Everyone Else is a Returnee 261-290
บทที่ 261 – ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ (3)
ลานปาสก็ยังคงมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่เขามา ยูอิลฮานกับคนอื่นๆได้อยู่บนป้อมปราการลอยฟ้าที่ลอยอยู่บนจักรวรรดิเพลลาเดีย
“ดีนะที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่”
ยูอิลฮานได้พึมพัมออกมาพร้อมกับตัวสั่นไปทั้งร่าง ในนิยายหรือมังงะมักจะมีอะไรเกิดขึ้นเสมอเมื่อมีคำพูดแบบนี้ ยังไงก็ตามเลียร่าที่อยู่ข้างๆเขาก็ได้บอกให้เขาใจเย็นลง
“ถ้าเราไปที่ไหนแล้วมันมีปัญหาเกิดขึ้นไปหมด จักรวาลก็คงไม่มีอยู่ถึงวันนี้หรอกนะ”
“แต่ว่าถ้ายูอิลฮานมาอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่มั่นใจแล้วนะ”
เอิลต้าได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เธอคิดว่าถ้าเป็นยูอิลฮานผู้ที่ขัดแย้งกับกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดบางทีอาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจากการมาของเขาก็ได้
ยังไงก็ตามในคราวนี้ยูอิลฮานได้หัวเราะขึ้นและส่ายหัวออกมา
“โอ้ ไม่เป็นไรหรอก ฉันพูดได้เลยว่าฉันได้เจอกับประสบการณ์หลายอย่างมาตลอดพันปีแล้ว ไม่มีปัญหาแน่ เชื่อใจฉันได้เลย”
“ที่รัก เรามาคุยกันตรงนี้หน่อยสิ”
“…รอเดี๋ยว”
ยูอิลฮานได้ผลักเลียร่าที่จะเข้ามาล็อคคอเขาถอยไปและชี้ไปที่จุดหนึ่ง ตอนแรกเลียร่าคิดว่าเขาหลอกเธอ แต่ว่าเมื่อเธอหันไปมองเธอก็ต้องตกใจกับเส้นแสงที่พุ่งขึ้นมาจากส่วนหนึ่งของปราสาท
“มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในทันทีที่อิลฮานมาถึงจริงๆ!”
“เฮ้! นี่มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะ! บ้าเอ้ย ฉันคิดอยู่แล้วว่าที่นี่มันเงียบสงบเกินไป”
แม้ว่าเขาจะพอเดาเอาไว้แล้วแต่การเกิดขึ้นจริงนี่มันอะไรกัน? นี่มันทั้งทำให้เขาต้องอับอายแล้วก็ต้องเสียชื่อเสียงอย่างมากเลยนะ ยูอิลฮานได้กัดริมฝีปากเอาไว้ในขณะที่ปล่อยมานาของตัวเองไปให้ป้อมปราการลอยฟ้า
“มิสทิคเร็วเข้า! เร่งความเร็วสูงสุดเลย!”
[ถึงนายท่านไม่พอฉันก็เร่งความเร็วอยู่แล้ว!]
ป้อมปราการทั้งสองได้เร่งความเร็วขึ้นในทันทีทิ้งไว้แค่เพียงเส้นแสงจากพรของนายูนา ในตอนนี้เสาแสงได้เริ่มหายไปแล้ว แต่ว่ายูอิลฮานก็ได้ยืนยันแล้วว่าจุดนั้นคือตรงไหน ที่ตรงนั่นก็คือปราสาทเพลลาเดียว
“ฉันคิดว่ามิเรย์…”
“อย่าพูดอะไรที่นายคาดการณ์เอาไว้อีกเชียวนะอิลฮาน”
“ชู่ววว แบบนี้แล้วฉันจะใช้ชีวิตยังไงเนี้ย?”
ทันใดนั้นป้อมปราการลอยฟ้าก็หยุดอยู่กลางอากาศ ในตอนนี้ยูอิลฮานได้กางปีกกระโดดลงมาจากป้อมปราการโดยไม่ลังเลใดๆ ตอนนี้มันไม่มีเวลาให้เขาซ่อนตัวแล้วด้วยซ้ำไป
“อิลฮาน!?”
ในตอนนี้เองที่ระเบียงทางตะวันตกของปราสาทก็ได้เปิดขึ้นมาพร้อมคังมิเรย์ที่รีบวิ่งออกมาด้วย เมื่อได้เห็นเธอยูอิลฮานก็ได้รู้ทันทีว่าเธอได้เข้าสู่คลาส 4 ไปแล้วจากการที่มีออร่าที่ลึกลับมากๆอยู่รอบตัวเธอหลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ปี เขาได้หยุดลงที่ตรงหน้าของเธอ
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน? นายคิดยูอิลฮานจริงๆน่ะหรอ? ตอนนี้ฉันเพิ่งจะสร้างวิธีไปหานายได้สำเร็จเองนะ…”
“มาหาฉันหรอ? นี่เธอ…”
ยูอิลฮานกำลังจะถามออกไปแต่แล้วเมื่อเขาได้มองเห็นสภาพภายในห้องผ่านระเบียงไป เขาก็ได้เห็นมานาลึกลับที่อยู่ภายในนั้น และตรงกลางมานานั่นก็มีวังวนมานาสีน้ำเงินดำที่น่าจะพาไปที่่ไหนซักแห่งอยู่
“…?”
เขารู้ได้ทันทีเลยว่าวังวนนั่นมันคืออะไร ครั้งหนึ่งวังวนพวกนี้เคยปรากฏขึ้นบนโลกของเขาจำนวนมาก แต่ยังไงก็ตามยูอิลฮานไม่รู้เลยว่าทำไมถึงได้มีวังวนนั้นมาอยู่ในห้องของคังมิเรย์ได้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ว่าที่ลานปาสนี่ได้เริ่มเดินไปในแนวทางการพัฒนาแบบเดียวกันโลกของเขาแล้วงั้นหรอ? หรือว่านี่เป็นสิ่งที่คังมิเรย์สร้างขึ้นมา? แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
“มิเรย์นี่คือ…”
“อิลฮาน เป็นนายจริงๆ…”
ยังไงก็ตามคนที่น่าจะตอบคำถามเขาได้อย่างมิเรย์กลับดูเหมือนจะไม่อยากจะเจอว่าเขามาที่นี่ เธอเอาแต่มองมาที่หน้าเขาอย่างเดียวเท่านั้นเอง
“โอ้ น่าทึ่งมาก นี่ลูกทำมันขึ้นด้วยพลังของลูกหรอ มิเรย์?”
“คุณแม่ก็ด้วย!?”
คิมเยซอลที่มาปรากฏตัวข้างหลังยูอิลฮานก็อุทานออกมาเมื่อได้เห็นวังวนภายในห้อง เมื่อดูจากการที่คิมเยซอลได้ลอยอยู่บนท้องฟ้าสบายๆก็สมแล้วกับคือเธอคือจอมเวทย์มิติเวลา และในตอนนี้้เองก็มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่ออกมาทำให้นายูนาต้องก้าวถอยหลังไป
[อย่าบอกนะว่าที่นี่… นี่มันเกิดขึ้นจากมนุษย์จริงๆ อืมม!?]
ปีกสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งกลางหลัง รวมไปถึงวงแหวนสีทองบนหัว นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ถึงตัวตนเดียวเท่านั้น เหล่าแขนขาของกองทัพสวรรค์ ทูตสวรรค์นั่นเอง ในที่สุดแล้วพวกเขาก็เผยตัวมาที่นี่
แต่ถึงแบบนั้นยูอิลฮานก็ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเลย!
[ฉะ ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่านายจะกล้ามาเดินในโลกอื่นแบบนี้ยูอิลฮาน]
“แกเป็นคลาส 5 ใช่ป่ะ? จากการที่พวกลิ่วล้ออย่างแกรู้จักฉัน มันดูเหมือนฉันจะมีชื่อเสียงพอควรเลยสินะ”
แม้ว่ายูอิลฮานจะไม่รู้ว่าทูตสวรรค์ชายนี่มาหาคังมิเรย์ทำไมก็ตาม แต่ว่าทูตสวรรค์ที่มากลับตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากเห็นยูอิลฮานและเขาถึงกับต้องก้าวถอยหลังไป ในดวงตาของเขามีแต่ความกลัวที่มีต่อยูอิลฮาาน น้ำเสียงรวมไปถึงร่างกายของเขาก็ยังสั่นอีกด้วย
[ลิ่วล้อนี่มันอะไรกัน นี่นายหยาบคายมากๆเลยนะกะ กะ กับกองทัพสวรรค์]
“ฮึ่ม”
ทุกๆคนที่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะใช้พลังกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำได้ก็ต่อเมื่อเพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น ซึ่งมันหมายความว่าพวกเขาจะทำได้แค่โต้ตอบกลับไปหลังจากถูกโจมตีเท่านั้น
ตามปกติแล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะใช่ปัญหาอะไรเพราะว่าไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจะไปทำอะไรสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้อยู่แล้ว แต่ว่ายูอิลฮานกลับเป็นตัวตนที่แหกสามัญสำนึกนั่น เขาไม่เพียงแต่สังหารคลาส 5 ได้เท่านั้นแต่เขายังสังหารคลาส 6 ได้อีกด้วย! ทูตสวรรค์ทำถูกแล้วที่ไม่เลือกหนีไปหลังจากเห็นเขา
ถึงแม้ว่าการที่เขาไม่หนีไปจะเป็นเพราะศักดิ์ศรีที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกตัวเองก็ตาม
[ทะ ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?]
“…”
ยูอิลฮานได้คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้คิดว่าเขาควรจะบอกจุดประสงค์ที่เขามาหรือไม่ แล้วก็ควรจะฆ่าทูตสวรรค์คนนี้หหรือไม่ และแล้วเขาก็ได้สรุปออกมาว่าเขาจะไม่ฆ่าทูตสวรรค์คนนี้ ยกเว้นเขาจะถูกโจมตีก่อน
แม้ว่าการที่ยูอิลฮานได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดไปในดาเรย์จะทำให้พวกนั้นเป็นศัตรูกับเขา แต่ว่าที่นี่มันไม่ใช่ดาเรย์ นอกไปจากนี้หากว่าทันทีที่เขาได้เห็นทูตสวรรค์เขาก็ฆ่าไปหมดเพราะการที่เขาไม่ชอบกองทัพสวรรค์ นั่นก็คงจะทำให้สมดุลของโลกพังไป
แน่นอนว่าเขายังคงไม่พอใจกับการที่สวรรค์ทิ้งโลกของเขาไป เขายังโกรธที่กองทัพสวรรค์มาเสนอเป็นพันธมิตรกับเขาทั้งๆที่เพิ่งทิ้งโลกเขาไปอย่างไร้ยางอายอีกด้วย
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามมันไม่ใช่ว่าทูตสวรรค์ทุกๆคนจะรู้ถึงเรื่องนี้ และในหมู่คนเหล่านั้นก็อาจจะมีทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างบริสุทธิ์ใจเหมือนกับที่เลียร่าเคยทำก็ได้ อย่างเช่นทูตสวรรค์ตรงหน้าเขาคนนี้
“…เอาเถอะ ถ้างั้นก็”
ยูอิลฮานไม่ได้หยิบอาวุธของเขาออกมา แต่แน่นอนว่ากองทัพสวรรค์ยังเป็นศัตรูของเขา แต่เขาไมได้มาที่นี่เพื่อฆ่าทูตสวรรค์ นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินใจออกมา
“ฉันมาหาเพื่อนของฉัน แล้วฉันก็เจอเธอแล้วด้วย”
[เพื่อน… นายหมายถึงผู้หญิงคนนี้?]
“ใช่ มีอะไร?”
[งะ งั้นหรอ?]
หลังจากได้ยินคำตอบของยูอิลฮาน ทูตสวรรค์ก็ได้เริ่มหงื่อตกเพราะอะไรบางอย่าง ยูอิลฮานได้จ้องไปที่เขามากขึ้น ตอนนี้เป็นคังมิเรย์แล้วที่กลายเป็นสับสน
ไม่ใช่ว่ายูอิลฮานสนิทกับกองทัพสวรรค์เพราะเขามีทูตสวรรค์อยู่ข้างกายตลอดเวลาหรอกหรอ? ทำไมพอตอนนี้พวกเขาถึงดูมีความเป็นศัตรูกันล่ะ? เมือนึกดีๆแลวเธอก็ยังไม่เห็นทูตสวรรค์ที่ปกติมักอยู่ข้างๆเขาด้วย นี่มันมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับพวกเธองั้นหรอ?
ถ้าแบบนั้นคังมิเรย์คงจะเศร้ามากเพราะพวกเธอนั้นได้ช่วยคังมิเรย์อย่างมาก ยังไงก็ตามนี่มันก็หมายความว่าที่ข้างๆเขาว่างลงแล้ว แล้วนี่ก็เป็นโอกาสของเธอเหมือนกันสินะ? ทำไมเธอถึงได้คิดเรื่องที่น่ากลัวแล้วก็น่ารังเกียจนี่ขึ้นมาเป็นสิ่งแรกกันนะ? นี่เธอกลายเป็นคนไม่ดีไปแล้วหรอ? แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่คิดจะหยุดตัวเองเอาไว้จากหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเมื่อเธอได้คิดว่าเธอจะไดยืนเคียงข้างเขา
บางทีการที่เขามาหาเธอก่อนที่เธอจะไปหาเขา นั่นก็เพราะเขาอยากจะเจอเธองั้นหรอ? ถ้างั้น ถ้ามันเป็นแบบนี้ล่ะก็…
ความสงสัยนับไม่ถ้วนและอารมณ์มากมายที่ระบุไม่ได้ได้โผล่ขึ้นมาภายในใจของเธอและทำให้คังมิเรย์สับสนไป ในตอนนี้เองก็ได้มีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมา มิสทิคที่ได้ตัดสินใจว่ายูอิลฮานกับคังมิเรย์นานเกินไปแล้วทำให้เธอยกเลิกการซ่อนตัวออกมา
“โอ้ววว!”
[โว้วววว!]
“มิเรยยยยยยย์”
“เฮ้อ”
และนายูนาได้กระโดดลงมาทั้งๆที่เธอไม่มีความสามารถจะบินได้เลยด้วยซ้ำ นี่ทำให้ยูอิลฮานต้องถอนหายใจออกมาและขึ้นไปรับเธอเอาไว้บนท้องฟ้า นายูนาที่ถูกยูอิลฮานรับเอาไว้เหมือนเจ้าหญิงได้โบกมือให้กับคังมิเรย์พร้อมสียงหัวเราะคิกคักของเธอ
“ฉันอยากจะเจอเธอนะมิเรย์!”
“….เธออยากจะมาเจอฉันหรือว่าแค่อยากให้อิลฮานอุ้มกันแน่”
คังมิเรย์ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างไร้ความหมาย ความเพ้อฝันของคังมิเรย์ได้แตกสลายหายไปทั้งหมดในทันที
การที่นายูนาอยู่ที่นี่มันหมายความว่ายูอิลฮานก็แค่กำลังไปรวบรวมพรรคพวกของเขา แล้วนี่ก็ยังหมายความว่าเธอมีลำดับความสำคัญที่น้อยกว่ายูนา… ตอนนี้เธออยากจะหนีไปร้องไห้ในที่ไหนซักแห่งจริงๆ
นายูนาที่ได้เห็นแบบนี้ได้เข้ามาปลอบคังมิเรย์ทันที
“ฉันเข้าใจนะว่าเธอคิดอะไรมิเรย์ แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันได้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปให้อิลฮานก่อนนะ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไปหาฉันคนแรก มันไม่ใช่ว่าฉันมีความสำคัญมากกว่าอะไรแบบนั้นหรอกนะ!”
“อ่อ นี่มันปลอบฉันได้มากเลย… แล้วงั้นทุกๆอย่างเป็นยังไงบ้าง? พี่ฮาจินล่ะ?”
แม้ว่าคังมิเรย์จะโมโหนายูนาอยู่ แต่ว่าคังมิเรย์ก็เป็นห่วงถึงความปลอดภัยของพี่ชายเธอ นายูนาได้ยิ้มขึ้นมาและผงกหัวให้เธอ
“ทุกๆอย่างกำลังไปด้วยดีเลย แล้วก็พี่่ฮาจินก็ปลอดภัยเหมือนกัน ถึงตอนนี้พี่เขาจะกำลังอยู่ในช่วงช็อคอยู่ แต่ว่าโดยรวมก็ไม่มีปัญหาอะไร! แล้วนี่วังวนน่ากลัวในห้องนั่นมันอะไรกัน?”
[ใช่แล้ว วังวนนั่น! ประตูมิติที่ใช้ข้ามไปที่อื่น!]
ทูตสวรรค์ที่ถูกทำให้ไร้ตัวตนไปจากการรวมตัวกันของยูอิลฮาน คิมเยซอลและนายูนาได้พูดขึ้นมา
[พวกเราต้องการพลังนั่น! กองทัพสวรรค์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน]
“โอ้ เข้าใจแล้ว นั่นมันไม่ใช่เรื่องของฉันอยู่แล้ว แต่ว่านะการที่จะเอาสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำไปในสนามรบของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมันจะไม่เป็นอะไรงั้นหรอ เธอคิดยังไงมิ..”
ยูอิลฮานได้หันไปมองมิเรย์และถามความคิดเห็นของเธอ แต่เขาก็ต้องตกใจ เขาคิดว่าเธอกำลังคุยกับนายูนาอยู่ซะอีก แต่ว่านี่เธอกลับจ้องนิ่งมาที่ตัวเขา
“มิ มิเรย์?”
“อ๊ะ ว่าไงนะ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอิลฮานมาอยู่ตรงหน้า…”
“…”
ไม่สบายใจเลย
นี่มันไม่สบายใจเลย แม้ว่าเขาจะคิดว่านี่มันไม่เข้าท่าก็ตามแต่ว่าเธอก็อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างกับตัวเขาก็ไดด้ ถ้ามันเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีอีกสิ แต่ว่าถ้ามันเกิดขึ้นมาเป็นครั้งที่สองล่ะ มันจะเกิดขึ้นอีกจริงๆงั้นหรอ?
นายูนาที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาได้มองมาด้วยสายตาที่เตือนเขา มันราวกับว่าเธอกำลังจะบอกว่า ‘นายคิดถูก’ ซึ่งนี่ทำให้เขาอึดอัดใจมากๆและหันไปถามคังมิเรย์อีกครั้งโดยไม่สนใจนายูนา
“เธอคิดยังไงล่ะมิเรย์? ดูเหมือนทูตสวรรค์คนนี้ต้องการพลังของเธอ”
“ใช่แล้ว มนุษย์ช่วยทีเถอะนะ! นี่คือโอกาสที่จะสร้างผลงานให้กับกองทัพสวรรค์!”
คังมิเรย์ได้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใสที่สุดที่เธอทำได้
“ฉันได้รับพลังนี้มาเพื่อที่จะเจอกับยูอิลฮาน ดังนั้น… ฉันก็อยากจะใช้พลังนี้เพื่อเขาเหมือนกัน”
[…โอ้ บ้าเอ้ย]
ทูตสวรรค์ได้ถอนหายใจออกมา ยูอิลฮานก็ยังเป็นคนที่อยากจะถอนหายใจออกมา
“ฟุฟุ ดูเหมือนลูกจะได้เลือกแม่ไปเยอะเลยน้า”
จะมีก็แค่คิมเยซอลที่มองคังมิเรย์ ‘เป็นหนึ่งในผู้ลงแข่งชิงการเป็นสะใภ้คนที่สี่’ ด้วยรอยยิ้มสดใสเท่านั้น
บทที่ 262 – ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ (4)
คังมิเรย์ได้ถามยูอิลฮานที่อยู่ตรงหน้าขึ้น
“นายคิดยังไงล่ะอิลฮาน? จากที่ฉันเห็น ความสัมพันธ์ของนายกับกองทัพสวรรค์ดูจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว นายไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปมอบพลังให้กับกองทัพสวรรค์โดยไร้เงื่อนไขแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“เธอจะคิดแบบนั้นก็ได้นะ ในตอนนี้ฉันไม่คิดว่าฉันจะเอาตัวเองไปอยู่ในอันตรายเพื่อนช่วยพวกนั้น”
ทูตสวรรค์ได้ตะโกนออกมาทันที
[พวกเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันมากๆนะ! ในตอนนี้กองทัพสวรรค์กำลังตกอยู่ในวิกฤติ! ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงได้มาเป็นศัตรูกับกองทัพสวรรค์เราแบบนี้? แต่ว่าถ้ากองทัพปีศาจวิบัติได้ยึดเอาโลกส่วนหนึ่งของเราไป ถ้างั้นสิ่งต่างๆจะย้อนคืนไม่ได้แล้วนะ!]
“ฉันเข้าใจนะว่ามิเรย์ได้ทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อลงไป… แต่ว่าพลังของเธอจะส่งผลให้ต่อการต่อสู้ของพวกนายได้ขนาดนั้นเลย?”
[นั่นมันแน่อยู่แล้ว!… ช่วยรอเดี๋ยวก่อนจะได้ไหม? ดูเหมือนว่าตอนนี้คนที่มีอิทธิพลมากกว่าฉันกำลังตรงมาที่นี่]
เมื่อดูจากวงแหวนบนหัวทูตสวรรค์ที่กำลังกระพริบอยู่ นี่มันเหมือนกับว่าได้มีการส่งสัญญาณมาถึงทูตสวรรค์คนนี้ ยูอิลฮานได้มองไปรอบๆตัวเขาและส่ายหัวออกมาหลังจากที่เห็นประชาชนของเมืองนี้กำลังมองมาที่ป้อมปราการลอยฟ้าที่โผล่ขึ้นมาหลังจากเสาแสงหายไป
“ถ้างั้นก็เปลื่ยนสถานที่ก่อนแล้วกัน”
“ได้ ถ้างั้น…”
เมื่อคังมิเรย์ได้สะบัดมือของเธอ มานาที่อยู่ภายในห้องก็ถูกดูดกลับคืนมา นี่มันเหมือนกับดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคลื่อนไหวไปตามการไหลของจักรวาล
“โอ้”
“เป็นการขยับของมานาที่สวยงามมาก ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันทำแบบนี้ได้…”
“มิเรย์คืออัจฉริยะ… แต่ว่านี่มันน่าทึ่งมาก”
อนุภาคมานาส่วนหนึ่งที่เรืองแสงสีน้ำเงิน ดพ แดง หรือกระทั่งสีเหลือง ที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนได้ไหลเข้าไปในร่างของเธอ และส่วนที่เหลือได้รอยรอบๆตัวเธอราวกับมันกำลังป้องกันเธออยู่ พวกเขาได้แต่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพนี้ การกระทำนี้ของเธอเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงจำนวนมากมายไม่อาจจะทำได้ด้วยซ้ำไป
แม้กระทั่งทูตสวรรค์ที่เฝ้าดูอยู่ตลอดก็ได้แต่นิ่งงันไป และทันใดนั้นคังมิเรย์ก็ได้หันไปโค้งให้กับห้องนั้น
“จักรพรรดินี ขอบคุณนะสำหรับทุกๆอย่างนะ”
“…ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอจะไปแบบนี้”
แม้ว่าจะมีออร่าจำนวนมหาศาลในห้องและเธอถูกบดบังเอาไว้อยู่ แต่ว่าจักรพรรดินีเออร์ม่าแอนอิลต้าก็ยังคงอยู่ภายในห้อง แม้ว่าชุดของเธอจะเต็มไปด้วยฝุ่นจากความปั่นป่วนของมานาก็ตาม แต่ยูอิลฮานได้ตัดสินใจจะทำเป็นไม่เห็นฝุ่นพวกนั้น
“นี่ รับไปสิ”
“อ่า จักรพรรดินี?”
เออร์ม่าแอนอิลต้าได้ยิ้มแห้งๆออกมาเมื่อเห็นสายตาของยูอิลฮานและเธอได้โยนไอเทมมาให้กับคังมิเรย์ คังมิเรย์ได้ให้มานารอบตัวเธอแหวกออกจากกันและรับเอาไอเทมนี้ไว้เบาๆ
“นี่คือ…?”
มันคือกล่องขนาดเล็กๆ และเมื่อเธอเปิดมันออกมาภายในก็มีแหวนระดับสูงอยู่สองวงศ์ ดวงตาของคังมิเรย์ได้เบิกกว้างขึ้นเมื่อจักรพรรดินีได้เกาหัวพูดออกมา
“แม้ว่านี่จะเทียบไม่ได้เลยกับอาร์ติแฟคที่ท่านยูอิลฮานทำ… แต่นี่คือสมบัติอาณาจักรที่เป็นส่วนสำคัญของทั้งอาณาจักร แล้วก็ยังตกทอดมารุ่นต่อรุ่นภายในจักรวรรดิ เธอสามารถจะใส่มันได้โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องขีดจำกัดการใส่อาร์ติแฟคเลย เพราะงี้อย่าลืมแบ่งให้กับท่านยูอิลฮานซักอันนะ”
“จักรพรรดินี…”
ไม่มีทางเลยที่คังมิเรย์จะไม่รู้ว่าเธอกำลังจะบอกอะไร คังมิเรย์ได้หน้าแดงขึ้นมาและยูอิลฮานได้ยิ่งเหนื่อยใจมากกว่าเดิม คังมิเรย์ได้ปิดกล่องลงไปและเก็บมันเอาไว้ในอกเธอก่อนจะโค้งอีกครั้งหนึ่ง
“ไว้ฉันจะกลับมานะ”
“ได้เลย นั่นแหละคือคำลาที่ฉันรออยู่ เราทั้งสองคนจะได้เจอกันอีกในอนาคตสินะ?”
“แน่นอนสิ”
“ฟุฟุ ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ท่านยูอิลฮาน ฉันจะจัดการความวุ่นวายภายนอกให้เองดังนั้นท่านช่วยจัดการเรื่องระหว่างมิเรย์กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ไหม?”
“ได้เลย”
มันดูเหมือนว่าเออร์ม่าแอนอิลต้าที่เคยดูขี้เล่นจะได้โตขึ้นมากหลังจากได้กลายมาเป็นจักรพรรดินีแล้ว
ยูอิลฮานได้รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปอีกครั้งหนึ่งอย่างคาดไม่ถึงและยิ้มแห้งๆออกมา
“ถ้างั้นก็ลาก่อนนะ”
ยูอิลฮานได้โค้งให้กับเออร์ม่าแอนอิลต้าและพาทูตสวรรค์รวมถึงคนอื่นๆไปที่ป้อมปราการลอยฟ้า เมื่อทูตสวรรค์ได้เข้ามาใกล้ป้อมปราการลอยฟ้า เขาก็อดไม่ได้เลยที่จะแสดงความตกตะลึงออกมา
[นี่คือป้อมปราการที่กำลังลอยอยู่… มันเป็นไปได้ยังไงกัน การใช้วัตถุดิบเกรดต่ำมาสร้างปาฏิหาริย์แบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน!]
[เกรดต่ำ!? แกกล้าเรียกสุภาพสตรีว่าเกรดต่ำงั้นหรอ!?]
[นั่นเป็นคำชมอย่าโกรธไปเลย]
แม้ว่าโอโรจิจะปลอบมิสทิคแล้ว แต่ตัวเธอก็ยังสั่นด้วยความโกรธอยู่ แค่การที่เธอไม่ใช้ร้อยนัยน์ตายิงใส่ทูตสวรรค์ก็ดีมากแล้ว และหลังจากที่ทูตสวรรค์เห็นว่าป้อมปราการมีความรู้สึกเขาก็ตกตะลึงไปอีคกรั้งหนึ่ง แต่ว่าเขาก็พยายามรักษาท่าทีสงบเอาไว้และถามยูอิลฮานหลังจากได้มายืนบนป้อมปราการ
[เธอใกล้จะมาแล้ว]
“คนที่ไม่ได้รับอนุญาติจะถูกโจมตีเมื่อเข้ามาใกล้ป้อมปราการ ดังนั้นบอกให้เธอรออยู่ข้างนอก อย่ารีบเข้ามานะ”
[..ฉันจะบอกให้]
กองทัพสวรรค์ได้รู้เป็นอย่างดีว่าป้อมปราการลอยฟ้าคืออาร์ติแฟคที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเป็นอย่างดี ทูตสวรรค์ได้รีบบอกกับเบื้องบนถึงเรื่องนี้อย่างเหงื่อตกในทันที แล้วนี่หากเขาได้รู้ว่าป้อมปราการทั้งสองแห่งนี้ยังจะถูกอัพเกรดขึ้นอีกในเร็วๆนี้จากซากศพสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนับไม่ถ้วนที่เหลืออยู่จะเป็นยังไงกันนะ? แต่แน่นอนว่ายูอิลฮานไม่มีวันบอกเรื่องนี้ไปแน่
“พี่ พี่ปลอดภัยสินะ”
“มิเรย์ เธอก็ด้วย… เธอ… เปลื่ยนไปเยอะเลยนะ”
หลังจากคังฮาจินได้เจอกับคังมิเรย์เขาก็ต้องประหลาดใจ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปมาก แต่ว่าตัวเขาก็ไม่ได้เปลื่ยนไปเลยในขณะที่น้องสาวของเขากลับเติบโตขึ้นมามากมาย
มันไม่เพียงแต่เธอได้รับคลาส 4 แต่เธอยังดูโตขึ้นมากจากสายตาที่เธอมองและทัศนคติของเธอ คังฮาจินได้แต่ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ยูอิลฮานเป็นคนที่น่าทึ่งมาก”
“ทำไมอยู่ๆถึงมาพูดถึงฉันล่ะ?”
แม้ขณะเขาตอบกลับไป ยูอิลฮานก็ยังแอบคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ของคังฮาจินและอยากจะร้องไห้ออกมา
แค่จัดการกับนายูนาเขาก็ลำบากมาแล้ว แล้วทีนี้เขาจะปฏิเสธคังมิเรย์ยังไงอีกล่ะ? ยูอิลฮานเป็นคนที่มีประสบการณ์ในด้านความรักที่น้อยมาก และในตอนนี้มันก็เหมือนหายนะสำหรับเขา เวรเอ้ย!
“พี่สาวมิเรย์ ผมอยากเจอพี่มากเลย!”
“มิล พี่สาวก็อยากจะเจอมิลเหมือนกัน!”
“คังมิเรย์ เธอดูสวยขึ้นนิดนะ”
“เลียร่า… ฉันดีใจนะที่เธอปลอดภัย”
ในเวลาเดียวกันกับที่คังมิเรย์ได้มาเจอกับคนอื่นๆและได้เริ่มคุยกัน สีหน้าของทูตสวรรค์ก็ได้แย่ลงไปตามเวลาที่ผ่านไป นี่มันก็เพราะว่าเขารู้สึกได้ว่าคังมิเรย์ไม่ได้สนิทแค่กับยูอิลฮานเท่านั้น แต่เธอยังสนิทกับคนอื่นๆในกลุ่มของยูอิลฮานอีกด้วย ในตอนนี้เองวงแหวนบนหัวของเขาก็กระพริบออกมา
[อ่า ดูเหมือนเธอจะมาแล้ว]
[ออร่านี่ดูจะอยู่คลาส 6 สินะ? นายท่าน ฉันไม่ต้องยิงใส่ใช่ไหม]
“ใช่แล้ว อนุญาติให้เธอเข้ามาชั่วคราว”
ประตูป้อมปราการลอยฟ้าได้ถูกเปิดขึ้น และทูตสวรรค์หญิงสาวที่มีปีกคู่หนึ่งก็ได้บินเข้ามาช้าๆ สำหรับยูอิลฮานแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเธอ แต่ว่าใบหน้าของเลียร่าได้เปล่งประกายขึ้นเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เจอ
“ทิเทร่า”
[ไม่เจอกันนานเลยนะเลียร่า ไม่สิเดี๋ยวนะ ตอนนี้ชื่อเธอเปลื่ยนไปหรือยัง?]
“ยังเป็ฯชื่อมเดิมอยู่ โอ้ ฉันไม่คิดเลยว่ากองทัพสวรรค์จะส่งมาที่นี่!”
ยูอิลฮานได้ลดระดับความระแวงลงเมื่อได้เห็นใบหน้าสดใสของเลียร่า นี่ดูเหมือนว่ากองทัพสวรรค์จะไม่โง่ พวกเขาได้เลือกส่งคนที่สนิทกับเลียร่ามากๆมา
เธอคนนี้ได้ยิ้มทักทายกับเลียร่าก่อนที่จะหันหน้ามามองยูอิลฮานและหยักหน้าให้เขาเล็กๆ
[แล้วก็สำหรับคุณ… คุณคือชายผู้มีศักยภาพยูอิลฮาน ชายที่ได้เอาทูตสวรรค์ของเราไปอยู่ด้วยถึงสองคน]
“แล้วฉันก็ฆ่าไปคนหนึ่งด้วย”
[แค่กๆ…]
ใบหน้าของทิเทร่าได้มืดมนลงไปครู่หนึ่ง แต่ว่าไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ หืม เลือกคนมาได้ถูกเลยนี่
[แล้วก็ตอนนี้เรามาคุยกันดีกว่า]
เพราะแบบนี้โต๊ะเจรจาก็ได้ถูกเตรียมขึ้นมา ยูอิลฮาน คังมิเรย์ คิมเยซอล เลียร่า เอิลต้า ทิเทร่าและคนสุดท้ายคือทูตสวรรค์คลาส 5 เคะดุต้า พวกเขาทั้งหมดต่างก็นั่งลงอยู่บนเก้าอี้
[ถ้างั้นฉันจะขอเข้าเรื่องเลยนะ]
ทิเทร่าได้พูดออกมาตรงๆ
[ถ้าคราวนี้คุณช่วยเรา เราก็จะลืมทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างคุณ คุณยูอิลฮาน กับพวกเรา กองทัพสวรรค์]
“นั่นหมายความว่าพวกเธอก็จะลืมเรื่องที่พวกเธอทอดทิ้งโลกหลังจากไปเจรจากับกองกำลังอื่นๆเพียงแค่เพราะข้ออ้างเรื่อง ‘สมดุล’ งั้นสิ?”
ในเวลานี้คังมิเรย์จะยืนขึ้นทันที แต่ว่าคิมเยซอลได้ทำให้คังมิเรย์นั่งลงด้วยรอยยิ้มอย่างสงบๆ เลียร่าที่ถึงแม้จะเคยได้ยินมาก่อนแล้วก็ยังได้แต่ก้มหน้าลง เมื่อเห็นแบบนี้แล้วทิเทร่าก็ได้แต่ปากสั่น
[…แน่นอนว่าข้อเสนอของฉันไม่ถูกพิจารณาในการตัดสินใจครั้งนั้น และไม่ว่ายังไงการตัดสินของกองทัพสวรรค์ก็จะเป็นไปในทิศทางนั้นอยู่ดี แต่ยังไงก็ตาม… คุณก็สร้างความเสียหายให้เรามากเหมือนกัน นายคงจะไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ใช่ไหมล่ะ?]
“ใช่ แน่สิ แต่ว่าสิ่งที่ฉันอยากจะบอกไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกนะ”
ยูอิลฮานได้พูดออกไปราวกับว่าเรื่องนี้มันบ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว
“แล้วฉันจะได้อะไรบ้างจากการตกลงทำสัญญานี้กับเธอ? นอกไปจากนี้มิเรย์ด้วย… ถึงเธอจะบอกว่าเธอจะใช้พลังเพื่อฉัน แต่ว่าอย่างน้อยพวกเธอก็ควรจะเสนออะไรที่ทำได้ให้กับคังมิเรย์ ที่เป็นคนครอบครองพลังที่ช่วยพวกเธอได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ?”
[เดิมทีเราตั้งใจที่จะรับเธอเข้ามาในกองทัพสวรรค์เป็นรางวัล…]
ดวงตาของคังมิเรย์ได้มีประกายความเศร้าออกมา คริสตัลมานาที่อยู่รอบๆตัวเธอก็ดูเหมือนจะหม่นแสงลงไปด้วย
“ฉัน… ไม่ต้องการที่จะไปเข้าร่วมที่แบบนั้น”
[ฉัน… ก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ยูอิลฮานคนที่เกี่ยวข้องกับนายต่างก็ถูกนายดึงดูดไปหมด]
“ฉันไม่ได้อยากจะมาฟังคำชมแบบนั้นนะ ตราบใดที่เธออยากจะยืมพลังของคังมิเรย์ พวกเธอก็ควระบอกถึงสิ่งที่คังมิเรย์จะได้ด้วย นี่น่าจะเป็นพื้นฐานของสัญญาณนะ”
“อิลฮานเท่มาก…”
“เธอน่ะเงียบไปเลย”
[เลียร่า…]
ทิเทร่าได้มองไปที่เลียร่าเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ว่าเลียร่าก็แค่เอียงหัวออกมา เธอไม่มีวันช่วยทิเทร่าชักจูงยูอิลฮานแน่ ในด้านความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ สำหรับเธอแล้วยูอิลฮานคือยืนหนึ่ง
ทิเทร่ารู้ได้ทันทีและถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง
[ในสถานการณ์ตอนนี้เรากำลังเร่งรีบกันมากๆ แม้ระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ก็ยังมีสงครามอยู่ที่กำแพงแห่งความโกลาหลอยู่… ถ้าเป็นไปได้เราก็ยังอยากจะยืมพลังของคุณอีกด้วยเหมือนกัน]
“ถ้างั้นหากฉันจะขอรางวัลเพิ่มอีกหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาสินะ เธอน่าจะรู้ถึงพลังรบของเราดีใช่ไหมล่ะ?”
[…เรายังไม่รู้แน่ชัดนัก ในทุกๆครั้งที่เราคิดว่าเรารู้ถึงพลังจริงๆของคุณแล้วก็จะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ยังไงก็ตามในตอนนี้… ฉันได้ตัดสินว่าคุณมีพลังประมาณหนึ่งในสิบของกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูง]
กองกำลังที่มีพลังเท่ากับพลังหนึ่งในสิบของพลังจากกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่มีอยู่มาหลายต่อหลายปีนี้… นี่คือการประเมินที่สูงมาก
ยูอิลฮานไม่คิดว่ากลุ่มของเขาจะแกร่งขนาดนั้นเลย แต่ว่าหากคิดจากความสามารถพิเศษที่พวกเขามีอยู่ คุณค่าของพวกเขาในฐานะหน่วยจู่โจมน่ะสูงพอแน่
[…คุณต้องการอะไรล่ะ? อาร์ติแฟค? แต่จากที่ฉันรู้มา คนที่อยู่ตรงหน้าฉันนี้ก็คือผู้สร้างอาร์ติแฟคที่ยอดเยี่ยมมากๆคนหนึ่งแล้ว]
“ยังไงก็ตาม ฉันก็ยังไม่อาจจะสร้างของอย่างนาฬิการทรายแห่งกาลเวลาได้อยู่ดี อาร์ติแฟคนั่นได้ขึ้นมาจากขอบเขตพลังที่คนๆเดียวไม่อาจจะข้ามผ่านไปได้ สำหรับตอนนี้มันยังเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะทำมันขึ้นมา”
[นี่คุณกำลังจะบอกว่าคุณต้องการอาร์ติแฟคระดับพระเจ้างั้นหรอ?]
“งั้นพวกเธอก็มีของพวกนั้นอยู่สินะ?”
โอ้ ริมฝีปากของยูอิลฮานได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เมื่อทิเทร่าได้เห็นรอยแสยะยิ้มนี้ทำให้เธอรู้ตัวว่าเธอได้เผลอพูดบางสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว เธอได้พยายามเปลื่ยนเรื่องทันทีเพื่อไม่ให้แสดงอาการออกมามากเกินไป
[ไม่ ต่อให้เราจะอยากมอบให้คุณ เราก็ไม่ได้มีมัน เพราะงั้นเรามาคุยกันเรื่อง…]
“มิสทิค!”
แน่นอนว่าลูกไม้นี้ใช้ไม่ได้ผลกับยูอิลฮานที่มีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ยูอิลฮานได้ลุกพรวดและตะโกนออกมาทันที
“ลูกค้ากำลังจะไปแล้ว เปิดประตู”
[เข้าใจแล้วนายท่าน]
ประตูป้อมปราการลอยฟ้าได้ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในเวลาเดียวกันมานาภายในป้อมปราการลอยฟ้าก็ปะทุขึ้น! ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ออกไปจากที่นี่ เขาก็จะส่งพวกเธอลงนรกแน่นอน
[เข้าใจแล้ว]
ทูตสวรรค์ระดับสูงได้ประกาศยอมแพ้ออกมา
[เราจะส่งอาร์ติแฟคระดับพระเจ้าให้คุณ]
ยูอิลฮานได้มองคังมิเรย์และถามออกมา
“เธอคนนี้บอกว่าเป็นอาร์ติแฟคระดับพระเจ้า เธอไม่มีปัญหานะมิเรย์?”
“ถ้าเป็นสิ่งที่ฉันทำได้ก็ไม่มีปัญหหา ฉันอยากที่จะทำมัน ยังไงสุดท้ายการที่กองทัพสวรรค์กำลังพยายามรักษาสมดุลของโลกอยู่ก็เป็นเรื่องจริงแหละนะ”
คังมิเรย์ได้ตอบคำถามกลับมาในแง่พวก ยูอิลฮานได้หยักหน้าอย่างเข้าใจและมองไปที่ทิเทร่าอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าของเธอได้สดใสมากยิ่งขึ้น
[ถ้างั้นแสดงว่าคุณยอมรับข้อเสนอแล้วใช่ไหม?]
“แน่นอนสิ หากมันเป็นสิ่งเกินกำลังเราก็คงจะไม่รับข้อเสนอ แต่ว่านี่มันคือสิ่งที่เราทำได้ล่ะนะ”
[ขอบคุณมาก!]
“เธอจะขอบคุณฉันทำไม ฉันสิที่ต้องขอบคุณ อาร์ติแฟคระดับพระเจ้าตั้งสองชิ้นแน่ะ ฉันยินดีจะรับมันมานะ”
[สองชิ้น…!?]
เมื่อเห็นใบหน้าตกตะลึงของทูตสวรรค์ ยูอิลฮานได้เอียงหัวออกมาอย่างไร้เดียวสาและชูนิวขึ้นมา
“ถ้างั้นเป็นสามชิ้นงั้นหรอ?”
[สะ สองชิ้นนั่นแหละ!]
ทิเทร่าได้รีบหยักหน้าทันที ยูอิลฮานก็ผงกหัวอย่างพอใจและคนอื่นๆก็ได้คิดว่าทูตสวรรค์คนนี้ดูน่าสงสารมากๆ
“ถ้างั้นเราก็มาคุยถึงเรื่องการร่วมมือกันของเราดีกว่านะ”
การเจรจาได้สำเร็จลงแล้ว
บทที่ 263 – ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ (5)
[สิ่งที่เราต้องการคือประตูวาป ยูอิลฮาน ในระหว่างนั้นเราก็อยากจะให้คุณปกป้องคังมิเรย์ด้วย]
“นั่นฟังดูน่าสงสัยจังเลยนะ”
[เรื่องนอกจากนั้นมันอันตรายเกินไปที่จะพูดในโลกระดับต่ำ]
เขาไม่ได้หวังที่จะให้ทูตสวรรค์ซื่อสัตย์อยู่แล้ว เธออาจจะบอกว่าพวกเขาจะไม่อาจหนีไปได้อีกเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวแล้ว และหากพวกเขาอยากจะได้รับอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้า พวกเจ้าก็จะต้องทำตามคำขอของกองทัพสวรรค์… ยูอิลฮานได้คิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ในท้ายที่สุดเขาก็หยักหน้าออกมา คังมิเรย์ได้บอกว่าเธอยินดีทำดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องปฏิเสธอยู่แล้ว
“โอเค ถ้างั้นก็จ่ายเงินล่วงหน้ามาซะสิ”
[ฉะ ฉันจะต้องรายงานให้เบื้องบนก่อน]
ทิเทร่าได้ยืนขึ้นมาอย่างหมดพลังจนเหมือนกับจะล้มลง
เคะดุต้ากำลังคิดจะเข้าไปช่วยเธอแต่แล้วเขาก็ถูกจ้องและต้องถอยกลับไป แน่นอนว่าสายตานั้นมาจากทิเทร่า เธอได้มองมาที่เขาเหมือนกับจะบอกว่า ‘ถ้านายเร็วกว่านี้อีกนิดเราก็ได้ตัวคิงมิเรย์มาแล้ว!’ หรือคำพูดอะไรทำนองนี้
“ช่วยเลือกอาร์ติแฟคที่เหมาะสมมาให้เราด้วยนะ หนึ่งอันจะถูกมิเรย์ใช้ดังนั้นต้องมีหนึ่งอันที่เกี่ยวกับเวทมนต์”
[…เข้าใจแล้ว]
จากนั้นทิเทร่ากได้จากไป หลังจากได้ส่งเธอออกไปแล้วยูอิลฮานก็ถอนหายใจออกมา
“นี่มันน่าเจ็บปวดจังเลยแหะ ฉันคิดว่าเราจะได้พักกันไปซักพักซะอีกนะเนี้ย”
“ถ้าแบบนั้นทำไมนายไม่ปฏิเสธคำขอของพวกนั้นไปเลยล่ะ คนที่มีนั้นต้องการแต่แรกมีแค่ฉันนี่…”
“ฉันไม่ไว้ใจพวกนั้น ฉันจะส่งเธอไปคนเดียวไม่ได้มิเรย์”
“…”
แม้ว่ายูอิลฮานจะพูดไปเพราะแค่ความเป็นห่วงอย่างเดียว แต่นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้คังมิเรย์ต้องใจเต้นแรงอีกครั้ง ยังไงก็ตามยูอิลฮานไม่ได้สนคังมิเรย์ที่บิดตัวพร้อมหน้าแดงอยู่เลยสักนิด
“เหลือเวลาอยู่อีกไม่มากแล้ว ถ้าแบบนี้เราจะต้องสร้างไพ่ตายเตรียมเอาไว้ ถ้าฉันใช้นาฬิการทรายแห่งกาลเวลาได้อีกล่ะก็ ฉันจะทำให้ป้อมปราการลอยฟ้าข้ามขีดจำกัดได้แน่”
“ไพ่ตาย?”
เลียร่าได้เอียงหัวออกมา ยูอิลฮานได้ผงกหัวเบาๆและเสริมขึ้น
“ฉันอาจจะต้องการพลังของพีท”
“พีท…? อย่าบอกนะว่า?”
สายตาของเลียร่าได้สั่นขึ้นมา สิ่งที่เธอกำลังคิดถึงอยู่ในตอนนี้ก็คือร่างของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจำนวนมากที่อยู่ในช่องเก็บของของยูอิลฮาน
“นายกำลังจะเข้าไปสู่เส้นทางเนโครแมนเซอร์งั้นหรอ? ถ้านายไม่ได้มีคลาสแบบพีทมันจะเป็นไปได้ยากมากเลยนะ”
“ไม่หรอก ฉันคิดว่าฉันจะทำมันเป็นตุ๊กตามีชีวิตมากกว่า… ฉันจะต้องทำอะไรกับพวกจิตวิญญาณน่ารำคาญพวกนั้น”
[ที่รักว่าใครว่าน่ารำคาญกัน?]
จิตวิญญาณได้ตอบยูอิลฮานกลับมาอย่างมีชีวิตชีวา จิตวิญญาณนี้ไม่ใช่จิตวิญญาณของใครอื่นนอกไปเสียจากราชินีซัคคิวบัสเฮเรียน่า
[ฉันก็แค่อยากจะบอกให้ที่รักได้รับรู้ถึงความรักที่ไม่สิ้นสุดของฉันเท่านั้นเอง]
“ไม่ล่ะ นั่นไม่ใช่ซักนิด”
เขาได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา เลียร่าก็ยังถามเขาด้วยความกังวล
“อิลฮาน เราจะเชื่อใจเฮเรียน่าได้หรอ?”
“เหตุผลที่ฉันไม่ยอมรับเฮเรียน่าไม่ใช่แค่เพราะฉันไม่ไว้ใจเธอหรอกนะ แต่ว่ามันยังเป็นเพราะว่าฉันไม่อาจจะยอมรับในการมีอยู่ของเธอได้มากๆเลย ยังไงก็ตามตอนนี้ปัญหาทั้งสองอย่างนั้นได้ถูกจัดการไปแล้ว”
เมื่อเลียร่ากำลังสับสนอยู่ ยูอิลฮานก็ได้อธิบายต่อ
“ทั้งจิตวิญญาณของเฮเรียน่าและร่างกายของเธอต่างก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เธอไม่ใช่เฮเรียน่าคนก่อนอีกแล้ว แล้วก็ถ้าเป็นจิตวิญญาณฉันก็จะเชื่อใจได้สุดๆไปเลยล่ะ”
[ฉันเคบบอกไปแล้วนะว่าแม้แต่ตอนฉันไม่ใช่จิตวิญญาณที่รักก็ไว้ใจฉันได้เหมือนกัน! ที่รักนี่ชอบความแน่นอนจริงๆเลยนะ แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ? ฉันดันไปชอบส่วนนี้ของที่รักซะแล้ว ที่รักรู้สึกได้ถึงความรักของฉันไหม?]
“ฮึ่ม”
ยูอิลฮานได้แต่ส่งเสียงฮึ่มสั้นๆกับการรุกของเฮเรียน่า จากนั้นเขาก็มองไปที่คนอื่นๆและปรบมือเรียกความสนใจมาที่ตัวเขา
“ในการต่อสู้ครั้งนี้กองทัพมังกรกับคนที่ยังไม่ได้คลาส 4 จะถุกทิ้งเอาไว้ที่โลกนี้ การต่อสู้ในครั้งนี้มันยากเกินไปสำหรับคนที่มีคลาสต่ำกว่า 4 ส่วนคนที่เหลือก็ช่วยเตรียมตัวต่อสู้ไว้ด้วยนะ โอ้ เอิลต้า เธอช่วยไปพาพีทมาที”
คิมเญซอลได้ตาเป็นประกายขึ้นมาเมื่อได้เห็นลูกชายเธอทำในสิ่งที่น่าทึ่ง นี่สิ่งนะคือช่วงเวลาที่เธอจะได้เห็นความสามารถนับไม่ถ้วนที่ลูกชายเธอมีอยู่
“นี่มันน่าสนใจจังเลยน้า แม่อยากจะดูด้วยจัง นี่มันเป็นความลับหรือป่าวล่ะ?”
“ถ้าแม่อยากจะดูก็ไม่มีปัญหาครับ”
ยูอิลฮานได้อนุญาตแม่ของเขาอย่างร่าเริง และเพราะแบบนี้ทำให้มีคนมารวมกันที่ที่ทำงานของยูอิลฮานถึง 17 คน คือยูอิลฮาน ยูมิล คังมิเรย์ นายูนา คิมเยซอล พีท จิล มิไรย์ เอริเซีย เลียร่าและเอิลต้า
“มากันทำไมเนี้ย? ฉันบอกให้คนที่เหลือไปเตรียมตัวไง!”
“พวกเราก็สงสัยเหมือนกันนะ…”
จริงๆแล้วสิ่งที่เธอตั้งใจจริงๆเลยก็คือเธออยากจะดูว่ายูอิลฮานกำลังจะทำอะไรแย่ๆหรือป่าว แต่ว่าเธอก็ไม่ได้พูดแบบนั้นออกไป จากนั้นสายตาของยูอิลฮานก็หันไปบอกคนอื่นๆ
“เตรียมตัวต่อสู้หรอ?”
“เราพร้อมแล้วล่ะท่านจักรพรรดิ!”
“ฉันก็อยากดูเหมือนกันค่ะ นายท่าน”
“อ๊าา เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน ยูนา เธอช่วยร่ายเวทย์บาเรียป้องกันเสน่ห์ให้คนในกลุ่มทีนะ”
“โอเค ท่านหญิงเรย์น่าช่วยทีน้าาาา”
หลังจากทุกๆคนได้รับเวทย์ป้องกันเสน่ห์แล้วยูอิลฮานก็ได้เริ่มงานของเขา สิ่งแรกที่เขาเอาออกมาเลยก็คืออ่างแห่งปาฏิหาริย์ ภายในอ่างเขาได้เทเลือดของอิชจาร์ลงไปและเอาร่างของเฮเรียน่าใส่ตามลงไปในนั้น
“โอ้…”
“สวยมาก”
“ท่านจักรพรรดิแทงผู้หญิงคนนี้ลงได้ยังไงกัน?”
“…ให้ตายสิ”
แม้ว่าผิวของเธอจะซีดไปแล้ว แต่ว่าส่วนต่างๆของเธอยังสมบูรณ์ดีอยู่ยกเว้นก็แต่ส่วนหัวใจที่ยูอิลฮานแทงลงไปเท่านั้น หากว่าอยู่ๆร่างนี้ลุกขึ้นมายืนก็คงจะไม่มีใครตกใจเลย และเมื่อได้เห็นแบบนี้พีทก็ได้แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมาและพูดกับยูอิลฮาน
“ท่านจักรพรรดิ สำหรับผมมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำอันเดตจากร่างที่ทรงพลังนี่ได้”
“ฉันรู้น่า ฉันแค่ให้นายมาช่วยชี้นำความคิดฉันเฉยๆ”
การทำงานตามปกติของยูอิลฮานมักจะมีสามขั้นต่อเสมอ
อย่างแรกเลยก็คือการสร้างไอเทม – ตีเหล็ก นี่คือสิ่งที่ยูอิลฮานมั่นใจที่สุดแล้ว และนี่ก็ยังเป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างอาร์ติแฟคจำนวนนับไม่ถ้วนอีกด้วย
อย่างที่สองแน่นอนวาก็คือหัตถกรรมมานา ยูอิลฮานก็มีพรสวรรค์ในด้านนี้เช่นกัน หลังจากเขาได้ดูดซับแก่นแท้ของวิศวกรรมเวทย์ไปและได้ลองใช้มันกับไอเทมทุกชนิด ทำให้ในเวลานี้เขาทำการหัตถกรรมมานาได้ไม่ด้อยกว่าการตีเหล็กเลย
อย่างที่สามก็คือเอนชานท์วิญญาณ นี่คือพลังของยมทูตที่เขาได้รับมันมาจากเรต้าคาร์อิฮาห์ ในด้านนี้ยูอิลฮานก็มั่นใจไม่แพ้สองอันก่อนหน้านี้ เนื่องจากเขาได้พัฒนามันมาตลอดการเป็นคลาสยมทูตของเขา
ในเวลานี้เขาไม่จำเป็นจะต้องทำขั้นตอนแรก
“นี่มันสำเร็จในตัวเองอยู่แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเลย”
[โอ้… คุณตาถึงนะเนี้ยที่รัก]
เขาได้เมินเสียงจากจิตวิญยาณและวางมือลงไปบนอกของเฮเรียจาก จุดนั้นคือจุดที่หอกของเขาได้แทกลงไป
“วัตถุดิบสำหรับการทำหัตถกรรมมานาก็มีอยู่แล้วภายในศพนี่”
“หินพลังเวทย์คลาส 7 นี่มันเป็นอาร์ติแฟคที่น่าทึ่งมาก”
“แล้วก็นอกจากนี้…”
เขาได้กรีดฝ่ามือตัวเองและปล่อยให้เลือดไหลลงไป เมื่อเลือดของยูอิลฮานได้ไหลลงไปในจุดที่หัวใจถูกเจาะ อ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็ได้มีปฏิกิริยากลับมา รวมไปถึงเลือดของอิชจาร์ที่อยู่ในอ่างก็เป็นเช่นเดียวกัน
“พีท จับมือฉันไว้ แล้วก็ดึงพลังออร่าของนายออกมาเต็มที่เลยนะ”
“ครับท่านจักรพรรดิ!”
พีทที่มีใบหน้าสวยงามกว่าเอลฟ์ผู้หญิงส่วนใหญ่ซะอีกทั้งๆที่เป็นผู้ชายได้เข้ามาจับมือของยูอิลฮานด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เขาได้ดึงพลังของนักธนูแห่งโชคชะตาออกมาและส่งมันไปให้กับยูอิลฮาน!
ยูอิลฮานได้รับเอาพลังของพีทไว้อย่างสงบ เขาได้เก็บข้อมูลบันทึกเอาไว้และทำการวิเคราะห์ในพลังนี้ ในระหว่างนี้การหัตถกรรมมานาก็ได้ถูกเริ่มขึ้นมาแล้ว
พลังของพีทคือพลังที่ทำให้เขาสามารถทำลายกฏเกณฑ์และชุบชีวิตคนที่ตายขึ้นมาขยับได้ตามที่ต้องการ สิ่งนี้แหละคือส่วนที่ยูอิลฮานต้องการ เขาแค่ต้องการจะทำให้ร่างกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาไม่ได้จะทำเป็นอันเดต แต่ว่าเขาต้องการร่างเปล่าๆเท่านั้น
หินพลังเวทย์คลาส 7 ภายในร่างเฮเรียน่าได้ตอบรับกับเลือดของยูอิลฮาน มันได้ส่งแสงที่สว่างจ้าออกมาพร้อมๆกับมานาจำนวนมหาศาลที่ระเบิดขึ้นมาราวเขื่อนแตก แต่ว่าเอิลต้ากับคิมเญซอลที่ได้เตรียมตัวไว้ก็ได้ใช้เวทย์ของพวกเธอทำให้มานานี้ไหลกลับลงไปในร่างนั้น คังมิเรย์ก็ยังเข้ามาช่วยด้วย
“นี่มันน่าทึ่งจริงๆ…! นี่ลูกต่อสู้กับคนแบบนี้จริงๆงั้นหรอ!?”
“อืมม นั่นมันจะเรียกว่าสู้ก็ไม่ถูกหรอกครับ… แต่ก็คล้ายๆกันนั่นแหละ”
เขาได้จับมานาให้เป็นเส้นเดียวและทำให้มันไหลเวียนภายในร่างเฮเรียน่า นี่คือการรักษาบาดแผลด้วยการควบคุมมานา เขากำลังจะทำให้หัวใจเต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
[ที่รัก… น่าทึ่งมาก คุณรู้จักฉันดีกว่าตัวฉันอีก…? ฉันมีความสุขจัง!]
จิตวิญญาณเฮเรียน่าได้อุทานออกมา หลังจากนั้นก็ได้มีมานาพวยพุ่งกลับมาราวกับเวลาถูกย้อนกลับ ผิวที่ซีดในร่างก็ดูจะเปล่งปลังขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมามีสีเป็นปกติ
“อ๊า”
“พลังชีวิตกำลังกลับคืนมาแล้ว”
เลือดของอิชจาร์ได้ช่วยทำให้ร่างรอยขึ้นขึ้นมาส่งระลอกคลื่นเป็นระยะๆตามจังหวะการเต้นของหัวใจเฮเรียน่า
“ท่านจักรพรรดิ!”
“มันยังไม่จบ”
ในตอนนี้ที่มานาได้เข้มข้นขึ้นแล้วคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด หากมีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นก็จะทำให้มานาปั่นป่วนไปจนทำให้ร่างกายระเบิดไปพร้อมทั้งป้อมปราการลอยฟ้านี้! ยูอิลฮานได้พยายามควบคุมการไหลของมานาด้วยสมาธทั้งหมดที่เขามีอยู่
และเมื่อเวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆจนไม่มีใครรู้ตัวก็ได้มีข้อความปรากฏขึ้นมาเงียบๆ
[คุณได้เชี่ยวชาญหัตถกรรมมานา คุณได้ครอบครองในพรสวรรค์ที่จะยืมมานามาสร้างเป็นไอเทมที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้อีก นี่คือจุดสิ้นสุดของเทคนิคการสร้างนี้แล้ว เส้นทางในอนาคตนับต่อจากนี้คุณจะต้องสร้างมันขึ้นมาเอง]
เลือดของอิชจาร์ได้ผสานเข้ากับไปการเต้นของหัวใจและถูกร่างกายเธอดูดเข้าไปอย่างช้าๆ ยิ่งเวลาผ่านไปสีผิวของเธอก็ได้ฟื้นคืนชีวิตชีวากลับมา และหลังจากผ่านไประยะหนึ่งในที่สุดแม้กระทั่งลมหายใจมานาก็เริ่มขึ้น ตอนนี้หากเป็นคนนอกมองมาก็คงจะคิดแค่ว่าคนๆนี้หลับลงไปเท่านั้นเอง คิมเยซอลกับคนอื่นๆก็ได้แต่ตกตะลึงกับปาฏิหาริย์ครั้งนี้
“ฟู่”
“อิลฮาน!”
เลียร่าได้รีบเข้าไปรับยูอิลฮานที่ล้มลงจากการทำงานเสร็จเอาไว้ได้ในทันที
“ฟู่ ยังเหลืออีกขั้นตอนนึง ถ้าเราไม่รีบทำมันเดี๋ยวนี้มันจะมีตัวแปรอื่นเกิดขึ้นแน่ จิตสำนึกใหม่จะเกิดขึ้นมาในร่างนี้”
“ถ้าเป็นชั่วคราวล่ะก็ แม่สามารถจะชะลอการไหลของเวลาที่ร่างกายนี้รับรู้เอาไว้ได้นะ”
“ช่วยทีครับแม่”
เขาไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของเขาจะสุดยอดแบบนี้! จากการช่วยของแม่เขานี้ได้ทำให้ยูอิลฮานได้มีเวลาพักหายใจอีกนิดหนึ่ง และเขาได้เข้าไปเริ่มทำขั้นตอนต่อไปทันที
ขั้นตอนนี้ก็คือการเอนชานท์วิญญาณที่เป็นส่วนสำคัญมากๆ
“ตอนนี้ฉันจะยอมรับให้เธอมาเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันนะ”
[ในที่สุดที่รักก็รับรักฉันแล้ว!]
“ถ้าฉันจะรับรักเธอ ฉันก็คงจะไม่ทำอะไรลำบากแบบนี้แน่นอน เธอก็น่าจะรู้สิที่ฉันคิดนะ เธอในตอนนี้ไม่ใช่เฮเรียน่าคนเดิมอีกต่อไปแล้ว และฉันกำลังจะใช้เธอที่เป็นจิตวิญญาณที่ซื่อสัตย์กับร่างเดิมที่เหลืออยู่ของเฮเรียน่าเท่านั้นเอง”
ใช่แล้ว เรื่องนี้แหละที่ทำให้ยูอิลฮานไม่ลังเลที่จะทำแบบนี้ ยังไงก็ตามจิตวิญญาณของเฮเรียน่าได้ปฏิเสธเขาอย่างชัดเจน
[ยังไงก็ตามที่รักน่าจะรู้ดีนะว่าพลังของที่รักได้ทลายขีดจำกัดมานานแล้ว และเพราะแบบนีทำให้ฉันในตอนนี้มีสตินึกคิดของตัวเอง จิตสำนึกของตัวฉันตอนนี้ชัดเจนมากๆ แต่ว่าฉันก็ไม่คิดว่ามันครบถ้วนหรอกนะ ยังไงก็ตามฉันก็คิดว่าอย่างน้อยจิตสำนึกที่มีอยู่ของฉันก็ไม่น้อยกว่า 60% เพราะแบบนี้การที่ที่รักฆ่าเฮเรียน่าไปก็เป็นแค่การแยกวิญญาณออกมาครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง อ๊า ฉันเสียดายวิญญาณที่หายไปอีกครึ่งหนึ่งแบบตลอดกาลจังเลยน้า]
“…ทำไมเธอถึงได้บอกเรื่องทั้งหมดนี้กับฉันล่ะ?”
คำพูดนี้ของเฮเรียน่าที่พูดออกมาได้ทำให้ยูอิลฮานตกตะลึงอย่างมาก
[ก็เพราะว่าถ้าที่รักมารู้เอาทีหลังที่รักก็คงจะผิดหวังเอามากๆไงล่ะ ฉันไม่อยากจะถูกที่รักเกลียดหรอกนะ…]
“นี่เธอ…”
[ทีนี้ที่รักก็รู้แล้วสินะว่าฉันไม่ได้ซ่อนอะไรจากที่รักเลยแม้แต่อย่างเดียว ที่รักรู้หรือยังว่าที่รักทำพลาดไปน่ะ?]
ยูอิลฮานได้เงียบลงไป ก่อนที่จะพูดขึ้นมาหลังผ่านไปครู่หนึ่ง
“…โอเค ถ้างั้น”
เขาได้กัดริมฝีปากพูดขึ้น
“พิสูจน์ให้ฉันเห็นสิว่าฉันได้ทำพลาดไป”
[ฉันกำลังรอคำๆนี้จากที่รักอยู่เลย]
หากพันธะได้ถูกเชื่อมต่อแล้วจะไม่มีวันถูกตัดขาดอีก นี่ก็คือสกิลปกครองที่ยูอิลฮานกำลังใช้งาน
[คุณได้เชี่ยวชาญสกิลปกครองแล้ว เมื่่อคุณได้เติมเต็มเงื่อนไขที่จำเป็น คุณจะสามารถจะวิวัฒนาการสกิลนี้ได้]
“ชื่อของเธอ…”
[ที่รัก ฉันชื่อเฮเรียน่า ฉันยังเป็นคนเดิม และจะเป็นคนแบบนี้ตลอดไป]
“ได้เลย เธอชื่อเฮเรียน่า”
[คุณได้รับ ‘เฮเรียน่า’ มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ]
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจที่จะยอมรับในตัวเธอ จากนั้นเขาก็ทำการเอนชานท์วิญญาณของเธอเขาไปในร่างเดิมของเธอเอง
นี่เป็นขั้นตอนที่เงียบอย่างมาก และยังไม่มีการปะทุของมานาที่รุนแรงเหมือนกับหัตถกรรมมานาอีกด้วย
แต่ยังไงก็ตามในภายภาคหน้านี่คือการเริ่มต้นของเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่จะสั้นคลอนทุกๆกองกำลัง
บทที่ 264 – ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ (6)
ทิเทร่าได้กลับมาแล้ว จากสีหน้าของเธอที่ดูสดใสกว่าก่อนหน้านี้ทำให้ดูเหมือนว่าคำขอของยูอิลฮานได้ถูกอนุมัติโดยไม่ยากลำบากนัก
[ฉันกลับมาแล้ว แถมฉันยังได้คำตอบที่ดีในเรื่องอาร์ติแฟคแล้วด้วย เราจะให้คุณก่อนหนึ่งอัน ส่วนอีกอันจะให้คุณหลังจากที่ได้บทสรุปของสงครามแล้ว…]
“พวกเธอคงจะไม่กลับคำใช่ไหม?”
[ฉันขอสาบานด้วยชีวิตชั้นเลย]
“นี่มันเป็นเรื่องอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้าเลยนะ ฉันไม่มีทางพอใจกับแค่ความตายของทูตสวรรค์ชั้นสูงคลาส 6 หรอกนะ”
[…]
ยูอิลฮานได้ยื่นมือไปทางทิเทร่าที่หมดคำพูด
“ฉันอยากจะได้อันที่ไว้ให้มิเรย์ใช้ก่อน”
[เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ]
ยูอิลฮานได้ย้ายคนที่จะไปกับเขาไปไว้ในป้อมปราการลอยฟ้า และคนที่จะอยู่บนโลกถูกย้ายไปที่ป้อมปราการผู้พิทักษ์ ในตอนนี้ไม่ใช่แค่กองทัพมังกรเท่านั้นที่ต้องอยู่ แต่ว่ายังมีคังฮาจินที่ต้องอยู่อีกด้วย
“ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการดูถูกนาย แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
“ฝากดูแลโลกด้วยนะ”
“พอพวกนายกลับมา ฉันจะไปถึงคลาส 4 ให้ได้แน่นอน”
“มั่นใจมากเลยนี่”
เมื่อยูอิลฮานได้กลับมาหลังจากปล่อยป้อมปราการผู้พิทักษ์ไว้บนโลกแล้ว ทิเทร่าก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อและพึมพัมออกมาเศร้าๆ
[เมื่อพลังของนายกับคังมิเรย์รวมกันนี่มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ฉัน… ก็ไม่ได้คิดว่านี่มันแย่หรอกนะ แต่ว่าก็มีหลายคนที่ไม่ชอบที่มีการเปลื่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะนาย]
“เธอรู้อะไรไหม? ตามปกติแล้วคนที่ไม่ชอบฉันก็มักจะพูดแบบเธอนี่แหละ ไปกันเถอะ”
ยูอิลฮานได้พูดคำพูดที่ทำให้ทิเทร่าต้องขมวดคิ้ว และตามเธอกลับไปบนป้อมปราการเพื่อรวมตัวกับคนอื่นๆ
พวกเขาจะไปกันด้วยประตูมิติที่คังมิเรย์สร้างขึ้นมา และหลังจากได้เห็นการสร้างประตูมิติขึ้นมาจากร่องรอยเส้นทางของทิเทร่าก็ทำให้ยูอิลฮานต้องตกตะลึง
“ประตูมิตินี่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากบันทึกที่มี แต่มันเป็นการใช้ร่องรอยของมานา”
“นายพูดถูก”
ถ้าหากว่าสกิลข้ามมิติของยูอิลฮานทำงานด้วยการดูดซับ วิเคราะห์และไล่ตามแหล่งที่มาของวัตถุกับไอเทมแล้ว ถ้างั้นประตูมิติของคังมิเรย์นั้นคล้ายกับการบังคับเปิดเส้นทางที่ถูกปิดไปอีกครั้งหนึ่ง หากพลังทั้งสองอย่างนี้ได้รวมเข้าด้วยกันก็จะไม่มีที่ไหนที่พวกเขาจะไปไม่ได้
“คงมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงน้อยมากสินะที่มีความสามารถแบบนี้?”
“ถ้ามีเยอะ ทิเทร่าก็คงจะไม่มาขอให้มิเรย์ช่วยอยู่แล้ว ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงการไปกลับโลกต่างๆมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แล้วก็นอกไปจากนี้การสร้างประตูมิติที่เคลื่อนย้ายมวลสารได้… จากที่ฉันรู้มา คังมิเรย์คือคนแรกที่ทำได้”
“อย่างน้อยที่สุดเธอก็คือคนแรกที่สร้างประตูมิติขึ้นมาจากร่องรอยของมานาแน่นอน เธอเป็นคนที่ได้รับพรจากเทพแห่งเวทมนต์ทั้งๆที่ฉันยังทำไม่ได้เลย”
ร่างของเอิลต้าได้สั่นเล็กๆเมื่ออธิบายออกมา ยูอิลฮานก็เข้าใจว่าตอนนี้เอิลต้ารู้สึกยังไงอยู่และไม่ไปยุ่งในเรื่องนี้ของเธอ
“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ”
“โอเค”
สถานที่ที่พวกเขามุ่งหน้าไปก็คือสำนักงานหลักของกองทัพสวรรค์ ‘สวรรค์’ นั่นเอง โลกนี้ได้กว้างใหญ่มากจากการที่ได้เผชิญกับมหาภัยพิบัตินับครั้งไม่ถ้วน
“ไม่ได้มานานแล้วสินะ…”
[เลียร่าถ้าเธออยากจะกลับมา พวกเราก็ยินดีเสมอนะ]
“ไม่ล่ะ ฉันชอบตัวฉันในตอนนี้มากกว่า”
เลียร่าได้มองไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆด้วยใบหน้าเศร้าหมอง แต่เมื่อเธอได้ยินคำพูดจากทิเทร่า เธอก็ส่ายหัวอกมา ทิเทร่าที่เหนเลียร่าคล้องแขนอยู่กับยูอิลฮานก็ยอมรามือออกมา
[ฉันดีใจนะที่เธอเจอเหตุผลที่ทำให้เธอมีความสุขน่ะ ฉันหมายถึงแบบนั้นจริงๆนะ]
“ฉันรู้ ขอบใจนะ”
ทิเทร่าได้นำทางพวกเขาไปคลังสมบัติของกองทัพสวรรค์ทันที ข้างหน้านั้นมีทูตสวรรค์เพศชายที่มีหกปีกยืนอยู่
[ท่านรีเซล]
[ฉันกำลังรอนายอยู่เลยมนุษย์]
เทวทูตที่มีชื่อว่ารีเซลได้มองมาที่ยูอิลฮานอย่างเย็นชาโดยไม่สนใจการทักทายจากทิเทร่าแม้แต่นิดเดียว
“ส่งอาร์ติแฟคมา”
[นายจะต้องชดใช้กับความโอหังของนายในสักวันหนึ่ง]
“ส่งอาร์ติแฟคมา”
[…นายเป็นมนุษย์ที่ใช้คำพูดไม่ได้ผลสินะ]
หากว่าหมอนี่พูดอะไรไร้สาระออกมาอีกยูอิลฮานก็จะกลับไปในทันทีโดยไม่สนใจถึงความปลอดภัยของสวรรค์หรืออะไรก็ตามแล้ว แต่แล้วรีเซลก็ได้หยุดการพูดลงหลังจากรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน เขาได้หลับตาลงและเปิดคลังสมบัติออกมา
มีแสงอยู่ห้าสีที่ได้ดึงดูดสายตาของทุกๆคน
“โอ้”
“มันจ้ามากเลย”
“นี่มันน่าทึ่ง”
“โอ้ยแสบตา!”
ระหว่างทุกๆคนหลับตาลง ดวงตาของยูอิลฮานได้เบิกกว้างออกมา นี่คือโลกที่หาเขาหลับตาเขาก็จะถูกแทงข้างหลังได้เลยนะ หากว่าเขายังอยู่ในฐานทัพหลักของกองทัพสวรรค์ เขาไม่มีวันที่จะลดการป้องกันลงเด็ดขาด
[คลังสมบัติกองทัพสวรรค์ใหญ่มาก ไอเทมทั้งหมดที่นี่หากมีชิ้นใดชิ้นหนึ่งถูกขโมยไปก็จะเป็นภัยคุกคามต่อเราได้ นอกไปจากนี้ของพวกนี้ก็จะไม่ถูกเอาออกมาใช้ง่ายๆอีกด้วย ช่วยจำเอาไว้ด้วยว่าหากไม่ใช่เทวทูตคลาส 7 ก็จะไม่มีวันมายืมของที่นี่ได้เลย]
“งั้นหรอ? แล้วไอเทมที่เหมาะกับจอมเวทย์อย่างคังมิเรย์อยู่ไหนกันล่ะ?”
ยูอิลฮานได้พูดออกมาโดยไม่สนใจการคุกคามจากรีเซลเลยแม้แต่นิดเดียว! หน้าของรีเซลได้ย่นขึ้นแต่ว่าเขาก็ยักเคาะคทาลงไปกับพื้นห้องทำให้มีแสงเปล่งออกมาจากภายในคลังสมบัติ ก่อนที่จะมีรัดเกล้าสีเงินปรากฏขึ้นมา
“นี่มันแย่กว่าของที่อิลฮานทำให้ฉันอีกนะ!”
“นี่เธอจะโม้ไปทั่วเลยรึไงกัน?”
นายูนาได้โต้กลับไป แต่ว่ารีเซลไม่ได้สั่นไหวเลยสักนิด เขาได้มอบรัดเกล้านี้ให้กับคังมิเรย์
[มงกุฏแห่งปัญญา มันจะช่วยเร่งระบบประสาททั้งหมดและทำให้สามารถใช้เวทย์ได้สองอย่างพร้อมๆกันโดยที่ไม่ต้องเสียมานาเพิ่มใดๆ และยังจะช่วยยกระดับพลังของมานาขึ้นไปอีกด้วย จนกระทั่งตอนนี้ไม่เคยมีใครเอามันออกไปจากคลังสมบัติเลยเพราะไม่มีใครที่เติมเต็มเงื่อนไขได้]
“เงื่อนไข… โอ้”
ใช่แล้ว เงื่อนไขการสวมใส่รัดเกล้านี้ก็คือได้รับพรจากเทพแห่งเวทมนต์! ยูอิลฮานได้แตะที่รัดเกล้าเบาๆก่อนที่คังมิเรย์จะได้รับมาใส่
“มีอะไรหรออิลฮาน”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่คิดว่าพวกนี้อาจจะเล่นตุกติก แต่ดูเหมือนว่ากองทัพสวรรค์จะไม่ได้ทำอะไรแปลกๆแหะ”
[นายคิดว่าเราเป็นคนยังไงกัน? ฉันมีปัญหากับความประทับใจที่นายมีต่อเราจริงๆ]
ใบหน้าของรีเซลได้ย่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็แค่หยักไหล่ออกมา ในตอนนี้เขาได้ยืนยันความปลอดภัยแล้วทำให้คังมิเรย์ได้ใส่รัดเกล้าลงไปอย่างไม่ลังเลใจ และในตอนนี้เองคริสตัลมานารอบๆตัวเธอก็เปล่งแสงหลากสีออกมา
“น่าทึ่งมาก ในตอนนี้ฉันสามารถจะใช้มานาได้แตกต่างกันมากขึ้น…”
“ออฟชั่นของมันได้ยกระดับมานาของเธอขึ้นเป็นออฟชั่นที่น่าทึ่งมากก็จริง แต่ว่า…”
“แน่นอน มันเป็นออฟชั่นที่น่าทึ่งมาก มันน่าทึ่งจริงๆเลย”
ยูอิลฮานกำลังจะบ่นในฟังก์ชั่นของมงกุฏแห่งปัญญาว่าในด้านของอาร์ติแฟคระดับพระเจ้าแล้วมันด้อยอยู่เล็กน้อย แต่ว่าจากที่ได้เห็นความพอใจของมิเรย์แล้วทำให้เขาเลือกไม่พูดอะไรออกมาอีก ในเวลาเดียวกันเลียร่าก็แหว่งแขนที่ใส่ขนนกแห่งความปรารถนาอย่าง… น่ารัก
[เธอดูจะมีความสุขนะเลียร่า]
“หืม? ใช่แล้ว ฉันมีความสุขจริงๆนั่นแหละ”
[โง่เง่า…]
รีเซลดูเหมือนว่าจะมีอะไรอยากพูดกับเลียร่าเช่นกัน แต่แล้วเขาก็ไม่ได้พูดออกมา กลับกันเขาเอาแต่มองไปที่ยูอิลฮานเท่านั้น ทิเทร่าได้ไอออกมาอย่างอึดอัดใจ
[นายพอใจหรือยัง?]
“พอใขแล้วล่ะ เราได้รับค่าจ้างล่วงหน้ามาแล้ว งั้นตอนนี้ก็บอกเรื่องที่จะขอให้คังมิเรย์ช่วยมาได้แล้ว มิเรย์เธอโอเคนะ”
“โอเค ฉันพร้อมแล้ว”
[ดีมาก ถ้างั้นเรามาเปลื่ยนสถานที่กันก่น]
เมื่อทิเทร่าได้พูดแบบนี้ออกมา ทั้งกลุ่มและป้อมปราการลอยฟ้าก็ได้ย้ายไปในที่ไหนซักแห่งภายในโลกใบนี้ทันที นี่คือการแสดงพลังที่ทำให้ยูอิลฮายได้รู้ว่าผู้ปกครองกองกำลังสามารถจะทำอะไรได้บ้างในโลกของตน
[นี่คือทางเข้าสนามรบ]
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจซ่อนเรื่องความสามารถในการต้านทานการถูกเทเลพอตด้วยสกิลการปรับตัวนักท่องมิติเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นมา
ในตอนนี้เองเขาถึงกับเผลออุทานออกมา
“…โอ้”
ป้อมปราการลอยฟ้าของเขาที่มีขนาดใหญ่มากได้ดูเป็นแค่เศษฝุ่นผงเล็กๆเมื่ออยู่ต่อหน้ากำแพงขนาดมโหฬาร นี่มันใหญ่เกินกว่าคำว่ากำแพงไปจนจะเรียกกำแพงนี้ว่าโลกก็ยังได้แล้ว
[กี้ฮ่าฮ่าฮ่า]
[ไม่ได้มานานเลยนะ… ข้ากลัยมาแล้วสวรรค์!]
ทูตสวรรค์กับศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสู้กันอยู่โดยที่มีกำแพงอยู่ตรงกล้าม ในหมู่ของศัตรูมีทั้งมอนสเตอร์ รวมไปถึงเทวดาตกสวรรค์ที่มีปีกสีดำ และพวกที่ภายนอกดูเหมือนปกติมากๆเช่นกัน ยูอิลฮานที่เคยมีประสบการณ์สู้กับพวกนี้มาก่อนได้รู้ถึงตัวตนของคนพวกนี้ได้โดยไม่ยากเลย
“นี่มันบ้าอะไรเนี้ย? มีศึกรอบที่สองอยู่ที่นี่หรือไงกัน?”
[มันผิดหวังก็จริง… แต่ว่านี่ก็เหมาะสมกับสถานการณ์นี้นั่นแหละ]
ที่นี่ไม่ได้มีแค่กองทัพปีศาจวิบัติเท่านั้นที่มาโจมตีทำลายกำแพง แต่ยังมีกองทัพจรัสแสง และแม้แต่สวนอาทิตย์อัสดงก็ยังมาร่วมด้วย และเป็นธรรมดาที่จำนวนทูตสวรรค์จะด้อยกว่าอีกฝ่าย
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!?”
ทิเทร่าได้ตอบกลับเสียงร้องของเลียร่าด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง
[กองทัพปีศาจวิบัติได้วางแผนกำจัดเรา พวกมันได้ดึงกองกำลังอื่นๆมาที่โลกเอลโลคาทร้าและผลักดันให้เราต้องถอยไป…]
“ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย พวกนั้นพากองกำลังอื่นๆมาจัดการกองทัพสวรรค์งั้นหรอ? นี่มันยิ่งกว่าโง่แล้วนะ!”
[เพราะแบบนี้แหละทำให้กองทัพปีศาจวิบัติน่ากลัว เอิลต้า]
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง…”
ก่อนหน้านี้ทุกๆกองกำลังต่างก็ไม่พอใจอย่างมากกับเหตุการณ์ในดาเรย์ และพวกเขาได้โยนความไม่พอใจนี้มาใส่กองทัพสวรรค์ที่มีความสูญเสียน้อยที่สุด กองทัพปีศาจวิบัติได้แต่จัดการนำกองกำลังอื่นๆมาที่สำนักงานหลักของตัวเองอย่างช้าๆ!
“นั่นหมายความว่าหัวหน้าของพวกนั้นกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่?”
[ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองไม่ได้ ยังไงก็ตามถึงแบบนี้… นี่ก็เป็นการต่อสู้ที่น่ากลัวอยู่ดี]
“นี่มันฝันร้ายเลยล่ะ! โชคดีนะที่พวกเธอโน้มน้าวอิลฮานสำเร็จ…”
แม้ว่านี่จะฟังดูดี แต่จริงๆแล้วคำพูดนี้ไม่ต่างจากการที่เลียร่าได้ขีดเส้นแบ่งระหว่างเธอกับกองทัพสวรรค์แล้วเลย ทิเทร่ารู้ตัวแล้วว่ามันจะไม่มีวันที่เธอจะได้ยืนเคียงข้างกับเลียร่าอีก แต่ว่าเธอก็ยังพยายามที่สุดเพื่อที่จะไม่เผยมันออกมา
[ฉันอิจฉาความเชื่อมั่นของเธอจริงๆ]
“แต่ตอนนี้เราอยู่ฝั่งเดียวกันแล้ว อิลฮานจะทำอะไรซักอย่างเองนั่นแหละ!”
“น่าเสียดายนะที่คราวนี้มันไม่ใช่เวทีให้ฉันฉายแสง จริงไหมล่ะมิเรย์?”
“อะ โอ้ ใช่แล้ว!”
จากสงครามขนาดใหญ่จนไม่น่าเชื่อนี้ได้ทำให้คังมิเรย์ถึงกับเสียความเยือกเย็นไป แต่ว่าในที่สุดเธอก็ถูกยูอิลฮานเรียกสติกลับมาได้
“ตอนนี้ก็ช่วยบอกมาได้แล้วว่าจะให้ฉันทำอะไร”
[คังมิเรย์ สิ่งที่เราอยากจะให้เธอทำมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น]
ทิเทร่าได้กัดปากของเธอก่อนจะพูดออกมา
[ช่วยตามรอยของสำนักงานหลักกองทัพจรัสแสงและเปิดประตูไปที่นั่นซะ ในตอนนั้นพวกมันจะยุบพันธมิตรทั้งหมดลงเอง]
“…ว่าไงนะ?”
คังมิเรย์ได้ถามขึ้นอีกครั้งเพื่อยืนยันถึงเรื่องนี้ ทิเทร่าก็ได้อธิบายออกมาให้กับเธอ
[กองทัพปีศาจวิบัติส่วนใหญ่ต่างก็เป็นสัตว์ร้ายที่คิดแต่การทำลายเท่านั้น หากว่าเธอเปิดประตูมิติเชื่อมไปสำนักงานหลักของกองทัพจรัสแสง ถ้างั้นมอนสเตอร์กว่าครึ่งที่กำลังพุ่งมาในกำแพงอย่างบ้าคลั่งจะวิ่งเข้าไปในประตูมิตินั่นแน่ แล้วก็กองทัพจรัสแสงก็จะต้องตื่นตกใจและไปป้องกันตัวเองแน่ แคนี้ก็เท่ากับบรรลุเป้าหมายของเราแล้ว]
“นี่มันหมายความว่า…”
[เรากำลังจะแบ่งกำลังศัตรูออกจากกัน และสร้างเรื่องให้พวกมันทะเลาะกันเอง!]
เมื่อได้ยินแบบนี้สิ่งที่ยูอิลฮานได้คิดขึ้นมาเลยก็คือ
นี่มันอาจจะยิ่งยุ่งเหยิงมากยิ่งกว่าที่ดาเรย์ซะอีก
บทที่ 265 – ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ (7)
“มีร่องรอยมายาอยู่มากเกินไป ฉันไม่สามารถจะแยกได้เลยว่าฉันจะต้องตามรอยมานาส่วนไหน”
[ด้วยความช่วยเหลือจากเราก็คงจะต้องใช้ความพยายามสักสองสามครั้ง]
“แต่ถึงฉันจะหาเจอแล้ว ฉันก็คิดว่าเราก็ยังต้องข้ามกำแพงแห่งความโกลาหลไปเปิดประตูมิติอีกด้วยนะ”
[พวกเราได้เตรียมทีมไว้สำหรับการนั้นแล้ว]
เมื่อทิเทร่าพูดจบก็มีทูตสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นมา พอยูอิลฮานได้หันไปมองเขาก็ถึงกับบ่นออกมา
“ไม่มีคลาส 7”
[เทวทูตจะเคลื่อนไหวง่ายๆไม่ได้]
“นี่ทั้งๆที่อยู่ในสงครามแบบนี้พวกเธอก็ยังไม่คิดจะส่งเทวทูตไปอีกงั้นสินะ?”
[มันก็ชัดแล้วนี่ พวกนั้นก็ไม่ได้ส่งมาเหมือนกัน]
ยูอิลฮานได้ถามไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ และทิเทร่าก็ตอบเขากลับมาเหมือนนี่เป็นเรื่องปกติ
“พวกเธอก็น่าจะรู้นะว่าทำไมพวกนั้นถึงได้โกรธน่ะ ตราบใดที่เทวทูตยังไม่ออกมา ความโกรธของพวกนั้นก็จะไม่มีทางหายไปต่อให้เกิดปัญหาภายในอะไรก็ตามขึ้นมา”
[เทวทูตต่างก็มีหน้าที่และงานของพวกเขาอยู่ ก็อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อคังมิเรย์ได้เปิดประตูมิติขึ้นมา สถานการณ์ก็จะบรรเทาลงไปเอง]
“ก็นี่คือสิ่งที่ฉันจะบอกเหมือนกัน มันไม่มีทางที่พวกฝั่งนู้นจะนั่งเฉยๆให้เราทำแบบนั้นแน่”
ด้วยการที่มียูอิลฮานอยู่ด้วยทำให้พวกเขาสามารถซ่อนตัวได้จนกว่าจะใช้เวทย์ครั้งแรกได้ แต่ยังไงก็ตามปัญหาหลักเลยก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทดลองกี่ครั้งถึงจะเปิดประตูมิติไปที่สำนักงานหลักของกองทัพจรัสแสงได้สำเร็จ ยิ่งเมื่อคังมิเรย์ถูกเจอตัวว่าสร้างประตูมิติได้ เธอก็จะต้องถูกทุกๆคนเพ่งเล็งมาแน่
[เรากำลังเสี่ยงชีวิตเรากับภารกิจนี้อยู่ ฉันเข้าใจว่าคุณกังวลถึงเรื่องอะไร แต่ว่าคังมิเรย์จะไม่มีวันเสียชีวิตแน่นอน การที่เรามอบอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้าของเราไปมันก็เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากของเราเหมือนกันนะ!]
“นั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันกำลังจะพูดถึงอาร์ติแฟคระดับพระเจ้า… โอ้ ฉันลืมไปเลย”
นี่ไม่ดีแล้ว พูดไปไม่ดีแน่ ยูอิลฮานได้จับหน้าผากอย่างปวดหัว หากว่าพวกงี่เง่านี่จะเอาแบบนี้จริงๆ เขาก็จะต้องมอบรายละเอียดพลังส่วนใหญ่ของเขาให้พวกนี้รู้เหมือนกัน
นี่มันก็เป็นความผิดของเขาเหมือนกันสินะ ตอนนี้เขาจะทำยังไงดีล่ะ? การมายอมแพ้เอาตอนนี้มันก็ไม่ดีแล้วด้วย ยูอิลฮานได้ละทิ้งความเสียใจออกไปและประกาศขึ้นมาแทน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราจะแย่งกันเป็นสองกลุ่ม ทูตสวรรค์ ฉันเคลื่อนไหวโดยที่คิดว่าพวกนายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วกัน”
[…?]
ทูตสวรรค์ที่อยู่รวมถึงทิเทร่าไม่อาจจะเข้าใจเขาได้เลย จะมีก็แต่เลียร่าเท่านั้นที่เข้าใจเขา
“อิลฮาน นายกำลังจะบอกว่านายจะไปดึงความสนใจของพวกนั้นในระหว่างคังมิเรย์กำลังใช้เวทย์งั้นหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีบันทึกข้อมูลส่วนใหญ่ของพวกนั้นแล้ว ถ้าเป็นคลาส 6 ฉันก็น่าจะปลอดภัยอยู่”
“เท่…เท่จัง”
“ฉันรู้แล้วน่า”
หลังจากที่เลียร่าพูดแบบนี้ออกมา ทูตสวรรค์ที่รู้ถึงแผนที่เขาคิดจะทำก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา
เขาเป็นใครกันที่จะไปพุ่งเข้าไปในสนามรบที่ต่อให้เป็นคลาส 6 ก็ยังต้องตายเลย?
“อิลฮาน ไม่นะ!”
“ถ้านายไปถูกจัดการที่ไหนซักที่ ฉันก็จะตายแน่นอน! นี่เป็นคำขอจากฉัน อย่าได้แบกภาระมากเกินไปเลย”
“ฉันไม่ตายหรอกน่า แล้วก็นี่ก็เป็นภารกิจที่กองทัพสวรรค์ให้เราสองคนด้วย ฉันจะโกรธแน่ถ้าเธอจะทำงานหนักอยู่คนเดียวน่ะมิเรย์”
หลังจากได้ยินคำพูดของยูอิลฮาน คังมิเรย์ก็ได้หมดคำพูดไป ในเวลานี้นายูนาก็ได้มาแตะไหล่ของคังมิรย์และก้าวออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกมิเรย์ ยูอิลฮานจะไม่มีวันตาย โอ้ นายจะพาฉันไปด้วยใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่ล่ะ ยูนา เธอก็ต้องอยู่ในป้อมปราการ”
“ชิ นายชอบทิ้งฉันเอาไว้แบบนี้ตลอดเลย ตอนฉันเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงฉันจะเป็นนักบุญที่สู้ได้ให้ได้เลยคอยดู!”
“กลับกันเลียร่ากับเอิลต้าเป็นคนที่จะต้องมาช่วยฉัน ยูนาเธอช่วยร่ายพรให้กับเราก่อนด้วยนะ”
“พ่อครับ ผมไปด้วย”
ยูอิลฮานได้จัดเตรียมทุกอย่างเหมือนสายฟ้าแลบทั้งๆที่ทูตสวรรค์ยังคงตกตะลึงกันอยู่ เขาได้จัดทั้งทีมแนวหน้ากับทีมสนับสนุนขึ้นมาแล้ว
ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้ส่ายหัวให้กับยูมิล
“มิล ลูกมีหน้าที่ที่สำคัญมากๆอยู่ ลูกจะต้องทำให้ทุกๆคนซ่อนตัวรวมไปถึงป้อมปราการลอยฟ้าจนกว่าคังมิเรย์จะเปิดใช้งานเวทย์ครั้งแรกเสร็จ เป็นไงบ้าง ลูกทำได้ไหม?”
“อืมมม… ได้ครับ”
“เยี่ยม ถ้างั้นพ่อของฝากลูกดูแลพี่สาวกับคุณย่าด้วยนะ”
“เข้าใจแล้วครับ!”
[การซ่อนตัววงกว้างงั้นหรอ? นั่นมันเป็นไป-]
“ย่าห์”
เมื่อยูมิลได้เปิดใช้งานสกิลจนถึงขีดสุดทำให้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ทูตสวรรค์ได้แต่ล้มเลิกที่จะเถียงกลับไป นี่คือขั้นตอนพื้นฐานที่ทุกๆคนได้เจอกับยูอิลฮานและกลุ่มของเขาจะต้องเจอ
[ดะ เดี๋ยวก่อนสิ! ถ้านายจะไปแบบนั้นจริงๆก็มารับพรจากพวกเราก่อน พรจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงน่าจะดีกว่าพรจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอยู่แล้ว]
“อ๊า ฉันก็ไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่ว่าเรามีนักบวชที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่แล้ว
“อะแฮ่ม”
นายูนาได้ขยิบตาให้กับทูตสวรรค์และมอบพรให้กับยูอิลฮาน เลียร่าและเอิลต้า หลังจากที่เลเวลเธอได้เกือบจะถึง 280 แล้ว เธอก็ยิ่งงดงามขึ้นมาอย่างมาก และเธอได้แปลพลังของเทพแห่งความงามที่เธอได้มาให้เป็นพลังแห่งพรที่เธอใช้ในฐานะนักบวชของเทพธิดาแห่งความงามของท่านหญิงเรย์น่า
[ความสามารถทั้งหมดเพิ่มขึ้น 43% เป็นเวลา 3 ชั่วโมง คุณจะไม่ได้รับความเสียหายคริติคอลใดๆทั้งสิ้นและจะสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีถึงตายในทีเดียวของศัตรูได้ ความสามารถในการฟื้นฟูเพิ่มขึ้น 300%]
[…]
ทิเทร่าได้รู้สึกถึงพลังของทั้งสามคนที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลทันทีทำตัดสินใจหยุดที่จะคิดแล้ว ด้วยความสามารถขนาดนี้เธอก็ควรจะพานายูนาเข้ามาในกองทัพสวรรค์สินะ แต่แน่นอนว่าความหวังนี่คงจะไม่มีวันเป็นจริงแล้ว
“เที่ยวให้ปลอดภัยนะอิลฮาน”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราแน่ แล้วก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับด้านพวกเธอเหมือนกัน”
ยูอิลฮานได้มองไปที่คังมิเรย์กับนายูนา ก่อนที่จะแตะไปที่พื้นป้อมปราการลอยฟ้าเบาๆ ตราบใดที่ ‘เธอ’ ยังอยู่ในป้อมปราการลอยฟ้านี้ จะไม่มีใครที่เข้ามายุ่งย่ามกับคนในป้อมปราการลอยฟ้านี้ได้
“ถ้าเธอคิดว่ามันอันตราย เธอก็ปรากฏตัวได้เลยนะ”
“ฉันจะเชื่อในตัวเธอนะ”
[อะไรน่ะ? ‘เธอ’ นั่นมันคืออะไร]
ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้หันหน้าไปดูเลียร่ากับเอิลต้าว่าเข้ามาอยู่ในระยะการซ่อนตัวของเขาหรือยังโดยไม่สนใจทิเทร่าเลย จากนั้นเขาก็ได้กระโดดออกไป
ยิ่งเขาเข้าไปใกล้กำแพงแห่งความโกลาหล การต่อสู้ระหว่างสิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อเห็นแบบนี้ยูอิลฮานก็ได้คิดเรื่องหนึ่งออกมา
“โอ้ ฉันคิดว่าฉันยังไม่ได้เรียนหอกสะบั้นจักรวาลเลยนะ”
“น่าตกใจมากเลยนะที่นายมาคิดเอาตอนนี้ แล้วยังไงล่ะ? นายกำลังคิดจะฝึกที่นี่งั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว ฉันกำลังคิดแบบนั้นอยู่เลย”
จริงๆแล้วยูอิลฮานก็คิดว่าแค่การฝึกหอกไร้วิถีมากยิ่งขึ้นไปก็น่าจะพอทำให้เขาไปถึงระดับของวิชาหอกที่สูงขึ้นได้แล้ว แต่ว่าหากว่ามีหอกสะบั้นจักรวาลเข้าไปด้วยอีกล่ะ? มันจะกลายเป็นเทคนิคหอกที่สมบูรณ์แบบที่ได้เกิดมาจากเทคนิคหอกขั้นสูงสองอันเป็นพื้นฐานไงล่ะ
“แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว…”
“รวมสกิลเทคนิคอาวุธขั้นสูงเข้าด้วยกัน… ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย แต่ว่าถ้าเป็นเขาอาจจะเป็นไปได้ก็ได้นะ”
ระหว่างบินอยู่ยูอิลฮานก็ตรวจดูช่องเก็บของของเขา เขามีซากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเก็บเอาไว้มาก และเขาได้หยิบเอาหินพลังเวทย์คลาส 5 ออกาอย่างสุ่มๆและเริ่มทำการวิวัฒนาการรูปแบบผสมในทันที
แสงเจิดจ้าได้ระเบิดออกมาครอบคลุมตัวยูอิลฮานทำให้จิตวิญญาณและร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ในตอนนี้เข้าได้มาถึงระดับที่เกือบจะเทียบกับสเปียร่าที่อยู่คลาส 6 ได้แล้ว
[คุณไดเรียนเทคนิคหอกสะบั้นจักรวาล]
“สเปียร่าจะคิดยังไงกันนะถ้าเธอได้รู้ว่ายูอิลฮานได้ทำสิ่งที่เธอต้องใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ…”
“เธอก็น่าจะชอบแหละที่ยูอิลฮานได้สร้างเทคนิคที่ระดับสูงขึ้นกว่าเดิมจากการใช้เทคนิคของเธอเป็นพื้นฐานน่ะ”
“เอาล่ะ มาลองการโจมตีแรกกัน”
น่าบังเอิฐที่ว่าตอนนี้มีทูตสวรรค์กำลังถอยกลับมาจากการที่ได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงพร้อมๆกันอยู่ เขาคนนี้กกำลังถูกศัตรูนับสิบไล่ตามล่ามา! หอกของยูอิลฮานได้พุ่งออกไปเหมือนกับเสือที่กำลังล่าเหยื่อ
มือซ้ายของเขาได้ใช้เล็งทิศทางในการโจมตี และมือขวาได้กระชับหอกแน่น เขาได้วาดหอกเป็นเส้นแทยงมุมจากล่างขวาขึ้นไปสู่บนซ้ายด้วยปลายหอกของเขา
ความแหลมคมของดาบ ความรวดเร็วของแส้ และน้ำหนักของอาวุธไร้คมได้รวมเข้าด้วยกันเป็นการโจมตีหนึ่งเดียวของหอกด้วยการควบคุมที่เหนือยิ่งกว่าขีดสุดของเขา
ในตอนนี้เองได้ การวาดหอกได้สร้างเส้นตรงตัดผ่านอากาศทุกๆสิ่งออกเป็นครึ่งหนึ่งในทันทีที่หอกผ่านไป
[ติดคริติคอล!]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับ…]
[สกิลหอกสะบั้นจักรวาลได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็นเลเวล 8]
“หา”
หลังจากเก็บร่างของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกลับเข้ามาในช่องเก็บของ เขาก็แสดงความสงสัยออกมา
“นี่เพราะพวกนั้นทั้งหมดตายในทีเดียวเลยทำให้การซ่อนตัวของฉันไม่หายไปงั้นสินะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นส่วนใหญ่ก็คงจะรู้ตัวไปแล้วล่ะ”
หอกสะบั้นจักรวาลของยูอิลฮานได้ถูกแทงออกไปอีกครั้งหนึ่งนี้ ได้ทำให้แม้แต่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็ยังตายไปทำให้สกิลยมทูตของเขาเริ่มแสดงผลออกมา
แต่ว่าถึงแม้ว่าสนามรบนี้จะมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ว่าการตายของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงหลายๆคนในคราวเดียวโดยไม่เห็นศัตรูเป็นสิ่งที่แปลกมาก ความวุ่นวายได้เกิดขึ้นมาในสนามรบทันที
[เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน?]
[มีบางอย่างเพิ่งจะผ่านฉันไป ฉันรู้สึกได้จริงๆนะ! แต่ว่าฉันกลับมองไม่เห็นมัน!]
[หลังจากทูตสวรรค์ถอยกลับไปการโจมตีนี้ก็เกิดขึ้น เทวทูต! ในที่สุดเทวทูตก็ออกมาแล้วงั้นหรอ!?]
ไม่ว่ายูอิลฮานจะพยายามดึงความสนใจมากแค่ไหน แต่ศัตรูก็ไม่เจอเขาเลยเพราะแบบนี้ทำให้เขาไม่ได้ทำหน้าที่ของเขาเลย ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมาและหยิบเอาเครื่องดื่มลมหายใจขึ้นมาด้วย จากการที่เขาได้สร้างเครื่องดื่มนี่ไว้เป็นจำนวนมากทำให้เขาน่าจะมีพอใช้ทั้งการต่อสู้ครั้งนี้
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็”
เขาได้กระชับหอกเอาไว้และพุ่งเข้าไปในรูของกำแพงแห่งความโกลาหล จากนั้นเมื่อเลียร่ากับเอิลต้าตามเขามา เขาก็กระจายเพลิงสีขาวออกไปจากหอกและตะโกนขึ้น
“การร่วงหล่น!”
เพลิงสีขาวที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณได้ถูกเสริมพลังและย้อมสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นเปลวเพลิงในทันที การซ่อนตัวของยูอิลฮานที่มีอยู่็ได้หายไปและเขาก็ได้เผยตัวออกมาโดยไม่มีอะไรซ่อนเอาไว้เลย
[มานานี่มัน….]
[ยูอิลฮาน นั่นมันยูอิลฮาน]
[เขาอยู่ที่นี่!?]
[แต่เขามาทำไมล่ะ!? เดี๋ยวนะ… หรือว่าเขาเข้าร่วมกองทัพสวรรค์ไปแล้ว?]
[ไม่ เขายังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอยู่!]
แต่สิ่งสำคัญมันไม่ใช่เรื่องนี้ สิ่งสำคัญก็คือระดับพลังของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดในพื้นที่ได้ถูกลดระดับลงจากการร่วงหล่น!
ยูอิลฮานได้ลดพลังของหอกสะบั้นจักรวาลและหอกไร้วิถีของเขาลงมาเพื่อลดมานาที่จะต้องใช้และเปิดใช้สกิลสองอย่างพร้อมๆกันในหลายๆรูปแบบ คลื่นกระแทกที่คล้ายกับการระเบิดของดาวเคราะห์ได้เกิดขึ้นมาโดยที่มีเขาเป็นศูนย์กลางและได้กระจายออกมาโจมตีไปที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูง การโจมตีครั้งนี้มีทั้งพลังและความเร็วจนถึงขีดสุดจนฉีกกระชากทุกๆอย่างที่ขวางทางจนเป็นชิ้นๆไปทั้งหมด
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
[ติดคร…]
[คุณได้รับค่าประ…]
“นี่มันบ้าอะไรเนี้ย….”
เลียร่าได้หมดคำพูดไปเมื่อได้เห็นการรวมกันของเทคนิคของขั้นสูง ในเวลาเดียวกันเอิลต้าได้เป็นคนถามออกมาแทน
“นี่คือภาพที่เราจะได้เห็นถ้านายรวมเทคนิคหอกทั้งสองอันเข้าด้วยกันใช่ไหม?”
“ไม่”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาเบาๆและเก็บศพของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ตายลงไป จำนวนคราวๆก็มีประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าคน นี่น่าจะเป็นจำนวนที่มากพอจะดึงความสนใจจากทุกๆคนมาที่เขาได้แล้ว
“นี่ฉันยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำนะ”
[ขะ เขาคือ… ยูอิลฮาน!]
[ยูอิลฮานอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรอ?]
[ฆ่า! ฆ่าเขา!]
[แก้แค้นให้เฮเรียน่า… ฉันจะฆ่าแก!]
จิตสังหารและความมุ่งร้ายทั้งหมดต่างก็พุ่งมาที่ตัวเขาทั้งนั้น ยูอิลฮานก็รู้สึกถึงเรื่องนี้แต่เขาก็แค่แสยะยิ้มออกไปเท่านั้น
เลียร่าได้แต่ถอนหายใจออกมาและยกหอกขึ้นมา ตอนนี้กระแสของสนามรบได้ถูกเปลื่ยนแปลงไปแล้ว
นับจากนี้สงครามนี้จะถูกยูอิลฮานเป็นผู้ชี้นำ
บทที่ 266 – ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ (8)
[ฆ่ามัน!]
[แก้แค้นให้กับเฮเรียน่า]
มอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่แต่ล่ะตัวต่างก็มีพลังพอจะทำลายโลกได้เลย พวกมันต่างก็พุ่งกันเข้าใส่ยูอิลฮาน แน่นอนว่าทันทีที่มันเข้ามาในพื้นที่ของการร่วงหล่นระดับพลังของพวกมันลดลงขั้นหนึ่งในทันที แต่ด้วยความโกรธทำให้พวกมันไม่ได้รู้ตัวเลย ซึ่งนี่ได้เป็นไปตามแผนที่ยูอิลฮาานวางเอาไว้
แต่ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเลย
“ถ้าเป็นแค่กองทัพปีศาจวิบัติฉันก็เข้าใจนะ แต่นี่…”
ยูอิลฮานที่ได้อยู่ในโหมดประหยัดมานาทำให้เขาใช้เพลิงสีขาวบนปลายหอกเท่านั้น เขาได้แต่แสดงความสงสัยออกมา
“ทำไมแม้แต่พวกคนจากกองทัพจรัสแสงกับสวนอาทิตย์อัสดงก็ยังตะโกนชื่อเฮเรียน่าออกมาล่ะ?”
[ฉันเป็นไอดอลของทุกๆคนไงล่ะที่รัก เป็นเหมือนแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง หากเข้ามาใกล้ก็จะถูกเผาผลาญ แต่ว่าเมื่อได้เห็นฉันก็ไม่อาจจะห้ามใจอยู่ได้เช่นกัน! ใครกันนะคือผู้โชคดีที่ได้ตัวฉันไป]
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว เธอมันยอดเยี่ยม ชิ”
ตอนนี้เฮเรียน่าเธอน่าจะอยู่ที่ป้อมปราการลอยฟ้า แต่ด้วยความที่เธอได้เชื่อมโยงกับยูอิลฮานอย่างลึกซึ้งนับตั้งแต่ที่เธอกลายเป็นจิตวิญญาณ ทำให้เธอสามารถถ่ายทอดความคิดของเธอมาให้เขาได้เหมือนที่โอโรจิกับมิสทิคทำ
ใช่แล้ว ถึงเขาจะส่งเธอกลับไปในร่างเดิมแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังไม่เป็นอิสระจากเธออยู่ดี!
[ก๊าซซซซซซ]
[ฆ่า ฉันจะฆ่าทุกๆอย่าง!]
ในตอนนี้ยูอิลฮานได้ข้ามเขตแดนของฝั่งทูตสวรรค์มาแล้ว ตอนนี้เขาได้อยู่ในดินแดนของศัตรู
“อิลฮานมีคลาส 6 อยู่เหมือนกันนะ ระวังตัวด้วย ถ้านายไม่ระวังตัวนายได้ตายแน่ๆ”
เลียร่าได้กระชับหอกสีชมพูของเธอเอาไว้พร้อมโน้มตัวไปด้านหน้า
ที่กำแพงแห่งความโกลาหลนี้แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์สู้ที่นี่มามาก แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำแล้วมาสู้ที่นี่
แม้ว่าเธอจะกังวลนิดๆ แต่ว่าเธอก็ไม่คิดจะถอยแม้แต่เดียว คนที่อยู่ข้างๆคนคือคนที่เธอรักและเธอจะต้องปกป้องเขา เมื่อเธอคิดแบบนี้หอกของเธอก็เรืองแสงมากยิ่งขึ้น และพรจากเทพแห่งความรักก็ได้ปะทุขึ้นมาล้อมรอบตัวเธอ แสงสีชมพูดนี้กำลังปกป้องตัวเธออยู่
“ฉันจะใช้การร่วงหล่นทำอะไรกับคลาส 6 เอง เอิลต้าเธอช่วยใช้เวทย์สนับสนุนเป็นหลักนะ ส่วนเลียร่ากับฉันจะจัดการกับศัตรูเอง”
“ไว้ใจได้เลย ฉันเชี่ยวชาญในด้านนี้เลยล่ะ”
วงเวทย์จำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้นมาภายในพื้นที่การร่วงหล่นพร้อมๆกัน วงเวทย์พวกนี้คือวงเวทย์ที่จะป้องกันเวทย์ของศัตรู ลดพลังโจมตีของศัตรู ขัดขวางการเคลื่อนไหวศัตรู และทำให้มานาของศัตรูปั่นป่วน
วงเวทย์ที่ทรงพลังอยู่แล้วนี้ก็ยังถูกเพลิงสีขาวเสริมพลังมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเอิลต้าได้เห็นว่าเวทย์ของเธอเพิ่มพลังขึ้นถึง 2 เท่าเธอก็ยังต้องตกตะลึง
“นี่มัน…!”
“การร่วงหล่นก็เพิ่มพลังเหมือนกันนะ”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปธรรมดาๆและขว้างหอกเข้าใส่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่กำลังเข้ามาใกล้ หลังจากหอกมังกรแปดหางได้ดูดซับเพลิงสีขาวไปทำให้มันขยายขนาดขึ้นสิบเท่าทันทีที่พุ่งออกไปและปักเข้าที่ตัวศัตรูอย่างงดงาม
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[อะไรกัน!?]
สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเพิ่งจะฆ่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไปแค่การขยับตัวธรรมดาๆ! มีบางคนได้ตัวแข็งทื่อไปกับที่เมื่อได้เห็นแบบนี้ แต่แแน่นอนว่าพวกนั้นก็ได้กลายมาเป็นเหยื่อคนต่อไปของหอกงมังกรแปดหาง ยูอิลฮานที่จับหอกที่ลอยกลับมาเอาไว้ก็บ่นขึ้น
“ในท้ายที่สุดเจ้าพวกนี้ก็มีดีแค่จำนวนมาก มีโลกจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน แล้วไอ้คำที่ว่าพวกนี้คือคนที่อยู่จุดสูงสุดของโลกก็คงจะเป็นแค่หนึ่งในโลกนับไม่ถ้วนเท่านั้นเองสินะ ทำไมฉันไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยนะ”
“อิลฮาน ความคิดของนายนี่มัน! แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ผิดนัก”
หนึ่งในเหล่าผู้ ‘อยู่บนจุดสูงสุดนับไม่ถ้วน’ เลียร่าได้ขบฟันตอบกลับไป ยังไงก็ตามความไม่พอใจนี้ของเธอก็ถูกนำไประบายลงกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงคนอื่นแทน
“ฮ่าาาาาาาห์!”
[อ๊ากก!? ร่างฉัน…!]
หนึ่งในทหารกองทัพปีศาจวิบัติได้ร่วงลงไปบนพื้นในทันที่ถูกหอกของเลียร่า และหลังจากนั้นก็ถูกวงเวทย์ของเอิลต้าสกัดเอาไว้ ต่อมาก็เป็นเทวดาตกสวรรค์ และสวนอาทิตย์อัสดง! เลือดสีดำและเลือดสีน้ำเงินได้กระจายไปทั่ว ทุกๆศพที่ตายไปในการต่อสู้นี้ต่างก็ถูกยูอิลฮานเก็บลงช่องเก็บของไป
“หืม”
ไม่นานนักเลียร่าก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง
“นี่เราฆ่าไปเยอะกว่าที่คิดอีกนะ”
“ก็เพราะการร่วงหล่นนั่นแหละ สกิลนี้ไม่ควรที่จะมาจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเลย…!”
หลังจากมองไปที่พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยเพลิงวิญญาณก็ทำให้เอิลต้าต้องเหงื่อตก
“มันยังยับยั้งและลดพลังของคลาส 6 ได้อีกด้วย ต่อให้เป็นผู้บัญชาการกองพันฉันก็ไม่เคยเห็นสกิลแบบนี้เลย”
“ไปตรงนั้นกัน! นี่มันก็เพราะอิลฮานยอดเยี่ยมเกินไปไงล่ะ”
แม้กระทั่งในตอนนี้เพลิงก็ยังคงยับยั้งการเคลื่อนไหวของศัตรู สร้างความเสียหายให้กับศัตรู เสริมพลังให้กับเวทย์ของเอิลต้า และเสริมพลังให้กับหอกของเลียร่าด้วย! เพลิงพวกนี้มันราวกับเป็นกองทัพที่ทำงานตามคำสั่งของยูอิลฮานชัดๆ
“นี่มันน่าทึ่งมาก! สมแล้วที่เป็นเขาผู้ที่โดดเดี่ยว! เขาได้สร้างสกิลที่ทำได้แทบจะทุกๆอย่างในตัวคนเดียว…”
“นี่จะนินทาฉันไปถึงไหนกัน”
ยูอิลฮาน เลียร่า และเอิลต้าได้กลายมาเป็นพายุที่กวาดไปทั่วทั้งสนามรบ! ทิเทร่าที่เฝ้าดูเพลิงวิญยาณที่ได้ขยายใหญ่ครอบคลุมสนามรบมากยิ่งขึ้นได้ถึงกลับหลั่งเหงื่อออกมา
[พระเจ้า… ฉันคิดว่าเขามีดีแค่การลอบโจมตีซะอีกนะ…]
“บุคคลิกของเขาจะต้องเปลื่ยนไปแล้ว”
คังมิเรย์ก็ยังตกตะลึงเช่นกันหลังจากที่ได้เห็นพลังที่มหาศาลมากกว่าแต่ก่อนของยูอิลฮาน แต่ว่าเธอก็ได้หาคำตอบง่ายๆที่จะตอบกลับทูตสวรรค์กลับไปได้
“เมื่อก่อนเขาชอบที่จะซ่อนตัวอยู่เพียงลำพัง แต่ว่าในตอนนี้เขาได้เจอที่ที่เขาจะเปิดใจได้แล้ว… ฉันคิดว่ามันเป็นเพราะเรื่องนี้นั่นแหละ”
[ไม่เห็นเข้าใจเลย]
ทูตสวรรค์ได้แต่ตอบกลับมาแบบนี้ ยังไงก็ตามคังมิเรย์ก็อยากจะเชื่อแบบนี้ต่อให้มันจะไม่ใช่ก็ตามที
หลังจากที่ได้เจอกับเขาอีกครั้ง หัวใจของเธอก็ได้เต้นแรงผลักดันให้เธอคิดถึงเรื่องอารมณ์มากยิ่งขึ้น
[ยังไงก็ตาม… ไม่ว่าพลังนี้ของเขาจะมาจากไหนก็เถอะ เขาทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบมากๆ ตอนนี้แหละคือเวลาเหมาะแล้ว เราก็ควรจะเคลื่อนไหวได้แล้วนะ]
[เยี่ยม เข้าใจแล้ว]
มิสทิคได้เริ่มเดินเครื่องป้อมปราการลอยฟ้า และภายใต้พลังของยูมิลทำให้ป้อมปราการลอยฟ้าซ่อนตัวผ่านเข้าไปในกำแพงแห่งความโกลาหลอย่างราบรื่น
และเมื่อเป็นแบบนี้คังมิเรย์ได้เปิดตากว้างค้นหาร่องรอยของกองทัพจรัสแสงในทันที
[มีโลกจำนวนมากที่อยู่ใต้การดูแลของกองทัพจรัสแสง ในหมู่โลกทั้งหมด เราจะต้องหาโลกที่นำไปสู่สำนักงานใหญ่ของพวกนั้น]
“ฉัน… กำลังหาที่นั่นอยู่!”
[เราจะช่วยเอง!]
ทูตสวรรค์ได้พยายามจำแนงมานาของเทวดาตกสวรรค์ออกมาและบอกกับเธอ ในสนามรบนี้มีเศษเสี้ยวและร่องรอยมานาจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเธอจะต้องหาอันที่จะนำไปสู่โลกหลักของเทวดาตกสวรรค์
“เจอที่แรกแล้ว… ไปกันเลย!”
คริสตัลมานาส่วนหนึ่งได้หมุนรอบตัวคังมิเรย์ด้วยความเร็วที่มากขึ้นและมีวังวนปรากฏขึ้นมาพร้อมกับแสงที่เหมือนพลุระเบิดออกมา ภายในวังวนนั้นแน่นอนว่าเป็นโลกระดับสูงแน่ แต่ยังไงก็ตาม…!
[ไม่ใช่ที่นี่! ที่นี่ไม่ใช่ฐานทัพหลัก!]
[นี่มัน!? ประตูมิติถูกเปิดขึ้นมา]
[เกาะนั่นมันอะไรกัน? …เกาะ?]
[เป็นทูตสวรรค์! พวกมันอยู่กับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ]
หลังจากสร้างประตูมิติขนาดใหญ่แบบนี้ขึ้นมาก็เป็นปกติที่การซ่อนตัวจะต้องหายไป ในเวลานี้เองยูมิลก็ได้เปลื่ยนร่างตัวเองเป็นมังกรและคำรามออกมา
[กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร!]
สิ่งที่เขาจะบอกค่อ ‘พ่อครับพวกเราถูกเจอตัวแล้ว’ แต่ว่าสำหรับศัตรูนี่เป็นแค่การคำรามเท่านั้น และพรรคพวกที่ได้ยินเสียงนี้ก็เป็นสัญญาณสำหรับเริ่มการต่อสู้ ทูตสวรรค์กับมังกรได้สร้างแนวการต่อสู้ขึ้นมาทันที ส่วนคังมิเรย์ได้รีบยกเลิกประตูมิติและเก็บมานาเธอคืนกลับมา
[ผู้หญิงนั่นได้เชื่อมประตูมิติไปสู่โลกของเรา]
[แต่ได้ไงกันล่ะ?]
[จะทำได้ยังไงมันไม่สำคัญแล้ว นี่อาจจะ… บ้าเอ้ย!]
[โอ้!?]
[หืมม ออร่านี่มันชัดเจนมากๆ]
เทวดาตกสวรรค์ทุกๆคนต่างก็ต้องเป็นกังวลกันขึ้นมา ส่วนทางสวนอาทิตย์อัสดงกับกองทัพปีศาจวิบัติได้กลายเป็นสนใจแทน รอยแยกได้ปรากฏขึ้นมาภายในพันธมิตรที่ไม่มั่นคงนี้แล้ว
[เราจะต้องฆ่าเธอ!]
[ไปพาเธอมาเดี๋ยวนี้เลย!]
[แต่ยูอิลฮาน….!]
[ตอนนี้ยูอิลฮานไม่สำคัญอีกแล้ว!]
“ไม่หรอกนะ ฉันยังสำคัญอยู่”
เมื่อฝั่งเทวดาตกสวรรค์ล่ะความสนใจไป การร่วงหล่นก็ได้ขยายพื้นที่ขึ้นมาจนครอบคลุมเทวดาตกสวรรค์ในทันที วงเวทย์ของเอิลต้าก็ยังขยายมาขึ้นมาเช่นกัน! จากนั้นยูอิลฮานกับเลียร่าก็พุ่งไปเด็ดปีกและตัดหัวเทวดาตกสวรรค์
“นี่มัน… ฉันรู้สึกว่าฉันแกร่งกว่าตอนเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอีกนะ!”
“ฮ่าาาาาาาห์! คลื่นกระหน่ำ!”
“ฮ่าาาาาาห์”
ยูอิลฮานได้เรียกหอกกระดูกทั้งหมดออกมาไว้กลางอากาศและจับค้อนสายฟ้าเอาไว้
ค้อนได้ขยายขลาดขึ้นด้วยหลังจากที่ได้ดูดมานาเข้าไป และแม้แต่ไฟก็ยังถูกดึงเข้ามารวมเสริมพลังขึ้นไปอีก จากนั้นเขาก็เปิดใช้เทวะกำลังจนถึงขีดสุดเพื่อเร้นศักยภาพกล้ามเนื้อออกมาและเหวี่ยงค้อนมหึมาออกไป
“พวกแกบอกว่าแกจะโจมตีใครนะ!?”
เพลิงวิญญาณที่เกิดขึ้นจากการร่วงหล่นได้ถูกหอกกระดูกที่กระจายอยู่ด้วยเข้าไป และจากนั้นหอกเหล่านี้ก็พุ่งเข้าไปใส่เทวดาตกสวรรค์อย่างแม่นยำ ในเวลาเดียวกันค้อนสายฟ้าก็ได้ถูกเหวี่ยงอยู่ภายในนั้น! พละกำลังที่มหาศาลได้เกิดขึ้นมาจากค้อนได้สะท้อนส่งไปถึงหอกกระดูกซึ่งแค่ปกติสิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็ไม่อาจจะทนได้อยู่แล้ว
[ทำลายหอกพวกนั้น!]
[เวรเอ้ย… ]
ก่อนหน้านี้สำหรับยูอิลฮานแค่เห็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงซักคนก็ต้องตัวสั่นแล้ว แต่ว่าในตอนนี้เขากลับสังหารหมู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว การเปลื่ยนแปลงของเขาน่าทึ่งและน่ากลัวเอามากๆ แม้กระทั่งสกิลบันทึกที่เป็นสกิลสนับสนุนตอนนี้ก็ได้มีเลเวลถึง 60 แล้ว
[บางที…]
[บาทีเขาอาจจะเป็น]
มันราวกับว่าพวกมันได้พูดสิ่งที่น่ากลัวออกมา ใครซักคนได้พึมพัมออกมา
[บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่ห้า]
ในทุกๆครั้งที่จะมีกองกำลังใหม่เกิดขึ้นมันจะเป็นแบบนี้กันทุกครั้งๆ คนพวกนั้นจะบดขยี้คนที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือระดับสูงกว่าเหมือนเป็นเรื่องปกติ และจะเป็นคนที่มีบุคลิกที่ไม่โอนอ่อนให้กับใคร คนๆนั้นจะทำทุกสิ่งที่เขาต้องการทำเท่านั้น
และในตอนนี้ยูอิลฮานดูเหมือนกับคนจำพวกนั้น
[ยังไงก็ตามตอนนี้ยังไม่ใช่]
ได้มีใครบางคนโผล่ขึ้นมา
[เพราะอีกเดี๋ยวฉันจะลบเขาออกไปเดี๋ยวนี้แหละ]
ปีกสีดำสนิทหกข้าง ดวงตาที่เรืองแสงเหมือนกับทับทิม และชุดคลุมหนังสัตว์ที่คลุมทั้งตัวอยู่
คนที่โผล่ออกมามีรูปลักษณ์เหมือนกับชายวัยกลางคน แต่ว่าพลังของร่างที่ปล่อยออกมาไม่ใช่ธรรมดาเลยสักนิดเดียว
[ท่านซาเทีย…!]
[ท่านซาเทียมาที่นี่เอง…!?]
[ปีกที่ 4 แห่งกองทัพจรัสแสง!?]
สนามรบได้ตกสู่ความโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าแรงกระเพื่อมจากยูอิลฮานจะมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะก้าวข้ามคลาส 7 ที่ลงมาในสนามรบได้อยู่แล้ว
เพราะแบบนี้เองถึงทำให้ยูอิลฮานได้บอกกับทูตสวรรค์ให้ส่งคลาส 7 มาเหมือนกับ แต่ว่าพวกทูตสวรรค์ไม่ยอมฟังเขาเลย
[เจ้านกน้อยสารเลว นายนี่ทำให้ฉันรำคาญจริงๆเลยนะ สงครามครั้งนี้ได้กลายเป็นวุ่นวายอีกแล้ว]
เขาได้มองกวาดไปทั่วสนามรบ สิ่งมีชีวิตที่อยู่แค่คลาส 5 ต่างก็ตัวแข็งเป็นหินด้วยพลังมานาที่เหือดแห้งลง ป้อมปราการลอยฟ้าก็ได้ใช้พลังอย่างมากในการช่วยคนอื่นๆภายในเอาไว้ แค่การมองนี้ก็ทรงพลังมากแล้ว
[ฉันจะจัดการนายเอง ความหวังนั่นฉันจะฉีกมันให้ดู]
“คนๆนี้แหละ! คนๆนี้จะต้องมาจากทัพหลักแน่! ฉันรู้สึกได้เลยถึงมานาที่ทรงพลัง!”
คังมิเรย์ได้ตะโกนออกมา แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ยังมั่นใจเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน แต่แล้วยังไงล่ะ? พวกเขาควรจะเข้าไปใกล้สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวนั่นแล้วจับร่องรอยมานางั้นหรอ
[โอ้ ดูเหมือนตอนนี้ฉันถึงตาฉันแล้วสินะ]
กลีบดอกไม้ได้บานสะพรั่งขึ้นมาเหนือป้อมปราการลอยฟ้าราวกับกำลังรอเวลานี้อยู่ พิษที่ทรงพลังได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับดอกไม้ที่สวยงามในทันที แม้ว่าครั้งหนึ่งมันจะเคยถูกชายไร้จิตใจแทงทิ้งไปแต่ว่ามันก็ยังคงไม่เสียพลังไปอยู่ดี
[มาเล่นกับฉันดีกว่า ซาเทีย]
ชื่อของดอกไม้นี่แน่นอนว่าคือราชินีซัคคิวบัสเฮเรียน่า
บทที่ 267 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (1)
[…]
[…]
[…อะไรกัน?]
การปรากฏตัวของเฮเรียน่าได้ทำให้ทั้งสนามรบหยุดนิ่งไป ทุกๆคนต่างก็ตัวแข็งทื่อ นี่มันไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักเธอ แต่มันเป็นเพราะพวกเขารู้จักเธอเป็นอย่างดีต่างหาก
[ธะ เธอควรจะตายไปแล้วนี่!?]
สีหน้าผ่อนคลายของซาเทียได้แหลกสลายไปแล้ว หากเป็นการต่อสู้กับคลาส 7 คนอื่นๆ เขาคนนี้ก็มีความมั่นใจพอตัว แต่ว่าหากเป็นตัวเฮเรียน่าเรื่องนี้จะต่างออกไป ที่เขาออกมาที่นี่นั่นก็เพราะเขาได้ยินมาว่าเฮเรียน่าตายไปแล้ว แต่แล้วเธอกลับมาเผยตัวต่อหน้าเขา
[ฉันก็ตายไปแล้ว แต่ว่าฉันก็กลับมามีชีวิตใหม่ไงล่ะ]
[ไม่มีทาง อันเดตงั้นหรอ…?]
[ฉันดูเหมือนแบบนั้นหรอ?]
[อึก…]
เมื่อเฮเรียน่าได้ยิ้มออกมาก็ทำให้ซาเทียก็หดตัวถอยกลับไปเองทันที แน่นอนว่าตัวเธอไม่ได้ดูเหมือนกับอันเดตเลย แก้มสีชมพูของเธอยังคงเต็มไปด้วยประกายชีวิต ตาเธอก็ยังมีประกายและหน้าอกของเธอก็ยังขยับขึ้นลงตลอดเวลาตามการหายใจเข้าออกของเธอ ทุกๆสิ่งนี้ได้บอกว่าเธอเต็มไปด้วยพลังชีวิต!
และจากพลังเวทย์ที่เธอได้เริ่มปล่อยออกมาก็ได้ทำให้คนอื่นๆได้เริ่มที่จะควบคุมร่างกายตัวเองลำบากแล้ว
[นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน!]
[ฉันรู้สึกได้ถึงพลังของกองทัพปีศาจวิบัติ แต่ว่าเธอไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกของกองทัพปีศาจวิบัติแล้วงั้นหรอ!?]
[เธอปิดกั้นพลังนั้นไว้ แต่ได้ยังไงล่ะ…?]
ไม่ว่าจะกองทัพสวรรค์ กองทัพจรัสแสง สวนอาทิตย์อัสดง หรือกองทัพปีศาจวิบัติก็ไม่อาจจะซ่อนความตกตะลึงเอาไว้ได้เมื่อได้เห็นเฮเรียน่ายังคงมีชีวิตอยู่ดี มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ความสับสนนี้เพราะเขาคือคนที่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว!
“ในเมื่อเธอเผยตัวมาแล้ว ก็ยื้อหมอนั่นไปหน่อยนะ!”
[เข้าใจแล้วที่รัก]
[นี่เธอไปรับใช้สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำงั้นหรอ?… ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอใช้วิธีอะไรแต่ว่ามันน่าขยะแขยงมาก ฉันรู้สึกเหมือนกับถูกปั่นหัว]
ซาเทียได้จ้องไปที่ยูอิลฮานผู้ใช้เพลิงวิญญาณ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่กำลังกวาดล้างเทวดาตกสวรรค์ทั้งๆที่สนามรบกำลังสับสนกันอยู่
เป็นหมอนี่ ทุกๆอย่างได้เริ่มแปลกไปหลังจากที่เขาได้เริ่มแทรกแซงเรื่องราวระหว่างสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
[ตอนนี้ฉันจะต้องฆ่าเขาจริงๆแล้ว]
[ซาเทีย นาย จะ มา เล่น กับ ฉัน ใช่ ไหม!]
ปีกของซาเทียได้ถูกบีบบังคับให้หุบลง ระยะห่างระหว่างเฮเรียน่ากับซาเทียได้สั้นลงอย่างต่อเนื่อง นี้มันไม่ใช่เพราะเฮเรียน่าเข้าไปหา แต่เป็นซาเทียที่เข้ามาหาเธอเอง
[อ๊าา นังสารเลว]
[กรี๊ดด ฉันกลัวจัง]
เมื่อซาเทียได้รวมพลังความร้อนมาไว้ที่ตาและยิงออกมา สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่อยู่ฝั่งกองทัพปีศาจวิบัติ สวนอาทิตย์อัสดง และกองทัพจรัสแสงได้เข้ามาขวางกั้นลำแสงนี้เอาไว้เพื่อปกป้องเธอ ศพนับสิบได้โผล่ขึ้นมาในทันที
[นายนี่ฆ่าพวกเดียวกันได้โดยไม่ปราณีเลยนี่!]
[…!]
ปีกทั้งหมดของซาเทียได้หุบลง และดวงตาของเขาได้เรืองแสงขึ้นมาอีกครั้ง ลำแสงสองเส้นได้ถูกเล็งเป้าไปที่เฮเรียน่าอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่ามันก็ถูกสิ่งมีชีวิตชั้นสูงคนอื่นๆเบี่ยงออกไปอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามซาเทียก็ไม่ได้ถอย เขาได้ทำการโจมตีต่อไปในทันที เสียงกรีดร้องของเหล่าเทวดาตกสวรรค์ได้ดังออกมาพร้อมๆกับขนปีกสีดำที่ปลิวว่อนไปทั่ว
[ท่านซาเทีย!]
[เมตตาเราด้วย อ๊าาา!]
[ฮึ่ม]
ซาเทียได้สบถออกมา เขารู้ดีว่ายิ่งเขาลังเลก็มีแต่จะทำให้เสน่ห์ของเธอทรพลังมากขึ้น ซัคคิวบัสคือจ้าวแห่งจิตใจ วิธีที่ดีสุดที่จะเอาชนะเธอเลยก็คือการโจมตีไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดอะไร
[เรามาพนันกันดีกว่าว่าฉันจะดึงปีกของเธอได้ก่อน หรือว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดในสนามรบจะตายไปหมดก่อนที่ฉันจะทำสำเร็จ]
[ซาเทีย นายก็ยังกล้าหาญเหมือนเคยเลยนะ แล้วก็ยังรีบร้อนเหมือนเดิมอีกด้วย]
ไม่ว่าเสน่ห์ของเฮเรียน่าจะทรงพลังแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางที่จะควบคุมคลาส 7 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับในตอนนั้นที่เธอจัดการปีกที่ 8 ของกองทัพจรัสแสงนาเทียกับหัวหน้าผู้เฝ้าประตูเคลาทูคได้ก็เพราะเธอได้ทำให้ทั้งสองคนสู้กันเองจนเสียพลังไปทีล่ะนิด แล้วก็นอกไปจากนี้พลังในปัจจุบันของเธออ่อนแอกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย
นี่เป็นการต่อสู้ที่มีชื่อของกองทัพจรัสแสงเป็นเดิมพันแล้ว ต่อให้ลูกน้องทั้งหมดของเขาจะต้องตายไป เขาก็จะไม่มีวันทำให้ชื่อเสียงเขาต้องเสียหาย
ในเวลาเดียวกันนี้เองจู่ๆเฮเรียน่าก็หัวเราะออกมา
[ซาเทีย นายไม่คิดว่านายทำอะไรพลาดไปหรอ?]
[…อืม?]
[โอ้ นายลืมมันไปก็เพราะฉันสวยเกินไปสินะ?]
[ถ้านั้นเป็นคำพูดสุดท้ายแล้ว ถ้างั้นฉันก็จะฆ่า… อะไรกัน!?]
เขามีความคิดแค่ว่าจะต้องฆ่าเฮเรียน่าให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อนที่จะไปจัดการลบล้างยูอิลฮานให้หายไป แต่ว่าในจุดนี้เขาก็ได้ถูกปั่นหัวไปแล้ว เขาได้ลืมเรื่องสิ่งสำคัญที่สุดไป
ลองคิดดูสิว่าทำไมเฮเรียน่าถึงเผยตัวออกมาตั้งแต่แรก?
“ฉันเจอร่องรอยแล้ว!”
ใช้แล้ว นั่นก็เพื่อซื้อเวลาให้คังมิเรย์ได้สร้างประตูมิตินำไปสู่ฐานทัพหลักของกองทัพจรัสแสงไงล่ะ! หลังจากรู้ถึงเรื่องนี้สีหน้าของซาเทียได้ซีดลงไปทันที
[นี่มัน เวรเอ้ย!]
[ฮ่าๆๆๆ พอนายตกใจแบบนี้นายน่ารักมาเลยน้า]
เขาลืมมันไปได้ยังไงกัน? เดิมทีเขามาที่นี่เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงแห่กันเข้าไปในฐานทัพหลักของกองทัพจรัสแสงนะ
[นังสารเลว…]
[ถึงนายจะมองฉันด้วยสายตาที่ร้อนแรงแบบนี้น แต่เฮเรียน่าคนนี้ก็มีเจ้าของแล้วนะ น่าเสียดายย~]
[เธอกล้า เธอกล้าที่จะปั่นหัวปีกที่ 4 แห่งกองทัพจรัสแสง!]
[นี่มันนับว่าเป็นราคาที่ถูกมากเลยนะกับการที่มองหน้าฉันน่ะ]
เฮเรียน่าได้ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายเมื่อเจอกับจิตสังหารที่เลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งใด ราซีนีซัคคิวบัสคือบุคคลที่มักจะเล่นกับจิตใจผู้คนอยู่แล้ว มันไม่มีวันว่าพ่ายแพ้ในด้านนี้สำหรับเธอ! ไม่นานนักคังมิเรย์ก็ตะโกนขึ้นมา
“ฉันจะเปิดมันเดี๋ยวนี้แหละ!”
[เธอไม่กล้าหรอก!]
ซาเทียที่รู้ว่าเขาทำพลาดช้าไปนิดได้รีบระดมการโจมตีทั้งหมดเข้าใส่คังมิเรย์ แต่ว่าในตอนนี้ยูอิลฮานก็ได้กลับมาที่ป้อมปราการลอยฟ้าแล้ว
“ฮ่าหหหหห์”
โซ่วิญญาณที่เกิดมาจากการร่วงหล่นได้รวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นโล่ขนาดยักษ์ป้องกันการโจมตีของซาเทียก่อนที่จะหายไป ยูอิลฮานได้รู้สึกว่าการร่วงหล่นของเขาถูกบังคับให้ยกเลิกและส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
“ฟู่ เขาแข็งแกร่งเป็นบ้าเลย ตอนนี้ฉันยังไม่ยุ่งกับเจ้านี่ไม่ได้แน่”
[น่าทึ่งมากเลยที่ป้องกันการโจมตีของเขาได้ ที่รักเท่จังเลย…]
“ฉันไม่ได้ชอบเธอเลยจริงๆ”
“ฉันก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่ว่าเลียร่า เธอก็ไม่ได้ต่างกับเฮเรียน่ามากนักหรอกนะ”
[ให้ตายสิ… เวทย์ของฉันถูกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำป้องกันได้!]
ประจตูมิติได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติอยู่กลางอากาศแล้ว ตราบใดที่เวทย์นี้สมบูรณ์ ต่อให้จะเป็นซาเทียก็ไม่อาจจะฝืนทำลายมันได้
และหากโจมตีเขามาไม่ต้องพูดถึงการทำลายเลย การโจมตีของเขาจะมีแต่เป็นเชื้อเพลิงทำให้ประตูมิติขยายใหญ่ขึ้นไปอีก
[มะ…มันกำลังถูกเปิดแล้ว]
[มันกำลังถูกเปิดขึ้นมาจริงๆ]
[โลกของกองทัพจรัสแสง… โลกเบื้องล่าง]
ทุกๆคนในสนามรบได้ตกตะลึงขึ้นมา กองทัพจรัสแสงได้ซ่อนฐานทัพหลักไว้มานานมากแล้ว พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าโลกที่พวกเขาอยู่จะถูกเปิดเผยออกมาแบบนี้!
นับจากวินาทีที่ประตูมิติเปิดขึ้น พวกเราก็รู้สึกได้ถึงพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่อีกฟากหนึ่ง แต่ว่ากองทัพปีศาจวิบัติก็ไม่ได้ใจเพราะสัญชาตญาณได้อยู่เหนือเหตุผลพวกมันไปแล้ว
[ประตูมิติของนายหญิงเฮเรียน่าได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว!]
[คิฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ฝั่งนั้นดูน่าสนุกเหมือนกันนะ]
[ไปกันเถอะ ไปล่าเหยื่อที่เป็นเทวดาตกสวรรค์กันเถอะ!]
[พวกแม่งเม่าเอ้ย!]
เมื่อประตูมิติถูกเปิดขึ้นมาพันธมิตรของทั้งสามฝ่ายก็ได้พังลงไปแล้ว แม้ว่าตอนสร้างจะไม่มั่นคงนัก แต่ก็ไม่มีใครเคยคิดเลยว่ามันจะพังลงแบบนี้ เทวดาตกสวรรค์ได้รีบไปป้องกันประตูมิติเอาไว้อย่างตื่นตระหนกทันที แต่ว่านี่มันก็ไม่ต่างจากการเอาก้อนหินไปต้านทานคลื่นน้ำเลย ไม่ใช่แค่กองทัพปีศาจวิบัติเท่านั้นที่บุกเขาไปในประตูมิติ แต่แม้กระทั่งคนจากสวนอาทิตย์อัสดงก็ยังตามไปด้วย
[นี่มันน่าสนใจจริงๆ]
[ฟุฟุ นี่คือเวลาเลือกที่ตายของฉันสินะ? ฉันจะไปที่นั่น ฉันคิดว่าพระอาทิตย์ตกดินที่สรวงสวรรค์ของเทวดาตกสวรรค์มันคงจะเป็นที่ตายที่ดี!]
เรื่องทำนองนี้ได้ถูกกระจายออกไปในทนัที ตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนับร้อย นับพัน และยิ่งกว่านั้นกรูกันเข้าไปในประตูมิติตอย่างไม่สิ้นสุดลงแล้ว กองทัพปีศาจวิบัติได้ถูกสัญชาตญาณชักนำ ส่วนสวนอาทิตย์อัสดงได้ไปตามความตั้งใจของตน! เทวดาตกสวรรค์ได้รีบตัดสินใจออกมาทันที
[กลับ!]
[อ๊าา… พวกเราจะต้องกลับไปป้องกันประตูมิติของเรา]
[กองทัพปีศาจวิบัติ… เราจะไม่ลืมเรื่องนี้แน่!]
ร่างของเทวดาตกสวรรค์ได้ค่อยหายไปจากสนามรบ พวกเขาได้ล้มเลิกการโจมตีกองทัพสวรรค์และเลือกไปป้องกันที่อยู่ของพวกเขาแล้ว
ศัตรูหลักของกองทัพสวรรค์ กองทัพปีศาจวิบัติก็ได้กรูกันเข้าไปในโลกเบื้องล่างแล้ว และเพราะแบบนี้ในเมื่อทั้งสองฝ่ายล้มเลิกการโจมตีแล้วทำให้ไม่มีเหตุผลอะไรที่สวนอาทิตย์อัสดงจะต้องโจมตีกองทัพสวรรค์อีกเช่นกัน พวกเขาได้ตัดสินใจเข้าไปร่วมเฝ้ามองดูโลกของเทวดาตกสวรรค์แทน
[ยูอิลฮาน เฮเรียน่า…!]
แม้กระทั่งซาเทียก็ยังอยู่จนท้ายที่สุดเพื่อที่จะขวางทุกคนเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ได้ล้มเลิกและถอยกลับไปอยู่ดี แม้กระทั่งร่างของเขาเลือนลางไปแล้วเขาก็ยังคงมองมาที่สองคนนี้
[ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้แน่ ฉันจะเป็นคนมาตัดคอพวกเธอไปเอง]
[อย่าพึ่งไปสิ มาเล่นกันก่อนซาเทีย ถ้านายอยู่อีกนิดนายจะได้รู้ถึงเสน่ห์ของฉันไง!]
ในหัวของซาเทียได้มึนไปครู่หนึ่งเมื่อเฮเรียน่าขยิบตาให้เขา เธอไม่ได้พูดเกินไปเลย หากว่าเขาอยู่ที่นี่นานกว่านี้อีก เขาก็จะตกอยู่ในเสน่ห์ของเฮเรียน่าแน่
[อ๊าาา!]
ซาเทียได้สร้างความเสียหายกับตัวเองเพื่อเรียกสติกลับมาและตัดสินใจที่จะรีบจากไป เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทำให้ความโกลาหลก่อนหน้าของสนามรบได้สงบลง
ประตูมิติยังคงไม่ได้ปิดลง และคลื่นของกองทัพปีศาจวิบัติก็ยังไม่หมดลงเลย แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้มีใครพยายามบุกไปที่กองทัพสวรรค์ผ่านกำแพงแห่งความโกลาหลแล้ว
[นายทำมันจริงๆ…]
ทิเทร่าได้พึมพัมออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อตัวเอง แม้ว่าเธอจะเป็นหนึ่งในคนที่สร้างแผนนี้ขึ้นมา แต่ว่าเธอก็ไม่มั่นใจในพลังของตัวเองเลยว่าจะทำสำเร็จ จากนั้นเธอก็รีบหันไปข้างๆเขาทันที
[แล้วงั้น? ซัคคิวบัสนี่!]
[ฉันชื่อเฮเรียน่า!]
[อะ อึก]
เสน่ห์ปีศาจของเฮเรียน่าต่อให้จะเป็นเพศหญิงก็ไม่เว้นเช่นกัน ทิเทร่าได้พยายามไม่สนใจกับเฮเรียน่าและหันมาบ่นกับยูอิลฮาน
[เธอน่าจะตายไปแล้วนี่นา! แต่มันเป็นไปได้ยังไงกันที่เธอกลับมามีชีวิตอยู่ตรงนี้!? นอกไปจากนั้นฉันยังรู้สึกได้ถึงออร่าของกองทัพปีศาจวิบัติจากตัวเธอ แต่ว่าเธอกลับฆ่าคนในกองกำลังเดียวกันโดยไม่มีข้อเสียอะไรเลยนี่! ทั้งๆที่เธอขัดต่อกฏของพวกนั้นแล้วทำไมเธอถึงไม่ถูกไล่ออกจากกองทัพปีศาจวิบัติกันล่ะ!? ไม่สิ อย่างแรกเลยทำไมเธอถึงเชื่อฟังนายล่ะในเมื่อเธออยู่กองทัพวิบัติ!?]
“ลองคิดดูนะคุณทูตสวรรค์”
ยูอิลฮานได้ยักไหล่และตอบกลับมา
“เธอคิดว่าฉันจำเป็นต้องตอบคำถามเธอด้วยหรอ?”
[…]
“ฟู่”
ไม่ว่ายูอิลฮานกับทิเทร่าจะทะเลาะกันยังไงก็ตาม แต่คังมิเรย์ในตอนนี้ที่รู้สึกหมดพลังหลังจากทำหน้าที่สำเร็จได้ร่วงไปอยู่บนพื้นทันที ยูอิลฮานได้จับเธอเอาไว้ในขณะที่ตอบทิเทร่าที่มองเขาแบบน่ากลัวกลับไปสบายๆ
“เธอพยายามได้ดีมากมิเรย์ เวทย์ของเธอสมบูรณ์แบบเลย”
“…ขอบคุณนะ”
เธอได้หมดแรงไปทันทีจากการใช้เวทย์บทใหญ่ท่ามกลางเหล่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูง แต่แล้วเมื่อได้ยินคำพูดนี้ในอ้อมแขนของเขาก็ทำให้เธอฟื้นตัวกลับมาทันที
นายูนาได้มองมาที่เธอด้วยรอยยิ้มเหมือนกับรู้ว่าเธอกำลังรู้ยังยังไงอยู่ นี่ทำให้คังมิเรย์รู้สึกรำคาญใจมาก แต่ว่าเธอก็ตัดสินใจว่าจะอยู่แบบนี้ต่อไป แต่แล้วไม่ว่ายังไงก็ตามเมื่อยูอิลฮานช่วยให้เธอยืนได้แล้ว เขาก็ปล่อยมือจากเธอในทันที
“ดูเหมือนว่าข้อตกลงของเขาจะเสร็จสมบูรณ์แล้วนะ งั้นก็ไปเอาอาร์ติแฟคอีกอันกัน”
[เดี๋ยวก่อน อธิบายเรื่องเฮเรียน่ามานะ]
“ฉันก็บอกไปแล้วไงว่านี่ไม่ได้อยู่ในสัญญาของเรา มันก็เหมือนกับที่พวกเธอไม่ชอบส่งเทวทูตคลาส 7 มาช่วยนั่นแหละ…”
ระหว่างเขากำลังตอบทิเทร่ากลับไป ยูอิลฮานก็รู้สึกได้ถึงออร่าขนาดใหญ่สองจุดกำลังบินตรงมาในที่ที่พวกเขาอยู่
[เฮเรียน่า!]
[ก๊าซซซซ! เฮเรียน่า]
[โอ้ นี่มันลำบากแล้วสิ]
หลังจากที่ได้ยินเสียงคำรามที่ดังไปทั่วทั้งสนามรบเฮเรียน่าก็หยักไหล่ออกมา ยูอิลฮานได้หรี่ตาของเขาลงมา
“อธิบายมาซิ เฮเรียน่า”
[โอ้ ชิ คุณรู้ไหมว่านี่มันน่าอายนะ… อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสิค่ะที่รัก ฉันเคยบอกที่รักไปแล้วไม่ใช่หรอว่ามีผู้ชายเยอะแยะเลยที่ตกหลุมรักฉันแต่ไม่สมหวัง]
ในหมู่คนที่ตกหลุมรักเธอก็มีคลาส 7 ด้วย!? ยูอิลฮานอยากจะถามเรื่องนี้ออกไป แต่เขาก็ได้แต่เงียบ คนที่โผล่ออกมาได้พูดขึ้นมาเอง
[เธอยังมีชีวิตอยู่เฮเรียน่า!]
[ทำไมเธอถึงไปอยู่กับพวกนั้นล่ะเฮเรียน่า?]
ยูอิลฮานได้มองไปที่คลาส 7 สองคนที่เขาไม่อาจจะแตะต้องได้เลยและตะโกนขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสดชื่น
“หนีกันเถอะ!”
บทที่ 268 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (2)
ทุกๆคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อยูอิลฮานรู้ว่าผู้บัญชาการกองพันสองคนปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็ได้เปิดใช้งานข้ามมิติในทันทีด้วยการให้พันธมิตรของเขาทุกคนอยู่ในขอบเขตการข้ามมิตินี้
ผู้บัญชาการกองพันที่สองฮิลลููทูนที่รู้ได้ว่ายูอิลฮานได้ใช้สกิลก็ได้ร่ายเวทย์วงกล้างขึ้นมาแต่ก็ถูกเฮเรียน่าขัดเอาไว้ คังมิเรย์ได้ยกเลิกประตูมิติลง และคิมเยซอลได้ร่ายเวทย์ทำให้พื้นที่วงกว้างช้าลง ส่วนนายูนาได้อวยพรถึงเรย์น่า
“ช่วยเราด้วยท่านหญิงเรย์น่า!”
เมื่อนายูนามาถึงคลาส 4 การเปลื่ยนแปลงไม่ได้มีแค่อยากสองอย่างเท่านั้น และในตอนนี้เธอกำลังจะใช้พลังที่แกร่งที่สุดที่เธอเพิ่งจะได้มานั่นก็คือความสามารถในการสร้างปาฏิหาริย์ ในตอนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้ปกคลุมสนามรบ พลังของเรย์น่าได้เสริมพลังให้กับสกิลและเวทย์ในสนามรบนี้
พลังเวทย์ที่ถูกเสริมพลังก็คือเวทย์ของคิมเยซอล และสกิลที่ถูกเสริมพลังคือสกิลข้ามมิติของยูอิลฮาน ปฏิกิริยาของศัตรูจะช้าลงไปในขณะที่สกิลข้ามมิติทำงานเร็วขึ้น
[นี่มันอะไรกัน!?]
[เวทย์อ่อนแอนี่ไม่ได้ผลหรอก]
“ได้ผลสิ!”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติโดยที่มีเสียงของฮิลลูทูนทิ้งท้ายมาไว้ ทุกๆคนได้หายไปจากจุดที่เคยอยู่ราวกับไม่เคยอยู่มาก่อน นี่ก็รวมถึงพวกทูตสวรรค์อย่างทิเทร่าเช่นเดียวกัน
[นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน…]
ฮิลลูทูนได้พึมพัมออกมาอย่างตกตะลึงที่เขาพลาดกับเฮเรียน่าทั้งๆที่เธออยู่ใกล้เขาแค่ปลายนิ้วสัมผัส ผู้บัญชาการกองพันที่ 6 เบลคาทูที่มาด้วยก็ได้ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
[เธอยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือเธอแน่นอน!]
[ยังไงก็ตาม เธอไม่ใช่กองทัพปีศาจวิบัติแล้ว… ในตอนนี้เธอเป็นเพียงคนนอกที่มีพลังของกอทัพปีศาจวิบัติ แล้วก็นอกจากนี้…!]
ฮิลลูทูนได้เห็นท่าทางที่เฮเรียน่ามีต่อยูอิลฮานอย่างชัดเจน นี่มันต่างไปจากเฮเรียน่าที่เขารู้จักมาก ตามปกติแล้วเธอมักจะปั่นหัวผู้ชายเล่นและฆ่าคนพวกนั้น
[ยูอิลฮาน เป็นเพราะเจ้านี่ มันเป็นคนทำ…!]
[มันจะเป็นไปได้ยังไงกันที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจะควบคุมเธอได้น่ะ? หรือว่าเขาคือพระเจ้าคนที่ 5 จริงๆ?]
[มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นพระเจ้าคนที่ 5 หรือ 6 มันจะต้องตายภายในเงื้อมมือฉันแน่นอน…]
ฮิลลูทูนได้มองไปที่กำแพงขนาดยักษ์ที่ตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า กำแพงนี้มันไม่น่าพอใจเอามากๆ มันเป็นกำกแพงที่ทำให้พวกเขาไม่อาจจะข้ามไปอีกฝั่งได้ พวกเขาได้เห็นถึงรูรั่วที่กำลังซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนคนที่มุ่งหน้าไปที่โลกเบื้องหน้าก็จะไม่ได้กลับมาอีก แต่กลับกันพวกเขาก็จะได้รับบันทึกที่เกี่ยวข้องกับโลกเบี้องล่างนั่น การที่ฐานทัพหลักของกองทัพจรัสแสงถูกเผยออกมาแบบนี้ ดูเหมือนว่าสงครามครั้งใหญ่จริงๆใกล้จะปะทุออกมาแล้ว และบางทีพวกที่ระดับสูงกว่านี้ก็อาจจะโผล่ออกมาได้ตลอดเวลา ความโกลาหลวุ่นวายจากสงครามนี่แหละคือสิ่งที่กองทัพปีศาจวิบัติต้องการให้มาถึงมากที่สุด!
เพราะแบบนี้ในมุมมองของกองทัพปีศาจวิบัติแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร ปัญหาจะมีก็แค่เรื่องเดียวก็คือการแก้แค้น เขาจะต้องหาตัวยูอิลฮานให้ได้ก่อนหน้านั้นและจากนั้น…!
[ฮิลลูทูน!]
[ยูอิลฮาน…!]
ฮิลลูทูนได้กัดฟันแน่นพึมพัมออกมา พลังเวทย์สีดำมืดได้ปะทุขึ้นมาจากร่างเข้าเพื่อแสดงถึงอารมณ์ของเขาอย่างขัดเจน
[แกหนีรอดไปได้ไม่ตลอดหรอกนะ เจ้าเมล็ดพันธ์สารเลวนั่น…!]
ในขณะเดียวกันที่ที่ยูอิลฮานกับกลุ่มของเขามาถึงก็คือที่สวรรค์ ข้ามมิติเป็นสกิลที่จะทำให้เขากระโดดข้ามมิติมาได้ และรวมถึงในโลกเดียวกันเขาก็ไปได้เช่นกัน
[สะ สวรรค์?]
[พวกเรายังไม่ตาย]
[เราเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวนั่นมาได้…!]
ทูตสวรรค์ต่างก็สะบัดปีกันอย่างดีใจ โดยเฉพาะทิเทร่าที่เชื่อว่ายูอิลฮานจะปล่อยให้พวกเธอตายไปซะแล้ว พวกเธอได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาหลังจากที่รู้ตัวว่าได้กลับมาที่สวรรค์อย่างปลอดภัย
[ขอบคุณที่ช่วยเราไว้นะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีสัญญาต่อกันแล้วก็ตาม]
“อ่า นี่มันก็แค่การบริการเพราะว่าหากฉันทิ้งพวกเธอไว้ที่นั่นฉันก็ไม่มีใครพามาเอาอาร์ติแฟคสิ”
[อย่างน้อยก็ช่วยพูดอะไรที่ดีกว่านี้หน่อยนะ…]
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรจะหวังจากผู้โดดเดี่ยวอย่างยูอิลฮานเลย เขาไม่เคยรู้วิธีเข้าหาคนอื่นดีๆเลยสักนิด และต่อให้เขารู้เขาก็ไม่ทำอยู่ดี! เขาได้เมินสายตาจากทิเทร่าที่จ้องเขม็งมาและมองไปที่กำแพงแห่งความโกลาหลที่อยู่ไหลออกไป ก่อนที่จะหันหน้ากลับมาสั่งเฮเรียน่า
“ตอนนี้ก็กลับไปได้แล้ว ถ้าหากพวกนั้นเริ่มตามมาอีกหลังจากสัมผัสได้ถึงออร่าของเธออีกมันจะน่ารำคาญแน่”
[ที่รักนี่ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ… ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็ไม่ชอบให้ที่รักมองฉันแบบนั้น]
[เดี๋ยวก่อน เฮเรีย…]
ก่อนที่ทูตสวรรค์จะได้ดึงตัวเฮเรียน่าไว้ เธอก็ได้เข้าไปในคฤหาสน์แล้ว เธอจะไม่มีทางออกมาอีกจนกว่าที่ยูอิลฮานจะบอกเธอ ทิเทร่าได้เริ่มหันไปมองยูอิลฮานอย่างจริงจัง
[ยูอิลฮาน นายไม่คิดจะอธิบายอะไรเลยใช่ไหม?]
“กองทัพระดับสูงและแข็งแกร่งอย่างกองทัพสวรรค์ได้รู้ถึงการมีอยู่ของเฮเรียน่าแล้ว สิ่งสำคัญก็คือเธอไม่ได้อยู่ฝั่งกองทัพปีศาจวิบัติอีกต่อไปแล้ว เธอก็เห็นนี่ ช่วยจ่ายค่าตอบแทนมาให้ฉันได้แล้ว”
[…เข้าใจแล้ว งั้นช่วยตามฉันมา]
ยูอิลฮานกับกลุ่มของเขาได้ย้อนกลับมาเจอรีเซลอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามในคราวนี้ทัศนคติที่รีเซลมีต่อเขาได้ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
รีเซลไม่ได้หยิ่งและเอาแต่เทศให้เขาฟังเหมือนครั้งที่แล้วอีกแล้ว จะมีมาแทนก็แต่ความตกใจและสงสัย บวกกับความหวังด้วย
[…นี่คือความสามารถในการคืนชีพงั้นหรอ?]
“ไม่ละ ไม่ว่านายจะอยากได้อะไรจากฉัน คำตอบคือไม่ คืนชีพงั้นหรอ? อย่างที่เห็นฉันยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอยู่เลยนะ”
[คงงั้นแหละมั้ง…]
รีเซลได้แต่คอตกลงไปอย่างหมดแรง ยังไงก็ตามไม่นานนักเขาก็เงยหน้าขึ้นมาโดยที่ไม่มีความเป็นศัตรูกับยูอิลฮานอยู่เลย
[เราไม่ได้รับเงื่อนไขใดๆถึงอาร์ติแฟคระดับพระเจ้าชิ้นที่สอง แน่นอนว่าเราก็ไม่ได้มีอาร์ติแฟคระดับนั้นมากมายในคลังสมบัติ… แต่ฉันจะเลือกอันที่เหมาะสมกับนายที่สุดให้ นี่เป็นค่าตอบแทนที่นายได้ลดการสูญเสียทูตสวรรค์ได้มากที่สุดในระหว่างความวุ่นวายและความสำเร็จในครั้งนี้]
คลังสมบัติได้ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้เห็นสิ่งที่ลอยออกมาได้ทำให้ยูอิลฮานเผลอพึมพัมออกมา
“หินพลังเวทย์?”
อัญมณีสีแดงที่ถูกบีบอัดจนกลายมามีขนาดเท่ากำปั้นของยูอิลฮาน ภายในอัญมณีนี้มีมานาที่ร้อนแรงกำลังโหมกระหน่ำราวกับปลุกเร้าพลังเพลิงในตัวยูอิลฮาน นี่คือพลังงานบริสุทธิ์ที่ตกผลึกขึ้นมา แล้วพลังงานนั้นก็คือพลังเพลิงอีกด้วย สำหรับของแบบนี้แล้วคำว่าหินพลังเวทย์คือเหมาะสมที่สุด
ยังไงก็ตามเทวทูตได้ส่ายหัวออกมา
[นี่คืออาร์ติแฟคที่ทำขึ้นมาจากหินพลังเวทย์]
ดูเหมือนว่าจะมีคนพยายามทำให้หินพลังเวทย์มาเป็นอาร์ติแฟคมาก่อนที่ยูอิลฮานจะเริ่มทำ ยูอิลฮานได้ยอมรับด้วยสายตาสงสัย… ยังไงก็ตามเขาก็ได้รู้ถึงเรื่องหนึ่งเมื่อมองมันใกล้ๆ
“นี่มันไม่ได้ถูกทำให้เป็นอาร์ติแฟค แต่มันเป็นหินพลังเวทย์ที่กลายมาเป็นอาร์ติแฟคเองตามธรรมชาติ?”
[นายพูดถูกแล้ว ในเมื่อนายมองมันออกขนาดนี้ ก็สมควรแล้วล่ะที่นายจะได้กลายมาเป็นเจ้าของของหัวใจแห่งเพลิง]
“หัวใจแห่งเพลิง…”
นี่มันคงจะเป็นอาร์ติแฟคที่มีความหมายกับยูอิลฮานที่ได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิงแน่นอน ไม่สิ คงต้องพูดว่าเป็นอาร์ติแฟคที่ไร้ความหมายสำหรับคนอื่นๆจะถูกกว่า
[หัวใจแห่งเพลิง]
[ระดับ – พระเจ้า]
[ความทนทาน – ไม่อาจทำลายได้]
[เงื่อนไขการใช้งาน – จะต้องได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิง]
[หินพลังเวทย์จากนกฟินิกซ์ที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตพลังคลาส 7 ที่ได้ดูดซับพลังมานามาจากโลกระดับสูงมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีจนเกิดเป็นแบบนี้ขึ้น ใครกันล่ะที่จะสามารถควบคุมและใช้พลังงานความร้อนที่ถูกเก็บไว้ภายในได้?]
ยูอิลฮานได้หันไปถามรีเซลด้วยรอยยิ้ม
“แล้วนี่พวกนายมีอาร์ติแฟคที่มีแค่คนที่ได้รับพรจากเทพแห่งคำสาป เทพธิดาแห่งความงาม แล้วก็เทพแห่งความรักป่ะ?”
[ฉันรู้นะว่าทำไมนายถึงถามแบบนั้น แต่ว่าไม่มีแล้วล่ะ ไม่สิ ทำไมกลุ่มนายถึงได้มีคนที่ได้รับพรเยอะแบบนีล่ะ? เดิมทีการได้รับพรจากบันทึกแห่งเทพมันไม่ใช่เรื่องปกติเลยนะ… หรือว่าบางที]
รีเซลได้มองมาที่ใบหน้าของยูอิลฮาน นี่ทำให้ยูอิลฮานรู้สึกแย่จนต้องก้าวถอยออกไป ตอนนี้เองรีเซลก็ส่งเสียงฮึ่มออกมา
[ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องจริงอยู่แล้วล่ะ]
“แทนที่นายจะพูดคำพูดชวนสงสัยแบบนี้ นายก็ควรจะเอาอะไรดีๆมาให้ฉันดีกว่านะ”
[หา!]
เพราะความรำคาญนี้ทำให้รีเซลถึงกับต้องยกนิ้วกลางให้กับยูอิลฮาน
[ไปตามทางของนายได้แล้ว ฉันมีของให้นายแค่นี้แหละ แล้วก็นะเทวทูตสคนอื่นๆจะต้องไม่ชอบที่นายมีสมาชิกของกองทัพปีศาจวิบัติอยู่ด้วยแน่]
“นี่แสดงว่าพวกเขาไม่มีเวลามาป้องกันกำแพงแห่งความโกลาหล แต่กลับมีเวลามาดูฉันเนี้ยนะ? เป็นเกียรติจริงๆเลย”
[อ๊า….!]
รีเซลได้เงียบลงไป แม้แต่เทวทูตคลาส 7 ก็ยังด้อยกว่ายูอิลฮานในเรื่องฝีปาก! หลังจากที่ยูอิลฮานได้ทำให้เขาเงียบไปแล้ว ยูอิลฮานก็หันกลับไปหาพรรคพวกและประกาศออกมา
“ถ้างั้นกลับโลกกันเถอะ เรายังมีอีกหลายอย่างต่อทำ”
[ไปเลย ชิ่ว!]
“น่าทึ่งจริงๆ เขาถึงขนาดสร้างความเสียหายต่อจิตใจคลาส 7 ได้”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติโดยที่ไม่สนใจคำพูดของเลียร่า ในเมื่อตอนนี้เขาได้กลับมารวมกับคังมิเรย์แล้ว มันก็คงจะถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องไปหาคนอื่นๆบบนโลก นี่คือจุดเริ่มต้นของแผนที่แท้จริงที่ยูอิลฮานได้คิดจะทำ!
“ทิเทร่า ไว้เจอกันใหม่นะ”
[โอเค เลียร่า ขอให้เธอมีความสุขนะ]
“ฉันก็อยากจะจัดการกับเกราะของฉันนะ แต่ว่าฉันคงจะต้องรอไปก่อน…”
ในระหว่างของให้สกิลข้ามมิติทำงานเสร็จสิ้น ยูอิลฮานก็นึกได้ถึงเรื่องหนึ่ง
‘หา นึกออกแล้ว ฉันอยากจะใช้หัวใจมังกรทำรูปแบบสุดท้ายของเกราะ’
ยังไงก็ตามขู่ๆเขาก็ได้รับวัตถุดิบใหม่มากอย่างไม่คาดคิด นั่นคือหัวใจแห่งเพลิง ถ้างั้นตอนนี้เขาควรจะทำยังไงกับมันดี? หรือว่าเอาหัวใจมังกรของอิชจาร์ไปใช้ทำอย่างอื่น?
‘…ไม่ ทำแบบนั้นไม่ได้’
ทั้งเพลิงและมังกรคือวัตถุดิบที่เหมาะสมกับเขาที่สุดแล้ว ถ้าเขาปล่อยมันทิ้งไปไม่ได้งั้นก็ใช้มันทั้งคู่นั่นแหละ
นี่คือวินาทีที่ยูอิลฮานได้ตัดสินใจที่จะสร้างอาร์ติแฟคที่มีแกนหลักแบบคู่
ระหว่างที่ยูอิลฮานกำลังออกแบบแนวคิดสำหรับการใช้แกนหลักอาร์ติแฟคแบบคู่นี้อยู่ คำว่า ‘นรก’ ที่แท้จริงก็ได้เกิดขึ้นอยู่ภายในฐานทัพหลักของกองทัพจรัสแสง โลกเบื้องล่าง
[ก๊าซซซซซซซซ!]
[อ๊าาา! มันเจ็บ เจ็บ!]
[อ๊ากกกกกกกกกก!]
สิ่งมีชีวิตชั้นสูงจำนวนนับไม่ถ้วนได้กรูกันเข้ามาในโลกเบื้องล่างในเวลาสั้นๆที่ประตูมิติเปิดขึ้น พวกมันได้เริ่มสร้างความวุ่นวายขึ้นภายในโลกเบื้องล่างทันที
อย่างแรกเลยคือผู้ล่าอย่างกองทัพปีศาจวิบัติได้เข้าไปกินทุกๆอย่างที่มองเห็นทันที และผู้เฝ้าประตูสวนอาทิตย์อัสดงก็ได้ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถวิเคราะห์ถึงข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ แถมยังมีทูตสวรรค์อยู่บางคนเช่นกันที่ทำเหมือนๆกับสวนอาทิตย์อัสดง
[พวกหนอนแมลง!]
ซาเทียรวมไปถึงผู้บัญชาการกองพันที่ 7 ของกองทัพจรัสแสงได้เร่งรีบกวาดล้างพวกนี้ออกไป แต่ว่าข้อมูลของโลกพวกเขาได้รั่วไหลออกไปแล้วด้วย ยิ่งไปต้องพูดถึงความเสียหายของเทวดาตกสวรรค์ที่ตายไปจากการบุกที่กระทันหันของกองทัพปีศาจวิบัติอีก
[เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตโง่เง่า พวกกองทัพปีศาจวิบัติ ยอมถูกศัตรูปั่นหัวทั้งๆที่รู้ดีว่าจะต้องเจอหายนะ!]
[เคะๆ พวกเราทุกคนมุ่งสู่การทำลายเสมอ ทุกๆคนรวมไปถึงนายใหญ่ยิ่งชอบที่สุดเลย]
นี่คือความผิดพลาดของพวกเขาที่ไปร่วมมือกับกองทัพปีศาจวิบัติบุกกองทัพสวรรค์! เทวดาตกสวรรค์ได้แต่กัดฟันเข้าโจมตีพวกมัน สำหรับในอนาคตอันใกล้นี้พวกเขาจะไม่มีวันร่วมมือกันอีกแน่
[…น่ารำคาญจริงๆเลย]
และในตอนนี้เองได้มีเสียงที่สง่างามดังกังวาลขึ้นไปทั่วทั้งสนามรบและทันใดนั้นทั่วทั้งโลกก็มืดลง โลกในตอนนี้ได้ไร้ซึ่งแสงใดๆและแม้กระทั่งมานาในอากาศก็หยุดนิ่งลง
[โอ้]
ซาเทียที่รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นได้รีบหุบปีกคุกเข่าลง ปีกแห่งกองทัพจรัสแสงคนอื่นๆและเทวดาตกสวรรค์ต่างก็ทำตามเขาทั้งหมด และแน่นอนว่าสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็ไม่อาจจะขยับตัวได้เลย
[เราไม่ตั้งใจรบกวนท่าน]
ซาเทียได้พูดขึ้นราวกับจะแก้ตัว เสียงที่สง่างามก็ได้ตอบกลับมา
[ไม่ ไม่หรอก ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ โอ้ ในที่สุดโลกเบื้องล่างก็มีแขกมาเยือนแล้ว ดูเหมือนว่านับจากนี้ไปสิ่งต่างๆจะยิ่งน่ารำคาญขึ้นอีก]
[…นี่มันไม่จำเป็นต้องถึงมีท่านหรอกครับ พวกเราจะจัดการมันเอง]
[หืมมมม แต่ว่าถ้าพวกนายตายกันไปหมดจะยิ่งน่ารำคาญกว่าเดิมอีกนะ นาเทียก็ยังตายไปแล้วนี่…]
[เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก]
เมื่อได้รับการยืนยันจากซาเทีย เสียงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ
[ได้ ฉันจะเชื่อใจนาย]
[ขอบพระคุณสำหรับความกรุณาของท่าน]
[แล้วก็นะ]
[โปรดสั่งมาเลย]
[คนๆนั้นน่ะ อย่าไปแตะต้องเขา]
[‘คนๆนั้น’ นี่คือ?]
[มนุษย์ โลก ยูอิลฮาน]
ลมหายใจซาเทียได้หยุดนิ่งลงไป มันไม่มีทางที่นายท่านของพวกเขาจะไม่รู้ แต่ว่า…
[เขาคือคนที่ห้า ฉันมั่นใจในเรื่องนี้… ฉันจะปล่อยให้สิ่งที่ฉันสนใจถูกทำลายไปไม่ได้ เพราะแบบนั้นปล่อยคนๆนั้นเอาไว้ ฉันอยากจะรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้จริงๆ]
[…เข้าใจแล้วครับ]
[ดีมาก ถ้าจำเป็น ฉันจะอนุญาติให้มีการปะทะเต็มกำลังกับกองกำลังอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าพวกนกพิราบ (ทูตสวรรค์) พวกนั้น]
[ครับท่าน]
จากนั้นเสียงๆนี้ก็ไม่ดังขึ้นมาอีก ซาเทียได้ลุกขึ้นยืนในทันทีที่รู้สึกได้ว่าออร่าของผู้ปกครองได้หายไปแล้ว
ร่างของผู้ที่บุกเข้ามาก็ได้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน หรือไม่บางทีก็ถูกความมืดหลอมละลายจนหายไปเอง
บทที่ 269 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (3)
“ตอนนี้ฉันจะขอพูดถึงแผนการในอนาคตนะ”
ยูอิลฮานได้พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาเพื่อให้ทุกๆคนหันมาหาเขาไม่เว้นแม้แต่แม่และลูกของเขา
“จากที่ฉันรู้สึกในตอนนี้ โลกของเราพัฒนาขึ้นไปเร็วมากๆจนน่ากลัว…”
ทุกคนต่างก็หงกหัว นับจากที่โลกได้เจอกับมหาภัยพิบัติขั้นที่ 3 ก็ยังผ่านมาไม่นานนักเลย แต่ยังไงก็ตามความเข้นข้มมานาของโลกพวกเขากลับมากยิ่งกว่าโลกส่วนใหญ่ที่อยู่ในมหาภัยพิบัติขั้นที่ 4 ซะอีก
แล้วก็นับตั้งแต่ที่ดันเจี้ยนนรกหายไปก็ได้มีมอนสเตอร์ปีศาจทุกชนิดเดินเพ่นพล่านไปมาซึ่งทำให้ความเร็วในการพัฒนาของโลกยิ่งถูกเร่งขึ้นไปอีก แค่ไปเดินเล่นอยู่บนโลกใบนี้ก็จะเจอมอนสเตอร์คลาส 4 ที่นับเป็นหายนะได้ง่ายเป็นอย่างมาก
“เดิมทีฉันก็พยายามจะเร่งความเร็วในการพัฒนาของโลกขึ้น ฉันอยากจะให้คนอื่นๆที่ถูกส่งไปโลกอื่นได้กลับมาที่โลกเดิม ยังไงก็ตามมันกลับได้ผลดีเกินไปนิด แล้วก็จากสภาพในตอนนี้…”
หากเป็นแบบนี้ต่อไปในไม่อีกกี่ปีโลกของเขาก็จะกลายมาเป็นโลกระดับสูงแน่นอน และการผนึกบนโลกก็จะหายไปทำให้คนอื่นๆกลับมาที่ลกได้ตามที่ยูอิลฮานต้องการ แต่ว่าคนที่กลับมาก็คงจะโดนมอนสเตอร์ที่น่ากลัวบนโลกกวาดล้างทิ้งจนหมดแน่นอน นี่มันคือสถานการณ์ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
เพราะแบบนี้ทำให้เขาจำเป็นต้องปรับเปลื่ยนแผน
“มีสองเรื่องหลักๆที่เราต้องทำ อย่างแรกเลยก็คือทำให้การพัฒนาของโลกช้าลง และฉันก็คิดว่าฉันน่าจะแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้ด้วยอาร์ติแฟคที่ฉันสร้างบวกเขากันกับการช่วยเหลือจากจอมเวทย์ที่นี่ แล้วก็ฉันจะใช้นาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาในทันทีที่มันใช้งานได้”
“หา? นี่มันคือการชะลอการพัฒนาของโลกทั้งโลกเลยนะ แต่นายกลับพูดเหมือนเรื่องง่ายๆ”
“ในเมื่อการเร่งการพัฒนามันไม่ได้ยากเลย เพราะงั้นนี่ก็ไม่ต่างกันหรอกสำหรับฉัน”
ก่อนหน้านี้ยูอิลฮานไม่ได้คุ้นเคยกับเวทมนต์ แต่ว่าในตอนนี้เขาได้มีจอมเวทย์ผู้เชี่ยวชาญมากมายมาอยู่ข้างตัวแล้ว มีทั้งคิมเยซอล คังมิเรย์ แล้วก็เอิลต้า
แถมยังมีเฮเรียน่าที่เป็นสุดยอดในด้านนี้อีกด้วย ถึงแม้ว่าการไปคุยกับเธอมันจะน่ารำคาญกตาม แต่ไม่ว่ายังไงหากพึ่งจอมเวทย์ทั้งสี่คนนี้เขาคิดว่าเขาทำได้สำเร็จแน่นอน
“เรื่องที่สองก็คือกองกำลังและยกระดับพลังต่อสู้ให้สูงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อนที่โลกจะกลายเป็นโลกระดับสูง หากไม่เช่นนั้นเราจะต่อสู้กับผู้บุกรุกที่จะเข้ามาไม่ไแน่ ตอนนี้เรามีกองกำลังอยู่คือกองทัพมังกรเท่านั้น…. นับจากนี้ไปฉันคิดที่จะเดินทางไปในโลกต่างๆที่คนบนโลกเราเชื่อมต่ออยู่เพื่อไปค้นหาพันธมิตร”
“ลูกรัก อิลฮานของแม่คนนี้กำลังพูดว่าเขาจะไปหาพันธมิตรด้วยตัวเองล่ะ…!”
“ช่วยอย่ามองผมเหมือนเด็กหัดเดินสิ!”
หนึ่งคนที่สามารถจัดการกับยูอิลฮานได้เลยก็คือคิมเยซอลคนนี้นี่แหละ ยูอิลฮานได้พยายามโต้กลับไปเท่าที่ทำได้และพูดต่อออกไป
“แต่ปกติแล้วมันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปในทุกๆโลกที่คนบนโลกเขากระจายอยู่ อย่างแรกฉันก็เลยวางแผนที่จะไปหาคนที่อยู่ในกองกำลังพันธมิตรแนวหน้าก่อน โชคดีที่ตอนนี้มิเรย์ก็ได้รับความสามารถในการไปโลกอื่นมาแล้วอีกด้วยทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นมา”
“นั่นมันหมายความว่า-“
“ใช่แล้ว”
เมื่อคาดเดาถึงคำตอบได้สีหน้าคังมิเรย์ได้มืดมนลงไปทันที ยังไงก็ตามยูอิลฮานที่ไร้ปราณีก็ได้พูดต่อไปอย่างไร้ความลังเล
“ฉันกำลังคิดที่จะแบ่งคนออกไป ฉันจะอยู่ในป้อมปราการผู้พิทักษ์ และคังมิเรย์จะอยู่บนป้อมปราการลอยฟ้า เพื่อที่จะซ่อนตัวนั้นมิลก็จะต้องไปอยู่บนป้อมปราการลอยฟ้าด้วย แล้วก็สำหรับคนที่เหลือจะถูกแบ่งออกไปสองฝั่งอย่างเหมาะสม…”
เมื่อยูอิลฮานได้พูดแบบนี้ก็ได้ทำให้เกิดการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น นี่มันเหมือนกับสงครามจิตวิทยา! แต่ก่อนหน้านั้นเองยูอิลฮานก็ได้หยิบเอากระดาษออกมาราวกับจะสาดน้ำเย็นใส่หัวทุกคน
“…ฉันได้แบ่งรายชื่อตามเลเวลแล้วก็คลาสเอาไว้ในกระดาษใบนี้แล้ว”
“…”
ทุกๆคนได้มองมาที่ยูอิลฮานราวกับพวกเขาถูกทรยศ แต่ว่ายูอิลฮานก็ไม่ได้อนุญาติให้ใครได้มีข้อโต้แย้งสักนิดเดียว
ยูอิลฮานได้ให้สมาชิกทุกๆคนที่อยู่ตั้งแต่คลาส 4 ขึ้นไปให้อยู่กับคังมิเรย์ แต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นกันนั้นคือเฮเรียน่ากับคิมเยซอลจะอยู่กับเขา และเขาก็จะบังคับใช้รายชื่อนี้ต่อให้เลียร่าจะประท้วงอย่างเต็มกำลังก็ตาม
“ระวังตัวด้วยนะเลียร่า”
“อ๊าาาาาาา กับคนอื่นที่ไปกับนายฉันไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่ทำไมนายถึงพาซัคคิวบัสนี่ไปด้วย!”
[โอ้ คุณอดีตทูตสวรรค์คงจะกังวลมากสิน้า?]
เฮเรียน่าได้แสยะยิ้มให้กับเลียร่าเมื่อเห็นเธอประท้วงออกมา รอยยิ้มนี้ของเฮเรียน่าได้ทำให้สเปียร่าโกรธมากยิ่งขึ้นอีก
“ใช่ ฉันกังวลมาก! ทำไมนายถึงให้ฉันไปกับคังมิเรย์แต่พาซัคคิวนี่ไปล่ะ!”
[ยังต้องให้ฉันพูดอีกหรอ? มันชัดเจนแล้วว่านี่เพราะที่รักชอบ…]
“นั่นก็เพราะการมีเธออยู่นี่เหมือนกับระเบิดทำให้ฉันเลือกจะระมัดระวังเอาไว้ แล้วก็ในเมื่อมีฉันกับเฮเรียน่าอยู่แล้ว ฉันก็ได้ส่งคนที่เหลือให้ไปอยู่กับมิเรย์ไงล่ะ”
ยูอิลฮานได้บอกไปอย่างเย็นชาและหนักแน่นจากการที่เฮเรียน่าล้อเล่นออกมา เฮเรียน่าได้ส่งเสียงไม่พอใจออกมาเนื่องจากเขาเรียกเธอว่าระเบิดเวลา
[ฉันก็แค่บอกว่าฉันอยากปกป้องที่รักเอง ที่รักนี่ขี้อายจริงๆ]
“ถ้างั้นเราจะไปกันแบบนี้นะ โอ้ เดี๋ยวก่อนนะ นี่อุปกรณ์สื่อสาร”
ยูอิลฮานได้แจกอุปกรณ์สื่อสารอันใหม่ไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ต่างจากอันเก่าเลย แต่ว่าออร่าที่อยู่ภายในของมันได้กระตุ้นกับอดีตทูตสวรรค์อย่างมาก
“อิลฮาน นี่มัน…”
“วงแหวนทูตสวรรค์!?”
ก่อนที่เลียร่าจะได้พูดจบ เอิลต้าก็ตะโกนขึ้นมาแทน ยูอิลฮานทำเพียงแค่ยิ้มอย่างสดใสกับความตกตะลึงของพวกเธอเท่านั้นเอง
“ฉันหาวิธีที่ดีกว่าการส่งความคิดผ่านมิติไม่ได้ แต่ว่ามันก็ยังสามารถที่จะทำให้เราติดต่อกันได้ต่อให้อยู่ในมิติต่างกันได้อยู่ดี!”
“ยูอิลฮาน นายควรจะรู้นะว่าเรื่องนี้มัน… อ๊าาา!”
“หืมมม ถึงจะน่ารำคาญนิดๆแต่ในเมื่อฉันคุยกับยูอิลฮานได้ทั้งๆที่เราห่างกันก็ไม่เป็นไรแล้ว…”
“ไม่! ฉันไม่ยอมรับเรื่องนี้”
แต่ว่าเอิลต้ากลับไม่ยอมรับในเรื่องนี้ทำให้ยูอิลฮานเลียริมฝีปากของเขาและยื่นมือออกไป
“งั้นก็ส่งมันคือมา…”
“นั่นมัน…”
เอิลต้าได้คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดเธอก็เก็บเครื่องมือสื่อสารนี่ลงไป เพราะแบบนี้ทำให้ยูอิลฮานหัวเราะออกมาและสรุปทุกอย่างอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้างั้นเราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย ฉันคิดว่าถ้ามิเรย์กับคนอื่นๆไปดูครอบครัวตัวเองเป็นอย่างแรกก็น่าจะดีนะ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ เราจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว”
“นายจะต้องติดต่อมาหาฉันอย่างน้อยสามครั้งต่อวันนะ นอกไปจากนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องบอกฉันทันทีเลยนะ ฉันจะไปที่นั่นทันทีเลย”
“เข้าใจแล้ว”
“อิลฮาน ถ้านายนอกใจฉัน ฉันฆ่านายแน่! ด้วยพรจากเทพแห่งความรักจะทำให้ฉันรู้แน่นอน”
“เธอไม่ต้องห่วงเลย เธอน่ะเป็นคนเดียวในใจฉัน”
ทั้งสองกลุ่มได้ถูกแย่งกันแล้ว เหตุผลที่เขาออกมาจากป้อมปราการลอยฟ้าก็เพราะว่าอุปกรณ์ของป้อมปราการลอยฟ้านั้นดีกว่าป้อมปราการผู้พิทักษ์และยังเพราะว่าป้อมปราการลอยฟ้ามีมิสทิคคอยควบคุมแทนเขาได้ด้วย ส่วนป้อมปราการผู้พิทักษ์เดิมทีแล้วถูกออกแบบมาให้ถูกป้อมปราการลอยฟ้าควบคุม แต่ว่าฟังก์ชั่นนั้นก็ถูกออกแบบมาจากยูอิลฮาน ทำให้เขาสามารถจะปรับแก้มันได้ตามต้องการ ดังนั้นนี่จึงไม่เป็นปัญหาเลย
“ถ้างั้นแผนแรกของลูกคืออะไรล่ะ?”
เมื่อคังมิเรย์กับพรรคพวกได้จากไปแล้ว คิมเยซอลก็ได้หันมาถามลูกของเธอ ยูอิลฮานได้หยักไหล่ออกมาและตอบกลับไป
“ผมจะไปรวบรวมคนที่มีความรับผิดชอบที่สุดที่ผมรู้จัก แล้วพวกนั้นก็ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งพอๆกับกิลด์ระดับสูงด้วย
“แข็งแกร่งพอๆกับกิลด์ระดับสูง? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้,กบอกว่าเป้าหมายตอนแรกคือพวกกิลด์หรอกหรอ?”
“ใช่แล้วครับ แต่ว่าคนพวกนี้เป็นข้อยกเว้น”
คนที่เขาหมายคนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นกองกำลังปราบปรามของเกาหลีนั่นเอง! ถ้าหากเป็นคนพวกนี้ที่ดูแลประชาชนทั้งๆที่ถูกประเทศปฏิบัติอย่างเลวร้าย ถ้างั้นเขาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องบุคลิกภาพของแต่ล่ะคนแล้ว
แถมคนพวกนี้ยังผ่านการตัดสินใจของยูอิลฮานว่ามีศักยภาพในการต่อสู้มาจนกระทั่งมหาภัยพิบัติขั้นที่ 3 มาถึงอีกด้วย กองกำลังปราบปรามมีทั้งเลเวลและสกิลที่ไม่ด้อยไปกว่ากิลด์ชั้นนำใดๆเลย เพราะแบบนี้เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้เลย
“พวกกองกำลังปราบปรามค่อนข้างจะเป็นกองกำลังที่มาจากที่เดียวกันเลย เพราะแบบนี้ผมก็เลยต้องไปรวบรวมคนพวกนี้แค่ 14 โลกเท่านั้นเอง”
[ฟุฟุ แค่ 14 โลกงั้นสินะ?]
เฮเรียน่าได้หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของยูอิลฮาน
[มันน่าแปลกใจจริงๆนะ ที่รักรู้ไหม? ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำคนไหนเลยที่เดินทางข้ามมิติแบบนี้ได้ แต่แล้วจู่ๆก็มีตัวตนที่เป็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมาถึงสองคนในโลกใบเล็กๆแบบนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ?]
ยูอิลฮานได้ยักไหล่และตอบกลับมา
“บางทีนี่มันอาจจะเป็นชะตาก็ได้นะ”
[ฟุฟุ อยู่กับคุณนี่มันน่าสนใจจริงๆนะที่รัก ฉันคิดว่าในอนาคตมันคงจะน่าสนุกยิ่งกว่านี้อีก]
“หืม ฉันก็คิดว่ามันน่าสนใจเหมือนกัน”
“การสนุกกับทุกๆเรื่องเป็นเรื่องดีนะลูกแม่ แต่ว่าถ้ามันเป็นเรื่องอันตรายมันจะไม่ค่อยดีแล้วนะ”
[โอ้ คุณเข้าได้ด้วยงั้นหรอ?]
กองทัพสวรรค์ กองทัพจรัสแสง กองทัพปีศาจวิบัติ สวนอาทิตย์อัสดง – เฮเรียน่ากลับคิดเรื่องพวกนี้แค่คำว่า ‘น่าสนใจ’?
แน่นอนว่าการที่เขาทำให้คนที่คิดว่ามันเป็นสิ่งน่าสนใจได้มาเป็นพวกเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าหากเขาอยู่กับเธอมากๆเขาก็อาจจะเป็นแบบเธอไปก็ได้ เพราะแบบนี้ทำให้เขาถึงให้คิมเยซอลมาอยู่ในกลุ่มของเขาด้วย ตราบใดที่แม่ของเขาอยู่ด้วย เขามั่นใจว่าเขายังรักษาความสงบเอาไว้ได้
“ถ้างั้นไปดูลูกพี่ใหญ่ของพวกนั้นก่อนแล้วกัน ฉันหวังว่าเขาจะยังไม่ตายไปนะ”
“ลูกแม่ ลูกแกร่งขึ้นแล้ว”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลข้ามมิติในทันที จุดหมายปลายทางก็คือโลกมิโดร่า โลกที่พันเอกยุนแดฮานกับผู้ใต้บัญชาของเขาอยู่ นี่เป็นโลกที่ยูอิลฮานจะไปเป็นครั้งแรก แต่ว่าเพราะการที่ยูอิลฮานได้พูดคุยกับพันเอกอยู่หลายครั้งทำให้การค้นหาโลกใบนี้จากบันทึกที่เขามีอยู่มันไม่ใช่เรื่องยากเลย
“โลกนี้อยู่ในมหาภัยพิบัติขั้นที่ 2… ไม่สิ 3 ต่างหาก”
เมื่อมาถึงยูอิลฮานได้ประมาณการณ์โลกนี้จากความเข้มข้นมานาในอากาศทันที เนื่องจากว่าเขามีประสบการณ์มาหลายโลกทำให้มันไม่ยากเลยที่เขาจะคาดการณ์มัน
“เป็นโลกที่แปลกจัง น่าทึ่งมาก”
“ผมเสียใจด้วยนะครับแม่ ผมไม่คิดว่าเราจะมีเวลามาเอ้อระเหยกันแล้ว”
“แต่นี่ไม่ใช่ว่าลูกคิดจะหาทุกๆคนนี่นา?”
เมื่อคิมเยซอลได้ถามออกมาอย่างสับสน ยูอิลฮานก็ยกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ พลังเวทย์ที่มองไม่เห็นได้ไหลผ่านมือเขาลงไปที่โลก และเมื่อสกิลบันทึกถูกเปิดใช้งาน เขาก็ได้เริ่มอ่านข้อมูลของโลกใบนี้ในทันที
“…นี่มัน ลูกกำลังทำอะไร…”
[โอ้… ฉันคิดว่าฉันกำลังตกหลุมรักคุณอีกแล้วที่รัก!]
หลังจากได้เห็นความสามารถที่อัศจรรย์ของยูอิลฮานใกล้ๆคิมเยซอลก็ได้แต่ตกตะลึง ส่วนราชินีซัคคิวบัสก็ได้ยิ้มกว้างขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่นานยูอิลฮานก็ตัดพลังมานาที่เชื่อมต่อกับมือเขาทิ้งไปและพูดออกมา
“ผมเจอพวกเขาทุกคนแล้ว”
“นี่ลูกจะบอกว่าลูกหาเจอทั้งหมด 40 คนแล้วน่ะหรอ?”
“ใช่แล้วครับ แต่ก็มี 5 คนที่ตายไป ตอนนี้พวกเขาทุกคนรวมตัวกันอยู่อย่างที่ผมคิดเอาไว้”
“…น่าทึ่งมาก”
คิมเยซอลได้เริ่มประเมินศักยภาพของยูอิลฮานใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้ยูอิลฮานได้เริ่มเปิดใช้งานสกิลข้ามมิติไปในที่ที่พลเอกยุนแดฮานอยู่
[กรรรรรรรรร!]
“อย่าถอย เล็งไปที่ช่องโหว่!”
“พวกเราฆ่ามันไปได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
“พวกเราทำได้! ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เราทำได้!”
พวกเขากำลังต่อสู้กับงูยักษ์คลาส 4 เลเวล 230 อยู่ เสียงตะโกนในทุกๆรูปแบบได้ดังออกมา ที่แห่งนี้ยังมีคนอื่นที่ไม่ใช่ทหารอยู่ด้วย แต่ว่ายูอิลฮานสามารถจะแยกคนจากกองกำลังปราบปรามทั้งหมดได้ในทันทีจากการที่พวกทหารยังคงใช้อาร์ติแฟคที่ยูอิลฮานสร้างอยู่
[ที่รักคิดจะเอามนุษย์ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับมอนสเตอร์เศษสวะไปทำอะไรกัน?]
“เธออาจจะไม่เชื่อนะ แต่ว่าคนพวกนี้น่ะคือพวกชั้นนำ 0.0001% ในโลกของฉันล่ะ”
[โอ้ แล้วเราจะปกป้องโลกชั้นสูงได้จากพวกขึ้นสนิมแบบนี้น่ะหรอ?]
“ฮึ่ม”
ยูอิลฮานได้ส่งเสียงขึ้นจมูกออกมาและเรียกหอกกระดูกมังขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะทำให้พวกทหารทุกคนกลายมาเป็นคลาส 4 ก่อนที่โลกจะกลายมาเป็นโลกระดับสูง”
จากนั้นเขาก็โยนหอกออกไปเบาๆโดยไม่คิดอะไรมาก
[ก๊าซซซซซซซซซซซ!]
หอกได้พุ่งแทงลงมาที่ร่างของงูยักษ์นี่เหมือนกับดาวหางตกจากท้องฟ้า เมื่องูได้ดิ้นรนสบัดตัวไปมาด้วยเลือดสีเขียวไปทั่ว เหล่าคนที่เฝ้าเตรียมรับการโจมตีก็ได้แต่งุนงง
“การโจมตีนี่มาจากที่ไหนกัน?”
“อ่า เหมือนจะมาจากท้องฟ้านะ! ท้องฟ้า!”
แม้ว่ายูอิลฮานจะตั้งใจหลีกเลี่ยงจุดตายของงูไปแล้ว แต่ว่างูนี่ก็แทบตายซะแล้ว ยังไงก็ตามเนื่องจากว่ามันไม่ได้ตายไปในทันทีทำให้ป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้ถูกเผยออกมา และผู้คนที่ได้เห็นก็ได้แต่ตกตะลึง
“พันเอกยุนแดฮาน”
ยูอิลฮานที่เตรียมกระโดดลงจากป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้ตะโกนออกมา
“กลับมาป้องกันโลกกับฉันซะสิ!”
“ไม่!”
ได้มีเสียงตอบกลับที่เขาคาดไม่ถึงดังขึ้นมาในทันที เมื่อเขามองไปที่งูดูเหมือนว่ายุนแดฮานจะรู้ได้ทันทีว่าหอกนั่นมาจากยูอิลฮาน
แต่คำว่า ‘ไม่’ นี่ ทำไมเขาถึงได้ปฏิเสธออกมาง่ายๆแบบนี้ล่ะ ยูอิลฮานได้แต่สงสัยและตะโกนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งยุนแดฮานได้ตะโกนกลับมาอย่างมั่นใจ
“ระหว่างยังอยู่บนโลก ฉันได้เลื่อนขั้นขึ้นมานิดหน่อย”
“อ่า โทษที”
ตอนนี้เองคือวินาทีที่ ‘พลตรี’ ยุนแดฮานกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้ง 35 คนได้เข้ามาร่วมกองกำลังป้องกันโลก
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้น
บทที่ 270 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (4)
การรวบรวมสมาชิกส่วนที่เหลือของกองกำลังปราบปรามก็เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน เนื่องจากว่ามหาภัยพิบัติตามปกติแล้วจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่่งในเวลาร้อยปีหรือกระทั่งพันปี ทำให้มีโลกไม่มากนักที่จะเจอกับการเปลื่ยนแปลงใหญ่ๆขึ้น
แล้วก็คนที่อยู่ในโลกเดิมทีก็มีพันธสัญญากับกองทัพสวรรค์อยู่ทำให้ไม่มีใครมาทำร้ายคนบนโลกของยูอิลฮานได้เลย เพราะแบบนี้ทำให้มีคนที่ตายไปในต่างโลกน้อยมา
“นี่มันน่าทึ่งมาก คุณยูอิลฮาน ดูเหมือนคุณจะ… ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วสินะ”
หลังจากเห็นยูอิลฮานบัญชาการป้อมปราการผู้พิทักษ์ข้ามมิติไปโลกต่างๆและได้เห็นซัคคิวบัสที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ยุนแดฮานก็ได้แต่พูดออกมาอย่างไร้พลัง ยังไงก็ตามคำตอบของยูอิลฮานยิ่งทำให้เขาหมดแรงยิ่งกว่าเดิม
“ฉันก้าวข้ามขีดจำกัดมนุษย์มาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ตะ ตั้งแต่แรก?”
“ใช่ อาจจะนับตั้งแต่ที่ฉันเกิดแล้วก็ได้”
“นะ น่าทึ่ง…”
“จริงไหมล่ะ?”
[พรืดดดดดดด]
หากมีคนอื่นมาได้ยิน พวกเขาก็คงจะคิดว่ายูอิลฮานกำลังโม้แน่ แต่ว่าเฮเรียน่าที่รู้ถึงความสามารถในการซ่อนตัวของเขาที่มีมาตั้งแต่แรก และนอกไปจากนี้ยังรู้ถึงสิ่งที่เขาอย่างจะบอกด้วยทำให้เธอได้แต่หัวเราะออกมา ยูอิลฮานได้ถามยุนแดฮานอีกครั้งหนึ่งโดยไม่สนใจเฮเรียน่าเลย
“เหลืออีกแค่ทีเดียวงั้นหรอ? ร้อยเอกฮานเยรังกับคนอื่นๆสินะ”
“ตอนนี้เป็นพันเอกฮานแล้ว เธอได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วเลยล่ะ”
“ใช่แล้ว เป็นที่กุนเดีย พันเอกฮานๆกับคนอื่นอยู่ที่นั่น”
“ใช่แล้ว นี่มันเป็นปาฏิหาริย์มากๆเลยที่กองกำลังปราบปรามได้มารวมตัวกันอีกครั้ง แล้วก็ภายในเวลาน้อยกว่าหนึ่งวันอีกด้วย…”
“ในอนาคตจะต้องมีคนมาเข้าร่วมกับเราเพิ่มขึ้นแน่”
ตราบใดที่ยูอิลฮานมีบันทึกเกี่ยวกับโลกนั้น เขาก็จะไม่มีปัญหาใดๆในการใช้สกิลข้ามมิติ สิ่งที่สำคัญทีสุดคือชักชวนคนกลับมาต่างหาก
ในแง่นี้กองกำลังปราบปรามเป็นองค์กรที่น่าทึ่ง สมาชิกทุกคนของกองกำลังปราบปรามทุกๆคนต่างมีสนใจที่จะมาเข้าร่วมกับยูอิลฮานในทันทีที่พวกเขาได้ฟังยูอิลฮานอธิบายถึงสถานการณ์บนโลกที่เหมือนนรก
เพราะแบบนี้ทำให้ยูอิลฮานคิดว่าเขาเลือกพันธมิตรได้ถูกมาก ถ้าหากทหารอีกสิบสองคนที่อยู่กับพันเอกฮานได้เข้าร่วมกับเข้าในโลกสุดท้ายนี้ด้วย พวกเขาก็จะได้คลาส 3 อย่างน้อย 200 คนมาแล้ว
[แล้วที่รักจะทำให้คนพวกนี้เป็นกองกำลังที่มีศักยภาพจริงๆงั้นหรอที่รัก?]
“ไม่ต้องห่วงหรอก เธอยังมีเวลาได้กลับไปคิดใหม่อีกเยอะ”
“ฟุฟุ”
คิมเยซอลดูจะชอบการตอบกลับแบบไม่สนใจของยูอิลฮานที่ตอบเฮเรียน่ากลับไปจะน่ารักมากทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติโดยไม่สนใจสายตานี้ ในตอนนี้เองเขาก็มาที่โลกกุนเดียที่ฮานเยรังกับคนอื่นๆอยู่ แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจ
มันมีปัญหาเกิดขึ้นที่นี่
“เวรล่ะ”
“อะไรงั้นหรอ?”
ยุนแดฮานที่เฝ้าดูยูอิลฮานเชื่อมต่อบันทึกกับโลกใบนี้ได้มีปฏิกิริยาออกมาเป็นคนแรก ฮานเยรังตายงั้นหรอ? ยิ่งหลังจากเขาได้ยินคำตอบของยูอิลฮานเขาก็ได้เงียบไป
“มนุษยชาติเกือบจะสูญพันธ์แล้ว”
“…อะไรนะ”
“แต่ว่าพันเอกฮานเยรังยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ทหารคนอื่นๆส่วนใหญ่ก็รอดอยู่เหมือนกัน…”
ยูอิลฮานได้เกาหัวและหยุดอธิบายลง โอกาสที่ข้อมูลที่เขาได้รับมาจากบันทึกมีโอกาสผิดน้อยมากๆ
“นับตั้งแต่มหาภัยพิบัติขั้นที่ 3 ก็ผ่านมาถึง 4 ปีแล้ว ผู้คนที่นี่ปรับตัวเข้ากับมันไม่ได้”
“นี่มัน… โชคร้ายมาก”
ช่วงต้นของมหาภัยพิบิติเป็นช่วงเวลาที่มีความวุ่นวายากที่สุดแล้ว เนื่องจากความเข้มข้นของมานาเพิ่มขึ้นทำให้จำนวนของมอนสเตอร์ได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน และได้มีภัยพิบัติธรรมทุกชนิดเข้ามาโจมตีทุกชีวิตบนโลกนี้ หลังจากเกิดมหาภัยพิบัติพวกเขาจะต้องรอให้ผ่านไปซัก 30 ปีเท่านั้นถึงจะเข้าสู่ช่วงสเถียรภาพได้ และหากว่าพวกเขาทนได้ถึงตอนนั้นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติถึงจะได้ถูกสานต่อไป
ยังไงก็ตามมนุษยชาติในโลกใบนี้ทนไม่ได้ถึงตอนนั้น
“และในทางกลับกันนี่ได้กลายมาเป็นโอกาสใหญ่สำหรับมอนสเตอร์ นี่มันส่งผลให้มนุษยชาติ 99.9% ได้ตายไปในเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง”
“…”
ต่อให้เขาจะมองลงไปที่กุนเดียจากด้านบนของป้อมปราการผู้พิทักษ์ แต่ยุนแดฮานไม่อยากจะเชื่อคำๆนี้เลย
โศกนาฏกรรมมานาเกิดขึ้นในโลกที่ดูจะสงบสุขแบบนี้ได้ยังไงกัน? เฮเรียน่าได้พูดขึ้นอย่างเย็นชาราวกับมองความคิดนี้ของพวกเขาออก
[สาเหตุหลักของความโกลาหลนะมักมาจากมนุษยชาติเสมอนั่นแหละ มานาของที่โลกนี้สงบเกินไป]
“ยังไงก็ตาม ความโกลาหลก็ได้ทำให้เกิดการพัฒนาน้อยลงเช่นกัน โลกจะไม่พัฒนาขึ้นหากมนุษยชาติสูญพันธ์”
[ที่รัก ความคิดของที่รักก็น่ารักเหมือนกัน]
“แต่นี่มันก็น่าขำ ที่มนุษยชาติได้สูญพันธ์ไปเพราะไม่อาจจะทนต่อการพัฒนาของโลกได้…”
[ดูเหมือนว่ากองทัพสวรรค์ก็เคยยอมแพ้ในเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน ฉันไม่ได้รู้สึกถึงความไม่พอใจของพวกนั้นในเรื่องแบบนี้เลย]
“เธอพูดถูก พวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่เลย”
ยูอิลฮานได้ยิ้มแห้งๆออกมา เมื่อดูจากวันสิ้นโลกแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกมากๆ เขารู้สึกว่าโลกของเขาอาจจะกลายมาเป็นแบบนี้ในสักวันหนึ่ง และเขาก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับตัวเขาเองมากๆที่กำลังเฝ้าดูการตายของคนนับไม่ถ้วนนี้โดยไม่รู้สึกอะไรสักนิด มันเหมือนกับในตอนที่เขากำลังดูหนังหรืออะไรทำนองนี้
[…]
เฮเรียน่าได้หยุดเล่นและถอยไปเงียบๆเมื่อได้รู้ถึงสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ เมื่อคำนึงถึงการที่เธอปฏิบัติกับมนุษยชาติ อารยธรรม และโลกตามปกติแล้ว ทำให้การกระทำต่างๆนี้ของเธอได้พิสูจน์แล้วถึงความรักที่เธอมีต่อยูอิลฮาน
“ถ้างั้นเราจะทำอะไรกันต่ะล่ะ?”
“น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรที่เราทำได้มากนัก การกวาดล้างมอนสเตอร์ที่มีอยู่ทั้งหมดออกไปก็เป็นไปได้อยู่ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้มอนสเตอร์ไม่เกิดขึ้นมาอีกซะหน่อย”
ยูอิลฮานได้คิดครู่หนึ่งก่อนจะเสริมออกมา
“แล้วก็นะ… บางทีพันเอกฮานก็อาจจะไม่กลับมาที่กองกำลังปราบปราม”
เลเวลของฮานเยรังคือ 190 เธอเป็นคนที่มีเลเวลสูงสุดในหมู่มนุษยชาติที่รอดชีวิตอยู่ในกุนเดีย และเธอยังเป็นคนที่มีเลเวลสูงกว่าทหารทุกๆคนที่อยู่กับเขาที่นี่ นอกไปจากเธอแล้วพลตรียุนแดฮานที่มีเลเวล 173 คืออันดับที่สอง เพราะแบบนี้นี่คือสิ่งที่บ่งบอกได้ดีถึงความลำบากที่เธอต้องเจอมา
“พูดอีกอย่างก็คือพันอกฮาน…?”
“เธออาจจะกลายมาเป็นศูนย์กลางของมนุษยชาติในโลกใบนี้ไปแล้ว ก่อนหน้านั้นเราก็ได้ดูเธอกันก่อนเถอะนะ”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลข้ามมิติไปในทันที
เขาได้ใช้เวลาไม่นานนักก็ได้มาถึงที่ที่มนุษยชาติของโลกนี้อยู่ ซึ่งนั่นคือสนามรบที่ไร้ปราณีกำลังเกิดขึ้นอยู่
[ก๊าซซซซซซซซซซ!]
“ทางด้านขวา! มันเข้ามาแล้ว!”
“ย๊ากกกกก!”
“ใจเย็นๆ! ถ้ากำลังใจเรายังแข็งแกร่งอยู่ ศัตรูจะถอยไปเอง!”
การคาดเดาของยูอิลฮานถูกต้อง ฮานเยรังคือผู้หญิงที่อยู่หน้าสุดของสนามรบและเป็นเสียงสั่งการทุกๆคน เธอในตอนนี้กำลังใส่เกราะพังๆที่ยูอิลฮานสร้าง เหวี่ยงดาบยักษ์ทำให้ศัตรูต้องถอยไป
“พันเอกเท่มาก”
“เธอแกร่งเป็นบ้าเลย… แต่ว่าภาพรวมแล้วพวกเธอกำลังเสียเปรียบอยู่”
สมาชิกของกองกำลังปราบปรามได้ผงะไปเมื่อได้เห็นผู้คนกำลังต่อต้านมอนสเตอร์ พวกเขาคงจะไม่กระโดดลงไปเมื่อยุนแดฮานตะโกนคำว่า ‘บุก’ ออกไปหรอกนะ? ยูอิลฮานได้คิดอยู่แว๊บหนึ่ง และหนึ่งในสมาชิกของทหารก็ตะโกนออกมา
“พลตรี เราจำเป็นต้องไปช่วย!”
“พลตรีครับ!”
“…คุณยูอิลฮาน?”
“ทุกๆคนอยู่เฉยๆนั่นแหละ พวกนายไม่ต้องเคลื่อนไหวหรอก”
ยูอิลฮานได้ยิ้มแห้งๆก่อนที่จะยกมือขึ้นมา ในตอนนี้เองป้อมปราการผู้พิทักษ์ก็ได้เปลื่ยนทิศทางไปก่อนที่จะพุ่งเข้าไปกระแทกพื้นดินด้วยความเร็วที่มหาศาล
[ก๊าซซซซซซซซซซซ!]
[ก๊าซซซซซซ!]
สิ่งที่ยูอิลฮานทำก็ง่ายมากๆ เขาได้เลือกที่ที่ไม่มีคนอยู่ และเป็นที่ที่มีมอนสเตอร์เยอะที่สุดเพื่อพุ่งไปชน
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติ…]
หลังจากใช้น้ำหนักและพลังเวทย์กวาดล้างมอนสเตอร์ไปป้อมปราการผู้พิทักษ์ก็เผยตัวออกมา ผู้คนที่กำลังสู้กับมอนสเตอร์กันอยู่ที่กำแพงหินที่ถูกสร้างขึ้นมาได้แต่เบิกตากว้าง
“นี่มันอะไรกัน…?”
“ดะ ดาวหาง? ไม่สิ!”
“คุณควรจะบอกเราก่อนนะ”
“ไม่เป็นไรเลยนี่ ในเมื่อดูแล้วพวกนายก็เตรียมตัวกันอยู่นี่นา”
“มันไม่ใช่ไม่เป็นไรนะครับ!”
“เอาล่ะถ้างั้นก็”
ยูอิลฮานได้ยิ้มให้กับสมาชิกกองกำลังปราบปรามที่กลิ้งจากแรงกระแทกและเริ่มใช้พลังของป้อมปราการผู้พิทักษ์จัดการกับมอนสเตอร์
แน่นอนว่าหากเทียบกับป้อมปราการลอยฟ้าแล้วป้อมปราการผู้พิทักษ์ยังด้อยกว่า แต่นั่นก็เพราะว่าป้อมปราการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่พลังในการต่อสู้ แต่เป็นการเคลื่อนย้ายกำลังพลต่างหาก ยังไงก็ตามถึงจะเทียบป้อมปราการลอยฟ้าไม่ได้ แต่แค่อาร์ติแฟคเล็กๆน้อยๆก็มากพอที่จะกวาดล้างมอนสเตอร์ที่นี่แล้ว
[ก๊าซซซ]
[ก๊าซซซซซ]
[ก๊าซซซซ]
เสียงร้องของมอนสเตอร์ได้ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนคล้ายกับเสียงดนตรีที่ยูอิลฮานเป็นคนควบคุมมันเอาไว้
หายนะสำหรับมนุษยชาติในโลกใบนี้ได้กลายเป็นของเล่นของเขาไปในทันที นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งแล้วต่อหน้ายูอิลฮาน
“อย่าบอกฉันนะว่านี่…”
ฮานเยรังที่ได้เจอกับเรื่องนี้ในระหว่างกำลังบัญชาการคนอื่นๆอยู่ สัญชาตญาณของเธอได้ตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านไปนานแล้ว
“คุณยูอิลฮาน?”
“นั่นใครกัน?”
“…ไม่”
เธอได้ยินคำข้างๆเธอถามออกมาอย่างสับสน แต่เธอก็ได้แต่ส่ายหัวออกไป
ไม่เพียงแค่โอกาสที่เขามาปรากฏตัวที่นี่จะต่ำมากๆเท่านั้น แต่ต่อให้เขาจะปรากฏตัวจริงๆเธอก็ไม่อาจจะตัวสั่นให้คนอื่นๆเห็นได้ในเมื่อเธอคือคนที่แบกความหวังของโลกใบนี้เอาไว้อยู่ เธอไม่ใช่ร้อยโทคนเดิมที่พร่ำแต่คำว่า ‘ฉันอยากแต่งงาน’ อยู่ตลอดเวลาอีกต่อไปแล้ว
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่าลดการระวังลง ผลักดันมอนสเตอร์กลับไป แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปเข้าใกล้ปราสาทนั่น!”
ไม่นานหลังจากนั้นการรบก็ได้จบลง หรือจะพูดให้ถูกก็คือป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้ทำการสังหารหมู่มอนสเตอร์ทั้งหมดไป
“พวกมัน…”
“หายไปแล้ว ฝูงมอนสเตอร์น่ากลัวนั่นหายไปหมด…”
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่นับเป็นอะไรสำหรับยูอิลฮานที่เคยต่อสู้ในสงครามสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมาแล้ว แต่ว่าสำหรับคนบนโลกใบนี้นี่มันไม่ต่างไปจากปาฏิหาริย์เลยสักนิดเดียว คนที่รอดอยู่ได้แต่มองไปที่ป้อมปราการผู้พิทักษ์ที่หยุดอยู่นิ่งหลังจากกำจัดมอนสเตอร์ไป พวกเขาไม่กล้าจะเข้าไปใกล้ป้อมปราการนี้ด้วยทั้งความกลัวและความชื่นชม
“เรากวาดล้างพื้นที่นี้แล้ว ฉันจะไปเก็บกวาดส่วนที่เหลืออีกให้ เพราะงั้นฝากคุณพลตรีไปอธิบายกับคุณฮานทีนะ”
“ดะ ได้”
บาเรียที่คลุมป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้หายไปและทหารสองสามคนรวมถึงตัวยุนแดฮานก็ได้โผล่ออกมา คนของโลกใบนี้ได้ตั้งท่าระวังตัวในทันทีแต่ว่าฮานเยรังก็ได้หยุดเอาไว้
นี่มันไม่ใช่เพราะว่าการไปเป็นปรปักษ์กับคนที่กวาดล้างมอนสเตอร์น่ากลัวได้ง่ายๆมันไม่ใช่เรืองดีเลย แต่เป็นเพราะว่าคนที่โผล่มาเป็นคนคุ้นเคยของเธอ
“พลตรี!?”
“เป็นไปได้ยังไงกัน เป็นพลตรีล่ะ!?”
สมาชิกของกองกำลังปราบปรามคนอื่นๆที่อยู่ที่กุนเดียกับฮานเยรังก็ยังจำยุนแดฮานได้และแสดงความดีใจกันออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่แน่นอนว่าเนื่องจากฮานเยรังอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากๆทำให้เธอพยายามไม่แสดงอาการออกมา แต่ว่าเมื่อได้เห็นยุนแดฮานเธอก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมา
การต่อสู้เมื่อสองสามปีนี้ที่เธอเป็นผู้นำมาตลอดมันโหดร้ายเกินไป ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้เจอกับสหายของเธอแล้ว
“พลตรี นี่คุณ…?”
“อย่างที่คุณคิดนั่นแหละ นี่ไม่ใช่ความสามารถของผมหรอก ผมได้มาที่นี่กับคุณยูอิลฮาน”
“อ่า…”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้เธอก็ไม่อาจจะซ่อนความดีใจบนใบหน้าได้อีก เธอได้พยายามระงับเอาไว้สุดๆแล้วแต่เธอก็ทำไม่ได้
ยุนแดฮานกำลังคิดที่จะบอกความจริงที่โหดร้ายกับเธอเรื่อง ‘สำหรับเธอมันเป็นไปไม่ได้แล้วเพราะตอนนี้ข้างๆเขามีราชินีซัคคิวบัสอยู่แล้ว’ แต่ว่าสุดท้ายเขาก็เลือกไม่ทำ
ตอนนี้ควรปล่อยให้เธอดีใจไปก่อน กว่าจะมาถึงตอนนี้เธอจะต้องมีเรื่องเศร้ามากกว่าเรื่องดีใจแน่นอน
“แต่ว่าพลตรี… ทำไมคุณยูอิลฮานไม่ออกมาล่ะ?”
“เขา…”
พอยุนแดฮานกำลังจะพูดอะไรออกมา ตัวป้อมปราการผู้พิทักษ์ก็ได้หายไปกลางอากาศ เมื่อเห็นแบบนี้ทุกๆคนก็ได้ตกตะลึงไปทำให้ยุนแดฮานได้อธิบายมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“เขาบอกว่าเขาจะไปเก็บกวาดโลกนี้ซะนิด”
“โลกนี้…?”
“ใช่แล้ว”
ยุนแดฮานได้อธิบายออกมากับเธอโดยที่ไม่ให้โอกาสเธอได้เข้าใจผิดเลย
“คุณคงจะไม่ได้เจอมอนสเตอร์อะไรในโลกใบนี้อีกไปซักพักแล้วล่ะ เพราะงั้น… เราไปคุยกันจนกว่าเขาจะกลับมาดีกว่านะพันเอกฮานเยรัง”
หลังจากผ่านไป 13 ชั่วโมง ยูอิลฮานก็ได้กวาดล้างมอนสเตอร์ทุกๆตัวบนกุนเดียออกไปและเขาก็ได้กลับมาที่แห่งนี้้
บทที่ 271 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (5)
พอเขากลับมาก็เป็นเวลาตี 4 แล้ว หากเป็นโลกตามปกติทุกๆคนก็น่าจะกำลังหลับกันอยู่ แต่ว่าเหล่าคนที่อยู่ในกุนเดียวนี้ต่างก็ต้องปะทะกับมอนสเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เป็นปกติที่พวกเขาจะยังไม่นอนกัน
ยังคงมีแสงไฟตามที่ต่างๆของป้อมปราการและเหล่าคนเฝ้ายามต่างก็ไม่อาจจะลดการระวังยูอิลฮานกับป้อมปราการที่อยู่ๆก็โผล่มาจากการที่ยูอิลฮานยกเลิกการซ่อนตัวได้ ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าไม่มีทางเอาชนะได้ แต่ว่าพวกเขาก็ต้องระวังตัวอยู่ดี
[บรรยากาศที่นี่ดีนะ]
“ฉันเคยเห็นภาพแบบนี้แต่ในหนัง”
“ฉันบอกว่าฉันจะไปกวาดล้างมอนสเตอร์ทั้งหมดก่อนจะกลับมานี่นา ทำไมพวกเขาถึงยังอยู่นี่กันล่ะ?”
[ที่รักจะไปนอนหรอหากว่ามีคนแปลกหน้าจู่ๆก็เข้ามาบอกว่าเขาคนนั้นจะไปกวาดล้างกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดน่ะ?]
“น่าเศร้าแหะ แต่เธอก็พูดถูก”
ตอนแรกยูอิลฮานคิดว่าคนพวกนี้จะไม่ให้เขาเข้าประตูไปด้วยซ้ำ แต่ก็น่าจะเพราะมีคำสั่งมาจากฮานเยรังทำให้ยูอิลฮานเดินเข้ามาได้โดยไร้ซึ่งการขัดขวาง แต่แน่นอนว่ายังคงมีเสียงกระซิบกันอยู่ดี
“ชายคนนี้คือ…”
“ฉันมั่นใจแล้ว เขามีสตรีที่งดงามเคียงข้าง”
“ฉะ ฉัน”
คิมเยซอลได้ยิ้มออกมาหลังจากได้ยินคำว่า ‘งดงาม’ ยูอิลฮานก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เขากังวลเลยคือเฮเรียน่าอาจจะปลดพลังของเธอออกมาทำให้วุ่นวายได้ แต่ดูเหมือนว่าเธอก็ได้ซ่อนเอาพลังเวทย์ของเธอเอาไว้อยู่
“คุณมาแล้ว”
“โอ้ พลตรีแล้วก็…”
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
เขาได้ทหารพามาในที่ที่พลตรียุนกับฮานเยรังอยู่ ฮานเยรังมีออร่าที่น่าประทับใจอยู่แม้ว่าเธอจะใส่เกราะพังๆอยู่ก็ตาม และเขายังได้เห็นความเป็นผู้นำจากตัวเธออีกด้วย แม้กระทั่งหลังจากได้เจอคิมเยซอลกับเฮเรียน่า เธอก็ยังไม่ถอยกลับและทักทายกับยูอิลฮานมา
“พันเอกฮานเยรัก”
“ฉันดีใจที่คุณสบายดี”
ฮานเยรังได้พูดออกมาอย่างมั่นใจกับยูอิลฮานอย่างเป็นธรรมชาติ หากในด้านความสัมพันธ์ส่วนตัวพวกเขาแทบไม่คุยกันเลย แต่หากเป็นในด้านการค้านับว่าพวกเขาสนิทกันมาก
“ฉันก็ดีใจเหมือนกันที่เธอสบายดี ตอนนี้ฉันได้จัดการมอนสเตอร์ทั้งหมดไปแล้ว… แต่ว่าโลกใบนี้ยังไม่ได้สเถียรนักทำให้ ฉันไม่มั่นใจว่ามันจะโผล่มาอีกเมื่อไหร่”
“…นี่ก็น่าทึ่งมากแล้ว”
ฮานเยรังควรจะทำสีหน้ายังไงดีกับการที่ยูอิลฮานพูดออกมาว่าเขาได้สังหารมอนสเตอร์ทั้งหมดไปเหมือนกับการที่เขาไปถอนหญ้าหลังบ้านมา? แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะได้ยินเรื่องต่างๆจากยุนแดฮานแล้ว แต่ว่านี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอได้เจอกับช่องว่างความห่างฉันอย่างมหาศาลในโลกที่พวกเธอมีชีวิตอยู่ ยูอิลฮานได้พูดออกมาโดยไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เดิมทีฉันคิดจะมาพาตัวเธอกับสมาชิกทั้งหมดของกองกำลังปราบปรามกลับไปที่โลกเรา แต่ว่าในตอนนี้โลกเรา…”
“ฉันได้ยินทุกๆเรื่องมาแล้ว การพัฒนาของโลกกำลังเป็นไปอย่างรวดเร็ว และในอนาคตอันใกล้นี้ก็มีโอกาสที่โลกเราจะกลายไปเป็นโลกระดับสูง…”
ยูอิลฮานได้ยักไหล่และพูดต่อไป การที่ไม่ต้องอธิบายเพิ่มอีกเป็นเรื่องที่ดรมาก
“แต่ว่าฉันรู้สึกว่าพันเอกฮานมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำที่นี่อยู่ แต่แน่นอนว่าถ้าเธออยากจะตามมา ฉันก็จะพาเธอกลับไปที่โลกด้วย…”
“ไม่ล่ะ”
เธอได้ส่ายหัวออกมาอย่างไม่ลังเล นี่มันก็เป็นไปอย่างที่ยูอิลฮานคิดเอาไว้
“ตราบใดที่ผู้คนที่นี่ยังเชื่อในตัวฉัน ฉันจะไม่มีวันหนีพวกเขาไปแน่”
“นั่นจะไม่นับเป็นการหนีหรอกนะ สภาพแวดล้อมที่โลกเราโหดร้ายกว่าที่นี่มาก”
“แต่ที่นั่นมีคุณอยู่ คุณยูอิลฮาน แค่คุณคนเดียว โลกเราก็ปลอดภัยยิ่งกว่าที่นี่มากแล้ว”
การประเมินของเธอมันทำให้เขาตัวสั่นขึ้นมา ยังไงก็ตามต่อจากนั้นฮานเยรังก็ได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่กว่าเดิมออกมา
“งั้น… ทำไมคุณไม่รับเราทุกคนไปด้วยล่ะ?”
“…ว่ายังไงนะ?”
ยูอิลฮานได้ถามออกมามีครั้งราวกับได้ยินผิดไป แต่คำตอบกลับก็ยังคงเหมือนเดิม
“ผู้รอดชีวีตในป้อมปราการนี้มีแค่สามหมื่นคนเท่านั้น ในตอนนี้พวกเราแค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆเท่านั้น… แถมเรายังไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตมากนักด้วย”
เขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ การต่อสู้กับมอนสเตอร์และเตรียมตัวรบตลอดเวลา เรื่องแบบนี้มันไม่นับว่าเป็นการ ‘ใช้ชีวิต’ แล้ว
“แต่ว่าทั้งสามหมื่นคนนี่…”
“พวกเราจะตั้งถิ่นฐานกันเอง มีที่ดินมากมายบนโลกที่ยังไม่มีเจ้าของ ฉันก็แค่อยากจะได้การคุ้มกันจากคุณเท่านั้น คุณยูอิลฮาน ฉันอยากจะไปอยู่ในที่ที่คุณดูแลถึง”
“…”
ยูอิลฮานได้แต่มองไปที่ยุนแดฮานโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ยังไงก็ตามแทนที่เขาจะชักชวนฮานเยรังกลับกลายมาเป็นเธอได้เกลี้ยกล่อมเขาแทน
“จริงๆ เราก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว ถ้าคุณอนุญาติเราทุกคนก็จะตามคุณกลับไปที่โลกคุณยูอิลฮาน”
“เธอรู้ใช่ไหมว่าโลกที่มีระดับสูงกว่ามันหมายความว่ายังไง ฉันบอกเธอไปแล้วนะว่าโลกเรากำลังเข้าสู่ช่วงสงคราม? ที่นั่นมันจะเป็นสนามรบของคนที่มีพลังมากจนเทียบกับโลกที่เธออยู่นี่ไม่ได้เลยนะ!”
“แต่ถึงแบบนั้นเราก็คิดว่ามันดีกว่าการปล่อยให้ตัวเองต้องการที่นี่แหละนะ”
“…นี่เธอ…”
เขาไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่าคนพวกนี้คิดอะไรกันอยู่ ยังไงก็ตามคิดเยซอลก็ได้ยิ้มพอใจอยู่ตลอดเวลา และเฮเรียน่าก็หัวเราะขึ้น
[นี่มันน่าสนใจจริงๆ ที่รักคือคนที่ทำให้มนุษยชาติเอาตัวเองเข้าไปสู่การทำลาย จากเดิมที่พวกเราดิ้นรนในสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาได้วิ่งเข้าไปสู่สถานการณ์ที่แย่กว่าเดิมด้วยความคิดที่ว่าสิ่งใหม่ๆจะดีกว่า!]
“นี่มันไม่ต่างไปจากพวกกองทัพปีศาจวิบัติของเธอเลยสินะ”
[โอ้ ที่รักคิดแบบนั้นงั้นหรอ เป้าหมายของกองทัพปีศาจวิบัติน่ะคือการทำลายล้างนะ การทำลายก็คือการกลืนกินทุกๆอย่างไปแม้กระทั่งตัวเองก็ตาม นี่เป็นเหตุผลที่กองทัพปีศาจวิบัติไม่ขัดขืนต่อการถูกลงโทษไงล่ะ]
“พวกนั้นนี่มันบ้าไปแล้ว”
[ยังไงก็ตามที่รักน่ะต่างออกไป]
รอยยิ้มที่ยั่วยวนของเฮเรียน่าได้เข้ามาถึงหัวใจของยูอิลฮานแล้ว
[ที่รักไม่ได้คิดที่จะทำให้โลกของที่รักไปเจอกับหายนะใช่ไหมล่ะ?]
“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ฉันหวังจะทำเลยล่ะ เธอพูดได้ถูก”
[เพราะแบบนี้ทำให้ผู้คนที่หลงใหลในพลังของที่รักเชื่อว่าที่รักจะทำในสิ่งที่คิดเป็นจริงได้ มันก็เป็นปกติที่คนอ่อนแอมักจะมาเป็นทาสของผู้แข็งแกร่งนี่นา]
เพราะแบบนี้คนบนโลกนี้ก็เลยเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาตามยูอิลฮานไป พวกเขาก็จะไม่ได้เลือกทางผิด เธออยากจะบอกแบบนี้งั้นหรอ ซับซ้อนจริงๆเลย
[ฟุฟุ หน้าตาตอนครุ่นคิดของที่รักนี่นารักเหมือนกันนะ…]
“ฮึ่ม”
ยูอิลฮานได้ดันหน้าของเฮเรียน่าที่ยื่นเข้ามาใกล้เขาออกไปอย่างไม่ลังเล เฮเรียน่าได้ฉีกยิ้มออกมาเพิ่มขึ้นในทันที
“เอาล่ะถ้างั้นก็ทั้งสามหมื่นคนจะไปที่โลกด้วยกันกับเรา นี่ไม่น่าจะยากอยู่แล้ว”
“ขอบคุณมาก”
หลังจากฮานเยรังได้เห็นเฮเรียน่าที่เธอเทียบไม่ติดทำตัวน่ารักกับยูอิลฮาน สีหน้าของเธอก็ได้มืดมนลงไป แต่ไม่นานนักเธอก็ได้รับคำอนุญาติจากยูอิลฮาน ทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างสดใสราวกับเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การที่เธอจะทำตามอารมณ์ของเธอมันหมดไปนานแล้ว
ยูอิลฮานได้เดินไปที่กำแพงป้อมปราการพร้อมกับสหายของเขา เสียงกระดิ่งได้ดังออกมาอย่างช้าๆเพื่อเตือนว่ามีเวทย์ถูกใช้งาน เหล่าคนที่ไปหลับอย่างเหนื่อยล้าได้ตื่นและเดินออกมาข้างนอกทั้งหมดในทันที เมื่อทุกๆคนได้ออกมารวมตัวกันแล้ว ฮานเยรังก็ได้ประกาศออกมาเสียงดัง
“นับจากนี้ไปเราจะไปที่โลกของฉัน โลกที่ฉันได้เกิดมา และยังเป็นที่ที่มีผู้ปกครองสูงสุดอยู่!”
“อ๊าาาาาาาาาาา!”
เสียงแสดงความยินดีได้ดังออกมาเต็มไปหมด ผู้ปกครองสูงสุดนี่หมายถึงเขางั้นสินะ ยูอิลฮานได้สลดลงไปทันที ยังไงก็ตามจากปฏิกิริยาของทุกๆคนที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต ทำให้เขาไม่มีแรงไปโต้แย้งกับพวกเธอ
“ถ้างั้นเราจะไปกันเดี๋ยวนี้แหละ พวกเราจะไปพร้อมกันในทีเดียว”
“จำนวนคนขนาดนี้… ในทีเดียว?”
“แน่นอนสิ”
ยูอิลฮานได้ข้ามมิติไปที่โลกหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าเขาจะพาคนไปมากแค่ไหนก็ไม่ต้องใช้มานามากเลย ยูอิลฮานได้ยกเลิกบาเรียจากป้อมปราการผู้พิทักษ์ของเขาและให้ทุกๆคนที่รอดอยู่ขึ้นไปในป้อมปราการ จากนั้นเขาก็เอาไอเทมสำคัญเก็บเข้าไปในช่องเก็บของ
ทุกๆคนได้ขึ้นมาบนป้อมปราการผู้พิทักษ์แล้ว โดยปล่อยป้อมปราการเก่าของของพวกเขาทิ้งล้างเอาไว้ เมื่อเห็นกุนเดียที่ไร้ซึ่งชีวิตทำให้เขาพีมพัมออกมา
“จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันนะ?”
[อืมม? มันก็คงจะถูกทิ้งล้างแบบนี้ตลอดไป แม้ว่าจะมีมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาก็ตาม แต่พวกมอนสเตอร์ก็จะผ่านวงจรการเกิดและหายไปจากการทำลายตัวเอง เพราะแบบนี้ทำให้โลกใบนี้ไร้อนาคตแล้ว]
“บางทีนี่มันอาจจะหมายความว่าเวลาภายในโลกใบนี้ไม่ได้เดินอีกต่อไปแล้ว… ทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ได้ยุดลง น่าเสียดายจริงๆเลยเนอะ”
คิมเยซอลได้พึมพัมออกมา จากคำพูดของเฮเรียน่าได้ทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจ ยังไงก็ตามเฮเรียน่าก็ยังคงพูดไม่จบ
[แต่ว่าที่รักรู้อะไรไหม หากว่าเป็นที่รัก ที่รักอาจจะเปลื่ยนแปลงมันได้ก็ได้นะ]
“ยังไงล่ะ? เธออยากจะให้ฉันมากวาดล้างมอนสเตอร์ที่โลกใบนี้งั้นหรอ?”
[ไม่ ไม่ใช่หรอกที่รัก มนุษยชาติของโลกใบนี้ได้กลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณไงล่ะ]
“แล้ว?”
[…ฟุฟุ เรื่องต่อจากนี้เป็นความลับ ถ้าเป็นที่รักอีกไม่นานคุณก็จะรู้เองแหละ]
“นี่เธอ…”
[ฟุฟุ]
เฮเรียน่าได้มองมาที่เขาหลังจากพูดจบ สายตานี้มันคุ้นเคยกับเขามาก นี่มันคล้ายกับสายตาที่เลียร่าชอบมองมาที่เขาเป็นปกติ ยูอิลฮานได้อ้าปากออกมาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่พูด
เขารู้สึกเหมือนว่าเขากำลังตกไปในบึงโคลนมากเมื่อเมื่อเขาเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นตัวตนที่ปฏิเสธในมุมมองและมาตราฐานการกรำตำของเขาอย่างตรงไปตรงมาก
เธอขัดต่อกฏธรรมชาติเอามากๆ นี่มันเป็นเพราะตัวเธอมาจากกองทัพปีศาจวิบัติงั้นหรอ? ทั้งๆที่เขาบอกว่าให้เธอมาอยู่ข้างๆเพื่อที่จะควบคุมตัวเธอก็ตาม แต่ว่าบางทีนี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดของเขาก็ได้ที่มาเธอมาด้วย
“ถ้างั้นเราจะไปโลกกันแล้วนะ”
“โลก นั่นจะเป็นโลกแบบไหนกันนะ?”
“มันเป็นโลกที่ถูกปกครองด้วยคนที่ทรงพลังมากๆ ที่นั่นจะโหดร้ายกว่าที่นี่อีก”
“แต่… แต่ว่าที่นั่นจะมีชีวิตที่ต่างออกไปรอเราอยู่สินะ”
“นายหญิงฮานเยรังก็ไปกับเราด้วย มันไม่มีอะไรให้เราต้องกลัว!”
ความเชื่อมั่นในตัวของฮานเยรังได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของคนพวกนี้แล้ว ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติทั้งๆที่คิดว่าคนพวกนี้กำลังทำเรื่องบ้าๆกันอยู่
“โอ้ววว”
“ที่โลกนี่คือ…”
เมื่อพวกเขาได้กลับมาที่โลก ผู้คนบนป้อมปราการผู้พิทักษ์ก็ได้อุทานกันออกมาทุกคน
มีใบไม้หนาเต็มไปหมด รวมไปถึงหนาผาสูงชันอีกด้วย!
โพร่งที่เชื่อมน้ำทะเลไปสู่พื้นดินกับท้องฟ้า มีหมู่เกาะหินจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโพร่งน้ำทะเลและสะพานสายรุ้งที่เชื่อมต่อไปยังเกาะต่างๆ! นี่มันเหมือนกับสรวงสวรรค์
“สวย”
“สวยงามมาก…”
“นี่คือโลกที่ผู้ปกครองสร้างขึ้น?”
ทุกๆคนได้มองมาที่ยูอิลฮานอย่างตกตะลึง ฮานเยรังก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้ว่าตัวเธอจะได้เรียนรู้การควบคุมอารมณ์แล้ว แต่ว่าต่อหน้าปรากฏการณ์แบบนี้ทำให้เธอไม่อาจจะซ่อนอารมณ์ไว้ได้เลย
“น่าทึ่งมาก คุณยูอิลฮาน…”
ยูอิลฮานได้พูดออกมาแห้งๆ เขาไม่อาจจะพูดได้เลยว่าเขานั่นแหละคือคนที่ตกตะลึงมากที่สุดในคนทั้งหมดนี้
ก่อนที่โลกจะได้ก้าวไปสู่โลกระดับสูงอย่างสมบูรณ์ เขาจะต้องรีบปรับสมดุลของโลกเดี๋ยวนี้เลย!
บทที่ 272 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (6)
“เอิลต้า”
[ว่าไงยูอิลฮาน มีอะไรหรอ?]
นำเสียงของเอิลต้าที่ตอบยูอิลฮานกลับมาดูสงบมากๆ ดูเหมือนว่ากลุ่มของเธอจะยังไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลก
“เธอบอกให้คังมิเรย์สร้างประตูมิติ ให้เธอกลับมาที่โลกก่อนได้ไหม?”
[ดูจะรีบมากเลยนะ ฉันเข้าใจแล้ว]
เอิลต้ามีข้อดีมากมายในตัวเธอ แต่ข้อดีที่ที่สุดเลยก็คือเธอเป็นคนที่ฉลาดและทำงานได้อย่างรวดเร็ว ยูอิลฮานได้ตัดสายเครื่องสื่อสารไปและมองไปรอบๆโลกก่อนที่จะปรบมือเพื่อรวมความสนใจของทุกคนเข้ามา
“อย่างที่พวกนายได้รู้กันก็คือมนุษยชาติของโลกนี้ได้กระจายไปต่างโลกต่างๆอยู่ พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาได้เมื่อไหน แต่ว่าฉันก็ไม่อาจจะให้พวกนายไปพักอยู่ในที่พักเดิมของพวกเขาได้ ยังไงก็ตามมีสถานที่มากมายที่ประชาชนได้ถูกกวาดล้างออกไปเพราะดันเจี้ยนหรือการโจมตีของฝู.มอนสเตอร์ เพราะแบบนี้ฉันก็เลยคิดว่าจะให้พวกนายไปเลือกที่พวกนั้นเพื่อใช้ชีวิตอยู่กัน”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงพวกเรานะ”
“ฉันมีแผนการที่จะแก้ไขโลกใบนี้ในทันทีเพราะว่ามันมีข้อผิดพลาดที่ไม่น่าจะมีเกิดขึ้น เพราะงั้นฉันหวังว่าสมาชิกของกองกำลังปราบปรามจะช่วยคุณฮานโยรังได้นะ…”
“ได้ตามที่คุณขอเลย”
ในทันทีที่ได้ยินคำพูดของยูอิลฮาน พลตรียุนแดฮานได้หยักหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส ยูอิลฮานได้เคลื่อนย้ายป้อมปราการไปในที่เวเนซูเอลาในทันที
“ที่นี่คือ…”
“นี่คือที่เดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจ ฉันไม่อาจจะมาช่วยคนที่อยู่ที่นี่ได้ทันเวลา… นี่คือสิ่งหนึ่งที่ฉันยังคงเสียใจอยู่จนถึงตอนนี้”
“คุณยูอิลฮาน”
ทั้งหมดสามหมื่นคนได้ลงมาอยู่ที่นี่ ประชากรของเวเนซูเอล่าในอดีตนั้นมีถึง 30 ล้านคน แต่ว่าคนทั้งหมดนั้นได้ตายลงไปแล้ว เพราะแบบนีทำให้ที่แห่งนี้มีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับคนสามหมื่นคน
“การต่อสู้กับมอนสเตอร์อาจจะยากเล็กน้อย แต่ว่าด้วยกองกำลังปราบปรามในปัจจุบันก็น่าจะรับมือได้นะ โอ้ จริงสิ”
ยูอิลฮานได้เอาอาร์ติแฟคระดับยูนีคที่มีอยู่เต็มคลังของแวนการ์ดออกมาแจกจายให้กับกองกำลังปราบปราม อุปกรณ์เดิมที่พวกเขาใช้อยู่ก็ดีอยู่แล้ว แต่ว่าของพวกนั้นเปนของผลิตจำนวนมากทำให้คุณภาพมันจะด้อยกว่าปกติ เพราะแบบนี้ด้วยการเปลื่ยนอุปกรณ์สวมใส่ทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า
“น่าทึ่งมาก”
“ใช้ของพวกนี้ได้ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวฉันจะไปจัดการเก็บกวาดระแวกรอบๆให้ก่อน”
ยูอิลฮานได้ส่งอุปกรณ์สื่อสารให้กับฮานเยรังและยุนแดฮานคนล่ะอัน
“ติดต่อมาหาฉันได้ตลอดเลยนะถ้ามีอันตรายเกิดขึ้น ฉันจะมาหาพวกเธอในทันที”
“…ขอบคุณมาก”
“มันอาจจะไม่ง่ายนักแต่ว่า… เราจะพยายาม”
“ตราบใดที่คุณอยู่ที่นี่เราก็จะไม่เป็นอะไรหรอก คุณยูอิลฮาน”
“นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะบอก… เฮ้อ”
ยูอิลฮานได้แต่ถอนหายใจออกมากับทัศนคติของฮานเยรัง
พวกเธอดูจะยังไม่รู้ถึงความหมายจริงๆของโลกระดับสูงสินะ ยูอิลฮานได้มีความคิดขึ้นมาครู่หนึ่งว่าควรจะปล่อยคนพวกนี้ไว้ที่กุนเดียดีหรือป่าวนะ
แต่ว่าในตอนนี้เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ? คนพวกนี้เป็นคนที่ตามเขามาก็เพราะว่าคนพวกนี้ทนกับสถานการณ์ในกุนเดียไม่ได้อีกต่อไปแล้ว บางทีเฮเรียน่าอาจจะพูดถูกก็ได้ มนุษยชาติก็แค่ดิ้นรนหนีให้พ้นจากสภาพเดิมจนไปสู่การทำลายตัวเอง
‘….ถึงยังไงฉันก็ทิ้งคนพวกนี้ไม่ได้’
ระหว่างออกมาจากเวเนซูเอล่า ยูอิลฮานก็ได้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเล็กๆน้อยๆเอาไว้ อย่างแรกเขาได้จัดการกวาดล้างมอนสเตอร์ออกไปและติดตั้งกับดักมากมายและอาวุธอัตโนมัติที่สร้างขึ้นมาจากมอนเตอร์ที่เขาได้ฆ่าไป
ถ้าหากว่ามีมอนสเตอร์ที่เหนือกว่า ‘ปกติ’ อย่างพวกปีศาจประหลาดโผล่ขึ้นมา อุปกรณ์พวกนี้ก็จะทำงานอัตโนมัติและส่งสัญญาณไปถึงตัวยูอิลฮานอีกด้วย
หากโลกเขายังไม่ไปเป็นโลกระดับสูง นี่ก็น่าจะมากพอแล้วสำหรับป้องกันคนพวกนี้
[ใจดีจังเลยนะ]
“ถ้าฉันใจดีจริงๆ ฉันก็คงไม่มาพวกเขามาที่นี่หรอก”
ยูอิลฮานได้ส่งเสียงฮึกับคำแซวของเฮเรียน่าและมุ่งหน้าสู่เกาหลี สถานที่ที่ประตูมิติไปไคโรถูกเปิดขึ้น แต่แน่นอนว่าประตูมิตินี้หายไป แต่ยังไงที่นี่ก็ยังคงเป็นที่ดินของยูอิลฮานมาก่อน แถมยังเป็นที่ที่เขาได้ใช้มาสร้างเป็นป้อมปราการลอยฟ้าด้วย
[…สวยมาก]
“น่าประทับใจมาก”
ทะเลสาบได้เกิดขึ้นมาในที่ที่พื้นดินถูกยกตัวออกไป นอกไปจากนี้บนผิวน้ำก็มีแสงจางๆเรืองออกมา และก็มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาเป็นรูปร่างที่พิเศษโผล่ขึ้นมาเป็นเวลา – ทั้งหมดนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทะเลสาบนี่คือทะเลสาบที่เกิดขึ้นมาจากเวทมนต์
“ยูอิลฮาน ฉันมาถึงแล้ว… โอ้”
เมื่อเอิลต้าผ่านประตูมิติมาเธอก็ได้เห็นฉากๆนี้ หลังจากที่เธอได้เห็นสภาพปัจจุบันของโลก ได้เห็นพื้นดิน ท้องฟ้า และทะเลกำลังบิดเบี้ยวอยู่เธอก็สรุปขึ้นมาได้ทันที
โลกใบนี้กำลังเข้าสู่กระบวนการเปลื่ยนแปลงไปเป็นโลกระดับสูง และมันกำลังเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วอย่างมากอีกด้วย
“ไม่ใช่นายบอกว่ามันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสักสองสามปีหรอกหรอ?”
“ใช่ ฉันเคยคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น”
“อืมม มันก็ไม่มีทางที่มนุษย์แบบนายจะคำนวนการแปลงสภาพได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังดีนะที่เรารู้ตัวก่อนที่จะสายเกินไป แล้วตอนนี้นายได้เตรียมอะไรเอาไว้แล้วใช่ไหม? เหตุผลที่นายเรียกฉันมาก็น่าจะเกี่ยวกับแผนนั้นด้วยสินะ”
“แน่นอนสิ”
ยูอิลฮานได้นึกไปถึงในตอนที่เขายืมพลังของพีทมาชุบชีวิตร่างของเฮเรียน่า และอธิบายแผนออกไป โดยพื้นฐานแล้วเวทย์ที่เขาคิดจะใช้กับโลกนี้ก็ไม่ได้ต่างกันนัก
“ฉันคิดที่จะชะลอเวลาของมิติเวลาบนโลกด้วยการยืมพลังจากแม่ ส่วนมานาแน่นอนจะต้องได้รับมาจากมานาที่เกิดมาจากตัวโลกเอง”
“อ่า…”
แม้ว่ายูอิลฮานจะเป็นคนที่่ชอบทำเรื่องบ้าๆแบบนี้เสมอ แต่ว่าเรื่องทำให้เอิลต้าไม่อาจจะตอบกลับไปได้เลย เธอทำได้แต่หันหน้าไปหาคิมเยซอล
“จากที่เขาพูดมันดูเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด…แล้วคุณคิดยังไงล่ะ คิมเยซอล? คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม?”
“ไม่ใช่ว่าลูกฉันบอกว่าทำได้หรอกหรอ ฉันเชื่อในลูกของฉัน”
[น่าสนใจจริงๆเลย ฉันอยากจะฟังให้ละเอียดกว่านี้อีกที่รัก]
“เยี่ยม ฉันจะอธิบายให้ฟังทีละขั้นตอนนะ”
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะได้คังมิเรย์มาช่วยด้วยเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เธอมีหน้าที่อื่นที่สำคัญต้องไปทำอยู่
ยูอิลฮานได้นั่งเรือบนทะเลสาบก่อนที่จะพายเรือไปตรงกลางพร้อมกับคนอื่นๆ
“ฉันจะสร้างวงเวทย์ตรงนี้”
“บนทะเลสาบเนี้ยนะ? แค่นี้จะพอหรอ?”
“ไม่หรอก ไม่พอแน่นอน ฉันจะใช้อาร์ติแฟคที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อวาดวงเวทย์ขึ้นทั่วโลก”
[สร้างวงเวทย์ขึ้นด้วยอาร์ติแฟคเนี้ยนะ?]
“ทั้งโลกด้วย!?”
หลังจากได้ยินแบบนี้เอิลต้าก็นึกได้ถึงบางอย่าง
“พระเจ้า วงเวทย์เอลฟ์โบราณในดาเรย์”
“ใช่แล้ว นี่คือเวอร์ชั่นอัพเกรดของวงเวทย์นั่น เพราะแบบนี้… คำพูดของคุณฮานเยรังพูดก็ไม่ได้ไกลไปจากความจริงนัก”
ยูอิลฮานกำลังคิดที่จะกลายมาเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้
เฮเรียน่าได้ฉีกยิ้มออกมาเมื่อสังเกตุเห็นถึงสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่
[ฟุฟุ ต่อให้ฉันไม่บอกที่รัก ที่รักก็ทำได้ดีเลยนี่ บางทีจิตใจเราอาจจะเชื่อมต่อกันแล้วก็ได้นะ น่ายินดีจังเลย]
“เธอนี่มัน…”
“แม่เข้าใจแล้ว แต่ว่านี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะ ตั้งสมาธิหน่อย”
ยูอิลฮานไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องของเวทย์มิติเวลาเลย เพราะแบบนี้ระหว่างการสร้างวงเวทย์เขาจำเป็นได้รับการช่วยเหลือจากคิมเยซอล
“สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลวเลย ในทะเลสาบมีมานาอยู่จำนวนมาก”
[โอ้]
เมื่อยูอิลฮานสะบัดมือของเขา ผิวน้ำทะเลสาบก็ได้พุ่งขึ้นตามการนำของเขาและได้แข็งตัวเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอันละเอียดอ่อน
นี่คือรูปปั้นทูตสวรรค์ที่สวยงามที่มีปีกสี่ข้างข้างอยู่ นี่คือรูปปั้นของเลียร่าในตอนที่เธอเป็นทูตสวรรค์คลาส 6 คิมเยซอลสงสัยมากว่าลูกของเธอใช้เทคนิคเวทย์อะไร แต่แล้วพอเธอมองดูลูกของเธอดีๆ เธอก็พบว่ายูอิลฮานต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
“นี่ลูกเปลื่ยนเกราะเมื่อไหร่กันน่ะ?”
“นี่เป็นเกราะกระดูกทรราชเยือกแข็ง มันเป็นเพราะที่จะทำให้ผมใช้น้ำและทำให้น้ำกลายมาเป็นน้ำแข็งได้ ผมจะสร้างอาร์ติแฟคขึ้นจากการสกัดออฟชั่นของเกราะนี้นี่แหละ”
[นี่มันประณีตมาก แล้วที่รักทำรูปปั้นให้ฉันด้วยไม่ได้หรอ?]
ยูอิลฮานได้สบัดมืออีกครั้งหนึงทำให้รูปปั้นน้ำแข็งกลับไปเป็นน้ำอีกครั้งก่อนที่จะตกลงไปในทะเลสาบ
“เพราะแบบนี้ฉันก็เลยอยากจะได้คนอื่นมาช่วย มันเป็นไปได้ไหมที่จะเปลื่ยนความสามารถของแม่ให้กลายมาเป็นวงเวทย์”
“แค่แม่คนเดียวมันยากมากเลยล่ะ”
[ฉันจะลองดูนะที่รัก นี่มันน่าสนใจมาก]
“ฉันก็จะช่วยเหมือนกัน โชคดีที่ฉันก็เชี่ยวชาญในเรื่องวงเวทย์เหมือนกัน”
“โอเค ถ้างั้นก็ฝากทั้งสามคนด้วยนะ”
ยูอิลฮานได้ถอดเกราะของเขาออกมา และหยิบเอาหินพลังเวทย์คลาส 5 ออกมาเพื่อสกัดออฟชั่นที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำจากชุดเกราะกระดูกนี้ ชุดเกราะตัวนี้ได้กลายมาเป็นฝุ่นสลายไปตามสายลมในทันทีที่ถูกดึงออฟชั่นออกไป
“ฉันจะทำให้ทะเลสาบนี่กลายมาเป็นอาร์ติแฟค”
[ที่รักทำลายอาร์ติแฟคระดับตำนานไปง่ายๆแบบนี้เลย…]
“สิ่งที่ฉันต้องการคือความสามารถในการควบคุมน้ำนี่ ไม่ใช่ตัวเกราะ”
พอมาถึงจุดนี้ยูอิลฮานก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อขึ้น เขาได้โยนหินพลังเวทย์ของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงลงไปในน้ำอย่างไม่ลังเลใดๆ แม้แต่เฮเรียน่าเองกยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยกับสิ่งที่เขาทำ
[ที่รัก… คุณไม่ได้เป็นอะไรนะ?]
“ฉันต้องใช้สมาธิ อย่ามากวนฉันสิ”
ยูอิลฮานได้หลับตาลงไปและวางมือลงไปบนผิวน้พอย่างช้าๆ สิ่งที่เขากำลังพยายามทำอยู่ในตอนนี้นั้นง่ายดายมากๆ
เขากำลังใช้หินพลังเวทย์เป็นพื้นฐานควบคุมทั้งทะเลสาบนี้ รวมน้ำในทะเลสาบทั้งหมดให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันและเอนชานท์วิญญาณเข้าไปในน้ำนั้น!
พูดง่ายๆเลยก็คือเขากำลังจะสร้างโกเลมน้ำ แน่นอนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรมเวทย์ ความสามารถหัตถกรรมมานาและเอนชานท์วิญญาณที่ได้ไปถึงจุดสูงสุด
‘เปิดใช้งานหัตถกรรมมานากับเอนชานท์วิญญาณพร้อมๆกัน แล้วก็หาจิตวิญญาณที่เหมาะสม… ใช่แล้ว นายเหมาะที่สุดแล้ว’
[นี่แกเอาจริง…?]
เสียงที่ตอนกลับมานั้นทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยคำสาป แต่ยังไงก็ตามยูอิลฮานที่มีประสบการณ์กับการต่อสู้มานับไม่ถ้วนแล้วมองว่านี่มันน่ารักมาก
‘ใช่แล้ว ฉันเอาจริง ถ้าเป็นเรื่องการปกป้องโลก นายน่าจะดีที่สุดแล้ว’
[ฉันอยากจะฉีกนายให้เป็นชิ้นๆจริงๆ]
‘ถ้านายคิดว่าฉันไม่คิดจะระวังนายงั้นนายก็คิดผิดแล้ว นายก็น่าจะรู้จากการได้ดูจากภายในตัวฉันมาตลอดนี่นา ต้องให้ฉันพูดให้นายเข้าใจง่ายๆอีกงั้นหรอ?’
ยูอิลฮานได้พูดต่อไปอย่างไม่สนใจเสียงตะโกนหรือเสียงคำรามของจิตวิญญาณเลย มันราวกับว่าเสียงพวกนี้ไม่มีวันส่งมาถึงเขา
‘ตราบใดที่ฉันไม่อนุญาติ นายก็จะทำอะไรไม่ได้ แล้วก็ถ้านายไม่ยอมรับ ฉันก็แค่ไปหาคนอื่น แล้วก็นะถ้านั่นมันเป็นผลทำให้พลังป้องกันของโลกอ่อนแอลงมา นายก็จะได้เจอแต่กับความสิ้นหวังแล้วก็คำสาปอย่างที่นายชอบทำมาเสมอไงล่ะ ไม่สิ จริงๆแล้วฉันก็คงแค่เอานายไปเป็นอาหารให้กับจิตวิญญาณดวงอื่นนั่นแหละนะ’
[นายนี่มันไม่มีความสามารถในการข่มขู่เลยสักนิด หรือว่าบางทีนายก็ไม่ได้สนใจเลยว่าฉันจะยอมหรือไม่ก็ตาม]
‘นายก็รู้ดีนี่นา แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะ?’
[ฉัน… ต้องการอิสระ]
‘นายตายไปแล้วนะ นายไม่ได้เป็นตัวนายอีกต่อไปแล้ว แล้วก็เรื่องที่นายคิดในตอนที่มีชีวิตอยู่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวนายในตอนนี้แล้วนะ’
[แต่ถึงแบบนั้น ฉัน… ก็ต้องการอิสระ]
‘ถ้างั้นก็ดีมาก การเจรจาสิ้นสุดแค่นี้’
[ยังไงก็ตาม]
จิตวิญญาณได้ยื้อยูอิลฮานเอาไว้
[ถ้าฉันสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ในร่างใหม่ ถ้าฉันสามารถจะหลุดพ้นสภาพแบบนี้ไปได้… ฉันก็จะยอมทำตามคำพูดของนายไปซักระยะหนึ่ง]
‘นายนี่ไม่เก่งเรื่องการเจรจาเลยสักนิด’
[ฉันเฝ้าดูนายมาตลอด ถ้าฉันไม่เชี่ยวชาญในด้านการเจรจา ถ้างั้นนั่นมันก็เป็นความผิดของนาย]
‘หา นี่มาโทษฉันงั้นหรอ? เอาเถอะ ถ้างั้นก็มาเริ่มกันเลย’
ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลปกครองที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขาและฉีกยิ้มออกมา เขาได้ประกาศชื่อที่อยู่ในหัวเขาออกมา
“เจตจำนงแห่งความโกลาหลกลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันซะ”
[…ฉันยอมรับ]
ผู้โดดเดี่ยวที่สุดและผู้โหดร้ายที่สุดได้จับมือกันแล้ว
บทที่ 273 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (7)
เมื่อเจตจำนงแห่งความโกลาหลได้กลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของยูอิลฮานแล้ว ยูอิลฮานก็ได้ปล่อยมันลงไปในทะเลสาบในทันที ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือเขาได้เชื่อมต่อทั้งทะเลสาบไว้กับหินพลังเวทย์คลาส 5 และกระจายจิตวิญญาณเข้าไปในนั้น
หัตถกรรมมานาที่อยู่ในระดับเชี่ยวชาญและเอนชานท์วิญญาณได้ทำงานพร้อมๆกันและเปลื่ยนทะเลสาบให้กลายมาเป็นโกเลม เจตจำนงแห่งความโกลาหลได้กระจายจิตสำนึกของมันเข้าไปทั้งทะเลสาบและกลายมาเป็นผู้ควบคุมทะเลสาบ มันได้พิสูจน์ว่ามันได้ควบคุมร่างใหม่นี้ได้แล้วด้วยการทำให้ผิวน้ำบิดเบี้ยวกลายมาเป็นหน้าของยูอิลฮาน
“นี่มันแย่มากเลยนะ”
[ฮึ่ม]
[เจตจำนงผู้พิทักษ์ได้เสร็จสมบูรณ์]
[เจตจำนงผู้พิทักษ์]
[ระดับ – กึ่งเทพ]
[ความทนทาน – ตราบใดที่ยังมีหยดน้ำเหลืออยู่จะไม่มีวันถูกทำลาย]
[ออฟชั่น –
1.จะไม่มีวันถูกเพลิงที่อยู่ในระดับต่ำกว่าทำให้ระเหยไปได้
2.สามารถเปลื่ยร่างกลายเป็นน้ำแข็งและไอน้ำได้ตามต้องการ
3.สามารถดูดซับน้ำมาทำเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายได้
4.เมื่ออยู่บนโลกความสามารถทั้งหมดเพิ่มขึ้น 40%]
สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีนาม ‘ความโกลาหล’ ได้กลายมามีชื่อใหม่เป็น ‘ผู้พิทักษ์ไปแล้ว’ เมื่อคิมเยซอลได้เห็นยูอิลฮานหัวเราะออกมา เธอก็ได้ถามเขาขึ้น
“ลูกแม่ ลูกเพิ่งทำอะไรไปน่ะ?”
“ผมได้ทำให้ทะเลสาบกลายมาเป็นโกเลมน่ะครับ”
“นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่นายควรจะพูดเหมือนกับการไปกินข้าวมานะ! นายควรจะตั้งใจสร้างอาร์ติแฟคที่จะวาดวงเวทย์นะ แต่แล้วนายกลับมาสร้างโกเลมขึ้นมา!? นี่มันอะไรกัน!?”
“แต่ฉันก็ไม่ได้โกหกเธอนี่นา เจตจำนงผู้พิทักษ์ก็วาดวงเวทย์ได้เหมือนกันนี่นา”
“…!”
ด้วยความฉลาดของเอิลต้าทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร คิมเยซอลกับเฮเรียน่าก็รู้แล้วเหมือนกัน
[โอ้ ที่รักคิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไงกัน? โกเลมนี่จะต้องทำมันได้แน่ แต่ยังเคลื่อนไหวได้ตามที่ต้องการอีกด้วย…]
“การไหลซึมเข้าไปในโลกและทำการแกะสลักมันเป็นไปได้จริงๆนั่นแหละ แต่ที่ฉันสงสัยคือนายคิดเรื่องนี้ออกมาได้ยังไงกัน… นี่มันบ้ามาก”
“เพราะแบบนี้สิ่งที่ต้องทำก็เหลือแค่วงเวทย์เท่านั้นแล้ว”
ยูอิลฮานได้ตรวจดูสภาพของโกเลมทะเลสาบ เจตจำนงผู้พิทักษ์ ที่เพิ่งจะออกมาและบอกกับพรรคพวกของเขา
“พวกเราจำเป็นต้องทำวงเวทย์ที่จะชะลอการไหลของเวลาบนโลกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ไว้ใจเราได้เลย ตอนนี้เราได้เจอแนวทางแล้ว”
ยังไงก็ตามมันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดเลย เรื่องนี้ต่อให้รีบยังไงก็ไม่อาจจะแก้ได้ เพราะแบบนี้ทำให้ยูอิลฮานตัดสินใจที่จะไปสร้างอาร์ติแฟคที่จะสนับสนุนในวงเวทย์ระหว่างที่รอให้วงเวทย์เสร็จสิ้น
แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่อาจจะเอาความเชื่อทั้งหมดไปไว้กับวงเวทย์ที่จะชะลอเวลาไว้ได้ เพราะแบบนั้นเขาจะต้องทำให้ทุกอย่างที่ทำได้ เพราะแบบนี้ทำให้เขาเริ่มดึงขนของทูตสวรรค์และเทวดาตกสวรรค์ออกมา
[นี่มันเป็นอุปกรณ์คล้ายๆร้อยนัยน์ตางั้นหรอ?]
“ในเมื่อฉันใช้ขกนกพวกนี้ โดยหลักการแล้วมันก็คล้ายกันนั่นแหละ แต่ว่าเป้าหมายของมันต่างกันอย่างชัดเจน”
ขนปีกที่เป็นของทูตสวรรค์และเทวดาตกสวรรค์มีพลังที่จะเปลื่ยนแปลงพลังงานไปเป็นธาตุที่พิเศษ บีบอัดธาตุนั้นและยิงมันออกไป สิ่งที่ยูอิลฮานจะตั้งใจทำนั่นก็คือส่วนของการดูดซับและบีบอัด
ในท้ายที่สุดเหตุผลที่โลกกำลังวิวัฒนาการขึ้นนั่นมันก็เพราะว่าความเข้นขนของมานาบนโลกสูงมากยิ่งขึ้น เพราะแบบนี้ถ้าเขาป้องกันไม่ให้ความเข้มข้นของมานาเพิ่มขึ้นได้ ถ้าแบบนั้นมันไม่ใช่ว่าเขาก็ชะลอเวลาการวิวัฒนาการโลกได้เหมือนกันหรอกหรอ? บีบอัดมานาพวกนั้นด้วยขกปีกพวกนี้และทำให้มานาที่บีบอัดมาหายไป!
[แล้วถ้างั้นจะให้มานาพวกนั้นหายไปอยู่ที่ไหนล่ะ?]
“ดาเรย์ไง”
[นายท่าน…]
“ตอนนี้สงครามภายในดาเรย์อยู่ตัวแล้ว แล้วก็จนกว่าจะถึงมหาภัยพิบัติขั้นที่ 6 มันยังเหลือเวลาอยู่อีกมากเพราะแบบนี้มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แล้วก็ฉันไม่ได้จะเอาพลังงานพวกนั้นไปทิ้งไว้ในดาเรย์ทันทีซะหน่อย ฉันกำลังจะสร้างอุปกรณ์แยกที่เอาไว้รวบรวมมานาไว้ด้วย”
[เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนเถอะ แต่ว่าจะใช้วิธีไหนกันถึงจะส่งมานาข้ามไปมิติอื่นได้?]
“ถามได้ดี ยังไงก็ตามแค่ฉันเพิ่มออฟชั่นที่คล้ายกันกับสกิลข้ามมิติเข้าไปในอาร์ติแฟคเรื่องนั้นก็ถูกแก้ไขได้ง่ายๆเลยนี่”
[โฮ่ จริงด้วย]
ยูอิลฮานได้เมินเสียงเสียดสีจากโอโรจิและเริ่มสร้างอาร์ติแฟคที่จะเอาไปไว้ที่ดาเรย์ เนื่องจากว่าเขาจะต้องบีบอัดและเก็บมานาจำนวนมากไว้ทำให้วัตถุดิบที่เขาได้เลือกใช้ก็ต้องเป็นปีกที่ 8 แห่งกองทัพจรัสแสง นาเทีย อย่างแน่นอน!
เขาได้จัดการชำแหละปีกทั้งหกของนาเทียและดึงกระดูกของเธอออกมาวาง
วัตถุดิบต่อมาที่เขาเลือกก็คือมังกรคลาส 6 เทราก้า เขาได้หยิบเอากระดูกที่แข็งแกร่งสุดที่มีอยู่และผสมเข้ากับผงกระดูกของนาเทีย จากนั้นก็ขึ้นรูปด้วยเพลิงนิรันดร์เพื่อที่จะสร้างท่อทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร และมีความยาวถึง 50 เมตร ท่อสีดำวาววับนี้ดูน่ากลัวมา
[ทำไมถึงเป็นทรงกระบอกล่ะ?]
“อืม ก็ฉันต้องใช้มันเป็นี่เก็บพลังงานไงล่ะ?”
[คุณจะซ่อนมันแบบนี้เลยงั้นหรอนายท่าน]
เขาได้ใช้ผงขนปีกของนาเทียกับผงจากหินพลังเวทย์โรยลงไปบนท่อ เพื่อที่จะทำให้มันเสร็จออกมาเขาก็ได้ใช้หินพลังเวทย์ของเทราก้ามาทำหัตถกรรมมานา และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าพอใจมาก
“เยี่ยม นี่มันน่าจะเป็นรากฐานที่ดีแล้ว…”
[นายท่านดูจะกำลังสนุกอยู่เลยนะ…]
และยิ่งยูอิลฮานสนุกไปกับงานมากแค่ไหน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่า! ยูอิลฮานได้ตรวจดูผลงานที่เขาทำขึ้นมารวมไปถึงความทนทานและการทนความร้อนของมัน ก่อนที่จะบอกกับคนที่กำลังยุ่งับวงเวทย์เบาๆ
“ฉันจะไปดาเรย์ซักเดี๋ยวนะ!”
“นี่นายพูดเหมือนนายกำลังจะไปร้านค้าเลยนะ…. โอ้ เขาไปซะแล้ว!”
ยูอิลฮานได้หัวเราะกับคำตอบกลับของเอิลต้าและเปิดใช้สกิลข้ามมิติไปก่อนที่เธอจะพูดจบซะอีก ในตอนนี้การมาที่ดาเรย์ของเขาใช้เวลาแค่นาทีเดียวเท่านั้นเอง มันก็เหมือนกับที่เขาเคยบอกกับมิลฟาร์ว่าการไปกลับทั้งสองโลกสำหรับเขาแล้วมันแทบไม่ต่างจากการไปร้านค้าเลย
‘แน่นอนว่า ในคราวนี้ฉันคงไปเจอเธอไม่ได้…’
แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดเมื่อนึกไปถึงสายตาเศร้าๆของมิลฟาร์ที่มองมาที่เขา แต่ว่าน่าเสียดายที่ในตอนนี้สถานการณ์ของโลกเขาเร่งด่วนมาก แล้วก็ในตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกกดดันจากผู้หญิงหลายคนที่มามีความรู้สึกโรแมนติกกับเขาด้วย
[นี่เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องได้เจอ จากสิ่งที่ข้าเห็น นี่มันเป็นเรื่องดีที่นายท่านได้ยอมรับและรับรู้เพราะว่าท่านมีพลังที่แข็งแกร่ง]
“โรคบ้าความแข็งแกร่งของพวกมังกรอีกแล้ว”
เขาได้มองหาที่ที่มีมานาปะทุมากที่สุดเพื่อที่จะไปติดตั้งท่อทรงกระบอกของเขา แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะซ่อนมันเอาไว้จากสายตาทุกคน การใช้ความสามารถซ่อนตัวของเขากับอาร์ติแฟคมันง่ายเหมือนกับปอกกล้วย! จะไม่มีใครได้เห็นมันยกเว้นแต่ว่าเขาจะตั้งใจเผยมันออกมา
[ตอนนี้ข้ารู้สึกถึงสิ่งที่นายท่านทำแล้ว นี่มันคืออาวุธที่จะมีประโยชน์มากหลังจากโลกได้กลายเป็นโลกระดับสูง]
“นี่มันเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไงล่ะ”
โอโรจิไม่อาจจะเถียงได้เลยเพราะมันเป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆ การทำเรื่องเดียวแต่ได้ประโยชน์ถึงสองอย่างนี่คือเรื่องที่ดีมาก! ระหว่างที่โอโรจิเงียบลงไปนี้ ยูอิลฮานก็ได้ติดตั้งอุปกรณ์ของเขาและกลับไปที่โลกอย่างรวดเร็วแล้ว
“ในตอนนี้ฉันจะต้องทำอุปกรณ์ที่จะส่งมานาที่ถูกรวบรวมไว้ไปที่ดาเรย์”
[ทำตามใจนายท่านเถอะ ข้ายอมแพ้ที่จะไปทำความเข้าใจในสิ่งที่นายท่านต้องการจะทำนานแล้ว]
“นายควรจะพูดให้ฉันกระตือรือร้นกว่านี้หน่อยสิ ช่างเป็นคนที่เปราะบางจริงๆเลย”
[ทั้งหมดนั่นมันเพราะท่านนั่นแหละ]
จำนวนขกปีกของทูตสวรรค์กับเทวดาตกสวรรค์นั้นมีจำนวนที่ ‘มหาศาล’ และยูอิลฮานได้แบ่งออกมา 60% จากทั้งหมดมาทำให้เป็นผงกับหินพลังเวทย์
จากนั้นเขาก็ได้ทำการหัตถกรรมมานาทีละนิดเพื่อผสานผงพวกนี้เข้ากับกระดูกมังกรเพื่อที่จะสร้างท่อทรงกระบอกขนาดเล็กนับร้อย นับพัน นับหมื่น นับแสน นับล้านขึ้นมา โดยที่แต่ล่ะอันต่างก็มีความยาวอยู่ที่ 30 เซ็นติเมตร เวลาที่เขาได้ทำทั้งหมดนี้ได้ผ่านไปแค่ 4 วันเท่านั้นเอง หากจะพูดให้ชัดก็คือเขาได้ใช้เวลาทำแต่ล่ะอันน้อยกว่า 10 วินาทีซะอีก
[…เร็วมาก]
“ก็อย่างที่ฉันเคยบอกไง ยิ่งทำอะไรซ้ำๆเวลาในการสร้างก็จะลดลงเพราะฉันเชี่ยวชาญมันมากขึ้น”
[…]
โอโรจิได้เผลอถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไป จนได้เจอคำตอบกลับของยูอิลฮานที่เขาไม่ต้องการขึ้นในทันที
[พรจากเทพนี่ก็แปลกแล้วนะ… แต่แน่นอนว่าตัวตนของนายท่านแปลกยิ่งกว่าอีก!]
“ฮ่าๆ ชมฉันขนาดนี้ ฉันก็อายเป็นนะ”
[ข้าไม่ได้ชม!]
“ดีล่ะ ตอนนี้มาทำหัตถกรรมมานาแบบวงกว้างกันดีกว่า…”
[แบบวงกว้าง!?]
ยูอิลฮานได้วางหินพลังเวทย์ระดับต่ำทั้งหมดที่เขาไม่ได้ใช้ออกมาและทำการหัตถกรรมมานาอาร์ติแฟคหลายล้านอันภายในครั้งเดียว หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปติดตั้งอุปกรณ์พวกนี้ตามส่วนต่างๆของธอ ในระหว่างกระบวนการนี้เขาก็ได้ใช้เวลาไปอีกสี่วัน
ต่อมาเมื่อเจตจำนงผู้พิทักษ์ได้สร้างวงเวทย์ขึ้นทั่วทั้งโลก อาร์ติแฟคพวกนี้ก็ยังจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเจตจำนงผู้พิทักษ์และได้รับการปกป้องอีกด้วย นี่นับได้ว่าเขาได้เตรียมการอย่างละเอียแล้ว
จากนั้นเองคิมเยซอลก็ได้คำนวนข้อมูลเฉพาะสำหรับการสร้างวงเวทย์ที่กินพื้นที่ทั่วทั้งโลกได้สำเร็จและพลังของเธอก็ยังพัฒนาขึ้นมามากอีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพราะได้ความช่วยเหลือจากเอิลต้าและเฮเรียน่า
“ฉันได้เรียนรู้อะไรมาเยอะมากเลย ฉันรู้สึกว่าในวันหนึ่งสกิลของฉันอาจจะไปสู่ระดับที่สูงกว่านี้ก็ได้”
“ฉันก็เหมือนกัน เวทย์มิติเวลาที่ใช้การบิดเบือนมานาที่บริสุทธ์โดยไร้การแทรกแซงจากมานาสิ่งมีชีวิตชั้นสูง แค่ได้สัมผัสกับมันก็ทำให้ฉันได้รู้อะรมากมายเลย
[โอ้ ฉันก็ดีใจนะที่ได้ยินว่าฉันช่วยเธอได้ ถ้างั้นคุณก็จะคุยกับที่รักเรื่องฉันให้ใช่ไหม?]
“ฟุฟุ ได้เลยจ่ะ”
แม้ว่านี่จะไม่ได้อยู่ในความตั้งใจของยูอิลฮาน แต่ว่าดูเหมือนคิมเยซอลจะสนิทกับเอิลต้าและเฮเรียน่ามากขึ้นในระหว่างวิเคราะห์วงเวทย์ด้วยกัน
ยูอิลฮานได้รับเอาพิมพ์เขียวมาจากคิมเยซอลด้วยสีหน้าอึดอัดใจ
“ถ้าลูกขยายมันออกมา ลูกก็น่าจะชะลอความก้าวหน้าของโลกลงได้”
“ขอบคุณครับผม ผมเชื่อแม่”
ยูอิลฮานได้ตีความพิมพ์เขียวและดูดซับความรู้เกี่ยวกับวงเวทย์นี้ลงไปอย่างสมบูรณ์ด้วยสกิลบันทึกของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้แตกฉานในเรื่องของเวทย์เกี่ยวกับมิติเวลา แต่ว่าแค่ได้รับบันทึกเกี่ยวกับวงเวทย์มาอย่างเดียวก็ทำให้สกิลบันทึกของเขาได้ค่าประสบการณ์อย่างมากจนในตอนนี้มีเลเวล 70 แล้ว นี่ได้แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของพิมพ์เขียวนั้นสูงมากๆ
“ยังไงก็ตาม ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าหากไม่มีมานาของแม่มันก็ไม่มีประโยชน์น่ะ?”
“แน่นอนสิ เพราะแบบนั้นผมถึงต้องการให้แม่ช่วยไงล่ะ”
ยูอิลฮานได้ส่งต่อความรู้ที่เขาได้มาจากสกิลบันทึกไปสู่เจตจำนงผู้พิทักษ์ที่รออยู่ในรูปแบบทะเลสาบ
[…งั้นฉันก็จะต้องใช้วงเวทย์นี่กับโลกสินะ?]
“แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ยังไงก็ตามนายก็น่าจะรู้เรื่องเปลือกโลกดีกว่าพวกเราใช่ไหมล่ะ?”
[หยุดชมฉันได้แล้ว ฉันมีแต่จะคิดว่านายกำลังแสดงความรังเกียจฉัน]
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ เหตุผลที่ฉันเลือกนายมาเป็นภาชนะสำหรับวงเวทย์ก็เพราะเหตุนี้ด้วย ฉันรู้ว่านายคิดว่าฉันเป็นอุปสรรค แต่ว่าสิ่งที่ฉันพยายามทำก็คือการรักษาโลกนี้ให้เหมาะสม เพราะงั้น… มาทำให้มันถูกต้องกันดีกว่า”
[ฮึ่ม]
แม้ว่าเจตจำนงผู้พิทักษ์จะไม่พอใจ แต่ว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา ยูอิลฮานได้หัวเราะขึ้นและจับมือของคิมเยซอลไปวางไว้บนผิวน้ำ
“ตอนนี้แม่แค่ต้องปล่อยมานาออกมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
“แค่นี้หรอ?”
“ครับ ที่เหลือหมอนี่จะเป็นคนทำเอง ทั้งการนำไปปรับใช้และเปลื่ยนแปลง”
“โอเค ได้เลย”
คิมเยซอลได้ปล่อยมานาของเธอลงไปในทะเลสาบ เจตจำนงผู้พิทักษ์ได้รับเอามานานี้เอาไว้ราวกับคอยอยู่แล้วและเริ่มการเปลื่ยนแปลงร่างของมันทีละนิด ตอนนี้เองทั้งทะเลสาบก็ได้เรืองแสงจากๆออกมาทำให้เอิลต้าและเฮเรียน่าที่มองดูอยู่ต้องอุทานขึ้นมา
“… ฉันดีใจจริงๆเลยที่ฉันอยู่ฝั่งเดียวกับยูอิลฮาน การที่ฉันมาได้เห็นปรากฏการณ์นี้มัน… การที่ได้เห็นโกเลมที่สร้างขึ้นมาจากทะเลสาบกลายมาเป็นเวทมนต์ด้วยตัวเอง…”
[ที่รักของฉันยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอยู่จริงๆน่ะหรอ? อ๊า ฉันห้ามใจตัวเองไม่ไหวแล้ว ที่รักได้โปรดจูบฉันที]
ยูอิลฮานไม่ได้สนใจคำพูดพวกนี้เลย เขากำลังช่วยเจตจำนงผู้พิทักษ์ปรับตัวกับเวทย์อยู่
“นายทำได้ใช่ไหม?”
[…มันก็แค่เรื่องง่ายๆ]
ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปแสงที่เปล่งออกมาจากทะเลสาบก็สว่างยิ่งขึ้น และในที่สุดระดับผิวน้ำก็ได้ลดลงไป ส่วนหนึ่งของเจตจำนงผู้พิทักษ์ได้มุดลงไปใต้ดินเพื่อดูดเอาความชื้นมาเพื่อทำให้ตัวเองใหญ่ยิ่งขึ้นและกระจายตัวออกไปตามส่วนต่างๆของโลกอย่างช้าๆ แต่มั่นคง
[ฉัน]
มันได้ส่งเจตจำนงของมันออกมาผ่านเสียงอีกครั้งหนึ่ง นี่มันเหมือนกับในตอนที่มันมาโจมตียูอิลฮานครั้งแรก ไม่สิ บางทีนี่ก็คือการประกาศต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกก็ได้
[จะปกป้องโลกใบนี้]
เพราะแบบนี้เองทำให้การพัฒนาขึ้นของโลกได้ถูกชะลอลงไปเป็นเวลานาน
บทที่ 274 – ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (8)
“จำภาพนี้เอาไว้ให้ดีล่ะเพราะนี้เป็นปรากฏการณ์ที่จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว”
“ฉัน… ทำมันไปแล้ว”
“พระเจ้า”
[ว้าว โกเลมนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่]
เจตจำนงผู้พิทักษ์ได้รับเอาข้อมูลของวงเวทย์ทั้งหมดมา และได้ทำการวิเคราะห์และนำมาปรับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ มันได้กระจายตัวออกไปรอบๆในทันทีทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทะเลสาบที่ว่างเปล่าเท่านั้นเอง
เพราะว่าหากอยู่ภายนอกมากนักวงเวทย์ก็อาจจะเสี่ยงถูกทำลายได้ เพราะแบบนี้มันจึงตัดสินใจที่จะไปใช้งานวงเวทย์ใต้ดินลึกลงไปประมาณ 10 กิโลเมตร แต่ถึงยังไงก็ตามสำหรับตัวการสำคัญที่มีส่วนร่วมในงานนี้อย่างคิมเยซอลที่ใช้มานาของเธอไปทำให้เธอได้รู้ถึงการเคลื่อนไหวของมันได้อย่างชัดเจน
“ระดับน้ำกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนด้านล่างจะโผล่ออกมาได้ตลอดเวลาเลย”
“การที่จะทำให้ขนาดมันใหญ่ขึ้นก็จะต้องดูดน้ำทะเลจากทะเล เพราะแบบนี้ระดับน้ำทะเลก็เลยลดลง”
เนื่องจากคิมเยซอลได้สร้างวงเวทย์เสร็จแล้วทำให้ไม่มีอะไรที่ต้องทำอีก พวกเขาได้ออกมาจากทะเลสาบและมายืนอยู่บนพื้นดิน แต่ถึงแบบนั้นวงเวทย์ก็ยังขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุด และยูอิลฮานก็ตั้งสมาธิอยู่กับวงเวทย์นี้
“ไม่ มันยังไม่จบ”
“นี่มันเพิ่งจะครอบคลุมแค่ในกังนัมเท่านั้น ไม่สิ ตอนนี้ทั้งโซลแล้ว แล้วก็… กำลังขยายออกไปอย่างรวดเร็ว”
[อืม ยิ่งเวลาผ่านไปน้ำทะเลที่ถูกดูดซับไปก็ยิ่งมากขึ้น โอ้ว น่าสนุกมาก ที่รักรู้สึกได้ถึงวงเวทย์ที่เราสร้างได้ถูกสลักลงไปในประเทศนี้หรือยัง?]
ยูอิลฮานได้ตั้งสมาธิของเขาอยู่กับเจตจำนงผู้พิทักษ์ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างกันแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังเป็นจิตวิญญาณอยู่ ยูอิลฮานก็สามารถจะติดต่อไปหามันได้
[ไม่มีปัญหาอะไร]
‘ถ้ามั่นใจเกิดไปอาจจะเกิดเรื่องต่างๆแทรกเข้ามาได้เสมอนะ ตั้งสมาธิแล้วก็ระวังไว้ด้วย’
วงเวทย์ได้ครอบคลุมไปถึงเกาหลี ญี่ปุ่นและจีนแล้ว แต่แล้วร่างกายของโกเลมก็แข็งตัวและพยายามจะใช้วงเวทย์ออกไปอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากยูอิลฮานกำลังเชื่อมต่อกับประสาทสัมผัสกับโกเลมอยู่ทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด แต่ว่าเขาก็ได้ทนกับความเจ็บปวดนี้ไว้ เขายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ
[ที่รักมานาของโลกใบนี้กำลังต่อต้านอย่างรุนแรง ฉันไม่คิดว่าเราจะใช้วงเวทย์ได้ง่ายๆแล้วนะ]
“ฉันก็คิดเอาไว้แล้ว ฉันไม่ได้มีไพ่ตายแค่วงเวทย์นี่หรอกนะ”
นั่นคือท่อทรงกระบอกที่ยูอิลฮานได้สร้างขึ้นมา และสวิตเปิดใช้งานพวกนั้นทั้งหมดได้อยู่ในมือยูอิลฮานในรูปแบบของจี้แล้ว
นี่คือตัวควบคุมที่เขาได้สร้างขึ้นมาโดยใช้หลักการเดียวกับการส่งต่อพลังของค้อนสายฟ้า! จี้นี่ได้ใช้หัวกระโหลกของเทราก้าเป็นพื้นฐานแล้วก็ยังมีดวงตาของมันด้วยทำให้มีพลังเวทย์ที่ทรงพลังอยู่ภายใน
“จี้นี่มีความสามารถทั้งการดูดมานาจากรอบตัวและการส่งต่อพลังไปให้กับอาร์ติแฟคที่ทำมาจากวัตถุดิบแบบเดียวกัน นี่ก็คือเครือข่ายเน็ตเวิร์คของอาร์ติแฟค”
เมื่อยูอิลฮานได้หยิบจี้ที่เขาเปิดใช้งานขึ้นมา จี้นี้ก็ได้ดูดมานารอบๆเข้าไปและมอบคำสั่งเดียวกันนี้ให้กับอาร์ติแฟคนับล้านที่กระจายอยู่ทั่วโลก เพื่อที่จะให้มันดูดมานาในโลกใบนี้มาและส่งไปในดาเรย์!
ยังไงก็ตาม ถึงแบบนั้นเอิลต้ากับยิมเยซอลก็ไม่อาจจะรู้สึกตัวได้เลย เพราะแบบนี้จึงมีแต่เฮเรียน่าเท่านั้นที่ต้องตัวสั่นกับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นมานี้
[โอ้ พระเจ้า เป็นไปได้ยังไงกัน… นี่มัน น่าอัศจรรย์]
เมื่ออาร์ติแฟคนับล้ายได้ดูมานาและทำให้มานาพวกนั้นหายไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอพูดออกมาอย่างมีความสุข แม้ว่าจะผ่านการเตรียมการมามากมาย แต่การควบคุมมานาของทั้งโลกด้วยการกระทำเดียวแบบนี้ทำให้ยูอิลฮานดูผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกนับไม่ถ้วนไปแล้ว!
“…หืม? ทำไมจู่ๆฉันรู้สึกเหมือนฉันเสียพลังชีวิตไปเล็กน้อยกันนะ”
“มันไม่ใช่แค่ ‘เล็กน้อย’ หรอกนะ ฉันรู้สึกว่าไหล่ของฉันเบาลงเหมือนกัน ความเข้มข้นของมานากำลังลดต่ำลง”
เมื่อความเข้มข้นของมานาลดต่ำลงมาก็ทำให้คิมเยซอลกับเอิลต้าก็ยังรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมานิดๆให้กับพวกเธอและตั้งสมาธิมากยิ่งขึ้น อาร์ติแฟคนับล้านได้ถูกเปิดใช้งานมาสำเร็จแล้ว เพราะแบบนี้มันก็คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะทำให้วงเวทย์ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกในตอนที่มานายังต่ำอยู่!
[เยี่ยม]
เจตจำนงผู้พิทักษ์ได้ส่งเสียงออกมา โกเลมมันได้กระจายตัวไปสามทวีปในทีเดียวและเริ่มดูดน้ำจากโลกเพื่อเพิ่มขนาดนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนี้มันกำลังพยายามเจาะเปลือกโลกเข้าไปภายใน
[ฉันจะครอบคลุมทุกๆอย่าง!]
“สมกับที่เป็นนายจริงๆ”
[นายท่านนี่โหดร้าย]
“ก็ปกตินี่”
ยูอิลฮานได้หลับตาลงและคิดถึงภาพของโลกใบหัวเขา ตอนนี้วงเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือคิมเยซอล เอิลต้า และเฮเรียน่า ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว
[เวทมนต์]
เจตจำนงผู้พิทักษ์ได้พูดคำๆนี้ออกมาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายของมันได้บรรจบเข้าด้วยกัน
[ทำงานแล้ว]
ในตอนนี้เองทุกๆอย่างบนโลกได้ช้าลง
“…ว้าว”
ยูอิลฮานก็ยังแทบจะตะโกนออกมาไม่ได้ เนื่องจากว่าเขาได้ทำให้ทุกๆอย่างบนโลกช้าลงไปกว่าปกติ เพราะแบบนี้ยูอิลฮานก็จึงโดนผลกระทบจากวงเวทย์ไปด้วย
“นี่มันบ้ามาก แค่อยู่ที่นี่มันก็เหมือนกับการฝึกแล้ว”
“ฝึกงั้นหรอ? สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำทั่วไปไม่มีทางจะขยับในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ด้วยซ้ำ! ฮานเยรัง! เราต้องไปดูพวกเธอ!”
เอิลต้าได้ร้องออกมา แม้กระทั่งเธอยังรู้สึกยากลำบากในการเคลื่อนไหวเลยทั้งๆที่เธอก็พอจะเข้าใจในเรื่องมิติเวลาจากการช่วยคิมเยซอลก็ตาม และขนาดเธอได้ใช้เวทย์กับตัวเธอเองเพื่อต้านทานการช้าลง เธอก็ยังเป็นแบบนี้เลย! สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำคงไม่อาจจะเคลื่อนไหวได้แน่
ยังไงก็ตามได้มีคนปฏิเสธในความคิดเห็นของเธอออกมา นั่นก็คือคิมเยซอลผู้เป็นเจ้าของวงเวทย์นี้
“ทุกๆอย่างบนโลกได้ช้าลง เพราะแบบนั้นความเร็วในการทำสิ่งต่างๆทั้งภายในและภายนอกจะช้าลงเท่าๆกัน เพราะแบบนี้เอิลต้า คำพูดที่เธอบอกว่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจะขยับไม่ได้นั้นไม่ถูก”
ความหมายก็คือคนพวกนั้นก็แค่เคลื่อนไหวช้ามากในสายตาของคนที่ของคนที่รู้ว่าเวลาช้าลงจากวงเวทย์ ส่วนคนพวกนั้นก็จะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีอะไรเกิดขึ้น…
“หรือพูดอีกอย่างก็คือพวกเราได้ต่อต้านเวทย์นี้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องยากก็เพราะเราพยายามจะเมินเฉยต่อเวลาที่ช้าลงบนโลกและคิดที่จะเคลื่อนไหวให้รวดเร็วเหมือนปกติ… แต่ความเป็นจริงในสายตาของคนอื่นๆที่อยู่บนโลกนี้คือเรารวดเร็วมาก”
ยูอิลฮานได้เหงื่อตกออกมาทันที ในตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาเคลื่อนที่ช้าลงกว่าปกติเล็กน้อย แต่ว่าหากคิดถึงเรื่องที่ทั้งโลกใบนี้ช้าลงอยู่ นั่นก็แสดงว่าเขารวดเร็วมากๆ
[นั่นแหละที่รัก ความเร็วของที่รักนน่าจะลดน้อยลงกว่าปกติไม่ใช่หรอ?]
“หืมมม….”
ยูอิลฮานเคยได้เจอกับเวลาของโลกที่หยุดลงเพราะเทพเจ้าแล้ว แต่ในคราวนี้เกิดจากฝีมือของเขาเอง
ยูอิลฮานได้คิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่าเขาไม่ธรรมดา แต่แน่นอนว่าคนสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็คือแม่ของเขา บางคนที่เป็นเทพเจ้าคนที่ 5 อาจจะไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่ของเขาก็ได้นะ
“ยังไงก็ตามนี่มันหมายความว่าเรายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คนที่ไม่ได้รู้ถึงเวทย์นี้ก็จะทำตัวกันตามปกติ ในขณะที่เราต่อต้านเวทย์นี้ก็จะเป็นการฝึกไปในตัวโดยที่ไม่ได้ทำอะไรอีกด้วย นี่มันสมบูรณ์แบบ”
“ใช่แล้ว ฉันเข้าใจแล้วว่านายมันเป็นพวกโรคจิต!”
[ยังไงก็ตามเวทย์ไม่อาจจะสมบูรณ์มากกว่านี้ได้แล้ว โกเลมที่ชื่อว่าเจตจำนงผู้พิทักษ์ก็ด้วย… นี่มันดีมากเลย ตอนนี้วงเวทย์ได้สมบูรณ์แล้ว ไม่เพียงแต่มีความเสียหายที่เล็กน้อยมากๆ แต่ต่อให้มันถูกทำลายลงไป…]
“หากมันได้ดูดซับน้ำมากขึ้นมันก็จะฟื้นตัวกลับมาเอง”
ยูอิลฮานได้แสยะยิ้มออกมา แม้ว่าเขาจะเหงื่อท่วมตัวจากการต่อต้านพลังของวงเวทย์อยู่แต่ว่ารอยยิ้มของเขาก็ยังคงชั่วร้ายเช่นเดิม
[นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้เห็นวงเวทย์ที่สมบูรณ์แบบแบบนี้ ไม่เคยมีใครทำเรื่องแบบนี้ได้มาก่อนเลย]
“ตอนนี้เธอจะสรรเสริญฉันมากกว่านี้ก็ได้นะ”
[ฟุฟุ]
เฮเรียน่าได้หัวเราะกลับมาเมื่อได้เห็นมุมนี้ของยูอิลฮาน ส่วนเอิลต้าที่ไม่ชอบในรอยยิ้มของเฮเรียน่าเลยได้แต่กระทืบเท้าลงกับพื้น
ในตอนนี้เองก็มีผู้ที่พยายามจะเข้ามาในโลก หากไม่ใช่ผู้นำของแต่ล่ะกองกำลัง ก็มีแต่แค่คังมิเรย์เท่านั้ที่จะเข้ามาได้ และแน่นอนว่ายูอิลฮานก็รู้ว่านั่นเป็เธอและปล่อยให้เธอเข้ามาแต่โดยดี
[ดูเหมือนพวกนั้นจะรู้ถึงตัวตนพวกเขาแล้วก็กำลังมาที่นี่… โอ้ พวกนั้นมาถึงแล้ว]
[ว๊ากกกกกกกกกกกกกก!]
ในทันทีที่เฮเรียน่าพูดจบลง เสียงตะโกนของมิสทิคก็ได้ดังสนั่นออกมา แน่นอนทุกๆคนที่นี่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ตะโกนแบบนี้
“ยินดีต้อนรับกลับนะมิสทิค”
[นายท่านนนนนนนนนน! ท่านทำอะไรกับโลกกัน!]
“ฉันก็ทำให้ทุกๆอย่างบนโลกช้าลงไงล่ะ”
[อย่ามาพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติสิ! อย่าตอบแบบใจเย็นอย่างนั้นนะ!]
แม้ว่ามิสทิคจะพูดออกมารัวๆ แต่เธอก็ยังเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เหตุผลนั่นก็ง่ายมากๆ – ภายในป้อมปราการลอยฟ้ายังมีคนที่ไม่ได้รู้ถึงผลของวงเวทย์อยู่
หากว่าเธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในขณะที่คนพวกนั้นยังเคลื่อนไหวช้าๆอยู่ได้เกิดหายนะขึ้นแน่! เธอนี่ฉลาดจริงๆ
“เราาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา”
“หืม”
ยูอิลฮานได้เห็นคนๆหนึ่งกำลังตะโกนออกมาแบบช้ามากๆ
คนๆนี้แน่นอนว่าดูเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่ยังคงอยู่ในคลาส 3 คนๆนี้คือมิเชล สมิธสัน หัวหน้าของอัศินโลหะ หนึ่งในผู้นำของพันธมิตรแนวหน้า และหัวหน้ากิลด์ชั้นนำของอังกฤษ
“นายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“ให้ตายสิ”
แต่เขาคนนี้ช้ามากๆ ริมฝีปากของเขาได้ขยับอย่างช้าๆ แม้กระทั่งยูอิลฮานได้กำหมัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ยูอิลฮานอยากจะต่อยหน้าชายคนนี้จริงๆเลย! ต่อให้คนๆนี้จะไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม
“ดูเหมือนว่าภายใต้วงเวทย์ฉันคงต้องยอมแพ้การคุยกับคนๆนี้สินะ”
“ถ้านายเลิกต่อต้านเวทย์นายก็จะคุยกับเขาได้นะ”
“ฉันไม่ได้อยากจะคุยกับเขาจนต้องทำแบบนั้นซะหน่อย”
“ลูกแบบ เย็นชาจังเลยนะ…”
“พวกเขากำลังมาแล้ว”
มิสทิคได้จัดการส่งทุกๆคนลงมารวมไปถึงสมาชิกปาร์ตี้ของยูอิลฮานที่ทุกๆคนกำลังต่อต้านผลของวงเวทย์ลงมาด้วย ยูอิลฮานได้รับยูมิลเอาไว้และลูบหัวยูมิล
“มิล ลูกเก่งมาก”
“นี่มันน่าทึ่งมากเลยครับพ่อ! แค่ยืนอยู่เฉยๆผมก็รู้สึกเหมือนกับกำลังฝึกอยู่แล้ว!”
“สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน พวกเขาพูดเหมือนกันเลย”
“อิลฮานนนนนนนน!”
“อิลฮาน นี่เป็นเวทย์งั้นหรอ? ฉันคิดว่านายจะทำมันทีหลังซะอีกนะ แต่นายกลับทำมันไปแล้ว?”
“…ฟู่”
เอิลต้าได้แสดงสีหน้าตกใจออกมาเมื่อได้เห็นว่านอกจากนายูนา เลียร่า และมิเรย์ ยังมีสมาชิกอีกประมาณหนึ่งที่ต่อต้านวงเวทย์ได้
“มันน่าทึ่งมากที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำต่อต้านวงเวทย์ได้ ยูอิลฮาน นี่มันหมายความว่าพวกคนที่อยู่ข้างๆนายไม่ปกติซักคน”
“แน่นอนสิ ถ้าพวกเขาเป็นพวกปกติ พวกเขาก็คงไม่ได้อยู่มาถึงตอนนี้หรอกนะ”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาเท่ๆและหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสมาชิกมารวมกันอยู่รอบๆเขา เขาได้เมินเลียร่ากับเฮเรียน่าที่จ้องกันอยู่
“ตอนนี้มีเวลาเหลืออีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพราะงั้นมาพยายามกันจนกว่าจะถึงตอนนั้นนะ หลังจากนั้นไว้มาเจอกันใหม่”
“หนึ่งสัปดาห์คือ?”
ยูอิลฮานได้พูดถึงระยะเวลาคูลดาวน์ของนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาออกไป แต่ว่าเพราะอะไรบางอย่างทำให้เขาหยิบมันออกมาดู
หากนาฬิการทรายแห่งกาลเวลายังมีทรายตกลงมาข้างล่างอยู่นั่นจะหมายความว่ายังใช้งานไม่ได้ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ทรายตกลงมาข้างล่างทั้งหมด เขาก็จะใช้งานมันได้อีกครั้งหนึ่ง
แต่ว่า…
“โอ้ นี่มันอะไรเนี้ย?”
ทรายในตอนนี้กำลังร่วงลงมาด้วยความเร็วที่ช้ามากจนต่างจากปกติ แน่นอนว่าในเมื่อมันคืออาร์ติแฟคระดับเทพเจ้า มันก็น่าจะต่อต้านวงเวทย์ได้เหมือนกัน แต่ว่าหากเป็นแบบนี้ต่อให้เวลาจะผ่านไปเดือนหนึ่งเขาก็ยังจะใช้มันไม่ได้ด้วยซ้ำไป ยังไงก็ตามนี้มันก็ได้บ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงอีกเรืองหนึ่ง…
“นี่มันยิ่งน่าสนใจซะแล้ว”
“อ่า เขายิ้มชั่วร้ายอีกแล้ว”
“อู รอยยิ้มนั่นเท่จัง…”
[อย่างน้อยเราก็เห็นตรงกันเรื่องหนึ่งแหละนะอดีตทูตสวรรค์]
ยูอิลฮานได้เฝ้ารอช่วงเวลาที่เขาจะเปิดใช้งานนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาได้อีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
บางทีผลประโยชน์บางอย่างที่เขาไม่คาดคิดและยังเป็นผลประโยชน์ที่มหาศาลอาจจะกำลังรอคอยเขาอยู่ก็ได้
บทที่ 275 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (1)
กองกำลังพันธมิตรแนวหน้าไม่ใช่ว่าทุกคนจะยินดีกลับมาที่โลก โดยเฉพาะพวกคนที่รู้ถึงศักยภาพถึงสิ่งมีชีชีวิตชั้นสูงดี พวกเขาไม่ชอบการที่จะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อทำให้โลกลับมาเป็นปกติ
‘ฉันไม่คิดว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันแย่นะ’
นี่… เป็นคำพูดมาจากหนึ่งในสมาชิกของพันธมิตรแนวหน้าที่เขาไม่รู้จักชื่อ เขาคนนั้นได้หยักไหล่และพูดออกมา
“ฉันไม่เห็นรู้สึกว่าฉันจำเป็นต้องเอาชีวีตไปเสี่ยงเลยนี่ โอ้ ฉันไม่ได้จะว่าว่านายเป็นคนโง่หรอกนะ แล้วก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นเรื่องไร้ความหวังนะ แต่ยังไงก็ตาม… มันมีหลายๆอย่างได้เปลื่ยนแปลงไปแล้ว การที่จะทำให้ทุกๆอย่างกลับไปเหมือนเดิมมันก็ดี แต่ฉันไม่มีความสามารถที่จะทำแบบนั้น”
“…”
“ไม่ใช่ว่าทุกๆคนกำลังไปได้ดีในต่างโลกหรอกหรอ? แต่ว่าจากคำพูดของนายไม่ใช่ว่าโลกนี้กลายมาเป็นอันตรายกว่าต่างโลกอีกหรอกหรอ? ถ้าแบบนี้ไม่ใช่ว่าการอยู่ต่างโลกมันจะมีความสุขแล้วก็มีความปลอดภัยกว่าหรอ? พวกเราทุกคนก็คิดกันแบบนี้แหละ”
ใช่แล้ว ยูอิลฮานก็คิดว่าจะต้องมีคนพูดแบบนี้… แต่ว่าเขาก็ได้ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“นายคิดว่าแบบนั้นมันดีแล้วจริงๆน่ะหรอ?”
“…”
หลังจากได้ยินคำพูดของยูอิลฮาน เขาคนนี้ก็ได้เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าหนีและตอบกลับมาเบาๆ
“ดูสิ ฉันไม่ได้แกร่งแบบนายนะ… เพราะแบบนั้นฉันไม่เคยคิดถึงการสู้กับทูตสวรรค์เลย ถ้าฉันมีพลังที่มหาศาลแบบนาย ฉันก็จะทำเท่แบบนายเหมือนกันนั่นแหละ แต่ว่าฉันไม่ใช่ไงล่ะ จะดูถูกฉันยังไงก็ได้นะ… แต่ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่รวมถึงฉันก็มีสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัดในความกล้ากับพรสวรรค์เหมือนกัน”
“…”
ยูอิลฮานได้ล้มเลิกที่จะชักจูงต่อ เขาได้เลือกปล่อยคนพวกนี้เอาไว้และเปิดใช้สกิลข้ามมิติกลับไปสู่โลก
ยูอิลฮานเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาจากใบหน้าเลย แต่ว่าโอโรจิที่แชร์อารมณ์ที่ซับซ้อนกันนิดๆได้พูดกับยูอิลฮานที่ไม่ปกติเอามากๆในสายตาของเขา
[นายท่านคงไม่ลืมหรอกนะว่านายท่านนั่นเป็นกรณีที่พิเศษ? ปฏิกิริยาของคนพวกนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากๆ จริงๆแล้วพวกคนที่แปลกน่ะคือคนที่ตามนายท่านโดยไม่ลังเลต่างหาก]
“แน่นอน ฉันก็รู้ว่าฉันโชคดีมากๆ”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากนับช่วงเวลาพันปีที่เขาถูกถึงบนโลกว่าเป็นโชคดี แต่ว่าหากไม่ใช่แบบนั้นเขาก็คงอาจจะมาถึงในจุดๆนี้ไม่ได้ เพราะแบบนี้มันก็เลยกวนใจเขาอยู่
ยังไงก็ตามโอโรจิก็ดูจะไม่ชอบในคำตอบของเขาและถอนหายใจออกมา
[ข้าจะไม่พูดอะไรหากว่านายท่านอยากจะบอกว่านั่นคือโชค แต่ว่านายท่านไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองเลย ข้าคิดว่านายท่านควรจะมั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้นะ]
“ฉันรู้ว่านายอยากจะบอกอะไร… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันที่ฉันจะพูดคำแบบนั้นได้จะเป็นตอนไหน แต่ก็ขอบคุณนะ”
[ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกๆคนก็จะเปลื่ยนแปลงไป แม้ว่าข้าจะพูดไม่ได้ว่าข้า ‘มีชีวิต’ ก็ตาม… แต่ว่าข้าก็ยังรู้สึกยินดีที่ข้ารู้สึกว่าข้าเปลื่ยนแปลงตัวเองไปเล็กน้อย]
“นี่นายพูดว่า ‘เล็กน้อย’ งั้นหรอ?”
[ถ้านายท่านรู้ว่าข้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะขอบคุณนายท่าน นายท่านก็ควรจะรู้ดีนะว่าการแสดงความขอบคุณของข้าน่ะมันเป็นเรื่องที่ปาฏิหาริย์ในตัวข้าเองมาก ฮ่าฮ่า]
“พรืดดด”
การคุยกับโอโรจิได้ทำให้ยูอิลฮานถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ครั้งหนึ่งเขาเคยสู้เอาชีวิตกับโอโรจิ แต่แล้วนี่มันน่าตลกมาที่พวกเขามาคุยกันอย่างจริงใจในตอนนี้
ทุกๆคนต่างก็เปลื่ยนแปลงไปไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม นี่คือสิ่งที่ทุกๆชีวิตต้องเจอและยูอิลฮานก็ไม่เว้น เขาไม่อาจจะจำความรู้สึกในตอนที่เขาโดดเดี่ยวได้แล้ว
ถ้าเขารู้แบบนี้ บางทีเขาก็น่าจะปฏิบัติกับเลียร่าที่อยู่กับเขาในระหว่างพันปีต่างไปจากเดิมนิดๆนะ นี่มันคือสิ่งที่เขารู้สึกเสียใจเรื่องหนึ่งเลย
แต่ว่าชั่งเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน
“โอโรจิ แล้วนายไม่อยากได้ร่างกายหรอ?”
[สำหรับตอนนี้ ข้ารู้สึกสนุกมากๆแล้วที่ได้อารวาดไปในฐานะอาวุธของนายท่าน เพราะแบบนี้ข้าก็เลยไม่ได้ต้องการแบบนั้น หืมม ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะขอทีหลังแล้วกันนะ]
“คราวหลังสินะ โอเค ฉันจะจำไว้”
ยูอิลฮานคิดว่าหากเขาใช้ร่างของอิชจาร์มาก็น่าจะได้รับผลลัพธ์ที่น่าสนใจออกมา แต่ว่าเพื่อที่จะทำแบบนั้นเขาจะต้องยกระดับพลังของโอโรจิขึ้นอีกนิด สำหรับตอนนี้มันยังเป็นไปไม่ได้
[ดูแล้วนี่คนไม่ใช่ความปราณีที่มีต่อข้า แต่เป็นเพราะนายท่านต้องการจะทำอะไรแปลกๆอีกแล้วสินะ]
“ช่วยพูดว่ามันเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจะดีกว่า”
ในจุดนี้สกิลข้ามมิติได้ถูกใช้งานและพาพวกเขากลับมาที่โลกอีกครั้งหนึ่ง วงเวทย์ก็ได้เริ่มส่งผลกับยูอิลฮานและพรรคพวกของเขาในทันที หากว่าเขาพาคนอื่นกลับมาด้วย ยูอิลฮานก็จะลดความเร็วของป้อมปราการลงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่น่าเสียดายที่คราวนี้เขาไม่ได้พาคนอื่นมาด้วยเลย
“ถ้างั้นเราควรจะไปโลกต่อไปเลยใช่ไหม?”
“ลูกแม่ ไม่ใช่ว่ามันใกล้ถึงเวลาที่รู้จะใช้นาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาแล้วหรอกหรอ?”
“รอเดี๋ยวนะครับ”
ยูอิลฮานได้ตรวจดูนาฬิการทรายแห่งกาลเวลา เนื่องจากว่าเขาได้ไปโลกต่างๆมาโดยที่ไม่ใช่โลกของเขาทำให้ระยะเวลาของนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาได้ลดลงโดยที่ไม่ได้รับผลของเวลาที่ช้าลง และจากที่เห็นดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาอีก 4 วันเขาถึงจะใช้มันได้อีกครั้งหนึ่ง
“ดีล่ะ ในระหว่างนี้ผมคิดว่าผมน่าจะได้โลกอื่นได้อีกประมาณ 30 ที่”
[ฟู่ว ที่รักขยันจังเลยนะ ที่รักไม่อยากจะไปเดทกันหน่อยหรอ?]
“อย่าฝันเลยน่า ยูอิลฮานทนได้แม้แต่การยั่วยวนจากเลียร่านะ”
[แต่ฉันไม่ได้เป็นพวกอดีตทูตสวรรค์พวกนั้นนี่ ที่รักมาเล่นกับฉันไหม?]
“ฮึ่ม”
ยูอิลฮานได้ดันหน้าของเฮเรียน่าถอยไปหลังจากที่เธอได้ตอกกลับเอิลต้าและเข้ามาหาเขา จากนั้นเขาก็ดูว่าเจตจำนงผู้พิทักษ์ยังคงอยู่ดีไหม และยังไปดูอาร์ติแฟคนับล้านที่กระจายอยู่ทั่วโลก ก่อนที่จะข้ามมิติไปสู่อีกที่หมายหนึ่ง
ในโลกต่อมาที่เขามาเป็นโลกที่อยู่ในหายนะ
“ให้ตายสิ นี่ดูแย่กว่าที่กุนเดียอีก”
[ที่รัก ผู้คนบนโลกของที่รักล่ะ…?]
ยูอิลฮานได้ลงไปในที่ที่มีอารยธรรมที่ถูกเผาข้างล่างและเปิดใช้สกิลบันทึก หลังจากที่เขาได้รับข้อมูลมาช้าๆ เขาก็ยักไหล่และส่ายหัวออกมา
“ไม่มีคนของโลกฉันเหลือรอดอยู่ที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว แล้วก็พวกกิลด์ที่แข็งแกร่งก็ด้วย…”
“คนของโลกเรา? งั้นลูกก็หมายความว่ายังมี… คนอื่นๆอยู่?”
“ใช่ครับ”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาจากข้อสังเกตุของคิมเยซอลและเปิดใช้งานสกิลข้ามมิติอีกครั้งหนึ่ง หากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่หากเขารู้ ยูอิลฮานก็ไม่ใช่คนที่จะเมินเฉยต่อคนที่กำลังเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากได้ เพราะแบบนี้เขาก้เลยคิดจะทำทุกอย่างที่ทำได้ก่อน
เมื่อเขาได้ข้ามมิติมา เขาก็ได้อยู่ในสงครามระหว่างมนุษย์กับมอนสเตอร์
“อ๊ากกกกกก!”
“ทุกคน….. หนี!”
[ก๊าซซซซซซซซซ!]
[มนุษย์น่ารังเกียจ ทั้งรสชาติแย่แล้วก็อ่อนแอ]
[ทำลายมันให้หมด! ทำลายมนุษย์ให้เกลี้ยง!]
มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่มีใครเข้าใจภาษาของมอนสเตอร์ได้เลย แต่ไม่ใช่กับยูอิลฮาน ยิ่งเขาได้ยินคำพูดของมอนสเตอร์พูดเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจพวกมัน!
บางทีที่พวกมันไม่ได้ต่างกันเลยก็เพราะพวกมันไร้ความคิดที่สร้างสรรค์ก็ได้ – ยูอิลฮานได้คิดแบบนี้ขึ้นพร้อมกับหยิบเอาอาร์ติแฟคออกมา กลุ่มอาร์ติแฟคที่เขาได้เอาออกมานี้ได้จัดการกวาดล้างมอนสเตอร์ออกไปจนดูเหมือนกับกองทัพวัลคิรี่ที่ทำตามคำสั่งเทพ
“ไม่จำเป็นต้องซ่อนแล้ว กวาดล้างพวกมันไปให้หมด!”
[ที่รักอยากให้ช่วยไหม?]
“ถ้าเธอช่วยฉันก็ยินดี รีบๆจัดการมันให้จบๆเถอะ”
ทันทีที่ได้รับคำอนุญาติจากยูอิลฮาน เฮเรียน่าก็ได้กางปีกบนขึ้นมาในทันที เอิลต้ากับคิมเยซอลก็ยังได้ใช้ความสามารถของพวกเธอกวาดล้างมอนสเตอร์รอบๆออกไปด้วย หลังจากเห็นแบบนี้เหล่าคนที่กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์อยู่ก็ได้แต่ตกตะลึง
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
“มอนสเตอร์…”
“กำลังหายไป”
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
[ติด…]
“พวกเขาเป็นใครกัน”
“อะ อ่าาา”
“…เทพ”
มอนสเตอร์ในบริเวณนี้ได้ถูกกวาดล้างออกไป และยูอิลฮานก็ไม่ได้หยุดแค่นี้ เขาได้ให้ป้อมปราการผู้พิทักษ์ไปกวาดล้างมอนสเตอร์ในพื้นที่ต่างๆเช่นกัน คนอื่นๆที่เห็นกันแบบนี้ก็ได้กระซิบกันด้วยความกลัว
“เขาคือเทพ”
“ใช่ เขาจะต้องเป็นเทพแน่”
“เทพเจ้าได้ลงมาในโลกที่ทูตสวรรค์ทอดทิ้งด้วยตัวเขาเอง”
ยูอิลฮานตอนนี้กำลังตั้งสมาธิไปกับการล่ามอนสเตอร์โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเหล่าผู้คนกำลังมองเขาเป็นเทพ เขาไม่ได้คิดจะกวาดล้างมอนสเตอร์ทั้งหมดในโลกใบนี้ แต่ว่าอย่างน้อยเขาจะกำจัดพวกมอนสเตอร์อยู่ที่ในระแวกที่มนุษย์อาศัยอยู่ออกไป
เพราะแบบนี้หลังจากผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงการกวาดล้างของเขาก็ได้จบลง ยูอิลฮานกำลังจะข้ามมิติไปต่อโดยที่ไม่สนใจคนที่กำลังมองมาที่ป้อมปราการด้วยความสับสนเลย ยังไงก็ตามในตอนนี้เองเฮเรียน่าได้จับมือเขาเอาไว้เบาๆ
[ที่รัก ดูเหมือนว่าคนพวกนี้มีอะไรอยากจะพูดนะ]
“อะไรนะ?”
เขาได้ยินเสียงที่คนพวกนี้ตะโกนบางอย่างออกมาแน่นอน เขาอยากที่จะไม่สนใจคนพวกนี้แต่ว่า…. เขาได้ยักไหล่ขึ้นมาและลดระดับป้อมปราการผู้พิทักษ์ลงไป เมื่อเขาได้เข้ามาใกล้เสียงที่ได้ยินก็ชัดมากขึ้น
“ได้โปรดอย่าทิ้งเราไป!”
“ได้โปรดให้เราได้อยู่เคียงข้างท่าน!”
“โอ้ ท่านเทพผู้ปกครองได้โปรด!”
“…อะไรนะ?”
เทพ เขาเนี้ยนะ ยูอิลฮานได้กลายมาเป็นสับสนเมื่อเขาไม่อาจจะทำความเข้าใจได้เลย เฮเรียน่าได้หัวเราะออกมาทันทีที่เห็นแบบนี้ จากนั้นเขาก็จ้องไปที่เฮเรียน่าและพูดออกมา
“ฉันเป็นมนุษย์”
“พวกเราไม่สนว่าท่านจะคิดว่าท่านเป็นอะไร แต่สำหรับเราท่านคือเทพ”
“ได้โปรดช่วยเราด้วย!”
“เอาแบบนี้เลยงั้นหรอ?”
“ท่านเทพ ได้โปรดเถิด!”
คนพวกนี้คิดเองเออเองไปเสร็จสรรพเลย แน่นอนว่ายูอิลฮานก็รู้ว่าคนพวกนี้ต่างก็ลำบากมาและหวังที่จะขว้างฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ แต่ว่ายูอิลฮานไม่ได้กำลังเล่มเกมซิมอยู่ซักหน่อย
“ฉันเสียใจด้วยนะ แต่ว่าฉันก็จำเป็นต้องปกป้องโลกของฉันเองเหมือนกัน ฉันมาหาที่นี่เพื่อหาบางอย่างแต่ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังจะไปแล้ว”
“ถ้างั้นได้โปรดพาเราไปด้วย!”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“โลกที่ฉันอยู่มันเลวร้ายกว่าที่นี่จนเทียบกันไม่ติดเลยนะ ต่อให้พวกนายจะตามฉันมา สิ่งที่จะรอพวกนายอยู่ก็มีแต่ความโหดร้าย เพราะงั้นอยู่ที่นี่ไปดีแล้ว”
“แต่ว่าที่นั่นมีท่านเทพอยู่นี่”
“ได้โปรดช่วยเราด้วย!”
“ท่านเทพได้โปรด!”
ในท้ายที่สุดผู้คนก็คุกเข่าก้มหัวลงกับพื้นจนทำให้ยูอิลฮานตกตะลึง เขาเริ่มรู้สึกว่านี่มันคล้ายๆกับที่เขาเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว…
[เป็นไปด้วยดีเลยนี่ที่รัก]
เฮเรียน่าก็เอาแต่ยิ้มออกมา ยูอิลฮานรู้สึกเจ็บใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะหาทางทำอะไรกับเพราะแบบนี้เขาก็เลยได้แต่ตอบรับคนพวกนี้
หลังจากนั้นยูอิลฮานก็ได้ไปท่องโลกต่างๆอีก แต่ว่าก็มีโลกส่วนหนึ่งที่เจอหายนะหรือกำลังมุ่งสู่หายนะ ผู้รอดชีวีติส่วนใหญ่จะขอติดตามยูอิลฮานมาและเขาก็พาคนพวกนั้นกลับมาที่โลกทั้งๆที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่าคนพวกนี้จะตามเขามาทำไม
คังมิเรย์กับพรรคพวกของเธอก็ได้เจอกับเรื่องที่คล้ายๆกัน และได้นำผู้คนมาที่โลกโดยที่คนพวกนั้นต่างก็ก้มหัวให้กับยูอิลฮานและคนอื่นๆทั้งๆที่เคลื่อนไหวช้ามากๆจากผลของวงเวทย์
“พวกกกกกกกกกกกกเราาาาาาาา จะะะะะะะะะ-“
“…เอาเถอนะ”
ยูอิลฮานได้ยักไหล่ออกมาเมื่อมองไปที่คนที่ทำเหมือนเล่นตลกเหล่านี้
“นี่มันเป็นชีวิตของพวกเขา ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้วก็ตามใจพวกเขาเถอะ”
4 วันต่อมาในที่สุดยูอิลฮานก็ใช้นาฬิการทรายแห่งกาลเวลาได้ จำนวนโลกที่เขาได้ไปมาในระหว่างนั้นก็คือ 42 โลก และเขาได้เจอเข้ากับโลกที่เจอหายนะอยู่ 4 แห่ง
เพราะแบบนี้ทำให้จำนวนคนจากต่างโลกที่เขารับมามีมากกว่าแสนคนซะอีก
บทที่ 276 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (2)
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี้ย? มีคนมาจากต่างโลกตั้งแสนกว่าคน!”
เลียร่ามองผ่านไหล่ยูอิลฮานไปได้เห็นภาพคนที่อยู่เต็มพื้นที่ ก่อนที่เธอจะแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา ยูอิลฮานก็ได้แต่หยักไหล่ตอบกลับไป
“เธอก็เป็นคนพาคนพวกนั้นกลับมาเหมือนกันนี่”
“นั่นก็จริง แต่ว่า…”
“ตลกจังเลยที่พวกเขาขยับช้าม๊ากมาก~ อิลฮานนายควบคุมความเร็วของเวลาไม่ได้หรอ? ความเร็วน่ะ!”
“ตอนนี้มันยังไม่มีฟังก์ชั่นขั้นสูงแบบนั้นหรอก แล้วก็ทุกคนปล่อยฉันได้แล้ว”
“อ๊าาา”
พรรคพวกของยูอิลฮานทุกๆคนได้มารวมตัวกันแล้ว ทุกๆคนต่างก็เข้ามาเกาะเขาเหมือนกับจะมาขอลูกอมจากเขาทำให้ยูอิลฮานรู้สึกรำคาญมากก่อนที่จะดันทุกๆคนถอยกลับไป จากนั้นก็หันไปถามเอิลต้า
“ไม่มีคนที่สามารถจะต้านทานวงเวทย์ได้นอกจากพวกเราใช่ไหม?”
“ตอนแรกก็ใช่ แต่ยังไงก็ตามหลังจากที่มีคนบางส่วนรู้ตัวว่าพวกเราเคลื่อนไหวเร็วเกินไป พวกเขาก็น่าจะสังเกตุเห็นถึงเวทย์ที่ร่ายบนโลกนี้อยู่ แน่นอนว่านั่นก็ไม่ได้เปลื่ยนอะไรหรอก แต่ก็มีอยู่สามคนที่พอจะต่อต้านการเคลื่อนไหวได้ 40%”
สามคนนั้นก็คือคาริน่า มาลาเทสต้าแห่งมาเกีย มิเชล สมิธสันแห่งอัศวินโลหะ และทาคากากิ อสึฮะแห่งจอมเวทย์มังกร
สำหรับคนพวกนี้ยูอิลฮานรู้ว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะต้องมาถึงคลาส 4 ได้ในเวลาสั้นๆแน่นอน เมื่อคำนวนจากการที่ฮานเยรังได้เป็นผู้นำของโลกๆหนึ่งในตอนที่อยู่คลาส 3 แล้ว คนพวกนี้มีความสำเร็จที่น่าทึ่งมาก
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะมีความสำเร็จบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ ตามปกติแล้วต่อให้เป็นคลาส 4 ก็ยังต้านวงเวทย์เวลาไม่ได้เลย แต่ผู้คนบนโลกนี่คงจะประหลาดกันมากๆ”
“มิเชล สมิธสัน หมอนี่เมื่อก่อนดูไม่มีราศรีอะไรเลย แต่ดูเหมือนเขาจะได้ผ่านอะไรมากมาย มนุษย์นี่น่าสนใจมาก”
[เฮ้อ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาต้องปกป้องโลกที่เป็นจุดสนใจของพวกหนอนแมลงทั่วมั้งจักรวาล ที่รักจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ]
“ฉันจะพยายาม”
ยูอิลฮานได้เรียกทั้งสามคนนั้นมา แต่ว่าเพราะทั้งสามคนนี้ก็ยังได้รับผลจากวงเวทย์อยู่ทำให้การคุยกันเป็นเรื่องยากมาก แต่ยูอิลฮานก็ได้อดทนจนถึงขีดสุดเพื่อพูดกับคนพวกนี้ เนื้อหาที่เขาบอกก็ง่ายมากๆ
“พวกนายอยากจะมาฝึกในนาฬิการทรายแห่งกาลเวลากับเราไหม”
“แน่นอนสิ!” (ตอบแบบช้าลง 2.5 เท่า)
ทาคากากิ อสึฮะได้ตอบกลับมาทันที ในขณะที่คาริน่า มาลาเทสต้ากับมิเชล สมิธิสันได้มองกันเองเล็กน้อยก่อนจะหยักหน้าออกมา
“โอเค” (ตอบแบบช้าลง 2.5 เท่า)
“ฉันจะไป” (ตอบแบบช้าลง 2.5 เท่า)
พอได้รับคำตอบมาแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรในต้องลังเล ยูอิลฮานได้สร้างบาเรียครอบทั้งสองป้อมปราการในทันที ในบาเรียนี้มีพรรคพวกของยูอิลฮาน หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคน และกองทัพมังกรที่ไม่ได้รับผลจากวงเวทย์เลย
“ว้าว นี่มันกว้างกว่าเมื่อก่อนอีกนะ~”
“แม้ว่าจะอยู่ภายในบาเรียนี่ผลจากวงเวทย์ก็ไม่ได้หายไป หืม ดูเหมือนแรงกดดันบนร่างฉันจะลดลงไปเล็กน้อยนะ”
คิมเยซอลได้พูดออกมาอย่างตรงใจในระหว่างมองไปรอบๆบาเรีย ยังไงก็ตามคนที่ตกใจมากที่สุดก็คือหัวหน้ากิลด์ที่ได้เข้ามาที่นี่
“ฟู่ ในที่สุดตอนนี้ฉันก็ขยับตัวได้ดีขึ้นแล้ว!”
“โอ้ ตอนนี้ฉันพูดได้เร็วขึ้นล่ะ”
“ฟู่ววว”
พวกเขาสามารถจะต้านทานวงเวทย์ได้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว และบวกกับอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้าที่ช่วยต้านทานผลจากเวทย์อีกทำให้ ตอนนี้พวกเขาสามารถกลับมาพูดตามปกติได้
“อ๊ากกกกกก”
หลังจากที่มิเชล สมิธสันขยับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็หันหน้าไปหายูอิลฮานและตะโกนออกมาดังๆทันที
“นายทำอะไรกับโลกกัน นายคนลึกลับ! ฉันคิดว่าฉันตามนายทันแล้ว แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี!”
“ในเมื่อโลกพัฒนาขึ้นเร็วเกินไป ฉันก็ได้แต่ทำแบบนี้ นายเข้าใจฉันใช่ไหมล่ะ? ถึงจริงๆฉันจะไม่ได้ต้องการให้นายต้องเข้าใจก็เถอะนะ”
“อ๊ากกกก! นายทำให้ฉันต้องหงุดหงิดเสมอเลย!”
ในเวลาเดียวกันทาคากากิ อสึฮะก็ได้ตะโกนมาทางยูอิลฮานด้วยสายตาเป็นประกาย
“น่าทึ่งมากเลยท่านซูซาโนะ! ในตอนนี้ท่านควบคุมมิติเวลาได้แล้ว!”
“ไม่หรอก นี่เป็นพลังของพรรคพวกของฉัน…”
“น่าทึ่งมาก! ฉันรู้อยู่แล้วว่าท่านคือเทพซูซาโนะกลับมาเกิดใหม่”
“เฮ้ นี่เธอไม่ได้ฟังฉันเลยนะ”
“อ๊าา ท่านซูซาโนะ…!”
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพอมองออกว่าเธอมีโอกาสแบบนี้ แต่ว่าเธอก็ยังเก็บมันเอาไว้อยู่ แต่หลังจากเธอได้เห็นยูอิลฮานข้ามมิติไปมาและร่ายเวทย์แบบส่งผลทั่วทั้งโลกแบบนี้ได้ทำให้สายตาที่เธอมองเขาเปลื่ยนไป ในตอนนี้สายตาของเธอไม่ต่างกับพวกเอลฟ์เลย สายตานี้มันมากยิ่งกว่าแค่ชื่นชมแล้ว
“ท่านซูซาโนะเท่จัง”
“จริงๆสินะ ผู้หญิงคนนี้ก็หมดหวังไปแล้ว”
เขาได้บ่นออกมาแล้วก็หันไปหาคนสุดท้ายนั่นคือคาริน่า มาลาเทสต้า และเขาก็ได้เห็นเธอกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆอยู่
“เฮ้ ทำไมเธอถึงสูดหายใจ… โอ้”
“ฮ่าห์!”
“คุณมาลาเทสต้า? อั๊ก”
คาริน่า มาลาเทสต้าได้เข้าไปจู่โจมมิเชล สมิธสันก่อนที่ยูอิลฮานเข้าไปห้ามทัน การโจมตีนี้ของเธอไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากนัก เธอได้ใส่เข่าเข้าที่ท้องของมิเชลจนเขาล้มลงและจัดการโจมตีลงไปด้วย ‘จูบ’ แล้วก็เพราะเข่าของเธอมีเวทย์อัมพาตอยู่ทำให้มิเชล สมิธสันไม่อาจต่อต้านได้เลยสักนิดเดียว
“อุ๊บบ! อุ๊บบบบ!?”
“อยู่นิ่งๆ”
“…ดูเหมือนเธอจะเคลียดมามากสินะ”
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจปล่อยแม่เสือสาวคาริน่า มาลาเทสต้ากับกระต่ายน้อยน่าสงสารมิเชล สมิธสันเอาไว้เพียงลำพังซักพักหนึ่ง คนที่กำลังมองฉากที่น่าตกใจก็มองได้ไม่นานเพราะได้มีบาเรียโผล่ขึ้นมาปิดกั้นเอาไว้ทำให้พวกเขาต้องไอแห้งๆและหันหน้าไปทางอื่น
“ถ้างั้นเราไปทำงานของเรากันดีกว่า”
“พ่อครับ ผมต้องทำอะไรหรอ?”
“มิลแค่ไปกินเนื่อมังกรแล้วก็แช่อ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็พอแล้วลูก ถ้าลูกเบื่อก็ฝึกใช้สกิลแล้วกันนะ”
“ได้เลยครับผม!”
ยูอิลฮานได้เอาอ่างแห่งปาฏิหาริย์ที่เต็มไปด้วยเลือดของอิชจาร์มาวางไว้ที่มุมหนึ่ง เขาได้อธิบายให้กับพรรคพวกของเขาที่กำลังมองมาที่อ่างแห่งปาฏิหาริย์อย่างเป็นประกาย
“นับจากนี้เราทุกคนจะแบ่งกันใช้อ่างนี่ เรามีคนเยอะกันมากเพราะแบบนั้นในตอนที่อาบน้ำเราที่มีเพศเดียวกันก็น่าจะต้องไปพร้อมๆกันหลายๆคน เด็กๆกองทัพมังกรก็ยังตัวเล็กกันอยู่เพราะงั้นพวกเขาน่าจะลงไปอาบได้ทีล่ะหลายๆคนนะ”
[อาบน้ำรวมกับที่รักงั้นหรอ? น่าสนใจจริงๆ]
“ฉันบอกว่าแยกตามเพศไงล่ะ”
เขาได้ขัดเฮเรียน่าและอธิบายต่อไป
“ถึงฉันจะไม่มั่นใจ แต่ก็คิดว่ามีโอกาศสูงที่อ่างแห่งปาฏิหาริย์จะนำเราไปสู่เส้นทางของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ ต่อให้มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันก็เชื่อว่าหากฉันผสานเลือดมังกรกับอ่างนี้ได้สำเร็จฉันก็น่าจะได้ความสามารถใหม่ๆแน่นอน เพราะงั้นทุกๆคนควรจะมาอาบมันเป็นระยะๆนะ”
“ครับ”
“เข้าใจแล้ว”
สิ่งต่อมาแน่นอนว่ามันคือสิ่งที่ทุกๆคนต้องทำนั่นคือการฝึก ภายในบาเรียที่สร้างจากนาฬิกาทรายแห่งนี้เป็นที่ที่เดียวที่พวกเขาสามารถจะฝึกได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร
“การที่เราได้เวลาสองเดือนมาในขณะที่ข้างนอกผ่านไปไม่ถึงวินาที นี่มันคืออาร์ติแฟคที่น่าทึ่งจริงๆ…”
“อืมม ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกนะว่ามันจะแค่สองเดือนน่ะ”
ยูอิลฮานได้แย้งคังมิเรย์ที่พึมพัมกับตัวเองออกไป เขาได้มองไปที่นาฬิกาทรายแห่งการเวลา หลังจากบาเรียได้ถูกใช้งานนาฬิกาทรายแห่งการเวลาก็ได้ผลิกกลับและทรายเริ่มหล่นลงอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามความเร็วในการร่วงหล่นของมันช้ามากๆแล้วจากที่เห็นมันไม่นานจะร่วงหมดจนครบภายในแค่สองเดือนแน่
“อิลฮาน นี่คือ…”
“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ เวทย์ชะลอเวลาที่ถูกร่ายไว้ทั่วโลกได้ทำให้ระยะเวลาคูลดาวน์ของนาฬิกาทรายช้าลงไปด้วย นี่แหละเป็นเหตุผลที่ทำไมฉันถึงคิดว่าระยะเวลาของบาเรียถึงจะได้รับผลไปด้วยแล้วก็นะ… แล้วก็ดูเหมือนฉันจะคิดถูกล่ะ”
“นี่มัน…ข้อผิดพลาด”
เลียร่าได้แต่พึมพัมกับตัวเอง ยูอิลฮานได้หยักหน้าเห็นด้วยกับเธอ เอิลต้าก็คิดว่านี่มันบ้ามากๆเหมือนกัน
“เวทย์นี่ได้ผลกับอาร์ติแฟคระดับพระเจ้าด้วยงั้นหรอ!? ถ้าแบบนี้ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าเราเคลื่อนไหวตามปกติภายใต้ผลจากเวทย์นี่ได้ไงกัน!”
“อืมม นั่นก็คงเพราะความหัวดื้อแล้วก็ดื้อรั้นล่ะมั้ง”
“ถ้านายจะธิบายทุกๆอย่างด้วยคำพูดแบบนี้ล่ะก็มันผิด!”
“เธอก็ชอบพูดเรื่องผิดๆให้ฟังฉันบ่อยๆนี่”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ของยูอิลฮานได้ทำให้เอิลต้าโมโหขึ้นมา เธอได้พับแขนเสื้อขึ้นมาทันที ท่าทางนี้ของเธอดูน่ารักมาก
“แต่ว่ามันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”
“ใช่แล้ว ตอนนี้มันกำลังเป็นไปด้วยดี”
“อ๊าาาาา”
ระหว่างเอิลต้ากำลังสับสนอยู่ ยูอิลฮานก็ยกนิ้วขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“มีความหัวรั้นให้ตัวเธอมากขึ้นเลยน้า!”
“เงียบไปเลย”
[แล้วถ้างั้น?]
เฮเรียน่าที่ดูใจเย็นกว่าคนอื่นๆได้มองไปที่ยูอิลฮานและถามออกมา
[บาเรียนี่ที่รักจะคิดว่ามันจะอยู่นานแค่ไหน?]
“จากที่ดูสภาพของนาฬิกาทรายในเวลานี้ ดูเหมือนจะมีเวลาอยู่ประมาณปีครึ่ง”
[บาเรียจะใช้งานได้ในทุกๆสองเดือนเพราะที่รักจะคอยไปตระเวนอยู่ที่โลกอื่น เพราะงั้นเราน่าจะมีโอกาสอีกมากที่จะเข้ามาอยู่ภายในบาเรียนี่ก่อนโลกจะกลายเป็นโลกระดับสูง]
“อ่า ใช่แล้ว”
[ที่รัก… น่าทึ่งจริงๆ]
นี่คือข้อดีแรกที่ยูอิลฮานได้รับมานับตั้งแต่ที่ได้ใช้ชีวิตบนโลกเพียงลำพังเป็นพันปี ภายในบาเรียนี่อย่างน้อยที่สุดเลยเขาก็จะมีเวลาในการฝึกฝนความเชี่ยวชาญสกิลแล้วก็ทำหัตถรรมมานา
เมื่อยูอิลฮานใกล้จะอธิบายเรื่องระยะเวลาของบารียจบลงและให้ทุกๆคนไปทำหน้าที่ของตัวเอง ในที่สุดแล้วคาริน่า มาลาเทสต้าก็ได้ปล่อยมิเชล สมิทสันออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฟู่่”
แม้ว่าเธอจะเพิ่งจู่โจมชายคนหนึ่งมาแต่เธอก็ยังคงเลียริมฝีปากอย่างใจเย็น เธอดูน่ากลัวมากๆ ยูอิลฮานได้รู้สึกสงสารมิเชล สมิธสันเป็นครั้งแรกเมื่อเขาได้เห็นมิเชล สมิธสันยืนตัวสั่นอยู่
“คะ คุณมาลาเทสต้า…”
“เรียกฉันว่าคาริน่า เข้าใจไหม?”
“…คาริน่า”
“เยี่ยมมาก มีเพียงแค่คนในครอบครัวของเรา แล้วก็อาจารย์เท่านั้นที่เรียกชื่อนี้ ในตอนนี้ครอบครัวของฉันกับอาจารย์ได้กระจัดกระจายไปต่างโลกบนแล้ว เพราะงั้นบนโลกใบนี้มีแค่นายคนเดียวที่ชื่อฉัน จำเอาไว้ให้ดีล่ะ”
“ขะ เข้าใจแล้ว ช่วยเรียกฉันว่ามิเชลเหมือนกันนะ”
“นั่นแหละคือคำตอบที่ฉันอยากจะได้ยิน”
สีหน้าของคาริน่า มาลาเทสต้าได้สดใสขึ้นราวกับเธอได้รับชัยชนะในอะไรบางอย่างมา บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหลายปีที่เธอถูกส่งไปต่างโลกจะทำให้เธอเจอเรื่องยากลำแบกแล้วแกร่งขึ้นมาก็ได้! ในอดีตมิเชล สมิธสันมักจะดูชอบพอคังมิเรย์ แต่ว่าพอมาดูในตอนนี้ดูท่าแล้วการเข้าหาที่รุนแรงของคาริน่า มาลาเทสต้าจะได้ผลเป็นอย่างมาก
หลังจากเธอได้จัดการธุระของเธอจบลงแล้ว เธอก็ได้หันกลับมาหายูอิลฮาน
“แม้ว่าฉันจะทักทายช้าไป… แต่ว่าก็ขอบคุณนะคุณยูอิลฮาน ขอบคุณคุณมากๆที่ทำให้ในที่สุดฉันก็ได้มาเจอกับคนที่ฉันรัก”
คาริน่า มาลาเทสต้าดูเหมือนจะทิ้งนิสัยหญิงสาวจอมหยิ่งไปแล้ว เธอได้ก้มหัวให้กับยูอิลฮานอย่างสุภาพ ยังไงก็ตามยูอิลฮานยิ่งมีความรู้สึกยินดีกับความจริงใจของเธอมากกว่าการเปลื่ยนทัศนคติของเธอซะอีก
ในที่สุดแล้วภาระที่อยู่ในใจของเขาหลังจากได้ยินว่าเขาจะต้องปกป้องโลก ในที่สุดก็ลดลงไปเล็กน้อยแล้ว
“เอาเถอะ… ฉันก็ดีใจนะที่ช่วยเธอได้”
“น่าจะมีอีกหลายๆคนที่เป็ฯเหมือนฉัน เหล่าคนที่ทุกข์เพราะเสียคนรักไป เหล่าคนที่แยกไปจากเพื่อนสนิม รวมไปถึงเหล่าคนที่เสียครอบครัวและลูกๆไปด้วย”
ดวงตาคาริน่า มาลาเทสต้าได้เป็นประกาศขึ้นมา
“เพราะแบบนั้นได้โปรดให้ฉันช่วยนายทำให้คนเหล่านั้นได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเถอะนะ”
“ได้เลย… ได้แน่นอน นับจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ”
“นับจากนี้ฉันก็จะตามนายในฐานะที่นายเป็นผู้นำ เชิญมอบคำสั่งมาเลย”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ยูอิลฮานได้คิดครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่ทาคากากิ อสึฮะกับมิเชล สมิทสันและพูดออกมา
“ถ้างั้นฉันจำทำให้พวกนายเลเวลขึ้นก่อน เลเวลพวกนายยังต่ำเกินไป”
“ฉันก็ได้คลาส 4 มาแล้วนะ ถึงนั่นจะต่ำกว่านาย…. แต่นี่ยังตองเพิ่มเลเวลอีกหรอ? แล้วทำยังไงล่ะ ที่นี่ไม่มีมอนสเตอร์เลยนะ”
ยูอิลฮานได้หันหน้าไปทางหนึ่ง และจากนั้นก็ชี้ไปที่ที่มีแค่เอิลต้าเท่านั้นที่ยืนอยู่
“เอิลต้า เธออัญเชิญมอนสเตอร์มาที่นี่ได้ใช่ไหม? พวกมอนสเตอร์ที่อยู่บนโลกน่ะ”
“นายมาพูดเรื่องไร้ความรับผิดชอบอีกแล้วนะ…”
“ถ้าเธอทำไมได้งั้นก็…”
ยูอิลฮานกำลังจะพูดแผนสองออกมา แต่แล้วเอิลต้าได้ยิ้มตอบกลับเขามาอย่างมั่นใจ
“ฉันทำได้สบายๆอยู่แล้ว”
“เฮๆ นี่เธอหัดจะหลอกคนอื่นแล้วงั้นหรอ”
“ก็มีใครบางคนหลอกฉันมาตลอดนี่นา”
เอิลต้าได้ยกมือขึ้นมาหลังจากที่มองดูเหล่าหัวหน้ากิลด์ที่กำลังตกตะลึงกันอยู่
“เอาล่ะ ถ้างั้นพวกนายทุกคนเตรียมตัวต่อสู้แล้วนะ?”
“เดี๋ยวก่อนสิ พวกเราสามคนไม่เคยสู้ร่วมกันมา…”
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
เมื่อเอิลต้าได้สะบัดมือลงขัดคำพูดของมิเชล สมิธสันก็ได้มีมอนสเตอร์ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าพวกเขาทั้งสามคน แน่นอนว่านี่คือมอนสเตอร์ปีศาจที่มีเลเวล 200 ปลายๆ จากร่างกายที่สั่นอยู่ของมันทำให้แน่ชัดว่ามันคือปีศาจสั่นสะเทือน
“ตอนนี้พวกนายก็สู้กันได้เลย”
“เธอมันปีศาจจจจจ!!!”
[ก๊าซซซซซซซซซ]
จากแบบนี้การจะยกระดับพวกเขาจึงได้ผ่านไปแล้วอย่างราบรื่น
บทที่ 277 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (3)
ยูอิลฮานได้มองไปที่หัวหน้ากิลด์ที่กำลังสู้กับปีศาจด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
“หืม กำลังไปด้วยดีเลย”
[ก๊าซซซซซซซซซซซ!]
“ไปด้วยดี!? นายคิดว่านี่มันกำลังไปด้วยดี!? ใช่ ใช่แล้วล่ะ! พวกเขากำลังตายด้วยดี!”
มิเชล สมิธสันได้หมดหวังไปแล้ว ทุกๆครั้งที่หนวดของงปีศาจกระทบเข้ากับโล่เข้ามันให้ความรู้สึกเหมือนแขนเขากำลังฉีกออกตลอดเวลา ยูอิลฮานได้เอียงหัวแล้วหันไปเรียกนายูนา
“ยูนา”
“โอเค ฉันไม่ปล่อยให้พวกเขาตายหรอก แค่ไม่ตายก็พอแล้วสินะ”
“ปีศาจ พวกนายมันปีศาจ!”
[ก๊าซซซซซซซซซ!]
ตามปกติแล้วทั้งสามคนจะไม่มีทางต่อสู้กับปีศาจนี่ด้วยกำลังตัวเองได้เลย แต่ว่าด้วยการช่วยเหลือจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้พวกเขาเพิ่มพลังขึ้นจนถึงจุดที่พวกเขาสามารถจะฝืนเผชิญหน้าได้
“ว้าว ดูเหมือนการผสานงามกับพลังของพวกเขากำลังเพิ่มขึ้นนะ”
“นี่เป็นสิ่งที่ดี ถ้าหากมีคนอื่นอีกที่ยังต่อต้านวงเวทย์ได้ต่อให้นิดเดียว ฉันก็จะพาคนพวกนั้นมาฝึกเหมือนกัน”
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอก เรามาเพิ่มระดับคนพวกนี้ขึ้นก่อนเถอนะ ตอนนี้เรายังมีเวลาเหลืออีกเยอะ”
“นั่นก็จริงล่ะนะ…”
จากนั้นเขาก็ไม่สนใจมองพวกหัวหน้ากิล์อีก ตอนนี้เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องไปทำ
“ถ้างั้นตอนนี้คงจะเป็นเวลาสำหรับการสร้างของฉันแล้วสินะ?”
[แต่ทำไมนายท่านถึงได้มองมาที่ฉันล่ะ?]
“อืมม เธอน่าจะรู้เหตุผลมากกว่าฉันอีกนะ”
ป้อมปราการลอยฟ้าได้เจอเข้ากับหลายๆอย่างในการพัฒนามันขึ้นไป เพราะศักยภาพในการพัฒนาของมันที่เป็นอาร์ติแฟคระดับพระเจ้า ทำให้ป้อมปราการนี้สามารถจะใช้บันทึกที่มันดูดซับมาเพิ่มพลังให้กับประสิทธิภาพของอาร์ติแฟคป้อมปราการลอยฟ้าโดยการที่จะเพิ่มความทนทานอะไรแบบนี้
ยังไงก็ตามนั่นมันยังคงไม่พอ หากยูอิลฮานเอาวัตถุดิบจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนับไม่ถ้วนที่เขาเก็บเอาไว้ในช่องเก็บของ เขาก็น่าจะพัฒนาป้อมปราการลอยฟ้าให้ไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้อีก!
[ยังจะมากกว่านี่อีกหรอ มันเป็นไปไม่ได้!]
“อย่างแรกจะต้องเป็น”ร้อยนัยน์ตา” เธอรู้ว่าฉันจะทำอะไรแล้วสินะ”
[นายท่านบ้าไปแล้ว]
ยูอิลฮานได้รวบรวมขนปีกของทูตสวรรค์กับเทวดาสวรรค์มา และเริ่มสร้างกระจกเพิ่มอีก 900 บาน มิสทิคก็ได้พัฒนาขึ้นมาเช่นกันเพราะแบบนั้นเธอก็น่าจะควบคุมกระจกนับพันได้พร้อมๆกัน
[ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้แน่ๆ]
“ไม่ เธอทำมันได้ ถ้าเธอทนไม่ได้ เธอก็จะทนกับสงครามที่กำลังจะมาถึงไม่ได้แน่!”
[เผด็จการ! นายท่านมันเผด็จการ!]
เนื่องจากว่ายูอิลฮานเคยมีประสบการณ์ทำมันมาก่อน ทำให้เขาไม่ต้องใช้เวลาในการสร้างกระจกมากเลย ความเร็วของยูอิลฮานได้เร็วมากยิ่งๆขึ้นจนมากพอที่จะดึงดูดในคนอื่นๆที่อยู่ในบาเรียต้องหันมอง
“อย่ามามองฉัน ไปทำหน้าที่ของตัวเองไป”
“ครับ!”
ยูอิลฮานได้สร้างกระจก 900 อันในเวลาเพียงแค่ 14 ชั่วโมง จากนั้นดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ก่อนที่สร้างกระจกเพิ่มขึ้นอีก 4 อัน เขาได้ใช้วัตถุดิบที่เหลืออยู่มาทำกระจกสี่อันนี้ที่เป็นกระจกที่มีขนาดใหญ่และดูอันตรายที่สุด!
[ทำไมถึงทำสี่อันนี้ล่ะ?]
“ก็เพราะว่าศัตรูจะได้ตกใจไงล่ะว่าทำไมมันถึงมีอีก 4 อันในเมื่อชื่อมันจะถูกเรียกว่า ‘พันนัยน์ตา’”
[…อ่า ฉันก็พอจะเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว]
ร้อยนัยน์ตาไปเป็นพันนัยน์ตา นี่คือการพัฒนาขึ้นขนาดใหญ่ของอาร์ติแฟคและจะทำให้อาร์ติแฟคเลื่อนระดับได้เลย จากโกลาหลได้ไปสู่ระดับกึ่งเทพ
ยูอิลฮานดูจะผิดหวังเล็กน้อยเนื่องจากว่าเขาเล็งไว้ที่จะทำให้มันเป็นระดับเทพเจ้า แต่ว่าเนื่องจากว่าป้อมปราการลอยฟ้าได้ถูกอัพเกรดตามเขาตั้งใจเอาไว้แต่แรก ทำให้เขาตัดสินใจปล่อยไว้แค่นี้
“ถ้างั้นฉันควรจะเพิ่มอะไรอีกดี?”
[นายท่าน? ท่านจะไม่เชื่อใจในตัวฉันมากไปนิดหรอ…?]
“ฉันรู้แน่ๆว่าอะไรที่เธอทำได้แล้วก็อะไรที่เธอทำไม่ได้ด้วย เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
[นี่ยิ่งทำให้ฉันกังวลมากกว่าเดิมซะอีก!]
สิ่งมีชีวิตชั้นสูงของกองทัพปีศาจวิบัติส่วนใหม่มักจะวิวัฒนาการขึ้นมาจากมอนสเตอร์ แล้วก็หลายครั้งที่เลือดและเนื้อของพวกมันจะเต็มไปด้วยพิษร้ายแรง นอกไปจากนี้ทุกๆส่วนขงพวกมันยังมีคุณสมบัติพิเศษแล้วเมื่อนำมารวมกันกับสิ่งต่างๆระดับของพิษก็ยังจะวิวัฒนาการขึ้นไปอีกด้วย
ในท้ายที่สุดแล้วพิษจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็เป็นปกติที่มันจะต้องใช้ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงด้วยกัน ในหมู่สมาชิกกองทัพปีศาจวิบัติมีหลายคนที่ใช้การโจมตีด้วยพิษ แน่นอนว่ายูอิลฮานได้มีเวอร์ชั่นที่พัฒนาของการป้องกันพิษขั้นสูง คือร่วงหล่นทำให้เขาไม่ได้ผลจากพิษพวกนี้เลย
ใช่แล้ววิธีที่สองที่จะอัพเกรดป้อมปราการลอยฟ้านั่นกคือพิษ ในช่องเก็บของของเขามีร่างของพวกกองทัพปีศาจวิบัติอยู่มากมาย เพราะงั้นเขาจึงมีวัตถุดิบมากพอแล้ว
“มีตัวอย่างอยู่มากเกินไป… ฉันคงจะต้องผสมพวกมันเข้าด้วยกันสินะ?”
[แล้วนายท่านจะตรวจสอบความเป็นพิษของมันยังไงกันล่ะ?]
ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็ง่ายๆไง ฉันก็แค่กินมันลงไป การร่วงหล่นมีการต้านพิษอยู่เพราะงั้นถ้าฉันกินมันไปฉันก็จะได้ฝึกการร่วงหล่นไปด้วย นี่มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนี่”
[แผนโรคจิตแบบนี้มัน โอ้ก็สมกับนายท่านนั่นแหละนะ….]
อย่างแรกเขาได้แยกประเภทของพิษที่มีก่อนแล้วก็เค้นเลือดของพวกมันออกมาจนซากแห้ง เพราะแบบนี้ทำให้เขาได้เลือดที่แตกต่างกันกว่าพันชนิดรวมเป็นเลือดหลายล้านลิตร ในจุดๆนี้ยูอิลฮานได้ใช้สัญชาตญาณของเขาเริ่มทำการผสมมันเข้าด้วยกันแบบสุ่มๆ
“ไม่ล่ะ นี่มันอ่อนไปแล้ว นี่ก็ด้วย นี่ก็อ่อนเหมือนกัน!”
[อย่าโยนพิษทิ้งลงพื้นสินายท่าน! ป้อมปราการกำลังละลายแล้วนะ]
“พิษนี่ก็อ่อนไป… แล้วก็นี่ แกร่งขึ้นหน่อยแล้วแหะ”
เขาได้เก็บเอาพิษที่มีผสมได้มาเป็นส่วนที่แข็งแกร่งมาเก็บเอาไว้ จากนั้นก็เอามันมาผสมเข้ากัน การผสมพิษของยูอิลฮานได้ดำเนินไปแบบนี้อย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าตกใจอีกเรื่องก็คือยิ่งเขาชินกับการผสมพิษเท่าไหร่ ความเร็วในการผสมของเขาได้กลายเป็นเร็วยิ่งๆขึ้น
[นายท่านไม่ปกติแล้ว]
“ใช่แล้ว ฉันไม่ปกติไงล่ะ!”
[อย่ามาภูมิใจกับเรื่องแบบนี้สิ]
ทุกๆวินาทีจะมีพิษสามหรือสี่อย่างปรากฏขึ้นมาและหายไป พิษที่อ่อนแอจะถูกโยนทิ้งไป ส่วนพิษที่แข็งแกร่งก็จะถูกสร้างซ้ำๆจนเกิดมาเป็นพิษใหม่ที่มีรากฐานมาจากพิษที่แข็งแกร่งและเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ทั่วทั้งจักรกาลไม่เคยเลยที่จะมีการสร้างและทำลายพิษจำนวนมากในที่ๆเดียวแบบนี้ ไม่สิ มันไม่เคยมีใครที่คิดจะเอาพิษของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจำนวนมากมาใช้แต่แรกแล้ว
“ฉันมาดูว่าอิลฮานกำลังทำอะไรอยู่… แต่ทำไมฉันถึงได้เห็นนรกในส่วนหนึ่งของป้องปราการลอยฟ้าล่ะ?”
“เลียร่า ฉันเข้าใจนะว่าเธออยากจะมาดู แต่ว่าตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่ เพราะงั้นไปฝึกกับคนอื่นๆก่อนนะ”
ขวดนับหมื่นที่บรรจุพิษที่มีทั้งพิษที่กำลังเดือดและพิษที่หนาวสั่นนี้ทำให้มันดูน่ากลัวมา และเลียร่าได้เข้ามาใกล้ยูอิลฮานนี่นับได้ว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญมาก แต่ถึงแบบนั้นเมื่อมาถึงระยะหนึ่งเธอก็เข้ามาใกล้เขาไม่ได้อีก
“อิลฮาน ตรงนั้นที่กำลังกระตุกอยู่…นั่นมันพิษใช่ไหม?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ นี่ก็คือชีวิตที่กำลังจะเกิดใหม่ขึ้นมาในพิษ”
“แล้วนี่มันใช่เรื่องเล็กๆหรอ!?”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันหยุดมันได้”
มอนสเตอร์ที่เกิดขึ้นมาจากมานานั้นเป็นเรื่องปกติ แล้วก็มอนสเตอร์ที่เกิดมาจากมานาพิษที่เข้มขนสูงก็ไม่ได้หายากเช่นกัน ยูอิลฮานได้กวนพิษต่อไปเพื่อทำลายสัญญาณชีวิตทิ้งอย่างไร้ปราณี และตักขึ้นมาดื่มหนึ่งทัพพี
“หืมมม”
ทันทีที่เขาได้ดื่มมันลงไป ก็ได้ทีกลิ่นเผ็ดร้อนที่เหมือนกับผ่านการหมักมาหลายพันปีพุ่งขึ้นมาที่จมูกของเขา พร้อมกันกับการกระตุกอย่างรุนแรงที่ระบบย่อยอาหารของเขา
ยูอิลฮานทนไม่ได้จนถึงกับต้องเปิดปากเรอออกมาพร้อมกับควันสีเขียวเข้มลอยออกมาจากปาก ความรักพันปีอาจจะหายไปได้เลยหากมาเห็นภาพนี้
“อี๋”
“ฉันให้คะแนน 10/10 เลยล่ะ”
“…นายไม่เป็นไรนะ”
“แน่…”
เมื่่อเขากำลังจะตอบกลับไปก็ได้มีข้อความที่เขาไม่คิดว่าจะปรากฏโผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น
[คุณได้เชี่ยวชาญสกิลทำอาหาร คุณได้เชี่ยวชาญในการทำอาหารที่มีพลังเวทย์และมานาทุกชนิด ความต้านทานธาตุไฟกับธาตุน้ำเพิ่มขึ้นรวมถึงพลังโจมตีธาตุ 30% ]
“หืม”
“อะไรงั้นหรอ?”
ยูอิลฮานได้มองลงไปที่ทัพพีเงียบๆก่อนที่จะหยักไหล่ขึ้นมา ถึงแม้ว่านี่มันจะน่าตกใจอยู่แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นซะหน่อย ไม่ว่ายังไงความสามารถในการสร้างพิษของเขาก็ได้เพิ่มขึ้น แล้วก็การควบคุมธาตุไฟกับธาตุน้ำของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน นี่มันคือเรื่องดี
เลียร่าที่รู้สึกได้ถึงการเปลื่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเขาได้ถามขึ้นมาด้วยความสับสน
“อิลฮานเมื่อกี้นี้ฉันรู้สึกเหมือนนายแกร่งขึ้นนะ…”
“ถ้าฉันพูดไปเธอคงจะหงุดหงิดแน่ เพราะงั้นฉันจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ”
“…?”
แน่นอนว่าไม่มีใครคิดแน่ว่าการกินพิษจะทำให้สกิลการทำอาหารมาถึงขั้นสูงสุดได้
ยูอิลฮานได้ส่งเลียร่าออกไปก่อนที่จะกลับมาผสมพิษต่ออีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นประมาณสามวันเขาก็ได้รับพิษสามชิดที่เขาชอบมา และทำพิษสามชนิดนี้อย่างล่ะประมาณ 20 ลิตร แม้ว่านี่จะน้อยมากเมื่อเทียบกับพิษทั้งหมดที่เขามีตั้งแต่อรก แต่ว่ายูอิลฮานก็คิดว่านี่แหละคือความสำเร็จแล้ว
“ดูเหมือนถ้าฉันกะปริมาณได้ถูก ฉันก็อาจจะฆ่าคลาส 6 ได้ด้วยพิษนี้ด้วย”
[ศพของกองทัพปีศาจวิบัติ… แม้ว่าพวกนี้จะได้ไปถึงจุดสูงสุดในโลกของตัวเองแต่กลับกลายมาเป็นแค่วัตถุดิบในการทำพิษ!]
ยูอิลฮานได้สร้างและติดตั้งกับดักที่ใช้พิษขึ้นมาบนป้อมปราการลอยฟ้า และจัดการทาพิษลงบนคมมีดในทุกๆจุดของป้อมปราการ
ส่วนที่เลวร้ายที่สุดของพิษนี้เลยก็คือมันเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของอาหารเวทมนต์อยู่ภายใน เดิมที่มันก็มีพิษที่เลวร้าวอยู่แล้ว แต่มันจะยังเปลื่ยนแปลงรูปร่างไปตามยูอิลฮานต้องการเพื่อโจมตีศัตรูได้อีกด้วย! ไม่เพียงแค่นี้จะทำให้พรรคพวกของเขาไม่ได้รับผลกระทบจากพิษเท่านั้น แต่ว่ายังเป็นไปได้อีกด้วยที่จะใช้พิษต่อสู้ให้ได้อย่างทรงประสิทธิภาพถึงขีดสุด
“ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังใช้วิธีนี้หลอกศัตรูว่านี่เป็นเพียงพิษที่อ่อนแอได้อีกด้วย
[นายท่านมันชั่วร้ายจริงๆ!]
ยังไงก็ตามแผนชั่วของยูอิลฮานเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง หลังจากเขาได้สร้างพิษขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้ใช้ร่างของกองทัพปีศาจวิบัติที่ถูกดูดเลือดออกมาจนแห้งมาเสริมพลังให้กับป้อมปราการลอยฟ้าอีก! เพราะแบบนี้เองทำให้กำแพงภายนอกของป้อมปราการลอยฟ้าทรงพลังขึ้นไปอีก อาร์ติแฟคทั้งหมดแหลมคมยิ่งขึ้น และอาวุธภายในคฤหาสน์ก็ได้รับการเสริมพลัง รวมไปถึงจำนวนกับดักก็ยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แต่ถึงแบบนั้นข้อมูลที่บันทึกนภามีให้กับป้อมปราการลอยฟ้าก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนะ
“นี่ยังดีไม่พออีกหรอ…? ป้อมปราการลอยฟ้าเป็นงานชิ้นแรกเลยนะที่ฉันทุ่มขนาดนี้!”
[นายท่านยังอยากที่จะก้าวข้ามระดับเทพเจ้าไปอีกงั้นหรอนายท่าน? ยอมแพ้เถอะนะ นั่นมันเป็นไปไม่ได้]
“แน่นอนว่าถ้ามันเป็นไปไม่ได้ฉันก็จะยอมแพ้ แต่ว่าจนถึงตอนนี้ฉันกำลังทำในสิ่งที่มันเป็นไปได้อยู่”
[นายท่านชั่งหัวรั้นจริงๆ]
ถ้ากองทัพปีศาจวิบัติใช้ไม่ได้ผล งั้นเขาก็แค่ต้องใช้ซากอื่นๆของกองกำลังอื่นๆสิ! เขาได้ใช้ซากทูตสวรรค์ เทวดาตกสวรรค์และผู้เฝ้าประตูสวนมาอัพเกรดป้อมปราการลอยฟ้า พลังที่มหาศาลอยู่แล้วของป้อมปราการลอยฟ้าได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก
ได้มีหินพลังเวทย์คลาส 5 อีกนับร้อยได้ถูกใช้และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับการเสริมพลังขึ้นเช่นกัน ในตอนนี้จำนวนของอาร์ติแฟคในป้อมปราการลอยฟ้ามีมากมายจนเขาขี้เกียจจะนับแล้ว
แต่ถึงแบบนั้นป้อมปราการลอยฟ้าก็ยังคงอยู่ในระดับเทพเจ้า
[ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นไปไม่ได้]
“ฟู่…”
ตอนนี้ยูอิลฮานได้แต่ยอมรับในความเป็นจริง แม้แต่กองทัพสวรรค์ก็ยังไม่รู้เลยว่ามีสิ่งที่อยู่เหนือระดับเทพเจ้าหรือป่าว? ในเมื่อขนาดยูอิลฮานที่เป็นสุดยอดช่างตีเหล็กและสุดยอดนักหัตถกรรมมานาก็ยังทำไม่ได้เลยถ้างั้นการที่ทูตสวรรค์ไม่รู้นั่นก็ไม่น่าแปลกใจเลย
[ตอนนี้นายท่ายคงจะยอมแพ้แล้วใช่ไหม]
“ใช่สิ ตอนนี้ฉันควรจะ…”
ยูอิลฮานได้พึมพัมกับตัวเอง
“ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
[ไหนนายท่านบอกว่าท่านทำแต่ในสิ่งที่เป็นไปได้ไงล่ะ!?]
“แน่นอน”
ยูอิลฮานได้หยักหน้าอย่างตั้งมั่นและยกมือขึ้นบนฟ้า ในตอนนี้เองร่างกายร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมา
“ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็คือสถานการณ์ที่ฉันจะเอาร่างของเจ้านี่มาใช้งาน”
[…พระเจ้า]
นี่ก็คือร่างกายของหัวหน้าผู้เฝ้าประตูสวนอาทิตย์อัสงดง เคลาทูค
บทที่ 278 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (4)
[เอาจริงดิ… ฉันได้จัดการฆ่าเจ้าสิ่งนี้ไปได้ยังไง?]
“นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะถามเธอมากกว่า แค่ได้มามองอีกครั้งก็น่ากลัวแล้ว ถ้าฉันได้เผชิญหน้ากับเจ้านี่ตรงๆฉันได้ถูกขยี้ไปในทันทีแน่”
[อืมม เจ้านี่น่ะแม้แต่ในหมู่คลาส 7 ด้วยกันก็ยังนับว่าทรงพลังเลย ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่อาจจะฆ่ามันได้ในการสู้หนึ่งต่อหนึ่งแน่ ที่มันเป็นไปได้ก็เพราะนาเทียก็อยู่ที่นั่นด้วย]
เมื่อสักครู่นี้เฮเรียน่าได้ต่อสู้กับเลียร่าอยู่ แต่ว่าเมื่อยูอิลฮานได้หยิบเอาร่างของเคลาทูคออกมาทำให้เธอหมดความสนใจที่จะสู้ต่อและลอยเข้ามาหายูอิลฮานแทน เธออยากจะให้เขาเอาใจเธอเพราะเธอเป็นคนที่ทำให้เขาได้รับร่างนี้มา
“อืมม ขอบคุณนะ ขอบคุณเธอมากเลย”
[ฟุฟุ]
ในอดีตเคลาทูคได้โดนผลจากเสน่ห์ของเฮเรียน่าและเข้าไปสูกับปีกที่ 8 แห่งกองทัพจรัสแสงนาเทียจนบาดเจ็บทั้งคู่และต้องเสียชีวิตไป ยังไงก็ตามพลังเวทย์ในร่างที่มหาศาลของมันยังคงอยู่และช่วยซ่อมแซมร่างกายให้กับมัน ทำให้ตอนนี้ร่างกายของมันได้ถูกฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์จนทำให้คนมองต้องสงสัยว่ามันตายไปแล้วจริงๆแน่หรือ
“สำหรับตอนนี้ฉันจำเป็นต้อง… ชำแหละมัน”
[นายท่านดูจะจริงจังยิ่งกว่าเก่าอีกครั้ง… ในบางครั้งฉันก็อิจฉาในความหลงใหลไร้ประโยชน์ของนายท่านจริงๆ]
“อย่าพูดว่าไร้ประโยชน์เชียวนะ”
ยูอิลฮานได้จัดไฟขึ้นบนปลายหอกมังกรแปดหาง เพลิงนี้คือเพลิงโปร่งแสงที่ยูอิลฮานใชได้หลังจากที่เขาได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิง
เพลิงได้ถูกบีบอัดอยู่ที่ปลายหอกของเขานั้นมีแค่มองเห็นได้รางๆนั้นเท่านั้น แต่ว่าพลังที่อยู่ภายในของมันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก และนี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ยูอิลฮานได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิง
[ฉันยังรู้สึกได้ถึงพลังของมังกรอีกด้วย]
“นี่ก็คือประกายเพลิงที่ถูกเสริมพลังจากโลหิตมังกร นอกไปจากนี้ก็ยังมีเพลิงโอโรจิ เพลิงม่วง รวมไปถึงเพลิงนิรันดร์ด้วยนะ”
[หากว่าเสริมดวงใจแห่งเพลิง(เปลื่ยนจากหัวใจแห่งเพลิง)ที่นายมีอยู่ ฉันคิดว่ามันอาจจะถูกเพิ่มพลังมากยิ่งขึ้นไปอีกนะ]
“ไว้คุยเรื่องนี้หลังจากจัดการงานนี้เสร็จล่ะกัน”
เขาไดใช้ปลายหอกจ่อแทงลงไปที่หัวของเคลาทูค หากว่าเคลาทูคยังมีชีวิตอยู่เขาคงไม่อาจจะแทงเข้าไปแน่ แต่ว่าในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น คมหอกได้แทงลงไปอย่างราบรื่นราวกับผ่าเต้าหู้ ยูอิลฮานได้แทงลึกเข้าไปทีล่ะนิดพร้อมๆกับการสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้เลือดได้กระจายออกไปจนทั่ว แต่ว่ายูอิลฮานก็ได้ใช้ที่เก็บที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเก็บเลือดทั้งหมดนี้เอาไว้
“เยี่ยม ฉันคิดว่ามันได้ผลแหะ”
หอกของเขาได้กลายเป็นเร็วยิ่งขึ้น เมื่อเนื้อในของฉลามติดเกราะขนาดมหึมาที่มีขนาดร้อยกว่าเมตรได้ยิ่งเผยออกมา นายูนาก็ได้ตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ
“อิลฮาน! ฉันอยากจะกินซุปหูฉลามล่ะ~”
“ถ้าฉันเอาหูเจ้านี่มาทำเป็นศพก็คงจะพอให้ทุกๆคนในนี้ได้กินล่ะนะ”
“พ่อครับ ผมก็เหมือนกัน”
“ไม่ใช่ว่าลูกกินเนื้อมังกรไปเยอะแล้วหรอกหรอ!?”
“เนื้อฉลามดูน่าอร่อยกว่าครับ!”
ยูอิลฮานได้ชำแหละเคลาทูคเพื่อที่จะเอามาเสริมพลังให้กับป้อมปราการลอยฟ้า แต่ว่าพรรคพวกที่เหลือของเขากลับอยากที่จะกินเนื้อฉลาม
ที่จริงแล้วเนื้อฉลามเป็นวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารที่ดีมากอย่างหนึ่งเลยหากไม่คำนึงถึงเรื่องการเน่าเสียที่ไวมากๆของมัน แต่ว่าเนื้อของเคลาทูคมีมานาอยู่จำนวนมากทำให้ถึงจะปล่อยไว้เป็นร้อยปีก็ไม่มีวันจะเน่าเสียแน่
แล้วก็ด้วยสกิลทำอาหารที่เขาได้เชี่ยวชาญแล้ว ยูอิลฮานก็อยากจะทำซูซิฉลามเช่นกัน
“…ในเมื่อฉันไม่ต้องใช้เนื้อเพราะงั้นเราจะกินมันกันใช่ไหม?”
“เราจะกิน…”
ยูอิลฮานได้แยกกระดูกกับเกราะโลหะออกจากกัน จากนั้นก็ตัดหูฉลามกับเนื้อชิ้นที่เหมาะมาทำเป็นซูชิ อย่างแรกเขาได้หั่นหูฉลามเป็นชิ้นๆไปใส่ในหม้อทำน้ำซุป ตัดเอาส่วนเนื้อไปทำเป็นซูชิบางๆ เมื่อได้เห็นการทำอาหารของยูอิลฮาน คังมิเรย์กับนายูนาได้รู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้ในด้านนี้
“ฉันยังทำมาม่าไม่ได้เลย…”
“อิลฮานทำอาหารให้เราก็ดีนะ แต่ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆกันนะ นี่มันดีแล้วแน่หรอ?”
“พ่อครับ เร็วสิครับ เร็วเข้า!”
เมื่อยูอิลฮานชินกับมันการทำอาหารของเขาก็ได้เร็วยิ่งขึ้น ยูอิลฮานได้ใช้เวลาแค่สามชั่วโมงเท่านั้นในการเอาฉลามมาทำเป็นอาหารที่พอให้คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ได้กิน และเนื่องจากว่ายูอิลฮานได้ใช้อ่างแห่งปาฏิหาริย์มาทำอาหารทำให้ความเป็นพิษไม่ได้สูงอีกต่อไปแล้ว
“…ฉัน”
“กรี๊ด อร่อยมาก!”
คังมิเรย์กับนายูนาที่อึดอัดใจอยู่ได้ถูกรสชาติของอาหารทำให้ความรู้สึกนี่หายไปทันที และพวกเธอก็ได้เริ่มที่จะสนใจกับการทำอาหาร สำหรับคนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน
“แม่แพ้ลูกแล้ว”
แม้กระทั่งคิมเยซอลก็ยังยอมรับในความพ่ายแพ้
[เคลาทูคที่เป็นถึงคลาส 7 ได้จบลงด้วยการกลายมาเป็นซุปหูฉลาม…]
“ชีวิตคนเรามันไม่มีปลายทางที่แน่นอนหรอกนะ”
[แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะมีปลายทางที่ดีกว่าการกลายเป็นซูชิแน่ๆล่ะ… อ่า อร่อยจัง ที่รักทำทั้งหมดนี้จริงๆสินะ]
ร่างกายของเคลาทูคมีขนาดที่ใหญ่มากๆ ต่อให้พวกเขาเติมเต็มท้องกันจนอิ่มร่างกายของเคลาทูคก็ยังคงเหลืออยู่อีก 95% ยูอิลฮานได้จัดการตัดเอาเหลือส่วนที่เหลืออย่างพอดีคำมาเก็บลงไปในช่องเก็บของและในที่สุดเขาก็ได้เริ่มทำการอัพเกรดป้อมปราการลอยฟ้า
“มิสทิค เธอคิดว่าป้อมปราการนี่ขาดระบบอะไรบ้างไหม?”
[สามัญสำนึกปกติล่ะมั้ง?]
“ไม่ใช่สิ่งที่เธอขาดนะ แต่เป็นสิ่งที่ป้อมปราการขาด”
[คงเป็นวัตถุดิบ?]
“ฉันผิดเองแหละที่มาถามเธอ คำตอบก็คือพลังป้องกัน”
ป้อมปราการลอยฟ้ามีความสามารถที่จะสร้างบาเรียขึ้นมาเองด้วยการใช้มานา หากว่าถูกเรียกออกมาบาเรียก็จะป้องกันป้อมปราการลอยฟ้าจากการกระแทกและการโจมตี
ยังไงก็ตามในความคิดของยูอิลฮานคิดว่าหากเป็นการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงบาเรียนี่ก็ยังคงไม่เพียงพอ บาเรียนี่ต่อให้เป็นเขาก็ยังทะลวงผ่านไปได้ง่ายๆเลย
“เรพาะงั้นในตอนนี้ฉันจะใช้เกราะโลหะนี่มาเสริมพลังให้กับบาเรีย”
[เรื่องบ้าๆอีกแล้ว…]
พูดกันอีกครั้งก็คือร่างของเคลาทูคนั้นมหึมามาก เพราะแบบนี้การจะใช้เกราะโลหะของมันมากปกคลุมป้อมปราการลอยฟ้าทั้งป้อมก็ไม่ใช่ปัญหาเลย
อย่างแรกยูอิลฮานได้ทำการหัตถกรรมมานากับชิ้นส่วนเกล็ดโลหะก่อนจนทำให้มันกลายมาเป็นโปร่งแสงและติดตั้งปืนสปริงไว้เพื่อที่จะทำให้ยิ่งเกล็ดโลหะพวกนี้ออกไปปกคลุมป้อมปราการได้เมื่อบาเรียถูกเปิดใช้งาน ปืนสปริงนี้เป็นอุปกรณ์ที่จะตอบสนองกับมานาบางประเภทและถูกออกแบบมาอย่างปราณีต แต่ว่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมเวทย์แล้วการสร้างมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
“แน่นอน นอกจากนี้แล้วมันยังเป็นไปได้ที่จะยิงเกล็ดนี่ออกไปนอกบาเรียในตอนที่บาเรียรับภาระหนักเกินไปอีกด้วย
[มันยังไม่จบใช่ไหม? มันไม่มีทางที่นายท่านจะหยุดแค่นี้แน่]
แน่นอนว่ามันยังมีส่วนอื่นเหลืออยู่อีก นั่นก็คือการปรับปรุงตัวบาเรีย! ถ้าการหมุนได้ถูกนำมาปรับใช้กับบาเรีย เกล็ดโลหะที่ปกคลุมอยู่ด้านบนก็ยังจะหมุนเหมือนกับสว่านได้อีกด้วย แล้วก็หากป้อมปราการลอยฟ้าพุ่งออกไปในสภาพนี้ทุกๆสิ่งที่ขวางทางจะถูกทะลวงจนลาบแน่นอน!
[นายท่านมันไม่ใช่มนุษย์]
“ใช่ ฉันเลิกเป็นมนุษย์มานานแล้ว ไม่สิฉันได้ก้าวข้ามมนุษย์ทั้งหมดมาต่างหาก!”
[นายท่าน…]
ในกระบวนการนี้ยูอิลฮานได้ใช้หินพลังเวทย์คลาส 5 จำนวนมากไป เนื่องจากว่าแผนต่างๆได้ถูกออกแบบและมีวัตถุชั้นนำเตรียมไว้แล้ว ทำให้ผลงานได้สำเร็จออกมาอย่างง่ายดาย สว่านที่จะเจาะทะลวไปทั่วจักรวาลได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว
[ป้อมปราการลอยฟ้าสังหารได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว]
และในที่สุดสิ่งที่ยูอิลฮานรอคอยมาตลอดมันก็เกิดขึ้น
[ป้อมปราการลอยฟ้าสังหาร]
[ระดับ – นิรันดร์]
[ความทนทาน – 100,000,000/100,000,000]
[เงื่อนไขการใช้งาน – ยูอิลฮานเท่านั้น]
[ออฟชั่น –
1.ฟื้นฟูความทนทานจากการดูดซับมานาและพลังชีวิตจากศัตรูใกล้ๆ
2.ระดมยิงอาวุธทั้งหมดออกไปโดยไม่จำเป็นต้องสั่งการ
3.พัฒนาขึ้นอัตโนมัติจากการดูดซับบันทึกของสิ่งมีชีวิต
4.การบินถูกเปิดใช้งาน เร่งความเร็วฉับพลัน ลอยตัวฉับพลัน ทิ้งตัวฉับพลันได้ถูกเปิดใช้งาน
5.ไอเทมทั้งหมดภายในป้อมปราการจะถูกนับเหมือนกับเป็นไอเทมสวมใส่ คนที่อยู่ในปาร์ตี้ของผู้ใช้ป้อมปราการจะได้รับคุ้มครองจากป้อมปราการและจะถูกนับเป็นหนึ่งในสมาชิกของป้อมปราการ
6.พลังป้องกันและพลังโจทตีของอาร์ติแฟคทั้งหมดในป้อมปราการเพิ่มขึ้น 20%
7.พลังป้องกันและพลังโจทตีของอาร์ติแฟคทั้งหมดในป้อมปราการเพิ่มขึ้น 20%
8.สามารถจะใช้บาเรียพิเศษทำการโจมตีและป้องกันได้
9.โอกาสที่จะเกิดปาฏิหาริย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่มสูงขึ้น]
[สิ่งประดิษฐ์ที่ได้ก้าวข้ามเทคโนโลยี บันทึกและปาฏิหาริย์ไปแล้ว มันยังคงไม่สมบูรณ์เนื่องจากขาด ‘ชิ้นส่วนที่หายไป’อยู่ แต่อีกไม่นานก็จะสมบูรณ์]
[คุณได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ระดับนิรันดร์ขึ้น คุณได้รับฉายา ‘ผู้ก้าวข้าม’]
“หืมม”
ในที่สุดป้อมปราการสุดที่รักก็ได้กลายมาเป็นระดับที่สูงกว่าพระเจ้าแล้ว! ยูอิลฮานยินดีจนอยากจะร้องไห้แล้ว
ยังไงก็ตามฉายาที่เขาได้ตามมาหลังจากสร้างสิ่งประดิษฐ์ระดับนิรันดร์ขึ้นมาได้กวนใจเขาอยู่ ผู้ก้าวข้าม? เขาก้าวข้ามอะไร? ความสามารถของฉายานี่มันอะไร? เขาไม่อาจจะเข้าใจได้เลย
[มีอะไรงั้นหรอที่รัก?]
“ไม่ ไม่มีอะไรหรอก”
ถึงเขาจะอยากอธิบายให้คนอื่นๆฟัง แต่ว่าก็มีแต่เขาเท่านั้นที่ได้รับฉายานี้ ทำให้ต่อให้เขาอธิบายออกไปคนอื่นๆกไม่เข้าใจ
ถึงนี่จะต่างจากที่เขาหวังนิดๆ แต่ว่าในเมื่อเขาก็อัพเกรดป้อมปราการได้สำเร็จตามเป้าแล้วทำให้เขาปล่อยเรื่องนี้เอาไว้
ยังไงก็ตามมิสทิคได้เรียกเขาเอาไว้ก่อนที่จะหันไปทางอื่น
[นายท่านฉันรู้สึกแปลกๆ]
“ทำไมล่ะ สามัญสำนึกที่เธอขาดไปมันโผล่มาแล้วงั้นหรอ?”
[ฉันรู้สึกเหมือนฉันจะต้องไอออกมาแต่ว่ามันถูกกลั้นเอาไว้! อ๊าาาาาาา อึดอัดอ่า!]
ยูอิลฮานคิดว่า ‘ชิ้นส่วนที่หายไป’ ได้ทำให้เธออึดอัด ยังไงก็ตามหากเขารู้ว่านั่นคืออะไรเขาก็คงจะทำให้มันสมบูรณ์ไปแล้ว ยูิลฮานได้หยั่งไหล่ถามออกมา
“ฉันจะต้องจี้เธอไหมล่ะ?”
[ไม่ นั่นมันทำกับป้อมปราการได้ด้วยงั้นหรอ!? ฉันอึดอัด! ฉันรู้สึกเหมือนฉันกำลังกลั้นอะไรซักอย่างอยู่!]
หลังจากนั้นมิสทิคก็กรีดร้องไปอยู่พักใหญ่ๆ แต่ว่านี่ก็ไม่มีอะไรที่ยูอิลฮานทำได้เลย เขาได้ถามโอโรจิ แต่ว่าโอโรจิก็แค่ถอนหายใจและตอบกลับมาว่า
[ในตอนผู้หญิงหงุดหงิดโมโหนะ สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ก็คือการปล่อยเธอเอาไว้คนเดียวดีกว่าการไปถามเหตุผลแน่ๆ นี่จะเป็นวิธีลดความเสียหายที่ดีที่สุดแล้ว]
“โอ้ ฉลาดมาก”
[นายท่านงี่เง่า! โอโรจิก็ยิ่งงี่เง่า!]
เมื่อเขาไปบอกกับคนอื่นๆว่าตอนนี้ป้อมปราการลอยฟ้าได้อยู่ระดับนิรันดร์แล้ว ตอนแรกคนอื่นๆก็สับสนกัน แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ต้องตะลึงเมื่อรู้ความจริงว่านั่นมันอยู่เหนือระดับเทพเจ้า แม้กระทั่งคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดอย่างเฮเรียน่าก็แสดงท่าทางตกใจออกมา
[นิรันดร์? นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ยินเรื่องแบบนี้ ฉันเคยเห็นสุดยอดช่างตีเหล็กมาหลายคนในชีวิตนะ… แต่ไม่มีใครเลยที่ทำได้ดีกว่าระดับเทพเจ้า]
“บางทีเราจะได้ห็นการเกิดขึ้นของไอเทมที่ไม่เคยมีอยู่แม้ในแต่แนวคิดของบันทึกนภา”
[คนแรก… สินะ ฟุฟุ ฉันดีใจจังที่ได้ใช้เวลานี้กับที่รัก]
“เธอไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่นะ ฉันก็อยู่ด้วยแล้วก็อิลฮานคือของฉัน”
การอัพเกรดป้อมปราการลอยฟ้าได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แม้ว่าเขาจะใช้เกราะโลหะทั้งหมดของเคลาทูคไป แต่ว่าผลลัพธ์นี่ก็ดีจนทำให้เขาพึงพอใจมาก นอกไปจากนี้
“ฉันดีใจที่ฉันไม่ถึงขนาดที่ต้องทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก เพราะงั้นฉันก็เลยยังมีกระดูกเหลืออยู่!”
[ยังมีเหลืออยู่อีก…]
ยังไงก็ตามเขาก็มีแผนที่จะใช้งานกระดูกของเคลาทูคแล้ว ยูอิลฮานได้เอากระดูกมากองไปที่มุมหนึ่งและหยิบเอากระดูกของอิชจาร์ออกมาอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นก็เอาหัวใจมังกรของอิชจาร์แล้วก็ดวงใจแห่งเพลิงออกมา
“”นับจากนี้ อย่าเข้ามาใกล้ทางนี้นะ”
เขาได้เตือนคนอื่นๆด้วยน้ำเสียงที่ขึงขัง และจัดการถอดทุกๆออกไป รวมไปถึงถุงมือที่ทำมาจากศพของเจตจำนงแห่งความโกลาหล แม้กระทั่งเกราะร่างเพลิงนรกก็ไม่เว้น โอโรจิได้ถามเขาขึ้นทันที
[ตอนนี้นายท่านคิดว่านายท่านทำมันได้แล้วงั้นสินะ?]
“ใช่แล้ว”
ยูอิลฮานได้หยักหน้าออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนที่จะยกค้อนขึ้นพร้อมสูดหายใจลึก
เขามีวัตถุดิบพอแล้ว แถมเป้าหมายตอนนี้ของเขาก็ชัดเจนแล้ว นั่นก็คือระดับนิรันดร์
ในท้ายที่สุดตอนนี้มันก็ถึงเวลาทำชุดเกราะในอุดมคติของเขาให้สมบูรณ์แล้ว
บทที่ 279 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (5)
“โอโรจินายช่วยย้ายไปอยู่ในหอกมังกรแปดหางที”
[ได้เลย]
จิตวิญญาณของโอโรจิได้ย้ายเข้าไปให้หอกมังกรเพลิงแล้ว ยูอิลฮานได้แยกหอกออกมาจากเกราะและวางเอาไว้ข้างๆ ก่อนที่จะอัญเชิญเพลิงนิรันดร์ขึ้นมาบนฝ่ามือ
“ตอนนี้เราจะหลอมละลายมันแล้วรวมเข้ากับวัตถุดิบที่มีค่ามากๆทั่วทั้งจักรวาล พร้อมนะ?”
เพลิงนิรันดร์ได้เคยผ่านวัตถุดิบจำนวนนับไม่ถ้วนมาแล้ว มันได้ดูดซับแม้กระทั่งบันทึกและพัฒนาขึ้นมาเหนือกว่าอดีตหลายต่อหลายครั้งจากการนำของยูอิลฮาน มันได้ขยับตัวแสดงความมั่นใจว่าไม่ว่าอะไรมันก็เผาทิ้งไปได้
“เยี่ยม…”
ยูอิลฮานได้เงยหน้าขึ้นมา ข้างหน้าของเขามีกระดูกที่มีขนาดมหึมาที่เกือบจะเต็มบาเรียอยู่ เขามีกระดูกอยู่สองชนิดซึ่งมีคุณสมบัติที่ต่างกัน ตอนนี้เขากำลังจะลองผสมพวกมันขึ้นมาเป็นเกราะโดยการดึงเอาข้อดีของกระดูกทั้งสองชนิดนี้ออกมา
“ส่วนแรกจะเป็นส่วนในของเกราะ ฉันจะใช้กระดูกเคลาทูคับดวงใจแห่งเพลิงทำเป็นชั้นเกราะบางๆ”
[งั้นนี่น่าจะเป็นเพลิงสินะ]
“ใช่แล้ว ส่วนที่สองจะเป็นเกราะส่วนนอก ฉันจะเอาถุงมือเจตจำนงแห่งความโกลาหลมาหลอมละลายอีกครั้งหนึ่งแล้วก็เติมกระดูกของอิชจาร์กับหัวใจของมันลงไปเพื่อทำให้เกราะหนาและคมขึ้น”
[งั้นนี่ก็จะเป็นส่วนของมังกร นายท่านในตอนนี้อยู่ใกล้ชิดกับเพลิงมากกว่ามังกร ยังไงก็ตามไม่ใช่ว่านายท่านบอกว่านายท่านจะไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงผ่านมังกรหรอกหรอ? ถ้าแบบนั้นทำไมนายท่านไม่ทำเกราะส่วนในที่เกี่ยวกับมังกรล่ะ?]
“ขอบคุณที่บอกนะ แต่ว่าพลังมังกรเป็นพลังที่ต้องปล่อยออกมาจากภายนอก นอกไปจากนี้ฉันจะเอาศักยภาพของมันไปทิ้งไม่ได้เมื่อฉันกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง… แล้วก็นอกจากนี้ เพลิงกับมังกรโดยพื้นฐานแล้วทั้งสองอย่างก็ไม่ได้ต่างกันมาก”
[…ข้านั้นไร้ประสบการร์และไม่อาจจะเทียบได้อีกแล้ว เพราะงั้นทำตามที่ท่านต้องการเถอะ]
โอโรจิได้ล้มเลิกที่จะทำความเข้าใจคำพูดของยูอิลฮานแล้ว ชัดเจนว่าเพลิงก็คือตัวแทนของพลังแห่งการทำลายและเป็นการใช้พลังที่ตรงไปตรงมาที่สุด… แต่ว่ามากกว่านั้นโอโรจิก็ไม่เข้าใจอีกแล้ว ยูอิลฮานที่รู้ว่าโอโรจิได้ยอมแพ้ไปแล้ว เขาก็ได้แต่พูดออกมาแห้งๆ
“นายไม่ได้จะอยู่ในฐานะของจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตลอดไปไม่ได้นะ การที่จะควบคุมสั่งการเกราะนี่นายก็จะต้องพัฒนาขึ้นด้วย
[นั่นแหละ!]
ในตอนนี้เองมิสทิคได้ตะโกนขึ้นมา
[ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ระดับของป้อมปราการลอยฟ้าได้ถูกยกระดับขึ้น แต่ว่าฉันยังอยู่ที่เดิม เพราะแบบนี้ถึงทำให้ฉันอึดอัด]
“ถ้างั้นเธอก็จะต้องพัฒนาขึ้นด้วย”
[ทำยังไงล่ะ?]
“อืม มันก็คงจะไม่มีปัญหาถ้าเธอได้ดูดซับบันทึกทุกๆอย่างที่เธอเจอ?”
[ไม่ นั่นมันยังไม่พอ มันจะต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่เป็นพื้นฐานมากกว่านี้]
น้ำเสียงของมิสทิคได้สูงขึ้นมา เสียงของเธอเต็มไปด้วยความต้องการที่จะพัฒนาตัวเองให้เข้ากับป้อมปราการลอยฟ้า
[นายท่านจะต้องพัฒนาขึ้น! มีแต่แบบนั้นเราถึงจะทำตามได้!]
“อย่ามาโยนความผิดให้ฉันสิ”
[แต่ว่านั่นมันเป็นเรื่องจริง! เพราะงั้นกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงหรืออะไรแบบนั้นได้แล้ว!]
“ชั่งมัน ฉันต้องการความเงียบซักพักหนึ่ง ฉันกำลังทำเรื่องสำคัญอยู่”
ต่อให้จะเป็นเรื่องการเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง การจะอัพเกรดอุปกรณ์ของเขาก็เป็นเรื่องที่จำเป็น ยูอิลฮานได้ให้มิสทิคเงียบลงไปและจัดการหลอมละลายชุดเกราะร่างมังกรเพลิงนรกกับกระดูกของเคลาทูค
เกราะร่างมังกรเพลิงนรกนั้นเป็นวัตถุดิบสำหรับทั้งเกราะชั้นในและเกราะชั้นนอก แล้วในตอนนี้เขากำลังทำการสกัดส่วนที่เป็นเพลิงออกมา
แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำง่ายๆ ต่อให้ยูอิลฮานจะเชี่ยวชาญในการใช้เพลิงที่สุดแต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะดึงโลหะทั้งสองออกมาได้เลย
[นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอ?]
“ถ้าตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ต่อๆไปมันก็จะเป็นไปไม่ได้อยู่ดี เพราะงั้นตอนนี้ฉันจะต้องทำมันให้ได้”
เมื่อเร็วๆนี้เวลาในการสร้างและตีเหล็กของของชิ้นหนึ่งของยูอิลฮานไม่ค่อยจะใช้เวลามากนักเลย แต่ว่าคราวนี้ต่างออกไป เนื่องจากว่าวัตถุดิบดีเกินไปทำให้เขาจะละเลยไม่ได้เลย เขาได้โอนย้ายพลังเพลิงทั้งหมดของเกราะร่างมังกรเพลิงเข้าไปสู่เกราะใหม่โดยที่ไม่ยอมให้คุณภาพลดลงแม้แต่นิดเดียว
“ฟู่…”
เพลิงนิรันดร์ได้รุนแรงและส่องสว่างมากยิ่งขึ้น เพลิงนิรันดร์ที่มีขนาดใหญ่ได้เริ่มที่จะลดเล็กลงและกลายเป็นโปร่งแสงมากยิ่งขึ้นจนตาเปล่าก็มองไม่เห็นแล้ว
[ไม่ว่าจะเห็นมันกี่ครั้งนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ..]
“ซัคคิวบัส เธอกำลังซ้อมกับฉันอยู่นะ เธอไปสนใจอะไรอยู่กัน!”
[ฟู่ ฉันก็แค่อยากจะดูผลงาน… อดีตทูตสวรรค์น่ารำคาญนี่]
ยูอิลฮานไม่อาจจะได้ยินเสียงใครได้อีกแล้ว ตอนนี้สมาธิของเขาได้จดจ่ออยู่กับเพลิง เพลิงและวัตถุดิบที่ต้องถูกละลาย สายตาของเขาไม่เคยล่ะไปจากสองสิ่งนี้เลย
“เพลิงนิรันรด์ นี่คือเกราะที่นายจะต้องอยู่”
ยูอิลฮานได้กระซิบขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ
“เพราะงั้นจงตั้งใจซะ คิดซะว่านายกำลังทำบ้านให้กับตัวเอง”
เพลิงนิรันดร์ได้โหมกระหน่ำขึ้นมาราวกับจะตอบรับเขา เพลิงของมันได้ชะโลมวัตถุดิบที่อยู่ใกล้ๆอย่างรุนแรง ในตอนนี้เองเพลิงนิรันดร์ก็ได้พัฒนาขึ้นีกครั้งและดวงใจแห่งเพลิงที่เขาได้เอามาใช้ต่อมาก็ได้สอดผสานเข้ากันกับเพลิงนิรันดร์
ในตอนนี้ไม่มีใครนอกจากยูอิลฮานอีกแล้วที่จะรู้ถึงเพลิงนิรันดร์ ในท้ายที่สุดเกราะร่างมังกรเพลิงกับกระดูกของเคลาทูคก็ได้เริ่มถูกหลอมละลาย
‘เยี่ยม นี่มันเริ่มผสานเข้ากันแล้ว มาทำหัตถกรรมมานากันต่อเลย’
สิ่งที่กำลังละลายอยู่ไม่ใช่ทุกๆส่วน เขาจะต้องเก็บแกนหลักของเกราะร่างมังกรเพลิงเอาไว้และบีบอัดพลังที่มีอยู่ในกระดูกของเคลาถูกเข้าไปข้างในนั้น
ตอนนี้ดวงใจแห่งเพลิงก็ถูกเปิดใช้งานแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ไม่ใช่แค่การตีเหล็กอีกต่อไป แต่มันยังเป็นหัตถกรรมมานาอีกด้วย แล้วก็ยังมีเพลิงนิรันดร์ที่กำลังทำการเอนชานท์วิญญาณเข้าไปพร้อมๆกัน ยูอิลฮานคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นการสร้างแบบเก่า ก่อนที่เทคโนโลยีจะถูกพัฒนาและแตกแขนงออกไป
[ฟุฟุ คุณหญิงอดีตทูสวรรค์ จะไม่สู้กันแล้วหรอ?]
“เงียบซักเดี๋ยวซิ ซัคคิวบัส…”
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะละสายตาไปจากยูอิลฮานที่กำลังอย่างน่าหลงใหลและสง่างาม นี่ไม่ใช่แค่กับเฮเรียน่ากับเลียร่าเท่านั้น แต่คนอื่นๆที่กำลังซ้อมกันอยู่ ฝึกสกิลกันอยู่ กินเนื้อมังกรอยู่หรือต่อสู้กับมอนสเตอร์อยู่ พวกเขาทุกๆคนต่างก็หยุดสิ่งที่กำลังทำและมาล้อมยูอิลฮานเอาไว้
“น่าทึ่ง”
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่านี่คืออะไรแต่มันน่าทึ่งมาก”
ออร่าเพลิงโปร่งแสงได้ปกคลุมทั่วตัวยูอิลฮานทำให้คนอื่นๆมองเขาไม่ชัด แต่ว่าคนอื่นๆก็ยังรู้ว่าเขากำลังทำสิ่งที่น่าทึ่งอยู่
กระดูกขนาดมหึมาของเคลาทูคกำลังลดขนาดลงมาตลอดเวลา และเพราะร่างมังกรเพลิงก็ได้ส่องแสงจ้าออกมาพร้อมเปลื่ยนรูปแบบไปก่อนที่จะถูกแยกส่วนออกมา
เพลงนิรันดร์ได้ใช้พลังทั้งหมดของมันเพื่อผสานทั้งสองอย่างที่ไม่ใช่หนึ่งเดียวกันให้รวมเข้าด้วยกัน
[บ้านของฉัน]
น้ำเสียงที่สดใสของผู้หญิงได้ดังขึ้นมา ยูอิลฮานรู้ได้จากสัญชาตญาณของเขาในทันทีได้เลยว่านี่คือเจตจำนงของเพลิงนิรันดร์ หลังจากเพลิงนิรันดร์ได้พัฒนาขึ้นมาหลายต่อหลายทั้งทำให้ในที่สุดเธอก็สามารถจะสื่อสารออกมาได้แล้ว
[ฉันจะสร้างบ้านสุดร้อนแรง!]
“ใช่แล้ว เธอกำลังจะสร้างบ้านนั่น”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปอย่างพอใจ เพลิงนิรันดร์ที่เห็นว่านายท่านเข้าใจคำพูดของเธอได้เร่งไฟสว่างมากขึ้นอย่างยินดี แน่นอนว่าความเร็วในการละลายกระดูกเคลาทูคก็เร็วตามไปด้วย
ดวงใจแห่งเพลิงก็เริ่มถูกละลายไปแล้วอย่างช้าๆ ยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ได้ถูกละลายไปทีล่ะนิดทำให้ทั้งพื้นที่แห่งนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงเพลิง
ในท้ายที่สุดความร้อนที่น่ากลัวก็ถูกก่อตัวขึ้นมาเป็นบาเรีบ ตอนนี้ไม่มีใครที่คงสติเอาไว้ได้นอกเสียจากเพลิงนิรันดร์กับยูอิลฮานที่ได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิง โอโรจิก็ไม่เว้นเช่นกันทำให้พวกเขาได้รีบออกห่างไปทันที
[ข้าจะออกไปก่อนนะ… ให้ตายสิ นายท่านไม่ได้ยินเสียงข้าแล้ว?]
“ฟู่ ฮ่าาาห์…”
บาเรียที่ก่อตัวขึ้นมารอบๆดวงใจแห่งเพลิงได้ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว กระดูกของเคลาทูคก็ลดลงตามขนาดบาเรียเช่นกัน กระดูกไม่ได้ถูกทำลายแต่ว่ามันถูกบีบอัดลงมาโดยที่คงคุณสมบัติเดิมเอาไว้
ในท้ายที่สุดยูอิลฮานก็หยิบเอาค้อนขึ้นมา จากนั้นเขาก็ได้เอาเกราะร่างมังกรเพลิงครึ่งหนึ่งที่ถูกแยกออกมากับกระดูกเคลาทูคมาวางไว้ที่เดียวกันก่อนจะทุบลงไป เขาได้ใส่มานาทั้งหมดของเขาและเพลิงลงไปในการทุบสิ่งเหล่านี้
[ที่รักรู้สึกไหม? หัตถกรรมมานากับเอนชานท์วิญญาณกำลังถูกรวมกันด้วยการตีเหล็ก อ๊า แค่เกราะชิ้นเดียวแต่กลับถูกที่รักปฏิบัติดีกว่าตัวฉันอีก น่าอิจฉาจังเลยนะ ถ้าฉันได้สัมผัสกับมือที่รักแบบนั้น ต่อให้ถูกละลายไปก็ไม่มีปัญหา…]
“ฉันบอกให้เงียบไงซัคคิวบัส เธอกำลังรบกวนฉันอยู่นะ”
ในท้ายที่สุดยูอิลฮานก็หลับตาลง ตอนนี้ดวงตาของเขาไม่ได้มีส่วนกับงานแล้ว
เขารู้สึกได้ถึงเพลิง ลมหายใจของเปลวเพลิง เจตจำนงของเพลิงนิรันดร์ พื้นที่ที่กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ กระดูกที่กำลังเปลื่ยนสีและรูปร่างไป แล้วก็เกราะร่างมังกรเพลิงครึ่งส่วนที่กำลังเป็นศูนย์กลางดูดทุกๆอย่างเข้ามา
[คุณได้ค้นพบกับขอบเขตการสร้างที่ไม่สามารถจะระบุได้ด้วยเทคโนโลยี การผสมสกิลขั้นสูงส่วนใหญ่มาจากการผสมผสานกันของเทคโนโลยีที่บันทึกนภาได้เก็บบันทึกข้อมูลเอาไว้ แต่ว่าเทคโนโลนี้เป็นตัวของมันเอง มันไม่อาจจะบันทึก ไม่อาจจะกำหนดเลเวลได้]
[สิ่งที่คุณได้ค้นบนคือขอบเขตแห่งการก่อกำเนิด คุณได้ผสานพลังแห่งช่างตีเหล็ก หัตถกรรมมานา และเอนชานท์วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันจนเปลื่ยนจาก’ความโกลาหลที่ไม่อาจจะผสมหรือแยกได้แล้ว’ ให้กลายมาเป็น ‘การเกิด’ คุณได้เข้าถึงขอบเขตแห่งการสรรสร้าง]
[คุณได้รัยฉายา ‘ผู้สร้าง’ ทุกๆสิ่งที่คุณสร้างขึ้นมาจะมีความพิเศษและออฟชั่นเฉพาะตัว]
ยูอิลฮานได้เปิดตาของเขาขึ้นมา ตอนนี้กระดูกเคลาทูคได้หายไปจนหมดแล้ว ตัวดวงใจแห่งเพลิงก็ไม่มีให้เห็นอีก เพลิงนิรันดร์ยังคงลุกอยู่บนฝ่ามือของยูอิลฮาน แต่ว่านนี่ไม่ใช่เพลิงนิรันดร์ทั้งหมดแต่เป็นแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น และร่างหลักของเพลิงนิรันดร์ได้ย้ายเข้าไปในบ้านใหม่เรียบร้อยแล้ว
ชุดเซ็ตเกราะเซ็ตหนึ่งได้ลอยอยู่เบื้องหน้าของเขา นี่เป็นเพราะที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงทั้งตัว มันดูคล้ายๆกันกับเกราะร่างมังกรเพลิง แต่ว่าจริงๆแล้วมันต่างกันมาก
มันมีชีวิต สัญชาตญาณของยูอิลฮานที่เข้าสู่ขอบเขตแห่งการสรรสร้างได้บอกเขาแบบนี้หลังจากที่มองชุดเกราะ
[ฉันชอบมันมากๆ!]
เพลิงนิรันดร์ที่อยู่ภายในเกราะได้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีการปฏิเสธแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงของตัวเธอดูมีเสน่ห์อย่างมาก
[ฉันกำลังจะปกป้องนายท่าน!]
“ใช่แล้ว ฝากด้วยนะ”
ยูอิลฮานได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หมดแรงเอามากๆจากการที่ทุ่มเททุกๆอย่างกับการสร้างเมื่อตะกี้นี้ ยังไงก็ตามเขาพอใจกับมันมากๆ จิตใจของเขาได้ถูกเติมเต็ม เขาคิดว่าในที่สุดเขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการสำเร็จแล้ว
ในตอนนี้เขาได้เดินไปในเส้นทางที่ไม่มีใครเคยเดินมาเกิน
[จิตวิญญาณแห่งเพลิงได้เสร็จสมบูรณ์]
[จิตวิญญาณแห่งเพลิง]
[ระดับ – พระเจ้า]
[พระป้องกัน – 17,900]
[ความทนทาน – ตราบใดที่มีพลังงานแห่งเพลิงอยู่จะไม่มีวันถูกทำลาย]
[เงื่อนไขการใช้งาน – ยูอิลฮาน]
[ออฟชั่น –
1.ความต้านทานและพลังโจมตีธาตุไฟเพิ่มขึ้น 200%
2.เพิ่มพลังเพลิงลงไปในสกิลทั้งหมดและเสริมพลังขึ้น 100%
3.ยกระดับขอบเขตพลังของสกิลที่เกี่ยวข้องกับเพลิงทั้งหมดขึ้น]
[เปลวเพลิงบริสุทธิ์ที่ร้อนแรงและทนทานที่สุดได้ถูกสร้างขึ้นมาจากมนุษย์ที่เหนือยิ่งกว่ามนุษยชาติ หลังจากการรวมของสสาร จิตวิญญาณและมานาได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์นี้ขึ้น]
หลังจากดูข้อมูลของชุดเกราะจบลงยูอิลฮานก็ได้หันมองไปรอบๆ ตอนนี้เองเขาก็ได้เห็นอีกส่วนหนึ่งของเกราะร่างมังกรเพลิงนรกที่กลายมาเป็นก้อนอยู่ นี่จะเป็นส่วนของเกราะชั้นนอกที่ใช้กระดูกอิชจาร์ ถุงมือเจตจำนงแห่งความโกลาหล รวมไปถึงดวงใจมังกร
หรือก็คือตอนนี้เขาเพิ่งจะทำงานเสร็จไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เกราะของเขายังไม่สมบูรณ์
“การที่ฉันจะต้องมาทำงานน่าเหน็ดเหนื่อยอีกครั้งนี่มัน…”
[ฉันมีความสุข! ฉันมีความสุข!]
เพลิงนิรันดร์เอาแต่ตอบกลับมาอย่างยินดีในขณะที่ควบคุมให้ชุดเกราะกระโดดไปมากลางอากาศโดยไม่คิดอะไรมากเลย
ยูอิลฮานจะใส่เกราะในทันทีเลยก็ได้แต่ว่า… เขาได้ปล่อยเธอเอาไว้แบบนี้ซักพัก จากนั้นเมื่อเขาหันไปมองคนอื่นๆ คนพวกนั้นก็ได้มองกลับมาที่เขาด้วยสายตาที่ดูสับสน
“อิลฮาน นาย…”
“อะไรงั้นหรอ?”
“ตอนนี้แม้กระทั่งผมนายก็เป็นสีแดงไปแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเลียร่า เขาได้ลูบผมของเขาดูทันที
“อะไรกัน!?”
ตอนแรกหลังจากได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิง ดวงตาของเขาได้เปลื่ยนมาเป็นสีแดง และในตอนนี้เมื่อเขาได้สร้างจิตวิญญาณแห่งเพลิงขึ้นทำให้แม้แต่ผมของเขาก็กลายมาเป็นสีแดง
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี้ย? ผมฉันยาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ยิ่งไปกว่านั้นผมของเขาได้ยาวจนมาถึงเอวแล้ว! ยูอิลฮานได้ตกใจมากและพยายามจะตัดผมออกไปทันที แต่ว่านายูนาได้พุ่งตัวมากอดเอวเขาเอาไว้ก่อน
“ผมยาวก็เท่เหมือนกันนะเพราะงั้นอย่าตัดเลย! อย่าตัดน้าาา!”
“แต่ว่ามันน่ารำคาญในตอนสู้เพราะงั้นฉันจะตัดให้มันสั้น… หืม?”
เมื่อเขาคิดว่าเขาอยากจะให้เขาสั้น ผมที่ยาวอยู่ของเขาก็ได้หดลงมาอีกครั้ง ดวงตาของนายูนาได้เต็มไปด้วยคำถามทันที ยูอิลฮานก็คิดขึ้นกับตัวเอง
…นี่ฉันกลายมาเป็นอะไรแล้วกันแน่เนี้ย?
บทที่ 280 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (6)
“อิลฮาน~ ทำให้ผมยาวขึ้นอีกสิ! ยาวขึ้นอีก! นายเมื่อกี้นี้เซ็กซี่มาก”
“ฉันไม่อยากจะเซ็กซี่เพราะงั้นขอไว้สั้นดีกว่า”
“ไม่!!!”
ยูอิลฮานรู้ตัวแล้วว่าผมของเขาตอนนี้มีคุณสมบัติของเพลิงอยู่ ไฟนั้นไม่มีรูปร่างที่ตายตัวเพราะงั้นเขาสามารถจะปรับขนาดความยาวได้ตาม หรือก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายของยูอิลฮานได้ก้าวข้ามขอบเขตของสสารไปแล้ว
เขาได้มาอยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำแล้ว สัญชาตญาณของเขาบอกแบบนี้
“หืมม ดูเหมือนว่าในทางนี้ก็กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้นะ”
“ยินดีด้วยนะที่ได้รับวิธีที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมา”
“แต่ว่า… หืม”
เพลิงกับมังกร แทนที่จะไขว่คว้าซักอย่างหนึ่ง ในระยะยาวไม่สู้นำทั้งสองอย่างมารวมกันปูทางไปสู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ดีกว่าหรอ
แม้ว่าเขาจะตกใจที่กับการได้มาที่คาดไม่ถึงนี้ แต่ว่าเขาก็ได้จัดการความคิดใหม่และทำให้ผมของเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม
ในตอนนี้มันถึงเวลาทำอีกส่วนหนึ่งของเกราะแล้ว เกราะชั้นนอก เกราะเก็บพลังของมังกรเอาไว้
“มานี่”
[ได้เลย]
ยูอิลฮานได้ถอดเสื้อทั้งหมดออกมาและใส่จิตวิญญาณแห่งเพลิงลงไปแทน ชุดเกราะนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาและมีคุณสมบัติของไฟเพียงอย่างเดียวทำให้ถึงเขาจะใส่มาแล้ว เขาก็ยังคงรู้สึกสบายเหมือนกับไม่ใส่อะไรเลย
“ฉันคิดว่าสำหรับเกราะชั้นนอกก็ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”
[ฉันมีความสุขจัง!]
เพลิงนิรันดร์ได้ตอบกลับมาซ้ำๆในคำเดิมๆราวกับเป็นเด็กที่เพิ่งจะหัดพูด ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาและลูบไปที่เกราะเบาๆก่อนที่จะหยิบค้อนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เพลิงได้ลุกขึ้นมาที่ปลายของค้อนอย่างเป็นธรรมชาติในทันที ยูอิลฮานกับเพลิงนิรันดร์ได้ผสานเข้าด้วยกันอย่างสนิทแนบแน่นแล้ว การจะแยกพวกเาออกจากกันก็ไม่ต่างกับเรื่องโง่เง่าแล้ว
“โอโรจิ ตอนนี้ถึงตานายแล้ว”
[ข้าคิดว่าข้าจะถูกละลายไปพร้อมกับหอกซะแล้ว…]
“ฉันก็กำลังจะละลายหอกไปเหมือนกัน ตอนนี้ได้เวลาโยนหอกที่ชื่อหอกมังกรแปดหางทิ้งไปแล้ว”
[…นี่มันจริงหรอ?]
“นายไม่เห็นศักยภาพของเพลิงนิรันดร์เมื่อกี้นี้งั้นหรอ? นายก็แค่ต้องทำแบบนั้นเท่านั้นเอง”
[ข้าคิดว่านายท่านจะใช้อิชจาร์ซะอีก]
“เมื่อไหร่ที่ฉันควบคุมเจ้านั่นได้ฉันก็จะสลับเขากับนาย นายก็แค่ต้องจัดการเรื่องนี้จนกว่าจะถึงตอนนั้น”
ยูอิลฮานยังไม่มีพลังที่จะจัดการควบคุมกับเจตจำนงของมังกรคลาส 7 ที่ดุร้ายได้ โอโรจิได้หัวเราะแห้งๆเมื่อได้ยินคำพูดตรงๆนี้
[ถ้างั้นข้าก็ได้แต่ทำให้ดีที่สุด แต่ถึงแบบนั้นข้าก็พอใจแล้ว ข้าจะไม่บ่นหรอก]
“ถ้างั้นเราจะเริ่มกันแล้วนะ”
[เข้าใจแล้ว]
หอกมังกรแปดหาง ครึ่งหนึ่งของเกราะร่างมังกรเพลิงนรกที่ได้กลายมาเป็นคลังอาวุธของอาวุธจำนวนมาก ถุงมือเจตจำนงแห่งความโกลาหล กระดูกของอิชจาร์ และดวงใจมังกรอีกเช่นกัน
สมบัติที่แค่ชิ้นเดียวก็มากพอทำให้ทั้งโลกต้องตกตะลึงได้ถูกนำมารวมในจุดๆเดียว
“ฟู่”
ยูอิลฮานได้หลับตาลงช้าๆและได้ทำการหัตถกรรมมานา เอนชานท์วิญญาณและตีเหล็กที่ได้เข้าสู่ขอบเขตของการสรรสร้างพร้อมๆกัน เนื่องจากว่าเขาเคยทำสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่งทำให้ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญมันมากขึ้นแล้ว
[กรรรรรรรรร! เจ้ากล้าที่จะทำแบบนั้นกับร่างกายแล้วก็หัวใจของข้ารึ!]
“เงียบไปเหอะน่าอิชจาร์”
แม้ว่าการจะควบคุมจะยังเป็นไปไม่ได้ แต่แค่การทำให้เงียบลงไปนั้นไม่มีปัญหา ยูอิลฮานได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาในฐานะยมทูตเพื่อฝังอิชจาร์ให้ลึกลงไปในจิตสำนึกของเขาและเริ่มทำงานของเขาต่อ
กระดูกขนาดมหึมาของอิชจาร์ได้เรืองแสงสีแดงออกมาและเริ่มที่จะลดขนาดลง จิตวิญญาณของโอโรจิได้ออกมาจากหองมังกรแปดหางและย้ายเข้ามาที่เกราะร่างมังกรเพลิงอีกครึ่งที่เหลืออยู่ ในเวลาเดียวกันยูอิลฮานก็ได้ใช้ไฟละลายวัตถุดิบอื่่นๆพร้อมกับเปิดใช้งานโลหิตมังกรไปพร้อมๆกัน
“ฉันกำลังจะหลอมร่างให้สามารถจะดึงพลังมังกรให้ได้ดีที่สุด มันจะกลายเป็นง่ายและเป็นหนึ่งเดียว”
[นายท่านตั้งสมาธิ!]
ทุกๆอย่างได้ถูกหลอมละลายลงแว และดวงใจของอิชจาร์ก็ได้ตอบสนองขึ้น กระบวนการหัตถกรรมมานาเริ่มต้นได้สำเร็จแล้ว
“โอโรจิ”
[ข้าจะพยายาม]
ยูอิลฮานได้ยกค้อนขึ้นมาทุบลงไป รูปลักษณ์ภายนอกของเกราะได้เผยออกมาครู่หนึ่งก่อนที่จะถูกความโกลาหลกลืนลงไปอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็ไม่ได้ผิดหวังเลย นี่มันหมายความว่าถุงมือเจตจำนงแห่งความโกลาหลได้ถูกหลอมละลายลงไปอย่างมีประสิทธิภาพดี
“ฉันไม่คิดที่จะหยุดหรือยับยั้งพลังมังกร เพราะงั้นแปลงร่างแล้วก็คำรามได้ตามใจเลย”
[นั่นก็คือสิ่งที่ข้าต้องการ]
สัมผัสของยูอิลฮานกับโอโรจิได้ถูกละลายและรวมกันเป็นหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณแห่งเพลิงไปแล้ว แต่ว่าจากการฝึกฝนควบคุมจัดการกับจิตวิญญาณมาตลอดทำให้เขาสามารถปรับตัวได้โดยที่ไม่มีปัญหาใดๆ กระบวนการเอนชานท์วิญญาณได้ผ่านไปอย่างราบรื่นเช่นเดียวกัน
“เยี่ยม… เยี่ยมมาก”
การสอดผสาน พลังของมังกรที่มักจะมีปฏิกิริยาในตอนที่ยูอิลฮานลงไปในอ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งจากการกระตุ้นของวัตถุดิบทั้งหมดนี่ ระลอกคลื่นที่รุนแรงได้กวาดผ่านร่างของยูอิลฮานไป หากว่าเขาทนผ่านมันไม่ได้ เขาก็อาจจะต้องยอมแพ้กับความฝันที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
“ถ้างั้นมาเริ่มกันต่อเลย!”
เขาได้ทุบค้อนลงไป หอกมังกรแปดหางได้ถูกทับจนแตกหักก่อนที่จะถูกเพลิงโปร่งแสงละลายไปและถูกเกราะร่างมังกรเพลิงที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งดูดเข้าไป ในตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะใช้พลังช่างตีเหล็กทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
[ฟู่… ฮ่าาาห์]
“ฟู่… ฮ่าาาห์”
ลมหายใจของยูอิลฮานกับโอโรจิได้สอดประสานเข้าด้วยกัน ยิ่งเข้าทุบค้อนมากเท่านั้น เสียงกระดูกอิชจาร์ก็ดังขึ้นมาเหมือนเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดก่อนที่จะถูกบีบอัดลงมา ยิ่งเวลาผ่านไปดวงใจมังกรก็ยังลดขนาดลงจากการใช้พลังเวทย์ของมันเสริมพลังให้กับวัตถุดิบอีกด้วย
กระบวนการที่ซับซ้อนแบบนี้ได้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน แม้แต่เอิลต้ากับเฮเรียน่าที่มีความรอบรู้เรื่องเวทมนต์ก็ได้แต่เฝ้ามองดูโดยที่ไม่ค่อยเข้าใจ
“ฉันยอมแพ้ ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย…!”
[ที่รักกำลังก้าวเข้าไปสู่ขอบเขตใหม่ที่ไม่เคยมีบันทึกมาก่อน]
วัตถุดิบเพียงชิ้นเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับมังกร เจตจำนงแห่งความโกลาหลเป็นชิ้นสุดท้ายที่ส่งเสียงออกมา มันได้ถูกใช้ทำการเสริมพลังให้กับเอกลักษณ์ความเป็นมังกรและทลายข้อจำกัดในด้านพละกำลัง ยูอิลฮานได้เปลื่ยนแปลงพลังนี้และนำทางมัน เขาได้ใช้มานาจากดวงใจมังกรที่สร้างพลังมังกรขึ้นมาให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเกราะ
[มันกำลังเริ่มแล้วนายท่าน]
“ใช่… มันกำลังเริ่มแล้ว”
ค้อนได้ถูกหวดลงมา
ถูกหวดลงมา
ถูกหวดลงมา
ดวงใจมังกรได้ถูกหลอมละลายลงไปจนหมดแล้ว การปะทุขึ้นของความเข้มข้นของมานาที่น่ากลัวได้ทำให้ยูอิลฮานได้ใช้สมาธิทั้งหมดของเขาไปและเขาได้ผสานพลังนี้เข้ากับมานาที่กำลังใช้พลังของโลหิตมังกรและใส่มันเข้าไปในค้อนของเขา
แม้ว่ามานามังกรจะส่งแรงกระเพื่อมออกมาจนทำให้เขาต้องเจ็บหัวใจ แต่ว่าการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้เปลื่ยนไปแม้แต่นิดเดียว เกราะได้ค่อยๆถูกขึ้นรูปมาแต่จากนั้นก็กระจายออกไปอีกครั้ง และพยายามจะรวมเข้าด้วยกันก่อนที่จะกระจายออกมาอีก กระดูกของอิชจาร์ได้ห่อหุ้มทั้งเกราะจดหมดแล้วและส่วนที่เหลือก็ถูกหลอมละลายรวมเข้าด้วยกัน
“ฉันคิดว่าฉันเคยเห็นมาก่อนนะ นี่มันดูเหมือนหมึกที่กำลังกระจายไปในน้ำเลย~”
“ชู่วววว”
เขาได้ทุบค้อนลงมา เพียงแค่ครั้งเดียวนีเสียงกระทบกันของโลหะก็ได้ดังออกมา พลังงานที่กำลังกระจายอยู่และมานาที่ดูเหมือนจะมีอยู่ทั่วทั้งบาเรียได้ถูกบีบอัดเข้ามาในทันทีและก่อตัวเองขึ้นมาเป็นไอเทมที่มีรูปร่างเป็นชุดเกราะ
ชุดเกราะนี้มีสีดำแดงที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเหมือนกับเกล็ดหนาๆของมังกร มันดูเหมือนกับเกราะร่างมังกรเพลิงนรกในรูปแบบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา
“ฟู่”
ยูอิลฮานได้ถอนหายใจเฮือกออกมาก่อนที่จะวางค้อนลง แม้ว่าค้อนของเขาจะทำมาจากวัตถุดิบระดับสูง แต่มันก็ยังไม่อาจจะทนกับกระบวนการสร้างได้ทำให้มันจบลงด้วยการถูกละลายลงไปครึ่งหนึ่ง ยูอิลฮานดีใจมากที่ค้อนนี่ไม่พังไปในระหว่างการสร้าง
“เสร็จแล้ว”
[ใช่แล้ว]
ข้อความสีเขียวได้ปรากฏขึ้นมา
[ร่างกายมนุษย์มังกรได้เสร็จสมบูรณ์]
[ร่างกายมนุษย์มังกร]
[ระดับ – พระเจ้า]
[พลังป้องกัน – 25,500]
[ความทนทาน – 50,000,000/50,000,000(ตราบใดที่ยังมีชิ้นส่วเหลืออยู่จะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้)]
[เงื่อนไขการใช้งาน – ยูอิลฮาน]
[ออฟชั่น –
1.เสริมพลังมังกรและเพิ่มอัตราการฟื้นฟูขึ้น 300%
2.ยกระดับขอบเขตพลังของสกิลที่เกี่ยวข้องกับมังกร
3.ใช้มานาเปลื่ยนรูปร่างของผู้ใช้งานได้อย่างอิสระ และอาจจะอยู่เหนือกว่าขอบเขตของสสาร
4.สามารถจะอัญเชิญอาวุธทั้งหมดที่ประทับอยู่ในบันทึกของผู้ใช้ได้อย่างอิสระ พลังป้องกันครึ่งหนึ่งของชุดเกราะจะถูกเพิ่มเข้าไปในพลังโจมตีของอาวุธ]
[ชุดเกราะที่ทำให้มนุษย์และมังกรสามารถรวมเป็นหนึ่งได้ ถูกสร้างขึ้นจากมนุษย์ผู้มีความเข้าใจในมังกรอย่างลึกซึ้ง]
[ในที่สุดข้าก็เข้าใจถึงสิ่งที่มิสทิคอยากจะบอกแล้ว]
โอโรจิที่อยู่ภายในเกราะร่างกายมนุษย์มังกรได้บ่นขึ้นมา
[ข้ารู้สึกอึดอัดมากๆนายท่าน ได้โปรดทำอะไรกับเรื่องนี้ที]
“นายกำลังพูดเหมือนกับเธอเลย”
[ฮิฮิ! ดีใจด้วยนะ! นายที่เมินฉันไมาเจอกับสถานการณ์เดียวกับฉันแล้ว]
[มันน่าอึดอัดมากๆอีกด้วนที่ข้าต้องมาอยู่นสภาพเดียวกับผู้หญิงนี่…]
“แต่ว่ามันยังไม่จบหรอกนะ”
อุปกรณ์สองแกนหลักนั่นก็คือนั่นก็คือสองแกนหลักนั่นจะทำงานร่วมกัน ดวงใจแห่งเพลิงนั้นถูกเพลิงนิรันดร์ควบคุมและดวงใจมังกรได้ถูกโอโรจิเป็นคนสั่งการ นี่คือสองอุปกรณ์ที่ยูอิลฮานต้องการ
“โอโรจิ นายรู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร”
[อ๊า ข้ารู้]
เมื่อยูอิลฮานได้ดีดนิ้วขึ้น ชุดเกราะร่างกายมนุษย์มังกรก็ได้ลอยขึ้นกลางอากาศและเปลื่ยนกลายมาเป็นหมอกสีดำ คุณสมบัติของเจตจำนงแห่งความโกลาหลได้ถูกพัฒนาขึ้นมาสู่ระดับใหม่หลังจากได้ยืมพลังมังกรมา
หมอกนี้ได้หมุนวนบนท้องฟ้าและเข้ามาปกคลุมตัวยูอิลฮานที่สวมวิญญาณแห่งเพลิงอยู่ และมันก็ได้ปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นอีกครั้งด้านบนของเกราะวิญญาณเพลิง ตอนนี้เองโอโรจิ เพลิงนิรันดร์ และยูอิลฮานได้กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกัน
ข้อความหลายบรรทัดได้ปรากฏขึ้นมาให้เห็นราวกับกำลังคอยเวลานี้อยู่
[อาร์ติแฟคระดับนิรันดร์ ชุดเกราะร่างกายมังกรจิตวิญญาณเพลิงได้เสร็จสมบูรณ์]
[อาร์ติแฟคแต่เดิมแล้วมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ว่าด้วยการผสมทั้งสองอาร์ติแฟคเข้าด้วยกันทำให้มันได้อยู่เหนือความสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก จิตวิญญาณแห่งเพลิงกับร่างกายมนุษย์มังกรก็เป็นเช่นกัน อาร์ติแฟคทั้งสองอย่างนี้ได้สอดผสานเขากันเองและผู้ใช้งานอย่างสมบูรณ์จนเกิดเป็นอาร์ติแฟคระดับนิรันดร์]
[มีออฟชั่นเสริมเข้าไปในเกราะร่างมังกรจิตวิญญาณเพลิง]
[ผู้สวมใส่เกราะจะเชี่ยวชาญในพลังเพลิงและมังกรทั้งมวล พลังแห่งเพลิงและมังกรจะถูกเสริมพลังขึ้น ได้รับพลัง และสามารถจะลบล้างพลังไปได้ด้วย ยังไงก็ตามระดับขอบเขตพลังของผู้ใช้ยังคงต่ำอยู่ทำให้ไม่สามารถจะใช้งานความสามารถของเกราะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ]
“ฟู่”
ยูอิลฮานที่ได้ผ่านขั้นตอนการผสานรวมกับอาร์ติแฟคมาได้ถอนหายใจลึกๆออกมา ภายในลมหายใจนี้มีทั้งพลังมังกรและพลังเพลิงออกมาด้วย นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ลมหายใจ’
ยูมิลที่มองดูยูอิลฮานมาตลอดได้ตกตะลึงขึ้นมา
“พ่อได้กลายเป็นมังกรแล้วหรอครับ!?”
“ยังไม่ใช่หรอก”
“แล้วเมื่อไหร่พ่อจะกลายมาเป็นมังกรล่ะครับ”
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่ว่าจะยังไง นี่ก็น่าทึ่ง พ่อน่าทึ่งมากๆเลย!”
ยูอิลฮานได้กอดยูมิลที่มองเขาด้วยตาเป็นประกายเบาๆ ก่อนที่จะโบกมือให้กับคนอื่นๆที่จ้องมาที่เขา
“เอาล่ะ โชว์จบแล้วนะ ไปทำหน้าที่ของตัวเองกันได้แล้ว”
“พอได้เห็นการทำงานของนายแล้ว ฉันรู้สึกไร้ค่ามากเลย”
“ถ้าเธอไม่อยากจะตายอย่างไร้ค่าหลังจากนี้งั้นก็ช่วยทำสิ่งไร้ค่าพวกนั้นต่อไปเถอะนะ”
จนกว่าบาเรียจะหายไปยังมีเวลาอยู่อีกมาก ยูอิลฮานอยากจะแช่ตัวอยู่ในอ่างแห่งปาฏิหาริย์โดยที่ไม่ออกมาอีก แต่ว่ายังมีคนอื่นๆอีกมากที่ต้องใช้ทำให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้
“ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่ฉันต้องทำก่อนที่จะก้าวไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง”
ยูอิลฮานได้เรียกหอกออกมาและตั้งท่าขึ้นมา หอกที่เขาเรียกคือหอกสีแดงดำที่เกิดขึ้นมาจากพลังเพลิงกับพลังมังกร นี่คือหอกที่ทำขึ้นมาโดยใช้หอกมังกรแปดหางเป็นพื้นฐาน แต่ว่ามันมีความคมแะทรงพลังกว่ามาก เพราะงั้นมันคือหอกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“มีใครอยากจะมาประลองกับฉันไหม?”
“ไม่ว่าใครไปสู่กับอิลฮานตอนนี้ก็ถูกขยี้ไปในทันทีนั่นแหละ”
“แต่ว่าฉันจะต้องฝึกหอกสะบั้นจักรวาล…”
“อึ๋ยย”
ทุกๆคนได้ถอยไปอย่างหวาดกลัวในทันทีที่ได้ยินคำว่าหอกสะบั้นจักรวาล นี่มันคือสกิลที่ยกระดับศิลปะการต่อสู้เข้าขึ้นไปสู่ระดับใหม่เชียวนะ
จะมีก็แต่เฮเรียน่าเท่านั้นที่ดูจะสนใจ แต่น่าเสียดายที่เธอเชี่ยวชาญในการใช้เวทย์ไม่ได้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ประชิด แล้วก็นอกไปจากนี้เธอก็ยังไม่เหมาะกับการมาเป็นคู่ประลองด้วย
“คงช่วยไม่ได้สินะ”
ยูอิลฮานได้พึมพัมกับตัวเองและปล่อยหอกออกมาก่อนที่จะเดินกลับไปที่ร่างของอิชจาร์ แม้ว่าชิ้นส่วนพื้นฐานจะหายไปหมดแล้ว แต่ว่าซากนี่ก็ยังมีราศีอยู่ดี
เมื่อมายืนหน้าศพนี่ยูอิลฮานได้พูดเรื่องน่าทึ่งออกมา
“ฉันคงทำได้แค่ชุบชีวิตอิชจาร์ขึ้นมาสู้สินะ”
[เจ้ากล้า!]
“ถึงระดับพลังจะลดลงไปมาก แต่ว่าความสามารถทางร่างกายอย่างเดียวก็คงไม่ต่างจากเดิมหรอกนะ เพราะงั้นสบายใจได้”
[เจ้าาาาาาาาา!]
“ถ้านายเอาชนะฉันได้ นายจะให้อิสระกับนาย เพราะงั้นตอนนี้ตั้งใจฟังฉันซะ”
[สะ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อ่อนแอกล้าที่จะดูถูกข้าอิชจาร์คนนี้งั้นเรอะ!!!]
อิชจาร์ที่ถูกยูอิลฮานยั่วไม่หยุดได้ระเบิดเสียงคำรามออกมา ยูอิลฮานก็ได้หยักหน้าอย่างพอใจเมื่อได้ยินแบบนี้
ในตอนนี้อุปกรณ์สวมใส่ของเขาสมบูรร์แล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะแพ้อิชจาร์ที่มีแต่ซากซี่โครงแน่ นอกไปจากนี้เขายังจะได้ใช้โอกาสนี้ฉวยโอกาสใช้การต่อสู้กำราบให้อิชจาร์มาอยู่ใต้การปกครองด้วย นี่มันคือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนี่!
“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันจะชุบชีวิตนายให้กลายมาเป็นมังกรน้อยน่ารักนะ รอสักเดี๋ยวนึงล่ะกัน”
[มังกรน้อย!? น่ารัก? เจ้าาาาาาาา!]
ยูอิลฮานได้หยิบเอากระดูกมังกรขึ้นมาสุ่มๆเพื่อที่จะสร้างค้อนใหม่ขึ้นมาและเดินเข้าไปหาร่างของอิชจาร์ ชั่วโมงการฝึกที่มีเพียงแต่ยูอิลฮานที่มีความสุขได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
บทที่ 281 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (7)
[กรรรรรรรร!]
ปีศาจน้ำแข็งได้คำรามออกมา เมื่อมันได้ยื่นแขนออกมาก็มีคลื่นพลังน้ำแข็งกระจายออกมาตามเส้นทางมือของมันที่ยื่นออกมา
“คาริน่า”
“รู้แล้วน่า!”
ระหว่างที่มิเชล สมิธสันได้ถือโล่หันไปรับมือที่พุ่งเข้ามาอย่างกล้าหาญ เขาก็ตะโกนออกมา คาริน่า มาลาเทสต้าที่รอเวลานี้อยู่ก็ได้เวทย์ที่ยับยั้งการเคลื่อนไหวของปีศาจ
“ฮ่าห์!”
เมื่อปีศาจน้ำแข็งได้ถูกหยุดเอาไว้กับที่แล้ว จู่ๆทาคากากิ อสึฮะก็ได้โผล่ขึ้นมาจากด้านหลังของปีศาจและใช้แส้ของเธอมัดเข้าไปที่คอของมัน ยังไงก็ตามพลังทำลายในการปิดฉากของเธอยังคงไม่พอ
“ฮ่าาาาาาห์!”
“อึก มันยังไม่พอ!”
“บุกเข้าไป มิเชล!”
หลังจากนั้นอีก 30 สิบนาทีการต่อสู้กับปีศาจที่โหดร้ายก็ได้จบลง หากว่าไม่ได้มีพรจากนายูนาในระหว่างกลางทาง พวกเขาก็คงจะตกอยู่ในอันตรายไปแล้ว
“แฮ่กๆ… ฉันคิดว่าเราฝืนชนะมาได้ตัวหนึ่งแล้วนะ”
“มิเชล ทำได้ดีมาก”
“คาริน่า เธอก็ด้วย”
มิเชล สมิธสันเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดเพราะเขานั้นรับหน้าที่ในการป้องกันทั้งหมด เขาได้ขัดเอาน้ำแข็งที่เกาะโล่ออกไปและหอบหายใจออกมา
คาริน่า มาลาเทสต้าได้ใช้ผ้าเหง็ดหน้าเช็คเหงื่อออกไปจาหน้าผากของเขา ส่วนทาคากากิ อสิฮะก็ได้ตรวจสอบเลเวลของเธอโดยไม่สนเรื่องความโรแมนติกของทั้งสองคนนี้
“ถึงมันจะช้ามากๆ… แต่มันก็ทำให้ฉันเลเวลเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ตอนนี้ฉันเลเวล 250 แล้ว!”
“ทั้งๆที่เราเลเวลเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วแต่ทำไมมันถึงยังยากแบบนี้อยู่อีกล่ะ?”
เอิลต้าได้ให้คำตอบที่ชัดเจนออกมาพร้อมทั้งเตรียมตัวที่จะเรียกมอนสเตอร์ตัวถัดไปออกมา
“นั่นก็เพราะว่าเลเวลของมอนสเตอร์ที่ถูกอัญเชิญมาจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มเลเวลของพวกนายไงล่ะ”
“เธอมันปีศาจ!”
“ปีศาจงั้นหรอ? หลังจากไม่ได้เป็น ‘ทูตสวรรค์’ ก็ถูกเรียกแบบนี้ ดีจังเลยแหะ!”
เอิลต้าได้ยิ้มออกมาอย่างสดชื่น
“บางทีคนๆนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เธอกลายมาเป็นแบบนี้…”
“บางทีเราอาจจะกลายมาเป็นแบบนี้ในสักวัน”
เอิลต้าได้ส่งเสียงขึ้นจมูกขึ้นมาเมื่อได้ยินแบบนี้
“พวกนายทั้งสามคนยังห่างไกลเกินกว่าจะไปไล่ตามเขาทัน”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว…”
มิเชล สมิธสันได้หยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็มองไปในที่ที่หนึ่ง ที่ที่เขามองไปก็คือที่ที่มีมังกรขนาดมหึมากับมนุษย์หนึ่งคนกำลังสู้กันอยู่
[ข้าจะฆ่าเจ้า!!!]
“แล้วนายจะทำยังไงกันล่ะ? เมื่อไหร่กันที่นายจะตามฉันทันน่ะ? ฉันคิดว่าฉันคงแก่ตายก่อนที่มังกรน้อยแบบนายจะไล่ตามฉันทันอีกนะ”
[กรรรรรรร!]
“คำรามดังจังเลยน้า! แต่ถึงแบบนั้นแม้แต่ไส้เดือนยังไม่กลัวเลย!”
[ยูอิลฮานนนนนนนนน!]
“นี่นายกำลังร้องเพลงกล่อมเด็กนอนอยู่งั้นหรอ?”
การได้เห็นยูอิลฮานต้อนมังกรที่น่ากลัวจนมุมพร้อมทั้งไม่ลืมที่จะเยาะเย้ยทำร้ายจิตใจมังกรอย่างมากอีกด้วย สิ่งนี้มันทำให้พวกมิเชล สมิธสันรู้สึว่าตัวพวกเขามันเป็นแค่มดตัวน้อยๆ แถมยูอิลฮานยังเป็นคนชุบชีวิตมังกรตัวนั้นขึ้นมาอีกด้วย!
คาริน่า มาลาเทสต้าได้ถามขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
“นับตั้งแต่ที่คุณยูอิลฮานสู้กับมังกรนั่นมันนานแค่ไหนแล้วนะ?”
“มาคิดดูแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวระยะเวลาบาเรียก็จะหมดลง เพราะงั้นฉันคิดว่าพวกเขาสู้กับแบบนี้มาเต็มปีหนึ่งกับอีกสามเดือนฎ
“ไม่หลับไม่นอนเลยเนี้ยนะ?”
“นอกเหนือจากการไปอาบน้ำในอ่างแห่งปาฏิหาริย์แล้ว เขาก็ไม่ได้พักหรือไปนอนเลย”
มิเชล สมิธสันได้เงียบลงไป ในตอนนี้ยูอิลฮานวิ่งหลบซ้ายขวาอยู่บนท้องฟ้า มันชัดเจนมากๆว่าตัวเขายังเต็มไปด้วยพลังทั้งๆที่เหวี่ยงหอกอยู่ตลอดเวลา ทุกๆหอกที่เขาเหวี่ยงออกไปจะกลายมาเป็นการโจมตีที่เหมือนกับแยกจักรวาลออกมา จากที่มองดูนี้ยูอิลฮานไม่ได้เหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว
“พวกเราก็ใช้อ่างแห่งปาฏิหาริย์มาตลอดเหมือนกันนะ…”
“แต่การสอดผสานมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้วนั่นก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นหรอกนะ”
ไม่ว่ายังไงยูอิลฮานก็ยอดเยี่ยมมากๆ การจะฝึกฝนแบบนี้เป็นระยะเวลานานโดยไม่หยุดพักมันไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันได้ง่ายๆแค่เพราะมีศักยภาพที่ดี แต่ว่ามันยังต้องมีความแข็งแกร่งทางจิตใจที่มหาศาลอีกด้วย
ถึงมันจะน่าอึดอัดแต่ว่ามิเชล สมิธสันก็ได้ยอมรับไปแล้วว่าเขาด้อยกว่ายูอิลฮาน
“ฉันไม่คิดว่าเขาจะเก่งไปทุกๆด้านหรอกนะ… แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ฉันยอมรับในตัวเขา”
“นายก็แกร่งขึ้นแล้วเหมือนกันนะ”
“ไม่หรอกคาริน่า ฉันไม่ได้โลภขนาดนั้นอีกแล้ว ฉันเบื่อที่จะพยายามจะคว้าทุกๆอย่างแล้วต้องมาเจอกับความล้มเหลวแล้วล่ะ”
เขาได้ถอนหายใจออกมาและยกโล่ขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจของเขาก็ยังสงบลงแล้วเช่นกัน
“ฉันจะเป็นโล่ที่จะปกป้องเธอ ฉันจะไม่หวังให้ได้ในทุกๆอย่าง ฉันจะขัดเกลาแค่ในสิ่งที่ฉันต้องการให้สุดโต่งเท่านั้น”
“ตามที่คุณนายต้องการเลย… ที่รักของฉัน”
“ใช่แล้ว การมีชีวิตรักที่มีความสุขนี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ”
คู่รักสองคนนี้ได้แสดงความโรแมนติกออกมาอีกแล้ว!
ทาคากากิ อสึฮะที่มองดูทั้งสองคนสวีตกันมามากกว่าปีได้หันหน้าหนีไปมองที่ยูอิลฮานแทน เขาคือแรงผลักดันของเธอ เขากำลังต่อสู้กับมังกรที่น่ากลัวที่เธอไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้สู้ด้วย เขากำลังต้อนมันจนจนมุม! ถึงเขาจะไม่ยอมรับ แต่เขาคือพระเจ้ากลับชาติมาเกิดแน่นอน! แค่ได้เห็นแบบนี้เธอก็ยินดีแล้ว
“ดูเหมือนพวกนายจะฟื้นตัวกลับมาหมดแล้วนะ”
“อะ อ่า”
พอเธอรู้ตัวกลับมา เอิลต้าก็กำลังจ้องมาที่เธออยู่
“ถ้าเธออยากจะช่วยเขา เธอจะไม่ได้มีเวลาได้พักสบายๆเลยนะ”
“แน่นอนสิ เร็วๆนี้ฉันได้เพิ่มเลเวลขึ้นมาเพราะงั้นทางร่างกายแล้วไม่มีปัญหา ช่วยอัญเชิญมอนสเตอร์ตัวต่อไปมาเลย… ถ้าเป็นไปได้ก็เรียกมาบนหัวคู่รักนั่น”
“น่าสนใจนะ”
มันไม่ใช่แค่หัวหน้ากิลด์ต่างๆเท่านั้นที่ฝึก ยูมิล คังมิเรย์ นายูนา คิมเยซอล เลียร่า เฮเรียน่า คังฮาจิน และแม้กระทั่งกองทัพมังกรก็ยังทำในสิ่งที่ทำได้ภายในบาเรียแห่งนี้ เวลาปีครึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว กองกำลังต่อสู้ของโลกในตอนนี้กำลังพัฒนาตัวเองขึ้นมาเช่นกัน
แน่นอนว่าคนที่พัฒนามากที่สุดเลยก็คือยูอิลฮาน
[กรรรรรรรรร!]
เสียงคำรามของโอโรจิได้ดังออกมา ร่างกายของโอโรจิในตอนนี้ไม่มีทั้งหัวใจ กระดูกสันหลังหรือกระดูกซี่โครง รวมไปถึงเลือดกับเนื้อก็หายไปเช่นกัน แต่ว่าด้วยการตีเหล็กและหัตถกรรมมานาระดับเทพของยูอิลฮานได้ทำให้ ยูอิลฮานได้ชุบชีวิตอิจชาร์ขึ้นมาพร้อมกับพลังที่เหนือยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตคลาส 6 ใดๆ
[เจ้า… เจ้าต้องการอะไรกัน!?]
“นายก็น่าจะรู้แล้วนะ”
ยังไงก็ตามแม้ว่าอิชจาร์จะทรงพลังากๆ แต่ก็ไม่อาจจะเอาชนะยูอิลฮานได้ ในตอนแรกที่อิชจาร์คืนชีพมามันยังได้เปรียบอยู่ แต่ว่ายิ่งยูอิลฮานปรับตัวเข้ากับเกราะร่างมังกรจิตวิญญาณเพลิงผ่านการต่อสู้เท่าไหร่ สถานการณ์ก็ได้เปลื่ยนแปลงไปในที่สุด
[ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้เจ้า! การที่ข้าแพ้ด้วยร่างกายที่ไม่สมประกอบนี่มันไม่ได้หมายความว่าข้าจะแพ้เจ้า!]
“นายกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? นายแพ้ฉันตั้งแต่ที่นายตายไปแล้ว นี่มันก็คือขั้นตอนการบ่อนทำลายจิตใจของนายเท่านั้นเอง”
[เจ้าเอาชนะข้าด้วยวิธีที่ขี้ขลาด! ถ้าข้ายังคงมีพลังเดิมอยู่ ข้าจะไม่มีวันแพ้คนแบบเจ้า!]
ยูอิลฮานได้ส่งเสียงหึขึ้นมา
“นายก็เอาชนะศัตรูด้วยคำสาปนั่นแหละ นั่นมันไม่เรียกว่าขี้ขลาดหรอกหรอ? นายนี่ไม่เหมาะสมกับมังกรเลยน้า”
[กรรรรรรรรรรร!]
“ไม่ใช่ว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะชนะหรอกนะ มันเป็นคนที่ชนะต่างหากที่แข็งแกร่ง ฉันก็บอกไปแล้วนี่นา ถ้านายเอาชนะฉันได้ฉันจะปล่อยนายเป็นอิสระ แล้วนายก็เห็นด้วยกับฉันในตอนนั้น พอมาตอนนี้พอนายแพ้ก็เลยมาหาข้อแก้ตัวงั้นสิ นายนี่เป็นมังกรจริงๆน่ะเร้อ?”
[ขะ ขี้ขลาด…!]
โอโรจิที่ได้ยินคำพูดทำนองนี้มาเป็นล้านๆครั้งแล้วได้พึมพัมขึ้นมาอย่างหมดแรง
[เจ้ามันปีศาจ ข้าคิดว่ากำลังใจของข้ากำลังหายไป…]
“ฉันคงต้องเหยียบย่ำเขาอีกซักหน่อยแหะ”
ยูอิลฮานได้กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายต่อหลายครั้งในตอนที่พูดแบบนี้ออกมา เมื่อใดก็ตามเมื่อเขาวาดหอกกลางอากาศก็จะตามมาด้วยหอกสะบั้นจักรวาลที่แทงเข้าไปในร่างที่บาดเจ็บของอิชจาร์
[กรรร เจ็บบบ! นี่มันเจ็บบบ!]
“นายนี่มันน่าสมเพชจังเลยนะ! ทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปเลยซะล่ะ ถ้านายยังมีศักดิ์ศรีในฐานะมังกรอยู่งั้นทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปเลยเล่า!”
[กรรรรรรรรรร!]
ครั้งหนึ่งอิชจาร์คือมังกรที่ถูกเรียกว่ามังกรแห่งความสิ้นหวัง แต่ว่าในตอนนี้อิชจาร์ได้เหวี่ยงหางใส่ยูอิลฮาน แต่ว่ายูอิลฮานที่มีข้อมูลการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้อยู่นานแล้วมองว่านี่มันเป็นการกระทำที่ดูน่ารักเอามากๆ ยูอิลฮานกระทั่งพุ่งไปตามหางจนหางหมดพลังลงไปและจับหางเอาไว้จากนั้นก็ฉีกมันออกมา
[กรร ก๊าซซซซซซ!]
ในตอนนี้เองอิชจาร์ก็ได้ร้องออกมา
[ข้า… แพ้แล้ว]
อิชจาร์ได้ยอมรับในความพ่ายแพ้ออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากการต่อสู้มาเป็นเวลานานในที่สุดแล้วจิตใจของเขาก็พังทลายลงไปก่อนร่างกาย
[ข้าจะยอมรับเจ้าในฐานะจ้าวแห่งมังกร]
เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจนี้ ยูอิลฮานก็ได้ฉีกกระชากหางหนักขึ้นอีกและพูดขึ้นมา
“ลองพูดอีกทีซิ”
[กรรร! ข้ายอมรับเจ้าในฐานะจ้างแห่งเราเผ่าพันธ์มังกร!]
ยูอิลฮานได้ปล่อยหางออกมาและลอยขึ้นไป ในตอนนี้เองก็ได้มีข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมา
[คุณได้รับการประกาศยอมรับความพ่ายแพ้จากจิตวิญญาณของมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีตัวตนอยู่ มังกรแห่งความสิ้นหวัง ถึงแม้ว่านั่นจะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม บันทึกที่คุณมีอยู่ในฐานะของมังกรได้ถูกเสริมพลังขึ้น พลังในการปกครองมังกรได้ถูกใช้งานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย]
มันไม่มีทางที่มังกรคลาส 7 ที่ทรงพลังและสูงส่งจะยอมรับความพ่ายแพ้แค่เพราะถูกยูอิลฮานทุบตีเหล็กๆน้อยๆแน่ ที่มันเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะว่าเขาได้รับคุณสมบัติการเป็นจ้าวแห่งมังกรมาจากชุดเกราะที่สมบูรณ์แล้วของเขาต่างหาก
แต่ไม่ว่าจะแบบไหนยูอิลฮานก็ได้ทำสำเร็จตามเป้าที่ตั้งเอาไว้แล้ว ในตอนนี้อิชจาร์ได้กลายมาเป็นของเขาแล้ว
“เยี่ยม ถ้างั้นนับจากนี้นายจะมาอยู่เคียงข้างฉัน”
[ในที่สุดท่านก็ทำได้ นายท่านโหดร้ายจริงๆ]
สกิลปกครองที่ตอนนี้มาถึงระดับเชี่ยวชาญแล้วได้ปกคลุมทั้งร่างของอิชจาร์ ด้วยสภาพที่ทั้งร่างกายกับจิตใจได้พังทลายลงไปแล้วทำให้อิชจาร์ได้ล่ะทิ้งศักดิ์ศรีที่เคยมีมาตลอดและได้ยอมรับใช้ยูอิลฮาน
“อิชจาร์ นับจากนี้ไปก็มาดีกันไว้นะ”
[ข้ายอมรับเจ้าในฐานะเจ้านายแล้ว… เพราะงั้นเจ้าจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด]
[อิชจาร์ได้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ]
ในที่สุดเขาก็ทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในตอนที่อยู่ในบาเรียแล้ว ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมา
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ได้เวลาเปลื่ยนที่อยู่กันแล้ว”
[ร่างกายมังกรน่ากลัวนี่มันก็น่าอึดอัดเหมือนกันแต่ก็… ช่วยไม่ได้สินะ]
[ฟู่… สำหรับข้าแล้วนี่มันสบายมากๆ]
ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลอีกแล้ว ยูอิลฮานได้เปิดใช้งาน ‘สรรสร้าง’ ย้ายตำแหน่งโอโรจิกับอิชจาร์ในทันที
อิชจาร์จะต้องปรับตัวเข้ากันกับเกราะร่างกายมนุษย์มังกรที่อัดแน่นไปด้วยแก่นแท้ของเขาได้ดีกว่าโอโรจิแน่ และส่วนโอโรจิก็น่าจะเหมาะกับชิ้นส่วนร่างกายของมังกรคลาส 7 มากกว่าอาร์ติแฟคระดับพระเจ้าเช่นกัน
“โอโรจิ ร่างกายนั่นเป็นยังไงมั้ง?”
[มันน่าอึดอัดมากๆเลยนายท่าน ทำร่างมนุษย์ให้ข้าดีกว่านะ]
“ได้ ไว้ใจฉันได้เลย ฉันจะบีบอัดพลังไม่ให้เสียเปล่าเลยล่ะ”
เพราะแบบนี้เองทำให้ยูอิลฮานได้เริ่มงานชิ้นสุดท้ายของเขาภายในบาเรียนี้ มิสทิคที่เฝ้าดูมาเงียบๆตลอดก็ได้ส่งเสียงบ่นขึ้นมา
[นายท่าน ฉันด้วยสิ! ฉันก็อยากมีร่างกายเหมือนกัน!]
“เธอ.. ช่วยรอไปอีกนิดก่อนนะ”
[จะมากเกินไปแล้วนะ! นายท่านงี่เง่าที่สุด! ฉันก็อยากจะได้ร่างกายเหมือนกับโอโรจินะ! ร่างกายสาวน้อยน่ารัก!]
[ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กเหลือขอ หยุดเต้นแรงเต้นกาด้วยร่างกายใหญ่ยักษ์ของเธอได้แล้ว]
[โอโรจิเจ้าบ้าาาาา!]
เสียงร้องที่สดใสของมิสทิคได้ดังไปทั่วทั้งบาเรีย ยูอิลฮานได้หัวเราะขึ้นและหยิบค้อนออกมา
ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่บาเรียจะหายไป ยังพอมีเวลาเหลืออยู่สำหรับการสร้างผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่ง
บทที่ 282 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (8)
“ทุกๆคนหยุดงานที่ทำแล้วมารวมตัวกันก่อน”
ยูอิลฮานได้ตะโกนออกมา
เมื่อเสียงของเขาได้ดังไปทั่วทั้งบาเรีย เหล่าคนที่แช่อยู่ในอ่างแห่งปาฏิหาริย์ กองทัพมังกรที่กำลังทำการต่อสู้ขนาดใหญ่กันอยู่ ยูมิลที่กำลังฝึกใช้สกิล ทาคากากิ อสึฮะที่เพิ่งจะฆ่าปีศาจ รวมไปถึงเลียร่ากับเฮเรียน่าที่ดูจะสู้กันถึงตายแต่จริงๆแล้วกำลังซ้อมกันอยู่ พวกเขาเหล่านี้ทุกคนได้หยุดสิ่งที่ทำกันในทันที ยูอิลฮานได้อธิบายขึ้นมา
“บาเรียใกล้จะหายไปอล้ว ในตอนที่บาเรียพังลงไป ผลจากเวทย์ชะลอเวลาก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมากเพราะงั้นเตรียมตัวกันให้ดีนะ”
“อ๊า มันมาอีกแล้ว”
[ข้าอยากจะปรับร่างกายให้ดีขึ้น…]
“ในอนาคตฉันจะปรับแต่งให้อีก ไม่ต้องห่วงโอโรจิ”
[เพราะนายท่านเป็นคนพูดยิ่งไม่น่าไว้ใจเลย]
ยูอิลฮานได้จัดการเก็บกวาดอุปกรณ์มากมายภายในบาเรียและเก็บอ่างแห่งปาฏิหาริย์กลับมา แม้ว่าในระหว่างช่วงเวลาที่อยู่ในบาเรียเขาจะไปถึงระดับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆมามากมายทำให้เขาไม่คิดมากในเรื่องนั้น
ต่อให้ไม่นับเขากับยูมิล ก็มีคนบางส่วนร่วมถึงเลียร่ากับเฮเรียน่าที่ได้สอดประสานเข้ากันกับพลังมังกรได้สำเร็จอีกด้วย
“อ่า บาเรีย”
“ฉันรู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังหนักขึ้น”
“…บาเรียกำลังพังลงแล้ว”
ในตอนนี้เอิลต้าที่ไวต่อมานามากที่สุดได้พูดออกมา บาเรียแห่งเวลาที่ดูจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ได้แตกกระจายแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ที่ใช้เวลาภายในบาเรียนี้มาเป็นเวลาปีครึ่งต่างก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาหลังจากที่เวลาได้เริ่มเดินต่ออีกครั้งหนึ่ง
“พระเจ้า เวลาข้างนอกผ่านไปพริบตาเดียวเท่านั้นเอง”
“อ๊าา ตอนนี้ฉันรู้สึกหนักมากๆ”
ถึงยูอิลฮานจะเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว แต่เวทย์ชะลอเวลาที่ร่ายไว้บนโลกไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้แค่เพราะรู้ถึงการมีอยู่ของมัน
ในตอนนี้หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนสามารถที่จะเคลื่อนไหวตามปกติได้ภายใต้ผลจากวงเวทย์แล้ว นี่มันก็เพราะการฝึกฝนมาตลอดปีครึ่งของพวกเขา แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังคงต้องกัดฟันแน่นฝืนทนกับแรงกดดันที่มหาศาล พวกเขายังถึงขนาดถูกกระตุ้นให้ปล่อยทุกๆอย่างเป็นไปตามการไหลของเวทมนต์!
“ถ้าคนในกิลด์ได้เห็นเราแบบนี้คงจะสับสนกันแน่”
“แค่พวกนายสามคนแสดงการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วปกติออกมาก็จะช่วยให้คนอื่นๆรู้ถึงการมีอยู่ของวงเวทย์แล้ว เพราะแบบนั้นคนที่เหลือก็น่าจะสามารถพัฒนาได้เหมือนกัน”
“นี่มันบ้ามากๆ…”
ยังไงก็ตามพวกเขาก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโลกแล้ว พวกเขาไม่อาจจะบ่นอะไรกับเรื่องนี้ได้ ยูอิลฮานได้ส่งอาวุธ ‘บางส่วน’ และอุปกรณ์สวมใส่ที่เขาใช้เวลาว่างทำขึ้นมาให้กับทั้งสามคน
“ใช้ของพวกนี้ติดอาวุธให้กับคนในกิลด์ของพวกนั้น ของพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นระดับตำนาน แต่ชั่งเถอะ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“ฉันชักกลัวตัวเองแล้วสิที่ไม่ตกใจกับการปรากฏของอาร์ติแฟคระดับตำนานหลายต่อหลายอันแบบนี้… ถึงแบบนั้นฉันก็ขอรับมามาด้วยความยินดีล่ะนะ”
“ขอบคุณมากค่ะท่านซูซา… เอ่อ ยูอิลฮาน! ในอนาคตฉันจะตามรับใช้นายอย่างภักดีเลยล่ะ!”
“อ่า ไม่ต้องเลย ฉันไม่ได้ต้องคนรับใช้ที่ภักดีอะไรทั้งนั้น”
เนื่องจากยูอิลฮานได้บอกแนวทางไปแล้ว ทำให้หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนได้แยกกันไปตามที่ของตัวเองอย่างไม่ลังเล
พวกเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะงั้นพวกเขาก็น่าจะทนนกับโลกบ้าๆใบนี้ไปได้ โดยเฉพาะกับคาริน่า มาลาเทสต้ากับมิเชล สมิธสันที่กำลังสนับสนุนกันแล้วกัน ส่วนสำหรับทาคากากิ อสึฮะ… ยูอิลฮานไม่อยากจะคิดถึงเรื่องของเธอในตอนนี้
“เอาล่ะ งั้นเราก็ควรจะทำในสิ่งที่ต้องทำต่องั้นสินะ?”
[นายท่าน จะให้ข้าไปไหนมาไหนทั้งแบบนี้จริงๆน่ะหรอ?]
คนที่เรียกยูอิลฮานแน่นอนว่าต้องเป็นโอโรจิ ตอนนี้โอโรจิได้อยู่ภายในร่างกายที่ได้รับการปรับแต่ง ‘เล็กน้อย’ จากซากของอิชจาร์ทำให้ตอนนี้โอโรจิสามารถจะควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโอโรจิจะอายมากหลังจากที่ได้ออกมาจากบาเรีย
[การที่ข้าต้องเดินไปไหนมาไหนทั้งแบบนี้ในร่างที่น่าอาย…]
[ร่างที่น่าอาย? ร่างนี้มันเหนือกว่าร่างกายเก่าที่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำของเจ้าอีกนะ!]
อิชจาร์ที่อยู่ภายในเกราะร่างกายมนุษย์มังกรได้ตะโกนออกมาราวกับจะสาปแช่งโอโรจิ แต่ว่ายูอิลฮานก็ไม่ได้สนใจอิชจาร์เลย อิชจาร์ไม่ได้รู้เลยว่าโอโรจิหมายถึงอะไร คำว่า ‘น่าอาย’ ที่โอโรจิหมายถึงนั่นไม่ใช่ร่างกายทางกายภาพ
“ที่นายอายก็เพราะว่านายไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้อย่างเหมาะสมสินะ”
[ใช่แล้ว กล้ามเนื้อพวกนี้ กระดูกพวกนี้ เนื้อพวกนี้ – ทั้งหมดนี้ต่างก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่าข้า ข้ารู้สึกได้เลยว่ามันส่งเสียงน่าอึดอัดเต็มไปหมดเลย]
[ฟู่ อย่างน้อยเจ้าก็รู้ถึงตำแหน่งของตัวเอง]
“เงียบน่าอิชจาร์”
แม้ว่าโอโรจิที่ได้ไปไหนมาไหนกับยูอิลฮานมาคลอดหลายปีและได้กินจิตวิญญาณไปมากมาย แต่การจะควบคุมร่างนี้ก็ยังคงยากอยู่ดี
“ทำให้ดีที่สุด ฉันเชื่อในตัวนาย”
[เป็นเกียรติมาก]
[นายท่านน่ากลัว! น่ากลัวมา!]
เขาได้ตรวจสอบสภาพพรรคพวกของเขา และจากนั้นก็ตรวจสภาพของโลก แน่นอนว่าเนื่องจากถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในบาเรียมาปีครึ่งแต่ข้างนอกเวลาเพิ่งจะผ่านไปพริบตาเดียวเท่านั้นทำให้ไม่ได้มีอะไรเปลื่ยนไปมากนัก
จริงๆแล้วการที่หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนได้ฆ่าปีศาจที่เกิดขึ้นมาบนโลกไปในระยะเวลาหนึงกทำให้ความหนาแน่นของมอนสเตอร์เลเวลสูงลดลงไปเช่นกัน แต่แน่นอนว่ามอนสเตอร์พวกนี้ก็จะยังคงปรากฏตัวขึ้นมาใหม่อีกอยู่ดี แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้กมีระบบดูดมานาจากโลกไปไว้ในดาเรย์อยู่ทำให้มันไม่น่าจะมีกรณีที่มีมอนสเตอร์ระบาดล้นโลกอีกต่อไป
“เอาล่ะ ถ้างั้นไปทำงานกันดีกว่า”
“นายมันเป็นโลกเสพติดการทำงานไปแล้ว~”
ยูอิลฮานได้บอกให้ทุกๆคนได้พักผ่อนกันก่อนที่บาเรียจะพังแล้ว เพราะแบบนี้ทำให้ตอนนี้ทุกๆคนต่างก็อยู่ในสภาพปกติกัน เพราะงั้นการจะทำงานต่อในตอนนี้ก็จะไม่เกิดผลเสียอะไร คังมิเรย์ได้สีหน้ามืดมนลงไปทันทีที่ได้ยินคำประกาศให้กลับมาทำงานของยูอิลฮาน
“ถ้างั้นเราต้องแยกกันอีกแล้วสินะ?”
“ใช่แล้ว… หรือว่าเราควรจะจัดทีมใหม่กันล่ะ?”
“ไม่หรอก ไม่เป็นไร”
“มิเรย์ เธออออ”
คังมิเรย์ได้ปฏิเสธในข้อเสนอของยูอิลฮานอย่างรวดเร็ว นี่มันก็เพราะว่าไม่ว่ายังไงเธอก็จะต้องเป็นผู้นำทีมอีกทีมหนึ่งแน่นอน มันไม่มีทางเลยที่เธอจะได้ไปกับเขาได้ เพราะแบบนี้เธอก็เลยจะไม่ยอมให้โอกาสคนอื่นเช่นกัน! นายูนาได้หรี่ตามองมาที่เธอ แต่ว่าสีหน้าของคังมิเรย์ก็ยังมั่นคงดังเดิม
“ป้อมปราการลอยฟ้าได้ถูกเสริมพลังขึ้นมาแล้วดวย เพราะงั้นเธอก็จะต้องฝึกปรับตัวให้ชินกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันนะยูนา”
“นี่มันเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด!”
“ท่านจักรพรรดิ… ข้าไม่อาจจะอยู่เคียงข้างปกป้องท่านได้…”
“ใจเย็นน่าพีท! อันเดทของนายกำลังจะคลั่งแล้วนะ!”
[ฟู่ ทีมเดิมอีกแล้วงั้นหรอ…? ถ้านายท่านต้องการแบบนั้น ฉันก็ได้แต่ทำตามล่ะนะ…]
ปฏิกิริยาของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้ดีกันเลยสักนิดเดียว พวกเขาไม่อยากจะแยกไปจากยูอิลฮาน! นี่คือเรื่องของทางอารมณ์ แต่ว่ายูอิลฮานรู้สึกเหมือนสูญเสียตัวตนของตัวเองและตื่นตระหนกึ้นมา หากตอนนี้เขายังเรียกตัวเองว่าผู้โดดเดี่ยวอีก เขาคงโดนตบปากแน่ๆเลย
“ให้ตายสิ พวกเราทุกคนแกร่งกันขึ้นมาแล้วนะ เพราะงั้นอย่างน้อยฉันจะต้องได้อยู่เคียงข้างอิลฮานไม่ใช่หรอ?”
“ฉันไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะงั้นขอล่ะนะ”
“ไอที่ว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้น?’ นี่มันอะไรกัน? ที่พวกเราจะไปเจอก็แค่พวกลูกกระจ๊อกเท่านั้นแหละ!”
เลียร่าก็ยังบ่นออกมา ไม่ว่าเธอเธอจะอยู่กับเขามานานแค่ไหนก็ตาม แต่ว่านั่นยังไม่พอ ความรักของเธอมันทำให้เธออยากที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา
“จนกว่าเราจะได้เจอกันก็อีกสองเดือนจริงๆงั้นหรอ?”
“การมาเจอกันปีล่ะครั้งมันจะดีกว่า เพราะงั้นคราวหน้าเราจะมาเจอกันช้าลงหน่อยนะ”
“กรอดดด นี่ฉันออกจากการเป็นทูตสวรรค์มาทำแบบนี้งั้นหรอ?”
“นั่นมันเพราะฉันเชื่อในตัวเธอที่สุดต่างหากล่ะ ถ้าเมื่อไหร่ที่โอโรจิปรับตัวกับร่างใหม่ได้ฉันจะเปลื่ยนตำแหน่งให้ทันทีเลย”
“จริงนะ?”
“จริงสิ ฉันสัญญา”
“โอเค.. ถ้างั้นมาจุ๊บก่อน เร็วเข้าสิ”
หลังจากที่ได้รับคำยืนยันและได้รับการจูบเลียร่าถึงยอมปล่อยยูอิลฮานไป จากนั้นเธอก็ได้กลับไปบนป้อมปราการลอยฟ้าด้วยสายตาของทุกๆคนที่มองมาที่เธอ
เมื่อมิสทิคได้ไปที่โลกอื่นแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ 4 คนเท่านั้นที่อยู่บนป้อมปราการผู้พิทักษ์ นั่นคือยูอิลฮาน คิมเยซอล เฮเรียน่า และสุดท้ายคือโอโรจิที่อยู่ในร่างอิชจาร์ นี่เป็นองค์ประกอบของสมาชิกที่แปลกมากๆ
“ลูกนี่เนื้อหอมมากเลยน้า”
“แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย…”
“แม่มีความฝันใหม่แล้วว่าจะสร้างทีมเบสบอลด้วยหลานของแม่!”
“นั่นมันฝันร้ายสำหรับผมมากกว่า”
[ฟุฟุ ไว้ใจฉันได้เลย ฉันจะทำให้ดีที่สุด]
“ค่อยสบายใจหน่อย”
อึก นี่มันแย่แล้ว เขาเอาแม่มาด้วยเพื่อกันท่าเฮเรียน่า แต่นี่ทั้งสองคนกลับเข้ากันได้ดีไปแล้ว! ยูอิลฮานได้มองไปหาโอโรจิความหวังใหม่ของเขาทันที แต่ว่าโอโรจิก็ได้หลบสายตาของเขา
[ร่างกายใหม่ของข้ามันได้ยินไม่ชัดเลย]
“นาย…”
บางทีเขาควรจะเรียกเลียร่ากลับมาดีไหมนะ? ยูอิลฮานได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ว่าในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ขับเคลื่อนป้อมปราการผู้พิทักษ์แล้ว จุดมุ่งหมายของเขาก็คือต่างโลกที่มีผู้รอดชีวิตของพันธมิตรแนวหน้าอยู่ เมื่อยูอิลฮานได้รวบรวมคนพวกนี้หมดแล้ว เขาก็จะเปลื่ยนไปเป็นกิลด์ใหญ่อื่นๆต่อ
“จะมีคนมากแค่ไหนกันนะที่มากับเรา…?”
[อืมม ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีแมงเม่ามากแค่ไหนกัน]
“เฮ้ ระวังคำพูดหน่อย”
[ฉันก็แค่อยากจะบอกว่าที่รักเป็นเหมือนกับแสงดวงอาทิตย์ต่างหาก]
“ฮึ่ม..”
‘ขอบคุณนะที่ทำให้ในที่สุดฉันก็ได้มาเจอกับคนที่ฉันรัก’
ยูอิลฮานได้นึกถึงคำพูดของเฮเรียน่า เขาอยากที่จะเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่คิดเหมือนกันกับเธอ และมีความตั้งใจที่คล้ายกันกับเธอ
จะต้องมีคนที่อยากจะกลับมาหาคนรักและปกป้องคนรักพวกเขาแน่ ถ้าเป็นแบบนี้ยูอิลฮานก็จะต้องเอาโอกาสไปมอบให้กับคนพวกนั้น
“คงต้องรีบแล้ว ยังมีอีกหลายที่เลยที่เราต้องไป”
“…ใช่แล้ว เราต้องรีบ”
ยูอิลฮานได้มองลงไปบนโลกที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆก่อนที่จะเปิดใช้งานสกิลข้ามมิติ
ในตอนนี้เองได้มีความคิดใหม่เข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าเขาก็ได้เก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจอย่างรวดเร็วเพราะว่ามันน่าอายจนเกินไป จะมีก็แต่เฮเรียน่าเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่แปรปวนของเขาและยิ้มออกมา
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ตระเวนไปโลกต่างๆมากมาย มีทั้งโลกที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข โลกที่ทุกๆคนกำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวังในแบบของตัวเอง โลกที่ได้เจอกับจุดสิ้นสุด โลกที่พบหนหานในการติดต่อกับมอนสเตอร์ โลกที่เผชิญหายนะ โลกที่กำลังตายไป และโลกที่ตายไปแล้ว
สกิลบันทึกของยูอิลฮานได้ดูดข้อมูลบันทึกใหม่ๆเหล่านี้มาอย่างโลภมาก และก็มีคนจำนวนมากเช่นกันที่ยูอิลฮานได้เข้าไปช่วยเอาไว้ มี ‘แมงเม่า’ จำนวนมากขึ้นที่ต้องการจะปกป้องโลกมาเข้าร่วมด้วย แต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ยูอิลฮานได้เจอมักจะไม่ใช่คนจำพวกนี้
“ได้โปรดช่วยพาเราไปด้วย!”
“เราขอร้องท่าน!”
“โอ้ ท่านเทพ ได้โปรดอยู่กับเราด้วยเถิด!”
คนพวกนี้คือคนที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดในโลกที่มนุษชาติได้หมดหวังไปแล้ว ในทันทีที่พวกเขาได้เจอเข้ากับความหวังใหม่ที่คือยูอิลฮาน พวกเขาก็พยายามจะยื้อยูอิลฮานเอาไว้
“โอ้วววว ท่านผู้ทรงพลัง! เราจะขอติดตามท่าน!”
“พวกนายมันพวกคนงี่เง่า!!!”
ถ้าเป็นแค่ครั้งสองครั้งยูอิลฮานก็ยอมรับได้ แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นซ้ำๆมาถึงเจ็ดสิบครั้งแล้ว ในที่สุดเขาก็หมดความอดทนแล้ว
“จะให้ฉันต้องบอกพวกนายอีกกี่ครั้งกันว่าที่โลกของฉันมันแย่ยิ่งกว่านี้อีก! หาาา? ต่อให้พวกนายมาที่โลกของฉันทั้งแบบนี้ พวกนายก็จะตายไปโดยที่ไม่ได้กระดิกนิ้วเลยด้วยซ้ำไป!”
“แต่ว่าด้วยพลังของเรา เราไม่อาจจะทนอยู่ในโลกแบบนี้ได้อีกต่อไปอีกแล้ว! ต่อให้ที่นั่นมันจะอันตรายแค่ไหน มันก็จะต้องดีกว่าที่นี่ที่ไร้ความหวังแน่นอน!”
“อย่ามาไร้สาระนะ ความหวังผิดๆนั่นของพวกนั้นมันคือความโหดร้ายที่ยิ่งกว่าความสิ้นหวังอีกนะ!”
ถึงแม้ว่ายูอิลฮานจะพูดเรื่องโลกของเขาเกินจริงไปบ้าง แต่ว่าคนที่เสียความหวังในโลกพวกเขาไปแล้วก็ไม่ได้คิดจะถอย และเพราะแบบนี้ทำให้ยูอิลฮานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาคนพวกนี้กลับไปที่โลกด้วย
“ให้ตายสิ ทำไมถึงมีโลกที่เจอหายนะมากแบบนี้กันนะ!”
“อืมมม นั่นก็เพราะว่ามีโลกนับไม่ถ้วน แล้วก็คนบนโลกเราก็ได้กระจายกันอยู่ในโลกนับไม่ถ้วนพวกนี้ไงล่ะ”
“ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังไล่ตามเก็บลูกแก้วมังกรเลยนะ… อ๊าาาา!”
ในบรรดาโลกที่ล่มสลาย มีโลกที่น่าทึ่งที่มีเอลฟ์ใช้ชีวิตในฐานะมนุษยชาติอยู่ เอลฟ์ส่วนใหญ่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วว มีก็เพียงแค่ส่วนน้อยมากๆเท่านั้นที่ยังรอดอยู่ แล้วเพราะอะไรบางอย่างดูเหมือนว่าเอลฟ์พวกนี้จะรู้ว่ายูอิลฮานมีสถานะเป็นจักรพรรดิในดาเรย์ทำให้พวกเอลฟ์ที่นี่เกาะติดยูอิลฮานไม่ยอมปล่อย
“หากท่านได้รับความรักจากเอลฟ์นับไม่ถ้วน ท่านจะต้องนำเราได้ดีแน่นอน!”
“บ้าเอ้ย! นี่มันบ้าไปแล้ว!”
“ท่านจักรพรรดิ!”
“ทำไมฉันถึงมาเป็น ‘จักรพรรดิ’ ของพวกนายได้กันเนี้ย!”
ยิ่งวันเวลาผ่านไปเสียงถอนหายใจของยูอิลฮานก็ยิ่งดังมากขึ้น
“เหลืออีกกี่วันกันนะถึงฉันจะใช้บาเรียนาฬิการทรายแห่งกาลเวลาได้อีก?”
“ประมาณ 5 วันล่ะมั้ง?”
“ถ้างั้นอย่างน้อยก็คงต้องได้เจอกับโลกที่ล่มสลายอีกอย่างน้อยสักสองโลก…”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลข้ามมิติอย่างห่อเหี่ยว แต่ว่าเมื่อเขามาถึงจุดหมายเขาก็ได้เอียงหัวออกมา
“ในโลกใบนี้ก็ไม่มีทูตสวรรค์อีกแล้ว”
“ไม่มีอีกแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่แล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็ไม่น่าจะมีด้วยเหมือนกัน”
[ทั้งๆที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่กลับไม่มีทูตสวรรค์อยู่เลย]
ยูอิลฮานได้คิดขึ้นกับตัวเองว่าอาจจะมีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นกับกองทัพสวรรค์
สงครามที่กำแพงแห่งความโกลาหลเพิ่งจะผ่านไปไม่นานนัก แต่ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะได้ทำอะไรซักอย่างกันอีกแล้ว นี่มันน่าสงสัยมาก…
“เอาเถอะนะ ฉันก็ไม่สนใจหรอก”
[ที่รักจะต้องได้เผชิญหน้าในสักวันหนึ่ง แต่สำหรับตอนนี้ทำตามใจที่รักเถอะนะ]
“เอาล่ะ ถ้างั้นไปค้นหาคนกันดีกว่า”
วันเวลาได้ผ่านไปเช่นนี้ ตอนนี้ยูอิลฮานกับพรรคพวกของเขาได้เข้าไปฝึกภายในบาเรียของนาฬิการทรายแห่งกาลเวลาเป็นครั้งที่ 10 ไปแล้ว
แต่ถึงแบบนั้นยูอิลฮานก็ยังไม่อาจจะไปถึงขอบเขตสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ เขายังขาดองค์ประกอบสำคัญอยู่
ในท้ายที่สุดแล้วยูอิลฮานก็สรุปได้ว่าเขาจะต้องรวบรวมบันทึกของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงให้มากกว่านี้
บทที่ 283 – เตรียมตัว (1)
[นี่มันบ้ามาก]
มิสทิคได้ส่งเสียงออกมาอย่างจริงจัง
[นายท่านจำเป็นที่จะไปบุกพวกนั้นอีกแล้วงั้นหรอ?]
“ฉันก็อยากจะเลี่ยงการไปข้องเกี่ยวกับพวกนั้นให้มากที่สถดเหมือนกัน ถ้าไม่ต้องยุ่งเลยก็จะดีที่สุด”
ผนึกของโลกจะหายไปเมื่อโลกนี้ได้กลายเป็นโลกระดับสูง ยังไงก็ตามยูอิลฮานมีคลาสรองนักท่องมิติอยู่ หากเขาใช้งานสกิลจ้าวมิติ เขาก็จะป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงคนอื่นๆเข้ามาในโลกเขาได้ แต่ว่าเขาก็ต้องเตรียมตัวไว้สำหรับการที่สกิลใช้ไม่ได้ผลเช่นกัน
และเพราะแบบนี้ทำให้เขาคิดว่าเขาไม่น่าจะตกไปอยู่ในความขัดแย้งในอนาคตอันใกล้นี้…
“แต่ว่าถ้าฉันอยากจะหยุดเจ้าพวกบ้านั่นให้ได้ ฉันคิดว่าฉันจะต้องแกร่งขึ้น แกร่งให้มากกว่านี้”
[จะแข็งแกร่งแค่ไหนกันล่ะ? ตอนนี้นายท่านก็เทียบได้กับคลาส 7 ส่วนใหญ่แล้วนะ!]
“ก็เพราะนี่มันยังไม่พอไงล่ะ”
ในท้ายที่สุดอ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็ทำได้แค่กระตุ้นพลังงานภายในตัวเขาเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าไปสู่ระดับพลังที่สูงกว่านี้ได้แล้ว ไม่สิ บางทีอาจจะแค่ความเร็วมันลดลงจนช้ามากก็ได้ หากว่าเขาแช่แบบนี้ไว้ซักพันปีหรือสองพันปีเขาก็อาจจะกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้
“ฉันต้องการตัวอย่างเพิ่มมากกว่านี้”
[เพราะงั้นที่รักก็กำลังจะไปทำอะไรที่พิเศษกันล่ะ?]
“ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะกำลังทำอะไรกัน ฉันก็จะไปร่วมด้วย”
นี่เป็นเวลากว่าสิบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับทูตสวรรค์ที่สังกัดกองทัพสวรรค์เลย ยูอิลฮานกับคนอื่นๆไปตระเวนไปรวบรวมผู้คนจากโลกต่างๆมากมาย ทั้งยังรับมนุษยชาติจากโลกที่ล่มสลายมาด้วย แต่ว่าจากเวลามากมายที่ผ่านไปนี้ทั้งกลุ่มของยูอิลฮานและกลุ่มของคังมิเรย์ ไม่มีใครเลยที่สัมผัสได้ถึงตัวตนของทูตสวรรค์หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตชั้นสูงฝ่ายอื่นๆ
ยังไงก็ตามจู่ๆเฮเรียน่าก็พูดในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงออกมา
[นั่นมันก็เป็นความผิดของที่รักนั่นแหละ]
“ความผิดฉันงั้นหรอ?”
[ก็ที่รักเป็นคนที่ทำให้ที่ตั้งฐานทัพของกองทัพจรัสแสงรั่วไหลออกไปนี่ ที่รักคิดว่าพวกที่เหลือจะอยู่เฉยงั้นหรอ?]
“แต่ว่าฐานทัพของกองทัพปีศาจแห่งการทำลายก็เป็นที่รู้จักกันดีเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”
[ใช่แล้วล่ะ มีหลายเหตุผลที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น แต่ว่ามันก็คงจะมาระเบิดเอาตอนนี้เท่านั้นเอง]
รอยยิ้มพึงพอใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮเรียน่า แม้ว่ารอยยิ้มนี้ของเธอจะดูชั่วร้ายมากๆ แต่ว่าตัวเขาเองกลับชินไปซะแล้ว
“ถ้างั้นเราก็คงต้องไปที่ฐานทัพของกองทัพจรัสแสงงั้นสินะ?”
[ไม่หรอกที่รัก]
เฮเรียน่าได้ตอบกลับมาทันที
[การไปเยือนโลกที่มีหัวหน้าปกครองอยู่มันต่างกับการไปโลกระดับสูงอย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยที่สุดการที่ที่รักจะไปที่นั่นที่รักก็จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเสียก่อน ฉันชอบการทำลายและการฆ่าฟันนะ แต่ว่าการที่รักไม่ตายมันจะดีกว่า หากเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นฉันก็คงต้องตายตามที่รักไป]
“…โอเค”
จนถึงตอนนี้ยูอิลฮานได้ประเมินฐานทัพของกองกำลังแต่ล่ะฝ่ายต่ำเกินไป แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย ถึงที่กองทัพสวรรค์จะไม่เป็นไรก็ตาม… หืมม?
“…พอมาคิดดูแล้ว ฉันไม่เห็นเคยรู้สึกถึงตัวตนที่เหนือกว่าคลาส 7 ในตอนที่อยู่ในสวรรค์เลยนะ มันเป็นเพราะฉันสัมผัสถึงพระเจ้าไม่ได้งั้นหรอ?”
[บางทีพระเจ้าอาจจะไม่มีจริงก็ได้นะ?]
“เฮเรียน่าอย่ามาพูดไร้สาระนะ พระเจ้าน่ะมีอยู่จริง… ถึงฉันจะไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหนในสวรรค์ก็ตาม”
เลียร่าได้ปฏิเสธในคำพูดของเฮเรียน่าอย่างสลดใจเพราะบางอย่าง ตัวเธอเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน จากนั้นยูอิลฮานก็นำข้อมูลเหล่านี้มาสรุปในเรื่องที่เขาไม่ควรจะทำ
“ถ้าฐานทัพหลักมันไม่ดี ถ้างั้นเราก็ตั้งเป้าไปที่สาขาย่อยแล้วกัน”
[นี่เป็นความคิดที่ดี กองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะแข็งแกร่งขึ้นตามจำนวนและขยายของโลกที่ครอบครองอยู่ เพราะแบบนี้กองกำลังต่างๆก็น่าจะอยู่ในช่วงที่กำจัดโลกอื่นๆของฝ่ายต่างๆก่อนสงครามครั้งใหญ่แล้ว แต่ในอนาคตอันใกล้นี้จะต้องมีสงครามขยายใหญ่ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นแน่นอน]
น้ำเสียงของเฮเรียน่าได้เริ่มไม่สงบเมื่อเธอได้ตอบกลับมา ยูอิลฮานได้กลัวเล็กน้อยที่ตัวเธอดูจะชอบผลลัพธ์แบบนี้ และถามเธออย่างระมัดระวัง
“ถ้างั้นไม่ใช่ว่าถ้าเรารออยู่เฉยๆพวกนั้นก็จะอ่อนแอกันไปเองหรอกนะ? แถมพวกนั้นก็คงจะเลิกสนใจโลกของฉันด้วยนี่”
[ที่รักกำลังพูดอะไรอยู่? ที่รักรู้ไหมว่าสงครามทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะโลกที่รักนะ เป้าหมายสุดท้ายของพวกนั้นคือโลกใบนี้นี่แหละ]
ยูอิลฮานได้เงียบลงไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกงงเอามากๆ จนถึงตอนนี้เขาได้เมินเรื่องราวเบื้องหลังของโลกมาตลอด แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“เล่ามาหน่อยสิเฮเรียน่า”
ในท้ายที่สุดเขาก็ได้ถามออกมา
“อะไรกันในโลกนี้ที่ทำให้สารเลวพวกนั้นสนใจ”
[คำพยากรณ์]
“คำพยากรณ์บ้านี่อีกแล้ว”
[นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น…]
เฮเรียน่าได้มองไปรอบๆก่อนที่จะพูดออกมา ตอนนี้มีเวลาเหลืออีกเดือนครึ่งก่อนที่บาเรียจากนาฬิการทรายแห่งกาลเวลาจะหายไปเป็นครั้งที่ 11 คนอื่นๆทั้งหมดต่างก็ตั้งใจกับการฝึกหรือล่ามอนสเตอร์ คนที่อยู่รอบตัวยูอิลฮานในตอนนี้มีก็แค่เฮเรียน่า คิมเยซอล คังมิเรย์ นายูนา และเลียร่า
[ฉันอยากจะพูดกับที่รักเพียงลำพัง เพราะงั้นทุกๆคนช่วยออกไปก่อนได้ไหม?]
“เธอคิดจะทำอะไรกัน? ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอทำเรื่องน่าสงสัยแน่
เลียร่าได้ปฏิเสธออกมาโดยไม่คิดเลย แต่ว่ายูอิลฮานได้ส่ายหัวออกมา
“ฉันก็แค่จะฟังเรื่องเล่าจากเธอเพราะงั้นไม่ต้องห่วง”
“มันฟังดูน่าสนใจนี่ ฉันจะฟังเรื่องเล่านั่นด้วยไม่ได้หรอ?”
[ไม่ สำหรับคนอื่นการได้ยินไปมันไร้ค่า มันจะดีที่สุดที่คนที่ได้รู้มีแค่ที่รักที่เป็นจ้างแห่งโลกใบนี้]
“ถ้างั้นก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ สาวๆพวกเขาควรจะให้พื้นที่พวกเขาก่อนนะ”
คิมเยซอลได้หยักหน้าและบอกให้คนอื่นๆกลับไป เหล่าสาวๆที่นำโดยเลียร่าได้ประท้วงกันออกมา แต่แล้วพวกเธอก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ต่อหน้าการโบกมือให้ถอยอย่างอ่อนโยนของคิมเยซอล
[ถ้างั้น…]
เฮเรียน่าได้มองตรวจดูรอบๆอีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะสร้างบาเรียบางๆขึ้นมาและเริ่มพูดกับยูอิลฮาน
[คำพยากรณ์นั้นมาจากสวนอาทิตย์อัสดง ที่รักคงจะเคยได้ยินมาแล้วสินะว่าหัวหน้าของสวนอาทิตย์อัสดงมีพลังในการพยากรณ์อยู่]
“ใช่ ฉันคิดว่าเคยได้ยินมาแล้ว”
หลังจากได้มองไปที่เลียร่าที่อยู่นอกบาเรีย ยูอิลฮานก็ได้หยักหน้าออกมา เขาเคยได้ยินมาจากเลียร่าในตอนสงครามที่ดาเรียแล้ว
[ใช่แล้ว พลังนั่นน่าจะเป็นของจริง เป็นเขาคนนั้นนั่นแหละที่บอกว่าในท้ายที่สุดฉันจะมายืนเคียงข้างพระเจ้าองค์ที่ห้า…]
เฮเรีย่าที่แก้มแดงขึ้นมาดูน่ารักมากๆ ในระหว่างพูดแบบนี้เธอรู้สึกอายอย่างมาก
นี่มันทำให้เธอดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ว่า ‘บริสุทธิ์’ ‘ไร้เดียงสา’ เป็นคำที่ดูตรงกันข้ามกับเฮเรียน่าอย่างสิ้นเชิง และยูอิลฮานก็ได้จบลงด้วยความคิดว่าผู้ญิงทุกคนนี่สิ่งที่น่ากลัว
[นั่นเป็นเหตุผลทำให้ทุกๆคนกังวลกับการเคลื่อนไหวของสวนอาทิตย์อัสดง แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ผู้นำก็ได้เริ่มสนใจที่โลกของที่รักซึ่งมันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่โลกใบนี้ยังไม่เคยเผชิญกับมหาภัยพิบัติเลยด้วยซ้ำไป]
“แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
[ฉันเป็นคนที่เจอเรื่องนี้เองแหละ หัวหน้าของสวนอาทิตย์อัสดงคือผู้ชาย แล้วก็ในตอนนั้นฉันได้ใช้วิธีการของฉันยั่วยวนเขาทำให้ฉันได้ยินคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเจ้าองค์ที่ห้า โอ้ หลังจากได้ยินแบบนั้นฉันก็หนีไปทันทีลยล่ะ]
ยูอิลฮานได้ปวดหัวขึ้นมา หนึ่งในเหตุผลที่โลกถูกจับตามองนั่นก็เพราะเธองั้นหรอ? ไม่สิ ถ้าไม่มีเธอโลกของเขาก็คงตกอยู่ใต้ฝ่ามือของสวนอาทิตย์อัสดงไปแล้ว เพราะงั้นเขาคงต้องขอบคุณเธอสินะ?
[ที่รัก… โกรธงั้นหรอ? ฉันขอโทษ แต่ว่าเรื่องนั้นมันก่อนที่ฉันจะรู้จักกับที่รัก…]
เพราะแบบนี้เธอก็เลยให้ทุกๆคนออกไปก่อนสินะ? บางทีเธอไม่อยากจะบอกว่าเธอมีส่วนทำให้โลกเป็นแบบนั้น ไม่สิ เธอไม่อยากที่จะเห็นคนอื่นเห็นว่าเธอรู้สึกผิดต่างหาก
ให้ตายสิ ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมาและหยักหน้า
“นั่นมันอาจจะก่อนที่ฉันเกิดซะอีก… ฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอก พูดต่อเถอะ”
[จากนั้น… ก็มีคำพยากรณ์อย่าง ในท้ายที่สุดโลกของที่รักจะกลายเป็นโลกที่เหนือยิ่งกว่าโลกที่ถูกเรียกว่า ‘สวรรค์’]
เฮเรียน่าได้เงียบลงแค่นี้ ยูอิลฮานได้แต่ถามออกมา
“แค่นี้งั้นหรอ?”
[ใช่แล้ว แค่นี้แหละ]
“บ้าอะไรเนี้ย? พวกนั้นเพ็งเล็งที่โลกฉันแค่เพราะเหตุผลเล็กน้อยนั่นเนี้ยนะ!?”
[แค่เหตุผลนี้ก็มากพอแล้วที่รัก ที่รักรู้ไหมว่าทำไมกองทัพสวรรค์ถึงได้แข็งแกร่งนัก นั่นมันก็เพราะว่าในโลกของพวกเขามีบันทึกอยู่จำนวนมหาศาล นั่นเป็นเหตุผลที่ข้อจำกัดด้านพลังของกองทัพสวรรค์กับข้อจำกัดของจำนวนพวกเขาเหนือยิ่งกว่ากองกำลังอื่นๆไงล่ะ]
“…นั่นสินะ”
สงครามของโลกระดับสูงเกิดขึ้นเพราะแบบนี้งั้นหรอ? บางทีเหตุผลที่กองทัพปีศาจวิบัติที่ต้องการแต่การทำลายอย่าง เล็งเป้าหมายไปที่ฐานทัพของสวรรค์ก็เพราะแบบนี้เช่นกัน
มันสมเหตุสมผลแล้ว และนี่ยิ่งทำให้เขาโมโหมากยิ่งขึ้น ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ยอมรับว่าทำไมเขาถึงได้รับสกิลบันทึกมา
[ยังไงก็ตามหลังจากฉันได้รู้เรื่องพวกนี้ ฉันก็ได้กระจายข้อมูลออกไปทั่ว… ที่รักอยากจะรู้ไหมล่ะว่าทำไม?]
“ทำไมล่ะ? เพื่อกองทัพปีศาจวิบัติงั้นหรอ?”
[ไม่ นั่นมันเพราะว่ามีแค่ในตอนที่ทุกๆกองกำลังจับตามาที่โลกเท่านั้น ฉันถึงจะมีโอกาสที่ฉันจะได้มาเจอกับที่รัก]
ยูอิลฮานได้เงียบลงไป ชัดเจนมาก หากว่าเรื่องราวต่างๆรอบๆตัวโลกของเขาไม่ได้ใหญ่โตแบบนี้ เขาก็คงไม่มีวันได้ติดต่อกับเฮเรียน่าแน่นอน
“หืม?”
ในตอนนี้เองหน้าผากเขาก็กระตุกขึ้นมาเมื่อนึกได้ถึงเรื่องหนึ่ง
หัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงได้ทำนายเรื่องของพระเจ้าองค์ที่ห้า และเฮเรียน่าก็ได้กระจายข้อมูลออกไปเพื่อสร้างความวุ่นวายกับกองกำลังทั้งหมดที่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่ามันแปลกๆหรอกหรอ?
“นี่เธอ…”
[ใช่แล้ว ฉันถูกหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงหลอกใช้ เขาได้หลอกใช้ให้ฉันกระจายข้อมูลที่ฉันได้รู้ออกไปจนในที่สุดฉันได้มาเจอกับพระเจ้าองค์ที่ห้า แน่นอนว่าฉันได้มารู้เรื่องนี้ในภายหลัง]
ในเวลาเดียวกันนี่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งหนึ่ง สิ่งที่สวนอาทิตย์อัสดงเล็งอยู่ไม่ใช่โลก แต่เป็น…
“นี่ทำเพื่อการพัฒนาของฉันงั้นหรอ? ทั้งๆที่ฉันยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ?”
[ใช่แล้ว ฉันก็สรุปออกมาได้แบบนี้เหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่สวนอาทิตย์อัสดง ไม่สิ สิ่งที่หัวหน้าพวกนั้นเล็งอยู่ก็คือการทำให้ที่รักกลายมาเป็นพระเจ้า]
“ถึงจะน่าหงุดหงิดแต่เหตุผลที่ฉันแข็งแกร่งนั่นมันเพราะฉันได้ถูกทิ้งเอาไว้บนโลก เขาคนนั้นกระทั่งรู้ว่าฉันจะต้องถูกทิ้งงั้นหรอ?”
[บางทีล่ะมั้ง?… หรือไม่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำก็ได้]
ยูอิลฮานได้ตกตะลึงขึ้นมาแล้ว กองทัพสวรรค์กับสวนอาทิตย์อัสดงเข้ามาแทรกแซงการพัฒนาและชีวิตของเขาไปเพื่ออะไรกัน? พวกนั้นแค่ตัดสินใจจะทำให้เขาเป็นพระเจ้างั้นหรอ? แล้วพวกนั้นก็ได้เริ่มการต่อสู้กับโลกของยูอิลฮานด้วยตัวพวกนั้นเอง…
นี่มันไม่น่าสบายใจเลยสักนิด เขาไม่ชอบในคำว่า ‘พยากรณ์’ แบบนี้เลย นี่มันโกงมาก คนพวกนี้จะสามารถพูดได้ว่า ‘ฉันรู้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้’ หรือ ‘ฉันรู้ว่ามันกำลังเป็นแบบนี้’ ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นยังไงก็ตาม
“แต่ว่าฉันไม่อาจจะออกไปจากเส้นทางที่พวกนั้นปูไว้ให้ฉันได้เลย”
ยูอิลฮานได้กัดฟันพึมพัมออกมา ไม่ว่าพวกนั้นจะหวังอะไรอยู่ ยูอิลฮานก็จะทำตามใจของตัวเอง และถ้าเป็นไปได้เขาก็จะทำในสิ่งที่พวกนั้นคาดไม่ถึงด้วย
[ตอนนี้ฉันได้บอกแทบจะทุกอย่างที่บอกได้กับที่รักไปแล้ว… ที่รักจะทำยังไงต่อล่ะ?]
“ที่บอกว่าฉันจะทำยังไงต่อนี่มันอะไรกัน ฉันก็แค่จะทำในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ต่อไปไงล่ะ”
เสียงของยูอิลฮานที่ตอบกลับเฮเรียน่ากลับมาเป็นน้ำเสียงที่น่าหนาวสั่น
“พวกเรากำลังจะไปขโมยโลกระดับสูงกันไงล่ะ”
[แต่นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ที่รักจะทำในตอนแรกนี่!?]
เฮเรียน่าได้ตะโกนออกมาอย่างตกตะลึง ยูอิลฮานได้เรียกรวมคนอื่นเข้ามาโดยไม่สนใจเธอ
ตอนนี้ผู้โดดเดี่ยวได้โกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว
บทที่ 284 – เตรียมตัว (2)
ตอนนี้เหลือเวลาอีกเดือนครึ่งถึงบาเรียที่ทำจากนาฬิกาทรายจะพังลง ยูอิลฮานได้ทำทุกๆอย่างที่ทำได้เพื่อเตรียมตัวสำหรับสงคราม ‘ทุกๆอย่างที่ทำได้’ นี่ก็คือการเอาวัตถุดิบจำนวนมากมายที่เขาเก็บสะสมไว้มาสร้างไอเทม ไอเทมนั้นมีตั้งแต่ของใช้ส่วนบุคคลไปจนถึงอาวุธที่ใช้ได้ครั้งเดียวและเครื่องมือสำหรับการรบ
เขาได้อัพเกรดอุปกรณ์ทั้งหมดให้กับสมาชิกในปาร์ตี้ของเขา ทำอาวุธสำรอง และเพื่ออุปกรณ์ให้กับป้อมปราการทั้งสองแห่งที่แต่เดิมก็น่ากลัวอยู่แล้ว จากนั้นก็ตรวจสอบค่าสเตตัสของเขาที่ไม่ได้ตรวจสอบมาเป็นเวลานาน
[ยูอิลฮาน(มนุษย์?)]
[คลาสหลัก – ผู้ชักนำนรก เลเวล 299]
[คลาสรอง – N/A, นักขี่มังกร,นักท่องมิติ]
[ฉายา – ผู้โดดเดี่ยวแห่งจักรวาล,ไม่อาจเอื้อม,หนึ่งการโจมตี,ผู้สร้างแห่งตำนาน,หนึ่งพันการโจมตีในคราวเดียว,นักล่ามังกร,พันธมิตรมังกร,ผู้รวดเร็วทีสุด,วีรบุรุษแห่งเพลิง,กบที่กระโดดพ้นกำแพง,พรจากเทพแห่งการตีเหล็ก,พรจากเทพธิดาแห่งเพลิง,ผู้ก้าวข้าม,ผู้สรรสร้าง]
[พลังกำลัง – 827 ความคล่องแคล่ว – 766 พลังชีวิต – 635 พลังเวทย์ – 1,238]
[สกิลใช้งาน – การร่วงหล่น(ยมทูต, เอนชานท์วิญญาณ,ประกายเพลิง,ผู้สะสมความตาย,การฟื้นฟูเหนือมนุษย์,การต้านทานพิษระดับสูง,การต้านทานคำสาประดับสูง) เลเวล 43, หัตกรรมมานาเลเวลสูงสุด เทวะกำลัง(พลังเหนือมนุษย์,การโจมตีคริติคอล) เลเวล 79, ปกครองเลเวลสูงสุด, โลหิตมังกรเลเวล 96, ข้ามมิติ(กระโดด)เลเวล 58, จ้าวมิติเลเวล 69]
[สกิลติดตัว – การผสานมนุษย์และมังกรเลเวล 87, ชำแหละเลเวลสูงสุด, ช่างตีเหล็กเลเวลสูงสุด,บันทึก(ภาษา)เลเวล 82, วิศวกรรมเวทย์เลเวลสูงสุด, ขุดเลเวลสูงสุด, หอกไร้วิถี(ความเชี่ยวชาญหอก)เลเวล 98, หอกสะบั้นจักรวาล(ความเชี่ยวชาญหอก, ความเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิด, ความเชี่ยวชาญอาวุธไร้คม,ความเชี่ยวชาญดาบ,ความเชี่ยวชาญแส้) เลเวล 86, ความแม่นยำสัมบูรณ์(การขว้าง,การยิง)เลเวลสูงสุด, ทำอาหารเลเวลสูงสุด, หัวใจที่ไม่สั่นคลอนเลเวลสูงสุด, การปรับตัวของนักท่องมิติเลเวล59, คำสั่งเดินทัพเลเวล 66]
สิ่งแรกที่สายตาเขามองเลยก็คือคลาสรอง ในตอนแรกยูอิลฮานมีคลาสรอง ‘คู่หูของทูตสวรรค์อยู่’ แต่จากพันธสัญญาณพันธมิตรที่ถูกยกเลิกไปทำให้เขาได้เสียคลาสรองไปแล้ว และในตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้วทำให้คลาสรองได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้มันถึงเวลาที่เขาคิดว่าเขาจะต้องเลือกคลาสรองใหม่มาแทนที่คลาสรองเก่าที่หายไปแล้ว แต่ว่ามันดูเหมือนว่าทุกๆอย่างจะไม่ได้เป็นไปตามต้องการ บันทึกนภาไม่ได้ส่งข้อมูลอะไรในเรื่องนี้ออกมาเลย
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนะ เพราะงั้นทำให้ไม่มีใครที่จะให้คำแนะนำให้เรื่องนี้กับเขาได้ จนในที่สุดยูอิลฮานก็ได้ปล่อยคลาสรองนี้เอาไว้ก่อน นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะแก้ไขได้ด้วยความพยายามของเขา เขาได้แต่ต้องรอให้โอกาสนั้นมาถึงเท่านั้น
“แต่ว่าสกิลของฉันก็พัฒนาขึ้นมามาก”
รวมๆเวลาที่เขาได้ใช้นาฬิกาทรายครั้งก่อนๆเข้าด้วยกันแล้วก็เท่ากับว่าเขาได้ใช้เวลาทั้งหมดในบาเรียไปถึง 15 ปี ในเวลาทั้งหมดนั้นเขาได้ใช้เวลาไป 30% กับการแช่ตัวเองอยู่ในอ่างแห่งปาฏิหารย์และฝึกหอกสะบั้นจักรวาลเพราะแบบนี้เลยทำให้เลเวลของหอกสะบั้นจักรวาลของเขามาถึง 85 แล้ว การพัฒนาสกิลอื่นๆก็ไม่ได้ทิ้งกันห่างมากนักด้วย
ยังไม่ใช่แค่นั้น ในระหว่างการปลุกพลังมังกรของเขา ค่าสเตตัสของเขาก็ยังได้เพิ่มขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอและเขาก็ชินกับการใช้พลังของเพลิงทำให้ค่าพลังเวทย์เขาเพิ่มมากขึ้นช่นกัน ในตอนนี้ตัวเขาแค่ค่าสเตตัสก็เทียบได้กับสิ่งมีชีวิตคลาส 6 ไปแล้ว
หลังจากดูค่าสเตตัสนี้ ยูอิลฮานคิดว่าตัวเขาเองอาจจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร ใบหน้าของเขาที่สะท้อนอยู่บนผิวเกราะที่มันวาวก็ไม่มีเศษเสี้ยวของตัวเขาคนก่อนอยู่แล้วด้วย
ในตอนนี้เขาได้กลัวขึ้นมาแล้ว
ฉันยังเป็นฉันอยู่ใช่ไหม? หรือว่านี่คือคนอื่นกัน? ฉันก็แค่กำลังหลับฝันอยู่ภายในมหาลัยโดยไม่มีใครสังเกตหรือป่าวนะ? ความคิดแบบนี้ได้ผุดเข้ามาทำให้จิตใจยูอิลฮานสับสนอย่างต่อเนื่อง
“เลียร่า”
“ว่าไงอิลฮาน”
คนรักของเขาที่ได้เฝ้ามองเขามาตลอดนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันได้ตอบเขากลับมาราวกับว่าเธอรู้ว่าเขากำลังพูดอะไรกับเธอ ดวงตาที่อ่อนโยนและสงบของเลียร่าได้ทำให้อารมณ์ที่หวั่นไหวของเขาสงบลงมา ไหล่ของเขารู้สึกหมดแรงลงและถามคำถามโง่ๆออกมา
“…ในสายตาเธอ ฉันเปลื่ยนไปมากไหม?”
“อืมม ถ้าบอกว่าไม่ก็คงไม่จริงล่ะมั้ง?”
เลียร่าได้ยิ้มแห้งๆออกมา เธอรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในตอนที่ถามคำถามนี้ออกมาแล้ว
เลียร่าเองก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เป็นแบบนี้ ในตอนที่เธอได้ตระหนักว่าเธอได้ไปถึงจุดสูงสุดของโลกของเธอ ในตอนที่เธอได้กลายมาเป็นทูตสวรรค์ภายใต้การนำของสวรรค์ ในตอนที่เธอตกหลุมรัก ในตอนที่เธอกลายเป็นทูตสวรรค์ระดับสูง และในตอนที่เธอได้กลับมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำยืนเคียงข้างยูอิลฮาน ช่วงเวลาทั้งหมดนี้คือช่วงเวลาที่เธอไม่เชื่อในตัวตนของตัวเองและสงสัยในสิ่งที่เธอได้พบเจอมา
ยูอิลฮานได้เม้มริมฝีปากของเขา
“เลียร่า ฉัน…”
“ฉันรู้ว่านายกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ว่านะอิลฮาน นายไม่ต้องกังวลหรอก”
“ทำไมล่ะ?”
“การเปลื่ยนแปลง… คือหลักฐานที่ดีที่สุดที่พิสูจน์ว่านายยังมีชีวิตอยู่ และนายก็จะได้รู้ว่ามีแค่นายเท่านั้นที่เป็นนายได้”
นี่คือคำพูดที่เลียร่าพูดได้หลังจากที่เธอได้ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกันมานับไม่ถ้วน เมื่อยูอิลฮานได้เงียบลงไป เธอก็เสริมขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“แล้วก็ฉันก็รักตัวนายทั้งคนก่อน และคนที่เปลื่ยนแปลงมาคนนี้เช่นกัน ความรู้สึกของฉันจะยังเหมือนเดิมไม่ว่าจะยังไง แค่นี้ยังไม่พออีกหรอ?”
“…ใช่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ยูอิลฮานคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมากที่เธอพูดแบบนี้ออกมาได้ แต่ว่านี้มันก็เป็นความจริงที่สะท้อนความรู้สึกในใจของเขาออกมา
เธอคือคนที่ได้รับพรจากเทพแห่งความรักเชียวนะ ถึงแม้ว่าปากเขาจะพึมพัมออกมา แต่เขาก็กางแขนออกและกอดเธอแน่น
“ขอบคุณนะเลียร่า”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ นายจะต้องตกใจแน่ถ้าได้รู้ว่าฉันรู้สึกขอบคุณนายมากแค่ไหน”
พวกเขาทั้งสองคนได้อยู่แบบนี้ไปซักพักหนึ่ง แต่ว่าไม่นานก็มีสายตาที่แหลมคมจ้องมาที่พวกเขาทำให้พวกเขาต้องแยกออกจากกัน ตอนนี้ในอีกไม่กี่วินาทีบาเรียกจะหายไปแล้ว มันไม่ใช่เวลามาสวีตอีกต่อไปแล้ว
“พี่สาวเลียร่าทำตัวลับๆล่อๆอีกแล้ว ฉันก็อยากจะรู้จักอิลฮานคนก่อนเหมือนกันน้า~”
“เธอก็คงจะไม่ได้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของเขาหรอก”
“ฉันรู้สึกอยากจะฆ่าเธอแล้วสิเลียร่า อย่างน้อยก็ทำแบบนี้ในที่ที่ฉันไม่อยู่ไม่ได้งั้นหรอ?”
“อิลฮานกอดฉันก่อนนี่ จะให้ฉันทำไงได้ล่ะ?”
“กรี๊ดดดดดดด…!”
เลียร่าไดแหย่นายูนากับเอิลต้าที่ดูจะหงุดหงิดกับเธอ ยูอิลฮานก็คิดว่าด้านนี้ของเธอก็น่ารักเหมือนกัน ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาและปรบมือเบาๆเรียกทุกคน
“พวกเราจะเดินทางกันในทันทีที่บาเรียพังลง ฉันได้แจกจายอุปกรณ์ส่วนตัวให้กับทุกๆคนแล้ว เพราะงั้นฉันจะไม่พูดอะไรมากนะ… เป้าหมายของเรานั้นก็คือการจัดการทุกๆคนนอกจากพวกของเขา ในระหว่างนี้พวกเราจะพัฒนาขึ้นขึ้นด้วย”
“เป็นเป้าหมายเดียวที่น่าทึ่ง…”
[ที่รักจะกลายเป็นเทพพระเจ้าองค์ที่ห้า เพราะงั้นอย่างน้อยต้องกล้าแบบนี้แหละ ใช่เลย เท่มาก]
ในตอนนี้เองบาเรียก็ได้พังลง ยังไงก็ตามยูอิลฮานไม่ได้ออกไปเลยในทันที หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนที่ก่อนหน้านี้เขาได้เรียกเข้ามาในบาเรียด้วยเพราะมีความสามารถที่จะต้านวงเวทย์ได้ พวกเขาทั้งสามคนก็ยังมีความสามารถที่จะสู้กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้หากว่าถูกติดอาวุธของยูอิลฮาน
อย่างแรกยูอิลฮานก็เลยคิดที่จะถามความเห็นของคนพวกนี้ก่อน และจากนั้น…
“แน่นอนสิว่าเราจะไปด้วย ขอบคุณที่เรียกเรานะ”
“ฉันจะตามคุณได้ด้วยเหมือนกัน”
“ตามที่ท่านยูอิลฮานต้องการเลยค่ะ!”
การที่หัวหน้ากิลด์ได้เลือกตามเขาไปไม่ได้เหนือกว่าที่เขาคาดเอาไว้เลย คนพวกนี้ได้เลือกก้าวไปข้างหน้าต่อให้จะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็ตาม เพราะแบบนี้ยูอิลฮานก็ไม่อาจจะดูถูกพวกเขาได้ สีหน้าของยูอิลฮานได้แข็งทื่อขึ้นมาก่อนจะหยักหน้าพูดขึ้น
“ทุกๆคนขึ้นไปบนป้อมปราการลอยฟ้าเลย พวกเราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้แหละ”
ที่ที่เขาเลือกจะไปนั้นก็คือดาเรย์ มิลฟาร์ได้รอเขามาตลอด เมื่อเธอได้เจอเข้าก็เผยรอยยิ้มเบ่งบานออกมา
“ท่านจักรพรรดิ!”
ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็ได้ออกคำสั่งกับเธออย่างเย็นชา
“รวบรวมเอลฟ์คลาส 4 ที่แกร่งที่สุดพันคนกับเผ่าพันธ์หมาป่า พาพวกเขาขึ้นมาบนป้อมปราการผู้พิทักษ์ มิลฟาร์ในคราวนี้เธอก็จะต้องไปด้วย จิล มิไร แล้วก็พีทก็จะไปด้วย เอลฟ์ทุกๆคนจะอยู่ภายใต้การบัญชาการของเธอ เอริเซียก็ก็จะต้องบัญชาการเผ่าพันธ์หมาป่าในป้อมปราการผู้พิทักษ์เช่นกัน”
“…เข้าใจแล้ว!”
“ค่ะ!”
“ค่ะ นายท่าน!”
เหล่าเอลฟ์กับหมาป่าได้เลือกสมาชิกพันคนได้ภายในพริบตาเดียวเหมือนกับพวกเขารอคอยมานานอยู่แล้ว พวกเขาต่างก็เดินเรียงแถวเข้าไปในป้อมปราการผู้พิทักษ์อย่างเป็นระเบียบ
ในระหว่างแจกจายอาวุธให้กับพวกเขาเหล่านี้ยูอิลฮานก็รู้สึกเขินนิดๆ สกิลปกครองของเขาได้ผลขนาดนี้เลยงั้นหรอ?
“ถ้างั้นตอนนี้เราจะไปบุกโลกระดับสูงกันแล้วใช่ไหม?”
เลียร่าได้ถามออกมาด้วยท่าทางที่ดูจะตื่นเต้นน่าดู ยูอิลฮานได้ส่ายหัวทันที
“พวกเราจะต้องไปเอาไพ่ตายมาก่อน”
โอโรจิที่ได้รับการฝึกกับร่างใหม่ของเขามาเป็นเวลา 15 ปีและได้ปรับตัวกับร่างกายใหม่ของเขาที่พัฒนาขึ้นมาแล้ว เขาได้ส่ายหัวออกมาราวกับเขากำลังพึมพัมเหมือนกับมนุษย์ จะมีแค่โอโรจิเท่านั้นที่รู้ถึง ‘ไพ่ตาย’ นี่เป็นอย่างดี
ในตอนนี้เองยูอิลฮานก็ครางออกมา
“เยี่ยม เสร็จแล้ว”
“เมื่อไหร่กัน!?”
ทั้งๆที่ยูอิลฮานยังยืนอยู่ที่เดิมเนี้ยนะ? ทุกๆคนต่างก็ตกตะลึงไป แต่ว่ายูอิลฮานได้ยิ้มออกมาอย่างชั่วช้าแทนคำแก้ตัว
“โอ้ นี่เป็นอาวุธที่พิเศษนิดหน่อยนะ”
“ถ้านายบอกว่ามันพิเศษนิดหน่อยนี่มันยิ่งไม่ดีแล้ว! อ๊า ฉันดีใจจังที่อยู่ฝั่งเดียวกับนาย…”
[นายท่าน อย่ามาทำลายฉันโอเคนะ?]
“…นี่พวกเธอคิดว่าฉันเป็นตัวบ้าอะไรกันเนี้ย?”
[…ฉันขอเลือกไม่ตอบแล้วกันนะ]
เพราะแบบนี้การเตรียมการทั้งหมดได้เสร็จแล้ว ยูอิลฮานได้หันไปคุยกับเฮเรียน่าอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะทำการเปิดใช้งานสกิลข้ามมิติ
“มีเงื่อนไขอะไรบ้างกับการที่จะขโมยโลก?”
[ที่รักจะต้องขับไล่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงคนอื่นๆออกไปจากโลกให้หมดและลบร่องรอยของคนพวกนั้นทิ้งไป]
“นั่นมันดูจะไม่ใช่สิ่งที่ใครๆก็ทำได้เลยนะ”
แน่นอนอยู่แล้วหากว่าการยึดครองโลกเป็นเรื่องนี้ใครๆก็ทำได้ จักรวาลใบนี้ก็คงจะพินาศไปแล้ว ยังไงก็ตามยูอิลฮานที่มีความสามารถของนักท่องมิติ และมีความสามารถที่เหมาะจะยึดโลกด้วย
“ผู้นำของแต่ล่ะกองกำลังก็น่าจะมีความสามารถที่คล้ายๆกับที่ฉันมีไม่ก็มีความที่ดีกว่าฉันอีก ยังไงก็ตามมีบางอย่างอยู่ที่ทำให้ฉันได้เปรียบ”
“เพราะนายเท่ใช่ไหมละ!?”
“เพราะนายหล่องั้นสินะ!?”
ยูอิลฮานรู้สึกกลัวเล็กน้อยที่เขาเผลอไปชินกับคำชมไร้ประโยชน์แบบนี้ และตอบกลับไป
“ไม่ มันเป็นเพราะฉันเป็นพวกคนทำงานภาคสนามไม่เหมือนกับพวกเจ้านายชี้นิ้วสั่งไงล่ะ”
เขารู้ดีว่าจุดแข็งของเขาอยู่ตรงไหน! แต่แน่นอนว่านี่ก็เป็นความประมาทของเขาเช่นกัน แต่สำหรับในตอนนี้เขาไม่ได้สนอีกต่อไปแล้ว!
“ไปกันเถอะ ฉันอยากจะทวงความเป็นธรรมคืนมา เพราะงั้นฉันอยากจะเริ่มจากสวนอาทิตย์อัสดงก่อนแล้วค่อยสลับไปมาที่กองกำลังอื่นๆ”
[งั้นเหตุผลที่นายเริ่มจากสวนอาทิตย์อัสงก็เพราะไม่ชอบงั้นสินะ?]
“ไม่หรอก มันก็แค่พวกนี้ดูจัดการได้ง่ายสุดเท่านั้นเอง”
ตลอดมายูอิลฮานไม่เคยข้ามเส้นไปโจมตีกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงตรงๆก่อนเลยทั้งนั้น
แต่ยังไงก็ตามในตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน และเพราะแบบนี้ทำให้เขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการต่อสู้กับกองกำลังอื่นได้อีก
มันยังไม่ใช่แค่นี้ ยูอิลฮานยังต้องชี้หอกของเขาเข้าใส่คนที่ไม่ได้มีความเป็นศัตรูหรือเจตนาร้ายกับเขาเลยด้วยซ้ำ ที่ยูอิลฮานทำก็แค่เพราะคนพวกนั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกับกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเท่านั้น หากบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องแบบนีก็คงจะไม่จริง แต่ว่า…
“ถ้าหากว่าพวกนายอยากจะให้ฉันเต้นอยู่บนเวทีที่พวกนายสร้างกันขึ้นมาล่ะก็”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติของเขา จำนวนของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ยูอิลฮานได้เจอมาจนถึงตอนนี้มีมากจนเรียกได้ว่า ‘นับไม่ถ้วน’ และการจะสร้างประตูมิติที่จะพาเขาไปในที่ที่พวกนั้นอาศัยอยู่ด้วยบันทึกที่เขามีมันไม่ใช่เรื่องยากเลย
“ฉันยินดีที่จะรับบทคนร้าย”
สกิลได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว
ป้อมปราการลอยฟ้ากับป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อนแต่แรก
บทที่ 285 – เตรียมตัว (3)
โลกระดับสูงรุยเซียเป็นโลกที่ถูกสวนอาทิตย์อัสดงปกครองอยู่ และมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงคลาสห้ามากกว่าพันคนพักอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ พวกเขาเหล่านี้ได้ทำตัวเร้นลับทำให้ปลอดภัยจนพูดได้เลยว่าไม่มีกองกำลังอื่นบุกเข้ามา แต่ว่าพวกเขาก็ยังคงเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าหากมันเกิดขึ้นจริงการจะป้องกันตัวเองให้สำเร็จก็จะเป็นคนล่ะเรื่องกับการเตรียมการ
[ฉันแบ่งพลังกระจกเรียบร้อยแล้ว]
“เธอจะต้องจัดการพวกมันออกไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง”
[ไม่ต้องห่วงน่า]
“ดี ยิงได้!”
[รับทราบ!]
กระจกนับร้อยที่ถูกซ่อนเอาไว้ได้กระจายออกมาจากป้องปราการลอยฟ้าปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ก่อนที่จะยิงลำแสงพลังงานที่ทรงพลังออกไปทั้งหมด
เนื่องจากว่าป้อมปราการลอยฟ้าได้กลายมาเป็นระดับนิรันดร์แล้วทำให้พันนัยน์ตาได้ถูกยกระดับพลังขึ้นไปเช่นเดียวกัน และในตอนนี้แค่การระดมยิงครั้งเดียวก็ได้พรากชีวิตสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่อาศัยอยู่ที่นี่ไปนับร้อยแล้ว
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับค่า…]
ยูอิลฮานได้เห็นข้อความค่าประสบการณ์จำนวนนับไม่ถ้วนและชูมือขึ้นบนท้องฟ้า คนที่กำลังคอยอยู่บนป้อมปราการทั้งสองได้เตรียมตัวรบทันที
แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะเป็นแค่คลาส 4 แต่ว่าอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้อย่างน้อยก็อยู่ระดับมหากาพย์ไปแล้ว แถมอุปกรณ์พวกนี้ยังถูกสร้างขึ้นจากผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่อย่างยูอิลฮานอีกด้วยทำให้ทุกๆชิ้นต่างก็มากพอจะทำให้เกิดการแตกหักได้เลยหากไปปรากฏในโลกอื่นสักชิ้นหนึ่ง
“ฉันจะสนับสนุนพวกเขาทุกๆคนดังนั้นจะต้องไม่มีใครตาย”
หากว่าเขายังไม่ได้เตรียมตัวมาขนาดนี้ เขาก็จะไม่มาที่นี่แน่
“นับจากนี้ นี่คือเวทีของเรา”
ตอนนี้มันถึงเวลาที่แสดงให้คนพวกนี้ได้เห็นแล้วว่าตุ๊กตาบนเวทีที่พวกเขาพยายามจะเชิดมาตลอดนั้นน่ากลัวแค่ไหนแล้ว
“ทุกๆคน”
เขาได้โบกมือลงมา ป้อมปราการทั้งสองได้พุ่งออกไปทันที
“บุก!”
“ท่านหญิงเรย์น่าาาาาา!”
จากเสียงของนายูนาทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในป้อมปราการทั้งสองได้ขยายอำนาจปกคลุมทั้งท้องฟ้าทันที สมาชิกทุกๆคนที่อยู่ภายในป้อมปราการต่างก็ได้รับการเพิ่มพลังขึ้นและเข้าโจมตีศัตรูด้วยตาเป็นประกาย
[อะไรกัน คนพวกนี้นทำแบบนี้ได้ยังไง!?]
[…สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ?]
สำหรับสงครามนั้นการสื่อสารไม่ใช่เรื่องจำเป็น ยูอิลฮานได้ควบคุมอาร์ติแฟคภายในป้อมปราการทั้งสองร่วมกันกับมิสทิคเพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้มีโอกาสร่ายเวทย์และยังช่วยยับยั้งการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอีกด้วย นี่คือสงครามที่จะทำให้แต่ล่ะกองกำลังอ่อนแอลง แต่ในเวลาเดียวกันก็จะทำให้พรรคพวกของเขาแกร่งขึ้น ยิ่งเขาลงมือน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นเรื่องที่ดี
“พวกเราฆ่าได้คนนึงแล้ว!”
“ฉันเสียใจนะ… แต่ว่า!”
[อึก!?]
มันไม่ใช่ว่าศัตรูไม่ระวังตัว แต่ว่ามันเป็นเพราะกองทัพที่ถูกติดอาวุธจากยูอิลฮานนั้นทรงพลังมากเกินไป ต่อให้ศัตรูจะเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง และต่อให้โลกนี้จะเป็นถิ่นของศัตรู แต่ว่าในแง่ของการผสานศักยภาพแล้วพวกเขาแข็งแกร่งกว่าจนผลักดันให้ศัตรูต้องถอย
[ได้ยังไงกัน…?]
ศัตรูได้ถามกันขึ้นมาเมื่อได้เห็นพรรคพวกได้ตายไปโดยที่ไม่อาจจะทำอะไรได้เลย
[ทำไมนายถึงไม่ถูกโลกหยุดเอาไว้!]
ภายในโลกที่สวนอาทิตย์อัสดงปกครองอยู่ คนที่ไม่ได้อยู่ในกองกำลังตามปกติแล้วน่าจะถูกกดพลังเอาไว้สิ ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำก็ยิ่งจะได้รับผลมาก
[เส้นทางมารุยเซียถูกเปิดขึ้นได้ยังไงกัน!? นี่มันระดับผู้ปกครองแล้ว!]
[พลังของเราไม่ทำงาน แล้วแบบนี้พวกเขายังใช่ผู้ปกครองโลกใบนี้อยู่อีกงั้นหรอ!?]
“พวกนายคงไม่หวังให้ฉันตอบไปจริงๆหรอกนะ?”
ยังไงก็ตามปัญหาพวกนั้นได้ถูกแก้ด้วยบัญชาการลูกเรือ(แก้จากคำสั่งเดินทัพ)ของยูอิลฮาน สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำทุกๆคนที่นี่ต่างก็เป็นลูกเรือของยูอิลฮานทำให้ได้รับการแบ่งพลังจากนักท่องมิติไป เพราะแบบนี้เองทำให้พวกเขาไม่ได้รับจากพลังของโลก
[นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย นี่มัน… อ๊าากกก!]
โลกใบนี้กว้างใหญ่และผู้เฝ้าประตูต่างก็กระจายกันอกไป แต่ยังไงก็ตามป้อมปราการลอยฟ้ามีความสามารถที่จะทำลายระยะห่างพวกนั้นได้ในพริบตาเดียว
ป้อมปราการทั้งสองแห่งที่มีพลังการต่อสู้ในตัวเองนั้นได้ปรากฏขึ้นและหายไปตามที่ต่างๆบนโลกจากความสามารถข้ามมิติของยูอิลฮาน และเพราะแบบนี้ทำให้สิ่งมีชีวิตคลาส 5 ยอมแพ้กับการตามรอยพวกเขา
[พวกเราไม่อาจจะเผชิญหน้ากับพวกเขาได้]
[กำลังเสริมล่ะ? เมื่อไหร่กำลังเสริมจะมาถึง?]
[แต่ว่าในตอนนี้ กำลังเสริม… ไม่]
[ชิ!]
ผู้เฝ้าประตูได้หยุดพูดลงไปกลางกัน ในทันทีหลังจากนั้นกรงเล็บของโอโรจิก็ได้กวาดผ่านอากาศเข้ามาฉีกหัวใจเขาไป
[ถ้าจะคุยกันก็ค่อยคุยกันเมื่อสงครามจบสิ ที่นี่มีคนน่ารำคาญแบบนายท่านเต็มไปหมดเลย]
“ฉันได้ยินที่นายพูดนะโอโรจิ รีบๆขยับตูดของนายไปได้แล้วถ้ายังมีเวลาเอามาบ่นฉันน่ะ”
[อย่างน้อยนายท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ เข้าใจแล้ว ข้าจะไปอารวาดให้เต็มที่ซะหน่อย]
โอโรจิได้บีบหมัดและคลายหมัดหลายต่อหลายครั้งราวกับว่าเขารู้สึกว่าการต่อสู้จริงมันไม่ได้แย่เลย และเขาได้พุ่งเข้าไปหาศัตรูด้วยตัวเองด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าระดับของจิตวิญญาณโอโรจิจะต่ำอยู่ แต่ว่าตอนนี้เมื่อเคลื่อนไหวด้วยผลจากพรของนายูนา ทำให้ต่อให้โอโรจิจะดึงศักยภาพของร่างกายมาได้แค่ 30% ก็ไม่มีใครเลยที่สร้างบาดแผลให้กับเขาได้
[กำลังเสริมงั้นสินะ? พวกเขาคงไม่มาที่นี่เร็วๆนี้หรอกนะ]
เฮเรียน่าที่มองดูสนามรบได้พิงยูอิลฮานอยู่และหัวเราะออกมา
[ตอนนี้กำลังเสริมพวกนั้นก็คงจะยุ่งกับการต่อสู้ในโลกอื่นอยู่ใช่ไหมล่ะ?]
“เฮ้ นี่เธอก็ต้องไปปกป้องคนอื่นๆเหมือนกันนะ”
[ที่รักเป็นคนบอกฉันเองนี่ว่าให้ฉันอยู่ข้างๆเพราะกลัวว่าคนอื่นๆจะไม่พัฒนาหากฉันก้าวออกไป]
“ฉันแค่บอกว่าไม่ให้เธอทำอะไร แล้วก็ฉันก็ไม่ได้ขอให้เธอมาอยู่ข้างๆด้วย”
ยูอิลฮานได้ส่ายหัวออกมาและตอบกลับไปอย่างเย็นชา กระจกจำนวนหนึ่งได้ยิงลำแสงออกไปตามท่าทางของเขาและดูดพลังเวทย์ที่ผู้เฝ้าประตูร่ายออกมาเพื่อช่วยคนกันพรรคพวก เมื่อศัตรูได้เห็นแบบนี้ต่างก็เบิกตากว้างอย่างตกใจและจบด้วยการตายลงภายใต้เงื้อมมือของกองทัพมังกร
“ฮีโร่ เราแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!”
[กรรรร! พวกนายยังแกร่งขึ้นได้มากกว่านี้อีก!]
เด็กๆต่างก็บูชากันในพลังเหมือนกันกับยูมิล พวกเด็กๆต่างก็สอดประสานช่วยกันและกันทำให้เป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสนามรบ แน่นอนว่ายูมิลคือคนที่นำเด็กๆและทำหน้าที่ส่วนใหญ่ให้
[พะ พวกเราต้องหนีแล้ว]
[ถ้าว่าถ้าเราทอดทิ้งรุยเซีย…]
[แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ต้องเอาตัวรอดนะ อ๊าากกก]
[ติดคริติคอล!]
“อ๊ะ โทษที”
“โจมตี! บุกเลย!”
เวทย์ของคิมเยซอลได้ทำให้ศัตรูเคลื่อนไหวช้าลง และเอิลต้า คังมิเรย์ และคาริน่า มาลาเทสต้าก็ได้ใช้เวทย์ของพวกเธอจัดการฆ่าศัตรู การจัดการเหล่าคนหนีทัพจะเป็นหน้าที่ของพวกเธอ การแจกจ่ายหน้าที่ของยูอิลฮานได้เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ
[หัวหน้าของศัตรูอยู่ในปราสาทนั่น]
[ปราสาท… นั่นมันใช่ปราสาทหรอ?]
[ตอบมา ทำไมแกถึงทำเรื่องแบบนี้! แกไม่กลัวถูกเราเอาคืนงั้นหรอ!?]
[มันยังไม่สายเกินไปนะ! เผยตัวออกมาและยอมรับผิดกับสวนอาทิตย์อัสดงซะ]
ในตอนแรกศัตรูได้พยายามจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่จากนั้นพวกศัตรูก็รู้ตัวว่าไม่อาจจะทำได้และพยายามจะเรียกกำลังเสริม แต่ว่ามันไม่ได้ผลทำให้พวกศัตรูเลือกจะหนี และในตอนนี้แม้แต่การหลบหนีก็ล้มเหลวแล้วทำให้พวกศัตรูทั้งขอร้องและทั้งข่มขู่ออกมา สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่มีอายุกว่าพันปีไม่ได้ทำสิ่งที่แตกต่างไปจากมนุษย์เลย
“นี่มันไม่ตลกเลยนะ”
เมื่อยูอิลฮานได้ยื่นนิ้วออกมาด้วยรอยยิ้ม พันนัยน์ตาที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆก็ได้มารวมตัวกันในจุดเดียวจนเป็นกระจกขนาดใหญ่ คนที่รอดอยู่ได้รู้ถึงสิ่งที่เขากำลังจะทำและตัวแข็งทื่อกันจนหมด
“พวกนายคิดว่ามนุษย์จะยอมแพ้กับชีวิตแค่เพราะว่ามนุษย์กลัวในคนที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาถึงน่ะหรอ?”
[ที่รักเท่ที่สุด เห็นแก่ตัวและชั่วร้าย!]
มนุษย์มักจะดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่เสมอ ตัวยูอิลฮานก็เป็นคนเช่นนั้น เขาไม่ได้คิดจะพิสูจน์ว่าตัวเองถูก หรือจะโทษว่าศัตรูเป็นฝ่ายผิด
แต่มันก็แค่ว่าผู้ที่รอดชีวิตเท่านั้นถึงจะเป็นผู้ชนะ
[ฉันจะ!]
“ยิงได้!”
เมื่อยูอิลฮานได้พึมพัมออกมาเล่นๆ กระจกขนาดใหญ่ก็ได้ยิมพลังงานความเข้มข้นสูงออกไป
[อ๊ากกก!?]
ยิงไปที่ไหนกันล่ะ? ที่ที่ยิงไปก็คือประตูมิติขนาดใหญ่ที่เปิดขึ้นมากลางอากาศในรุยเซีย ภายในประตูมิติมีกำลังเสริมจากสวนอาทิตย์อัสดงที่ถูกส่งมาอยู่ แต่ว่านี่มันก็สายเกินไปนิด พลังงานลำแสงได้พุ่งตรงเข้าหาพวกเขาเหล่านั้นโดยไม่มีการหักเหใดๆ
[ได้ไงกัน…!]
[อ๊ากก!?]
มันไม่มีอะไรที่ซ่อนไปจากเขาได้ ยูอิลฮานได้อ่านการเข้าออกโลกใบนี้ผ่านพลังนักท่องมิติของเขา และจัดการสอยคนพวกนั้นให้ร่วงไปในทันทีที่เข้ามา
[ติดคริติคอล!]
กำลังเสริมมีมานับพันคน นี่มันก็เพราะว่าพวกเขารู้ดีถึงผลกระทบจากการที่โลกระดับสูงถูกขโมยไป แน่นอนว่ามีผู้เฝ้าประตูคลาส 6 อยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ด้วย แต่แล้วพวกเขาก็ได้ตายลงไปโดยที่ยังไม่ได้เห็นศัตรูเลยด้วยซ้ำ
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับ…]
[สกิลบันทึกได้เพิ่มเลเวลเป็นเลเวล 84]
ยูอิลฮานได้สะบัดมือลบข้อความวุ่นวายที่ปรากฏขึ้นมารัวๆ จากนั้นเขาก็มองเห็นเหล่าผู้เฝ้าประตูที่กำลังสิ้นหวังกันอยู่
[เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง…]
[นี่มันฝันร้าย… พวกมันกำลังหลอกเราอยู่! สิ่งมีชีวิตชั้นสูง พวกมันคือกองทัพสวรรค์!]
ฉากที่กำลังเสริมทั้งหมดที่มาถึงได้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้ทำให้ศัตรูหมดกำลังลงไป นี่เป็นภาพที่จะได้เห็นเฉพาะในฐานทัพหลักของแต่ละกองกำลังเท่านั้น นี่มันดูจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้กระทั่งเฮเรียน่าก็ยังมองมาที่ยูอิลฮานอย่างตกตะลึง
[ที่รักคงจะโจมตีแบบนี้ไม่ได้บ่อยๆใช่ไหม?]
“แน่นอนว่าไม่บ่อยแน่อยู่แล้ว ที่ฉันทำได้เพราะฉันได้ดูดเอามานาจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ตายไปในโลกนี้มาทำแบบนั้น”
[ขโมยพลังของโลกและทำลายสมาชิกของโลกใบนั้น นี่คือกลยุทธิ์การบุกที่สมบูรณ์แบบ…]
คนในสวนอาทิตย์อัสดงมีบันทึกที่ต่างกันมากมายเมื่อเทียบกับกองกำลังอื่นๆ เพราะแบบนี้ทำให้สกิลบันทึกของเขาได้พัฒนาขึ้นมามาก
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจที่จะเอาทุกๆอย่างในโลกใบนี้ที่เอามาได้และสะบัดมือ กระจกขนาดมหึมาได้กระจายไปเป็นพันอันทั่วโลกในทันที และผู้เฝ้าประตูก็มีการตอบสนองที่ช้ามากเกินไปเพราะเอาแต่สนใจกระจกยักษ์
“มัวทำอะไรกันอยู่? โจมตีได้แล้ว”
“คะ ครับ!”
ยูอิลฮานได้ออกคำสั่งอย่างเช่นกัน พรรคพวกของเขาได้เข้าไปทำการโจมตีในทันที การกวาดล้างศัตรูในคราวนี้ไม่ได้ใช้เวลานานนัก
[คุณได้ฆ่าสมาชิกทั้งหมดในโลกระดับสูงที่สังกัดสวนอาทิตย์อัสดง สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลเป็น 64 คุณได้รับสิทธิ์ในการครอบครองโลกใบนี้]
[คุณยังขาดอีกหลายเงื่อนไขในการที่จะเป็นจ้าวแห่งโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ มีแค่คุณเติมเต็มเงื่อนไขเหล่านี้เท่านั้นคุณถึงจะได้รับสิทธิจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ จนกว่าจะถึงตอนนั้นโลกจะถูกขโมยคืนกลับไปได้ง่าย]
ข้อความจำนวนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมา เขาได้อ่านอย่างตั้งใจและหยักหน้าออกมา งั้นนักท่องมิติก็เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่จะทำให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเหมือนกัน
ในเมื่อเขาได้มาไกลถึงขนาดนี้แล้วมันก็ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลอีกแล้ว เขาก็แค่ต้องเติมเต็มเงื่อนไขทั้งหมดนั่นเท่านั้นเอง
“จะไม่มีกำลังเสริมมาอีกแล้วงั้นหรอ?”
“ต่อให้พวกนั้นส่งมาก็ไม่สำคัญแล้ว ฉันจะจัดการกวาดล้างพวกมันไปในทันที เอาล่ะถ้างั้นทุกๆคนเตรียวตัวรบเอาไว้ พวกนายทุกคนน่าจะเลเวลเพิ่มขึ้นมาเลยไม่ต้องพักกันใช่ไหม?”
“นายมันปีศาจจริงๆ”
การต้องสู้กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงสำหรับพวกเขาแล้วคือการเอาชีวิตไปเสี่ยง หากว่ามีอะไรผิดพลาดนั่นจะหมายถึงความตาย แต่ว่าถ้าทำสำเร็จพวกเขาก็จะพัฒนาขึ้นแน่นอน
จริงๆแล้วสมาชิกทุกๆคนที่เป็นลูกเรือก็ได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลมาจนเลเวลอัพทำให้พวกเขาเถียงกลับไปไม่ได้เลย มีบางส่วนที่ไม่ได้เลเวลเพิ่ม แต่ว่านั่นมันก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรมากในสนามรบทำให้พวกเขาบ่นไม่ได้เช่นกัน
“ถ้างั้นเราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้ จุดหมายต่อไปคือกองทัพปีศาจวิบัติ”
[นั่นเพราะว่าที่รักยังเกลียฉันอยู่สินะ?]
“ไม่ นั่นมันเพราะว่ารองจากสวนอาทิตย์อัสดงแล้วพวกกองทัพปีศาจวิบัติดูจะจัดการง่ายที่สุด”
ความคิดของยูอิลฮานก็ยังเป็นเช่นเดิม เฮเรียน่าก็ได้แต่หัวเราะออกมากับความคิดง่ายๆของเขา เขาได้จัดการเปิดใช้สกิลข้ามมิติทันที
สงครามเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
บทที่ 286 – เตรียมตัว (4)
[อย่ามาพูดไร้สาระ]
ผู้บัญชาการกองพันที่ 10 แห่งกองทัพปีศาจวิบัติยักษานำแข็งเมโลฮิเน่ได้บ่นกับคำรายงานที่ลูกน้องของเธอรายงานมา
[เทบาต้าถูกขโมยไปงั้นหรอ? เทบาต้าคือโลกที่ไม่เคยถูกเจอมาก่อนเลยนะ ใครกันที่จะมีวิธีไปที่นั่นได้น่ะ? ผู้นำกองกำลังออกหน้าด้วยตัวเองงั้นหรอ? ถ้างั้นนายท่านของเราก็จะต้องออกหน้าด้วยเหมือนกัน!]
[มันไม่ใช่แบบนั้น]
ลูกน้องเธอได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
[ยูอิลฮานจากโลกเอิร์ท – เขาเป็นคนทำเรื่องนี้]
[…นี่เขากำลังจะกลายเป็นพระเจ้าองค์ที่ห้าจริงๆงั้นหรอ?]
เมโลฮิเน่ได้ตอบลูกน้องเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยเช่นกัน การเกิดของพระเจ้าองค์ที่ห้า หากว่านี่เป็นเรื่องจริง แม้แต่เธอก็จะดูถูกเรื่องนี้ไม่ได้เลย
[ผมไม่รู้เรื่องนั้นครับ แต่ว่าคนที่กำลังปกป้องเทบาต้าได้ถูกกำจัดไปในทันทีและโลกก็ถูกขโมยไป ตอนที่กำลังเสริมไปถึง เขาคนนั้นก็จากไปแล้วและพวกเขานั้นก็สามารถจะกลับมาได้อย่างง่ายดาย แต่ก็อย่างที่ท่านรู้สึกในก่อนหน้านี้ พลังของกองกำลังได้ถูกทำลายไปแล้ว]
[ชิ]
มันไม่น่าจะมีแค่เธอที่ตกใจหลังจากที่โลกถูกยึดไป แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวแต่ว่าพลังของทั้งกองกำลังก็ได้เสียไปแล้ว พวกกองทัพปีศาจกระทั่งถูกกดดันกลับมาในระยะสั้นๆ และถึงแม้ว่าตอนนี้จะได้โลกคืนมาแล้ว แต่ว่าพลังที่ถูกขโมยไปจะไม่ได้คืนกลับมาในเร็วๆนี้…
[คนที่สามารถจะเข้าไปในโลกที่ถูกปิดอยู่มีแต่ผู้นำของแต่ล่ะกองกำลังเท่านั้นที่ทำได้! นี่คือหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเขาคนนี้คือพระเจ้า! ให้ตายสิ ฉันรู้สึกอายจริงๆที่คิดจะดึงตัวเขาเข้ามาในกองกำลังเรา!]
เมโลฮิเน่ได้ตะโกนออกมาก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมา สิ่งที่เธอเห็นคือกลุ่มของมอนสเตอร์ที่สังกัดกองทัพปีศาจวิบัติที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าปปะทะอยู่กับกลุ่มของเทวดาตกสวรรค์
ใช่แล้ว ในตอนนี้กองทัพปีศาจวิบัติกำลังทำสงครามอยู่กับเทวดาตกสวรรค์ในโลกของเทวดาตกสวรรค์ แน่นอนว่าโลกนี้คือโลกที่พวกกองทัพปีศาจวิบัติเคยมีข้อมูลมาก่อน หากเป็นโลกที่เทวดาตกสวรรค์ได้ซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดมันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกเข้าไปเว้นเสียแต่ว่าหัวหน้ากองกำลังจะออกหน้าด้วยตัวเอง
[บางทีนายท่านของเราอาจจะต้องเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่เราคิด… ยูอิลฮาน ฉันจะฆ่าแกแน่นอน!]
เธอได้เดาะลิ้นและพุ่งตัวออกไป ในตอนนี้เองเวทย์ที่อยู่รอบตัวเธอได้ถูกแช่แขงไปในทันที ไม่ว่าเธอจะผ่านไปตรงไหน มานาทั้งหมดในบริเวณที่ใกล้เคียงกับตัวเธอจะถูกแช่แข็งไปในทันที
[เจ้าพวกอีกาน่าขยะแขยง! ฉันจะย้อมพวกแกให้เป็นสีขาวเอง!]
ยักษ์ได้คำรามออกมาดังสนั่น คนที่ตอบกลับเธอก็คือปีกที่ 7 แห่งกองทัพจรัสแสงเฟเรอร์ ผู้ที่ดูแลรักษาการณ์ในโลกใบนี้
[มอนสเตอร์ที่น่าสงสาร ผู้บุกรุกที่บ้าบิ่น เฟเรอร์ผู้นี้จะเป็นคนพิพากษาพวกเธอเอง]
[ฮ่าห์ ก็ลองดูสิ!]
ยักษากับเทวดาตกสวรรค์ได้ปะทะเข้าด้วยกันอยู่กลางอากาศ หมัดของยักษาที่ดูเหมือนกับจะแช่แข็งโลกทั้งใบได้ถูกปีกหกข้างรับเอาไว้อย่างแผ่วเบา มานาของเฟเรอร์ได้ถูกรวบรวมอยู่ที่ปลายปีก ถูกบีบอัดจนถึงขีดสุดและยิงออกมา
[เทคนิคกระจอก!]
ยังไงก็ตามยักษาได้พุ่งตัวออกไปเหมือนกับหัวหอก สิ่งที่เธอภาคภูมิใจมากที่สุดเลยก็คือร่างกายที่ทนทานของเธอ! แต่ให้ระหว่างการต่อสู้ร่างกายเธอจะเสียหาย แต่ว่าเธอก็จะฟื้นฟูมันได้กลับมาแน่นอน ความแข็งแกร่งของกองทัพปีศาจวิบัติได้มาจากความบ้าบิ่นและพลังชีวิตที่น่าทึ่งนี้เอง!
[ลองเอาปีกอีกาพวกนั้นมาป้องกันนี่ดูซิ]
[ได้ตามที่เธอต้องการ นะ… น้ำแข็ง?]
เฟเรอร์ได้หยุดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อที่จะร่ายเวทย์สวนกลับการโจมตีของเมโลฮิเน่ แต่ในตอนที่เขากำลังรวบรวมเวทย์ จู่ๆมานาที่อยู่รอบตัวเขาก็หายไปและเวทย์ก็ถูกขัด
แน่นอนว่าเมโลฮิเน่ไม่ใช่คนโง่ที่จะพลาดในโอกาสนี้ หมัดที่เต็มไปด้วยพลังน้ำแข็งทั้งหมดของเธอได้ถูกซัดเข้าใส่เฟเรอร์อย่างไร้ความลังเล ปีกของเฟเรอร์ได้ถูกแช่แข็งและแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆทั้งแบบนี้
[คิคิ แกน่าจะไปหัดเรียนเวทย์ใหม่ตั้งแต่ต้นคงจะดีกว่านะ!]
[อ๊าาากก ได้ยังไกัน!? มานาของฉันไปไหน…]
เฟเรอร์ที่เสียปีกของเขาไปครึ่งหนึ่งจากความผิดพลาดเดียวได้ถอยไปอย่างสั่นกลัว แน่นอนว่าเมโลฮิเน่รู้เหตุผลที่เขาอ่อนแอลง เพราะนั่นมันก็เพิ่งจะเกิดขึ้นกับฝ่ายของเธอไม่นานมานี้เหมือนกัน
[ดูเหมือนเด็กนั่นจะกำลังทำให้ทุกๆคนกองกำลังมาเป็นศัตรู เคะๆ น่าสนุก เป็นชายที่น่าสนใจจริงๆ!]
[เด็ก… อย่าบอกนะว่าเป็นมัน?]
ในที่สุดเฟเรอร์ก็รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามจะถอยไป แต่ว่าเมโลฮิเน่ไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ หากว่าเธอพลาดโอกาสครั้งใหญ่ในการสังหารศัตรูเธอก็คงจะทำกองทัพปีศาจวิบัติเสียชื่อแล้ว
[เพราะเด็กนั่นทำให้สงครามนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น! ดูเหมือนว่าฉันจะต้องตอบรับความใจดีนั่นแล้วสิ!]
[ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนั่นจะทำได้สิ!? ไม่ กองกำลังที่ห้าจะปรากฏขึ้นมาจริงๆงั้นหรอ…? แต่ว่านายท่าน!]
[อย่าเอาแต่พูดเรื่องโง่ๆสิเฟเรอร์! ถ้านายมาเสียสมาธิต่อหน้าฉันในตอนนี้ เดี๋ยวคอนายจะหักเอานะ!]
เมโลฮิเน่ได้ตะโกนออกมาอีกครั้ง ส่วนเฟเรอร์ได้กัดริมฝีปากปล่อยมานาออกมาเผชิญหน้ากับเธออีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามในตอนนี้ก็ยังคงมีคำถามจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในหัวเฟเรอร์อยู่
‘ทำไมนายท่านถึงได้สั่งให้เราแค่สังเกตการณ์เจ้าบ้านั่นด้วยล่ะ? พวกจำเป็นต้องกำจัดเขาออกไปเดี๋ยวนี้’
นี่มันเป็นเรื่องคำสั่งของตัวตนสูงสุดของกองกำลังที่สั่งกับผู้บัญชาการกองพันทั้งหมดของกองทัพจรัสแสง
มันไม่แปลกที่ตัวตนสูงสุดนั่นจะสนใจในขุมกำลังใหม่ แต่ยังไงก็ตามการปล่อยคนที่กำลังทำลายโลกของพวกเขาอยู่มันเป็นปัญหา
‘แต่ว่าสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดเลยคือ…’
เฟเรอร์ได้กัดฟันแน่นในขณะที่หลบหมัดจากเมโลฮิเน่ ชายคนนั้น ยูอิลฮานเพิ่งจะ…
[เจ้าบ้านั่นอยู่ไหนแล้ว!]
[เขาหายไปแล้วงั้นหรอ!? แต่เขายังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอยู่เลยนะ]
[อะ อ๊ากกก คนที่อยู่ใต้การคุ้มครองจากกองทัพสวรรค์กล้าจะทำแบบนี!]
[พระเจ้า โลกใบนี้ยุ่งเหยิงไปกันหมดแล้ว!]
ในที่สุดสมาชิกของทั้งสี่กองกำลังที่กำลังสู้กันอยู่ก็ได้รู้ถึงสิ่งที่ยูอิลฮานทำหลังจากที่มีโลกถูกขโมยไป
ยูอิลฮานรู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเป็นยังไง และเขาก็ได้ใช้โอกาสนี้สร้างสถานการณ์ที่ซับซ้อนขึ้นมาเพื่อ…
[เขากำลังลดขุมกำลังของแต่ล่ะกองกำลังไปพร้อมๆกัน!? นี่เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำทำ! นี่เขามันไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว!]
ในโลกแห่งที่สองที่เป็นของกองทัพสวรรค์ กลุ่มของยูอิลฮานได้เจอเข้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ยูอิลฮานได้หยั่งไหล่ออกมาทั้งๆที่เผชิญหน้ากับเทวทูตสวรรค์คลาส 7 รามิเอลที่กำลังคำรามออกมาอยู่
“มีใครกันที่ตั้งกฏไว้ว่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจะสู้กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ได้งั้นหรอ? บอกฉันมาหน่อยสิ ฉันจะได้เล่นตามกฏให้ไง”
[…]
“ปกติแล้วคนที่ชอบยกกฏขึ้นมาพูดมักจะเป็นคนไม่ดี…”
“อืมม งั้นยูอิลฮานก็เป็นคนไม่ดีสินะ?”
[ผู้หญิงพวกนี้!]
รามิเอลได้หมดคำพูดไปเมื่อเห็นยูอิลฮานได้ตอบกลับมาและเลียร่ากับเอิลต้าก็ได้กระซิบกระซาบกันจนทำให้เขาต้องตะโกนขึ้นมา ประกายไฟรอบตัวเขาได้แสดงถึงความโกรธของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี
[ทำไมพวกเธอถึงได้ไปยืนอยู่ฝั่งนั้นกัน! พวกเธอที่เป็นคนที่ทำงานให้กับกองทัพสวรรค์มาหลายต่อหลายปีกล้าชี้อาวุธมาที่ทูตสวรรค์เราได้ยังไงกัน!]
“ฉันก็คิดว่านี่มันโชคร้ายนะ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ด้วย”
เลียร่าได้ตอบกลับมาตรงๆ แต่ยังไงก็ตาม คำพูดต่อมาของเธอได้แสดงถึงจุดยืนของเธอ
“แต่ว่าถ้าฉันอยากจะอยู่เคียงข้างยูอิลฮาน ฉันก็รู้ว่าฉันจะต้องสู้กับทูตสวรรค์ในสักวัน”
[นี่เธอ!]
“มันเป็นปกติที่กองทัพสวรรค์จะ…”
“จะไม่ยอมรับในตัวตนที่ห้า”
เอิลต้าเป็นคนต่อประโยคให้จบลง เธอก็ได้ยิ้มแห้งๆออกมาเช่นกัน
[ตัวตนที่ห้างั้นหรอ?]
รามิเอลได้ส่งเสียงขึ้นจมูกขึ้นมาหลังจากได้ยินแบบนี้
[ฉันรู้ว่าเขามีศักยภาพยังไง แต่ว่าตัวตนที่ห้างั้นหรอ? นี่พวกเธอคิดว่าการไปถึงระดับนั้นมันง่ายมากหรอ? โอเค ที่พวกเธอเป็นแบบนี้กันก็เพราะเชื่อว่าเขาเป็นแบบนี้งั้นสินะ?]
[จากที่ฉันเห็น เขาได้ไปถึงระดับนั้นแล้วรามิเอล นายนี่ยังผยองไม่เลิกเลยนะ]
[ใช่! เราไม่ยอมรับในพระเจ้าคนใดนอกไปจากนายท่านของเราเพียงผู้เดียว! นอกเหนือจากนั้นคือเส้นทางแห่งบาปและเป็นเส้นทางที่ห้ามไม่ให้มีอยู่อีก!]
รามิเอลได้คำรามออกมาด้วยความโกรธ มานาที่เต็มอยู่ในโลกระดับสูงได้ถูกดูดเข้ามาหาเขาและเปลื่ยนกลายมาเป็นแสงสว่าง ฉากนี้คือการโจมตีที่น่ากลัวและน่าสะพรึง
[โอ้ นั่นมันดูน่าอันตรายเลย ดูเหมือนเขาจะถึงพลังทั้งหมดของโลกใบนี้มาล่ะ เจ้าสมองกล้ามเนื้อนี่]
เฮเรียน่ารู้สึกว่านี่ถึงตาเธอแล้วทำให้เธอก้าวออกมาแต่ว่ายูอิลฮานได้จับไหล่หยุดเธอเอาไว้ เมื่อเธอหันกลับไปมองอย่างสับสน ยูอิลฮานก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นี่เธอคิดว่าฉันจะมาที่นี่โดยไม่คิดเผื่อว่าพวกเขาจะมาเลยงั้นหรอ?”
[ที่รักนี่คุณ?]
เมื่อรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ เฮเรียน่าได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา ยูอิลฮานได้หยักหน้าของเขาและตั้งท่าเตรียมสู้โดยไม่พูดอะไรกับเธอเพิ่มอีก
“ใช่แล้ว ฉันจะสู้กับเทวทูตคลาส 7”
[ที่รัก…]
ไม่ว่ากองทัพปีศาจวิบัติจะรักในการทำลายและความทรมานมากแค่ไหน พวกเาก็จะไม่มีวันทำในสิ่งที่ยูอิลฮานจะทำในตอนนี้แน่ และยูอิลฮานเขากำลังทำสิ่งนี้โดยไม่สนใจอะไร เขากำลังจะสู้กับคลาส 7 ตรงๆโดยที่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอยู่
“ฉันยังขาดบันทึกของกองทัพสวรรค์อยู่เลย อืมม ตอนแรกฉันหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทัพสวรรค์เพราะเลียร่ากับเอิลต้า… แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากจะลากถ่วงเวลาอีกต่อไปแล้ว”
สู้ก็เพราะเขาต้องการบันทึก? ที่เขามาหาคลาส 7 แค่เพราะแบบนี้งั้นหรอ?
เฮเรียน่าทำได้แต่หัวเราะออกมาหลังจากได้ยินคำพูดตรงๆจากยูอิลฮาน ตอนนี้เธอรู้สึกมีความสุขที่สุดแล้ว ผู้ชายที่เธอเลือกคือคนที่ดีที่สุดแล้ว
[ที่รัก… การที่ที่รักไปเข้าร่วมกองทัพปีศาจวิบัติอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้นะ ฟุฟุ เท่สุดๆเลย ฉันตกหลุมรักที่รักอีกแล้วสิ]
“อย่ามาแตะคนรักฉันอีกนะ!”
เลียร่าที่กำลังจัดการด้านอื่นได้ตะโกนมาทันทีแต่ว่าเฮเรียน่าก็ทำเพียงส่งเสียงหึกลับไป ยูอิลฮานได้ก้าวท้าวออกไปด้านหน้าในขณะที่มองกลับไปหาพรรคพวกของเขาทั้งๆที่เขากำลังเผชิญหน้ากับคลาส 7 อยู่
“มิล พ่อคิดว่าพ่อต้องการให้ลูกช่วยแล้วล่ะ”
[ผมกำลังรออยู่เลยครับพ่อ!]
[นายคิดว่ามนุษย์จะก้าวข้ามสิ่งที่เหนือกว่าแค่เพราะมีมังกรงั้นหรอ!]
“เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปอย่างมั่นใจและกระโดดไปบนตัวยูมิลที่เปลื่ยนเป็นร่างมังกรอยู่ ยูมิลได้แบ่งปันจิตสำนึกกับยูอิลฮานและพุ่งไปข้างหน้าเพื่อเผชิญกับสายฟ้าและแสงที่รามิเอลปล่อยออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“ฟู่….”
[ฟู่….”
ด้วยศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหน้าทำให้พวกเขาได้ผสานลมหายใจเข้าด้วยกัน เมื่อพวกเขาได้สอดประสานกันลึกซึ้งแล้ว จิตวิญยาณแห่งเพลิงก็ได้ปกคลุมผิวหนังของยูอิลฮานและเกราะร่างมนุษย์มังกรก็ได้มาปกคลุมอีกชั้นหนึ่ง – ในตอนนี้ชุดเกราะทั้งสองได้รวมกันเป็นชุดเกราะร่างมังกรจิตวิญญารเพลิงและทำให้ระดับพลังของยูอิลฮานพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เอาล่ะ มาสู้กันเลย”
มังกรแห่งเพลิงที่อยู่ในส่วนลึกในร่างและจิตวิญาณของยูอิลฮานได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาคำรามเข้าใส่ศัตรู
[นาย…?]
สีหน้าของรามิเอลได้เปลื่ยนไปหลังจากที่รู้สึกได้ถึงเศษเสี้ยวพลังของยูอิลฮาน รามิเอลที่ดูถูกยูอิลฮานเพราะความยโสของเขาได้เริ่มคำว่า ‘ถ้าเกิด’ ขึ้นมา
[นายซ่อนพลังมากแบบนี้ไว้ในร่างได้ยังไงกัน? ทั้งๆที่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ…?]
“นับจากนี้ไปนายก็จะได้รู้เองนั่นแหละ”
ยูอิลฮานได้แสยะยิ้มออกมาและยิ้มหอกขึ้น หอกของเขาได้สร้างขึ้นมาจากเพลิงเพียงเท่านั้น เมื่อได้เห็นปากของมังกรที่ปลายหอก ดวงตารามิเอลก็ได้เบิกกว้างขึ้นมา บางที บางที เขาอาจจะเป็นไปแล้ว…
[ฉันยอมรับไม่ได้!]
“มาสู้กันเทวทูต!”
การต่อสู้ระหว่างสัตว์ประหลาดทั้งสองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
บทที่ 287 – เตรียมตัว (5)
รามิเอลได้เปลื่ยนมานาส่วนใหญ่ที่เขารวบรวมมาจากบนโลกให้กลายมาเป็นเส้นสายฟ้าและโยนออกมา
เส้นสายฟ้านี้ไม่เพียงแต่จะรวดเร็วมากๆ แต่มันยังทำให้ยูอิลฮานหลบไปยากอีกด้วย เพราะหากยูอิลฮานหลบสายฟ้านี้ก็จะพุ่งเข้าไปใสพรคพวกของเขาที่อยู่ในป้อมปราการลอยฟ้าแทน นี่เป็นการโจมตีที่บังคับให้ยูอิลฮานจะต้องตัดสินใจและการตัดสินใจของเขาจะต้องเร็วมากๆด้วย ยูอิลฮานได้ให้ยูมิลลอยขึ้นไปบนฟ้าเพื่อที่จะหลบทันที
[โง่เง่า พรรคพวกของนายก็จะ… อะไรกัน!?]
หลังจากนั้นได้มีบาเรียโผล่ขึ้นมาป้องกันสายฟ้าเอาไว้ในทันที พลังป้องกันของบาเรียนี้มีเกราะโลหะของเคลาทูคอยู่ทำให้มันไม่มีทางที่จะพังลงจากการโจมตีธรรมดาๆของคลาส 7 แน่นอน จริงๆแล้วบาเรียนี่กระทั่งดูดมานาจากภายในมาฟื้นฟูความทนทานอีกด้วย
[นี่มัน…]
เมื่อได้เห็นบาเรียที่สร้างขึ้นจากมนุษย์ป้องกันสายฟ้าของเขาได้ทำให้รามิเอลตกตะลึงขึ้นทันที แต่ว่าไม่นานนักเขาก็รู้ตัวว่าตัวตนของยูมิลกับยูอิลฮานได้หายตัวไปแล้ว
[อะไรกัน…?]
เขาตามรอยสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำไม่ได้ทั้งๆที่อยู่รงหน้าเนี้ยนะ!? รามิเอลยอมรับในเรื่องแบบนี้ไม่ได้เลย แต่ว่าในฐานะที่เขาเป็นเทวทูตคลาส 7ทำให้เขาก็รู้ทันทีว่าเขาอาจจะถูกศัตรูโจมตีเข้ามาทำให้เขาได้ส่งพลังวสายฟ้าไปที่ปีกเพื่อปกป้องร่างกายเอาไว้ การเคลื่อนไหวนี้ของเขาลื่นไหลสมกับเป็นเทวทูตคลาส 7 เป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นยูอิลฮานก็ได้โจมตีรามิเอลในทันที
[ติดคริติคอล!]
การโจมตีที่เต็มไปด้วยมานาจำนวนหาศาลได้ถูกโจมตีลงมาที่ปีกของเขา ยังไงก็ตามเนื่องจากรามิเอลรอเอาไว้อยู่แล้วทำให้เขาได้ยิงสายฟ้ากลับไปในทันทีที่กางปีกออกมา
[นี่คือบทลงโทษสำหรับความผยองของนาย!]
ทั้งพลังทางกายภาพและมานาได้ถูกส่งย้อนกลับไปในทิศทางเดิมอย่างเฉียบคม แถมยังมีพลังสายฟ้าที่หนาแน่นของรามิเอลเสริมเข้ามาอีกด้วย
นี่คือการรับการโจมตีอย่าสมบูรณ์แบบและโต้กลับคืนไปด้วยพลังที่โจมตีเข้ามา นี่คือสกิลต่อสู้ระดับสูงที่มีแค่ส่วนน้อยมากๆที่จะใช้เทคนิคนี้ได้ สวนกลับ!
[ตกตายไปซะ! จงร่วงหล่น! หล่นลงไปตามความปรารถนาที่เพ้อฝันของนายซะ!]
หากยูอิลฮานโดนการโจมตีนี้เข้าเขาก็จะต้องบาดเจ็บหนักแน่นอนไม่ว่าพลังป้องกันจะมากแค่ไหน การโจมตีนี้เต็มได้ด้วยสายฟ้าที่ทรงพลัง
ยังไงก็ตามจังหวะการสวนกลับไปอย่างสมบูรณ์แบบของเขาก็ไม่มีอะไรตอบสนองกลับมา นี่ยูอิลฮานตายไปจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวแล้วงั้นหรอ? รามิเอลได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างสับสน และ
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริ…!]
ในตอนนี้เองเลือดสีขาวเท่าก็ได้กระจายออกมาจากแขนซ้ายและปีกที่ถูกตัดออกมา ต่อมาส่วนที่ถูกตัดออกมาก็หายไปกลางอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้รามิเอลเอาส่วนนั้นกลับมาฟื้นฟูตัวเอง
[นะ นี่มัน…!?]
แทนที่จะรู้สึกเจ็บปวดกับการเสียร่างกายไปกว่า 30% รามิเอลกลับตกใจกับการที่สกิลสวนกลับของเราล้มเหลว ทั้งๆที่เขาไม่เคยสวนกลับล้มเหลวเลยซักครั้ เขาได้รีบกระจายมานาออกมาเพื่อสร้างสมดุลและมองไปหายูอิลฮาน
“หวัดดี”
[นาย!?]
ยูอิลฮานตอนนี้กำลังอยู่ข้างหน้ารามิเอล
[สกิลหอกไร้วิถีได้เพิ่มเลเวลเป็น 99]
[คุณได้เติมเต็มอีกหนึ่งเงื่อนไขของสกิลใช้งานสวนกลับ คุณจะได้รับสกิลสวนกลับเมื่อเติมเต็มเงื่อนไขได้ครบ]
ข้อความที่ปรากฏออกมาได้บอกสองสิ่งกับยูอิลฮาน หนึ่งก็คืออีกไม่นานแล้วที่เขาจะเชี่ยวชาญสกิลระดับสูง และอีกอันก็คืออีกไม่นานแล้วที่เขาจจะได้รับสกิลที่ทรงพลังอันใหม่มา สกิลสวนกลับ ที่เทวทูตเพิ่งจะใช้งานเมื่อกี้นี้
พูดตรงๆแล้วยูอิลฮานคิดว่าเขาได้แข็งแกร่งมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขายังมีเส้นทางให้ก้าวเดินไปต่อ ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปอย่างหยิ่งผยอง
“สกิลสวนกลับงั้นสินะ? ขอบใจนะที่โชว์ให้ฉันดู ตอนนี้ฉันอาจจะแสดงให้นายเห็นไม่ได้ แต่ว่าฉันจะพยายามเรียนสิ่งที่นายโชว์ให้ดูให้ดีที่สุดแล้วกันนะ!”
[นาย…!?]
ระหว่างตอบกลับด้วยรอยยิ้ม มือของยูอิลฮานก็จับไปที่หอกเพลิงที่กำลังคำรามออกมา เนื่่องจากว่านี่คือการโจมตีที่กระทันหันทำให้รามิเอลไม่มีโอกาสได้เปิดใช้สกิลสวนกลับทำให้เขาถูกหอกโจมตีเข้าที่คอทันที
[ติดคริติคอล!]
[สกิลหอกสะบั้นจักรวาลได้เพิ่มเลเวลเป็น 89]
[อ๊ากกก!]
เลือดสีเทาขาวได้กระจายออกมาอีกครั้งหนึ่ง ตาทั้งสองข้างของยูอิลฮานได้เป็นประกายขึ้นมา และรามิเอลได้จับหัววของเขาเอาไว้ในขณะเดียวกันก็ใช้ปีกที่เหลือแค่ครึ่งเดียวมาป้องกันด้านหน้า สายฟ้าได้พุ่งพล่านออกมาดูคุกคามเขา แต่ว่านี่มันดูเบาบางกว่าก่อนหน้านี้มาก
[นายทำได้ยังไงกัน! นายเป็นนักรบเวทย์งั้นหรอ!?]
“มันมีการแบ่งประเภทแบบนั้นด้วย? กระบวนการคิดของนายที่มันเหมือนพวกลูกน้องตัวร้ายในยุค 90 เลยนะ!”
“อิลฮานกำลังบอกว่ารามิเอลเป็นตัวโกงล่ะ!”
“แต่ว่ายูอิลฮานเขาดูจะเหมาะกว่าอีกนะ!”
[ผู้หญิงพวกนี้!]
การโจมตีครั้งแรกของยูอิลฮานนั้นมาจากหอกไร้วิถีตามปกติของเขา ซึ่งหอกของเขาได้แทงมาในแง่มุมที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองออก
ยังไงก็ตามสกิลนี้ก็ยังได้พัฒนาขึ้นมาอย่างน่าทึ่งอีกครั้งเมื่อยูอิลฮานได้มีประสบการณ์กับเวทย์ที่บิดเบือนมิติเวลาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาคุ้นชินกับมัน
ความพิเศษของเทคนิคนี้ก็คือเขาจะสามารถโจมตีหลายต่อหลายครั้งในทิศทางที่แตกต่างกันได้พร้อมๆกัน และในคราวนี้ยูอิลฮานก็ได้โจมตีออกไปในทิศทางที่ต่างกันเช่นเดิม แต่ว่าในตอนที่โจมตีทิศทางแรกของเขาทำให้สกิลสวนกลับของรามิเอลทำงานและจากนั้นยูอิลฮานก็เริ่มโจมตีอีกต่ออีกสิบครั้งที่เหลือพร้อมๆกัน
นี่คือเทคนิคที่เขาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเขาอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูออก แถมสกิลนี้ยังเป็นสกิลที่อยู่เหนือไปกว่ามิติเวลาแล้วด้วยทำให้ไม่แปลกเลยที่ศัตรูคิดว่านี่จะเป็นเวทมนต์ เพราะว่าในการโจมตีครั้งนี้ก็มีหลักการณ์ของเวทมนต์อยู่ภายใน
[นี่นายมีพลังในการควบคุมเวลาด้วย!]
“ฟุฟ ลองคิดดูสิ”
แน่นอนว่าจากประสบการณ์จากเวทย์ชะลอเวลาบนโลกของยูอิลฮานทำให้เขาได้ฝืนทำความเข้าใจและเอามาปรับใช้กับหอกของเขาได้เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่ว่ายังไงการให้ศัตรูเข้าใจผิดไปก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้แย่อะไร
[พ่อน่าทึ่งจัง]
“ความเร็วของมิลก็เร็วขึ้นมาเหมือนกัน พ่อคิดว่าลูกยังเร็วได้กว่านี้อีกนะ”
[จากการเคลื่อนไหวบนโลกทำให้ผมบินได้เร็วขึ้นมา!]
แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครตั้งใจ แต่ว่าเวทย์ชะลอเวลาบนโลกของเขาได้มีส่วนช่วยอย่างมากที่ทำให้ยูอิลฮานกับคนอื่นๆแข็งแกร่งขึ้น
การทนฝึกอยู่ภายใต้ผลของเวทย์ชะลอเวลาไม่เพียงแต่จะทำให้ทำให้ยูอิลฮานดึงพลังได้มาขึ้นแต่ยังรวมไปถึงยูมิลด้วยเช่นกัน และเพราะแบบนี้ทำให้สองพ่อลูกสามารถจะต่อสู้กับเทวทูตคลาส 7 โดยไม่ด้อยกว่าได้
[เร็วมาก? ใช่ นายเร็วมาก ทำไมนายถึงยังคงความเร็วแบบนั้นได้กัน!]
รามิเอลได้เปลื่ยนมานาทั้งหมดให้กลายมาเป็นสายฟ้าในทันทีที่เรารู้สึกว่าเขาอาจจะแพ้สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำขึ้นมาริงๆแล้ว ไม่ว่าตอนนี้เขาจะอ่อนแอยังไง แต่สายฟ้าที่เขาได้ยิงออกมาก็มีพลังมากพอที่จะทะลวงเกราะตรงๆ
[ทำไมไม่ลองหลบนี่ดูล่ะ! นี่ด้วย! นี่แหละคือบทลงโทษจากตัวแทนของเทพเจ้า!]
“มิล ลูกหลบได้ใช่ไหม?”
[ครับ]
ยูอิลฮานได้เรียกอย่างสงบทั้งๆที่เผชิญหน้ากับสายฟ้าที่หลั่งไหเข้ามา ยูมิลก็ยังตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกัน
ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังสอดประสานกัน พวกเขาไม่ได้แค่แบ่งสตินึกคิดกันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมานาและสัมผัสที่เฉียบคมอีกด้วย เพราะแบบนี้ทำให้การเคลื่อนไหวหลบสายฟ้าของยูมิลได้เร็วขึ้นไปอีก
[ได้ยังไงกัน!? พวกนายทั้งสองคน… ได้ยังไงกัน!]
แม้ว่าทั้งสองคนจะเชื่อมต่อกันด้วยฐานะของนักขี่มังกรกับมังกร แต่การจะทำถึงขนาดนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่มันเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะว่ายูอิลฮานได้รู้ถึงพลังมังกรและยกระดับพลังนี้ขึ้นมาด้วยอ่างแห่งปาฏิหาริย์
บวกกับเขายังได้ยกระดับสัมผัสของพวกเขาเหนือไปกว่าขีดสุดเพราะพวกเขาได้สู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งแบบนี้เป็นครั้งแรกด้วย
“ฟู่ สดชื่น”
[ครับ สดชื่่นมากๆเลย]
พลังไฟกับพลังมังกรในใจของเขาได้พุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรงเมื่อเขาเข้าสู่การต่อสู้ และในตอนนี้ก็ได้เชื่อมต่อเข้ากับยูมิลอย่างสมบูรณ์
นี่คือการสอดประสานที่แท้จริง นี่คือการสอดประสานที่เขารู้สึกได้มาจากแห่งปาฏิหาริย์ การสอดประสานนั้นได้เกิดขึ้นกับยูอิลฮษนและยูมิลอีกครั้งด้วยการมีเกราะร่างมังกรจิตวิญญาณเพลิงเป็นสื่อกลาง
การสอดประสานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ทำให้พลังของทั้งสองคนถูกยกระดับขึ้นและหลอมรวมกัน แม้กระทั่งมานาในโลกระดับสูงที่ควรจะเชื่อฟังรามิเอลก็ยังไม่อาจจะต่อต้านแรงดูดที่ทรงพลังได้จนถูกดูดเข้ามากลายเป็นพลังมังกรกับพลังเพลิงทั้งๆที่แต่เดิมมันเป็นพลังของสวรรค์ก็ตาม เพราะแบบนี้ทำให้สายฟ้าของรามิเอลได้อ่อนแอยิ่งขึ้นไปด้วย
[แกมัน…!]
“หืม นี่มาถูกทางแล้ว”
[มันร้อนมากครับพ่อ พลังความร้อน… มันกำลังมากยิ่งขึ้น]
ธาตุโดยกำเนิดของยูมิลนั้นค่อนไปทางธาตุลม แต่อีกด้านหนึ่งพลังที่ยูอิลฮานเชี่ยวชาญมากที่สุดคือเพลิง
โชคดีมากที่สองพลังนี้ต่างก็เสริมให้กันและกันในตัว ยูมิลได้ขยายพลังเพลิงออกมาปกคลุมร่างของเขาจนเกิดเป็นพลังทรงพลังขึ้นมา จากภายนอกทั้งสองคนดูเหมือนกับลูกไฟยักษ์ลูกหนึ่ง
“พ่อคิดว่าเราทำได้”
[ใช่แล้ว พ่อก็คิดว่าเราทำได้]
ตอนนี้ยูอิลฮานไม่จำเป็นต้องส่งความคิดไปให้ยูมิลแล้ว พวกเขาทั้งสองคนได้แชร์ความคิดกัน กระบวนการส่งความตั้งใจไปให้กันได้ถูกข้ามไปแล้ว และยูมิลก็ได้ทำตามสิ่งที่ยูอิลฮานต้องการได้ทันทีเลย เพราะแบบนี้ทำให้ความเร็วพวกเขาเร็วยิ่งขึ้นอีก
สิ่งที่ยูอิลฮานพยายามทำในตอนนี้นั่นก็คือสกิลสวนกลับที่รามิเอลได้แสดงให้เขาดูเมื่อกี้นี้
[อย่ามาดูถูกพลังและอำนาจของ…สวรรค์นะ!]
และในท้ายที่สุดเวลานี้ก็ได้มาถึง
จากการได้เห็นสองพ่อลูกหลบสายฟ้าของเขาได้ทั้งหมดทำให้รามิเอลได้มาถึงขีดสุดแล้ว เขาได้ปล่อยมานาที่มากยิ่งกว่าเดิมออกมา
สายฟ้าจากบนมือของเขาได้ถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า และในเวลาต่อมาทั้งท้องฟ้าก็ได้ถูกย้อมไปด้วยสีน้ำเงิน เขาได้ใช้พลังของเขาย้อมทั้งโลกเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ยูอิลฮานขโมยพลังของโลกไป
[เปิดตาแล้วูซะ นี่แหละคือเจตจำนงแห่งสวรรค์]
“สวรรค์งั้นหรอ? นายมั่นใจงั้นสินะ?”
ยูอิลฮานได้ยิ้มถามกลับไปอย่างเย็นชา
“ฉันคิดว่านายก็ไม่ได้มีเลือดเป็นสีขาวบริสุทธิ์นี่ เลือดนายมันดูเหมือนสีเทาที่พยายามจะทำให้เป็นสีขาวซะมากกว่า”
[…แกกำลังดูถูกฉัน!]
น้ำเสียงของเขาได้สั่นขึ้นมาแล้ว ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็มั่นใจมาก ตัวรามิเอลได้เสียเลือดของทูตสวรรค์ไปและดูดซับบันทึกอื่นมา ตัวเขาพร้อมที่จะเปลื่ยนไปเป็นกองทัพจรัสแสงได้ตลอดเวลา พูดอีกอย่างก็คือรามิเอลคือคนทรยศ
“ไม่มีทางน่า ไม่มีทางที่รามิเอลจะเป็นคนทรยศ เขาเป็นเทวทูตที่ซื้อตรงระดับพระเจ้ามาตั้งแต่อดีตเลยนะ”
เลียร่าที่เตรียมตัวต่อสู้อยู่ในป้อมปราการก็ยังส่ายหัวออกมาอย่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของยูอิลฮาน เอิลต้าก็ยังก็ยังถามยูอิลฮานด้วยน้ำเสียงสงบ
“ยูอิลฮาน นายเป็นคนที่จะหาความบริสุทธิ์ให้กับสิ่งที่นายทำงั้นหรอ?”
“ไม่ล่ะ ที่ฉันจะฆ่าหมอนี่มันไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนทรยศซะหน่อย”
“…จริงสิ คงไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้ว”
จากนั้นสายตาที่เย็นชาของเอิลต้าก็จ้องไปที่รามิเอล
“งั้นนายก็เป็นคนทรยศจริงๆสินะรามิเอล”
[ไม่ ฉันไม่ได้… ทรยศ! ฉันคือประสงค์ของสวรรค์!]
เมฆฝนสายฟ้าได้ตกลงมาจากทั่วท้องฟ้า มานากำลังสั่นสะเทือนราวกับแสดงถึงสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ สถานการณ์นี่มันเหมาะอย่างมากกับสิ่งที่ยูอิลฮานกำลังพยายามจะทำต่อจากนี้
“เรามาเริ่มกันเลยไหมมิล?”
[ได้ครับพ่อ]
การสอดประสานของทั้งสองคนได้ลึกซึ้งมายิ่งขึ้น ปีกของมังกรได้ถูกเพลิงที่ถูกพลังลมเสริมพลังเข้าปกคลุมและสยายออกกว้างราวกับจะกลืนกินท้องฟ้า
สายฟ้าที่ผ่าลงมาบนโลกได้เริ่มที่จะกลายเป็นสีแดง
บทที่ 288 – เตรียมตัว (6)
[นี่คือ….]
คนที่ครอบครองสกิลสวนกลับอย่างรามิเอลรู้ได้ทันทีว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น
ฝนสายฟ้าที่เต็มไปด้วยมานาจำนวนมหาศาลกำลังไปรวมกันอยู่ในจุดๆหนึ่งและเปลื่ยนไปเป็นเพลิงสีแดงชาน
ตรงกลางนั้นก็ยังมีมนุษย์หนึ่งคนกับมังกรหนึ่งตัวอยู่ หรือพูดอีกอย่างก็คือยูอิลฮานกระทั่งใช้มานาของยูมิลเพื่อเปลื่ยนแปลงมานาทั้งหมดอยู่
การจะเอาชนะมานาที่พลั่งพรูของศัตรูได้อย่างหมดจดนั้นจะต้องเปลื่ยนโครงสร้างการควบคุมมานาจากการแทรกแซงเข้าไปในช่องว่าง เปลื่ยนแปลงคุณสมบัติด้วยการส่งมานาเข้าไป และสุดท้ายก็คือการปล่อยทั้งพลังทางกายภาพและพลังเวทย์เพื่อชักนำมานาทั้งหมดรอบๆได้เปลื่ยนไปตามการนำของพวกเขา
[คุณได้รับสกิลการใช้งาน สวนกลับ]
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเลเป็น 67]
นี่คือสกิลสวนกลับ สกิลระดับสูงที่จะสะท้อนพลังกลับคืนไป
[ตัวตนแบบนี้… มันไม่น่าจะมีอยู่สิ]
“อืมม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ในตอนนี้ยูอิลฮานก็ยังพึมพัมกับตัวเองเงียบๆ ฝนเพลิงสีแดงตอนนี้กำลังหลั่งไหลเข้าไปทางรามิเอลที่ครั้งหนึ่งเคยควบคุมฝนนี้มาก่อน
[แก… กล้ามากนะที่ทำแบบนี้!]
รามิเอลได้กัดฟันแน่นกางปีกออกมาทั้งๆที่เหลือแค่ครึ่งเดียว ที่เขาทำได้แค่นี้มันก็เพราะว่าการจะใช้สวนกลับเข้าใส่การโจมตีที่ผ่านการสวนกลับมาเป็นอยู่ในขอบเขตพลังที่เหนือกว่าที่เขาอยู่ในตอนนี้ นี่มันนับได้ว่าการใช้เวทย์ใหญ่ครั้งนี้ของเขามันคือความผิดพลาดที่รุนแรงมาก
[ติดคริติคอล!]
โล่สายฟ้าสีขาวน้ำเงินที่เกิดมาจากปีกทั้งสี่ข้างได้ปะทะเข้ากับฝนเพลิงและทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมา การระเบิดครั้งนี้ดูเหมือนจะทำให้ทั้งโลกสั่นไหวได้เลย
“ไม่มีทางน่า อิลฮานแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…?”
“มานาของเขาที่เพิ่มขึ้นมันดูปกติดี แต่ว่าฉันรู้สึกว่าการสอดประสานของเขากับยูมิลได้ทำให้พวกเขาสามารถจะดึงพลังที่แท้จริงของมังกรออกมาได้ เพราะแบบนี้ก็เลยให้พวกเขาทั้งสองคนแกร่งขึ้น แต่ถึงแบบนั้น…”
[น่าทึ่งมาก ฉันตกใจมากเลยกับการควบคุมมานาให้เกิดการเปลื่ยนแปลงแบบนี้ มานาที่ที่รักสัมผัสได้ดูจะแตกต่างไปจากมานาที่ฉันกำลังสนใจอยู่…?]
แม้แต่คนที่เฝ้ามองอยู่ก็ไม่อาจจะขยับต่อได้เพราะความตกตะลึง แค่แรงจากการระเบิดก็ทำให้บาเรียที่ล้อมรอบป้อมปราการทั้งสองแห่งร้าวแล้ว มิสทิคได้รีบส่งมานาเข้าไปฟื้นฟูบาเรียทันที
[นายท่าน ท่านบ้าไปแล้วววว!]
ยังไงก็ตามสกิลสวนกลับของยูอิลฮานยังไม่ได้หมดแค่นี้ สกิลสวนกลับคือเทคนิคที่จะจัดการควบคุมพลังทั้งหมดที่ศัตรูได้ใช้มา เพราะแบบนี้เอง…
[ท้องฟ้านั่น…!]
ท้องฟ้าได้ถูกย้อมไปเป็นสีแดง เส้นสายฟ้าสีน้ำเงินเข้มได้เปลื่ยนไปเป็นเพลิงสีแดง และสิทธิในการควบคุมโลกใบนี้ของสวรรค์ได้ถูกบังคับโอนไปให้ยูอิลฮานชั่วคราว เวทย์ขนาดใหญ่ที่ได้ใช้พลังของโลกได้ถูกสวนกลับคืนไปทั้งหมด
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลเป็น 70 เวลาในการปรับตัวเข้ากับมิติได้ลดน้อยลง และคุณสามารถจะควบคุมและดึงเอามานาในโลกที่คุณยึดครองมาใช้ได้มากยิ่งขึ้น]
[กรรรรรรรรรรร!]
“อึก อั๊กกกก”
ยูมิลได้คำรามเสียงดังออกมา ส่วนยูอิลฮานก็ยังครางออกมาเพราะมานาที่หลั่งไหลอย่างรุนแรงนี้มันได้ทำร้ายเขา แต่ว่าเขาก็ยังทนเอาไว้และยกหอกในมือขึ้นมา
“อิชจาร์มาร่วมมือกันหน่อย! เพลิงนิรันดร์เธอก็มาช่วยด้วย”
[ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งนายท่าน]
[ได้เลย!]
ในตอนนี้อิชจาร์ได้ยอมรับยูอิลฮานอย่างสมบูรณ์ทั้งกายใจแล้ว ส่วนเพลิงนิรันดร์ก็ได้ตอบกลับมาเหมือนเพื่อนสนิทมากกว่าที่เป็นลูกน้อง ด้วยการสนับสนุนจากจิตวิญญาณทั้งสองนี้ได้ทำให้การควบคุมมานาของยูอิลฮานกับยูมิลพุ่งสูงขึ้นไปจนถึงขีดสุด
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานเทวะกำลังไว้ในแขนที่กำลังสั่นเทาของเขาและกัดริมฝีปากไว้ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบในเรื่องของความเชื่อมากนะ แต่ว่าในตอนนี้สิ่งเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ก็คือความกล้าของเขา
“ย๊ากกกกก!”
ในท้ายที่สุดเพลิงทั้งหมดก็ได้เริ่มถูกรวบรวมเข้ามาที่ปลายหอกของเขา
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลเป็น 71]
“ว้าว…”
“สวยมาก นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นการหลั่งไหลของมานาที่สวยงามแบบนี้…”
“อิลฮาน…!”
นี่คือฉากที่น่าทึ่งที่เหมือนกับว่าโลกใบนี้กำลังโค้งคำนับแสดงความเคารพยูอิลฮาน มานาที่ระเบิดออกมาทั้งหมดก็ได้หายไปแล้วเช่นกัน พลังพวกนั้นได้ถูกส่งมาให้ยูอิลฮานและถูกรวบรมไปในจุดๆหนึ่งโดยไม่หลงเหลือเอาไว้แม้แต่เสี้ยวเดียว
[มนุษย์โง่เขลา….!]
“ฮึ่ม”
รามิเอลได้พูดคำพูดที่ฟังดูเหมือนจะชั่วร้ายราวกับเขามาจากขุมนรกออกมา แม้ว่าเขาจะรู้ถึงพลังงานเพลิงที่รวมกันอยู่ที่หอกของยูอิลฮาน แต่ว่ามันไม่มีทางเลยที่เขาจะหลบหรือป้องกันได้ ตัวเขาในตอนนี้กำลังป้องกันกับฝนเพลิงด้วยทุกอย่างที่ทำได้อยู่เลย
[กรอด ให้ตายสิ… เวรเอ้ย ฉันจะแพ้มนุษย์เนี้ยนะ! ให้ตายสิ ฉันจะจดจำเรื่องนี้เอาไว้!]
ในท้ายที่สุดเขาก็ได้กัดฟันและกางปีกออกมา เขาได้สลัดฝนเพลิงออกไปในทนัที และเปิดใช้งานเวทย์อีกชนิดหนึ่งโดยไม่สนใจกับความเสียหายที่กำลังได้รับอยู่ เวทย์คือก็คือเวทย์ที่จะทำให้เขาข้ามไปมิติอื่นได้!
[นายชนะแล้ว แต่ว่าคราวหน้าฉันจะมาเอาหัวของนายไป]
“ไม่ ไม่มีคราวหน้าแล้ว”
ตอนนี้เองสกิลจ้าวมิติของยูอิลฮานก็ได้ถูกใช้งานป้องกันไม่ให้มีกองกำลังใหม่เข้ามาอีก และที่สำคัญยิางกว่านั้นก็คือการป้องกันไม่ให้รามิเอลหนีออกไปอีกด้วย
การเรียกกำลังเสริมและมองหาโอกาสครั้งใหม่มันคืออภิสิทธิ์ที่มีแค่สำหรับตัวเอกเท่านั้น! สำหรับรามิเอลแล้วมันไม่มีโอกาสให้เขาได้ขึ้นมาแสดงตัวเอง
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 73]
[นาย!? เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆแต่กลับมีเศษเสี้ยงพลังในการปกครองมิติได้ยังไงกัน!]
รามิเอลได้ตะโกนออกมาอย่างตกใจเมื่อได้รู้ว่าการหลบหนีของเขาล้มเหลว รอยยิ้มไปปรากฏขึ้นมาบนมุมปากของยูอิลฮาน
“เธอนายลดการป้องกันลงนะ”
[อะไรกัน!?]
หากว่าสิ่งที่เขาไว้ใจมีแค่สกิลจ้าวมิติ ยูอิลฮานก็คงไม่เริ่มทำแบบนี้้แน่ นี่คือเวลาสำหรับการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยูอิลฮานได้จัดการเรียกให้นรกแห่งเปลวเพลิงขึ้นมาบนโลกใบนี้ทันที นี่คือสกิลการร่วงหล่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาเคยใช้มา
[อั๊ก!]
จะมีที่ไหนให้หนีอีก? ตอนนี้ทั้งโลกได้กลายมาเป็นศัตรูแล้ว! โซ่ที่ทำขึ้นมาจากเพลิงและวิญญาณได้พุ่งมาจากรอบทิศทางหยุดการเคลื่อนไหวของรามิเอลเอาไว้ โซ่พวกนี้ได้เข้ามารัดทั่วทั้งตัวรามิเอลแม้กระทั่งแขนกับคอ
ตอนนี้ตัวตนคลาส 7 ของรามิเอลไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว ปีกทูตสวรรค์ที่ไม่ได้มีพลังหนุนจากโลกระดับสูงไม่อาจจะคุกคามยูอิลฮานได้อีกต่อไปแล้ว
[สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ! เป็นแค่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำแท้ๆ! ฉันจะฆ่าแก! ฉันจะฆ่าแกกกก!]
ดวงตาของเขาได้เปลื่ยนไปเป็นสีแดงเข้ม ตอนนี้ตัวรามิเอลได้เต็มไปด้วยพลังแห่งความชั่วร้ายที่ต่างไปจากทูตสวรรค์ตามปกติ
บรรกาศรอบๆก็ยังเปลื่ยนแปลงไป รวมถึงพลังงานที่ปล่อยออกมาก็เช่นกัน สกิลบันทึกของยูอิลฮานได้สัมผัสได้ถึงเรื่องนี้และเตือนยูอิลฮานทันที
[มะ ไม่ได้นะ ฉะ… ฉัน นายท่าน!]
“‘นายท่าน’ ที่นายกำลังพูดถึงนี่ใครกัน?”
ยูอิลฮานได้ถามออกมา เพลิงที่รวมอยู่ที่ปลายหอกของยูอิลฮานได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นคมหอกที่แหลมคมที่สุด
“เอาสิ ตอบมาได้แล้ว”
[ฟู่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! น่าขำจริงๆ ใช่แล้วนี่มันน่าขำมา! ได้เลยฉันจะตอบคำถามนาย!]
รามิเอลได้ระเบิดหัวเราะออกมา คำพูดต่อมาที่ออกมาจากปากของเขาก็คือคำพูดที่ยูอิลฮานได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว
[ท่านผู้ทรยศผู้ยิ่งใหญ่ เทพเจ้าองค์สุดท้าย! คนที่จะครอบครองทั้งสวรรค์และนรก! นายท่านซาตาน!]
ทันทีที่รามิเอลได้ยอมรับว่าเป็นคนทรยศ ปีกของเขาก็ได้เปลื่ยจากสีขาวไปเป็นสีดำ การที่เทวทูตได้ถูกความต้องการชักจูงให้ต่ำลงไปนี่คือวินาทีที่พบเห็นได้ยากที่สุดในประวัติศาสตร์
[อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!]
มานาทั้งหมดที่รามิเอลมีอยู่ได้วนกลับและปั่นป่วนขึ้นมา โซ่ที่มัดร่างเขาเอาไว้ได้พังลงในทันที และปีกที่ขาดอยู่ก็ได้มีหมอกพลังงานสีดำปรากฏขึ้นมาเริ่มฟื้นฟูตัวเอง เลือดสีดำได้กระจายออกมากลายเป็นวงเวทย์จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ในขณะเดียวกันเพลิงและวิญญาณที่อยู่ก็ทำการเผาวงเวทย์นี้ทิ้งไปในทันที
[สกิลบันทึกได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 88]
“เขาเป็นคนทรยศจริงๆ!?”
“ถึงฉันจะเชื่อยูอิลฮานอยู่แล้ว แต่การที่มันมาเกิดขึ้นจริงต่อหน้านี่มัน… กำลังเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพสวรรค์กันนะ?”
“อ๊า ไม่ใช่ว่านี่มันแย่แล้วหรอในเมื่อนายอยากจะได้บันทึกของทูตสวรรค์แล้วจู่ๆทูตสวรรค์คนนั้นก็กลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ไปซะแล้ว~”
ขณะที่เลียร่ากับเอิลต้ากำลังเคร่งเครียดกันอยู่ นายูนากลับเป็นกังวลในเรื่องที่ต่างออกไป! ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้ส่ายหัวออกมาและปฏิเสธคำพูดของเธอ
“ไม่หรอก จริงๆมันดีต่างหาก ฉันได้รับบันทึกในตอนที่เขากลายเป็นเทวดาตกสวรรค์มาด้วย เพราะงั้นตอนนี้ฉันกระทั่งสามารถทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างการเปลื่ยนบันทึกของเทวดาตกสวรรค์ไปเป็นทูตสวรรค์ได้ด้วย นี่มันเหมือนซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเลยล่ะนะ”
“ว้าว!”
[เรื่องแบบนันมันเป็นไปได้ด้วย!?]
นี่คือการเปรียบเทียบที่ง่ายที่สุดของยูอิลฮานแล้ว
[ฉันจะฆ่าแกกกกกกก! ด้วยพลังทั้งหมดในฐานะปีกที่ 11 แห่งกองทัพจัรสแสงนี่แหละ!]
รามิเอลได้ล้มเลิกการได้รับการสนับสนุนจากโลกและได้ตกไปเป็นเทวดาตกสวรรค์เพื่อที่จะทำการฟื้นฟูร่างกาย เขาได้กลายมาเป็นปีกที่ 11 แห่งกองทัพจรัสแสง มานาของเขาที่บ้าคลั่งได้ผลักดันมานาของการร่วงหล่นกลับไป โซ่ที่มัดร่างเขาอยู่ได้เปลื่ยนเป็นสีดำและระเบิดออกในทันที เหตุผลที่เขาสามารถจะใช้พลังได้มากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ก็น่าจะเป็นเพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในกระบวนการปลุกพลังอยู่ นี่เป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น!
[เจ้านี่คิดจะฆ่าที่รักให้ได้ต้องให้ต้องเอาชีวิตเขาแรกก็ตาม! อ๊าา ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็…]
“ไม่หรอก มันจบแล้ว นี่คือการดิ้นรนสุดท้ายแล้ว”
ทุกๆคนกำลังตัวสั่นออกมา แต่ว่ามีเพียงยูอิลฮานเท่านั้นที่ยังสงบอยู่ เขาได้ตั้งท่าพร้อมหอกที่มีแต่เพลิงของเขา ตอนนี้เขากำลังเล็งไปที่หัวไหล่ของเทวดาตกสวรรค์ที่กำลังเปลื่ยนเป็นสีดำอย่างช้าๆ
[อ๊ากกกกกกก! ยูอิลฮานนนนนนนน!]
“รับไป”
ยูอิลฮานได้ขว้างหอกของเขาออกไป ด้วยความแม่นยำสัมบูรณ์ระดับเชี่ยวชาญของเขาทำให้หอกพุ่งออกไปเป็นเส้นตรงแทงเข้าเป้าในทันที ผลจากการโจมตีครั้งนี้ได้ทำให้การแทรกแซงจากมานาสีดำได้หยุดลง
“ตอนนี้ฉันจะฆ่านายต่างหาก”
[อึก!]
[ติดคริติคอล!]
เลือดสีดำของรามิเอลได้กระจายออกมาในทันที และมานาเสี้ยวสุดท้ายของเขาก็ได้ถูกรวมเข้าด้วยกัน
[ฉันขอสาป…]
“คำสาปงั้นหรอ?”
[ให้แกต้องตาย!]
เมื่อเลือดได้สร้างเป็นวงกลมเล็กๆขึ้น สายฟ้าสีดำก็พุ่งตรงเข้าไปหายูอิลฮานทันที ออร่าคำสาปที่ชั่วร้ายได้ปกคลุมทั่วร่างยูอิลฮานเอาไว้ นี่มันทำให้ยูอิลฮานคิดกับตัวเองว่าที่รามิเอลยอมให้ตัวเองเป็นแบบนี้ทั้งหมดก็เพื่อการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้
[คะ เคะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ลงมาที่ก้นบึ้งของนรกกับฉันซะ! อั๊ก!]
และนี่คือคำพูดสุดท้ายแล้ว หัวของเขาได้ร่วงลงมาด้วยรอยยิ้มนี้ เขาไม่มีความกังวลแม้แต่นิดเดียวเลยว่ายูอิลฮานจะรอดไปจากคำสาปนี้
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับบันทึกรามิเอลเลเวล 548]
[สกิลบันทึกได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 89]
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 77]
ยูอิลฮานได้ปัดฝุ่นที่เกราะของเขา สายฟ้าสีดำที่พุ่งเข้าใส่เกราะของเขาทั้งหมดได้ร่วงลงมาเป็นชิ้นๆจากเพลิงในทันที ยูอิลฮานได้ยิ้มแห้งๆออกมา
“เจ้านี่พิเศษจนถึงตอนจบเลยจริงๆนะ เขาไม่คิดจะมีเหยื่อล่อใดๆแล้วก็ตายแบบคนซื่อบื่อไปทั้งแบบนี้”
[ทั้งๆที่ตายไปแล้วก็ยังถูกดูถูกอีกนะ ช่างเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ]
“อิลฮาน!”
“ยูอิลฮาน!?”
เลียร่ากับเอิลต้าที่รู้สึกได้ถึงพลังคำสาปในตอนท้ายได้เรียกยูอิฮานอย่างตกตะลึง ยังไงก็ตามสีหน้าของยูอิลฮานที่กลับมาหาพวกเธอดูปกติมากเกินไปแล้ว
“ว่าไง ตอนนี้มันจบลงแล้ว”
“…แล้วคำสาปนั่นล่ะ?”
“ขนาดคำสาปของอิชจาร์ฉันยังผ่านมาแล้วเลย ฉันไม่มีทางที่จะถูกคำสาปครึ่งๆกลางๆนี่ฆ่าอยู่แล้ว”
“…”
ยูอิลฮานได้เก็บเอาศพของรามิเอลกลับมาโดยไม่คิดอะไรมากและจัดการโลกที่วุ่นวายนี้เนื่องจากการต่อสู้ของเขาได้ดูดมานาบางส่วนไป พรรคพวกของยูอิลฮานต่างก็ทำอะไรไม่ถูกกับยูอิลฮานที่พูด่าคำสาปที่ใช้พลังชีวิตของคลาส 7 ‘เป็นคำสาปครึ่งๆกลางๆ’ และพวกเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว
“ยังไงก็ตามมันดูเหมือนจะมีเรื่องน่ารำคาญอยู่”
เมื่อดูจากบันทึกที่เขาได้มาจากรามิเอล ยูอิลฮานก็ได้เกาหัวออกมา จากการที่เขาได้พบว่ารามิเอลเป็นคนทรยศทำให้เขาคิดว่ากอทัพสวรรค์ไม่ได้ปกติอีกต่อไปแล้ว เขาไม่รู้ว่านี่มันเป็นเรื่องแย่หรือป่าว แต่ว่ายิ่งเขาได้เข้าใจบันทึกของรามิเอลมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งถอนหายใจออกมามากขึ้น
“มันดูเหมือนว่าเรื่องทุกๆอย่างมันจะเกิดขึ้นไปตามการพัฒนาของฉันเลย มาดูกันว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แล้วฉันจะ…”
[มีอะไรงั้นหรอที่รัก?]
“อืมม ตอนนี้มันมีแต่เรื่องวุ่นวายอยู่แล้วนะ แต่ว่าฉันรู้สึกเหมือนว่าในอนาคตมันจะยิ่งวุ่นวายมากยิ่งกว่านี้อีก”
“มากกว่านี้อีกงั้นหรอ? ทำไมกันล่ะ?”
ยูอิลฮานได้ยิ้มแห้งๆให้กับคำถามของเลียร่าและตอบเธอกลับไปสั้นๆ
“ดูเหมือนว่าเทพเจ้าจะหนีไปจากสวรรค์แล้วไงล่ะ”
บทที่ 289 – เตรียมตัว (7)
“…หือ?”
เลียร่าได้ผงะไป ส่วนยูอิลฮานได้หยักไหล่ตอบกลับมา
“ฉันบอกว่าดูเหมือนเทพเจ้า(เปลื่ยนจากพระเจ้าเป็นเทพเจ้า)จะทิ้งบ้านเขาไปแล้วไงล่ะ”
“เทพเจ้าจากที่ไหน?”
“จากสวรรค์ไง”
“ไปไหนล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้สึก เรื่องนี้รามิเอลก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เลียร่าดูจะต้องใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนเอิลต้าเธอดูเหมือนจะพอรู้เรื่องนี้แล้ว และเฮเรียน่าก็แค่ยิ้มอ่อนออกมา
“เมื่อไหร่กันล่ะ?”
และเลียร่าก็ได้ถามออกมา นี่น่าจะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดแล้ว ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ก่อนหน้าที่กองทัพจรัสแสงจะถูกตั้งขึ้นไม่นานนัก”
“นั่นมันเมื่อยุคก่อนเลยนะ!”
เลียร่าได้แต่ร้องออกมา
“นั่นมันก่อนที่ฉันจะเกิดอีกนะ! แถมอาจจะก่อนที่มนุษยชาติบนโลกนายจะเกิดด้วยซ้ำไป!”
“ก็เพราะเป็นเทพเจ้านั่นแหละ เหมือนเขาจะคาดเอาไว้แล้วว่ากองทัพสวรรค์จะทำไปตามแนวทางของเขา ไม่สิ บางทีมันอาจจะเป็นการแข่งขันกันของพวกระดับสูงก็ได้ หรืออาจจะน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น”
“นี่ฉันไม่รู้แล้วสิว่าจะต้องตกใจต้องไหนกัน! อ๊าาา นี่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นไอโง่ ที่โครตโง่เลยอะ ฮือออ”
“นั่นไง ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเธอคงจะรู้สึกเศร้า”
ในท้ายที่สุดเลียร่าก็ได้แต่ร้องไห้ออกมาในอ้อมแขนของยูอิลฮาน ยูอิลฮานก็เข้าใจเธอเช่นกัน และเขาก็ยังพอจะเข้าใจเหล่าคนที่แปรพักตร์มาจากกองทัพสวรรค์เช่นกัน
“ฟู่”
เอิลต้าได้มองไปที่เลียร่าอย่างอิจฉา แต่เธอก็ยังถอนหายใจออกมา
“เพราะการขาดเทพเจ้าทำให้มีคนทรยศสวรรค์เกิดขึ้นมามากมายสินะ? พอมาลองคิดดูแล้วการที่กองทัพจรัสแสงได้ควบคุมส่วนสำคัญของกองทัพสวรรค์ไปแล้วนี่มันน่ากลัวมาก…”
[แต่ว่ากองทัพสวรรค์ก็ได้ขอให้จอมเวทย์หญิงคนนั้นกับที่รักไปสร้างประตูมิติเชื่อมไปที่ฐานทัพหลักของกองทัพจรัสแสง หากกองทัพจรัสแสงได้ควบคุมกองกำลังหลักของสวรรค์ไปแล้ว พวกเขาก็คงไม่ใช้วิธีทำลายตัวเองแบบนี้แน่]
“บางทีกองทัพสวรรค์อาจจะถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายไปนานแล้ว แต่แค่ว่าพวกทูตสวรรค์ที่มีระดับชั้นที่ต่ำลงมาไม่เคยรู้เท่านั้นเอง ถ้ามันเป็นแบบนี้สิ่งที่พวกเราทำไปจนถึงตอนนี้มันอะไรกัน…”
[ฟุฟุ]
เอิลต้าได้สูดหายใจลึกเข้าไป ยังไงก็ตามท่าทางของเฮเรียน่ากลับสดใสออกมา
[นี่มันน่าสนใจมากเลยนะ เพราะการที่ประตูมิติสู่โลกเบื้องล่างได้ถูเปิดขึ้นในวันนั้นทำให้กองทัพจรัสแสงได้ถูกทุกๆกองกำลังบุกเข้าไปโจมตี กองทัพสวรรค์ก็จะได้มีเวลาพักหายใจ… ถ้ามองในแง่ดีก็คือกองทัพสวรรค์ได้ถูกที่รักช่วยเอาไว้เชียวนะ]
“…นี่มันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย”
นี่มันราวกับว่ายูอิลฮานกำลังวิ่งอยู่บนฝ่ามือของเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลา แถมยังเป็นเทพเจ้าที่ทิ้งที่อยู่ตัวเองไปด้วย! ยังไงก็ตามเฮเรียน่าได้หัวเราะออกมาและตอบกลับมาในแง่ดี
[ที่รักยังไม่รู้งั้นหรอ? ราชันแห่งกองทัพสวรรค์น่ะไม่ได้เป็นทั้งผู้รอบรู้หรือควบคุมทุกๆอย่างนะ หากว่าเขาเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างอยู่แล้วเขาก็คงไม่จำเป็นต้องสร้างกองทัพสวรรค์แบบนี้แล้ว แถมก็ยังจะไม่มีคนทรยศด้วย รวมถึงจะไม่มีกองกำลังอื่นๆขึ้นมาอีก เพราะแบบนี้ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกนะ บางทีอาจจะมีคนทำนายการเกิดและพัฒนาของที่รักได้ แต่ว่าไม่มีใครที่จะรู้เส้นทางที่แท้จริงที่ที่รักเลือกเดินได้ล่ะ สิ่งนั้นมันขึ้นอยู่กับตัวที่รักเอง จริงไหมล่ะ?]
“…ก็ใช่ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ”
เฮเรียน่าอาจจะพูดถูกก็ได้ คำพูดที่หนักแน่นของเธอได้ทำให้ยูอิลฮานโล่งใจขึ้นมา ยูอิลฮานได้รู้สึกยินดีแบบฝืนๆที่เธอได้ปลอบเขาด้วยคำที่เขากำลังต้องการที่สุดในตอนนี้
ยูอิลฮานเขาได้หวาดกลัวอารมณ์ของเขาที่มีต่อเธอที่เปลื่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ราชินีซัคคิวบัสคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่แน่นอน เธอได้บรรลุในบางอย่างที่ถึงขนาดส่งผลต่อสกิลหัวใจไม่สั่นคลอนของเขาแล้ว
เลียร่าที่พอจะเข้าใจสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ได้ถามออกมาด้วยสายตาเป็นกังวล
“…แล้วอิลฮาน นับจากนี้นายจะเอายังไงต่อ”
“อืมม ฉันคงจะต้องใช้เวลาคิดก่อนล่ะมั้ง”
ยูอิลฮานได้กุมขยับขึ้นมา ยังไงก็ตามนับตั้งแต่ที่เขาได้ฆ่ารามิเอลและดูดบันทึกไป สิ่งที่เขาจะต้องทำต่อจากนี้ก็ดูจะถูกบังคับเอาไว้แล้ว
“ฉันคงจะต้องหยุดการโจมตีกองทัพสวรรค์ไปซักพัก แล้วดูเหมือนฉันจะต้องแก้ไขในปัญหาเรื่องกองทัพจรัสแสงก่อน”
เมื่อได้ยินยูอิลฮานพูดคำว่า ‘แก้ไข’ ในเรื่องของทั้งกองกำลังได้ทำให้เลียร่าต้องหัวเราะออกมา
“อิลฮาน นายนี่เอาใหญ่แล้วนะ”
“จากจุดที่กองทัพสวรรค์กับกองทัพจรัสแสงได้ใช้ฉันเป็นเครื่องมือ ฉันก็มีความแค้นกับคนพวกนี้แล้ว แต่ว่าถ้าฉันโจมตีกองทัพสวรรค์ต่อไปกองทัพสวรรค์ก็อาจจะถูกกองทัพจรัสแสงกลืนกินไปก็ได้ นั่นมันไม่ใช่เรื่องดีเลย”
ดวงตาของยูอิลฮานได้กลายเป็นหลุมลึกลงไป ผมของเขาได้ยิดยาวออกมาจากภายในหมวกและปล่อยความร้อนออกมา ผมของเขาตอนนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่แสดงอารมณ์ของเขาในเวลานี้ออกมา นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเขากำลังหลุดพ้นไปจากหลักของฟิสิกส์อย่างช้าๆแล้ว
“ถ้าฉันโจมตีกองทัพสวรรค์ในตอนนี้ มันก็มีแต่จะเป็นการทำให้พวกเขากลายไปเป็นเทวดาตกสวรรค์ ต่อให้พวกกองทัพสวรรค์จะเป็นพวกที่อันตรายที่สุดก็เถอะนะ…”
[ถ้างั้นตอนนี้เราก็เลยกำลังจะไปโจมตีกองทัพจรัสแสงเลยสินะ?]
“ไม่หรอก ฉันจะต้องกำจัดคนทรยศในกองทัพสวรรค์ออกไปก่อน ต่อจากนั้นค่อยถึงตาของกองทัพจรัสแสง”
[ที่รักนี่คุณ…]
เฮเรียน่าที่รู้สึกถึงความมั่นใจในคำพูดของยูอิลฮานได้ เธอได้หรี่ตาถามเขาออกมา
[…ตอนนี้ที่รักมองออกว่าใครทรยศกองทัพสวรรค์แล้วงั้นสินะ? ก่อนที่คนพวกนั้นจะเผยตัวเนี้ยนะ?]
“ใช่แล้ว”
[…เจ๋งมาก]
เลียร่ากับเอิลต้าได้ตะโกนออกมาอย่างตกตะลึงทันที
“ได้ยังไงกัน!?”
“มันเป็นไปได้ด้วยงั้นหรอ?”
“ฉันก็คิดว่าผู้นำของแต่ล่ะกองกำลังก็น่าจะแยกออกเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีใครสนใจ และไม่ว่ายังไงในเมื่อฉันทำมันได้ ฉันก็บอกได้แค่ว่าทำได้นั่นแหละ”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปในทันทีที่จัดการโลกใบนี้เสร็จแล้ว เขายังคงอยู่บนหลังของยูมิล การสอดประสานลมหายใจของทั้งสองคนได้จัดการกับมานาของโลกใบนี้ ทั้งกลุ่มของยูอิลฮานได้มองพร้อมทั้งคิดว่าทั้งสองคนที่ต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างเงียบๆ
และพวกเขาก็ต่างไปจากเมื่อก่อนจิรงๆ
‘ฉันรู้สึกเหมือนฉันพอจะมองเห็นปลายทางนิดๆแล้วสิ’
หลังจากสู้กับรามิเอล ยูอิลฮานรู้สึกว่าอีกไม่นานแล้วที่เขาจะได้ไปถึงขอบเขตของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง จากการคาดเดาของเขา เขาคิดว่าเขาน่าจะกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้เมื่อเขาเชี่ยวชาญสกิลจ้าวมิติกับสกิลบันทึก
“แต่การจัดการ’องค์กร’ สำหรับฉันแล้วมันคือคำที่แย่สุดๆ…”
“ลูกไม่คิดว่าลูกคิดไกลไปหน่อยหรอลูกแม่?”
“…ผมก็ว่างั้นแหละครับ”
ยูอิลฮานได้ตอบแม่ของเขาไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ และมองดูกองกำลังบนป้อมปราการทั้งสอง จากนั้นเขาก็หยักหน้าอย่างพึงพอใจและมองไปที่คังมิเรย์
“มิเรย์ ฉันมีเรื่องจะขอเธอ”
“อ่า”
คังมิเรย์ได้แสดงสีหน้าหมดแรงขึ้นมาเมื่อเธอเดาได้ว่ายูอิลฮานกำลังจะพูดอะไรออกมา
“นายจะบอกว่านายอยากจะแบ่งกองกำลังอีกแล้วใช่ไหม! นายจะโหดร้ายไปแล้วนะ!”
“ฉันขอโทษนะ แต่ว่าป้อมปราการทั้งสองไม่จำเป็นที่จะต้องเอาไปฆ่าคนทรยศด้วย เพราะงั้นคังมิเรย์ เธอช่วยไปที่โลกระดับสูงที่อื่นๆที่เป็นของกองทัพปีศาจวิบัติ สวนอาทิตย์อัสดง แล้วก็กองทัพจรัสแสงทีนะ ตอนนี้ฉันจะส่งพิกัดให้กับเธอ เธอจะได้เดินทางได้อย่างราบรื่นโดยไม่ติดขัดใดๆ”
“นายมันโหดร้ายไปแล้ว นายเอาแต่ทำเรื่องอันตรายคนเดียวอยู่เสมอเลย…”
สายตาของคังมิเรย์ได้เต็มไปด้วยความกังวล ยูอิลฮานได้ปล่อยเลียร่าที่เกาะแขนเขาอยู่ออกไป จากนั้นก็ไปอยู่ข้างหน้าคังมิเรย์หลังจากกระโดดลงมาจากหลังยูมิล
“ขอร้องล่ะ เรื่องนี้ฉันจะทำสะเพร่าไม่ได้”
“อ๊า”
เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังพร้อมกับจับมือของเธอ เมื่อคังมิเรย์ได้เจอกับดวงตาที่มีแสงแดงเข้มของยูอิลฮาน เธอก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว จะให้เธอปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ? คนๆนี้ชั่วร้ายจริงๆ
“…โอเค แต่ว่าถ้านายบาดเจ็บฉันจะโกรธนายจริงๆแน่”
“เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ฉันไม่บาดเจ็บอีกต่อไปแล้ว”
“จริง… กรี๊ดดด”
เมื่อเธอตอบรับกลับมายูอิลฮานได้ส่งบันทึกให้กับเธอในทันที การส่งบันทึกไปให้คนอื่นคือส่วนหนึ่งของพลังบันทึก คังมิเรย์ได้ตกใจกับบันทึกใหม่ๆที่ฝังลงมาในหัวของเธอ แต่ว่าเธอก็กัดฟันทนรับมันทั้งหมดเอาไว้
“…ฟู่”
“จบแล้หรอ?”
“ใช่แล้ว ฉันปวดหัวนิดๆแต่ก็… เสร็จแล้วล่ะ”
บันทึกพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆก็รับได้ ที่เธอรับเอาไว้ได้อาจจะเพราะว่าเธอก็ได้เป็นผู้ใช้เวทย์มิติไปแล้ว แน่นอนว่ารัดเกล้าระดับเทพเจ้าบนหัวของเธอก็น่าจะมีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน
“ดีล่ะ ขอบคุณนะ”
ยูอิลฮานได้จับมือของเธออีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะก้าวออกไป เขาได้ตัดสินใจที่จะทำเป็นมองไม่เป็นสีหน้าที่ผิดหวังของคังมิเรย์ และหันไปพูดกับเฮเรียน่าที่กำลังมองมาที่เขา
“เฮเรียน่า เธอช่วยปกป้องทุกคนทีนะ”
[…โอ้?]
เฮเรียน่าได้ตอบสนองกลับมาในทันที ดวงตาของเธอกำลังยิ้มออกมา
[นี่ที่รักกำลังจะทิ้งฉันเอาไว้กับเด็กๆพวกนี้?]
“ในเมื่อเธอถูกผูกด้วยสกิลปกครองทำให้เธอทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
[แต่ไม่ใช่ว่าที่รักกังวลมาตลอดหรอกหรอ?]
เฮเรียน่าได้จับจุดสำคัญออกมา ยูอิลฮานได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยเหตุผลที่แท้จริงออกมา
“..ฉันจำเป็นต้องให้มีใครสักคนปกป้องทุกๆคน”
[ฟุฟุ]
“ฮึ่ม”
ยูอิลฮานไม่ชอบที่เฮเรียน่าทำเหมือนกับรู้ทุกๆอย่างเกี่ยวกับเขาเลย ดวงตาที่อบอุ่นของเธอมันทำให้เขาไม่สบายใจเลยสักนิด ยิ่งเห็นเธอดูมีความสุขแบบนี้เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“เลียร่า มิล ไปกันเถอะ”
“มันต้องแบบนี้สิ!”
[เข้าใจแล้วครับพ่อ!]
เลียร่าคือคนที่เขาไว้ใจที่สุดในชีวิตนี้ และยูมิลก็คือคู่หูของเขาที่จะเป็นคนมอบเส้นทางในการเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง นับจากนี้แค่มีสองคนนี้ก็พอแล้ว
“แบร่ แบร่!!!”
“ฉันสาบานเลยว่าฉันจะ…”
“ในนามของท่านหญิงเรย์น่า ฉันขอภาวนาให้เธอเป็นโรคริดสีดวง”
“เอาอีกแล้ว เธอนี่น่าอายจริงๆ”
“โอ๊ย”
ยูอิลฮานได้ดีดหน้าผากเลียร่าที่กำลังล้อเลียนคนอื่นๆอยู่และกระโดดขึ้นไปบนหลังยูมิลอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้างั้นไว้เจอกันนะ”
“ติดต่อมาหาเราบ่อยๆด้วยนะลูกแม่!”
“ได้ครับแม่”
เขาได้โบกมือให้กับคนอื่นๆและเปิดใช้สกิลข้ามมิติขึ้นมาในทันที เขาเลือกที่จะตามรอยคนทรยศจากบันทึกที่ได้มาจากรามิเอล
[สกิลข้ามมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 66]
“ไวน์ป้า… นี่เป็นโลกที่ใหญ่น่าดูเลยนะอิลฮาน”
“ฉันก็พอรู้อยู่”
“จริงด้วย ฉันก็เคยอยู่ที่นี่มานานเหมือนกัน นี่คือโลกสำคัญที่ได้ผ่านมหาภัยพิบัติขั้นที่ 6 มาแล้ด้วนะ… อย่าบอกนะว่า?”
“ใช่แล้ว คนทรยศอยู่ที่นี่แหละ”
ยูอิลฮานได้สร้างหอกเพลิงขึ้นมาและโยนออกไปอย่างไม่ลังเล หอกของเขาได้พุ่งออกไปอย่างรุนแรงจนหายไปจากระยะสายตา จากนั้นก็มีข้อความปรากฏขึ้นมา
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับบันทึกมิต้าเลเวล 366]
“เยี่ยม ร่วงไปหนึ่ง”
เลียร่าได้ตกตะลึงกับคำพูดนี้ของเขา
“นายฆ่าเขาแล้ว? แค่โยนหอกออกไปง่ายๆเนี้ยนะ?”
“มันง่ายตรงไหนกัน หอกนั่นมันคือการโจมตีสุดพลังด้วยความแม่นยำสมบูรณ์เลยนะ”
“ฉันยอมรับไม่ได้”
ในไม่ช้าอีกด้านหนึ่งของโลกก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา นี่มันอาจจะไม่ใช่เพราะทูตสวรรค์ตาย แต่ว่ามันเป็นเพราะทูตสวรรค์นั่นเป็นคนทรยศต่างหาก เลียร่าได้หลั่งเหงื่อเย็นออกมา
“เรากำลังจะไปโลกอื่นต่อแล้วงั้นหรอ?”
“ไม่”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาอย่างใจเย็นและโยนหอกออกไปอีกครั้งหนึ่ง หอกของเขาได้พุ่งออกไปเสียบหัวใจของคนทรยศในทันทีจนทำให้เลียร่าต้องตัวแข็งทื่อ
“…นี่มีคนทรยศมากแค่ไหนกันเนี้ย?”
“รอดูให้ดีนะเลียร่า”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปพร้อมสร้างหอกขึ้นมาอีกสามเล่ม
“ฉันจะแสดงให้เธอได้เห็นถึงความเน่าเฟะของกองทัพสวรรค์ที่มากกว่าที่เธอคิดอีก”
หอกทั้งสามเล่มที่ถูกขว้างออกไปได้ฆ่าคนทรยศไปอีกสามคน ในตอนนี้ทูตสวรรค์ทุกๆคนที่อยู่ในไวน์ป้าไดรู้แล้วว่ามีใครสักคนกำลังจัดการลงโทษคนทรยศ
[อ๊า!?]
[นี่มัน…]
[พระเจ้า]
คนทรยศต่างก็ตัวสั่นออกมา แต่ว่าพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะหากพวกเขาทำอะไรแปลกๆก็จะถูกทูตสวรรค์เข้าโจมตีทันที ยูอิลฮานได้จัดการฆ่าคนทรยศไปทีล่ะคนโดยไม่พลาดแม้แต่คนเดียว เลือดสีเทาได้กระจายออกไปทั่วทั้งท้องฟ้า
[คนทรยศ… มีคนทรยศมากขนาดนี้เลย]
[ใครกัน? ใครกันที่เป็นคนทำการลงโทษครั้งนี้!]
[เป็นสี่ยอดเทวทูตงั้นหรอ…?]
[นับจากนี้อย่าขยับ! ใครที่ขยับจะถูกนับว่าเป็นคนทรยศ!]
รากลึกที่กองทัพจรัสแสงได้ฝังเอาไว้ได้ถูกถอนรากถอนโคนออกมาทีล่ะอัน
บทที่ 290 – เตรียมตัว (8)
[ถ้านั่นเป็นเทวทูตจริง คนๆนั้นคงไม่ต้องซ่อนตัวหรอกน่า]
[แต่ถึงจะไม่ใช่เทวทูต แต่เราต้องหยุดคนๆนั้นด้วยงั้นหรอ? คนที่กำลังตายไปมีแค่คนทรยศนี่]
[แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไงกันล่ะว่าคนที่ตายไปเป็นคนทรยศจริงๆน่ะ? ถ้าเกิดว่ามีเวทย์ที่เปลื่ยนบันทึกของคนที่ตายไปได้ล่ะ…]
[นั่นมันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยนะ ถ้าคนที่มีพลังขนาดนั้นมาเป็นศัตรูเรา เราก็ไม่อาจจะทำอะไรเขาคนนั้นได้อยู่ดี]
[งั้นเราจะต้องยอมรับความตายแบบนี้เนี้ยนะ?]
[ถ้านายไม่ใช่คนทรยศ นายก็ไม่ต้องกลัวตายนี่! ฉันไม่ใช่คนทรยศเพราะงั้นมันไม่มีเหตุผลให้ฉันต้องกลัว]
การมีปากเสียงกันระหว่างคนทรยศกับทูตสวรรค์ที่อยู่ในโลกใบนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ยูอิลฮานพบว่านี่มันเป็นฉากที่ดูน่าสนใจมากเพราะว่าตัวเราเป็นคนที่รู้ว่าใครทรยศบ้าง
“ทำไมถึงมีคนทรยศมากขนาดนี้….?”
“ฉันก็อยากเชื่อว่ามีคนทูตสวรรค์คลาส 6 ที่ทรยศอยู่ไม่กี่คนเหมือนกันนะ แต่ฉันไม่มั่นใจแล้วสิ”
ยูอิลฮานได้หยักไหล่ตอบกลับคำพูดที่ดูสิ้นหวังของเลียร่า และในท้ายที่สุดทูตสวรรค์ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว
[ทุกๆอย่างมันจะชัดเจนเมื่อฉันตาย ดูนะ ฉันไม่ใช่คนทรยศ! หากว่าฉันตายเพราะการลอบโจมตี คนที่ทำแบบนั้นก็จะต้องเป็นศัตรูของสวรรค์แน่!”
เลือดสีขาวได้กระจายออกไปทั่ว นี่เป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ใช่คนทรยศ! ทูตสวรรค์คนอื่นๆที่มองมาที่เขาต่างก็ทำร้ายตัวเองตามกันทั้งนั้น เลือดสีขาวได้สาดกระจายออกไปจนทั่ว นี่มันแย่กว่าหนังตลกดาษดื่นอีกนะ สีหน้าของเลียร่าได้สดใสขึ้นมา
“ดีจังเลย คนที่แสดงเลือดของพวกเขาออกมาน่าจะไม่ใช่ศัตรู…”
“อ๊าา เจ้าพวกนั้นทุกคนโกหกอยู่”
เป็นธรรมดาที่เลือดของคนทรยศจะเป็นสีเทา ยังไงก็ตามหากเป็นแบบนั้นมันไม่ใช่ว่าคนทรยศทุกๆคนก็คงจะถูกเจอตัวไปนานแล้วหรอกหรอ? ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างการบาดเจ็บในระหว่างทำภารกิจบางอย่างก็ได้ กองทัพจรัสแสงกับคนทรยศไม่ใช่คนโง่ พวกเขาทุกคนต่างก็มีเวทย์ที่จะปลอมแปลงบันทึกของพวกเขา
“พวกนั้นมันกล้าที่จะหลอกฉันงั้นหรอ”
[ดูสิ ฉันไม่ใช่คนทรยศ… อั๊ก!]
หัวของคนทรยศที่กำลังภาคภูมิใจกับเลือดสีขาวของเขา จู่ๆก็ระเบิดออกมา และเลือดสีเทาได้กระจายออกไปจนทั่ว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทูตสวรรค์ทุกๆคนในโลกนี้ต่างก็ตัวแข็งทื่อ
[ทูตสวรรค์… ตกเป็นเป้าหมายจริงๆงั้นหรอ? แล้วบันทึกของคนพวกเราก็จะถูกเปลื่ยนแปลงไปในตอนตายงั้นหรอ?]
[นั่นมันไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ว่าเมื่อกี้นี้มัน…]
ความกังขาได้กระจายไปสู่ทูตสวรรค์ทุกๆคน สำหรับคนที่ไม่ได้ทรยศพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเวทย์ที่ปลอมแปลงบันทึกตัวเองได้ เพราะแบบนี้พวกเขาก็เลยตื่นตระหนกไปด้วย ยังไงก็ตามสีหน้าของเลียร่าที่เห็นแบบนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
“อิลฮาน ถ้าเป็นแบบนี้…”
“อืม ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันรู้อยู่แล้ว”
ยูอิลฮานได้ยิ้มขึ้นและสร้างหอกขึ้นมาแปดอันในคราวเดียว จากนั้นก็ขว้างออกไปด้วยสกิลแม่นยำสัมบูรณ์
หัวของคนทรยศแปดหัวได้ระเบิดออกไปพร้อมๆกันทันที แน่นอนว่าคนเหล่านั้นก็ยังเป็นคนที่กรีดแขนตัวเองพิสูจน์ความบริสุทธิ์อีกด้วย
[ถ ถอย! นี่ต้องเป็นแผนของกองทัพจรัสแสงที่คิดจะโจมตีกองทัพสวรรค์เราแน่!]
[ระ รายงานเรื่องนี้ไปให้เทวทูตหรือยัง!?]
[หาศัตรูเร็วเข้า พวกเราจะต้องรีบล้มศัตรูให้ได้!]
สถานการณ์ในตอนนี้ได้เปลื่ยนแปลงไปเป็นเอื้อประโยชน์ให้กับเหล่าคนทรยศ นี่คือสิ่งที่คนทรยศตั้งใจกันเอาไว้อยู่แล้ว และนี่ก็คือสิ่งที่เลียร่าเป็นกังวล แต่ไม่ว่ายังไงยูอิลฮานก็ยังคงยิ้มอยู่
“มาลองดูกันดีกว่า”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานอีกสกิลหนึ่ง ในตอนนี้เองการเชื่อมต่อที่มองไม่เห็นระหว่างโลกได้ถูกตัดขาดไปทันที ทูตสวรรค์ที่รู้ถึงเรื่องนี้ก็รู้ตัวแล้วว่ามันสายเกินไป
[…เอ๊ะ!?]
[ฉันออกไปไม่ได้ โลกใบนี้ถูกปิดลงแล้ว!]
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลเป็น 78]
[เป็นไปได้ยังไงกัน! เหล่าท่านผู้สูงส่งได้ลงมาที่โลกใบนี้งั้นหรอ!?]
[งี่เง่า มันไม่มีใครที่สูงส่งไปกว่าท่านเทพเจ้าอีกแล้ว! พวกเรายอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้!]
ทูตสวรรค์ทุกๆคนต่างก็ตกตะลึง แน่นอนว่าคนทรยศได้อยู่ในสภาพที่แย่กว่ากัน และยูอิลฮานก็ได้ทำการฆ่าไปทีล่ะคนเช่นเดิม เลียร่าที่เห็นฉากนี้ก็ได้แต่ตกตะลึงเช่นกัน
“พระเจ้า… อิลฮาน นี่นาย นายฆ่าไปมากขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ…?”
“ระวังตัวเอาไว้ด้วนะเลียร่า ฉันป้องกันไม่ให้คลาส 7 เข้ามาไม่ได้”
ยิ่งสกิลจ้าวมิติและสกิลบันทึกของเขาได้พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งเขาทำเรื่องอะไรในเโลกที่ไปมากเท่าไหร่ เวลาที่จะใช้สกิลของเขาก็จะลดลงไปด้วย ในตอนนี้ยูอิลฮานได้ฆ่าคนทรยศในโลกระดับสูงไปมากมาย ในตอนนี้ยูอิลฮานสามารถที่จะห้ามไม่ให้ทูตสวรรค์คลาส 6 เข้าออกโลกใบนี้ได้ด้วยพลังของตนเองได้แล้ว
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 79]
“หืมม การฝึกฝนจะทำให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
[อ๊ากกกกกกก!]
[ฉะ ฉัน! ฉันไม่ใช่คนทรยศนะ… อั๊ก!]
คนที่ร้องออกมาว่าตัวเองบริสุทธิ์ต่างก็ได้เริ่มตกตายลงไป ศพของเหล่าคนที่ตายได้ถูกนำเอามาเก็บไว้ภายในช่องเก็บของของยูอิลฮาน ทูตสวรรค์ไม่อาจจะทำอะไรได้อีกแล้ว พวกเขาทั้งหนีไม่ได้ หายูอิลฮานก็ไม่เจอ รายงานไปหาพวกระดับสูงก็ไม่ได้ รวมไปถึงแยกตัวคนทรยศก็ไม่ได้ด้วย! พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว
[ถะ ถ้างั้นเราทุกคนก็จะตายกันไปหมดทั้งแบบนี้งั้นหรอ?]
[คะ คงจะเป็นแบบนั้น]
[ฉันไม่ยอม!]
ทูตสวรรค์บางคนได้เริ่มแสดงนิสัยแย่ๆออกมา และพวกเขาได้ยอมแพ้ไปรวมตัวกันในจุดๆหนึ่ง แน่นอนว่าทูตสวรรค์ที่กำลังมองอยู่ก็รู้ได้ในทันที
[อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้คือ!]
[ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้ฉันรู้ความจริงแล้ว ฉันไม่มีเหตุผลให้ต้องภักดีกับสวรรค์อีกแล้ว!]
[พวกเราจะต้องเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุด… ฉันจะยอมแพ้กับการเป็นทูตสวรรค์เดี๋ยวนี้แหละ!]
[โอ้ ท่านผู้สูงสุดแห่งปีกทมิฬ ได้โปรดมอบปีกแห่งความจริงให้เราด้วยเถิด! อั๊ก!]
“กล้ามาเลยนะ”
เมื่อคนทรยศได้เผยตัวตนออกมาและกำลังพยายามจะกลายไปเป็นเทวดาตกสวรรค์ หอกของยูอิลฮานที่ปาออกมาด้วยสกิลหอกสะบั้นจักรลายผสานกับหอกไร้วิถีจนเกิดเป็นการโจมตีกระจายออกไปในทุกๆที่ที่คนทรยศอยู่ในทันที
[สกิลหอกสะบั้นจักรวาลได้เพิ่มเลเวลเป็นเลเวล 93]
มันไม่มีเหตุผลที่ยูอิลฮานจะปล่อยให้พวกทูตสวรรค์คลาส 5 กลายไปเป็นเทวดาตกสวรรค์อยู่แล้ว!
[ทั้งหมดนั้นเป็นคนทรยศหมดเลย…]
[นี่เขาคนนั้นจะต้องมีพลังของคลาส 7 อยู่แล้ว ฉันมั่นใจ!]
[แต่ว่าแบบนี้คนทรยศ อึก!]
ยังไงก็ตามมีคนทรยศที่ปะปนอยู่ในหมู่ทูตสวรรค์ได้พ่นเลือดสีเทาออกมาและล้มลงไป คนพวกนี้คือพวกคนชั่วที่ยังคงทำเป็นแสร้งเป็นทูตสวรรค์อยู่ในขณะที่คนอื่นๆเผยตัว แต่ไม่ว่ายังไงคนพวกนี้ก็ได้ตายลงไปเช่นกัน
[ติดคริติคอล!]
[อ๊ากก ได้ยังไงกัน…!]
[ฉันไม่อยากจะตายที่นี่…]
“ถ้าอยากจะหลอกฉันคราวหน้าก็ลองย้อมปีกเป็นสีแดงดูสิ อย่าทำเป็นสีดำเลย!”
“นี่มันไม่ขำเลยนะอิลฮาน!”
เมื่อคนทรยศทั้งหมดตายไปยูอิลฮานถึงได้หยุดปาหอกของ ตอนนี้ทูตสวรรค์ที่อยู่บนโลกใบนี้กว่า 40% ได้ตายไปแล้ว และคนที่ยังรอดอยู่ต่างก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ยังไงก็ตามมันไม่มีหอกใดๆถูกขว้างออกมาอีกแล้วทำให้พวกเขาสามารถกลับมาสงบลงได้
[การโจมตีที่น่ากลัวนั้นหยุดลงแล้ว…]
[ทุกๆคนที่ตายไปเป็นคนทรยศหมดเลยจริงๆงั้นหรอ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่ามีคนที่ไม่ใช่คนทรยศอยู่ด้วย?… โอ้ นี่มันน่ากลัวอะไรแบบนี้?]
[หอกแห่งเพลิง เขากำลังทำอะไรกันนะ?]
[อย่าบอกนะว่าเป็น… ท่านมิคาเอล?]
ทูตสวรรค์ได้ใช้เวทย์ของพวกเขาลบรอยเลือดของคนทรยศที่กระจายอยู่ทั่วๆออกไป และหันมาคุยกันด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว ยูอิลฮานได้แต่สงสัยเมื่อได้ยินคนพวกนี้คุยกันและหันไปถามกับเลียร่า
“นี่มิคาเอลที่พูดถึงกันนี่ใช่มิคาเอลเดียวกันที่ฉันรู้จักป่ะ?”
“ใช่แล้ว เทวทูตแห่งเพิลง และเป็นตัวแทนของท่านเทพเจ้า เขาคือหมายเลขสองอย่างเป็นทางการของกองทัพสวรรค์ เขาอยู่ในระดับที่ต่างไปจากเทวทูตคนอื่นๆที่อยู่ในคลาส 7 อย่างสิ้นเชิง และเขากระทั่งสู้กับหัวหน้าของเหล่ากองทัพจรัสแสงได้อีกด้วย เพราะงั้นจะพูดว่าเขาแทบไปจะถึงคลาส 8 แล้วยังได้เลย”
สู้กับคลาส 8 ได้ทั้งๆที่อยู่คลาส 7 งั้นหรอ? แล้วยังไงกันล่ะ? ตัวยูอิลฮานที่อยู่คลาส 4 ยังสู้กับคลาส 7 ได้เลยนี่ เลียร่าที่เป็นกังวลว่ายูอิลฮานอาจจะคิดอะไรแบบนี้ได้จับมือเขาแล้วรีบพูดออกมาทันที
“ต่อให้เป็นอิลฮาน นายก็ไม่อาจจะเอาชนะเขาได้ในตอนนี้แน่ เพราะงั้นถ้าเจอกับเขาก็หนีไปทันทีเลยนะ โอเคไหม? ต่อให้นายจะเป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา แต่ว่าในตอนนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในเรื่องเป็นไปไม่ได้เลยนะ เข้าใจฉันใช่ไหม?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าเลียร่า”
หากยูอิลฮานไม่ไปหาก่อนก็จะไม่มีใครที่หาเขาได้ ยูอิลฮานได้จับมือของเลียร่ากลับไปและใช้อีกมือหนึ่งลูบหัวยูมิล
“ขอบคุณที่รอนะ ตอนนี้เราจะไปโลกถัดไปกันแล้ว”
[ได้เลยครับ!]
ยิ่งยูอิลฮานฆ่าคนทรยศไปมากเท่าไหร่ ข้อมูลที่เกี่ยวกับโลกที่คนทรยศอยู่ที่เขาได้มาก็มากขึ้นเท่านั้น ตราบใดที่ตัวเขายังมีสกิลบันทึกและสกิลข้ามมิติอยู่ คนทรยศที่วางแผนจะซ่อนตัวอยู่ในกองทัพสวรรค์ก็ไม่อาจจะหนีไปได้ ในตอนนี้ยูอิลฮานก็เหมือนกับแมงมุมที่กำลังชักใยทุกๆอย่างอยู่
[สกิลข้ามมิติได้เพิ่มเลเวลเป็น 69]
“โอ้ ที่นี่มีแค่นิดเดียวเอง”
“จริงหรอ?”
“ใช่แล้้ว จากทูตสวรรค์ 397 คนมีแค่ 138 คนเอง”
“…”
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับ…]
[อ๊ากกกกก!]
[ทะ ท่านซาตาน!]
[ซาตาน!? นะ นายเป็นคนทรยศ!?]
[นายก็อีกคน!]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
การสังหารอย่างไร้ปราณีได้ผ่านไปเรื่อยๆ ยูอิลฮานได้จัดการกวาดล้างคนทรยศไปมากกว่ายี่สิบโลกที่อยู่ภายใต้การจัดการของกองทัพสวรรค์แล้ว
แน่นอนว่าส่วนใหญ่ 80% ของคนทรยศจะเป็นคลาส 5 แต่ว่าจำนวนของคลาส 6 ก็มีมากเหมือนกัน ในบางครั้งหอกขว้างของยูอิลฮานก็ไม่อาจจะจัดการได้ในทีเดียวทำให้ยูอิลฮานต้องเผยตัวออกไปสู้เช่นกัน
[นาย เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ?]
“แล้วทำไมล่ะ? การร่วงหล่น!”
[สกิลการร่วงหล่นได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 68]
[พระเจ้า เพลิงพวกนี้มัน!]
“ถ้าตกใจเสร็จแล้วก็เข้ามาเลย!”
[กรรรรรรรรรรร!]
ภาพยูอิลฮานที่สวมเกราะร่างกายมังกรจิตวิญญาณเพลิงที่สู้อยู่บนหลังของยูมิลดูเหมือนกับอัศวินมังกร และไม่มีใครคิดเลยว่ายูอิลฮานเป็นมนุษย์ แต่แน่นอนว่าหลังจากได้เห็นเลียร่าข้างหลังยูอิลฮาน บางคนก็พอจะรู้อะไรได้บางอย่าง แต่นั่นก็ไม่ได้เปลื่ยนอะไรอยู่ดี
เวลาได้ผันผ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้ได้มีโลก 68 แห่งแล้วที่ทั้งสามคนได้ไปเยือน โลกใบที่ 68 นี่มีขนาดใหญ่กว่าโลกอื่นๆและมีชื่อว่าเฟย์ร่า
[สกิลข้ามมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 84]
เลียร่าได้ตะโกนออกมาอย่างตกใจในทันทีที่ได้รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
“เฟย์ร่า…! นี่มันคือโลกที่ใกล้จะจะเจอกับมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 แล้วนะ! อิลฮาน ที่นี่ ที่นี่มัน!”
“ใช่แล้ว เราเจอแจ๊คพ็อตใหญ่ล่ะ ที่นี่มีคนทรยศกว่าพันคนเลยนะ มีกระทั่งคลาส 7 อยู่คนนึงด้วย!”
“นี่นายกำลังจะไปสู้งั้นหรอ? นี่นายเอาจริง กรี๊ดดดดดด!”
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับค่าประสบ…]
[นี่มันอะไร!?]
[อืมมม!?]
ในเวลาเดียวกันได้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น การที่ยูอิลฮานไล่สังหารคนทรยศไปได้เป็นการยั่วยุคนทรยศคลาส 7 และก็ได้มีเทวทูตคลาส 7 อีกคนที่จู่ๆก็เข้ามาที่โลกใบนี้
[…ที่นี่ก็วุุ่นวายเหมือนกันงั้นหรอ?]
[ทะ ท่านราฟาเอล!?]
นี่คือหนึ่งในสี่ยอดเทวทูตแห่งกองทัพสวรรค์ – ราฟาเอลแห่งการรักษา ในที่สุดยูอิลฮานก็ได้เจอเข้ากับทูตสวรรค์คนนี้แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น