Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี 339-345

 บทที่ 339 – วันสิ้นโลก (15)


ยูอิลฮานได้ใช้วัตถุดิบทั้งหมดที่เขามีไปหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาคิดกับตัวเองว่าเขาได้สร้างความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ขึ้นมาแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาได้ถูกยอมรับให้เป็นพระเจ้าจากบันทึกเทพเจ้า เขาก็รู้ได้ว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายในพื้นที่ของเขา ความสามารถในการตีเหล็กของยูอิลฮานก็วิวัฒนาการขึ้นมาเหมือนกับของนายูนาเช่นกัน


“เสร็จแล้ว! มีทรายตกลงมาจากนาฬิกาทรายมากแค่ไหนแล้ว?”


เขาได้ตัดสินใจว่าจะไม่แค่ติดอาวุธให้กับสมาชิกหลักเท่านั้น แต่ยังติดอาวุธให้กับกองทัพรองและประชากรคนอื่นๆเพื่อเป็นกองกำลังไว้สำหรับโลกใบนี้ด้วย ยูอิลฮานได้เก็บอาร์ติแฟคทั้งหมดลงไปในช่องเก็บของและเงยหน้าขึ้นหลังจากที่นั่งทำงานมานาน


“ประมาณหนึ่งในสิบ”

“หนึ่งในสิบแล้ว!? อ้าว เอิลต้าเองหรอ”

“นี่นายไม่รู้เลยหรอว่าฉันอยู่ที่นี่น่ะ”

“ใช่สิ สมาธิฉันอยู่กับสกิลการสร้างตลอดเวลา แต่ถึงแบบนั้นตอนนี้มันเพิ่งจะเลเวล 5 เอง”

“นายใช้สกิลมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆแล้วมันเพิ่งจะเลเวล 5 เนี้ยนะ!?”

“ผ่านมาหนึ่งปีแล้วหรอ!?”


ทั้งสองคนต่างก็มองกันอย่างตกตะลึง ถึงยูอิลฮานจะกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับเอิลต้าแล้วเธอได้แสดงสีหน้างุนงงต่อให้เวลาจะผ่านไปสักพัก


“นี่นายไม่รู้เลยหรอว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว นายไม่หิวเลยหรือไงกัน นายไม่อยากจะไปห้องน้ำหน่อยหรอ ทำไมนายถึงได้ยังสภาพดีแบบนี้ทั้งๆที่ไม่ได้อาบน้ำเลยทั้งปี?”

“ฉันได้ก้าวข้ามกิจวัตประจำวันของมนุษย์ปกติมาซักพักแล้ว”


ยูอิลฮานได้ตอบไปอย่างที่เขาคิด หนี่งปีเท่ากับหนึ่งในสิบของทรายในนาฬิกาทราย นี่หมายความว่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีก 9 ปี นี่มันค่อนข้างจะนานเลย… อารมณ์ของยูอิลฮานได้เติบโตขึ้นแล้ว


“โอ้ ถ้ามีใครเบื่อก็ส่งพวกเขาออกไปสักหน่อยก็ได้นะ ฉันสามารถจะวาปพวกเขาไปที่โลกอื่นแล้วค่อยเรียกกลับมาทีหลังก็ได้”

“การได้เวลาสิบปีเป็นสิทธิที่พิเศษากเลยนะ หากฉันไปถามคนอื่นๆก็คงไม่มีใครอยากจะออกไปแน่นอน”


สำหรับยูอิลฮานแล้ว 10 ปีก็ไม่ได้นานนักเลยเพราะเขาเคยถูกทิ้งมาพันปีแล้ว คนอื่นๆก็คงจะรู้สึกคล้ายๆกับเขาล่ะมั้ง ยูอิลฮานได้หยักไหล่ออกมาและเปลื่ยนเรื่อง


“แล้วความคืบหน้าเวทย์ของเธอล่ะ?”

“ไม่!”


เลียร่าได้ตะโกนออกมาทันที น้ำเสียงของเธอได้เต็มไปด้วยความอึดอัดใจ


“คังมิเรย์น่ะ เธอคนนั้นคืออัจฉริยะ! เธอได้ไปถึงระดีบที่ฉันไปไม่ถึงต่อให้ฉันจะฝึกพันปีก็ตาม เธอคนนั้นได้ไปถึงระดับนั้นภายในเวลาแค่ยี่สิบสามสิบปีเท่านั้น! นี่มันไม่ธุติธรรมเลยสักนิด! ฉันไม่เข้าใจเรื่องที่เธอพูดไม่ถึงครึ่งเลย!”

“อย่ามาโกรธฉันสิ ฉันกลัวแล้วนะ”


ดูเหมือนว่าเธอจะอึดอัดใจมากจนมาระบายกับยูอิลฮาน แต่ว่าเขากลับทำงานโดยไม่เหลือบตามามองเธอด้วยซ้ำ ยูอิลฮานได้คิดว่าเขาได้เหยียบกับระเบิดเข้าให้แล้วและลูบหลังปลอบใจเธอ


“เธอทำได้สิ ถึงตำแหน่งบันทึกเทพเจ้าจะไม่ว่างแล้วเพราะคังมิเรย์อยู่ในจุดนั้นก็เถอะนะ”

“นี่ไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด!”


เอิลต้าได้ตะโกนออกมาพร้อมหน้ามุ่ย แต่ดูเหมือนว่าการปลอบเธอจะพอได้ผล ยูอิลฮานคิดว่าเธอเป็นคนที่เรียบง่ายมาก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดออกมา


“ดีแล้วที่ตอนนี้เธอมาที่นี่ ฉันกำลังคิดจะเริ่มค้นคว้าเรื่องเร็กน่าระดับสูงอยู่เลย”

“ตะกี้นายเพิ่งจะบอกว่าเสร็จงานเองนะ นายนี่มีความสามารถในการสรรหางานมาทำเลยจริงๆ”


ยูอิลฮานได้หัวเราะขึ้นและหยิบเอาร่างเร็กน่าระดับสูงหลายตัวออกมา ก่อนหน้านี้เขาไม่อาจจะได้รับข้อมูลจำนวนมากจากร่างเร็กน่า แต่ในตอนนี้มันต่างไปล้ว


เขาได้ค้นพบข้อมูงเล็กๆน้อยๆเรื่องที่โกเลมเร็กน่าได้ถูกทำขึ้นมาจากสิ่งที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าผู้ที่พยายามทำตัวเป็นผู้สร้าง


“อืมถ้างั้นนับจากนี้เจ้านี่ต้องเป็น…”


ยังไงก็ตามเมื่อยูอิลฮานได้เริ่มวางมือวิเคราะห์เร็กน่าระดับสูง เขาก็ได้สังหรณ์ใจถึงสิ่งหนึ่ง


“เจ้าพวกนี้ พวกมันคือบันทึกในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่บันทึกนภา”


บันทึกนภาคือตัวตนที่มีอยู่ในทุกๆจักรวาลที่ได้เก็บบันทึกข้อมูลทุกๆอย่างลงไป ยูอิลฮานไม่รู้ว่ามันมีรูปร่างเป็นยังไง แต่ว่านั่นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ ตัวตนของมันเป็นไปตามที่ยูอิลฮานรับรู้และความหมายของมันก็ขึ้นอยู่กับเขา


ยังไงก็ตามเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้คิดแบบนั้น


“พระเจ้าคิดว่าบันทึกนภาเป็นอุปสรรค”

“อิลฮาน นายหมายความว่ายังไง?”

“ถ้าเธอคิดเกี่ยวกับมันมันก็ชัดเจนมากแล้วนะ ฉันน่าจะเริ่มจากการถามหาเหตุผลที่ทำให้เขาปฏิเสธมานาก่อน”


เมื่อเกิดมหาภัยพิบัติจะมีการเปลื่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงสองอย่างเกิดขึ้นมา หนึ่งก็คือมานาและอีกหนึ่งก็คือบันทึกนภา


ที่ไหนก็ตามที่มีมานาก็จะมีบันทึกนภาเช่นกัน และที่ไหนที่มีบันทึกนภาก็จะมีมานาเช่นกัน เพราะงั้นการปฏิเสธในมานาก็หมายถึงการปฏิเสธบันทึกนภาเช่นกัน การหลีกหนีจากมานาจำเป็นจะต้องหลีกหนีบันทึกนภาด้วย


“ยูอิลฮาน ฉันเพิ่งไปเรียนรู้เรื่องเวทย์ที่ไม่เข้าใจมาเองนะ แล้วนี่นายกำลังจะอธิบายถึงเรื่องบันทึกนภาที่ฉันไม่อาจจะเข้าใจอีกงั้นหรอ? ถ้านายทำนายโดนดีแน่ ถ้านายอยากลองดีก็เอาเลย!”

“ฉันทั้งดีใจแล้วก็เสียใจนะที่เธอรุกหนักขนาดนี้ทั้งๆที่ฉันไม่ได้รู้อะไรเลย…”


ยูอิลฮานได้อธิบายออกมาง่ายๆเพื่อให้เธอได้เข้าใจ


“โรงเรียนมัธยมก็ต้องมีเครื่องแบบใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่แล้ว”

“เครื่องแบบของบันทึกนภาก็คือมานานั่นแหละ หากว่าไม่มีโรงเรียนอื่นอยู่ใกล้ๆอีกแล้วอยากเปลื่ยนเครื่องแบบเธอต้องทำยังไงล่ะ?”

“สร้างโรงเรียนใหม่ขึ้นมา”

“นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้ากำลังพยายามทำ เขาได้พยายามที่จะสร้างบันทึกใหม่ขึ้นมาแทนที่บันทึกนภา”

“…”


เอิลต้าพูดไม่ออกแล้ว ในท้ายที่สุดเธอก็ถามออกมาตรงๆ


“มันเป็นไปได้หรอ?”

“ดูศพเร็กน่าระดับสูงนี้สิ เจ้าพวกนี้สามารถจะปฏิเสธในมานาได้อย่างสมบูรณ์ไหมล่ะ”

“พวกมันยังทำไม่ได้”

“ถูกแล้ว เพราะงั้นเขาจึงล้มเหลวไงล่ะ”


แต่ว่ามันก็ไม่ใช่จะล้มเหลวไปซะหมด พวกเร็กน่าพวกนี้มีความต้านทานมานาที่สูงมากอยู่ดี


ยังไงก็ตามมันก็เท่านั้นแหละ พระเจ้าได้พยายามสร้างบันทึกเก็บข้อมูลอันใหม่ แต่ว่าสุดท้ายบันทึกนั้นก็จบลงด้วยการรวมเข้ากับบันทึกนภา ช่างน่าเศร้าจริงๆ


“นอกไปจากนี้ วิธีที่เขาได้พยายามสร้างที่เก็บข้อมูลใหม่คือ… โอ้”


ยูอิลฮานได้รู้ถึงอีกเรื่องหนึ่งหลังจากวิเคราะห์ต่อไปและครางออกมา หนึ่งในชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ได้เข้าสู่ตำแหน่งของมันแล้ว


ในที่สุดแล้วยูอิลฮานก็เข้าใจว่าทำไมในตอนนั้นเขาถึงได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ทำไมพวกนั้นถึงบอกว่ายูอิลฮานคือผู้ปลดปล่อย รวมไปถึงว่าทำไมถึงได้อวยพรให้กับยูอิลฮานและคนรอบตัวเขา


“บันทึกเทพเจ้า…”

“แล้วทำไมพวกเขาถึงอยู่ที่นี่ล่ะ? ไม่ใช่นายปลดปล่อยพวกเขาทั้งหมดไปแล้วหรอ?”

“ฉันปลดปล่อยพวกเขาด้วยความช่วยเหลือจากมิเรย์ไปแล้ว เพราะงั้น…”


ยูอิลฮานได้พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง


“ในตอนนี้ฉันขอเรียกคืนฉายาจ้าวแห่งภัยแฝง ฉันคือผู้ที่สร้างและทำลายภัยแฝงพวกนั้น!”


เอิลต้าได้เลียริมฝีปากและกำลังที่จะเริ่มการโจมตียูอิลฮาน


“ยูอิลฮาน ทำไมตอนนี้นายถึงมาพูดชื่อลูกในอนาคตของเรา…”

“อ่า ฉันจะบอกว่า ฉันได้ลบมันออกไปหมดแล้วน่ะ!”


ยูอิลฮานได้รีบดันหน้าเอิลต้าที่ยืนเข้ามาออกไปและตะโกนขึ้น เธอดูจริงจังมากจนน่ากลัวแล้ว


“ที่เก็บข้อมูลที่พระเจ้าพยายามจะสร้าง! ฉันได้ลบมันออกไปแล้ว!”

“ด้วยวิถีแห่งจักรวาลที่คังมิเรย์ใช้ในตอนแรกน่ะหรอ?”

“แล้วก็ด้วยเพลิงพิฆาติที่ฉันปล่อยออกมาทั้งหมดนั่นแหละ! ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันทำให้จบลง…”

“เดี๋ยวสินายกำลังจะบอกว่า”


เอิลต้าได้เข้าใจถึงสิ่งที่เขากำลังจะบอกและตะโกนออกมา


“พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้กักขังบันทึกเทพเจ้าเอาไว้เพื่อที่จะสร้างที่เก็บข้อมูลมาแทนที่บันทึกนภางั้นหรอ!?”

“คำว่า ‘บันทึกเทพเจ้า’ มันไม่ถูกแต่แรกแล้ว พวกเขาคือผู้ที่ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดและอยู่เหนือกว่าบันทึก เพราะแบบนี้พระเจ้าก็เลยได้พยายามจะสร้างระบบบันทึกใหม่ที่อยู่นอกเหนือบันทึกนภาด้วยการรวบรวมผู้ที่ก้าวข้ามบันทึกนภามา…”

“ฉันยังไม่เข้าใจ แต่นี่มันหมายความว่า…”


เป็นการกระทำโหดร้ายจนน่าสะพรึง ทรนง และน่าตกตะลึง เอิลต้ารู้สึกเหมือนกับถูกทุบด้วยค้อนอย่างแรง


“ตลอดระยะเวลานี้ ช่วงระยะเวลาในช่วงอายุของเราที่รวมเข้าดวยกันยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลย พวกเขา…”

“นี่มันหมายความว่าพระเจ้าได้พยายามที่จะเอาชนะมานาด้วยบันทึกที่มีตัวตนที่ก้าวข้ามขอบเขตมานาไปและไม่อาจบันทึกได้ ใช้พวกเขาเป็นเครื่องยนต์และใช้วิญญาณที่พังทลายยับเยินเป็นเชื้อเพลิง”


บันทึกเทพเจ้าได้ต่อต้านแล้วแต่ในท้ายที่สุดก็ถูกพระเจ้าจับเอาไว้ พวกเขาได้ถูกกักขังเอาไว้ในโลกที่ไม่มีใครหาเจอ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่เก็บข้อมูลใหม่ที่พระเจ้าตั้งใจเอาไว้


ยังไงก็ตามความเข้าใจผิดของพระเจ้าได้เริ่มที่ตรงนี้ แค่การก้าวข้ามบันทึกก็ไม่ได้หมายความว่าแยกมาจากบันทึกนภาอย่างสิ้นเชิง!


พวกเขาได้อวยพรให้กับคนที่เข้าใกล้กับระดับความเชี่ยวชาญของพวกเขาผ่านบันทึกนภา และคนๆนั้นก็จะเติบโตอย่างรวดเร็ซผ่านพรที่พวกเขามอบให้และกลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า แน่นอนว่าพระเจ้าก็รู้เรื่องนี้ พระเจ้าได้กัดฟันสาปแช่งเหล่าบันทึกเทพเจ้า และกระทั่งอยากจะซ้อมพวกเขาจนตายด้วยซ้ำ แต่พระเจ้าก็ไม่อาจจะทำได้ง่ายๆเพราะเหล่าบันทึกเทพเจ้าเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของเขา


ในท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่ทำตามแผนที่วางไว้ กาลเวลาไปผ่านไปและยูอิลฮานได้โผล่ขึ้นมา พระเจ้าที่คิดว่ายูอิลฮานเติบโตเร็วเกินไปก็ได้สร้างเร็กน่ากับเร็กน่าระดับสูงขึ้นมาจากที่เก็บบันทึกข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และได้เริ่มกวาดล้างโลกอื่นๆพร้อมกันกับซาตาน


ยังไงก็ตามสุดท้ายที่เก็บบันทึกข้อมูลที่พระเจ้าได้ทำขึ้นก็ได้เชื่มต่อเข้ากับดาเรย์จากประตูมิติที่คังมิเรย์สร้างขึ้นมาผ่านวิถีแห่งจักรวาล


ในตอนนั้นยูอิลฮานไม่ได้มีเบาะแสอะไรเรื่องบันทึกเก็บข้อมูลอะไรนี้เลย เขาก็แค่บังเอิญพบมันและจัดการทำลายมันจนหมดด้วยเพลิงพิฆาตของเขาเท่านั้นเอง!


ตอนนี้พระเจ้าไม่อาจจะสร้างเร็กน่าได้ตามต้องการอีกแล้ว หรือต่อให้พระเจ้าจอยากสร้างที่เก็บบันทึกข้อมูลใหม่ขึ้นมาก็ไม่มีโลกไหนไว้ใช้ซ่อนมันได้อีก แถมยังไม่มีเป้าหมายให้จับกุมมากักขังอีกด้วย ที่พระเจ้าทำได้ในตอนนี้มีแต่มาปรากฏตัวต่อหน้ายูอิลฮานและจัดการเขาไปก่อนที่พระเจ้าจะตายอย่างน่าเศร้าซะเอง


เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก มันก็เหมือนกับคนที่ได้เห็นว่ามีโอกาสล้มเหลวแค่ 1% แต่แล้วมันกลับมาล้มเหลวลงต่อหน้าทั้งแบบนี้!


“ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงเรียกตัวเองว่าจ้าวแห่งภัยแฝง นายได้ลบอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบอสสุดท้ายไปในตอนที่นายได้รับรู้แค่เศาเสี้ยวเล็กน้อยของเขา!?”

“ถูกแล้ว ตอนนี้ฉันนี่แหละคือหายนะ โครตมหาหายนะ..”


เพราะอะไรบางอย่างเสียงของยูอิลฮานฟังดูห่างเหิน เอิลต้าที่ไม่รู้จะตอบกลับยังไงได้แต่เงียบลงไป


นี่คือการที่เป้าหมายสุดท้ายของบอสสุดท้ายได้ถูกทำลายไปก่อนที่จะเกิดการต่อสู้กันซะอีก! ในจุดนี้ไม่ว่าใครต่างก็เห็นใจต่อให้คนๆนั้นจะไม่คู่ควรกับความเห็นใจก็ตาม


ยูอิลฮานได้คิดถึงสิ่งที่เขาได้ทำไปและท้ายที่สุดก็ผ่อนไหล่พูดออกมา


“…ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันสามารถจะเอาบาเรียออกไปได้แล้ว”

“อ่า นายกำลังทำสีหน้าที่รำคาญทุกๆอย่างอยู่นะ!”

“ตอนนี้เรากระโดดไปบทส่งท้ายเลยได้ป่ะ?”

“ช่วยห้ามตัวเองหน่อยเถอะนะ”


ยูอิลฮานได้โบกมือรวมร่างเร็กน่าระดับสูงทั้งหมดให้กลายเป็นก้อนเดียว พวกมันได้กลายมาเป็นก้อนสีขาวที่ดูเหมือนโลหะ ไม้ ดินเหนียว เมฆ และแม้กระทั่งของหวานในเวลาเดียวกัน


“เจ้านี่มีแค่หนึ่งเดียว”

“หนึ่งเดียวยังไงล่ะ?”

“สิ่งที่ไม่ได้บันทึก และไม่อาจจะบันทึกได้ ที่เก็บบันทึกข้อมูลได้ถูกทำลายไปแล้วและบันทึกนภาก็ไม่ได้ยอมรับมัน เพราะงั้นก้อนนี่…. เป็นสิ่งที่มีความขัดแย้งในตัวมันเอง”

“ฉันเข้าใจแล้วว่านายกำลังจะทำอะไร”


เอิลต้าได้ยิ้มออกมาและถามขึ้น


“นี่มันคือวัตถุดิบที่ดีมากๆเลยใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่แล้ว ฉันเพิ่งกำลังมองหาวัตถุดิบสำหรับ ‘กระสุนปืนใหญ่’ อยู่เลย… ฉันคิดว่าฉันคงหาอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้แลว”

“อ่าแน่นอน… กระสุนปืนใหญ่”


เอิลต้าได้หัวเราะออกมา


“แล้วนายมี’ปืนใหญ่’ที่ยอดเยี่ยมแล้วงั้นหรอ?”

“เอาล่ะ งั้นมาทำงานของฉันให้เสร็จกันดีกว่า”


ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลการสร้างแล้ว หลังจากได้รู้ว่ามีบันทึกเก็บข้อมูลที่แยกจากบันทึกนภา ความเข้าใจในการสร้างของเขาก็เพิ่มขึ้นและเพราะแบบนี้เขาจึงสามารถจะจัดการกับก้อนนี้ได้ต่อให้จะเป็นวัตถุดิบที่ไม่มีข้อมูลก็ตาม


แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเพิ่มหรือดึงอะไรออกมาจากมันได้ แต่ว่ารูปร่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว มันมีทุกๆอย่างที่กระสุนปืนใหญ่ควรมีแล้ว


“เยี่ยม”


ยูอิลฮานได้โยนกระสุนปืนใหญ่ที่มีเพียงหนึ่งในโลกออกไปและออกจากที่ทำงานพร้อมกับเอิลต้า ในตอนนี้เองมิคาเอล สมิธสันที่กำลังวิ่งอยู่มุมหนึ่งก็ได้วิ่งเข้ามาจับยูอิลฮานในทันที


“คุณผู้ยิ่งใหญ่”

“ฉันเกลียดชื่อนี้เพราะงั้นเรียกฉันว่ายูอิลฮานนะ แล้วมีอะไรล่ะ?”

“คาริน่า! คะ คาริน่ากำลังจะคลอดลูกแล้ว!”

“…ว้าว”


ในทันทีได้ยินคำนี้หัวของยูอิลฮานได้ว่างเปล่าไปทันที ไม่ว่าเวลาในบาเรียจะนานแค่ไหนแต่กระทั่งมีเด็กเกิดมา! แต่มิเชล สมิธสันไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะอวด


“ฉันหาคุณอยู่เลย! คุณเป็นทูนหัวของลูกฉันได้ไหม?” (พ่อทูนหัวในทีนี้คือตามประเพณีของศาสนาคริสต์จะต้องมีบาทหัวทำพิธีล้างบาปให้กับเด็กเกิดใหม่ซึ่งเรียกบาทหลวงคนนั้นว่าพ่อทูนหัวนั่นเองครับ)

“ฉัน!?”


มิเชล สมิธสันได้หยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง


“หากว่าเจ้าของโลกอย่างคุณได้กลายมาเป็นพ่อทูนหัวให้ลูกของฉัน ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว”

“…”


พอมาคิดดูแล้วการเจอกับมิเชล สมิธสันเป็นเรื่องน่าตลกและลี้ลับที่สุด พวกเขาจะไปรู้ได้ยังไงกันว่ามันจะเป็นแบบนี้?


มิเชล สมิธสันคือชายที่ทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัวได้หมดเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มที่เขาอยู่ บางทีเขาอาจคล้ายยูอิลฮานในด้านนี้ การปะทะกันของพวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และยูอิลฮานคิดว่าหากมิเชล สมิธสันสร้างอะไรน่ารำคาญให้เขา เขาก็คงจะฆ่ามิเชล สมิธสันแน่ ในเวลาเดียวกันมิเชล สมิธสันก็ยังตัดสินใจจะฆ่ายูอิลฮานในตอนที่เจอกันอีกครั้ง


ยังไงก็ตามสถานการณ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ยูอิลฮานได้แกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเขาได้ขอให้มิเชล สมิธสันมาเข้าร่วมการปกป้องโลกแทนที่จะสู้กัน


ในเวลาเดียวกันมิเชล สมิธสันก็ได้โตขึ้นจนรู้จักเริ่มคิดถึงการปกป้องตัวเอง คนในกลุ่มของเขา และคนที่มีค่ากับเขา เขาได้ตกหลุมรักหัวหน้ากลุ่มอื่น และล้มเลิกความเป็นศัตรูกับยูอิลฮาน


หลังจากนั้นเวลาก็ได้ผ่านไปนานก่อนที่ทั้งสองจะได้กลายมามีความสัมพันธ์แบบหัวหน้ากับสมาชิกของกองกำลังระดับสูงในชื่อดราก้อนเนส แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่นับว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ว่าในจุดยืนของพวกเขาก็สามารถจะเข้าใจกันและกันได้ในระดับหนึ่งและให้กำลังใจกันได้


บางทีเขาก็อาจจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคนอื่นๆได้เช่นกัน – ยูอิลฮานได้คิดแบบนี้ก่อนที่จะส่ายหัวออกมา สมิธสัน การเสียใจกับอดีตมีแต่ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมา หากว่าเขาจะได้อะไรจากอดีตก็คงจะเป็นการใช้อดีตเป็นพื้นฐานในการก้าวไปข้างหน้า


ยูอิลฮานได้ถามออกมา


“…นายรู้ไหมว่าฉันล้างบาปไม่เป็น”

“ไม่เป็นไรหรอก นายคือเจ้าโลกใบนี้เชียวนะ”

“ถ้างั้นโอเค ฉันจะทำหน้าที่เป็นพ่อทูนหัวเอง”


มิเชล สมิธกับยูอิลฮายได้ยิ้มกันออกมา เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาได้ดังออกมาจากมุมหนี่งของป้อมปราการลอยฟ้า


ผมสีทองสดใสและนัยน์ตาสีมรกต… มังกรได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว


บทที่ 340 – พระเจ้า (1)


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


ในขณะมองเจ้าหญิงน้อยสุดที่รักมิเชลก็ได้บ่นกับยูอิลฮาน… มีมังกรอยู่ในอ้อมแขนภรรยาที่งดงามของเขา ยูอิลฮานได้ตอบเขากลับมาด้วยคำถามแทน


“คุณสมิธสัน คุณเป็นเผ่าพันธ์อะไรล่ะ?”

“มังกรที่แท้จริง…”

“แล้วคุณนายสมิธสันล่ะ?”

“มังกรที่แท้จริง…”

“แล้วถ้างั้นมันก็ชัดเจนว่าลูกของพวกคุณจะต้องเป็น…”

“มังกร…”


มันไม่ได้มีปัญเลยสักนิด นี่มันปกติมากๆ เจ้าหญิงน้อยในอ้อมแขนคาริน่า มาเลเทสต้า ไม่สิ คาริน่า สมิธสันได้ยิ้มออกมาอย่างสดใส


“ยี้ฮ่าห์!”

“เธออาจจะเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ก็ได้ นายต้องระวังเรื่องการเรียนรู้ของเธอด้วยนะ”


เด็กนี่เข้าใจคำพูดได้ในทันทีที่คลอดออกมา! เมื่อคำนึงถึงพื้นฐานของเธอที่สูงมากๆเนื่องจากเธอเกิดมาเป็นลูกสองของมังกรที่แท้จริงทำให้พัฒนาการของเธอไม่ธรรมดาเลย คาริน่า สมิธสันได้คิดว่าเธอได้เลือกพ่อทูนหัวที่ดีและหันมาถามเรา


“พ่อทูนหัวช่วยดูแลเด็กคนนี้ด้วย คุณจะรับเธอเข้าดราก้อนเนสใช่ไหม?”

“แน่นอนสิ ตราบใดที่เธอเติมเต็มคุณสมบัติน่ะนะ แล้วนี่เธอชื่อว่าอะไรล่ะ?”

“ยูนิ สมิธสัน”


ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาในขณะที่ลูบหัวของเธอ รอยยิ้มของเด็กได้สดใสมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมซะอีก


“แต่ว่าเธอน่ารักมากๆเลย~ เธอจะต้องสวยเหมือนแม่แน่นอน”

“ก็จริงแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า เธอดูเหมือนแม่เธอเลย”


เนื่องจากว่ามีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมาทำให้แทบจะทุกๆคนได้มารวมตัวกันในที่แห่งนี้ นายูนาที่ก็ไม่ได้ชอบมิเชล สมิธสันมากนักก็ได้เข้ามาลูบหัวยูนิเช่นกัน มิเชลได้ที่ได้กลายมาเป็นคนเอาจริงเอาจังหลังจากเป็นพ่อคนก็หัวเราะออกมาเท่านั้น


เขาได้เปลื่ยนไปแล้วจริงๆ


“อิลฮาน”


เลียร่าที่กำลังมองยูนิในอ้อมแขนคาริน่า ได้ตาเป็นประกายออกมา


“มามีลูกกันเถอะ!”

“ฉันกำลังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมเธอไม่พูดสักที แล้วก็คำตอบก็คือไม่”

“ทำไมล่ะ! ฉันอยากมีลูก! ฉันอยากมีลูกกกกกกกก!”

“ไม่”


เลียร่าได้เข้าไปเกาะแกะยูอิลฮาน แต่ว่าเขาก็ยังตอบกลับอย่างหนักแน่น และเหตุผลก็คือ


“ฉันไม่ชอบมันก็เพราะว่ามันรู้สึกเหมือนบทส่งท้ายใกล้จะมาถึงแล้ว”

“…”


เธออยากจะเถียงกลับไป แต่ว่าเธอก็ไม่รู้จะเถียงกลับไปยังไงทำให้เธอได้แต่เงียบ ยูอิลฮานได้แตะไหล่ของเธอและรับเอายูนิมาจากคาริน่า ในเมื่อเขาได้กลายมาเป็นพ่อทูนหัวแล้ว อย่างน้อยเขาจะต้องทำหน้าที่ของเขา


[ยูนิ เธอจะต้องงดงามและมีความสุข เธอจะกลายเป็นคนที่สามารถแบ่งปันความสุขและความทุกข์ร่วมกันคนอื่นๆได้ เธอจะต้องมีหัวใจที่อบอุ่นเฉกเช่นเดียวกับกรงเล็บที่แข็งและมีอารมณ์ความรู้สึกมากเท่ากับความฉลาดของเธอ เธอจะกลายเป็นคนที่ถูกรักและคนที่จะมอบความรัก]


ประกาศิตยูอิลฮานได้กลายเป็นความปรารถนาที่จริงใจห้อมล้อมยูนิเอาไว้ มันเป็นความปรารถนาที่จะมอบศักยภาพที่สดใสให้กับเธอ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ตาม


“ว้าว ดูมานาทั้งหมดนั่นสิ น่าทึ่ง…”

“งดงาม มีแค่ขาเท่านั้นที่ใช้มานาได้งดงามแบบนี้…”


ยูนิจะรู้หรือไม่ว่าพรจากประกาศิตของยูอิลฮานมากขนาดไหน? ยูอิลฮานได้จับนิ้วยูนิก่อนที่จะส่งเธอกลับคืนไปให้ครอบครัวของเธอ


“ยินดีด้วยนะ ฉันยุ่งกับงานจนไม่รู้เลยว่าพวกเธอสองคนแต่งงานกัน”

“เดี๋ยวพวกเราจะจัดงานแต่งงานกัน …หลังจากทุกๆอย่างจบลง เมื่อโลกกลับมาเป็นปกติ พร้อมๆกันกับครอบครัวของเราทั้งสอง ช่วยมางานเราในตอนนั้นพร้อมทุกๆคนด้วยนะ”

“ฉันขอภาวนาให้อยู่รอดกันทุกคนนะ”


ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมา และพูดถึงสิ่งที่เขาต้องการออกมา


หากเขาบอกว่าภาพของพ่อไม่ได้โผล่เข้ามาในหัวของเขาก็คงจะเป็นการโกหก ไม่ว่าเขาจะแกร่งยังไง มันก็คงไร้ความหมายหากว่ากาเบรียลได้เผชิญกับเรื่องโชคร้ายไปก่อนแล้ว


‘…พ่อไม่น่าจะเป็นอะไร’


เขาได้ยืนยันกับตัวเองว่าพ่อเขาไม่เป็นอะไร ถึงกังวลไปก็ไม่มีอะไรเปลื่ยนแปลง เขาได้แต่ทำในสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้เหมือนอย่างที่เคยทำมา


“ถ้างั้นสมิธสันทั้งสองคนคงจะต้องยุ่งกับการเลี้ยงลูก…”

“แล้วเราก็จะไปทำลูกของเรากัน โอ้ย!”

“แล้วพวกเราจะไปฝึก”


หลังเขกหัวเลียร่าแล้ว ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง เลียร่าได้ถามออกมาด้วยใบหน้าเศร้าๆ


“แล้วเราจะถ่ายทำบทส่งท้ายกันเมื่อไหรล่ะ?”

“เมื่อถึงเวลาฉันจะเป่านกหวีดล่ะกัน”


หลังจากนั้นเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ยูอิลฮานได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนพร้อมสมาชิกต่อสู้หลักคนอื่นๆ ส่วนคนธรรมดาก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกันอย่างมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


ไม่มีภัยคุกคามจากมอนสเตอร์ และพวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่อารยธรรมและธรรมชาติได้รวมเป็นหนึ่ง นี่พูดได้เลยว่าพวกเาได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขที่สุดแล้วนับตั้งแต่เกิดมหาภัยพิบัติขึ้นมา


แน่นอนยูอิลฮานก็ได้ทำในสิ่งที่เขาทำเพียงลำพังเช่นเดิมโดยไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ ถึงแม้ว่ายูอิลฮานจะได้เข้าสู่ก้าวแรกในฐานะผู้สร้างแล้ว แต่ว่าเส้นทางของเขายังอีกยาวไกล จนว่าเขาจะได้ไปถึงปลายทาง เขาจะไม่มีวันหยุดก้าวต่อ


***


เดิมทียูอิลฮานมีความสามารถที่มากอยู่แล้วในการละเลยการไหลของเวลา แต่ว่าเนื่องจากคนมีคนที่แสดงถึงการเปลื่ยนแปลงของเวลาที่ชัดเจนอยู่ทำให้เขาจะไม่รู้เรื่องการไหลของเวลาก็ไม่ได้


“คุณพ่อทูนหัวคะ!”


เด็กสาวตัวน้อยน่ารักที่ผมสีทองถูกมัดเป็นหางม้าได้ตะโกนออกมาพร้อมๆกับรอยยิ้มกว้าง เธอได้วิ่งเข้ามาในพื้นที่ฝึกซ้อมภายในป้อมปราการลอยฟ้า ยูอิลฮานได้โบกมือด้วยรอยยิ้มแห้งๆ


“เป็นเธอนี่เองยูนิ”

“เย้! หนูเข้ามาได้ใช่ไหมคะ?”


ลูกสาวทูนหัวของยูอิลฮาน ยูนิได้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วสมแล้วกับที่เป็นลูกสาวของมังกรที่แท้จริงทั้งสอง เนื่องจากว่ามีผู้เชี่ยวชาญในทุกๆด้านอยู่รอบตัวเธอทำให้เธอได้มีโอกาสมากมายในการเรียนรู้เทคนิคพวกนี้ และเธอก็เป็นเหมือนอย่างมังกรที่มีความกระหายในความรู้มากๆ เธอได้พยายามเรียนรู้ทุกๆอย่างที่เป็นไปได้ในเวลาอันสั้น


ในมุมมองยูอิลฮานแล้วนี่คือพรสวรรค์ที่สูงมาก! มังกรยอดเยี่ยมที่สุด!


“พ่อทูนหัว ช่วยมาประลองกับหนูด้วย!”

“อีกแล้วหรอ?”


และคนที่ยูนิให้การยอมรับมากที่สุดก็คือยูอิลฮานที่เป็นคนดูแลโลกใบนี้ นี่ก็เหมือนกับมังกรตนอื่นๆ เขาคือคนที่แกร่งที่สุดแล้ว


ในตอนแรกที่เธอสามารถจะหยิบอาวุธได้ด้วยสองมือของเธอ เธอก็ได้เลือกหยิบหอกขึ้นมาอย่างรื่นไหลเป็นธรรมชาติ และในตอนนี้ภายนอกเธอูมีอายุประมาณเด็กสาวสิบสี่สิบหาขวบ เธอได้พัฒนาเทคนิคของเธอขึ้นมาสูงมากๆ


“หนูคิดว่าถ้าหนูได้สู้กับคุณพ่อทูนหัว หนูจะต้องพัฒนาขึ้นแน่ นะคะ? นะคะ?”

“…ก็ได้ๆ ถ้างั้นก็เข้ามา”

“เย้! ย๊ากกกกกกกกก! แอ๊ก!”


แน่นอนว่าเธอสู้กับยูอิลฮานได้ไม่ถึงสามวินาทีเลยด้วยซ้ำไป ยูอิลฮานคือชายที่ไม่ปราณีต่อใครไม่ว่าจะเป็นอายุหรือเพศก็ตาม เหตุผลที่เธอสามารถสู้ได้อย่างน้อยสามวินาทีในตอนแรกก็เพราะเขาไม่ได้เอาจริงกับเธอ! ยูนิได้ล้มลงไปกองบนพื้นเหมือนกับกบตายไปแล้ว เธอได้พึมพัมออกมาพร้อมๆกับลูบจมูกที่แดงขึ้นมาของเธอ


“ให้ตายสิ หนูคิดว่าหนูจะสู้ได้นานกว่านี้ซะอีกในเมื่อตอนนี้หนูได้คลาส 4 มาแล้ว!”

“หืม!”


นี่เธออได้คลาส 4 มาแล้วจริงๆ! ยูอิลฮานได้ถามเธออย่างตกตะลึง


“ยูนิ นี่เธออายุเท่าไหร่แล้วนะ?”

“หืม? วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดครั้งที่เก้าของหนูค่ะ!”


นั่นมันหมายความว่าบาเรียใกล้จะหายไปแล้ว! ยูอิลฮานได้ตกตะลึงมาและก็สิ้นหวัง


“ฉันยังไม่เชี่ยวชาญวิถีไร้ขอบเขตเลย”

“เลเวลเท่าไหร่แล้วหรอคะ?”

“99…”

“ว้าว!”


พอมาคิดดูแล้วนี่เขาน่าจะไปลงโทษนายูนาที่ทำให้เด็กติดนิสัยเสียไม่น่าพอใจของเธอมา ยูอิลฮานได้รับเอาหอกที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ากลับมา


เมื่อเขาได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาก็เห็นนาฬิกาทรายที่อีกไม่นานทรายก็ถมจนเต็มแล้ว


“ดูเหมือนฉันจะไม่ว่างไปซักพักแล้ว”

“มีการต่อสู้หรอคะ?”

“น่าเสียดายนะ ที่การต่อสู้นี้ไม่มีที่สำหรับเธอยูนิ”

“แต่อยู่อยากจะช่วยด้วยนี่นา”

“ไว้ฉันจะคิดดูอีกครั้งหลังเธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนะ”


โลกคงจะเป็นที่ที่สวยงามหากว่าทุกๆคนเป็นเหมือนกันเธอ – ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมาและลูบหัวของยูนิ ยูนิได้บอกว่ามันจั๊กจี้และหัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา


“ดีล่ะ ถ้างั้นฉันคงต้องไปแล้ว เราจะกลับมาอย่างปลอดภัยในงานวันเกิดของเธอนะยูนิ”

“เป็นคำพูดที่เท่จังเลย!”

“แน่นอนสิ ฉันได้เตรียมคำพูดนี้เอาไว้ตั้งแต่ที่เธอเกิดแล้ว”


ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาเท่ๆและรับหอกกลับมาพร้อมออกไปจากที่ฝึกซ้อม


พรรคพวกคนอื่นๆกำลังรอเขาอยู่ราวกับอ่านใจเขาออก


“ใกล้แล้วนะอิลฮาน เหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป”

“ที่รัก มันจะจบลงในสามชั่วโมงจริงๆน่ะหรอ?”

“มันอาจจะนานกว่านั้นเล็กน้อย หากไม่มีบอสลับสุดท้ายก็คงจะเป็น 5 นาที แต่ถ้ามีก็ 20 นาที แล้วก็ถ้ายังมีอีกหลังจากเราเอาชนะไปแล้วหนึ่งก็คงเป็นชั่วโมงหนึ่ง แล้วก็จะเพิ่มอีกสามสิบนาทีหากมีโผล่มาหลังจากนั้นอีกหนึ่ง”

“…”


ไพ่ตายของเขามีจนนับไม่ถ้วน! ยูอิลฮานได้ออกมาจากป้อมปราการลอยฟ้าโดยปล่อยคนที่พูดไม่ออกเอาไว้


บางทีทุกๆคนก็น่าจะรู้แล้วทำให้ทุกๆคนที่ไม่ใช่สมาชิกต่อสู้ไปลงไปบนพื้นโลกและคนที่ต้องต่อสู้ก็ได้เข้าสู่เมืองลอยฟ้า


[ยินดีต้อนรับหัวหน้า]


ยูเรียลที่มีแปดปีกได้ต้อนรับยูอิลฮานมา เธอคือคลาส 8 นอกเหนือจากมิสทิค และเป็นลูกน้องที่มีมานามากที่สุด เธอคือหนึ่งในสองคนที่มีแรงจูงใจมากที่สุดในเรื่่องทีกำลังจะเกิดขึ้น


“รู้แล้วน่า เธออยากจะช่วยพ่อใช่ไหมล่ะ?”

[นะ นั่นมันก็จริง แต่ไม่ใบ่แค่นั้นหรอกนะ นะ นั่น อ่า… คือกาเบรียลนั่นแหละ]

“ไม่เป็นไรหรอก นั่นก็เหมือนฉันนั่นแหละ”


บางครั้งคนเราก็จะต้องทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ แต่ว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้ายูอิลฮานทั้งหมดคือสิ่งที่เป็นไปได้ทั้งนั้น


ยูอิลฮานได้ปลอบใจยูเรียลที่แสดงสีหน้าเป็นห่วงกาเบรียล


“ไม่ต้องห่วงขนาดนั้นหรอกน่า ทุกๆอย่างจะเป็นไปตามที่ฉันวางแผนเอาไว้”

[หัวหน้าได้มาถึงจุดที่น่าทึ่งแล้วที่ทำให้ฉันยอมรับด้วยแค่คำพูดได้ แต่ว่า… เข้าใจแล้ว ฉันเชื่อในตัวหัวหน้า ไปช่วยกาเบรียลกัน ไปหยุดพระเจ้ากัน ไปน้ำความสิ้นสุดบาปกรรมกับกองทัพปีศาจวิบัติกัน ไปสอบถามซาตานว่าเขากำลังทำอะไรกัน… ไปนำสันติสุขกลับมากันเถอะ]


หลังจากพูดแบบนี้ยูเรียลได้เงยหน้าขึ้นมา ข้างหลังของเธอคือสมาชิกอย่างเป็นทางการของดราก้อนเนสทั้งหมดที่เรียงแถวกันอยู่ พวกเขาต่างก็ถูกติดอาวุธด้วยอาวุธที่ยูอิลฮานสร้างขึ้นและพร้อมสู้รบกับศัตรูทุกๆคนแล้ว


“ทุกๆคนน่าจะรู้อยู่แล้วนะ แต่ว่า”


คำพูดของยูอิลฮานที่ดังออกมาไม่ดังและไม่เบา แต่ว่าเสียงของเขาได้ดังเข้าถึงทุกๆคนโดยไม่ต้องใช้ประกาศิตเลย


“กองกำลังศัตรูมีเหลืออีกไม่มากแล้ว ในขณะที่พวกนั้นกำลังตีกันอย่างงี่เง่าอยู่ พวกเราก็ได้สร้างโลกขึ้นมาและขยายช่องว่างขึ้นไปอีก เพราะงั้นชัยชนะในครั้งนี้เป็นของเราแน่นอน”

“ว้าว!”

“ฉันจะรับมือกับพวกหัวหน้าเอง เพราะงั้นฉันขอฝากให้พวกนายจัดการพวกที่เหลือด้วย พูดตามตรงนะหากว่าใส่อุปกรณ์ของฉันไปต่อสู้แล้วมีบาดแผลขึ้นมา พวกนายก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกันแล้ว ถ้ามันเกิดขึ้นฉันจะริบคุณสมบัติคืนทันที”

“นี่เขากำลังทำให้ทุกๆคนมีกำลังใจกันจริงๆแน่นะ?”


ยูอิลฮานได้พูดต่ออย่างรวดเร็วจนจบโดยไม่สนใจเสียงพูดของคนอื่นๆเลย


“ในทันทีที่บาเรียหายไปพวกเราจะบุกรุกไปในโลกหลักของศัตรูทันที… โอ้แล้วก็ก่อนหน้านั้นใครก็ได้ช่วยส่งยูนิกลับไปที่โลกด้วย”

“อ่า ยูนิ เด็กคนนี้กล้ามากนะที่แอบมาที่นี่!”

“หนูด้วยสิ หนูก็อยากจะสู้ด้วยน้าาาาาาาา!”


หลังจากยูนิได้ถูกคนอื่นๆไล่ลงไปบนพื้นแล้ว ยูอิลฮานก็ยืนยันว่าสมาชิกทุกคนที่มาที่นี่พร้อมสำหรับการต่อสู้แล้วก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง


“ถ้าพวกนายพร้อมกันแล้ว ถ้างั้นฉันจะทำการข้ามมิติในทันทีที่บาเรียหายไป”

“เดี๋ยวก่อนนะที่รัก”


เฮเรียน่าได้ถามออกมา


“ฉันรู้นะว่าเรากำลังจะบุกไปในโลกล่ะของศัตรู… แต่ว่าเราจะบุกไปที่กองกำลังไหนก่อนกันล่ะ?”

“แน่นอนสิว่าเราจะต้องไปปล้นบ้านที่ว่างเปล่าก่อน”


ยูอิลฮานได้ขยิบตาและพูดออกมา


“โลกเบื้องล่าง”


บทที่ 341 – พระเจ้า (2)


บาเรียได้หายไปแล้ว เมืองลอยฟ้าที่มีป้อมปราการลอยฟ้าและป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้ลอยขึ้นจากชั้นบรรยากาศของโลกในทันที ผู้คนที่อยู่บนโลกได้เฝ้ามองดูเมืองลอยไหลออกไปจนในที่สุดก็รู้สึกกาลเวลาที่เริ่มเดินอีกครั้ง ข้างล่างนั้นก็ยังมียูนิที่กำลังกระโดดไปมาอยู่


“เมื่อไหร่ที่หนูโตขึ้นหนูจะแต่งงานกับพ่อทูนหัว! เพราะงั้นคุณต้องปลอดภัย! หนูไม่ยอมให้หน้าคุณบาดเจ็บแน่!”

“หยุดฝันไปได้เลยเจ้าหนู”


เลียร่าที่ลงโทษในทุกๆคนที่มองยูอิลฮานได้ปฏิเสธออกมาทันที ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติในขณะขบคิดถึงสิ่งที่เลียร่าจะทำกับเด็กน้อยและคิดว่าทำไมเธอถึงได้จริงจังขนาดนั้นด้วย


[โปรดกลับมาหลังจากกำจัดผู้ทุกมุ่งร้ายกับโลกทุกๆคนแล้วด้วยเถิดท่านผู้ปกครอง]


ผู้ที่เกิดเป็นความโกลาหลได้กลายมาเป็นผู้พิทักษ์ และท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นตัวโลกเองได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมา


“ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกนะ ไว้ใจฉันได้เลย”


ยูอิลฮานได้เชี่ยวชาญสกิลจ้าวมิตินานแล้ว เนื่องจากว่าโลกทั้งหมดที่เขาปกป้องได้กลายเป็นหนึ่งแล้วทำให้บาเรียที่เขาร่ายไว้รอบโลกได้แกร่งทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ นี่ยังเป็นเหตุผลที่เขาป้องกันไม่ใช่ประชากรบนโลกกลับมาได้เป็นเวลาสองสามชั่วโมงอีกด้วย


“ฉันจะจบทุกๆอย่างก่อนหน้านั้น จากนั้นโลกก็จะสมบูรณ์”

“นี่ยังไม่สมบูรณ์อีกหรอ!?”


เอิลต้าได้ตะโกนออกมาอย่างตกใจ ยูอิลฮานได้แตะพื้นที่ยืนอยู่และหยักหน้าออกมา


“ฉันพูดไปแล้วนี่? เมืองนี้จะต้องหลอมรวมกลับเข้าไปในโลกก่อนที่จะจบทุกๆอย่างลง”

“โอ้ใช่แล้ว นายพูดถึงเมืองนี้ แล้วเมืองนี้คืออะไรกันนะ? ฉันรู้สึกได้มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโลก”

“เธอจะคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของโลกก็ได้ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นโลกใบเล็กที่มีอิสระ นี่มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองนั่นแหละ”


ไม่มีใครเข้าใจถึงคำพูดของยูอิลฮาน แต่ว่าพวกเขาก็พอเข้าใจได้ว่าแนวคิดที่ยูอิลฮานกำลังทำนี้คือสิ่งที่น่าสนใจ ยังไงก็ตามสกิลข้ามมิติก็ได้ทำงานก่อนที่จะมีใครได้ถามอะไรอีก


ยูอิลฮานก็ได้เชี่ยวชาญสกิลข้ามมิติแล้วเช่นกัน เพราะงั้นคนอื่นๆได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่โลกเบื้องล่างก่อนที่จะรู้สึกตัวซะอีก


“นี่คือโลกเบื้องล่าง”

“เป็นที่นี่จริงๆ!”

“เป็นครั้แรกเลยนะที่ฉันได้มาที่นี่!”


โลกที่เต็มไปด้วยความมืดไร้ที่สิ้นสุดและออร่าชั่วร้าย นี่คือโลกที่ซาตานได้มาอยู่หลังจากออกมาจากสวรรค์ และเป็นโลกที่เต็มไปด้วยรากฐานของเขา


“ซาตาน… ไม่ได้อยู่โลกใบนี้ในตอนนี้ใช่ไหม?”


เมื่อคิมเยซอลได้ถามออกมายูอิลฮานก็ได้หยักหน้าโดยไม่ลังเลใดๆ


“สนามรบน่าจะเป็นที่อื่น ซาตานได้ร่วมมือกับพระเจ้าเพราะงั้นพวกเขาตอนนี้น่าจะยังอยู่ในสนามรบนั่น”

“โลกใบนี้คือ…”

“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงก็ตามมันไม่ใช่อะไรอย่างโลกที่ไม่อาจถูกบันทึกแน่ พระเจ้าไม่ได้มีความสามารถถึงระดับนั้น เพราะงั้นฉันก็เลยกำลังคิดที่จะมาหาข้อมูลเกี่ยวกับมันเพิ่มเติมที่นี่แหละ”

“หัวหน้า ถ้าเป็นไปได้กาเบรียลจะต้องถูกช่วยให้เร็วที่สุด…”


บนใบหน้าสวยงามของยูเรียลเธอได้หันซ้ายหันขวาอย่างเป็นกังวล เขาก็พอจะเข้าใจถึงสิ่งที่เธอรู้สึกตลอดสิบปีมานี้ ยูอิลฮานได้หยักหน้าด้วยรอยยิ้มแห้งๆ


“ด้วยเลเวลของฉัน ในระหว่างคุยกันอยู่ฉันสามารถทำอะไรได้มากมาย ฉันกำลังเลื่อนดูบันทึกโลกใบนี้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้อยู่ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอก พ่อน่าจะปลอดภัยและเราก็จะหาพ่อเจอ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถได้พ่อไปก็ตาม”


ยูอิลฮานได้เริ่มค้นหาโลกเบื้องล่างต่อไปโดยไม่สนใจความเสียใจของยูเรียลเลย โลกเบื้องล่างนี้กว้างใหญ่และมีความหนาแน่นของมานาที่น่ากลัวสมกับที่เป็นโลกใบหลักของกองทัพจรัสแสง แต่ว่าน่าแปลกที่โลกใบนี้ไม่มีเทวดาตกสวรรค์อยู่เลยแม้แต่คนเดียว


“ทำไมมันถึงได้โล่งขนาดนี้ล่ะ?”

“นี่คือโลกที่สำคัญที่สุดของกองทัพจรัสแสงเชียวนะ ถึงแม้ว่าซาตานจะออกไปแล้ว แต่ว่าพวกเขากล้าปล่อยที่นี่ว่างเปล่าได้ยังไงกัน? ซาตานเป็นไอ้โง่แบบนี้งั้นหรอ?”

“ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ”


เนื่องจากยูอิลฮานได้ค้นพบถึงการเชื่อมต่อระหว่างบันทึกเทพเจ้าและเร็กน่าระดับสูงทำให้มีความเป็นไปได้ว่าซาตานได้วางแผนเหนือกว่ายูอิลฮานคาดคิดเอาไว้จนเขาไม่รู้อะไรเลย ยูอิลฮานก็ยังไม่คิดว่าหัวหน้าที่รับผิดชอบกองกำลังหนึ่งและเป็นหนึ่งในผู้ขับไล่พระเจ้าออกไปจะเป็นคนไร้ปัญญาแบบนี้


“หากว่าที่นี่เป็นที่สำคัญ ถ้างั้นพวกเขาก็ควรจะป้องกันมันเอาไว้ แต่ว่าถ้าไม่มีการป้องกัน นั่นก็หมายความว่าที่นี่ไม่ได้มีความสำคัญเลย”

“มันจะเรียบง่ายแบบนั้นเลยหรอ… โลกหลักจะไม่มีความสำคัญได้ยังไงกันล่ะ?”


ยูอิลฮานได้ตอบกลับมา


“อาจจะเป็นไปได้ว่าโลกหลักไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว”

“ไม่… มีความหมาย…?”


พวกเขาเพิ่งจะพูดถึงว่าโลกหลักมีความสำคัญที่สุดในแต่ล่ะกองกำลัง แต่แล้วยูอิลฮานกลับปฏิเสธแบบนี้! ทั้งๆที่เขาก็เป็นหนึ่งในหัวหน้ากองกำลังเช่นกัน!


ยูอิลฮานได้หยักไหร่ออกมาและอธิบายให้กับคนที่ยังไม่เข้าใจ


“เขาได้ร่วมมือกับพระเจ้าแล้วถูกไหมล่ะ? พระเจ้าได้บอกว่าเขาจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา เพราะงั้นเขาก็ต้องลบโลกเบื้องล่างไปด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”

“แต่ถ้าแบบนั้นพลังของซาตาน…”

“พระเจ้าไม่มีทางจะทางจะลบล้างโลกหลักได้อย่างสมบูรณ์เว้นแต่ว่าเขาจะทำอะไรกับหัวหน้ากองกำลัง เพราะแบบนั้นพระเจ้าจะลบล้างโลกเบื้องล่างภายใต้ข้อตกลงจากซาตาน อาจจะพูดได้ว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ตัวเองอ่อนแอลง”

“นั่นมันหมายความว่าซาตานเชื่อในตัวพระเจ้าแล้วก็ยกพลังของเขาไปให้กับพระเจ้าอีกครั้ง…?”


นี่มันคือเรื่องที่โง่ที่สุดเลยไม่ใช่หรอ!? ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้ส่ายหัวออกมาและไม่ได้ตอบคำถามที่พวกเธอต้องการ


“ไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่ได้ไร้การป้องกันอย่างสมบูรณ์หรอกนะ นอกจากนี้คนๆนั้นยังรู้สึกถึงตัวตนฉันแล้วด้วย”

“ที่ไหนล่ะ”

“ใจกลางของโลกใบนี้ ตอนนี้ฉันกำลังจะไปที่นั่นแหละ”


เมืองยูอิลฮานได้คิดถึงตรงนั้น เมืองลอยฟาก็ได้รับอิทธิพลจากความคิดของเขาและเริ่มเคลื่อนไหวในทันที เพราะสกิลข้ามมิตินี้เองทำให้สมาชิกภายในเมืองลอยฟ้าไม่ได้รู้สึกถึงแรงต้านจากการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแม้แต่นิดเดียว พวกเขามีแต่อุทานออกมาอย่างตกใจกับการได้เห็นสภาพแวดล้อมเปลื่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว


“อ่า ตอนนี้ฉันรู้สึกได้แล้ว ออร่าที่น่าทึ่งนั่น”

“ถ้าเป็นฉันในอดีตฉันก็คงต้องหวาดกลัวแน่…”


เอิลต้าได้พึมพัมออกมา หรือนี่ก็หมายความว่าในตอนนี้เธอไม่ได้กลัวแล้วแม้แต่นิดเดียว


หลังจากกระพริบตาไปไม่กี่ครั้งเมืองลอยฟ้าก็ได้มาถึงจุดหมายแล้ว ที่นี่มีปราสาทยักษ์และคนหนึ่งคนที่นั่งอยู่เพียงลำพังบนหลังคาของมัน


[คุณมาเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ]


คนๆนี้ก็คือหญิงสาวที่ผมสีดำยาว เธอสวมชุดไหมสีดำที่ดูไม่เหมาะกับการต่อสู้เอาซะเลย เธอเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยออร่าแห่งความหรูหรา แต่ยังไงก็ตามแปดปีกบนหลังของเธอที่กางอยู่ได้ทำให้พวกเขาต้องคิดถึงพลังที่แท้จริงของเธอใหม่อีกครั้งหนึ่ง


“ราเซีย เธอเป็นผู้หญิงนี่เอง”


ยูอิลฮานได้พูดออกมา คนอื่นๆได้ผงะไปทันทีที่ได้รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าของพวกเขาก็คือปีกที่ 1 แห่งกองทัพจรัสแสง แต่ว่าคนที่เป็นเป้าของคำถามนี้กลับหยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ


[ถูกแล้วล่ะ ฉันก็คือปีกที่ 1 แห่งกองทัพจรัสแสง ราเซีย ส่วนคุณก็คงจะเป็นยูอิลฮาน หัวหน้าดราก้อนเนส]

“ถูกแล้ว”


ราเซียได้มองยูอิลฮานอย่างระมัดระวังราวกับว่าเธอกลัวว่าเธอจะทำอะไรที่หยาบคาย ทั้งๆที่รู้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูแล้วเธอก็ยังคงสุภาพมากๆ


[ฉันได้ยินว่าคุณคือคนที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ว่าฉันไม่เคยคิดเลยว่าคุณจะแกร่งได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่พลังของฉันอยู่ที่คลาส 8 แต่ฉันก็ไม่อาจจะมองในระดับพลังของคุณออกได้เลย… หัวหน้าของฉันอาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับคุณ]


จากสิ่งที่ยูอิลฮานได้เห็นมาตลอด เขามั่นใจว่าซาตานไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาเลยเว้นแต่ว่าซาตานจะทำอะไรซะอย่างให้แกร่งขึ้นอย่างน้อยห้าเท่านับตั้งแต่ที่เจอกันครั้งล่าสุด แต่ว่ามันคงน่าอายหากเขาพูดมันออกมาดังๆก็เลยปล่อยผ่านไป


กลับกันเขาได้ถามเธอออกมาแทน


“ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามเธออยู่”

[ตราบใดที่ยังเป็นเรื่องในความรู้ของฉัน ฉันก็จะตอบคำถามคุณ]

“ซาตานคือศัตรูของฉันจริงๆงั้นหรอ?”


ทั้งโลกได้หยุดนิ่ง


หรือบางทีอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกก็ได้ ทุกๆคนได้มองมาที่ยูอิลฮานอย่างตกตะลึง


“นายหมายความว่ายังไงกัน!? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้มาตลอดนายได้ตรียมการฆ่าเขาด้วยความโกรธหรอกหรอ!?”

“นายถึงขนาดตอกเข็มเข้าไปในตุ๊กตาฟางพร้อมตะโกนชื่อซาตานก่อนนอนทุกคืนเลยนะ!”

“นายบอกว่าหากนายไม่ได้เขานายก็จะทำลายเขานี่นาา~”

“ตอนที่นายพูดว่าจะไปปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่นายดูทั้งคาดหวังแล้วก็ตื่นเต้นเลยนะ!”

“ช่วยหยุดพูดข้อมูลผิดๆแล้วก็เรื่องแปลกๆเถอะนะ”


ยูอิลฮานได้พูดแก้ความเข้าใจผิดอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเขายังคงจ้องไปที่ราเซียอยู่ แต่ว่าเขาก็พบว่ามันน่ารักดีที่เธอกำลังทำสีหน้าแปลกๆ เขาได้เร่งให้เธอตอบกลับมา


“แล้วคำตอบล่ะ?”

[ที่คุณคิดแบบนี้มันเพราะว่าท่านซาตานได้ปกป้องคุณจนกลายมาเป็นเทพงั้นหรอ? น่าเสียดายด้วยนะ ซาตานก็คือศัตรูของคุณ บางทีหากคุณยังไม่ได้กลายเป็นเทพก็คงจะไม่ใช่ศัตรูกัน แต่ว่าในตอนนี้คุณสมบูรณ์แบบแล้ว มันก็เหมือนกันกับคนอบขนมปังที่รอขนมปังนั่นแหละ แต่…]

“อ่อ เข้าใจแล้ว เธอกำลังจะบอกว่ามันคงไม่มีใครที่มองขนมปังที่อบเสร็จแล้วด้วยความพอใจเฉยๆใช่ไหมล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเคยได้ยินมันมาก่อน”

[ตอนนี้คุณยอมรับแล้วหรอ?]


ยูอิลฮานได้หยักไหล่และตอบกลับไป


“ก็นะ”

[ถ้างั้นก็ดีแล้ว]


ราเซียได้ยืนขึ้นอย่างช้าๆ


[ฉันรู้ดีว่าฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็จะขวางคุณจนกว่าฉันจะต้องหายไป ในจุดนั้นท่านซาตานก็จะกลับจัดการคุณด้วยตัวของเขาเอง]

“ไม่หรอก ฉันไม่ได้กำลังจะสู้กับเธอ”

[…อะไรนะ?]

“ฮ่าห์”


ยูอิลฮานได้ยื่นมือออกไปและตะโกนออกมาสั้นๆ เพียงทำนี้ราเซียก็ถูกมัดอยู่กับที่


ยูอิลฮานได้จัดการปราบผู้บัญชาการกองพันคลาส 8 ที่ได้รับการสนับสนุนจากโลกใบนี้รองลงมาจากซาตานภายในพื้นที่ของกองทัพจรัสแสงอย่างง่ายดาย


[ปะ เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน ต่อให้คุณจะเป็นหัวหน้ากองกำลัง ต่อให้คุณเป็นเทพ แต่คุณไม่น่าจะทำแบบนี้ได้ง่ายๆ…]

“ในตอนที่ฉันไม่มีพลัง การฆ่าศัตรูทั้งหมดคือวิธีที่ดีที่สุด นั่นมันก็เพราะว่าฉันจะรู้สึกเหมือนร้อนรุ่มตลอดที่ได้เห็นพวกตัวเอกในนิยายชอบปล่อยศัตรูให้มีชีวิตรอด ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงปล่อยให้พวกตัวปัญหารอดไป จริงๆแล้วในนิยายบางเล่มฉันกลับชอบพวกตัวร้ายมากกว่าซะอีก”

“ไม่ใช่ว่านั่นมันเพราะนายเป็นตัวร้ายหรอกหรออิลฮาน?”

“เงียบไปเลย แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามมันก็คือเหตุผลที่ฉันคงปรัญชาที่จะฆ่าศัตรูในทันทีที่เจอก่อนที่จะตัดสินคิดอะไรอีก แต่ว่านะการใช้ชีวิตแบบนี้มัน… อืมม ในบางทีมันก็น่ารำคาญนิดๆเหมือนกัน”


เขาได้ฆ่าคนที่เขาคิดว่าแยกแยะความเป็นมิตรหรือศัตรูได้ยากไปในทันที เพราะงั้นคนที่เขาฆ่าไปก็เลยเป็นได้ทั้งศัตรู หรืออาจจะเป็นมิตรในอนาคตก็ได้เช่นกัน เพราะแบบนี้ทำให้เขาได้ลบความเป็นไปได้ไปมากมายเพราะความหวาดระแวงในอนาคต


[มันก็เป็นเรื่องธรรมดา คุณได้เลือกตัวเลือกที่ถูกต้องเพื่อเอาชีวิตรอด ถึงฉันจะถูกคุณฆ่าในตอนนี้ฉันก็ไม่ได้แค้นคุณเลย ศัตรูน่ะควรจะต้องถูกฆ่าอยู่แล้ว]

“แน่นอน ฉันไม่เคยเสียใจกับการฆ่าเลยแม้แต่นิดเดียว พวกสารเลวที่ฉันอยากจะฆ่า พวกสารเลวที่ฉันได้ฆ่าไป พวกสารเลวที่ฉันจะต้องฆ่า…. แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าเหยื่อของฉันทุกๆคนจะเป็นแบบนั้น มีคนมากมายที่ฉันฆ่าไปก็เพราะว่าฉันกลัวผลที่จะตามมา เพราะงั้น”

[เพราะงั้น?]


ยูอิลฮานได้พูดกับเธอด้วยรอยยิ้มที่สดใส


“ถ้าฉันลบความเป็นไปได้ในแง่ลบทั้งหมดไปได้ บางทีเรื่องที่น่าอึดอัดใจอย่างการฆ่าก็อาจจะไม่จำเป็นอีกแล้วก็ได้”

[…นี่คุณกำลังจะบอกว่าคุณจะไม่ฆ่าฉัน?]


ราเซียได้ถามกลับมาอย่างตกตะลึง น่าแปลกใจที่ยูอิลฮานก็หยักหน้ารับด้วยเช่นกัน


“ใช่แล้ว โดยเฉพาะในกรณีแบบเธอ เธอจำเป็นต้องตายหลังจากที่ถ่วงเวลาฉันทั้งๆที่เธอไม่ได้เกลียดอะไรฉันเลย ฉันเกลียดการที่จะต้องฆ่าคนไร้พิษสงแบบเธอ โดยเฉพาะการที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวให้ทำตามสถานการณ์ด้วย”

[แต่ถ้าปล่อยฉันไป คุณจะต้องเสียใจ…]

“ฉันไม่เสียใจหรอก ไม่ใช่ว่าฉันเพิ่งจะพูดไปเองหรอกหรอ? ฉันกำลังจะลบความเป็นไปได้ในแง่ลบทั้งหมดไปนะ”


ยูอิลฮานได้หยิบเอาลูกบาศก์เล็กๆออกมาจากกระเป๋าของเขา ราเซียได้มองมันและถามออกมาทันที


[นั่นมันคือไอเทมอะไร?]


ยูอิลฮานได้ตอบกลับมา


“นี่ก็คือกับดักแห่งการฟื้นคืนไงล่ะ”


บทที่ 342 – พระเจ้า (3)


ราเซียไม่มีพลังแม้แต่นิดเดียวที่จะขัดขวางการกระทำของยูอิลฮาน เขาได้โยนสิ่งที่เรียกว่ากับดักแห่งการฟื้นคืนออกมาและมันก็ได้ตกลงไปในใจกลางของปราสาทก่อนที่รุกล้ำเข้าไปภายในโลก ราเซียได้ตะโกนออกมาราวกับจะปฏิเสธในพลังนี้ของมัน


[นี่มันเปล่าประโยชน์! ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามแต่ตามใดที่ท่านซาตานยังคงอยู่ คุณก็จะไม่สามารถทำอะไรกับโลกเบื้องล่างได้!]

“เพราะงั้นเธอก็เลยอยากจะให้ฉันฆ่าซาตาน เพราะเขาคือศัตรูของฉัน และฉันก็ไม่อาจจะแก้ปัญหานี้ได้โดยการที่ไม่ต้องฆ่าเขา”


ราเซียได้เม้มปากปฏิเสธกลับมา


[ฉันคือผู้ติดตามของเขา ฉันไม่สงสัยในชัยชนะของเขาแม้แต่นิด]

“จนถึงตอนนี้เธอได้ทำพลาดอยู่หลายอย่างมาก และความผิดพลาดทั้งหมดนั่นก็เกิดมาจากความเข้าใจผิดของเขา – เธอเข้าใจในตัวฉันผิดไป”


ยูอิลฮานได้ตะโกนเข้าใส่ราเซีย


“เธอเป็นใครถึงได้มาประเมินพลังของฉัน? เธอเป็นคนถึงได้จะมารู้ในสิ่งที่ฉันกำลังคิดอยู่? เธอเป็นใครถึงได้มาบังคับให้ฉันต้องเลือกตัวเลือกเดียว? ฉันจะทำทุกๆอย่างตามที่ฉันต้องการ ฉันจะทำร้ายภัยร้ายทั้งหม เพราะงั้นสิ่งที่รอฉันอยู่มีแค่โครตมหาตอนจบสุดสงบสุขเท่านั้นแหละ”

[มะ… ไม่เห็นจะเข้าใจเลย]

“เธอไม่เข้าใจอยู่แล้ว ฉันไม่ได้หวังจะให้เธอเข้าใจสักนิด พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่าเราทั้งคู่ได้ใส่หน้ากากกันอยู่ ยังมีอะไรต้องคุยกันอีกล่ะ?”


ยูอิลฮานได้หันไปรอบๆ ราเซียไม่อาจจะขยับได้แม้แต่นิดเดียว เธอดูน่าตลกมากๆ แต่ยูอิลฮานก็ไม่ได้ทำอะไรเธออีกแล้ว


“ไปกันเถอะ ธุระของเราที่นี่จบลงแล้ว”

“ไม่ใช่นายบอกว่านายจะมาปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่หรอกหรอ?”

“ก็ฉันเพิ่งปล้นไปตะกี้นี่เอง”


ยูอิลฮานได้ทำแค่อย่างเดียวนั่นคือการหยุดราเซียและโยนกับดักแห่งการฟื้นคืนออกไป นี่มันใช่การปล้นตรงไหนกัน? เลียร่าอย่างจะพูดคำๆนี้ออกมา แต่ว่าเธอก็ต้องเปลื่ยนสีหน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นที่เปลื่ยนแปลงไปในโลกเบื้องล่าง


“โอ้”


เฮเรียน่าได้อุทานออกมา ในขณะที่กำลังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่กระจายมาจากศูนย์กลางโลกเบื้องล่างเธอก็ได้ถามกับยูอิลฮาน


“ถ้างั้นนั่นมันไม่ใช่กับดักแห่งการฟื้นคืนทั่วๆไปใช่ไหม?”

“นั่นมันคือรุ่นพิเศษ เป็นเวอร์ชั่นสำหรับโลกหลัก ฉันได้ตั้งใจปรับแต่งฟังก์ชั่นการฟื้นฟูกับการกลืนกิน การล่อลวงกับการกักขังเพื่อที่จะให้มันได้ต่อต้านและปกครองทุกๆอย่างที่อยู่ในโลกใบนี้”


แค่การโยนเมล็ดเม็ดเดียวเขาจะไม่ได้รับโลกเบื้องล่าง แต่ว่าถ้างั้นการเปลื่ยนแปลงนี่มันคืออะไรล่ะ? เฮเรียน่าได้มองดูโลกใบนี้พร้อมทั้งคิดกับตัวเอง ในตอนนี้เองเธอก็ได้รู้ว่ากับดักแห่งการฟื้นคืนไม่ได้หยุดลงแค่การยึดครองโลกเบื้องล่าง


“มันกำลังเชื่อมต่อกับที่อื่น…”

“ฉันได้เชื่อมต่อทุกๆที่เข้ากับที่นี่ ฉันไม่จำเป็นต้องทำกับดักแห่งการฟื้นคืนอีกต่อไปแล้ว”

“ทุกๆที่…”


ใช่แล้วกับดักแห่งการฟื้นคืนมีคุณสมบัติในการขยายขนาดและท้ายที่สุดมันก็จะย้ายตัวเองไปในมิติอื่น มันไม่ได้หยุดแค่การลบผลจากกับดักแห่งการทำลายเท่านั้น แต่มันแพร่กระจายกันออกไปด้วยความรวดเร็วจนน่ากลัวราวกับจะพิชิตทุกๆโลกอีกด้วย


“สำหรับโลกระดับต่ำทั้งหมดก็ด้วยหรอ? แล้ว… แม้แต่โลกที่ผู้คนบนโลกนายใช้ชีวิตอยู่ล่ะ?”

“ไม่ว่าจะเป็นโลกใบไหน จะเป็นโลกที่เกิดมหาภัยพิบัติหรือไม่เกิดก็ตาม โลกทุกๆใบที่มีอยู่ก็จะได้รับผลกระทบทั้งหมด”


เฮเรียน่าได้รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาหลังจากที่ได้เข้าใจถึงความหมายของคำพูดนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะอ้างว่าเธอคือคนที่เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของยูอิลฮานได้ในทันทีที่เจอกัน แต่ว่าเธอก็ได้รู้ตัวว่าแล้วเธอเข้าใจผิดไป


“เป้าหมายของที่รักในการทำกับดักแห่งการฟื้นคืนก็คือการเอามันไป ‘ในที่อื่น’ ตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรอ…?”


ยูอิลฮานไม่ได้รำคาญกับการตอบคำถามเลยสักนิด และเขาได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติ เลียร่าได้ถามต่อออกมา


“ตอนนี้เป็นเอลโลคาทร่าหรออิลฮาน?”

“ไม่อะ เป็นสวรรค์”

“แต่ว่าตามเป้าหมายที่ต่อไปน่าจะเป็นเอลโลคาทร่าสิ…”

“เธอพูดอะไรอยู่น่ะ? เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะบอกไปเองนะเลียร่า?”


ยูอิลฮานได้ลูบหัวเลียร่าเบาๆและพูดออกมา


“ไม่ว่าจะเป็นโลกระดับต่ำหรือโลกระดับสูง โลกทุกๆใบที่มีอยู่ก็จะได้รับผลกระทบจากกับดักแห่งการฟื้นคืน”

“เพราะงั้นทำไมเอลโลคาทร่าถึง… หืม?”

“เพราะงั้นเป้าหมายต่อไปของเรา”


ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติด้วยรอยยิ้ม


“คือสวรรค์ ทุกๆอย่างจะมาบรรจบกันที่นั่น”


***


พิษร้ายที่รุกรามเข้าไปในร่างมิคาเอลรุนแรงมากๆจนถึงจุดที่เขารู้สึกเจ็บปวดในทุกๆครั้งที่หายใจเขาออก


ยังไงก็ตามยูอิลฮานคือผู้ที่เหมาะสมจะเป็นเทพและกลายเป็นคนที่เป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว เขาจะไม่มีทางพ่ายแพ้กับแค่พิษธรรมดาๆที่มาจากหัวหน้ากองพันแน่


[ใครจะเป็นรายต่อไป ใครอีกที่จะมาต่อต้านแสงสว่างของฉัน?]


ผู้บัญชาการกองพันที่เหลือรอดจากการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงมีแค่ผู้บัญชาการกองพันอย่างผู้บัญชาการกองพันที่ 4 เทลไซเดอร์ กับผู้บัญชาการกองพันที่ 8 เซนูว่า หากว่าพวกเขาโจมตีพร้อมกันอาจจะได้ผลดี แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้เซนูว่าถอยกลับไปในขณะที่เทลไซเดอร์ได้ก้าวเข้ามาข้างหน้า


[แสดงให้ฉันดูทีสิมิคาเอล พลังของพวกเทพนะ แสดงให้ฉันดู!]

[น่ารำคาญ เข้ามากันทั้งคู่นั่นแหละ ฉันจะจัดการพวกนายทั้งคู่พร้อมๆกัน]

[ถ้าฉันทำแบบนั้นแล้วนายบาดเจ็บอ่อนแอลงไปอีกก็ไม่สนุกกันพอดีสิ พวกเราได้รอคอยเวลานี้มานานแล้ว นายจะมาขัดขวางความสุขของเราได้ยังไงกัน?]

[อะไรนะ…?]


มิคาเอลได้กัดฟันแน่น เจ้าพวกนี้กล้าพูดเรื่องล้อเล่นแบบนี้ต่อหน้าความตายได้ยังไงกัน?


[นายดูถูกฉัน… เกินไปแล้วนะ… !]


แสงสว่างที่กระจายออกมารอบตัวมิคาเอลได้หนาแน่นมากยิ่งขึ้น ตอนนี้แม้กระทั่งร่างกายของเขาก็มองแทบไม่เห็นแล้ว เส้นแสงสว่างนับร้อยได้พุ่งเข้ามาแทงในที่ที่เทลไซเดอร์อยู่


[ไม่ แสงของนายน่าจะต้องเร็วกว่านี้สิ ฉันได้เดิมพันทั้งชีวิตฉันกำลังช่วงเวลานี้นะมิคาเอล!]

[นายกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง นายมันก็แค่ไอ้โง่ที่รู้จักแต่การทำลายเท่านั้นเอง!]


แสงสว่างได้สั่นไหวอย่างรุนแรงจนราวกับว่ามันกำลังแสดงความโกรธออกมา ยังไงก็ตามเทลไซเดอร์ได้หลบแสงทั้งหมดนี้ได้ด้วยความเร็วจนน่าเหลื่อเชื่อและถึงขนาดหาจังหวะเข้าไปโจมตีมิคาเอลด้วยพลังเวทย์ของเขาได้อีกด้วย


หลังจากที่รู้ตัวว่าเขาได้ช้าลงมาจากพิษมิคาเอลก็ได้กัดฟันแน่น เขาไม่สามารถจะฆ่าได้แม้กระทั่งผู้บัญชาการกองพันที่มีเลเวลต่ำกว่า 600 ซะอีก!


[มิคาเอล นายยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา]


น้ำเสียงของเทลไซเดอร์ได้ดังยิ่งขึ้น


[นายเก็บพลังของนายเอาไว้สู้กับหัวหน้าเรางั้นหรอ? เพราะงั้นนายก็เลยฆ่าฉันไม่ได้งั้นหรอ?]

[หุบปาก ฉันไม่จำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดของฉันจัดการกับคนอย่างแก!]


ดวงตามิคาเอลได้เรืองแสงสว่างจ้าออกมาพร้อมๆกับหยิบเอาอาร์ติแฟคระดับเทพออกมาเหวี่ยง เทลไซเดอร์ไม่ได้หลบมันเลย เขาได้ปล่อยให้การโจมตีนี้มาถูกตัวเขา เลือดได้พุ่งกระจายออกมาจากตัวเขาก่อนที่จะเกิดเป็นวงเวทย์ที่พยายามจะหยุดมิคาเอล


[คำสาปอีกแล้ว? ไสหัวไปป ฉันได้เห็นวิธีกระจอกๆแบบนี้มามากพอแล้ว!]

[ถ้านายแกร่งจริง ถ้านายเป็นเทพ ทำไมนายถึงได้ต้องเก็บพลังเอาไว้ด้วยล่ะ?]


เทลไซเดอร์ได้ยิ้มเยาะเย้ยมิคาเอลออกมา มิคาเอลได้ถูกการยั่วยุนี้กระตุ้นขึ้นมาทำให้เขาเพิ่มพลังแสงขึ้นไปอีก


[ฉันบอกให้หุบปาก…!]

[นายกลัวอะไรอยู่งั้นหรอ? นายที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าแต่การกระทำนายนี่มันไม่ต่างไปจากหนู…]


เทลไซเดอร์ยังพูดไม่ทันจบแสงสว่างที่มิคาเอลปล่อยออกมาก็ได้ปกคลุมทั้งโลกและลบล่างเขาออกไปโดยไร้ร่องรอยแล้ว


มิคาเอลรู้สึกได้ว่าพิษได้รุนแรงมากขึ้นเล็กน้อยตามการใช้พลังของเขา แต่ว่าเขาได้แก้มันด้วยการไอเอาพิษออกมา พลังที่เขาได้ขโมยมาจากราฟาเอลได้กำลังช่วยฟื้นฟูเขาขึ้นมา เขาได้มองไปที่ทูตสวรรค์จำนวนน้อยที่ยังรอดอยู่และออกคำสั่งออกมา


[มันจบแล้ว ไปฆ่าความโลภกันเถอะ]

[มันยังไม่จบหรอก]

[…]


มิคาเอลได้เงยหน้าขึ้นมาทั้งๆที่เขาคิดว่าเขาได้จัดการศัตรูเขาไปแล้ว นกเพลิงเซนูว่าได้ยืนอยู่ตรงนั้น


[ฉันยังไม่ตายหรอกนะมิคาเอล พลังของนายมีมากแค่นี้เองหรอ? หากเทพคนอื่นๆได้มาเจอนายพวกเขาก็คงจะเยาะเย้ยนายแน่ นายใช่มิคาเอลคนเดียวที่เหนือกว่าซาตานงั้นหรอ? แน่ใจนะว่าไม่ใช่ซาตานออมมือให้นายน่ะ?]

[แก… กำลังทำให้ฉันโกรธจริงๆแล้ว]


บางทีหากว่าความโกรธมีตัวตนมันก็อาจจะปรากฏออกมาแล้ว มิคาเอลได้ถือหอกจ้องมองเซนูว่า เซนูว่าที่เห็นแบบนี้ก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมา


[ฉันคือเพลิง ในท้ายที่สุดแสงสว่างที่นายได้รับมาก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเพลิง]

[ฉันเคยได้ยินมันมาแล้ว!]


เขารู้สึกราวกับว่าใบหน้าของยูอิลฮานได้ซ้อนทับเข้ากับใบหน้าของเซนูว่า มิคาเอลได้โยนหอกของเขาออกไปด้วยความโกรธ แต่ว่าเซนูว่าได้เอาร่างกายเข้ามารับโดยไม่สนใจว่าจะบาดเจ็บเลย


[ฉันจะไม่มีวันตายตราบใดที่ยังมีเศษเสี้ยงของเพลิงอยู่ ต่อให้เป็นหัวหน้าก็ไม่อาจจะฆ่าฉันได้ ยิ่งนายน่ะอย่าพูดถึงเลย ส่งทูตสวรรค์คนอื่นมาแทนเถอะ อ่อ เจ้าพวกนั้นทั้งหมดคงตายไปแล้วสินะ? ใช่สิ ทุกๆอย่างมันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับนายนี่นา]


ในหมู่ทูตสวรรค์ เทวทูตคลาส 7 ทั้งหมดได้จากไปแล้วในระหว่างการต่อสู้กับผู้บัญชาการกองพันคนอื่นๆเนื่องจากว่ามิคาเอลช่วยพวกเขาไม่ทันเวลา เซนูว่าได้เยาะเย้ยเขาหลายๆทางด้วยคำพูด


[เป็นไปไม่ได้?]


ยังไงก็ตามคำแดกดันนี้ได้ทำให้ความโกรธของมิคาเอลสงบลงไป


[แสงสว่างลบไฟไม่ได้งั้นหรอ? แสงสว่างเป็นแค่ส่วนหนึ่งของไฟงั้นหรอ? ใช่แลว มันมีอีกคนหนึ่งที่พูดแบบนี้เหมือนกัน และเจ้านั่นมันแกร่งพอที่จะพูดคำพูดโอหังแบบนี้ได้ ยังไงก็ตาม…]


ถึงแม้ว่ามันจะน่าแปลกใจกับตัวเอง แต่ว่ามิคาเอลก็ยอมรับในคำพูดของเทลไซเดอร์เช่นกัน


ใช่แล้ว มิคาเอลคือเทพ ตัวตนทั้งหมดได้ถูกสร้างขึ้นมาจากแสง! เขาไม่จำเป็นต้องเก็บพลังเอาไว้เพื่อเตรียมสู้กับความโลภ ที่เราระมัดระวังนั่นมันเพราะว่าเขายังไม่ได้ล่ะทิ้งอดีตของเขา


[ยังไงก็ตามแกมันไม่ใช่ยูอิลฮาน เพลิงของแกมันไม่ได้สมบูรณ์ขนาดนั้น]

[ฉันคิอแก่นแท้แห่งเพลิงที่สร้างขึ้นจากเพลิงที่บริสุทธิ์…!]

[ยังไงก็ตามฉันต่างออกไปแลว]


มิคาเอลได้พูดแทรกเซนูว่าขึ้นมา


[ฉันไม่ต้องสนใจอะไรอีกแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องเตรียมพร้อม ฉันสมบูรณ์แบบและฉันคือที่หนึ่ง ไอน้ำ? พิษ? เพลิง? ฉันไม่สน หากว่าฉันยังถูกผูกติดกับอดีตฉันก็จะไม่มีอนาคต แต่ในตอนนี้เพราะนายฉันได้เข้าใจแล้ว ฉันได้เข้าใจเพราะแกที่ไม่สมบูรณ์แบบ]


แสงสว่างจากมิคาเอลได้ส่องสว่างมากยิ่งขึ้น ไม่สิ ตอนนี้คำว่า ‘มีอยู่’ ไม่อาจจะใช้นิยามได้อีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าแสงได้ถูกปล่อยออกมาจากมิคาเอลหรือว่ามิคาเอลกำเนิดขึ้นจากแสงกันแน่


[ฉันสมบูรณ์แบบ]


มิคาเอลได้ประกาสออกมา


[ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ในตอนนี้มันจะยังเป็นไปไได้ แต่ด้วยพลังของฉันจะทำให้มันเป็นไปได้]

[ไร้สาระ นี่มันไม่มีทาง… อย่าบอกนะว่า…]


ระหว่างพึมพัมคำพูดเหมือนคำสั่งเสียนี้เซนูว่าก็ได้ก้าวถอยไป แต่เพราะเหตุผลบางอย่างทำให้เขาขยับไม่ได้ มันราวกับว่าเขาถูกแสงของมิคาเอลหยุดเอาไว้


[พลังจะอ่อนแอลงหากเจอพลังที่แกร่งกว่า แสงจะถูกลบหายไปจากแสงที่ทรงพลังกว่า เพลิงของนายจะอ่อนแอ อ่อนแอจนไม่อาจจะส่องแสงของฉันออกมาได้ นั่นแหละ ใช่แล้ว]


แสงสว่างได้ปกคลุมทั่วทั้งโลกอีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างในครั้งนี้มีคุณภาพแตกต่างยิ่งไปกว่าครั้งก่อนๆ


[ฉันคือแสงสว่าง]

[ได้ยังไงกัน…]


เซนูว่าที่ร่างกายรู้สึกเหมือนกำลังหลอมละลายไปได้ร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ในวินาทีสุดท้ายของมัน มันได้เห็นว่ามิคาเอลได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสว่าง และควบคุมแสงสว่างทั้งหมดได้ตามต้องการ


ดวงตาของเซนูว่าได้ถลนออกมาเมื่อเห็นแบบนี้


[ฉันก็มีคุณสมบัตินั้น… ทำไมฉันถึงไม่ได้รวมเป็นหนึ่ง!]


เซนูว่าได้หายไปแล้วอย่างสมบูรณ์ เพราะความทรงพลังของแสงสว่างนี้ก็ได้ทำให้ทูตสวรรค์คนอื่นๆก็ได้หลอมละลายไปด้วยเช่นกัน แต่ว่ามิคาเอลก็ไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้อีกแล้ว


[ฉันได้ปลุกพลังของตัวเองขึ้นมาแล้ว แสงสว่างทั้งหมดจะเชื่อฟังฉัน ฉันคือเทพแห่งแสงสว่าง และในตอนนี้ได้ครอบครองในบันทึกที่เหนือกว่าบันทึกนภา]


[พระจ้า]


มิคาเอลได้มัวเมาไปกลับพลังแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงในระดับที่เขาใฝ่หา


[ฉันได้กลายเป็นหนึ่งและมีเพียงฉัน ฉันคือพระเจ้า]


เนื่องจากเขาได้สมบูรณ์แบบทำให้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว อ่า ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้เล็กน้อยว่าทำไมยูอิลฮานถึงแข็งแกร่ง


[ออกมานี่สิความโลภ ฉันมาตามที่นายต้องการแล้ว]


มิคาเอลได้ตะโกนออกมาอย่างมั่นใจ คนที่สามารถเอาชนะมิคาเอลได้ในตอนนี้มีแค่เขาเท่านั้น ในตอนนี้เขาไม่กลัวยูอิลฮานอีกแล้ว! ความโลภก็ไม่! ซาตานก็เช่นกัน! ต่อให้พระเจ้าสวรรค์กลับมา! คนที่จะชนะในท้ายที่สุดก็จะต้องเป็นเขา!


ในจุดๆหนึ่งที่มุมของโลกแห่งความโกลาหลเอลโลคาทร่านี้ได้มีเสียงตอบรับกลับมา


[ได้สิ]


เจ้าของเสียงนี้ก็คือความโลภที่ตอบกลับมา


[ฉันกำลังรอนายอยู่เลย]


บทที่ 343 – พระเจ้า (4)


มิคาเอลได้ก้าวเดินต่อไป เขาได้ใช้แสงสว่างในตัวลบล้างทุกๆอย่างในโลกที่เต็มไปด้วยคำสาปและพิษร้าย แต่เดิมภายในเอลโลคาทร่าไม่เคยมีแสงสว่างเลย แต่นี่ก็ไม่สำคัญแล้ว มิคาเอลคือแสงสว่าง และเขาสามารถใช้พลังเวทย์สร้างแสงสว่างขึ้นมาเองได้


[ความโลภ!]

[เข้ามาสิ]

[ความโลภ]

[นายเกือบจะมาถึงแล้ว]

[ความโลภภภภภ!!!!]


ในตอนนี้เองมิคาเอลได้ปลดปล่อยแสงสว่างออกมาพร้อมๆกับเสียงตะโกน ตรงหน้าของเขาได้มีปราสาทยักษ์ปรากฏขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคาเอลได้เห็นอะไรแปลกๆแบบนี้


[ฉันเฝ้ารอนายมาอย่างยาวนาน ฉันกำลังเฝ้ารอให้นายสมบูรณ์แบบตลอดเวลา]

[ไร้สาระ นายมันก็แค่สัตว์ป่าและเป็นสัตว์ป่าที่ยโส ฉันรู้ว่ากำลังไปที่ไหน]

[นายรู้? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!]


โลกได้สั่นสะเทือน บางทีนี่อาจจะเป็นอิทธิพลของพลังในการปกครองของความโลภในพื้นที่ของเขาก็ได้ ในที่สุดมิคาเอลก็รู้ว่านี่คือโลกหลักของศัตรูและเขากำลังต่อสู้กับเจ้าแห่งโลกใบนี้ด้วยตนเอง


ยังไงก็ตามเขาไม่ได้ถอย เขาจะฆ่าความโลภและยึดเอาเอลโลคาทร่าให้กลายมาเป็นโลกบริวารของสวรรค์ สวรรค์จะเป็นของเขา และเขาจะยุติการอารวาดของยูอิลฮานและเอาชีวิตซาตานมาด้วยมือของเขาเองด้วย เขาจะไม่ให้กองกำลังอื่นๆได้ทำตามใจอีกแล้ว


สวรรค์จะต้องเป็นหนึ่งเดียวและมีแค่กองกำลังเดียวเท่านั้น ในเมื่อเขาคือพระเจ้าเพียงหนึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะติดตามเขา เขาจะได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของทุกๆสิ่งมีชีวิต


[เผยตัวออกมาซะความโลภ]

[เข้ามาเองสิ ทำไมล่ะ? นายกลัวงั้นหรอ?]

[กลัว?]


มิคาเอลได้หัวเราะออกมา


[นี่มันคือนิสัยของกองทัพปีศาจวิบัติของนายงั้นหรอ? ยั่วยุคนอื่นหน้าด้านๆ? มันดูเหมือนว่าจะมีแค่ลิ้นของนายนะที่ได้ฝึกนะเจ้าสัตว์ป่า ความกลัวน่ะมันคือความรู้สึกอ่อนแอที่จะเกิดขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับคนท่แข็งแกร่ง นายหนีไปในทันทีที่มาถึงสวรรค์ทั้งๆที่นายตั้งใจมากกลืนกินสวรรค์แทๆ นั่นแหละคือการกระทำของพวกคนขี้ขลาด นั่นแหละคือความกลัว]

[ถ้างั้นก็เข้ามาสิ]


ปราสาทได้เปิดออกมา นี่คือนรก แม้กระทั่งคลาส 7 ก็ไม่อาจจะเข้าใกล้ที่นี่ได้เพราะความหนาแน่นของมานาเพียงอย่างเดียว ยังไงก็ตามมิคาเอลได้เผชิญหน้ากับมันอย่างเย่อหยิ่งและละลายมานานั่นทิ้งไปด้วยแสงสว่าง


[ฉันจะตรงไปหานายเอง]


แสงสว่างของมิคาเอลได้ละลายความมืดจำนวนมากของโลกนีไป เขาได้เผาคำสาป พิษร้าย และทำให้พวกมันบริสุทธิ์กลายมาเป็นของเขา ในเวลาต่อมานี้เอง


[ฉันจะใช้กำลังเอาทุกๆอย่างมาจากนายเอง]


มิคาเอลได้พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วแสง ความมืดทั้งหมดที่ดูเหมือนจะกลืนกินเขาได้สลายไปในทันทีที่มันได้เข้าใกล้เขา พื้นที่รอบๆได้บิดเบือนไปพร้อมๆกับปราสาทที่กำลังละลายลง


ในที่สุดมิคาเอลก็ได้เผชิญหน้ากับความโลภตรงๆแล้ว มอนสเตอร์ขนาดมหึมาที่ทั้งร่างกายได้ผูกติดอยู่กับกำลัง กลุ่มก้อนความโลภที่ไม่มีใครรู้ต้นกำเนิด มันแทบจะเป็นการหลอมรวมของทุกๆสายพันธ์แล้ว


มิคาเอลได้โกรธขึ้นมาในทันที เขาไม่ชอบความจริงที่เขาจะต้องใช้พลังมาสู้กับสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงนี่


[นับตั้งแต่ที่นายได้พยายามจะกัดสวรรค์ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เวลาได้ผ่านไปแล้วนายได้มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอีก]

[อ่า นายพูดถึงตอนนั้น… น่าเสียดาย หากว่าไม่มีกองกำลังอื่นเข้ามาช่วย ฉันก็คงได้ทุกๆอย่างมาโดยที่ไม่ต้องมาผูกมัดตัวเองแบบนี้]


คิ้วมิคาเอลได้ขมวดขึ้นมา


ใช่แล้ว สวรรค์ไม่ได้ต้านทานกองทัพปีศาจวิบัติด้วยตัวเองเพียงลำพัง สวนอาทิตย์อัสดงกับกองทัพจรัสแสงได้เข้ามาช่วยพวกเขาด้วย หรือก็คือกองกำลังที่เหลือทั้งหมดได้ร่วมมือช่วยกันต่อต้านกองทัพปีศาจวิบัติ


ซาตานนั้นเดิมทีเคยเป็นคนจากสวรรค์ แต่ว่าในตอนนั้นมิคาเอลไม่รูเลยว่าทำไมสวนอาทิตย์อัสดงถึงได้มาช่วยด้วย ยังไงก็ตามในตอนนี้เขารู้แล้ว หัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงก็คือกาเบรียล เขาถูกหลอกให้เป็นไอ้โง่จนกระทั่งมาถึงตอนนี้…


[กรอดดด]


มิคาเอลได้โยนความโกรธกาเบรียลให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ กาเบรียลไว้ค่อยตามไปจัดการ ในตอนนี้เขาจะต้องฆ่าเจ้าสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงนี่ก่อน


[มาสู้กันความโลภ ได้เวลามอบบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ให้กับนายแล้ว]

[ก็… มาลองดูสิ!]


โซ่โลหะหลายสิบเส้นได้ปรากฏขึ้นจากเพดานปราสาทพร้อมๆกับเสียงตะโกนของความโลภ มันทำมาจากอะไรไม่รู้ แต่ว่าโลหิตที่เป็นสีดำและพิษสีม่วงดำได้ทำให้มิคาเอลรู้สึกไม่สบายใจ


มิคาเอลได้ปล่อยแสงสว่างออกมาป้องกันตัวทันที แต่ว่าการโจมตีของหัวหน้ามันไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดา มันไม่มีทางจะหายไปง่ายๆอยู่แล้ว ความโลภที่เห็นแบบนี้ได้หัวเราะเยาะมิคาเอลออกมา


[แสงสว่างของนายมีแค่นี้เองงั้นหรอ? ทำไมนายไม่ตะโกนคำอย่าง ‘หนึ่งเดียวและเพียงหนึ่ง’ อะไรแบบนี้มาอีกล่ะ?]

[ความโลภ!]


แสงสว่างที่มิคาเอลปล่อยออกมาได้ทรงพลังยิ่งขึ้น แสงสว่างพลังงานสูงได้กระจายออกไปรอบๆและขวางกันโซ่โลหะที่มาจากกำแพง พื้นปราสาทและหน้าต่าง


[ของเด็กเล่น… อั๊ก!?]


ความโลภได้โยนมือซ้ายของเขาออกมาพร้อมๆกับเสียงโซ่ที่ดังขึ้น! นี่ไม่เพียงแต่จะมีพละกำลังที่มหาศาลเท่านั้น แต่ยังมีพลังแรงดึงดูดที่กลืนกินมานาทั้งหมดรอบๆอีกด้วย


แสงสว่างที่มิคาเอลปล่อยออกมาก็ถูกกลืนกินลงไปเช่นกัน นี่คือความสามารถในการกลืนกินพลังงาน! นี่คือสิ่งที่ทำให้ความโลภเป็นหัวหน้ากองทัพปีศาจวิบัติ


[แต่…]


มิคาเอลได้ต่อยหมัดที่ห่อหุ้มด้วยแสงสว่างออกไป เมื่อเทียบกับความโลภแล้วหมัดของมิคาเอลเหมือนกับไม้จิ้มฟัน แต่ว่าหมัดของเขาก็ได้ดูดพลังงานจากความโลภมาและดันกลับไป!


[นายไม่ใช่คนเดียวที่ขโมยพลังได้หรอกนะเจ้าสัตว์ป่าหน้าโง่!]


เหตุผลที่สี่ยอดเทวทูตสามารถจะเอาชนะพระเจ้ามาได้นั่นไม่ใช่เพราพลังในการสะท้อนซาตาน ไม่ใช่เพราะกาเบรียล ไม่ใช่เพราะพลังการรักษาของราฟาเอลและไม่ใช่พลังในการยับยั้งของยูเรียล


มันเป็นเพราะพลังในการขโมยที่มีติดตัวมากับมิคาเอลตั้งแต่เกิด คล้ายๆกันกับการพยากรณ์ของกาเบรียล เป็นพลังที่เขาได้เลือกละทิ้งไปเพราะมันไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของเขา แต่ว่ามันคือพลังที่แกร่งยิ่งกว่าใครๆ


[ฉันรู้…. ฉันรู้เป็นอย่างดีเลยล่ะ!]

[ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้นะว่าความพิเศษของนายมันไร้ประโยชน์ต่อฉัน!]

[ไม่หรอก! ฉัน! จะกลืนกิน! ทั้งชีวิตและความตาย และแม้กระทั่งบันทึกของโลกใบนี้!]


กำปั้นของทั้งสองคนได้ปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน นี่ก็นับเป็นการแข่งพลังกันด้วย โซ่โลหะได้พุ่งออกมาจากส่วนต่างๆของปราสาทเข้าใส่มิคาเอลอย่างต่อเนื่อง และมิคาเอลก็ได้ใช้ปีกทั้งห้าคู่ของเขาลบโซ่โลหะพวกนี้ออกไปอย่างไม่ยากเย็น


[พลังของนายมันอ่อนแอ มิคาเอล! นายมันอ่อนแอ! พลังนี้ใช้ได้กับยูอิลฮานงั้นหรอ!?]

[อ่อนแอ? ฉันเนี้ยนะ? นายกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไงกันในเมื่อนายยังแทบจะสู้กับฉันไม่ได้ทั้งๆที่กลืนกินทุกๆอย่างด้วยความโลภที่ไม่รู้จักพอของนาย]


มิคาเอลได้ประชดออกมา แต่ว่าเขาก็อดที่จะตกตะลึงภายในใจของเขาไม่ได้ เจ้านี่รู้ได้ยังไงกันว่าพลังของเขาอ่อนแอ?


‘ในตอนเราขับไล่พระเจ้าออกไป ฉันได้เสียพลังส่วนหนึ่งของฉันไปเพื่อเป็นการชดเชยกับการทรยศ แต่ถึงแบบนั้นในท้ายที่สุดฉันก็ฟื้นฟูกลับมาได้เพราะการที่ได้รับพลังจากพระเจ้า…. แต่ก็จริงนั่นแหละ ความสามารถในการขโมยของฉันอ่อนแอลงจริงๆ’


ถึงเขาจะมีพลังในการขโมย แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะขโมยพลังของพระเจ้ามาโดยสมบูรณ์ ยังไงก็ตามเศษเสี้ยงพลังของพระเจ้าที่เขาได้รับมาก็ทรงพลังมากจนเขาไม่ได้รู้ตัวเลยมาจนถึงตอนนี้ แต่ยังไงก็ตามในเมื่่อพลังของพระเจ้าได้กระตุ้นให้เขากลายมาเป็นเทพได้ทำให้เขาไม่ได้กังวลอะไรมากนัก


[ไม่ว่ายังไงนี่มันก็มากพอที่จะเอาชนะคนอย่างนายแล้ว!]

[ฉันจะกลืนกินทุกๆอย่างๆของนาย!]


ปราสาทได้ระเบิดออกมา โซ่นับพัน นับหมื่น นับแสน นับล้านได้พุ่งเข้าโจมตีมิคาเอล โลหะโบราณที่สร้างเป็นปราสาทได้พังทลายลงและกลายเป็นหอกนับไม่ถ้วนเข้าโจมตีมิคาเอล และแม้กระทั่งกำแพงที่ผูกมัดความโลภเอาไว้มาตลอดก็ยังพลังทลายลงทำให้เขากลายเป็นอิสระ


สัตว์ประหลาดยักษ์ที่ใหญ่เท่าโลกทั้งใบได้เข้าโจมตีมิคาเอลจากด้านบนแล้ว


[ในเมื่อนี่มันคือวันสิ้นโลก ฉันก็ไม่จำเป็นต้องห้ามใจตัวเองอีกแล้ว!]

[เจ้าสัตว์ประหลาด!]


พริบตาเดียวแสงสว่างได้ถูกปล่อยออกมาครอบคลุมพื้นที่ขยายใหญ่ แสงสว่างนี่มันจ้าจนทำให้ความโลภไม่อาจจะเปิดตามองให้ชัดได้เลย! โซ่โลหะได้ถูกละลาย หอกได้ถูกละลาย และเศษเสี้ยวทั้งหมดของปราสาทได้ถูกละลายลง


เพราะคลื่นกระแทกทรงพลังจากพลังเวทย์ของทั้งสองคนได้ทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆพังทลายลงไปอย่างสิ้นเชิง ทุกๆส่วนของเอลโลคาทร่าได้พังทลาบบิดเบี้ยวไป ร่างกายขนาดยักษ์ของความโลภก็ยังถูกหลอมละลายลงไปเช่นกัน แต่ว่าดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะไม่มีวันหายไปจนหมด


ทั้งสองคนกระทั่งยังไม่ได้มองกันเองด้วยซ้ำไป พวกเขาเพียงแค่ปะทะกันเต็มพลังเพื่อที่จะเอาชีวิตอีกฝ่ายเท่านั้น


[นายกับฉันดูคล้ายกันนะ]


จู่ๆความโลภก็พูดขึ้นมา มิคาเอลได้ฮึดฮัดและปฏิเสธออกมา


[มาเทียบหิ่งห้อยกับดวงอาทิตย์เนี้ยนะ?]

[เปรียบเทียบได้ดี ใช่แล้ว ความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้เป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์กับหิ่งห้อยจริงๆนั่นแหละ หิ่งห้อยที่ปล่อยแสงสว่างออกมาด้วยความคิดกับตัวเองที่แสงสว่างของมันเจิดจ้าที่สุด แต่แล้วมันเป็นยังไงล่ะ? ก็แค่แสงสว่างเล็กๆ มีชีวิตที่แสนสั้นและมีชะตากรรมที่ต้องตาย]

[ขอบใจที่อธิบายนะเจ้าหิ่งห้อย]


จู่ๆเมื่อพูดจบมิคาเอลก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันที


ในอดีตที่ผ่านมาเขาจะต้องถอยกลับเมื่อเจอกับพลังเวทย์ที่ทรงพลัง แต่ยังไงก็ตามตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว


ที่นี่คือโลหลักของศัตรูงั้นหรอ? แล้วสำคัญตรงไหนกันล่ะ? เขาอยู่ที่นี่และเปล่งประกายยิ่งกว่าใครๆ มิคาเอลอยู่ในพื้นที่ของเขาเองตลอดเวลา แสงสว่างมีอยู่ในทุกๆที่ และแสงสว่างอยู่ในคำสั่งของเขา ทุกสิ่งเป็นของเขา


[ฉันจะบอกให้รู้นะ ฉันนี่แหละคือดวงอาทิตย์]


มิคาเอลได้กลายเป็นแสงสว่าง เขาได้ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดของเขาก้าวข้ามบันทึกและเปลื่ยนมันให้กลายเป็นแสงสว่าง


ความเร็วที่ร่างความโลภละลายลงได้เร็วมากยิ่งขึ้น ถึงแบบนั้นความโลภก็ยังคงแสดงความสุขออกมา เนื่องจากมิคาเอลได้ปฏิเสธในพลังดั้งเดิมของตนเพื่อแสวงหาแสงสว่างที่ทรงพลังขึ้น ทำให้พลังการกลืนกินของความโลภได้กดดันพลังการขโมยของมิคาเอลได้มากยิ่งขึ้น


และเมื่อพลังได้มาถึงขีดสุด….!


[จงละลายไปจนไม่เหลืออะไรซะเถอะความโลภ! เจ้าหิ่งห้อยน่าโง่!]

[อ๊ากกกกกกกกกกกก!]


เมื่อความโลภได้ตะโกนออกมาแบบนี้แสดงสว่างที่มีอยู่ทั่วทั้งโลกก็ได้หายไปในทันที มิคาเอลได้ตื่นตระหนกขึ้นมาและพยายามที่จะปล่อยแสงออกมาอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย


ไม่สิ เขาปล่อยแสงสว่างออกมาได้ แต่ว่ามันก็จะหายไปในทันทีที่เขาปล่อยออกมา มันราวกับแสงสว่างได้ถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ


[นายได้ทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว นายไม่ควรที่จะใฝ่หาในสิ่งที่นายไม่อาจได้รับเลย นายน่าจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่นายมีอยู่แล้ว]

[อะไรนะ…]


ในเวลาต่อมาเขาก็รู้ได้ว่าแสงสว่างของเขาได้ถูกกลืนกินไปแล้ว


แสงสว่างของเขาถูกความโลภกลืนกินไป? นี่มันทำให้เขาสับสนมากจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน? ได้ยังไงกัน?


ในตอนนี้มิคาเอลก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในซากปราสาทที่พังลงหลังจากร่างของความโลภได้ละลายหายไปแล้ว


เขาคนนี้กำลังมีแสงสว่างของมิคาเอลอยู่รอบตัว แต่ก็ยังคงพยายามที่จะกลืนกินทุกๆอย่างที่มิคาเอลเป็นเจ้าของอยู่


[…พ่อ]


มิคาเอลได้พึมพัมออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ


ความโลภ หรือก็คืออดีตของพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้เปิดปากตอบกลับมาอย่างชั่วร้าย


[ใช่แล้วลูกของฉัน นี่ฉันเอง]


บทที่ 344 – พระเจ้า (5)


พวกเขาได้รู้ว่าทัศนคติของพระเจ้าเปลื่ยนแปลงไปเมื่อไหร? พระเจ้าที่ควรจะเฝ้าดูแลโลกทั้งหมดได้กำลังเล็งไปที่อะไรที่เหนือยิ่งกว่านั้น เมื่อไหร่กันที่พวกเขารู้เรื่องนี้? นั่นมันกาเบรียลได้เป็นคนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้


[นี่มันไม่ได้นะ]

[นายได้เห็นอะไรอีกไหม?]


มิคาเอลไม่ได้ชอบในการพยากรณ์ของกาเบรียลเลย แต่ว่าเขาก็ยังเชื่อในพยากรณ์นี้ทำให้เขาต้องย่นคิ้วถามออก ทั้งห้าคนที่เป็ฯที่รู้จัในนามของเทวทูตที่แข็งแกร่งที่สุดได้มองไปที่กันและกัน การที่พวกเขาจะมาบังเอิญเจอกันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


แน่นอนว่ากาเบรียลน่าจะต้องเป็นคนที่รวบรวมพวกเขามาที่นี่แน่นอนเพราะแต่ล่ะคนต่างก็มีหน้าที่ต้องทำ


กาเบรียลได้มองไปที่ทุกๆคนและจ้องมองไปที่ชายคนหนึ่ง


[…ลูซิเอล]

[ฉันลูซิเอล]

[ฉันคือลูซิเฟอร์ อย่ามาพูดชื่อที่พระเจ้ามอบให้กับฉัน]

[โอเค ลูซิเฟอร์ช่วยทีนะ]

[…ฟู่ นายนี่น่ารำคาญ]


ด้วยระดับพลังของพวกเขาแล้วทำให้พวกเขาสามารถทำอะไรได้อย่างอิสระโดยไม่มีการแทรกแซงจากพระเจ้า แต่หากว่าพระเจ้าได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดและทำให้เกิดการเข้าใจผิดนั่นมันอาจจะไม่ดี ยังไงก็ตามการที่พวกเขาได้มาทำอะไรแบบนี้ที่นี่มันก็เพราะลูซิเอลหรือก็คือลูซิเฟอร์


เขาคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทั้งห้าคน เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในพระเจ้าน้อยที่สุดและถึงขนาดใช้พลังของตัวเองทำให้พลังของพระเจ้าบิดเบี้ยวไป เพราะแบบนี้จึงเป็นปกติที่เขาสามารถจะสร้างช่องว่างมิติที่อยู่นอกเหนือความรู้จากพระเจ้าได้


[ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ พูดได้ตามที่คิดเลยนะ]

[ฟู่… ฉันไม่อยากจะสงสัยพระเจ้าหรอกนะ แต่ว่าตอนนี้ฉันมั่นใจแล้ว ฉันเห็นมันอย่างชัดเจน]

[คุณหมอดูช่วยพูดให้เราเข้าใจทีสิ]


ยูเรียลที่ไม่ได้ซ่อนความชอบต่อกาเบรียลได้จิ้มแก้มเขาเล่นและเร่งเขาขึ้นมา มิคาเอลกับราฟาเอลที่เห็นแบบนี้ต่างก็รู้สึกอึดอัดใจ กาเบรียลคือคนที่มีพลังในการล่วงรู้อนาคต แต่ในด้านความละเอียดอ่อนแบบนี้เขามีคะแนนเป็นศูนย์ เขาได้พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง


[พระเจ้ากำลังมองหาสิ่งอื่นอยู่]

[ตอนนี้ฉันกำลังจ้องแก้มนายอยู่ แก้มนี่กำลังเหมาะมือเลย]

[เขากำลังมองหาสิ่งที่ไม่มีอยู่ เขาอยากที่จะกลายเป็นผู้สร้าง]


มิคาเอลได้เบิกตากว้างตอบกลับไป


[พระเจ้าเป็นผู้สร้างอยู่แล้วนี่]

[ไม่]

[นั่นยังไม่ใช่ผู้สร้างที่แท้จริง]


ลูซิเฟอร์กับกาเบรียลได้ปฏิเสธออกมาแทบจะพร้อมๆกัน


[สิ่งที่เขาสร้างน่ะบิดเบี้ยว มันไม่อาจจะสมบูรณ์ได้และอยู่ใกล้กับการทำนายนับตั้งแต่กำเนิดขึ้นมา]

[ทุกๆสิ่งมีจุดจบ แต่ว่าเขาได้ทำมันขึ้นมาโดยไม่มองถึงจุดจบเลยเพราะงั้นมันถึงได้บิดเบี้ยว เขาไม่อาจจะกลายเป็นผู้สร้างได้]

[นี่พวกนายกำลังปฏิเสธในพระเจ้า!]

[มันคือความจริงที่ฉันหวังที่จะทำให้ได้ ยังไงก็ตามปัญหาก็คือพระเจ้าคือตัวตนที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่]


น้ำเสียงกาเบรียลได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


[หากเป็นแบบนี้ทุกๆอย่างจะถึงจุดจบ มันอีกไม่นานแล้วและมันจะเกิดขึ้นแน่นอน ทุกๆโลกจะได้เผชิญกับจุดจบ]

[ทำไมกันล่ะ?]

[เพราะเขากำลังพยายามจะทำลายทุกชีวิตและสร้างขึ้นมาใหม่ไงล่ะ]

[…]


มิคาเอลได้เงียบลงไป เขาอยากจะปฏิเสธคำพูดกาเบรียล แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะทำได้เพราะว่าเขาเคยได้ยินอะไรคล้ายๆแบบนี้ในตอนที่เขาคุยกับพระเจ้าอยู่


เขาได้แต่เอามือจับหน้าผาก ตอนนี้เองกาเบรีบลได้พูดออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นถึงความลังเลของมิคาเอล


[เขาจะต้องถูกฆ่า]

[ได้ยังไงกัน เราจะไปฆ่าท่านหัวหน้าได้ยังไง? นั่นคือพ่อของพวกเรานะ!]

[ลูซิเฟอร์เราทำมันได้ใช่ไหม?]

[ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้กันไหมล่ะ]


ลูซิเฟอร์ได้ตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจและกระพือปีกทั้งห้าคู่ที่อยู่บนหลัง ในระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่ ปีกของเขาก็ได้เปลื่ยนไปมาระหว่างสีขาวกับดำ เขามีศักยภาพทีหลบหนีออกไปจากอาณาเขตอิทธิพลจากพระเจ้าได้นานแล้ว


เขาได้อยู่อย่างนี้ไปโดยไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ก่อนที่จะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาที่ริมฝีปาก


[แต่นี่มันฟังดูน่าสนใจเอามากๆ มาลองดูกันเถอะ ไม่สิ ฉันจะทำมัน ต่อให้พวกนายจะไม่เห็นด้วย ฉันก็จะทำ]

[ฉันก็หวังว่ามันจะสนุกสำหรับเราเช่นกัน…]

[กาเบรียล ฉันจะช่วยนายเหมือนอย่างที่ฉันทำมาตลอด ทุกๆคนก็จะร่วมด้วยใช่ไหม?]

[มะ แม้แต่ยูเรียลก็เอาด้วย… ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้]


กาเบรียลได้ชักจูงลูซิเฟอร์กับยูเรียลที่มักจะทำตามไม่ว่ากาเบรียลจะทำอะไรมาเสมอ เขายังได้ชักจูงคนอื่นๆอย่างราฟาเอลที่มีรอยยิ้มบางๆเช่นกัน พวกเขาทุกๆคนได้มองไปที่มิคาเอล


[มิคาเอล ช่วยทีเถอะนะ หากไม่มีนายช่วยมันก็คงเป็นไปไม่ได้]

[พวกนาย… นี่พวกเราจะทำมันจริงๆ…?]

[มิคาเอล]


กาเบรียลได้มองตรงออกไปและถามออกมา สายตานี่ได้มองผ่านเข้าไปในหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์ของมิคาเอล มิคาเอลเกลียดสายตาคู่นี้มาก


[นายยังคิดว่าเขาอยู่ในที่ที่เหมาะสมงั้นหรอ?]

[ฉัน… ไม่]


มิคาเอลได้เม้มริมฝีปากออกมา


เขาไม่คิดว่าพระเจ้าเหมาะสม จริงๆแล้วเขาคิดว่ามีเรื่องที่ผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา ระฆังได้ปลุกสติเขาขึ้นมาแล้ว


พระเจ้าที่เขาต้องแหงนหน้ามองไม่ควรจะเป็นแบบนี้ คนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ไม่แสดงด้านใดด้านหนึ่งออกมา


[แต่ว่า… ช่วยให้ฉันได้จับตาดูอีกซักหน่อยนะ]

[ตามใจนายเลย มันจะไม่มีอะไรเปลื่ยนแปลงไปอยู่ดี ถ้างั้นตอนนี้ก็กลับกันก่อนเถอะ ฉันคิดว่าฉันจะต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องนั้น]

[อย่าให้เขารู้ตัวเพราะท่าทางอวดดีของนายล่ะลูซิเฟอร์]

[เมื่อเขารู้ตัว นั่นก็คือเวลาที่ฉันจะ ‘ต่อต้านสวรรค์’]


ลูซิเฟอร์ได้หัวเราะออกมาพร้อมๆกับเวทย์ของเขาที่หายไป ทูตสวรรค์ท้งสี่คนได้ถอนหายใจกลับไปยังตำแหน่งของตนเอง แต่มีเพียงมิคาเอลเท่านั้นที่ยังยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิม


‘…พระเจ้ามีคุณสมบัติในการเป็นผู้สร้างจริงไหมนะ?’


หลังจากนั้นมิคาเอลก็ได้เฝ้าสังเกตถึงสถานะของพระเจ้า เขาได้เฝ้ามองดูพระเจ้าส่งทูตสวรรค์ออกไปดูแลโลกระดับต่ำเพื่อขยายอาณาเขตสวรรค์ด้วยการยกระดับโลกพวกนั้นที่พร้อมอยู่แล้วไปเป็นระดับสูง และจัดการดูแลโลกพวกนั้น


และในวันหนึ่ง


[…ไม่น่าพอใจเลย]

[พ่อ มีอะไรหรอครับ?]

[มานามีความผิดปกติมากเกินไป บันทึกนภาไม่มีมาตราฐานเลยและชีวิตมักจะนำภัยคุกคามมาด้วยเสมอ]

[นี่มันคือผลจากการที่ท่านรักโลกใช่ไหมครับ?]

[ใช่แล้วล่ะ]


พระเจ้าได้หยักหน้าออกมาก่อนที่จะเดาะลิ้นขึ้น


[ดูเหมือนว่าจะต้องตั้งค่าใหม่ให้มันถูกต้องแล้ว]

[…ผมจะทำตามคำสั่งท่าน]

[มิคาเอลลูกชายที่น่ารักของฉัน ตอนนี้กลับไปก่อนเถอะ เมื่อถึงเวลาแล้วฉันจะเรียกนายมาเคียงข้าง]


ในตอนนี้เองคือช่วงเวลาที่มิคาเอลได้ตัดสินใจที่จะต่อต้านสวรรค์


เขาได้ไปหาลูซิเฟอร์กับกาเบรียลในทันที ลูซิเฟอร์ได้หัวเราะออกมาอย่างสุขใจ ในขณะที่กาเบรียลได้มองเขาด้วยรอยยิ้มเศร้าสลด


[สมาชิกหลักคือฉันกับนาย]


ลูซิเฟอร์ได้พูดออกมาอย่างหยิ่งยโส


[ฉันจะทำให้พระเจ้าไม่อาจควบคุมเขาได้ ข้อจำกัดของเขาต่อเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ และมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของบันทึกนภา เมื่อนายได้รู้เรื่องนี้การหลบหนีไปจากเขาก็ง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเลยล่ะ]

[แล้วหลังจากนั้นล่ะ?]

[ในตอนนั้นเราก็จะกลายเป็นอิสระ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังคงมีพลังที่มหาศาลอยู่ดี… เพราะแบบนั้นในฐานะที่เป็นคนที่แกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา ฉันจะเป็นคนต่อสู้ขัดขวางเขาเอง]


นิ้วของลูซิเฟอร์ที่ชี้ที่ตัวเองได้ขยับไปทางมิคาเอล

[ในเวลาเดียวกันนายจะต้องจัดการขโมยทั้งพลัง ระดับชั้น และบันทึกของพระเจ้า]

[…ฉันทำอะไรแบบนั้นไม่ได้]

[นายก็แค่ต้องแบ่งมันมาให้พวกเราทุกคน หากเป็นการหารห้ามันก็คงจะเป็นไปได้]


มิคาเอลได้กัดฟันและถามออกมาอีก


[แล้วต่อจากนั้นล่ะ….?]

[เราต้องฆ่าเขา]


กาเบรียลได้พูดออกมา


[มันจะไม่มีวันจบหากเราไม่ฆ่าเขา หากเขาไม่ตายโลกก็จะต้องได้เผชิญกับชะตากรรมเช่นเดิมอีกครั้ง เพราะงั้นเราจำเป็นต้องจบเรื่องทั้งหมดนี่]


เสียงของเขาได้ดังเข้าหูมิคาเอลเหมือนกับฟ้าผ่า


[ฆ่าพระเจ้าแล้วจัดการดูแลโลกทั้งหมดด้วยตัวเอง]

[พวกเราต้องจัดการโลกทั้งหมด… ใช่แล้วคำพยากรณ์]


ในตอนนี้เองภายในใจมิคาเอลได้เต็มแรงบรรดาลใจและความปรารถนา ลูซิเฟอร์ที่รู้ถึงเรื่องนี้ได้หัวเราะออกมา


[โอ้ มิคาเอล นายดูจะชอบแสดงสีหน้าถึงสิ่งที่คิดออกมานะ]

[เงียบไปเลยลูซิเฟอร์… ฉันเพียงจะรู้ตัว พระเจ้าที่ฉันต้องการน่ะไม่มีตัวตนอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว เพราะแบบนั้นฉันจะต้องเติมเต็มสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง]

[เยี่ยม เป็นความคิดที่ดี ฉันชอบในส่วนนี้ของนายมาตลอดเลย]


หมายความว่ายังไง? มิคาเอลอยากที่จะถามลูซิเฟอร์ถึงเรื่องนี้ แต่ว่าในตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือแล้ว


[…ไปกันเถอะทุกคน ไปฆ่าพระเจ้ากัน]


กาเบรียลได้มายืนอยู่ตรงหน้า นักพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่และผู้เสียสละ ชายที่เป็นศูนย์กลางของพวกเขาทุกคนถึงแม้ว่าจะไม่ได้แกร่งที่สุดก็ตาม ชายผู้ที่ทำให้แม้กระทั่งลูซิเฟอร์จอมยโสก็ยังต้องยอมฟัง


มิคาเอลได้กัดฟันแน่นและเตรียมพร้อม ตัวเขาได้รู้ถึงสิ่งที่เขาอยากจะทำด้วยมือตัวเองแล้ว เขาจะต้องทำมันให้ได้


***


แผนได้สำเร็จมาถึงครึ่งทางแล้ว ลูซิเฟอร์ได้พาทั้งกลุ่มออกมาจากอาณาเขตอิทธิพลของพระเจ้าและมิคาเอลได้ขโมยพลังพระเจ้ามาแบ่งให้กับทั้งห้าคนได้สำเร็จ ยังไงก็ตามพวกเขาล่าสังหารพระเจ้าล้มเหลว


พระเจ้าได้หลบหนีไปได้ด้วยสภาพที่น่าสังเวช ในขณะที่ลิซิเฟอร์ได้มุ่งหน้าไปที่อื่นด้วยเสียงหัวเราะ มิคาเอลคือคนที่ครอบครองในพลังของพระเจ้ามากที่สุดในทั้งห้าคน ในตอนนี้มีเหลือแค่ ‘สี่’ แล้วด้วย พวกเขาทั้งสี่คนได้ตั้งตัวเป็นสี่ยอดเทวทูตและกลายเป็นผู้นำร่วมกัน


มิคาเอลได้ทำให้เหมือนกับมีแค่ลูซิเฟอร์เท่านั้นที่ต่อต้านพระเจ้า และได้แอบซ่อนการหายไปของพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นทั้งสี่คนก็ได้เริ่มทำเหมือนพวกเขายังเชื่อในตัวพระเจ้าอยู่


นี่คือจุดสิ้นสุดของยุคแห่งกองทัพสวรรค์ที่เป็นองค์กรสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเพียงแห่งเดียว


ลูซิเฟอร์ได้เปลื่ยนชื่อมาเป็นซาตานและกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงด้วยน้ำมือตัวเอง เขาได้สร้างกองทัพจรัสแสงขึ้นมา ในขณะที่กองทัพปีศาจวิบัติเป็นกลุ่มของมอนสเตอร์ที่เอาแต่มุ่งเป้าไปที่การทำลายล้างที่ก่อตั้งขึ้นมาหลังจากสงครามนั้นไม่นาน และยังมีสวนอาทิตย์อัสดงที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาอย่างเงียบๆ


ทุกๆอย่างได้ได้ตกสู่ความวุ่นวายและมิคาเอลก็รู้สึกเสียใจกับมัน จากนั้นเขาได้เริ่มใฝ่ฝันที่จะกลายเป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว เขาได้ก้าวต่อไป


จากนั้นกาลเวลาก็ได้ผ่านไปหลายต่อหลายปี เขาได้กลายเป็นตัวตนที่คล้ายกับพระเจ้า พูดให้ชัดก็คือพลังที่เขาดูดซับมาจากพระเจ้าได้เปลื่ยนแปลงเขาจากภายใน


เขาได้ดูแลโลกต่างๆ ขยายอาณาเขตสวรรค์ ล่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่แตกต่างที่ถูกเรียกว่าพวกนอกรีต คัดเลือกทูตสวรรค์ใหม่ๆ และถอนรากถอนโคนภัยคุกคามทั้งหมดที่มีต่อสวรรค์


เขาได้มาเจอกับยูอิลฮานและเขาก็ถึงขนาดถูกทำให้ขายหน้า แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ได้กลายมาเป็นพระเจ้า นี่แหละคือช่วงเวลาที่เขารอคอย เพราะงั้นตอนนี้คือช่วงเวลาที่จะกำจัดบาปทั้งหมดและสร้างโลกในอุดมคติของเขา


เขาได้คิดว่าเขาสามารถทำมันได้


[แต่แล้วได้ยังไงกัน…?]


มิคาเอลได้ถามคนที่อยู่ตรงหน้าเขา ความโลภหรืออีกชื่อคือพระเจ้า


[ทำไมนายถึงได้มาอยู่ที่นี่! นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!]

[นี่นายไม่ได้สังเกตเลยงั้นหรอ? ฉันกำลังใช้พลังที่ฉันได้ขโมยไปจากนายไงล่ะ]

[ขโมยไปจากฉัน? ได้ยังไง….]


จู่ๆมิคาเอลก็รู้ตัวได้เอง


ใช่แล้ว มิคาเอลไม่เคยเจอกับสิ่งมีชีวิตที่ใช้พลังแบบเดียวกันเขาได้เลยก่อนที่จะมาเจอกับความโลภ


พลังนี้มีเพียงหนึ่งเดียว


ยังไงก็ตามใน ‘การชดเชย’ ที่เขาได้รับพลังของพระเจ้ามาทำให้พลังของเขารั่วไหลออกไปเข้าสู่พระเจ้า


[นี่คือข้อจำกัดที่ฉันได้ร่ายเอาไว้ในตอนที่ฉันรับนายเข้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ลูซิเฟอร์ก็ยังดิ้นรนหลบหนีจากมัน แต่แล้วก็ล้มเหลว มิคาเอลลูกของฉัน นายไม่รู้เลยหรอ?]

[ฉัน… ไม่ได้รู้เลย]

[ใช่แล้วนายมันโง่เง่า…และเป็นเช่นนี้มาตลอด]


พระเจ้าได้ยิ้มออกมาอย่างเมตตา


ยังไงก็ตามพลังเวทย์ที่เขาปล่อยมากดดันมิคาเอลไม่ได้มีความเมตตาอะไรเลยสักนิด


เขาได้พูดออกมาอย่ามั่นใจมันราวกับเขากำลังดุลูกชายที่ทำผิด


[เพราะงั้นนายจะต้องถูกลงโทษ]


บทที่ 345 – พระเจ้า (6)


พลังที่พระเจ้าได้ครอบครองในฐานะความโลภส่วนใหญ่ได้ถูกใช้ไปจนหมดในการปะทะกับมิคาเอลแล้ว ยังไงก็ตามเพราะการสละพลังนี้ไปทำให้พระเจ้าได้ฟื้นคืนพลังของตัวเองมาจากมิคาเอลได้


และในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะขโมยพลังของมิคาเอลด้วยเช่นกัน


[ได้ยังไงกัน นาย… ได้ยังไง…!]

[พวกนายทั้งห้าคนก็ยังไม่อาจจะเอาชนะฉันได้ มันก็เพราะว่านายถูกผูกมัดไว้กับฉัน นาย ลูซิเฟอร์ แล้วก็กาเบรียลด้วย ลูซิเฟอร์ได้กลับมายอมจำนนต่อฉันอีกครั้ง กาเบรียลก็ได้จากไปแล้วเพราะงั้นเหลือนายแค่คนเดียวแล้ว แต่น่าเสียดายนะที่ฉันไม่ได้คิดจะปล่อยให้นายรอด ฉันต้องการพลังของนาย เพราะงั้นส่งมอบพลังมาให้ฉัน]

[ได้ยังไง นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!]

[เจ้าเด็กน้อย เด็กที่ไร้เดียงสา ฉันจะถามอะไรนายซักอย่างนึงแล้วกันนะ]


พระเจ้าได้ชี้ไปที่จุดๆหนึ่ง ตรงนั้นก็คือกำแพงแห่งความโกลาหลที่แบ่งแยกเอลโลคาทร่ากับสวรรค์ เป็นกำแพงสุดท้ายที่ขวางกั้นสวรรค์จากผ๔เล้า


[ใครเป็นคนตั้งกำแพงนั่นกัน?]

[ใคร? หมายความว่ายังไง? แน่สิว่าคนที่ติดตั้งกำแพงไว้…]


กำแพงถูกติดตั้งโดย… ใครกันล่ะ? กำแพงนี้ได้ถูกสร้างในช่วงตอนจบมหาสงครามและกองทัพปีศาจวิบัติก็ไม่ได้บุกมาอีกเลย เพราะแบบนั้นสงครามก็เลยได้หยุดลงและ…. แต่ว่าใครกันล่ะ?


มิคาเอลยังไม่อาจจะหาคำตอบได้ พระเจ้าได้ยิ้มขึ้นและให้คำตอบออกมา


[เป็นฉันเอง]

[ได้ยังไงกัน นายทำมันได้ยังไงกัน!]

[คิดดูสิว่าทำไมเอลโลคาทร่าถึงได้มาอยู่ถัดจากสวรรค์ล่ะ?]


นัยน์ตาพระเจ้าได้เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ ในเวลาเดียวกันนี้พลังของมิคาเอลก็ค่อยๆถูกดึงออกไปทีล่ะนิด แต่ว่าด้วยระดับพลังของเขาแล้วนี่มันจึงไม่ใช่ต่ำๆและจะถูกจัดการได้ง่าย


แม้ว่าเดิมทีมันจะเป็นพลังจากพระเจ้าก็ตาม แต่ว่ามิคาเอลคือผู้ที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองเหมือนกับซาตาน เขาจะไม่ล้มลงแค่เพราะเสียพลังของพระเจ้าไป…!


[นั่นมันเพราะนายใช้พลังของนายในฐานะนักล่า…!]

[ผิดแล้ว นายพูดผิด มันก็เพราะว่าทั้งสองโลกเป็นของฉัน เอลโลคาทร่าเป็นเพียงแค่โลกในจิตนการที่ฉันได้ทำขึ้นมา ทั้งสองโลกเป็นชิ้นส่วนของศัตรู พวกมันคือหนึ่งเดียวกัน]


มิคาเอลได้กัดฟันแน่น เขาไม่อาจจะซ่อนความโกรธที่ได้รู้ว่าเขาถูกทำเป็นเหมือนไอ้โง่ตั้งแต่เริ่มได้เลย


[แต่ถึงแบบนั้นฉันก็เป็นพระเจ้าแล้ว! นายต่างหากที่ผิด ฉันคือคนที่ถูก! พ่อของฉัน ฉันไม่คิดว่านายคือพ่อของฉันอีกต่อไปแล้ว! ฉันจะไม่มีทางปฏิบัติตัวกับนายเหมือนเป็นลูกของนาย ฉันจะไม่คุกเข่าต่อหน้านาย และฉันจะไม่หวังอะไรจากนายอีก!]

[ใช่แล้ว นายพูดถูกนั่นแหละ ฉันคือฝ่ายผิด แต่ยังไงก็ตามมันก็ไม่ได้หมายความว่านายถูกซักหน่อย พวกเราผิดกันทั้งคู่นั่นแหละ]


ริมฝีปากพระเจ้าได้บิดเบี้ยวขึ้นมา ภายในปากของเขาไม่ว่าใครต่างก็เห็นเป็นความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด


[มานาคือสิ่งที่ผิด ฉันไม่ควรจะไว้ใจมานา ฉันควรที่จะเลือกเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างตั้งแต่แรกแล้ว ฉันน่าจะได้รับอย่างอื่นมาแล้วน่าจะได้สร้างมากกว่านี้… การสร้าง ในที่สุดฉันก็รู้ถึงความผิดพลาดของฉันแล้ว เพราะแบบนั้นฉันก็เลยตั้งใจจะแก้ไขมัน ฉันจะลบทุกๆอย่างที่นทำพลาดไปและสร้างใหม่ให้มันถูกต้อง!]

[นั่นมันเป็นไปไม่ได้!]

[มันเป็นไปได้!]


พระเจ้าได้กางแขนกว้างออกมา สายฟ้าที่แหลมคมของมิคาเอลได้พยายามที่จะทะลวงผ่านร่างกายของเขาไป แต่ว่ากระแสของการต่อสู้ไม่อาจจะเปลื่ยนกลับไปได้อย่างง่ายดาย


[ใช่แล้วลูกของฉัน! เมื่อตอนที่ฉันถูกดึงพลังไปฉันคิดว่าทุกอย่างมันจบลงแล้ว แต่ยังไงก็ตามมันน่าขำที่นายได้มอบความหวังให้กับฉัน! พลังที่นายได้มอบให้กับฉันมาเพื่อแลกกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉัน! พลังแห่งการขโมย! เพราะแบบนั้นฉันก็เลยได้มาก้าวข้ามบันทึกอีกครั้งหนึ่ง!]


เขาได้กลืนกินทุกๆอย่างที่มองเห็น พลังแห่งการขโมยที่แต่เดิมมาจากมิคาเอลได้พัฒนาขึ้นต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะความตั้งใจที่ชั่วร้ายของเขา


เขาได้รวบรวมบันทึกทั้งหมด และใฝ่ฝันที่จะสร้างบันทึกใหม่ขึ้นมาด้วยพลังนี้ เขาตั้งใจที่จะเข้าใจถึงบันทึกนภาทั้งหมดและใฝ่ฝันที่จะปรับปรุงบันทึกนภา


[และฉันได้พลังของฉันคืนกลับมาแล้ว! ฉันได้พบกับเส้นทางใหม่! ฉันไม่ได้จะรวบรวมพวกคนที่มีความตั้งใจจะทรยศแบบนั้น แต่ฉันได้เลือกมอนสเตอร์ที่มีแต่เป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น! ฉันต้องใช้เวลาอย่างยาวนานในการล่วงจากยศฐาบรรดาศักดิ์และอำนาจมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องอยู่ร่วมกับเจ้าพวกหนอนแมลงพวกนี้! มิคาเอลนายลองจินตนาการถึงความน่าหดหู่สิ้นหวังที่ฉันรู้สึกดูสิ! ความรู้สึกที่ฉันต้องปลอบพวกมอนสเตอร์ชั้นต่ำที่ชื่นชมในร่างมหึมาของฉัน! นายเข้าใจบ้างไหม!?]

[นั่นมันไม่ใช่ธุระอะไรของฉัน! ฉันไม่สนและไม่คิดจะสนด้วย นายมันก็แค่มอนสเตอร์สารเลว!]


แสงสว่างของมิคาเอลได้สว่างมากยิ่งขึ้น พลังของเขาไม่มีที่สิ้นสุด! เนื่องจากพลังของเขาถูกพระเจ้าขโมยไป มิคาเอลถึงได้เริ่มได้รับควมเข้าใจในขอบเขตพลังเฉพาะตัวของเขาเอง


เนื่องจากพระเจ้าได้เอาพลังของพระเจ้าคืนไปแล้ว มิคาเอลจึงเหลือเพียงแสงสว่างเท่านั้น แสงสว่างที่เขาปรารถนามาตลอดชีวิตยังคงอยู่กับเขา มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่ามันยังคงส่องสว่างเข้าโจมตีพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ไม่สำคัญว่ามันจะถูกกลืนกินเท่านั้น แต่มันก็ยังคงใช้แสงสว่างเผาไหม้ต่อไป!


[ฉันคือพระเจ้า! นายมันก็แค่อดีตพระเจ้าเท่านั้น บันทึกที่ไม่อาจจะกลับมาโดดเด่น ดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว!]

[ฉันไม่ใช่อดีตแต่เป็นอนาคต สิ่งที่นายกำลังไขว่คว้ามันคือภาพลวงตา และสิ่งที่ฉันจะได้รับคือการสร้างที่แท้จริง!]


ร่างกายพระเจ้าได้ยืดขยายออกไป มิคาเอลได้แกร่งขึ้น พระเจ้าก็แกร่งขึ้นเช่นกัน จากนั้นกระแสการต่อสู้ก็ได้พลิกกลับอีกครั้ง พระเจ้าได้กดดันมิคาเอลอีกครั้งหนึ่ง


[ยุคสมัยแห่งความอัปยศได้จบสิ้นแล้ว ฉันได้อดทนมาอย่างยาวนานแล้วเพื่อเพิ่มพลังแล้ว อารวาด ลบล้าง และป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกพบ หลบซ่อนอยู่แต่ในมุมมืด ในกาลเวลายาวนานที่ฉันได้เฝ้าคอย ลูซิเฟอร์ได้เข้าใจฉัน มาหาฉันและฉันได้รับในสิ่งที่ฉันเสียไปคืนมาแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ฉันไม่ต้องการกำแพงนั่นอีกแล้ว]


ในระหว่างที่มิคาเอลกำลังจะโต้กลับไ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่มีขนาดใหญ่มากๆกำลังพังลงมา เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามันคืออะไรและหันหน้าไปมอง


กำแพงแห่งความโกลาหลที่แบ่งแยกสวรรค์กับเอลโลคาทร่ากำลังพังทลายลง เส้นกั้นระหว่างสองโลกได้หายไปแล้ว ทั้งสองโลกกำลังผสานกันโดยไร้ซึ่งความกลมเกลียว โลกทั้งสองใบต่างก็ปะทะกันโดยมีแต่ความโกลาหลเหลือทิ้งเอาไว้


แต่ถึงแบบนั้นโลกทั้งสองใบก็ได้กลายเป็นหนึ่ง พระเจ้าในอดีตและพระเจ้าในปัจจุบันต่างก็ไม่ยอมรับในกันและกันแต่ว่าก็ยังรวมเข้าด้วยกันอยู่


พลังในร่างมิคาเอลได้ถูกดูดออกไป นี่มันเพราะโลกที่เขาครอบครองพังทลายงั้นหรอ?


ไม่ พลังเวทย์ของเขากำลังลดลง เขารู้สึกได้ว่าระดับชั้นของวิญญาณของเขากำลังลดต่ำลง


[นี่มันอะไร…]

[สวรรค์กับเอลโลคาทร่าคือหนึ่งเดียวและเหมือนกัน พวกมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่กไม่นานก็จะหายไป แต่ว่ามันก็เป็นวัตถุที่เหมาะสมที่จะทำลายนาย เพราะงั้นลูกของฉัน…. รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? ตอนนี้เหลือนายอยู่เพียงลำพังแล้วนะ]


พลังของพระเจ้าได้ทรงพลังยิ่งขึ้น เนื่องจากสวรรค์กับเอลโลคาทร่าได้รวมเป็นหนึ่งแล้วทำให้พลังที่ถูกดึงออกมาจากมิคาเอลได้ไหลเข้าไปในตัวพระเจ้า ในที่สุดมิคาเอลก็รู้แล้วว่าทำไมพระเจ้าถึงได้ลืมฟื้นฟูพลังของเขา


สวรรค์นั้นเชื่อฟังในผู้ครอบครองพลังพระเจ้า เนื่องจากว่าพลังนี้ได้ถูกส่งต่อจากมิคาเอลคืนสู่พระเจ้าไปแล้วทำให้เป็นธรรมดาที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้


มิคาเอลได้สูญเสียโลกของเขา ในตอนนี้ทุกๆอย่างได้เป็นของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง โลกได้ส่งพลังให้กับชายคนนี้โดยไม่สนเลยว่าจะเป็นทรราชที่ทำลายโลก


พระเจ้าได้เปิดตาขึ้นมา เขาได้กดดันมิคาเอลด้วยร่างกายที่ไม่มั่นคงแต่ทรงพลัง และพูดขึ้นอีกครั้ง


[แล้วทูตสวรรค์ที่อยู่กับนายไปไหนแล้วล่ะ? คนที่ติดตามนายล่ะ? โลกภายใต้การจัดการของนายไปอยู่ไหนแล้วล่ะ? แหล่งพลังที่ทำให้นายแข็งแกร่งไปไหนแล้ว?]

[ฉัน… ฉันคือแสงสว่าง ฉันคือผู้สมบูรณ์แบบและส่องสว่าง ฉันไม่ต้องการสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน!]

[ในขอบเขตพลังที่นายเชื่อว่ามันสมบูรณ์แบบนี้น่ะมีหลายต่อหลายคนได้มาถึงระดับนี้]

[อะไรนะ]


มิคาเอลไม่อาจจะพูดต่อจนจบได้ ยังไงก็ตามพระเจ้าได้พูดถึงความจริงออกมาอย่างไร้ปราณีเพื่อฉีกกระชากกำลังใจของเขาให้เป็นชิ้นๆ


[นายมันก็แค่คนที่ไปถึงในระดับขอบเขตบันทึกเทพเจ้า]


บันทึกเทพเจ้า….? พวกคนที่มอบพรให้กับยูอิลฮานและพรรคพวกน่ะหรอ? พลังเฉพาะที่จะมอบให้เพียงหนึ่งคนผ่านบันทึกนภา? มิคาเอลได้กัดฟันแน่นและปฏิเสธออกมา


[บะ บันทึกเทพเจ้า… ของพวกนั้นมันก็แค่บันทึก! บวกมันก็เป็นแค่การรวมตัวของบันทึก มันไม่ใช่ของจริง!]

[ใครเป็นคนที่บอกนายแบบนั้นกันล่ะ?]

[นาย! ก็เป็นนายไงล่ะ จะเป็นใครได้อีก!]

[ใช่แล้ว ฉันเป็นคนบอกแบบนั้นเอง แต่ก็นะเจ้าหนู ฉันจะแก้ไขมันให้ถูกเอง]


ริมฝีปากของพระเจ้าได้ยกยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย มานาได้มารวมตัวกันปกคลุมร่างของเขาและกลายเป็นเพราะหมอกมืดที่ได้ข้ามขอบเขตของมานาไปแล้วเนื่องจากเศษเสี้ยววิญญาณกลายพันธ์นับไม่ถ้วนที่ถูกนำมารวมกันตลอดการกลืนกินของเขา


[นั่นมันคือเรื่องโกหก]

[อะไรนะ…]

[คำนั่นก็แค่คำดูถูกและความหยิ่งยโสที่มีต่อเจ้าพวกนั้นของฉันเท่านั้นแหละ พวกนั้นไม่ใช่ ‘บันทึกเทพเจ้า’ จริงๆพวกนั้นแต่เดิมก็มาจากบันทึกแต่ก็ได้ก้าวข้ามบันทึกไปแล้ว ฉันคาดเดาเอาไว้ว่าคำตอบของสิ่งที่ก้าวข้ามมานาไปจนอยู่ภายในพวกมัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันจับพวกมันเอาไว้ เพราะพวกมันเป็นตัวตนที่ไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยบันทึก ฉันได้พยายามที่จะจับในสิ่งที่ไม่ใช่บันทึก ฉันได้เอาพวกมันทั้งหมดไปใส่ไว้ในโลกใบนี้และกักขังเอาไว้ที่นั่น]

[นี่นายกำลังพูดอะไร…]

[นี่นายยังนึกภาพไม่ออกอีกงั้นหรอ? ช่างโง่เง่าสิ้นดี ฉันพยายามที่จะสร้างที่เก็บบันทึกแห่งใหม่สำหรับจักรวาลนี้ขึ้นมา ฉันหวังที่จะกลายเป็นผู้สร้างและจัดการดูแลจักรวาลนี้]


หากว่ายูอิลฮานอยู่ที่นี่ เขาก็คงจะรู้สึกรำคาญแล้วพูดอะไรอย่าง ‘ไม่ใช่ว่าฉันพูดเรื่องนี้ไปก่อนแล้วหรอกหรอ’ แต่น่าเสียดายที่พระเจ้าไม่ได้รู้เลยว่ายูอิลฮานได้รู้แผนของเขาแล้วเท่านั้น แต่ยูอิลฮานยังได้ทำลายแผนนั้นจนเป็นชิ้นๆไปแล้วด้วย


[ฉันพยายามที่จะทำให้พวกมันกลายมาเป็นห้องสมุดแห่งใหม่ที่เก็บบันทึกไว้ รวบรวมทหารที่เชื่อฟังแต่เจตจำนงของฉัน ให้พวกมันรวบรวมข้อมูล ต่อต้านข้อมูล จัดการข้อมูล และสร้างข้อมูลขึ้นมา ถึงแม้ว่าฉันจะเสียพลังไปชั่วคราวเพราะการแทรกแซงของพวกนายก่อนจะทำสำเร็จก็ตาม แต่ก็เพราะแบบนั้นทำให้ฉันสามารถจะสร้างที่เก็บบันทึกที่สมบูรณ์กว่าเดิมได้ พอมาคิดดูแล้วฉันก็ควรจะขอบคุณพวกนายนะ]


มิคาเอลได้ก้าวถอยไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลย


บันทึกเทพเจ้าเป็นของจริง สร้างบันทึกนภาขึ้นมาใหม่ด้วยการจับบันทึกเทพเจ้าเอาไว้ – คนๆนี้เป็นบ้าไปแล้วชัดๆ เขาได้ใช้อารมณ์เหลือเหตุผลและบังคับให้คนอื่นๆทำตามเขาอีกด้วย!


[ตอนนี้ฉันได้รวบรวมตัวตนที่ก้าวข้ามบันทึกมาได้มากมายเลยล่ะ ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนหลบหนีไปและคิดถึงการกบฏ แต่มันก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉันก็แค่ไปปตามเก็บพวกมันมาทีหลังก็ได้ ฉันสามารถจะเติมเต็มช่องว่างได้อีกครั้ง อีกไม่นานก็จะเกิดโลกใบใหม่ขึ้นมาแล้ว แต่เพราะสถานการณ์ที่เร่งด่วนนี้ทำให้ฉันต้องทดสอบมันก่อนที่จะเสร็จสมบูรณ์ดี…]


พอคิดไปถึงเร็กน่ากับเร็กน่าระดับสูงที่ไม่น่าพอใจสักนิด พระเจ้าก็หยักไหล่ออกมา ทั้งหมดนี่ก็เพราะยูอิลฮาน เขาต้องเปลื่ยนแผนของเขาไปทั้งหมดก็เพราะคนๆเดียว


[ยังไงก็ตามมันก็เป็นไปด้วยดี ยูอิลฮานได้พัฒนาขึ้นและได้รับพลังที่ใกล้เคียงกับการสร้าง นี่มันหมายถึงการทวนของกระแสสงคราม]


แม้ว่าพลังที่ยูอิลฮานได้มาจะเป็นการสร้าง เป็นสิ่งที่เหลือกว่าพระเจ้าไปไกล แต่พระเจ้าก็ยังคงดูถูกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสบายใจแบบนี้


[และจากนั้นฉันก็จะรวมกับนายอีกครั้ง ในตอนนี้ฉันจะกลืนกินนายและกลืนกินยูอิลฮานด้วยเช่นกัน มันจะสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม ฉันจะสร้างโลกใหม่ขึ้นมาและตั้งค่าให้มันถูกต้อง]

[นายกำลังดูถูกในพลังของฉัน… สิ่งมีชีวิตพวกนั้นคือความผิดพลาด นายทำได้แต่โอ้อวดถึงพลังที่นายขโมยไปจากฉันได้และดูถูกฉันที่ปรารถนาในสิ่งที่ไม่ใช่ของฉัน….]


มิคาเอลได้ดึงพลังของเขาออกมาเป็นครั้งสุดท้าย


ยังไงก็ตามเขาได้เลือกที่จะหลบหนี เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาไม่มีหวังที่จะเอาชนะเลย


เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เขาคิดว่าเขาจะต้องไปเป็นพันธมิตรกับยูอิลฮานถึงจะไม่เต็มใจก็ตาม ใช่แล้ว ในเมื่อพระเจ้าเล็งเป้าไปที่ยูอิลฮาน ยูอิลฮานก็ยังต้องการจะฆ่าพระเจ้า หากพวกเขารวมพลังกันก็น่าจะจัดการพระเจ้า….


[ลูกชายของฉันกำลังจะไปไหนล่ะ]

[อั๊ก!?]


พระเจ้าได้มาปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้ามิคาเอลที่พยายามจะร่ายเวทย์หลบหนีไป มิคาเอลที่กำลังจะใช้เวทย์ข้ามมิติได้เปิดตากว้างอย่าตกใจ แต่ว่าสิ่งที่เขาหวังกไม่เกิดขึ้น มือของพระเจ้าได้มาอยู่บนหัวเขาแล้ว


[ช่างโง่เขลาและอับโชค นายไม่มีแม้แต่เปอร์เซ็นเดียวเลยที่จะเอาชนะฉัน]

“อะไรกัน….”

[ฉันบอกไปแล้วนี้ นายถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง]


พระเจ้าได้หัวเราะขึ้นและกดมือลงมา


หัวของมิคาเอลได้แยกออกเป็นสองส่วนจากการเคลื่อนไหวนี้


[ไม่มีที่ให้นายไปหรอกนะ]

[อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!]


มิคาเอลได้ตายลงไป และพระเจ้าก็ได้กลืนกินเขาลงไป


ผู้ปกครองสวรรค์ที่แท้จริงได้กลับมาแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม