือการควบกิจการของพวกเขามา!


EG บทที่ 666 ความผิดหวังของอดอล์ฟ


 


‘อดอล์ฟ’ ประธานกรรมการบริหารของบริษัทคาร์ฟูร์ประจำทวีปเอเชียอ่านรายงานบนโต๊ะด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก


เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจึงมีบริษัทเช่นนี้ในประเทศจีนได้? บริษัทแห่งนี้สามารถก่อตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ตั้งหลายสาขา!


อดอล์ฟไม่เข้าใจว่าทำไมบริษัทนี้ถึงไม่ยอมเช่าพื้นที่ในห้างแต่เลือกที่จะซื้อทั้งห้าง พวกเขาใช้โครงสร้างของซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลักและตั้งไฮเปอร์มาร์เก็ตขึ้น นี่ไม่ใช่วิธีปฏิบัติตามปกติของคาร์ฟูร์ใช่มั้ย?


อดอล์ฟส่งคนไปสืบข้อมูลของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจึงรู้ว่ามันคล้ายคลึงกับคาร์ฟูร์ ทั้งรูปแบบการดำเนินงาน แหล่งที่มาของรายได้ รูปแบบการบริหาร ฯลฯ เกือบจะเหมือนกันทั้งหมด


การอ้างว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตกำลังเลียนแบบคาร์ฟูร์ดูเหมือนจะไม่ใช่ความจริง เพราะสุดท้ายไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง ซุปเปอร์มาร์เก็ตเกือบทุกแห่งทั่วโลกต่างมีกลยุทธ์ทางการตลาดและการส่งเสริมการขายที่เหมือนๆกันแต่แผนการดำเนินงานของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับเหนือไปกว่าคนอื่นหนึ่งขั้น


คาร์ฟูร์ในยุคนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนกับอนาคตข้างหน้า ถึงแม้คาร์ฟูร์จะจัดโปรโมรชั่นแทบทุกวันแต่ก็ไม่มีอะไรที่เทียบกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้เลย


ผลิตภัณฑ์ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีความหลายหลายมากกว่าคาร์ฟูร์ ทั้งผักและผลไม้ของพวกเขาก็สดใหม่มากกว่าคาร์ฟูร์


คาร์ฟูร์มุ่งเน้นที่จะตีตลาดจีนเท่านั้น รัฐบาลของฝรั่งเศสและจีนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันและยังไม่มีการร่วมมือของสองรัฐบาลเป็นจำนวนมากนัก อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของจีนและเยอรมนี ทั่วทั้งโลกต่างรู้ว่าฝรั่งเศสและเยอรมนีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมาตั้งแต่อดีต


แต่ก็ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและจีนได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นทำให้คาร์ฟูร์ตัดสินใจที่จะบุกเข้าตลาดจีนในอีก 2 ปีข้างหน้าแต่พวกเขาก็รู้ตัวว่ามันคงสายไป เมื่อพวกเขากำลังเสาะหาทำเลดีๆแต่ทันใดนั้นไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ปรากฏตัวขึ้น


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตบ้าระห่ำเกินไป! ใครจะมาลงทุนตั้งสาขามากมายขนาดนี้ภายในครั้งเดียว พวกเขาไม่กลัวที่จะขาดทุนเลยหรือ?


คาร์ฟูร์สืบข้อมูลทั้งหมดของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจึงรู้ว่าประธานหลี่มหาเศรษฐีชาวฮ่องกงมีส่วนร่วมกับพวกเขาด้วย ประธานหลี่เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขามีอิทธิพลและรวยติดอันดับต้นๆในเอเชีย


ประธานหลี่ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นเพียงรายเดียวในธุรกิจนี้ เขายังมีหุ้นส่วนอีกมากมายและหนึ่งในนั้นคือนักธุรกิจชาวจีน การสนับสนุนทางการเงินของบริษัทนี้ค่อนข้างมั่นคงและไม่จำเป็นต้องกังวลกับเงินทุนที่จะต้องใช้ ทั้งราคาที่ดินในจีนก็ค่อนข้างถูก พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากในการก่อตั้งซุปเปอร์ขนาดใหญ่ขึ้นมา


คาร์ฟูร์ทราบดีว่าขนาดและสินค้าของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่ละสาขาอย่างน้อยก็ต้องใช้ทุนประมาณ 200 ล้านหยวนในการก่อตั้ง นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คาร์ฟูร์ไม่ได้บุกเข้าสู่ตลาดจีนในทันที


มันเป็นการลงทุนที่สำคัญและคาร์ฟูร์ไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนที่จะได้รับ ความเสี่ยงมีสูงเกินไป ทุนเริ่มต้นของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่สูงนักและแม้ว่าเงินลงทุนจะอัดเข้าธุรกิจนี้เพียงอย่างเดียวก็ควรไม่สูงเกินไป หากทุกสาขารวมกันมีมูลค่า 200 ล้านหยวน ทั้ง 20 สาขานี้ก็จะเป็นมูลค่าถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ! มันขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน หากเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยนของปีที่แล้วอาจมีมูลค่าสูงกว่านี้!


นี่คือการลงทุนครั้งสำคัญ


แต่อดอล์ฟไม่ทราบว่าสินค้าที่วางจำหน่ายในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขเครดิตทั้งหมด สิ่งที่พวกเขาทำคือการวางเงินมัดจำไว้และจะจ่ายเงินคืนทั้งหมดเมื่อถึงสิ้นเดือน หนึ่งสาขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนถึง 20 ล้านหยวนในการก่อตั้ง หากไม่ทำเช่นนี้คงยากที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะก่อตั้งขึ้นมาได้! เงินทุนที่ระดมมาได้ก็คงไม่เพียงพอที่จะรองรับไฮเปอร์มาร์เก็ตได้ทั้ง 20 สาขาภายในครั้งเดียว


การลงทุนในครั้งแรกอาจไม่เพียงพอที่จะตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ได้ถึง 20แห่งหรือไม่ก็ไม่มีทุนเพียงพอที่จะซื้อสินค้ามาวางจำหน่ายได้!


อดอล์ฟสงสัยว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตอาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ไม่เช่นนั้นพิธีเปิดไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็คงไม่ได้ออกข่าวตามสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นช่องหลักแห่งชาติ?


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่รัฐบาลจีนทำการประชาสัมพันธ์ให้กับนักธุรกิจเหล่านี้ฟรีๆ?


หลังจากที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดตัวอย่างเป็นทางการก็ได้รับความนิยมอย่างล้มหลาม อดอล์ฟไม่ได้คาดหวังที่จะได้เห็นสิ่งนี้และเขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าอะไรคือเบื้องหลังของความนิยมเหล่านี้ ประเทศที่ล้าหลังและผ่านการปฏิรูปมาหลายต่อหลายครั้ง ทำไมถึงมีกำลังซื้อสูงขนาดนี้ได้?


อดอล์ฟไม่รู้ว่าชาวจีนส่วนใหญ่มีรายได้น้อยแต่ประชากรจีนก็มีจำนวนมากและมักจะเข้าร่วมในกิจกรรมที่ฝูงชนไปรวมตัวกันเยอะๆ


ซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นเหมือนแลนมาร์กสำหรับฝูงชน ผู้ซื้อมีอิสระพอที่จะเดินไปเลือกข้าวของต่างๆตามที่ต้องการโดยที่พนักงานไม่ไล่ตะเพิดออกไป พวกเขายังสามารถได้สินค้าราคาย่อมเยาอีกด้วย เหตุผลเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่สามารถดึงดูดใจลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก


ทุกครั้งที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตประกาศโปรโมชั่นใหม่ๆออกมาก็จะมีฝูงชนขนาดใหญ่เข้ามาจับจ่ายใช้สอย สโลแกนที่พวกเขาตั้งไว้ในทุกๆครั้งที่จัดโปรโมรชั่นก็เพียงพอที่จะดึงดูดใจลูกค้าให้มาที่นี่ได้


‘ซื้อของที่ไท้หัว..คุณมีเงินเหลือไว้ช้อปเพิ่ม!’


ราคาสินค้าในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตถูกกว่าที่อื่น หากทุกคนในครอบครัวเลือกซื้อสินค้าจากไท้หัวซุปเปอร์มารเก็ตก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าและสามารถนำเงินที่เหลือไปซื้อของอื่นๆเพิ่มเติมได้


สโลแกนนี้ดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย พวกเขาจะยอมเลือกเดินทางไกลขึ้นหรือยอมนั่งรถบัสนานกว่า 1 ชั่วโมงเพื่อมาซื้อของที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต


ทั้งยังมีสโลแกน ‘ขายทุกวัน..ลดทุกวัน!’, ‘ผลิตภัณฑ์หลากหลาย..ราคาแน่ชัด!’ และ‘แสนสุขใจเมื่อมาช้อปปิ้งที่ไท้หัว’ สโลแกนเหล่านี้ต่างโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์และวิทยุ ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังจ้างคนให้แจกใบปลิวในแหล่งชุมชนและป้ายรถเมล์อีกด้วย


ภายในหนึ่งเดือนผู้คนที่อาศัยในเมืองต่างๆที่มีไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตตั้งอยู่ต่างก็รู้จักและได้ยินชื่อเสียงของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต แม้แต่คนที่อาศัยในเมืองอื่นที่ไม่มีสาขาของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ยังรู้จักเพราะได้ยินในข่าวแทบจะทุกวัน


อดอล์ฟรู้สึกเสียใจ หากเขารู้ว่าการจัดตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตในจีนจะง่ายขนาดนี้เขาคงเลือกที่สำรวจทำเลเหมาะๆไปก่อนหน้านี้แล้ว บางทีในตอนนี้คาร์ฟูร์อาจมีสาขาเปิดให้บริการในประเทศจีนไปแล้วก็ได้


ที่ตั้งของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตบางสาขาคือทำเลที่ทีมของเขาเล็งเอาไว้ มันทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากขึ้น!


อดอล์ฟคิดว่าคู่แข่งของเขาในประเทศจีนจะมีเพียงวอลมาร์ตเท่านั้นแต่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตคือภัยคุกคามที่สำคัญยิ่งกว่า


อดอล์ฟรู้ว่าการเป็นบริษัทท้องถิ่นย่อมได้เปรียบมากกว่าบริษัทต่างชาติ เขาไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและนโยบายของรัฐบาลก็จะเอื้อประโยชน์ไปที่คนของตัวเองก่อน


ตอนนี้เป็นเรื่องยากสำหรับคาร์ฟูร์ที่จะบุกเข้าประเทศจีนได้ แม้ว่าพวกเขาจะเจาะเข้าตลาดจีนได้ผลลัพธ์ก็จะไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ใช่บริษัทที่จะไปงัดข้อได้ง่ายๆ อดอล์ฟหวังว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะตั้งเป้าไว้ที่ประเทศจีนเท่านั้น ถ้าพวกเขาคิดที่จะขยายไปยังต่างประเทศ มันจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับคาร์ฟูร์ทันที พวกเขาจะเป็นก้างชิ้นโตที่คอยขัดขวางการเติบโตของคาร์ฟูร์


อดอล์ฟรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักงานใหญ่ มันขึ้นอยู่กับสำนักงานใหญ่ว่าจะตัดสินใจให้คาร์ฟูร์ยอมรับความเสี่ยงและมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดจีนต่อไปหรือจะรอหาแนวทางในการจัดการเรื่องนี้ต่อไปดี? หากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเริ่มขยายตัวต่อไป ก็คงเป็นเรื่องยากของคาร์ฟูร์ที่เข้าสู่ตลาดจีนได้แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับกับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงต่อไป


EG บทที่ 667 สงครามเครื่องดื่ม 1


 


หลายวันผ่านไป เฝิงหยู่ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากลิ่วหย่งห่าว มันมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย


ข่าวดีก็คือเฝิงหยู่ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในโครงการกวงซีและรัฐบาลได้อนุญาตให้จัดตั้งคณะกรรมการในโครงการนี้ได้เลย นี่คือองค์กรที่ได้รับการยอมรับจากฝั่งรัฐบาล


จะมีคณะกรรมการดำเนินงานอย่างเป็นทางการและลิ่วหย่งห่าวสัญญากับเฝิงหยู่ว่าเขาจะได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการอย่างแน่นอน โดยที่ประธานและรองประธานจะถูกคัดเลือกจากผู้ก่อตั้งโครงการทั้ง10คนก่อน และในอนาคตเฝิงหยู่จะมีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานกรรมการได้เช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่ให้ความยุติธรรมสำหรับสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการทุกๆคน


หากจะว่าไปแล้วความสำเร็จในธุรกิจของเฝิงหยู่ก็มากเกินพอที่เขาจะถูกรับเลือกให้เป็นประธานกรรมการได้อย่างง่ายดาย เขามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าสมาชิกคนอื่นๆที่เข้าร่วมโครงการนี้แม้ว่าลิ่วหย่งห่าวจะไม่รู้จำนวนหุ้นในบริษัทต่างๆที่เฝิงหยู่ถืออยู่ แต่บริษัทของเฝิงหยู่ทั้งหมดต่างทำกำไรได้ดี! แม้ว่าเฝิงหยู่จะมีหุ้นเพียงแค่ 10%ต่อหนึ่งบริษัท แต่ทรัพย์สินโดยรวมของเขาจะมีมูลค่าสูงกว่าสมาชิกทั้งหมดในโครงการ กวงซีอย่างแน่นอน!


เฝิงหยู่พอใจกับข่าวดีชิ้นนี้ เขาไม่สนใจว่าตัวเองจะได้เป็นประธานหรือรองประธานหรือไม่? เพียงได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการเขาก็พอใจแล้ว เขาต้องการรับผิดชอบด้านการศึกษา เขามั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถแย่งชิงหน้าที่นี้จากเขาไปได้ แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะรวมตัวเพื่อแย่งหน้าที่นี้ไปจากเขาก็ไม่มีทางสู้เขาได้เช่นกัน การรวมตัวของพวกเขาเป็นสิบเป็นร้อยก็ไม่มีทางสู้เขาเพียงคนเดียวได้!


เฝิงหยู่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การศึกษาเป็นเพราะเขารู้ดีว่าองค์กรหรือมูลนิธิภายนอกทำงานกันอย่างไร? หากคุณคิดที่จะบริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารเรียนคุณจะต้องควักเงินในกระเป๋าถึง 1 ล้านหยวนแต่ถ้าคุณบริจาคเงินผ่านโครงการนี้เงินบริจาคจะไม่ถึง5 แสนหยวน


เฝิงหยู่ไม่ต้องการบริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารเรียนในนามของตัวเองเพียงคนเดียว หากในอนาคตอาคารเรียนเกิดถล่มขึ้นมา มันคงลำบากเกินไปหากเขาต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง ชีวิตของเขาจะต้องสูญเสียไปไม่น้อย!


เฝิงหยู่ได้หารือเรื่องที่เขาอยากรับผิดชอบเรื่องทุนการศึกษากับลิ่วหย่งห่าวซึ่งลิ่วหย่งห่าวเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เขายังรับปากกับเฝิงหยู่อีกว่าจะช่วยโน้มน้าวผู้ก่อตั้งคนอื่นๆในเรื่องนี้เช่นกัน


เฝิงหยู่รู้สึกยินดีกับข่าวดียิ่งนัก ส่วนข่าวร้ายเขาก็ยอมรับกับมันได้เช่นกัน เขาไม่ได้หัวเสียกับมันมากนัก


ข่าวร้ายก็คือบริษัทที่มีชาวฮ่องกงเป็นหุ้นส่วนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมลงทุนในธนาคารมินเช็งได้ชั่วคราว แม้ว่าบริษัทนั้นจะมีหุ้นส่วนใหญ่เป็นชาวจีนก็ตาม ดังนั้นบริษัทของเฝิงหยู่หลายๆแห่งไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมลงทุนในธนาคารได้เนื่องจากฟู่เกิงเฉิงถือหุ้นหลักร่วมกับเฝิงหยู่


บริษัทที่มีเจ้าของหุ้นเพียงคนเดียวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมลงทุนเช่นกัน


นั่นหมายความว่าเฝิงหยู่จะไม่สามารถนำหลายๆบริษัทเข้าร่วมลงทุนในธนาคารมินเช็งจนทำให้เขาได้รับตำแหน่งคณะกรรมการได้ เฝิงหยู่นึกถึงบริษัทต่างๆของเขา หากพิจารณาตามเกณฑ์ดังกล่าวจะมีบริษัทของเขาเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่จะเข้าร่วมในกิจการนี้ได้


วินด์แอนด์เรนโลจิสติกส์ไม่ควรได้เข้าร่วมลงทุนเพราะพี่เขยของเขาไม่ได้สนใจในกิจการนี้ ไท้หัวการเกษตรก็มีสิทธิ์เข้าร่วมแต่บริษัทนี้ไม่ได้มีสภาพคล่องทางการเงินมากนัก ไท้หัวเทรดดิ้งก็มีโอกาสเช่นกันแต่ถ้าไท้หัวเทรดดิ้งร่วมลงทุนในธนาคารมินเช็ง เฝิงหยู่ก็ต้องเปลี่ยนธนาคารที่ใช้บริการและอาจมีปัญหาในการชำระเงินกับคิริเลนโกะได้ ซึ่งตอนนี้ธนาคารไอซีบีซีได้ไฟเขียวให้กับไท้หัวเทรดดิ้งในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศและค่าใช้จ่ายก็ลดน้อยลง การทำธุรกรรมต่างๆก็เร็วขึ้นเนื่องจากเอกสารจำนวนมากได้รับการยกเว้น


องค์กรยาเมืองปิงก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมเช่นกันแต่จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากฝ่ายบริหารงานของเมืองปิงเสียก่อน แล้วจางหลิงเซียงจะยินยอมเข้าร่วมงั้นหรือ? แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยก็ใช่ว่าจะร่วมลงทุนเป็นเงินจำนวนมาก


วินด์แอนด์เรนแบตเตอรี่ก็มีสิทธิ์เช่นกันแต่เงินของบริษัทก็ไม่ได้มีมากนัก พวกเขาได้ใช้กำไรทั้งหมดเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งยอดขายก็อยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น


บริษัทต่อไปที่เฝิงหยู่นึกถึงก็คือลีฮาฮา แน่นอนว่าซ่งจิงเซียนอาจไม่เต็มใจให้ใช้เงินทุนของบริษัทร่วมลงทุนในธนาคารมินเช็งเพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าท้ายที่สุดธนาคารแห่งนี้จะทำกำไรให้กับพวกเขาได้


เฝิงหยู่จึงตัดสินใจระงับการลงทุนในธนาคารนี้ลงชั่วคราว อย่างไรก็ตามลิ่วหย่งห่าวได้แจ้งแก่เฝิงหยู่ว่าเขาสามารถร่วมลงทุนในนามของนักธุรกิจอิสระได้ นั่นหมายความว่าเฝิงหยู่สามารถร่วมลงทุนเป็นเงินมูลค่า 100 ล้านหยวนด้วยการควักเงินในกระเป๋าของตนเองเพื่อแลกกับหุ้น 1 %


ถ้าหากเฝิงหยู่ได้ร่วมลงทุนด้วยก็เท่ากับเขามีสิทธิ์เป็นเจ้าของในธุรกิจนี้เช่นกัน มันไม่น่าจะมีปัญหาในการเข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการแม้จะเป็นเจ้าของหุ้นเพียง 1 % ก็ตาม


ลิ่วหย่งห่าวกล่าวขอโทษต่อเฝิงหยู่ แม้ว่าเฝิงหยู่จะมีศักยภาพทางด้านการเงินเพียงใดลิ่วหย่งห่าวก็ไม่สามารถให้บริษัทเหล่านั้นเข้าร่วมลงทุนในธนาคารมินเช็งได้


เฝิงหยู่เองก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เขาไม่สนใจที่จะใช้เงินลงทุนไปกับมันมากนัก ธนาคารมินเช็งจะยังไม่ให้ผลตอบแทนในขณะนี้และเขาค่อยเพิ่มการลงทุนกับธนาคารแห่งนี้ในอีก 8-9 ปีให้หลังก็ยังไม่สายเกินไป


เฝิงหยู่เรียกซ่งจิงเซียนเข้าพบเพื่อแจ้งให้ทราบว่าเขาระงับการลงทุนของลีฮาฮาในธุรกิจธนาคารมินเช็งและมันคงดีกว่าหากปล่อยให้ลีฮาฮาดำเนินการพัฒนาตามแผนที่ทางบริษัทวางไว้ต่อไป


ซ่งจิงเซียนรู้สึกโล่งอก หากลีฮาฮาต้องร่วมลงทุนในธนาคารมินเช็ง แผนงานต่างๆของพวกเขาจะหยุดชะงักทันที ในเวลานี้ถือเป็นโอกาสทองของลีฮาฮาที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว


หากเป็นเครื่องดื่มประเภทชาคู่แข่งของลีฮาฮาก็คือ‘ซู่ริสเช็งกรุ๊ป’


ในชีวิตก่อนของเฝิงหยู่‘ซู่ริสเช็งกรุ๊ป’ถือเป็นผู้นำตลาดจีนในด้านเครื่องดื่มประเภทชาและยังเป็นบริษัทแรกที่วางจำหน่ายเครื่องดื่มชาอีกด้วย บริษัทนี้ครองตำแหน่งอันดับ 1 จนถึงปีค.ศ.2000


แต่ในเวลานี้ผู้นำในตลาดเครื่องดื่มชากลับกลายเป็นลีฮาฮา ไม่เพียงแต่ลีฮาฮาเป็นเจ้าแรกที่วางจำหน่ายเครื่องดื่มชาเท่านั้นแต่พวกเขายังเป็นเครื่องหมายการค้าของชาแดงอีกด้วย


แต่ซู่ริสเช็งกรุ๊ปยังคงเดินหน้าแนะนำผลิตภัณฑ์ของพวกเขาต่อไปและมันถูกตั้งชื่อว่าชาแช่เย็นแต่จริงๆแล้วมันเป็นชาแดงแช่เย็น!


ชาแช่เย็นของซู่ริสเช็งกรุ๊ปวางขายใน 2 มณฑลเท่านั้น เป็นเพราะการผลิตของพวกเขาไม่ได้สูงมากและแบรนด์ของพวกเขาก็ไม่ได้จัดตั้งอย่างเป็นทางการ


หากไม่ใช่เพราะชาแช่เย็นของซู่ริสเช็งกรุ๊ปถูกบรรจุในกระป๋องน้ำอัดลมก็คงไม่มีใครซื้อเครื่องดื่มของพวกเขาอย่างแน่นอน


ในยุคนี้น้ำอัดลมเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศจีน ปล่อยให้เรอออกมาดังๆหลังจากดื่มน้ำอัดลมจนหมดกระป๋อง! มันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น นอกจากนี้เครื่องดื่มที่มีกลิ่นอายของความเป็นจีนถือเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นสูงและดีกว่าเครื่องดื่มบรรจุขวด!


ซู่ริสเช็งกรุ๊ปถือเป็นผู้ลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของลีฮาฮา ซึ่งพวกเขาได้เริ่มต้นแนะนำเครื่องดื่มน้ำอัดลมเพื่อความสดชื่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลีฮาฮามียอดขายเป็นอันดับ 2 สำหรับฤดูร้อนนี้โดยที่ 1 ยังคงเป็นของเจียนหลี่เป่า(Jianlibao)


มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับลีฮาฮาที่จะกำจัดซู่ริสเช็งกรุ๊ปลงได้แต่ทันใดนั้นซู่ริสเช็งกรุ๊ปก็นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมา มันคือชาร้อน!


อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวและยอดขายน้ำอัดลมก็จะลดลง แต่ซู่ริสเช็งกรุ๊ปกลับนำเสนอเครื่องดื่มชาร้อนออกมาทันที สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ซ่งจิงเซียนหัวเสียเป็นอย่างมาก!


ซ่งจิงเซียนไม่สามารถเอาชนะเจียนหลี่เป่า(Jianlibao)ได้ เนื่องจากเจียนหลี่เป่า(Jianlibao)ได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศแล้ว ทั้งยังเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีนมาหลายปีและตอนนี้ซู่ริสเช็งกรุ๊ปซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของลีฮาฮาไป


พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าน้ำอัดลมเลบาชิก็ถูกเราโค่นลงไปแล้ว!


ลีฮาฮาจะแนะนำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มร้อนเช่นกัน! มันจะใช้กรรมวิธีเช่นเดียวกับเครื่องดื่มผลไม้ชนิดผงยี่ห้อถัง!


ชีวิตก่อนของเฝิงหยู่เคยดื่มเครื่องดื่มยี่ห้อถังมาแล้วเช่นกัน มันไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษในเรื่องของรสชาติแต่มันทำให้รู้สึกดีได้ในช่วงฤดูหนาว ชาวจีนในยุคนี้ก็คุ้นชินกับเครื่องดื่มชนิดผงเช่นกันเพราะถือเป็นสินค้ายอดนิยมชิ้นหนึ่งของประเทศจีน มันจะเป็นเครื่องดื่มคล้ายๆกับแบรนด์ต่างประเทศที่ชื่อว่าโคล่าเฉา! [1]


ลีฮาฮาได้ศึกษาสูตรของโคล่าเฉามาแล้วแต่พวกเขาไม่สามารถทำรสชาติซ้ำได้ แม้ว่าลีฮาฮาจะผลิตสินค้าที่มีรสชาติคล้ายกับโคล่าเฉาออกมา มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในทันที


โคล่าเฉาได้เข้าสู่ตลาดจีนในปีค.ศ. 1990 และได้ร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตในประเทศจีนแล้ว ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาถือเป็นเครื่องดื่มที่มีโภชนาการในระดับสูง มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะโคล่าเฉาได้


แต่ซ่งจิงเซียนไม่คิดที่จะยอมแพ้ หากลีฮาฮาสร้างผลิตภัณฑ์บุกตลาดเครื่องดื่มประเภทร้อนได้ พวกเขาก็จะสามารถแข่งขันและแม้แต่เอาชนะเจียนหลี่เป่า(Jianlibao)ก็สามารถทำได้เช่นกัน


 


[1] Cola Cao/โคล่าเฉา/โคล่าคาว เป็นเครื่องดื่มช็อกโกแลตหวานที่มีวิตามินและเกลือแร่หลากชนิดมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศสเปนและปัจจุบันผลิตและจำหน่ายในหลายประเทศซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัท Idilia Foods


EG บทที่ 668 สงครามเครื่องดื่ม 2


เฝิงหยู่ได้ลองชิมรสชาติของผลิตภัณฑ์ใหม่จากลีฮาฮาแล้ว มันเป็นเครื่องดื่มร้อนรสส้ม รสชาติมันก็ดูปกติ มันไม่ได้มีรสชาติดีหรือไม่ดี มันค่อนข้างเปรี้ยวอมหวาน มันมีรสชาติคล้ายกับสิ่งที่เฝิงหยู่เคยดื่มในชีวิตก่อน อย่างน้อยรสชาตินี้ก็น่าจะมีคนชอบ


แต่เฝิงหยู่ไม่พอใจ! เครื่องดื่มชนิดนี้จะไปแข่งกับโคล่าเฉาได้อย่างไร? หากเป้าหมายของลีฮาฮาเน้นไปที่ซู่ริสเช็งกรุ๊ป พวกเขาก็คงตั้งเป้าไว้ต่ำเกินไป ถ้าลีฮาฮาต้องการแข่งขันกับบริษัทใดสักแห่งก็ต้องเป็นบริษัทที่ดีที่สุดเท่านั้น การแข่งขันกับบริษัทที่ด้อยกว่าตนเองมันจะได้ประโยชน์อะไร?


ชีวิตก่อนของเฝิงหยู่เครื่องดื่มร้อนซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศจีน ไมใช่ทั้งชาหรือกาแฟ แม้แต่โคล่าเฉาก็ไม่ใช่เช่นกันแต่มันคือชานม!


แบรนด์ชานมที่มีชื่อเสียงคือ ‘ยู เลิฟ อิท’และ‘เซียงเพียวเพียว’ซึ่งในตอนนี้แบรนด์ทั้งสองยังไม่ได้ทำการเปิดตัวเข้าสู่ตลาดจีน


ข้อดีของชานมต่างจากโคล่าเฉาเพราะเครื่องดื่มโคล่าเฉาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเครื่องดื่มโภชนาการที่มีรสชาติดี จุดขายของชานมมีเพียงเรื่องรสชาติเท่านั้น ในอนาคตจะมีการเพิ่มกาแฟและช็อคโกแลตลงในชานมอีกด้วย


ใบหน้าของซ่งจิงเซียนบึ้งขึ้นด้วยความเครียด


“คุณคิดอย่างไรครับผู้จัดการเฝิง?..เด็กๆมักจะชอบรสชาติแบบนี้แต่ผู้ใหญ่อาจคิดว่ามันหวานเกินไปแต่ถ้าเราลดปริมาณน้ำตาลลงเด็กๆก็อาจจะไม่ชอบมันได้ ตอนนี้เราไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางของเครื่องดื่มนี้ได้และเราไม่สามารถบอกให้ลูกค้าเติมน้ำตาลเข้าไปทีหลังได้เช่นกัน”


เฝิงหยู่ก็ตั้งใจที่จะบอกเช่นกันว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้บริโภคเติมน้ำตาลเข้าไปในเครื่องดื่มสำเร็จรูปเช่นนี้ ในอนาคตจะมีเครื่องดื่มเป็นจำนวนมากที่มาพร้อมกับซองใส่น้ำตาลขนาดเล็กแต่ถ้ายึดตามบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ถังก็จะเห็นว่ามันมีขนาดใหญ่อยู่แล้ว มันอาจเป็นปัญหาในการบรรจุซองใส่น้ำตาลเข้าด้วยกันได้


“ถ้าเช่นนั้นกลุ่มเป้าหมายของเราก็ควรเน้นไปที่เด็กๆเสียก่อน..ถ้าจะเน้นไปที่เด็กๆก็ไม่ควรมีเพียงรสส้มเท่านั้น เราควรมีรสสับปะรด แอปเปิ้ล สตรอเบอรี่และรสผลไม้อื่นๆ”


เฝิงหยู่เริ่มอธิบายให้ซ่งจิงเซียนฟังจากนั้นก็อธิบายต่อทันที


“ผมขอแนะนำให้พนักงานของคุณทดลองทำรสชาติอื่นๆได้เลย..แม้ว่ายอดขายจะไม่ได้ดีมากแต่อย่างน้อยเราก็เพิ่มความหลากหลายให้ผลิตภัณฑ์ของเราได้และสามารรถป้องกันไม่ให้คู่แข่งรายอื่นๆปรากฏตัวได้อีกด้วย”


ซ่งจิงเซียนพยักหน้ารับ


“ผมได้สั่งให้พนักงานพัฒนารสชาติอื่นๆแล้วล่ะครับ..รสส้มเป็นรสที่ง่ายที่สุดในการพัฒนาและผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็ชอบรสนี้ แต่ถ้าใช้เครื่องดื่มรสผลไม้อย่างเดียวก็คงไม่สามารถเอาชนะโคล่าเฉาได้ เครื่องดื่มโคล่าเฉาถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้โภชนาการสูงและรสชาติอร่อย ในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็จัดให้เครื่องดื่มโคล่าเฉาอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน ทั้งฐานลูกค้าก็แน่นและยังเป็นสินค้านำเข้าที่ได้รับการออกอากาศในช่อง CCTV อีกด้วย มันเป็นเรื่องยากที่จะไปแข่งกับพวกเขาได้”


“คุณคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราให้คล้ายคลึงกับโคล่าเฉาเพื่อมาแข่งกับพวกเขาหรือครับ?”


เฝิงหยู่เอ่ยถาม


“คุณกำลังหมายถึงพวกนมผงช็อคโกแลตหรือเปล่าครับ? เราเองก็มีความเชี่ยวชาญในการผลิตนมผงเช่นกันแต่รสชาติของมันไม่ดีเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องยากในการควบคุมคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้ โคล่าเฉาคงเป็นผลิตภัณฑ์เดียวที่เราสามารถเอามาเป็นต้นแบบเพราะผลิตภัณฑ์ของเรายังไม่มีแบบนี้”


ซงจิงเซียนเลิกคิ้วสูงก่อนรีบอธิบายให้เฝิงหยู่ฟัง เขาเองก็คิดเรื่องนี้มาก่อน เว้นแต่ว่าเขาจะใช้โฆษณาเชิงรุกเพื่อแข่งกับโคล่าเฉาให้ได้แต่นั่นจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น หากผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เกิดล้มเหลวขึ้นมามันจะขาดทุนเป็นจำนวนมาก เงินทุนที่ใช้ในการโฆษณาของลีฮาฮาจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตและเครื่องดื่มประเภทชามากกว่าเพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีการแข่งขันที่สูงและมีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก


“คุณได้ไปสำรวจตลาดที่ไต้หวันหรือเปล่าครับ? คุณเคยเห็นชาไข่มุกที่ขายในไต้หวันหรือเปล่า?”


ชาไข่มุกได้วางขายในท้องตลาดมาเกือบ 3 เดือนแล้วและมันสามารถเข้าครองตลาดเครื่องดื่มในไต้หวันได้ทันที ซงจิงเซียนควรจะได้ลองชิมมันมาก่อน


“ชาไข่มุก? ผมเคยดื่มมันแล้วครับ..ว่าแต่มีอะไรหรือครับ?”


“คุณคิดยังไงกับชานมนั่น?”


“รสชาติมันก็ใช้ได้ มันก็เหมือนกับชาปกติทั่วๆไปซึ่งผมไม่ค่อยจะชอบมันเท่าไหร่แต่ผมก็ยอมรับนะครับว่าคนจำนวนมากชอบชาไข่มุกนั่น อย่าบอกนะครับว่าผู้จัดการเฝิงต้องการให้เราผลิตชานมไข่มุกออกมาขาย?! ”


“มันจะเป็นอะไรล่ะครับ? มันไม่ใช่เรื่องยากสักนิดถ้าเราจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา เราแค่ไปซื้อสูตรจากพวกเขาหรือไม่ก็พัฒนามันขึ้นมาเอง”


ปัจจุบันมีผงชาวางขายในท้องตลาดแต่มันไม่ได้ผสมกับนมชนิดผงซึ่งลูกค้าจะต้องนำไปผสมเอง


สิ่งที่ลีฮาฮาต้องการคือการอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างชาและนมเพื่อผสมให้ได้รสชาติที่ดี มันสามารถเอาไปผสมกับวัตถุดิบจากข้างนอกโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องผลิตเอง แม้แต่เม็ดไข่มุกหรือเยลลี่ในชานมก็สามารถหาซื้อได้จากข้างนอกหรือไม่ก็นำเข้าจากบริษัทที่ผลิตท้อปปิ้งโดยเฉพาะ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการติดโลโก้ของลีฮาฮาลงบนบรรจุภัณฑ์ ซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายดาย


“เอ่อ…มันก็สามารถทำได้อย่างที่คุณว่าแต่คนจีนจะชอบมันหรือครับ?”


ซ่งจิงเซียนยังคงลังเล


“ถ้าคุณไม่ลองทำแล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับว่าจะมีคนชอบหรือไม่ชอบมัน? ชานมจะต้องมีกลิ่นหอมนำเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคชอบ แม้ว่ามันจะไม่ได้รับความนิยมในจีนเราก็สามารถส่งออกไปขายในต่างประเทศได้เช่นไต้หวันหรือฮ่องกง มันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันกับโคล่าเฉาได้ เราสามารถนำเสนอชานมรสช็อคโกแล็ตได้ด้วยซ้ำ”


ชานมรสช็อกโกแล็ต? มันสามารถเรียกว่าชานมได้ด้วยหรือ?


“ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ไปหรอกครับ ตราบใดที่ผู้บริโภคชอบก็ถือว่ามันประสบความสำเร็จแล้ว! คุณเองก็เคยดื่มกาแฟไม่ใช่หรือครับ? ชาวตะวันตกต่างชื่นชอบการดื่มกาแฟทำให้มีร้านกาแฟอยู่ทั่วทั้งเมือง หากเป็นร้านกาแฟที่อยู่ตามชนบทหรือตามชายฝั่งทะเล ราคาอาจจะแพงไปบ้างหากเทียบกับรายได้ของคนส่วนใหญ่ แล้วถ้าเราจะช่วยให้พวกเขาได้ลิ้มลองเครื่องดื่มแบบชาวต่างชาติในราคาย่อมเยาด้วยการผลิตเครื่องดื่มชานมรสกาแฟออกมาขายล่ะครับ”


ซ่งจิงเซียนยิ่งสับสนหนักกว่าเดิม เขารู้สึกว่าสิ่งที่เฝิงหยู่พูดไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก


ชานมไข่มุกแบบดั้งเดิมยังพอเป็นไปได้ เช่นเดียวกับที่เฝิงหยู่จะให้ส่งออกไปขายที่ไต้หวันมันก็เป็นไปได้เช่นกัน พวกเขาไม่ต้องกังวลว่ามันจะเสี่ยงต่อการขาดทุนมากนัก แต่ชานมผสมช็อกโกแลตและกาแฟจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือที่ไหนก็คงไม่มีใครชอบ?


ซ่งจิงเซียนไม่กล้าลองสิ่งใหม่ๆแต่เฝิงหยู่จำได้ว่าลีฮาฮาเมื่อชีวิตก่อนของเขามักจะลองเสี่ยงกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของพวกเขาเสมอ พวกเขาได้ผลิตกาแฟผสมโคล่า,ชาผสมเบียร์,ควาสส์[1]และอื่นๆอีกมากมาย แม้จะมีใครวิจารณ์สินค้าของพวกเขาแต่มันก็ทำกำไรได้ดี


“เอาตามที่คุณพูดก็ได้ครับ! เดี๋ยวผมจะให้พนักงานทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ศักยภาพของโรงงานเราอาจไม่เพียงพอ แม้ว่าเราจะขยายโรงงานของเราได้แต่เราก็ไม่เคยผลิตสินค้าแบบนี้มาก่อนและยังไม่มีไลน์การผลิตสินค้าพวกนี้อีกด้วย มันคงเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ทีเดียว”


“คุณสามารถเลือกตั้งโรงงานใหม่แถวภาคตะวันตกได้นี่ครับ คุณเคยได้ยินโครงการกวงซีหรือเปล่า?”


“โครงการกวงซี? ผมเคยได้ยินมันอยู่ครับ คุณกำลังจะให้ผมเข้าร่วมในโครงการนี้หรือครับ?”


เคยมีคนชวนซ่งจิงเซียนให้เข้าร่วมโครงการนี้เช่นกันแต่เขาปฏิเสธไปเพราะยังไม่มีแผนที่จะสร้างโรงงานสาขาใหม่ในตอนนั้น


“มันก็น่าลองดูไม่ใช่หรือครับ? เราสามารถช่วยเหลือสังคมและเพิ่มภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ของเราไปในเวลาเดียวกันได้ นอกจากนี้โรงงานใหม่ที่เราจะสร้างขึ้นก็ยังผลิตเครื่องดื่มชนิดผง เราไม่ต้องกังวลเรื่องการขนส่ง ไม่ต้องพะวงว่าจะใช้เวลาในการขนส่งนานเพียงใดเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและไม่บูดเสียง่ายๆ ทั้งต้นทุน แรงงานและค่าที่ดินก็มีราคาที่ถูกมาก หากคิดรวมๆแล้วเราจะไม่ต้องเสียเงินลงทุนมากนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความประทับใจให้กับเหล่าผู้นำระดับประเทศ คุณไม่อยากเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ประกอบการที่มีจิตสำนึกดีหรือครับ?”


“ตกลง! ผมจะลองดู! หากทุกอย่างดำเนินการไปได้ด้วยดี ลีฮาฮาจะเข้าร่วมโครงการกวงซีด้วย มันจะช่วยเหลือประเทศของเราได้อีกทางหนึ่ง!”


“คุณคิดถูกแล้วล่ะครับ! มา! เรามาฉลองกันล่วงหน้าดีกว่าครับ”


ซ่งจิงเซียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเฝิงหยู่เสียงแผ่ว


“ผู้จัดการเฝิงครับ?..จะมีคนชอบชานมรสชาติแบบนั้นจริงๆหรือครับ?”


เฝิงหยู่เงียบเสียงลงและเริ่มบ่นในใจทันที


‘คุณไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดงั้นรึ!?’


 


[1]Kvass / ควาสส์ เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมเล็กน้อย ผลิตในรัสเซียและยุโรปตะวันออก ทำจากข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์และแป้งข้าวไรย์ ลักษณะของควาสส์จะเป็นของเหลวสีน้ำตาล มีกลิ่นถั่วเล็กน้อย เป็นกรด มีแอลกอฮล์ต่ำ อาจมีการเติมสาระแหน่ลงไปด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติ



EG บทที่ 669 พรีเซ็นเตอร์หนุ่ม


แม้ว่าซ่งจิงเซียนจะไม่เชื่อคำพูดของเฝิงหยู่ทั้งหมดแต่เขาก็สั่งให้ลูกน้องของตนเริ่มพัฒนาสูตรให้ได้เร็วที่สุดและยังไปติดต่อโรงงานอื่นๆเพื่อให้มาเป็นผู้รับเหมาของตนทันที


ซ่งจิงเซียนต้องหาโรงงานผู้รับเหมาประมาณ 3 แห่ง โรงงานแรกจะต้องเป็นบริษัทที่สามารถผลิตผงชานมได้ เป้าหมายของซ่งจิงเซียนคือโรงงานผลิตนมผง! โรงงานนี้จะต้องผลิตเครื่องดื่มแบบแบรนด์ถัง,ครีมเทียม,ผงชา,ผงกาแฟ,ผงช็อกโกแล็ต ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถผลิตสีผสมอาหารและสารกันบูดได้


โรงงานต่อไปที่ซ่งจิงเซียนต้องมองหาคือโรงงานที่สามารถผลิตเม็ดไข่มุกจากมันสำปะหลังได้ เขากำลังมองหาโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปและจะทำการสั่งซื้อทันที นี่เป็นเพียงขั้นตอนในการทดลองเท่านั้น พวกเขาอาจเลือกใช้โรงงานขนาดเล็กสัก1-2 แห่งก็น่าจะพอต่อความต้องการ หากผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความนิยมจริงๆลีฮาฮาก็ดำเนินการผลิตเองโดยผลิตในโรงงานแห่งใหม่ที่จะตั้งขึ้นในภาคตะวันตกในปีหน้า


โรงงานผู้รับเหมาแห่งสุดท้ายคือโรงงานผลิตวุ้นมะพร้าว ซ่งจิงเซียนได้ติดต่อไปยังโรงงานบางแห่งแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจนัก นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตวุ้นมะพร้าวยังสูงเกินไปอีกด้วย


ลีฮาฮาสามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ในโรงงานของพวกเขาได้ แน่นอนว่าอาจต้องมีการสั่งซื้อวัตถุดิบบางส่วนจากภายนอกเช่นกัน


ลีฮาฮาสามารถใช้เป็นแก้วพลาสติกได้แต่แก้วพลาสติกที่สามารถทนความร้อนได้มีราคาค่อนข้างแพง ต้นทุนของมันสูงกว่าผงชานมเสียอีก


เฝิงหยู่ได้แนะนำให้เขาใช้แก้วกระดาษ ซึ่งบรรจุภัณฑ์กระดาษโลดแล่นอยู่ในท้องตลาดมาได้ระยะหนึ่งแล้วและราคาก็ไม่ได้แพงมากนักแต่ซ่งจิงเซียนรู้สึกว่าชานมของบริษัทเขาจะด้อยค่าลงหากใช้บรรจุภัณฑ์เป็นแก้วกระดาษ


เฝิงหยู่ก็แย้งให้เห็นว่าร้านกาแฟทั่วไปก็ใช้แก้วกระดาษเช่นกัน แก้วกระดาษใช้ครั้งเดียวทิ้งและยังถูกสุขอนามัยมากกว่า ค่าใช้จ่ายก็ต่ำและไม่ฉีกขาดได้ง่าย มันยังง่ายต่อการขนส่งเพราะมีน้ำหนักที่เบา แก้วกระดาษจะต้องทนความร้อนและกันน้ำได้ จะไม่มีใครรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาด้อยค่าลง บางทีพนักงานออฟฟิศอาจคิดว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เป็นสินค้าระดับสูงก็ได้


ในที่สุดซ่งจิงเซียนก็เลือกที่จะเชื่อเฝิงหยู่และตัดสินสินใจที่จะใช้แก้วกระดาษเป็นบรรจุภัณฑ์


การออกแบบลวดลายบนบรรจุภัณฑ์ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของหลิวหลิว พวกเขาได้ทำงานร่วมกันในหลายๆโปรเจคที่ผ่านมา บนแก้วกระดาษจะมีตัวการ์ตูนที่เป็นสัญลักษณ์ของลีฮาฮาประดับอยู่ส่วนอีกฝั่งของแก้วจะเป็นรูปแก้วใส่ชานม มันเป็นสิ่งที่สื่อได้ง่ายและตรงไปตรงมา


เฝิงหยู่พิจารณาภาพการ์ตูนของลีฮาฮาและขมวดคิ้วมุ่น บรรจุภัณฑ์นี้ดูเหมาะกับเด็กๆมากกว่า ชานมนี้เหมาะกับลูกค้าทุกกลุ่มวัยแต่กลุ่มเป้าหมายหลักควรเป็นวัยผู้ใหญ่มากกว่า


“คุณซ่ง..ผมได้รับแฟกซ์ของคุณแล้วนะครับแต่ลายบนแก้วมัน….ผมรู้สึกว่าเราไม่ควรใช้เป็นตัวการ์ตูนประดับลงบนแก้ว เราควรใช้เป็นรูปผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายหน้าตาดีๆจะเหมาะกว่า”


[“รูปผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายหน้าตาดีๆหรือครับ? คุณกำลังจะบอกผมว่าให้หาคนที่น่าสนใจมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์นี้หรือครับ?”]


“ใช่ครับ! เราไม่จำเป็นต้องใช้คนที่มีชื่อเสียงมากนัก เราแค่ต้องการใครสักคนที่มีภาพลักษณ์ดีก็พอกลุ่มเป้าหมายของชานมคือวัยรุ่นและวัยทำงาน คุณลองคิดดูนะครับ? คนกลุ่มไหนบ้างที่เต็มใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่วัยรุ่นกับวัยทำงานหรือครับ? เมื่อเราเริ่มทำการตลาด ผลิตภัณฑ์นี้ต้องถูกระบุว่าเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวไต้หวัน สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริโภคทั้งหมดรู้สึกประทับใจว่ามันคือสินค้านำเข้าและมันจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกอยากรู้ว่าเครื่องดื่มจากต่างประเทศมีรสชาติอย่างไร”


เฝิงหยู่อธิบายผ่านทางโทรศัพท์ให้ซ่งจิงเซียนเข้าใจ


[“แล้วผู้จัดการเฝิงมีใครในใจหรือยังครับ?”]


“คนที่เหมาะที่สุดก็ต้องเป็นศิลปินวัยรุ่นจากไต้หวัน..ผมชอบเสียวหู่ตุ้ย(The Little Tigers)ครับ..เราสามารถนำนางแบบสวยๆมาทำงานร่วมกับพวกเขาได้อีกด้วย” [1]


[“เสียวหู่ตุ้ย? พวกเขาค่อนข้างดังเลยนะครับ? ค่าตัวของพวกเขาต้องแพงมากแน่ๆ” ]


ซ่งจงเซียนไม่เต็มใจที่จะเสียเงินจ้างพรีเซ็นเตอร์ในราคาแพงๆ เขาไม่ค่อยฟังเพลงป๊อปแต่เขาก็ยังรู้ว่าเสียวหู่ตุ้ยคือใคร? สิ่งนี้ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเสียวหู่ตุ้ยมีชื่อเสียงมากขนาดไหนและค่าตัวของพวกเขาก็จะขึ้นอยู่กับชื่อเสียงที่พวกเขามี


“ไม่ต้องกังวลไปกับค่าตัวของพวกเขาหรอกนะครับ จุดสำคัญที่พวกเราต้องสนใจคือพวกเขาเป็นไอดอลชาวไต้หวันและเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของพวกเรามากที่สุด..ที่จริงแล้วค่าตัว 2 ล้านหยวนต่อปีก็พอที่เราจะลองทุ่มดูสักครั้ง หากคุณไม่มั่นใจส่งมาให้ผมเป็นคนไปเจรจาเรื่องนี้ก็ได้ครับ”


เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเขาคือชานมไต้หวัน พวกเขาจะไม่ให้คนดังชาวไต้หวันมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้อย่างไร? มันคงจะแปลกน่าดูหากให้ดาราจีนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของจีนกับไต้หวันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ดารานักร้องฝั่งไต้หวันก็อยากมามีผลงานที่จีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เฝิงหยู่ไม่มั่นใจนักหากให้ศิลปินฝั่งไต้หวันมาทำการแสดงในงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนแต่ถ้าเป็นงานกาล่าปีใหม่ไม่น่าจะมีปัญหา งานกาล่าปีใหม่ถือเป็นรายการอันดับสองของประเทศจีน


[“ตกลงครับ..เดี๋ยวผมจะให้พนักงานนของเราติดต่อผู้จัดการของเสียวหู่ตุ้ยและเชิญพวกเขามาคุยรายละเอียดกับเราทันที”]


.


.


“คุณซงครับ?..เงื่อนไขที่เราเสนอไปถือว่าคุ้มค่าเลยนะครับ ค่าตัวในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ 1 ล้านหยวนต่อปีและเราจะให้เสียวหู่ตุ้ยทำการแสดงบนเวทีที่ใหญ่ที่สุดเวทีหนึ่งของจีนอีกด้วย…นอกจากเราแล้วก็คงไม่มีใครกล้ายื่นข้อเสนอนี้ให้กับคุณแล้วล่ะครับ นอกจากนี้ลีฮาฮายังเป็นบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงอีกด้วย ในไม่ช้าเราจะขยายตลาดเข้าสู่ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซียและประเทศอื่นๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่จะเป็นการช่วยส่งความนิยมให้เสียวหู่ตุ้ยดังขึ้นไปอีก”


เฝิงหยู่พูดกับซงเหวินผู้เป็นผู้จัดการวงเสียวหู่ตุ้ย


“คุณเฝิงครับ..เสียวหู้ตุ้ยของเราต่างเป็นที่รู้จักกันดีในแถบเอเชียอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือของใครเพื่อมาโปรโมทพวกเขาหรอกครับ? แล้วค่าตัวเพียง 1 ล้านหยวนต่อปีมันจะไม่เป็นการดูถูกศิลปินของเราไปหน่อยหรือ? ค่าตัวอย่างต่ำๆที่ผมคิดไว้ก็ประมาณ 5 ล้านหยวนต่อปีโดยสามารถเซ็นสัญญาได้ทั้งหมด 5 ปี”


ซงเหวินชักสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ลุกหนีแต่อย่างใด


“คุณซง..คุณคิดว่าเสียวหู่ตุ้ยดังกว่าเฉินหลงหรือครับ? คุณรู้หรือเปล่าว่าบริษัทของผมผมจ้างเฉินหลงให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในราคาเท่าไหร่? เซ็นสัญญา 3 ปี 4 ล้านหยวน!”


อันที่จริงค่าตัวของเฉินหลงปีละ 4 ล้านหยวนแต่เฝิงหยู่ไม่ได้พูดให้ชัดเจน


ซงเหวินเองก็ถึงกับตกใจ ค่าตัวของเฉินหลงทำไมถูกขนาดนั้น? เขาเป็นถึงซุปเปอร์สตาร์และเป็นหนึ่งในพระเอกหนังบู๊ที่โด่งดังที่สุดในเอเชีย ค่าตัวของเขาในการเป็นพรีเซ็นเตอร์อย่างต่ำๆก็ควรประมาณ 5 ล้านเหรียญฮ่องกง


“คุณซง..ผมเองก็มีคอนเนคชั่นที่สามารถให้เสียวหู่ตุ้ยไปทำการแสดงในช่อง CCTVได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็จะทำได้นะครับ ถ้าจะให้ผมพูดตรงๆผมสามารถทำให้เสียวหู่ตุ้ยบุกเข้าตลาดจีนไม่ได้เลยนะครับ ถึงแม้ค่าตัวที่ผมเสนอไปให้มันจะไม่มากนักแต่มันจะสามารถกระตุ้นยอดขายและเพิ่มความนิยมของพวกเขาได้”


“เพิ่มความนิยมของเสียวหู่ตุ้ย? คุณเฝิงครับ..คุณมีค่ายเพลงหรือบริษัทดูแลศิลปินหรือไงกัน? เสียวหู่ตุ้ยของเราเองก็เคยจัดคอนเสิร์ตในจีนมาแล้วนะครับ”


เสียวหู่ตุ้ยถือเป็นศิลปินรายแรกของไต้หวันที่มีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตในจีนและมันเป็นสิ่งที่ซงเหวินภูมิใจยิ่งนัก


“ผมเป็นเจ้าของบริษัทผลิตแผ่นวีซีดีรายใหญ่ของโลก ผมสามารถมอบวีซีดีคอนเสิร์ตเป็นของแถมให้กับลูกค้าทุกคนที่ซื้อเครื่องเล่นวีซีดีได้และผมยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ในประเทศจีนอีกด้วย วินด์แอนเรนวีซีดีและไอว่าวีซีดีคือบริษัทของผมเอง คุณควรจะรู้นะครับว่าผมกำลังหมายถึงอะไร? ”


ซงเหวินถึงกลับอ้าปากค้าง เขาคิดว่าเฝิงหยู่เป็นเพียงลูกชายหรือญาติของประธานบริษัทลีฮาฮาเท่านั้น เขาไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะมาเจอนักธุรกิจใหญ่ขนาดนี้!


ด้วยการสนับสนุนของนักธุรกิจใหญ่ในระดับนี้จะช่วยให้เสียวหู่ตุ้ยบุกเข้าตลาดจีนได้เร็วขึ้นอย่างไม่มีข้อกังขา หากเสียวหู่ตุ้ยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้เต็มตัวจะสามารถจัดคอนเสิร์ตได้มากขึ้นผลกำไรก็สูงเพิ่มไปอีกเท่าตัว


“แต่ 1ล้านหยวนมันน้อยเกินไปนะครับ..ผมขอเสนอเป็น 3ล้านหยวนต่อปีสำหรับการเซ็นสัญญา5ปี”


“5ปี? ถ้าผมจำไม่ผิดผู้ชายไต้หวันจะต้องเข้ากรมนี่ครับ ครั้งล่าสุดที่เสียวหู่ตุ้ยพักงานไปก็เพราะ1ในสมาชิกต้องไปรับใช้ชาติ ผมจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับ?ว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะยังมีวงนี้อยู่!? คุณหวังให้ผมทำสัญญากับคุณถึง 5 ปี? งั้นผมขอลดเหลือ 4 ปีก็พอ! ส่วนค่าตัว 3 ล้านหยวนต่อปีมันแพงเกินไป ค่าตัวของเฉินหลงในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ในประเทศจีนยังน้อยกว่า 1 ล้านหยวนด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าผมจะพิจารณาในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อแล้วกัน ผมเสนอให้ค่าตัวของเสียวหู่ตุ้ยอยู่ที่ 1.5 ล้านหยวนเป็นระยะเวลา 4 ปี รวมๆแล้วก็ประมาณ 6 ล้านหยวน นี่คือข้อเสนอสุดท้ายของผมแล้ว”


“คุณเฝิงครับ..ผมขอเวลาคิดหน่อยแล้วกัน”


“ตกลง!แต่อย่าให้ผมรอนานเกินไปแล้วกัน ทางเราเองก็พิจารณากัวฟู่เฉิงไว้เหมือนกัน”


จากท่าทางของซงเหวินทำให้เฝิงหยู่มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด


 


[1] เดอะ ลิตเติ้ล ไทเกอร์ หรือ เสียวหู่ตุ้ย (จีนตัวย่อ: 小虎队; จีนตัวเต็ม: 小虎隊; พินอิน: Xiǎohǔ duì; ชื่อภาษาอังกฤษ: The Little Tiger, Xiao Hudui) เป็นวงบอยแบนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในไต้หวันในช่วงยุค 90 (มีผลงานตั้งแต่1988-2010) ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 3 คนคืออู๋ฉีหลง, เฉินจื้อเผิงและซูโหย่วเผิง



EG บทที่ 670 พบเสียวหู่ตุ้ย ( The Little Tigers)


 


เมื่อซงเหวินกลับไปพิจารณาข้อเสนอที่เฝิงหยู่ยื่นให้ เขาได้สอบถามไปยังเพื่อนๆที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจว่ารู้จักวินแอนด์เรนวีซีดีและไอว่าวีซีดีหรือไม่? ท้ายที่สุดเขาก็รู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของทั้งสองแบรนด์นี้คือชายหนุ่มผู้หนึ่ง ทั้งยังพบว่าชายหนุ่มผู้นี้ร่ำรวยติดอันดับมหาเศรษฐีและยังมีคอนเนคชั่นที่แข็งแกร่งอีกด้วย


หากเสียวหู่ตุ้ยเข้าสู่ตลาดจีน พวกเขาจำเป็นต้องใช้คนแบบนี้เป็นใบเบิกทางและคอยดูแลพวกเขา วิธีนี้เสียวหู่ตุ้ยจะไม่ถูกเอาเปรียบเหมือนครั้งก่อนๆ


แม้ว่าค่าตัวของพวกเขาจะลดลงแต่ถ้าความนิยมในประเทศจีนเพิ่มขึ้นพวกเขาก็จะสามารถเรียกค่าตัวจากแบรนด์อื่นๆเพิ่มขึ้นได้ ถ้าความนิยมของเสียวหู่ตุ้ยในประเทศจีนสูงขึ้น พวกเขาก็จะถูกจ้างให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในประเทศจีนมากกว่าเดิม กำไรที่พวกเขาจะได้รับก็จะเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย


ซงเหวินกลับมารายงานให้บริษัทของตนรับทราบและพวกเขาก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ขนาดค่าตัวของเฉินหลงในจีนยังได้น้อยแล้วพวกเขาจะไปคาดหวังให้เสียวหู่ตุ้ยได้เยอะๆไปทำไม? นอกจากนี้กัวฟู่เฉิงยังดังกว่าเสียวหู่ตุ้ยทั้งในจีนและฮ่องกง หากกัวฟู่เฉิงชิงเซ็นสัญญาก่อนพวกเขาเสียวหู่ตุ้ยจะพลาดโอกาสสำคัญไป


วันต่อมาซงเหวินได้ตกลงเซ็นสัญญากับซ่งจิงเซียนโดยเซ็นสัญญา 4 ปีได้ค่าจ้างรวมเป็นเงิน 6 ล้านหยวน เงินค่าจ้างจะจ่ายเป็นรายปี ซึ่งแต่ละปีเสี่ยวหู่ตุ้ยจะต้องถ่ายโฆษณาเพื่อใช้ออกอากาศทางโทรทัศน์และเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆของบริษัท นอกจากนี้ยังมีการถ่ายรูปลงนิตยสารเพื่อโปรโมทสินค้าและรูปของเสียวหู่ตุ้ยจะถูกสกรีนลงบนแก้วกระดาษของผลิตภัณฑ์ชานมของลีฮาฮาอีกด้วย


อืม…การจัดกิจกรรมโปรโมทผลิตภัณฑ์ก็สามารถจัดขึ้นที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะเพิ่มเป็น 2 เท่า! นี่เป็นการทำสัญญาที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!


นักแสดงหญิงที่พวกเขาดึงตัวมาทำงานด้วยก็มาจากเอเจนซี่เดียวกับเสียวหู่ตุ้ย ค่าตัวของเธอถูกกว่าเสียวหู่ตุ้ยเพราะมีราคาเพียง 50,000หยวนต่อปีโดยเซ็นสัญญาทั้งหมด 4 ปี


เฝิงหยู่จำไม่ได้ว่าอนาคตของนักแสดงหญิงคนนี้เป็นอย่างไร? เป็นไปได้สูงว่าเธอจะไม่ประสบความสำเร็จในวงการนี้ เขาจึงไม่ทำสัญญากับเธอเป็นระยะยาว


หลังจากได้ตัวพรีเซ็นเตอร์แล้วก็ถึงเวลาที่เขาจะมองหาทีมงานเพื่อถ่ายทำโฆษณา แก้วกระดาษก็ถูกออกแบบใหม่และดำเนินการเสร็จเรียบร้อย


เฝิงหยู่พิจารณาแก้วกระดาษที่อยู่ในมือ มีรูปเสียวหู่ตุ้ยกำลังยื่นแก้วชานมให้กับนักแสดงหญิง เธอแสดงท่าทางเขินอายเมื่อกำลังจะได้รับชานม


ใช่แล้ว! ภาพนี้ดูดี! ผู้หญิงทุกคนจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงในภาพ แม้ว่าสัดส่วนผู้บริโภคจะเป็นผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายต่ำมากนัก นอกจากนี้นักแสดงหญิงที่อยู่ในภาพยังดูวัยรุ่นและหน้าตาน่ารัก มันจะสามารถดึงดูดผู้บริโภคที่เป็นผู้ชายได้เป็นจำนวนมาก


การถ่ายทำโฆษณาได้เริ่มต้นขึ้นและมีเฝิงหยู่เป็นคนคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด โฆษณานี้จะดำเนินเนื้อเรื่องโดยให้เสียวหู่ตุ้ยทั้ง 3 คนแข่งกันจีบนักแสดงหญิงซึ่งบุคลิกที่พวกเขาต้องแสดงจะแตกต่างกันออกไปเพื่อไม่ให้ดูน่าเบื่อ คนหนึ่งจะต้องคอยเอาใจใส่ อีกคนก็ต้องพยายามเย็นชาและคนสุดท้ายต้องแสดงเป็นหนุ่มขี้อาย โดยพวกเขาจะต้องยื่นแก้วชานมให้กับนักแสดงหญิงเป็นสิ่งสุดท้ายและเป็นหัวใจหลักของโฆษณาชุดนี้


โฆษณาควรจะมีหลายๆเวอร์ชั่นและพวกเขาจะเลือกฉากที่ดีที่สุดเพื่อทำการออกอากาศ


ในระหว่างการถ่ายทำเฝิงหยู่ได้นำหลี่นามาที่กองถ่ายด้วย หลี่นาชอบเสียวหู่ตุ้ยเป็นทุนเดิมและอยากเจอตัวจริงมาโดยตลอด วันนี้ฝันของเธอเป็นจริงแล้ว


เมื่อหลี่นารู้ว่าจะได้เจอเสี่ยวหู่ตุ้ยเธอก็ตัดสินใจโดดเรียนทันทีและได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้จางฮั่นฟังท้ายที่สุดจางฮั่นและเหวินตงจุนก็ติดสอยห้อยตามมาด้วย


“เฝิงหยู่..เสียวหู่ตุ้ยมาถึงหรือยัง? นายจะถ่ายโฆษณาอะไร?..เกี่ยวกับรถยนต์หรือเปล่า?”


“เปล่า..มันเป็นโฆษณาชานม”


“ชานม? มันคืออะไร? แล้วรสชาติมันเป็นยังไง? อร่อยหรือเปล่า?”


เหวินตงจุนเอ่ยถามไม่หยุด


“รสชาติมันก็ไม่เลวแต่มันยังไม่ได้ผลิตเป็นทางการ..แก้วที่พวกเขาถือๆกันอยู่ก็เป็นแก้วเปล่าทั้งนั้น”


เหวินตงจุนมองหน้าเฝิงหยู่ด้วยความผิดหวัง มันเป็นความทรมานอย่างใหญ่หลวงหากเขาไม่ได้ลองชิมมันทันทีที่ได้ยินชื่อของชานม


.


.


“คัท! โอเค! เรียบร้อยแล้ว!”


ทันทีที่ผู้กำกับตะโกนสั่งคัท คนงานในกองก็รีบเก็บอุปกรณ์ไฟและอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆทันที เหวินตงจุนเป็นคนแรกที่เข้าจู่โจมเสียวหู่ตุ้ยเมื่อเห็นว่าการถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว


“เสี่ยวหู่ตุ้ย!..ผมชอบพวกคุณมากๆเลยครับ!”


จางฮั่นรีบคว้าเหวินตงจุนเอาไว้และผลักเขาไปยืนด้านหลังของเธอทันที มันดูน่าอายเกินไปที่เห็น เหวินตงจุนทำกิริยาแบบนั้น นี่พวกเรากำลังอยู่ต่อหน้าเสียวหู่ตุ้ยนะ!


โชคดีที่สมาชิกทั้ง 3 คนของเสียวหู่ตุ้ยมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหวินตงจุนและคนอื่นๆในกลุ่ม อีกทั้งยังเป็นศิลปินชื่อดัง พวกเขาจึงไม่คิดโกรธและแสดงอาการรำคาญใจต่อแฟนคลับ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องขำๆเท่านั้น


“คุณเฝิงครับ..บทในโฆษณาชิ้นนี้น่าสนใจมากเลยล่ะครับ..ผมเลยรู้สึกอยากรับงานแสดงขึ้นมาเลยทีเดียว”


‘ซูโหย่วเผิง’หนึ่งในสมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยเอ่ยขึ้นมา เขาเป็นคนรับบทหนุ่มผู้เอาใจใส่ในในโฆษณาชิ้นนี้


“จริงหรือครับ? ผมเองก็มั่นใจว่าคุณจะได้แสดงละครชื่อดังในอนาคตอย่างแน่นอน..เอาเป็นละครของฉงเหยา[1]เลยแล้วกัน”


เฝิงหยู่เอ่ยตอบพร้อมกับทำสีหน้า‘ผมรับรองว่าคุณจะต้องโด่งดังอย่างแน่นอน!’


หากไม่มีตัวละคร‘องค์ชายห้า’ที่ซูโหย่วเผิงแสดงในละครเรื่อง‘องค์หญิงกำมะลอ’[2]ละครเรื่องนี้จะไม่น่าสนใจเท่าที่ควร แม้ว่าซูโหย่เผิงจะยังอายุไม่มากเท่าไหร่แต่บทบาทในละครของเขากลับเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมหลายๆคน


“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ”


“เฝิงหยู่..เราถ่ายรูปกับพวกเขาได้มั้ย?”


เหวินตงจุนตะโกนขึ้นมา


“ตากล้องครับ!..ช่วยถ่ายรูปให้พวกเราได้หรือเปล่า?”


เฝิงหยู่ก็ไม่ขัดศรัทธาจึงเอ่ยเรียกช่างภาพประจำกองถ่ายทันที


เฝิงหยู่เป็นนายจ้างและแน่นอนว่าช่างภาพเช่นเขาไม่กล้าปฏิเสธ เขารีบวิ่งเข้าไปทันทีพร้อมกับกล้องคู่ใจแต่หลังจากนั้นเขาก็ยืนถือกล้องค้างไว้โดยไม่กดชัดเตอร์สักที


“เอ่อ..คุณครับ?! พอดีคุณสูงไปหน่อยภาพมันก็เลยแปลกๆ..ช่วยก้มลงหน่อยได้ไหมครับ?”


เหวินตงจนชี้ไปที่ตัวเอง ผมหรือครับ? ให้ผมก้มลงงั้นรึ? ให้ตายเถอะ! สิ่งที่ฉันต้องการคือการถ่ายรูปร่วมเฟรมกับเสียวหู่ตุ้ยแต่ฉันยังต้องก้มลงอีกงั้นรึ? มันเป็นความผิดของฉันหรือไงที่เกิดมาตัวสูง!


เฝิงหยู่พยามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเอาไว้ ใครบอกให้นายกินเยอะและตัวสูงขนาดนี้กันล่ะ? เอาน่า..ทำตามที่ตากล้องบอกสักที!


หลี่นาและคนอื่นๆไม่ได้เป็นติ่งเดนตายแบบที่เฝิงหยู่เคยเห็นเมื่อชีวิตก่อนของเขา แม้ว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้เห็นไอดอลที่ตัวเองชื่นชมก็ไม่ได้ส่งเสียงกรี๊ดหรือแสดงอาการที่มันเกินงาม


เฝิงหยู่ลอบสังเกตสมาชิกทั้ง3ของเสียวหู่ตุ้ยในระหว่างการถ่ายรูปร่วมกัน พวกเขาวางตัวค่อนข้างดี ดูสุภาพและจริงใจ แววตาของพวกเขาก็ดูใสซื่อไม่ได้แสดงแววเจ้าชู้ออกมาแม้จะมีผู้หญิงร่วมเฟรมด้วยก็ตาม เฝิงหยู่พอใจกับพวกเขายิ่งนัก หากหนึ่งในพวกเขาแสดงท่าทางกรุ่มกริ่มใส่หลี่นาแล้วล่ะก็?เขาไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน!


เฝิงหยู่ได้เชิญทุกคนมาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกันและเสียวหู่ตุ้ยก็ตอบตกลง หลี่นาและคนอื่นๆต่างมีความสุขที่จะได้พูดคุยกับไอดอลของตัวเองนานขึ้น


ระหว่างทานอาหารเย็นหลี่นาก็เอ่ยออกมาเบาๆ


“เอ่อ..พวกคุณพอจะร้องเพลงให้เราฟังได้มั้ยคะ?”


สมาชิกวงเสียวหู่ตุ้ยมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองซงเหวินผู้จัดการของตนเอง แน่นอนว่าซงเหวินพยักหน้าตกลง คำถามนี้ค่อนข้างไร้มารยาทเพราะมันจะทำให้มูลค่าของพวกเขาลดลงได้ หากจะฟังเสียวหู่ตุ้ยร้องเพลงก็ควรฟังในคอนเสิร์ตไม่ควรให้มาร้องส่วนตัวเช่นนี้ แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่าหลี่นาไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆและเฝิงหยู่ผู้เป็นนายจ้างก็อยู่ใกล้ๆ


เสียวหู่ตุ้ยจึงเริ่มร้องเพลง รัก<Love/ Ai/ 小虎隊 – 爱)> ซึ่งเป็นเพลงฮิตของพวกเขาทันที พวกเขาไม่ได้เต้นเพียงแค่ร้องเพลงสดๆเท่านั้น เฝิงหยู่ยอมรับในใจว่าทั้ง 3 คนมีเสียงที่ไพเราะทีเดียว


จู่ๆเฝิงหยู่ก็นึกเพลงหนึ่งขึ้นมาได้ เพลงนี้ดูเหมาะที่สุดที่จะใช้ในโฆษณาและเข้ากับเสียงร้องของเสี่ยวหู่ตุ้ยได้เป็นอย่างดี


“ผมนึกเพลงหนึ่งขึ้นมาได้ มันเป็นเพลงที่ผมแต่งเมื่อไม่นานมานี้เอง มันเป็นเพลงที่เหมาะกับพวกคุณจริงๆ เอาเป็นว่าผมจะมอบเพลงนี้ให้กับพวกคุณ ”


เมื่อเฝิงหยู่พูดเช่นนั้นสมาชิกทั้ง 3 ของเสียวหู่ตุ้ยก็เข้าใจในทันทีว่าเฝิงหยู่กำลังพยายามดูแลพวกเขาอยู่ แต่งเพลงให้งั้นหรือ? เพลงของพวกเขาส่วนใหญ่เป็นเพลงที่บริษัทดำเนินการให้ทั้งหมด บริษัทของพวกเขาเฟ้นหาเพลงที่ดีที่สุดจากจำนวนนับพันเพลง ซงเหวินหันไปมองเสียวหู่ตุ้ยเล็กน้อย ไม่ว่าเพลงของผู้จัดการเฝิงจะเป็นอย่างไร สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการชมเข้าไว้ พวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้จัดการเฝิงต้องรู้สึกอายเป็นอันขาด


หากเพลงนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษพวกเขาก็สามารถส่งไปให้นักแต่งเพลงชื่อดังแก้ไขมันและอาจจะใช้มันเป็นเพลงในอัลบั้มต่อไปได้ แต่ถ้าเพลงมันแย่จริงๆซงเหวินก็อาจต้องกำจัดมันทิ้ง!เสียวหู่ตุ้ยไม่สามารถปฏิเสธมันได้และผู้จัดการของพวกเขาต้องเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้ มันจะทำให้พวกเขาดูกลายเป็นคนเลวทันทีหากต้องทำลายน้ำใจผู้จัดการเฝิง


“เฝิงหยู่..คุณแต่งเพลงอีกแล้วเหรอ?”


ดวงตาของหลี่นาเป็นประกายราวกับดวงดาวระยับ


อีกแล้ว? เสียวหู่ตุ้ยหันหน้าไปมองกัน เป็นไปได้อย่างไร? ผู้จัดการเฝิงคนนี้เคยแต่งเพลงมาก่อนอย่างนั้นหรือ? แล้วเพลงที่เขาแต่งเป็นอย่างไร? เพราะหรือเปล่า? พวกเขาสามารถบอกได้จากแววตาของหลี่นา แม้แต่ตอนที่พวกเขาได้พบกับหลี่นาเป็นครั้งแรก เธอก็ไม่ได้มองพวกเขาด้วยสายตาเป็นประกายระยับเช่นนี้?


“ใช่..ผมแต่งเพลงนี้ให้กับคุณแต่ตอนนี้ไม่มีกีตาร์ ถ้าเช่นนั้นผมจะร้องให้คุณฟังสดๆเลยแล้วกัน”


เฝิงหยู่มองหลี่นาด้วยสายตาหวานเชื่อม


 


 


[1] ฉงเหยา/Chiung Yao หรือ Qiong Yao เป็นนามปากกาของเฉินเช่ นักเขียนและโปรดิวเซอร์ชาวไต้หวันซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนนวนิยายโรแมนติกยอดนิยมของชาวจีนและในเอเชีย นวนิยายของเธอได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และละครมากกว่า 100 เรื่อง เช่นองค์หญิงกำมะลอ, มนต์รักในสายฝน,องค์หญิงกำมะลอป่วนกำลัง 3,My Fair Princess III,ดอกไม้ในม่านหมอก,Deep Garden


[2] องค์หญิงกำมะลอ/My Fair Princess (จีน: 還珠格格 พินอิน: Huán zhū gégé –หวนจูเก๋อเก๋อ, อังกฤษ: Princess Pearl หรือ Princess Returning Pearl หรือเรียกโดยย่อว่า “HZGG” ซึ่งมาจากการการย่อของการสะกดพินอิน) เป็นละครชุดของไต้หวัน ในภาค1และภาค2นำแสดงโดยเจ้าเหว่ย, หลินซินหยู, ซู โหย่วเผิง (蘇有朋)และโจวเจี๋ย (周杰) และภาค2มีนักแสดงอีกคนคือWang Yan (王艳) และสำหรับภาค3มีการเปลี่ยนตัวนำแสดงหลักเป็น หวงอี้ (黃奕), หม่าอีลี่ (馬伊琍) แลกู่จวีจี (古巨基) แต่สำหรับ โจวเจี๋ยและWang Yan นั้นไม่เปลี่ยน โดยเริ่มฉายภาคแรกในปี พ.ศ. 2541 ภาคสองฉายในปี 2542 และภาคสามฉายในปี 2546 องค์หญิงกำมะลอ เป็นที่นิยมมากในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไทย รวมถึงในไต้หวันเอง


เนื้อหาของภาพยนตร์ชุดนี้มาจากนวนิยายของผู้แต่งนวนิยายหญิงชาวไต้หวัน ฉงเหยา (瓊瑤) โดยผู้แต่งได้แรงบันดาลใจจากการแต่งเรื่องนี้จากพระธิดาบุญธรรมของจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆) สมัยราชวงศ์ชิง และดัดแปลงมาเป็นองค์หญิงหวนจู


ในประเทศไทย องค์หญิงกำมะลอ เคยออกอากาศทางช่อง 3 ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2542 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 16.25 น. และได้นำกลับมาออกอากาศซ้ำและออกอากาศจนถึงภาคสาม


องค์หญิงกำมะลอได้กลับมาสร้างใหม่อีกครั้งในปี 2011


EG บทที่ 671 อารมณ์ดีก็เพราะคุณ


 


ทุกๆคนต่างจ้องไปที่เฝิงหยู่อย่างพร้อมเพรียง อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะมองเฝิงหยู่ด้วยความสงสัยและอีกฝั่งหนึ่งมองเขาด้วยความเทิดทูน แม้แต่เหวินตงจุนก็รู้ว่าเสียงร้องของเฝิงหยู่นั้นแย่มากแต่เพลงที่เขาเขียนแต่ละเพลงกลับไพเราะจับใจ ดูได้จากเพลงที่น่าอิงและน่านเก๋อได้นำไปร้องต่างโด่งดังเป็นพลุแตก


เฝิงหยู่ใช้ตะเกียบเคาะไปบนชามเพื่อสร้างจังหวะ


“♫♫~ การตกหลุมรักคุณก็เหมือนกับการดื่มชานมอุ่นๆ..แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหนความรักที่ผมมีให้ก็ไม่มีวันจางหาย..มันไม่น่ากลัวเลย..ให้ผมได้แสดงความรักในรูปแบบอื่นๆ..รักไม่ใช่เพียงแค่คำพูด..เมื่อผมมีความรัก..ความรักก็จะกลายเป็นความเข้าใจไม่ใช่เรื่องซับซ้อนแต่อย่างใด…


ผมอยากไปช้อปปิ้งกับคุณ..ผมอยากเจอคุณ..ผมคิดถึงคุณจนถึงเที่ยงคืน..ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลยที่หลงรักคุณมากขนาดนี้และจะรักตลอดไป…ผมอยากใช้ชีวิตทุกๆวันกับคุณ..ผมมีความสุขที่ได้ตกหลุมรักคุณ


ผมอารมณ์ดีก็เพราะคุณ..จากนี้ไปผมจะไม่ลังเล..คุณต้องการที่จะเติบโตและเรียนรู้ไปพร้อมกับผมไหม?…ผมอารมณ์ดีได้ก็เพราะคุณ…ความรักของผมไม่มีคำถามใดๆให้สงสัย..คำตอบทั้งหมดจะถูกเปิดเผยด้วยตัวมันเอง..เพราะเราเองก็เป็นแบบนี้..เพราะเราต้องการกันและกัน♫♫~”


เฝิงหยู่ได้เปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนและสามารถนำไปใช้เพื่อการโฆษณาได้ บรรทัดแรกของเพลงที่ควรเป็น‘การดื่มชา’ เขาก็เปลี่ยนเป็น‘การดื่มชานม’แทน


เมื่อเฝิงหยู่ร้องท่อนแรกของเพลงจบ ใบหน้าของซงเหวินก็เปลี่ยนไป เสียงของเฝิงหยู่ไม่เหมาะกับการร้องเพลงเลยสักนิดแต่เขาก็ใส่อารมณ์ไปตามเนื้อเพลงที่เขาแต่งขึ้นจนทำให้เพลงนี้ดูดีขึ้นมา


เนื้อเพลงก็ไม่ได้ดูดีที่สุดและทำนองก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก เนื้อเพลงเกี่ยวกับการแสดงความรักที่ผู้ชายมีให้กับผู้หญิงที่เขารัก


พวกเขาหันไปดูหลี่นาที่นั่งอยู่ข้างๆเฝิงหยู่และรู้ได้ทันทีว่าเพลงนี้แต่งมาจากชีวิตของคนทั้งคู่ แต่เพลงนี้เฝิงหยู่แต่งมันเองจริงๆหรือ?


ถ้านี่คือการ์ตูนดวงตาของหลี่นาคงเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจแล้ว เนื้อเพลงนี้แสดงให้หลี่นาได้เห็นว่าเฝิงหยู่รักเธอมากขนาดไหน?


หลี่นาเป็นคนขี้อาย เมื่อเฝิงหยู่ร้องเพลงนี้ให้เธอและต่อหน้าเสียวหู่ตุ้ยเช่นนี้เธอก็ยิ่งอายหนักขึ้นไปอีก ทำไมถึงมาร้องเพลงต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้? เขาควรรอตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันสองต่อสองสิ!


หลังจากเฝิงหยู่ร้องจบก็คว้ามือของหลี่นามากุมไว้ ใบหน้าของหลี่นากลายเป็นสีแดงระเรื่อราวลูกมะเขือเทศ เธอก้มหน้าเอียงอายและไม่พูดอะไรออกมา


ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้นกับการร้องเพลงของฉัน? ถึงแม้เสียงร้องจะไม่ได้ดีแต่เขาก็ใส่อารมณ์เข้าไปในเพลงเต็มที่และมันก็ไม่เพี้ยนจนน่าหนวกหูแต่อย่างใด? เขาซ้อมร้องเพลงนี้หลายต่อหลายครั้งในห้องคาราโอเกะเมื่อชีวิตก่อนของเขา มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา?


แล้วเสียงปรบมืออยู่ที่ไหนกัน?


แปะ!แปะ!แปะ!แปะ!


เหวินตงจุนโตมากับเฝิงหยู่และรู้ได้ทันทีว่าเฝิงหยู่กำลังรอเสียงปรบมืออยู่ เขาจึงไม่รอช้ารีบปรบมือก่อนใครเพื่อนทันที


ซงเหวินและเสียวหู่ตุ้ยหลุดออกจากภวังค์แห่งความตกใจและเริ่มปรบมือตามทันที พวกเขายอมรับว่าเพลงนี้เขียนได้ดีทีเดียว หากนำไปแก้ไขอีกเล็กน้อยมันก็อาจกลายเป็นเพลงฮิตได้


“ผู้จัดการเฝิง..เพลงนี้คุณเป็นคนแต่งจริงๆหรือครับ?”


ซงเหวินเองก็รู้คำตอบนี้อยู่แล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี นักธุรกิจที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านดนตรีและสามารถแต่งเพลงขนาดนี้ได้ถือว่ามันดีเกินไป ดีจนน่าเหลือเชื่อ!?


“คุณไม่เชื่อเขาหรือครับ? คุณเคยได้ยินเพลง‘กลางวันไม่รู้กลางคืน’ <The day doesn’t know the night>ของน่าอิงหรือเปล่า? แล้วก็เพลง‘ฉันเชื่อ’ <I Believe> ของซั่นหนาน เพลงพวกนี้ก็ได้เฝิงหยู่นี่ละครับที่แต่งให้พวกเขา พวกคุณคิดว่ามีแต่พวกคุณเองหรือไงที่แต่งเพลงเป็น?”


เหวินตงจุนโต้กลับอย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย


“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ สิ่งที่ผมอยากถามผู้จัดการเฝิงคือคุณจะมอบเพลงนี้ให้กับเสียวหู่ตุ้ยจริงๆหรือครับ? คุณพูดจริงงั้นหรือ?”


ซงเหวินเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย


เพลงทั้งสองที่เหวินตงจุนพูดเมื่อครู่ต่างเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในไต้หวัน มันคือเพลงที่ผู้จัดการเฝิงแต่งเองงั้นหรือ? เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ ไม่เพียงแต่เก่งในเรื่องธุรกิจแต่เขายังมีความสามารถในแต่งเพลงอีกด้วย!


แค่เพลงนี้เพลงเดียวก็คุ้มค่าพอที่จะบรรจุเข้าในอัลบั้มแล้ว เขาแค่ต้องหานักแต่งเพลงที่มีสไตล์คล้ายคลึงกับเพลงนี้เพิ่มขึ้น เสียวหู่ตุ้ยก็จะมีชื่อเสียงมากกว่านี้แน่นอน!


“ผมดูเป็นคนพูดเล่นขนาดนั้นหรือครับ? ผมบอกว่าจะมอบเพลงนี้ให้กับพวกเขา ผมก็ต้องรักษาคำพูดสิครับ! ผมเองก็รู้เพียงการเขียนเนื้อเพลงและโน้ตดนตรีแค่งูๆปลาๆเท่านั้นล่ะครับ เอาเป็นว่าผมจะจดมันให้กับคุณและทางคุณก็ไปหาคนเรียบเรียงใหม่อีกทีแล้วกัน เมื่อครู่นี้ผมร้องไปแค่ท่อนแรกเท่านั้น ท่อนที่สองก็เป็นเนื้อหาเดียวกัน มันเป็นอย่างไรบ้างครับ? เพลงนี้เหมาะกับเสียวหู่ตุ้ยหรือเปล่า?”


ก่อนที่ซงเหวินจะได้ตอบอะไร ‘อู๋ฉีหลง’ หนึ่งในสมาชิกของเสียวหู่ตุ้ยผู้มีใบหน้าหล่อเหลาก็เอ่ยขึ้น


“เพลงนี้เหมาะกับพวกเราจริงๆครับ ต้องขอบคุณผู้จัดการเฝิงที่มอบเพลงนี้ให้กับเรา ท่อนแรกของเพลงก็ดูเหมาะกับโฆษณาชานมเหมือนกันนะครับ”


อู๋ฉีหลงก็อยากรู้เช่นกัน เพลงนี้ควรจะถูกเขียนไว้นานแล้วแต่ผู้จัดการเฝิงกับใส่เนื้อหาว่าดื่มชานมเข้าไปในเพลง? หากเพลงนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ผู้จัดการเฝิงก็ไม่ควรร้องเพลงนี้ได้ดีนัก เห็นได้ชัดเจนว่าเขาฝึกร้องเพลงนี้มาพอสมควร นี่มันดูแปลกเกินไป?


แต่ไม่ว่าอย่างไรเพลงนี้ก็เหมาะกับเสียงร้องและสไตล์ของพวกเขายิ่งนัก หากเสียวหู่ตุ้ยได้แสดงเพลงนี้พวกเขาก็น่าจะได้แฟนคลับเพิ่ม ผู้จัดการเฝิงเป็นอัจฉริยะจริงๆและพวกเขาก็ไม่ควรสงสัยในตัวเขาเช่นกัน


“ผมเขียนเพลงนี้เมื่อตอนที่ผมว่างนะครับ ผมได้เปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนเมื่อคิดว่ามันเหมาะกับโฆษณาชิ้นนี้ คุณควรหานักแต่งเพลงสักคนเพื่อเรียบเรียงมันใหม่และใช้มันประกอบโฆษณาชิ้นนี้”


เฝิงหยู่กล่าว


มันเป็นเพราะ‘ซูโหย่วเผิง’หนึ่งในสมาชิกของเสียวหู่ตุ้ยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ เฝิงหยู่จำเนื้อหาเพลงนี้ได้ขึ้นใจเพราะหลังจากที่เสียวหู่ตุ้ยยุบวงเพลงนี้ได้เป็นเพลงเดี่ยวที่มีชื่อเสียงของซูโหย่วเผิงนั่นเอง


“ไม่ต้องกังวลไปครับผู้จัดการเฝิง! ผมจะหาคนมาเรียบเรียงเพลงใหม่ในคืนนี้เลย มั่นใจได้เลยว่าเพลงนี้จะถูกบันทึกเสียงโดยเร็วที่สุด..ว่าแต่ค่าลิขสิทธิ์เพลงล่ะครับ?”


“ค่าลิขสิทธิ์เพลง?  ผมไม่สนใจเรื่องนี้หรอกครับ ผมมอบเพลงนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับพวกเขาแล้ว ขอแค่พวกเขาร้องเพลงนี้ออกมาให้ดีที่สุด ผมก็พอใจแล้วครับ”


เฝิงหยู่โบกมือปฏิเสธ ค่าลิขสิทธิ์เพลงจะได้เท่าไหร่กัน?


หลังทานอาหารเย็นเสร็จ เฝิงหยู่ก็หยิบกระดาษมาจดเนื้อเพลงพร้อมโน้ตเพลงให้กับพวกเขา เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็เดินทางกลับพร้อมหลี่นาทันที


ภายในรถที่มีเพียงหลี่นาและเฝิงหยู่ หลี่นากำลังจ้องไปที่เฝิงหยู่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักโดยไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา


“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ? คุณดีใจหรือเปล่าที่ได้มาเจอเสียวหู่ตุ้ยตัวเป็นๆ?”


“ดีใจสิ..แต่ฉันดีใจมากกว่าที่ได้ฟังเพลงที่คุณแต่งเอง เพลงที่คุณแต่งดีมากเลยและคุณก็ร้องเพราะมาก”


“ดีกว่าเสียวหู่ตุ้ยหรือเปล่า?”


เฝิงหยู่ถามด้วยความเขิน


“ดีกว่าสิ!”


หลี่นาตอบอย่างรวดเร็ว


เฝิงหยู่สมบูรณ์แบบในสายตาของหลี่นาเสมอ แม้แต่ไอดอลในดวงใจก็ไม่สามารถเทียบกับเฝิงหยู่ได้ในทุกๆเรื่อง! นอกจากนี้เฝิงหยู่ยังรู้วิธีแต่งเพลง แล้วเสียวหู่ตุ้ยล่ะแต่งเพลงให้ตัวเองกี่เพลงกัน?


เฝิงหยู่หัวเราะและเอ่ยแซวหลี่นา


“ผมชอบหน้าตาตอนคุณโกหกจังเลย”


“เอ๊ะ..”


หลี่นากำหมัดชกไปที่ต้นแขนของเฝิงหยู่เบาๆ


“ฮ่าฮ่าฮ่า..เดี๋ยวผมจะร้องเพลงนี้ให้คุณฟังทีหลัง”


.


.


“…….ผมอารมณ์ดีได้ก็เพราะคุณ♫♫~”


เฝิงหยู่กำลังร้องเพลงพร้อมเล่นกีตาร์ให้หลี่นาฟัง ซึ่งหลี่นาก็ตกเข้าไปในภวังค์แห่งเพลงที่เฝิงหยู่ร้องให้ฟังเป็นที่เรียบร้อย


“เล่นอีกทีสิ”


“ตกลง..เอาอีกทีนะ”


หลังจากเล่นเพลงนี้อีกครั้ง เฝิงหยู่ก็เตรียมที่จะวางกีตาร์ลงแต่หลี่นากลับขัดขึ้นมาก่อน


“ฉันชอบเพลงนี้จัง..เล่นอีกทีน้า”


เฝิงหยู่ก้มมองนิ้วมือของตนเอง แม้ว่าเขาจะใช้ปิ๊กในการเล่นกีตาร์แต่นิ้วมือของเขาก็ยังเจ็บอยู่ดี เมื่อเงยหน้ามองหลี่น่าเขาก็ทนกัดฟันและเล่นเพลงอีกครั้ง


หลังจากเล่นจบเฝิงหยู่ก็รีบบอกหลี่นาทันทีเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะอ้าปากพูด


“นิ้วของผมเจ็บไปหมดเลย..วันนี้ผมคงเล่นกีตาร์กับร้องเพลงให้คุณฟังไม่ไหวแล้วล่ะ..ผมจะสอนเพลงนี้ให้คุณเล่นดีมั้ย?”


หลี่นาคว้ามือของเฝิงหยู่มานวดคลึงอย่างเบามือ


“หยุดเลย..ทำไมไม่บอกฉันล่ะคะว่านิ้วคุณเจ็บขนาดนี้?”


“คุณอยากฟังเพลงนี้ผมก็เลยตั้งใจร้องให้คุณฟัง..เพราะ..ผมอารมณ์ดีได้ก็เพราะ…คุณ”


เมื่อเฝิงหยู่พูดจบก็อุ้มหลี่นาขึ้นจากโซฟาและตรงไปยังห้องนอนทันที เขาต้องการทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวเองอารมณ์ดียิ่งกว่าเดิม!


EG บทที่ 672 บริษัทของคุณต้องการเงินเพิ่มหรือเปล่า?


 


ซ่งจิงเซียนกำลังตัดสินใจเลือกผู้รับเหมาที่ดีที่สุด โฆษณาถูกถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยและอยู่ในกระบวนการตัดต่อเพื่อเตรียมออกอากาศ สูตรของชานมก็ได้รับการพัฒนาและมีโอกาสให้หลายๆคนได้ลองชิมรสชาติของมันดู ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็ไปในทิศทางบวก


แม้แต่เฝิงหยู่ก็ยังเอ่ยปากชมว่าชานมมีรสชาติที่ดีและมันจะต้องขายดีอย่างแน่นอน


ด้วยคอนเนคชั่นที่มีทำให้ซ่งจิงเซียนได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลและอนุญาตให้ผลิตและวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ได้ทันที แต่ปัญหาหลักคือการเลือกผู้รับเหมายังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด


ซ่งจิงเซียนได้ติดต่อไปยังโรงงานบางแห่งแล้ว ซึ่งโรงงานเหล่านี้มีความสามารถที่จะดำเนินการตามสิ่งที่เขาต้องการได้และเขาจะตัดสินใจเลือกโรงงานผู้รับเหมาที่เขาคิดว่าดีที่สุดในอีก2-3วันนี้ หลังจากนั้นการผลิตจะเริ่มต้นขึ้น


เฝิงหยู่เองก็ได้รับปากที่จะให้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นตัวแทนนำร่องเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชานมของลีฮาฮา หลังจากโฆษณาชิ้นนี้ได้ออกฉายผ่านช่อง CCTVในปีหน้า มันก็จะถูกนำไปฉายในช่องโทรทัศน์ในต่างประเทศเช่นกัน แผนการต่อไปที่พวกเขาวางไว้ก็คือการส่งออกผลิตภัณฑ์ชานมไปยังต่างประเทศทันที


ในขณะนี้มีตัวแทนจากโรงงานผลิตอาหารและขนมสำหรับเด็กในมณฑลกวางตุ้งมาขอพบซ่งจิงเซียนถึงบริษัท โรงงานแห่งนี้ต้องการเป็นผู้รับเหมาของลีฮาฮาในการผลิตเม็ดไข่มุกและวุ้นมะพร้าว


“คุณซ่งครับ..ถึงบริษัทของเราจะไม่ใหญ่โตมากนักแต่เราก็สามารถผลิตสินค้าตามที่ลีฮาฮาต้องการได้ครับ..กำไรที่เราต้องการก็ไม่ได้สูงมากนัก”


หลี่ต้าจุนกล่าวอย่างกังวลใจ


“ผู้จัดการหลี่ครับถึงแม้คุณจะพูดเช่นนี้แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจนะครับ..เราต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากในการเริ่มต้นและเราไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งที่อาจล้มเหลวได้นะครับ โรงงานของคุณก็เพิ่งจะตั้งได้ไม่นานและโรงงานก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร คนงานของคุณเองก็ไม่ได้มีมากนัก เราจะเชื่อใจคุณได้อย่างไรล่ะครับ?”


ซ่งจิงเซียนถามกลับทันที


หากใครต่อใครสามารถเดินมาหาเขาพร้อมกับกล่าวอ้างว่าตนสามารถผลิตสิ่งที่เขาต้องการได้ แล้วถ้าเขาบ้าจี้เชื่อตามสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้พูด บริษัทของเขาคงล้มละลายไปนานแล้ว! การทำธุรกิจไม่ใช่ว่าใครจะมาพูดลอยๆอย่างไรก็ได้และเขายังต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นและพนักงานของลีฮาฮาอีกด้วย


“เราได้กู้เงินจากธนาคารไปแล้วครับ เรากำลังดำเนินการขยายโรงงานของเราพร้อมทั้งลงทุนซื้อเครื่องจักรชิ้นใหม่และรับคนงานเพิ่มขึ้นซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการฝึกอบรมครับ เราสามารถดำเนินการผลิตตามออเดอร์ของคุณได้อย่างแน่นอน คุณสามารถกำหนดเงินค่าชดเชยเพิ่มขึ้นได้นะครับ หากเราไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามเวลาที่คุณกำหนด ทางเราก็ยินดีที่จ่ายเงินค่าชดเชยในจำนวนที่สูงขึ้นในกรณีที่เราทำผิดสัญญาครับ”


“เรียกค่าชดเชยสูงขึ้น? ผมไม่คิดว่านี่คือความคิดที่ดีนะครับ แม้ว่าจำนวนเงินชดเชยจะเพิ่มสูงขึ้น คุณก็ยังต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับเราอยู่ดีแต่อย่าลืมนะครับว่าโรงงานของคุณมีมูลค่าประมาณ 2 ล้านหยวนเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นธนาคารก็จะอายัดบัญชีของคุณและเรียกเก็บเงินจากการกู้ยืมของคุณก่อน นั่นหมายความว่าเราจะไม่ได้รับค่าชดเชยแม้แต่น้อย หากคุณชะลอการผลิตของเราไป เราอาจต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนหลายสิบล้าน ถ้ามันเกิดขึ้นจริง! คุณจะชดเชยให้พวกเราได้หรือเปล่า?! ”


อารมณ์ของซ่งจิงเซียนเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ


“คุณซ่งครับ..เราอาจจะขายเยลลี่แต่วุ้นมะพร้าวของเรามีคุณภาพจริงๆนะครับ มันจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ผมรับประกันในคุณภาพของสินค้าเรา!”


“พอ! มันก็แค่วุ้นเท่านั้น! มีโรงงานหลายร้อยแห่งในจีนที่สามารถผลิตวุ้นได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่าคุณทั้งนั้น! ทำไมเราต้องมาทำสัญญากับคุณด้วย! อีกอย่างถ้าเรายอมรับข้อเสนอของคุณจริง แล้วเยลลี่ของคุณล่ะ? จะมีคนงานไปผลิตเยลลี่ให้คุณหรือเปล่า? ไลน์การผลิตของคุณมีเพียงพออย่างนั้นหรือ? คุณสามารถผลิตสินค้าให้เราได้เต็มเวลาหรือไม่? ตอนนี้ผมยุ่งมากไม่มีเวลามาคุยเรื่องนี้กับคุณหรอกนะ! เสี่ยวหวางเชิญเขาออกไปที!”


ซ่งจิงเซียนลุกขึ้นและเดินออกจากห้องประชุมทันที เฝิงหยู่กำลังรอพบเขาอยู่ เขาไม่มีเวลามาเสวนากับโรงงานเล็กๆแบบนี้หรอกนะ!


“คุณซ่งครับ! กวางตุ้งสตรองกรุ๊ปของเรามีความจริงใจและอยากทำงานร่วมกับคุณจริงๆนะครับ! โปรดเชื่อใจพวกเราด้วย!”


หลี่ต้าจุนตะโกนเสียงดัง


เฝิงหยู่ที่นั่งคอยอยู่ในห้องประชุมข้างๆจึงเปิดประตูออกมาเมื่อได้ยินเสียงดังจากด้านนอก


“คุณซ่ง! เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”


“ก็แค่บริษัทเล็กๆที่อยากมาเป็นผู้รับเหมาของเรานะครับ”


ซ่งจิงเซียนอธิบายอย่างหงุดหงิด


“หืม? บริษัทเล็กขนาดนั้นเลยหรือครับ?”


“ไม่ใช่แค่เล็กอย่างเดียวนะครับ! ถึงแม้โรงงานของเขาจะเป็นโรงงานผลิตอาหารแต่มันก็เป็นเพียงโรงงานผลิตเยลลี่ให้กับเด็กๆเท่านั้น พวกเขาไม่ตรงตามข้อกำหนดของเราเลยครับ ”


หลี่ต้าจุนเห็นว่าบุคคลที่เข้ามาใหม่สามารถพูดคุยกับซ่งจิงเซียนได้อย่างเป็นกันเองเขาจึงตะโกนไปหาบุคคลผู้นี้ทันที


“ท่านครับ!..กวางตุ้งสตรองกรุ๊ปของเรามีศักยภาพจริงๆนะครับ โปรดพิจารณาพวกเราด้วย!”


“เสี่ยวหวาง! เรียกรปภ.มาลากตัวเขาออกไปที!”


ซ่งจิงเซียนโกรธจัด เขาเป็นคนแบบไหนกันนะ?


“เดี๋ยวก่อน!”


เฝิงหยู่หยุดเสี่ยวหวางเอาไว้


“บริษัทของคุณชื่ออะไรนะครับ?”


“กวางตุ้งสตรองกรุ๊ปครับ! เราเป็นโรงงานผลิตเยลลี่ เราเพิ่งเริ่มตั้งโรงงานเมื่อปีที่แล้วแต่เราก็สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาน้อยกว่า 2 ปี มูลค่าของบริษัทเราเพิ่มขึ้นหลายเท่าเลยครับ!”


หลี่ต้าจุนอธิบายอย่างรวดเร็ว


“นั่นเป็นเพราะบริษัทของคุณมันเล็กไงถึงเติบโตได้เร็ว! แม้ว่ามูลค่าของบริษัทคุณจะเพิ่มขึ้นจริงแต่มันก็มีมูลค่าประมาณ 2 ล้านหยวนเท่านั้น!”


ซ่งจิงเซียนเอ่ยเพิ่มอย่างหัวเสีย


คุณต้องการหลอกผู้จัดการเฝิงด้วยถ้อยคำเหล่านี้งั้นหรือ? จะเป็นอย่างไรถ้าผู้จัดการเฝิงหลงเชื่อคำของคุณ? แล้วถ้าบริษัทของคุณไม่สามารถดำเนินการผลิตและส่งมอบสินค้าให้เราได้ทันเวลา? ใครกันจะเป็นผู้รับผิดชอบ?


เฝิงหยู่ได้ยินสิ่งที่หลี่ต้าจุนพูดก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่นทันที เขาขอให้ซ่งจิงเซียนตั้งชื่อชานมว่า ‘U.Loveit’และทันใดนั้นกวางตุ้งสตรองกรุ๊ปก็มาเยือนถึงถิ่นทันที มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมกวางตุ้งสตรองกรุ๊ปผู้มีชื่อเสียงโด่งดังถึงมีสภาพเช่นนี้?


“เสี่ยวหวางเตรียมชาให้ผมที ผมอยากคุยกับเขาสักหน่อย”


เมื่อเฝิงหยู่เอ่ยเช่นนั้นซ่งจิงเซียนก็ไม่สามารถขัดเขาได้ เขาตามคนทั้งคู่เข้าไปในห้องประชุมด้วย เขาไม่ต้องการให้หลี่ต้าจุนหลอกเฝิงหยู่และปล่อยให้ลีฮาฮาประสบกับภาวะขาดทุนเป็นอันขาด


เฝิงหยู่ไม่ค่อยเข้ามายุ่งในการบริหารของลีฮาฮามากนัก เขาคอยให้คำแนะนำอยู่ห่างๆเท่านั้นแล้วทำไมวันนี้เขาถึงอยากพูดคุยกับกวางตุ้งสตรองกรุ๊ปขึ้นมาล่ะ?


เป็นไปได้หรือเปล่าที่ผู้จัดการเฝิงต้องการให้ลีฮาฮาผลิตเยลลี่ขายด้วย? แต่เยลลี่ไม่ว่าใครก็สามารถผลิตได้ แม้ว่าเยลลี่จะขายภายใต้แบรนด์ของลีฮาฮาก็ใช่ว่ายอดขายจะดีตาม มันอาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวได้ ตั้งแต่ลีฮาฮาก่อตั้งมายังไม่เคยมีผลิตภัณฑ์ไหนล้มเหลวมาก่อนและผลิตภัณฑ์แรกที่มันจะล้มเหลวต้องไม่ใช่เยลลี่เด็ดขาด!


“คุณชื่ออะไรหรือครับ? ผมเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของลีฮาฮาแต่อำนาจของผมไม่ได้สูงเท่าคุณซ่งหรอกนะครับ..แต่ผมก็พอจะให้คำแนะนำในบริษัทนี้ได้บ้าง บอกผมได้มั้ยครับว่าทำไมคุณถึงมั่นใจในการเป็นผู้รับเหมาของลีฮาฮาขนาดนั้น?”


“ผม..หลี่ต้าจุนครับ! ผมเคยทำงานในบริษัทผลิตอาหารในไต้หวันมาก่อนซึ่งโรงงานนั้นมีการผลิตเม็ดไข่มุกจากมันสำประหลังด้วยครับ อีกทั้งโรงงานของเราในตอนนี้มีความเข้มงวดในด้านความปลอดภัยด้านอาหารและสุขอนามัยของโรงงาน พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลในด้านการผลิตของโรงงานเรานะครับ เราจะไม่สร้างปัญหาใดๆให้กับลีฮาฮาและคนงานของเราก็ตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อผลิตสินค้าให้ได้ตามออเดอร์”


เฝิงหยู่ส่ายศีรษะ


“ปริมาณการสั่งซื้อของเราค่อนข้างสูงและบริษัทของคุณจะไม่สามารถผลิตได้ทันตามกำหนด แล้วคุณเคยผลิตวุ้นมะพร้าวมาก่อนหรือเปล่า? แล้วพวกผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องล่ะเคยทำมาก่อนมั้ย?”


“เราจะนำเสนอวุ้นในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น มีการใส่ผลไม้เข้าไปในวุ้นด้วยครับ ทางเราได้ทำการพัฒนาสูตรวุ้นมะพร้าวมาก่อนเช่นกัน เรามั่นใจว่าเราจะสามารถผลิตสินค้าได้ทันตามออเดอร์ คุณซ่งครับ? คุณไม่สามารถใช้ผู้รับเหมาเพียงรายเดียวในการผลิตสินค้าให้คุณได้นะครับ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นผลิตภัณฑ์ของคุณจะได้รับผลกระทบทันที ทางเราต้องการเป็นเพียงหนึ่งในผู้รับเหมาของคุณเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องทำตามออเดอร์ทั้งหมดของคุณเลยนะครับ”


หลี่ต้าจุนอธิบาย


เฝิงหยู่ขมวคิ้วอีกครั้งสิ่งที่หลี่ต้าจุนกล่าวเป็นเรื่องจริง หากเก็บไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวและตะกร้าใบนั้นเกิดร่วงลงพื้นขึ้นมา แน่นอนว่าไข่ทั้งหมดจะแตกทันที!


“ผู้จัดการซ่งครับ..มีโรงงานอื่นอยู่ในใจคุณบ้างหรือเปล่า? ได้เซ็นสัญญากับบริษัทไหนไปบ้างหรือยัง?”


“ไชน่าโคโคนัทปาล์มกรุ๊ปจะช่วยผลิตวุ้นมะพร้าวให้เราครับ ส่วนตงหนานซันฟาจะเป็นคนผลิตเม็ดไข่มุกให้กับเรา แต่ทั้ง 2 บริษัทยังไม่ได้เซ็นสัญญากับเรา มันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเท่านั้นครับ ”


“แล้วทำไมไม่ให้กวางตุ้งสตรองกรุ๊ปช่วยพวกเขาล่ะครับ? ผมว่าโรงงานของพวกเขาดูเหมาะกับออเดอร์นี้ดีนะ”


เฝิงหยู่เอ่ยแนะนำ


“ตกลงครับ! เราจะสั่งออเดอร์นี้กับพวกเขาแต่มันไม่ใช่ปริมาณที่มากนะครับเพราะถึงอย่างไรโรงงานนี้ก็ไม่น่าจะผลิตสินค้าให้เราได้มากขนาดนั้น และถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นเราจะยกเลิกสัญญากับพวกเขาทันที”


เฝิงหยู่หันกลับมามองหลี่ต้าจุนทันที


“ปัญหาของคุณได้รับการคลี่คลายแล้วล่ะครับ”


“ขอบคุณครับ..ขอบคุณมากจริงๆ”


รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเฝิงหยู่


“อ้อ!? โรงงานของคุณกำลังโตขึ้นเรื่อยๆใช่มั้ยครับ? แล้วคุณต้องการเงินเพิ่มหรือเปล่า?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม