Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี 332-338
บทที่ 332 – วันสิ้นโลก (8)
สงครามภายในสวนเควัส โลกที่หยุดนิ่งระหว่างสองกองทัพได้ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ผู้เฝ้าประตูสวนอาทิตย์อัสดงส่วนใหญ่ได้หายไป และกองทัพจรัสแสงก็ไม่ได้ต่างกัน กองทัพเร็กน่าจะนวนมหาศาลและเร็กน่าระดับสูงต่างก็ได้เริ่มใกล้จะหมดลง
แต่ไม่ว่ายังไงในตอนนี้กาเบรียลก็กำลังเสียเปรียบแล้ว
[เป็นลูกของนายงั้นหรอ?]
[นายสังเกตุเห็นด้วย?]
[ออร่าทรงพลังที่ทะลวงกำแพงมิติเข้ามาพาคนๆหนึ่งไป มันคงไม่มีใครอีกนอกจากลูกชายของนายที่ทำแบบนี้ได้จริงไหมล่ะ?]
เมื่อพูดจบซาตานก็ได้ยิ้มออกมา กาเบรียลก็ได้ยิ้มออกมาในขณะถอยกลับไปเช่นกัน บนร่างกายของพวกเรามีแผลที่ไม่อาจจะรักษาได้ง่ายๆอยู่ทั่วตัวจากการโจมตีด้วยการเอาบันทึกที่มีเข้าแลก ในระดับหัวหน้ากองกำลัง พวกเขาไม่ได้ใช้สกิลธรรมดาแต่เป็นการใช้บันทึกในการต่อสู้ เพราะงั้นในทุกๆการโจมตีจึงทำให้เกิดบาดแผลที่ไม่อาจจะรักษาได้ง่ายๆ
[ทำไมนายถึงส่งไปแค่ภรรยาของนายล่ะ?]
[นายก็รู้อยู่แล้วนี่ลูซิเฟอร์? จะต้องมีคนหยุดนายเอาไว้ ลูกชายของฉันกำลังพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเพราะงั้นฉันจะให้นายไปหยุดเขาไม่ได้]
[พัฒนาสินะ…]
ซาตานหรืออีกชื่อคือลูซิเฟอร์ได้มองไปที่แขนของเขาและยิ้มแห้งๆออกมา เขารู้สึกได้เลยว่าในตอนนี้ทั้งพลังและบันทึกของเขากำลังหายไป
อ่า ลูกชายของกาเบรียลคือสัตว์ประหลาดจริงๆ ในตอนที่กำแพงมิติได้ถูกทะลวงเข้ามา ลูกชายกาเบรียลก็ได้ดึงเอาพลังจำนวนมากไปจากตัวซาตาน พลังบันทึกและมานาที่ซาตานได้ครอบครองอยู่ในฐานะของผู้ปกครองโลกระดับสูงมากมาย
‘เขาเอาโลกระดับสูงไปจากฉันทั้งๆที่ฉันครอบครองอยู่ไปมากแค่ไหนกันนะ’
เนื่องจากว่าในพื้นที่แห่งนี้มิติได้ถูกตัดขาดทำให้ซาตานไม่ได้รู้อะไรเลยมาจนถึงตอนนี้ ซาตานเชื่อมาตลอดว่าพลังในฐานะผู้ปกครองโลกคือพลังของเขาไปตลอดกาลและจะไม่มีวันถูกเอากลับคืนไป
ยังไงก็ตามในตอนที่ยูอิลฮานได้ใช้เวทย์ข้ามมิติทะลวงกำแพงมิติเข้ามา พลังบันทึกที่ซาตานมีอยู่ก็ได้หดหายไปจากตัวเขา
เพราะแบบนี้ทำให้ซาตานอ่อนแอลง ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้รู้สึกถึงความไร้พลังหลังจากที่ได้ต่อสู้ขับไล่พระเจ้าออกไปจากสวรรค์ ซาตานได้มองไปที่กาเบรียลอย่างไร้อารมณ์และพูดออกมา
[นี่มันไม่ใช่การพัฒนาแล้วกาเบรียล นี่มันคือความปรารถนาที่มากยิ่งกว่าความโลภซะอีก ลูกชายของนายกำลังกลืนกินโลกระดับสูงทั้งหมด]
[ไม่หรอก ลูกฉันไม่ได้กลืนกินโลกพวกนั้น ลูกชายฉันก็แค่หลอมรวมพวกมันให้กลายเป็นหนึ่ง ลูซิเฟอร์ ลูกชายของฉันจะกลายมาเป็นผู้สร้างคนใหม่ ไปสู่ระดับที่พระเจ้าไปไม่ถึง และเป็นระดับที่เราก็ไปไม่ถึงเหมือนกัน เขาจะเป็นคนที่ไปถึงมัน ฉันมั่นใจได้เลย]
กาเบรียลได้ยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่ว่าซาตานได้เยาะเย้ยเขา
[นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก แม้แต่พระเจ้าก็ยังทำล้มเหลวเลย นายคิดว่าแค่การพยากรณ์ของนายจะทำนายถึงระดับนั้นได้จริงๆงั้นหรอ?]
[มันมีอยู่หลายวิธีที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา ฉันก็ยังหาต้นตอถึงพลังในการพยากรณ์ของฉันไม่ได้เลย การซ่อนตัวก็เหมือนกัน แต่ว่าลูกชายฉันได้ก้าวข้ามฉันไปแล้ว ลูซิเฟอร์ สิ่งที่ฉันเห็นก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เขาจะไปถึงไหนฉันก็มองไม่เห็นเหมือนกัน]
[เรื่องนั้นนายพูดถูก]
ซาตานได้รวมพลังเข้ามาที่มือของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะตกใจที่จู่ๆพลังก็หายไป แต่ก็แค่ตกใจเท่านั้น หากว่าโลกหลักของเขายังไม่หายไป แหล่งพลังของซาตานก็จะไม่ได้ลดลงจนมากเกินไป
[มันแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีใครที่จะล่วงรู้ในจุดสิ้นสุดของเส้นทางได้ เพราะงั้นมันถึงไม่น่าแปลกใจไงล่ะหากว่าเขาจะสะดุดล้มอยู่กลางทาง จริงไหม? แต่นายก็ไม่น่าจะอยู่รอดจนได้เห็นหรอกนะ!]
[นาย…!]
พลังเวทย์ความมืดได้ปะทุออกมาจากร่างซาตาน ด้านหลังของเขามีปีกที่เหมือนกับค้างคาวสิบปีกกางออกมา ยังไงก็ตามการเปลื่ยนแปลงยังไม่ได้จบแค่นี้ มีอยู่ปีกหนึ่งที่เต็มไปด้วยขนสีขาวบริสุทธิ์อยู่ ในตอนนี้กาเบรียลกับซาตานต่างก็กำลังใช้พลังของหนึ่งปีก
[เตรียมตัวซะกาเบรียล ฉันจะจัดการนายด้วยมือของฉันเอง แต่ว่านะ…]
[ย๊ากกกก!]
เสียงของซาตานได้ดังเข้าหูกาเบรียล กาเบรียลที่รู้ว่าถึงเวลาแล้วก็ยังรีบปล่อยพลังออกมารอบๆตัว แต่ว่าสิ่งที่เขาทำได้ก็แค่การลบเร็กน่ากลุ่มหนึ่งที่กำลังบุกเข้าไปในสวนเควัสเท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่ากาเบรียลจะลบพวกมันไปได้กลุ่มหนึ่ง แต่ก็ยังมีเร็กน่าเหลืออยู่อีกจำนวนมากอยู่ดี แล้วก็ยังมีศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขา ซาตาน…
[มันจะเจ็บมากเลยนะ]
[นั่นคือสิ่งที่ฉันจะพูดซาตาน ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครไปรบกวนลูกชายฉันได้!]
[งั้นก็มาต่อกันเลย!]
ดวงตาซาตานได้เป็นประกายขึ้นมาอย่างลึกลับและน่าแปลกใจ ในตอนนี้กาเบรียลก็ได้กัดฟันปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา
***
[กาเบรียลได้ถูกจัดการ แล้วก็สวนเควัสก็ตกมาอยู่ใต้การปกครองของกองทัพจรัสแสงแล้ว นี่มันเป็นจุดจบที่งดงามเลยใช่ไหมล่ะ?]
ซาตานได้พูดออกมาสบายๆเช่นเดิม ไม่ว่าคนที่เขาพูดด้วยจะเป็นใครหรือต่อให้เป็น ‘พระเจ้าสวรรค์’ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทรยศมาก็ตาม
[นี่มันยังไม่พอที่จะชดใช้ที่นายทรยศฉันในอดีต… แต่ว่าดีมาก พวกเราได้กำจัดนักพยากรณ์ไปแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็เหลือแค่พวกน่าขยะแขยง… เอาล่ะส่งศพกาเบรียลมาให้ฉันสิ ลูซิเฟอร์]
พระเจ้าได้สั่งออกมาอย่างยิ่งใหญ่และเชื่อมั่น ยังไงก็ตามซาตานได้ส่ายหัวและหัวเราะออกมา
[คิดดูนะตาแก่ นายคิดว่ากาเบรียลคนที่ฉลาดพอที่จะดึงทุกๆคนมาเล่นอยู่ในเวทีของเขาได้จะโง่ทิ้งร่างกายที่ล้ำค่าของเขาเอาไว้งั้นหรอ? ฉันคิดว่าลูกเขาก็ได้สืบทอดในพลังกรซ่อนตัวของเขาไปด้วยเหมือนกัน แต่ว่าพลังในการพยากรณ์น่ะมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มีมัน และมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป]
[…ฉันบอกให้นายส่งศพกาเบรียลมา]
[ฉันไม่มีเวลาไปเก็บศพด้วยซ้ำไป ถ้านายไม่พอใจทำไมไม่ไปจัดการด้วยตัวเองเลยล่ะ?]
คำตอบของซาตาได้ทำให้พระเจ้าพูดไม่ออก ซาตานรู้ถึงสภาพในตอนนี้ดีเพราะงั้นซาตานตั้งใจจะล้อเขาเล่นแน่นอน
พระเจ้าได้กัดฟันแน่น ถึงแม้ว่าเขาจะดึงซาตานมาเป็นพวกได้ แต่ว่าซาตานนี่แหละคือคนที่ไม่น่าเชื่อใจที่สุด
[นายเป็นคนทำลายเร็กน่างั้นหรอ? แล้วก็เก็บเอาศพกาเบรียลไปไว้กับตัวเอง]
[ทำไมฉันต้องโจมตีพวกเดียวกันด้วยล่ะ? แล้วก็นะตาแก่ นายก็น่าจะได้รับบันทึกจากพวกเร็กน่ามาด้วยไม่ใช่หรอ? นายก็ต้องรู้นี่ว่ากาเบรียลกับพวกผู้เฝ้าประตูได้ฆ่าพวกเร็กน่าไปน่ะ]
พระเจ้าได้หรี่ตาขึ้นมา
[ลูซิเฟอร์ นายมันสารเลว… นายไม่ได้โกหกใช่ไหม?]
[แล้วถ้าฉันโกหกนายดูออกไหมล่ะ?]
ไม่เลย พระเจ้าไม่ใช่คนที่ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่งและรอบรู้ในทุกสิ่งเหมือนอย่างที่พวกทูตสวรรค์คิด
[เห็นไหมล่ะ? ก็แค่เชื่อใจฉันเท่านั้นเอง การเชื่อใจฉันมันดีสำหรับนายนะ]
[…]
เขารู้แน่ๆว่าซาตานมีอะไรที่ซ่อนเอาไว้อยู่ แต่ว่าเขาไม่อาจจะไปซักถามซาตานได้ในตอนนี้ เขาได้ฝืนกัดฟันแน่นเอาไว้และพูดคำพูดที่เต็มไปด้วยความโกรธและไร้ปราณีออกมา
[ถ้านายยังทำแบบนี้อยู่อีก… ฉันจะไม่ยอมรับให้นายอยู่ในโลกใบใหม่ที่ฉันสร้างขึ้น]
[หืม นายก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าฉันเป็นพวกเรื่อยเปื่อยน่ะ เพราะงั้นต่อให้ฉันต้องอยู่ในหุบเหวนรกฉันก็ยังมีความสุขอยู่ดีนั่นแหละ… แต่ว่านะ… ไม่ใช่ว่านายไม่พูดจะเอาเรื่องนี้มาพูดกับฉันในตอนนี้หรอกหรอ? ในตอนนี้นายยังขยับร่างกายตามต้องการไม่ได้เลยนี่ นายยังต้องการ ‘เขา’ ไม่ใช่หรอ?]
พระเจ้าได้เงียบลงไป ซาตานพูดถูก ในตอนนี้พระเจ้ายังต้องการซาตาน แขนขาของเขายังไม่ได้มีอิสระ และสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างเร็กน่าก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ เพราะงั้นในตอนนี้เขายังต้องการให้เจ้าปีศาจตนนี้ช่วยอยู่
ซาตานได้ยิ้มออกมาราวกับเขารู้ว่าพระเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มของเขามันดูน่าอึดอัดใจมากๆ
[นายกลัววอะไรอยู่ล่ะ? วันสิ้นโลกได้เริ่มขึ้นสำเร็จแล้วนะ ทุกๆคนที่อยู่ในตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างก็กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงแล้ว ถึงแสงจากมิคาเอลจะเจิดจ้ายิ่งขึ้น แต่ว่านั่นก็อยู่ในการคาดการณ์ของเรานี่ พวกนั้นก็แค่เนื้อย่างชั้นดีเท่านั้นแหละ นายก็แค่ลุกขึ้นมากินไปเท่านั้นเอง]
[ลูซิเฟอร์…]
ซาตานกับพระเจ้าได้จ้องตากันอย่างดุเดือด พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เปิดใจให้กันจริงๆและทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ยังไงก็ตามพวกเขายังต้องการกันและกันอยู่เพราะงั้นพวกเขาก็เลยต้องอยู่ด้วยกันทั้งๆที่ไม่เชื่อใจกัน
พวกเขาไม่อาจจะกลับไปอยู่ในสถานะเจ้านายกับคนรับใช้เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนได้มีระดับพลังเท่าเทียมกันและใช้ประโยชน์จากกันและกันอย่างเท่าเทียม
ยังไงก็ตามมีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้เลยนั่นคือซาตานจะทรยศพระเจ้า ‘ไม่ได้’ ซาตานคือสิ่งมีชีวิตที่มีต้นกำเนิดจากพระเจ้าและไม่ว่าเขาจะดิ้นรนหลบหนีไปซะแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงติดอยู่ในข้อผูกมัดนี้อยู่ดี ‘การต่อต้านสวรรค์’ มันเป็นไปไม่ได้เลย
ในตอนนี้เองจู่ๆอากาศบาดเจ็บภายในของพระเจ้าก็ได้ปะทุขึ้นมาสร้างความเจ็บปวดให้กับเขา
[อั๊ก]
[บาดเจ็บงั้นหรอ?]
[ยูอิลฮาน… เจ้าสารเลว!]
[อ่อ]
ซาตานได้หัวเราะออกมา
[ลูกชายกาเบรียลสินะ? เขาน่าทึ่งจริงๆนั่นแหละ เขาได้ขโมยพลังไปจากฉันเหมือนกัน ฉันสงสัยจริงๆเลยว่ากาเบรียลได้ให้กำเนิดลูกชายที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน]
[มันยังดีที่เขาเกิดมาในตอนนี้…หากว่าเขามีเวลามากกว่านี้ โลกใหม่ก็อาจจะไม่ถูกเปิดขึ้น]
[นายดูจะมั่นใจกับโลกใหม่ของนายเอามากๆเลยนะ ทำไมไม่สร้างเพลงให้มันเลยล่ะ? อย่างมาสร้างโลกใหม่ด้วยกันไง!]
ซาตานก็ยังคงล้อเลียนพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้จุดที่พวกเขาอยู่ก็คือสถานที่ที่มีชั้นบรรยากาศเป็นพิษ สิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้าย มานาที่ชั่วร้าย และทุกๆอย่างที่ชั่วร้าย
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกได้ถึงออร่าจางๆจากอีกฝั่งของกำแพงมิติยักษ์และหัวเราะออกมา
[ม่านได้ถูกเปิดขึ้นมาแล้ว ถ้างั้นเขาก็พร้อมที่จะก้าวไปสู่ขั้นต่อไปแล้วสินะตาแก่?]
[หุบปากลูซิเฟอร์]
พระเจ้าได้กัดฟันตอบกลับไป
[ฉันพร้อมมานานแล้ว]
***
“นี่มันบ้าอะไรกัน?”
“จะรู้ไหมล่ะ? นรกงั้นหรอ?”
เลียร่าได้ตอบกลับมาอย่างสงบ ในตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในที่ที่ท้องฟ้าและผืนดินกำลังพลิกกลับและหลอมละลาย เมื่อพวกเขามองไปรอบๆก็จะเห็นว่าดาเรย์ยังปกติ แต่ว่าในส่วนๆนี้มันเหมือนกัน…
“มันเหมือนกับคนที่ได้กินโลกทั้งใบลงไปแล้วก็อ้วกพวกของเสียทั้งหมดออกมา~”
“ขอบใจนะที่ช่วยอธิบายนายูนา เพราะเธอคนเดียวเลยถึงทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงมันมากขึ้น”
“เฮะๆ”
ยูอิลฮานได้โบกมือของเขาในขณะที่บ่นนายูนาไปด้วย ทั้งมานาและสายลมได้พักเข้ามาปกคลุมทั้งท้องฟ้าและผืนดิน มานาและสายลมได้ถูกละลายเข้าไปในโลกหลังจากกลายมาเป็นบันทึกและมานาบริสุทธิ์
ในขณะนี้เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลพื้นที่แปลกๆแล้วก็หลอมรวมมันเข้ากับดาเรย์ไปด้วย
ในขั้นตอนนี้เขาจะได้รับบันทึกที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับมันมากขึ้น และดูเหมือนว่าวิถีแห่งจักรวาลจะเปิดทางไปสู่โลกที่ไม่ใช่ทั้งของกองทัพสวรรค์ กองทัพจรัสแสง และกองทัพปีศาจวิบัติ แต่เป็นโลกในมิติย่อยที่ซ่อนเอาไว้อยู่เหนือการควบคุม
แน่นอนว่าเพลิงพิฆาตของยูอิลฮานได้ทำลายมันทิ้งไปจนหมดและดึงเข้ามาในดาเรย์แล้ว… ในตอนนี้พระเจ้า ความโลภ และซาตานก็คงจะเจ็บปวดกันแน่ๆ
“หืมมมม”
ยูอิลฮานได้รับบันทึกของโลกจำนวนนับไม่ถ้วนมาและได้วิเคราะห์จัดระเบียบความคิดในหัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา คิมเยซอลได้มองมาที่เขาอย่างเป็นกังวล
“ลูกไม่เป็นอะไรนะ?”
“ผมสบายดีครับ ผมเป็นห่วงพ่อมากกว่าอีก ซาตานไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“พ่อเขาไม่เป็นไรหรอก พ่อมีชีวิตยืนยาวกว่าพวกเราหรอกนะ”
“…นั่นก็จริง”
ถึงแม้ว่าทั้งคิมเยซอลกับยูอิลฮานจะไม่นับว่าเป็นเด็กแล้ว แต่ว่าหากไปเทียบอายุกันกับกาเบรียลพวกเขาก็ไม่ต่างกับเด็กทารกเลย ยูอิลฮานได้คิดถึงเรื่องนี้และมองสีหน้าของคิมเยซอล
“แล้วแม่สบายดีนะครับ?”
“แม่สบายดีอยู่แล้วลูกแม่… แต่แม่ก็ตกใจอยู่นั่นแหละ”
คิมเยซอลได้หัวเราะและเสริมขึ้นมาอีก
“ดูเหมือนว่าตอนนี้แม่จะต้องตั้งใจเพิ่มเลเวลซะแล้ว ฟู่ว แม่ได้สู้กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมาตั้งหลายปี แต่แม่ก็ยังอยู่แค่คลาส 6 เอง พ่อของลูกแข็งแกร่งขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”
“หลายปีหรอครับ? แม่ต่อสู้ภายในโลกนั้นของพ่อหลายปีเลยงั้นหรอ?”
“ใช่สิ”
นี่คือเวทย์ที่เอาไว้ใช้ถ่วงเวลาศัตรูอย่างซาตาน ยูอิลฮานทึ่งกับความสามารถของพ่อเขามากๆ ใช่แล้ว ก็เพราะพ่อเขามีพลังระดับนี้เพราะงั้นตอนนี้พ่อเขาก็ไม่น่าจะเป็นอะไร พ่อจะต้องไม่เป็นอะไร ยูอิลฮานเชื่อแบบนี้…
“โอเค มาจบงานที่ค้างกันเอาไว้ดีกว่า ฉันหวังว่าฉันจะใช้วิถีแห่งจักรวาลได้อีกซักรอบนะ…”
เพลิงพิฆาตคือเทคนิคพิเศษที่เขาใช้ได้เฉพาะในมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 เท่านั้น! ช่างน่าเสียดาย
“ไม่ได้น่าเสียดายเลยสักนิด!”
มิสมิคได้ตะโกนออกมา คังมิเรย์ได้ยิ้มแห้งๆออมกาในขณะที่ยกคทาขึ้น
ประตูมิติร้อยบานได้เปิดขึ้นมาบนท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่งฟ
บทที่ 333 – วันสิ้นโลก (9)
[มหาภัยพิบัติขั้นที่ 9 บนโลกระดับสูงดาเรย์ได้เสร็จสิ้น]
[คุณได้ดูดซับบันทึกและมานามาจากโลกใต้การปกครองของคุณ ค่าสเตตัสทั้งหมดและมานาเพิ่มขึ้น 300]
[ยูอิลฮาน]
[หัวหน้าแห่งดราก้อนเนส เลเวล 748
[พลังกำลัง – 1,754 ความคล่องแคล่ว – 1,545 พลังชีวิต – 1,443 พลังเวทย์ – 3,559]
[สกิลใช้งาน – ประจักษ์แจ้ง(การร่วงหล่น, โลหิตมังกร, การสอดประสานมนุษย์มังกร) เลเวล 87, วิถีทางไร้ขอบเขต(หอกสะบั้นจักรวาล, หอกไร้วิถึ, เทวะกำลัง, ชำแหละ, ขุด, ความแม่นยำสัมบูรณ์) เลเวล 65, หัตถกรรมมานาเลเวลสูงสุด, ประกาศิต (ปกครอง, บันทึก) เลเวล 88, ข้ามมิติ(กระโดด) เลเวล 97, จ้าวมิติเลเวล 99, สวนกลับเลเวล 87]
[สกิลติดตัว – ช่างตีเหล็กเลเวลสูงสุด, วิศวกรรมเวทย์เลเวลสูงสุด, ทำอาหารเลเวลสูงสุด, การปรับตัวของนักท่องมิติเลเวล 99, บัญชาลูกเรือเลเวล 99]
คังมิเรย์ได้เงยหน้าขึ้นมาพูด
“ไม่มีโลกเหลือแล้ว”
“จริหรอ?”
ยูอิลฮานได้ย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจ แต่คังมิเรย์ก็ยังหยักหน้าอย่างมั่นใจเช่นเดิม
“ไม่มีเหลือแน่นอน ไม่เหลือแม้แน่โลกเดียว หากจะมีเหลือก็มีแต่โลกหลักแล้วล่ะ”
“ฟูู่…”
ยูอิลฮานได้ถอนหายใจยาวออกมาก่อนที่จะก้มหน้าลงและเงยขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนี้ทุกๆคนกำลังมองมาที่เขาอยู่
เมื่อสามสิบชั่วโมงก่อนคนที่นี่ส่วนใหญ่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอยู่เลย แต่พอมาในตอนนี้มันกลับยากที่จะมองหาคนที่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำแล้ว ยูอิลฮานรับประกันได้เลยว่าเมื่อสามชั่วโมงก่อนเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายรุนแรงอย่างมากนับตั้งแต่เริ่มต้นขึ้น
“ทุกๆคนคงเหนื่อยกันสินะ”
“ใช่ครับ”
ทุกคนได้ตอบกลับมาตรงๆ โดยเฉพาะมิสทิคที่แทบจะลงไปกองกับพื้นแล้ว เธอได้ก้าวข้ามคลาส 7 มาเป็นคลาส 8 แล้วจากการที่เธอคือศูนย์กลางควบคุมทั้งโลกและเชื่อมต่อเข้าบมันทึกนับไม่ถ้วน แต่ถึงเธอจะแกร่งยังไง ความเหนื่อยล้าของเธอก็ยังมากยิ่งกว่าความแกร่งของเธออยู่ดี
“ฉันรอดมาจากเรื่องบ้าๆนี่ได้ยังไงกันนะ…?”
“นั่นก็เพราะอาร์ติแฟคที่ฉันทำให้เธอไงล่ะ”
“ฉันจะอัดนาย นายท่าน”
เธอได้เหวี่ยงหมัดออกมาพร้อมๆกับที่พูด แต่ว่ายูออิลฮานก็ได้หลบออกมาอย่างง่ายดาย
“ให้ตายสิ โอโรจิ”
“ถึงธอจะมองฉันแบบนั้นก็เถอะนะ ฉันอ่อนแอกว่าเธอ นั่งกินป็อบคอร์นเฉยๆเถอะนะ”
“มาดูกัน พ่อ…”
ยูอิลฮานได้ปล่อยมิสทิคกับโอโรจิเอาไว้และหันไปใช้สกิลข้ามมิติอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เป้าหมายปฏิเสธเขา ยูอิลฮานได้คิดเอาไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้และส่ายหัวออกมา
ในตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าซาตานได้ทำอะไรบางอย่างกับบันทึกพระเจ้า หากว่าซาตานคือศัตรูที่อันตรายที่สุดจริงๆ ถ้างั้นต่อให้พ่อใช้ไพ่ตายทั้งหมดพ่อก็ไม่อาจจะสู้ได้… ให้ตายสิ ถ้าพ่อกลับมาพร้อมกับแบบถ้างั้นอย่างน้อยเราก็จะได้ร่วมมือกันจัดการซาตาน ดื้อจริงๆเลย!
“ถ้าพ่อตาย ผมจะทำให้พ่อตายอีกครั้งให้ดู”
“นายจะไปทำอะไรกับคนที่ตายได้ยังไงกันล่ะ?”
“หึหึ”
ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาโดยไม่ตอบอะไรกลับไป แต่ว่าเลียร่ากลับรู้สึกขกลุกขึ้นมา
โลกระดับสูงสองหมื่นสามพันใบ เขาได้รับบันทึกของโลกนับไม่ถ้วนนี้รวมไปถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ในฐานะที่เขาคือผู้ปกครองดาเรย์และหัวหน้าดราก้อนเนส ส่วนประกอบต่างๆของโลกและกองกำลังจะถูกส่งมาให้กับเขาเอง ต่อให้ยูอิลฮานบอกว่าเขาสร้างโลกทั้งใบได้เอง เลียร่าก็เชื่อ
ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้ตั้งใจถามกับเขาขึ้นมา
“อิลฮาน นายยังไม่ใช่พระเจ้าใช่ไหม?”
“ไม่หรอก ยังไม่ใช่ อาจจะนะ”
“หาาา”
เธอไม่น่าถามเลย นี่มันยิ่งทำให้เธอกลัวกว่าเดิมอีก! หลังจากยูอิลฮานได้เห็นเลียร่าตัวสั่นเขาก็หัวเราะออกมา ในช่วงอายุของเธอแล้ว เธอก็น่าจะโตมากพอแล้ว แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้ยิ่งเวลาผ่านไปทูตสวรรค์คนนี้ยิ่งดูเด็กลง แน่นอนว่านี่มันก็ทำให้เธอดูน่ารัก
“หากว่าการได้โลกจำนวนนับไม่ถ้วนมามันทำให้ฉันเป็นพระเจ้า ถ้างั้นพวกเทพคนอื่นๆก็คงได้เป็นพระเจ้ากันนานแล้ว อย่างพระเจ้าสวรรค์ไงล่ะ… แต่แน่นอนฉันก็ไม่ได้บอกว่าการหลอมรวมโลกให้เป็นหนึ่งมันไม่มีผลใดๆ แต่ว่านะเลียร่า ฉันยังไม่เข้าใจมัน ฉันคือผู้สร้างที่ยังไม่สมบูรณ์แล้ว ฉันมันก็แค่พวกลูกครึ่งนั่นแหละ”
หน้าเลียร่าได้บึ้งออกมา ยิ่งเธอคุยกับเขาเท่าไหร่ ระยะห่างที่เธอรู้สึกก็ยิ่งมากขึ้นและทำให้เธอเป็นกังวล
“เมื่อก่อนนายจะปฏิเสธเสมอ แต่ในตอนนี้นายไม่ปฏิเสธแล้ว ลูกครึ่งนั่นมันก็หมายความว่าครึ่งหนึ่งก็สมบูรณ์แล้วนี่”
“แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งจะถูกเติมเต็มได้เมื่อไหร่ มันอาจจะเป็นไม่กี่วินาทีข้างหน้า หรือไม่ก็หลายยุคสมัย บางทีพวกระดับเทพทุกๆคนต่างก็อยู่ในระดับนี้กันทั้งนั้นก็ได้”
นี่คือเรื่องโกหก ยูอิลฮานรู้ดีว่าตัวเขาเป็นคนที่พิเศษมากในพวกระดับเทพด้วยกัน การหลอมรวมโลกเข้าด้วยกันมันมีความพิเศษอยู่แล้ว ในทุกๆครั้งงที่มีโลกถูกเพิ่มเข้ามาในดาเรย์ เขาก็จะรู้สึกได้ถึงพื้นฐานบางอย่างที่เปลื่ยนไปในตัวเขา นี่อาจจะมีแค่เขาเท่านั้นก็ได้ที่จะเป็นไปได้
บางทีนี่อาจจะไม่ใช่การวิวัฒนาการ แต่เป็นกระบวนการย้อนกลับสู่ต้นกำเนิดแห่งเวลา? หากว่าหลอมรวมทุกๆอย่างเข้ามาจนในที่สุดกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน บางทีนั่นอาจจะเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ให้เขาก็ได้? ยูอิลฮานทั้งหวาดระแวงและคาดหวังในเรื่องนี้
แต่หากจะมีอะไรที่เขามั่นใจนั่นก็คือในตอนนี้มันไม่มีอะไรให้เขาต้องกลัวแล้วเหตุผลเดียวที่เขาไม่ได้ทำให้ทุกๆอย่างจบลงในตอนนี้ก็เพราะเขาพยายามที่จะทำทุกๆอย่างให้ไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย
“ยังไงก็ตามเราได้ดูดเอาโลกระดับสูงทั้งหมดที่เป็นของกองกำลังอืนๆนอกจากสวนอาทิตย์อัสดงเข้ามาใช่ไหม? อ่อ ยกเว้นโลกหลักด้วย?”
“เธอรู้ใช่ไหมว่าจุดเริ่มต้นของทุกๆกองกำลังคือโลกหลักของพวกเขา? โลกหลักพวกนั้นคือที่ที่มีพลังทั้งหมดของกองกำลังนั้นอยู่ และเป็นที่ที่หัวหน้ากองกำลังเกิดมา ฉันรู้ว่าที่ดาเรย์แห่งนี้ได้วิวัฒนาการขึ้นมาเกินขีดสุดแล้ว แต่ว่านั่นมันไม่ใช่เรื่องที่จะเอาชนะกันได้ด้วยปริมาณของบันทึก อย่างได้ดูถูกโลกอย่างสวรรค์ เอลโลคาทร่าและโลกเบื้องล่างเชียวล่ะ”
“เลียร่า มันไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้จะบอกให้เธอไม่ระวังตัวนะ แต่ว่าอย่าได้ดูถูกตัวเองเลย มันมีความเป็นไปได้อยู่มากมาย เปิดตาเธอและมองดูสถานะในปัจจุบันของที่รักดีสิ เขาไม่ใช่เด็กที่เธอเคยรู้จักอีกแล้วนะเลียร่า”
“ครั้งแรกที่ฉันเจอเขา เขายังอายุยิบอยู่เลย!”
“ยัยงี่เง่านี่”
เฮเรียน่ามีมุมมองในสถานการณ์ต่างไปจากเลียร่าเล็กน้อง ในสายตาของเธอ พลังที่ยูอิลฮานครอบครองอยู่แกร่งยิ่งกว่าใครๆ มากยิ่งกว่าความโลภที่ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าเขาแกร่งที่สุดซะอีก
นี่มันหมายความว่ายูอิลฮานแข็งแกร่งที่สุด เธอเชื่อในตัวยูอิลฮานและมั่นใจว่าเขาคือเสาหลักที่ไม่มีวันสั่นคลอน
“ที่รัก ทีรักจะเริ่มเลยไหม?”
“ไม่ล่ะ”
ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้ส่ายหัวออกมา
“ฉันไม่ยอมความเสี่ยง ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นการเอาชีวิตไปเสี่ยงไหม แต่ว่าในสถานการณ์ที่พ่อของฉันกับคนอื่นๆต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง ฉันก็จะไม่ประมาทให้โอกาสศัตรูแน่”
“ฉันจะทำตามคำพูดของที่รัก มีอะไรที่ต้องการก็บอกฉันได้เลย”
ยูอิลฮานมีแค่หัวเดียวสองมือ หากว่าเขาสามารถจะดึงหัวหน้ากองกำลังทุกๆคนไปสู้ได้ ถ้างั้นเขาก็คงทำมันไปตั้งนานแล้ว หากว่ากาเบรียลอยู่เคียงข้างเขา ถ้างั้นสองคนก็จะคิดแผนร่วมกันได้ แต่ว่าเขาคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่
พรรคพวกของเขาทุกคนได้แกร่งขึ้นจนพอจะสู้กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่อาจจะสู้หัวหน้ากองกำลังได้อยู่ดี ยูอิลฮานรู้ในเรื่องนี้ เขาไม่ได้คาดหวังในพรรคพวกของเขามากขนาดนั้นอยู่แล้ว จริงๆแล้วเขากลับตกใจด้วยซ้ำไปที่พรรคพวกเขาพัฒนาขึ้นมามากขนาดนี้
ในท้ายที่สุดการจบทุกอย่างต้องเป็นหน้าที่ของเขาเอง และยูอิลฮานก็ได้วางแผนที่จะทำแบบนี้อยู่แล้ว
นั่นมันเพราะว่าเขาเกิดมาเป็นพวกสันโดษ เขาได้เรียนรู้ที่จะทำทุุกอย่างด้วยกำลังตัวเองมานานแล้ว
“นายทำทุกอย่างมากเกินไปแล้วนะ! พวกเราได้พยายามที่จะช่วยนายอยู่นะอิลฮาน!”
“ฉันไม่ได้บอกว่าพวกเธอไม่ได้ช่วยฉันเลย จริงๆแล้วพวกเธอได้ช่วยฉันมากกว่าที่ฉันได้ช่วยพวกเธออีก”
ยูอิลฮานได้ยื่นมือออกไปคว้าท้องฟ้าและพูดกับเลียร่า
“นี่มันเป็นบุคลิกของฉันน่ะ บุคลิกที่ฉันไม่อาจจะทิ้งไปได้ต่อให้จะทิ้งทุกๆอย่างไปก็ตาม
จะเกิดอะไรขึ้น? หรือจะมีอะไรอีก? ฉันควรจะเตรียมตัวกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงใช่ไหม?
ฉันกังวลว่าหากไม่มีใครช่วยฉันและฉันได้เตรียมการหลายๆอย่างไปมากมาย…
และสุดท้ายก็จบลงด้วยความโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครอยากจะช่วยฉัน…
ต่อให้หลังจากทำทุกๆอย่างแล้วกลายมาเป็นแบบนี้…
ฉันกลัวว่าในตอนนั้นฉันได้พลาดอะไรบางอย่างไป…
นิสัยที่มองทุกๆอย่างในแง่ร้ายของฉันนั่นมันก็เพราะฉันไม่อยากจะเจ็บปวด…
คาดหวังว่ามันจะล้มเหลว…
ฉันพยายามที่จะทำเป็นใจเย็น…
เตรียมตัวทุกๆอย่างเพื่อที่จะทำเป็นใจเย็นได้…
สุดท้ายก็จบลงด้วยความเงอะงะเพราะฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรจากคนอื่นเลย…
ฉันกลัวว่าฉันจะจบลงด้วยความอับอายหากมีคนมารู้เข้า…
นั่นมันจะทำให้ฉันอยากที่จะตาย
นั่นมันทำให้ฉันอยากที่จะยอมแพ้ในทุกอย่าง…
แต่ว่าฉันก็หนีไปไหนไม่ได้เพราะไม่มีใครให้ฉันหนีไปหา…
ไม่มีใครที่จะแบกรับภาระของฉัน…
ในท้ายที่สุดฉันก็ยังจะต้องทำทุกๆอย่างด้วยตัวเอง…
ฉันกลัวที่จะกลายเป็นตัวตลกที่คนอื่นๆทำเหมือนฉันเป็นคนโง่ ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย…”
อ่า ด้านมืดนี่ ไม่ว่าเขาจะได้เจอคนมากแค่ไหนหรือมีคนที่รักมากยังไงก็ตาม แต่ด้านมืดของยูอิลฮานจะไม่มีวันถูกลบไปแล้ว และในตอนนี้มันก็กำลังปะทุออกมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพูดไม่จบอีกด้วย
“นี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันชอบเอาแต่พูดถึงพวกภัยร้ายแอบแฝงอยู่เสมอ แม้แต่ในตอนเด็กๆ ฉันก็มีดวงตาที่มั่นใจและทำนายถึงความเป็นไปได้ในแง่ลบอยู่เสมอๆ และฉันก็ยังได้เจอกับเรื่องพวกนั้นบ่อยๆด้วยเหมือนกัน”
“หยุดเถอะนะอิลฮาน ฉันเจ็บหัวใจหมดแล้ว ฉันผิดเองแหละ! ฉันจะทำทุกๆอย่างเพื่อนาย!”
“จะ จูบ! อิลฮาน ฉันจะให้นายจูบเอง! ความทรงจำแย่ๆจงบินหายไป~!”
ไม่ใช่แค่เลียร่าเท่านั้น แต่คนอื่นๆที่ได้ยินถึงเรื่องราวอันดำมือของยูอิลฮานก็ยังทนฟังต่อเฉยๆได้ แม้กระทั่งคิมเยซอลก็ยังลืมเรื่องความเป็นห่วงสามีไปครู่หนึ่งและเข้ามาลูบหลังยูอิลฮานอย่างระมัดระวัง
นี่มันอะไรกัน? เหล่าลูกน้องในกองกำลังกำลังพยายามจะปลอบใจหัวหน้าที่มีเลเวลกว่า 750!
ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็แค่หัวเราะออกมา
“แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละถึงทำให้ฉันได้เรียนรู้บางอย่าง ฉันได้เรียนรู้ที่จะสูดหายใจ เรียนรู้ที่จะซ่อนตัว เรียนรู้ที่จะพยายามมากขึ้น เรียนรู้ที่จะอดทน เรียนรู้ที่จะเตรียมตัว และเรียนรู้ที่จะหัวเราะออกมาหลังจากผ่านเรื่องพวกนี้”
“ฉันคิดว่าไม่ต้องพูดส่วนสุดท้ายก็ได้นะ!”
“เรียนรู้ที่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เรียนรู้ที่จะเตรียมตัวเองให้พร้อมทุกๆอย่าง ฉันได้ยกระดับความสามารถของตัวเองขึ้นเพื่อที่จะลบล้างความเป็นไปได้ในแง่ลบทั้งหมดให้หายไปและนำความสุขกลับคืนมา เพราะงั้นสรุปแล้วฉันไม่ได้คิดที่จะแพ้ศัตรูหน้าไหนทั้งนั้น
“นี่คือร่างสุดท้ายของผู้สันโดษ…”
ทุกๆคนต่างก็ตกตะลึง คนเราต้องเติบโตมาแบบไหนกันถึงได้มาจนถึงจุดๆนี้ ยูอิลฮานได้มองพรรคพวกของเขาและกำมือที่คว้าอยู่บนท้องฟ้าเอาไว้
หมดเวลาอธิบายแล้ว ถึงเวลาทำงานกันแล้ว
“เรายังมีอยู่อีกหนึ่งประตูมิติหนึ่ง มิเรย์ช่วยใช้วิถีแห่งจักรวาลอีกครั้งหนึ่งนะ ในคราวนี้ฉันจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าประตูมิติธรรมดาๆ เรากำลังจะสร้างการเชื่อมต่อขนาดใหญ่ขึ้นระหว่างสองโลก
“แล้วโลกที่เรากำลังจะเชื่อมต่อ…?”
คังมิเรย์พอจะรู้คำตอบแล้วแต่เธอก็ถมออกมา ยูอิลฮานได้ตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“โลกของเรา เอิร์ธ”
บทที่ 334 – วันสิ้นโลก (10)
“ถะ ถ้าเชื่อมต่อกับโลกเราในตอนนี้ ถ้างั้นคนที่กระจายอยู่ตามโลกระดับต่ำต่างๆก็จะกลับมาที่โลกของเราได้…”
“ฉันหยุดมันไว้ได้ ประมาณ 3 ชั่วโมง”
“แต่นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรนี่!”
“มีสิ นั่นมันมากพอให้ฉันทำลายหัวหน้ากองกำลังอื่นทุกๆคน”
3 ชั่วโมงก็พองั้นหรอ? คังฮาจินได้มองไปที่นายูนาเพื่อให้เธอหยุดคนบ้าคนนี้ แต่ว่านายูนาก็ตอบกลับมาว่าเธอจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวนอกจากเรื่องงานแต่ง ทำให้ในท้ายที่สุดเอิลต้าจึงเป็นคนเดียวที่จะหยุดเขา เฮเรียน่าก็เช่นกัน
“นี่นายจะเชื่อมต่อกับโลกนายจริงๆงั้นหรอ? เอาจริงๆน่ะหรอ?”
“ที่รักไม่จำเป็นต้องทำตามคำพยากรณ์ก็ได้นะ ที่รักบอกว่าที่รักเกลียดคำพยากรณ์นี่ แต่แล้วที่รักกลับมาทำตามคำพยากรณ์นี่นะ?”
“ไม่ คำพยากรณ์น่ะถูกต้อง ไม่ใช่ว่าเพราะพ่อเป็นคนพยากรณ์มันด้วย แต่มันเป็นเพราะว่าดราก้อนเนสยังไม่สมบูรณ์ โลกหลักของเรายังจำเป็นต้องมีเอิร์ธรวมเข้ามาด้วย นั่นมันก็เพราะว่าที่แห่งนั้นคือที่ที่ฉันเกิดและเติบโต”
“นี่มัน… ยังไม่สมบูรณ์อีกหรอ?”
ความตั้งใจของยูอิลฮานแน่วแน่มากๆ ทุกๆคนได้รับรู้แล้วว่าในตอนนี้มุมมองของยูอิลฮานได้อยู่คนล่ะระดับกับพวกเขาแล้ว
พวกเขาไม่อาจจะขัดยูอิลฮานได้ เขาคือหัวหน้าของกองกำลังและเป็นตัวตนสูงสุด เพราะงั้นนอกจากปฏิบัติตามแล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก
“เยี่ยม ถ้างั้นมาคุยเรื่องการทำให้เอิร์ธกลายมาเป็นโลกหลักของเราก่อนแล้วกัน หากว่านายอัญเชิญเอิร์ธมาหลอมรวมเหมือนที่ทำกับโลกอื่นไม่ได้จะทำยังไงล่ะ?”
“หากมันเกิดขึ้น เอิร์ธก็จะกลายมาเป็นรองดาเรย์อย่างถาวร”
“แล้วหากว่านายไปที่เอิร์ธแล้วหลอมรวมดาเรย์เข้าไปในเอิร์ธล่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นเอิร์ธก็จะแหลกกลายเป็นชิ้นๆโดยไร้ร่องรอยไงล่ะ”
“ถ้างั้น!”
“และเพราะแบบนี้”
ยูอิลฮานได้พูดออกมาอย่างจริงจัง
“ฉันก็เลยมีแค่ต้องเปิดประตูมิติและหลอมรวมเอิร์ธเข้ามาตรงๆ”
“…โอเคอิลฮาน”
คังมิเรย์ได้ใจเย็นลงเป็นคนแรก
“มาเริ่มกันเลย ฉันจะช่วยนายสุดความสามารถเอง ฉันก็แค่ต้องทำประตูมิติที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาแค่นี้ใช่ไหม? ฉันแค่จะต้องทำให้เอิร์ธกับดาเรย์มาเผชิญหน้ากันใช้ไหม? เรื่องอื่นๆนอกจากนี้นายจะเป็นคนจัดการใช่ไหม?”
“เธอเข้าใจอะไรเร็วตลอดเลยนะมิเรย์ สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ”
“นั่นมันเป็นสัญชาตญาณ ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าถูกได้ไง”
ในตอนนี้พวกเธอได้ขี่หลังเสือแล้วมันสายเกินที่จะถอยแล้ว พวกเธอจะต้องตามเขาไปไม่ว่าจะไปที่ไหน คังมิเรย์ได้ใช้พลังของมงกุฏแห่งปัญญาและยกคทาขึ้นในขณะที่ยูอิลฮานเร่งพลังมานาด้วยรอยยิ้ม
“ยูนาช่วยจัดการดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทีนะ ในตอนนี้เธอจะต้องเสริมพลังให้ฉันมากกว่ามิเรย์”
“ฉันรู้แล้วน่า~ ไม่มีปัญหาๆ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีงานที่จะต้องทำ แต่ว่านะฉันเกลียดการเป็นเหมือนตัวประกอบจังเลย”
“แต่นอกจากเธอแล้วมันไม่มีใครทำได้นี่”
“ฉันรู้แล้ว ฉันก็แค่บ่นให้นายสนใจฉันมากขึ้นเท่านั้นแหละ!”
ในจุดนี้ล้วเธอได้หน้าหนามาจนถึงจุดที่ทำให้เธอดูน่ารักแทนไปแล้ว! ยูอิลฮานได้ลูบผมเธอตามใจของเธอและหันไปมองมิสทิค
“มิสทิคช่วยฉันที อย่าลืมนะว่านี่คือการเชื่อมต่อโดยตรงกับเอิร์ธ”
“นายท่านจะทำอะไรกับเอิร์ธที่มีระดับค่อนข้างจะต่ำงั้นหรอนายท่าน?”
“ฉันจะถ่ายเถพลังของดาเรย์เข้าไปในเอิร์ธเพื่อที่จะทำให้มันสมดุล”
“บ้าไปแล้ว! นี่มันเป็นไป…ไม่ได้…”
มิสทิคได้เงียบไปโดยที่ยังพูดไปจบ ถึงแม้ว่าเธอจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเธอก็ยังรู้สึกว่าหากเป็นยูอิลฮานจะต้องทำมันได้แน่ ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็เลยเงียบลงไปและกดหมวกลงมาปิดหน้าของเธอให้หลบจากสายตายูอิลฮาน
“ฉันไม่สนแล้ว นายท่านคือคนที่บอกให้ฉันสนับสนุนเองนะ เพราะงั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันไม่เกี่ยวกับฉัน”
“แค่นี้ก็พอแล้ว แล้วก็… แม่ครับ”
“แม่หรอ?”
คิมเยซอลไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะถูกเรียกทำให้เธอเบิกตากว้าง ยูอิลฮานได้หยักหน้าและยิ้มออกมา แต่เขากลับพูดเพิ่มขึ้นมาอีกประโยคแทนที่จะอธิบายออกมา
“แม่ต้องให้เอิลต้ากับเฮเรียน่าช่วย”
“ฉันหรอ? สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ดีกว่าคนอื่นคือวงเวทย์…”
“ที่รัก?”
“ให้เอิลต้ากับเฮเรียน่าช่วย? โอ้…”
ทั้งสามคนต่างก็มีสีหน้าคล้ายๆกัน ในที่สุดพวกเธอก็รู้ถึงสิ่งที่ยูอิลฮานต้องการจะบอกแล้ว
“ลูกแม่ ลูกนี่ชอบพูดแต่เรื่องบ้าๆเสมอเลยนะ”
“หากเป็นผมคนเดียวผมคงจะใช่วิธีอื่นแล้ว แต่เพราะแม่ ตอนนี้ผมก็เลยขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นแล้ว ผมต่างไปจากตัวผมเมื่อก่อนแล้วนะ”
ถึงแม้ว่าเขาจะได้พูดถึงประวัติศาสตร์ที่ดำมืดทั้งหมดของเขาออกมา แต่ดูเหมือนว่ามันก็แค่กวนใจเขาเท่านั้น คิมเยซอลได้คิดว่าลูกของเธอดูน่ารักมากๆเมื่อเขารีบพูดเสริมขึ้นมาเพราะว่าเขาคิดไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่อาจจะกวนใจเธอ ทำให้เธอถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“ได้สิลูกแม่ ลูกทำให้แม่ภูมิใจมาก ลูกโตขึ้นมาเลยนะ”
“ที่รัก นี่มันคือแผนที่สมบูรณ์แล้วจริงๆหรอ? ไม่ว่าฉันจะคิดยังไงนี่มันก็ไร้ซึ่งความแน่นอนมากเกินไป”
“จริงๆแล้ว ส่วนที่เหลือนั่นมันขึ้นอยู่กับความกล้าแล้ว”
“เวรล่ะ พวกเราซวยแล้ว”
ยูอิลฮานได้ยิ้มให้กับเฮเรียน่าและสูดหายใจลึก เมื่อเขาได้มองไปหานายูนา เธอก็ขมริมฝีปากยื่นมือออกมา ออร่าสีชมพูดเข้มไปพวยพุ่งออกจากร่างเธอ
“ท่านหญิงเรย์… ไม่สิ”
เธอสได้ส่ายหัวออกมาระหว่างร่ายเวทย์และหยุุดลง เธอจะเล่นในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้งั้นหรอ? ทุกๆคนต่างก็คิดแบบนี้พร้อมๆกับมองไปที่เธอ แต่ว่าสายตาของนายูนากลับจริงจังยิ่งกว่าที่เคย ทำไมกันล่ะ?
ในเวลาต่อมาคำร่ายเวทย์ใหม่ก็ได้ออกมาจากปากของเธอ
[มานาทั้งหมดจงเชื่อฟังในตัว ‘ฉัน’ ผู้ที่งดงามในทุกด้าน]
ยูอิลฮานได้เงยหน้าขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเธอก็น่าจะได้เจอเข้ากับบันทึกเทพ(ขอแก้ไขจากตอนก่อนๆที่เป็นพระเจ้านะครับ)ที่สูญหายแล้วเหมือนกัน! ในอนาคตคนอื่นๆที่ได้รับพรจากเทพก็น่าได้รู้ตัวเหมือนกัน ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนแรกที่รู้ตัว
[จงครอบคลุมในทุกๆอย่างที่ฉันรัก อวยพรและทำให้พวกเขาแกร่งขึ้น]
[ในฐานะของผู้ที่มีคุณสมบัติผูกขาดความงดงามเพียงผู้เดียว ฉันจะขอสร้างปาฏิหาริย์ในนามแห่งเทพ – ทุกๆอย่างจะเป็นไปตามต้องการ]
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งเมือง จุดที่มีแสงอยู่นั่นก็คือที่ตัวยูอิลฮายกับคังมิเรย์! ยูอิลฮานมีอยู่หลายเรื่องที่เขาอยากจะบ่นในคำร่ายของนายูนา แต่ว่าในตอนนี้เขายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่
เขาได้เปิดปากขึ้นมาใช้สกิลประกาศิตพร้อมทั้งรวบรวมมานาที่หนาแน่นภายในดาเรย์เข้ามา
[เธอจะเป็นเจ้าแห่งปาฏิหาริย์และใช้พลังของฉันได้ตามต้องการ]
[เธอจะเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์และจะเป็นผู้เชื่อมต่อมิติ]
คำประกาศทั้งสองคำได้ออกมาจากปากของยูอิลฮานพร้อมๆกับมานาที่มากมาย คังมิเรย์ได้ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายนี้ มงกุฏแห่งปัญญาบนหัวของเธอได้กระพริบออกมาอย่างรุนแรงพร้อมๆกับปล่อยแสงที่มีความเข้มข้นขึ้นมาทำให้กระบวนการความคิดของเธอถูกเร่งขึ้น
ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อพลังเวทย์ของเธอได้ปะทุไปถึงจุดหนึ่งแล้วคังมิเรย์ก็ได้อ้าปากออกมา องค์ประกอบพลังเวทย์ของเธอได้คล้ายกับในตอนที่ยูอิลฮานได้ใช้ประกาศิตจนน่าทึ่ง
[เชื่อมต่อ]
มานาได้ถูกนำมารวมกันจนบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ตัวตนทั้งสามที่อยู่เหนือกว่าบันทึกได้รวมพลังกันเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ขึ้น ชั้นบรรยากาศภายในดาเรย์ได้ถูกเปิดขึ้น ท้องฟ้าของเอิร์ธได้ถูกแสดงออกมาให้เห็น
“เชื่อมต่อแล้ว…”
“นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น”
ทั้งสองมิติแค่เพียงเชื่อมต่อกันเท่านั้น การหลอมรวมที่แท้จริงยังไม่เริ่มเลย คังมิเรย์ได้ใช้พลังทั้งหมดของเธอคงสภาพประตูมิติเอาไว้ และยูอิลฮานได้เริ่มกระบวนการต่อไป ข้อความได้ปรากฏขึ้นมาที่ม่านตาของเขา
[เอิร์ธได้เฝ้ารอคอยที่จะตกอยู่ใต้การปกครองของคุณมาเป็นเวลานานแล้ว]
[คุณพร้อมแล้ว คุณจะประกาศเอิร์ธให้กลายเป็นอาณาเขตของดราก้อนเนสเลยหรือไม่?]
[นับจากนี้ไป…]
ยูอิลฮานรู้สึกได้ถึงมานาทั้งหมดในร่างของเขาผสานกับดาเรย์และมีเส้นเชื่อมต่อไปถึงเอิร์ธ ยูอิลฮานได้ปล่อยลมหายใจยาวออกมาและพูดประโยคแห่งชะตากรรมออกมา
[เอิร์ธคือโลกหลักของดราก้อนเนส]
[เอิร์ธได้ก้าวกระโดดเป็นโลกระดับสูง ข้อจำกัดทั้งหมดของเอิร์ธได้หายไป]
[โลกระดับสูง เอิร์ธกำลังกำลังหลอมรวมเข้ากับด…]
ข้อความที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับเสียงที่แทบจะไม่ได้ยินได้หายไป และมีข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมา
[โลกระดับสูงสองแห่ง เอิร์ธและดาเรย์กำลังหลอมรวมเข้าด้วยกัน]
ท้องฟ้าของเอิร์ธและดาเรย์กำลังถูกเผาไหม้เมื่อได้เจอกันและกัน มานาและสสารที่ประกอบเป็นดาเรย์ได้กำลังลอยขึ้นบนท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง จะมีสิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือยูอิลฮานกับเมืองที่พวกเขาอยู่
“นายท่าน มันเป็นไปได้จริงๆ…!?”
มิสทิคที่ไม่เคยพูดเรื่องเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ในตอนที่หลอมรวมทั้งเจ็ดพันโลกพร้อมๆกันได้ร้องออกมาในตอนนี้ ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้เรียกคิมเยซอลแทนที่จะตอบเธอ
“แม่ครับ ผมได้เชื่อมต่อแม่เข้ากับมันแล้ว ช่วยจัดการที่เหลือทีนะครับ”
“ลูกให้แม่ทำงานหนักจังเลยนะ โอเค มาทำมันกัน”
ยูอิลฮานได้ประกาศออกมาด้วยรอยยิ้ม
[ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันที่มีเป้าหมายเดียวกันกับฉันจะมีความคิดที่เหมือนกับฉัน]
วินาทีที่ยูอิลฮานประกาศจบลงได้มีเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นในหัวคิมเยซอล
[นี่มันอะไรกัน? ทำไมความคิดแห่งโลกถึงได้สั่นคลอน?]
“เรื่องมันยาว…”
คิมเยซอลได้ยิ้มออกมาและเรียกเอิลต้ากับเฮเรียน่ามาอยู่ข้างๆ พวกเธอคือผู้ที่จะต้องสร้างวงเวทย์ที่เป็นผลงานชิ้นเอกขึ้นมาในเวลาที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ วงเวทย์มิติเวลาที่ได้ใส่แก่นแท้แห่งเวทมนต์ทั้งหมดของพวกเธอลงไป
“ฉันคิดว่านายจะเปลื่ยนรูปร่างของนายตามสิ่งที่เราพูด มาดูกันว่าฉันจะเรียกนายว่าเจตจำนงผู้พิทักษ์ได้ไหม?”
[พระเจ้า โลกนี่มัน…!]
ในที่สุดเจตจำนงผู้พิทักษ์ก็รู้ถึงดาเรย์และร้องออกมาโดยไม่เก็บเอาไว้เลย เขายังรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้ด้วย
[บ้าเอ้ย! นายมันบ้าไปแล้ว]
“เร็วเข้า! เราจะทำล้มเหลวไม่ได้นะ”
ยูอิลฮานกระทั่งยังไม่ได้เริ่มจริงๆเลยด้วยซ้ำ
หน้าที่ของคังมิเรย์มีความสำคัญมากยิ่งกว่ายูอิลฮานนั้นคือเปิดประตูมิติเพื่อให้ทั้งสองโลกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้ การเชื่อมต่อบันทึกแห่งดาเรย์ให้เข้ากับโลกนั้นเป็นหน้าที่ของมิสทิคเพียงผู้เดียว การคาดการณ์โลกหลังการหลอมรวมดาเรย์กับเอิร์ธเป็นหน้าที่ของคิมเยซอล เอิลต้าและเฮเรียน่า
หน้าที่เดียวที่ยูอิลฮานต้องทำก็คือการหลอมรวมดาเรย์กับเอิร์ธเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา ยูอิลฮานรู้เป็นอย่างดีว่าเขาจะต้องใช้ความสามารถไหนในการทำให้มันสำเร็จขึ้นมาได้
“การตีเหล็ก”
“…อิลฮาน?”
เลียร่าที่ได้แต่ให้กำลังใจอยู่ด้านข้างได้ตกตะลึงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงพึมพัมจากยูอิลฮาน ในจุดนี้เธอคิดว่า ‘ไม่มีทาง’ แล้วแต่ว่าคำต่อมาที่เธอได้ยินออกมาอีกได้ทำให้เธอยืนต่อไปไม่ไหว
“หัตถกรรมมานา”
“พ่อ บางทีนี่…”
“เอนชานท์วิญญาณ”
เขามีวัตถุดิบอยู่มากมาย
คนที่จะสร้างก็อยู่ที่นี่แล้ว
มานาก็ยังมีมากจนเกินพอ
พลังชีวิตก็มีอยู่แล้วเหมือนกัน
[ในเวลานี้สถานที่ของดราก้อนเนส]
พลังแห่งปาฏิหาริย์ของนายูนาได้หมดลงไปแล้วในตอนนี้ ยูอิลฮานได้ดึงพลังทั้งหมดที่เขาจะดึงมาได้ออกมา อ่างแห่งปาฏิหาริย์ที่กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศดาเรย์ได้ลดขนาดของมันลงมาเหลือแค่ขนาดของเม็ดถั่วและปรากฏขึ้นบนมือของยูอิลฮานก่อนที่จะหายไปโดยไร้ร่องรอย
[จะถูกสร้างขึ้น]
บันทึกที่ไม่อาจจะถูกบันทึกได้ เทคนิคที่สมบูรณ์แบบ ปาฏิหาริย์ที่มีแค่ยูอิลฮานเท่านั้นที่ทำได้ การบ่มเบาะความเป็นไปได้ให้กลายมาเป็นความจริง
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนี้มันได้ครอบคลุมทั้งดาเรย์และเอิร์ธจนเกิดมาเป็นรูปร่างของไข่ขนาดยักษ์ที่ไม่อาจจะมองได้หมดด้วยตาเปล่า
ในที่สุดคำพยากรณ์ก็ถูกเติมเต็มแล้ว
บทที่ 335 – วันสิ้นโลก (11)
เมื่อคิมเยซอลได้ลืมตาขึ้นมาเธอก็ได้พบกับทะเลเพลิงไร้จุดสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นข้างหน้า ข้างหลัง บนหัว ข้างล่าง ข้างบน ซ้ายและขวาต่างก็เต็มไปด้วยทะเลเพลิงสีแดงฉาน เธอได้กลัวว่าตัวเองจะถูกเผาจนตายอยู่ครู่นึ่ง แต่ไม่นานนักเธอก็เริ่มสับสนเพราะเธอกลับรู้สึกสบายแทน
เธอจำได้ว่าเธอเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนและนึกขึ้นได้ถึงระหว่างการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงผ่านอ่างแห่งปาฏิหาริย์
ในที่สุดเธอก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ยูอิลฮานจะต้องเปิดใช้ประกาศิตพร้อมการสร้าง จากนั้นก็โยนอ่างแห่งปาฏิหาริย์ให้ปกคลุมทั้งน่านฟ้า เพราะแบบนี้เองทำให้ดาเรย์กับเอิร์ธได้เริ่มเชื่อมต่อกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ? เธอรู้สึกกลัวเพราะเธอไม่ได้เห็นใครรอบๆตัวเลย ยังไงก็ตามมันน่าแปลกที่เธอยังคงรู้สึกได้ถึงมือของเฮเรียน่ากับมือของเอิลต้าที่จับมือกับเธออยู่อย่างชัดเจน
เดี๋ยวนะ มืองั้นหรอ?
“เอิลต้า เฮเรียน่าได้ยินฉันไหม”
“ค่ะ”
“ดูเหมือนที่รักจะพยายามสุดกำลังเพื่อปกป้องพวกเราทุกคน”
“ฟู่ เป็นแบบนี้นี่เอง… ฉันหวังว่าเขาจะทำสำเร็จในแบบที่… เรียบง่ายนะ”
นี่อาจจะเป็นพื้นที่มิติที่ถูกอ่างแห่งปาฏิหาริย์สร้างขึ้นมาก็ได้ แม้กระทั่งในตอนนี้ก็ยังมีฉากที่น่ากลัวอย่างมานาได้ยุ่งเหยิงวุ่นวายและสสารกับสิ่งมีชีวิตไร้สสารกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่ ยูอิลฮานได้เลือกที่จะใช้วิธีนี้เพื่อปกป้องสมาชิกดราก้อนเนสทุกๆคน
[คุณได้หยุดการคิดคำนวน ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ปรารถนาที่จะให้วงเวทย์นี้เสร็จสมบูรณ์ ท่านจอมเวทย์ได้โปรดเร่งมือ]
“จริงด้วย มาทำกันต่อเถอะ”
คิมเยซอลได้พยายามจะคงสติเอาไว้และเริ่มการคำนวนวงเวทย์ต่อไป เธอจะต้องคำนวนมวลทั้งหมดของพลังงานรวมไปถึงพื้นที่ผิวและแกนกลางของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นมาหลังจากที่ยูอิลฮานได้บีบอัดทั้งดาเรย์ และเธอยังต้องทำวงเวทย์ให้เสร็จก่อนหน้านั้นอีกด้วย
[วงเวทย์ทั้งสองจะกลายเป็นหนึ่งเดียว คุณจะต้องประทับตราตำแหน่งศูนย์กลางโลก]
เสียงประกาศิตจากลูกชายของเธอได้ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ความสามารถในการสร้างที่เขามีได้เพิ่มพลังให้กับเจตจำนงผู้พิทักษ์ในทันที ไม่นานนักคิมเยซอลก็รู้ว่าวงเวทย์ทั้งสองนั่นหมายถึงอะไร นั่นก็คือวงเวทย์เอลฟ์โบราณที่ปกคลุมทั้งดาเรย์หรือก็คือพรม กับร่างกายของเจตจำนงผู้พิทักษ์
[อ๊ากกกกกกกกก ก้อนพลังบ้าคลั่งกับบันทึกนี่มันคืออะไรกัน! ก่อนหน้าที่ฉันจะเป็นวงเทย์ ฉันคือโกเล็ม! นี่นายมาเอาภาระหนักขนาดนี้มาให้กับฉันเลยงั้นหรอ! ยูอิลฮานนายเป็นทั้งนายท่านและศัตรูที่น่ารังเกียจที่สุดของฉัน! ทั้งๆที่ฉันมายืนข้างเดียวกับนายแล้วนายก็ยังให้ฉันต้องเผชิญหน้ากับความเข็บปวดที่ไม่อาจจะพูดอะไรได้]
“ทนเอาไว้ก่อนนะ ตอนนี้ฉันกำลังคำนวนอยู่!”
“แต่มันยังยากเกินไป เว้นก็แต่ยูอิลฮานจะร่างเค้าโครงคร่าวๆของโลก…!”
“เธอก็รู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้นนะ”
“พวกเราทำได้ พวกเราแค่จะต้องคิดค้นสูตรเวทย์ที่สามารถจะปรับใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา”
“พูดน่ะง่ายนะ… แต่ช่างเถอะ เราจะต้องทำมัน”
“เยี่ยม มาลุยกันเลย”
จอมเวทย์ทั้งสองคนได้ร่วมมือกันแล้ว เจตจำนงผู้พิทักษ์ก็ยังยอมรับในความตั้งใจของพวกเขาต่อให้มันจะต้องเจ็บปวดจนแทบจะเสียสติไปก็ตาม มันได้กัดฟันปักหลักอยู่ภายในโลกที่กำลังฝักตัว
[โลกคือสิ่งที่ฉันอยากจะปกป้อง อยากที่จะได้เห็นมัน…!]
***
คังมิเรย์ก็ถูกโยนเข้าไปในมิติสีแดงฉานเช่นกัน เธอได้ยิ้มออกมาแห้งๆพร้อมทั้งรู้สึกได้ถึงมานาของเธอที่เชื่อมต่ออยู่กับประตูมิติ
ประตูมิติกำลังกดดันเธอเหมือนกับว่ามันจะหดลงและปิดตัวได้ตลอดเวลา และเธอจะต้องใช้มานาจำนวนมหาศาลเพื่อคงสภาพมันเอาไว้โดยไม่มีสักเสี้ยววินาทีใดที่จะได้พักเลย เธอรู้สึกเหมือนเธอจะเป็นลมไปก่อนที่ประตูมิติจะปิดลงไปด้วยซ้ำ
แต่ไม่ว่ายังไงคังมิเรย์ก็ไม่ยอมแพ้ เธอคือเจ้าแห่งมานา และเป็นจอมเวทย์มิติ หากว่าเธอคงสภาพเวทย์ๆเดียวไม่ได้ ถ้างั้นเธอก็ไม่มีสิทธิเรียกตัวเองว่าจอมเวทญ์อีกต่อไปแล้ว
“เพราะไม่มีใครช่วยเขา เขาก็เลยต้องเตรียมทุกๆอย่างที่ทำได้ด้วยตัวเองสินะ…”
หลังจากที่เธอพึมพัมคำพูดที่ยูอิลฮานพูดขึ้นมาในครั้งก่อนจบเธอก็หัวเราะออกมา ครั้งหนึ่งเธอเคยสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้สนใจในตัวยูอิลฮาน แต่พอมาคิดดูแล้วนี่มันชัดเจนมากๆ คังมิเรย์กับยูอิลฮานค่อนข้างจะคล้ายๆกัน
‘ทุกๆคนต่างก็พยายามมาประจบและทำทุกๆอย่างให้ฉันก็เพราะอยากได้การสนับสนุนจากครอบครัวฉัน เพราะงั้นการที่จะตัดสินใจในคุณค่าของตัวฉันเองเลยเป็นเรื่องยาก’
เธออยากที่จะถูกยอมรับด้วยความสามารถเธอเพียงอย่างเดียว เธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากครอบครัว จากพ่อ จากพี่ชาย หรือจากเพื่อนๆของเธอ เธออยากที่จะยืนหยัดด้วยพลังของตัวเองและพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าแรงจูงใจในการทำจะแตกต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วการกระทำของคังมิเรย์กับยูอิลฮานก็คล้ายๆกัน น่าขำจังเลยเนอะ
‘นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมฉันถึงได้สนใจเขา ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว’
จริงๆแล้วแล้วเธอคิดว่าเหตุผลมันไม่ได้สำคัญอีกแล้ว แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้น ในเวลาเดียวกันนี้ความมั่นใจบางอย่างหรอความคิดที่ว่ามันจะไม่มีปัญหาก็ได้เข้ามาในร่างกายของเธอ
ถึงการคงสภาพเวทย์ ‘วิถึแห่งจักรวาล’ เอาไว้จะทำให้เธอปวดหัวมากๆก็ตามแต่คังมิเรย์ได้ฝืนยิ้มออกมา เธอได้ยกคทาขึ้นสูงและหลังตาลงหลังจากที่ลูบมงกุฏบนหัวตัวเอง
“ในเมื่อการเชื่อมต่อสองมิติเข้าด้วยกันได้ ถ้างั้นการทำให้ทั้งสองมิติเป็นหนึ่งเดียวกันก็เป็นไปได้เหมือนกัน ให้ฉันช่วยนายเองนะอิลฮาน ฉันจะช่วยนายสร้างความหวังขึ้นมาเอง”
พลังเวทย์หลากสีได้ปรากฏขึ้นมาด้านบนวิถีแห่งจักรวาล ความพยายามของเธอได้มากเกินกว่าแค่การเชื่อมต่อสองมิติแล้ว แต่เป็นการหลอมรวมสองมิติให้กลายเป็นหนึ่ง
***
นายูนาที่ก็ถูกโยนเข้าไปในมิติสีแดงฉานเหมือนกันก็ไม่ได้ตกใจเลยสักนิด พลังแห่งปาฏิหาริย์ของเธอในตอนนี้ได้เชื่อมต่อเข้ากับยูอิลฮานอย่างใกล้ชิดและเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
“หืม?”
แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาใจยิ่งกว่านั่นก็คือจิตวิญญาณที่ได้เข้ามาหาเธอผ่านปาฏิหาริย์ที่เธอสร้างขึ้น เธอรู้สึกคุ้นเคยกับจิตวิญญาณดวงนี้มากๆและมันยังให้ความอบอุ่นมากและแสดงถึงความงามที่เรียบง่ายออกมา
[ยูนา ฉันยังไม่ตาย]
“หืม ท่านหญิงเรย์น่า ฉันคิดว่าท่านตายไปแล้วซะอีกน้า~”
[ทำไมเธอถึงได้พูดหยาบคายในทุกๆคำพูดเลยนะ แต่ช่างเถอะนะในเมื่อเธอเกิดมางดงามตั้งแต่แรกก็คงช่วยไม่ได้]
นี่คือเหตุผลที่ทำให้นายูนาได้รับพรมา นายูนายังได้พูดเสริมขึ้นมาอีก
“ฉันคิดว่าฉันงดงามกว่าท่านแล้วล่ะท่านหญิงเรย์น่า”
[หืมม เรื่องนี้ฉันขอยอมรับ]
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ท่านเห็นผู้ชายของฉันใช่ไหม? เขาเท่มากเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นในอนาคตหรืออดีตเขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอด”
[อืมม จริงสิ ในโลกปัจจุบันนี้คนๆนั้นคือชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน แต่ว่าชายคนนั้นยังไม่ใช่ของเธอนี่]
“อีกไม่นานเขาจะเป็นของฉัน!”
[อืมม…]
เรย์น่าดูจะคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
[เธอไม่อาจจะได้เข้ามาด้วยแค่ใบหน้าได้ ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าแค่ใบหน้ากพอแล้ว แต่ดูจะไม่ใช่แบบนั้น]
“แล้วถ้างั้นฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ?”
[เธอไม่อาจจะใช้แค่ใบหน้าได้เขามาได้ แต่ว่าหากเป็นด้วยใบหน้าที่โครตจะงดงามล่ะก็!]
“อ่อ!”
นายูนาได้เข้าใจชัดแจ้งในทันทีที่ได้ยินคำแนะนำแปลกๆจาเรย์น่า เพราะแบบนี้นี่แหละ! หากว่านายูนางดงามมากยิ่งกว่าเลียร่าหรือเฮเรียน่า ไปจนถึงจุดที่เธองดงามจนไม่มีใครมองมาที่เธอได้ ในตอนนั้นยูอิลฮานก็จะต้องมีปฏิกิริยามากยิ่งกว่าก่อนหน้านี้แน่นอน! คำสอนของเรย์น่าได้ฉุดรั้งให้นายูนาซื่อบื้อยิ่งกว่าเดิมซะอีก
[ไม่ว่าเธอจะคิดว่าตัวเองงดงามมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ยังจะต้องทำให้ตัวเองงดงามมากยิ่งขึ้นกว่านี้อีก และอวยพรให้กับตัวเองด้วยปาฏิหารย์ในทุกๆครั้งที่เธอตื่นนอน ก่อนอาหารเช้า หลังอาการเช้า ในตอนที่แปลงฉัน ในตอนที่แต่งหน้า ในตอนที่ทำธุระ ในตอนที่เดิม ก่อนอาหารเที่ยง หลังอาหารเที่ยง และตลอดเวลาที่เธอว่าง พยายามทำให้ตัวเองงดงามมากยิ่งขึ้นซะ! เธอยังไร้เดียงสา และยโสมากเกินไป!]
“เป็นแบบนี้นี่เอง! ฉันมันโง่เอง เพราะเธอตายไปฉันก็เลยคิดว่าฉันสวยที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฉันยังมีอีกหลายวิธีที่จะสวยกว่านี้อีก!”
[หากเธอจดจำคำพูดของฉันจนขึ้นใจเธอก็จะดึงดูดชายคนนั้นได้ เขาเป็นผู้ชายที่ดีเพราะงั้นเธออย่าไดปล่อยเขาไปเด็ดขาด หากว่าเธอปล่อยผู้ชายแบบนี้หลุดมือไปก็คงน่าอับอายสำหรับเทพธิดาแห่งความงามแล้ว]
“ฉันจะจำให้ขึ้นใจเลยท่านหญิงเรย์น่า!”
ในเวลาเดียวกันได้มีพลังงานที่อบอุ่นเข้ามาในร่างของนายูนา นายูนารู้ได้ว่านี้คือเสี้ยงพลังสุดท้ายที่เรย์น่ามีอยู่แล้ว
“ขอบคุณนะท่านหญิงเรย์น่า”
[ตอนนีฉันกำลังจะตายจริงๆแล้ว โอ้ฝากบอกชายคนนั้นด้วยนะว่าเราขอขอบคุณที่ช่วยให้เราได้เป็นอิสระ]
“ถ้างั้นนับจากนี้ฉันจะไม่ได้ยินเสียงของท่านแล้วงั้นหรอ?”
[ในอนาคตเมื่อไหร่ที่ผู้ชายของเธอสัมผัสได้ถึงบันทึกที่ไม่อาจบันทึกได้บางทีเราอาจจะได้เจอกันอีกครั้งก็ได้นะ]
“บันทึกที่ไม่อาจถูกบันทึก… งั้นสินะ มันเป็นแบบนี้สินะ”
“บันทึกเทพเจ้า”? น่าสนุก บันทึกนภาได้เรียกพวกเขาว่า ‘เทพเจ้า’ นั่นก็เพราะพวกเขาได้อยู่เหนือขีดจำกัดที่จะบันทึกได้ เหตุผลที่ไม่อาจจะบันทึกก็เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญในสิ่งๆหนึ่งจนมากเกินไปและไม่มีใครที่จะสืบทอดได้อีกในอนาคต
แต่ว่าคนเขลามักจะไม่ยอมรับว่าตัวเองมีวิสัยทัศน์ที่แคบได้ทำให้อ้างว่าพวกเขาเหล่านั้นที่เป็นตัวตนระดับสูงสุดว่าเป็น ‘บันทึกเทพเจ้า’ แทน คงไม่มีอะไรที่จะโง่ไปกว่านี้แล้ว
“ฉันคิดว่าอิลฮานจะต้องทำได้แน่นอน”
[ใช่แล้วล่ะ ศรัทธาของเธอจะทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้ขึ้นมา และจะกลายไปเป็นพลังให้กับผู้ชายของเธอในนามแห่ง ‘ปาฏิหาริย์’ พยายามเข้านะ เทพธิดาแห่งความงามคนใหม่ ฉันเหนื่อยมากแล้ว ในตอนนี้ฉันอยากจะพักแล้ว]
“ลาก่อนนะท่านหญิงเรย์น่า”
นายูนาได้โบกมือลาออกมาด้วยรอยยิ้ม เสียงนี้ไม่ได้ออกไปไหนแต่มีแค่ในความคิดของเธอเท่านั้น
[ไว้เจอกันนะ]
จากนั้นเธอก็ได้หายไปอย่างเงียบๆเหมือนกับตอนมา นายูนาได้ยิ้มออกมาและเพิ่มปาฏิหาริย์มากขึ้นด้วยพลังที่เธอได้รับมาใหม่
[มานาจงติดตามฉันมา ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมาจะตกหลุมพลางความงามของฉัน! ได้โปรดช่วยคนที่ฉันรัก ช่วยทำให้ทุกๆอย่างที่เขาอยากจะทำเกิดขึ้นมา!]
***
ยูอิลฮานได้หลับตาของเขา การหลอมรวมโลกทั้งสองใบที่ระดับพอๆกันเป็นหนึ่งมันยากอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้เขายังต้องดึงให้ระดับของเอิร์ธไปอยู่ในระดับเดียวกับที่ดาเรย์อยู่อีกด้วย
หากมีวิธีอื่นที่จะทำได้ถ้างั้นเขาก็คงไม่ใช้เวทย์ที่ยากลำบากอย่างวิถีแห่งจักรวาลแล้ว เขาคงไม่ต้องขอให้นายูนาใช้ปาฏิหาริย์อีกด้วย
[โลกทั้งสองใบคือของฉัน]
บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจจะคล้ายๆกับการทำอาหาร เพราะว่าผลของมันคือการทำอาหารที่แตกต่างกันไปตามปริมาณเครื่องปรุงที่ใส่ลงไป
เขาจะต้องมีความละเอียด แม่นยำ และใส่ใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ควรพพูดเรื่องนี้เพราะเขาได้เรียนรู้การทำอาหารผ่านการลองผิดลองดู แต่เนื่องจากว่าในเมื่อเขาได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของการทำอาหารผ่านการช่วยของบันทึกนภา เพราะงั้นไม่ว่ายังไงเขาก็อยู่ในจุดสูงสุดของการทำอาหารจริงๆ!
[เพราะงั้นผ่านฉันทั้งสองโลกจะต้องอยู่ในระดับเดียวกัน]
ทำไมฉันถึงได้ประกาศออกไปแบบนี้กันนะ ในตอนที่เขาได้พูดคำนีออกไปยูอิลฮานก็รู้สึกเสียใจ ใช่แล้วต้องผ่านผู้ปกครองสิ ยูอิลฮานมั่นใจว่าการทำให้ทั้งสองโลกอยู่ในระดับเดียวกันมันเป็นไปได้แน่นอน
มันมีแค่วิธีนี้เท่านั้น ต้องผ่านมันไปให้ได้! จะให้ทุกอย่างหยุดลงหรือให้ทั้งสองโลกสมบูรณ์แบบเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในตอนนี้เองได้มีแหล่งพลังสนับสนุนที่คาดไม่ถึงโผล่ขึ้นมา เวทย์มิติที่คังมิเรย์ใช้เชื่อมต่อไม่ได้แค่เชื่อมต่อเอิร์ธกับดาเรย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมต่อมิติทั้งสองเข้าด้วยกันและทำให้การไหลพลังระหว่างสองโลกเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น นี่เป็นการช่วยเหลือที่เหมาะเจาะมากจนเขาสงสัยว่าเธออ่านใจเขาได้ด้วยซ้ำไป
“มิเรย์ เธอนี่น่าทึ่งจริงๆ”
นี่เธอได้เพิ่มพลังให้กับวิถีแห่งจักรวาลที่เป็นปาฏิหาริย์ด้วยพลังของตัวเอง… ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาเพราะนี่มันบ้าเอามากๆ ยังไงก็ตามการสนับสนุนยังไม่ได้มีแค่นี้ ปาฏิหาริย์ที่นายูนาปล่อยออกมาได้ทรงพลังยิ่งขึ้นและเพิ่มปกป้องร่างกายของเขา
“ฮ่าห์”
หากเธออยู่ข้างๆเขา เขาก็อยากจะจูบขอบคุณเธอ… แต่ว่านี่ก็คงโชคดีที่เธอไมได้อยู่ที่นี่ เพราะว่าเขายังไม่อยากจะถูกเลียร่าอัดเพราะทำแบบนั้น ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจและเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกได้นับจากวินาทีที่เขาได้ประกาศออกไปได้ค่อยๆลงลดทีละนิด
ความมั่นใจที่ว่าเขาสามารถจะทำสำเร็จได้จริงๆได้โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก การบ่มเบาะใหเอิร์ธและดาเรย์รวมเป็นหนึ่ง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็คือช่วงเวลาที่จะกำหนดชะตากรรมพวกเขา
“เยี่ยม… เพราะทุกๆคนช่วย”
เขาได้ยกมือขึ้นมา มานาที่เป็นองค์ประกอบของทั้งสองโลกได้เข้ามาในร่างของเขาและไหลออกมาอีกครั้งก่อนที่จะผสานเข้าด้วยกันด้วยความเร็วที่ช้าอย่างไม่น่าเชื่อ พลังทั้งสองได้กลายเป็นหนึ่งไปแล้ว หากว่าเขาคือโลก ถ้างั้นโลกก็คือเขาเช่นกัน
รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากยูอิลฮาน พอคิดถึงโลกใบนี้ในอนาคตและสีหน้าของศัตรูเขาแล้วทำให้เขาอดที่จะยินดีไม่ได้
“มาเริ่มกันเลย”
ทำไมเขาถึงได้ถูกเรียกว่าพระเจ้า ทำไมเขาถึงได้ถูกเรียกว่าผู้สร้าง
ในที่สุดเขาก็เขาใจแล้วว่าทำไม
ในตอนนี้เขาพร้อมแล้ว
บทที่ 336 – วันสิ้นโลก (12)
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้เรียนรู้เรื่องจักรวาล
ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ต่างๆที่โคจรรอบๆดวงอาทิตย์ รวมไปถึงโลกเองก็เป็นแค่หนึ่งในดาวเคราะห์ไม่กี่แห่ง นี่ก็เป็นแค่กาแล็กซี่ที่ล้อมรอบระบบสุริยะเท่านั้น จักรวาลนั้นเต็มไปด้วยกาแล็กซี่มากมาย ในตอนที่ได้เรียนรูเรื่องนี้ยูอิลฮานรู้สึกยังไงงั้นหรอ?
เขารู้สึกกลัว กลัวมากๆ เขากลัวว่าความโดดเดี่ยวของเขาที่มีอยู่แล้วจะมากยิ่งขึ้นและเมื่อเทียบกับจักรวาลนี้แล้วตัวเขาด้อยค่ายิ่งกว่าฝุ่นของจักรวาลเสียอีก
จากนั้นเขาก็ได้ถูกทิ้งเอาไว้ที่เอิร์ธเพียงลำพัง ได้เจอกับเลียร่า ได้รู้ถึงความจริงเกี่ยวกับโลกอื่นๆ มุมมองของเขาได้ถูกขยายขึ้นและในที่สุดเขาก็ได้เห็นโลกในมุมมองใหม่…
…และในตอนนี้เขาก็สามารถที่จะสร้างทั้งโลกด้วยตัวเองได้แล้ว
เขาไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้เขาสามารถจะควบคุมทุกๆอย่างได้แล้ว เพราะงั้นเขาจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีก
“หากว่าฉันกลัวเรื่องการบิดเบือนชั้นบรรยากาศเพราะขนาดของดาวเคราะห์หรือการเปลื่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วงสุริยะ ถ้างั้นฉันก็คงไม่เริ่มมันตั้งแต่แรกแล้ว โลกได้เปลื่ยนแปลงไปมากตามสิ่งที่เห็นและมุมมองที่มองมา”
พอมาคิดดูแล้วนี่มันน่าขำดีนะ ยูอิลฮานได้มองลงไปที่โลกทั้งสองใบพร้อมทั้งหัวเราะออกมา โลกทั้งสองใบเป็นดาวเคราะห์แต่ว่าในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่ดาวเคราะห์
บางทีเขาอาจจะสามารถมองขึ้นไปและเห็นเพดานของจักรวาลหรือมองลงไปเห็นพื้นของจักรวาลก็ได้ ยูอิลฮานได้ยื่นมือออกไปเพื่อเชื่อมต่อกับโลกทั้งสองใบและหัวเราะออกมา แล้วหากว่าเขาไม่สามารถหรือสามารถจะเข้าถึงมันได้ล่ะ? จักรวาลจะถูกนิยามขึ้นใหม่ตามการรับรู้ของเขา
[ฉันจะย้ำอีกครั้วว่าโลกทั้งสองใบจะเท่าเทียมกัน กลายมาเป็นระดับเดียวกัน สอดประสานกลายเป็นหนึ่งเดียว]
หากว่าในตอนแรกเขาได้มุ่งหน้าไปที่เอิร์ธแทนที่จะเป็นดาเรย์ล่ะ? แน่นอนว่าต่อให้เป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าทุกๆอย่างจะจบ
เอิร์ธก็จะก้าวขึ้นมาเป็นโลกระดับสูงในทันที และเขาก็จะตื่นตระหนกจากการมาของคนบนโลกที่กระทันหัน แต่่ว่าเขาก็จะหาวิธีที่จะต่อสู้กับศัตรูในขณะที่ปกป้องทุกๆคนโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ มันจะไม่มีมังกรใหม่ในดราก้อนเนส มีศัตรูจำนวนมากบุกเข้ามาที่โลก และมีคนมากมายที่เขาต้องปกป้อง เพราะงั้นในเวลานั้นเขาก็คงจะลำบากแน่ แต่ไม่ว่าจะยังไงนั่นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่าเช่นเดียว
มันไม่มีเลือดผิดเลือกถูกอยู่แต่แรกแล้ว มันเป็นเรื่องโง่ที่จะคิดว่าตัวเลือดที่ถูกจะทำให้ทุกๆอย่างต่างออกไป ไม่ว่าเขาจะเลือกในเส้นทานไหนต่างก็มีผลลัพธ์ที่ต่างกันมากมายเกิดขึ้นมาตามความพยายามของเขา
เพราะงั้นการรู้ล่วงหน้า คำพยากรณ์หรืออะไรพวกนี้ทั้งหมดต่างก็ไร้ค่า หากว่าเขาต้องการถ้างั้นเขาก็สามารถจะทำให้มันเป็นจริงได้ และหากว่าเขาต้องการเขาก็สามารถป้องกันมันได้ เขาก็แค่ไม่ต้องทำตามคำพยากรณ์เท่านั้นเอง ทุกๆอย่างมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น
ไม่สิ นั่นมันไม่ถูก
ทุกๆอย่างจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของยูอิลฮาน และคนที่อยู่เคียงข้างเขา สิ่งที่พวกเขาทุกๆคนได้ตัดสินใจร่วมกัน
[ฉันจะย้ำอีกครั้ง โลกทั้งสองใบจะเท่าเทียมกัน จะไม่มีการเสียสมดุล เผชิญหน้ากันและมอบทราย น้ำ ท้องฟ้า มานา และทุกๆอย่างที่มีอยู่ให้แก่กัน]
ในตอนนี้ยูอิลฮานคือผู้สร้างที่ยืนหยัดอยู่เหนือปาฏิหาริย์นับไม่ถ้วน โลกทั้งสองใบได้เริ่มผสานเข้าด้วยกันอย่างง่ายดายตามคำสั่งของเขา ในตอนนี้ขนาดของโลกทั้งสองใบต่างก็เกิดสมดุลที่แท้จริงของกันและกัน ในที่สุด ‘การหลอมรวมวิวัฒนาการ’ ของโลกทั้งสองใบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
[สกิลทำอาหารสามารถวิวัฒนาการได้]
ในตอนนี้เองได้มีข้อความที่เขาคาดไม่ถึงโผล่ขึ้นมา ยูอิลฮานได้ลืมเรื่องสมดุลของโลกทั้งสองใบไปครู่หนึ่งและจ้องไปที่ข้อความโดยไม่รูตัว
เดี๋ยวสิ ทำไมพอมาในตอนนี้สกิลทำอาหารถึงมาวิวัฒนาการได้ล่ะ? การทำอาหารมันไม่น่าจะมีระดับสูงแล้วนี่?
เดี๋ยวสิ สามารถจะสร้างสกิลใหม่ขึ้นมาได้ด้วยสกิลที่ต่างกันสองสกิลนี่? พอเขามาคิดดูแล้วได้มีความคิดแล่นเข้ามาในหัวเขา เขานึกไปถึงในตอนที่เขาได้กลายมาเป็นหัวหน้าดราก้อนเนส
ต่อนั้นเขาทำยังไงล่ะ? เขาได้ใช้ความสามารถในการสร้างสร้างตัวเองขึ้นมา และสร้างสกิลใหม่ด้วยการผสมสกิลอื่นๆเข้าด้วยกันนี่
ใช่แล้ว นั่นแหละ! หากไม่ใช่การสร้างแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก? ใช่แล้ว เขามีความสามารถในการสร้างสกิลได้ตามต้องการอยู่แล้ว! เขาได้เผลอผูกมัดตัวเองด้วยกฏการวิวัฒนาการสกิลแบบดั้งเดิมของ ‘บันทึกนภา’ และหลงลืมรากฐานของตัวเองไป!
โง่เง่าจริงๆเลย โง่อะไรแบบนี้! มันมีวิธีที่รวดเร็วและง่ายมากกว่านี้อยู่ แต่เขากลับเรียกมาในทางอ้อมที่ยาวนานเพราะเขาไม่ได้รู้ตัวว่าเขาทำมันได้
‘แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งหมดนี่มันจะไร้ค่า’
ทุกๆขั้นตอนต่างมีค่าในตัวเองและถูกบันทึกเอาไว้ เขาได้เข้าใจคังมิเรย์มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ได้เจอกับนายูนาที่แท้จริง และได้สัมผัสถึงความภักดีและความจริงใจของทุกๆคนที่นี่
การที่ทำให้เขาได้เข้าใจก็เพราะพวกเขาทุกๆคนด้วยเช่นกัน ใช่แล้ว นี่มันยังไม่สายเกินไป จริงๆแล้วนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดต่างหาก
[กำลังใช้ความสามารถในการสร้างของคุณหลอมรวมสกิลทั้งหมดของคุณให้เป็นหนึ่งและสร้างสกิลใหม่ขึ้น]
ข้อความได้ปรากฏขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเศษเสี้ยงอารมณ์ใดๆภายในข้อความ แต่ยูอิลฮานรู้สึกเหมือนกับว่าบันทึกนภากำลังเยาะเย้ยเขาอยู่
มันได้แสดงข้อความให้เขาได้เห็นในตอนที่ยูอิลฮานรู้ตัวทั้งๆที่มันรู้ว่าเขาสามารถจะทำแบบนี้ได้ตั้งนานแล้ว แน่นอนว่ามันก็แค่กำลังบอกเขาถึงสิ่งที่เขามองเห็นได้ แต่ว่าเขาก็ไม่ชอบมันเอามากๆ
[กำลังหลอมรวมการทำอาหาร การตีเหล็ก หัตถกรรมมานา เอนชานท์วิญญาณ และวิศวกรรมเวทย์เป็นหนึ่ง]
เดิมทีเอนชานท์วิญญาณไม่น่าจะวิวัฒนาการผสมได้อีกแล้วเนื่องจากว่ามันผ่านการวิวัฒนาการผสมมาก่อน แต่ว่านั่นมันก็แค่ตามที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ นั่นมันสำคัญตรงไหนกัน? เขาได้ก้าวข้ามบันทึกมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมจะทำอีกซักครั้งจะไม่ได้ล่ะ?
[สกิลที่ไม่อาจบันทึกได้ การสร้าง กำลังทำงาน]
[กำลังปรับเปลื่ยนโครงสร้างบันทึกนภา ‘การสร้าง’ ได้ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่]
[คุณได้รับสกิลใช้งาน การสร้าง ในตอนนี้คุณได้เข้าใจวิธีการใช้งานแล้ว]
“ใช่ ตอนนี้ฉันรู้วิธีแล้ว”
ยูอิลฮานได้เบ้ปากตอบบันทึกนภากลับไป แต่บันทึกนภาก็ไม่ได้มีอะไรตอบกลับมา มันเป็นแค่กระจกที่สะท้อนสิ่งที่ยูอิลฮานเป็นออกมาก็เท่านั้น
“การสร้าง”
[กำลังเปิดใช้งานการสร้าง]
ในตอนนี้ดาเรย์กับโลกได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ต่างชั่งวัดน้ำหนักของโลกทั้งสองใบไม่ได้เอนเอียงอีกต่อไปแล้ว เมื่อเขาได้ยกมือขึ้นมา ในที่สุดการหลอมรวมโลกทั้งสองใบก็ได้เริ่มขึ้นอย่างแท้จริง
ยูอิลฮานได้ดูสภาพของคนอื่นๆก่อนที่จะใช้สกิลต่อให้จบ เขาได้แยกเมืองที่เต็มได้ด้วยความหนาแน่นมานาจำนวนมหาศาลออกมาแล้ว และใช้ป้อมปราการทั้งสองเป็นแกนกลาง พรรคพวกของเขาได้ถูกปกป้องอยู่ภายในที่แห่งนั้น ทุกๆคนปลอดภัย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องลำบากกัน แต่พวกเขาก็ยังปลอดภัย
อ่า ดูเหมือนคิมเยซอลจะทำได้ เขาได้เห็นเจตจำนงผู้พิทักษ์ได้รับการควบคุมพรมแล้วและยังเตรียมการสำหรับการเปลื่นแปลง ไม่มีอะไรที่จะเหมาะไปกว่าเวลานี้อีกแล้ว
[เจตจำนงผู้พิทักษ์ฉันจะมอบชื่อใหม่ให้กับนาย]
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจเปิดใช้งานสกิลอะไร แต่คำพูดที่เต็มไปด้วยเจตจำนงของเขาได้กลายเป็นประกาศิตและเข้าสู่หูเจตจำนงผู้พิทักษ์ มันไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ยูอิลฮานรู้ว่ามันกำลังสนใจคำพูดของเขาอยู่
[นับต่อแต่นี้ไปนายคือโลก นายคือเอิร์ธ]
[ในที่สุดนายก็ยอมรับแล้วงั้นหรอ?]
[ใช่ ฉันยอมรับ]
ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมา ในตอนนี้เจตจำนงผู้พิทักษ์ที่มีชื่อว่าเอิร์ธก็ยังยิ้มออกมา
หลังจากนั้นทุกๆอย่างได้เชื่อมถึงกัน โลกทั้งทั้งสองใบได้รวมเข้าด้วยกันกลายมาเป็น ‘เอิร์ธ’ ทุกๆอย่างได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วราวกับความยากลำบากก่อนหน้านี้ที่พวกเขาได้เจอเป็นเรื่องโกหก
ไม่ว่าจะมีมานาหลั่งไหลภายในโลกมาแค่ไหนมันก็ไม่อาจจะทำอันตรายยูอิลฮานได้อีก ทุกๆอย่างคือของเขา และในเวลาเดียวกันก็คือของโลก ในตอนนี้ไม่มีการแบ่งความเป็นเจ้าของอีกแล้ว
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ที่ครอบคลุมทุกๆอย่างอยู่ได้เริ่มแตกร้าว ก่อนที่ในที่สุดก็ได้แยกออกจากกันพร้อมเสียงดังสนั่น อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับยูอิลฮาน เติมเต็มในภารกิจของมันและกระจายไปทั่วทั้งโลก โลกใบนี้เป็นของเขาและอ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็เป็นของเขาเช่นกัน
โลกขนาดใหญ่ที่งดงามและน่าดึงดูดใจได้ปรากฏขึ้นมาในที่ที่อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้หายไป ยูอิลฮานได้พูดประโยคสุดเท่ออกมา
“เอิร์ธคือสีน้ำเงิน และนี่คือพระเจ้า”
[เอิร์ธได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว]
[สกิลการสร้างได้เพิ่มขึ้นเป็นเลเวล 2]
“ฟู่ววว หลังจากทำเรื่องบ้าๆทั้งมดนี้เลเวลเพิ่มขึ้นมาแค่เลเวลเดียวเอง การจะเชี่ยวชาญมันคงจะเป็นเส้นทางที่ยาวนานและยากลำบาก”
ถึงแม้ว่าเขาจะบ่นกับข้อความที่ปรากฏขึ้นมาแต่ริมฝีปากของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ จากนั้นเขาก็ได้ลดระดับความสูงลงมาและยืนอยู่บนเมือง
เมืองนี้ยังคงลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่ได้หลอมรวมเข้ากับเอิร์ธ และหลังจากที่คนอื่นๆได้ลืมตาขึ้นมาต่างก็ตกตะลึงกับสภาพในปัจจุบันของโลก
“ว้าว นี่คือโลกของเราจริงๆ!”
“ฉันคิดว่ามันใหญ่กว่าเดิมนะ ถึงแม้ว่าฉันจะเล็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องพวกนั้นก็ตาม”
“อิลฮาน เราทำสำเร็จใช่ไหม?”
คังมิเรย์ได้ถามออกมาด้วยสายตาที่มั่นใจ ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาและหยักหน้า
“แน่นอนสิ ทุกๆอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
“ถ้างั้นทำไมเมืองเราถึงยังลอยอยู่บนท้องฟ้ากันล่ะ~?”
“ฉันสามารถจะหลอมรวมมันกลับเข้าไปได้ตลอดเวลา แต่ว่าตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา เรายังทำไม่เสร็จเลย”
ยูอิลฮานได้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ในจุดๆนี้ทุกๆอย่างได้เป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้แล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคิดว่าหากเขาได้ทำในสิ่งที่ต้องการมันคงจะดีที่สุด
“ถ้างั้นฉันควรที่จะทำในสิ่งที่ฉันจะทำตั้งแต่แรกแล้ว”
“สิ่งที่ลูกอย่างจะทำตั้งแต่แรกมันคืออะไรงั้นหรอ? ช่วยบอกแม่หน่อยจะได้ไหม?”
มันไม่มีทางที่คิมเยซอลจะรู้ได้ถึงการเปลื่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับยูอิลฮานได้อย่างสมบูรณ์ แต่ว่าเธอก็ดูจะสังเกตได้ถึงการเปลื่ยนแปลงโดยพื้นฐานในตัวเขา คำพูดที่ใจเย็นของเธอได้ทำให้ยูอิลฮานสดชื่น เขาได้ขยิบตาพูดออกมา
“นาฬิกาทรายแห่งกาลเวลา”
“…หืม!?”
ในตอนนี้ที่นี่เนี้ยนะ!? ในระหว่างที่ทุกๆคนกำลังงุนงงกันอยู่ ยูอิลฮานก็ได้พูดออกมาด้วยตาเป็นประกาย
“ในตอนเราเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเราสามารถที่จะทำให้เวลาไหลช้าลงได้ แต่ในตอนนี้เขาแกร่งขึ้นและสามารถจะใช้อาร์ติแฟคได้ดียิ่งขึ้นแล้ว แถมยังมีเจตจำนงผู้พิทักษ์ เอิร์ธที่ได้กลายมาสมบูรณ์แบบแล้วด้วย เพราะงั้นเราจะชะลอการไหลของเวลาได้มากแค่ไหนกันล่ะ! นี่มันน่าสนุกสุดๆไปเลยถูกไหม ลองคิดกันดูสิ”
“โอ้ว…”
นายูนาได้พูดออกมา เลียร่าได้ถอนหายใจและเอามือก่ายหน้าผาก
“หัวใจของฉันไม่เคยหยุดเต้นเลยนับตั้งแต่ที่ฉันได้เจอเข้ากับยูอิลฮาน… ในทางที่แย่ล่ะนะ!”
“คุณผู้หญิง เคยได้ยินคำว่า ‘ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า’ ไหมล่ะ?”
น้ำเสียงของยูอิลฮานนั้นจริงจังจนน่าแปลกใจ เฮเรียน่าก็ได้หยักหน้าด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
“มันหมายความว่าเราจำเป็นต้องเตรียมตัวให้มากพอที่จะปลอดภัยแทนที่จะไปทำอะไรเสี่ยงๆแล้วก็ต้องมาเสียใจที่หลังสินะที่รัก”
“ถูกแล้ว นี่คือสำนวนยอดเยี่ยมที่หมายความว่าฉันไมาควรจะทำมันจนกว่าที่ฉันจะเอาชนะบอสสุดท้าย บอสที่แท้จริงสุดท้ายที่จะตามมา ดันเจี้ยนลับที่จะตามมาอีกทีแล้วก็บอสลับสุดท้ายที่จะโผล่ออกมาในท้ายสุด แล้วก็ยังมีบอสสุดท้ายที่แท้จริงที่สุดที่จะถูกเพิ่มเข้ามาภายหลัง แถมยังจะมีอุปกรณ์และขีดจำกัดเลเวลที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก”
ยูอิลฮานได้หยิบเอานาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาออกมาและจับมันเอาไว้ เอิร์ธได้ตอบสนองกลับมาและเริ่มเรืองแสง ตามปกติแล้วในตอนนี้เขาสามารถจะสร้างบาเรียที่ครอบคลุมได้ทั่วทั้งโลกและยังมีพื้นที่เหลืออีกได้แล้ว
เอิร์ธได้ตอบกับมา
[ฉันพร้อมแล้ว]
“เยี่ยม ถ้างั้นเราก็มาเตรียมตัวกันเพื่อที่จะได้พักผ่อนกันหลังจากที่บอสท้ายสุดของท้ายสุดที่แท้จริงสุดๆปรากฏตัวออกมา”
บาเรียได้ทำงานแล้ว
นับตั้งแต่ที่เริ่มต้นกาลเวลาขึ้นมา นี่คือช่วงเวลาที่กาลเวลาหยุดลงยาวนานที่สุด
บทที่ 337 – วันสิ้นโลก (13)
ในขณะนี้ดาเรย์กับเอิร์ธยังคงกำลังรวมเข้าด้วยกันอยู่ มีเพียงแค่เมืองลอยฟ้าเท่านั้นที่ยังลอยอยู่ออกมาเพียงลำพัก ในที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่มีสมาชิกดราก้อนเนสเท่านั้น แต่ยังมีคนที่ยูอิลฮานได้พากลับมาจากโลกต่างๆทั้งหลายเช่นกัน
เพราะแบบนี้พวกเขาทุกคนก็เลยได้เห็นกระบวนการเปลื่ยนแปลงของเอิร์ธ และการไหลของเวลาที่เปลื่ยนแปลงไป
“เขาคือพระเจ้าสินะ!”
“ในเมื่อได้เห็นสิ่งที่น่าทึ่งแบบนี้ ตอนนี้ต่อให้ตายก็ไม่เสียใจแล้ว”
“เวลาถูกหยุด.. ไม่สิ เราถูกทิ้งไว้ในช่องว่างของเวลาต่างหาก”
หลังจากได้เห็นฉากที่น่าทึ่งนี่ต่อให้เป็นพวกโง่เง่าที่สุดในหมู่มนุษยชาติก็ยังรู้สึกอยากจะเคารพบูชายูอิลฮานกับพรรคพวกของเขา โลกทั้งสองใบกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกัน เมืองยักษ์กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า แค่โบกมือก็สร้างเวทย์ที่ปกคลุมทั่วทั้งโลกได้… มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะรู้สึกชื่นชมยูอิลฮาน
ตอนอยู่อิลฮานในตอนนี้คือตัวตนที่สามารถจะหายไปได้ตลอดเวลา แต่ว่าตัวเขาก็เปล่งประกายยิ่งกว่าใครๆ การมีอยู่ของเขาในตอนนี้มีความขัดแย้งในตัวเองอยู่ เพราะงั้นหากไม่เรียกเขาว่าพระเจ้าจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ?
“ตอบเราทีเถอะพระเจ้า”
“ท่านต้องการอะไรจากเรา”
ยูอิลฮานได้เตรียมทุกอย่างนับจากนี้โดยไม่สนใจว่าใครจะเรียกเขายังไงอยู่แล้ว เขาได้มองไปที่คนพวกนี้และตอบกลับไปสั้นๆ
“จะไปที่ไหนก็ไปตามใจ แค่จงมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าได้ไปตายในรูก็พอ”
“มีชีวิต…”
ยูอิลฮานได้ค่อยๆลดระดับเมืองลงมาและส่งทุกๆคนกลับลงไปบนโลก โลกที่ดูเหมือนทั้งเอิร์ธและดาเรย์ในเวลาเดียวกัน แม้ว่ามันจะดูวุ่นวายเพราะเอกลักษณ์ทัศนียภาพเดิมของทั้งสองโลกได้รวมกันและยังมีอารยธรรมของมนุษยชาติอยู่ แต่ว่ามันก็ยังดูงดงามในแบบของมันอยู่เช่นเดียวกัน
“อยากไปไหนก็ไปเถอะ การต่อสู้สุดท้ายจะไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ แค่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้พวกนายก็เป็นแหล่งพลังให้กับฉันได้แล้ว”
“ตามที่เราต้องการ…”
นี่คือเหตุผลที่ยูอิลฮานปล่อยเมืองลอยฟ้าเอาไว้ลอยอยู่บนท้องฟ้า เมืองนี้คือส่วนหนึ่งของเอิร์ธและเกี่ยวพันกันแน่นอน แต่ว่าในตอนนี้มันก็สามารถจะเคลื่อนไหวตามที่ยูอิลฮานต้องการได้เช่นกัน
หากว่ายูอิลฮานต้องการถ้างั้นเขาก็จะสามารถเอาเอิร์ธไปที่ไหนก็ได้ตามใจ จะไปหาซาตาน ความโลภหรือใครก็ได้ แต่ว่าทำไมเขาจะต้องทำแบบนั้นด้วย? แค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของโลกก็พอแล้ว ส่วนของโลกมันก็เหมือนกันกับโลกทั้งใบและโลกทั้งใบก็เป็นเหมือนกันกับส่วนๆหนึ่ง
ยูอิลฮานได้กลับมาที่เมืองพร้อมกับสมาชิกตั้งต้นของเขา แน่นอนว่ามังกรที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองก่อนหน้านี้ก็อยู่ด้วยเช่นกัน มีบางส่วนที่บอกว่าอยากที่จะไปสำรวจรอบๆโลกและกางปีกบินออกไป
“เป็นปรากฏการญ์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ…”
“มิเรย์ ฉันเห็นต้นไม้ที่ต้นใหญ่กว่าตึก 63 หลังซะอีกนะ ผู้คนอาจจะตัดมันทิ้งไปเพราะมันบังแสงแดดก็ได้ น่าเศร้าจังเลยเนอะ…”
“แทนที่เธอจะไปห่วงเรื่องต้าไม้ยักษ์ถูกตัด เธอควรจะกังวลว่าต้นไม้ยักษ์แบบนี้มันโตขึ้นมาได้ยังไงมากกว่านะ?”
ยูอิลฮานได้มองไปรอบๆและอธิบายให้เพื่อนๆของเขาที่พูดไม่ออกได้ฟัง
“อินเทอร์เน็ตก็น่าจะใช้งานได้เหมือนกันนะ”
“ช่วยอธิบายให้มันมีหลักการณ์มากกว่านี้ได้ไหม?”
“ถ้าเธออธิบายหลักการณ์ของมานาให้ฉันได้ ฉันก็จะอธิบายให้เธอได้เหมือนกัน”
“ถ้างั้นช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายหน่อยได้ไหม?”
“โลกทั้งโลกได้อยู่ในบาเรียของนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลา ไม่ว่าเวลาภายในบาเรียนี่จะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็จะเป็นแค่พริบตาเดียวเมื่อเราออกไป นี่มันต่างไปจากในตอนที่ฉันถูกทิ้งเอาไว้”
“อ่อ”
“ถูกทิ้ง…?”
ยูอิลฮานกับเลียร่าได้คุยล้อเล่นตามปกติของพวกเขา แต่ว่าคังมิรเย์ได้แสดงความสงสัยออกมาทันที นายูนาก็ยังเงยหูขึ้นมา
จริงๆแล้วพวกเธอยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวในอดีตของยูอิลฮานจนครบเลย สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ยูอิลฮานปะทะด้วยต่างก็รู้กันหมดว่าเขาได้ถูกทิ้งเอาไว้เป็นพันปี เพราะงั้นพวกนั้นก็เลยไม่ได้ตกใจในจุดๆนี้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ยังไม่ได้รู้กัน
“นี่ลูกสบายดีนะ?”
คิมเยซอลได้สังเกตว่ายูอิลฮานได้เริ่มพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความตั้งใจของตัวเองทำให้เธอมองไปที่เขาด้วยสายตาเป็นห่วง ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้หยักหน้าออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ถ้าเก็บเป็นความลับเอาไว้ตลอดมันก็คงไม่ดีจริงไหมล่ะ แล้วก็ทุกๆคนที่นี่ก็มีคุณสมบัติควรที่จะได้รู้กันอยู่แล้วด้วย มันคงจะแปลกที่บางคนรู้ในขณะที่บางคนไม่รู้นี่นา การถูกทิ้งไว้มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย ฉันรู้เรื่องนี้ดีเพราะว่าอารมณ์นี้คือสิ่งที่ฉันได้เจอมาตลอดทั้งชีวิต”
จริงๆแล้วเหตุผลที่ยูอิลฮานกล้าจะพูดถึงเรื่องที่เขาถูกทิ้งต่อหน้าทุกๆคนนั่นก็เพราะ…
“ฉันมีความกล้าขึ้นมาแล้ว ฉันรู้สึกว่าการบอกเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังมันไม่ได้แย่อะไรแล้ว เพราะแบบนี้… ฉันก็เลยอยากจะเล่าให้ทุกคนได้รู้”
“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน”
“ฉันด้วย ฉันสงสัยเรื่องของนายมาตลอดเลย ฉันรอให้นายพูดมาตั้งนาแน่ะ!”
“…”
คิมเยซอลรู้สึกอึดอัดและเงียบลงไป อารมณ์ของแม่ที่ได้เห็นรู้ชายเติบใหญ่ขึ้นมาโดยที่เธอไม่ได้ช่วยอะไรเลยนี่มัน
“แล้วก็นะ”
ยูอิลฮานได้เสริมออกมาด้วยน้ำเสียงขี้เล่นด้วยความกลัวว่าแม่ของเราจะร้องไห้ออกมา
“ตอนนี้พวกเรามีเวลาอยู่อีกตั้งเยอะแล้ว เราจะมาเตรียมบทส่งท้ายแล้วก็ตอนพิเศษ บวกกับซีซั่นสองด้วยไปเลยเป็นไง?”
“ฉัน! ฉัน! ฉันอยากจะให้ซีซั่นสองเป็นเรื่องราวของลูกฉันกับนาย”
ในระหว่างที่นายูนากำลังถูกเลียร่าลงโ?ษนี้เอง ยูอิลฮานก็ได้เดินไปที่ป้อมปราการลอยฟ้าที่อยู่ภายในเมืองลอยฟ้า
ไม่สิ ก่อนหน้านั้นยูอิลฮานได้ใช้ประกาศิตกับมอนสเตอร์โดยเฉพาะทำให้พวกมันจะไม่สามารถโจมตีมนุษย์ก่อนได้
“นี่มันจะโกงไปแล้ว!?”
“การที่มอนสเตอร์ไม่ก้าวร้าวจะทำให้จิตใจของผู้เล่นผ่อนคลายเสมอ ฉันได้ตั้งความคิดเอาไว้เกี่ยวกับสิทธิในการมีชีวิตรอดกับมอนสเตอร์แล้ว”
“นายนี่ไม่เคยเปลื่ยนความคิดเลยจริงๆนะ!”
ในจุดนี้เขาไร้ยางอายจนมาถึงจุดที่ทำให้ตัวเขาเองเท่ไปแล้ว! ยูอิลฮานได้พาพรรคพวกที่พูดไปออกของเขาไปในห้องรับแขกที่อยู่ภายในป้อมปราการลอยฟ้า
เพียงโบกมือครั้งดเยวก็มีชาน้ำร้อนมาอยู่ขางตัวเขาแล้วก่อนที่เขาจะเทชาให้กับคนอื่นๆ ยูอิลฮานได้จิบชาลงไปและสูดหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้างั้น… ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่เกิดมหาภัยพิบัติขึ้นบนโลกเลยสินะ”
“ไม่ใช่ว่ามันเป็นก่อนหน้านั้นหรอกหรอ!?”
“ก่อนมหาภัยพิบัติฉันก็เป็นคนปกติ… พูดให้ฉันหน่อยก็พวก… สันโดษนั่นแหละ”
“เขายังรู้ตัวอยู่สินะ!”
เรื่องราวได้ดำเนินต่อไปเลยๆจนกระทั่งถึงถ้วยชาถ้วยที่เจ็ดของนายูนา เนื่องจากว่าเวลาภายนอกได้หยุดลงไปหมดแล้วทำให้สีของท้องฟ้ายังคงเป็นเช่นเดิม เพราะงั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแคไหนแล้ว แต่ว่าพูดได้เลยว่านี่เป็นเวลาสั้นๆที่เทียบไม่ได้เลยกับระยะเวลาที่ยูอิลฮานต้องเจอกับความลำพังบนโลก
“…เรื่องราวก็เป็นแบบนี้แหละ”
หลังจากยูอิลฮานเล่าเรื่องจบความเงียบก็ได้ดำเนินไปอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดคังมิเรย์ก็ได้เงยหน้าที่ก้มลงต่ำตลอดเวลาขึ้นมาและจ้องไปที่ท้องฟ้าที่ไม่เปลื่ยนแปลงก่อนพึมพัมขึ้น
“งั้นนายก็ต้องจ้องมองท้องฟ้าที่หยุดนิ่งแบบนี้ตลอดทั้งหนึ่งพันปี…”
“แม้กระทั่งเมฆก็ยังไม่ขยับเลย”
“เขาไม่ได้ตัวคนเดียวหรอกนะ ยังมีฉันอยู่ด้วยเหมือนกัน ฉันอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลา”
“พี่สาวเลียร่าขี้โกง!”
ในขณะเดียวกันนายูนาก็บ่นเลียร่าหน้ามุ่ย
“ตลอดพันปีนั่นฉันสามารถจะยั่วยูอิลฮานได้สบายๆเลยนะ!”
“แล้วทำไมเธอไม่รีบเกิดและกลายมาเป็นทูตสวรรค์ก่อนฉันล่ะ?”
“ไม่เดียวสิ ถ้าอย่างงั้นฉันก็ชอบผู้ชายแก่กว่างั้นสิน้า~? ไม่แปลกเลยที่ฉันจะไม่รู้สึกอะไรกับคนรอบตัว”
“ปัญหามันอยู่ตรงนั้นหรอกหรอ?”
แม้ระหว่างคุยกันอยู่ยูอิลฮานก็ยังเป็นห่วงเรื่องทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเขา และเพราะแบบนี้ยูอิลฮานก็เลยโล่งใจที่ทุกๆคนยังเป็นเหมือนเดิม
คังมิเรย์ได้เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และยอมรับในตัวเขาตอนนี้ ส่วนนายูนาก็ดูจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขาได้หัวเราะออกมาและปรบมือเรียกความสนใจอีกครั้งหนึ่ง
“เรื่องของฉันจบแล้วล่ะ ฉันสงสัยจริงๆว่าฉันจะใช่อัจฉริยะหรือป่าวในเมื่อฉันใช้เวลาแค่พันปีฝึกฝนในโลกที่ไร้ซึ่งมานาจนแข็งแกร่ง แต่ดูเหมือนฉันจะเป็นอัจฉริยะจริงๆนั่นแหละ นี่มันคือเรื่องของสายเลือดและพรสวรรค์นั่นแหละ”
“คำพูดตอนจบลงนายนี่แหละที่มันแย่ที่สุด! คนกำลังซึ้งกันอยู่เลย!”
“เอาล่ะถ้างั้นก็กลับไปทำงานกันเถอะ”
ยูอิลฮานได้วางนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาลงบนโต๊ะขนาดใหญ่ ทรายภายในนาฬิกาทรายกำลังขยับอย่างเชื่องช้าและทำให้คนต้องสงสัยว่ามันขยับอยู่จริงๆหรือป่าว หากมองไกลๆมันจะดูเหมือนกับหยุดนิ่งอยู่เลยด้วยซ้ำไป
“ฉันอนุญาติให้ทุกๆคนบนโลกได้เห็นมัน เมื่อทรายตกลงไปจนหมด เราจะรวมตัวกันภายในเมืองนีอีกครั้งหนึ่ง และจบชีวิตสบายๆของเราลง จงจำเอาไว้ว่ามันยังไม่ได้สิ้นสุด นอกจากนี้ฉันก็ไม่มีคำสั่งอะไรจะมอบให้แล้ว แต่ว่าหากจะมีก็คงจะให้ใช้ชีวิตกันโดยไม่ต้องมาเสียใจภายหลังนะ”
“ครับพ่อ ผมจะทำให้กองทัพมังกรของผมแกร่งขึ้น!”
“นี่ลูกพูดเหมือนครูใหญ่โรงเรียนชื่อดังเลยนะ…”
คนเดียวที่พูดคำพูดแบบนี้ออกมาก็คือยูมิลลูกชายของเขาเอง นอกจากยูมิลแล้วคนอื่นๆทั้งหมดล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้ตอบกลับมาเลย
“เอาล่ะ ถ้างั้น… [นาฬิการทรายแห่งกาลเวลาจะถูกทุกๆคนมองเห็นได้]”
สกิลประกาศิตของยูอิลฮานได้ถูกใช้งานออกมาแล้วและฉายภาพนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาขึ้นบนท้องฟ้า เนื่องจากว่าทุกๆอย่างมันเป็นไปตามที่เขาต้องการเพราะงั้นมันจึงไม่อาจจะเรียกว่าปาฏิหาริย์ได้อีกต่อไปแล้ว
“เจ้านี่คงจะไม่ใช่มีระยะเวลาพันปีอีกหรอกนะ?”
“ในเมื่อครั้งหนึ่งฉันเคยมีประสบการณ์มาแล้วมันไม่เป็นไรหรอก”
ยูอิลฮานได้เขกหน้าผากเลียร่าเบาๆและลุกขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะให้อิสระกับทุกๆคน แต่ตัวเขาเองยังมีอีกหลายต่อหลายอย่างที่ต้องทำ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเขาเองได้สมบูรณ์แบบในฐานะพระเจ้าแห่งเอิร์ธแล้ว แต่ว่านั่นก้ไม่ได้ทำให้เขามีพลังในทุกๆด้าน พ่อครัวที่เก่งที่สุดไม่อาจจะเอาชนะนักสู้ที่แกร่งที่สุดได้ ความเชี่ยวชาญทั้งสองอย่างมันต่างกัน
แต่แน่นอนว่าพ่อครัวที่เก่งที่สุดก็สามารถจะเอาชนะนักสู้ได้ด้วยการทำให้เขาท้องเสียด้วยพิษจากอาหาร นี่คือสิ่งที่ยูอิลฮานกำลังจะทำในตอนนี้ – สร้างสภาพแวดล้อมที่เขาจะเอาชนะได้ นี่แหละคือความเชี่ยวชาญของเขา
“ดีล่ะ งั้นมาเริ่มกันจากร่างกายเร็กน่าระดับสูงกับร่างราฟาเอลกัน โอ้ น่าสนุกแหะ”
“ฉันก็จะเฝ้าดูอิลฮานเหมือนอย่างที่เคยทำนั่นแหละ เหมือนกับเมื่อพันปีนั้นที่ฉันทำมาตลอด!”
“ว้าว มันชัดเจนว่าเธอกำลังจะผูกขาดเขาเอาไว้พันปี”
“ถ้างั้นฉันก็จะอยู่ข้างๆที่รักด้วยเหมือนกัน ฟุฟุ”
“คุณยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อีกนะคิมเยซอล คุณอยากจะไปร่วมกันค้นคว้าเวทมนต์กับฉันไหม?”
“ได้สิเอิลต้า”
เนื่องจากเรื่องเล่าที่ยาวนานได้จบลงและและทุกๆคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองทำให้พวกเขาไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ที่นี่อีก ทุกๆคนต่างก็ไปทำในหน้าที่ของตัวเอง ยูอิลฮานก็ยังไปที่ที่ทำงานของเขาพร้อมกับเฮเรียน่าและเลียร่าที่เกาะติดเขาเหมือนแมลง
“แล้วมิเรย์ล่ะ?”
คิมเยซอลที่กำลังจะออกไปจากห้องรับแขกพร้อมกับเอิลต้าได้สังเกตเห็นว่าคังมิเรย์ยังคงนั่งอยู่
“พวกเรามีหลายๆเรื่องที่จะให้เธอสอนนะมิเรย์ มาช่วยเราหน่อยได้ไหม?”
“ได้ค่ะแม่ แต่ว่าตอนนี้… หนูขอพักซักนิดนะคะ”
คังมิเรย์ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมา คิมเยซอลได้หยักหน้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ได้สิ”
“ฟุฟุ ในตอนที่เธอได้กลายเป็นเจ้าแห่งเวทมนต์ ออร่าของเธอได้เปลื่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฉันอยากจะเข้าใจถึงความจริงของเวทมนต์จริงๆ…”
นับตั้งแต่คิมเยซอลกับเอิลต้าได้ออกไปซักพักหนึ่ง คังมิเรย์ก็มองขึ้นไปบนฟ้า เธอได้จ้องมองอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆในเวลาที่หยุดลง
‘ฉันคิดว่าฉันเข้าใจทุกๆอย่างแล้ว แต่ท้ายที่สุด… ฉันก็ไม่ได้รู้เลยว่าเขาเป็นยังไง ฉันเอาแต่มองตัวเองในร่างของเขา อ่า นี่มันน่าอายและน่าสมเพช… ‘
น้ำตาได้ไหลลงมาที่ข้างแก้มของเธอและหล่นลงไปบนถ้วยชาที่ว่างเปล่า คังมิเรย์ได้นั่งอยู่ตรงนี้จนกระทั่งคิมเยซอลได้กลับมาเรียกเธอ
ในเวลาเดียวกันนายูนาก็ขยี้ตาอยู่บนเตียงของเธอ ใบหน้าของเธอในตอนนี้ได้ซ่อนอยู่ภายในหมอน แม้ว่าเธอจะคิดว่าเธอจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ยูอิลฮานต้องเป็นห่วงแล้ว แต่เธอก็ไม่อาจจะหยุดอารมณ์ที่เอ่อร้นออกมาของเธอได้
“ฮึก ฉันจะปล่อยให้ตาบวมไม่ได้ ถ้าตาฉันบวมฉันคงจะน่าเกลียดแน่…”
ดูเหมือนว่าถึงแม้ว่าเธอจะร้องไห้แต่เธอก็ยังห่วงหน้าตาอยู่ เธอจะไปหายูอิลฮานไม่ได้หากว่าเธอเอาแต่ร้องไห้อยู่ทุกวัน! แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์แต่เธอก็ยังคงขยี้ตาเธออยู่ดี ในท้ายที่สุดเธอได้ใช้เวลาไปเกือบทั้งวันถึงจะสงบใจออกมาจากห้องได้
ในเวลาเดียวกันผู้ปกครองเมืองและเป็นเจ้าของป้อมปราการลอยฟ้าอย่างยูอิลฮานก็รู้สึกอายมากๆหลังจากที่ได้เห็นการกระทำทั้งหมดของพวกเธอโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าเขาจะตัดการเชื่อมต่อไปในทันทีที่เขาเห็น แต่ว่าเขาก็ได้เห็นมาส่วนเข้าแล้ว
“อิลฮานทำไมถึงไปกลิ้งอยู่บนพื้นแบบนั้นล่ะ?”
“ฉันกำลังใช้ร่างกายเป็นไม้ถูพื้นทำความสะอาดพื้นอยู่น่ะเพราะงั้นอย่างเพิ่งมาพูดกับฉันในตอนนี้”
หลังจากกลิ้งไปกับพื้นจนทั่วแล้วยูอิลฮานถึงได้เริ่มลุกกลับมาทำงานของเขา
บทที่ 338 – วันสิ้นโลก (14)
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจเริ่มวิเคราะห์องค์ประกอบร่างราฟาเอลก่อน ในขั้นตอนการรับยูเรียลเข้ามาในดราก้อนเนสยูอิลฮานก็ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตของพลังพระเจ้ารวมไปถึงข้อมูลในตัวสี่ยอดเทวทูตจำนวนมาก แต่ในท้ายที่สุดยูเรียลก็ได้กลายมาเป็นมังกรก่อนที่เขาจะดึงข้อมูลมาได้จนหมด บันทึกที่เขาได้มาจากเธอจึงยังไม่ได้สมบูรณ์
“ยังไงก็ตามราฟาเอลได้ตายไปในฐานะเทวทูต พ่อของฉันได้ล่ะทิ้งตำแหน่งสี่ยอดเทวทูตไปนานแล้ว ส่วนมิคาเอลก็ได้ก้าวข้ามไปสู่ระดับเทพแล้ว เพราะงั้นสมาชิกที่ยังเป็นสี่ยอดเทวทูตอยู่ก็เหลือแค่ราฟาเอล”
“แต่ในแง่ศักยภาพเขาคือคนที่ด้อยที่สุด”
เลียร่าได้เสริมขึ้นมา ยูอิลฮานได้หยิบเอาอุปกรณ์ออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“เอาล่ะมาเริ่มวิเคราะห์กันเถอะ”
ปีก ผิวหนัง สมอง กล้ามเนื้อ กระดวก – ยูอิลฮานได้ชำแหละทุกๆส่วนออกมาอย่างสมบูรณ์และประณีตถึงขีดสุด ภาพนี้มันดูคล้ายกับฆาตกรโรคจิตอย่างมาก ในท้ายที่สุดยูอิลฮานก็ได้ข้อสรุปออกมา
“หมอนี่ก็สูญเสียไปเหมือนกัน”
“สูญเสียอะไรหรอ?
“เขาแทบจะไม่มีพลังพลังในฐานะของสี่ยอดเทวทูตเลย หากเอาเขาไปเทียบกับยูเรียลก่อนเธอจะกลายมาเป็นมังกร ราฟาเอลแทบจะอ่อนแอกว่าสองขั้นใหญ่ๆเลย”
“มันไม่ใช่ว่าเพราะเขาตายหรอ?”
“ไม่”
ยูอิลฮานจำได้ว่าความพิเศษของราฟาเอลคือการรักษา เขามีพลังในการฟื้นฟูตัวเองที่น่าทึ่งมากรวมไปถึงพลังในการรักษาคนอื่นๆด้วย ในตอนเขาได้รักษามิคาเอล เขาครอบครองในพลังที่มหาศาลอย่างแน่นอน แต่ว่า…
“เขาถูกฉันฆ่าเอาง่ายๆ”
“มันไม่ใช่ว่าเพราะนายแกร่งเกินไปหรออิลฮาน?”
“สี่ยอดเทวทูตคือคนที่ขโมยพลังพระเจ้ามา พวกเขาควรที่จะอยู่ในระดับที่แกร่งกว่าหัวหน้ากองพันของกองกำลังอื่นๆอย่างสิ้นเชิงสิ”
ยังไงก็ตามราฟาเอลได้ตายไปอย่างไร้ค่ายิ่งกว่าหัวหน้ากองพันคนอื่นๆอีก เขาได้ตายไปในทันทีด้วยวิถึไร้ขอบเขตของยูอิลฮาน
ยังไม่ใช่แค่นั้น เขาไม่ได้ตายคนเดียวแต่ยังตายไปพร้อมๆกับหัวหน้ากองพันที่หนึ่ง เครสเช่นแห่งกองทัพปีศาจวิบัติ
“พลังราฟาเอลได้ถูกส่งไปให้กับมิคาเอลก่อนที่เขาจะถูกฉันฆ่า ฉันมั่นใจแล้ว ที่นี่มีร่องรอยเหลืออยู่”
“เพราะงั้นมิคาเอลก็เลยได้กลายเป็นระดับเทพง่ายๆสินะ?”
“หากว่าเขาไม่มีคุณสมบัตินั่นมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่า อืมมม…”
ยูอิลฮานได้คิดอยู่ครู่หนึ่ง มีความคิดมากมายเข้ามาในหัวของเขา
“ฉันได้ทำการตอบโต้มิคาเอลหรือใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเขาไปแล้ว แต่ว่าฉันคิดว่าตอนนี้ฉันได้อาวุธใหม่แล้ว”
“…นี่นายเพิ่งจะคิดอะไรได้ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ว่าที่รักบอกว่าราฟาเอลได้มอบพลังของเขาให้กับมิคาเอลไปแล้วหรอ? ตอนนี้ร่างของเขาก็น่าจะกลายเป็นแค่เปลือกเปล่าๆแล้วนี่?”
“ไม่หรอก เฮเรียน่า ฉันไม่ได้บอกซะหน่อยนี่ว่าราฟาเอลเต็มใจส่งพลังที่เขามีไปให้มิคาเอล ฉันแค่บอกว่าพลังของราฟาเอลถูกส่งไปให้มิคาเอลเท่านั้นเอง”
“หืมม? อืมม…!”
เฮเรียน่ารู้ได้ทันทีว่าเขาสื่อถึงอะไร
“มิคาเอลขโมยพลังไปงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว มันไม่แปลกหรอกที่เธอจะไม่รู้เพราะเธอไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ว่าก่อนที่ราฟาเอลจะเข้ามาสู้กับฉัน มีอยู่ช่วงเวลาสั้นๆที่ราฟาเอลได้รักษามิคาเอล และในต่อจากนั้นมิคาเอลก็พุ่งเข้ามาใส่ฉันทันที ส่วนมิคาเอลก็ได้แกล้งทำเป็นรั้งราฟาเอลเอาไว้”
“แสร้งรั้งเขาไว้? นี่นายหมายความว่า…”
“มิคาเอลได้แค่ใช้คำพูดบอกให้หยุดเท่านั้น แต่หากว่าเขาอยากจะหยุดราฟาเอลเอาไว้จริงๆ ถ้างั้นเขาก็ควรจะเข้าไปหยุดเลยสิ”
พวกเธอพูดไม่ออกแล้ว นี่มันคือเรื่องจริง!
“ในตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะว่าฉันไม่ได้สนใจราฟาเอล แต่ว่าราฟาเอลได้แสดงสีหน้าราวกับว่าเขาไม่มีทางตายในที่แบบนั้น มันเป็นความมั่นใจในตัวเองและพลังของเขา แต่แล้วยังไงล่ะ เขาได้ตายจากวิถีไร้ขอบเขตของฉันในทีเดียวยังไงล่ะ เพราะอะไรกัน นั่นมันก็เพราะเขาได้เสียพลังในการรักษาไปแล้วยังไงล่ะ ฉันยังจำคำพูดสุดท้ายของเขาได้อยู่เลย [อ่า ได้ยังไงกัน] [เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน นี่ฉันถูกทรยศ ฉันไม่น่าไว้ใจไอ้สารเลวนั่นเลย!] หรืออะไรทำนองนี้นี่แหละ”
ราฟาเอลน่าจะเชื่อใจมิคาเอลเอามากๆ แต่ว่ามิคาเอลก็ได้ทรยศเขาและกระทั่งขโมยพลังของเขาไปอีกด้วย มิคาเอลน่าจะรู้ถึงอะไรบางอย่างได้ในตอนที่ยูอิลฮานกลายมาเป็นระดับเทพและเตรียมการบางอย่าง เพราะอย่างนั้นมิคาเอลก็เลยขโมยพลังของราฟาเอลมา!
“เดี๋ยวสิที่รัก ฉันเข้าใจแล้วนะว่ามันเป็นแบบนั้น”
เฮเรียน่าก็ยังคงมีคำถามอยู่
“แต่นั่นมันก็ไม่ได้เปลื่ยนความจริงที่ว่าศพราฟาเอลในตอนนี้เป็นแค่เปลือกที่ว่างเปล่านี่ แล้วที่รักกำลังจะใช้เปลือกนี่ทำอะไรกันล่ะ?”
“ส่วนที่สำคัญที่สุดคือร่างกายดั้งเดิม ฉันคิดว่าเธอคงจะยังไม่รู้นะ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในอาร์ติแฟคมากยิ่งกว่าฟังก์ชั่นคือ ‘ประวัติของมัน’”
“ขอโทษนะ แต่ว่าในศาสตร์การสร้างฉันไม่รู้อะไรเลย”
“เยี่ยม ถ้างั้นฉันจะใช้คำพูดที่ต่อให้เป็นเด็กประถมก็เข้าใจแล้วกัน
ยูอิลฮายนได้หยิบเอาลูกตาราฟาเอลออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส
“ในตอนที่เขากำลังจะตายไปทั้งๆที่รู้ว่าทุกๆอย่างถูกขโมยไปเขาจะคิดยังไงกันล่ะ?”
“เขาก็คงจะมีความแค้นอยู่ภายในใจ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ”
“ฉันอยากจะฆ่าทุกๆอยาง”
“คล้ายๆกันแต่ก็ไม่ใช่”
นั่นมันธรรมดาไป! หลังจากเลียร่าได้ตอบคำตอบที่ไม่ถูกต้องออกมามากมาย สุดท้ายแล้วคนที่ตอบถูกก็คือเฮเรียน่า
“ฉันอยากที่จะแก้แค้นด้วยวิธีเดียวกัน”
รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากของยูอิลฮานหลังจากได้ยินคำตอบนี้ นี่คือคำตอบที่เหมือนกับกองทัพปีศาจวิบัติที่สุดแล้ว และในเวลาเดียวกันก็เป็นคำตอบที่เป็นมนุษย์ที่สุดเช่นกัน
“นั่นแหละ ตอนนี้พวกเธอก็คงจะรู้ถึงสิ่งที่ฉันจะทำแล้วสินะ”
“ใช่ ฉันเข้าใจแล้ว มันจะต้องกลายเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมแน่นอน”
“ให้ตายสิ ความคิดนายนี่มันน่ากลัวจริงๆ”
“เมื่อคนเราเกือบจะตายและกำลังจะตาย มันก็เป็นปกติที่จะเกิดความคิดน่ากลัวแบบนี้ขึ้นมา”
ยูอิลฮานได้แยกส่วนที่ไม่จำเป็นและส่วนที่ไร้ความทนทานออกมาจากร่างราฟาเอลและละลายพวกมันไป ในขั้นตอนนี้จะทำให้เพลิงผสานเข้ากับวัตถุดิบและยกระดับขึ้นไป
“เอาล่ะตอนนี้เรามีไฟกับวัตถุดิบแล้ว เพราะงั้นฉันน่าจะเริ่มได้แล้ว”
“แล้วทั่งตีเหล็กกับค้อนล่ะ?”
“ฉันไม่ต้องใช้ของพวกนั้นอีกแล้ว”
ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาและเปิดใช้งานสกิลการสร้าง
[เปิดใช้งานการสร้าง กำลังทำตามเป้าหมายที่คุณต้องการให้สำเร็จ]
การสร้างเป็นทั้งการรวมเอาชีวิตกับวัตถุดิบที่ซึ่งองค์ประกอบเข้าด้วยกัน และเนื่องจากยูอิลฮานไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับตัวเขาเมื่อก่อนแล้วทำให้เขาไม่จำเป็นต้องลองใส่วิญญาณเข้าไปในทุกๆครั้งที่เขาสร้างอะไรซักอย่าง
ยังไงก็ตามตอนนี้ยูอิลฮานก็มีวิญญาณที่เหมาะสมกับอาวุธนี้อยู่
ราฟาเอลงั้นหรอ? แน่นอนว่าเพราะพลังของเขาถูกขโมยไป เขาจึงโกรธแค้นมิคาเอล แต่ว่าสิ่งที่เขาโกรธแค้นมากที่สุดเลยก็คือคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
ยูอิลฮานได้สูดหายใจเข้าลึก… และตั้งใจเรียกชื่อเธอออกมา ชื่อของคนที่ซื่อย์ตรง ดีงาม งดงาม รวมไปถึงน่าเศร้าด้วยเช่นกัน
“สเปียร่าเธอตื่นอยู่ไหม?”
“…อิลฮาน เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ?”
“ที่รัก?”
เลียร่ากับเฮเรียน่าที่ได้ยินเสียงของเขาได้เบิกตากว้างขึ้นมาทันที พวกเธอตกใจมากจนคิดว่าพวกเธอได้ยินผิดไป
“นี่นายหมายถึงสเปียร่าน่ะหรออิลฮาน อย่าบอกนะว่า…?”
“ใช่แล้ว”
หลังจากยูอิลฮานได้ต่อสู้และฆ่าสเปียร่าลงไป ยูอิลฮานก็ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘สเปียร่า’ อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นมันเพราะเขารู้ว่าเขาต้องฆ่าเธอ แต่เขาก็อึดอัดใจมากที่ต้องฆ่าเธอด้วยตัวเอง ในทุกๆครั้งที่เขาคิดถึงเธอ เขาถึงขนาดรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับความไร้มนุษยธรรม ความเย็นชา และความไร้ปราณีในตัวของเขาเอง
คนอื่นๆก็ไม่ได้พูดชื่อนี้ออกมาเพราะเป็นห่วงเขาเช่นกัน เพราะงั้นการมาได้ยินชื่อนี้ในตอนนี้จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ
“นายมีจิตวิญญาณของสเปียร่า?”
“ฉันได้วิญญาณมากกว่าครึ่งของเธอมานะเฮเรียน่า นี่เธอคิดว่าฉันจะไม่ได้วิญญาณของสเปียร่ามางั้นหรอ?”
“ฉันคิดว่านายไม่ได้มาซะอีก”
“นี่เธอกำลังพูดอะไรอยู่กัน”
ดูเหมือนว่าคนอื่นๆจะยังไม่รู้ว่าพลังที่ยูอิลฮานมีในฐานะยมทูตเป็นแบบไหน ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาและแก้ไขความเข้าใจผิดของเธอ
“ทุกๆการจบชีวิตชีวิตหนึ่งจะมีความรับผิดชอบที่ไม่อาจเลี่ยงได้ตามมา สำหรับคนอื่นๆแล้วนี่อาจจะเป็นการทิ้งความรู้สึกผิดบาปเอาไว้ในใจ แต่สำหรับฉันการรับผิดชอบการฆ่าหลังจากผ่านมาถึงจุดๆหนึ่งก็คือ… วิญญาณ”
“อิลฮาน คำพูดนี่มัน…”
ดวงตาเลียร่ากำลังสั่นไหว ยูอิลฮานได้ยิ้มอย่างไร้ปราณีและพูดให้จบ
“การไม่รับมามันเป็นไปไม่ได้ ทุกๆชีวิตได้อยู่กับฉันตรงนี้ พวกเขาทุกๆคนอยู่ร่วมกันกับฉัน”
“ที่รัก…”
สิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งสองคนพูดไม่ออกกันแล้ว และตอนนี้เองก็ได้มีเสียงดังชัดขึ้นมาที่หูยูอิลฮานราวกับรอคอยเวลานี้มานาน
[ฉันตื่นอยู่นานแล้วยูอิลฮาน หลังจากที่ฉันถูกนายจัดการ ฉันก็ไม่เคยหลับตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว และก็ไม่เคยปิดหูลงแม้แต่เสี้ยววินาที]
น้ำเสียงนี้เลียร่ากับเฮเรียน่าก็ได้ยินเช่นกัน ทั้งสองคนต่างก็เงียบอยู่เช่นเดิม มีแค่ยูอิลฮานเท่านั้นที่ตอบกลับไป
“เธอไม่ยอมเรียกฉันสักครั้งเลยงั้นหรอ?”
[ฉันได้พยายามล่ะออกมาจากสวรรค์เพื่อพยายามจะสอนหอกนาย ในอดีตนายได้ปฏิเสธมัน และจากนั้นนายก็ได้ประสบความสำเร็จในระดับที่สูงยิ่งกว่าฉัน เพราะงั้นฉันไม่ได้มีอะไรที่ผูกมัดตัวฉันเอาไว้กับนายอีกแล้ว นอกไปจากนี้… ฉันก็ไม่อยากจะเป็นภาระให้กับนายที่ต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลอยู่แล้วด้วย]
“เธอนี่เป็นคนใจดีจังเลยนะ”
[จะเรียกฉันว่าโง่แทนก็ได้]
ทั้งสองคนได้คุยกันราวกับว่าพวกเขาไม่เคยสู้แลกชีวิตกันมาก่อนเลย ในมุมมองคนอื่นบางทีนี่มันอาจจะแปลก แต่ว่านี่แหละคือความสัมพันธ์ที่มีระหว่างทั้งสองคน ต่อให้เธอจะตายไปแล้วมันก็ไม่ได้เปลื่ยนอะไรไป
[แต่นายเป็นคนเรียกฉันออกมาก่อน เพราะงั้นฉันก็เลยต้องมาเจอกับนาย การที่นายหลีกหนีไปจากทุกๆอย่างที่นายทำพลาดไปก็เพราะกลัวสายตาคนอื่นที่มองมา และในตอนนี้ที่นายได้ไตร่ตรองถึงการกระทำทั้งหมด ยอมรับในความผิดพลาดทั้งหมดนั่นพร้อมทั้งเลือกก้าวต่อไป]
“เธอพูดถูกหมดเลย… จริงๆแล้วฉันคิดว่าฉันทำผิดต่อเธอเยอะมากเลย ฉันขอโทษนะ”
[สำหรับฉันก็เหมือนกัน ฉันมักจะบังคับให้นายมองเหมือนกับฉันและไม่ยอมฟังนายเลย ฉันขอโทษ]
การที่มาได้ยินสเปียร่าคนที่เขาคิดว่าเป็นคนที่ยอมหักไม่ยอมงอมาพูดแบบนี้ได้ทำให้ยูอิลฮานยิ้มแห้งๆออกมาและพูดต่อไป
“ทุกๆอย่างยังไม่ถูกเผยออกมา บางทีการเรียกเธอออกมานี้อาจจะทำให้เธอต้องลำบากมากกว่าเดิม แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็อยากจะให้เธอได้ยืนยันด้วยสายตาตัวเอง ฉันอยากที่จะตอบแทนเธอที่สอนวิชาหอกให้กับฉัน”
[ในตอนนี้นายได้กลายมาเป็นคนที่มองย้อนกลับมาข้างหลังเป็นแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงมันก็มีผลข้างเคียงอยู่ นายได้เริ่มกลายมาเป็นคนที่สนใจกับทุกๆคนรอบตัวนายมากเกินไป ระวังเอาไว้ให้ดี ผู้หญิงอาจจะเข้าใจผิดตกหลุมรักนายเอาได้นะ]
นี่คือเรื่องจริง การมองโลกด้วยสายตาดวงใหม่นี้ ความรักและความซาบซึ้งที่เขามีต่อทุกๆคนมันมากเกินไปจนเขาเถียงไม่ได้เลย นี่คือเหตุผลที่เรียกสเปียร่ากลับมาเช่นเดียวกัน
[ยังไงก็ตามในจุดยืนของฉันมันก็ไม่ได้แย่หรอกนะ นายเพิ่งจะบอกว่ามันจะทำให้ฉันลำบากกว่าเดิมใช่ไหม? มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันรู้สึกขอบคุณยินดีต่างหากล่ะที่ในที่สุดแล้วฉันก็ได้มีหนทางในการระบายอารมณ์ออกไป เพราะงั้นยูอิลฮานขอมาได้เลย ขอสิ่งที่นายอยากจะขอมาได้เลย]
ยูอิลฮานได้ทำตามอย่างยินดี เขาดีใจที่สเปียร่าเข้าใจเขา ดีใจที่จะได้ร่วมมือกับเธออีกครั้ง และได้ทำให้ตัวเธอได้เผยรอยยิ้มออกมาได้ แต่เขาได้พูดคำถามที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกออกมา
“สเปียร่า เธออยากจะทำอะไรกับมิคาเอลแล้วก็คนที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าในขณะที่เล่นตลกกับชีวิตและเจตจำนงนับไม่ถ้วนมาตั้งแต่ต้นล่ะ?”
คำตอบที่ตอบกลับมาโหดร้ายมาก
[ฉันอยากที่จะบดขยี้พวกมันเป็นชิ้นๆจนตายไป]
“ถ้างั้นฉันได้ตัดสินใจที่อยู่ ‘ชั่วคราว’ ของเธอได้แล้ว”
[ด้วยความยินดี]
“เยี่ยม ดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะ”
ยูอิลฮานได้ยกมือขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม บนมือของเขามีหอกสีขาวบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นมาจากการสร้างอยู่ น่าแปลกที่ว่ารูปร่างของหอกเล่มนี้เหมือนกับหอกที่สเปียร่าได้ใช้มาทั้งชีวิต
“หากว่าฉันต้องการ ฉันก็สามารถจะสร้างวิญญาณตั้งแต่เริ่มได้ แต่ว่าฉันยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของวิญญาณอย่างสมบูรณ์ ถึงฉันจะพอข้าใจอยู่บ้างแต่มันก็คลุมเครือ จุดหลักคือวิญญาณนั้นหาได้ยากและซับซ้อนเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับวัสดุอื่นๆ แต่สุดท้ายวิญญาณก็คือ ‘สิ่งมีชีวิต’ หรือก็คือวัตถุดิบอยู่ดี!”
[ฉันอยากจะตบตัวเองซะทีที่คิดไปว่านายดีขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้นายก็แค่ยอมรับในทุกๆอย่างที่อยู่กับตัวเองและก้าวหน้าไปอย่างประมาทอยู่ดี!]
“ถูกแล้ว! ฉันเป็นแบบนี้แหละ แต่ว่าโดยพื้นฐานแล้วฉันมันคนเลว!”
[นายกลายไปปีศาจไปแล้ว!]
สเปียร่าไม่สามารถจะเข้าไปในหอกได้ในทันที แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดที่จะพูดแบบนี้หลังจากได้พูดล่อลวงเธอให้ทำแบบนี้ แต่ว่าสเปียร่าในปัจจุบันอ่อนแอเกินไปจริงๆ เพราะแบบนี้ยูอิลฮานก็เลยเตรียมการเพิ่มพลังให้กับตัวเธอ นั่นก็คือบุฟเฟ่ต์จิตวิญญาณสุดหรูนั่นเอง!
“สเปียร่าได้เวลาอาหารแล้ว!”
[ทำไมนายถึงได้พูดให้ฉันต้องโมโหตลอดเลยนะ…]
แม้ว่าในระหว่างที่เธอได้ตอบกลับไปเธอก็ได้เจอกับจิตวิญญาณ์ที่เขาเตรียมให้เธอแล้ว
มีบาปกรรมมากขนาดไหนกันที่เขาก่อเอาไว้จนมาถึงตอนนี้? มีจิตวิญญาณน่าสงสารจำนวนนับไม่ถ้วนและต่อให้เขาเลือกหยิบสุ่มๆออกมาก็ยังเหลืออีกมากอยู่ดี
[เจ็บ…]
[ฆ่า… ฉัน…]
[ฉันไม่อยากจะคิดอะไรแล้ว…]
สเปียร่าได้ตกอยู่ในความรู้สึกโศกเศร้าที่ได้เผชิญหน้ากับจิตวิญญาณที่พูดคำสั่งเสียออกมาอย่างไม่สิ้นสุด ยังไงก็ตามความตั้งใจของยูอิลฮานแน่วแน่มากๆ และในเมื่อเธอได้ตัดสินใจจับมือกับเขาอีกครั้งแล้วเธอก็ไม่อาจจะหนีความจริงในเรื่องนี้ไปได้
[ชิ ช่วยไม่ได้แล้ว…]
สเปียร่าได้แต่ต้องช่วยตัวเอง เธอได้พูดขึ้นมา
[ฉันจะแบกรับความไม่พอใจและบาปกรรมของพวกนายทั้งหมดเอง ตอนนี้ปล่อยให้ฉันจัดการทุกๆอย่างให้พวกนายได้แล้ว]
[ก๊าซซซซซซซซซซว!]
การล่าจิตวิญญาณของสเปียร่าได้เริ่มต้นขึ้น อย่างที่ยูอิลฮานบอกว่าตอนนี้เขาสามารถจะจัดการดูแลวิญญาณได้แล้ว เขาสามารถที่จะนำจิตวิญญาณมาเป็นอาหารมอบให้เธอแกร่งยิ่งขึ้นกว่าในตอนมีชีวิตได้ไม่ยากเลย
นี่คือความแตกต่างที่มากที่สุดระหว่างยูอิลฮานในอดีตกับยูอิลฮานในตอนนี้ โอโรจิต้องผ่านความยากลำบากมามากขนาดไหนในตอนที่ต้องเจอกับจิตวิญญาณที่แกร่งกว่าตัวเอง? แต่ว่าสเปียร่าได้กลายมาเป็นแกร่งมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องพยายามเลย…
[นี่คือเส้นทางแห่งอสูรสินะ? การจะต่อต้านพระเจ้าทำให้ฉันต้องกลายไปเป็นปีศาจซะเองสินะ ฟุฟุ ฉันรู้สึกได้เลย]
“เฮ้ คำพูดของเธอมันกระทบฉันนะ”
สเปียร่าอาจจะเป็นคนที่มีความยุติธรรมทรงพลัง แต่ว่ายูอิลฮานแล้วคิดเพียงแค่จิตวิญญาณเป็นอาหาร และการผสมอาหารในฐานะเครื่องปรุงไม่นับเป็นเรื่อง ‘ชั่วร้าย’ ถึงทั้งสองคนจะบอกว่าเข้าจกันแล้ว แต่ก็ยังคงมีกำแพงบางอย่างขว้างกั้นอยู่
“โอ้ ฉันรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณสเปียร่าแกร่งขึ้น”
“เฮ้ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นใครหากถูกที่รักฆ่าแล้วได้กินจิตวิญญาณทั้งหมดไปก็กลายเป็นคนแข็งแกร่งได้เลยหรอ?”
“มันแทบจะเป็นไปไมได้เลยหากเป็นวิญญาณที่ตายไปแล้ว เธอกับสเปียร่าเป็นวิญญาณที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์เลย ส่วนโอโรจิกับมิสทิคเป็นพวกที่จะเรียกได้ว่าเกิดใหม่ก็ได้”
“ตอนนี้ฉันชักกลัวแล้วสิ…”
สเปียร่าได้ฟื้นฟูพลังในอดีตของเธอมาด้วยการปราบจิตวิญญาณจำนวนมาก และในท้ายที่สุดเธอก็ได้รับพลังในฐานะของคลาส 7 มา ยังไงก็ตามนี่มันยังไม่จบลง เมนูบุฟเฟ่ต์พิเศษที่ยูอิลฮานเตรียมเอาไว้ยังเหลืออยู่อีกหนึ่ง
[…ราฟาเอล]
[เป็นไปไม่ได้]
จิตวิญญาณราฟาเอลได้ถูกยูอิลฮานขังเดี่ยวเอาไว้ทำให้เขาไม่ได้เห็นแสงตะวันเลยแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ยูอิลฮานได้จิตวิญญาณมา
หากว่ายูอิลฮานได้สอบสวนจิตวิญญาณราฟาเอลตั้งแต่อดีตเขาก็คงจะได้รู้ว่าพลังของราฟาเอลถูกขโมยไปนานแล้ว แต่ว่ายูอิลฮานไม่ได้มองราฟาเอลเป็นศัตรูที่คู่ควรแต่แรกแล้วทำให้ยูอิลฮานไม่ได้คิดว่าจะจำเป็นต้องไปสอบสวนอะไรเลย
“ราฟาเอลขอบคุณฉันซะสิที่ทำให้นายโผล่มาถึงสองครั้งทั้งๆที่นายเป็นแค่ตัวประกอบ”
[ฉะ ฉันไม่ขอบคุณนายเลย! ฉันไม่ได้ซาบซึ้งอะไรซะนิด! นายกล้ามากนะ! นายมันกล้ามากจริงๆ!]
[ฟุฟุ… ราฟาเอล ฉันน่าจะเอาอารมณ์ในช่วงสุดท้ายนายมาเหมือนกัน ส่งมันมาซะสิ ฉันในตอนนี้ต้องการอารมณ์ด้านลบที่น่าขยะแขยง]
“ฉันคิดว่าเธอได้กลายเป็นปีศาจแล้วจริงๆ”
ยูอิลฮานได้เงยหน้าขึ้นมาใช้พลังเข้าใส่ราฟาเอลที่พยายามจะหนีจากสเปียร่าจนเขาไม่อาจจะทำอะไรได้ดี เขาทำได้แค่ตะโกนสาปแช่งออกมาอย่างสุดเสียงเท่านั้น
[บ้าเอ้ย! ฉันก็แค่เชื่อในตัวหัวหน้าและเลือกติดตามเขา! ทำไมฉันถึงได้ต้องมาเจอเข้ากับจุดจบที่น่าเศร้าด้วยล่ะ! ฉันคือหนึ่งในสี่ยอดเทวทูตเชียวนะ หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ ทำไมหัวหน้ามิคาเอลถึงได้ทรยศฉัน? ทำไมกาเบรียลถึงไม่บอกอะไรฉันเลย? ทำไมยูเรียลถึงได้รักกาเบรียลด้วย!]
หืม ดูเหมือนว่ายูเรียลจะเป็นที่สนใจทั้งมิคาเอลกับราฟาเอลเลยสินะ ถึงแม้ว่ายูเรียลจะรักกาเบรียลก็เถอะ…. ต่อให้เป็นสี่ยอดเทวทูตก็ยังมีชีวิตเหมือนละครดราม่าเลย ยูอิลฮานได้รับความรู้ใหม่มาแล้ว
[ขอบคุณสำหรับอาหารนะ]
[อ๊ากกกกกกกกกกก]
สเปียร่าได้เมินเสียงของราฟาเอลและกินเขาไปจนหมด ในตอนนี้เองคลื่นพลังที่แข็งแกร่งได้พวยพุ่งออกมาจากยูอิลฮาน สเปียร่าได้ดูดกลืนทุกๆอย่างจากราฟาเอลไปสำเร็จและกำลังพัฒนาขึ้น
[ฉันรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิมอีกยิ่งพลังเพิ่มขึ้น…]
“ไม่ต้องห่วง ฉันยังมีร่างกายของเธออยู่ เมื่อทุกๆอย่างจบลงแล้ว ฉันจะคืนร่างให้เธอ”
[ยิ่งนายทำเป็นใจดีนายยิ่งดูไม่น่าพอใจ ทำตัวเป็นขยะเหมือนอย่างเคยเถอะนะ]
“เพราะแบบนี้สินะฉันถึงได้ไม่เคยเห็นร่างของสเปียร่าถูกชำแหละเหมือนทูตสวรรค์คนอื่นๆ”
เลียร่าได้โน้มน้าวยูอิลฮานให้ส่งร่างสเปียร่าให้เธอหากว่าเขาคิดจะใช้ทำอะไรซักอย่าง แต่ว่ายูอิลฺฮานก็ดูจะแค่เก็บเอาไว้เฉยๆ
เธอก็แค่คิดว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรที่เกี่ยวกับสเปียร่าอีก แต่ดูเหมือนยูอิลฮานก็รู้สึกผิดกับมันเหมือนกัน เลียร่าได้ยิ้มออกมาและสเปียร่าก็ได้เข้าไปในหอกสีขาวบริสุทธิ์ทั้งๆที่ยังรู้สึกอัดอัด
เมื่อวัตถุดิบทั้งหมดเข้าที่แล้ว ยูอิลฮานก็เปิดใช้การสร้างอีกครั้งหนึ่ง ข้อความแสดงความยินดีได้ปรากฏขึ้นมา
[คมเขี้ยวแห่งความแค้นเสร็จสมบูรณ์]
เขาได้มองดูชื่ออาร์ติแฟคและจำไว้ในใจ ในเมื่อเขาได้ทำมันสมบูรณ์แล้ว เขาก็สามารถจะเรียกมันออกมาในรูปแบบเพลิงได้ตามต้องการ
“สเปียร่า ปรับตัวให้เข้ากับสภาพในตอนนี้ซักพักนะ”
[เข้าใจแล้ว ฉันจะรอจนถึงเวลาที่จำเป็นนะ พอถึงเวลาก็แค่เรียกฉันก็พอยูอิลฮาน]
“หืม”
เฮเรียน่าได้เอียงหัวมองเขาและถามออกมา
“ที่รักจะไม่ดูระดับหรือรายละเอียดเลยหรอ?”
“ฉันได้สร้างมันตามที่ฉันต้องการแล้ว เพราะงั้นฉันก็ต้องรู้เรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว มันมีฟังก์ชั่นที่ฉันต้องการอยู่แล้วเพราะงั้นระดับจะสำคัญอะไรอีกล่ะ?”
“โอ้…”
นี่คือคำพูดสุดเท่ที่เขาอยากจะพูดมาตลอด! เพราะคำพูดนี้ได้ทำให้หัวใจเฮเรียน่าได้เต้นแรงในทันที ในเวลาเดียวกันนี้ยูอิลฮานก็ได้ทำงานต่อไปของเขาโดยไม่ลังเล เนื่องจากว่าเขามีวัตถุดิบทุกประเภทไร้ขีดจำกัดทำให้เขาสามารถสร้างสิ่งต่างๆได้ไร้ขีดจำกัดเช่นกัน
เขาจะต้องสร้างอุปกรณ์ไว้ให้คนอื่นใช้ และทำอาร์ติแฟคฉุกเฉินไว้ให้ปกป้องทุกๆคนด้วย แถมยังต้องทำอาร์ติแฟคพิเศษที่เก็บพลังประกาศิตของยูอิลฮานเอาไว้เผื่อในกรณีที่มีเรื่องเหนือกว่าที่เขาคาดคิดเกิดขึ้น และ….
เมื่อได้ยินแผนอันสมบูรณ์แบบจากยูอิลฮานที่ไร้ซึ่งช่องโหว่ เลียร่าก็ได้ถามออกมาอย่างยอมแพ้
“อิลฮาน มันยังจะมีวิธีไหนเอาชนะนายได้อีก?”
“ไม่มี ในตอนนี้ฉันน่าจะเอาชนะใครก็ได้ได้ทุกคนนั่นแหละ”
“ว้าว”
ยูอิลฮานได้ตอบเลียร่ากลับไปอย่างมั่นใจและเปิดสกิลการสร้างอีกครั้ง เขาได้ปล่อยไฟไว้กลางอากาศราวกับจะลบวัตถุดิบทั้งหมดที่เขารวบรวมมาตลอด
เวลาหนึ่งปีได้ผ่านพ้นไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น