Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น 645-658

 EG บทที่ 645 ยุคของสองฟอร์แมต


บริษัททั้งหมดต่างเห็นด้วยกับความต้องการของเฝิงหยู่และแน่นอนว่าเฝิงหยู่จะให้ผลประโยชน์ที่เหมาะสมกับพวกเขาอย่างแน่นอนแต่ถ้าบริษัทเหล่านี้ไม่ต้องการร่วมมือกับเฝิงหยู่ในอนาคตหรือต้องการถอนตัวออกจากสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีแล้วล่ะก็? แต่ละบริษัทจะต้องจ่ายเงินถึง 40 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับสภากลาง หากบริษัทเหล่านี้ปรารถนาจะทำเช่นนั้นจริงก็เท่ากับว่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับวินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิกส์และยากที่พวกเขาจะไปเข้าร่วมกับโตชิบาและโซนี่ในอนาคตได้เช่นกัน


“ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไปค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตของเครื่องเล่นวีซีดีจะลดลง50%และในอนาคตค่าธรรมเนียมจะลดลงปีละ 5 ดอลล่าร์”


เฝิงหยู่ประกาศออกมา


แม้ว่าค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจะลดลงครึ่งหนึ่งแต่ก็ยังฟันราคาถึง 25 ดอลล่าร์ต่อหน่วยและบริษัทเหล่านี้ยังต้องจ่ายเฝิงหยู่ไปอีกเกือบ 5 ปี ที่จริงแล้วบริษัทเหล่านี้อาจจะไม่ได้จ่ายเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้กับเฝิงหยู่นานขนาดนั้น เพราะอีก 3 ปีข้างหน้าเครื่องเล่นดีวีดีจะเข้ามาแทนที่เครื่องเล่นวีซีดีแล้ว


ดูเหมือนว่าเงื่อนไขนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเหล่านี้แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน เฝิงหยู่ได้ประกาศลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตลงครึ่งหนึ่งและทุกๆปีจะลดลงอีก บริษัทเหล่านี้สามารถพูดอะไรได้อีกงั้นหรือ? พวกเขาจะสามารถต่อราคาลงอีกได้มั้ย? ทำไมเฝิงหยู่ไม่งดค่าธรรมเนียมไปเลยล่ะ? แล้วใครล่ะที่จะบ้าไปเห็นด้วยกับเรื่องนี้?


แต่ถ้าบริษัทเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้แสดงว่าพวกเขาขาดความจริงใจที่จะร่วมมือด้วย


บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องยอมรับข้อเสนอนี้เท่านั้นแต่บริษัทญี่ปุ่นบางแห่งไม่พอใจกับเงื่อนไขนี้ พวกเขาเริ่มเรียกร้องกันอีกครั้ง สำหรับปีนี้ราคาเครื่องเล่นวีซีดีไม่สามารถลดราคาลงได้อีกต่อไป ถ้ามันต้องลดราคาลงอีกพวกเขาทั้งหมดจะไม่ได้กำไรและอาจขาดทุนในที่สุด


หากคำนวณผลกำไรของเครื่องเล่นวีซีดีคร่าวๆหลังจากลดค่าธรรมเนียมลงครึ่งหนึ่งแล้วยังได้กำไรเพียง 20 ดอลล่าร์เท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำมาก


แน่นอนว่าเฝิงหยู่เองก็เห็นด้วย เขาเองก็ไม่ยอมปล่อยให้ราคาขายปลีกเครื่องเล่นวีซีดีลดลงไปอีกเพราะมันก็ส่งผลกระทบต่อกำไรของเขาเช่นกัน


เขายังต้องการให้คนเหล่านี้ช่วยโปรโมทเครื่องเล่นดีวีดีของเขา นอกจากนี้เขาตกลงที่จะรักษาราคาเครื่องเล่นวีซีดีของปีนี้ไว้ในราคาเท่านี้ซึ่งเขาสามารถลดราคาลงหลังจากปีนี้ได้หากตัวเขาต้องการ


นอกจากนี้ความสนใจหลักของเฝิงหยู่คือเครื่องเล่น Super VCD กำไรหลักๆจากเครื่องเล่นSuper VCD ทำได้มากกว่าเครื่องเล่นวีซีดีแบบธรรมดาหลายเท่าและยังขายได้ดีกว่า ซึ่งเครื่องเล่นSuper VCD รุ่นที่ 2 จะออกวางขายในปีหน้าและเครื่องเล่นวีซีดีแบบธรรมดาจะล้าสมัยในที่สุด


ถ้าเฝิงหยู่ต้องการสอนบทเรียนให้กับบริษัทเหล่านี้แล้วล่ะก็? เขาสามารถลดราคาขายปลีกของเครื่องเล่น Super VCD ลง แน่นอนว่าบริษัทเหล่านี้จะต้องกระอักเป็นเลือดอย่างแน่นอน


แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะทำเช่นนั้นได้เพราะโซนี่และบริษัทพันธมิตรของพวกเขายังคงแข็งแกร่ง


เมื่อสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีสามารถดึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นขวัญใจของผู้บริโภคเข้าร่วมได้เกือบ 30 บริษัทและตั้งสำนักงานใหญ่ที่ประเทศจีน โซนี่และพันธมิตรของพวกเขาจะต้องตื่นตระหนกแน่นอน!


เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับเชิญให้เข้าประชุมในครั้งนี้ด้วยล่ะ? พวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ในลำดับต้นๆเช่นกัน ใครกัน? บริษัทไหนกันที่เป็นตัวตั้งตัวตีจัดงานประชุมนี้ขึ้นมา!?


สำนักงานใหญ่ของสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีจะตั้งอยู่เมืองเหอเฟยใช่มั้ย? นั่นหมายความว่าวินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิคส์เป็นคนเริ่มต้นองค์กรนี้ขึ้นมา บริษัทเล็กๆพวกนั้นคิดว่าพวกเขาสามารถเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีเมื่อได้รับสิทธิบัตรอย่างนั้นหรือ? พวกเขาโง่หรือเปล่า? ทำไมพวกเขาจึงเข้าร่วมองค์กรนี้?


เมื่อโซนี่และบริษัทที่เหลือเห็นรายชื่อสมาชิกที่เขาร่วมสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีนี้แล้ว พวกเขาตระหนักได้ว่าแม้แต่ไมโครซอฟท์และทาทากรุ๊ปก็ยังเข้าร่วมองค์กรนี้ เครื่องเล่นดีวีดีเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทซอฟต์แวร์? ทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะเข้าร่วมล่ะ?


โซนี่และบริษัทที่เหลือไม่อาจยอมรับการก่อตั้งสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีนี้ได้ พวกเขาที่เหลือกำลังจะทิ้งให้โดดเดี่ยวหรือนี่?


เทคโนโลยีดีวีดีเอนโค้ดดิ้งมีทั้งหมด 3 ฟอร์แมตและข้อกำหนดเฉพาะอีก 5 ข้อ DVD + R / RW มาจากวินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งพวกเขาถือเป็นผู้บุกเบิก DVD + R / RWขึ้นมา ส่วนฟอร์แมตของโตชิบาคือ DVD-RAM RWซึ่งยังอยู่ในกระบวนการทดลองและยังต้องทำการพัฒนาต่อไป ในขณะที่อีกไม่ช้าRAM จะถูกแทนที่ด้วย ROMแล้วเช่นกัน


ที่จริงแล้วบริษัทไอว่ายังคงพัฒนา DVD-Audio อย่างต่อเนื่องหลังจากที่พัฒนาดีวีดีออปติกไดร์ฟออดิโอขึ้นมาแล้ว วินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิคส์เองก็ได้ทำการค้นคว้าและทดลองเกี่ยวกับ DVD-video เช่นกัน เทคโนโลยีพวกนี้ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาและยังไม่สามารถเปิดตัวสู่ท้องตลาดได้


ดังนั้น DVD+R, DVD-R, และ DVD-RAM ถือเป็นฟอร์แมตหลักของอุตสาหกรรมนี้และยังเป็นการแข่งขันสำหรับบริษัทต่างๆอีกด้วย บริษัทต่างๆจะคิดฟอร์แมตที่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมเฉพาะของพวกเขาขึ้นมา ในตอนแรก DVD + R ถือเป็นฟอร์แมตที่อ่อนที่สุดและมีบริษัทที่ให้การสนับสนุนฟอร์แมตนี้น้อยที่สุดอีกด้วย ส่วน DVD-RAM ของโตชิบาเป็นฟอร์แมตที่บริษัทอื่นๆให้การสนับสนุนมากที่สุด


แต่ตอนนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป DVD + R จะกลายเป็นรูปแบบที่สำคัญและอีก 2 ฟอร์แมตที่เหลือจะค่อยๆสูญเสียคนให้การสนับสนุนไปในที่สุด


บริษัทที่ถือครอง 2 ฟอร์แมตที่เหลือต่างเป็นพันธมิตรกันและยังเป็นศัตรูกับวินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิคส์อีกด้วย พวกเขาเริ่มเป็นผู้นำในตอนแรกแต่ทันใดนั้นกระแสน้ำก็เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน


ทางออกเดียวคือพวกเขาจะต้องจับมือทำงานร่วมกันและเลือกนำเสนอฟอร์แมตเดียวเท่านั้นหากไม่ทำเช่นนั้นพวกเขาอาจถูกวินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิคส์โจมตีได้ง่ายๆ


แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือฟอร์แมตใดที่พวกเขาควรใช้เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมกันแน่?


ทั้ง 2 ฝ่ายต้องทำงานร่วมกันแต่สำหรับการร่วมมือกันนั้นก็ต้องเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมกับทั้ง 2 ฝ่ายเช่นกัน ทั้งคู่ต่างเป็นบริษัทใหญ่และต่างมีเทคโนโลยีที่ดีเช่นกัน ไม่มีเหตุผลใดที่พวกเขาจะยกเลิกฟอร์แมตของตนเองเพื่อไปสนับสนุนบริษัทอื่น


ดังนั้นโตชิบา โซนี่ ไพโอเนียร์และบริษัทที่เหลือจึงนัดพูดคุยกันเรื่องนี้ พวกเขาต่างมีเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือการให้คนอื่นสนับสนุนฟอร์แมตของตนเอง


บริษัทเหล่านี้ล้วนเข้าใจดีว่าหากพวกเขาเลือกดำเนินการต่างๆตามแบบที่พวกเขาคิดมีโอกาสสูงที่จะล้มเหลวได้ หากพวกเขาร่วมมือกันจึงจะสามารถต้านวินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิคส์ได้ ใครกันล่ะที่อยากจะล้มเหลว!


โตชิบาและโซนี่ทำงานร่วมกันและโซนี่มีโรงงานผลิตแผ่นดิสก์ขนาดใหญ่ นอกจากนี้โตชิบายังเป็นผู้ถือหุ้นของวอร์เนอร์บราเธอส์และโซนี่เป็นเจ้าของโคลัมเบียพิกเจอร์


ไพโอเนียร์เองก็มีโรงงานผลิตแผ่นดิสก์ขนาดใหญ่และได้รับการสนับสนุนจาก HP ซึ่งHPเป็นผู้นำเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ นอกจากนี้HPยังเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตPC ชั้นนำของโลกและต้องการไดร์ฟดีวีดีเช่นกัน


ทั้งสองฝ่ายเริ่มการเจรจา ความร่วมมือนี้จะต้องสำเร็จโดยเร็วที่สุดเนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกฟอร์แมตและมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อแข่งขันกับบริษัทที่เป็นสมาชิกในสภากลางเครื่องเล่นดีวีดี


ท้ายที่สุด HP ยื่นเงื่อนไขที่ว่าเทคโนโลยีไดร์ฟดีวีดีจะต้องให้พวกเขาได้ใช้ฟรีๆถึงจะยอมแพ้การแข่งขันนี้และให้พวกเขาเลือกใช้ฟอร์แมตของตัวเองได้ ไพโอเนียร์จึงไม่มีทางเลือกอื่น


เพื่อป้องกันการถูกขับออกจากเกมในครั้งนี้ ไพโอเนียร์จึงตกลงที่แนะนำฟอร์แมตDVD-RAMและยอมแพ้ที่จะนำเสนอ DVD-R แต่ไพโอเนียร์จะยังดำเนินการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ DVD-Rต่อไป


บริษัทเหล่านี้ได้ข้อสรุปและตัดสินใจที่จะใช้วิธีการเดียวกับที่สภากลางเครื่องเล่นดีวีดีทำ พวกเขาคิดที่จะตั้งองค์กรขึ้นมาเช่นกันโดยตั้งชื่อว่า ‘พันธมิตรดีวีดี’ บริษัทเหล่านี้จะใช้คอนเนคชั่นที่ตนมีในการเชิญบริษัทที่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีมาร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรของพวกเขาและพวกเขาจะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและสู้กับสภากลางเครื่องเล่นดีวีดี


แต่บริษัทขนาดใหญ่หลายๆแห่งต่างเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีไปจนหมดแล้ว ทำให้เหลือเพียงบริษัทที่เป็นอับดับ 2 หรือรองลงมาเท่านั้นที่ยินดีเข้าร่วม อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังสามารถจัดตั้งพันธมิตรนี้ได้อยู่ดี


หลังจากจัดตั้ง‘พันธมิตรดีวีดี’เป็นที่เรียบร้อย พวกเขาก็ประกาศทันทีว่าจะทำการวิจัยและนำเสนอฟอร์แมต DVD-RAM ออกสู่ท้องตลาด พวกเขายังอ้างอีกว่า DVD-RAM เป็นฟอร์แมตที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมนี้และรูปแบบDVD + R นั้นไม่มีทางสู้ได้


สภากลางเครื่องเล่นดีวีดีก็ทำการโต้กลับทันที มีการเปรียบเทียบระหว่าง 2 ฟอร์แมต สำหรับที่เก็บข้อมูลของDVD + R คือ 2.8G และที่เก็บข้อมล DVD-RAM มีเพียง 2.58Gเท่านั้น มันสามารถเปรียบเทียบและเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน


แต่ตัวเลขพวกนี้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีและเป็นผลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น มันยังไม่สามารถนำไปผลิตได้จำนวนมากๆ เทคโนโลยีของทั้ง 2 ฝั่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หากฟอร์แมตใดที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคได้มากฝั่งนั้นจะขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มและสามารถทำกำไรได้มากที่สุดในอนาคตอย่างแน่นอน


ดังนั้นอุตสาหกรรมเครื่องเล่นดีวีดีจึงถือได้ว่าเป็นยุคของ 2 ฟอร์แมตนั่นเอง


EG บทที่ 646 จดหมายที่รอมานาน


ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวันปิดเทอมฤดูร้อนแต่โจวเค่อซินก็ยังเดินทางไปโรงเรียนทุกวัน พ่อแม่ของเธอต่างดีใจที่เห็นลูกสาวของตนตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่ออนาคตทางการศึกษาของตนเอง


แต่พ่อแม่ของโจวเค่อซินไม่ต้องการให้เธอรู้สึกเบื่อหน่ายและคิดว่ามันเป็นสิ่งที่หนักเกินไปแม้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะใกล้เข้ามาแล้วก็ตาม


“ซินซิน! ดูท่าวันนี้ฝนจะตก ลูกไม่ต้องไปโรงเรียนก็ได้นะ อยู่พักผ่อนที่บ้านหรือจะออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆก็ได้นะลูก”


แม่ของเธอเอ่ยขึ้น


“โธ่ ม๊าคะ! ไม่เป็นไรหรอกน่า ฝนไม่เห็นจะตกสักหน่อย อีกอย่างหนูก็ขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนได้นี่ค่ะ”


โจวเค่อซินรีบสะพายกระเป๋านักเรียนของตนก่อนจะเดินไปหยิบร่มมาถือเอาไว้ หลังจากนั้นก็ออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปโรงเรียนทันที


โจวเค่อซินเดินทางไปโรงเรียนทุกวันในช่วงปิดเทอมเพื่อติวหนังสือสอบแต่มีบางอย่างที่สำคัญกว่านั้นคือเธอกำลังรอจดหมายอย่างใจจดใจจ่อ


ในปีแรกเธอได้รับจดหมายประมาณ2-3ฉบับ แต่ในปีที่2 ‘คนหล่ออันดับ2ของโลก’ได้เดินทางไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง พวกเขาได้แลกเปลี่ยนจดหมายเพียง 3 ฉบับเท่านั้น


‘คนหล่ออันดับ2ของโลก’กล่าวในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขาว่าจะเดินทางกลับมาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งในอีกไม่ช้านี้แล้ว เขายังบอกอีกว่าจะรีบเขียนจดหมายมาหาเธอทันทีที่เดินทางกลับมาถึงแต่จดหมายนั่นอยู่ไหนกัน?


ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะได้มารอจดหมายที่โรงเรียนได้ทุกวัน เธอจึงบอกพ่อและแม่รวมถึงเพื่อนๆของเธอว่ามาสอบซ่อมที่โรงเรียน


“ยัยหนู ไม่ต้องถามอั๊วเลยนะ? วันนี้ไม่มีจดหมายขอเธอหรอก”


คุณหลี่ผู้ทำหน้าที่เป็นยามรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนเอ่ยขึ้น


โจวเค่อซินรู้สึกผิดหวัง เธอก้มศีรษะลงมองพื้นก่อนจะค่อยๆเดินกลับไปที่ห้องเรียน


ทำไมไม่มีจดหมายล่ะ? เขาลืมฉันไปแล้วหรือไง? หรือว่าเขาไม่อยากเป็นเพื่อนทางจดหมายกับฉันอีกแล้ว? แต่ในจดหมายฉบับสุดท้ายเรายังคุยกันอย่างมีความสุขนี่นา?


โจวเค่อซินอยู่ในห้องเรียนเพียงลำพัง ตอนนี้ฝนกำลังตกและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอไม่มีใครต้องเดินทางมาที่โรงเรียนเพื่อสอบซ่อมอีกแล้ว โจวเค่อซินทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะเรียนก่อนจะหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ออกมา เธอเปิดหนังสืออย่างระมัดระวัง มีจดหมาย2-3ฉบับสอดไว้ในนั้น


เธอหยิบจดหมายออกมาและเริ่มอ่านมันช้าๆ เธออ่านจดหมายพวกนี้หลายสิบครั้งจนกระดาษเริ่มยับยู่ยี่แต่เธอก็ยังปรารถนาที่จะอ่านมันต่อไป แม้ว่าเธอจะจำเนื้อหาทั้งหมดในจดหมายเหล่านี้ได้ เธออ่านมันจนสามารถเลียนแบบได้ทุกประโยคของ‘คนหล่ออันดับ2ของโลก’


หลังอ่านจดหมายทั้งหมดจบลงอีกรอบเธอก็พับมันเก็บไว้อย่างประณีตก่อนจะเก็บมันไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเธออีกครั้ง หลังจากนั้นเธอหยิบหนังสือภูมิศาสตร์และเริ่มอ่านมันทันที


.


.


วันรุ่งขึ้นยังคงมีฝนตกปรอยๆแต่โจวเค่อซินยังยืนยันที่จะเดินทางมาโรงเรียนตามเดิม เธอไม่อยากพลาดโอกาสที่ได้รับจดหมาย


เมื่อเธอก้าวเข้าโรงเรียน รปภ.หลี่ก็รีบวิ่งออกมาจากจุดประจำการพร้อมกับโบกมือให้เธอทันที


“ยัยหนู! จดหมายของเธอมาแล้วนะ!”


จดหมายของฉัน!


ช่วงเวลาแห่งความสุขจู่โจมเข้าสู่ร่างของเธอทันที มันเป็นช่วงเวลาที่โจวเค่อซินมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมา เธอรอจดหมายฉบับนี้มานานยิ่งนัก!


โจวเค่อซินรีบวิ่งไปยังป้อมยามทันที เธอรีบจนลืมแม้กระทั่งหยิบร่มขึ้นมากันฝน เธอไม่สนใจว่าเม็ดฝนจะตกลงใส่ร่างเธอเพียงใด ทั้งเสื้อผ้าและหน้าผมต่างเปียกชื้นเล็กน้อย ปกติแล้วเธอจะเดินอย่างระมัดระวังในช่วงหน้าฝนเพื่อไม่ให้ตนเองเผลอไปเหยียบแอ่งน้ำขังจนกระเด็นใส่ตัวเอง แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รองเท้าของเธอเปียกเมื่อรีบวิ่งไปยังป้อมยามหน้าโรงเรียน


“รีบส่งมาให้หนูเร็ว!!!”


เธอวิ่งพลางตะโกนบอกรปภ.หลี่


“เอ้า! นี่ผ้าเช็ดหน้าของอั๊วเองเพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อเดือนก่อน ยังไม่เคยได้ใช้เลยนะ เช็ดตัวลื้อให้แห้ง เดี๋ยวจดหมายเปียกน้ำแล้วเนื้อหาจะเลือนจนอ่านไม่ออก”


รปภ.หลี่หัวเราะและยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้โจวเค่อซิน


เมื่อได้ยินว่าจดหมายอาจเปียกน้ำได้ โจวเค่อซินจึงชะงักไปครู่หนึ่ง เธอระงับความอยากรู้ของตัวเองเอาไว้ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตัวให้แห้ง เธอเน้นที่มือเป็นพิเศษเพื่อให้มันแห้งโดยเร็วที่สุด


“ที่นี่มีน้ำร้อน..ดื่มสักหน่อยมั้ย?เดี๋ยวเป็นหวัดขึ้นมาจะยุ่งนะ”


“ขอบคุณค่ะ!แต่หนูยังไม่อยากดื่ม เดี๋ยวหนูขึ้นไปห้องเรียก่อนนะค่ะ”


โจวเค่อซินคว้าจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะและเก็บไว้ในกระเป๋านักเรียนของเธอโดยเหน็บมันไว้ระหว่างหนังสือเรียนที่อยู่ในกระเป๋า เธอกางร่มออกและรีบเดินไปยังห้องเรียนของตนทันที


รปภ.หลี่ส่ายหน้าเล็กน้อย มันเป็นเพียงจดหมายเท่านั้นแต่เธอก็ถามหามันทุกวัน จนในที่สุดวันนี้เธอก็ได้รับจดหมาย ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้นี่นา?เพราะถึงอย่างไรจดหมายก็ไม่ได้บินหนีไปไหนเสียหน่อย


โจวเค่อซินวิ่งกลับไปที่ห้องเรียนและรีบเปิดประตูห้องเข้าไปทันที ไม่ใครอยู่ในห้องเลยสักคน เธอจึงรีบปิดประตูและวิ่งไปนั่งที่โต๊ะเรียนของเธอทันที


โจวเค่อซินยังไม่หยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่านแต่ดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมืออีกครั้ง หลังจากมั่นใจว่ามือแห้งดีแล้วเธอจึงหยิบจดหมายออกจากกระเป๋า


บนหน้าซองจดหมายเขียนด้วยลายมืออันคุ้นเคย ชื่อที่ระบุเอาไว้คือ‘คนหล่ออันดับ2ของโลก’!


โจวเค่อซินอมยิ้มเมื่อเห็นชื่อนั้น เธอแกะซองจดหมายอย่างระมัดระวังและหยิบตัวจดหมายออกมา มันเป็นจดหมายเพียง 1 แผ่นแต่เขียนไว้ทั้ง 2 หน้า เธอคลี่จดหมายออกและเริ่มอ่านเนื้อหาทันที


[ผมกลับมาจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงแล้วนะ..คุณสามารถติดต่อมาตามที่อยู่นี้ได้เลยหากคุณต้องการ.. การได้กลับมาในสถานที่อันคุ้นเคยทำให้ฉันรู้สึกดีมากเลย……..]


หลังจากอ่านจดหมายที่มีความยาว 2 หน้ากระดาษจบลงแต่โจเค่อซินกลับรู้สึกว่ามันยังไม่พอ เธอต้องการมากกว่านี้ เธอหยิบซองขึ้นมาดูอีกครั้งแต่ข้างในก็ยังว่างเปล่าเช่นเดิม


เธออ่านจดหมายซ้ำอีก 2 รอบก่อนจะหยิบสมุดขึ้นมาเขียนจดหมายตอบกลับ


<สวัสดีคนหล่ออันดับ 2 ของโลก ตอนนี้คุณกลายเป็นคนหล่ออันดับ 1 หรือยังนะ? ครั้งสุดท้ายที่คุณเขียนจดหมายมา คุณบอกว่าฮ่องกงเป็นเมืองที่คึกคักใช่หรือเปล่า? แล้วคุณรู้สึกผิดหวังหรือเปล่าที่ต้องกลับมาที่ปักกิ่ง? แล้วถ้าคุณเรียนขบแล้วคุณจะไปหางานทำที่ฮ่องกงหรือเปล่า?>


<สำหรับการสอบครั้งล่าสุด ฉันได้ที่ 2 ด้วยล่ะ? คะแนนของคนที่ได้ที่ 1 กับของฉันห่างกันแค่คะแนนเดียวเอง ทั้งๆที่ฉันควรจะทำได้แต่ก็ดันเลือกกาข้อผิดไปแลยแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย เฮ้อ!!>


<คุณคิดว่าฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้หรือเปล่า? โรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่ก็ไม่ใช่โรงเรียนที่ดีหรือมีชื่อเสียงอะไรนัก! แต่ฉันได้ยินมาว่าหากสมัครเข้าคณะที่ไม่เป็นที่นิยมนักโอกาสที่ฉันจะสอบติดก็จะเพิ่มสูงขึ้น ฉันควรลองทำแบบนั้นดีหรือเปล่านะ?>


โจวเค่อซินใช้เวลาเขียนจดหมายอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเขียนเสร็จก็อ่านทวนถึง 2 รอบเพื่อตรวจสอบตัวสะกดและการเว้นวรรค เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำข้อสอบไม่มีผิด เธอยกกระดาษขึ้นมาเป่าเบาๆเพื่อให้หมึกแห้งก่อนจะเริ่มพับกระดาษจดหมายอย่างประณีต


โจวเค่อซินไม่เหมือนเฝิงหยู่เพราะเฝิงหยู่จะพับกระดาษจดหมายเพียง 2 ทบและยัดมันลงซอง ในขณะที่โจวเค่อซินใช้เทคนิคการพับตามที่เคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ เธอพับกระดาษจดหมายเป็นรูปเด็กผู้ชาย แม้ว่าเธอจะไม่ได้พับเก่งมากนักแต่ก็ยังรู้สึกว่าจดหมายดูดีขึ้นเป็นกอง


เธอสอดกระดาษจดหมายลงในซองที่เตรียมไว้นานมาแล้ว ทั้งชื่อ ที่อยู่และแสตมป์ได้ติดไว้บนหน้าซองเป็นที่เรียบร้อย เธอใช้กาวปิดผนึกซองและตรวจสอบจนแน่ใจว่ามันปิดสนิทดีจากนั้นก็สอดมันไว้ในหนังสือและเก็บไว้กระเป๋านักเรียน


“หนูกลับก่อนนะค่ะ!”


“วันนี้กลับเร็วเหรอเนี่ย? กลับบ้านไปก็อย่าลืมจิบน้ำอุ่นด้วยล่ะ!จะได้ป้องกันหวัดได้ นอกไปจากการเรียนแล้วสุขภาพก็สำคัญเหมือนกันนะ”


รปภ.หลี่โบกมือลาให้โจวเค่อซิน ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วล่ะ? ปกติเธอจะอยู่โรงเรียนเกือบ 2 ชั่วโมงไม่ใช่หรือแต่วันนี้ไม่ถึงชั่วโมงก็ลับล่ะ?


หากรปภ.หลี่รู้ว่าโจวเค่อซินไม่ได้อ่านหนังสือแต่ใช้เวลาทั้งหมดในการอ่านและเขียนจดหมาย เขาคงพูดอะไรไม่ออกเลยล่ะ


ฝนกำลังจะลงเม็ดอีกครั้งและโจวเค่อซินไม่ต้องการส่งจดหมายในตู้ไปรษณีย์ที่เปียกชื้นนั่น เธอจึงเดินทางไปส่งจดหมายถึงที่ทำการไปรษณีย์ด้วยตัวเอง


เมื่อกลับออกมาโจวเค่อซินก็นึกสงสัยว่า ‘คนหล่ออันดับ 2 ของโลก’ จะตอบสนองอย่างไรเมื่อเขาได้รับจดหมายของเธอแล้ว


EG บทที่ 647 หัวขโมยในซุปเปอร์มาร์เก็ต 1


 


“คุณจ้าว! ที่คุณเรียกผมมาในวันนี้เพราะมีเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินใจได้งั้นหรือครับ?”


เฝิงหยู่เดินทางมายังสำนักงานใหญ่ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตในสาขาปักกิ่ง


“ผู้จัดการเฝิงครับ! มีคนขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรา”


มีขโมยในซุปเปอร์มาร์เก็ตงั้นหรือ? มันไม่ใช่เรื่องปกติหรือไง? เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นในซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลกนี่นา


หัวขโมยบางคนก็ถูกความจำเป็นบังคับและไม่มีทางเลือกอื่น บางคนก็ต้องการหาเงินด้วยวิธีการง่ายๆ การขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตจะสามารถประทังชีวิตพวกเขาไปได้อีกหลายวัน


“สรุปว่ามีขโมยในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราสินะ?”


“เราสามารถจับหนึ่งในนั้นได้ครับ”


“ก็จับพวกเขาส่งตำรวจสิครับ คุณยังต้องการให้ผมทำอะไรอีก?”


เฝิงหยู่รู้สึกงุนงง นี่ผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่รู้แม้แต่วิธีเบื้องต้นที่จะจัดการกับปัญหาแบบนี้ได้หรือนี่?


“การจับพวกเขาส่งให้ตำรวจถือเป็นขั้นตอนปกติที่เราต้องทำครับ มันคือสิ่งที่เราทำได้ในฮ่องกงแต่สำหรับที่นี่กลับต่างออกไป!จากการที่ผมสอบถามคนในท้องที่แล้ว พวกเขาต่างบอกว่าแม้ว่าเราจะส่งตัวหัวขโมยเหล่านั้นให้แก่ตำรวจมันก็เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวหลังจากผ่านไปแค่หนึ่งคืนและพวกเขาจะกลับมาพร้อมพรรคพวกอีกจำนวนมากเพื่อขโมยสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรา!”


ผู้จัดการจ้าวเอ่ยรายงานอย่างหงุดหงิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น


ให้ตายเถอะ! หัวขโมยพวกนี้ทำงานกันเป็นทีม!


แต่นี้คือสิ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ ผู้ที่ไม่มีประวัติอาชญากรรมและทำการโจรกรรมจำนวนหลายครั้งจะถูกปรับและนอนในห้องขังเพียง1-2 คืนเท่านั้น พวกมันพากันขโมยเงินไปใช้และพากันไม่ยอมเสียเงินค่าปรับ! สุดท้ายก็ถูกปล่อยตัวออกมา!


ทางเดียวที่เหลืออยู่สำหรับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตคือต้องคุมตัวหัวขโมยเอาไว้เอง ผู้จัดการจ้าวคนนี้ไม่ต้องการส่งตัวหัวขโมยให้กับตำรวจสินะ?


“แล้วคุณต้องการให้ผมทำอะไร?”


“เราจะสอบปากคำมันเอง!”


ผู้จัดการจ้าวมองไปที่เฝิงหยู่และเอ่ยตอบ


สอบปากคำด้วยตัวเอง? นี่หมายความว่าพวกรปภ.กำลังสอบปากคำหัวขโมยอยู่งั้นหรือ? มันเกิดขึ้นในซุปเปอร์มาร์เก็ตของฉันจริงๆหรือนี่?


“เราไม่มีอำนาจที่จะสอบปากคำแบบนั้นได้ คุณก็รู้เรื่องนี้ดีนี่!”


เฝิงหยู่ชักสีหน้าไม่พอใจ


“พวกเขาพยายามขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรานะครับ ทำไมเราจะสอบปากคำพวกเขาไม่ได้!? แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะกล้าเอาเรื่องที่เราทำไปแจ้งกับตำรวจอย่างนั้นหรือ?”


ผู้จัดการจ้าวเอ่ยตอบอย่างโกรธจัด


ใช่มั้ยล่ะ? พวกหัวขโมยจะต้องคิดแบบนั้นใช่มั้ย? ถูกแล้ว! พวกขโมยจะไม่ไปแจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ พวกเขาจะได้รับการคุ้มครองจากตำรวจเป็นพิเศษหากพวกเขามีเรื่องที่ต้องพึ่งพากันแต่ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติที่ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกันแล้วล่ะก็? พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงจากตำรวจจนสุดความสามารถ


“ก็ได้! ทำในสิ่งที่คุณต้องการเถอะแต่อย่าสร้างปัญหาแล้วกัน อย่าให้มันทำลายชื่อเสียงซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรา หากคุณไม่มั่นใจก็ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของตำรวจซะไม่ต้องเอาตัวเข้าไปยุ่ง ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปจะมีใครอยากเข้ามาช็อปปิ้งในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราล่ะ?”


“ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไร เรากำลังจะสอบปากคำหัวขโมยรายนั้นแล้ว คุณอยากไปดูหรือเปล่า?”


สอบปากคำงั้นหรือ? ตลอดชีวิตของเฝิงหยู่ไม่เคยเห็นการสอบปากคำแบบนั้นมาก่อน แม้ว่ามันจะเป็นการสอบปากคำแบบไม่เป็นทางการไม่ใช่สิ่งที่ตำรวจทำกันจริงๆแต่เฝิงหยู่ก็ยังอยากเห็นอยู่ดี


“หัวขโมยนั่นอยู่ที่ไหนล่ะ?”


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้จ้างอดีตทหารมารับหน้าที่เป็นยามรักษาความปลอดภัย พวกเขาเพิ่งปลดประจำการจากกองทัพและต่างมีฝีมือในการต่อสู้


“รปภ.ของเราได้สู้กับหัวขโมยคนนั้นมั้ย? ”


เฝิงหยู่เอ่ยถามทันที หากรปภ.พวกนั้นทำร้ายร่างกายหัวขโมยจริง ทางซุปเปอร์มาร์เก็ตก็อาจต้องเสียค่าทำขวัญให้


“เปล่าครับ เอ่อ คือว่าหัวขโมยคนนั้นเป็นผู้หญิง”


ผู้หญิง? ทำถูกแล้วล่ะ! รปภ.เหล่านั้นไม่ควรทำร้ายผู้หญิง


“ไปกันเถอะ! รปภ.กำลังจะค้นตัวเธอใช่มั้ย?”


เฝิงหยู่ถามอีกครั้ง


ในชีวิตที่ผ่านมาของเฝิงหยู่เคยได้ดูหนังญี่ปุ่นเรื่อง ‘แอคชั่น’ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหัวขโมยหญิงที่ถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวน 3 นายและพวกเขาได้ทำการค้นตัวเธอ มันเป็นหนังที่น่าตื่นเต้นเพราะร้านที่เธอพยายามขโมยของนั้นเป็นร้าน เอ่อ….ร้านเซ็กส์ทอย!


“ผู้จัดการเฝิง! ผู้จัดการจ้าว!”


ผู้จัดการจ้าวพยักหน้ารับและเอ่ยถามรปภ.ออกไป


“เธอยอมรับหรือเปล่า?”


“ไม่ครับ! เธอยืนยันว่าเธอบริสุทธิ์ เธอไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้นแต่ผู้ช่วยคลังสินค้าของเรายืนยันว่าเห็นเธอจับสินค้าบางอย่างและหลังจากที่เธอเดินออกไป สินค้าชิ้นนั้นก็หายไป ผมเชื่อว่าสินค้าชิ้นนั้นยังอยู่ในตัวเธอ!”


รปภ.นายหนึ่งชี้ไปยังผู้หญิงอ้วนทันที


“ฉันไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น! พวกคุณกำลังใส่ร้ายฉัน!”


ผู้หญิงอ้วนตะโกนออกมาทันที


เฝิงหยู่จ้องไปที่ผู้หญิงอ้วน ตาของเธอกระพริบถี่ๆและกวาดสายตาไปมองรอบๆอย่างประหม่า ถ้าเธอบริสุทธิ์จริง ท่าทางของเธอจะไม่เป็นแบบนี้ ข้อสงสัยที่รปภ.บอกนั้นเป็นจริง ผู้หญิงคนนี้ต้องทำผิดอย่างแน่นอน


มีบางอย่างผิดปกติ อากาศตอนนี้ร้อนอบอ้าว แม้ว่าชาวจีนในสมัยนี้จะไม่ได้หัวสมัยใหม่แต่ไม่มีใครที่จะมาใส่ชุดคลุมปิดมิดชิดในสภาพอากาศเช่นนี้อย่างแน่นอน อย่างมากที่สุดก็จะใส่เพียงเสื้อแขนยาว เท่านั้น อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ยังสวมกระโปรงยาวไปถึงเท้า การแต่งตัวของเธอแปลกเกินไป ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ช่วยคลังสินค้าจะนึกสงสัยเธอ


เฝิงหยู่จำรายงานข่าวเมื่อชีวิตก่อนของเขาได้ หัวขโมยใช้เวลาน้อยกว่า 1 วินาทีในการซ่อนน้ำอัดลมไว้ระหว่างขาอ่อนของเธอก่อนจะเดินออกจากร้านไปตามปกติ


หลังจากข่าวนี้ถูกรายงานออกไปก็มีหัวขโมยอีกหลายรายที่พยายามจะเลียนแบบเธอแต่สุดท้ายก็ถูกจับกุมได้เพราะมีกล้องวงจรปิดติดทั่วซุปเปอร์มาร์เก็ต


เฝิงหยู่เคยคิดเกี่ยวกับการติดตั้งกล้องวงจรปิดเช่นกันเมื่อครั้งที่จะเปิดตัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแม้ว่ากล้องจะไม่ชัดและมีราคาแพงก็ตาม แต่ชาวจีนสมัยนี้ก็ไม่ชอบกล้องวงจรปิด เฝิงหยู่ได้ยินข่าวลือเมื่อครั้งชีวิตก่อนของเขาว่าที่วอลมาร์ทแพ้คาร์ฟูร์ก็เพราะกล้องวงจรปิด เป็นเพราะวอลมาร์ทติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่คาร์ฟูร์มไม่ได้ทำเช่นนั้น


แม้ข่าวลือนี้อาจฟังดูไร้สาระแต่มันก็ดูสมเหตุสมผลเช่นกัน เฝิงหยู่มั่นใจว่าถ้าเขาประกาศไปทั่วว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตของเขามีเจ้าหน้าที่รปภ.สังเกตการณ์ลูกค้าทั้งหมดผ่านกล้องวงจรปิดแล้วล่ะก็? มันจะทำให้ลูกค้ารู้สึกอึดอัดและไม่ต้องการซื้อของที่นี่อีกต่อไป


สิ่งนี้จะต้องรอไปอีก 8-10 ปี เมื่อผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับกล้องวงจรปิดและเข้าใจในการทำงานของมัน พวกเขาก็จะเข้าใจว่ารปภ.ไมได้จ้องหน้าจอเพื่อจับตาดูพวกเขาตลอดเวลา หากถึงเวลานั้นแล้วที่ไหนไม่มีกล้องวงจรปิดจะเป็นสิ่งที่แปลกไปทันที


ตอนนี้ไท้หัวซุปเปอร์มารเก็ตไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดและไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าหญิงอ้วนรายนี้ขโมยของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตจริงหรือไม่? การค้นตัวเธอจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะเอาผิดเธอได้ เฝิงหยู่มั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้ต้องซ่อนสินค้าไว้ในตัวเธอแน่ๆ


“คุณบอกว่าคุณบริสุทธิ์งั้นหรือครับ? ดี! ผมแจ้งเรื่องนี้กับตำรวจแล้วและพวกเขาจะส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงมา หลังจากนั้นพวกเธอจะค้นตัวคุณแล้วเราจะรู้กันว่าคุณบริสุทธิ์จริงๆอย่างที่คุณว่าหรือเปล่า”


เฝิงหยู่เอ่ยเสียงเรียบ ในขณะที่ผู้จัดการจ้าวก็เอ่ยสำทับทันที


“หากเรากล่าวหาคุณผิดไปจริงๆ เราก็ยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้แต่ถ้าคุณขโมยของไปจริงๆแล้วไม่ยอมรับ ก็อย่ามาโทษว่าเราใจร้ายแล้วกัน!”


สีหน้าของหญิงอ้วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“พวกคุณมากล่าวหาฉันแบบนี้ได้ยังไง? พวกคุณไม่ใช่ตำรวจสักหน่อย! ปล่อยตัวฉันเดี๋ยวนี้! ฉันต้องการที่ออกไปจากที่นี่!”


เจ้าหน้าที่รปภ.รีบก้าวไปล็อกตัวเธอไว้ทันทีเมื่อเธอตั้งท่าจะวิ่งหนี


“ก่อนที่ตำรวจจะเดินทางมาถึง คุณไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนได้ทั้งนั้น! อย่างที่ผมบอกไปแล้วถ้าเรากล่าวหาคุณผิดไป เรายินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้! ผมจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่คุณ รีบสารภาพมาซะว่าคุณขโมยของเราไปจริงๆและคืนมันมาให้หมด แล้วก็บอกพรรคพวกของคุณให้อยู่ห่างจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราซะ!”


ผู้จัดการจ้าวกล่าวเสียงแข็ง


เฝิงหยู่เข้าใจในทันทีว่าทำไมผู้จัดการจ้าวจึงคุมตัวเธอไว้เพื่อสอบปากคำด้วยตัวเอง


EG บทที่ 648 หัวขโมยในซุปเปอร์มาร์เก็ต 2


หญิงอ้วนเงียบเสียงลงทันที เธอเป็นขโมยที่มีฝีมือระดับต่ำที่สุดในแก๊งค์ หากเธอพูดอะไรออกไปไม่มีทางที่คนอื่นจะเชื่อเธอง่ายๆ หากตำรวจมาถึงเธอจะต้องถูกจับอย่างแน่นอน นอกจากนี้ประธานของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆของเอเชีย แม้แต่ประธานาธิบดีและรัฐมนตรีหลายๆคนก็เคยพบเขาอยู่หลายครั้ง


หญิงอ้วนคนนี้เคยถูกจับมาก่อนเมื่อครั้งที่ไปก่อเหตุที่ห้างสรรพสินค้าอื่นๆ ผู้จัดการห้างสรรพสินค้าเหล่านั้นต่างมีสัมพันธ์ที่ดีกับตำรวจท้องที่ เธอรู้ดีว่าหากเธอถูกจับกุมในครั้งนี้จะไม่มีทางปล่อยตัวหลังจากนอนในห้องขัง1-2คืนอย่างที่เคยเป็น เธออาจถูกซ้อมในสถานีตำรวจอีกด้วย


เธอเคยเห็นคนที่ก่อคดีแบบที่เธอทำถูกตำรวจซ้อมมาก่อนและเธอไม่ต้องการเผชิญชะตากรรมเช่นนั้น


“ฉันจะคืนของพวกนั้นให้กับพวกคุณ ดังนั้นพวกคุณต้องปล่อยฉันไปนะ!”


หญิงอ้วนตัดสินใจเอ่ยขึ้น


“ฝันไปเถอะ! คุณขโมยของๆเราก็เท่ากับว่าคุณได้ก่อคดีอาชญากรรมไปแล้ว มันแน่อยู่แล้วที่คุณต้องคืนของที่ขโมยไปให้กับเราแต่เรื่องอื่นๆคุณไม่มีสิทธิ์ต่อรองกับเรา”


ผู้จัดการจ้าวตะคอกเสียงแข็ง


“ฉันสัญญาว่าจะไม่มาใกล้ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้อีกแล้วและแม้แต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตสาขาอื่นของคุณ ฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งอีก!”


หญิงอ้วนอ้อนวอนด้วยความลนลาน


เฝิงหยู่จ้องเขม็งไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา แม้ว่าเธอจะอ้อนวอนอย่างน่าสงสารเพียงใดแต่สายตาของเธอกับวอกแวกไปมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังโกหก เธออาจไม่ย่างกรายเข้ามาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้อีกแต่มันก็ไม่แน่ที่เธอจะไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตสาขาอื่น ในปักกิ่งมีซุปเปอร์มาร์เก็ตไท้หัวอีก 3 สาขา!


“ทำไมเราต้องเชื่อคุณด้วย!”


เฝิงหยู่เอ่ยถามเสียงเรียบ


หญิงอ้วนบอกได้ทันทีว่าเฝิงหยู่ต้องใหญ่ที่สุดในห้องแน่ๆเมื่อดูจากตำแหน่งการยืนและท่าทางที่เหล่ารปภ.แสดงต่อเขา เธอจึงหันมาอ้อนวอนเฝิงหยู่ทันที


“โธ่คุณขา!! ได้โปรดสงสารฉันเถอะค่ะ! ฉันมีลูก 3 คนที่ต้องเลี้ยงดู ฉันไม่มีปัญญาหางานดีๆทำ ฉันก็เลยต้องมาขโมยของๆคุณแบบนี้ ได้โปรดเถอะค่ะ! ถ้าฉันถูกจับลูกๆฉันต้องอดตายแน่!”


ให้ตายเถอะ! นี่มันโกหกชัดๆ! ลูกๆ 3 คนต้องอดตายงั้นเหรอ? นี่คุณคิดว่าตัวเองกำลังโกหกใครอยู่?


“งั้นเหรอ? คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ถ้าคุณถูกจับตัวไปเดี๋ยวตำรวจก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลลูกๆของคุณเองล่ะ”


เฝิงหยู่ตอบยิ้มๆ


มาดูกันว่าเธอจะคิดคำโกหกอย่างอื่นได้อีกหรือเปล่า?


หญิงอ้วนถึงกับตกตะลึงและยกมือขึ้นมาปิดหน้าทันที จากนั้นเธอก็ค่อยๆร้องไห้ออกมา


หากเป็นคนอื่นเมื่อถึงจุดที่เสียใจหรือสิ้นหวังในชีวิตจะต้องทรุดตัวลงร้องไห้แต่ผู้หญิงคนนี้ยังคงยืนเฉยๆและไม่ได้เซเอาหลังไปพิงผนังห้องแต่อย่างใด


“หุปปาก! หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้! แม้ว่าคุณจะร้องไห้คร่ำครวญชักดิ้นชัดงอเพียงใดก็ไร้ประโยชน์! ผมเคยเห็นคนแบบคุณมานักต่อนักแล้ว!”


ผู้จัดการจ้าวตะคอกใส่เธออีกครั้ง


เสียงร้องไห้หยุดลงทันทีก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้น เฝิงหยู่สังเกตว่าใบหน้าของเธอไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือการเล่นละครเท่านั้น


บ้าชะมัด! แกล้งร้องไห้งั้นหรือ? เฝิงหยู่อยากรู้จริงๆว่าผู้หญิงคนนี้ลำบากจริงหรือเปล่า? เขาไม่สนใจที่จะหางานให้เธอทำอีกแล้ว! ทั้งๆที่เขาคิดจะช่วยเหลือแล้วแท้ๆ ! เมื่อเห็นเช่นนี้เฝิงหยู่จึงตระหนักได้ว่าคนประเภทนี้ไม่สมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือใดๆ การส่งตัวเธอให้กับตำรวจดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด นั่นอาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เธอกลับตัวกลับใจได้


“บอกรายชื่อสมาชิกคนอื่นๆที่อยู่ในแก๊งค์ของคุณมาและเรียกพวกเขามาพบคุณที่นี่ซะ เราจะปล่อยตัวคุณก็ต่อเมื่อพวกเขามาพบคุณที่นี่เท่านั้น”


เฝิงหยู่เอ่ยเสียงแข็ง


เธอมองเฝิงหยู่ด้วยความตกใจ แม้แต่ผู้จัดการจ้าวก็ตกใจเช่นกัน นี่ผู้จัดการเฝิงคิดจะปล่อยเธอไปอย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้านี้เขายังยืนกรานที่จะจับเธอส่งให้ตำรวจอยู่นี่นา? หรือว่าตอนนี้เขากำลังสงสารหัวขโมยคนนี้อยู่?


แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่สมควรได้รับความสงสารหรือความเห็นใจใดๆทั้งนั้น จากพฤติกรรมที่ผ่านๆมาของเธอนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำเช่นนี้ เธอไม่มีแม้แต่ความสำนึก!


“คุณ..คุณจะปล่อยตัวฉันไปอย่างนั้นเหรอ?”


“ผมว่าตัวเองพูดชัดแล้วนะ! คุณเลือกเอาว่าจะอยู่รอให้ตำรวจมาจับคุณที่นี่หรือจะเรียกให้หัวหน้าใหญ่ของคุณมาหาคุณแทน”


เฝิงหยู่ต้องการพูดคุยกับหัวหน้าแก๊งค์ของเธอ เขาต้องการให้พวกเขาหยุดสร้างปัญหาให้กับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต พวกเขาไม่สามารถมาขโมยสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตและขโมยของจากลูกค้าของเขาได้!


ลูกค้าที่มาใช้บริการไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะต้องช้อปปิ้งได้อย่างสงบราบรื่น หากพวกเขาถูกล้วงกระเป๋าหรือข้าวของมีค่าถูกขโมยหายไป พวกเขาจะต้องรู้ว่ามีโจรอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเขาจำนวนมาก แล้วใครจะอยากมาใช้บริการในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เต็มไปด้วยหัวขโมยกันล่ะ?


“ฉันไม่มีหัวหน้า”


“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือก! รอตำรวจให้มาจัดการกับเธอแล้วกัน ดูลักษณะของเธอไม่น่าจะอ้วนขนาดนั้น สิ่งของที่เธอขโมยไปน่าจะซ่อนอยู่ใต้กระโปรงและก็ในเสื้อคลุมของเธอ เมื่อตำรวจหญิงเดินทางมาถึงเราค่อยเอาสินค้าของเราคืน บอกตำรวจให้ขังเธอไว้สัก 2 อาทิตย์และตรวจสอบประวัติของเธอให้ครบถ้วนว่าเธอมีคดีอื่นๆอีกหรือไม่? มันคงเป็นเรื่องดีที่เธอจะได้ติดอยู่ในคุกที่เต็มไปด้วยคนมีคดี คนพวกนั้นคงช่วยสั่งสอนเธอได้ไม่น้อย”


ผู้จัดการจ้าวเห็นเฝิงหยู่ส่งสัญญาณให้เขาจึงรีบรับมุกทันที


“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย!เธอจะได้รับบทเรียนที่สาสมทีเดียว! กล้าดีอย่างไรถึงมาขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรา!?”


“นี่พวกคุณจะทำอะไรฉัน!!!”


หัวขโมยหญิงเริ่มกรีดร้องโวยวาย


เฝิงหยู่ไม่สนใจเธอและค่อยๆสาวเท้าออกจากห้อง หัวขโมยหญิงจึงปรี่เข้าไปหาเฝิงหยู่ทันทีแต่โดนเจ้าหน้าที่รปภ.ล็อกตัวไว้ก่อนเพราะกลัวเธอจะพุ่งเข้าไปทำร้ายร่างกายเฝิงหยู่


“คุณ! คุณค่ะ! อย่าเพิ่งไป ฉันยอมแล้ว! ฉันยอมบอกช่องทางการติดต่อของหัวหน้าฉันแล้ว!”


เฝิงหยู่แต้มยิ้มบนใบหน้าทันที


“คุณควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรก”


หัวขโมยหญิงรีบให้เบอร์โทรศัพท์ของหัวหน้าเธอทันที เฝิงหยู่และผู้จัดการจ้าวสบตากันและพากันสบถด่าในใจ


หัวหน้าโจรมีโทรศัพท์ใช้งั้นรึ? ดูเหมือนการขโมยจะทำกันเป็นธุรกิจเลยสินะ! ดูท่าจะได้กำไรดีเชียวล่ะ?!


เฝิงหยู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและจัดการโทรออกทันที


[“ฮัลโหล? นี่ใครครับ?”]


เฝิงหยู่แนบโทรศัพท์ไปที่ใบหูของหัวขโมยหญิงและเธอก็ตะโกนใส่ปลายสายทันที


“เฮียเหอ! ฉันเอง! หยิงซี! ฉันถูกจับและพวกเขาต้องการให้เฮียมาพบที่นี่! เฮียต้องมาช่วยฉันนะ!”


เฝิงหยู่หยิบโทรศัพท์คืนและพูดกับปลายสายแทน


“เฮียเหอ ผมเป็นหัวหน้าใหญ่ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต! ลูกน้องของคุณถูกจับได้ว่าขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตของผม สิ่งนี้ไม่ถูกต้องนะครับ! รีบมาเอาตัวเธอกลับไปจะดีกว่าแล้วผมจะคิดซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”


เมื่อผู้จัดการจ้าวได้ยินสิ่งที่เฝิงหยู่พูดก็ขมวดคิ้วสงสัย ทำไมผู้จัดการเฝิงจึงทำท่าเหมือนกลัวพวกหัวขโมยแก๊งค์นี้ด้วยล่ะ?


ด้วยอายุและตำแหน่งของเฝิงหยู่แล้ว เขาควรจะใจร้อนและรีบจัดการหัวขโมยเหล่านี้ให้เด็ดขาด นอกจากนี้เขายังมีธุรกิจในมืออีกจำนวนมากและไม่ควรมากลัวพวกหัวขโมยตัวเล็กๆเช่นนี้ เขายังส่งของกำนัลไปยังสถานีตำรวจในท้องที่ แม้ว่าเขาจะจัดการกับหัวขโมยเหล่านี้รุนแรงเพียงใด ตำรวจในท้องที่ก็พร้อมจะปิดตาข้างหนึ่งกันทั้งนั้น


เฮียเหอที่กำลังคุยสายกับเฝิงหยู่นั้น ในช่วงนี้เขากำลังอารมณ์ดีแบบสุดๆเมื่อจู่ๆไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เปิดกิจการขึ้นมาและมันยังเป็นแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศ แม้แต่รัฐมนตรีระดับสูงๆก็ยังเดินทางมาเยี่ยมชมซุปเปอร์มาร์เก็ตเหล่านี้และมันยังมีสินค้าต่างๆมากมายที่วางขายอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ต่างๆก็เป็นที่นิยมจากผู้บริโภคและมีผู้คนหลั่งไหลมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เขาส่งลูกน้องของเขาไปดูลาดเลาที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมาสักพักหนึ่ง ในกรุงปักกิ่งมีทั้งหมด 3 สาขาและเขาก็จัดการส่งลูกน้องกลุ่มใหญ่ไปขโมยของที่นั่นทันที พวกเขาส่วนใหญ่จะถนัดการล้วงกระเป๋าและเขาจะได้รับเงินอย่างน้อย 200-300 หยวนต่อวัน


หยิงซีไม่ค่อยเก่งเรื่องการล้วงกระเป๋า เขาจึงตัดสินใจส่งเธอไปขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตแทน แม้ว่าหยิงซีจะเป็นผู้หญิงของเขาแต่เธอก็ต้องทำงานเช่นกัน


แต่เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะถูกจับตัวได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินทางไปขโมยของในไทฮัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและหัวหน้าไทฮัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังเรียกตัวเขาไปช่วยเธออีกด้วย?


ถ้าเขาไม่ไปช่วยหยิงซีที่นั่นแล้วล่ะก็? ลูกน้องคนอื่นๆก็อาจไม่เคารพเขาอีกต่อไปเพราะหยิงซีคือผู้หญิงของเขา


[“ตกลง! ผมจะไปพบคุณที่นั่นภายใน 1 ชั่วโมง! ห้ามทำอะไรหยิงซีเป็นอันขาด! ไม่อย่างนั้นคุณเจอกับผมแน่!”]


หลังจากวางสายเสร็จเฝิงหยู่ก็ต่อสายไปอีกที่หนึ่งทันทีโดยคุยต่อหน้าหยิงซีเช่นเดิม


“สวัสดีครับ นี่ใช่ตำรวจหลี่หรือเปล่าครับ? ผมเฝิงหยู่จากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตนะครับ พอดีผมมีปัญหาเล็กน้อยเลยอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณนะครับ”


EG บทที่ 649 เล่ห์เหลี่ยม 1


 


“ต้าจวง!ไปที่หนึ่งเป็นเพื่อนฉันหน่อยและนายก็…”


แม้ว่าเฮียเหอยืนยันว่าจะไปช่วยหยิงซีจริงแต่เขาจะไม่ไปคนเดียวเป็นอันขาด ต้าจวงเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของเขา แม้ว่าต้าจวงจะไม่มีทักษะการขโมยแต่ก็เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง หน้าที่หลักๆของเขาในแก๊งค์คือการช่วยเหลือสมาชิกที่ถูกจับตัวไป เขาเปรียบเสมือนบอดี้การ์ดของแก๊งค์เสียมากกว่า


ต้าจวงจงรักภักดีต่อเฮียเหอยิ่งนัก เขาไม่ลังเลที่จะแทงใครสักคนหากเฮียเหอเป็นคนสั่งให้เขาทำ แต่คราวนี้เฮียเหอจะไม่ได้สั่งให้เขาไปแทงใครและไม่ได้ให้ไปเป็นบอดี้การ์ดอย่างที่เคยเป็นเช่นกัน


เฝิงหยู่วางสายโทรศัพท์ลงหลังจากคุยกับหัวหน้าหลี่เป็นที่เรียบร้อย สิ่งนี้ทำให้หยิงซีถึงกับตกตะลึง คนผู้นี้ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด! เขาบอกให้เฮียเหอเดินทางมาช่วยเธอแต่ในขณะเดียวกันเขาก็เรียกตำรวจให้มาที่นี่ด้วย


บ้าที่สุด! คนผู้นี้ต้องการจับพวกเขาทั้งหมด! ถ้าเฮียเหอถูกจับก็เท่ากับจบเห่! เฮียเหอไม่ได้ก่อคดีเพียงคดีเดียวเท่านั้น เขามีคดีอื่นๆยิ่งกว่าหางว่าวเสียอีก!


“คุณโทรหาใคร? คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”


หยิงซีตะโกนออกมาด้วยความโกรธ


“ผมก็โทรหาหัวหน้าตำรวจหลี่สิครับ? เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของมณฑลนี้! ผมคิดว่าสถานีตำรวจเล็กๆพวกนี้คงไม่สามารถทำอะไรกับพวกคุณทั้งหมดได้ ดังนั้นผมก็ต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่มีอำนาจสูงขึ้นเพื่อจะกวาดล้างพวกคุณทั้งหมด! นี่คุณคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปจริงๆงั้นหรือ? แต่ผมคิดว่าคุณเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อเท่านั้นล่ะ!”


เฝิงหยู่ไม่รู้สึกละอายที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองโกหกแม้แต่น้อย


เฝิงหยู่ไม่ใช่คนใจบุญ เขาไม่สนใจหรอกว่าเหตุผลอะไร?ที่ทำให้คนกลุ่มนี้เลือกหันมาเป็นโจร เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะมาสงสารคนอื่นและปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ คนพวกนี้เลือกเป้าหมายเป็นไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเองนี่นา? แน่นอนว่าเขาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูว่าพวกเขาไม่ควรพุ่งเป้ามาที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตตั้งแต่แรก!


ผู้จัดการจ้าวแจ้งแก่เขาว่าต้องการสอนบทเรียนให้กับคนพวกนี้และขู่ให้พวกเขาอยู่ห่างจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้าไว้แต่วิธีของเฝิงหยู่กับรอบคอบมากกว่าเดิม!


หัวหน้าหลี่เดินทางมาถึงไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตในอีก 15 นาทีต่อมา เฝิงหยู่ไปรู้จักเขาได้อย่างไรงั้นหรือ? เฝิงหยู่ได้พบกับหัวหน้าหลี่ครั้งหนึ่งเมื่อตอนร่วมรับประทานอาหารเย็นกับเลขาธิการจาง


เลขาธิการจางเป็นคนรับผิดชอบระบบตุลาการทั้งหมดของเมืองปักกิ่งและสถานีตำรวจทั้งหมดก็ขึ้นตรงกับเขาเช่นกัน ในเมืองปักกิ่งถือว่าคำสั่งของเลขาธิการจางมีอำนาจมากกว่าคณะเทศมนตรีของเมืองปักกิ่งเสียอีก


เลขานุการจางเป็นคนเมืองปิงและผู้จัดการเฝิงคนนี้ก็มาจากเมืองปิงเช่นกัน หัวหน้าหลี่ย่อมรู้ในทันทีว่าพวกเขาทั้งคู่มีคอนเนคชั่นที่ดีต่อกัน ส่วนที่น่าตกใจที่สุดคือช่วงพิธีเปิดของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต มีการเชิญหัวหน้าตำรวจระดับสูงถึง 3 นายจาก 3 มณฑลมาร่วมงานด้วย สิ่งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้มีอำนาจในระดับสูงต้องการให้กรมตำรวจกลางของเมืองปักกิ่งเป็นคนดูแลไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต


เฝิงหยู่ได้แจ้งแก่หัวหน้าหลี่ว่าหัวขโมยกลุ่มนี้พุ่งเป้ามาที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและยังจับตัวสมาชิกไว้ได้ 1 คน ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรีบมาที่นี่โดยไวที่สุด


เขาต้องการสอบปากคำหัวขโมยคนนี้เป็นการส่วนตัวและต้องจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบ


“ผู้จัดการเฝิง นี่นะหรือหัวขโมยคนนั้น?”


หัวหน้าหลี่เอ่ยถาม


“ใช่ สิ่งที่เธอขโมยไปยังอยู่ในตัวเธอ เราไม่มีรปภ.หญิงเลยไม่สามารถค้นตัวเธอได้”


เฝิงหยู่อธิบายออกมา


“ไม่มีปัญหาครับเพราะเรานำตำรวจหญิงมาด้วย เสี่ยวซู่! รีบไปค้นตัวเธอเร็วเข้า! ผมอยากรู้แล้วว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในตัวเธอบ้าง”


หัวหน้าหลี่ส่งสัญญาณให้กับตำรวจหญิงในเครื่องแบบที่ติดตามมาด้วย เธอรีบสาวเท้าไปหาหยิงซีทันที


“คุณจะทำอะไรฉัน!? นี่คุณ! คุณไม่ได้ยินเหรอว่าเฮียเหอจะมาที่นี่!”


หยิงซีหันไปตะโกนถามเฝิงหยู่


“ผมแค่บอกให้หัวหน้าคุณมาหาคุณที่นี่เท่านั้น! แต่ผมไม่ได้บอกว่าจะให้คุณกลับไปเมื่อหัวหน้าคุณมาถึงแล้วสักหน่อย? คุณต่างหากล่ะที่ตีคำพูดของผมผิดไป”


เฝิงหยู่จ้องหยิงซีเขม็ง


หยิงซีอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ตำรวจหญิงกับล็อคตัวเธอเอาไว้และเริ่มค้นตัวเธอทันที จากนั้นข้าวของต่างๆก็ค่อยๆร่วงออกจากร่างของเธอ


หยิงซีใช้ตะขอห้อยสิ่งที่เธอขโมยเอาไว้และการขยับอย่างกะทันหันทำให้เชือกที่ใช้เกี่ยวกับตะขอภายใต้เสื้อผ้าของเธอขาดออกและข้าวของบางส่วนก็หล่นลงมา


เบียร์,แฮม,หมวกเบสบอล,ใบชา,ยาสระผม…….


ตำรวจหญิงจึงตัดสินใจดึงเสื้อคลุมของหยิงซีออกทันทีและนั่นทำให้ทุกคนตกใจไปตามๆกัน!


ทุกคนต่างคิดว่าหยิงซีอาจขโมยของต่างๆและเหน็บมันไว้ในเสื้อผ้าเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอทำคือการใช้ตะขอเกี่ยวกับเชือกเพื่อห้อยสิ่งของที่ขโมยไว้ภายใต้เสื้อผ้าของเธอ!


หยิงซีเป็นเพียงหญิงร่างบางแต่ด้วยเสื้อผ้าและข้าวของที่ขโมยไปทำให้เธอดูเหมือนคนอ้วน ภายใต้เสื้อคุลมตัวนี้มีสิ่งของต่างๆมากมาย เธอดูเหมือร้านค้าเคลื่อนที่ไม่มีผิด!


หลังจากสินค้าที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมถูกเอาออกมาจนหมด สายตาของคนในห้องต่างพุ่งไปที่กระโปรงของเธอ มันเป็นกระโปรงที่ยาวจนถึงตาตุ่ม


“พวกคุณจะทำอะไร? ฉันเป็นผู้หญิงนะ!”


หยิงซีกรีดร้องออกมา


หัวหน้าหลี่หยุดตำรวจหญิงเอาไว้ก่อนที่เธอจะถลกกระโปรงของหยิงซีออก


“ผมจะให้โอกาสคุณ รับสารภาพมาซะเถอะ! อย่าบังคับให้เราทำร้ายคุณเลยเพราะถึงอย่างไรเราก็มีหลักฐานมัดตัวคุณแล้ว!”


ตำรวจระดับสูงที่หยิงซีเคยพบมาทั้งชีวิตคือหัวหน้าสถานีเล็กๆเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับหัวหน้าตำรวจระดับมณฑล ด้วยเครื่องแบบและท่าทางที่น่าเกรงขามของเขาทำให้เธอไม่กล้าที่จะคิดต่อต้านเขาอีก


“ฉัน..ฉันจะเอามันออกเอง”


ราวกับเฝิงหยู่และคนอื่นๆได้พบสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พวกเขาไม่คิดว่ากระโปรงยาวจะสามารถเก็บข้าวของได้มากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะเบียร์นำเข้าขนาด 5 ลิตร น้ำมันถั่วเหลืองขวดใหญ่และสินค้าชิ้นใหญ่ๆอีกหลายรายการ ทั้งหมดนี้ซ่อนอยู่ในร่างของหยิงซี! นี่เธอสามารยืนนิ่งอยู่เฉยๆได้อย่างไรโดยที่ไม่ล้มไปก่อน?


บนพื้นห้องมีสินค้าหลากประเภทวางเรียงรายอยู่ มูลค่ารวมของสินค้าเหล่านี้มากกว่า 1,000 หยวน!สินค้านำเข้ามีราคาแพงกว่าและหยิงซีก็เลือกขโมยสินค้านำเข้าเป็นส่วนใหญ่


“สินค้าเหล่านี้รวมทั้งหมดได้ 1,326.53 หยวนครับ!”


ผู้ช่วยคลังสินค้าแจ้งมูลค่าที่หยิงซีขโมยไปหลังจากคำนวณเรียบร้อยแล้ว


เฝิงหยู่อยากรู้จริงๆว่าหยิงซีทำแบบนี้ได้อย่างไร? สิ่งที่เธอทำนั้นยิ่งกว่าโชว์มายกลเสียอีกแม้แต่นักมายากลมืออาชีพก็ไม่สมารถซ่อนสิ่งของแบบที่เธอทำได้


“สินค้าที่คุณขโมยไปมีมูลค่ามากกว่า 1,000 หยวน! อีกทั้งคดีเก่าๆที่คุณก่อเอาไว้ เราจะสามารถขังคุณไว้ในคุกได้นานกว่า 15 วันด้วยซ้ำ”


หัวหน้าหลี่พูดด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์


“ฉันยอมแพ้แล้ว”


หยิงซีพยายามอ้อนวอน


“หุบปาก! มือเท้าของคุณก็ยังดีแต่ยังมีหน้ามาขโมยของคนอื่นอีกเหรอ? คุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำมันจะทำให้พ่อแม่คุณภูมิใจหรือไง? ผมคิดว่า…..คงต้องส่งตัวคุณไปยังค่ายแรงงานเพื่อดัดนิสัยแล้วกระมัง?”


หัวหน้าหลี่กล่าวพร้อมกับชำเลืองดูปฏิกิริยาของเฝิงหยู่ไปด้วย นี่เป็นบทลงโทษที่หนักที่สุดที่เขาพอจะนึกออก! หากเฝิงหยู่ยังไม่พอใจเขาก็ต้องหาวิธีอื่น


ค่ายแรงงาน?


เฝิงหยู่พยักหน้ารับ แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับกฎหมายในตอนนี้แต่เขาก็รู้ว่าการลักทรัพย์ไม่ถือว่าเป็นคดีอาญาร้ายแรง ไม่มีทางที่จะใช้กฎหมายหนักๆเล่นงานเธอได้และการส่งเธอไปที่ค่ายแรงงานดูเหมือนจะเป็นบทลงโทษที่รุนแรงมากพอสำหรับเธอ


“ใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่หรือครับ?”


เฝิงหยู่เอ่ยถาม


“ไม่มีระยะเวลากำหนดแน่ชัดหรอกครับ มันก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเธอ หากเธอทำได้ดีก็จะถูกปล่อยตัวภายใน 1 เดือน”


หัวหน้าหลี่เห็นสีหน้าของเฝิงหยู่เปลี่ยนไปครู่หนึ่งเขาจึงรีบพูดต่อทันที


“แต่บางคนที่ไม่คิดจะกลับใจก็จะอยู่ในค่ายแรงงานต่อไปอีกหลายปีครับ”


หยิงซีรู้สึกราวกับโลกถล่ม อะไรกัน? ต้องอยู่อีกหลายปีในค่ายแรงงานงั้นหรือ? ฉันแค่ขโมยของไปไม่กี่อย่างแต่พวกคุณต้องการลงโทษฉันหนักขนาดนี้เลยหรือ?


นี่เป็นครั้งแรกที่หยิงซีรู้สึกเสียใจ เธอไม่ได้เสียใจที่คิดขโมยของแต่เธอเสียใจที่มาขโมยของในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างหาก!


ในขณะนั้นเองรปภ.นายหนึ่งก็เดินเข้ามาและแจ้งบางอย่างแก่เฝิงหยู่


“ผู้จัดการเฝิงครับ! มีชายร่างใหญ่มาขอพบคุณด้านนอกครับ! เขาบอกว่าตัวเองแซ่เหอและมาที่นี่เพื่อช่วยเพื่อนของเขาครับ!”


ในที่สุดนักแสดงหลักก็เดินทางมาถึง! เฝิงหยู่แต้มรอยยิ้มเย็นบนใบหน้าของเขาทันที


EG บทที่ 650 เล่ห์เหลี่ยม 2


 


หัวหน้าหลี่เอ่ยเสียงเย็น


“ฉันล่ะอยากเห็นหน้าไอ้โจรห้าร้อยคนนี้เสียจริง! เขาบอกว่าตัวเองแซ่เหอ..หรือเรียกว่าเฮียเหออย่างนั้นหรือ? เขากล้าเรียกตัวเองว่าเฮียต่อหน้าฉันสินะ!”


เฝิงหยู่ หัวหน้าหลี่และผู้จัดการจ้าวพากันออกจากสำนักงานเพื่อไปพบกับเฮียเหอทันที


ว้าว! เฮียเหอคนนี้ตัวใหญ่กว่าที่เขาคิด เขาดูสูงใหญ่และดูแข็งแรงกว่าเหวินตงจุนเสียอีก เขาน่าจะสูงประมาณ 190 เซนติเมตรได้


ทันใดนั้นหัวหน้าหลี่ก็โพล่งออกไป


“นายไม่ใช่เฮียเหอสินะ? ลูกพี่นายอยู่ไหน?!”


เฝิงหยู่และผู้จัดการจ้าวมองหน้ากันด้วยความสับสน คนๆนี้ไม่ใช่เฮียเหองั้นหรือ? ทำไมหัวหน้าหลี่จึงรู้เรื่องนี้ล่ะ? หัวหน้าหลี่เคยพบกับเฮียเหอมาก่อนหรือเปล่า? แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้ ถ้าหากเขาเคยพบเฮียเหอมาก่อนจริงเขาก็น่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง


ต้าจวงรู้สึกตกใจเมื่อเห็นตำรวจในเครื่องแบบ ทำไมตำรวจถึงมาอยู่ที่นี่ได้? เฮียเหอไม่ได้พูดอะไรถึงตำรวจ เขาแค่บอกให้ต้าจวงมารับตัวหยิงซีกลับเท่านั้น แล้วอีกอย่างตำรวจคนนี้ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกด้วย


“ผมนี่ล่ะเฮียเหอ! ใครกันที่เรียกให้ผมมาพบ?”


ต้าจวงแกล้งทำเป็นนิ่งและเอ่ยถามเสียงเหี้ยม แต่การแสดงออกของเขากลับผิดปกติและชำเลืองไปทางประตูเป็นระยะๆ  ภาษากายของเขาทรยศเขาแล้ว! เขากำลังคิดหาวิธีหลบหนีอย่างแน่นอน


“นายมันก็แค่ลูกน้องปลายแถวเท่านั้นล่ะ หยุดเล่นละครกับฉันได้แล้ว! แค่เห็นหน้านายฉันก็บอกได้ทันที นายไม่มีทางหลอกฉันได้หรอก! บอกมาเดี๋ยวนี้!ว่าลูกพี่นายอยู่ที่ไหน? เขาส่งนายมาที่นี่เพื่อมาเป็นแพะรับบาปใช่มั้ย?”


หัวหน้าหลี่ถามขึ้น การใช้จิตวิทยาถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างผลประโยชน์ให้กับอีกฝ่าย นั่นคือเทคนิคที่หัวหน้าหลี่คิดขึ้นมาเพื่อสร้างผลงานและเอาใจเฝิงหยู่


นี่คิดจะให้จับกุมลูกน้องปลายแถวงั้นหรือ? ไม่มีทาง! หากจะให้เขาจับใครสักคนก็ต้องเป็นหัวหน้าแก๊งค์และต้องรวบตัวสมาชิกทั้งหมดให้ได้เท่านั้น นี่มันจะเป็นผลงานชิ้นใหญ่และแน่นอนว่าเฝิงหยู่จะต้องพอใจอย่างแน่นอน


โชคดีที่ความสามารถของหัวหน้าหลี่ผู้นี้ยังมีเต็มเปี่ยม เขาขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ไม่ใช่เพราะเส้นสาย เขาผ่านประสบการณ์มามากมาย ถ้าเขายังมองเล่ห์เหลี่ยมง่ายๆนี้ไม่ออก เขาก็คงเป็นเพียงแค่ตาแก่ใส่เครื่องแบบตำรวจแค่นั้นกระมัง?!


ขนาดตัวของชายผู้นี้ใหญ่มากแล้ว เขาจะไปปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเพื่อขโมยของได้อย่างไร?


“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ผมมาที่นี่เพื่อรับตัวหยิงซีกลับ”


ต้าจวงยังคงยืนกรานตามเดิม


เฝิงหยู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและแสร้งกดโทรออกตามเบอร์โทรที่หยิงซีใช้โทรหาเฮียเหอเมื่อก่อนหน้านี้ โทรศัพท์ดังขึ้นและมาจากชายร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


ต้าจวงหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดรับมันต่อหน้าเฝิงหยู่


“ผมบอกแล้วไงว่าผมนี่ล่ะเฮียเหอ! หยิงซีอยู่ที่ไหนกันแน่? เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าพวกคุณจะปล่อยตัวเธอทันทีที่ผมมาที่นี่”


“ฉันต่างหากล่ะที่เป็นคนโทรหานายตอนนี้ นายจำเสียงฉันไม่ได้เหรอไง?”


ผู้จัดการจ้าวพูดขึ้นมา


“แน่นอนว่าผมจำได้แต่เสียงในโทรศัพท์มันไม่ชัดเท่าไหร่”


ต้าจวงพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเอง


ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่เฮียเหอ คุณภาพของสัญญาณโทรศัพท์มือถืออาจไม่ชัดนักแต่สำเนียงแมนดารินของผู้จัดการจ้าวต่างจากเฝิงหยู่เป็นอย่างมาก ทุกคนสามารถบอกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน


“โทรหาลูกพี่ของนายซะ! บอกเขาไปถ้าเขาไม่มาที่นี่! เดี๋ยวนี้! ฉันจะประกาศจับเขาทั่วเมือง!”


หัวหน้าหลี่พูดเสียงกลั้วหัวเราะ


คนผู้นี้อยากเป็นหัวหน้าแก๊งค์ด้วยสมองแบบนี้จริงๆงั้นหรือ? หัวหน้าแก๊งค์โจรต้องมีทักษะและจะต้องฉลาดเป็นกรด ถ้าไม่มีคุณสมบัตินี้มันยากที่จะทำให้ลูกน้องเชื่อฟังได้ คนผู้นี้ดูโง่เกินไปที่จะเป็นหัวหน้าแก๊งค์ได้ ถ้าเขาเป็นหัวหน้าแก๊งค์จริงๆคงไม่มีใครอยากติดตามเขาแน่นอน


“ผมนี่ล่ะคือเฮียเหอ!”


ต้าจวงยังคงยืนยันเสียงแข็ง


“ผู้หญิงคนนั้นบอกกับเราว่าลูกพี่ของเธอรูปร่างไม่สูงใหญ่นัก ถึงแม้พวกนายอยากจะให้ใครก็ตามมาปลอมตัวเป็นลูกพี่ก็ตาม มันก็ควรหาคนที่มีรูปร่างคล้ายกันไม่ใช่หรือ? ขนาดของนายกับลูกพี่ของนายมันไม่ต่างกันเกินไปหรือไง? ”


หัวหน้าหลี่เอ่ยเสียงเรียบ


แน่นอนว่าหยิงซีไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลูกพี่ของเธอ เรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นโดยหัวหน้าหลี่ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าใครคือเฮียเหอ แต่เขาก็มั่นใจว่าคงไม่มีอาชญากรคนนั้นที่สูงไปกว่า 190 เซนติเมตรได้อีก นอกจากนี้ขนาดตัวของหมอนี่มันเด่นเกินกว่าจะมาเป็นโจรขโมยของได้ เขาคงไม่สามารถลอดผ่านหน้าต่างเพื่อปีนเข้าไปขโมยได้หรอก!


นั่นคือเหตุผลที่หัวหน้าลี่กล้าพูดออกไปว่าเฮียเหอตัวเล็กกว่าชายคนนี้


หลังจากหัวหน้าหลี่พูดจบต้าจวงก็หน้าถอดสีทันที


“แล้ว..แล้วผมต้องทำยังไง? ลูกพี่ผมเขายุ่งมาก เขาก็เลยส่งผมมาแทน”


“นายไม่สามารถเป็นตัวแทนลูกพี่นายได้หรอกนะ ฉันคิดว่านายคงติดต่อลูกพี่นายได้! โทรหาเขาซะ! ฉันจะคุยกับเขาเอง”


ต้าจวงเริ่มลังเล เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรติอต่อหาเฮียเหอดีหรือไม่? แต่ตำรวจนายนี้บอกว่าจะประกาศจับเฮียเหอไปทั่วเมืองย่อมหมายความว่าเขามีตำแหน่งใหญ่พอที่จะทำเช่นนั้นได้ ตำรวจนายนี้ต้องการคุยกับเฮียเหอเอง แล้วถ้าการเจรจาล้มเหลว เฮียเหอจะไม่ถูกจับกุมหรือ?


“แค่บอกสิ่งที่คุณต้องการแล้วผมจะคุยกับเฮียเหอเอง”


“นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาต่อรองกับฉัน! โทรหาลูกพี่ของนายเดี๋ยวนี้! บอกเขาไปว่าหลี่ฉางเซิงอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าเขาไม่มาภายใน 10 นาที ฉันเอาเขาตายแน่! ”


หัวหน้าหลี่เอ่ยเสียงเหี้ยม


ต้าจวงลนลานก่อนจะเริ่มต่อสายไปหาเฮียเหอทันที


“เฮียเหอผมมาถึงแล้ว เอ่อ..ผมยังไม่เจอหยิงซีเลยครับ เอ่อ..มีตำรวจอยู่ที่นี่ด้วยเขาบอกว่าเขาชื่อหลี่ฉางเซิงและเขาให้เฮียมาที่นี่ภายใน 10 นาที ..ครับ! เข้าใจแล้วครับ”


หลังจากวางสายต้าจวงก็หันไปแจ้งกับหัวหน้าหลี่


“เฮียเหอกำลังเดินทางมาที่นี่ แล้วพวกคุณช่วยพาหยิงซีมาที่นี่ได้หรือเปล่า?”


หยิงซีถูกนำตัวออกจากสำนักงานและเธอก็ตกตะลึงในทันทีเมื่อเห็นต้าจวง ทำไมต้าจวงมาอยู่ที่นี่แล้วเฮียเหอละ?


“ดูเหมือนเฮียเหอของเธอจะไม่กล้ามาที่นี่แล้วกระมัง? บางทีเขากำลังหาทางหลบหนีอยู่ มันคุ้มค่าแล้วหรือไงที่จะเลือกติดตามคนแบบนี้”


หัวหน้าหลี่ยังคงใช้จิตวิทยากดดันต่อไป


ก่อนที่หยิงซีจะได้พูดอะไร หัวหน้าหลี่ก็สั่งให้ตำรวจหญิงพาตัวเธอออกไปทันที พวกเขาไม่สามารถคุมตัวหยิงซีและต้าจวงไว้ด้วยกันได้ หัวหน้าหลี่ยังต้องการเค้นข้อมูลจากพวกเขาเกี่ยวกับเฮียเหอต่อไป


จากการแสดงออกของหยิงซี ทำให้หัวหน้าหลี่มั่นใจว่าชายร่างใหญ่ที่กำลังถูกคุมตัวเข้าไปในสำนักงานไม่ใช่เฮียเหอ สัญชาตญาณของเขาถูกต้องแล้ว


.


.


เฮียเหอวางหูโทรศัพท์ลงและหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ต่อสายไปยังสายหนึ่งทันทีหลังจากนั้นไม่นานมือที่ถือโทรศัพท์ก็ค่อยๆสั่นขึ้น


หลี่ฉางเซิง เป็นหัวหน้าระดับสูงสุดของเขตและยังเป็นรองผบ.กรมตำรวจของเมืองปักกิ่งอีกด้วย นี่คือการขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น มันจำเป็นต้องใช้ตำรวจยศใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ?


เฮียเหอรู้สึกเสียใจที่เขาให้หยิงซีไปขโมยของในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต หากเรื่องนี้ถึงมือคนในระดับหลี่ฉางเซิงมันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ


แต่หลังจากคิดไปได้ระยะหนึ่งเขาก็มั่นใจว่าการขโมยของพวกเขามันเป็นเพียงคดีเล็กๆเท่านั้น หลี่ฉางเซิงอาจก่นด่าพวกเขาอยู่พักใหญ่และให้พวกเขาไปนอนในห้องขังสัก 2-3 คืนแล้วก็ปล่อยตัวพวกเขาออกมา หลังจากนั้นเขาจะหลีกเลี่ยงจากไท้หัวซุปเปอร์มมาร์เก็ตอย่างแน่นอน


ใช่แล้ว! ฉันต้องไปที่นั่นแบบคนที่กลับใจและยอมรับผิดกับสิ่งที่ตัวเองก่อไว้ ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะไปขัดขืนกับตำรวจใหญ่แบบนั้น


.


.


“สวัสดีครับ ผมชื่อเหอจี๋ คุณเรียกผมว่าเสี่ยวเหอก็ได้ เอ่อ..ผู้หญิงของผมทำผิดไปแล้วแต่ผมสัญญาว่าจะสั่งสอนเธอและไม่ให้เธอมาขโมยของแบบนี้อีก”


เฮียเหอเดินเข้ามาในสำนักงานและเริ่มเอ่ยขอโทษ


“เสี่ยวเหอ? บอกชื่อจริงนายมาซะ!”


หัวหน้าหลี่ตะคอกใส่


“ชื่อจริงของผมคือเฉียนจิงแต่เป็นเพราะสีผิวของผมมันคล้ำไปหน่อยคนอื่นก็เลยตั้งชื่อเล่นนี้ให้”


เฉียนจิงอธิบาย


“เฉียนจิง? พ่อแม่นายเข้าใจตั้งนี่นา เอาล่ะ! จากที่นายพูดมาเมื่อกี้ นายกำลังจะบอกฉันว่าการที่หยิงซีขโมยของในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นความคิดของเธอเองงั้นหรือ? เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนายเลยสินะ?”


หัวหน้าหลี่ยิ้มเยาะ


“ผมไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย! ผมได้เปลี่ยนชีวิตตัวเองแล้ว ตอนนี้ผมกำลังทำงานในเลานจ์เล็กๆแห่งหนึ่ง”


เลานจ์? แววตาของหัวหน้าหลี่สว่างวูบทันที นี่มันง่ายกว่าที่จะจับเขาไปลงโทษเสียอีก!



EG บทที่ 651 เล่ห์เหลี่ยม 3


 


“เลานจ์เล็กๆที่ว่าใช่เลานจ์วิดีโอหรือเปล่า?”


หัวหน้าหลี่หยั่งเชิงถาม ในยุคนี้คนที่ทำงานในเลานจ์วิดีโอส่วนใหญ่จะไม่ได้มือสะอาดอย่างที่คิด พวกเขาอาจไม่ได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงแต่ส่วนใหญ่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับสื่อลามก!


สิ่งนี้สามารถพิจารณาเป็นความผิดและสามารถเรียกเก็บเงินในชั้นศาลได้ หัวหน้าหลี่มั่นใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน


“ใช่ครับ ผมทำงานอยู่ที่เลานจ์วีดีโอคือผมเป็นเจ้าของกิจการนะครับ”


เพราะเฉียนจิงคนนี้กล้าที่บอกว่าตนเองมีธุรกิจเลานจ์วิดีโอ เขาก็ควรใช้โอกาสนี้กำจัดสิ่งผิดกฎหมายพวกนั้นออกไปเช่นกัน


“เฉียนจิง นายมีพวกหนังอย่างว่าในร้านของนายหรือเปล่า?”


“ไม่มีแน่นอนครับ! เลานจ์วิดีโอของผมมีแค่แผ่นเพลงและแผ่นหนังทั่วๆไปเท่านั้นและแผ่นในร้านของผมก็เป็นของแท้ทั้งหมด”


เฉียนจิงตอบอย่างรวดเร็ว


“ดี แล้วนายเข้าคุกไปกี่ครั้งแล้ว?”


หัวหน้าหลี่ถามต่อ


“6 ครั้งครับ! ครั้งล่าสุดก็ผ่านมาหลายปีแล้ว อย่างที่ผมบอกไปว่าผมกลับตัวแล้วจริงๆ”


6 ครั้ง! นายคงถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวแล้วล่ะ? มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดว่าสามารถกลับตัวและเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้หรือไม่? โอกาสที่พวกเขาจะไม่กลับไปวงจรเดิมน้อยกว่า 1% ด้วยซ้ำและกลายเป็นว่าอาชญากรรมที่พวกเขาก่อจะรุนแรงมากขึ้นหลังจากการปล่อยตัวในแต่ละครั้ง หัวหน้าหลี่ไม่คิดจะถามอะไรอีกแต่เป็นเฝิงหยู่ที่ถามขึ้น


“ธุรกิจเลานจ์วิดีโอของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”


“มันค่อนข้างดีนะครับ มีคนเข้ามาใช้บริการทุกวันและธุรกิจให้เช่าแผ่นวิซีดีก็ไปได้สวย”


แม้ว่าเฉียนจิงจะไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใครแต่การที่เขานั่งอยู่ระดับเดียวกับหัวหน้าหลี่ก็แสดงว่าเขาไม่ใช่ธรรมดา


“คุณคิดค่าเช่าแผ่นวีซีดีเท่าไหร่?และค่าบริการเวลาดูหนังหรือฟังเพลงในแต่ละครั้งมีราคาเท่าไหร่? มีแผ่นวีซีดีในเลานจ์วีดีโอของคุณเยอะมั้ย? มีดิสโก้หรือไนต์คลับอยู่ใกล้ๆกับเลานจ์วิดีโอของคุณหรือเปล่า?พวกเขาใช้เครื่องเล่นวีซีดีกันหรือไม่? อ้อ!แล้วเครื่องเล่นวีซีดีที่คุณใช้เป็นยี่ห้ออะไร?”


เฝิงหยู่ยิงคำถามออกไปเป็นชุดและทุกคนที่อยู่ในนั้นถึงกลับตะลึงไปตามๆกัน ผู้จัดการเฝิงกำลังทำอะไรอยู่? หัวหน้าหลี่ก็สับสนเช่นกัน ทำไมจู่ๆเฝิงหยู่ก็ขัดจังหวะการสอบปากคำของเขาด้วยคำถามแปลกๆพวกนั้น?


มันเป็นเรื่องยากสำหรับเฝิงหยู่ที่จะมีโอกาสเจอคนทำงานในเลานจ์วิดีโอ เขาต้องการเข้าใจความต้องการของท้องตลาดให้มากที่สุด วินด์แอนด์เรนอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นลูกของเขาและเขาได้ใช้ความพยายามทั้งหมดทุ่มเทให้กับบริษัทนี้ เขาจะผลักดันให้บริษัทนี้เป็นเจ้าแรกของจีนที่จะไปยืนอยู่หัวตารางและอยู่เหนือบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เฝิงหยู่ไม่ต้องการให้มีอะไรผิดพลาด


“ถ้าเป็นค่าเช่าวีซีดีเราคิดราคาวันละ 20 เซนต์ต่อหนึ่งแผ่น ส่วนค่าบริการดูหนังเราก็คิดราคา 20 เซนต์เช่นกัน ซึ่งเลานจ์วิดีโอของเราทั้งหมดเรียกเก็บในราคาเดียวกัน เลานจ์วิดีโอของเรามีแผ่นวีซีดีมากกว่า 1,000 แผ่นคือผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเลขที่แน่นอนเท่าไหร่นะครับ? อ้อ!มีบาร์อยู่ใกล้ๆร้านของเราและพวกเขาก็ใช้เครื่องเล่นวีซีดีเหมือนกัน ธุรกิจของพวกเขาก็ไปได้สวยเลยล่ะครับ ร้านของผมใช้เครื่องเล่นวีซีดียี่ห้อวินด์แอนด์เรนครับเพราะมันเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก”


เฉียนจิงรู้สึกงงว่าทำไมเฝิงหยู่จึงถามคำถามพวกนี้? แต่เขาก็เลือกตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เขารู้สึกว่าถ้าเขาตอบอะไรด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนพวกนี้ก็จะปล่อยเขาและคนของเขาไป


ราคาของมันถูกกว่าตั๋วหนังและยังมีให้เลือกหลากหลาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภาพยนตร์ของจีนจึงไม่สามารถสร้างรายได้ในโรงภาพยนตร์ได้ มันไม่ใช่เพราะภาพยนตร์เหล่านั้นไม่มีคุณภาพแต่เป็นเพราะเลานจ์วิดีโอที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีน


มีไนต์คลับและบาร์ขนาดเล็กผุดขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นหมายความว่ายอดขายวีซีดีจะเพิ่มขึ้นในอนาคต


“พวกคุณมีกันทั้งหมดกี่คน?”


เฝิงหยู่ถามขึ้นอีกครั้ง


หัวหน้าหลี่เริ่มตามความคิดของเฝิงหยู่ไม่ทัน คำถามของเขาก่อนหน้านี้คืออะไรและทำไม?แล้วจู่ๆเขาก็กลับมาเปลี่ยนหัวข้ออีกครั้ง? คนเดียวในห้องที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคงมีเพียงผู้จัดการจ้าวเท่านั้นเพราะเขารู้ว่าเฝิงหยู่เป็นเจ้าของเครื่องเล่นวีซีดีวินด์แอนด์เรน


เฉียนจิงไม่คุ้นกับวิธีการถามของเฝิงหยู่แต่เขาก็ยังสามารถตอบได้เพราะเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะถูกถามด้วยคำถามนี้


“เรามีกันแค่ 3 คนเท่านั้นครับ มีผม ต้าจวงและหยิงซี เรา 3 คนกำลังดูแลกิจการเลานจ์วิดีโอร่วมกัน ผมไม่รู้จริงๆนะครับว่าหยิงซีจะมาขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตของคุณ ผมเสียใจมากเลยครับแล้วผมจะเกลี้ยกล่อมให้หยิงซีรับผิดในโทษที่เธอก่อขึ้น”


“ดูเหมือนธุรกิจเลานจ์วิดีโอของคุณจะทำเงินได้มากเลยสินะ ดูสิ!คุณสามารถซื้อโทรศัพท์มือถือมาใช้ได้เลย”


เฝิงหยู่ยิ้มเย็น


เจ้าของเลานจ์วิดีโอสามารถซื้อโทรศัพท์มือถือได้หรือไม่? ถึงแม้ราคาโทรศัพท์มือถือจะลดลงมากแต่ก็ยังมีราคาถึง 20,000 หยวน มันเทียบได้กับเงินเดือนของคนทั่วไปถึง 2 ปีด้วยซ้ำ!


หัวหน้าหลี่ตระหนักได้ในทันที


“หากมูลค่าของที่ขโมยมามากกว่า 1,000 หยวน ค่าปรับก็ควรอยู่ที่ 5,000 หยวนและถูกจำคุกอย่างน้อย 15 วัน นายเองก็เตรียมตัวช่วยเธอจ่ายค่าปรับแล้วกัน”


5,000 หยวน!


เฉียนจิงตกตะลึง ทำไมราคาถึงสูงขนาดนั้น! ในอดีตค่าปรับมีราคาเพียง 200-300 หยวนเท่านั้น แม้แต่ราคา 200-300 หยวนก็ยังถือว่าสูงเกินไปด้วยซ้ำ! หัวขโมยบางรายไม่สามารถขโมยเงินได้จำนวนมากขนาดนั้นในหนึ่งสัปดาห์ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมลูกน้องของเขาถึงเลือกโดยจับขังแทนที่จะยอมเสียค่าปรับให้กับตำรวจ


เฉียนจิงมองไปที่โทรศัพท์มือของตนเอง มันไม่ได้ถูกซื้อมาแต่เขาขโมยมันมาต่างหาก แม้ว่ามันยากที่จะเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์แต่มันก็ยังพอที่จะทำได้ คนอย่างเขาไม่ยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อโทรศัพท์เครื่องเดียวหรอกนะ?!


“เป็นอะไรไป? นายไม่มีเงิน 5,000หยวนหรือไง? โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นก็ถูกขโมยมาสินะ?อ้อ!ถ้านายซื้อมันมาจริงก็ต้องมีใบเสร็จใช่มั้ย? หากนายขโมยของที่มีมูลค่ามากกว่า 10,000หยวน การลงโทษก็จะหนักขึ้น!”


หัวหน้าหลี่เคาะไปที่โต๊ะเป็นจังหวะช้าๆ


“นี่มันเป็นโทรศัพท์มือสอง มันไม่มีใบเสร็จหรอกครับแล้วผมก็ไม่มีเงินถึงขนาด 5,000หยวนหรอก! ถ้าเธอทำผิดเธอก็สมควรได้รับโทษตามที่เธอก่อไว้ ผมไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้วล่ะครับ ผมขอกลับไปดูร้านก่อนดีกว่า”


เฉียนจิงพยายามที่จะออกไปจากห้องให้ได้


“นายจะออกไปงั้นหรือ? รอก่อน! หลิวเทียนเข้ามาได้!”


หัวหน้าหลี่ตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างนอกเข้ามา ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งจะเข้ามาในห้องและโค้งคำนับหัวหน้าหลี่


“พวกเราพร้อมแล้วครับท่าน!”


“ดี! ปล่อยเจ้าร่างใหญ่นั้นไปแล้วสะกดรอยตามอย่าให้คลาดสายตา พวกนายห้ามปล่อยให้ผู้สมรู้ร่วมคิดของแก๊งค์นี้หนีรอดไปได้! ส่งคนไปกับเสี่ยวซูและผู้หญิงคนนั้นเพื่อตามของที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาและจับกุมคนที่รับซื้อของที่ขโมยกลับมาด้วย!”


“ครับท่าน!”


ตาของเฉียนจิงเบิกกว้างด้วยความตกใจ นี่มันหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาต้องการจับกุมพวกเราทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?


“ท่านครับ! ผมทำอะไรผิด? ทำไมถึงต้องจับผมด้วย?”


“นายควรรู้ตัวเองนะว่าตัวเองทำอะไรผิด? ผู้หญิงคนนั้นสารภาพทั้งหมดแล้วและเธอยังบอกความผิดที่นายทำเอาไว้แล้วด้วย! นี่นายคิดว่าฉันจะเชื่อคำโกหกของนายงั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะจะทำให้ลูกน้องของนายตื่นตระหนก ฉันก็คงพานายออกทางประตูหน้าแล้วล่ะ!”


หัวหน้าหลี่รู้สึกหัวเสีย เขาเป็นถึงนายตำรวจใหญ่แต่ต้องออกทางประตูหลังอย่างนี้นะหรือ?!


ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับต้าจวงเพราะเขาจะเป็นคนพาตำรวจไปทลายแก๊งค์นี้จนถึงรังของพวกเขาและจับกุมพวกเขาทั้งหมด!


เฉียนจิงตระหนักได้ว่าตัวเองถูกหลอก ตัวเขาถูกจับแล้ว ส่วนต้าจวงที่ถูกปล่อยตัวไปก็จะไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อ เขาจะเริ่มมองหาสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกเขา


และด้วยวิธีนี้ตำรวจจะสามารถจับกุมทุกคนได้!


ส่วนที่น่าโมโหที่สุดคือการที่หยิงซีทรยศเขา เธอเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเขาทำอะไรไปบ้างและรู้ว่าของที่ขโมยมาซ่อนอยู่ที่ไหน ถ้าเฉียนจิงรู้ว่าหยิงซีจะทรยศ เขาจะไม่มีทางบอกความลับแก่เธออย่างแน่นอน


แต่นั่นล่ะ! สิ่งที่เขาซ่อนเอาไว้มีมูลค่าที่สูงมาก เขาจะต้องติดคุกนานหลายปี อาชญากรรมใดที่มีการทำงานเป็นแก๊งค์เป็นองค์กรจะถูกลงโทษอย่างหนัก


เฉียนจิงคิดเพียงแค่ว่าตนจะมาเจรจากับเจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตและก็จะไม่กลับมาขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้อีก เขาคิดว่าตนเองสามารถพาคนของตนกลับไปได้และบางทีซุปเปอร์มาร์เก็ตอาจยัดเงินให้พวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขากลับมาที่นี่อีก


แต่มันกลับกลายเป็นแบบนี้


.


.


2 ชั่วโมงต่อมา หัวหน้าหลี่จ้องไปที่เพจเจอร์ซึ่งเหน็บอยู่บนเอวของเขา มีเพียงไม่กี่คำที่ปรากฏอยู่ในนั้น


‘ภารกิจเสร็จสมบูรณ์!’


EG บทที่ 652 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว


 


“เฮ้! คุณเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์หรือยัง? เห็นว่าทางตำรวจร่วมมือกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจับแก๊งค์โจรรายใหญ่ได้ เห็นว่าพวกโจรแก๊งค์นี้มาจากมณฑลอื่นและเลือกมาขโมยของที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตโดยเฉพาะ แต่สุดท้ายหนึ่งในหัวขโมยก็โดนคนของไท้หัวจับตัวได้เสียก่อน พวกเขาเลยประสานงานกับตำรวจเพื่อขยายผลการจับกุม อ๊ะ! เห็นว่าพวกเขาจับโจรแก๊งค์นี้ได้เกือบ 30 คนเลยนะ!”


“จริงเหรอ?เอาไว้ฉันจะไปหาซื้อหนังสือพิมพ์อ่านภายหลังแล้วกัน โจรพวกนี้มันแย่จริงๆแถมแก๊งค์ใหญ่ขนาดนี้ก็ควรถูกลงโทษอย่างสาสม!”


หนึ่งในกลุ่มตอบขึ้นอย่างโมโหเพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งถูกล้วงกระเป๋ามา เงินเดือนเขาเพิ่งออกแท้ๆแต่ขโมยพวกนั้นกลับล้วงไป! มันน่าโมโหจริงๆ!


“คราวนี้พวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักทีเดียว!เห็นว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอื่นๆอีกด้วย โทษต่ำสุดก็ยังถูกจำคุกถึง 1 ปี คราวนี้ตำรวจทำผลงานได้ดีจริงๆ นี่สิคือสิ่งที่ตำรวจสมควรทำ!”


“ฉันว่านะ! รปภ.ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตทำงานได้ดีจริงๆ เห็นว่าพวกเขาเป็นคนจับโจรได้เป็นกลุ่มแรก!ครั้งล่าสุดที่ฉันไปเดินห้างXXฉันถูกล้วงประเป๋าไปและห้างนั้นก็ไม่สนใจฉันแม้แต่น้อย ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตดีกว่าเห็นๆ!”


“ถูกต้อง!ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังขายของถูกกว่าที่อื่นอีกด้วย ถ้าเราซื้อของไปตุนครั้งเดียวเยอะๆ เราสามารถประหยัดได้ถึง 100 หยวนเลยล่ะ!”


“ดูนี่สิ! เมื่อวานฉันเพิ่งได้รับโปรชัวร์มาจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต มันจะมีการจัดโปรโมรชั่นลดราคาในช่วงสุดสัปดาห์นี้แล้ว”


“จริงเหรอ? จะมีลดราคาสินค้าในช่วงสุดสัปดาห์งั้นรึ? ฉันจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพิ่งมีโปรโมชั่นลดราคาไป? ทำไมพวกเขาถึงจัดโปรโมรชั่นลดราคาเกือบทุกสัปดาห์เลยล่ะ?”


“ใครจะไปรู้ล่ะ? เอาเป็นว่าคนที่ได้ประโยชน์ก็คือพวกเรานี่ล่ะ! ฉันว่าจะไปซื้อของช่วงสุดสัปดาห์นี้แล้วนายจะไปด้วยหรือเปล่า?”


“อืม! ถึงฉันจะไม่ได้อยากซื้ออะไรแต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนั่นก็กว้างขวางเหมาะกับการไปเดินเล่นเช่นกัน เดี๋ยวฉันไปด้วยนะ!”


.


.


เฮียเหอและพรรคพวกถูกจับกุมตัวได้ทั้งหมด ซึ่งหัวหน้าหลี่จงใจให้ข่าวว่าพวกเขาถูกจับกุมได้ที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต นี่เป็นวิธีหนึ่งที่จะยับยั้งคนร้ายแก๊งค์อื่นไม่ให้เข้ามาขโมยของที่นี่ได้


นี่คือคำเตือนสำหรับอาชญากรทุกรายว่าห้ามพุ่งเป้ามาที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นอันขาด!


เฝิงหยู่ยังใช้คอนเนคชั่นของตัวเองในการเผยแพร่ข่าวเพื่อให้เรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ช่วงเย็นอีกด้วย ในแง่หนึ่งก็เพื่อชื่นชมการทำงานของตำรวจโดยเฉพาะหัวหน้าหลี่ ในขณะเดียวกันก็เพื่อประชาสัมพันธ์ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไปในตัวและสุดท้ายเพื่อแพร่กระจายข่าวไปให้โจรแก๊งค์อื่นว่าไม่ควรมาล้อเล่นกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต!


เมื่อข่าวนี้ถูกตีพิมพ์ออกไป หัวหน้าหลี่ก็ขอบคุณเฝิงหยู่เป็นการใหญ่ บทความนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของตำรวจและเพิ่มชื่อเสียงของเขาได้อีกขั้นหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งโดยตรงแต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงจะเล็งเห็นและประทับใจในตัวเขาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน!


การจับกุมในครั้งนี้มีการพบสินค้าจำนวนหลายรายการที่ถูกขโมยมา สินค้าส่วนใหญ่ไม่พบเจ้าของและต้องอยู่ในการดูแลของตำรวจต่อไป สินค้าส่วนหนึ่งจะถูกส่งให้กับกรมตำรวจกลางและส่วนที่เหลือก็จะแจกจ่ายไปตามสถานีตำรวจในท้องที่ ทำให้แต่ละสถานีจะได้รับเงินบำรุงมากขึ้นและสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำงานได้เป็นอย่างดี


พวกคุณต้องการให้ตำรวจตั้งใจทำงานให้หนักขึ้นและมีแรงจูงใจในการทำงานอย่างนั้นหรือ? แต่การจ่ายเงินเดือนล่าช้าไปถึง 2-3 เดือนเช่นนี้ จะทำให้พวกเขามีแรงจูงใจและทุ่มเทให้กับงานได้จริงๆนะหรือ?


อาชญากรหลายๆรายรู้กิตติศัพท์ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เพราะข่าวนี้ แม้จะมีลูกค้าเข้าใช้บริการในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นจำนวนมากแต่พวกเขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้เพราะไม่อยากเดินซ้ำรอยแบบแก๊งค์ของเฮียเหอ


ในอดีตการลงโทษสำหรับการลักขโมยนั้นมากที่สุดก็ถูกจับขังเพียง 3 -5 วัน หากรุนแรงมากขึ้นก็ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แต่เฮียเหอและพรรคพวกกับถูกตัดสินคดีโดยศาล!


นี่เป็นเพียงการลักขโมยเล็กๆน้อยๆเท่านั้นและบทลงโทษก็ไม่ควรหนักเกินไป


อาชญากรเหล่านี้ไม่ทราบเหตุการณ์โดยละเอียดแต่เรื่องนี้เป็นความจริง เนื้อหาข่าวได้กล่าวเอาไว้ว่าแก๊งค์ของเฮียเหอทั้ง 30 คนถูกตัดสินให้ติดคุก!


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตถือเป็นสถานที่อันตรายและเหล่าอาชญากรไม่กล้าเข้าไปใกล้


ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ นอกจากไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วยังมีอีกหลายแห่งที่พวกเขาสามารถขโมยได้ ซึ่งสถานที่เหล่านั้นไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่นัก


ในข่าวยังระบุอีกว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นอดีตทหารเกือบทั้งหมด  พวกเขาต่างมีความคล่องแคล่วและชำนาญในการต่อสู้


หากพวกหัวขโมยถูกจับก็อาจเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกรปภ.เหล่านี้ทุบตี นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่กลุ่มรปภ.สามารถทำได้ ตำรวจเองก็จะทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งเพื่อให้พวกโจรถูกรุมซ้อม หากประชาชนทราบข่าวนี้ก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะมารุมประชาทัณฑ์อีกแรงหนึ่ง มันถือเป็นสถานการณ์ที่แย่สำหรับพวกโจรยิ่งนัก!


จากข่าวนี้ทำให้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตดังมากขึ้น พวกเขาได้รายงานข่าวนี้ผ่านรายการวิทยุหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาต้องการให้ชื่อไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตติดหูคนส่วนใหญ่ให้มากที่สุด


ตราบใดที่คนเหล่านี้อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต พวกเขาก็จะมาเยี่ยมชมให้เห็นด้วยตาตนเองและมันจะทำให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตโดยไม่รู้ตัว


ผู้ที่เคยมาใช้บริการไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็อยากจะมาใช้บริการอยู่เรื่อยๆเพราะมักจะมีการจัดโปรโมชั่นอยู่เป็นประจำ


จริงๆแล้วไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมีการจัดโปรโมชั่นเกือบทุกวัน มันเป็นการแนะนำสินค้าก่อนจะเปิดขายจริง มีสินค้าเข้าร่วมหลายรายการและทุกๆวันสินค้าแต่ละยี่ห้อก็จะจัดโปรโมชั่นลดราคาหรือโปรโมชั่นอื่นๆเสริมมากมาย


วันนี้เป็นคิวของคุณและคุณก็ต้องจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อส่งเสริมการขายให้กับผลิตภัณฑ์ของคุณถึงแม้ว่าคุณจะไม่เต็มใจก็ตาม วันนี้ไม่ใช่คิวของคุณแต่อยากจัดโปรโมชั่นอย่างนั้นหรือ? ได้! ไม่มีปัญหา! ทำตามที่คุณต้องการได้เลย!


มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทำเช่นนี้? ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการจัดโปรโมชั่นแบบนี้ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นไม่น่าเบื่อเกินไปและสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น แน่นอนว่ามันจะสร้างชื่อเสียงให้กับซุปเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้นอีกด้วย


โปรชัวร์สำหรับการจัดโปรโมรชั่นก็จะถูกตีพิมพ์ขึ้นมาใหม่ในทุกๆสัปดาห์ นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลต่างๆก็จะมีการจัดโปรโมชั่นแบบพิเศษเพื่อเอาใจลูกค้าอีกด้วย โปรโมชั่นเหล่านี้จะถูกจัดและดูแลโดยผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง


เมื่อลูกค้าที่จะมาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นและควบคู่ไปกับเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นห้างที่ปลอดภัยและมีระบบการจัดการที่ดี มันก็จะมีเหล่าผู้ค้าที่สนใจจะมาเช่าพื้นที่สำหรับขายสินค้าของตนเองเพิ่มขึ้น


แต่ก่อนเหล่าผู้ค้าหลายๆเจ้าต่างคิดว่าค่าเช่าแพงเกินไป นอกจากนี้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังมีเงื่อนไขยิบย่อยที่พวกเขาไม่ค่อยพอใจนักจึงหยุดชะงักการเช่าพื้นที่ไปเสียก่อน แต่เมื่อพวกเขาทราบถึงการจัดระบบ ทั้งการจราจร ระเบียบร้านค้าและความปลอดภัยของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต พวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนใจ


ไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะมีคุณภาพสูงเพียงใด ผู้ค้าทั้งหลายก็ไม่คิดที่ไปเปิดขายผลิตภัณฑ์ในทำเลที่มีคนผ่านไปมาน้อย


ผู้ค้าเหล่านี้ต่างคิดว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะอยู่ได้ไม่กี่วันหลังจากทำการเปิดตัวและลูกค้าก็จะค่อยๆหดหายไป ความรู้สึกบ้าเห่อกับสถานที่เปิดใหม่มักเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ


แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็รู้ว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจัดโปรโมชั่นเกือบทุกวัน แม้จำนวนคนเข้าใช้บริการจะไม่สูงเท่ากับช่วง 2-3วันแรกแต่ก็ยังถือว่าสูงมากอยู่ดี แม้แต่ในวันหยุดสุดสัปดาห์จำนวนคนเข้าใช้บริการก็มีมากๆพอกับวันธรรมดาเลยทีเดียว


นี่คือทำเลที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเปิดร้านค้า ผู้ค้าเหล่านี้ไม่คิดลังเลอีกต่อไป พวกเขารีบติดต่อขอจองเช่าพื้นที่กับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างรวดเร็ว 2-3เจ้าแรกที่ติดต่อเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับต่างๆ พวกเขาพอใจกับจำนวนคนเข้าใช้บริการและความปลอดภัยในการตั้งร้านค้ายิ่งนัก


สิ่งที่ร้านค้าเหล่านี้กังวลมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความปลอดภัยของทรัพย์สินที่จะวางขาย ซึ่งไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาได้!


.


.


“ผู้จัดการเฝิงครับ! หลังจากที่เราออกข่าวเรื่องเจ้าหน้ารปภ.ของเราสามารถจับหัวขโมยได้ ผู้ค้าหลายๆเจ้าต่างติดต่อเข้ามาเพื่อเช่าพื้นที่ร้านค้า ผมคิดว่าร้านค้าของเราทั้งหมดจะเปิดให้เช่าจนเต็มพื้นที่ในสิ้นเดือนนี้ เราไม่จำเป็นต้องลดค่าเช่าเลยด้วยซ้ำ!”


“ดีมาก! เลือกร้านค้าที่จะมาเปิดในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราให้ดี เลือกเอาแบรนด์ที่ดังๆหน่อยแล้วกัน เราต้องไม่ปล่อยให้ชื่อเสียงแบรนด์พวกนั้นมากระทบกับผลกำไรของเรา! คุณมีประสบการณ์มากกว่าผมดังนั้นก็จัดการเรื่องนี้ได้เลย”


ถ้าคนอื่นสามารถจัดการเรื่องนี้ได้เฝิงหยู่จะไม่ลงมือทำเอง นี่คือสาเหตุที่กลุ่มคนเหล่านี้ถูกว่าจ้าง


ขโมยถูกจับในซุปเปอร์มาร์เก็ตของพวกเขาและมันไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องต่างๆจะกลับกลายเป็นผลดีแบบนี้ได้?



EG บทที่ 653 ขายบัตรเพื่อได้เงิน 1


 


นี่ก็ใกล้สิ้นเดือนสิงหาคมแล้ว พื้นที่ร้านค้าที่เปิดให้เช่าในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ถูกจองจนเต็ม นี่ถือว่าเร็วกว่าที่คิดเอาไว้


เป็นเพราะยอดลูกค้าที่เข้าใช้บริการในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้นสูงและยังเป็นจำนวนที่สูงมาก ทำให้สาขาต่างๆของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดในแต่ละมณฑลได้รับความนิยมเพิ่มตามและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในมณฑลนั้นๆทันที


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแสดงให้เห็นถึงคอนเนคชั่นและศักยภาพที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ร้านค้าหรือบริษัทต่างๆไม่คิดที่จะพลาดโอกาสนี้ไป


มีคนเคยกล่าวไว้ว่าการที่เคเอฟซีและแมคโดนัลด์ประสบความสำเร็จเพราะปัจจัยหลักๆ 2 ประการ อย่างแรกคือการสร้างแบรนด์ให้เป็นอันดับ 1 หรืออันดับ 2 เสียก่อน


ตัวอย่างง่ายๆก็คือ ถ้าหากเคเอฟซีและแมคโดนัลด์เปิดร้านของพวกเขาในตัวหมู่บ้านพวกเขาก็จะไม่ได้กำไรตามเป้าที่ตั้งไว้ แม้ว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นจะรู้ว่ามันคือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดและเป็นแฟรนไชส์ของต่างประเทศก็ตาม แต่พวกเขาก็ไมได้อุดหนุนเท่าที่ควรนักเพราะมีคนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจำนวนน้อยและไม่ได้มีกำลังเงินที่จะอุดหนุนได้ตลอดเวลา


ทำไมแฟรนไชส์ของเคเอฟซีและแมคโดนัลด์จึงจ้างผู้เชี่ยวชาญในการสำรวจทำเลที่ตั้งของพวกเขา? นั่นก็เพราะต้องการสร้างความมั่นใจว่าทำเลนั้นๆจะมีคนพลุ่กพล่านเพราะยิ่งคนสัญจรผ่านไปมาเป็นจำนวนมากยิ่งเป็นผลดีต่อตัวพวกเขาเอง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเดินเข้าร้านของคุณได้ง่ายๆยิ่งเฉพาะเป็นแบรนด์จากต่างประเทศเช่นนี้


หากให้พูดตามตรงร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดไม่ได้มีรสชาติที่ดีนัก ร้านค้าหลายๆแห่งก็สามารถทำรสชาติแบบนี้ได้ นี่คือสาเหตุที่แบรนด์ของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเติบโตได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงต้องการทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมและปรับรสชาติอาหารให้เหมาะกับรสปากของผู้บริโภค นั่นจะทำให้ธุรกิจของพวกเขามั่นคงขึ้น


แม้ว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเปิดให้เช่าพื้นที่โซนหน้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตและค่าเช่าก็เรียกเก็บเป็นรายปีแต่ค่าเช่าก็ยังถือว่าถูกมาก ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าเหล่านี้ต่างต้องการทดสอบตลาด


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตต้องการดูว่าร้านเหล่านี้จะสร้างรายได้มากน้อยเพียงใดจึงจะตัดสินใจปรับขึ้นค่าเช่าในปีหน้า ในขณะที่ร้านค้าเหล่านี้ก็กังวลว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะมีจำนวนมากเช่นนี้ไปตลอดเลยหรือไม่? หากอีก 2 เดือนหลังจากนี้จู่ๆลูกค้าก็หายไปพวกเขาจะต้องขาดทุนอย่างแน่นอน!


ด้วยจำนวนร้านค้าที่เช่าพื้นที่ในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมีจำนวนเต็มอัตราและความนิยมในตัวซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เพิ่มสูงขึ้น ฟู่เกิงเฉิงจึงรู้สึกว่าซุปเปอร์มาร์เก็ต 20 สาขามันน้อยเกินไป เขาควรตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตสัก 100 สาขาโดยเร็วที่สุด เขาต้องการตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตสัก 3 สาขาในหนึ่งมณฑลและมณฑลไหนที่มีจำนวนประชากรหนาแน่นก็ควรเพิ่มสาขาขึ้นไปอีก


ฟู่เกิงเฉิงทราบมาว่าคาร์ฟูร์กำลังมองหาที่ตั้งในประเทศจีน พวกเขาจะเริ่มตีตลาดจีนในปีหน้า ซึ่งตอนนี้พวกเขาตั้งเป้าไว้แค่ 2 เมืองเท่านั้นคือปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้


ในปัจจุบันคาร์ฟูร์ยังไม่คิดว่าประเทศจีนเหมาะกับไฮเปอร์มาร์เก็ต นั่นก็เพราะพวกเขามองไม่เห็นศักยภาพการจับจ่ายของประชากรจีน จำนวนประชากรจีนมีจำนวนที่สูงมากและธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตก็ถือว่ามีศักยภาพในการเติบโตที่สูงและถือว่าตอบโจทย์ที่สุด


เมื่อครั้งที่คาร์ฟูร์เปิดตลาดที่ฝรั่งเศส เศรษฐกิจของฝั่งเศสกลับดูแย่กว่าเศรษฐกิจจีนในตอนนี้เสียอีก


นอกจากนี้ตัวแทนของวอลมาร์ตในเอเชียยังได้กระจายข่าวว่าพวกเขาสนใจที่จะตีตลาดจีนอีกด้วย


หากบริษัทใหญ่ทั้ง 2 บุกตลาดจีนด้วยไฮเปอร์มาร์เก็ตเช่นนี้ พวกเขาก็ถือเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของไท้ฮัวซุปเปอร์มาร์เก็ต


สิ่งเหล่านี้ไม่ได้คุกคามไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเพียงด้านเดียวเท่านั้น ฟู่เกิงเฉิงทราบว่าหลายๆบริษัทในหลายมณฑลเริ่มที่จะเลียนแบบการดำเนินงานของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วเช่นกัน พวกเขาต้องการสร้างแบรนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ตของตนเองและขยายไปหลายๆสาขาทั่วประเทศจีน


บริษัทเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของพวกเขาและมันจะสามารถพัฒนาได้เร็วกว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเสียอีก


บริษัทเหล่านี้อาจไม่สามารถตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ได้หลายๆแห่งเช่นเดียวกับที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตทำ


แต่พวกเขาก็ไม่มีปัญหาที่จะตั้งขึ้นเพียงแห่งเดียว ถ้ามันประสบความสำเร็จพวกเขาก็จะขยายสาขาต่อไปได้ในภายหลัง


ในเมืองปิงมีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ส่วนท้องถิ่นได้เตรียมการเอาไว้ พวกเขาทำงานได้รวดเร็วกว่าที่ฟู่เกิงเฉิงจะตระหนักได้เสียอีก พวกเขาเตรียมการเสร็จสิ้นและจะเปิดตัวในเดือนตุลาคม!


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้กลายเป็นศัตรูลำดับต้นๆของอุตสาหกรรมนี้! หากทำเลดีๆถูกยึดครองจากบริษัทอื่นๆไปจนหมด มันก็ทำให้การเติบโตของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตหยุดชะงัก


ฟู่เกิงเฉิงรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ แม้แต่หลี่เซ่อเค่ย ประธานหลี่และฟู่หลงปิงก็เล็งเห็นปัญหานี้เช่นกัน


มีตัวเลือกให้กับพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทางแรกก็คือลงทุนเพิ่มโดยใช้เงินทุนจากธุรกิจของพวกเขาทั้งหมด


ทางที่สองคือกู้เงินสินเชื่อ แต่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ แม้จะมีเงินหมุนเวียนและสินทรัพย์คงที่แต่มูลค่าแบรนด์ยังไม่สูงมากนัก จำนวนเงินที่กู้ก็จะได้น้อยตาม


ตัวเลือกที่สามคือใช้กำไรและสินทรัพย์ทั้งหมดของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตรวมถึงเงินมัดจำจากร้านที่เช่าพื้นที่


แต่ในตอนนี้เฝิงหยู่กลับมีทางเลือกอื่นให้กับพวกเขา


“การเพิ่มการลงทุนยังไม่ใช่ปัญหาของเราในตอนนี้! พวกคุณควรรู้ว่าถ้าเราขยายธุรกิจของเราอย่างจริงจังมันจะไม่สามารถทำเงินให้เราได้มากนัก หมายความว่าเงินของเราจะถูกแช่แข็งไว้เป็นเวลานานหลายปี นี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย!  เราใช้เวลาตั้งนานกว่าจะสามารถหาทำเลได้ถึง 20 แห่ง ถ้าเรารีบขยายสาขาซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราเพิ่มในตอนนี้มันก็มีโอกาสสูงที่จะตกม้าตายได้ง่ายๆ”


“เรารู้เรื่องนี้กันดีแต่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราจะไม่สามารถแข่งกับคาร์ฟูร์และวอลมาร์ตได้เลย หากพวกเขาขยายตลาดเข้าสู่ประเทศจีนมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะได้สัมปทานจากรัฐบาล! หากพวกเขาทำได้มันจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดของเราไป ไหนจะพวกเที่เลียนแบบเราอีก! พวกนั้นก็สามารถแย่งส่วนแบ่งทางตลาดของเราไปได้เช่นกัน ถ้าพวกเขาแย่งทำเลเหมาะๆจากเราไปจนหมดมันก็ยากที่เราจะไปเปิดตัวในเมืองนั้นๆได้ ตอนนี้เราต้องเร่งแผนการขยายธุรกิจของเราและรีบจองทำเลดีๆไว้ดีกว่า อย่างน้อยเราก็ควรทำข้อตกลงกับหน่วยงานท้องถิ่นเสียก่อน”


ฟู่เกิงเฉิงอธิบายอย่างยืดยาว


“ผมรู้ว่าเฮียหมายความว่าอย่างไร? ผมไม่ได้ต่อต้านที่จะขยายสาขาของเราออกไป ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่จะเพิ่มเงินทุนของเรามากนัก การขอกู้สินเชื่อก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกันแม้ว่ามันจะได้เงินไม่มากแต่มันก็พอจะตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตได้เพิ่มอีก 10สาขา สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือการใช้กำไรและเงินทุนของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน”


เฝิงหยู่อธิบายไปยิ้มไป


“ผู้จัดการเฝิงครับ! มันจริงอยู่ที่เราสามารถรวมเงินทุนของเราได้ในเวลาสั้นๆก็จากกำไรและเงินทุนของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต หากมันเกิดข้อผิดพลาดเงินสดที่ไหลเข้ามาก็พอจะเอามาหมุนเวียนได้แต่มันก็จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบริษัทเรา คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าบริษัทเราเป็นเปลือก[1]นะครับ”


หลี่เซ่อเค่ยขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยออกไป


ประธานหลี่เห็นด้วยที่จะลงทุนขยายสาขาซุปเปอร์มาร์เก็ตและหลี่เซ่อเค่ยไม่เห็นด้วยที่จะนำเงินทุนและผลกำไรของบริษัทมาใช้ในการนี้


“ผมจำได้ว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังไม่ได้เปิดตัวบัตรสมาชิกและบัตรช้อปปิ้งเลยใช่มั้ยครับ? ผมคิดว่าเราต้องใช้ประโยชน์จากบัตรทั้ง 2 ประเภทนี้แล้วล่ะครับ!”


เฝิงหยู่เอ่ยขึ้นและนั่นก็ทำให้ทุกคนต่างนึกสงสัยว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่


 


[1] Shell companies หรือบริษัทเปลือกนอก เป็นบริษัทที่ไม่ต้องเสียภาษีใดๆ ไม่ต้องให้ข้อมูลอะไรกับหน่วยราชการ ไม่บังคับให้ต้องมีการตรวจสอบบัญชี แค่เสียเฉพาะค่าธรรมเนียมรายปีก็พอ ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนที่มากมายอะไร แถมยังสามารถใช้ที่อยู่ของตัวแทนรับจดทะเบียนบริษัทเป็นที่อยู่สำนักงาน ว่าง่ายๆ คือ ไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานจริงๆ เป็นแค่เปลือกไว้ตกแต่งบัญชีเท่านั้น




EG บทที่ 654 ขายบัตรเพื่อได้เงิน 2


 


บัตรสมาชิกและบัตรชอปปิ้งอย่างนั้นหรือ? บัตรสองใบนี้มีศักยภาพขนาดที่จะทำเงินให้กับพวกเขาจนสามารถขยายสาขาได้เลยหรือไง? ผู้บริหารระดับสูงหลายๆคนต่างสับสนกับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าศักยภาพของบัตรสองใบนี้มีแค่ไหนกัน?


ซุปเปอร์มาร์เก็ตในฮ่องกงก็มีบัตรสมาชิกและบัตรช้อปปิ้งเช่นกัน ยอดขายของบัตรทั้งสองก็ถือว่าดีพอสมควรแต่มันก็ไม่ได้ทำกำไรสูงเหมือนที่เฝิงหยู่อ้าง


บัตรสมาชิกใช้เพื่อระบุตัวตนของลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิกเท่านั้น บัตรสมาชิกซุปเปอร์มาร์เก็ตให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิกและไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก


บัตรช้อปปิ้งก็เปรียบเหมือนบัตรของขวัญ ลูกค้าสามารถใช้บัตรเพื่อแลกซื้อสินค้าหรือชำระแทนเงินสดได้


“ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะไม่เชื่อผมสินะ? พวกคุณต่างก็มีประสบการณ์ในด้านอุตสาหกรรมซุปเปอร์มาร์เก็ตมากกว่าผมกันทั้งนั้นแต่ทำไมพวกคุณถึงไม่เข้าใจวัฒนธรรมของชาวจีนกันล่ะ?! พวกคุณต่างกังวลเมื่อตอนที่ผมเริ่มต้นจะตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตขึ้นที่นี่ พวกคุณต่างคิดว่ามันเสี่ยงเกินไปที่จะตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายๆสาขาแล้วดูตอนนี้สิ! พวกคุณต่างกระตือรือร้นที่จะขยายสาขามากกว่าผมเสียอีก!”


เฝิงหยู่กวาดสายตามองฟู่เกิงเฉิงและคนอื่นๆที่อยู่ในห้องและเอ่ยต่อไป


“พวกคุณรู้กันหรือเปล่า? ว่าในจีนมีคลับแบบส่วนตัวอยู่มากขนาดไหน?ไม่ว่าจะเป็นกวางโจ,เซี่ยงไฮ้,เทียนจินและเมืองอื่นๆที่สำคัญ การที่เข้าไปใช้บริการในคลับเหล่านี้ได้ พวกคุณจะต้องมีบัตรสมาชิก”


“สำหรับทุกคนที่อยู่ในที่นี้อาจเห็นว่าบัตรสมาชิกก็เป็นแค่บัตรที่ใช้สะสมแต้มหรือใช้เป็นส่วนลดเท่านั้นแต่ทุกท่านคงลืมคำว่า‘สมาชิก’ไปกันแล้ว คำนี้มันใช้ระบุตัวตนและสถานะของเรานะครับ”


ฟู่เกิงเฉิงและคนอื่นๆก็ยังสับสนกันเช่นเดิม สมาชิกคือการระบุถึงตัวตนและบ่งบอกสถานะ? หมายความว่าบัตรสมาชิกมีความสำคัญอย่างนั้นหรือ? มันสามารถดึงดูดใจลูกค้าและสามารถทำกำไรได้เยอะๆงั้นหรือ?


เฝิงหยู่ถอนหายใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของทุกคน พวกเขาทั้งหมดต่างไม่รู้ว่าคนจีนในยุคนี้ไม่ชอบให้ใครเหนือกว่าตนเอง หากนักช้อปบางคนเลือกที่จะสมัครเป็นสมาชิกในซุปเปอร์มาร์เก็ต พวกเขาก็จะรู้สึกว่าตนเหนือกว่าและได้เปรียบกว่าคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก


“ซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรามีที่จอดรถและมีการคิดค่าธรรมเนียมในการจอดรถแต่พวกคุณควรรู้ว่าในประเทศจีนไม่ได้มีรถยนต์มากขนาดนั้น รถบางคันก็ไม่เต็มใจที่จ่ายค่าธรรมเนียมที่จอดรถและเลือกไปจอดข้างถนนก่อนจะเดินเข้ามาใช้บริการในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่อ นี่คือเหตุผลที่ลูกค้าไม่ค่อยใช้บริการลานจอดรถของเรา แต่ถ้าลูกค้ามีบัตรสมาชิกของเราก็จะสามารถสะสมแต้มและได้สิทธิ์จอดรถฟรี จะเป็นอย่างไร?หากทุกเดือนเรามีการจัดวันสำหรับสมาชิกขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาได้รับส่วนลดจากการเป็นสมาชิกหรือไม่ก็ให้พวกเขาได้สิทธิ์ชำระสินค้าหน้าเคาน์เตอร์โดยไม่ต้องต่อคิว”


อย่างไรก็ตามที่จอดรถก็ไม่ได้มีมากนัก ในตอนแรกพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเงินจากค่าธรรมเนียมการจอดรถแต่ด้วยสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิก ผู้คนจำนวนมากที่มีรถยนต์ก็จะต้องการเป็นสมาชิก เพราะมันจะสะดวกต่อพวกเขาโดยไม่จำเป็นต้องหิ้วของและเดินไปที่รถซึ่งจอดไว้ไกลๆอีกต่อไป


ไม่ใช่ว่าวันสำหรับสมาชิกจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สิทธิประโยชน์แบบคุ้มค่ากันเท่านั้นเพราะสำหรับซุปเปอร์มาร์เก็ตเองจะคิดว่ามันเป็นการกระตุ้นยอดขายซึ่งเป็นผลกระทบจากกิจกรรมที่ฝูงชนเข้าร่วมจำนวนมากๆนั่นเอง คนจีนชอบที่จะอยู่ในที่แออัดเมื่อพวกเขาเห็นฝูงคนจำนวนมากมาจับจ่ายใช้สอยในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต พวกเขาก็อยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรและต้องการที่จะเข้าร่วมเช่นกัน


การให้สิทธิ์ในการจ่ายสินค้าโดยไม่ต้องต่อคิวจะเป็นการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าที่ไม่ชอบรอ พวกเขาสามารถไปใช้บริการเคาน์เตอร์ที่เปิดสำหรับผู้เป็นสมาชิกเท่านั้นได้ สิ่งนี้จะทำให้คนที่เป็นสมาชิกรู้สึกว่าตนเหนือกว่าคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก


ฟู่เกิงเฉิงและหลี่เซ่อเค่ยหันไปมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่เฝิงหยู่พูดเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ดูพิเศษอะไรแต่ถ้าพวกเขาสามารถทำการตลาดได้ดีพวกเขาก็จะสามารถขายบัตรสมาชิกได้เป็นจำนวนมาก


“แล้วลูกค้าจะสมัครเป็นสมาชิกได้อย่างไร? ในฮ่องกงมักจะแจกบัตรสมาชิกให้กับลูกค้าฟรีทันทีที่พวกเขาซื้อสินค้าเกินยอดที่เราตั้งไว้ในหนึ่งใบเสร็จ นอกจากนี้สมาชิกจะได้รับแต้มตามจำนวนที่พวกเขาใช้ไปและสามารถนำคะแนนนั้นมาแลกเป็นเงินคืนได้”


ฟู่เกิงเฉิงอธิบายให้เฝิงหยู่ฟัง


“แจกฟรีหรือครับ? ไม่มีทาง! พวกเขาจะต้องซื้อบัตรสมาชิกของเรา! การสมัครเป็นสมาชิกของเราจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทโดยประเภทแรกจะเป็นบัตรVIPแบบธรรมดาและบัตรสมาชิกที่มีสิทธิประโยชน์สูงกว่าจะเรียกว่า SVIP บัตรVIPแบบธรรมดาจะขายในราคา 30 หยวน(131บาท)และบัตร SVIP จะขายที่ราคา 200 หยวน (870บาท)”


“บัตรละ 200 หยวน? ในฮ่องกงราคานี้อาจไม่แพงนักแต่นี่ประเทศจีนนะครับ? พวกเขาจะซื้อบัตรของเรางั้นหรือ? ราคานี้เทียบกับครึ่งหนึ่งของเงินเดือนโดยเฉลี่ยด้วยซ้ำ พวกเขาจะยอมเสียเงินแพงๆเพื่อซื้อบัตรสมาชิกของเราได้อย่างไร?”


หลี่เซ่อเค่ยต้องการบอกเฝิงหยู่กลายๆว่าแม้แต่คนในฮ่องกงก็ยากที่ซื้อบัตรสมาชิกในซุปเปอร์มาร์เก็ตในราคาแพงๆเช่นนี้


เฝิงหยู่ส่ายนิ้วของตนเป็นการปฏิเสธ


“คนทั่วไปจะเลือกซื้อบัตรVIPแบบธรรมดาเท่านั้นและผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับจะไม่สูงนัก ตัวอย่างเช่นที่จอดรถฟรีที่พวกเขาจะไม่ได้รับสิทธิ์นี้เพราะถึงอย่างไรคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวใช้อยู่แล้ว บัตร SVIPจะเหมาะสำหรับคนที่มีฐานะร่ำรวยหรือไม่ก็มีหน้าตาในสังคม เงิน 200 หยวนสำหรับพวกเขาก็แค่เศษเงินเท่านั้นล่ะครับ? ผมยังรู้สึกว่า 200 หยวนน้อยไปด้วยซ้ำ!”


“แล้วคุณคิดว่าเราจะขายบัตรสมาชิกได้กี่ใบล่ะ?”


ฟู่เกิงเฉิงเอ่ยถามก่อนที่เฝิงหยู่จะชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว


“1,000?”


“บัตรSVIP 10,000 ใบต่อ..สาขา!”


“10,000ใบ? ต่อซุปเปอร์มาร์เก็ตหนึ่งสาขา? คุณกำลังจะบอกว่าเราจะได้รายได้ถึง 40 ล้านหยวนจากการขายแค่บัตร SVIP เพียงอย่างเดียวงั้นหรือ? คุณไม่คิดว่าตัวเองมองโลกในแง่ดีไปหน่อยเหรอ?”


ฟู่เกิงเฉิงเอ่ยถามเสียงสูง


“ผมไม่ได้มองโลกในแง่ดีหรอกครับแต่ผมบอกได้เลยว่า 10,000 ใบอาจไม่พอด้วยซ้ำ เราจะประกาศให้ลูกค้าทราบว่าจะมีบัตร SVIP เพียง 3,000 ใบต่อสาขาเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะเป็นบัตรVIPแบบธรรมดาแทน”


“เทคนิคกระตุ้นความอยากสินะ?”


ฟู่เกิงเฉิงรู้ว่าเฝิงหยู่กำลังคิดอะไรอยู่แต่การใช้เทคนิคกระตุ้นความอยากไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ หลายๆบริษัทต่างพยายามใช้เทคนิคนี้เช่นกันแต่ก็ประสบกับความล้มเหลว


“ใช่ครับ พวกคุณทุกคนไม่รู้หรือครับว่าคนจีนกำลังคิดอะไรกันอยู่? อะไรก็ตามที่มีน้อยกว่าความต้องการของคนหมู่มากก็มักเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างปรารถนา ยิ่งมีคนต้องการมากเท่าไหร่?พวกเขาก็ยิ่งยินดีจ่ายเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง”


เฝิงหยู่ตอบอย่างมั่นใจ


“แล้วกำไรทั้งหมดที่เราจะได้รับจากบัตรสมาชิกเป็นเท่าไหร่?”


“อย่างต่ำก็ได้ประมาณ 100 ล้านหยวน! แม้ว่าสมาชิกจะได้รับส่วนลดแต่เราก็ยังจะได้กำไรอยู่ดี เราสามารถล้างสต็อกสินค้าของเราในวันที่เราจัดวันสำหรับสมาชิกขึ้นมาได้เช่นกัน”


“ตกลง! แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่ามันจะประสบความสำเร็จมากเพียงใดแต่เงินจำนวน 100 ล้านหยวนก็เป็นจำนวนที่มากเช่นกัน มันมากพอที่เราจะจัดตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตได้อีก 2 สาขา”


เฝิงหยู่พูดต่อด้วยความผ่อนคลาย


“อีกเรื่องที่ผมอยากจะพูดก็คงเป็นเรื่องบัตรช้อปปิ้ง แม้ว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราจะเปิดตัวบัตรช้อปปิ้งไปบ้างแล้วแต่เราก็ไม่ได้จ้างใครให้มาโปรโมตบัตรเหล่านี้ใช่มั้ยครับ? บัตรพวกนี้วางไว้ที่เคานต์เตอร์คิดเงิน ราคาของมันก็ไม่ได้ต่ำมากไปและไม่ได้มีข้อชวนสงสัยมากใช่มั้ยครับ?”


ฟู่กวางเหว่ยพยักหน้ารับ


“ถูกต้อง! เราเองก็พยายามโปรโมทบัตรพวกนี้แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้นำมาใช้เท่าไหร่นัก เรามีการหารือกันว่า ลูกค้าที่เป็นเจ้าของบริษัทต่างๆสามารถซื้อบัตรช้อปปิ้งไปแจกให้พนักงานในบริษัทของพวกเขาได้ มันฟังดูเข้าท่าดีหรือเปล่า?”


เฝิงหยู่จ้องไปที่ฟู่กวางเหว่ยเงียบๆ พวกเขามองประโยชน์ของบัตรช้อปปิ้งผิดไป บัตรช้อปปิ้งเหล่านี้บริษัทต่างๆสามารถซื้อไปมอบให้พนักงานบริษัทได้เช่นกันแต่ในประเทศจีนจะมีบริษัทกี่แห่งที่เต็มใจให้ผลประโยชน์ดังกล่าวแก่พนักงานของตนเอง?


ข้อดีของบัตรช้อปปิ้งคืออะไร? มันไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อและรหัสใดๆในการใช้งาน ไม่ว่าใครก็จะไม่รู้สึกกังวลแม้ว่าพวกเขาจะได้รับบัตรเหล่านี้มาใช้เพราะมันไม่ต้องใช้ชื่อนั่นเอง เราสามารถอ้างได้ว่าเก็บมันได้จากถนนและกำลังจะไปส่งให้ตำรวจ


หากต้องการใช้บัตรเหล่านี้ก็สะดวกยิ่งนัก มีสินค้าทุกประเภทที่สามารถจับจ่ายได้ในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต บัตรช้อปปิ้งเทียบได้กับบัตร ATM ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าจะมีข้อยกเว้นก็คงเป็นกรณีที่สาขานี้ไม่ได้ร่วมรายการ


บัตรช้อปปิ้งก็เหมือนบัตรกำนัลแต่ความแตกต่างก็คือบัตรไม่ชำรุดเสียหายและสะดวกต่อการใช้งาน บัตรกำนัลที่มีมูลค่าสูงที่สุดก็คือ 100 หยวนแต่ถ้าใครมอบบัตรกำนัลมูลค่า 10,000 หยวนให้ก็เท่ากับว่าจะได้บัตรกำนัลเป็นปึกขนาดใหญ่เลยทีเดียว


“พวกคุณใช้บัตรช้อปปิ้งกันไม่ถูกนะครับ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของบัตรช้อปปิ้งก็คือ…ของขวัญ!”



EG บทที่ 655 ขายบัตรเพื่อได้เงิน 3


 


บัตรช้อปปิ้งคือของขวัญอย่างนั้นรึ?


หลังจากได้ยินประโยคนี้จากเฝิงหยู่ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความสับสนอีกครั้ง บัตรช้อปปิ้งพวกนี้ก็เหมือนบัตรกำนัลสำหรับการช้อปปิ้ง แล้วบัตรพวกนี้จะเหมาะแก่การมอบเป็นของขวัญได้อย่างไร? การจะให้บัตรเหล่านี้เป็นของขวัญจะไปสู้มอบของขวัญเป็นเงินสดได้อย่างไร?


ฟู่เกิงเฉิงมาพักในประเทศจีนได้ระยะหนึ่งแล้ว เขารู้ว่าถึงแม้คนจีนจะไม่ได้มีวัฒนธรรมในการแลกเปลี่ยนของขวัญแต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายๆคนก็ชอบรับของขวัญเช่นกัน ของขวัญที่พวกเขาชอบมากที่สุดก็คือเงินสด


ดวงตาของฟู่เกิงเฉิงพลันสว่างขึ้น บัตรช้อปปิ้ง = เงินสด!


ถูกต้องแล้ว! บัตรช้อปปิ้งสามารถใช้ซื้อสิ่งของได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น ทีวี เครื่องเล่นวีซีดีฯลฯ มันเกือบจะใช้แทนเป็นเงินสดได้เลย!


เฝิงหยู่เห็นท่าทางของฟู่เกิงเฉิงจึงยิ้มออกมา


“คุณเข้าใจแล้วสินะ?”


“ใช่! แล้วบัตรช้อปปิ้งของเราจะพุ่งเป้าไปยังท่านผู้นำระดับสูงใช่มั้ย?”


เฝิงหยู่พยักหน้ารับ


“ใช้แล้วครับ แต่มันไม่ได้จำกัดเฉพาะท่านผู้นำระดับสูงเท่านั้น มันยังรวมไปถึงพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสที่เราเคารพหรือแม้แต่คนที่เคยมีบุญคุณกับเรามาก่อน ในช่วงเทศกาลต่างๆการเลือกของขวัญนับเป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆคนปวดหัว หากคุณซื้อของขวัญผิดก็เท่ากับคุณเสียเงินทิ้งฟรีๆและไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆกลับมา แต่ถ้าคุณมอบบัตรช้อปปิ้งของเราให้เป็นของขวัญอีกฝ่ายก็จะสามารถนำไปซื้อสิ่งที่เขาต้องการได้”


“นอกจากนี้เรายังสามารถกำหนดวันหมดอายุบนบัตรช้อปปิ้งได้ยกตัวอย่างเช่น 3 เดือน หากคุณไม่ใช้บัตรนี้ภายใน 3 เดือนเครดิตในบัตรจะหายไปทันที ด้วยวิธีนี้ผู้ได้รับบัตรจะรีบนำบัตรช้อปปิ้งออกมาใช้จ่ายทันที อย่าคิดว่านี่จะเป็นการลดกำลังซื้อของพวกเขานะครับ คนส่วนใหญ่จะไม่ใช้บัตรช้อปปิ้งซื้อของชำเล็กๆน้อยๆ พวกเขาจะใช้มันซื้อสินค้าขนาดใหญ่หรือซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวันแทนเช่นม้วนกระดาษชำระ แปรงซักผ้า ยาสีฟัน แปรงสีฟันฯลฯ หากพวกเขาจำเป็นต้องใช้เงินสดพวกเขาก็จะเก็บสินค้าเหล่านี้ไว้ก่อนและค่อยมาซื้อคราวหลังเมื่อสิ่งพวกนี้ชำรุดหรือหมดอายุการใช้งาน”


“ที่สำคัญที่สุดเมื่อลูกค้าใช้บัตรนี้เพื่อซื้อของพวกเขาจะพยายามใช้เครดิตจนหมดวงเงินเพราะพวกเขารู้ว่าหากบัตรหมดอายุตามที่ระบุไว้จะไม่สามารถใช้ซื้อของได้อีก ดังนั้นพวกเขาจะซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆเพิ่มเติมหรือเลือกที่ตรงกับจำนวนเงินที่เหลือในบัตรซึ่งส่วนใหญ่คนมักจะซื้อของมากกว่ามูลค่าที่มีอยู่ในบัตร นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่เพียงแต่จะใช้บัตรเท่านั้นแต่ยังใช้เงินสดบางส่วนซื้อของอีกด้วย”


ผู้บริหารของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างตกตะลึงกับเฝิงหยู่ ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ตัวแทนตระกูลฟู่รู้สึกอับอายยิ่งนัก พวกเขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตมานานหลายปีแต่พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงกลยุทธ์นี้เลยด้วยซ้ำ เฝิงหยู่ที่เปรียบเหมือนเด็กตั้งไข่ยังสามารถคิดกลยุทธ์นี้ขึ้นมาได้ พวกเขาเสียเวลามาตลอดทั้งปีในอุตสาหกรรมนี้สินะ?!


“ผู้จัดการเฝิง เราควรนำเสนอบัตรช้อปปิ้งอย่างไรดี? มันควรมีราคาเท่าไหร่? และมีข้อเสนออะไรบ้าง?”


“500, 1,000, 3,000, 5,000 และ 10,000 หยวน บัตรช้อปปิ้งของเราจะมีราคาต่างกันอยู่ทั้งหมด 5 เรท โดยเรทมูลค่า 500 หยวนจะเป็นแบบที่คุณพูดถึงครับ บริษัทต่างๆจะเลือกซื้อบัตรนี้เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับพนักงานของพวกเขา แน่นอนว่าคนทั่วไปก็สามารถซื้อให้พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ได้เช่นกัน คนส่วนใหญ่มักจะมอบเงินสดเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่ซึ่งพ่อแม่ของพวกเขาก็มักจะไม่ใช้เงินก้อนนี้ซื้ออะไรให้กับตนเอง แต่ถ้าพวกเขามอบบัตรช้อปปิ้งให้เป็นของขวัญและพ่อแม่รู้ว่าบัตรเหล่านี้จะหมดอายุภายใน 3 เดือนและเงินในบัตรจะหายไปพวกเขาก็จะถูกบังคับกลายๆให้ต้องรีบใช้บัตรนั่นเอง บัตรมูลค่า 1.000 หยวนก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่จะมอบของขวัญให้กับหัวหน้าของพวกเขาหรือต้องการได้รับความโปรดปรานบางอย่าง บัตร3,000, 5,000 และ 10,000 หยวนโดยส่วนใหญ่ก็จะซื้อให้กับท่านผู้นำหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ข้อดีอีกอย่างของบัตรช้อปปิ้งคือไม่มีประวัติบันทึกว่าใครเป็นคนซื้อบัตรนี้ไปและไม่มีรหัสหรือชื่อที่ระบุไว้ในบัตร เมื่อบัตรช้อปปิ้งนี้ตกอยู่ในมือของคุณก็สามารถใช้งานได้เลย”


“นี่ถือเป็นประโยชน์ของบัตรงั้นรึ? แล้วถ้าบัตรหายขึ้นมาจะทำอย่างไร?”


ฟู่เกิงเฉิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย


“นั่นก็ถือว่าเป็นความสูญเสียแบบช่วยไม่ได้หากพวกเขาวางบัตรไม่เป็นที่หรือทำหล่นหายเสียเอง มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา ในประเทศจีนมีหน่วยงานที่คอยควบคุมการกระทำในเรื่องนี้เช่นกัน มันเหมือนกับคณะกรรมการอิสระต่อต้านการทุจริตของฮ่องกงนั่นล่ะครับ พวกเขาจะทำการตรวจสอบการทำงานที่มีแนวโน้มสุ่มเสี่ยงของธนาคารและการเงินขององค์กรรัฐ เงินในบัตรช้อปปิ้งนี้จะไม่สามารถฝากเข้าธนาคารได้ แม้ว่าพวกขโมยจะถูกจับกุมด้วยบัตรช้อปปิ้งพวกนี้ได้ พวกเขาก็อาจจะบอกว่าจับรางวัลชนะมาได้หรือเห็นมันตกอยู่ข้างทางก็เลยเก็บมันขึ้นมา”


การทุจริตเป็นปัญหาเสมอ ในชีวิตก่อนของเฝิงหยู่การคอร์รัปชั่นยังคงมีอยู่ให้เกลื่อนในประเทศจีน นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกๆประเทศ เฝิงหยู่แค่ต้องการเปลี่ยนวิธีปฏิบัติจากเงินสดเป็นบัตรช้อปปิ้งเท่านั้น


“เฝิงหยู่ คุณคิดว่าเราจะขายบัตรช้อปปิ้งได้เท่าไหร่ล่ะ?”


หลี่เซ่อเค่ยเอ่ยถามขึ้น


“ยอดขายจะสูงกว่าบัตรสมาชิกแน่นอนครับ!”


ในชีวิตก่อนของเฝิงหยู่เขาเคยมีเพื่อนทำงานอยู่ที่คาร์ฟูร์ ใช่ช่วงเทศกาลต่างๆคาร์ฟูร์จะเสนอขายบัตรช้อปปิ้งเหล่านี้และแต่ละสาขาสามารถจำหน่ายบัตรช้อปปิ้งได้เกือบล้านใบ! ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์และช่วงเทศกาลตรุษจีนบางสาขาสามารถขายบัตรช้อปปิ้งได้มากกว่า 1 พันล้านหยวน ต่อมารัฐบาลได้ออกข้อจำกัดเกี่ยวกับบัตรช้อปปิ้งเพื่อจำกัดมูลค่าของบัตรไม่ให้สูงไปแต่ทุกๆเดือนก็ยังสามารถขายบัตรช้อปปิ้งได้มูลค่าหลายร้อยล้านใบอยู่ดี


เศรษฐกิจในยุคนี้ไม่ได้ดีเท่า 10-20ปีข้างหน้าแต่เฝิงหยู่รู้ว่าถ้าเขาสามารถทำการตลาดดีๆได้ทุกสาขาจะสามารถทำเงินจากการขายบัตรช้อปปิ้งได้อย่างน้อย 20 ล้านหยวน บัตร 5,000 และ 10,000 หยวนก็จะขายดีเช่นกัน


20 สาขาก็น่าจะทำเงินได้ราวๆ 500 ล้านหยวนจากบัตรช้อปปิ้งเหล่านี้ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครูหลังจากนั้นก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันหยุดแห่งชาติ นี่คือฤดูกาลจับจ่ายซื้อบัตรช้อปปิ้งดีๆนี่เอง!


หลังจากนี้อีก 6 เดือนก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่และวันตรุษจีน รายได้จากการขายบัตรช้อปปิ้งจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


แน่นอนว่าบัตรช้อปปิ้งเหล่านี้สามารถใช้ได้ในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นซึ่งมันจะเป็นการกระตุ้นยอดขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของพวกเขาได้และพวกเขาจะสามารถทำเงินได้อย่างรวดเร็ว


สิ่งสำคัญที่สุดคือมันสามารถสร้างความน่าเชื่อในการทำธุรกิจได้ดีและพวกเขาสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อกู้เงินจากธนาคารได้


ด้วยเงินสินเชื่อและผลกำไรจากซุปเปอร์มาร์เก็ต มันจะไม่เป็นปัญหาในการระดมเงินทุกกว่าพันล้านหยวนในอีก 6 เดือนข้างหน้า นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถขยายสาขาได้อีก 20 สาขา


วิธีนี้พวกเขาจะสามารถตั้งสาขาได้เกือบทุกมณฑล นอกเหนือจากมณฑลที่ยังไม่พัฒนามณฑลที่เหลือจะมีไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 2-3 สาขา


ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะสามารถขยายสาขาในทำเลที่ดีที่สุดในทุกมณฑล พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับคาร์ฟูร์หรือวอลมาร์ตที่จะมาแย่งทำเลดีๆได้ก่อนพวกเขา


พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กที่พยายามเลียนแบบพวกเขาแทบทุกอย่าง ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเป็นแบรนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ตอันดับหนึ่งของประเทศจีน พวกเขาอาจเป็นหนึ่งในแบรนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของโลกในอนาคต!


อย่างไรก็ตามไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตยังต้องเฝ้าระวังพวกบริษัทที่มักตามเทรนด์ต่างๆอย่างใกล้ชิด ทุกคนรู้ว่าวอลมาร์ต เป็นบริษัทที่ได้อันดับหนึ่งในนิตยสารฟอร์จูน[1]ติดต่อกันมาแล้วหลายปีแต่ในอนาคตบริษัทที่ติดอันดับ 500ในนิตยสารฟอร์จูนนั้น บางรายก็เป็นอุตสาหกรรมค้าปลีกและรูปแบบการดำเนินธุรกิจก็เหมือนกับวอลมาร์ตไม่มีผิด


แม้แต่บริษัทที่แข็งแกร่งเช่นวอลมาร์ตยังต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งเช่นกัน แถมคู่แข่งบางรายยังทำได้ดีกว่าวอลมาร์ตในแง่ของผลตอบแทนและผลกำไรประจำปีของพวกเขายังสูงกว่าวอลมาร์ตอีกด้วย


การเป็นคนแรกที่คิดริเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นเจ้าของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด ในชีวิตก่อนของเฝิงหยู่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งที่ตั้งขึ้นในประเทศจีนและพวกเขาทั้งหมดก็ถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญ


กลยุทธ์ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตคือการยึดทำเลที่สำคัญทั้งหมดเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทที่ชอบตามเทรนด์เหล่านั้นทำกำไรจากสิ่งนี้ได้ การทำเช่นนี้จะเป็นการหยุดการเติบโตของพวกเขานั่นเอง!


[1 ]ฟอร์จูนเป็นนิตยสารด้านธุรกิจรายใหญ่ของโลก จัดอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 500 บริษัท โดยวัดจากรายได้เป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ในด้านพลังงานและด้านการเงินและบริษัทสัญชาติอเมริกันติดอันดับมากที่สุด ตามมาด้วยบริษัทของจีน



EG บทที่ 656 ขายบัตรเพื่อได้เงิน 4


 


เรื่องถัดไปที่ทุกคนเริ่มพูดคุยกันคือทิศทางการตลาดของบัตรทั้งสอง โฆษณาถือเป็นสิ่งจำเป็นแต่พวกเขาควรจะใช้สื่อประเภทใดและการโฆษณาประเภทไหน? ที่จะดูเหมาะสมกว่า


“ผมคิดว่าเราใช้โฆษณาผ่านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของเมืองต่างๆก็เพียงพอแล้วล่ะครับ ภายใน 1 เดือนประชาชนทั่วไปในเมืองต่างๆจะรู้เกี่ยวกับบัตรสมาชิกและบัตรช้อปปิ้งของเรา อีกอย่างนะครับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นมีราคาที่ถูกกว่าด้วย หากเราโฆษณาผ่านช่องทางนี้ก่อนที่เราจะเปิดตัวบัตรของเราอย่างเป็นทางการ มันน่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านะครับ”


ฟู่เกิงเฉิงเสนอความคิดเห็น ในขณะที่หลี่เซ่อเค่ยกลับมีความเห็นที่ต่างออกไป


“ถึงแม้จะโฆษณาผ่านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นมันก็ยังเสียเงินอยู่ดีนะครับ เราแค่ต้องการให้ทุกๆคนทราบถึงกิจกรรมของเราเท่านั้น ผมว่าการแจกใบปลิวจะเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่า เราอาจจะเสียเงินเพื่อจ้างคนให้แจกใบปลิวเพิ่มขึ้นแต่เราสามารถประหยัดค่าโฆษณาได้มากกว่านะครับ”


“เราจะไปอาศัยแค่ใบปลิวอย่างเดียวได้อย่างไรล่ะครับ? เราขายบัตร SVIP และบัตรช้อปปิ้งราคาสูงด้วยนะครับ? ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของเราก็คือลูกค้ากระเป๋าหนักๆเท่านั้น! คุณเคยเห็นลูกค้ารายใหญ่หยิบใบปลิวจากข้างถนนมาอ่านงั้นหรือ? พวกเขาต่างมีรถใช้กันทั้งนั้นคงไม่มีใครมาเดินเล่นข้างทางให้เสียเวลาหรอกครับ”


ฟู่เกิงเฉิงเอ่ยโต้ออกไป


“เราสามารถวางใบปลิวไว้หน้ารถของพวกเขาได้นี่ครับ ผมเห็นรถยนต์หลายๆคันต่างมีใบปลิวและแผ่นพับต่างๆเหน็บไว้ที่หน้ารถกันทั้งนั้น”


หลี่เซ่อเค่ยเอ่ยเถียงไม่ยอมแพ้เช่นกัน


“ย๊า!..ถ้าเป็นคุณเองจะอ่านมันหรือเปล่า? ใบปลิวพวกนั้นคงถูกทิ้งลงพื้นหรือไม่ก็โยนทิ้งถังขยะไปแล้วล่ะมั้ง? มันคงไม่มีใครอุตริเอามาเหน็บไว้บนรถของพวกเขาหรอกนะ! ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการประชาสัมพันธ์ด้านนอกซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรา พวกเราอาจใช้ตุ๊กตาล้มลุกหรือมาสคอตขนาดใหญ่แล้วก็ใช้ลำโพงเครื่องเสียงประชาสัมพันธ์ มันสามารถดึงดูดใจลูกค้าได้มากขึ้นแน่ๆ ส่วนด้านในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ประกาศเสียงตามสายและใช้โปสเตอร์ติดไว้ในจุดเด่นๆเพื่อให้ลูกค้าได้เห็นมัน”


วิธีของฟู่เกิงเหว่ยถือเป็นวิธีที่คลาสสิคที่สุด นี่คือสิ่งที่ตระกูลฟู่ทำในฮ่องกงและมันค่อนข้างได้ผลดีทีเดียวแต่ฟู่เกิงเหว่ยอาจลืมคิดไปว่าที่ตระกูลฟู่เลือกใช้วิธีนี้เพราะการฉายโฆษณาในสถานีโทรทัศน์ฮ่องกงมีค่าใช้จ่ายที่สูงและมีอัตราการแข่งขันที่สูงมาก


แต่ในประเทศจีนค่าธรรมเนียมการฉายโฆษณาในสถานีโทรทัศน์ไม่ได้สูงมากนักและไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ยังไม่มีคู่แข่งให้ต้องกังวล ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มเปิดตัวได้ไม่นานและฐานลูกค้ายังไม่แน่นมากนัก


นี่คือเหตุผลที่เฝิงหยู่อยากทำการตลาดโดยเน้นไปที่การฉายโฆษณาผ่านสถานีโทรทัศน์มากกว่าแต่มันก็ดูไม่คุ้มค่านักหากจะเลือกใช้วิธีนี้ เฝิงหยู่คิดว่าเขาจะต้องโฆษณาผ่านทางวิทยุและหนังสือพิมพ์น่าจะเป็นสิ่งที่คุ้มทุนมากกว่า


“ผมคิดว่าโฆษณาผ่านทางวิทยุและหนังสือพิมพ์จะดูเหมาะสมที่สุดแล้วล่ะครับ ข้อแรกก็คือคนที่รับชมทีวีช่องท้องถิ่นไม่ได้สูงนัก นักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาดูช่องพวกนั้นหรอกครับ ส่วนใหญ่พวกเขาจะอ่านหนังสือพิมพ์ในที่ทำงานหรือไม่ก็ฟังวิทยุเวลาขับรถไปทำงาน หลังเลิกงานพวกเขาก็มักจะออกไปพักผ่อนหรือพบปะลูกค้ากันทั้งนั้น มีเพียงไม่กี่คนหรอกครับที่จะดูทีวี แม้ว่าพวกเขาจะดูทีวีกันจริงๆก็เลือกที่จะดูช่อง CCTV เท่านั้น”


“ปัจจุบันนี้หนังสือพิมพ์ถือเป็นแหล่งข้อมูลหลักนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนงาน นักธุรกิจ ข้าราชการหรือคนธรรมดาทั่วๆไปก็ต้องอ่านหนังสือพิมพ์กันทั้งนั้น ดูอย่างบริษัทของเราสิครับมีแต่หนังสือพิมพ์วางทั่วไปหมด”


“อาเฝิง!..อย่าลืมนึกถึงคนที่ไม่รู้หนังสือสิ? ยังมีคนอีกเยอะทีเดียวที่อ่านหนังสือไม่ออก”


ฟู่เกิงเฉิงเอ่ยเตือนเฝิงหยู่ขึ้น เขาอาศัยอยู่ในประเทศจีนมานานและมีโอกาสได้พบเจอคนที่ยังไม่รู้หนังสือจำนวนมาก บางคนเป็นถึงหัวหน้างานก็มี หนังสือพิมพ์อาจเป็นแหล่งข้อมูลหลักแต่ก็ยังมีคนที่ไม่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่เยอะเช่นกัน


“ผมรู้ครับว่ามีคนที่อ่านหนังสือไม่ออกเหมือนกันแต่ส่วนใหญ่ก็พากันอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทกันนะครับ หากเป็นในเมืองก็ไม่ได้มีมากนัก! เฮียเองก็อาศัยอยู่ที่เมืองจีนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เฮียรู้จำนวนแน่ชัดของคนที่อ่านหนังสือไม่ออกด้วยหรือครับ?”


“เมืองต่างๆมีการเปิดสอนหลักสูตรตอนกลางคืนสำหรับผู้ใหญ่มานานหลายปีแล้วนะครับ ผมยอมรับว่าในเมืองเองก็ยังมีคนที่อ่านหนังสือไม่ออกอยู่เช่นกันแต่มันก็ไม่ใช่จำนวนที่มากขนาดนั้นหรอกครับ เราสามารถปรับโฆษณาของเราเพื่อป้องกันเรื่องนี้ได้เช่นกัน”


“หมายความว่าโฆษณาในหนังสือพิมพ์ก็จะแตกต่างออกไปใช่มั้ยครับ?”


หลี่เซ่อเค่ยขมวดคิ้วสงสัย


“ใช่ครับ!ยกตัวอย่างเช่นเราสามารถทำโฆษณาของเราให้ดูสนุกขึ้นได้ ผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้เคยอ่านการ์ตูนกันใช่มั้ยครับ?”


เฝิงหยู่ถามขึ้นมา


“ใช่!”


ฟู่เกิงเหว่ยยกมือขึ้นมาอย่างตื่นเต้นแต่เมื่อเขากวาดสายตาไปมองรอบๆก็เห็นว่าทุกสายตาจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว


“ผมเคยอ่านการ์ตูนจริงๆนะ เรื่องที่ผมชอบที่สุดคือเรื่องสำนักพยัคฆ์มังกร <ปะฉะดะคนเหนือยุทธ/Dragon Tiger Gate>”


“ผู้จัดการเฝิง..คุณคิดเหรอว่าคนทำงานจะมีเวลามาอ่านการ์ตูนพวกนี้? มันมีไว้สำหรับเด็กๆเท่านั้นล่ะ”


หลี่เซ่อเค่ยพูดขึ้นและปรายตามองฟู่เกิงเหว่ยทันที


แน่นอนว่าฟู่เกิงเหว่ยรู้สึกโมโหและจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ คนฮ่องกงที่ไม่เคยอ่านสำนักพยัคฆ์มังกร <ปะฉะดะคนเหนือยุทธ/Dragon Tiger Gate> มาก่อน ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าคนฮ่องกงอีกหรือไง!


“เอ่อ..ผมไม่ได้หมายถึงการ์ตูนต่อสู้พวกนั้นหรอกครับ พวกคุณเคยเห็นการ์ตูน 4 ช่องกันหรือเปล่าครับ?  การใช้การ์ตูน 4 ช่องก็เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เรียบง่ายและตลกขบขัน ผมขอยกตัวอย่างนะครับ! ช่องแรกเราอาจแสดงให้เห็นว่ามีชายคนหนึ่งกำลังมองหาที่จอดรถริมถนน ช่องที่2ก็แสดงให้เห็นว่ามีชายอีกคนขับรถเข้ามาที่จอดรถของเราและชายคนแรกก็หัวเราเยาะใส่เพราะชายคนที่สองต้องเสียค่าที่จอดรถ”


“ ช่องที่ 3 จะแสดงให้เห็นว่าชายที่นำรถเข้ามาจอดในที่จอดรถของเราหยิบบัตรSVIPออกมาและช่องสุดท้ายจะแสดงให้เห็นว่าชายที่เอารถมาจอดได้จอดรถฟรีเพราะเขามีบัตร SVIP นั่นเอง!”


ฟูเกิงเฉิงและคนอื่นๆที่ได้ยินสิ่งที่เฝิงหยู่พูดต่างขมวดคิ้วสงสัย สิ่งนี้จะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของบัตรสมาชิกและดูน่าสนใจมากกว่า เมื่อคนส่วนใหญ่ได้อ่านหนังสือพิมพ์พวกเขาก็จะได้เห็นภาพประกอบไปด้วยแต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลดีหรือไม่?


“ผมแค่ยกตัวอย่างนะครับ เรายังต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญให้ทำอีกทีแต่ผมรับประกันว่าการใช้โฆษณาประเภทนี้จะสามารถดึงดูดใจผู้คนได้อย่างง่ายดายและพวกขาจะจดจำมันได้อย่างดี ข้อดีอีกอย่างของการโฆษณาในหนังสือพิมพ์นะครับคือเราสามารถเลือกซื้อช่วงโฆษณาเป็นวันหรือสัปดาห์ได้ ส่วนโฆษณาทางช่องทีวีต่างๆจะบังคับให้เราซื้อช่วงโฆษณาอย่างต่ำก็หนึ่งเดือนเลยนะครับ ผมเองก็พอจะรู้จักบริษัทที่รับออกแบบโฆษณาที่เราต้องการอีกด้วย มันน่าจะง่ายขึ้นไปอีก”


“เป็นอย่างที่ผู้จัดการเฝิงพูดจริงๆครับ สถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้เราฉายโฆษณาเพียงไม่กี่วันเว้นแต่เราจะจ่ายในอัตราที่สูง แต่มันจะทำให้ค่าใช้จ่ายของเราเพิ่มมากขึ้น”


รองผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เก็ตเอ่ยสนับสนุนความเห็นของเฝิงหยู่


“ส่วนโฆษณาอีกช่องทางหนึ่งก็คือวิทยุ เราควรจะออกอากาศในช่วงเช้าและเย็นเลือกเอาช่วงเวลาเร่งด่วนแล้วกันนะครับ กลุ่มเป้าหมายของเราคือผู้ขับขี่และผู้โดยสารเพราะนิสัยคนที่สัญจรทางรถมักจะชอบฟังวิทยุกัน”


ตอนนี้อุปกรณ์เสริมหลักที่ถูกติดตั้งในรถยนต์แต่ละคันก็คือเครื่องเล่นวิทยุ รถยนต์คันใดที่มีการติดตั้งเครื่องเล่นวีซีดีจะถือว่าเป็นรถยนต์ที่หรูหราเป็นอย่างมาก


ในชีวิตก่อนของเฝิงหยู่ ผู้คนจำนวนมากยังนิยมฟังวิทยุกันเช่นเดิมแม้ว่ามันจะได้รับพัฒนาเป็นเครื่องเล่นดีวีดีแล้วก็ตาม นั่นคือสาเหตุที่การโฆษณาทางวิทยุเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด


“สำหรับโฆษณาทางวิทยุ เราควรหาคนที่มีเสียงที่น่าจดจำหากใครได้ยินก็สามารถจดจำมันได้ทันที ผมขอแนะนำจ้าวซ่งเซียง(Zhao Zhongxiang)แล้วกันครับ ผมเคยร่วมงานกับเขามาก่อนและค่าตัวเขาก็ไม่ได้แพงมากนัก”


“แล้วโฆษณาผ่านวิทยุของเราจะใช้เวลานานเท่าไรและต้องทำอย่างไรบ้าง?”


ฟู่เกิงเฉิงเอ่ยถามเฝิงหยู่


“หากเป็นโฆษณาผ่านวิทยุเราควรใช้เวลาที่นานมากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้โฆษณาขายบัตรของเราแล้วแต่เราก็สามารถใช้ช่องทางนี้นำเสนอผลิตภัณฑ์อื่นๆของเราได้อีก! เอาล่ะครับ! เรามาเริ่มขายบัตรของเราดีกว่า! เริ่มจากวันครูที่จะมาถึงนี่เลยแล้วกัน!”



EG บทที่ 657 วันครู! ความทุกข์ในวันครู!


 


ตั้งแต่ปีค.ศ. 1985 เป็นต้นมารัฐบาลจีนได้กำหนดให้วันที่ 10 กันยายนของทุกปีเป็นวันครูซึ่งมันได้ถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อยก่อนที่เฝิงหยู่จะย้อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


จุดประสงค์ของวันครูก็เพื่อแสดงความชื่นชมการมีส่วนร่วมของครูต่อสังคมนั่นเอง ในช่วงที่ประเทศยังไม่สงบอาชีพครูถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็น‘บุคคลที่ 9 ในโต๊ะโป๊ยเซียน’[1] และถูกมองว่าใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ ในช่วงเวลานั้นมีนักเรียนเป็นจำนวนมากที่ถูกครูทุบตีและทำให้นักเรียนอับอายด้วยการบังคับให้พวกเขาไปอยู่ในคอกวัวและห้อยกระโถนไว้ที่คอ


แม้ว่าช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายจะจบลงและรัฐบาลได้มีการสนับสนุนให้ประชาชนเคารพครูบาอาจารย์แต่ก็มีครูอีกจำนวนมากที่มักทุบตีนักเรียนและผู้ปกครองส่งผลให้ครูถูกฟ้องร้องเป็นจำนวนมาก


นี่คือสาเหตุที่รัฐบาลได้หยิบยกประเด็นเรื่องวันครูมาพูดคุยกันหลายต่อหลายครั้ง จนท้ายที่สุดวันที่ 10 กันยายนจึงถูกรับเลือกเพราะเป็นวันเปิดภาคการศึกษาพอดี


รัฐบาลจีนยังได้กำหนดนโยบายอีกจำนวนหนึ่งเพื่อสนับสนุนอาชีพครู เช่นสวัสดิการและผลประโยชน์ต่างๆที่พัฒนาคุณภาพชีวิตครูให้ดีขึ้น มีระบบการให้รางวัลเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ มีการเปลี่ยนแปลงระบบการประเมินเพื่อปรับตำแหน่งให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ที่พักอาศัย การรักษาพยาบาลที่ดียิ่งขึ้น ฯลฯ งบประมาณจำนวนมหาศาลก็ถูกจัดสรรให้กับภาคการศึกษา


ก่อนที่เฝิงหยู่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เหล่าคุณครูทั้งหลายต่างก็เพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการเหล่านี้


สิ่งเหล่านี้ถูกนำไปใช้กับครูในยุคแรกๆแต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป


เมื่อสถานะของครูสูงขึ้น ผู้ปกครองหลายๆคนเริ่มรู้สึกว่าการเรียนเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้บุตรหลานของตนประสบความสำเร็จในชีวิต หากบุตรหลานของพวกเขาได้เรียนสูงๆพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานในไร่นาหรือเป็นลูกจ้างค่าแรงต่ำ พวกเขาจะสามารถเป็นหัวหน้างานหรือข้าราชการระดับสูงๆได้


เพื่อให้บุตรหลานของพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดี ผู้ปกครองเหล่านี้ก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจครู ในยุคนี้ไม่มีการสอนเฉพาะทางหรือการศึกษาที่มีคุณภาพ สิ่งเดียวที่เป็นสิ่งสำคัญคือผลลัพธ์เท่านั้น


นอกจากนี้นโยบายในปีที่ผ่านมาคือผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจะได้รับคัดเลือกให้เข้ารับราชการและสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่างๆทันทีที่พวกเขาเรียนจบ!


นี่คือเหตุผลที่ผู้ปกครองจำนวนมากต่างเข้าหาครูเพื่อเอาใจพวกเขา ผู้ปกครองจะพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อสร้างความพึงพอใจของครูแก่บุตรหลานของตน ทุกๆคนต่างต้องการให้ครูให้ความสำคัญกับบุตรหลานของตนเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่นหากนักเรียนไม่เข้าใจบทเรียนในประเด็นใดก็สามารถเข้าไปติวหลังเลิกเรียนได้ ครูจะจดรายชื่อนักเรียนที่ผู้ปกครองฝากฝังเอาไว้เพื่อไม่ให้นักเรียนโดดเรียนหรือโดนเพื่อนในโรงเรียนรังแก


ในยุคนั้นครอบครัวส่วนใหญ่จะมีรายได้สองทาง ทั้งพ่อและแม่ต่างทำงานกันทั้งคู่และไม่มีเวลาให้กับลูกๆของตนเอง แม้ว่าลูกๆของพวกเขาจะถูกรังแกก็ยังไม่สามารถหาเวลาไปจัดการกับคนที่รังแกลูกของตนเองได้ด้วยซ้ำ


แล้วพ่อแม่เหล่านี้ควรทำอย่างไร? พวกเขาสามารถพึ่งพาครูให้ดูแลลูกๆของพวกเขาได้เท่านั้นแต่ในห้องเรียนที่มีนักเรียนหลายสิบคนจะทำอย่างไรให้ครูมาดูแลและใส่ใจลูกของพวกเขาเป็นพิเศษ?


มอบของขวัญให้กับครูอาจารย์เหล่านั้น!


การให้ของขวัญเป็นการส่วนตัวไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรและในสมัยก่อนการให้ของขวัญหรือจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับครูถือเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ปกครองทั้งหลายก็แค่ยึดตามธรรมเนียมดั้งเดิมมาเท่านั้น


ดังนั้นครูและอาจารย์ทั้งหลายไม่เพียงแต่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากรัฐบาลเท่านั้นแต่ยังได้รับการดูแลจากผู้ปกครองนักเรียนอีกด้วย ในช่วงเวลานี้นักเรียนยังสามารถถูกครูลงโทษด้วยการทุบตีได้ ซึ่งประเด็นนี้กินเวลานานจนกระทั่งไม่กี่ปีต่อมาประธานาธิบดีได้เอ่ยตำหนิรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในช่วงงานเลี้ยงอาหารค่ำในประเด็นนี้ขึ้นมา ส่งผลให้มีการกำหนดกฎระเบียบขึ้นมาโดยครูจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือทำโทษร่างกายนักเรียนได้อีกต่อไปแต่ครูบางคนก็ยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิม


หลังจากปีค.ศ.2000 เป็นต้นไป ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่จะดีขึ้นเรื่อยๆและหลายๆคนก็ตระหนักได้ว่าแม้จะไม่ได้เรียนจบสูงพวกเขาก็ยังสามารถทำงานหาเงินได้เยอะๆเช่นกัน


‘โปรดดูแลลูกของเราด้วยนะครับ หากเขาทำตัวไม่ดีคุณครูสามารถทำโทษเขาได้เลย’


นี่คือช่วงเวลาที่ผู้ปกครองจะไม่ได้บอกประโยคนี้แก่ครูอีกต่อไป เพราะมันจะถูกเปลี่ยนเป็น…


‘โปรดดูแลลูกของเราด้วยนะครับ หากเขาทำตัวไม่ดีก็แจ้งให้ผมทราบได้เลยเพราะผมจะทำโทษเขาเอง แล้วอย่าให้ใครในโรงเรียนมารังแกลูกของผมได้นะครับ ส่วนนี้ถือเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยจากครอบครัวเราโปรดรับไว้ด้วยนะครับ’


มีผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยที่ทำให้เด็กๆเสียคน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปู่ย่าตายายของเด็กๆ หากครูแตะร่างกายเด็กๆแค่เพียงปลายเล็บ ปู่ย่าตายายก็พร้อมจะออกไปจัดการกับครูในทันที!


ในช่วงแรกๆของขวัญที่ครูได้รับมากที่สุดก็คือปากกาหรือการ์ดขอบคุณ มันไม่ใช่สิ่งของที่มีค่ามากนักและมักเป็นของขวัญทำมือเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมามันก็เริ่มขยับเป็นไข่ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ บัตรกำนัล อาหารต่างๆ เป็นต้น


เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆของขวัญก็มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาหันมามอบจักรยานและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆเพื่อตอบแทนการที่ครูเหล่านั้นดูแลบุตรหลานของพวกเขาเป็นพิเศษ


ครูหลายๆคนจึงคุ้นชินกับการรับของขวัญราคาแพงๆ พวกเขาไม่ต้องการรับปากกาหรือการ์ดขอบคุณอีกต่อไป พวกเขาหวังว่าจะได้รับของขวัญราคาแพงๆเท่านั้น!


แต่ก็ยังมีครูที่ตงฉินอีกจำนวนมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับของขวัญอะไรเลยแต่พวกเขาก็ยังตั้งใจทำงานเพื่อให้ความรู้แก่นักเรียนต่อไป แต่เมื่อครูหลายๆคนยังคาดหวังในของกำนัลมันก็จะกระทบต่อการสอนและทำให้คุณภาพของครูด้อยลง วันครูก็จะกลายเป็นวันอวดของขวัญว่าใครจะเป็นครูที่ได้รับของขวัญมากที่สุด


มีคนเคยพูดว่า ครูอาจจำไม่ได้ว่ามีใครให้ของขวัญอะไรบ้าง?แต่ครูจะสามารถจำได้ว่ามีผู้ปกครองของนักเรียนคนใดบ้างที่ไม่ได้ให้ของขวัญ! เพื่อให้แน่ใจว่าครูจะจำลูกหลานขอตนได้ดังนั้นของขวัญจะต้องเป็นของที่มีราคาแพงเข้าไว้!


ในยุคปัจจุบันไม่ใช่แค่ครูที่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะมอบของขวัญให้กับครู ไม่มีใครคิดว่าครูไม่สมควรได้รับของขวัญ!


แต่ของขวัญที่พวกครูควรได้รับคืออะไรล่ะ? นี่คือความปวดหัวสำหรับผู้ปกครองหลายๆคน คุณต้องการจะให้จักรยานเป็นของขวัญงั้นหรือ? แต่ถ้าครูท่านนั้นมีจักรยานอยู่แล้วล่ะการให้เพิ่มไปอีกหนึ่งคันมันเหมาะแล้วหรือ?


คุณต้องการให้ของขวัญราคาแพงๆแต่คุณก็ไม่มีปัญญาจ่ายแต่จะให้ของขวัญราคาถูกๆก็ไม่ใช่เรื่องเช่นกัน? หากจะให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ล่ะ? ถ้าครูคนนั้นเป็นผู้หญิงก็คงไม่อยากได้กระมัง?


การให้เงินคงเป็นวิธีที่ตอบโจทย์มากที่สุดแต่มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี เงินไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนเหมือนสินค้าอื่นๆ 1,000หยวนก็จะเป็นเพียงธนบัตรใบละ 100 หยวน 10 ใบเท่านั้น หากมันอยู่ในซองจดหมายก็จะไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้เลย แต่ถ้าคุณซื้อสินค้าในมูลค่า 1,000 หยวน มันจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะไม่สามารถซื้อของขวัญในมูลค่า 1,000 หยวนได้ อย่างมากพวกเขาก็ยอมเจียดเงินเดือนที่มีอยู่น้อยนิดมาซื้อของขวัญมูลค่าไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น


มันจะดูไม่ดีถ้าผู้ปกครองมอบเงินสดเป็นของขวัญให้กับครูตรงๆและครูส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้ารับเงินจากมือผู้ปกครองโดยตรงอีกด้วย ผู้ปกครองยังกังวลอีกว่าผู้ปกครองท่านอื่นจะมอบเงินเป็นของขวัญมากกว่าที่พวกเขาให้


ดังนั้นสำหรับผู้ปกครองทั้งหลาย วันครูก็คือวันทุกข์สำหรับพวกเขาเช่นกัน


เกือบทุกคนไม่ทราบว่าควรจะเตรียมของขวัญอะไรให้ดี?และควรใช้วงเงินเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม?


แต่บัตรช้อปปิ้งจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้!


การให้บัตรช้อปปิ้งแก่ครูก็เหมือนการให้ซองอั่งเปาในงานแต่งงานหรือวันตรุษจีน พวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ได้รับหรือมอบให้ได้ มันไม่เหมือนกับการให้สิ่งของเพราะคงไม่มีใครให้สิ่งของซ้ำกับผู้อื่นอย่างแน่นอน


ครูสามารถใช้บัตรช้อปปิ้งซื้อในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ มันไม่เหมือนกับการให้เงินสดเมื่อครูเหล่านั้นไม่กล้าที่จะรับมันอย่างเปิดเผย แต่สำหรับบัตรช้อปปิ้งใบเล็กๆนี้ผู้ปกครองสามารถหย่อนมันใส่กระเป๋าหรือยัดใส่มือครูได้อย่างง่ายดาย


นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีกันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนและยากที่จะเปลี่ยนแปลงในเร็วๆนี้ได้


ภาคการศึกษาใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น นักเรียนหลายๆคนต่างก็จดจ่อรอคอยและแน่นอนว่าครูอาจารย์หลายๆท่านก็รอคอยเช่นกัน


[1] บุคคลที่ 9 ในโต๊ะโป๊ยเซียน หมายถึงไม่ได้นั่งในตำแหน่งที่สมควรนั่ง โต๊ะโป๊ยเซียนคือโต๊ะ 8 เหลี่ยม การนั่งล้อมวงในโต๊ะแปดเหลี่ยมนั้น 8 คนก็จะพอดีโต๊ะแต่ถ้ามีคนที่ 9 มานั่งแทรกอีกคนมันก็จะอึดอัด นั่งไม่ลงตัว สำนวนนี้จึงหมายถึง ไม่ได้นั่งในตำแหน่งที่สมควรนั่ง หรือได้ทำงานในตำแหน่งลอยๆ ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่แท้จริง



EG บทที่ 658 ง่ายกว่ามั้ย?หากถูกรับรองให้เข้าเรียนต่อในระดับป.โท


 


“เฝิงหยู่! ฉันอยากลองสอบเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทดูนะ อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันบอกไว้ว่าคนที่จบปริญญาโทจะสามารถเข้าสอนในมหาวิทยาลัยได้ซึ่งเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน”


หลี่นาที่อยู่ในอ้อมกอดของเฝิงหยู่กล่าวขึ้น


“เธออยากเรียนต่อปริญญาโทงั้นหรือ? ทำไมยังต้องสอบอีกล่ะ? ที่วิทยาลัยของเธอไม่มีคนรับรองให้เข้าเรียนต่อได้หรือไง?”


เฝิงหยู่คิดว่าการมีคนรับรองประวัติของเราถือเป็นสิ่งสำคัญ หากใช้เพียงผลการเรียนของหลี่นารวมถึงความประพฤติและความขยันที่เธอมีก็เพียงพอที่มีคนรับรองให้สามารถเรียนต่อได้ง่ายๆ มันดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสักนิด?!


ชีวิตของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยดูจะสบายกว่าครูมัธยมหลายเท่า นักเรียนมัธยมส่วนใหญ่มักจะเกเรและควบคุมยาก ซึ่งคนนิสัยอย่างหลี่นายากที่จะรับมือพวกเด็กๆเหล่านั้นได้


“ในวิทยาลัยของเราก็มีคนรับรองให้เช่นกันแต่มันก็ยากที่ฉันจะได้รับมันง่ายๆ ฉันไม่ค่อยสนิทกับอาจารย์เท่าไหร่ด้วยล่ะ ฉันยังได้ยินมาอีกว่าการถูกรับรองไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการเรียนแต่มันขึ้นอยู่กับตัวอาจารย์ล้วนๆว่าพวกเขาต้องการที่จะรับรองเราหรือไม่?”


ผลการเรียนของหลี่นาอยู่ในลำดับต้นๆของวิทยาลัย หากการรับรองพวกนั้นอ้างอิงจากผลการเรียนหลี่นาก็สามารถถูกรับรองได้ง่ายๆแต่การจะถูกรับรองให้เข้าเรียนในระดับสูงกว่าปริญญาตรีนั้นไม่ได้ดูแค่ผลการเรียนเท่านั้น มันยังดูว่าบุคคลนั้นๆได้ถูกรับรองจากหัวหน้าอาจารย์หรืออธิการบดีหรือไม่?


“แล้วชื่อเสียงของอาจารย์ที่เธออยากให้รับรองเป็นอย่างไรล่ะ? เขามีงานอดิเรกหรือมีอะไรที่ชอบบ้างมั้ย?”


เฝิงหยู่เอ่ยถามหลี่นา


“อืม..ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาชอบอะไร?แต่ชื่อเสียงของเขาดีมากเลยล่ะ”


“ฉันกำลังจะสื่อว่าอาจารย์คนนั้นเป็นคนใจซื่อมือสะอาดหรือเปล่า?”


“ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ! ครั้งล่าสุดที่เขาเข้าสอนพวกฉัน เขายังบอกเลยว่าคนเราต้องมีความยืดหยุ่นและรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เขายังบอกอีกนะว่าหากในอดีตเขาไม่รู้จักความยืดหยุ่นแล้วล่ะก็ เขาคงจะตายไปกับเพื่อนๆในคอกวัวแล้วล่ะ”


เฝิงหยู่ได้ฟังเรื่องนี้จึงรู้วิธีจัดการกับอาจารย์คนนี้ได้ทันที เขาก้าวลงจากเตียงนอนและตรงไปยังห้องนั่งเล่น เขาหยิบบัตรช้อปปิ้งประมาณ 7-8 ใบออกจากกระเป่าของตน


“เอาบัตรใบนี้ไปมอบให้อาจารย์ท่านนั้นซะ ส่วนใบนี้มอบให้อธิการบดี ใบนี้มอบให้อาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์คนอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง…อืม..หากมีใครสำคัญอีกก็จัดการมอบบัตรที่เหลือให้กับพวกเขาได้เลย แค่บอกพวกเขาไปว่าเธอต้องการให้พวกเขารับรองเพื่อเข้าเรียนต่อ”


หลี่นาตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เฝิงหยู่พูด


“นายจะให้ฉันติดสินบนพวกเขางั้นรึ? นายทำแบบนี้ได้ยังไง?”


เฝิงหยู่ยิ้มและเริ่มเกลี้ยกล่อมหลี่นาอย่างรวดเร็ว


“มันจะเป็นการติดสินบนได้อย่างไรล่ะ? เธอรู้หรือเปล่าว่าอีก 2 วันคือวันอะไร?”


“…วันครู?”


“ใช่! มันคือวันครู! เป็นเรื่องปกติที่จะให้ของขวัญกับอาจารย์ของเธอนะนาน่า! ธรรมเนียมนี้มันก็ตกทอดมาตั้งแต่อดีตนี่นา สมัยก่อนเธอก็เคยให้ของขวัญแก่อาจารย์เพื่อให้พวกเขายอมรับในฐานะนักศึกษาคนหนึ่งของพวกเขา และเธอเองก็ต้องจ่ายค่าเทอมให้กับพวกเขาแถมยังต้องทำงานให้ฟรีๆอีก อาจารย์สามารถดุด่าและตีเธอได้ แล้วในช่วงวันเกิดของครูหรือแม้แต่วันเกิดภรรยาหรือสามีของพวกเขา เธอเคยให้ของขวัญแก่พวกเขาหรือเปล่า? เธอเคยจัดงานเลี้ยงให้กับพวกเขาบ้างมั้ย? แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วที่เราจะมอบของขวัญเพื่อแสดงความขอบคุณในวันครูที่จะมาถึงนี้”


“จากสิ่งที่นายพูดนะเฝิงหยู่แค่เลี้ยงอาหารเย็นพวกเขามันก็น่าจะเพียงพอแล้ว แล้วบัตรพวกนี้มันคืออะไรกัน? บัตรช้อปปิ้ง? บัตรช้อปปิ้งของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์ตอนนี้นะหรือ? มูลค่าของมัน…..5,000หยวน! มันมากเกินไป! จำนวนนี้มันมากเกินไป! นี่คงไม่ใช่การแสดงความของคุณของฉันแล้วล่ะ!”


หลี่นาวางบัตรเหล่านั้นลงบนโต๊ะทันที


“ฟังฉันก่อนสินาน่า..ไม่เป็นไรเลยหากเราจะให้พวกเขามากขึ้น เธอเองก็ได้รับความรู้จากพวกเขามาไม่น้อยและก็ไม่ต้องไปรับในสิ่งที่ไม่ดีจากพวกเขามาก็พอ คิดดูดีๆสิ! ถึงแม้เธอไม่ให้ของขวัญกับพวกเขานักศึกษาคนอื่นๆก็ยังจะให้พวกเขาอยู่ดี จากนั้นเธอก็อาจพลาดโอกาสดีๆไป ความฝันของเธอคือการเป็นครู!เธอต้องการที่จะสอนเด็กรุ่นหลังๆให้มีความรู้ติดตัวไปใช้ในอนาคต แต่มันจะไม่ดีกว่าหรือ? ถ้านักเรียนในอนาคตจะมีครูดีๆแบบเธอเพิ่มขึ้น?”


เฝิงหยู่ยังคงใช้กลยุทธ์เพื่อเกลี้ยกล่อมเธอต่อไป


“ไม่ต้องลังเลแล้วล่ะ! ทำแบบที่ฉันบอกซะ! พรุ่งนี้เมื่อเธอไปวิทยาลัยก็เอาบัตรพวกนี้ไปมอบเป็นของขวัญให้กับพวกเขาซะ มันเหนื่อยนะหากจะต้องมานั่งสอบเพื่อเข้าเรียนต่ป.โท! การได้รับคำรับรองจะเป็นสิ่งที่สะดวกที่สุด เอาเวลาที่ใช้ในการเตรียมตัวสอบไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่านี้ดีกว่า อาทิตย์หน้าเราไปเที่ยวกว๋อจือเจี้ยน[1]กันดีกว่าเราจะได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของมหา’ลัยในสมัยก่อนไงล่ะ”


หลี่นามองเฝิงหยู่นิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนเฝิงหยู่จะไม่ใช่คนโลภและทะเยอทะยานอะไรนักแต่ธุรกิจของเขากลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีแถมได้ขยายไปยังต่างประเทศอีกด้วย แต่การจะปักธงว่าเขาเป็นคนทะเยอทะยานก็ดูจะไม่เหมาะนักเพราะหลายต่อหลายครั้งเฝิงหยู่ก็มักจะสนับสนุนให้เธอไปเที่ยวเล่นแทนที่จะเรียนหนักอย่างเดียว เฝิงหยู่เป็นคนตรงไปตรงมาหรือเปล่านะ? แต่มันก็มีหลายครั้งที่เขาขอให้เธอใช้คอนเนคชั่นที่เขามีหรือแอบเล่นตุกติกบ้าง หากใครกล่าวหาว่าเฝิงหยู่เป็นคนหน้าเลือดเธอเองก็พร้อมจะเถียงแทนว่าเฝิงหยู่ได้บริจาคเงินสร้างอาคารเรียนให้กับโรงเรียนหลายแห่งแล้ว


“นาน่า..ฉันหิวแล้ว”


เฝิงหยู่ทำเสียงอ้อนใส่หลี่นา


“วันนี้เรายังไม่ได้ซื้อของสดเข้ามาเลยนะ อ๊ะ! แต่มีโจ๊กและไข่อยู่ในตู้เย็น”


“ฉันไม่ได้อยากกินพวกนั้นสักหน่อย ฉันอยากกิน..เธอต่างหากล่ะ! มาเถอะ!..มาฉลองให้กับการเรียนต่อของเธอดีกว่า”


“อ๊ะ!..เหตุผลอะไรของนายกันเนี่ย?..ไม่นะ! อ่า…อรื้มมมมม”


.


.


หลี่น่าไม่เต็มใจที่จะใช้ของขวัญเหล่านี้เป็นใบเบิกทางในการเรียนต่อและสุดท้ายเธอก็ยังยืนกรานที่จะไม่ทำมันอย่างแข็งขัน ส่งผลให้เฝิงหยู่ต้องลงมือทำสิ่งนี้ให้กับเธอแทน เขาจะจัดการทุกอย่างเพื่อความสำเร็จของหลี่นา!


เฝิงหยู่พิจารณาแล้วว่าไม่จำเป็นต้องบริจาคอะไรให้กับวิทยาลัยของหลี่นา มันจะเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไป นอกจากนี้เขายังมีแผนที่จะบริจาคเงินให้กับโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่อีกด้วยซึ่งสิ่งนี้สามารถใช้เงินน้อยกว่า 100,000 หยวนเท่านั้น แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมาเสียเงินเป็นล้านๆหยวนอีกล่ะ? อีกอย่างวิทยาลัยแห่งนี้มีหลักสูตรในระดับสูงกว่าปริญญาตรีไม่กี่หลักสูตรเท่านั้น วิทยาลัยจะมีเงินทุนเพียงพอจากกระทรวงศึกษาธิการและค่าเทอมที่ได้รับในแต่ละเทอม


“สวัสดีครับอาจารย์ซู..ผมเฝิงหยู่เป็นลูกพี่ลูกน้องของหลี่นาครับ ผมมาพบคุณในวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”


“โอ้!..คุณเฝิง? ยินดีที่ได้พบคุณค่ะว่าแต่มีอะไรให้ฉันช่วยหรือค่ะ?”


อาจารย์ซูผู้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของหลี่นาถามขึ้น


“มันเป็นวันครูนี่ครับ!..ตามธรรมเนียมบ้านเกิดของเราแล้ว เราก็ต้องเลี้ยงอาหารเย็นให้กับเหล่าอาจารย์สักหน่อย คุณว่างเมื่อไหร่ละครับ?”


อาจารย์ซูรู้สึกประหลาดใจ ธรรมเนียมของบ้านเกิดอย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีธรรมเนียมแบบนี้?  ฉันเองก็มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเหมือนกันทำไมถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ?


“ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงอาหารเย็นหรอกนะค่ะ! แค่หลี่น่าเป็นเด็กตั้งใจเรียนฉันก็พอใจแล้วล่ะค่ะ อ้อ! ไม่กี่วันก่อนฉันยังคุยกับเธอเรื่องเรียนต่อปริญญาโทอยู่เลย”


“ผมเองก็ได้ยินมาว่าเธอจะเรียนต่ออยู่เหมือนกันครับ วิทยาลัยนี้ก็มีการให้คำรับรองสำหรับคนที่จะเรียนต่อใช่มั้ยครับ? แล้ว..คุณคิดว่าหลี่นาเป็นอย่างไรบ้างครับ?”


“ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะตัดสินใจทำเรื่องนี้ได้หรอกค่ะ..ต้องเป็นท่านอธิการบดีและหัวหน้าอาจารย์เท่านั้นที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้”


สีหน้าของอาจารย์ซูเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันเมื่อเข้าใจในสิ่งที่เฝิงหยู่พยายามทำอยู่


“ผมเองก็จะไปคุยเรื่องนี้กับท่านอธิการบดีและหัวหน้าอาจารย์อยู่เช่นกันครับ! ที่วันนี้ผมมาพบอาจารย์ซูก็เพื่อมาขอบคุณที่ดูแลหลี่นาเป็นอย่างดี ในเมื่อคุณไม่ว่างไปทานอาหารเย็นด้วยก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันแล้วเอาไว้คราวหลังเราค่อยมาทานข้าวด้วยกันนะครับ”


เฝิงหยู่ขอตัวกลับก่อน อาจารย์ซูจึงเดินไปส่งเขาที่หน้าประตู เมื่อเธอกลับมานั่งที่ของเธอแล้วก็เห็นว่ามีบัตรใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะของเธอ


อาจารย์ซูหยิบมันขึ้นมาดูจึงรู้ว่ามันคือบัตรช้อปปิ้งของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตที่กำลังออกโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และวิทยุในตอนนี้ ให้ตายเถอะ! มูลค่าของบัตรใบนี้เท่ากับ 5,000 หยวน


อาจารย์ซูตื่นตระหนกกับมูลค่าบัตรใบนี้ บัตร 5,000 หยวนจะต้องถูกเฝิงหยู่ทิ้งไว้โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน เธอไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้นัก สิ่งที่เธอสามารถทำได้ก็คือเสนอชื่อหลี่นาไปให้ท่านอธิการบดีและหัวหน้าอาจารย์พิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้าย


นี่..นี่มันคือบัตรช้อปปิ้งมูลค่า 5,000หยวน มันมากกว่าเงินเดือนรวมกับค่าเบี้ยเลี้ยงทั้งปีของเธอเสียอีก


 


[1]กว๋อจือเจี้ยน/ Beijing Guozijian ตั้งอยู่บนถนน Guozijian ในกรุงปักกิ่งประเทศจีนเป็นมหาวิทยาลัยระดับชาติของจีนในช่วงราชวงศ์หยวนราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม