บทที่ 311 – ก็เหมือนๆกับฉันนั่นแหละ (3)
ทันทีที่คังมิเรย์ลืมตาขึ้นมา ยูอิลฮานก็รู้ได้ทันทีว่าคังมิเรย์ได้ข้ามผ่านอะไรซักอย่างที่ฉุดรั้งเธอเอาไว้มาแล้ว เธอได้รู้แจ้งในเส้นทางแห่งมานาและปกครองมันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีสกิลใดๆช่วยเลย ไม่ทั้งสกิลบันทึก สกิลปกครองหรืออะไรทำนองนี้
นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากกับศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของเธอ แต่ที่ยิ่งน่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือคังมิเรย์ได้โยนโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของเธอทิ้งเอาไว้ ทั้งๆที่เธอควรจะทำมันต่อไปตามความพยายามของเธอ แต่เธอกลับไม่ทำแบบนั้น นี่ยิ่งทำให้ยูอิลฮานสงสัย
“นี่เธอไม่เสียใจเลยหรอ?”
“ไม่สักนิดเดียว”
คังมิเรย์ได้ตอบกลับมาอย่างมั่นใจโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
“ฉันชอบแบบนี้ที่สุดแล้ว”
“ถ้างั้น… ฉันก็คงพูดอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาและยื่นมือไปหาเธอ
“เธอเป็นคนสุดท้ายแล้วนะมิเรย์ เธอจะเข้าดราก้อนเนสใช่ไหม?”
“อิลฮาน…”
คังมิเรย์ได้จับมือของเขาเอาไว้ ชุดข้อความสีแดงได้ปรากฏขึ้นมา
[คุณมีศักยภาพมากพอที่จะก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตพลังของสิ่งมีชีวิตได้ด้วยตัวเองได้ ยูอิลฮานหัวหน้าดราก้อนเนสได้เสนอให้คุณมาเป็นสมาชิกดราก้อนเนส คุณจะยอมรับหรือไม่]
“แน่นอนสิ”
พรรคพวกส่วนใหญ่ของยูอิลฮาน (ยกเว้นคังฮาจินกับคนอื่นๆที่ยังมีเลเวลไม่ถึง) ได้กลายมาเป็นมังกรด้วยอ่างแห่งปาฏิหาริย์และในตอนนี้อ่างนี้ก็กำลังทำให้คังมิเรย์วิวัฒนาการขึ้น
ทะเลมานาจำนวนมหาศาลที่แทบจะดูเหมือนกับมานาทั้งโลก มานาที่เกินกว่าที่คังมิเรย์จะควบคุมได้ได้ห้อมล้อมตัวเธอ
คังมิเรย์ได้ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นที่เธอรู้สึกได้ถึงพลังแห่งมังกรที่กำลังชอนไชเข้าไปในตัวเธอ บวกกับเธอได้ตรัสรู้ในเส้นทางมานาแล้วทำให้เธอรู้สึกได้ถึงพลังนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“นี่… มัน”
“มิเรย์ มันจะเจ็บหน่อยนะแต่ทนเอาไว้”
เสียงของยูอิลฮานได้ดังขึ้นมาจากด้านนอก ในตอนนี้เองเลือดของยูอิลฮานก็ไหลเข้ามาในผิวหนังของคังมิเรย์ ในตอนนี้เธอรู้สึกได้เลยถึงเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ของเธอ
“อ่า อ๊าาาาาาาาาาา”
บันทึกของเธอกำลังเปลื่่ยนแปลงไป เปลื่ยนจากมนุษย์ไปสู่มังกร เธอกำลังวิวัฒนาการขึ้น ได้รับร่างกายและวิญญาณใหม่ที่เหมาะสมกับมานามากยิ่งขึ้น ในเมื่อเธอได้ตรัสรู้ในเส้นทางแห่งมานาทำให้การพัฒนาของเธอจากการแปลงร่างครั้งนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นเช่นกัน
“น่าทึ่งมาก… มันเป็นแบบนี้ไปแล้วจริงๆ”
“นี่คือเรื่องฉัน ฉันไม่เห็นรู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้จะเปลื่ยนไปได้มากขนาดนี้”
มีเพียงแค่ยูอิลฮานกับเฮเรียน่าเท่านั้ที่มองสภาพจริงๆของคังมิเรย์ออกจากการมองภายนอก ด้วยบันทึกของนายูนาเธอไม่น่าจะไปถึงคลาส 6 ได้ แต่ว่าที่มันเกิดขึ้นแบบนี้ก็เพราะความสำเร็จในเส้นทางที่เธอได้เดินมา ในตอนนี้คังมิเรย์กำลังกลายมาเป็นคลาส 6 แล้ว!
“ชิ ฉันคิดว่าฉันจะเธอแซงหน้าเธอแล้วซะอีกนะ”
นายูนาคือคนที่มีส่วนร่วมมากที่สุดในแต่ล่ะปาร์ตี้เพราะความสามารถของเธอได้ทำให้ธอกลายมาเป็นคลาส 6 ได้ด้วยเช่นกัน เธอได้เดาะลิ้นออกมาหลังจากเห็นแบบนี้ แต่ว่าใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอดีใจมากที่คังมิเรย์ได้ตื่นมาอย่างปลอดภัยและเข้าร่วมกับพวกเธอ
“พยายามให้มากกว่านี้หน่อยนะคุณคังฮาจิน”
“นี่ฉันเลเวล 270 แล้วนะ ให้ตายสิ! ฉันไม่ได้ช้าซะหน่อย จริงๆถ้าเป็นมาตราฐานปกตินี่ฉันโครตๆเร็วแล้วนะ ทำไมพอเป็นที่นี่ฉันถึงเป็นที่โหล่กันล่ะ?”
“พี่ฮาจิน ตอนนี้พี่ไม่มีกลุ่มอยู่อีกแล้วน้า~ ถ้าพี่อยากจะเข้าดราก้อนเนส พี่ก็จะต้องมีเลเวล 300 นะ พี่ฮาจินโดนทิ้งแล้ว! ว้ายๆคนโดนทิ้ง!”
“ฉันรู้แล้วน่า ฉันรู้แล้ว!”
ไม่นานนักการเปลื่ยนร่างก็ได้จบลง ไข่สีแดงได้แตกออกและอ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็ได้หลอมละลายไปกับอากาศอีกครั้ง ในท้ายที่สุดคังมิเรย์ก็ได้โผล่ออกมาพร้อมกับปีกสองคู่บนหลัง นี่มันน่าสนใจมากเพราะว่าทุกๆคนนอกจากยูอิลฮานกับยูมิลจะมีหลายคู่ปีกตามแต่คลาสของแต่ล่ะคน
“ฟู่”
“มิเรย์รู้สึกยังไงบ้าง?”
“รู้สึกดีมาก… ครั้งหนึ่งฉันเคยคิดนะว่าการเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนั่นัมนหมายความว่าเป็นการมีเหตุผลและได้รับสติปัญญาที่สูงส่งขึ้น แต่นี่… นี่มันรู้สึกเหมือนกับฉันเด็กขึ้นมาแทน”
ถึงเธอจะตอบนายูนากลับไป แต่ว่าสายตาของคังมิเรย์ก็ยังคงจ้องอยู่ที่ยูอิลฮาน เธอเหมือนกับเป็นแม่สิงโตสาวที่กำลังหาโอกาสตะคุบเหยื่อ จริงๆยูอิลฮานก็ได้เจอกับปรากฏการณ์แบบนี้แทบจะในทุกครั้งที่คนอื่นได้กลายเป็นมังกร เพราะงั้นเขาก็ทำได้แต่ทำสีหน้าอึดอัดใจ
“มันดูเหมือนกับว่าบุคคลิกจะต่างกันไปตามกองกำลังนะ… ดราก้อนเนสก็เป็นอย่างที่นายเห็นเนี้ยล่ะ”
“นั่นสินะก็อิลฮานคือหัวหน้านี่นะ”
หากว่าทุกๆคนได้กลายเป็นเหมือนยูอิลฮาน พวกเขาก็ควรจะได้รับสืบทอดหัวใจไม่สั่นคลอนและมีจิตใจที่สงบสุขกันสิ! โอ้ ยูอิลฮานไม่อาจจะซ่อนอารมณ์ของเขาไว้ได้แล้วทั้งๆที่มีหัวใจไม่สั่นคลอนอยู่ งั้นบางทีทุกๆคนก็เป็นเหมือนกับสินะ? ในเมื่อการกระตุ้นนั่นมันดูจะไม่เป็นการทำร้ายเขาเพราะงั้นเขาได้คิดว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน
“มีจะอธิบายสถานการณ์ให้มิเรย์ฟังได้ไหม”
“ไม่ ไม่เป็นไรหรอก ในตอนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจากเศษเสี้ยวบันทึกของนายได้ทำให้ฉันเข้าใจทุกๆอย่างแล้ว ที่นี่คือดาเรย์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ และในตอนนี้ภายใต้การนำของมังกร สายพันธ์มังกรก็กำลังสู้กับมอนสเตอร์อื่นๆอยู่… เราก็ยังต้องช่วยมังกรฆ่ามอนสเตอร์พวกนี้ด้วยถูกไหม?”
“…เยี่ยมไปเลยที่เธอได้เข้าใจช่วงรอยต่อได้อย่างสมบูรณ์”
บางทีนี่อาจจะเพราะการเปลื่ยนแปลงในพลังของกลุ่มก็ได้สินะ… ยูอิ,ฮานได้หยักไหนออกมา ไม่ว่ายังไงหากว่าคังมิเรย์แข็งแกร่งขึ้น เธอก็จะมีส่วนช่วยอย่างมหาศาลในอนาคต เพราะงั้นนี่ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
“ถ้างั้นทุกๆคนก็พร้อมกันแล้วนะ? มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะให้ทุกๆคนจำเอาไว้ ฉันอยากจะให้ค่าประสบการณ์กับมังกรเด็กๆและก็สายพันธ์มังกรต่างๆด้วย โอ้แล้วก็คังฮาจินก็ด้วยเหมือนกัน”
“ฉันยินดีเป็นอย่างมากนะที่นายคิดถึงฉันด้วย แต่ว่าทีหลังอย่านะนี่มันเหมือนกับดูถูกฉันเลยอะ! ข้อร้องล่ะ!”
ยูอิลฮานได้มองดูว่าทุกๆคนในกลุ่มพร้อมแล้วและเขาก็ได้บินออกไปด้วยพลังของเขาทำให้บาเรียได้หายไปโดยสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะผ่านมานานแล้ว แต่ว่าสนามรบก็มีแต่จะกว้างยิ่งขึ้นเพราะมอนสเตอร์ใหม่ๆกับสายพันธ์มังกรที่กำลังเกิดขึ้นมาตามที่ต่างๆของดาเรย์ได้เข้าร่วมการต่อสู้ที่นี่
[บาเรียหายไปแล้ว]
[พ่อพันธ์ เราต้องฆ่าคนๆนั้น!]
[ให้ตายสิ มีมังกรออกมามากขนาดนี้ได้ยังไงกัน…]
[หุบปาก ตายไปซะ!]
มอนสเตอร์ที่เฝ้ารอให้กลุ่มยูอิลฮานออกมาตลอดได้เข้ามาโจมตีทันที แต่ว่าพวกมันก็ถูกไล่กลับไปจากมิสทิคที่ควบคุมป้อมปราการทั้งสองเข้าโจมตีจนพวกมันตาย มอนสเตอร์นับพันนับหมื่นได้ร่วงลงไปบนพื้นนี่เป็นฉากที่น่าประทับใจมากๆ
แน่นอนว่าถ้าเป็นในอดีตเธอก็คงจะทำแบบนี้ไม่ได้แน่ เห็นได้ชัดว่ามิสทิคก็นับเป็นสมาชิกของดราก้อนเนสได้เช่นกันทำให้ระดับขอบเขตพลังของเธอเพิ่มขึ้นมาพร้อมๆกับป้อมปราการทั้งสองแห่ง
[องค์กรสิ่งมีชีวิตชั้นสูงน่าทึ่ง! ฉันรู้สึกเหมือนกับตอนนี้ฉันมีสมองอีกอันเลยล่ะนายท่าน!]
“ดีแล้ว นับจากนี้ฉันจะเรียกเธอว่าดับเบิ้ลสมองแล้วกันนะ”
[โอโรจิ นายยยยย!]
โอโรจิที่ตอนนี้อยู่ในร่างมนุษย์ที่ดูเด็กมีผมสีดำและดูไม่ต่างจากคนอื่นๆมากนักก็ยังคงล้อเลียนมิสทิคอยู่ตลอดเวลา ด้วยบันทึกของโอโรจิที่ถูกบันทึกนภายอมรับทำให้โอโรจิในร่างอิชจาร์ก็ยังได้เกิดใหม่มาเป็นคลาส 6 เช่นกัน
เพราะการที่ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาได้เกิดใหม่ขึ้นมาเป็นมังกรอย่างสมบูรณ์ทำให้ความสามารถของโอโรจิเพิ่มขึ้นเช่นกัน หาากว่าไม่มีอะไรพลาดไปโอโรจิก็อาจจะไปถึงคลาส 7 ได้พร้อมๆกับเลียร่าหรือไม่ก็ช้ากว่าเธอเล็กน้อย
พอมาคิดดูแล้วว่าในกองกำลังอื่นๆมีสิ่งมีชีวิตคลาส 7 เพียงแค่ไม่กี่สิบคนทั้งๆที่ผ่านเวลามาหลายต่อหลายปีทำให้รู้ได้เลยว่าคนที่กำลังยืนรวมอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่ได้พิสูจน์ถึงเส้นทางของยูอิลฮาน ทุกๆคนที่อยู่กับเขานับตั้งแต่เขาได้เก็บสะสมบันทึกได้อยู่กันที่นี่
[อ๊าาา ฟู่ นายจะล้อฉันได้แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ]
“ไม่มีทาง ฉันไม่เคยล้อเธอเลยนะ ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง ฉันไม่รู้นะว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าฉันขอเป็นกำลังใจให้เธอทำอย่างสุดกำลังนะ”
[นะ นั่นมันไร้ยางอาย!]
“ฮึ่ม”
โอโรจิได้บินออกไปด้วยปีกคู่หนึ่งบนหลังโดยไม่สนใจคำพูดมิสทิคแล้ว บนมือของเขามีเพลิงสีม่วงที่เต็มไปด้วยคำสาปปล่อยออกมา เขาได้ทำการผสานเพลิงม่วงที่เขาเคยใช้ในตอนนี้ชีวิตอยู่เข้ากับร่างกายของโอโรจิทำให้ตอนนี้เขาสามารถจะร่ายเวทย์ขั้นสูงเฉพาะตัวในแบบของเขาได้
“เจ้าหนู การใช้ไฟน่ะเขาใช้กับแบบนี้”
[โอ้ววววววววว!]
เพลิงม่วงได้ปกคลุมไปทั่วผืนดินและกระจายออกไปรอบๆ เพราะการควบคุมที่น่าทึ่งของโอโรจิได้ทำให้เพลิงไม่โดนพรรคพวกกันเองเลยแม้แต่นิดเดียว จะมีก็แต่ศัตรูเท่านั้นที่ถูกเผาไปพร้อมๆกับติดคำสาปนับสิบ ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก
[ก็แค่งูที่ใช้ร่างของฉันอารวาดเท่านั้นแหละ]
อิชจาร์ที่อยู่ในเกราะร่างกายมนุษย์มังกรได้บ่นพึมพัมออกมา แต่จริงๆแล้วตัวอิชจาร์ก็พอใจเช่นกัน แต่ก่อนอิชจาร์คิดว่าโอโรจิเป็นแค่พวกโลภอย่างได้ร่างของเขา แต่ว่าตอนนี้พอมาคิดดูแล้วโอโรจิมีประโยชน์มากๆ ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาราวกับเขาดูออกและมองไปที่พรรคพวกของเขา
“ทุกๆคนก็แค่ทำให้มากเท่าที่โอโรจิทำนั่นแหละ ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องทำกันแต่อย่างแรกก็มาเก็บกวาดโลกนี้ก่อน ฉันกำลังคิดที่จะผสมโลกของเราเข้ากับดาเรย์ในภายหลังด้วยนะ เพราะงั้นคิดซะว่าเรากำลังเก็บกวาดบ้านเท่านั้นเอง!”
“ทั้งๆที่กลายมาเป็นสิงมีชีวิตชั้นสูงหมดแล้ว แต่เขากลับพูดเหมือนกับหัวหน้าชมรมอาสาสมัคร… อึ๊ยย”
คังฮาจินได้บ่นพึมพัมกับตัวเองแต่แล้วเมื่อเขาถูกผู้หญิงทั้งหมดจ้องมาเขาก็ได้แต่หดตัวถอยไป เขาได้แต่คิดว่าเขามาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ยังไง เขากระทั่งคิดว่ามนุษยชาติคนอื่นๆก็ยังมีชีวิตที่ดีกว่าเขาด้วย ไม่สิ คิดแบบนั้นไม่ได้
[ตอบฉันมาจ้าวแห่งมังกร! ทำไมพวกเราถึงได้เกิดมา! มันไม่ใช่เพราะนายงั้นหรอ นายคือจ้าวแห่งโลกใบนี้ที่สร้างเรามาด้วยซะตาที่ต้องฆ่ามังกร!]
[พวกเราก็แค่พยายามที่จะเอาชีวิตรอดเพราะเราได้เกิดมาแล้ว! ทำไมนายถึงต้องมาหยุดเราด้วย!]
“เอาล่ะไปเก็บกวาดกันเลย ฉันหมายถึงล่าน่ะ”
“ตอนเขาพูดในเวลาแบบนี้เขายิ่งดูเหมือนปีศาจเลยล่ะ! เขาคงจะเป็นปีศาจจริงๆสินะ!”
ยังไงก็ตามพวกมันก็ไม่อาจจะมีสิทธิ์มาโทษเขาได้ในเมื่อพวกมันก็ยังเป็นฝ่ายโจมตีสายพันธ์มังกรพร้อมกับโยนปรัชญาอะไรนั่นออกมา!
[พวกนายจะแสดงความน่าสมเพชให้พ่อเห็นไปถึงไหน? จะทำตัวเองให้อับอายต่อหน้าพี่น้องไปมากแค่ไหนกัน! มาสู้กันให้ตายไปข้างดีกว่า!]
[ก๊าซซซซซซซ! พิสูจน์ว่าเรามีคุณสมบัติในฐานะมังกร! เอาชัยจากนักล่ามังกรและเกิดใหม่เป็นมังกรที่แท้จริง!]
เพราะการเข้ามามีส่วนร่วมของพวกยูอิลฮานได้ทำให้การต่อสู้นี่รุนแรงขึ้นไปอีก คนที่กลายเป็นส่งมีชีวิตชั้นสูงแล้วได้พยายามป้องกันการตายและบาดเจ็บของพรรคพวกสายพันธ์มังกรให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และสายพันธ์มังกรมังกรก็รู้สึกอับอายกับเรื่องนี้ทำให้พวกเขาได้พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ในที่สุดยูอิลฮานก็คิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ตัวแล้ว
“ดีล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็คงไม่ต้องจัดการเองแล้ว”
แม้ว่าเขาจะต้องยุ่งวุ่นวาย แต่ยูอิลฮานก็สบายใจมากขึ้นที่พรรคพวกของเขามาหาเขาได้ถูกเวลา แน่นอนว่ายังมีคนอื่นๆอีกที่จะมาหาเขาในอนาคตจนทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมา
สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ใช้พลังที่พวกเขาไม่รู้จักและมีความสามารถในการต้านทานมานา! แค่คิดถึงการวิเคราะห์และหาวิธีรับมือพวกมันเขาก็ปวดหัวแล้ว แต่ว่าจะทำยังไงได้ล่ะ? นี่มันคือหน้าที่ของตัวเขา ยูอิลฮานได้ยืดเส้นยืดสายและมองไปรอบๆ
“มิเรย์?”
“อิลฮาน เราต้องคุยกันหน่อย”
เมื่อนึกย้อนไปถึงสายตาที่เธอมองมาที่เขาในตอนแรกที่ออกมาจากไข่ ยูอิลฮานก็เป็นกังวลว่าเธออาจจะสารภาพอะไรบางอย่างกับเขา แต่ว่าสิ่งที่คังมิเรย์ ‘สารภาพ’ ออกมานั้นต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง
“ดูเหมือนฉันจะได้ไปเจอพระเจ้ามา”
“…ว่าไงนะ?”
บทที่ 312 – ก็เหมือนๆกับฉันนั่นแหละ (4)
ผู้กองตั้งกองทัพสวรรค์ เทพคนแรก เทพเจ้าที่ได้หนีออกไปจากบ้านตัวเอง นี่คือความทรงจำของยูอิลฮานที่มีต่อคนที่มีชื่อว่าพระเจ้า
“แต่ว่านั่นไม่ใช่แบบที่เธอบอกเลย”
“หากว่าคนที่ติดต่อมาหาฉันในตอนปกติเป็นพระเจ้าจริงๆ… สถานการณ์ก็อาจจะแย่กว่าที่เราคิดก็ได้นะ”
“หืม”
ยูอิลฮานได้เอาทูตสวรรค์แปลกๆที่คนอื่นๆจัดการออกมา เขาไม่อาจจะรู้สึกถึงมานาของพวกมันได้เลยแม้แต่ตัวเดียว นี่คือสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุดนับตั้งแต่ที่ยูอิลฮานเคยเจอมา
“มันก็จริงที่นอกจากพระเจ้าแล้วไม่มีใครที่ทำอะไรในระดับนี้ได้ แต่ว่านะ…”
ยูอิลฮานได้นึกย้อนไปถึงสิ่งที่คังมิเรย์พูด เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลย มานาได้เสียการควบคุมและกระจายออกไปงั้นหรอ? ลบทุกๆอย่างออกไปแล้วเริ่มต้นใหม่? นี่มันฟังดูเหมือนเจ้านี่เป็นบอสจากยุค 90 เลย
จะใช่พระเจ้าจริงๆงั้นหรอ? แล้วนี่เขาจะต้องฆ่าพระเจ้าจริงๆ?
“ฉันคิดว่าบอสสุดท้ายอย่างน้อยจะเป็นพวกที่ ‘มีทั้งด้านถูกแล้วก็ผิด’ หรือ ‘ก็เป็นการต่อสู้เพื่อชะตาของโลกทั้งโลกที่เราต้องปกป้อง!’หรืออะไรที่มันเท่ๆ แต่ว่า… เจ้านี่ดูหน่อมแน้มไปอะ”
“ดูเหมือนนายจะตกใจในเรื่องนี้มากกว่าการปรากฏตัวของพระเจ้าซะอีกนะ”
เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะดูถูกพระเจ้าเกินไปแต่ว่าเขาก็ไม่สนใจ
“ขอบคุณที่มาบอกฉันนะมิเรย์ ยังไงก็ตามมีข้อมูลน้อยเกินไปที่จะสรุปออกมาได้ นอกไปจากนี้ก็ไม่มีทางที่เขาจะพูดความจริงทั้งหมดหรอกนะ”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าอยากน้อยการที่นายได้รู้เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องดี”
“ก็จริงนั่นแหละ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็เจอคำใบ้แล้ว ฉันคิดว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าจะรับมือยังไง”
คังมิเรย์ไม่รู้ว่าเขาเจอคำใบ้อะไร แต่เธอก็คิดว่ายูอิลฮานจะต้องทำได้สำเร็จแน่ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว และในตอนนี้
“มิเรย์ ขออภัยด้วยนะ”
“อะไรหรอ? กรี๊ดด”
ยูอิลฮานได้วางมือลงไปบนหัวของมิเรย์ หากว่าเขาไม่รู้ว่าเธอได้เจอกับพระเจ้าเขาก็คงจะไม่ว่าอะไร แต่ว่าในตอนนี้เขารู้แล้ว เขาจะต้องดูเธออย่างใกล้ชิด
“ยังมีการเชื่อมต่อหลงเหลืออยู่ มันยังคงอยู่ได้แม้กระทั่งเธอได้วิวัฒนาการมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงแล้ว เหนียวแน่นจริงๆเลยนะ”
“การเชื่อมต่อ…?”
“ก็เธอบอกว่าเขามันเชื่อมต่อผ่านบันทึกของเธอนี่นา นี่คือเทคนิคที่มีแค่คนที่เชี่ยวชาญในสกิลบันทึกเท่านั้นถึงจะทำได้ เหตุผลที่หัวหน้าของแต่ล่ะกองกำลังต่างก็มีอิทธิพลอย่างมหาศาลนั่นมันก็เพราะพวกเราสามารถที่จะอ่านบันทึกข้อมูลของสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้อย่างอิสระแล้วก็ยังสามารถจัดการได้ตามใจชอบด้วย…”
คังมิเรย์เธอยังไม่อาจเข้าใจ ต่อให้เธอจะเป็นปกครองมานาไปแล้ว แต่ว่านั่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสกิลบันทึกแม้แต่นิดเดียว ยูอิลฮานได้หยักไหล่ออกมาและอธิบายแบบง่ายๆ
“ในระหว่างที่เขาติดต่อกับเธอ เขาก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้วย พูดง่ายๆก็คือเขาทิ้งเวทย์กระตุ้นบางอย่างเอาไว้ับเธอนั่นแหละ”
“อ่อ เข้าใจแล้ว”
“ฉันได้เจอมันเข้าแล้วก็เอามันออกไปจากตัวเธอ ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
ถึงแม้ว่าความคิดเขาจะเหมือนเด็ก แต่ว่าการกระทำมีระดับที่สูงมาก พลังเวทย์ที่ถึงไว้กับคังมิเรย์ได้ถูกซ่อนเอาไว้อย่างดีมากๆ หากว่าไม่ใช่เพราะพลังของยูอิลฮานได้เผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดออกมา เขาก็ไม่มีทางเจอมันได้ง่ายๆอยู่แล้ว ยิ่งคิดเรื่องเจ้านี่ก็ยิ่งทำให้พระเจ้าดูเป็นคนไร้ยางอายมากยิ่งขึ้น
“ไม่ว่าจะยังไงก็ชัดเจนว่าเขาคือคนที่ฉันจะต้องจัดการ ฟู่ ฉันมีคนที่ต้องจัดการเยอะไปแล้วสิ…”
“ฉันจะคอยช่วยนายอยู่ข้างๆนะ”
“…โอเค”
คังมิเรย์ได้ตาเป็นประกาศขึ้นมา บางทีอาจจะเพราะว่าเธอได้เกิดใหม่ขึ้นมาเป็นมังกรทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับเธอรุกมากกว่าแต่ก่อน กระทั่งสายตาของเธอก็ยังเป็นประกายจนเกินไป
“ในอนาคตก็พยายามเข้านะมิเรย์”
“นายก็ด้วยนะ”
ด้วยเวทย์มิติกับการควบคุมมานา และคลาส 6 ของเธอ เธอก็น่าจะทำสิ่งต่างๆได้มากยิ่งขึ้นอีกในอนาคต!
“ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ”
“ได้เลย”
ยูอิลฮานได้มองดูเธอกางปีกบินออกไปและเขาได้หันกลับมาถอนหายใจ
ทูตสวรรค์แปลกๆยังคงอยู่ที่นี่ วงแหวนที่ไร้แสงกับปีกแปลกๆของมันดูน่าประทับใจพอควร
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ได้เวลาเริ่มจริงๆแล้ว”
[นายท่านก่อนหน้านั้นฉันมีเรื่องอยากจะถามหน่อย สิ่งมีชีวิตที่ปฏิเสธมานา… มันเป็นไปได้จริงๆงั้นหรอ?]
สมกับที่เป็นมังกร อิชจาร์ค่อนข้างจะอ่อนไหวในเรื่องเกี่ยวกับมานา ยูอิลฮานได้ยิ้มส่ายหัวออกมา
“ฉันก็สงสัยเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันจะเรียกได้ว่าเป็นโกเล็มก็ได้”
[ทั้งหมดมันเป็นแบบนั้นหรอ…?]
“หลังจากในจุดๆหนึ่งของโลกที่ได้เจอกับมหาภัยพิบัติ มานาก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติระหว่างนั้น มานาคือธรรมชาติ คนที่ปฏิเสธในมานาที่เป็นธรรมชาติ นั่นมันไม่มีทางที่จะมีชีวิตไปได้จริงไหมล่ะ?”
[แล้วถ้าง้้นคนที่เรียกตัวเองว่า ‘พระเจ้า’ ล่ะ?]
“เขามันเป็นทรราชที่ต้องการจะเปลื่ยนธรรมชาติไปและสร้างสวนที่เต็มไปด้วยตุ๊กตา… ปัญหาก็คือเขามันมีพลังมากพอที่จะทำแบบนั้น”
[ฮึ่ม สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจะต้องทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จในสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ เขาคนนั้นมันก็แค่พวกขี้ขลาดที่เอาแต่โยนความรับผิดชอบให้คนอื่นเท่านั้นแหละ]
ลบทุกๆอย่างที่มีมานาออกไปแล้วเริ่มต้นใหม่จากศูนย์สินะ มันก็ไม่ใช่ว่าจะไร้สาระไปซะทั้งหมดหรอกนะ
พระเจ้าได้หนีออกมาจากสวรรค์หลังจากรู้สึกเหนื่อยที่จะทำตัวเป็นหัวหน้ากองทัพสวรรค์ แล้วไปสร้างกองทัพที่ต่อต้านมานาในโลกไหนซักแห่งที่ไม่มีใครรู้ กองทัพสวรรค์ก็ได้แต่รอพระเจ้ากลับมาโดยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนกองทัพสวรรค์ที่รู้ในเรื่องนี้ได้แยกตัวออกมาเพื่อจะต่อต้านเขา นี่มันฟังดูเป็นไปได้มากๆเลย?
เพราะงั้นเลยไม่น่าแปลกใจเลยที่คนที่ถูกเรียกว่าซาตานถึงได้ยินดีให้มีกองกำลังใหม่เกิดขึ้นมา กองทัพสวรรค์ไม่ได้ทำอะไรสักนิด ส่วนทางกองทัพปีศาจวิบัติก็เป็นแค่กลุ่มของหมูโลภที่อยากจะกินทุกๆอย่าง ทางสวนอาทิตย์อัสดงก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลือกยืนฝั่งใครทั้งนั้น! บางทีซาตานอาจจะหวังให้กองกำลังใหม่นี้ช่วยเขาต่อต้านพระเจ้าก็ได้
หรือก็คือหากเป็นไปตามแบบนี้ ยูอิลฮานคงจะต้องไปปรับความเข้าใจผิดกับซาตานแล้วร่วมมือกันเตรียมตัวสู้กับพระเจ้า ในระหว่างนั้นพวกเขาก็จะจัดการกองกำลังอื่นๆ ฟื้นฟูโลกของเขา และจัดการพระเจ้าด้วยกันจนจบลงอย่างมีความสุข…หรืออะไรแบบนั้น แต่ว่า
“ไม่ว่าใครก็ตามที่วางแผนแบบนี้ไว้ให้เป็นสถานการณ์แบบนี้คือพลาดมากที่คิดว่าคนอย่างฉันจะไปร่วมมือกับคนแปลกหน้าได้”
[เป็นข้อผิดพลาดที่เล็กจนน่าตกใจเลย…]
[นายท่านโครตเจ๋ง]
[ไม่เจ๋งเลยสักนิด!!!]
ยูอิลฮายยอมเดินบนทางที่ลำบากเพื่อปกป้องคนของเขา แต่ทีนี้จะมาให้เขาไปร่วมมือกันคนแปลกหน้างั้นหรอ? ไม่มีใครจะมาบังคับให้เขาทำแบบนี้ได้หรอก ไม่มีแม้แต่คนเดียว! ยูอิลฮานจะทำกับแค่คนในดราก้อนเนสเท่านั้น เขาจะทำแบบนี้ไปตลอด!
“เพราะงั้นฉันจะต้องวิเคราะห์เจ้าสิ่งนี้ก่อน…”
ในท้ายที่สุดก็ได้กลับมาสู่จุดเริ่มต้น การวิเคราะห์ทูตสวรรค์แปลกๆ ในเมื่อมันปฏิเสธมานาได้สกิลบันทึกก็ไม่น่าจะใช้ได้ด้วยด้วย แล้วยูอิลฮานก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มวิเคราะห์มันจากตรงไหน ในตอนนี้เองเพลิงนิรันดร์ก็ได้ลุกไหม้ขึ้นจากมือของเขาและส่งความต่อการของเธอมาถึงเขา
[ให้ฉันลองสินายท่าน! ฉันละลายมันได้นะ!]
“…โอเค ฉันก็กำลังจะขอให้เธอทำเลย”
เพลิงนิรันดร์ในตอนนี้ไม่ต่างไปจากร่างโคลนของยูอิลฮานแล้ว เพราะงั้นการใช้ง่ายเพลิงนิรันดร์นั้นจึงง่ายมากๆ หากว่าสกิลบันทึกใช้อ่านข้อมูลมันไม่ได้ ถ้างั้นหากเป็นการเก็บบันทึกมาด้วยใช้เพลิงนิรันดร์ละลายร่างทั้งร่างไปเขาจะได้ข้อมูลมาพอไหมนะ?
ด้วยตัวด้วยอาจจะไม่พอ แต่ว่าคังมิเรย์ที่ส่งส่วนต่างๆของมันไปในโลกต่างๆผ่านประตูมิติจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้รวบรวมพวกมันกลับคืนมาให้ยูอิลฮานแล้ว เพราะงั้นนี่มันก็น่าจะพอแล้ว
“ดีล่ะ งั้นมาลองกันดีกว่า”
เพลิงนิรันดร์ได้เริ่มกระจายเข้าไปหาร่างของมันแต่แล้วก็มีประกายสายฟ้าพุ่งออกมา ยูอิลฮานกับเพลิงนิรันดร์ก็ไม่ได้สนใจ
“กล้าต่อต้านงั้นหรอ?”
[ฉันจะเพิ่มอุณหภูมิขึ้นมาเอง!]
อุณหภูมิของเพลิงนิรันดร์ได้เพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ! เพลิงจากยูอิลฮานได้กลายเป็นโปร่งแสงไปจนหมดก่อนที่จะเปลื่ยนมาเป็นสีดำสนิท
พลังงานที่เหลืออยู่ในร่างของมันที่ปล่อยออกมาไม่มีทางที่จะทนต่อพลังของยูอิลฮานที่เป็นหัวหน้าดราก้อนเนสได้แน่นอน
ในท้ายที่สุดมันก็ได้เริ่มละลายลงไป ยูอิลฮานได้แชร์สัมผัสของเขากับเพลิงนิรันดร์เพื่อที่จะเก็บบันทึกข้อมูลโครงสร้างและบันทึกข้อมูลที่เผยออกมาในระหว่างการละลาย หัวของเขาได้เริ่มปวดและมานาได้เริ่มปั่นป่วน แต่ว่านี่มันก็แค่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น
ข้อมูลของดินแดนที่ไม่เคยมีข้อมูลที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา
[สกิลประกาศิตได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 31]
[นายท่านฉันคิดว่าฉันรู้แล้ว!]
“ใช่ ฉันก็รูแล้วเหมือนกัน การละลายมันคือคำตอบที่ถูกต้อง ต่อให้จะเป็นการสังเคราะห์มันผ่านเวทย์กับสูตรเวทย์ก็จะพังไปในทันทีที่มันละลาย แล้วก็ไม่อาจจะวิเคราะห์โครงสร้างแบบย้อนกลับไป…”
[นี่คือฟังก์ชั่นที่มันน่าจะมีเอาไว้ป้องกันไม่ให้ผู้ปกครองคนอื่นๆได้อ่านบันทึกสินะ?]
ยูอิลฮานได้หยักหน้าออกมา เมื่อทำแบบนี้หัวหน้าคนอื่นๆจะไม่สามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบได้นอกจากโครงสร้างของมัน วงเวทย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะทำลายตัวเองอัตโนมัติเมื่อได้รับอิทธิพลมาจากภายนอกที่พยายามจะทำลายร่างกายของมัน
ยังไงก็ตามนี่มันใช้ไม่ได้กับยูอิลฮานและเพลิงนิรันดร์ เขาคือผู้สรรสร้างคนใหม่เชียวนะ เขาสามารถที่จะวิเคราะห์และแยกส่วนประกอบของมันได้อย่างไม่ยากเย็นเลย
“หืมมม มันก็ไม่ได้ทำมาจากของที่ฉันไม่รู้จักไปซะหมดนี่”
[ถ้างั้น?]
“เป็นไปได้สูงแล้วว่าพระเจ้านี่ก็คือพระเจ้าคนเดียวกับกองทัพสวรรค์ นี่ก็เพราะว่าส่วนประกอบของเจ้าสิ่งนี้มีส่วนประกอบหลักคือฮาคาเนียม เฟซิเนียม แล้วก็เอลฮาซา”
[ของพวกนั้นมันอะไรกันน่ะ?]
มีแค่อิชจาร์ที่ถามออกมาอย่างสงสัยเท่านั้น แต่ว่าหากเอิลต้าอยู่ที่นี่ด้วยเธอก็คงจะต้องตะลึงไปแน่
ฮาคาเนียมกับเฟซิเนียม และเอลฮาซาคือวัตถุดิบหลักของกับดักแห่งการทำลายที่ใช้ในการคุมขังมอนสเตอร์ไว้ในดันเจี้ยน
“โลหะสามอย่างนี้คือแร่ที่ปรากฏขึ้นมาเฉพาะในโลกที่เจอกับมหาภัยพิบัติหลายต่อหลายครั้งเหมือนกับสวรรค์เท่านั้น แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้สวรรค์คือสวรรค์อีกด้วย มันเป็นเหตุผลที่ทำไมกองทัพสวรรค์ถึงถูกเรียกร้องให้จัดการดูแลทุกๆโลก… นี่มันน่าสนใจซะแล้วสิ”
กองทัพสวรรค์ได้ไปทุกๆโลกที่เจอกับมหาภัยพิบัติและกระจายกับดักแห่งการทำลาย ด้วยของพวกนี้ทำให้มอนสเตอร์ในโลกต่างๆได้ติดอยู่ในดันเจี้ยน แร่ทั้งสามอย่างนี้มีคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์เลยกคือการยับยั้งและกักขังมานา และเพราะแบบนี้มันจึงถูกนำมาทำเป็นกับดักแห่งการทำลาย
แต่ในตอนนี้คือการผสมทั้งสามอย่างเข้าด้วยกันจนเกิดขึ้นมาเป็นโกเล็มที่ลบล้างมานาด้วยตัวมันเองงั้นหรอ? พระเจ้านี่มีศักยภาพมากจริงๆด้วย! นอกไปจากนี้แร่ทั้งสามอย่างถูกใช้แค่เฉพาะลบล้างมานาอย่างเดียวงั้นหรอ?
“ยังมีบางส่วนที่ฉันยังไม่ได้วิเคราะห์ แล้วก็ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะเพิ่มฟังก์ชั่นอื่นเข้าไปอีกในตอนสร้างโกเล็ม”
[ฟังก์ชั่นอะไรกันล่ะ?]
“ก็มีแค่อย่างเดียวนั่นแหละ การเชื่อมต่อ”
นี่เป็นแค่ขอสันนิษฐานเท่านั้น เป็นแค่ความคิดที่แว๊บเข้ามาในหัวของยูอิลฮานเท่านั้น
ยังไงก็ตามหากมันเป็นไปได้จริงๆที่โกเล็มจะเชื่อมต่อเข้ากับกับดักแห่งการทำลายและสามารถจะทำการเปลื่ยนกับดักแห่งการทำลายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกโลกได้ล่ะ? ถ้าแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ไหมที่จะสังเวยมอนสเตอร์ภายในดันเจี้ยนเพื่อทำให้กับดักแห่งการทำลายกลายไปเป็นโกเล็มพวกนี้?
[นายท่านกำลังจะบอกว่าเขาจะสามารถจัดการกับทุกๆโลกได้อย่างรวดเร็วและทรงประสิทธิภาพภายใต้การจัดการดูแลของกองทัพสวรรค์งั้นหรอ?]
“ตอนนี้ฉันก็กำลังคิดเหมือนนายจริงๆนั่นแหละ”
[อึก]
ยังไงก็ตามนี่มันถูกต้อง กับดักแห่งการทำลายนั้นมีอยู่ทั่วทุกโลกไม่เว้นแม้แต่โลกเบื้องล่างหรือเอลโลคาทร่าที่เป็นฐานทัพหลักของทั้งสองกองกำลัง แน่นอนว่าที่ดาเรย์กับเอิร์ธก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นเดียวกัน
[นี่มัน… น่ากลัวมาก]
“ใช่ นั่นแหละ”
ยูอิลฮานได้พึมพัมออกมาน้ำเสียงเศร้าๆที่เต็มไปด้วยเศษเสี้ยงแห่งการคาดเดา
“บางทีในเร็วๆนี้มันอาจจะเป็น… สงครามสุดท้ายจริงๆแล้วก็ได้”
บทที่ 313 – ก็เหมือนๆกับฉันนั่นแหละ (5)
[คุณได้วิเคราะห์ถึงส่วนหนึ่งของเร็กน่า]
[สกิลประกาศิตได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 43]
“เยี่ยม ฉันได้ชื่อมาแล้ว”
[ท่านกำลังตบหน้าของทุกๆคนที่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุตัวตน]
“แน่นอนสิ ก็ฉันคนนี้คือคนที่จะทำลายเรื่องพวกนั้นให้หมดไป”
ถึงแม้ว่านี่จะฟังดูเท่ แต่ว่าจริงๆแล้วยูอิลฮานก็แค่ใช้สกิลสรรสร้างของเขาอย่างดื้อด้าน เขาได้ทำการรวบรวมบันทึกที่เหลือจากการพังทลายของ ‘เร็กน่า’ ตามที่พระเจ้าต้องการให้เป็นแบบนี้หากเป็นคนอื่นด้วยเศษซากที่พังลงแบบนี้คงจะทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าตัวเขายังได้ทำกระบวนเดียวกันนี้ซ้ำไปอีกสามสี่ครั้งจนในที่สุดสกิลสรรสร้างของเขาก็ทำงานป้องกันไม่ให้มันพังลงแต่ฟื้นฟูมันขึ้นมา นี่คือความสามารถที่น่ากลัวจริงๆ
ในกระบวนการนี้ได้มีทูตสวรรค์แปลกๆเสียไปถึงห้าตัว หลังจากนั้นส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ถูกนำมาวิเคราะห์ แยกส่วนออกแล้วก็สร้างใหม่กลับมาดังเดิมอีกครั้ง เพราะแบบนี้ก็เลยเป็นธรรมดาที่สกิลประกาศิตของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาถึงเลเวล 52
“สกิลนี่พัฒนาง่ายจังเลยเนอะ”
[หากว่าเหล่าคนที่ฝึกฝนมาเป็นหมื่นๆปีมาได้ยินคงจะโกรธจนตายแน่]
“นั่นก็ไม่ได้กเยวกับฉันนี่ ยังไงก็ตามเร็กน่า…”
ยูอิลฮานได้ได้พึมออกมาอย่างไม่สนใจและคิดถึงชื่อของทูตสวรรค์แปลกๆ
‘เร็กน่า(Legna)’ – ‘ทูตสวรรค์(Angel)’ นี่มันเขียนสลับกันนี่ ไม่ว่าจะเป็นภาษาของโลกเขาหรือภาษาสวรรค์ก็เหมือนๆกัน
“จากสิ่งที่ฉันได้รู้ถึงรูปแบบการพูดที่เขาได้คุยกับมิเรย์และการตั้งชื่อที่ชัดเจนนี้ ฉันรู้สึกว่าคนๆนี้คือบอสตัวปลอม และบอสตัวจริงยังหลบอยู่หลังม่านอยู่…”
[หลักฐานยืนยันการตัดสินใจของท่านมันอ่อนเอามากๆเลยนะ แต่ว่ามันก็ดูเข้าท่าแปลกๆ…]
“ชิ นายนี่มันไม่รู้อะไรเลยอิชจาร์”
ในเกมหรือนิยาย ตัวเองมักจะเป็นคนที่แข็งแกร่งหรือแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วเสมอๆ ยังไงก็ตามหากว่ามันไม่มีอันตรายมันก็จะไม่น่าสนใจเพราะความทรงพลังของตัวเอก เพราะงั้นคนแต่งก็มักที่จะใส่ตัวละครที่ตัวเอกไม่รู้จักลงไปเป็นองค์ประกอบใหม่และใช้องค์ประกอบนี้ทำให้เกิดเรื่องที่น่าประหลาดใจขึ้นมา
เพราะแบบนั้นคนอ่านหรือผู้เล่นก็จะได้เผชิญกับความตื่นตกใจ และตัวเอกก็จะถูกโจมตีครั้งใหญ่ขึ้นทำให้ต้องตามไปแก้แค้นให้กับความสูญเสียที่เขาได้เจอ – นี่แหละคือแนวทางมาตราฐานมากๆ แต่ถึงแบบนั้นหากไม่คิดอะไรมันก็สนุกดี
“ยังไงก็ตามเรื่องน่าตกใจแบบนั้นในชีวิตจริงมันเป็นอะไรที่น่ารำคาญสุดๆไปเลย เพราะงั้นเขาไม่ควรที่จะประมาทนะ พวกเราจะต้องเตรียมตัวรับมือกับอะไรก็ตามที่จะเข้ามาไว้ตลอดเวลา”
[ถึงนี่จะไม่ใช่สิ่งที่ตัวฉัน มังกรแห่งความสิ้นหวังควรจะพูด แต่ว่านะนายท่านนี้มีชีวิตที่ยากลำบากจริงๆ]
หลังจากทำการวิเคราะห์เร็กน่าเสร็จแล้ว ยูอิลฮานก็ได้เรียงเร็กน่าที่ได้กลับไปเป็นก้อนไว้เป็นแถว
หากว่าก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นการวิเคราะห์ในโครงสร้างทางกายภาพและส่วนประกอบของพวกมัน ถ้างั้นในตอนนี้เขาจะต้องเตรียมตัวรับมือเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าพระเจ้ามีเจ้าพวกนี้อยู่แค่ไหน แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะต้องเตรียมวิธีรับมือเอาไว้อยู่ดี
“สำหรับเจ้าพวกนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้มันในตอนนี้ ฉันจะต้องกู้คืนวงเวทย์ที่ถูกทำลายไปด้วย แต่ว่ามันยังไม่มีแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อน”
ยูอิลฮานได้เข้าใจถึงพื้นฐานของแหล่งพลังนั้นแล้วด้วยเช่นกัน แต่นี่แหละที่เป็นปัญหา
“เราะจเรียกแหล่งพลังงานนี่ว่าอะไรดีล่ะ? ถ้าฉันเผาวิญญาณจะเกิดพลังงานแบบเดียวกันขึ้นหรือป่าวนะ?”
[ฉันคิดว่าหากนายท่านแยกองค์ประกอบที่ควบคุมในด้านอารมณ์ออกไปจากวิญญาณก็น่าจะคล้ายกันนะ!]
“จริงด้วย ถูกเลย เพลิงนิรันดร์ของเราฉลาดมาก อันที่จริงชื่อเธอก็ยาวไปหน่อยนะ เพราะงั้นนับจากนี้ฉันจะเรียกเธอว่าเรย์แล้วกันนะ”
[ได้เลย! ฮู่เร่!]
เรย์ก็ยังดีใจถึงแม้ว่าเขาจะตั้งชื่อให้เธอเพราะว่าชื่อเดิมยาวเกินไปก็แค่นั้น หากว่าทุกๆคนเป็นแบบเธอมันก็คงจะไม่เกิดสงครามขึ้นสินะ… พอคิดมาถึงตรงนี้แล้วยูอิลฮานก็หันไปมองพวกเร็กน่าที่เหลืออยู่
“เผาไหม้วิญญาณมาเป็นเชื้อเพลิงสินะ… โกเล็มที่เคลื่อนไหวตามการทำลายชีวิตสินะ นี่มันบ้าเอามากๆเลย หรือบางทีที่พระเจ้าคิดจะลบทุกๆโลกก็เพื่อรวมพลังมาขับเคลื่อนโกเล็มพวกนี้ด้วยสินะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยแหะ ได้ทั้งทำลายโลกแล้วก็เพิ่มจำนวนโกเล็มด้วย”
[จากที่นายท่านพูดมานั่นมันเหมาะกับ ‘บทบาทตัวโกง’ สุดๆไปเลยนะ]
“วิญญาณ วิญญาณ…”
ในองค์ประกอบพื้นฐานของยูอิลฮานก็มีพลังของยมทูตที่เป็นจ้าวแห่งวิญญาณอยู่ พอมาคิดดูแล้วเขาน่าจะทำอะไรในขอบเขตของพระเจ้าได้ในตอนที่มีคลาสนี้ แต่แน่นอนว่าต่อให้เป็นตอนนี้ที่เขากลายมาเป็นหัวหน้าดราก้อนเนส เขาก็ยังคงมีพลังนั้นอยู่กับตัว
“บางที…”
พระเจ้าได้ไปถึงระดับที่สามารถจะสร้างพลังจากวิญญาณได้ เพราะงั้นหากว่ายูอิลฮานก้าวข้ามไปอีกขั้น ก้าวเข้าไปในพลังแห่งวิญญาณ
“แต่ว่าเจ้าตัวพวกนี้ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่เมินเฉยต่อมานาไปจนหมด พวกมันก็แค่เพิ่มพลังให้กับคุณสมบัติของวัตถุดิบเพื่อที่จะยับยั้งและหยุดมานา”
นี่มันไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง มันเป็นเส้นทางที่ผิดที่่จะนำไปสู่ความตายและความบิดเบี้ยว ยูอิลฮานไม่คิดจะใช้พลังแบบนี้เลยซักนิดเดียวต่อให้เขาจะมีโอกาสก็ตาม
“ดีล่ะ ถ้างั้นก็เหลืออยู่แค่อีกวิธีเดียว”
ยูอิลฮานได้ยกมือขึ้นมาตวัด เศษเสี้ยงเพลิงนิรันดร์จำนวนหลายเส้นได้ออกมาจากมือของเขาและเผาร่างเร็กน่าทิ้งไป
[จะไม่เป็นไรหรอ?]
“ใช่สิ ฉันได้วัตถุดิบมามากพอแล้ว แล้วก็สกิลประกาศิตก็พัฒนาขึ้นมามากด้วย”
[แยกออกมาซะ! จงบริสุทธิ์! ย่าาาห์!]
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมงร่างของเร็กน่าก็ถูกทำลายกลายมาเป็นโลหะกับแร่สิบชนิด เขาได้สร้างร่างกายของมันกับวงเวทย์ขึ้นมาใหม่ก็แค่เพื่อที่จะทำลายมันอีกครั้งงั้นหรอ? อิชจาร์ได้แค่อุทานออกมา ยูอิลฮานได้ประกาศอย่างมั่นใจทันที
“ฉันจะเดินในทางที่ต่างออกไป”
[ทางที่นายท่านเลือกไปจะเป็นเส้นทางที่ถูกหรอ?]
“ไม่หรอก แต่ว่ามันเป็นทางแห่งชัยชนะ ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันก็แค่ต้องชนะ นั่นแหละคือทางของฉัน!”
[…]
นี่มันดูไม่ต่างไปจากสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำเลยนี่นา? ในใจอิชจาร์อย่างจะโต้กลับไปแบบนี้ แต่ว่าเขาไม่กล้าบอกที่จะพูดออกไป ยูอิลฮานได้เก็บของทั้งหมดลงไปในช่องเก็บของและฮัมเพลงไปมา
“ฉันยังมีงานต้องทำอีกตั้งเยอะ ดูเหมือนฉันจะยุ่งแล้วสิ”
[ท่านเป็นคนบ้างานจริงๆ…]
หลังจากผ่านไป 32 ชั่วโมงแล้วยูอิลฮานก็ได้ยกเลิกสกิลประจักษ์แจ้ง ในจุดๆนี้มังกรและสายพันธ์มังกรต่างๆต่างก็มีเลเวลเพิ่มขึ้นมาอย่างมากจากการฆ่ามอนสเตอร์ต่างๆ และตอนนี้พวกเขาก็สามารถจะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ที่เหลือได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการสนับสนุนจากสกิลแล้ว
[ที่รักมีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้วล่ะ?]
[อิลฮาน? นายจะไปทำอะไรที่ไหนอีกแล้วสินะ?]
เลียร่ากับเฮเรียน่าที่รู้สึกได้ว่าสกิลหายไปได้ส่งข้อความมาหาเขาทันที การส่งข้อความแบบนี้มีขึ้นมาหลังจากพวกเขาได้รวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ยูอิลฮานได้ส่งข้อความไปให้ทุกๆคน
[ฉันมีบางอย่างที่จะต้องเตรียมการอยู่เพราะงั้นตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าจะไปทำงานน่ะ ฝากช่วยดูแลสายพันธ์มังกรเก็บกวาดโลกด้วยนะ ในจุดนี้ฉันน่าจะเตรียมมันพอครอบคลุมโลกได้]
[ที่พูดถึงนี่กับดักแห่งการทำลายงั้นหรอ?]
เอิลต้าได้ถามออกมา ยังไงก็ตามน่าเสียดายที่ยูอิลฮานปฏิเสธในคำพูดนี้ของเธอ
[พวกนี้คือกับดักแห่งการทำลาย แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่]
[…นี่นายกวนฉันอีกแล้วงั้นหรอ? ถ้างั้นแล้วมันคืออะไรล่ะ]
[อืมม ชื่อมันสินะ… อ่อใช่แล้ว]
ยูอิลฮานได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
[น่าจะเป็นกับดักแห่งการฟื้นคืนล่ะมั้ง]
[ฟังดูไม่ดีเลยนะ]
[มั่นใจได้เลว่าเธอคิดไปเอง]
[อะไรล่ะนั่น!]
ยูอิลฮานได้ตรวจดูพรรคพวกของเขาที่ปกป้องมังกรกับสายพันธ์มังกรที่กำลังสู้กับมอนสเตอร์อื่นๆอยู่ จากนั้นเขาก็กระโดดกลับไปในป้อมปราการลอยฟ้า
[นายท่าน ท่านกำลังจะกลับไปยุ่งมากๆอีกแล้วงั้นหรอ?]
“ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่แค่ฉันนะ เธอก็จะต้องมีงานเหมือนกัน”
[แค่นี้ฉันก็มีงานมากพออยู่แล้วนะ]
มิสทิคได้เริ่มที่จะบ่นออกมา เพียงเร็วๆนี้เธอเพิ่งจะดีใจกับการได้เข้าร่วมดราก้อนเนสอยู่เลย แต่ว่าพอมาในตอนนี้เธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่ายูอิลฮานใช้แรงงานเธอมากเกินไป
ในคราวนี้ยูอิลฮานได้เลือกใช้ไพ่ตายออกมา
“ฉันจะทำร่างกายให้เธอ”
[ฉันกำลังรอคำนี้อยู่เลยนายท่าน!]
ความภักดีของมิสทิคได้เพิ่มกลับคืนมาเต็ม 100 ในทันที ยูอิลฮานได้แต่ขำออกมา มีอะไรตั้งหลายอย่างที่เธอจะต้องทำเพื่อให้ได้ร่างกายมา แต่ว่าในตอนนี้เขาก็ควรจะปล่อยให้เธอได้ดีใจไปซักพักจริงไหมล่ะ?
[มีอะไรจะให้ฉันช่วยงั้นหรอนายท่าน? พูดมาได้เลยนะ! ฉันพร้อมอยู่ตลอดแหละ!]
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวพอถึงเวลาฉันจะบอกเอง เตรียมตัวเอาไว้เถอะนะ”
[หา? อ่า ได้สิ…?]
ทั้งๆที่เธอกำลังดีใจ แต่ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกได้ว่ามันไม่ดีไปแล้วล่ะ? เธอรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ไปทั่วตัวถึงแม้ว่าจะไม่มีร่างจริงก็ตาม และยูอิลฮานก็แค่กลับไปในที่ทำงานของเขา
“เอาล่ะก่อนอื่นเลยก็มาเริ่มออกแบบกัน กับดักแห่งการฟื้นคืน กับดักแห่งการฟื้นคืน เอ๋…”
ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าพระเจ้ามีแผนอะไรที่จะทำให้กับดักแห่งการทำลายกลายมาเป็นของอันตราย
ถ้างั้นวิธีารเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการเปลื่ยนโครงสร้างทั้งหมดและก็ดึงศักยภาพของมันออกมาให้เหนือกว่ากับดักแห่งการทำลายแล้วก็แน่นอนว่ายูอิลฮานก็มีเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบในการทำแบบนี้ด้วย
“อ่างแห่งปาฏิหาริย์”
อ่างขนาดใหญ่สีแดงได้ปรากฏขึ้นมาทันที อ่างแห่งปาฏิหาริย์จะพัฒนาขึ้นด้วยบันทึกที่ได้มาระหว่างที่พรรคพวกของยูอิลฮานวิวัฒนาการและลูกน้องคนอื่นๆ รูปแบบของมันจึงต่างไปจากเดิมเล็กน้อยตามความต้องการของยูอิลฮาน และหลังจากผ่านไปไม่นานของการเปลื่ยนแปลง มันก็ได้กลายมาเป็นเตาเผา
“เรย์”
[ได้เลย นายท่าน!]
เพลิงนิรันดร์ได้ลุกขึ้นภายในเตาเผา สิ่งแรกที่ยูอิลฮานทำคือเทฮาคาเนียมและเฟซิเนียมที่เขาได้มาจากการย่อยเร็กน่ามาลงไปและเติมโลหะผสมที่เขาสร้างขึ้นมาจากร่างกายของมอนสเตอร์ที่เขาไปได้มาจากโลกอื่นๆแบบสุ่มๆ
[มันเป็นไปได้ด้วยหรอที่จะสร้างโลหะผสมที่ละเอียดอ่อนด้วยวิธีที่รุนแรงแบบนี้?]
“ถ้ามันยังไม่ได้ งั้นฉันก็แค่เพิ่มมันเข้าไปอีก แล้วก็ถ้ามันมาเกินไปฉันก็แค่เอามันออกมาหน่อยเท่านั้นเอง หากว่าฉันสร้างของที่ฉันพอใจออกมาล้มเหลวด้วยการใช้ของมากขนาดนี้ ฉันก็ขอลาออกจากงานนี้แล้วล่ะ”
ยูอิลฮานได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติและเอาขวดที่บรรจุโลหะเหลวเอลฮาซาออกมา
ต่อให้เขาจะสกัดมันออกมาจากเร็กน่าจำนวนมาก แต่ว่ามันก็มีแค่จำนวนน้อยเท่านั้นเอง แต่ว่านั่นมันก็ไม่สำคัญในเมื่อเขามีข้อมูลแหล่งมากมายที่จะไปหามัน
“อึก”
เขาได้กรีดมือของเขาจนเลือดหยดลงไป เขายังกระทั่งใส่มานาลงไปจำนวนมากอีกด้วย เลือดที่เต็มไปด้วยมานาจำนวนมหาศาลนี้ได้เข้าไปอยู่กับเอลฮาซาอย่างไร้ปัญหา พอมาคิดว่าเขาจะต้องผ่านหลายกระบวนการแบบนี้ยูอิลฮานก็หดหู่เล็กๆ
“การตีเหล็ก หัตถกรรมมานา เอนชานท์วิญญาณ”
เขาได้เปิดใช้งานสามสกิลอย่างต่อเนื่อง และทำการนวดเอลฮาซาอยู่กลางอากาศ ไม่นานนักมันก็เริ่มที่จะต่อต้านมานาของเขา เลือดของเขาที่ผสมอยู่ภายในนั้นได้เปลื่ยนแปลงโครงสร้างของมันไปอย่างช้าๆ
ต่อให้ในระหว่างนั้นจะมีการสั่นอย่างรุนแรงอยู่ แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วเอลฮาซาก็ได้กลายมาเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกับค้อนยักษ์
“เอาล่ะถ้างั้น”
ยูอิลฮานได้จัดการทุบมันลงไปในเตาเผาทันที การตีเหล็กที่เหนือไปกวาขอบเขตของสลารและเครื่องมือได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
[นี่… คือการทำงานงั้นหรอ?]
“ก็แน่สิ”
การสร้างของยูอิลฮานได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว งานที่จะสร้างดันเจี้ยนรวมไปถึงความหวังใหม่ขึ้น
เพราะการที่พรรคพวกของยูอิลฮานได้ไปเจอกับเร็กน่าและเอาชิ้นส่วนที่เหลือกลับมาได้โดยบังเอิญได้ทำให้โชคชะตาและประวัติศาสตร์ของทุกๆโลกเปลื่ยนแปลงไป
บทที่ 314 – ก็เหมือนๆกับฉันนั่นแหละ (6)
เมื่อก่อนยูอิลฮานก็เคยได้สร้างกับดักแห่งการทำลายมาหลายต่อหลายอัน เขากระทั่งปรับแต่งพวกมันตามแนวทางของเขาอีกด้วยซ้ำไป
แน่นอนเรื่องพวกนั้นได้ทำให้ทูตสวรรค์ต้องตกตะลึง แต่ว่าสำหรับยูอิลฮานในตอนนี้เขาอายเกินที่จะพูดว่ากับดักแห่งการทำลายที่เขาสร้างขึ้นพวกนั้นเป็นฝีมือของเขา
‘ไม่ใช่แค่เพื่อจะเอาชนะพระเจ้าเท่านั้น ฉันจะต้องสร้างดันเจี้ยนขึ้นมา… ป้องกันการแทรแซงจากภายนอกพร้อมทั้งดักจับมอนสเตอร์ทุกๆตัวที่เข้ามาได้อย่างอิสระ’
พอคิดดูแล้วนี่มันดูน่าสนใจจริงๆ ในตอนแรกที่เขาได้สร้างดันเจี้ยน เขาก็แค่ทำมันขึ้นเพื่อความปลอดภัยกับชีวิตตัวเองก็เท่านั้น แต่ว่ามาในตอนนี้เขากำลังจะทำมันตามใจตัวเองในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงคนที่ห้า
“ฟู่… ดีมาก”
ส่วนหนึ่งของค้อนที่ตีลงไปบนทั่งได้แยกออกมาจากค้อนและกลายมาเป็นของเหลวถูกดูดเข้าไปภายในเตาหลอม และกลายเป็นวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่ผสมเข้ากับโลหะภายในเตาหลอมนั่น ริมฝีปากของยูอิลฮานได้โค้งขึ้นมาเป็นรอยยิ้มเล็กๆ
“ใช่แลว อย่าปฏิเสธมานา แกต้องเหนือกว่ามานาและเก็บมานาเอาไว้”
โลหะผสมที่เกิดจากอัตราส่วนจำนวนมากภายในเตาหลอมได้เปลื่ยนไปมาระหว่างความเป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ซอย่างอิสระ
เนื่องจากมันได้เกิดขึ้นมาจากโลหะจำนวนนับไม่ถ้วนและรวมไปถึงสิ่งที่ไม่ใช่โลหะด้วย จึงทำให้ยากที่จะเรียกมันว่า ‘โลหะผสม’ แต่ถึงแบบนั้นมันก็คือโลหะอย่างแน่นอน จากประสบการณ์๕วามรู้ของยูอิลฮานที่ได้จัดการกับโลหะมาจำนวนนับไม่ถ้วนได้ทำให้เขามั่นใจ
“ก่อนหน้านี้ฉันเปลื่ยนแปลงได้แค่เฉพาะสิ่งที่มีอยู่แล้วเท่านั้น”
ภายในที่ทำงานนี้ได้เต็มไปด้วยเสียงดังของค้อนที่กระทบกับโลหะดังสะท้อนออกมานับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่ายูอิลฮานเขาจะไม่ได้สะบัดแขนเลยสักนิด แต่ว่าเสียงก็ไม่ได้หยุดลง นี่มันเพราะว่าโลหะผสมได้ปรับเปลื่ยนรูปร่างและถูกบีบอัดลงไปในทุกๆครั้งที่ทำเสียงออกมา ทุกๆครั้งที่ค้อนตกลงไปกระทบความหนาแน่นของมานาภายในโลหะได้มากยิ่งขึ้น
“ยังไงก็ตามตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว”
สกิลประกาศิตได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว สกิลนี้คือสกิลที่จะทำให้เขาสลักความตั้งใจของเขาลงไปเป็นความจริงของโลกได้ ‘นี่ไม่ใช่คำสั่งเด็ดขา’ หรือ ‘สกิลพลังคำพูด’ อย่างที่ได้เห็นจากนิยายแฟนตาซีเก่าๆ สกิลนี่มันลึกซึ้งและล้ำลึกกว่านั้นมาก คนที่จะเข้าใจมันได้มีเพียงแค่ผู้ที่มีสายตาที่มองผ่านโลกและเห็นในทุกๆสิ่งเท่านั้น
“แกจะฟื้นตัวและกลืนกิน”
โลหะผสมได้ปล่อยแสงแสบตาออกมาและเริ่มเผาไหม้ เพลิงนิรันดร์ที่หายใจและเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียวกับยูอิลฮานได้ส่งเจตจำนงและมานาเข้าไปในโลหะผสมเพื่อเปลื่ยนแปลงมัน
[ย่ะห์]
เมื่อได้รับมานาไปโลหะผสมได้ขยับไปมาขณะที่อยู่กลางอากาศและเริ่มกลายเป็นจังหวะที่รุนแรงยิ่งขึ้น เปลื่ยนรูปร่างไปมากมายหลายต่อหลายครั้ง ในเวลาเดียวกันนี้ชั้นภายในของมันก็ถูกแบ่งออกเป็นร้อย พัน หมื่น แสนและแม้กระทั่งล้านชั้นโดยที่ในแต่ล่ะชั้นก็มีวงเวทย์ถูกสลักเอาไว้
“แกจะต้องดึงดูดและกักขัง”
ถัดจากชั้นของโลหะได้มีอีกชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาพร้อมๆกับที่เขาพูด มันกำลังถูกเติมเต็มฟังก์ชั่นการทำงานของมันในฐานะอาร์ติแฟคที่สร้างดันเจี้ยน
ด้วยความรู้ที่กว้างขวาง ประสบการณ์และมานาของยูอิลฮานได้ทำให้ขั้นตอนการสลักพลังลงไปเสร็จลงในเวลาไม่นาน
“แกจะต้องขัดขวางและควบคุม”
นี่คือประกาศิตสุดท้ายของเขาแล้ว คมมีดลับที่เขาได้ลับคมเอาไว้เพื่อที่จะจัดการพระเจ้า เนื่องจากฟังก์ชั่นที่ละเอียดอ่อนที่สุดและทรงพลังที่สุดของมันได้ทำให้การเปลื่ยนแปลงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ไม่ว่าจะยังไงในท้ายที่สุดมันก็จะสำเร็จอย่างแน่นอน
วัตถุดิบที่ขาดไปได้ถูกเตาหลอมเสริมเข้ามา ส่วนวัตถุดิบส่วนเกินก็ถูกส่งกลับคืนเช่นกัน โลหะผสมได้หมุนวนอยู่กลางอากาศและในท้ายที่สุดก็แข็งตัวลง แต่ในทางกลับกันแสงที่มันปล่อยออกมาได้น่าพิศวงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม และหลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีมันก็ไม่มีการเปลื่ยนแปลงอีกต่อไปแล้วทำให้เพลิงนิรันดร์ได้แยกตัวออกมาจากการสร้าง
[กับดักแห่งการฟื้นคืนเสร็จสมบูรณ์]
[กับดักแห่งการฟื้นคืน]
[ระดับ – เทพ]
[อาร์ติแฟคที่ถูกยูอิลฮานจ้าวแห่งดราก้อนเนสสร้างขึ้นด้วยพลังทั้งหมดที่มี มันจะดึงดูดและควบคุมมอนสเตอร์ที่อ่อนแอ เสริมพลังให้กับพวกมัน และกระทั่งผลิตมอนสเตอร์ทุกชนิดที่มีในบันทึกของยูอิลฮาน และยังมีพลังในการควบคุมที่เหนือกว่ามานา ไม่มีใครจะควบคุมมันได้นอกจากพลังของยูอิลฮาน นี่คือสิ่งที่สมบูรณ์แบบในตัวแล้ว แต่ว่าอาร์ติแฟคนี่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมด]
อิชจาร์ไม่อาจจะทนเงียบได้อีกต่อไป
[นี่มันถูกสร้างแทบจะในทันทีเลย]
[งดงามจริงๆ]
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ดูสิว่าใครเป็นคนทำมันขึ้นมา?”
ยูอิลฮานได้ยิ้มอย่างพอใจออกมาและเอาอาร์ติแฟคที่สมบูรณ์แล้วมาวางลงบนฝ่ามือ ยังไงก็ตามหลังจากได้เห็นโลหะผสมในรูปร่างลูกบาศก์มิสทิคก็ถามออกมา
[นายท่าน นี่รวมการเอนชานท์วิญญาณเข้าไปด้วยแล้วหรอ? แต่ทำไมฉันถึงได้ไม่รู้สึกถึงจิตวิญญาณจากมันเลยล่ะ?]
“ก็แน่สิ ฉันยังไม่ได้เอนชานท์จิตวิญญาณอะไรเข้าไปนี่นา”
[ทั้งๆที่นายท่านใช้การเอนชานท์วิญญาณไปแล้วเนี้ยนะ?]
มิสทิคสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะต้องตกใจออกมา
[นี่ท่านไปถึงระดับที่สร้างวิญญาณได้แล้วงั้นหรอนายท่าน!?]
“ยังหรอ หากฉันทำได้ฉันก็คงกลายเป็นผู้สร้างคนใหม่ไปแล้ว แต่สำหรับการหว่านเมล็ดพันธ์เล็กๆลงไปพอทำได้อยู่”
[ฉันคิดว่าท่านจะเป็นผู้สร้างคนใหม่ไปซะแล้วสิ…]
มิสทิคได้พึมพัมออกมาอย่างประหลาดใจ แต่จากนั้นเธอก็ต้องเอียงัวออกมา
[แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกแปลกๆกันนะ? ฉันรู้สึกเหมือนกับสตินึกคิดของฉันกำลังจดจ่ออยู่กับมันล่ะ]
“แน่สิ เมล็ดพันธ์วิญญาณยังควบคุมอาร์ติแฟคนี่ไม่ได้ เพราะงั้นฉันก็เชื่อมต่อเธอเข้าไปด้วยไง สุดท้ายแล้วป้อมปราการลอยฟ้ากับป้อมปราการผู้พิทักษ์จะทำหน้านี่เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่แล้วก็จะเกิดใหม่ขึ้นเป็นตัวควบคุมอาร์ติแฟคทั้งหมดนี่ผ่านเธอไงล่ะ”
ทั้งๆที่อาร์ติแฟคนี่ผูกมัดกับเธออย่างแน่นหนา แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินแบบนี้!
[นี่นายท่านทำบ้าอะไรลงไปเนี้ย!]
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใจเย็นก่อนนะมิสทิค”
น้ำเสียงของมิสทิคดูเหมือเธอจะกัดลิ้นตัวเองเพราะความตื่นเต้นไปแล้ว ยูอิลฮานได้แต่หัวเราะและโยนลูกบาศก์นี่ขึ้นบนท้องฟ้า
“คิดว่าฉันจะให้ร่างกายเธอฟรีๆงั้นหรอ? นี่คือราคาที่เธอจะต้องจ่ายแลกมาก! ไม่เป็นไรหรอกนะ เธอทำได้อยู่แล้ว เธอจะกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ควบคุมดันจี้ยนทั้งหมดเชียวนะ!”
[อย่าเอาฉันไปเป็นตัวตนยิ่งใหญ่อะไรนั่นมัวๆตามที่นายท่านต้องการสิ!]
“จริงๆนะ นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันฝันเอาไว้ตั้งแต่ที่ฉันได้สร้างป้อมปราการลอยฟ้าแล้ว!”
[งั้นก็อย่ามาซ่อนเรื่องแบบนี้เอาไว้สิ!!!]
มิสทิคเธอได้คลั่งไปแล้ว แต่ว่ายูอิลฮานก็ยังไม่หยุด เนื่องจากว่าเขามีตัวอย่างเป็นของระดับเทพ เพราะงั้นตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลแล้ว
“ฉันจะประกาศแล้วนะ”
เมื่อกับดักแห่งการฟื้นคืนได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ค้อนขนาดยักษ์กับเตาหลอมขนาดยักษ์ก็ได้ส่องแสงออกมาราวกับพวกมันกำลังเชื่อมต่อกัน ยูอิลฮานได้มองไปที่ไอเทมและตะโกนออกมาด้วยรอยยิ้ม คลื่นมานาจำนวนมหาศาลได้หลั่งไหลออกมาเติมเต็มที่แห่งนี้ทั้งหมด
“จงเกิดขึ้นมาเหมือนกับอันแรกซะเถอะ”
สกิลประกาศิตของเขามันเหมือนกับปาฏิหาริย์เทียมที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นเป็นไปได้ขึ้นมาด้วยพลังของยูอิลฮาน ยิ่งหากว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำได้มันก็จะช่วยประหยัดเวลาลงไปได้อย่างมากเช่นกัน!
เพลิงนิรันดร์ได้ลุกไหม้อย่างไม่สิ้นสุดและจำนวนของลูกบาศก์ได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันนี้มิสทิคก็ได้เริ่มร้องออกมา
[ฉันเจ็บหัวแล้วนะ! นายท่านบ้าที่สุด!]
“อดทนเอาไว้ ลองคิดถึงร่างกายของเธอดูสิ! ร่างกายสุดสวยเพรียวบาง แล้วก็มีพลังในการควบคุมเครือข่ายที่เชื่อมต่อจิตสำนึกจำนวนนับไม่ถ้วน!”
[นี่ที่จริงนายท่านสร้างร่างกายให้ฉันนั่นมันก็เพราะท่านอยากจะให้ฉันควบคุมดันเจี้ยนทั้งหมดสินะ?]
“ใช่สิ”
[ท่านมันปีศาจ!]
หลังจากสร้างลูกบาศก์เหล่านี้ได้หลายพันชิ้นยูอิลฮานถึงได้หยุดลง แต่จริงๆจำนวนนี้ไม่แม้กระทั่งจะพอถึงครึ่งของดาเรย์เลย แต่ว่ายูอิลฮานก็ไม่ได้ห่วงในเรื่องนี้
“นี่คืออาร์ติแฟคที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านพระเจ้า ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังจะใช้เร็กน่าทำอะไร แต่ว่าในโลกที่มีกับดักแห่งการฟื้นคืนอยู่ เขาจะไม่อาจแทรกแซงกับดักแห่งการทำลายใดๆได้”
[นายท่าน พอมาคิดดูแล้วตอนแรกที่ท่านใช้ประกาศิตสร้างกับดักแห่งการฟื้นคืน ท่านได้พูดว่า ‘ฟื้นฟูและกลืนกิน’ ไม่ใช่หรอ?]
“ใช่แล้ว เมื่อกับดักแห่งการฟื้นคืนทำงาน มันจะทำการดูดมานารอบๆตัวมาเพื่อเพิ่มขนาดของมันเหมือนกับเป็นสิ่งมีชีวิตและสุดท้ายก็จะสร้างกับดักแห่งการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ด้วยการครอบคลุมกับดักแห่งการทำลาย หรือพูดอีกอย่างก็คือแค่มีหนึ่งอันต่อหนึ่งโลกก็พอแล้ว!”
นี่คือกระบวนการกลืนกิน ยังไงก็ตามสิ่งนี้ได้ทำให้มิสทิคกระทั่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก… เธอได้ถามออกมาอย่างสิ้นหวังทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
[แล้วโดยปกติแล้วกับดักแห่งการฟื้นคืนอันใหม่ทุกๆอันก็จะมีเมล็ดพันธ์วิญญาณอยู่ด้วยใช่ไหม?]
“ฉันก็คิดแบบนั้นนะ”
[แล้วเพื่อเป็นการควบคุมกับดักแห่งการฟื้นคืน เพราะงั้นพวกมันก็จะเชื่อมต่อเข้ากับสตินึกคิดของฉันในทันทีถูกไหม?]
“มิสทิค… เธอนี่มันฉลาดจริงๆเลยนะ ฉันเลือกถูกจริงๆที่ให้เธอมาเป็นแกนกลางของระบบนี้”
[ท่านมันปีศาจ! ปีศาจร้าย! ซาตาน! ท่านมันสัตว์ประหลาด! พวกโรคจิต!]
“ตอนนี้ฉันกำลังคิดจะสร้างร่างกายให้เธอแล้วล่ะ”
[…]
ทันใดนี้เองน้ำเสียงของมิสทิคก็ได้เงียบลงไปจากคำพูดของยูอิลฮาน แน่นอนว่ายูอิลฮานรู้ดีว่าเธอต้องการร่างกายมากแค่ไหน เพราะงั้นเขาก็เลยใช้จุดๆนี้แกล้งเธอมาโดยตลอด
“แต่ว่าฉันไม่คิดจะใช้เรื่องนี้มาเป็นเหงื่อล่อให้เธอทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อหรอกนะ”
[ถ้างั้น…]
“ร่างกายของเธอน่ะ ฉันจะทำให้มันยอดเยี่ยมจนมากพอที่จะสามารถควบคุมดันเจี้ยนทั้งหมดได้และกระทั่งต่อสู้ได้ด้วยตัวเองด้วย”
แต่ตอนนี้เองได้มีการตอบกลับที่เขาไม่คาดคิดออกมา
[แค่ต่อสู้หรอ…?]
“แล้วเธอต้องการอะไรอีกล่ะ?”
[ทะ ท่านก็รู้]
มิสทิคได้ลังเลอยู่พักหนึ่งจนแม้แต่ป้อมปราการลอยฟ้าก็ยังสั่นสะเทือน
[ภายนอกฉันคงจะไม่ดูน่าเกลียดเพราะฟังก์ชั่นที่มากมายหรอกนะ? อย่างเช่นแบบมีร้อยหัวอะไรแบบนี้น่ะ]
“นี่เธอกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? ไม่ว่าจะมีวัตถุดิบยังไงร่างกายที่สมบูรณ์จะต้องเข้ากันได้กับวิญญาณนะ นี่เธอจะดูถูกในความสามารถการสร้างของฉันมากเกินไแล้ว”
แม้ว่าตอนนี้เขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว แต่มันก็น่าจะคล้ายกันกับมิสทิคในตอนที่เธอเกิดขึ้นมา หลังจากได้ยินแบบนี้มิสทิคดูจะใจเย็นลงมาก ก่อนที่เธอจะถามออกมาอีกครั้งเบาๆ
[ถะ ถ้างั้น… อ่า… ฉันจะดูเหมือนเด็กผู้หญิงปกติใช่ไหม?]
“ฉันก็บอกแบบนั้นไปแล้วนี่”
[อย่างที่พูดไปไง! ในด้านอื่นๆน่ะ!]
“นี่เธอกำลังพูดเรื่องบ้า… โอ้”
ยูอิลฮานไม่อาจจะเข้าใจถึงสิ่งที่เธอจะสื่ออยู่พักหนึ่งก่อนที่จะรู้ตัว สิ่งที่เธอกังวล สิ่งที่เธอคาดหวัง สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ สิ่งที่เธอกำลังใฝ่ฝัน และสิ่งที่เธออยากจะเป็น
รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
“เธอจะได้เกิดมาอย่างสมบูรณ์แบบ เกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงและเธอจะเป็นอะไรก็ได้ตามแต่เธอจะต้องการ… นี่พอไหมล่ะ?”
[อ่า ได้เลย]
น้ำเสียงน่ารักที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ดังออกจากปากของเธอ ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาและถามขึ้นอีก
“เธอพอจะมีรูปแบบในใจไหม?”
[งะ เงียบไปเลย! ไม่มีอะไรทั้งนั้น!]
ยูอิลฮานได้หัวเราะและเรียกเอาวัตถุดิบที่เหมาะกับร่างใหม่มิสทิคออกมา เขาได้ใช้วัตถุดิบของทูตสวรรค์และเทวดาตกสวรรค์มาเสริมพลังให้กับวัตถุดิบจากเทวทูตทรยศไดเอลและรามิเอลที่เป็นแกนหลัก
ยังไงก็ตามสิ่งที่ทำให้เขายินดีจริงๆเลยก็คือรามิเอลมีหินพลังเวทย์คลาส 7 อยู่ เนื่องจากว่ารามิเอลเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านสกิลสายฟ้าและเวทย์สวนกลับทำให้นี่เป็นสิ่งที่คาดหวังไว้ได้มาก ยังไงก็ตามหลังจากได้เห็นแบบนี้สีหน้าของมิสทิคได้มืดมนออกมา
[พวกนี้ทั้งหมดเป็นผู้ชาย…]
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด… เอาล่ะถ้าเธอคอยดูเอาไว้ ความคิดเห็นจากใจแคบๆของเธอจะเปลื่ยนไปแน่นอน”
เพราะความด้อยความรู้ในด้านการสร้างของมิสทิคได้ทำให้ยูอิลฮานได้เดาะลิ้นออกมา เขาได้เปลื่ยนรูปร่างอ่างแห่งปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ขยายขนาดขึ้นเล็กน้อยและเปลื่ยนมาเป็นทรงกลมเหมือนกับในขั้นตอนการทำให้สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง และภายในนั้นมีวัตถุดิบที่ใช้สร้างกับดักแห่งการฟื้นคืนอยู่ด้วย แน่นอนว่านี่ก็คือความตั้งใจของยูอิลฮานอยู่ส่วนหนึ่ง มิสทิคได้ร้องออกมาในทันที
[นี่นายท่านกำลังจะเอาโลหะหนักๆใส่ลงไปในร่างใหม่ของฉัน!]
“โลหะทั้งหมดนี่คือกระดูกของเธอ!”
ค้อนเอลฮาซาได้หดขนาดลดลงมาอย่างมากเพราะการสร้างก่อนหน้านี้ทำให้มันสามารถจะใส่เขาไปในอ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ และเขายังได้ทุบร่างของรามิเอลกับไดเอลรวมไปถึงทูตสวรรค์กับเทวดาตกสวรรค์คนอื่นๆภายในด้วย มิสทิคได้ร้องเสียงแหลมออกมาอีกทันที
[กรี๊ดดดดดดดดดด! สัตว์ประหลาด! นี่ฉันจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว!]
“เชื่อฉันสิ”
ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาและเปิดใช้งานสรรสร้าง
“ฉันจะทำร่างสุดสวยสุดน่ารักให้กับเธอเอง”
[อว๊าาาาาาาาาากกกกกกกก!]
ในวันนี้เองการสรรสร้างของระดับนิรันดร์ก็ได้เกิดขึ้นมา
บทที่ 315 – ก็เหมือนๆกับฉันนั่นแหละ (7)
“อ่า…”
มิสทิคได้มองร่างตัวเองในกระจกและส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ ภาพที่สะท้อนกลับมาคือร่างของหญิงสาวงดงามดูบอบบาง เธอมีเรือนผมสีดำราวกับเส้นไหมพร้อมด้วยนัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่ให้ความรู้สึกที่ลึกลับ มันดูไม่เหมือนกับนิสัยตามปกติของมิสทิคที่ชอบไร้สาระเลย!
แม้กระทั่งตัวมิสทิคเองเธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อและจ้องเขม็งที่กระจก ในทุกๆครั้งที่อารมณ์เธอเปลื่ยนไป สีหน้าของเธอก็จะเปลื่ยนตามไปด้วย เพราะงั้นไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่านี่คือร่างของเธอที่อยู่ในกระจกแน่ แต่ว่าเธอก็คิดว่ามันยังยากจะยอมรับ
“เป็นไปได้ยังไงที่ท่านทำร่างกายที่งดงามแบบนีได้ด้วยร่างของพวกผู้ชายเน่าเหม็น… ยิ่งกว่านั้นนี่คือฉันจริงๆน่ะหรอ? อ่า…”
แม้กระทั่งน้ำเสียงที่เธอพูดออกมายังไม่คุ้นหูเลย ความรู้สึกที่กล่องเสียงสั่นเป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้พบเจอมาก่อนเลย นี่มันก็เพราะว่าเธอได้ถูกยูอิลฮานฆ่าไปในทันทีที่เกิดขึ้นมา
“สุดยอดมาก… แม้แต่เสียงก็ยอดเยี่ยม ลำคอก็งดงาม กระดูกก็งดงาม อกกับเอวก็ด้วย”
“หยุดมองยกย่องตัวเองซักทีเถอะ”
ยูอิลฮานได้บ่นมิสทิคที่ยืนอยู่หน้ากระจกจับไปทั่วทุกๆส่วน เนื่องจากร่างใหญ่นี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากเทวทูตคลาส 7 กับหินพลังเวทย์คลาส 7 การสร้างมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำเสร็จแล้วเขาถึงกับรู้สึกล้าเล็กๆ
สำหรับโอโรจิอย่างน้อยก็มีจุดที่คล้ายๆกันในร่างก็คือทั้งโอโรจิกับอิชจาร์ต่างก็เป็นสายพันธ์หนึ่งของมังกร แต่ว่ามิสทิคที่เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงบนโลกของเขาทำให้ตัวเธอไม่ได้มีจุดเชื่อมอะไรกับเทวทูตรทรยศที่อาศัยอยู่ในสวรรค์เลย เพราะแบบนี้จึงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างขึ้นมาให้เข้ากับเธอ
“หยุดแก้ผ้าชมตัวเองได้แล้ว ไปหาเสื้อใส่ซะมิสทิค”
“อ่า นี่นายท่านมองร่างเปลือยๆของฉันอยู่ตลอดเวลาเลยนี่นา โรคจิต นายท่านโรคจิต!”
“วางใจได้เลยฉันไม่ใช่พิกเมเลียน”
พิกเมเลียนคือประติมากรที่เป็นชายผู้ตกหลุมรักในผลงานของตัวเขาเอง เขาคือต้นแบบของโอตาคุคนแรกในโลกใบนี้
แน่นอนว่ายูอิลฮานก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความรู้สึกรักในผลงานที่ตัวเองได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกรักในแง่ของเรื่องเพศอะไรแบบนั้น เพราะงั้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกผูกพันเล็กๆและรู้สึกพึงพอใจหลังจากสร้างร่างเปลือยเปล่าของมิสทิคขึ้นมา แต่อารมณ์ทางเพศของเขาก็ไม่ได้ขยับแม้แต่นิดเดียว
“ฉันทำเสื้อไว้ให้เธอแล้วด้วยเหมือนกัน นี่คืองานชิ้นเอกของฉันเชียวนะ เพราะงั้นจงดีใจซะที่ได้รับมันไป”
“ฉันจะจำให้ขึ้นใจเลยนะ… ว้าวนี่มันของระดับเทพนี่!”
“ก็สมกับที่ต้องใช้วัตถุดิบดีๆไปแหละนะ”
มิสทิคได้ใช้มือข้างหนึ่งของเธอปิดร่างกายของเธอเอาไว้และใช้อีกมือรับเสื้อผ้ามาจากยูอิลฮาน เธอได้อุทานออกมาในทันทีที่เธอรับมาแต่กลับไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมันเลย แต่ว่าสิ่งที่ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือข้อมูลที่อยู่ในตัวอาร์ติแฟค
จากภายนอกมันดูเป็นแค่ชุดเดรสสีขาวธรรมดาที่ดูเรียบง่าย แต่ตัวตรจริงๆในภายในก็คือชุดเกราะที่มีพลังป้องกันมหาศาลที่ได้มาจากขนปีกของรามิเอลกับไดเอล นี่มันไม่ใช่เกราะธรรมดาๆเลย
“ฉันได้เอาเอกลักษณ์ของพวกคนทรยศมาใช้สร้างมันขึ้นมา ในตอนที่เธอตั้งสมาธิไปกับการควบคุมป้อมปราการลอยฟ้า ป้อมปราการผู้พิทักษ์หรือกับดักแห่งการฟื้นคืน ชุดนี่ก็จะยังเป็นสีขาว แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เธอเข้าไปสู่การต่อสู้มันจะกลายไปเป็นสีดำ เอาไว้เดี๋ยวเธอก็ลองไปดูข้อมูลเอาเองอีกทีนะ… แล้วก็นี่หมวกฟาง”
“ว้าว สวยจัง… อ๊า หมวกนี่ก็ระดับเทพเหมือนกัน”
หมวก ‘ฟาง’ นี่ได้ทำขึ้นมาจากขนปีกที่เหลืออยู่กับเอลฮาซา เพราะงั้นจึงเป็นธรรมดาที่มันจะต้องอยู่ระดับเทพเหมือนกัน และเมื่อมิสทิคได้ใส่มันลงไปทำให้ตอนนี้เธอเป็นเหมือนกับหญิงสาวร่ำรวยที่กำลังมาเดินเล่น ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจในผลงานของตัวเองและพูดกับมิสทิคที่กำลังจับหมวกฟางอยู่
“เธอก็แค่ต้องใส่มันเอาไว้ในตอนที่ควบคุมสิ่งต่างๆภายในป้อมปราการลอยฟ้า มันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการคิดคำนวนโดยรวมของเธอขึ้นมา”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่านายท่านได้สร้างของทั้งหมดนี่ออกมาได้ยังไงกัน โอ้ ตอนนี้หัวของฉันไม่ปวดแล้วล่ะ”
ตอนนี้การควบคุมป้อมปราการทั้งสองแห่งมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกแล้ว ไมใช่แค่นั้นเธอยังรู้สึกเหมือนกับว่าเธอสามารถจะควบคุมกับดักแห่งการฟื้นคืนนับพันที่มีอยู่ในตอนนี้ได้แล้วด้วย แต่จริงๆแล้วก็คือกับดักแห่งการฟื้นคืนก็มีฟังก์ชั่นในการควบคุมตัวเองอยู่ด้วยทำให้นี่มันเป็นไปได้ แต่นี่ก็ยังน่าทึ่งอยู่ดี มิสทิคได้ยิ้มออกมาอย่างพอใจที่ยูอิลฮานได้ทำตามสัญญา
“ขอบคุณนะนายท่าน ท่านได้ใช้ความพยายามอย่างมากเลย… แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดีในเมื่อนายท่านคือคนที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก”
“ในตอนนั้นเธอคือศัตรูของฉันนี่ แต่ในตอนนี้เธอคือพรรคพวก ยังไงก็เถอะในเมื่อเธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปหาโอโรจิสิ”
คำพูดเบาๆนี้ได้ทำให้ใบหน้าของมิสทิคแดงขึ้นมาทันที
“ทะ ท่านกำลังพูดอะไรกัน! ทำไมฉันจะต้องไปหาโอโรจินั่นด้วยล่ะ? มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ ฉันไม่ได้สนใจเจ้างูนั่นซักนิด! เขาก็แค่ทำให้ฉันรำคาญเพราะเขาเอาแต่แกล้งฉันอยู่ตลอด!”
“นั่นมันก็เพราะว่าฉันคิดว่าจะทำอุปกรณ์ให้โอโรจิเหมือนกัน เพราะงั้นฉันก็เลยให้เธอไปเรียกโอโรจิมาให้ฉัน เข้าใจไหม?”
“อ๊าาา…”
ยูอิลฮานได้พูดออกมายิ้มๆ หลังจากมิสทิคได้เห็นใบหน้าของเขาที่ทำเหมือนรู้ทุกอย่างแล้วได้ทำให้เธอสิ้นหวังขึ้นมา เธอพ่ายแพ้แล้ว
“ฉันมันโง่เอง โง่ที่ถูกคนงี่เง่าหลอกเอาได้…”
เธอได้เดินออกไปช้าๆและกางปีกมังกรขาวออกมาจากหลัง ถึงแม้ว่าระดับพลังของร่างกายเธอจะสูงมากๆแล้ว แต่เนื่องจากระดับพลังวิญญาณเธอยังไม่สูงถึงระดับนั้นก็เลยทำให้เธอยังอยู่ที่คลาส 6
[มังกรขาว…?]
“นั่นก็แค่เป็นจินตนาการของเธอ จริงๆฉันสงสัยเรื่องที่โอโรจิทำมีปฏิกิริยายังไงมากกว่าซะอีก”
[นี่ท่านไม่ได้ส่งเธอไปตามเขามาหรอกหรอ?]
“ถ้าฉันต้องการแบบนั้น ฉันก็แค่ส่งข้อความไปหาตรงๆก็ได้นี่”
[…]
นี่คือเรื่องจริง อิชจาร์ได้เงียบลงไปทันที ยังไงก็ตามมิสทิคน่าสงสารเกินกว่าจะรู้ตัวและไปหาโอโรจิด้วยตัวเอง! มาพอคิดดูแล้วว่าหลังจากนี้เธอจะโกรธขนาดไหน เขาก็คิดว่านี่มันน่าสนุกแล้ว
“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันก็น่าจะวางรากฐานไว้ให้สำหรับอุปกรณ์ของโอโรจิสินะ? ร่างกายของเครสเช่นและฮิวลูทูน… ฟู่ว เครสเช่นมีหินพลังเวทย์อยู่ด้วย โชคดีจริงๆเลย”
[…]
อิชจาร์มังกรแห่งความสิ้นหวังได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขัดยูอิลฮานอีก ยูอิลฮานคือผู้ปกครองที่อยู่ห่างไกลจากตัวเขาเองทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ!
“ท่านหลอกฉัน นายท่านนนนนนนนน!”
หลังจากนั้นประมาณสิบนาที มิสทิคที่หน้าแดงเป็นมะเขือเทศก็ได้กลับมาพร้อมกับโอโรจิที่สีหน้าปลงๆ ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมามองทั้งสองคน พร้อมกันด้วยอ่างแห่งปาฏิหาริย์ที่เปิดรอโอโรจิอยู่
***
หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง ในตอนนี้โอโรจิก็กำลังมองดูร่างตัวเองในกระจกที่มิสทิคเคยใช้มาก่อนอยู่ แม้ว่ายูอิลฮานจะวางแผนเอาไว้แค่อัพเกรดอุปกรณ์ให้เขา แต่ว่าเขาก็มองดูร่างกายของตัวเขาเองอยู่ตรงนี้
“ฉันรู้สึกเหมือนกับทั้งร่างฉันละลายไปหมดทั้งตัวเลย”
“ก็แน่สิ ฉันทำงานอย่างหนักเลยนะนายรู้ไหม?”
แม้ว่าจากภายนอกโอโรจิจะดูเป็นแค่ชายหนุ่มผมดำผิวสีทองแดงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่ว่าภายในนั้นมีพลังที่นายตกตะลึงอยู่ หลังจากที่โอโรจิกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงด้วยร่างของอิชจาร์ โอโรจิก็คิดว่าไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมไหนเขาก็แข็งแกร่งขึ้นแล้ว และในตอนนี้เขาก็ต้องคิดแบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง
“นี่นายท่านกระทั่งปรับแต่งความไม่สมดุลในไม่กี่นาทีงั้นหรอ?”
“ถึงนายจะกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงแล้ว แต่ว่าร่างของอิชจาร์ที่เอามาทำเป็นร่างของนายมันยังไม่สมบูรณ์ ฉันก็แค่เติมส่วนที่ขาดไปด้วยส่วนที่เหลือจากการสร้างอุปกรณ์ให้นายเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่ามันจะยากในการทำให้มันเข้ากันกับร่างของมังกร แต่อย่างน้อยมันก็ง่ายกว่าในตอนของมิสทิคแหละนะ”
ยูอิลฮานได้สกัดเอาแก่นแท้ของร่างกายเครสเช่นกับฮิวลูทูนมาผสมเข้ากับโอโรจิที่มีร่างของอิชจาร์จนทำให้ศักยภาพถูกดึงออกมาจนถึงขีดสุด นอกไปจากนี้ยูอิลฮานยังพยายามมากๆที่จะทำให้มันเข้ากับวิญญาณของโอโรจิอย่างเต็มที เพราะแบบนี้ทำให้โอโรจิจะไม่ต้องทนใจจากความไม่เข้ากันของร่างกายและวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว
หากจะมีอะไรที่เป็นผลข้างเคียงนั่นมันก็คงจะเป็นการที่โอโรจิจะแยกร่างจิตวิญญาณออกมาจากร่างกายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว โอโรจิในตอนนี้ไม่ใช่แค่จิตวิญญาณแล้ว ในตอนนี้เขาเป็นทั้งร่างกายและจิตวิญญาณที่ผสานด้วยกันไปแล้ว
มิสทิคก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่แน่นนอนว่าเธอก็ยังควบคุมป้อมปราการลอยฟ้ากับป้อมปราการผู้พิทัษ์รวมไปถึงจัดการดูแลกับดักแห่งการฟื้นคืนได้ด้วยอยู่ดี แต่ว่าเธอจะไม่อาจออกมาจากร่างและเข้าไปสิงในป้มปราการได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากว่าเธอได้เกิดใหม่ขึ้นมาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแล้วจึงทำให้เป็นปกติที่เธอจะไม่อาจแยกจากกันได้อีก
ดวงตาของโอโรจิได้เบิกกว้างออกมาเมื่อได้ยินแบบนี้
“ไม่ใช่ว่านี่มัน… เป็นระดับของผู้สร้างแล้วหรอกหรอ? ฉันไม่อาจจะเข้าใจขอบเขตพลังของนายท่านได้เลย”
“สำหรับผู้สร้างจริงๆแล้ว ฉันยังขาดอยู่อีกในหลายๆด้าน แต่ว่าฉันน่าจะดีกว่าที่นายคิดไว้อยู่แล้ว เพราะงั้นก็จงเคารพฉันซะสิ”
“ฉันเข้าใจแล้วว่าท่านได้ผยองมากยิ่งขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป… อ๊า ท่านนี่น่าทึ่งจริงๆ”
โอโรจิได้เรียกเพลิงม่วงของเขาออกมาและต้องตกตะลึงไปกับการควบคุมที่เหนือยิ่งกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะผสานเข้ากันกับร่างของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ยังไงก็ตามสิ่งที่ยูอิลฮานกังวลคือเรื่องอื่น
“แรงกดดันจากร่างกายเป็นยังไงบ้าง นายคิดว่านายรับมือไหวไหม?”
“พอได้ ถึงฉันจะพอรู้มาก่อนอยู่แล้ว… แต่ว่าเมื่อเทียบกับร่างที่อัพเกรดแล้วนี่ระดับวิญญาณของฉันยังต่ำเกินไป”
“ก็อยากที่ฉันเคยบอกนั่นแหละ ในเมื่อวิญญาณของนายสมบูรณ์แล้ว วิญญาณของนายก็จะพัฒนาขึ้นไปช้าๆอย่างไม่รู้จบ บางทีอาจจะเพราะครั้งหนึ่งนายเคยเป็นสายพันธ์มังกรก็ได้ นายก็เลยเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับลจากอ่างแห่งปาฏิหาริย์อย่างมาก”
ทุกๆคนที่ได้ยูอิลฮานทำให้เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงต่างก็ได้เกิดใหม่ขึ้นมาเป็นมังกรผ่านกระบวนการเดียวกัน แต่ว่าอัตราการพัฒนาของร่างกายแต่ล่ะคนไม่ได้เท่ากัน
ประสิทธิภาพจะต่างกันไปตามความเข้ากันกับบันทึกของยูอิลฮานที่ถ่ายโอนไปผ่านอ่างแห่งปาฏิหาริย์ เลียร่าผู้ที่รักเขามากจนได้รับพรจากเทพเป็นคนที่มีศักยภาพสูงที่สุด ในขณะที่ยูมิลที่ได้กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงแทบจะพร้อมๆกันกับยูอิลฮานก็ไม่ได้ห่างจากเลียร่ามากนัก
และหลังจากสองคนนั้นก็คือโอโรจิที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจกตรงนี้
“ฟู่… น่าตื่นเต้น”
“เก็บความตื่นเต้นของนายไปเลย พวกนายนี่เป็นพวกชอบโชว์งั้นหรอ? ฉันได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ให้นายแล้วเพราะงั้นใส่มันซะ เฮ้ เร็วๆสิ ถ้ามีคนมาแอบมองนายจะทำยังไงกัน?”
“พวกของนายท่านมีคนโรคจิตแบบนั้นด้วยหรอ?”
ที่เป็นปัญหาก็เพราะมีคนแบบนี้อยู่ไงล่ะ ยูอิลฮานได้ตบมุกอยู่ภายในใจเนื่องจากว่าโอโรจิไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามิสทิคได้แอบมองอยู่ด้านนอก
โอโรจิได้รับไอเทมมาอย่างสงสัย ชุดชั้นใดสีดำที่ป็นชั้นในสุดได้มีความยืดหยุ่นและทนทานเอามากๆ ชั้นต่อมาจากชุดชั้นในก็คือเกราะโลหะบางสีดำสนิทที่ดูคล้ายกันกับเกราะร่างมังกรจิตวิญญาณเพลิง
“นี่มันดูคล้ายกับเกราะของนายท่านเลย”
“ถึงฉันจะสร้างไอเทมระดับนิรันดร์แบบเกราะของฉันไม่ได้ง่ายๆ แต่ว่าฟังก์ชั่นของเกราะนายก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันมาก เกราะนั่นเป็นอาร์ติแฟคระดับเทพ”
“สมแล้วที่เป็นนายท่าน ท่านพูดเรื่องไอเทมระดับเทพได้สบายๆเลย”
โอโรจิได้นึกย้อนไปในอดีต เขาจะได้รู้สึกถึงการยืนบนพื้นด้วยสองข้างของร่างกายที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้ไหมนะหากว่าเขาไม่ยอมจำนนต่อยูอิลฮาน?
แน่นอนว่าโอโรจิในตอนนั้นได้ตายไปแล้ว และโอโรจิที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็พูดได้เลยว่าคือโอโรจิอีกคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่… แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นเรื่องที่สนุกสำหรับเขาที่ได้มาอยู่ใต้เงาของยูอิลฮาน
“นายท่านคือชายที่น่าสนใจอย่างแท้จริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้สนุกเหมือนกับการไปทำลายเมืองไปทั่ว… แต่ว่านี่ก็น่าสนใจมากๆ”
“ในอนาคตเรื่องน่าสนใจมันจะกลายมาเป็นเรื่องที่เคร่งเครียดแล้วนะ”
“ฉันเตรียมตัวไว้แล้ว บอกมาได้ตลอดเวลาเลน”
โอโรจิที่ใส่อุปกรณ์ทั้งหมดไปแล้วได้ยืนอยู่ข้างๆยูอิลฮาน ยูอิลฮานได้เก็บกับดักแห่งการฟื้นคืนที่วางอยู่ในด้านหนึ่งมาใส่ไว้ในช่องเก็บของและเรียกมิสทิคที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงออกมา
“มิสทิคได้เวลาทำงานแล้ว”
“ว้ายยย!?”
มิสทิคตกใจเดินทื่อๆออกมาทันที เธอไม่เคยรู้เลยว่าเธอถูกเจอตัวแล้ว ทั้งๆที่เธออยู่ในพื้นที่ของเธออย่างป้อมปราการลอยฟ้า แต่ว่าการคิดที่จะซ่อนตัวต่อหน้ายูอิลฮานคือเรื่องโง่ที่สุดที่เธอได้ทำแล้ว
“…มิสทิค? ทำไมเธอถึงออกมาจากตรงนั้นล่ะ?”
“อึ๊ย ไม่มีอะไรหรอกน่า”
แม้ว่าเมื่อก่อนโอโรจิจะเป็นคนหัวไวมาก แต่ว่าพอมาในคราวนี้เขาได้แต่คิดกับตัวเองอย่างสับสนว่า ‘ทำไมเธอถึงอยู่ตรงนั้น’
ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมาเมื่อได้เห็นความสับสนบนใบหน้าของโอโรจิกับหน้าสีแดงของมิสทิค นี่มันดูเหมือนว่าบุคลิกของพวกเราจะเปลื่ยนไปหลังจากได้ร่างกายมา
“อย่างแรกเลยมาติดตั้งกับดักแห่งการฟื้นคืนในดาเรย์กัน มันถึงเวลาที่เราจะต้องโต้กลับได้แล้ว”
“นี่เป็นการตอบโต้เจ้าพวกที่น่ากลัวใช่ไหม อ่า เจ้าพวกนั้นชื่ออะไรกันนะ? เร็กน่าใช่ป่ะ?”
“ไม่ใช่หรอก”
ยูอิลฮานได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
“นี่คือการตอบโต้พวกที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดและตัวตนทุกๆตัวตนที่มีอยู่ในจักรวาลแห่งนี้”
บทที่ 316 – ก็เหมือนๆกับฉันนั่นแหละ (8)
เนื่องจากโลกส่วนใหญ่ที่ยูอิลฮานได้ไปมาได้ถูกรวมเข้ากับดาเรย์ สิ่งแรกที่ยูอิลฮานทำคือการติดตั้งเอากับดักแห่งการฟื้นฟูติดตั้งไปในดาเรย์สองสามชิ้น
เนื่องจากว่ามหาภัยพิบัติขั้นที 6 เป็นเรื่องที่รุนแรงมากๆทำให้กับดักแห่งการทำลายส่วนใหญ่ต่างก็เสียพลังไปและหยุดนิ่ง มีอยู่ภูมิภาคหนึ่งที่มีกับดักแห่งทำลายที่อยู่ติดๆกันทำงานขึ้นมาพร้อมๆกันในคราวเดียวทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นจากการล้นของมานา
“โอ้ มีมานาล้นออกมาตั้งหลายอัน ไปบอกคนอื่นด้วยนะถ้าใครได้รับเศษโลหะระดับสูงมาก็เอามาให้ฉัน”
“เข้าใจแล้วนายท่าน”
เมื่อก่อนตอนที่มีการล้นของมานาเกิดขึ้นบนโลกและมีโอโรจิโผล่ขึ้นมาในภูมิภาคญี่ปุ่นด้วย นี่คือหนึ่งในอันตรายที่มากที่สุดที่เขาเจอในเวลานั้น แต่ว่าพอมาในตอนนี้ยูอิลฮานกับพรรคพวกได้กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตแล้ว การล้นของมานานั้นไม่มีค่าอะไรในสายตาพวกเขาเลย
จะมีก็แค่ฮาคาเนี่ยมที่ถูกดูบซับไปกับมอนสเตอร์กลายพันธ์ภายใต้การล้นของมานาเท่านั้นที่น่ารำคาญนิดๆ!
“ดาเรย์นี่ใหญ่ขึ้นมากจริงๆ อ๊าา ฉันหวังว่าฉันจะได้ไปเก็บกวาดดูรายระเอียดทั้งหมดได้นะ…”
“ต่อให้ท่านจะเร็วแค่ไหนนั่นันก็เป็นไปไม่ได้”
“ฉันรู้แล้วล่ะ ถ้างั้นก็แยกกันไป”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปพร้อมๆกับโยนกับดักแห่งการฟื้นคืนออกไปบนท้องฟ้า ด้วยสกิลประกาศิตของเขาได้ทำให้กับดักแห่งการฟื้นคืนทั้งห้าอันกระจายออกไปตามสถานที่ต่างๆภายในดาเรย์ หลังจากเขาได้เปิดใช้งาน ‘พรม’ เพื่อตรวจสอบสภาพกับดักแห่งการทำลายที่กระจายอยู่ทั่วทั้งดาเรย์อยู่แล้วและจากนั้นก็จัดการย้ายตำแหน่งบางอัน
นี่แหละ
“ดีล่ะ มันกำลังเริ่มแล้ว”
กับดักแห่งการฟื้นคืนที่ได้กระจายไปทั่วทั้งดาเรย์ทั้งหมดได้เริ่มเชื่อมต่อพลังเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเพื่อที่จะยับยั้งพลังของกับดักแห่งการทำลาย แม้กระทั่งกับดักแห่งการทำลายที่สร้างดันเจี้ยนขึ้นมาแล้วก็ยังพังลงไปและกลับคืนสู่สภาพเดิม มอนสเตอร์จากภายในได้กลายมาเป็นอิสระด้วยความรู้สึกที่สับสนแต่หลังจากนั้นพวกมันที่สัมผัสได้ถึงออร่าสงครามที่มีอยู่ในดาเรย์ก็เริ่มออกวิ่งกัน เพราะแบบนี้เองทำให้กับดักแห่งการทำลายทั้งหมดในได้หยุดการทำงานลงและรอคอยการเปิดใช้งานอีกครั้ง
“ฟู่… ดีล่ะ มาต่อกันเลย”
มิสทิคที่รู้สึกได้แบบนี้ได้หันหน้าไปมองและตั้งสมาธิขึ้นมาหลังจากจับหมวกฟางขึ้นมาใส่ ในตอนนี้เองมานาที่ถูกกับดักแห่งการฟื้นคืนที่กระจายอยู่ตามมุมต่างๆทั่วโลกได้เริ่มเปลื่ยนมาเป็นกับดักแห่งการทำลาย
กับดักแห่งการทำลายที่กำลังดูดกลืนมานาและสสารรอบๆตัวได้ถูกมานาจากกับดักแห่งการฟื้นคืนกลืนกินทำให้เกิดการเปลื่ยนแปลงพื้นฐานไป โอโรจิได้แต่ตกใจกับการควบคุมมานาที่น่าทึ่งนี่ของมิสทิค
“โฮ่… ควบคุมมานาได้ยอดมาก”
“เพราะไอเทมเสริมน่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
“เงียบหน่อยสิ ฉันใช้สมาธิอยู่”
กระบวนการต่างๆได้เป็นไปอย่างราบรื่นต่างจากคำพูดของเธอ กับดักแห่งการทำลายทั้งหมดที่กระจายอยู่ทั่วดาเรย์กำลังวิวัฒนาการขึ้น! วิวัฒนาการจากกับดักแห่งการทำลายไปเป็นกับดักแห่งการฟื้นคน – มีคำสั่งใหม่ถูกสร้างขึ้นมาหลังจากที่ทำการปฏิเสธในบันทึกดั้งเดิมที่เคยมีมาตลอดและพัฒนาขึ้นไปตามความต้องการของยูอิลฮาน!
แน่นอนกระบวนการนี้ได้ดูดกลืนมานาภายในดาเรย์ไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่ว่านี่ก็แค่ทำให้การเกิดของมอนสเตอร์ลดช้าลงเพราะงั้นนี่ไม่ใช่เรื่องแย่เลย
[สกิลประกาศิตได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 56]
[สกิลจ้าวมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 85]
[สกิลการปรับตัวนักท่องมิติได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 83]
[สกิลบัญชาการลูกเรือได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 89]
“ทำได้ดีมากมิสทิค! มาทำมันให้จบๆไปก่อนที่จะไปโลกอื่นกันเถอะ!”
“โอ้ คลื่นมานาดูน่าประทับใจมาก”
“เงียบไปทั้งคู่เลย!”
เพราะการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของมิสทิคนี้ได้ทำให้แม้กระทั่งสกิลของยูอิลฮานก็ยังพัฒนาขึ้นมาเองอย่างาก ในตอนนี้เองได้มีความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัวเขา
‘งั้นถ้าเป็นสมาชิกดราก้อนเนสฆ่าศัตรูล่ะ…’
เขาได้ปิดตาลงทำการวิเคราะห์บันทึกของตัวเอง จากนั้นก็พบกับคำตอบอย่างรวดเร็ว ที่เขาได้รับมามันไม่ใช่แค่บันทึกจากศัตรูแต่ยังรวมไปถึงค่าประสบการณ์จำนวนเล็กน้อยอีกด้วย ในตอนนี้เนื่องจากว่ามังกรในสังกัดดราก้อนเนสได้ทำการต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ทำให้บันทึกของเขาถูกเก็บสะสมมากขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
‘เพราะแบบนี้สินะถึงได้ทำให้หัวหน้าของแต่ล่ะกองกำลังอยู่ในระดับที่ต่างไปจากสมาชิกอย่างสิ้นเชิง’
เขาได้เผลอพึมพัมออกมา หัวหน้าของแต่ล่ะกองกำลังต่างก็เป็นตัวตนที่น่ากลัวกันทั้งนั้น เขารู้ถึงมันได้ตั้งแต่ที่ได้เห็นความโลภแล้ว
พัฒนาขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดจากการกระทำของสมาชิก… นี่มันหมายความว่าหัวหน้ากองกำลังใหม่ล่าสุดคนที่ 5 ของยูอิลฮาน เป็นคนที่เสียเปรียบมากที่สุด
เดี๋ยวสิ
ถ้างั้นทำไมมิคาเอลถึงมีพลังได้เทียบเท่ากับซาตานที่เป็นหัวหน้ากองทัพจรัสแสงได้ล่ะ?
‘หรือว่านั่นเป็นเรื่องโกหกกันนะ?’
ไม่สิ จากที่ได้เห็นถึงความหยิ่งยโสของมิคาเอลแล้วเขาไม่น่าจะเป็นคนที่โกหกในเรื่องแบบนี้
‘มันจะเป็นไปได้ไหมนะที่พระเจ้าได้ทิ้งบันทึกและสิทธิทั้งหมดไว้ให้มิคาเอลจัดการดูแล’
แต่ว่ามิคาเอลก็อ่อนแอจนเกินไปที่จะเป็นแบบนั้น ไม่ว่ามิคาเอลจะเสียเปรียบในด้านธาตุกับยูอิลฮานยังไง เขาก็ไม่น่าจะแพ้ยูอิลฮานง่ายๆแบบนี้ ถ้างั้นก็เหลืออยู่อีกแค่คำตอบเดียวแล้ว
การแบ่งแยก
‘พอมาคิดดูแล้วถึงราฟาเอลจะถูกฉันฆ่าไป แต่เขาก็ทรงพลังมากจริงๆ เขามีพลังในการรักษาที่เหนือยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตคลาส 7 ใดๆไปจนเทียบกันไมติดเลย หากว่าสถานการณ์ในตอนนั้นไม่ได้เข้าข้างฉัน ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้ฆ่าเขาแน่’
ในกรณีนี้ก็คือมีความเป็นไปได้ที่พลังของพระเจ้าและบันทึกได้ถูกแบ่งออกไปให้กับเทวทูตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ – มิคาเอล ราฟาเอล กาเบรียล และยูเรียล ในหมู่ทั้งสี่คนราฟาเอลได้ตายลงไปและมิคาเอลยูอิลฮานก็สามารถจะเอาชนะได้ตลอดเวลา เพราะงั้นตอนนี้คนที่ยังมีภัยคุกคามต่อเขาอยู่ก็มีแค่กาเบรียลกับยูเรียลเท่านั้น
‘สำหรับยูเรียลปล่อยเอาไว้ก่อนเพราะฉันไม่ได้มีข้อมูลอะไรของเขาเลย สำหรับคนที่ชื่อกาเบรียบลจากที่รู้มาคือมีพลังในการทำนายอนาคต ทำนายอนาคตล่วงหน้า ญาณทิพย์… นี่มันไม่น่าจะใช่แบบนั้นสิ ไม่น่าจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ แต่นี่มันทำให้ฉันรำคาญจริงๆ’
จากในตอนนี้มีข้อสงสัยหนึ่งที่แทบจะเป็นความมั่นใจอยู่ภายในใจของยูอิลฮาน นี่มันไร้สาระเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ว่าในตอนที่เขาปฏิเสธในเรื่องนี้สัญชาตญาณของเขากำลังเตือนเขาในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะงั้นวิธีแก้ก็คือหยุดคิดเอาไว้ก่อนแค่นี้จนกว่าที่จะยืนยันมันได้… แต่หากมันง่ายแบบนั้นจริงๆเขาก็คงจะไม่คิดเรื่องพวกนี้แล้ว
“นายท่านทำไมท่านถึงขมวดคิ้วแบบนั้นล่ะ? ดูผู้หญิงคนนั้นคร่ำครวญสิ มนุษย์เรื่องนี่ว่าปรากฏการณ์ใช่ไหม?”
“แน่สิ นี่คือฉากที่ฉันพลาดไม่ได้ แต่ว่านะเธอจะยิ่งคร่ำครวญมากยิ่งกว่านี้อีกแน่ เพราะงั้นฉันมีโอกาสอีกมากที่จะดูมัน โอโรจิช่วยเตรียมป็อบคอร์นทีสิ”
“ฉันสาบานเลยว่าจะจัดการพวกนายสองคน”
เพราะมานาจำนวนมหาศาลภายในดาเรย์ได้ทำให้กับดักแห่งการทำลายได้วิวัฒนาการไปด้วยความเร็วที่เกินคาด กับดักแห่งการฟื้นคืนใหม่ๆได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและการเชื่อมต่อทั้งหมดของพวกมันก็ได้ถูกส่งมาที่มิสทิค ภาพของเธอที่คร่ำครวญบ่นออกมาทั้งๆที่ควบคุมพวกมันทั้งหมดนี่ดูน่าขำและน่ารักไปพร้อมๆกัน
‘ฉันอยากจะชำแหละร่างราฟาเอลให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้… แต่ฉันคิดว่ายังมีเรื่องอื่นอีกที่เร่งด่วนกว่า’
ยูอิลฮานได้มองไปที่โอโรจิที่กำลังล้อมิสทิคกับมิสทิคที่กัดปากแน่นแต่เธอก็ยังควบคุมการวิวัฒนาการกับดักแห่งการทำลายต่อไป เขาได้หยุดความคิดของเขาเอาไว้และหยักไหล่ออกมา
เวลานี้ยังไม่เหมาะ หากว่าเขาเปิดใช้งานนาฬิกาทรายแห่งการเวลาบนโลกของเขา เขาก็จะจัดการทุกๆเรื่องที่จำเป็นได้จนหมด… แต่ปัญหาคือในตอนนี้เขายังกลับไปโลกของเขาไม่ได้ เพราะหากกลับไปโลกของเขาได้กลายเป็นโลกระดับสูงแน่
การกลับไปที่โลกของเขาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเขาเตรียมตัวทำสงครามจนพร้อมแล้ว
“เสร็จแล้ว”
ในตอนนี้เองมิสทิคได้ส่งเสียงออกมาอย่างดีใจ เธอได้จัดการเปลื่ยนกับดักแห่งการทำลายที่กระจายอยู่ทุกๆพื้นที่ในดาเรย์ไปเป็นกับดักแห่งการฟื้นคืนสำเร็จแล้ว! ยูอิลฮานได้หยักหน้าอย่างพอใจและสั่งเธอทันที
“ดีล่ะ ถ้างั้นมาดูกันว่ากับดักได้ผลดีไหม”
“ฮึ่ม นี่ท่านกำลังดูถูกความสามารถของฉันงั้นหรอ?”
มิสทิคได้ดีดนิ้วขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่โผล่ขึ้นมาตรงมุมปาก ในตอนนี้เองกับดักแห่งการฟื้นคืนที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆในดาเรย์ถูกปลุกขึ้นและปลดปล่อยคลื่นมานาที่ทรงพลังออกมา
[หืม!?]
[ก๊าวซซซ นั่นมันกับ…]
[ข้าต้านทานไม่ได้…!]
[ทั้งๆที่ฉันคิดจะต้าน…!]
[นี่มันโศกนาฏกรรม!]
มอนสเตอร์ที่กำลังต่อสู้กับมังกรและสายพันธ์มังกรได้ตอบสนองกับคลื่นมานานี้ในทันที ต่อให้พวกมันจะเกิดมามีทั้งเลเวลและสติปัญญาที่สูงส่ง แต่พวกมันก็ไม่อาจจะต้านทานออร่าที่ถูกปล่อยออกมาได้ทำให้พวกมันวิ่งเข้าไปหาออร่านั่นอย่างหมดหนทาง! หลังจากได้เห็นแบบนี้ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมา
“การเล่นซ่อนแอบจบลงแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“นายท่านเลวร้ายที่สุด”
“โอ้วว ฉันรู้ถึงพลังแล้วแต่ว่านี่มัน…. เจ้าพวกนี้ถูกดึงดูดกันจนหมดไม่ว่าจะเลเวล 250 หรือ 270 ก็ตาม”
“ในเมื่อถึงขนาดสามารถขังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคลาส 4 เลย”
“สิ่งมีชีวิตชั้นสูง?”
ยูอิลฮานได้ทำการเหยียบย่ำเทคโนโลยีของสวรรค์เหมือนกับของไร้ค่าและตรวจดูกับดักแห่งการฟื้นคืนที่กำลังทำงาน เขาได้หัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
เนื่องจากว่าพรรคพวกของเขาได้จัดการมอนสเตอร์จำนวนมากไปแล้วทำให้กับดักแห่งการฟื้นคืนยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม แต่ว่าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการล้นของมานาเลย ภายใต้การควบคุมของมิสทิค กับดักแห่งการทำลายได้ทำงานอย่างหมดจดไร้ซึ่งการเกิดปฏิกิริยามานาใดๆ
[พ่อครับ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?]
ยูมิลที่กำลังสนุกกับการนับทัพมังกรได้บินตรงเข้ามาหายูอิลฮานก่อนถามออกมา ยูอิลฮานได้ลูบหัวของยูมิลและอธิบายสถานการณ์คร่าวๆออกไป
“มอนสเตอร์ที่เกิดในดาเรย์ทั้งหมดจะถูกดูดเข้าไปในกับดักแห่งการฟื้นคืนอัตโนมัติ ลูกก็แค่ต้องทำทีมมังกรกับสายพันธ์มังกรที่เหมาะสมส่งเข้าไปในดันเจี้ยนเท่านั้นเอง”
[พ่อน่าทึ่งจัง!]
ความรู้โดยทั่วไปของกองทัพสวรรค์คือมอนสเตอร์คลาส 4 ไม่อาจจะถูกกับดักแห่งการทำลายกักขังได้ ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้สร้างกับดักแห่งการฟื้นคืนที่ทำลายความรู้พื้นฐานของกองทัพสวรรค์ทิ้งไปจนหมด
ระบบคุกแบบใหม่นี้มีเพียงแค่ยูอิลฮานกับมิสทิคเท่านั้นที่ควบคุมได้ มันจะกักขังมอนสเตอร์ทั้งหมดในดาเรย์ ยกเว้นก็แค่มังกรกับสายพันธ์มังกร
“อิลฮาน ฉันได้ยินมาว่านายจะทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่ากับดักแห่งการฟื้นคืนแต่นี่มันน่ากลัว…”
“น่ากลัวอะไรกัน? นี่มันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้นเองนะ ฉันจะกระจายมันไปในโลกอื่นๆด้วยเมือนกัน เพราะงั้นระหว่างรอก็จัดการกวาดล้างดันเจี้ยนไปพลางๆนะ โอ้ก่อนหน้านั้นก็”
เขาจะต้องเติมเต็มในคำสัญญาก่อน ยูอิลฮานได้มองไปที่สายพันธ์มังกรที่เสียศัตรูไปจากกับดักแห่งการฟื้นคืนและมองกลับมาที่พรรคพวกของเขา
“ทุกๆคนเลือกมังกรที่พวกเธอคิดว่าสู้ได้ดีมาคนล่ะหนึ่งตัว เริ่มจากมิลเลย”
[ก๊าซซซว!]
[ท่านผู้สูงส่งกำลังให้โอกาสเรา!]
ต่อให้พวกสายพันธ์มังกรจะได้เฝ้ามองการกลายเป็นมังกรของหมายเลขหนึ่งมา แต่ว่าพวกมันก็ยังไม่เชื่อในตัวเขาอย่างเต็มที่ แต่ว่าในตอนนี้หลังจากได้ยินคำพูดของเขาได้ทำให้พวกมันกลายเป็นยินดี
ยูอิลฮานไม่ได้โกหก! พวกเขากำลังจะกลายมาเป็นมังกรจริงๆ! พวกเขาสามารถจะยืนยันถึงพลังของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดที่อยู่ในกองทัพดราก้อนเนสได้ในระหว่างสู้ด้วยกัน เพราะงั้นความต้องการในการเป็นมังกรของพวกเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาทันทีที่เห็นแบบนี้
‘ฟู่ ฉันรักสายพันธ์มังกรจริงๆ เจ้าพวกนี้อ่านออกง่ายมาก’
“นายท่าน หน้าน่ะ หน้านายท่านตอนนี้ดูเหมือนกับพวกตัวโกงขึ้นทุกทีแล้วนะ”
สิ่งมีชีวิตชั้นสูงของกองกำลังดราก้อนเนสมี ยูอิลฮาน เฮเรียน่า ยูมิล เลียร่า เอิลต้า คังมิเรย์ นายูนา คิมเยซอล พีท จิล มิไร เอริเซีย มิลฟ่า โอโรจิและมิสทิค มีทั้งหมดสิบกคน เพราะงั้นจำนวนสายพันธ์มังกรที่จะได้กลายมาเป็นมังกรก็คือ 16 ตน
ยังไงก็ตามนี่ก็มากพอแล้ว
[ขอบคุณครับท่านเทพ!]
[ก๊าซซซซซ! มังกร มานาของมังกร สายเลือดมังกร! ทั้งหมดนี่กำลังไหลเวียนในตัวฉัน!]
[ฉันด้วย! ในคราวหน้าฉันจะเป็นมังกรให้ได้!]
[ดันเจี้ยน! ไปกวาดล้างดันเจี้ยนกัน!]
สายพันธ์มังกรทั้งหมดได้มองไปที่ญาติพี่น้องที่เกิดใหม่ขึ้นมาเป็นมังกรด้วยสายตาเป็นประกาย พวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความต้องการที่จะเป็นมังกรในคราวถัดไป! ยูอิลฮานได้พูดกับพวกเขาด้วยรอยยิ้มเมตตา
“ตราบใดที่พวกนายสร้างผลลัพธ์ที่เหมาะสมขึ้นมาได้ ฉันก็จะทำให้พวกนายทั้งหมดกลายมาเป็นมังกร ตอนนี้สายพันธ์มังกรทุกๆตนสามารถจะเข้าออกดันเจี้ยนได้อย่างอิสระ เพราะงั้นเชิญไปอารวาดได้เต็มที่เลย”
[เข้าใจแล้วครับ!]
[เข้าใจแล้ว!]
[เจ้าโง่! แสดงความเคารพของท่านผู้ปกครองซะ!]
สายพันธ์มังกรได้กระจายกันพุ่งตัวไปทางดันเจี้ยนต่างๆในทันที พรรคพวกของยูอิลฮานได้แต่มองอย่างตกตะลึง ยูอิลฮานก็ได้หันไปมองด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นฉันก็ไปก่อนนะ น่าจะใช้เวลาไม่นานหรอก โอ้ เธอช่วยเอาป้อมปราการผู้พิทักษ์กับสมาชิของเราสองสามคนไปที่โลกเราทีนะ ช่วยฉันหน่อยได้ไหมมิเรย์? ฉันคิดว่าการย้ายผู้คนมาที่ดาเรย์มันดีกว่าน่ะ”
“ได้สิ”
“ทุกๆคนก็ระวังตัวกันเอาไว้ด้วยนะ มันมีความเป็นไปได้สูงว่าเร็กน่าจะบุกเข้ามาในดาเรย์ ฉันได้เตรียมทุกๆอย่างเอาไว้แล้วเพราะงั้นการสู้กับพวกมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรสำหรับพวกเธอ”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากสั่งการณ์เรียบร้อยแล้ว ยูอิลฮานก็ได้พามิสทิคกับโอโรจิที่อยู่บนป้อมปราการลอยฟ้าออกไป จำนวนของกับดักแห่งการทำลายในช่องเก็บของของเขาก็คือ 6,938 อัน เมื่อเขาได้กระจายทั้งหมดนี่ไปตามโลกต่างๆจนหมด.. นี่คือก็ชัยชนะ
‘ต่อให้ล้มเหลว ฉันก็ยังชนะอยู่ดี’
“นายท่าน ท่านทำหน้าชั่วร้ายอีกแล้วนะ!”
ยูอิลฮานกับอีกสองคนได้เดินทางไปสู่โลกอื่นแล้ว
ต่อมาเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นที่รู้จักกันในฐานะเมล็ดพันธ์ในตำนานของหัวหน้าดราก้อนเนส
บทที่ 317 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (1)
ยูอิลฮานได้ไปกระจายกับดักแห่งการฟื้นคืนตามโลกต่างๆที่ยังไม่ได้รวมเข้ากับดาเรย์
แค่โลกล่ะอันก้เพียงพอแล้ว เมื่อมิสทิคได้ทุ่มเทสมาธิของเธอ กับดักแห่งการฟื้นคืนอันที่ถูกทิ้งเอาไว้ก็จะกลืนกินกับดักแห่งการทำลายทั้งหมดในโลกและดูดเอามานามาเปลื่ยนกับดักแห่งการทำลายให้กลายมาเป็นกับดักแห่งการฟื้นคืน
เพราะโลกส่วนใหญ่ไม่ได้กว้างใหญ่เหมือนกับที่ดาเรย์ทำให้การเปิดใช้งานกับดักแห่งการฟื้นคืนให้ปกคลุมทั่วโลกใช้เวลาไม่นานนัก ทุกๆครั้งที่ไปโลกใหม่มิสทิคจะเหนื่อยขึ้นแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง ร่างกายที่ยูอิลฮานได้สร้างให้เธอดีจนไม่น่าเชื่อ
ในตอนที่โลกที่พวกเขาได้ไปมีประมาณ 26-27 โลก ยูอิลฮานก็ได้เจอเข้ากับทูตสวรรค์อีกสองตน เพราะการกระทำของยูอิลฮานที่ทำให้สงครามสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจบลง ทูตสวรรค์ระดับต่ำก็เลยได้กลับมาทำหน้าที่เดิมของพวกเขา
[หืม?]
[เดี๋ยวนะ ฉันคิดว่ามีอะไรบางอย่างเปลื่ยนไป]
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้ถึงการมาของยูอิลฮานและการติดตั้งกับดักแห่งการฟื้นคืน แต่ว่าพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงกับดักแห่งการทำลายที่เปลื่ยนแปลงไป พวกเขาคงติดตั้งเวทย์ตรวจจับบางอย่างไว้กับกับดักแห่งการทำลายเพื่อทำให้มีการทำงานที่ประสิทธิภาพ
สิ่งแรกที่พวกเธอสัมผัสได้เลยก็คือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกับดักแห่งการทำลาย จากนั้นสัญญาณทั้งหมดของกับดักแห่งการทำลายที่มีอยู่บนโลกนี้ก็ได้ถูกตัดขาดไปพร้อๆกัน
[กับดักแห่งการทำลายได้ถูกทำลายลงแล้ว!]
[บ้าน่า กับดักแห่งการทำลายไม่มี… เดี๋ยวสิ ทำไมถึงไม่มีการพังของดันเจี้ยนล่ะ…!]
[กับดักแห่งการทำลายกำลังเปลื่ยนแปลงไป นี่มัน… กำลังเกิดอะไรขึ้นกัน?]
ทูตสวรรค์ต่างตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้รายงานไปยังเพื่อบนก่อนที่จะเร่งรีบพุ่งไปทางกับดักแห่งการฟื้นคืน มิสทิคที่กำลังทำการกลืนกินตรงๆอยู่ได้หันมาถามกับยูอิลฮาน
“นายท่าน พวกทูตสวรรค์กำลังคิดจะตรวจสอบอะไรบางอย่าง ปล่อยไว้จะไม่เป็นไรหรอ?”
“ไม่ต้องสนใจหรอก ต่อให้เป็นพระเจ้ามาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ในทันทีที่มีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงคนไหนพยายามจะแทรกแซงกับดักแห่งการฟื้นคืน กับดักแห่งการฟื้นคืนแต่ล่ะอันภายในโลกก็จะปะทุความบ้าคลั่งพลังขึ้นมา”
“จริงด้วย มีอะไรแบบนี้ติดตั้งอยู่ด้วย”
และเมื่อเกิดการปะทุพลังความบ้าคลั่งของกับดักแห่งการฟื้นคืนขึ้น สัญญาณก็จะถูกส่งกลับไปที่ยูอิลฮานกับมิสทิค ต่อให้พวกเขาจะมาช้าก็ไม่มีปัญหาอะไร กับดักทั้งหมดจะทำลายตัวเองก่อนที่จะมีใครมาวิเคราะห์ ยูอิลฮานได้อธิบายเรื่องนี้ออกมาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“หลังจากได้ลองตรวจสอบเร็กน่า นี่คือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มาจากพระเจ้า”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว นายท่านชั่วร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก”
“ดูเหมือนพวกนั้นจะรู้ตัวกันแล้วนะ”
หลังจากทูตสวรรค์ได้เห็นอาร์ติแฟคที่สร้างมาจากเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่รู้จักก็ได้ตื่นตระหนกกันขึ้นมา
[เราจะทำยังไงกับสิ่งนี้กันดี]
[… เราต้องออกไปมาจากที่นี้ ฉันไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะทำอะไรแต่ว่าหากเราไปแทรกแซงมันโดยไม่ระวังตัวได้เกิดหายนะขึ้นมาแน่ พวกเราทำได้ก็แค่ต้องกลับไปที่สวรรค์ก่อน]
[แต่ว่าทูตสวรรค์ระดับสูง หรือต่อให้เป็นท่านเทวทูตจะแก้ปัญหานี้ได้หรอ?]
[หากว่าเจ้าของแบบนี้กระจายอยู่ทั่วโลกได้มีปัญหาหนักกว่านี้แน่]
[อ๊าา… ทั้งๆที่สงครามเพิ่งจะจบลงเองนะ ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วล่ะ?]
[หากว่ามีสิ่งมีชีวิตทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นที่นี่เราก็ทำได้แต่ต้องสูง ยังไงก็ตามตอนนี้เรากลับกันก่อนเถอะ]
ดูเหมือนว่าทูตสวรรค์ในโลกใบนี้จะมีศักยภาพกันอยู่พอตัว ยูอิลฮานได้หยักหน้ายิ้มๆออกมา ตราบใดที่พวกเขาไม่ประมาท เรื่องที่พวกเขากังวลกันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ไม่ใช่เพียงแค่นี้ แต่ยังมีเรื่องที่ไม่ต้องกลัวเรื่องการล้นของมานา ไม่ต้องกลัวเรื่องที่พระเจ้ากำลังพยายามจะทำอะไรกับพวกเขา นี่มันดีขนาดไหนกันล่ะ!? กับดักแห่งการฟื้นคืนคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“ไม่ใช่ว่านายท่านควรจะไปติดต่อโน้มน้าวพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะทำอะไรแย่ๆหรอกหรอ?”
“นี่เธอพูดอะไรน่ะ ในท้ายที่สุดพวกทูตสวรรค์ก็เป็นแค่พนักงานเงินเดือนที่ได้แต่ทำตามคำสั่งที่สั่งลงมาเท่านั้นหรอก ต่อให้ฉันบอกไปจะมีอะไรเปลื่ยนกันล่ะ?”
ยิ่งหากยูอิลฮานไปติดต่อกับพวกกองทัพสวรรค์มากกว่าที่จำเป็นอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพสวรรค์ด้วยซ้ำไป
ปัญหาที่ใหญ่สุดเลยก็คือคนที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าอาจจะยังติดต่อกับกองทัพสวรรค์อยู่ก็ได้ หากว่ายูอิลฮานไปอธิบายให้พวกเขาฟังไม่เท่ากับเป็นการอธิบายให้คนที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้ารู้เลยหรอกหรอ นี่มันน่าโมโหมากเลยนะ! ทุกๆอย่างจะพังไปในทันทีที่เขาถูกคนอื่นจับได้ เพราะงั้นการจัดการทุกๆเรื่องเองมันสะดวกสบายกว่ามาก!
“ทั้งๆที่นายท่านได้สร้างองค์กรสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้นมาแล้วกลายเป็นหัวหน้าแล้ว แต่ท่านก็ยังทำอะไรตามลำพังเหมือนอย่างเคยเลย…”
“ช่างฉันเถอะน่า”
“นายท่านเสร็จแล้ว ไปโลกต่อไปกัน!”
มิสทิคดูมีชีวิตชีวากับการควบคุมกับดักแห่งการฟื้นคืนแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะการที่เธอได้รวบรวมบันทึกต่างๆผ่านกับดักแห่งการฟื้นคืนก็ได้ โอโรจิที่รู้แบบนี้ได้หน้าซีดขึ้นมา
“ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าฉันจะถูกแซงหน้าไปหรอ?”
“นายรู้ตัวช้าไปแล้วนะ สู้ๆแล้วกันนะโอโรจิ”
“ขี้โกง! นี่มันโกงกันชัดๆ!”
“ถ้างั้นนายก็อยากจะมาจัดการควบคุมกับดักแห่งการฟื้นคืนเหมือนกันสินะ?”
นี่มันเป็นไปไม่ได้ โอโรจิได้กลืนน้ำลายอย่างอึดอัดใจและทำได้แค่เฝ้ามองดูมิสทิคแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา!
“นายท่าน ฉันยิ่งกลายเป็นจัดการมันได้ดียิ่งขึ้นแล้ว ฉันคิดว่าเราจะเพิ่มความเร็วกันอีกนิดก็ได้นะ!”
“เยี่ยมมาก ทัศนคติของเธอแบบนี้นี่แหละจะทำให้เธอแกร่งขึ้น!”
“อ๊าา ถูกผู้หญิงคนนี้แซงหน้า… นี่มันยอมรับไม่ได้!”
กระบวนการกลืนกินของโลกได้เป็นไปอย่างราบรื่น ภายในเวลาแค่สี่วันก็มีนับพันโลกแล้วที่มีกับดักแห่งการทำลายเปลื่ยนมาเป็นกับดักแห่งการฟื้นคืน
“นายท่านฉันคิดว่ากับดักที่ท่านสร้างจะครอบคลุมไปทั่วโลกได้เลยนะ”
“ท่านกำลังพิชิตทุกๆโลกด้วยวิธีที่ไม่น่าเชื่อ… นายท่านนี่หลังจากจัดการโลกระดับต่ำเสร็จแล้วท่านก็ยังคิดจะไปโลกระดับสูงด้วยสินะ?”
“นี่กำลังพูดอะไรกันอยู่ นี่นายคิดว่าโลกระดับต่ำทั้งหมดที่ฉันต้องไปมีมากขนาดไหนกัน?”
ยูอิลฮานได้อธิบายออกมาสั้นๆ
“แต่แน่นอนว่าฉันได้ทำกับดักแห่งการฟื้นคืนขึ้นมา เพราะงั้นมันจะเชื่อมไปมิติไปโลกอื่นและกลืนกินโลกนั้นด้วย มิสทิค ฉันคิดว่าในตอนนี้เธอน่าจะพอรู้สึกได้แล้วนะ”
“…”
“ก็จริง ฉันรู้สึกได้ถึงสัญญาณ…”
โอโรจิกับมิสทิคได้คิดขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่จะเข้าใจยูอิลฮาน!
ในตอนที่ยูอิลฮานได้มาถึงโลกที่ 32,918 พวกเขาก็ได้เจอเขากับแขกที่คาดไม่ถึง
ระหว่างที่กับดักแห่งการฟื้นคืนกำลังทำการกลืนกินอยู่นั้นเอง จู่ๆเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้โผล่ขึ้นมาปกคลุมทั่วทั้งโลก
“มิคาเอล? ไม่สิ…”
ยูอิลฮานได้มองดูเพลิงที่ดูคล้ายกับมิคาเอลแต่แล้วก็รู้ว่านี่มันอ่อนกว่ามาก จากนั้นเองคนที่ให้คำตอบก็โผล่ออกมา ยูเรียลก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้ไฟที่มีชื่อเสียงในสี่ยอดเทวทูตเช่นกัน เขาคนนั้นได้มาที่โลกใบนี้แล้ว
[อยู่ที่นี่สินะยูอิลฮาน]
ยูเรียลได้ใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเขาค้นหาตัวยูอิลฮาน แต่ว่าหากยูอิลฮานไม่ตั้งใจเผยตัวออกมาเองมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ในท้ายที่สุดยูเรียลก็ได้พูดเสียงดังกังวาลไปทั่วทั้งโลก
[กาเบรียลได้บอกฉันมาแล้ว นายน่าจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม?]
“…”
ต่อให้เป็นสี่ยอดเทวทูต แต่หากว่าไม่มีการพูดถึงกาเบรียลยูอิลฮานก็คงจะไปแล้ว!
ในตอนนี้คนที่ยูอิลฮานเป็นกังวลในเทวทูตที่เหลืออยู่ทั้งสามคนก็คือกาเบรียล
[ฉันอยากจะคุยกับนาย นี่ไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับนายด้วยเหมือนกัน มาคุยกันสักเดี๋ยวได้ไหม?]
“นายท่าน เอายังไงดีล่ะ?”
ยูอิลฮานได้คิดขึ้นกับตัวเอง – ไม่ว่าจะเป็นกับดักหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการนำปัญหามาให้หรือไม่ก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาจะได้รู้ความจริงที่เขากังวลอยู่หรือไม่ก็ตาม
หลังจากที่เขาได้สรุปเรื่องทั้งหมดนี้ เขาได้ยกมือขึ้นบนท้องฟ้า จากบนมือของเขาได้มีมานาจำนวนมหาศาลถูกปล่อยออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งโลก
[สกิลจ้าวมิติทำงาน!]
เพราะแบบนี้ทำให้ประตูมิติสู่โลกใบนี้ได้ถูกปิดลงชั่วคราว จากนั้นยูอิลฮานกับพรรคพวกของเขาอีกสองคนก็ได้เผยตัวออกมา ยูเรียลที่เห็นแบบนี้ได้บินมาหาทันที
[การที่จะได้เจอนายนี่มันยากมากเลยนะ สมแล้วกับฉายาผู้โดดเดี่ยว]
“นี่กะจะมาหาเรื่องฉันในทันทีที่เจอเลยงั้นหรอ? แล้วเรื่องที่จะคุยเมื่อกี้ไปไหนซะแล้วล่ะ?”
ยูเรียลเป็นผู้หญิง และเป็นผู้ที่ครอบครองผมสีขาวบลอนด์งามและนัยน์ตาสีทอง แน่นอนว่าหอกของยูอิลฮานไม่มีวันจะทื่อต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้หญิงก็ตาม ในอดีตหอกของเขาได้ตัดผู้หญิงมานักต่อนักแล้ว!
นอกไปจากนี้คำพูดทำร้ายจิตใจของเธอก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้ยูอิลฮานเพิ่มความเป็นศัตรูขึ้นไปถึงขีดสุด
[ฉันไม่ได้อยากจะทำให้นายมาเป็นศัตรูหรอกนะ แต่ว่าฉันได้เสียสหายที่อยู่ร่วมกันเป็นล้านๆปีไป]
“อยากจะให้ฉันส่งเธอไปอยู่กับเขาไหมล่ะ?”
[ฉันไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่ว่ามีผู้ชายแค่ไม่กี่คนที่สบตากับฉันตรงๆได้… น่าทึ่ง]
“ฮึ่ม”
เธองั้นหรอ? ต่อให้เป็นเฮเรียน่าก็ยังทำอะไรกับเขาไม่ได้เลย ยูเรียลได้ยิ้มแห้งๆออกมากับความคิดนี้ของเขาและชูมือสองข้างขึ้นมาเพื่อบอกว่าเธอไม่ได้มีเจตนาร้าย
[ก็อย่างที่รู้เพลิงของฉันไม่อาจจะเหนือกว่านายได้ ต่อให้ฉันจะใช้พลังของผืนดินด้วย แต่ว่านั่นก็ไม่ได้ผลกับนายเหมือนกัน นายก็น่าจะรู้นะว่าฉันไม่มีโอกาสชนะเลย]
“ใช่ ฉันรู้ เพราะแบบนั้นฉันถึงได้สงสัยว่าทำไมเธอถึงได้แสดงตัวออกมาค้นหาฉัน”
[ฉันอยากจะมาขอร่วมทาง]
“ร่วมทาง?”
มาขอร่วมทางกับคนที่ฆ่าหนึ่งในสี่ยอดเทวทูตไปและยังเป็นหนึ่งในหัวหน้ากองกำลังเนี้ยนะ? นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระที่รองลงมาจากการเสนอเป็นพันธมิตรจากความโลภเลยนะ
ยูเรียลที่เห็นยูอิลฮานแสดงความสงสัยออกมาทำให้เธอได้หัวเราะขึ้นและพูดต่อ
[ฉันพอจะรู้สึกที่นายกำลังทำอยู่ในตอนนี้อยู่เล็กน้อย นายกำลังเคลื่อนไหวเพื่อที่จะทำให้ไม่เกิดความเสียหายจากการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไปจนถึงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำถูกไหม?]
“ไม่ ฉันก็แค่เอาชีวิตรอดเท่านั้น”
[ถึงนายจะพูดแบบนัน แต่นายก็กำลังหาวิธีที่จะช่วยผู้คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ใช่ไหมล่ะ?]
ยูอิลฮานได้เริ่มที่จะรู้สึกไม่สบายใจแล้ว สิ่งที่เขาทำก็แค่การปกป้องตัวเขาเองกับคนใกล้ชิดเท่านั้น การที่มีคนมาพูดว่าสิ่งที่เขาทำเป็นนักบุญที่กำลังช่วยทุกๆคนอยู่มันทำให้เขารู้สึกรำคาญใจมาก ยูเรียลก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้และหยักไหล่ออกมา
[นั่นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอกนะ ฉันมาหานายตามคำพูดของกาเบรียลและฉันอยากที่จะเฝ้าสังเกตการกระทำของนายในฐานะที่ฉันเป็นตัวแทนกองทัพสวรรค์ หากมีฉันอยู่ด้วยนายก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องการปะทะกับกองทัพสวรรค์]
ทำไมเธอถึงได้พูดเหมือนแก้ตัวล่ะ? ยูอิลฮานรู้สึกเหมือนกับเขากลายมาเป็นตัวเอกอยู่และตอบเธอกลับไป
“ยังไงก็ตาม การที่เธอมาติดตามฉันทั้งๆที่ฉันไม่รู้เลยว่ามีอะไรแปลกๆบ้างที่ซ่อนอยู่ในพวกเธอมันรบกวนฉันมาก”
[ฉันคิดหนึ่งในสี่ยอดเทวทูต บันทึกของฉันไม่ได้รั่วไหลออกไปเหมือนทูตสวรรค์คนอ่นๆ อย่างน้อยที่สุดก็กับพวกทูตสวรรค์คลาส 7 คนอื่นๆ]
นี่คือสิ่งที่ได้พิสูจน์ในสมมติฐานของยูอิลฮาน พระเจ้าได้แบ่งบันทึกที่สำคัญของตัวเขาให้กับสี่ยอดเทวทูต ไม่เช่นนั้นแล้วเธอก็คนจะไม่กล้าพูดแบบนี้แน่
“ฉันรู้ฉันน่าจะวิเคราะห์ซากของราฟาเอลที่เหนือก่อนสินะ”
[แล้วจะเอายังไงล่ะ? จะยอมรับคำขอของฉันไหม?]
ยูอิลฮานได้หยักไหล่ออกมา นี่มันเพราะว่าเขาจำได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่ราฟาเอลเดินทางกับเขาไปฆ่าคนทรยศกองทัพสวรรค์
ยังไงก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ต่างไปจากตอนนั้น ยูเรียลไม่มีวิธีที่จะแทรกแซงยูอิลฮานได้ และตัวเขาในตอนนี้ก็ยัง…
“ได้ ฉันจะไปกับเธอ แล้วก็นะฉันไม่รู้ว่าเธอจะรู้ไหม แต่ว่ายังมีโลกระดับต่ำอีกมากที่เหลืออยู่”
[ใช่ ฉันได้ยินมาแล้วว่ากับดักของนายมีความสามารถอยู่มาก แต่ยังไงก็ตามงานของนายยังไม่เสร็จใช่ไหมล่ะ?]
“เธอพูดถูก”
ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมา บางทีอาจจะมาค้นหาเขาหลังจากรู้เรื่องนี้เหมือนกัน มันไม่มีทางเลือกเรื่องนี้งั้นหรอ?
ถ้างั้นเขาก็ได้แต่เดินทางร่วมกับเธอจนกว่าที่ม่านแห่งสงครามจะถูกเปิดขึ้น
ยูอิลฮานได้ขบริมฝีปากเปิดใช้สกิลข้ามมิติไปพร้อมกับโอโรจิ มิสทิค และยูเรีบล นี่คือช่วงเวลาสำหรับบทส่งท้ายที่เป็นความจริงของเรื่องแล้ว
บทที่ 318 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (2)
ไฮเชียคือโลกระดับต่ำที่ยังเหลืออยู่ที่เขาไม่ได้มามานานแล้ว หลังจากครั้งก่อนที่ยูอิลฮานได้กวาดล้างมอนสเตอร์ไปความเป็นอยู่ของผู้คนได้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังคงมีการปะทะกับมอนสเตอร์ที่รุนแรงอยู่ดี และเรื่องที่น่าประหลาดใจที่สุดเลยก็คือ…
“…โลกนี้เหมือนกับจะมาอยู่ใต้การปกครองของฉันได้ตลอดเวลาเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันล่ะ?”
[ฉันได้ยินมาว่านายได้แสดงปาฏิหาริย์ขึ้นบนโลกใบนี้ คนทั้งโลกไฮเชียได้บูชานายเหมือนกับพระเจ้าไปแล้ว หากนายเผยตัวออกมาในตอนนี้อาจจะเป็นการกดสวิตเลยก็ได้]
ทั้งๆที่ในตอนเก็บกวาดมอนสเตอร์เขายังไม่ได้เผยตัวออกมาเลยเนี้ยนะ!? ในระหว่างคิดแบบนี้เขาก็ยังรู้ตัวว่านี่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เมื่อเขาได้เผยตัวออกมาและแสดงสิ่งที่คล้ายปาฏิหาริย์ให้คนที่นี่ได้เห็น ผู้คนก็จะเลือกติดตามขาแน่นอน ศรัทธาได้กระจายไปในหมู่มนุษยชาติในโลกใบนี้จนหยั่งรากลึ้งและทำให้ไฮเชียได้กลายมาเป็นโลกภายใต้การปกครองของเขา นี่มันอาจจะหลอมรวมเข้ากับดาเรย์ในทันทีอีกด้วย
เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นมาจากการที่แค่เขาอยากจะยืนยันความปลอดภัยของพ่อเขา ยูอิลฮานรู้สึกประหลาดใจมากๆกับการบูชาที่โลกใบนี้มีต่อเขา ยูเรียลได้ยิ้มพูดออกมา
[เทพองค์ที่ห้าและเป็นดาวที่เปร่งประกายมากที่สุด? นี่มันคือความจริง ไม่เคยมีเทพคนไหนที่รวมโลกระดับต่ำได้ นายคิดยังไงล่ะ? นายยังจะคิดว่านายเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่อีกหรอ ทั้งๆที่การกระทำเล็กๆน้อยๆของนายเป็นการทำให้มีคนรอดชีวิตมากมาย]
“ใช่แล้ว ตราบใดที่คนรอบตัวฉันปลอดภัยก็ไม่มีปัญหา เรื่องอื่นฉันไม่สนใจหรอกนะ ต่อให้จะมีคนที่ฉันช่วยเอาไว้มามากมาย แต่ว่านั่นมันก็เพราะหากพวกเขาตายต่อหน้าฉันมันน่าอีดอัดเท่านั้นเอง ฉันไม่ใช่ฮีโร่ ฉันเกลียดการเป็นฮีโร่สุดๆเลยล่ะ”
[ฟุฟุ ที่นายได้คุณสมบัติในการเป็นเทพก็น่าจะเพราะนายเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักจริงๆ]
ยูเรียลได้ยิ้มออกมา นี่เขาทำผิดหรือป่าวนะ? ภาพของยูอิลฮานที่เป็นมิตรกับเขาในตอนนี้ต่างจากตัวเธอในโลกก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ยูอิลฮานได้ตัดสินว่านี่มันอาจจะเป็นเพราะในโลกใบนี้ไม่ได้มีร่องรอยกองทัพสวรรค์ใดๆอยู่เลยก็ได้ หรือก็คือนี่มันทำให้เธอซื่อตรงกับเขามากกว่าเดิม
“กองทัพสวรรค์ได้ทอดทิ้งโลกใบนี้ ไม่สิพวกเธอพลาดไป?… หรือว่าตั้งใจล่ะ?”
[กองทัพสวรรค์ได้ดูแลจัดการโลกจำนวนนับไม่ถ้วน นี่ก็คือสิ่งที่เราสี่ยอดเทวทูตใช้รับมือกับสิ่งที่เกินกำลัง]
เธอได้ยอมรับออกมาตรงๆว่าเธอเป็นคนทำมัน
“แล้วทำไมพระเจ้าถึงได้เชื่อในตัวพวกเธอแล้วแบ่งพลังให้กันล่ะ?”
[มันไม่ใช่ว่าเขาได้มอบพลังส่วนหนึ่งให้กับเราหรอกนะ นี่มันคือการหวนคืนเท่านั้นเอง ในระหว่างกระบวนการนี้ลูซิเอลได้กลายมาเป็นซาตานในระหว่างที่พระเจ้าหายตัวเอง และสี่ยอดเทวทูตก็ได้ครอบตำแหน่งสูงสุดในสวรรค์]
แค่การพึมพัมของเขากับตัวเองได้ทำให้เราได้รับคำตอบที่ไม่น่าเชื่อออกมา และเพราะแบบนี้ทำให้ยูอิลฮานสงสัยในคำพูดของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ยังไงก็ตามเมื่อเขาคิดไปถึงคำพูดที่คนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นพระเจ้าพูดกับคังมิเรย์ ยูอิลฮานก็ยอมรับในเรื่องนี้
“ทำไมเธอถึงได้บอกกับฉันกันล่ะ?”
[ในตอนนั้นพวกเราทุกคนยังเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ แต่แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ? ความเป็นหนึ่งเดียวกันของพวกเขาได้ถูกแย่งออกเป็นเศษเสี้ยวต่างๆ มิคาเอลอยากที่จะทำตามกฏเดิมของพระเจ้าคนเก่า ส่วนราฟาเอลอยากที่จะให้มิคาเอลเข้าแทนที่พระเจ้า… ฉันไม่อาจจะทนดูพวกเขาเดินไปในเส้นที่พวกเขาเองก็รู้ว่ามันผิดได้…]
“แล้วกาเบรียลก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกันสินะ?”
มุมปากยูเรียลได้ยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มบางๆ
[ฉลาดอย่างที่คิดเลย]
“ฉันอยากจะได้ยินส่วนต่อไปจากปากกาเบรียลเอง”
ยูอิลฮานได้ยกมือของเขาขึ้นมา
ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในจุดสูงสุดของการซ่อนตัวแล้ว เขาได้ตวัดมือลงมาเบาๆทำให้คนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในท้องฟ้าต้องเผยตัวออกมา
เขาคนนี้คือคนที่ยูอิลฮานรู้จักเป็นอย่างดี แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นคนที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
“เพราะงั้น…. คุณช่วยพ่อผมในเรื่องนั้นได้ไหมครับพ่อ?”
หนึ่งในสี่ยอดเทวทูตที่ซ่อนตัวอยู่ กาเบรียล ในเวลาเดียวกันเขาคนนี้ยังเป็นหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดง รวมไปถึงพ่อของยูอิลฮานอีกด้วย
ยูยงฮานได้ยืนอยู่ตรงนี้
[ได้เลยลูกพ่อ ตอนนี้พ่อจะเล่าทุกๆเรื่องให้ลูกฟังเอง]
[พยายามมาตลอดเลยนะกาเบรียล]
[งานนี่มันถูกลูกชายของฉันจัดการไปแล้ว … ขอโทษนะที่ทำให้ลูกต้องเป็นห่วงมาตลอด]
ในขณะเดียวกันยูอิลฮานรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เอ่อล้นมาจากภายใน แต่เขาก็ห้ามมันเอาไว้และหัวเราะออกมา
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ตัวตนของพ่อจืดจางจนผมชอบลืมไปบ่อยๆเลย”
[พ่อไม่ได้กำลำพูดเรื่องนั้น ที่พ่อกำลังพูดถึงเลยก็คือการที่ลูกต้องมาดูแลพ่อที่ไม่คู่ควรคนนี้]
“…”
ยูอิลฮานมีคำพูดมากมายที่อยากจะบ่นใส่พ่อเขาออกไปเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง ยังไงก็ตามเมื่อได้มาเจอกันอีกและได้เห็นสภาพของพ่อของเขาที่ดูโทรมทำให้อิลฮานลืมเรื่องพวกนั้นไปจนหมด
จริงๆแล้วเขาก็พอจะรู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ เขาเริ่มสงสัยตั้งแต่ในตอนที่เขาได้เป็นจ้าวแห่งการซ่อนตัวตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ จากการที่ทูตสวรรค์เข้ามาช่วยสนับสนุนเขาในเวลาที่เหมาะเจาะ เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกเมื่อไม่อาจจะหาร่องรอยของพ่อเขาได้ในไฮเชีย ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเมื่อได้เจอแม่ของเขาที่อยู่ในโลกของสวนอาทิตย์อัสดงที่ซึ่งมิติเวลาถูกหยุดนิ่งเอาไว้ และในท้ายที่สุดเขาก็ได้รู้ถึงตัวตนของพ่อเขาในตอนที่เขาได้ต่อต้านสวรรค์
ยังไงก็ตามเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี เขาอยากจะให้พ่อเขาเป็นคนธรรมดา เขาอยากจะให้พ่อเขาไม่ต้องรับรู้ถึงแรงกดดันที่เขาแบกรับอยู่ เขาอยากที่จะให้พ่อของเขามีชีวิตที่ปกติสุข
แต่มันก็เท่านั้นเขาไม่อาจจะหลีกหนีไปจากความจริงตรงหน้าได้
ยูอิลฮานได้ถามขึ้นมา
“พลังในการเห็นอนาคตมีแค่พ่อคนเดียวที่มีใช่ไหม?”
[ถูกแล้ว นี่คือสิ่งที่พ่อมีมาตั้งแต่ที่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเลย ในตอนที่มิคาเอลถามว่าพ่อเอาชนะหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงได้ไหม พ่อเกือบจะหลุดขำออกมาแน่ะ]
เมื่อพ่อของเขาได้หัวเราะออกมา ยูอิลฮานก็หัวเราะตามเช่นกัน โอโรจิกับมิสทิคได้ยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ ส่วนยูเรียลได้เฝ้ามองการกลับมาเจอกันของพ่อลูกด้วยรอยยิ้ม
“แล้วพ่อสร้างสวนอาทิตย์อัสดงเมื่อไหร่กันล่ะ?”
[ก็เป็นในตอนที่พ่อรู้สึกว่ามิคาเอลเปลื่ยนไป ซาตานได้สร้างกองทัพจรัสแสงขึ้นมาต่อต้านมิคาเอล แต่ว่าพ่อรู้สึกว่ามันยังไม่พอ แล้วลูกรู้อะไรไหม? การสับรางนี่มันยากกว่าที่พ่อคิดอีกนะ มันไม่ได้เป็นไปตามที่พ่อต้องการเลย]
“แน่นอนสิ แม้กระทั่งเวลามาใช้กับครอบครัวยังยากเลย”
พ่อของเขาได้ถูกกระตุ้นและตอบกลับไป
[แต่ว่าพ่อก็ยังคงบรรลุเป้าหมายอยู่ดี]
“แล้วเป้าหมายของพ่อคืออะไรกันล่ะ?”
[เผชิญหน้ากับพระเจ้า ทำให้มีดวงดาวที่เปล่งประกายมากที่สุดเกิดขึ้นมานั่นก็คือลูก รวมไปถึงกำจัดตัวแปรต่างๆที่มีมากมายเท่าที่จะทำได้ด้วย และอย่างสุดท้าย… คือการปกป้องครอบครัว]
ปล่อยเรื่องการเผชิญหน้าหรือดวงดาวอะไรนั่นไว้ก่อนเลย เหตุผลที่สร้างสวนอาทิตย์อัสดงขึ้นมานั่นเพื่อปกป้องครอบครัว? นี่เรื่องพลังในการเห็นอนาคตของพ่อนี่มั่วหรือป่าวเนี้ย? ยูอิลฮานได้หรี่ตาขึ้นมา
“ทั้งแม่ทั้งผม มีอยู่หลายครั้งที่เราทั้งคู่ต่างได้รับความเสียหายจากสวนอาทิตย์อัสดง แล้วนี่พ่ออยากจะให้ผมเชื่อเรื่องนี้หรอ? แล้วก็นะตัวแปรต่างๆ? สวนอาทิตย์อัสดงนี่แหละคือตัวแปรใหญ่ที่สุดที่ไม่มีใครทำอะไรได้!”
[การมองเห็นอนาคตมันไม่ใช่อำนาจที่เบ็ดเสร็จ แล้วพ่อก็ได้แต่เชื่อในผลลัพธ์ที่มองเห็นและทำตามเท่านั้นเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้… ลูกกับแม่ของลูกต้องลำบาก มีอยู่หลายเรื่องที่ไม่ได้เป็นไปตามที่พ่อหวังไว้]
หลังจากยูอิลฮานได้ยินคำสารภาพของพ่อเขา เขาได้คิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องที่สวนอาทิตย์อัสดงเข้ามาเกี่ยวด้วยทั้งหมดต่างก็เป็นเรื่องที่เขาหาทางออกได้ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งทั้งนั้นนี่
สถานที่ที่เป็นแหล่งพลังที่ใหญ่ที่สุดของเขาอย่างดาเรย์ดาเรย์ก็เกี่ยวข้องกับสวนอาทิตย์อัสดงด้วยนี่ แม้กระทั่งลูกชายที่ล้ำค่าที่สุดของเขาอย่างยูมิลก็ยังเป็นเด็กที่เขาได้มาจากเลอซิดน่าที่เป็นผู้ติดตามสวนอาทิตย์อัสดง แม่ของเขาก็ยังได้รับพลังมาจากโลกที่ถูกหยุดนิ่งด้วยถึงแม้ว่าจะต้องอยู่ในกาลเวลาที่หยุดนิ่งจนน่ากลัวก็ตาม
ใช่แล้ว หากมองในผลลัพธ์ก็เป็นแบบนี้แหละ
“แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ให้อภัยพ่อหรอกนะ พ่อยังมีความผิดอยู่ดี ผมต้องกัดฟันแน่นในทุกๆครั้งที่ผมคิดถึงการที่ถูกทิ้งเอาไว้บนโลกได้ยัง”
[พ่อยินดียอมรับโทษทุกๆอย่างเลย พ่อขอโทษจริงๆลูกพ่อ]
ยิ่งพ่อเขาไม่แก้ตัวเลยยิ่งทำให้ยูอิลฮานอึดอัดเอามากๆ หากว่านี่ไม่ใช่พ่อเขาแต่เป็นคนอื่นยูอิลฮานก็คงอัดจนเกือบจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าเขาจะไปทำแบบนั้นกับพ่อเขาได้ยังไงกัน?
นี่มันเพราะยูอิลฮานรู้ดีว่าพ่อขอของเขาคิดยังไงกับลูกของตัวเอง พ่อของเขาทำทุกๆอย่างโดยคิดถึงยูอิลฮานกับคิมเยซอลมาตลอด นี่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหงุดหงิด
“วิธีของพ่อมันผิดเอามากๆ! พวกผมไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนะ!”
[แต่พ่อก็คิดว่านี่มันดีกว่าการต้องตายนะ… แถมพ่อก็ไม่คิดว่าลูกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่รุนแรงแบบนี้ด้วย พ่อขอโทษนะลูกพ่อ]
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
ดีกว่าตาย – เขาไม่อาจจะปฏิเสธคำนี้ได้ในเมื่อเขาได้เห็นการตายมามากมาย ยูอิลฮานคิดว่าเขาจะต้องอัดพ่อให้เจ็บปวดที่สุดแต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่ห่อไหล่
“งั้นกลับไปคุยเรื่องเก่าเถอะนะ”
[นี่ลูกเห็นด้วยกับพ่อแล้วใช่ไหม?]
“ผมไม่เห็นด้วย แต่ว่าเราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
[เข้าใจล่ะ]
เพราะกลัวลูกชายจะคลั่งไปทำให้ยูยงฮานได้เงียบลงในทันที ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมาและหยิบกับดักแห่งการฟื้นคืนมาให้พ่อเขาดู
[โอ้ นี่มัน…]
“ศักยภาพของลูกพ่อไงล่ะ”
แม้ว่าจะไม่มีใครวิเคราะห์ถึงกับดักแห่งการฟื้นคืนที่ติดตั้งไปแล้วได้ แต่ว่าหากได้มาเห็นสภาพก่อนเปิดใช้งานของมันก็พอที่จะมองเห็นฟังก์ชั่นการทำงานได้ แล้วยูยงฮานก็อุทานออกมาหลังจากได้เห็นตามที่เขาคาดเอาไว้
[นี่มันคืออาร์ติแฟคที่น่าทึ่งมากจริงๆ มันคืออาร์ติแฟคที่เต็มไปด้วยการเอาคืนเร็กน่า นอกจากนี้ยังมีความสามารถที่พ่อยังมองไม่ออกอีกด้วย]
“แล้วเกิดอะไรขึ้นพระเจ้าถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
นี่คือคำถามที่สำคัญ เขาต้องการจะรู้ว่าทำไมยูยงฮานถึงได้เป็นทั้งหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงและกาเบรียลในเวลาเดียวกัน รวมถึงเหตุผลที่ทำให้เขาต้องล้มเลิกชีวิตที่โดดเดี่ยวมาเป็นหัวหน้ากองกำลังด้วย
[จริงด้วย พ่อยังไม่ได้บอกลูกสินะ]
กาเบรียล ยูยงฮานดูจะลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะหลับตาไปสักพักก่อนจะเริ่มพูดออกมา
[เอาล่ะนะ…. พ่อคงจะต้องพูดถึงเรื่องหนึ่งก่อนจะเริ่มกัน นั่นก็คือพระเจ้าของกองทัพสวรรค์น่ะไม่ใช่ผู้สร้าง ‘พระเจ้า’ ตามความหมายจริงๆน่ะไม่เคยมีอยู่เลย]
ยูอิลฮานได้นึกไปถึงตอนที่มีข้อความจากเทพแห่งความรักที่บอกว่าพระเจ้าไม่มีอยู่ เพราะงั้นนั่นมันหมายความว่าพระเจ้าไม่ได้มีอยู่จริงๆ
“นี่เพราะจะบอกว่าไม่มีใครที่รู้ว่าผู้สร้างคือใครและไม่รู้ว่าเขาหรือเธอคนนั้นมีตัวตนหรือป่าวถูกไหม?”
[ใช่แล้ว และพระเจ้าจากกองทัพสวรรค์ก็อยากที่จะเป็นผู้สร้าง]
ระหว่างนี้ยูอิลฮานก็นึกไปถึงเร็กน่า รวมไปถึงพระเจ้าที่ติดต่อหาคังมิเรย์
“เขาบอกว่าเขาสร้างมานาขึ้นมา นี่ก็เป็นเรื่องโกหกงั้นหรอ?”
[เป็นเรื่องโกหก เขาได้เกือบจะถึงขอบเขตของผู้สร้างจริงๆ แต่ว่าเขาก็ยังไปไม่ถึง เรื่องทั้งหมดนั่นคือเรื่องโกหก สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาสร้างได้ก็คือโกเล็มเร็กน่าพวกนั้นนั่นแหละ หรือก็คือเขากระทั่งด้อยกว่าลูกอีกด้วยซ้ำไป อย่างเช่นกับดักแห่งการฟื้นคืนนี่ของลูกก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจสร้างได้]
“ทั้งๆที่ผมมีเวลาฝึกแค่พันปีแต่เขากลับด้อยกว่าผมเนี้ยนะ? เป็นคนที่เลอะเทอะจริงๆ…”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้จากยูอิลฮานได้ทำให้ยูยงฮานระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ลูกของเขาได้ไปถึงขอบเขตผู้สร้างที่ไม่เคยมีใครไปถึงและไม่ได้รู้ตัวเลยว่าขอบเขตที่ตัวเองไปถึงนั้นน่าทึ่งค่ไหน
“แล้วทำไมเขาถึงได้พยายามลบมานาทิ้งไปด้วยล่ะ?”
[เนื่องจากเขาพยายามจะลบสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไป สิ่งที่ทำแบบนั้นได้มีแต่ต้องลบมานา ยังไงก็ตามอย่างที่รู้ ‘การสร้าง’ ของพระเจ้าจากสวรรค์ยังไม่ใช่ ‘การสร้าง’ ที่แท้จริง เขาก็แค่ใช้การเผาไหม้ของดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อทำสิ่งที่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง เพราะแบบนี้ในที่สุดแล้วทุกๆอย่างจะเดินทางไปสู่การถูกทำลาย… ลูกก็รู้ว่านี่มันผิดใช่ไหมล่ะ?]
“ใช่ผมรู้”
หรืออีกความหมายถึงก็คือการตายของโลก คำพูดจากความโลภบางทีอาจจะมองเห็นความจริงข้อนี้โดยไม่ตั้งใจด้วยก็ได้
“…ผมมีอีกหลายคำถามที่อยากจะถาม แต่ในตอนนี้ผมจะถามแค่คำถามเดียว”
ยูอิลฮานได้ถอนหายใจออกมาและถามขึ้น
“ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้ด้วยล่ะ?”
[นั่นมันเพราะ…]
ยูยงฮาน กาเบรียลได้หลับตาลงเพราะคำถามนี้
เขาไม่รู้ว่าลูกชายเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงได้มายืนอยู่ในจุดนี้ เขารู้เพียงแค่ว่าลูกชายเขาจะกลายมาเป็นเทพที่เจิดจรัสที่สุดและกลายเป็นคนที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้า
ลูกชายของเขามีประสบการณ์มากยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้และเติบโตมามาก เขาไม่ได้ถูกโลกหรือสถานการณ์ต่างๆชี้นำแล้ว ในที่สุดอนาคตที่เขามองเห็นก็ชัดเจนขึ้น
‘เอิร์ธจะกลายเป็นโลกที่ใหญ่ยิ่งกว่าสวรรค์ เทพคนที่ห้าผู้เป็นดวงดาวที่ส่องแสงเจิดจรัสผู้ปกครองเอิร์ธจะปรากฏ เกิดมาจากทูตสวรรค์ ถูกเลี้ยงดูในฐานะมนุษย์ กำเนิดใหม่ขึ้นเป็นมังกร…’
ยูยงฮานได้บอกความจริงกับลูกชายของเขาด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้งอยู่ภายในใจทั้งความเสียใจและพึงพอใจที่ได้เห็นลูกชายเติบโตขึ้น
[นั่นมันเพราะลูกปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว การปรากฏตัวของลูกได้ทำให้ทุกๆกองกำลังถดถอยและช่วงเวลาที่พรเจ้ารอคอยอยู่ก็ได้มาถึง]
‘และในสุดท้ายแล้ว เขาก็จะกลายเป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว’
เขาได้พูดคำที่พอจะเดาได้ออกมา
[อาร์มาเก็ดดอน(วันสิ้นโลก)กำลังจะมาถึงแล้ว]
บทที่ 319 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (3)
ยูอิลฮานรู้สึกอึดอัดใจเล็กๆเพราะทุกๆเรื่องเป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้ นี่มันไม่ถูกต้องมาเกินไปหรอกหรอ?! นี่ก็นับเป็นพลังของการทำนายหรือยังไงกัน? – ระหว่างเขากำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ ยูเรียลก็พูดขึ้นมา
[นายไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกนะ กาเบรียลได้ทำนายไว้แล้วว่านายจะปลอดภัยไปจนท้ายที่สุด แต่แน่นอนว่าพลังในการทำนายของเขาไม่ได้ถูกต้องเสมอไป… แต่ว่าเราจะช่วยนายทำให้มันเป็นแบบนั้นเอง!]
“เธอได้ทำมันตลอดมาจนถึงตอนนี้…”
[ใช่แล้ว พวกเราได้ทำอะไรหลายอย่างเลยล่ะ ยังไงก็ตามยูอิลฮานนายคงไมได้คิดจะไปทุกๆโลกหรอกนะ?]
“อ่า ถูกแล้วล่ะ… มันไม่มีทางที่ฉันจะได้เห็นในทุกๆอย่างอยู่แล้ว ฉันไม่ใช่พระเจ้านี่นา”
[ขอบคุณนะที่… เริ่มเข้าใจกันบ้างแล้ว]
ถึงจะน่ารำคาญแต่ยูอิลฮานก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย
ยังไงก็ตามยูเรียลยังพูดไม่จบ
[ยังไงก็ตามนายก็พูดถูก พวกเราเป็นฝ่ายที่ผิดเอง ฉันจะไม่ปฏิเสธมัน ฉันขอรับความผิดทั้งหมดเอง หากว่าชีวิตที่อ่อนแอของฉันสามารถจะทำอะไรตรงๆได้ ฉันก็คงจะทำมันไปแล้ว แต่ก็เพราะว่าทำไมนั้นไม่ได้ไงฉันถึงได้ดิ้นรนอยู่แบบนี้ และในตอนนี้ท้ายที่สุดแล้วฉันก็ได้มาเจอกับนายที่นี่]
“ก็แน่นอนสิ”
ถึงแม้ระหว่างฟังยูเรียลพูดออกมา ยูอิลฮานก็ยังคงไม่หยุดบ่น เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของยูอิลฮานก็คือการกวนบาทาทุกๆคนที่เขาไม่ชอบ
“ฉันรู้สึกยินดีสุดๆเลย สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนกำลังต่อสู้อยู่เพื่อสิทธิประโยชน์ของฉันงั้นสินะ? นี่มันฟังดูโหดร้ายจังเลยนะ”
[เฮ้ พ่อก็บอกไปแล้วนี้พลังในการทำลายมันไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น ยูเรียลเธอลำบากเอามากๆเลยนะ]
[กาเบรียล… ฉันไม่ได้ลำบากเลยแม้แต่นิด คนที่ลำบากที่สุดมันนายต่างหาก]
ยูเรียลได้อาจนิดๆจากคำพูดของยูยงฮาน ไม่สิจากคำพูดของกาเบรียลต่างหาก ยูอิลฮานที่เคยมองว่ายูเรียลแต่ต่างไปจากสี่ยอดเทวทูตและคิดว่าเธอเป็นพวกพิเศษในหมู่ทั้งสี่คน ในตอนนี้เขารู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น…
“นอกใจสินะ? ระหว่างลูกชายกำลังมีปัญหาอยู่ พ่อก็ทิ้งแม่แล้วก็ไปเที่ยวกับสาวาวยสินะ?”
[พ่อไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลยนะ ไม่มีเลย]
ยูอิลฮานอยากจะพูดอะไรอีก แต่แล้วใบหน้าของผู้หญิงหลายๆคนก็ปรากฏขึ้นมาในใจของเขาทำให้เขาได้แต่เงียบเอาไว้ กาเบรียลได้พูดขึ้นมาราวกับลูกชายเขาเป็นที่นิยมมาก
[ยอมแพ้แล้วก็ยอมรับพวกเธอทุกๆคนเถอะนะ พ่อคิดว่าความรักระหว่างกันน่ะคือสิ่งที่งดงาม โดยเฉพาะคนที่สว่างสดใสเหมือนอย่างลูก เด็กสาวที่ได้รับพรจากเทพแห่งความรักก็น่าจะรู้แล้วก็เข้าใจเหมือนกันนะ]
“…หากพ่อบอกวาพ่อเห็นคืนแรกของผมกับเลียร่า ต่อให้เป็นพ่อ ผมก็จะคว่ำให้ดู”
[น่าเสียดายนะ พ่อไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรพวกนั้นเลย]
ยูอิลฮานได้เพิ่มความเป็นศัตรูกับพ่อเขาขึ้นมาหลายส่วนในทันที เมื่อได้เห็นพ่อกับลูกกำลังคุยเรื่องน่าอายกันอยู่ ยูเรียลได้เข้ามาแทกทั้งๆที่แก้มแดงอยู่
[เอาล่ะ! ก่อนจะถึงศึกสุดท้ายมันเหลือเวลาไม่มากแล้วนะ ถ้าเราคุยกันชัดแล้ว ถ้างั้นก็ได้เวลาลงมือทำแล้วนะ!]
“อย่างแรกเลยเธอต้องอยู่ในห่างจากพ่อฉัน 100 เมตร ทุกๆครั้งที่เธอยิ้มให้พ่อ ฉันจะสกัดเลือดมาจากเธอหนึ่งหยด”
[อ๊าา]
ถึงยูอิลฮานจะตั้งท่าระวังยูเรียล แต่เขาก็หยิบเอากับดักแห่งการฟื้นคืนกลับมาจากพ่อของเขาและส่งต่อให้มิสทิค มิสทิคได้รับมาอย่างไม่เต็มใจและหรี่ตามอง
“เอ๋ นี่มันนายท่านทั้งยิ่งใหญ่ สูงส่งมาตั้งแต่เกิดเลยนี่? ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่านายท่านจะเป็นนายน้อยของหนึ่งในสี่ยอดเทวทูต!”
“แต่ว่านั่นมันก็ต่างจากคนที่เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอยู่ดี ฉันเกิดขึ้นมาเป็นเพียงมนุษย์เลเวลหนึ่งที่ใช้มานายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป”
“เลิกพูดเรื่องชาติกำเนิดแล้วเปิดใช้งานกับดักได้แล้ว”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานความสามารถในการสร้างของเขาเพื่อเพิ่มบางสิ่งลงไปในกับดักแห่งการฟื้นคืน มิสทิคที่รับมารูสึกได้ถึงการเปลื่ยนแปลงและเบิกตากว้างขึ้นมา
“เอาจริงหรอ?”
“ก็จริงสิ”
“หากมีการสูญเสียโดยไม่จำเป็น ฉันจะบ่นนายท่านให้ตายเลย”
“ทำไปเถอะน่า”
มิสทิคได้โยนกับดักแห่งการฟื้นฟูออกไปใช้งานมัน ในตอนนี้เองได้มีคลื่นแปลกๆถูปล่อยออกมาและกลืนกินกับดักแห่งการทำลายทั้งหมดในโลกนี้
จากนั้นเองัมนก็ได้ปล่อยมอนสเตอร์ภายในทั้งหมดออกมา
[ยูอิลฮาน!?]
“นายท่าน นี่มัน!”
[ลูกพ่อ!?]
ไม่ใช่แค่ยูเรียลกับโอโรจิเท่านั้น แม้กระทั่งกาเบรียลที่มีพลังในการทำนายก็ยังตกตะลึง ยังไงก็ตามยูอิลฮานส่งแค่เสียงหึออกมาและก้าวออกไปข้างหน้าก่อนจะเปิดใช้งานสกิลประกาศิตกับประจักษ์แจ้งออกมาพร้อมๆกัน แน่นอนว่าเขายังได้ยกเลิกการซ่อนตัวไปแล้วด้วย
[มองมาที่ฉัน]
ด้วยสกิลประจักษ์ได้ทำให้ระยะของสกิลประกาศิตครอบคลุมทั่วทั้งไฮเชีย น้ำเสียงของเขาได้ดังกังวาลไปทั่วทั้งโลกใบนี้ และมอนสเตอร์ที่ออกมาจากดันเจี้ยน มนุษย์ที่มองมาอย่างตกตะลึง รวมไปถึงเหล่าคนที่ใช้ชีวิตของตัวเองในพื้นที่สุขสงยต่างก็ถูกยูอิลฮานค้นพบ
[เหล่าผู้ที่มีความอาฆาตพยาบาตของมนุษยชาติ เหล่าผู้ที่เกลียดชังมนุษยชาติ เหล่าผู้ที่ปรารถนาในเลือดเนื้อของคนที่ฉันอยากจะปกป้อง]
ประกาศิตของเขายังคงดำเนินต่อไป มานาขนาดมหาศาลที่เขามีอยู่ได้แทบจะหมดลงไปในทันที แต่ว่าด้วยเครื่องดื่มลมหายใจที่สร้างขึ้นจากเลือดของอิชจาร์ได้ทำให้เขามีมานาพอที่จะจัดการจนจบลงได้
[พวกนายทุกคนจะต้องตาย]
แค่นี้ก็พอแล้ว มอนสเตอร์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งในภูเขา หุบเขา น่านฟ้า น่านน้ำ ภูเขาไฟ ถ้ำ หรือที่ไหนก็ตามในโลกใบนี้ พวกมันทั้งหมดต่างก็ทรุดตัวลงกับพื้นและ… ตายลงไปทั้งอย่างนี้
[สกิลประจักษ์แจ้งได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 32]
[สกิลประกาศิตได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 57]
[…]
[…]
“…”
“…”
ทุกๆคนที่มองดูอยู่ต่างก็พูดไม่ออกกันแล้ว ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด การฆ่ามอนสเตอร์ทั้งหมดของเขาได้ทำให้มานาเกิดขึ้นมาเต็มทั่วทั้งโลกในทันทีและกับดักแห่งการฟื้นคืนก็ได้ดูดมานาทั้งหมดไปกระจายให้กับกับดักแห่งการทำลายอื่นๆในเวลาอันสั้น
กับดักแห่งการทำลายทั้งหมดได้เปลื่ยนกลายมาเป็นกับดักแห่งการฟื้นคืนทั้งหมดในทันที ไม่มีทั้งการพังของดันเจี้ยนหรือการล้นของมานาเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่ ยังไม่หมดแค่นี้
[ฉันคือเทพที่พวกนายทุกคนกำลังรอคอยกันอยู่]
เสียงที่หน้าไม่อายของยูอิลฮานได้ดังออกมา
[จงเชื่อฟังฉัน]
มานาของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ว่าก็ยังคงมีมานาสำรองที่ไม่สิ้นสุดเขามาเติมเต็มมานาที่ประกาศิตใช้ไป ในมุมมองของคนอื่นยูอิลฮานดูเหมือนจะมีแหล่งมานาที่ไม่จำกัด
แต่ยังไงก็ตามจริงๆแล้วยูอิลฮานได้เฝ้ามองมานาที่ใช้ไปจากสกิลทั้งสองอย่างอย่างเป็นกังวล แต่ไม่ว่าจะยังไงนี่ก็คือหลักฐานของการเป็นหัวหน้ากองกำลังของเขา
[ลูกนี่จริงๆเลย…]
“ทำไมพ่อถึงต้องตกใจด้วยล่ะ? พ่อก็ทำได้เหมือนกันนี่”
กาเบรียลคือหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงรวมไปถึงเป็นหนึ่งในสี่ยอดเทวทูตด้วยเช่นัน ยูอิลฮานได้คาดเดาเอาไว้ว่าการซ่อนตัวของพ่อเขาสามารถหลอกลวงได้ทุกๆอย่างและบุกเบิกไปสู่เส้นทางใหม่ถึงทำให้พ่อของเขาได้กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง และนี่ก็คือเรื่องจริง แต่ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาคิดผิดนั่นก็คือขีดจำกัดความสามารถของกาเบรียล
[ถ้าเป็นสำหรับโลกภายใต้การปกครองของสวนอาทิตย์อัสดงพ่อก็ยังไม่แน่ใจ แต่ว่าหากเป็นในโลกระดับต่ำอื่นๆพ่อทำแบบนี้ไม่ได้แน่ นอกไปจากนี้การจะเปลื่ยนจากกาเบรียลไปเป็นหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงมันยังใช้เวลานานอีกด้วย…]
“อย่าพูดเหมือนพ่อเป็นหุ่นยนต์แปลงร่างสิ”
ตอนนี้ทุกสายตาต่างก็จ้องมาที่ยูอิลฮาน เหล่าคนที่จ้องมาที่เขาต่างก็มีสายตาที่ดูจะเต็มไปด้วยความสับสน แต่ในท้ายที่สุดคนที่เคยเจอกับปาฏิหาริย์นี้มาก่อนต่างก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา
“เขามาแล้ว”
“เขา? นี่เขามาหาเราจริงๆ!”
“เขาได้มาแล้ว! มาในที่ที่ทูตสวรรค์ได้ทิ้งเราไป! “
“ไม่สิ คนที่กำลังมองลงมาที่เราจากด้านบนคือพระเจ้า! เขามารับเราทุกๆแล้ว!”
แน่นอนว่าก็มีบางคนที่รู้สึกเป็นศัตรูเช่นกัน แต่ยังไงก็ตามคนส่วนใหญ่ก็ต่างมองยูอิลฮานตาเป็นประกาย ต่อให้เป็นคนที่ยังมีความไม่พอใจก็ยังไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าที่มอนสเตอร์ถูกกำจัดออกไปเพราะยูอิลฮาน
เพราะยูอิลฮานได้แสดงพลังที่มหาศาลและใช้คำพูดที่ชักจูงใจนี่เอง
[ฉันจะพาพวกนายไปสู่สถานที่ที่มีความหวังใหม่]
อารยธรรมอาจจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ ทุกๆคนต่างก็ต้องเจอกับสงคราม พวกเขาต่างก็ได้เจอกับภัยใหญ่ที่กำลังคุกคามชีวิตอยู่
บางทีพวกเขาอาจจะได้เจอกับสภาพแวดล้อมที่น่าสะพรึงกลัวและน่าขกลุกยิ่งกว่าที่แห่งนี้ บางทีอาจจะเสียใจกับตัวเลือกที่เลือกในวันนี้และอยากจะกลับมา แต่ไม่ว่ายังไงยูอิลฮานก็ได้ให้โอกาสพวกเขาได้เลือก
ถึงยูอิลฮานจะอยู่ที่นี่ปกป้องทุกๆคนไม่ได้ แต่เขาสามารถจะพาคนพวกนี้ไปที่ดาเรย์ได้
[จะตามฉันมาไหม? เมื่อไหร่ที่จิตใจพวกนายเป็นหนึ่งเดียวกันฉันจะพาพวกนายทุกๆคนไป]
เขาได้พูดคำพูดที่แสนจะเย็นชาที่เหมือนกับออกมาจากหนังสือเล่มไหนซักเล่ม มิสทิคกระทั่งคิดว่าเขาดูเหมือนกับพ่อค้ายา ส่วนโอโรจิคิดต่างออกไป เขาคิดว่ายูอิลฮานคือนักต้มตุ๋น
ในขณะเดียวกันยูเรียลได้ถอยออกมาเล็กน้อยจากการแสดงสกิลประกาศิตที่ยิ่งใหญ่ของยูอิลฮาน กาเบรีบลรู้สึกหดหู่เล็กน้อยที่ลูกชายได้ก้าวข้ามตัวเขาไปแล้ว
“เราจะตามท่าน”
ได้มีใครบางคนได้พูดออกมา เขาคือหนึ่งในนายพลที่ต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่แนวหน้าของมนุษยชาติ
“ฉันจะตามท่านไป”
ได้มีใครอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา เขาคือคนที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนจุดสูงสุดของมนุษยชาติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด และเขาไม่อาจจะถูกเรียกว่าจักรพรรดิได้อีกต่อไปแล้ว
“ได้โปรดพาเราไป”
ได้มีอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา เธอเป็นหญิงชราที่ใช้ชีวิตเป็นทหารรับจ้างต่อสู้กับมอนสเตอร์มาทั้งชีวิตก่อนที่จะเกษียณออกมาเพราะเสียขาไปพร้อมกับคนสำคัญของเธอ
“ฉันเกลียดคนที่ยืนเหนือเรา… ให้ตายสิ แต่จะทำไงไดล่ะ”
และมีใครบางคนสิ้นหวัง เขาคือหัวหน้าอัศวินของประเทศที่ล่มสลายทำให้เขารู้สึกเกลียดชังในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง แต่ว่าที่เขาทำได้ในนาทีนี้ก็คือคว้าความหวังที่ถูกมอบมาเอาไว้
[ได้สิ]
ยูอิลฮานได้หยักหน้าออกมาด้วยรอยยิ้ม ภายในดวงตาของมนุษยชาติในโลกใบนี้ต่างก็มีแต่รูปร่างของเขา
[ฉันจะพาพวกนายไปโลกของฉันเอง]
[คุณได้รับความเชื่อฟังจากมนุษยชาติที่เหลือรอดทั้งหมดของโลกระดับต่ำไฮเชีย โลกไฮเชียได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของคุณ]
[โลกไฮเชียได้ผสานเข้ากับดาเรย์]
“เอาล่ะ ก่อนอื่นก็กลับดาเรย์กันเถอะ”
ยูอิลฮานได้มองกลับไปที่คนอื่นๆพร้อมกับโลกไฮเชียที่บิดเบี้ยว
“พ่อ เตรียมคำแก้ตัวกับแม่เอาไว้เลยนะ”
[อ๊าา… นี่มันดีแล้วสินะที่ฉันได้ทำให้เธอให้กำเนิดอิลฮานมาน่ะ? ฉันคิดไว้แล้วว่าการมีลูกสาวมันดีกว่าลูกชายแน่ๆ!]
[กาเบรียลสู้ๆนะ]
กำลังใจจากยูเรียลไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่นิด ระหว่างกาเบรียลถอนหายใจออกมา ในท้ายที่สุดแล้วการหลอมรวมของมิติก็ได้เกิดขึ้นมา
นี่ก็ยังเป็น ‘ระยะแรก’ ที่ยูอิลฮานเล็งเอาไว้ในการกระจายกับดักแห่งการฟื้นคืน ในเวลาเดียวกันนี้ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่คลายข้อสงสัยของเขาออกปด้วย แถมยังเป็นการรวมกลุ่มของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงชั้นนำอีกด้วย
บทที่ 320 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (4)
เมื่อได้เข้ามาในดาเรย์และมองไปที่พื้นที่ที่กว้างใหญ่ของมันทำให้ยูเรียลกับกาเบรียลต้องมีปฏิกิริยาขึ้นมา
[เป็นไปได้ยังไงกัน?]
[นี่ลูกชอบเล่นเดอะซิมงั้นหรอ?]
ยูอิลฮานได้มองดูผู้รอดชีวิตจากไฮเชียที่กำลังเข้ามาสู่โลกดาเรย์และหันหน้าไปตอบกาเบรียลอย่างอารมณ์ดี
“เมื่อก่อนผมก็ชอบนะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ เกมมันจะสนุกก็ต่อเมื่อมันเป็นเกมเท่นั้น ก็เหมือนเกมขับรถมันสนุกนั่นแหละ แต่การต้องมาขับในถนนรถติดตอนเช้านี่มันต่างกันเห็นๆเลย”
“แต่ว่าลูกก็ไม่เคยเล่นทั้งเกมขับรถหรืการขับรถในช่วงเช้านี่”
“เงียบไปเลยน่า”
[พ่อ!]
“อิลฮาน!”
เหล่าคนที่เฝ้ารอคอยเขากลับมาได้วิ่งมาหาเขาทันที ยูอิลฮานได้ลูบหัวของยูมิลและกอดเลียร่าโดยไม่ขวางใดๆ
“ฉันมาสายไปหน่อยสินะ?”
“นายมาสายมากเจ้าบ้า! นายน่าจะพาฉันไปด้วยนะ ทำไมถึงชอบทิ้งฉันเอาไว้ตลอดเลย? แย่ที่สุด”
“ขอโทษนะ”
เลียร่าได้ซุกหน้าของเธออยู่ที่หน้าอกยูอิลฮานอยู่พักหนึ่งถึงจะรู้ตัวว่ามีชายหนุ่มกับหญิงสาวคนอื่นนอกจากโอโรจิกับมิสทิคมากับยูอิลฮานด้วย
“หืม ออร่านี่มัน… ท่านหญิงยูเรียลกับท่านกาเบรียล!? เป็นไปได้ยังไงกัน!?”
“นี่นายฆ่าไปคนหนึ่งแล้วก็จับตัวประกันมาสองคน!?”
ยูอิลฮานได้เขกหน้าผากเลียร่าเบาๆแล้วหันไปพูดกับกาเบรียล
“แล้วร่างมนุษย์ของพ่อล่ะ?”
[ไม่เป็นไรพ่อทำได้ พ่อต้องทำมันเลยใช่ไหม?]
กาเบรียลได้พึมพัมออกมาและหลับตาลง หลังจากนั้นปีกสามคู่บนหลัง วงแหวนที่เป็นเอกลักษณ์รวมไปถึงรัศมีมานาก็ได้หายไปจนหมด
ไม่สิ จะพูดว่าหายไปก็ไม่ถูก นี่มันก็แค่เป็นการซ่อนตัวที่มิดชิดจนไม่มีใครสัมผัสได้เท่านั้น เมื่อมานาได้หายไป ริ้วรอยก็ได้ปรากฏขึ้นบนผิวจนทำให้เขาดูเหมือนกับชายวัยกลางคน
และเป็นธรรมดาที่พลังหายไปทำให้เขาไม่อาจจะอยู่บนท้องฟ้าได้อีก กาเบรียลควรที่จะล่วงลงมาเลยทันที แต่ว่ายูเรียลก็ได้เข้าไปรับเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนี้… ยังไงก็ตามก่อนที่เธอจะไปถึงตัวกาเบรียลก็ได้มีโล่เอจิสปรากฏขึ้นมารับตัวก่อน ในท้ายที่สุดแล้วเลียร่าก็ได้รู้ถึงตัวตนของชายคนนี้
“…พ่อของอิลฮาน? เมื่อกี้นี้เขายังเป็นท่านกาเบรียลอยู่เลย”
“เขาคือคนๆเดียวกัน โอ้แล้วพ่อก็ยังเป็นหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงด้วยเหมือนกันนะ”
“เจ้าเศษขยะนั่น?…ห่ะ? อะไรนะ?”
สายตาของเลียร่าได้เต็มไปด้วยความสงสัยจนกาเบรียลต้องหัวเราะออกมาทื่อๆ
“ใช่แล้วฉันเป็นเศษขยะที่ทำให้เธอต้องลำบากอยู่ตลอดเวลาแหละนังหนู ฉันขอโทษด้วยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“อ่า… อืมมม…? ท่านกาเบรียลคือพ่อเขยของฉัน? พ่อ?”
“โอ้ พ่อ! นี่เป็นคำที่ดีที่สุดที่ได้ยินเลยนะ? ทำไมไม่ลองเรียกฉันว่าพ่ออีกครั้งล่ะ?”
“พ่อเงียบไปเลย”
“ครับท่าน”
“หา? หาาาาาาาาาาาา?”
สมองของเลียร่าที่พยายามจะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เปลื่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วไปพังลงไปทันที ยูอิลฮานได้ลูบคนรักของเขาและหันไปพูดกับกาเบรียล
“พ่อไปหาแม่ก่อนเถอะ ไว้ผมจัดการเรื่องต่างๆแล้วจะตามไป”
“ฮ่าาห์ สงสัยคงจะหลบไม่ได้แล้วสินะ โอเคไม่เป็นไร น่าหดหู่สุดๆไปเลย…”
[กาเบรียล…]
หากว่าคิมเยซอลได้มาเข้าสวนอาทิตย์อัสดงในก่อนหน้านี้ กาเบรียลก็คงจะได้อธิบายทุกๆอย่างให้เธอฟังไปแล้ว แต่เพราะเธอได้ปฏิเสธข้อเสนอไปทำให้เขาต้องอยู่ห่างจากภรรยาโดยไม่ได้มีเวลาไปอธิบายอะไรเลย
ภรรยาของเขายังเป็นคนเอาแต่ใจซะด้วย แต่ว่านี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตกหลุมรักเธอทั้งๆที่เขาเป็นหนึ่งในสี่ยอดเทวทูตก็ตาม…. แต่ก็เพราะแบบนี้ถึงได้ทำให้เขากลัวการเผชิญหน้ากับเธอ
ยังไงก็ตามโล่เอจิสที่ยูอิลฮานเรียกมาไม่ได้สนใจความลังเลของเขาเลย มันได้พาเขาไปหาคิมเยซอลในทันที
ยูเรียลที่กำลังจะตามเขาไปได้ถูกยูอิลฮานมองจนต้องถอยกลับมา
“สองในสี่ยอดเทวทูตได้ล่ะทิ้งตำแหน่งแล้ว เรื่องนี้กองทัพสวรรค์ก็น่าจะรู้แล้วเหมือนกันแต่ว่าทำไมเธอถึงไม่ตกลงมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ล่ะในเมื่อขัดต่อกฏสวรรค์?”
[ก็เพราะคนที่จะเปลื่ยนทำให้ทูตสวรรค์ตกมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำก็คือสี่ยอดเทวทูตไงล่ะ]
นี่มันจะโกงไปแล้ว เพราะแบบนี้ไงการโกงถึงไม่เคยหมดไปในแวดวงกรเมือง! ก็เพราะคนบังคับใช้กฏกลับมาโกงกันซะเองทำให้ไม่มีใครมาหยุดได้อีกแล้ว! แต่แน่นอนว่านี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับยูอิลฮาน
[แต่ว่าฉันก็คงสถานะทูตสวรรค์ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ ถ้านายไม่ว่าอะไร ฉันก็อยากจะเข้าดราก้อนเนสเหมือนกัน ฉันยังจะคงพลังเดิมของฉันเอาไว้ได้เพราะงั้นนี่ก็ไม่ใช่ข้อเสนอที่แย่เลยนะ]
“นี่เป็นคำแนะนำที่ดีนะ… แต่แล้วพ่อของฉันล่ะ?”
[กาเบรียลก็แค่ต้องโอนพลังทั้งหมดไปที่สวนอาทิตย์อัสดงก็เท่านั้นเอง เมื่อทำแบบนั้นการจะรวบรวมพลังของสวนอาทิตย์อัสดงที่กระจายไปทั่วทั้งดวงดาวต่างๆก็จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ก็ไม่มีใครที่จะสามารถขโมยพลั… อ๊าาา]
ยูเรียลที่กำลังทำสีหน้าเต็มไปด้วยความรักในระหว่างอธิบายเรื่องกาเบรียลได้ถอยไปทันทีที่ถูกสายตาของยูอิลฮานจ้องมาอีกครั้ง ยูอิลฮานได้สอบปากคำเธอมากยิ่งขึ้นอีก
“มีอะไรที่เธอทำเพื่อขัดขวางวันสิ้นโลกอะไรนี่ได้ไหม?”
[ทั้งฉันกับกาเบรียลต่างก็ต้องเคลื่อนไหวอย่างถูกจำกัดและต้องหลบซ่อนเอามากๆ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคยไปชักจูงคนในกองทัพสวรรค์นะ แต่ว่าคนพวกนั้นส่วนใหญ่ภักดีกับมิคาเอล…]
แน่นอนสิ ถึงแม้ว่ามิคาเอลจะแพ้ยูอิลฮานเพราะธาตุเพลิง แต่ว่ามิคาเอลก็ยังเป็นคนที่ทรงพลังมาที่สุดในกองทัพสวรรค์อยู่ดี มิคาเอลมีทั้งพลังและตำแหน่งในกองทัพสวรรค์อย่างสมบูรณ์ แทนที่ทูตสวรรค์คนอื่นๆจะเลือกทรยศ พวกเขาเหล่านั้นอาจจะเลือกยอมตายแทนซะมากกว่าอีก
หากว่ามีซักวิธีที่จะเปลื่ยนความคิดทูตสวรรค์พวกนั้นได้ นั่นคงจะเป็นการตัดคอมิคาเอลและคิดกับพวกเขาอย่างสงบ แต่ว่า…
“แต่แค่เพราะแบบนั้นฉันฆ่าเขาไม่ได้… ฉันปล่อยมิคาเอลเอาไว้ก็เพื่อให้เขาหยุดยั้งซาตาน เราเชื่อใจซาตานได้ไหม?”
[ในตอนแรกที่เราต่อต้านพระเจ้า ซาตานอยู่ข้างเดียวกับเราแน่นอน ฉันคิดวามันเป็นแบบนั้น… แต่ว่าในตอนนี้ฉันไม่มั่นใจแล้ว บางทีซาตานอาจจะเปลื่ยนไปเหมือนอย่างมิคาเอลกับราฟาเอลก็ได้…]
“อย่างที่ฉันคิดเลย พวกเธอนี่ไม่ได้ช่วยอะไรซักนิด”
ยูเรียลได้เงียบลงไป ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้ตกสู่ห้วงความคิดโดยไม่สนใจยูเรียลเลย
อย่างแรกเขาได้เตรียมตัวต่อต้านคนที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้า หรือพระเจ้าของสวรรค์เรียบร้อยแล้ว
เขาได้กระจายกับดักแห่งการฟื้นคืนไปทั่วในทุกๆโลกระดับต่ำที่เขาเคยไปมาอย่างน้อยหนึ่งครั้งแล้ว และเขากระทั่งทำให้กับดักแห่งการฟื้นคืนในโลกต่างๆรุกล้ำเข้าไปในมิติอื่่นๆได้อีกด้วย เพราะงั้นคงใช้เวลาไม่นานนักที่กับดักแห่งการทำลายทั้งหมดจะหายไปจากโลกระดับต่ำ แน่นอนว่าเขาจะทำแบบนี้ในโลกระดับสูงเช่นเดียวดัน แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการทำมัน แต่มันก็ราบรื่นมาตลอด
สิ่งต่อมาที่เขาต้องระวังก็คือกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ไม่สนเรื่องที่พระเจ้าจากสวรรค์ทำเลย พวกคนที่เคลื่อนไหวด้วยความคิดที่ว่า ‘เอิร์ธสำคัญกับตัวเองเท่านั้น’
การปะทะกับกองทัพสวรรค์มีแน่นอนเพราะกองทัพสวรรค์ได้ทำเหมือนยูอิลฮานเป็นศัตรูตัวฉกาจไปแล้ว ส่วนกองทัพสวรรค์แสงคงต้องรอดูก่อนเพราะยูอิลฮานไม่รู้เลยว่าพวกนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ และมีเรื่องดีอยู่อย่างหนึ่งคืนสวนอาทิตย์อัสดงดูจะกลายมาเป็นพันธมิตรแล้วเพราะกาเบรียลที่เป็นคนนำพวกเขาเหล่านั้น…
จะมีก็แต่กองทัพปีศาจวิบัติที่ยังเป็นความลับอยู่
“ยูเรียล กองทัพปีศาจวิบัติจะเคลื่อนไหวไหม? พ่อไม่ได้บอกอะไรเลยหรอ?”
[ก็อย่างทีเรารู้กัน ทุกๆสิ่งที่พวกกองทัพปีศาจวิบัติคิดก็มีแต่การทำลายทุกๆอย่าง เพราะแบบนั้นพวกกองทัพปีศาจวิบัติคือสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดเช่นกัน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้บัญชาการกองพันและกองกำลังที่มหาศาลเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเลยคือหัวหน้าของพวกมัน ความโลภ เดิมทีแล้วซาตานกับกาเบรียลต่างก็มาจากกองทัพสวรรค์กันทั้งนั้น แต่มีแค่ความโลภเท่านั้นที่ก่อตั้งองค์กรขึ้นมาเองหลังจากได้เข้าไปถึงพลังของเทพด้วยตนเอง]
แน่นอนว่าเพราะมีความวุ่นวายจากยูอิลฮานได้ทำให้พลังของแต่ล่ะกองกำลังลดลงอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นพลังของความโลภก็ยังมหาศาลอยู่ดี และต่อจากนี้มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น หรือก็คือสิ่งที่ต้องระวังรองลงมาจากพระเจ้าจากสวรรค์แล้วก็คือความโลภนี่แหละ
“ชิ ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็ต้องทำมันสินะ”
ความโลภได้บอกให้ยูอิลฮานกลายเป็นพระเจ้า ยูอิลฮานไม่ได้สนใจคำพูดของเขาและไม่เชื่อด้วยซ้ำ แต่ว่าเพื่อที่จะเอาตัวรอดและมีชีวิตต่อไป ยูอิลฮานรู้ว่าพวกเขาจะต้องทำสงครามกับกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงแต่เดิม
ถ้างั้นสิงแรกที่เขาควรทำคืออะไรล่ะ? สิ่งแรกเลยเขาจะต้องปิดประตูเอิร์ธโลกของเขา และดาเรย์ จากนั้น…
“ไปบุกหาแร่โลหะชั้นสูงที่สวรรค์กัน”
[นายพูดเรื่องน่าทึ่งแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน]
“หลังจาสกนั้นฉันจะได้ทำกับดักแห่งการฟื้นคืนแล้วก็ไปขโมยโลกระดับสูงจากกองกำลังอื่นๆ”
[นี่นายคือที่จะก่อวันสิ้นโลกขึ้นมาเองงั้นหรอ?!]
ยูเรียลได้ถามออกมาอย่างประหลาดใจ ยูอิลฮานชอบในคำพูดนี้ของเธอและหัวเราะออกมาอย่าเต็มที่
“ใช่แล้ว ฉันไม่ชอบการถูกโจมตี ทุกอย่างของการต่อสู้ขึ้นอยู่กับการโจมตีครั้งแรก”
“ฉันชอบมัน ทุกอย่างของการต่อสู้ขึ้นอยู่กับการโจมตีครั้งแรก”
ระหว่างที่ยูอิลฮานกับโอโรจิกำลังเข้าขากันอยู่ได้มีเสียงตบดังขึ้นจากมุมขอบฟ้า หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องที่เจ็บปวด
“คุณคิดจะไปไหนกัน? นี่มันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้นเอง!”
“ที่รัก ขอร้องล่ะเบามือหน่อยนะ เบาๆ… แอ๊ก!”
หนึ่งในสี่ยอดเทวทูตกาเบรียลตอนนี้กำลังเผชิญกับการทรมานจากฝ่ามือของภรรยาเขาเอง ยูอิลฮานได้พึมพัมกับตัวเองเบาๆอยางพอใจ
“ตบพ่อเผื่อผมสักพันทีด้วยนะครับแม่”
ระหว่างกาเบรียลกำลังตกอยู่ในโลกแห่งการทรมาน ยูอิลฮานก็ได้มองดูทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นทุกๆการเปลื่ยนแปลงที่มีอยู่ในตอนที่เขาไม่อยู่ และพลังชีวิตจาก ‘พรม’ ที่ค่อนข้างจะไม่เสถียรเพราะการเพิ่มเข้ามาของไฮเชีย เขาจึงไม่ลืมที่จะเพิ่มมานาเข้าไป
“อิลฮาน”
ไม่นานหลังจากนั้นคังมิเรย์ก็ได้มองมาที่เขา จากที่เธอได้รู้ถึงการกลับมาเจอกันของคิมเยซอลกับกาเบรียลแล้ว เธอดูเหมือนกับจะสับสนยิ่งกว่าที่เคยอีก
“สิ่งที่ฉันได้ยินกับได้เจอนี่มันคือเรื่องจริง จริงๆน่ะหรอ?”
“หากว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องพ่อของฉันที่เป็นทั้งกาเบรียลแล้วก็หัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงล่ะก็ นั่นมันคือเรื่องจริงนั่นแหละ”
“ว่าไงนะ!? เขายังเป็นหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงด้วย!?”
โอ้ เธอยังไม่ได้รู้นี้สินะ ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาให้กับเธอ คังมิเรย์เธอได้ยิ้มออกมาฝืนๆหลังจากที่รู้ว่ายูอิลฮานก็กำลังรู้สึกเหมือนกับเธอ ถึงแม้ว่าระหว่างคุยกันนี้จะมีเสียงตบดังมาเรื่อยๆ แต่คังมิเรย์ก็พูดต่อไปอย่างไม่สนใจ
“ฉันได้พาทุกๆคนจากโลกของเรามาที่ดาเรย์แล้ว ถึงพวกเขาจะตื่นตระหนกเล็กๆจากการเปลื่ยนของมิติเวลานิดๆ แต่อีกไม่นานก็น่าจะปรับตัวได้”
“โอ้ ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ ขอบคุณมากนะ”
เนื่องจากว่าผู้คนจากไฮเชียก็ได้มาที่นี่แล้วเช่นกันทำให้เขาได้จัดการทุกเรื่องแล้ว ยูอิลฮานได้มองไปที่พลังมานาของเขาถูกเติมเต็มแล้วและเปิดใช้งานสกิลประกาศิตเพื่อที่จะอธิบายเหตุการในปัจจุบันทุกๆอย่างให้กับทุกๆชีวิตบนดาเรย์
[อ่า หนึ่ง สอง สาม เทสๆ คุณสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษบนดาเรย์ทุกท่าน ผมคือพระเจ้าของพวกคุณ ยูอิลฮาน]
“นี่มันเหมือนประกาศเที่ยวบินเลยนะนายท่าน! ทำให้มันยิ่งใหญ่กว่านี้หน่อยสิ”
ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็ยังประกาศออกไปด้วยน้ำเสียงเดิมที่ไม่ต่างไปจากประกาศเที่ยวบนิเลย สภาพดาเรย์ในปัจจุบันนี้จะมีแต่มอนสเตอร์ที่มีตั้งแต่คลาส 3 ขึ้นไปเท่านั้นที่จะเกิดขึ้นมา เพราะงั้นพวกเขาจะต้องกำหนดพื้นที่ต่างๆ ห้ามออกไปไหนในกลางดึก ช่วงเวลาต่างๆของดาเรย์และเรื่องยิบย่อยต่างๆทำนองนี้
ส่วนเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากนั้นมันไม่มีความหมาย การที่คนเหล่านี้จะรู้เรื่องที่มากไปกว่านั้นันไม่ใช่เรื่องดี มันมีแต่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
“โอ้ แล้วเรื่องเร็กน่าล่ะ? พวกมันไม่บุกมาเลยหรอ?”
“ดูเหมือนพวกมันจะเมินเฉยต่ออิทธิพลของยูอิลฮานไม่ได้น่ะ พวกมันไม่เคยบุกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“คงใกล้ถึงเวลาที่พวกมันจะมาแล้ว…”
เทพเจ้าคือผู้ที่ไปถึงระดับพลังเทพเป็นคนแรกเชียวนะ ไม่ว่าการป้องกันของยูอิลฮานจะทรงพลังแค่ไหน ยูอิลฮานก็ไม่คิดว่าพระเจ้าจะยอมแพ้ทั้งแบบนี้หรอก
“ช่างเถอะ มันไม่สำคัญหรอกว่าจะบุกมาเมื่อไหร่ เรามาเริ่มงานต่อไปกันดีกว่า”
“อิลฮานนายจะไม่เป็นไรหรอ? นี่นายยังไม่ได้พักเลยนะ…”
“มีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว เราจะต้องรีบทำรวดเดียวให้จบ”
เขาจะเริ่มทำงานในทันทีที่แม่เขาใจเย็นลงซักนิดแล้ว แต่ดูเหมือนเสียงตบที่ดังสนั่นจะไม่มีวันหยุดเลย ข้างๆตัวเขายูเรียลก็ดูจะเปํนกังวลเอามากๆ ยูอิลฮานได้แต่ถอนหายใจและไปที่ป้อมปราการผู้พิทักษ์ ที่ที่คิมเยซอลกับกาเบรียลอยู่
“ละ ลูกพ่อ! ช่วยพ่อด้วย!!!”
“ลูกแม่ ตอนนี้แม่โกรธอยู่เพราะงั้นถอยไปก่อนนะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ลูกพ่ออออออ!
แม้ว่าแม่ของเขาในตอนนี้จะกลายมาเป็นมังกรที่แท้จริงภายใต้ดราก้อนเนสและยูอิลฮานคือหัวหน้ากองกำลังนี้ แต่ยูอิลฮานก็ไม่คิดจะขัดใจแม่เขาอยู่ดี
แถมความโกรธของแม่ก็ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เขาแต่เป็นพ่อเขา ไม่ใช่แค่เขาขัดใจแม่ไม่ได้เท่านั้น แต่เขายังไม่คิดจะทำด้วย ยูอิลฮานได้ตัดสินใจยืนรออย่างสงบจนกว่าพ่อแม่ของเขาจะจัดการเรื่องจนจบ แต่ในช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งโอหังที่พยายามจะบุกเข้ามาในดาเรย์
[สิ่งผิดปกติ อุปสรรคใหม่สุดที่ขัดขวางแผนการ]
[คำสั่งกำจัดสิ่งผิดปกตินี้]
[กำจัด ทำลาย ลบล้าง]
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน…!”
คำสั่งกำจัดจากพระเจ้า กลุ่มเร็กน่าได้ฉีกกระชากโล่ของยูอิลฮานทิ้งเหมือนกับเศษกระดาษ! ยูอิลฮานรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้เจอกับพวกมัน
“คำพูดหยั่งกับออกมาจากหุ่นยนต์ในเกมยุค 90 เลยแหะ! จังหวะการพูดก็ง่อยสุดๆไปเลย!”
“นี่นายมาตกใจกับเรื่องพวกนี้เนี่ยนะ!?”
เร็กน่ากว่ายี่สิบตัวได้บุกเข้ามาในดาเรย์แล้ว พวกมันทั้งหมดยี่สิบสามตัวต่างก็มีเลเวลที่สูงกว่า 500! นอกไปจากนี้เมื่อคิดถึงพลังในการยับยั้งมานาแล้ว เจ้าพวกเร็กน่าทั้งยี่สิบสามตัวนี้สามารถจะกลายร่างสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ไปได้เลย
“เยี่ยมเลย ฉันมีแหล่งโลหะใหม่ก่อนที่จะไปบุกสวรรค์แล้วล่ะ”
แน่นอนว่าในสายตาของยูอิลฮานพวกมันไม่ต่างอะไรกับโลหะเลย เขาได้ยิ้มออกมาและไปเผชิญหน้ากับพวกผู้บุกรุกอยู่กลางอากาศ เขาได้ตะโกนไปทาง ‘พระเจ้าจากสวรรค์’ ที่กำลังแอบมองอยู่อย่างแน่นอน
“หากว่านายอยากจะเอาชนะฉัน งั้นก็เอากองทัพมาให้มากกว่านี้ประมาณซักสามพันเท่านะ! เข้ามาเลยสิ!”
บทที่ 321 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (5)
[กำจัดสิ่งผิดปกติ]
[ทรยศ คนทรยศ อุปสรรคใหญ่ที่สุด]
[กำ จัด…]
ยูอิลฮานได้กางมืออยู่กลางอากาศ สิ่งแรกที่เขาทำเลยก็คือเปิดใช้งารพรมเพื่อส่งมานาจำนวนสูงสุดมาให้ตัวเขาเองก่อนที่จะเปิดใช้งานสกิลจ้าวมิติด้วยพลังนี้
[ไม่ต้องเข้ามาอีกแล้ว]
โลกได้ถูกปิดลง เพราะแบบนี้เร็กน่าจะไม่สามารถได้รับคำสั่งจากพระเจ้าสวรรค์อีก และไม่อาจได้รับพลังงานเสริมได้อีก
[นายจะไม่ได้อะไรจากที่นี่ ไม่อาจต่อต้านได้]
สิ่งต่อมาที่เรืองแสงขึ้นก็คือกับดักแห่งการฟื้นคืนที่กระจายอยู่ทั่วดาเรย์ กับดักแห่งการฟื้นคืนกำลังทำอะไรงั้นหรอ? เพื่อควมคุม เสริมพลัง ฟื้นฟู กลืนกินและยับยั้งมานา
กับดักแห่งการฟื้นคืนไม่ใช่อาร์ติแฟคธรรมดาๆที่แค่ขังมอนสเตอร์เอาไว้เท่านั้น พวกมันยังเต็มไปด้วยวงเวทย์ที่ละเอียดอ่อนของยูอิลฮานและจะช่วยเสริมพลังให้กับเขา
“อ๊ากกกกกกก! หัวของฉัน เจ็บบบบบ!”
“ทนไว้ก่อน โอโรจิปลอบเธอหน่อย”
“นี่ท่านจะให้ฉันดูแลเธอเป็นเด็ก…”
“ใครเป็นเด็กกัน! เฮ้ อย่ามาลูบหัวฉันนะ… ฟู่”
“…นี่มันน่าอึดอัดมากเลยนะที่เธอสงบลงเพราะแบบนี้”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลประกาศิตอีกครั้งหนึ่งและวาดมือผ่านอากาศด้วยมานาที่มีอยู่ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเปิดใช้งานวิถีทางไร้ขอบเขตแล้ว
แต่ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสกิลสูงสุดของยูอิลฮานที่เคยแสดงความยิ่งใหญ่มาก่อน แต่ว่าเร็กน่าทั้งยี่สิบสามตัวดูจะไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
[มานาใช้ไม่ได้]
[คำพยากรณ์ผิด คุณไม่ใช่หัวหน้า]
จากคำพูดประหลาดๆของพวกมันดูเหมือนว่าเจตจำนงของพระเจ้ายังคงมีอยู่ ยูอิลฮานได้ส่งเสียงหึและถามออกมา
“พระเจ้าได้พูดอะไรมาอีกล่ะ? นั่นคือหลังจากพวกนายมาที่ดาเรย์แล้วก็จะไปที่เอิร์ธโลกของฉันงั้นหรอ? ไม่สิ มันไม่มีทางที่เขาจะเข้าไปในเอิร์ธได้ง่ายๆหรอก วงเวทย์ที่นั่นได้ถูกอัพเกรดขึ้นแล้วด้วยนะ”
[…]
[…]
ยังไงก็ตามถึงแม้ยูอิลฮานจะพูดด้วยอยู่ แต่พวกมันก็ไม่ได้ตอบกลับมา นี่มันชัดเจนเพราะว่าร่างของพวกมันได้ถูกตัดออกจากกันแล้ว
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติ…]
[ติด…]
จากแนวนอน แนวตั้ง ทแยงมุม จากบนลงล่าง ล่างขึ้นบน มุมต่างๆเหล่านี้ได้ถูกขาดจนเหมือนกับเนยที่ถูกหั่น วิถีการตัดมีอยู่นับไม่ถ้วนจนทำให้พวกมันถูกหั่นจนเป็นลูกเต๋า
มานาใช้ไม่ได้งั้นหรอ? พลังของมานาจะต่างกันออกไปตามแต่คนที่ใช้ หากว่ามานาใช้ไม่ได้จริงๆถ้างั้นทำไมพวกมันถึงทนกับเวทย์มิติของคังมิเรย์ไม่ได้ล่ะ? นอกไปจากนี้ตราบใดที่พวกมันยังใช้แหล่งพลังงานจากวิญญาณอยู่ พวกมันก็ไม่อาจจะเมินเฉยในพลังของยูอิลฮานที่เป็นผู้ใช้แก่นแท้ของวิญญาณได้
“แค่พวกนายมันยังไม่พอหรอกนะ แต่ว่าพระเจ้าจากสวรรค์ยังเคลื่อนไหวไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? หากเขาเคลื่อนไหวหัวหน้ากองกำลังอื่นๆก็น่าจะพอรู้เบาะแส”
[ก… ก…. กกก….]
เร็กน่าตัวสุดท้ายได้ส่งเสียงแปลกๆออกมา ยังไงก็ตามนั่นมันก็เป็นการสั่นที่ไร้ความหมาย ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาและตวัดนิ้วอีกครั้งหนึ่ง ร่างนั้นได้ถูกตัดออกจากนั้น ความวุ่นวายได้จบลงไปทั้งแบบนี้
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 536 พละกำลังเพิ่มขึ้น 5 ความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้น 2 พลังชีวิตเพิ่มขึ้น 2 พลังเวทย์เพิ่มขึ้น 6]
[สกิลวิถีไร้ขอบเขตได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 24]
โลกได้เงียบลงอีกครั้งหนึ่ง ผู้คนที่รู้ถึงการมาของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าเร็กน่าได้เตรียมตัวสำหรับสงครามที่รุนแรง แต่แล้วพวกเขาก็ต้องมึนงงหลังจากที่ได้รู้ว่าเจ้าพวกนี้เป็นได้เพียงลูกกระจ๊อกต่อหน้าจ้าวของโลกใบนี้อย่างยูอิลฮาน เพียงแค่เขาตวัดมือเพียงครั้งเดียวเหล่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้ก็ถูกกำจัดไปจนหมด
นี่คือความโล่งใจที่พวกเขาได้รับจากการอยู่เคียงข้างยูอิลฮาน
“อิลฮานแกร่งมากขนาดนี้แล้ว… ฉันไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าเขาแกร่งขนาดนี้”
“แต่ถึงแบบนั้นมิเรย์ก็ทำแบบนี้ได้นี่”
“ไม่หรอก หากว่าไม่มีปาฏิหาริย์จากยูนาค่อยช่วย ฉันก็จัดการกับพวกมันทั้งหมดไม่ได้หรอก…”
คังมิเรย์ได้พูดออกมาอย่างจริงจังเพราะเธอคิดว่ายูอิลฮานประเมินเธอสูงไป ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้พูดออกมาเหมือนกับว่าเขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“วันสิ้นโลกใกล้มาถึงแล้ว หากว่ายูนายังสามารถปาฏิหาริย์ไม่ได้เหมือนกับการกินข้าว เราจะต้องทำให้เธอแก้ไขมันให้ได้ เพราะงั้นส่วนนี้เราไม่ต้องกังวล”
“สิ่งที่นายพูดมันทำให้ฉันยิ่งกังวลนะ!?”
ยูอิลฮานได้หันไปทางอื่นโดยปล่อยคังมิเรย์ที่ตกตะลึงเอาไว้ สมาชิกสำคัญของดราก้อนเนสทุกๆคนได้มารวมกันอยู่ตรงนี้แล้ว แม่ของเขาคิมเยซอลที่ตกตะลึงกับพลังที่ไม่น่าเชื่อของยูอิลฮาน และกาเบรียลที่กำลังดีใจที่เขาไม่ต้องถูกตบอีกต่อไปก็อยู่ด้วย
“พ่อครับ อย่างที่พ่อได้เห็นดูเหมือนว่าในที่สุดมันก็กำลังจะเริ่มแล้ว เราจำเป็นต้องรีบเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดแล้ว”
“พวกเราต้องทำแบบนั้นแหละ พ่อคิดว่าเขาจะส่งเร็กน่าระดับสูงมาซะอีก แต่ว่าสุดท้ายกับเป็นแค่เร็กน่า ดูเหมือนว่าลูกจะพัฒนาเร็วเกินกว่าที่พระเจ้าคาดเอาไว้มาก ดูเหมือนว่าเราได้จัดการกับระเบิดลูกใหญ่ก่อนจะเริ่มไปแล้วสิ”
พ่อกับลูกต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างวุ่นวาย กาเบรียลได้โยนร่างยูยงฮานรวมไปถึงร่างเทวทูตทิ้งไว้ และเปลื่ยนไปเป็นหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดง ในเวลาเดียวกันยูอิลฮานก็รีบรวมมานาจากโลกใบนี้เข้าไปในอ่างแห่งปาฏิหาริย์ เขายังได้ใส่เร็กน่าส่วนหนึ่งที่ตายแล้วเขาไปในนั้นด้วย จากนั้นก็ชี้ไปหายูเรียล
“มานี่”
[มานี่หรอ? นี่นายจะบอกให้ฉันเข้าไปในก้อนสีแดงนั้นที่นายโยนของแปลกๆเข้าไปน่ะหรอ?]
“ก็แน่สิ มานี่”
หลังจากเห็นยูอิลฮานฉีกยิ้มออกมายูเรียลได้ขนลุกขึ้นมาทันที
[ระ เร็กน่า! ฉันเห็นร่องรอยพระเจ้ากำลังเข้าไปในนั้น! ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สนใจทุกๆองค์ประกอบจากสวรรค์ได้ แต่ว่าฉันไม่ได้เป็นอิสระจากพลังของพระเจ้านะ หากว่าฉันเชื่อมต่อเข้ากับพลังนั้นอาจจะมีอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น…]
“ชู่ววว เธอนี่มันน่ารำคาญจริงๆ ในตอนที่พวกเร็กน่ามันเข้ามาที่นี่ พวกมันก็เห็นเธอกับพ่อแล้ว! ก่อนที่พระเจ้าจะได้ทำอะไรแปลกๆ เธอต้องละทิ้งร่างทูตสวรรค์ออกไปให้หมดก่อน!”
ยูอิลฮานได้กระดิกนิ้วและเปิดใช้งานสกิลประกาศิต ต่อให้เธอจะเป็นหนึ่งในสี่ยอดเทวทูต แต่หากว่าเป็นในดาเรย์แห่งนี้ไม่ว่าใครก็เป็นได้แค่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่ต้องทำตามกฏของยูอิลฮาน
[ขอเวลาเดี๋ยวสิ ฉันเชื่อในตัวกาเบรียลนะ แต่ว่าฉันไม่ได้เชื่อในตัวนายขนาดนั้น ฉันจะยอมทำมันในตอน กรี๊ดดดดดด!]
“หืมม ฉันคิดว่าฉันเคยเห็นฉากนี้มาก่อนนะ…”
“เงียบไปเลย”
ยูเรียลได้ถูกโยนเข้าไปในอ่างแห่งปาฏิหาริย์โดยที่ไม่อาจจะทำอะไรได้ ในท้ายที่สุดเสียงกรีดร้องของเธอก็ได้ถูกกลบไปและไม่มีดังออกมาอีก คิมเยซอลที่รู้จากสัญชาตญาณว่ายูเรียลมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับกาเบรียลได้มากระซิบลูกชายของเธอเบาๆ
“ลูกแม่ แม่คิดว่าหากว่าทูตสวรรค์คนนี้ไม่ได้ออกมาจากข้างในอีกตลอดไปก็ดีนะ”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่จะทำไงได้ล่ะในเมื่อผมยังต้องการพลังของเธอ”
“ความรู้สึกไร้พลังมันน่าเศร้าจะเลยนะ ดูเหมือนแม่ก็น่าจะต้องรีบแกร่งให้มากกว่านี้แล้วสิ”
แม้ว่าทั้งสองแม่ลูกจะกำลังคุยกันในเรื่องที่น่ากลัวอยู่ แต่การวิวัฒนาการภายในอ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็ยังดำเนินไปอย่างราบรื่น
ศพของเร็กน่าได้ถูกนำไปเสริมพลังให้กับยูเรียลและเพิ่มความต้านทานต่อพวกโกเล็ม
ยังไม่ใช่แค่นั้น มานาชั้นสูงจากสี่ยอดเทวทูตและรูซิเอลที่ถูกยึดคืนมาจากพระเจ้าก็ยังถูกอ่างแห่งปาฏิหาริย์ดูดเข้าไปและเปลื่ยนให้เป็นพลังมังกร และด้วยบันทึกและพลังจากยูเรียลที่ผลักดันตัวเธอเองให้อยู่ในระดับเดิมทำให้เลเวลของยูอิลฮานเพิ่มขึ้นมาแทบจะในทันทีเกือบ 20 เลเวล
[คุณได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 554 พละกำลังเพิ่มขึ้น 41 ความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้น 11 พลังชีวิตเพิ่มขึ้น 25 พลังเวทย์เพิ่มขึ้น 23]
[สกิลประกาศิตได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 71]
นี่คือการเพิ่มพลังขึ้นจากแค่การวิเคราะห์และเปลื่ยนแปลงพลังของพระเจ้า! บันทึกที่ยูอิลฮานมีก็จะถูกแบ่งให้กับคนในกองกำลังเขาเช่นกันและทำให้เลเวลพวกเขาเพิ่มขึ้นด้วย ยูเรียลไม่ได้พูดผิดเลย การที่เธอมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของเขา เธอจะเป็นส่วนช่วยอย่างมหาศาล
“เพราะแบบนี้แหละฉันถึงเฝ้าหวังในร่างของราฟาเอลที่ถูกเก็บไว้อยู่”
“แม่ก็หวังเหมือนกัน”
“ทุกคนแย่มากๆ”
ในที่สุดแล้วอ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็เริ่มแตกออกมา ออร่าพลังที่โผล่ออกมาในครั้งนี้มายิ่งกว่าในตอนที่เฮเรียน่าเกิดใหม่เป็นมังกรคลาส 7 ซะอีก นี่คือการเกิดใหม่เป็นมังกรของคนที่มีพลังส่วนหนึ่งของพระเจ้า เพราะงั้นมันไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
แต่ว่าในเวลาต่อมาได้มีข้อความที่เขาคาดไม่ถึงโผล่ขึ้นมาที่ม่านตาของเขา
[ยูเรียลเลเวล 600 ได้เกิดขึ้นจากรังของคุณ]
“หืม นี่เธอก้าวข้ามคอขวดแล้ว”
“คอขวด? อย่าบอกนะว่าเป็นคลาส 8? บ้าน่า!”
“ฟู่…”
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้แตกออกมาจนหมดแล้ว และปีกมังกรสี่คู่ได้กางออกมาจากภายในนั้น นี่คือวินาทีที่หนึ่งในสี่ยอดเทวทูต ยูเรียลได้เกิดใหม่ขึ้นมาในฐานะมังกรคลาส 8 พลังที่เธอได้ขโมยมาจากพระเจ้าได้เปลื่ยนมาเป็นของมังกรและเข้ากันอย่างที่คาดไม่ถึง
แต่ว่าคำแรกที่ยูเรียลพูดออกมากลับเป็นคำบ่น
“ท่านหัวหน้า ดราก้อนเนสมีกฏน้อยเกินไป นอกจากเรื่องที่ห้ามต่อต้านท้านแล้วก็ไม่มีกฏอื่นที่จะควบคุมห้ามปรามอยู่เลย อืม สวนอาทิตย์อัสดงของกาเบรียลก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าท่านควรที่ได้เห็นแล้วนะว่ามันจะเป็นยังไง เพราะแบบนี้ท่านจะไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้เว้นแต่จะก้าวออกมาสั่งการดูแลด้วยตัวเอง”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปเท่ๆ
“หลังจากฉันจัดการภัยคุกคามปัญหาทั้งหมดไปแล้ว ฉันก็ไม่สนแล้วว่าสมาชิกของดราก้อนเนสจะไปทำอะไร ไม่ว่าจะไปพิชิตโลกไหนหรือพักผ่อนทำฟาร์มก็ตามใจพวกเขา พ่อเคยพูดเอาไว้ว่า – คนเราควรสนุกกับชีวิต”
“ถ้าเป็นกาเบรียลพูดล่ะก็…”
“คุณทูตสวรรค์ ไม่สิคุณยูเรียล? เราน่าจะมาคุยเรื่องนั้นกันซักเดี๋ยวดีไหม?”
“…ฉันก็คิดว่าฉันน่าจะคุยกับคุณเหมือนกัน”
คิมเยซอลกับยูเรียลได้ยืนมองกันและกันอยู่ข้างๆกาเบรียลที่เปลื่ยนมาอยู่ในร่างหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงแล้ว คิมเยซอลรู้ได้ทันทีว่าตัวเธอตอนนี้เสียเปรียบในด้านพลังอยู่
“สาวๆ”
“ค่ะแม่!”
“ค่าาาา~!”
ยูอิลฮานได้หน้าซีดลงไปเมื่อได้เห็นสมาชิกหญิงทุกๆคนรวมไปถึงเลียร่าไปยืนอยู่หลังแม่ของเขาและตะโกนออกมา
“มังกรที่แท้จริงทุกคนจากดราก้อนเนสสนใจทางนี้หน่อย! ในตอนนี้พวกเรากำลังจะเข้าสู่ปฏิบัติการรหัสว่ายุทธการสุดท้าย!”
“ลูกแม่ ให้เวลาแม่ซัก 10 นาทีซิ!”
“ฉันขอแย้งเรื่องชื่อปฏิบัติการ!”
“ถึงแม้ว่าศัตรูของเราจะทำเหมือนกับวายร้ายยุค 90 แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะต้องไปตั้งชื่อแบบยุค 90 เหมือนกันนะ”
“เริ่มยุทธการสุดท้ายได้!”
คำข้ามทั้งหมดได้ถูกมองข้ามไปในทันที ยูอิลฮานได้มองไปที่มังกรที่แท้จริงที่อยู่รอบๆตัวเขาและมอบคำสั่งออกมา
“ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องน่ารำคาญเกิดขึ้นมาตลอด แต่ว่าสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้แล้ว พวกเราคิดไว้ได้เลยว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดที่ไม่ใช่ดราก้อนเนสกับสวนอาทิตย์อัสงคือศัตรู”
ยูอิลฮานได้พูดต่อโดยไม่สนใจทั้งนั้น
“อย่างแรกเลยพ่อได้บอกว่าพ่อจะทำให้พวกลูกน้องสวนอาทิตย์อัสงกลายมาเป็นกำลังที่มีประโยชน์…”
[นี่ลูกมีอคติอยู่ในคำพูดนะ]
“ไปทำหน้าที่ได้แล้วพ่อ”
[ฟู่ พ่อเลี้ยงลูกมาผิดจริงๆด้วย…]
รูปลักษณ์ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนของหัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงได้เผยออกมาต่อหน้าทุกๆคน ภาพนี้ดูน่าทึ่งมาก เขาคือชานหนุ่มหล่อเหล่าที่มีผิวสีขาวและผมสีน้ำเงินลึกลับ! แน่นอนว่าใบหน้าของเขาก็ยังคงมีลักษณ์ของยูยงฮานอยู่เช่นเดิม แต่ว่าตัวตนของเขาดูหล่อมากจนคาดไม่ถึง
หากว่าเขาต้องการเขาก็จะสามารถซ่อนตัวเองจากสายตาทุกๆคนนอกจากยูอิลฮานได้ แต่ว่าเขาจะไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้เขาได้ละทิ้งร่องรอยทั้งหมดในฐานะทูตสวรรค์ทิ้งปหมดแล้ว เขาไม่ต้องซ่อนตัวเองอีกต่อไป เมื่อเห็นแบบนี้คิมเยซอลได้ไอออกมาฝืนๆและหยักหน้า
“คุณดูเด็กกว่าเดิมนะ”
[คุณภรรยา ผมเคยพูดไปแล้วนี่ ผมไม่ต้องเพิ่มเลเวลอีกต่อไปแล้ว แล้วก็อย่าเอาอายชาโดว์มาใช้กับผมอีกนะ]
กาเบรียลได้ถูกตบอีกครั้งหลังจากพูดเรื่องไร้สาระออกมา แต่ถคงแบบนั้นขาก็ได้เปิดใช้งานเวทย์ข้ามมิติ
[งั้นพ่อไปแล้วนะ ถึงเวลาที่จะต้องรวมพลังของสวนอาทิตย์อัสดงให้เป็นหนึ่งแล้ว]
“ฉันไม่สบายใจที่จะให้คุณไปคนเดียวเพราะงั้นฉันจะไปกับคุณด้วย”
[โอเค]
“อ่า กาเบรียลฉันด้วย…”
“ยูเรียล เธออยู่นิ่งๆที่นี่แหละ ฉันยังต้องการให้เธอช่วยอยู่”
“เข้าใจแล้ว…!”
ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ชัดเจนว่าเป็นการจงใจแยกเธอออกมา! ยังไงก็ตามถึงเธอจะอยากต่อต้านแต่เธอจะทำอะไรได้ต่อในเมื่อเขาคือจ้าวแห่งดราก้อนเนสที่เป็นกองกำลังที่เธออยู่! ยูเรียลได้หุบปีกของเธออย่างอึดอัดใจ
คิมเยซอลได้แลบลิ้นออกมาพร้อมๆกับการหายไปในมิติราบกับเป็นการเยาะเย้ เมื่อเห็นแบบนี้ยูเรียลรู้สึกเจ็บใจมากๆแต่ว่าเธอก็ยังยิ้มออกมาเมื่อเห็นการกระทำเด็กๆแบบนี้
ยูอิลฮานได้ยืนส่งทั้งสองคนจนหายไปและสั่งเอลฟ์ทั้งสามกับมิสฟาร์
“พวกเธอจะต้องรับผิดชอบที่เอิร์ธ ที่โลกของฉันจะไม่ถูกบุกง่ายๆเหมือนกับดาเรย์ แต่ว่าที่นั่นก็จะถูกบุกก่อนทุกอย่างจะจบแน่ เพราะแบบนั้นฉันก็เลยจะส่งพวกเธอทั้งสี่คนไป ฉันส่งพวกเธอไปเพราะเรื่องสำคัญ พีทนายทำได้ใช่ไหม?”
“…แน่นอนครับ”
จากการที่พีทได้กลายมาเป็นมังกรที่แท้จริงคลาส 5 แล้วทำให้เขาสามารถจะควบคุมอันเดตคลาส 6 และเหนือไปกว่านั้นได้ง่ายๆ เพราะแบบนี้ยูอิลฮานก็เลยมอบศพที่เหลือทั้งหมดที่ใช้การไม่ได้ให้กับพีท จริงๆแล้วหากไม่นับสมาชิกหลักที่อยู่ในคลาส 7 แล้ว พีทคือคนที่แกร่งที่สุด
เขาได้มอบเครื่องประดับขนนกที่ทำมาในเวลาว่างไปให้กับพีท
“ถึงจะไม่มากอะไรแต่มันคืออาร์ติแฟคระดับเทพ”
“ระดับเทพ!”
“ท่านจักรพรรดิ นี่มันเป็นเกียรติมาก…!”
“นายยังขาดพลังที่จะสู้กับเร็กน่าที่ยับยั้งมานาได้ ฉันได้ผสมวัตถุดิบที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเข้ากับฮาคาเนี่ยมแล้วก็เอลฮาซาแล้ว เพราะงั้นมันจะช่วยให้นายใช้งานกับดักแห่งการฟื้นคืนบนโลกของฉันได้ เจตจำนงแห่งผู้พิทักษ์ที่นั่นก็จะช่วยนายท่าน เพราะงั้นนายน่าจะต่อต้านเร็กน่าระดับสูงได้ด้วยนะ”
“พลังที่ป้องกันเร็กน่าระดับสูงนี่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแล้วก็ไม่ใช่แค่เร็กน่า…”
ขนาดนี้แล้วมันทำให้คนสงสัยว่าบอสสุดท้ายจริงๆแล้วคือยูอิลฮานหรือป่าวนะ ยูอิลฮานได้โยนกับดักแห่งการฟื้นคืนเข้าไปในประตูมิติที่คังมิเรย์เปิดขึ้นมาและกลืนกินกับดักแห่งการทำลายทั้งหมดบนเอิร์ธผ่านมิสทิค ทั้งหมดนี้เขาน่าจะกำจัดตัวแปรที่ไม่เสถียรไปได้หมดแล้ว
“เอาล่ะนั้น พวกเธอก็ควรจะไปกันได้แล้ว”
“พวกเราจะกลับมาครับ”
หลังจากส่งพวกเอลฟ์ไปแล้วยูอิลฮานก็หันกลับมา ในตอนนี้เขาได้เห็นหูคู่หนึ่งกระดิกอยู่
“ต่อไปคือพวกเธอสองคน”
“เรากำลังรอคำสั่งนายท่านอยู่เลย”
“ครับนายท่าน”
คนถัดมาก็คือเอริเซียกับเฟมิล แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นแค่คลาส 5 แต่ว่าก่อนที่เธอจะมาเป็นคลาส 5 เธอก็มีพลังมากอยู่แล้วเพราะพรจากดวงจันทร์
นอกไปจากนี้ในตอนนี้เธอน่าจะได้พรและพลังจากมังกรทำให้เธอได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพรจากดวงจันทร์แล้วด้วย และเพราะแบบนี้เฟมิลที่แต่เดิมเป็นหนึ่งในหมาป่าก็น่าจะถูกเพิ่มพลังขึ้นไปจนแม้แต่ยูอิลฮานก็ยังต้องตกตะลึง ด้วยทั้งสองคนนี้ที่มีพลังของมังกรอยู่เหมือนกับรูบี้และหมายเลขหนึ่งก็น่าจะดึงพลังที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงตามปกติออกมาได้
“พวกนายจะต้องปกป้องดาเรย์ร่วมกับมังกรตนอื่นๆ กองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกองกำลังอื่นๆก็ไม่น่าจะบุกมาแถวที่นี่เพราะมีฉันอยู่แล้วก็ไม่น่าจะมาดาเรย์ด้วย แต่ว่าเร็กน่ากับเจ้าตัวที่คล้ายๆกันน่าจะบุกมาอีกครั้ง โอโรจิกับมิสทิคได้เห็นสิ่งที่ฉันทำไปเมื่อตะกี้นี้แล้วพวกนายก็น่าจะรู้นะว่าต้องทำยังไง”
“เข้าใจแล้ว ฉันก็แค่ต้องลูบหัวผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม?”
“โอโรจิงี่เง่า! เจ้าบ้า!”
แม้ว่ามิสทิคจะพูดคำว่า ‘บ้า’ ออกมาหลายต่อหลายครั้งแต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเลย ยูอิลฮานได้เฝ้ามองความโรแมนติกของทั้งสองสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้บอกอะไรออกมา
“มิเรย์กับยูนาก็น่าจะต้องอยู่ที่นี่เหมือนกัน พวกเขายังต้องการพลังจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“เข้าใจแล้ว”
“อิลฮาน ฉันจะใช้ปาฏิหาริย์ได้อย่างต่อเนื่องจริงๆหรอ? อืมม ฉันคิดว่าฉันทำมันได้นะแต่ว่าฉันจะต้องเหนื่อยแน่เลย เหนื่อยมากๆเลยนะ!”
“ฉันจะทำตามคำขอเธอทีหลังแล้วกันเพราะงั้นพยายามเข้า”
“โอเค!”
ยูอิลฮานได้เรียกสมาชิกที่เหลือที่เขายังไม่ได้เรียกและให้พวกเขาขึ้นไปประจำการบนป้อมปราการผู้พิทักษ์ ตัวยูอิลฮาน ยูมิล เลียร่า เอิลต้า เฮเรียน่า รวมไปถึงกองทัพเด็กๆด้วย
“อย่างที่ฉันพูดไปทุกๆคนคือศัตรู กองทัพสวรรค์คือศัตรู กองทัพปีศาจวิบัติคือศัตรูที่น่ารำคาญ แล้วก็กองทัพจรัสแสงด้วย พวกเราจะเข้าไปอัดพวกมันก่อนเพราะงั้นเราไม่สนว่าพวกนั้นจะคิดอะไรอยู่ ทุกๆคนเข้าใจนะ”
ไม่มีใครที่ไม่เข้าใจในยุทธการนี้ จะมีก็แต่คนที่ไม่เห็นด้วย ยังไงก็ตามมันไม่มีวันที่ยูอิลฮานจะสนใจเสียงบ่นเหล่านี้ เลียร่าได้พูดออกมาอย่างสิ้นหวัง ยูเรียลที่อยู่ข้างๆก็มีสีหน้าซึมเศร้าเช่นกัน
“เดินทางไปสวรรค์กันเถอะ”
“เย้ ไปกันเลย”
ริมฝีปากยูอิลฮานได้ขยับเป็นรอยยิ้มในขณะที่เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติ ปลายทางของเขาชัดเจนว่าเป็นสวรรค์ เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คือฮาคาเนี่ยม เฟซิเนี่ยม และเอลฮาซา จริงๆแล้วนี่ไม่ต่างจากโจรเลยซักนิดเดียว
“เอาล่ะ ไปกันเลย!”
“อ๊าา พวกเรากำลังจะไปกันจริงๆแล้ว!”
“อุฟุฟุ ยอดเยี่ยมที่สุดเลย!”
ป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้หายไปจากดาเรย์แล้ว ในที่สุดแล้วม่านแห่งวันสิ้นโลกก็ได้ถูกเปิดขึ้นมาแล้ว
บทที่ 322 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (6)
‘วันนี้คือวันที่สวยงาม หมู่เมฆลอยร่องลอยอยู่บนท้องฟ้าที่ไม่สิ้นสุด และมีเหล่านกที่กำลังร้องเพลง’
[ในวันเช่นนี้ทูตสวรรค์อย่างพวกนาย…]
ยูอิลฮานได้กางมือขึ้นไปบนท้องฟ้า เพลิงนิรันดร์กำลังหายใจอิชจาร์ได้ผสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งและถูกปล่อยออกมาพร้อมๆกัน พลังงานมังกรและพลังงานเพลิงได้ผสานเป็นหหนึ่งจนเกิดเป็นคลื่นพลังขนาดยักษ์ และด้วยพื้นที่ประกาศิตของยูอิลฮานทำให้โลกใบนี้ไร้เจ้านาย
[…จะต้องถูกเพลิงนรกแผดเผา]
สกิลประจักษ์แจ้งได้ถูกเปิดใช้งานขึ้นมาพร้อมๆกับประกาศิตเพื่อที่จะเปลื่ยนพื้นที่ส่วนหนึ่งของโลกที่กว้างใหญ่กลายมาเป็นของยูอิลฮาน เลียร่าที่เฝ้ามองอยู่ได้ร้องออกมาทันที
“อันตรายๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ยูอิลฮานไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอีกต่อไปแล้ว เขาคือจ้าวแห่งโลกที่กว้างใหญ่ที่มีชื่อว่าดาเรย์และยังเป็นจ้าวแห่งมังกรด้วย! บันทึกที่เขามีอยู่กว้างใหญ่และไร้ก้นบึ้งทำให้เป็นธรรมดาที่มานาที่เขามีอยู่จะต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง หากว่าเราได้ยึดเอาส่วนหนึ่งของสวรรค์ไปจะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ? ทุกๆชีวิต หรือก็คือทูตสวรรค์ของสวรรค์ทุกๆคนก็จะรู้ถึงตัวตนของเขา
[นี่มัน….!]
[หัวหน้ากองกำลังเข้ามาโจมตีตรงๆ!?]
[ฉะ ฉุกเฉิน! นี่มันเรื่องฉุกเฉินแล้ว! หัวหน้ากองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูง… ยูอิลฮาน! พระเจ้า ยูอิลฮานจากโลกใบนั้น!]
“พวกนายคงจะไม่คิดว่าฉันจะบุกมาก่อนสินะ? เนื้อเรื่องก็มักจะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดนั่นแหละน่า!”
ยังไงก็ตามสิ่งที่ยูอิลฮานทำก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ยกเว้นเรื่องต่อจากนี้!
หลังจากได้เห็นทูตสวรรค์วิ่งกรูกันเข้ามาหาเขา ยูอิลฮานได้ตะโกนออกมาอย่างพึงพอใจ เขาได้ดึงพลังของการปกครองผ่านสกิลประกาศิตออกมา
[นับจากนี้ไป และในเวลานี้จะเป็นการประกาศเรื่องสำคัญถึงการมีอยู่ของดราก้อนเนส]
คำพูดของเราดูนุ่มนวลไม่สมกับที่ออกมาจากปากของคนที่เป็นหัวหน้าทั้งกองกำลังเลย แต่ว่า
[ตอนนี้เรากำลังประกาศรับสมัครสมาชิกใหม่เข้าดราก้อนเนสอยู่! ตราบใดที่บันทึกของพวกนายยังมีสภาพสมบูรณ์ดีอยู่ก็จะไม่มีปัญหาต่ให้พวกนายตกลงไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำก็ตาม! นี่เป็นโอกาสที่ดีเลยนะ จากทูตสวรรค์มาเป็นมังกร โอกาสที่จะกลายมาเป็นตัวตนสุดเท่ห์! เวลาไม่คอยท่าแล้วนะ รีบคว้าโอกาสในตอนที่มันยังมีอยู่ซะสิ!]
[ว่าไงนะ…?]
จากทั้งคำพูดที่นุ่มนวลและการชักจูงจากคำพูดเมื่อตะกี้นี้ ทูตสวรรค์ส่วนใหญ่ต่างก็ส่งเสียงหึขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครที่คิดว่าเขาโกหกเลย ทูตสวรรค์ได้กลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ เทวดาตกสวรรค์กลายไปผู้เฝ้าประตู มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย
พวกทูตสวรรค์ก็แค่คิดว่ายูอิลฮานกำลังดิ้นรนเพื่อเพิ่มกองกำลังของตัวเองเนื่องจากกองกำลังของเขาเพิ่งจะตั้งขึ้นมา
[โลกใบนี้คือฐาทัพหลักของกองทัพสวรรค์! ฉันยอมรับในพรสวรรค์ที่กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงด้วยตัวเองของนายนะ แต่ว่านายกล้าดียังไงมาชักจูงทูตสวรรค์ให้กลายไปเป็นเจ้าพวกสัตว์เลื้อยคลาน! ในนามของพระเจ้า เราทูตสวรรค์จะลงทัณฑ์แกเอง!]
[ทะลวงม่านตา ควักหัวใจ! ในฐานะตัวแทนพระเจ้า ได้เวลาแห่งการกำจัดแล้ว]
ในฐานทัพหลักนี้มีทูตสวรรค์อยู่มากมาย ยูอิลฮานได้ยิ้มแห้งๆออกมาในระหว่างที่มองดูทูตสวรรค์นับพันนับหมื่นที่ไม่อาจจะนับได้ เขารู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมากๆ แต่ว่าทำไมเจ้าพวกทูตสวรรค์ทั้งหมดถึงอยู่กันแต่ในบ้านตัวเองทั้งๆที่มีโลกระดับต่ำจำนวนมากให้ไปดูแล?
ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนี้คงจะต้องใช้การกระตุ้นที่มากยิ่งไปกว่านี้อีก ยูอิลฮานได้คิดกับตัวเองและดึงพลังมานาขึ้นมาอีกครั้ง
[ฉันจะขอผูกมัดตัวเองด้วยพลังที่ตัวฉัน]
“ฉันขอประกาศว่า [ฉันจะไม่โกหก]”
[ไร้สาระ!]
เขาได้ผูกมัดตัวเองด้วยพลังของประกาศิต เพราะแบบนี้เขาจะโกหกไม่ได้ พลังของตัวเขาได้ห้ามไม่ให้เขาได้ทำแบบนั้น… นี่คือการกระทำที่โง่มาก
ยังไงก็ตามในตอนนี้เขาต้องทำแบบนี้
[ในสวรรค์ไม่มีพระเจ้าอยู่อีกต่อไปแล้ว พระเจ้าของพวกนายกำลังไปสร้างกองทัพใหม่ที่จะลบทุกๆอย่างออกไปอยู่ พวกนายทุกๆคนถูกทอดทิ้งในฐานะผลงานที่ล้มเหลวแล้ว สำหรับพระเจ้าสวรรค์ของพวกนาย พวกนายก็เป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น]
[ไร้สาระ]
[กะ กล้าดียังไงกันที่มาดูหมิ่นนามของท่านพระเจ้า…!]
[ฉันจะย้ำอีกครั้งนะ]
ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมา ด้วยสกิลประกาศิตและประจักษ์แจ้งทำให้ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในสวรรค์ก็มองเห็นใบหน้าและได้ยินน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน
[ฉันไม่ได้โกหก พระเจ้าสวรรค์ได้ทอดทิ้งพวกนายทุกคนไปแล้ว]
[นะ นาย…!]
[ฆ่ามัน! ลงโทษมันที่ดูหมิ่นนามแห่งผู้สร้าง!]
เทวทูตคลาส 7 ที่ตามปกติจะเห็นได้ยากได้โผล่ขึ้นมาเต็มไปหมดในทันที สมแล้วกับที่เป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุด
ต่อให้ยูอิลฮานจะจัดการฆ่าแล้วขโมยพวกทูตสวรรค์ไปมากแต่ก็ยังคงมีทูตสวรรค์ระดับสูงเหลืออยู่อีกมากมาย คนพวกนี้แหละคนกองกำลังที่น่ากลัว
[กล้าดียังไงมาหลอกเรา!]
[เขาก็แค่หัวหน้ากองกำลังที่เพิ่งสร้างขึ้นมา! เด็ดหัวเขาลงมาสังเวยให้กับคำดูหมื่นนั่น! นี่คือคำสั่งของพระเจ้า!]
[ในนามของเทวทูตมิริเอลขอประกาศว่าเราคือปีศาจร้ายที่เราจะต้องกำจัด เป็นปีศาจร้ายที่ยิ่งกว่าซาตานซะอีก!]
ในเมื่อพวกทูตสวรรค์เอาแต่ปฏิเสธมาตลอดมันไม่มีทางที่เสียงของยูอิลฮานจะไปถึงง่ายๆอยู่แล้ว ยังไงก็ตามเขาก็ยังคงเห็นระลอกคลื่นอยู่เต็มไปหมด ในตอนนี้ถึงเวลาที่จะเริ่มการโจมตีที่รุนแรงที่สุดแล้ว
[จงเปิดตาดูและเปิดหูฟังกันให้ดีนะ]
ริมฝีปากของยูอิลฮานก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ เขากำลังเยาะเย้ยพวกคนเขลาที่เขาใจอะไรยากและยื่นมือออกไปข้างๆ
[สิ่งที่พวกเธอเรียกกันว่า ‘คำสั่ง’ มันมาจากไหนล่ะ? ฉันรับประกันได้เลยว่าคำสั่งพวกนั้นมาจากสี่ยอดเทวทูตล่ะสิ จริงไหมยูเรียล?]
“ใช่แล้ว”
[…อะไรกัน?]
[ท่านหญิงยูเรียล…?]
นี่คือไพ่ตายที่ทรงพลังที่เขาเก็บไว้กำจัดเรื่องหลอกลวง ยูเรียลผู้อยู่ใต้คำสั่งของยูอิลฮานได้ก้าวออกมาข้างหน้าทั้งๆที่มองเขาอยู่
“ท่านนี่ใจร้ายจังเลยนะ บอกกันก่อนหน่อยก็ได้นี่”
“นั่นก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“นายนี่… ได้กาเบรียลมาเยอะเลยนะ”
ในที่สุดแล้วเธอก็รู้แล้วว่ายูอิลฮานต้องการเธอไปทำไม เธอยังเห็นด้วยว่านี่เป็นส่วนที่น่าสนุก เหยียบย่ำทูตสวรรค์! ไม่มีทางที่เธอจะปฏิเสธมันอยู่แล้ว ในเมื่อตัวเธอเผยตัวตนและออกมาจากสวรรค์แล้ว เธอยังจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ ยังจะต้องลังเลอะไรอีก! หากว่าเธอสามารถจะชักจูงพรรคพวกที่อ่อนแอและไร้เดียงสามาเป็นพวกได้โดยไม่ต้องฆ่า ทำไมเธอจะต้องลังเลที่จะทำด้วย!
ระลอกคลื่นได้กระจายไปทั่วทั้งกองทัพสวรรค์แล้ว
[ไม่มีทาง ต้องไม่ใช่เธอแน่]
[โกหก นี่เป็นตัวปลอม ไม่มีทางที่่ท่านหญิงยูเรียลจะไปเป็นพวกกับปีศาจ…]
[โกหก นี่มันไม่จริง นี่คืออุบายของยูอิลฮาน…]
“ฉันคือยูเรียล ทุกๆคน ตลอดมาเพราะกลัวในพลังของมิคาเอลทำให้ฉันไม่อาจจะเผยความรู้สึกจริงๆออกมาได้ แต่ยังไงก็ตามในตอนนี้ทุกๆคนช่วยฟังทีนะ”
ยูเรียลได้มองลงมาที่ทุกๆคนด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเปล่งประกายที่ไม่ว่าใครก็รู้ว่านี่คือเธอ ปีกมังกรสี่คู่บนหลังของเธอได้กางออกมาเป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่มากๆ ทุกๆคนต่างก็สัมผัสได้ถึงระบพลังที่ยิ่งใหญ่และมานาจากเธอ
[8 ปีก…]
[นี่ นี่มันโกหก นี่ไม่ใช่ท่านหญิงยูเรียล เธอยังไม่ใช่คลาส 8 เลย นี่คือมังกร! ไม่มีทางที่ปีกของมังกรจะแทนในระดับพลังได้]
“ฉัน”
น้ำเสียงเมินเฉยของยูเรียลได้ดังขึ้นมาทลายทุกๆความกังขาและสงสัย
“คือยูเรียล อดีตหนึ่งในสี่ยอดเทวทูต และในตอนนี้คือมังกรคลาส 8 ฉันมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีพระเจ้าอยู่แล้ว พระเจ้าสวรรค์ไม่มีทางเป็นผู้สร้าง เขาไม่ใช่ผู้ปกครองที่ดี เขามันก็แค่ทรราชที่คิดจะลบทุกๆโลกและสร้างสวนตุ๊กตาขึ้นมา”
[ไม่ นี่มันไม่จริง!]
[ไม่มีทาง… ขอร้องล่ะท่านหญิงยูเรียล!]
[ได้โปรดบอกเราว่ามันไม่จริง! โอ้ ขอร้องล่ะ!]
เมื่อใดก็ตามที่ยูเรียลพูดออกมาก็จะเห็นทูตสวรรค์ต่างก็ดิ้นรนอยู่เต็มไปหมด พวกเขาไม่อาจจะปฏิเสธในตัวยูเรียลได้อีกแล้ว และแม้กระทั่งทูตสวรรค์ระดับสูงหรือเทวทูตก็ยังไม่คิดจะเข้ามาโจมตีเธอ
ยูอิลฮานคิดว่านี่คงเป็นเวลาสำหรับที่จะเพลิดเพลินไปกับป็อบคอร์นแล้ว
“การเฝ้ามองนี่มันดูน่าสนใจจริงๆ”
“ฉันก็คิดแบบที่รักเลย”
“อ๊า แบบนี้ฉันคงจะทรุดแน่…”
“ฉันรู้สึกเหมือนกับเราเป็นคนชั่วเลยนะ!”
ยังไงก็ตามการโจมตีจิตใจของยูเรียลเพียงแค่เพิ่งเริ่มเท่านั้น
“ช่วยฟังที่ฉันพูดก่อน หัวหน้าแห่งดราก้อนเนส ยูอิลฮานที่พวกนายเห็นตรงนี้คือชายที่หยาบคาย หยิ่งยโส ทะนงตัง แต่ว่าเขาก็คือคนที่พยายามจะปกป้องทุกๆคนที่รับใช้เขา เพราะแบบนั้นเขาถึงควรค่าที่จะรับใช้ไงล่ะ!”
“บ้าอะไรล่ะนั่น!”
การโจมตีจิตใจของเธอมันร้ายแรงเอามากๆ! ยังไงก็ตามยูเรียลก็ไม่ได้สนใจสายตายูอิลฮานเลย เธอได้พูดต่อไป
“เราต้องทนกับความเศร้ากันมาอย่างยาวนาน และเฝ้าดูชีวิตนับไม่ถ้วนที่ได้เสียสละไป คำสั่งได้ถูกทำลายไปแล้วพร้อมๆกับกฏที่พังทลายลง พระเจ้ากำลังจะนำหายนะมาตามใจของเขาเอง!”
ยูเรียลได้มองไปหายูอิลฮาน ยูอิลฮานที่เข้าใจในสิ่งที่เธอบอกก็ได้หยิบเอาร่างของเร็กน่าออกมาจากช่องเก็บของ วงแหวนที่ผิดรูปกับปีกแปลกๆที่ทำให้คนต้องกลืนน้ำลายได้โผล่ขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครที่มีสกิลบันทึกเลย แต่ว่าพวกเขาก็สามารถจะประเมินจากพลังที่มีอยู่ในร่างเร็กน่าและรู้ได้ว่ามันถูกสร้างขึ้้นมายังไงได้
น้ำเสียงของยูเรียลได้แสดงความโกรธขึ้นมาเมื่อมองไปที่เร็กน่า
“นี่แหละคือกองทัพของพระเจ้าสวรรค์ พวกเรา… ถูกทอดทิ้งไปแล้ว เขาไม่เคยเป็นผู้สร้างเลย เขาร้องขอให้เราเสียสละเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่ว่าในหัวของเขาสิ่งที่ดีกว่านั่นมันก็คือผลประโยชน์ความปราถรนาของตัวเขาเอง! ทูตสวรรค์แห่งกองทัพสวรรค์เอ๋ยฟังคำพูดของฉัน…!”
ดวงตาของยูเรียลได้เริ่มมีประกายน้ำตาออกมา ในด้านการแสดงเธอสมควรที่จะได้รับรางวัลในด้านนี้เลย
“ได้โปรดอย่าเสียสละอย่างไร้ค่าอีกต่อไปเลย การมายืนเคียงข้างท่านผู้ปกครองที่เยาวัยคนนี้จะช่วยเราในการปกป้องโลกที่น่ารัง… โอ้โลกที่สวยงาม!”
“เฮ้ๆ ฉันรู้นะว่าเธอคิดจะพูดอะไร”
ยูเรียลได้เมินคำพูดของยูอิลฮานไปอีกครั้งและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกไป เพราะแบบนี้ทำให้โลกใบนี้ได้กลับคืนสู่ความสงบชั่วคราว เพลิงจากพลังของยูอิลฮานยังคงมีอยู่แต่ว่าทูตสวรรค์ไม่ได้ปฏิเสธเพลิงเหล่านี้อีกแล้ว
ความจริงใจจากยูเรียลได้ส่งไปถึงพวกเขางั้นหรอ? มีทูตสวรรค์ทีละนิดๆสลัดความลังเลทิ้งไปและเข้ามาหาพวกยูอิลฮาน แต่แน่นอนว่ายูอิลฮานไม่อาจจะบรรลุเป้าหมายของเขาได้ง่ายๆแน่
[ถึงจะเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่ยอมรับ]
น้ำเสียงที่ดึงสติของทุกๆคนได้ดังขึ้นไปทั่วทั้งน่านฟ้า ยูอิลฮานได้เงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกได้ว่าตอนนี้ถึงตาเขาแล้ว
เขามาแล้ว หนึ่งในผู้ควบคุมเพลิง และเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้รองจากพระเจ้า
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะมาในเวลาแบบนี้แหละ”
[ฉันไม่คิดเลยนะว่านายจะเข้ามาสวรรค์โดยไร้ความกลัวแบบนี้ ยังไงก็ตามยูอิลฮานนายไม่รู้หรอว่าที่นี่คือที่ที่มีพลังสวรรค์มากที่สุดน่ะ? นายคิดว่าฉันจะเข้ามาทะเลาะกับนายโดยไร้เหตุผลงั้นหรอ?]
มิคาเอลด้อยกว่ายูอิลฮานในทุกๆด้าน เพลิงของเขาทั้งหมดต่างก็เชื่อฟังยูอิลฮานและอาร์ติแฟคทั้งหมดของเขาก็ไม่ได้กับยูอิลฮานที่มีเศษเสี้ยงพลังในการสร้างอยู่
ยังไงก็ตามที่นี่คือสวรรค์ที่ที่มีพลังของพระเจ้าปกครองอยู่มันจะต่างออกไป ด้วยฉายา ‘ตัวแทนพระเจ้า’ ทำให้มิคาเอลคือผู้ที่ครอบครองในเศษเสี้ยวพลังของพระเจ้ามากที่สุดและครอบครอบพลังและมานาที่เทียบได้กับหัวหน้ากองกำลังต่างๆ
ยังไงก็ตามถึงจะรู้ถึงพลังนี้สีหน้าของยูอิลฮานก็ยังคงสงบอยู่
“ถ้านายจะมาแค่ทะเลาะกับฉัน ฉันก็คงจะผิดหวังมากเลยล่ะ นายคือคนที่มีชีวิตจนฉันไม่อาจจะคำนวนได้เลยนะเพราะงั้นมันไม่มีทางที่นายจะแค่มาทะเลาะต่อยตีกับฉันอยู่แล้ว”
[ทั้งๆที่รู้แบบนั้นนายยังจะมาอีกหรอ? ต่อให้จะมากับคนทรยศก็ตาม….!]
สายตาที่มิคาเอลได้มองไปที่ยูเรียลได้เรืองแสงแปลกๆออกมา จากสายตาที่จ้องนี้ของมิคาเอลทำให้ยูอิลฮานรู้ได้ทันทีว่ามันต้องไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ง่ายๆแน่
[การที่เธอยูเรียลอยู่ที่นี่มันก็หมายความว่ากาเบรียลก็เป็นคนทรยศเหมือนกัน! ดี กาเบรียล! เขาคือคนที่นำสวนอาทิตย์อัสดงงั้นสินะ! พวกเธอทั้งสองคนหลอกลวงกองทัพสวรรค์ โลกใบนี้ และแม้กระทั่งบันทึกนภา!]
“เป็นนายต่างหากที่หลอกพวกเรา ทำไมนายถึงเปลื่ยนไปล่ะ? ในตอนที่เราประกาศกันว่าจะปกป้องโลกใบนี้ด้วยพลังของเราและประกาศว่าพระเจ้าทำผิด! นายคือคนที่เปล่งประกายและบริสุทธิ์ที่สุดเชียวนะ!”
ยูเรียลได้ตะโกนออกมา ทูตสวรรค์ทุกๆคนต่างก็มองมาที่มิคาเอล ทูตสวรรค์ทุกๆคนได้คำตอบในสิ่งที่ต้องการมาแล้ว
[ฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว]
มิคาเอลได้พูดออกมา
[แน่นอนว่าพระเจ้าได้เดินไปในทางที่ผิด ฉันได้หันหลังให้กับเขาเผื่อปกป้องศักดิ์ศรีของเขา แล้วก็ใช่เรื่องนั้นฉันก็ยังไม่ได้เปลื่ยนไปหรอกนะ ฉันจะต้องปกป้องโลกให้ได้เหมือนกัน]
“งั้นแล้วทำไมกันล่ะ!”
[และฉันจะยืนเหนือพระเจ้าไงล่ะ]
“นั่นมัน….อะไรกัน?”
ยูเรียลได้ถามกลับไป ในตอนนี้ร่างกายของมิคาเอลได้ถูกหุ้มด้วยแสงสว่างที่ลึกลับ
[หลังจากได้แข่งขันกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่านั่นฉันได้ตรัสรู้มาแล้ว ฉันได้รู้ถึงพลังที่ฉันต้องการและได้รับมันมาแล้ว เพราะแบบนี้ฉันได้เป็นคนใหม่แล้ว ใช่ตอนนี้ตอนที่ทุกๆคนมองมาที่ฉัน มันคือเวลาที่เหมาะเลย]
“มิคาเอล…?”
ยูเรียลได้ตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้เธอไม่มีคำพูดที่จะไปขัดขวางความบ้าคลั่งของมิคาเอลเลย! ยังไงก็ตามหลังจากมองดูมิคาเอลยูอิลฮานได้ยิ้มกว้างออกมา
“เยี่ยม ตอนนี้มันสำเร็จแล้ว”
“อะไรสำเร็จหัวหน้า?”
[ฉันจะหยุดการเป็นทูตสวรรค์ยูเรียล! ฉันจะอยู่เหนือยิ่งกว่าเพลิงและกลายเป็นแสงสว่าง! ฉัน คือ พระเจ้า!]
มิคาเอลได้เปล่่งแสงที่แสบตาออกมา ก็อย่างที่เขาพูดเพลิงรอบๆตัวเขาได้อ่อนจากลงจนเป็นแสงสว่าง
ทุกๆคนรู้แล้ว นี่มันไม่ใช่แค่พลังเวย์เพียงอย่างเดียว นี่มันคือปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตก้าวเข้าสู่ขั้นใหม่ของพลัง
ในตอนนี้มิคาเอกำลังไปถึงตำแหน่งพระเจ้าจากการที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนพระเจ้ามานาน เขาได้รับพระของพระเจ้า ดูดบันทึกที่จำเป็นสำหรับเขาเข้ามาทั้งหมดและไปถึงระดับพลังของเทพแล้ว!
[พระเจ้าที่พวกเธอต้องการอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเธอไม่จจำเป็นตัองสงสัย ไม่ต้องกังวล พวกเธอจะติดตามฉันไป!]
ปีกแห่งแสงได้งอกขึ้นมาจากหลังของมิคาเอล นี่คือภาพที่ทรงพลังมาก คนที่ตระหนักถึงความไร้พลังของตัวเองกำลังพัฒนาขึ้น…
นี่คือสิ่งที่มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่ทำได้นะ! ถ้างั้นยูอิลฮานก็ไม่ใช่ตัวเอกน่ะสิ!?
“หัวหน้า ทุกๆอย่างพังไปหมดแล้ว! เราต้องหนี!”
“หนีอะไรกัน นี่มันยิ่งง่ายขึ้นที่จะแยกระหว่างมิตรกับศัตรู”
ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็ยังคงใจเย็นเหมือนอย่างเคย สายตาของเขาที่มองไปที่มิคาเอลที่กำลังทะลวงขั้นพลังใหม่ดูเหมือนกับเด็กสาวที่กำลังอยู่ในความรัก
“ฉันกลัวว่าเราจะทนไม่ไหวเพราะความอ่อนแอซะอีก แต่ดูนี่สิ ฉันโล่งใจสุดๆเลย อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตายไปก่อนที่ฉันจะได้ฆ่าเขา”
ความใจเย็นของยูอิลฮานราวกับความกังวลของยูเรียลไม่มีค่าเลย!
“…หัวหน้า นี่ท่านมีอะไรที่กลัวไหมเนี้ย?”
“แน่นอนว่ามีสิ ตอนแม่ฉันโกรธก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันกลัวนะ เพราะงั้นอย่าไปยั่วพ่อฉัน โอเคนะ?”
“…”
ยูเรียลได้เลิกที่จะทำความเข้าใจแล้ว ในตอนนี้เองมิคาเอลก็ได้ถือหอกแสงชี้มาที่ยูอิลฮาน ในเวลาเดียวกันยูอิลฮานก็สร้างหอกเพลิงทำแบบนี้เดียวกันอย่างสบายใจ
[ฉันจะฆ่านายเพื่อนำความระเบียบมาสู่จักรวาล!]
“ถ้าคำพูดมันฆ่าคนได้ฉันคงตายไปเป็นพันๆครั้งแล้ว! ทำไมนายถึงไม่มาทำมันจริงๆซักทีล่ะ!?”
[ได้เลย! ตายซะยูอิลฮาน!]
หอกทั้งสองเล่มได้ปะทะกันแล้ว นี่คือการต่อสู้ของสองผู้ที่มีพลังในระดับเทพ
บทที่ 323 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (7)
เดิมทีแล้วมิคาเอลด้อยกว่ายูอิลฮานในด้านความสุขุมอยู่แล้ว แม้กระทั่งในตอนก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นตัวตนระดับสูงสุดอย่างเทพนี้ เขาก็มีพลังที่มากพอจะเผชิญหน้ากับหัวหน้ากองกำลังอื่นตรงๆอยู่แล้ว แต่ยังไงก็ตามเขาไม่อาจจะทำอะไรยูอิลฮานได้เลย เพราะงั้นเขาก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยออกมาในตอนที่รู้ตัว นอกไปจากนี้เขาก็ยังรู้ว่ายูอิลฮานตั้งใจปล่อยเขาไปด้วย เพราะแบบนี้เขาจะไปทนกับการดูถูกนั่นได้ยังไงกัน!
เขาได้กัดฟันกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้และในที่สุดแล้วเขาก็ได้กลายมาเป็นเทพจากบันทึกที่เขาได้สู้กับยูอิลฮาน เขาได้เปลื่ยนแปลงพลังทั้งหมดที่ได้รับจากพลังให้กลายมาเป็นของเขาเอง และเดินไปในเส้นทางของตัวเองจนมาถึงระดับสูงสุดนี้ ปลดปล่อยตัวเองจากบ่วงเหมือนกับที่ซาตานเคยทำมาก่อน
[แต่ทำไมกัน…!]
มิคาเอลได้กัดริมฝีปากตะโกนออกมา ทั้งหอกและมานาทั้งหมดของเขาที่ปล่อยออกมาได้ถูกขวางเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้ปล่อยออกไปอย่างสุดกำลังซะอีก มันราวกับว่ามีกำแพงขนาดยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเขา เหงื่อเย็นๆที่ไม่น่าจะออกมาจากตัวเขาได้ไหลออกมาจากหน้าผาก
[ทำไมฉันถึงเอาชนะนายไม่ได้!]
“นายคิดว่านายเปลื่ยนเพลิงให้ไปเป็นแสงสว่างงั้นสินะ แต่นายรู้อะไรไหม?”
ยูอิลฮานได้สะบัดหอกเพลิงของเขาเข้าใส่มิคาเอล หอกแสงของมิคาเอลนี้ดีกว่าหอกใดๆที่เขาเคยใช้มาก่อน แต่ว่ามันก็ไม่อาจจะขวางกั้นหอกเพลิงของยูอิลฮานได้ เพลิงของยูอิลฮานผู้ที่เป็นทั้งจ้าวมังกรและจ้าวแห่งเพลิงนี้สามารถจะสร้างความเสียหายกับร่างเทพได้อย่างสบายๆ มิคาเอลได้ครางออกมา
“ในท้ายที่สุดแสงสว่างก็คือส่วนหนึ่งของเพลิง แน่นอนว่าการที่นายพยายามจะมุ่งไปในด้านเดียวจนถึงขีดสุดมันก็เป็นสิ่งที่ดี วิธีการพัฒนาของนายมันทำให้นายกลายเป็นอิสระจากพระเจ้าในฐานะเทพเป็นคนที่สองรองมาจากซาตาน แต่ว่านะมันก็ยังน้อยไปอยู่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน”
[ไร้สาระ… นายมันก็แค่สิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยเท่านั้น!]
มิคาเอลได้โกรธขึ้นมาและสร้างเวทย์แสงขึ้นมาเต็มไปหมด ยูอิลฮานยังสัมผัสได้ด้วยว่าเวทย์พวกนี้มันไม่ได้เล็งมาที่เขาเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นๆรอบตัวเขาอีกด้วย
ยังไงก็ตามก่อนที่ปีกแห่งแสงทั้งห้าคู่จะได้ส่งพลังมานาเข้าไปทำให้เกิดเวทย์ที่มากพอจะทำลายโลกออกมา ยูอิลฮานก็ใช้เพลิงของเขาปกคลุมเวทย์พวกนั้นและเปิดใช้งานสกิลสวนกลับ
[สกิลสวนกลับได้เพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 73]
[ติดคริติคอล!]
[อ๊ากกกกกกกกก!]
“แล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะที่ถูกสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยโจมตีน่ะมิคาเอล?”
เส้นเพลิงนับพันได้พุ่งเข้าใส่มิคาเอลเหมือนกับเส้นเรเซอร์ ร่างกายมิคาเอลต่างก็เต็มไปด้วยรูที่หากเป็นคนธรรมดาก็ตายไปแล้ว แต่ว่าสำหรับมิคาเอล เขามีพลังมานาที่ไม่สิ้นสุดของสวรรค์อยู่และใช้มานานั่นฟื้นฟูตัวเอง
[ฉัน…!]
จิตสังหารได้กระจายออกมาจากดวงตาสีทองของมิคาเอล ยังไงก็ตามคำพูดจากปากของเขาค่อนข้างจะสงบต่างจากสีหน้า
[ตอนนี้ฉันยอมรับนายแล้ว…! นายเทียบเท่ากับฉันรวมถึงซานตานด้วย นายกับความโลภก็เทียบเท่ากัน แล้วก็เทียบเท่ากาเบรียล]
“พึ่งมารู้เอาตอนนี้หรอ? นายเป็นเทพแล้วนะ แต่นายไม่น่าจะแสดงด้านที่หน้าอายออกมาเลย มาโจมตีพรรคพวกของฉันแทนที่จะเป็นฉัน แม้กระทั่งพวกลูกกระจ๊อกยังไม่ทำแบบนี้กันเลยนะ”
ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมา มิคาเอลได้ตอบกลับมาพร้อมสร้างจักรขึ้นบนมือแต่ล่ะข้าง
[รู้ด้วยหรอ? ฉันทำมันจริงๆนั่นแหละ นี่คือความโหดร้ายที่ถูกปลุกขึ้นมา]
เขาได้เลิกที่จะเผชิญหน้าด้วยพลังตรงๆหรือใช้เวทย์ระยะไกลแล้ว มิคาเอลได้ตัดสินใจที่จะบีบอัดพลังเวทย์แล้วสินะ? นี่เป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้วที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ การโกรธที่ไม่อาจจะควบคุมและความอับอายบนใบหน้ามิคาเอลได้ถูกความเจ็บปวดชะล้างจนหายไปแล้ว และการกลับมาใช้เหตุผลของเขานี้ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่สมกับฐานะเทพแล้ว
[นายมันน่าทึ่งมาก ด้วยเวลาแค่พันปีหน่อยๆกลับทำให้นายมีเทคนิคที่เหนือกว่าคนอื่นๆ และมาถึงจุดๆนี้ หลังจากได้มองนายแล้วในที่สุดฉันก็รู้ตัวว่าฉันยังขาดพลังอยู่ การที่ฉันมาถึงระดับพลังของเทพได้ ระดับพลังที่เหมือนกันกับพระเจ้าได้ก็เพราะนาย]
“ชมกันขนาดนี้… ฉันก็อายเป็นนะ!”
ถึงแม้จะชมยูอิลฮาน แต่จักรทั้งสองอันก็ยิ่งหมุนเร็วขึ้นไปอีก ยังไงก็ตามยูอิลฮานที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดไปนานแล้ว เขาสามารถจะมองการเคลื่อนไหวของมิคาเอลออกและป้องกันมันได้
[ฉันจะยอมรับนายในฐานะเจ้านายของฉัน ฐานะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพระเจ้า นายสมควรที่จะได้รับความเคารพจากฉัน]
“ครั้งหนึ่งพระเจ้าเคยเป็นสินะ… งั้นนี่นายอยากจะขโมยพลังของฉันด้วยงั้นสิ?”
[เอ๊ะ!?]
ยูอิลฮานได้พูดแทรกขึ้นมา! มิคาเอลได้ตื่นตระหนกผงะไป แต่ว่าเมื่อได้เห็นยูอิลฮานยิ้มเย้ยออกมาเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความต้องการที่จะต่อสู้
[นายน่าจะยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่ทำให้เกิดการยึดพลังของพระเจ้าและไล่พระเจ้าออกไปสินะ …มันไม่ได้มีแค่ความโลภหรอกนะที่มีพลังในการกลืนกินพลังของคนอื่นน่ะ]
“ใช่ ฉันรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็มีพลังแบบนี้นั่นแหละ”
พลังเวทย์จำนวนมหาศาลได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นแสงสว่างและเพลิงเข้าปะทะกันจนเกิดเป็นประกายไฟพุ่งออกมา มิคาเอลคือจ้าวแห่งแสงสว่างเขาได้ใช้แสงนี้ในการโจมตี แต่ยูอิลฮานได้ป้องกันมันโดยไม่ลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว การโจมตีที่เล็กน้อยนี่สร้างไม่ได้แม้แต่รอยบนชุดเกราะด้วยซ้ำไป
[หากว่านายใช้บันทึกของนายเป็นอาวุธ งั้นฉันก็มีเหมือนกัน ฉันคือผู้ปกครองแห่งสวรรค์เพียงหนึ่งเดียว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างบูชาฉัน ทำไมนายไม่ลองใช้เพลิงของนายหยุดแสงสว่างของฉันดูล่ะ? เมื่อไหร่ที่นายหยุดไม่ได้นั่นคือคือตอนที่นายจะแพ้]
“มาดูกันดีกว่านะว่ามันจะจริงไหม?”
ยูอิลฮานได้เย้ยออกมาอีกครั้ง ประจักษ์แจ้งยังคงมีอยู่ ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นอาณาเขตของมิคาเอล แต่ว่าในเวลาเดียวกันมันก็เป็นอาณาเขตของยูอิลฮานด้วย เทพองค์ที่ห้าและดวงดาวที่เปล่งประกายที่สุด ยูอิลฮานคือดวงดาวที่เปล่งประกายยิ่งกว่าใครๆ
[มากกว่านี้… ยังไม่ได้จบ! มันยังไม่จบ!]
มิคาเอลได้พุ่งเข้าใส่ยูอิลฮานพร้อมกับแสงสว่างที่มหาศาล จักรในมือของมิคาเอลก็ยังหมุนวนด้วยพลังทำลายอย่างต่อเนื่องราวกับจะตัดยูอิลฮานให้ขาดตลอดเวลา แต่ว่ายูอิลฮานก็ป้องกันการโจมตีทั้งหมดของมิคาเอลโดยที่แทบไม่ต้องพยายามเลยเพราะเทวะกำลังได้เสริมพลังให้ร่างกายของเขาเหนือกว่าขีดจำกัดไปแล้ว นอกไปจากนั้น
“ฉันมีอาร์ติแฟคน่าสนใจที่ทำไว้ด้วยล่ะ นายรู้ไหม?”
[อะ… อ๊าาก!?]
จู่ๆหอกเพลิงก็เริ่มหมุน มันดูเหมือนว่าแรงหมุนมันแทบจะพอๆกับพลังหมุนของจักรเลย จนกระทั่งในที่สุดก็ฉีกกระชากพลังเวทย์ที่สร้างเป็นจักรขึ้นมา!
มิคาเอลได้กัดฟันปล่อยแสงออกมาป้องกันการโจมตีและใช้งานสกิลสวนกลับเพื่อเบี่ยงหอกของยูอิลฮานพร้อมทั้งเรียกจักรอีกคู่หนึ่งออกมา ยูอิลฮานได้เรียกเอจิสออกมาป้องกันหอกของเขาที่ถูกสกิลสวนกลับสะท้อนกลับมาด้วยรอยยิ้ม
“พยายามอีกหน่อยสิ นายมีเลเวลตั้ง 700 กว่าๆ นายไม่น่าจะมาแพ้ฉันที่เลเวลแค่ 500 นี่นา?”
[ฉัน… ฉัน…!]
หอกปะทะจักร ขาปะทะขา – การปะทะเลยเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ปีกห้าคู่ของมิคาเอลได้ยิงขนปีกออกมาจากทุกๆมุมเพื่อที่จะโจมตียูอิลาน
ยูอิลฮานได้ปัดพวกมันทั้งหมดออกไปทั้งหมดโดยไม่ยากเย็นด้วยวิถีไร้ขอบเขตและทิ้งรอยแผลจำนวนมากไว้บนร่างมิคาเอล การโจมตีของยูอิลฮานนี้อยู่เหนือยิ่งกว่าระดับเทพตามปกติไปแล้ว
[ได้ยังไงกัน… เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน!?]
มิคาเอลได้กัดฟันแน่น ต่อให้จักรของเขาจะแยกออกเป็นสี่อัน แปดอัน สิบหกอัน ยี่สิบสองอัน และแม้กระทั่งหกสิบสี่อัน คนที่ถูกกดดันก็ยังคงเป็นมิคาเอลอยู่ดี
[นายมาถึงระดับสูงแบบนี้ในเวลาสั้นๆได้ยังไง! นายแข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง! นายยืนหยัดได้นานแบบนี้ได้ยังไง! นายเข้าใจในหลักของมานาและควบคุมพวกมันทั้งหมดได้ยังไง! ทำไมเพลิงถึงได้บูชานาย! ทำไมนายถึงเข้าใจในบันทึกนภา!]
“นายรู้ด้วยหรอ? ดูเหมือนในจุดๆนี้ฉันคงต้องยอมรับในตัวนายนะ”
หลังจากปะทะกันสั้นๆแล้วยูอิลฮานก็ได้เตะมิคาเอลและเหวี่ยงหอกออกไป เมื่อเสียงตะโกนของเขาดังออกมา เพลิงโปร่งแสงหลายเส้นก็ปรากฏขึ้นและในเวลาต่อมาความสามารถทั้งหมดของหอกที่เขาได้สร้างขึ้นมาได้เริ่มทรงพลังยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนฉันจะเป็นอัจฉริยะแหละ”
“อ่า เขาเป็นผู้ชายของฉันแต่ก็ยังเป็นมารร้าย… แต่ยังไงก็เท่มากอยู่ดี”
แม้กระทั่งเลียร่าที่ได้อยู่กับเขามาเป็นพันๆปีก็ยังยอมรับในเรื่องนี้ ยูอิลฮานได้กางแขนออกมาโดยไม่สนใจเธอ นิสัยของมิคาเอลก็ยังเป็นเหมือนเดิมเลยนี่นา ตอนนี้มันไม่มีอะไรให้ต้องลังเลแล้ว
“คอยดูนี่ให้ดีนะ นี่คือสิ่งที่ฉันทำได้ด้วยเหมือนกัน [จงเกิดใหม่เป็นหนึ่งเดียว]”
[อะ นาย….]
ข้อจำกัดในเรื่องจำนวนออฟชั่นหรือความขัดแย้งพลังเวทย์มันไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไปแล้ว ทุกๆอย่างในบันทึกของยูอิลฮานได้รวมเป็นหนึ่งเดียวและเปลื่ยนแปลงกลายมาเป็นหอก ด้วยอาณาเขตของประจักษ์แจ้งทำให้ยูอิลฮานมีสิทธิขาดและใช้สกิลปรากาศิตทำให้เกิดการสร้างด้วยมานาของเขา
[การสร้างกำลังเปิดใช้งาน]
[ระดับพลังใหม่แห่งการสร้างได้ถูกบุกเบิกขึ้นด้วยการรวมของบันทึก]
ระดับเทพ? นิรันดร์? ระดับพวกนี้ก็แค่ระดับที่มีอยู่เมื่อนานมาแล้ว ในตอนนี้หอกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของยูอิลฮานจะมีระดับที่เหนือไปกว่านั้นอีก ระดับที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ด้วยภาษา
[ด้วยพลังแห่งเทพแห่งการตีเหล็ก]
[ด้วยพลังแห่งเทพแห่งเพลิง]
[กำลังสร้างปาฏิหาริย์]
ลักษณ์และรูปร่างต่างก็ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าบันทึกจำนวนมหาศาล และไม่อาจจะถูกเรียกด้วยชื่อใดๆได้อีก แต่ว่าหากจะเรียกชื่อที่เหมาะสมกับมันก็คงมีแค่เพียงคำว่า ‘หอกแห่งเทพ’
[นะ นาย… นี่มัน…!]
ยูอิลฮานได้ขวางหอกออกไปโดยไร้ความลังเลหรือความปราณีแม้แต่นิดเดียว มิคาเอลได้ถอยไปในทันทีเพราะเขารู้ว่าเขาไม่อาจจะทำอะไรได้เลย
[ติดคริติคอล!]
หอกของยูอิลฮานยังไม่ได้ถึงตัวมิคาเอล แต่ว่าการโจมตีเพียงครังเดียวนี้กำลังทำให้ทั้งโลกอ่อนแอลง ทุกๆวินาทีที่หอกเคลื่อนไหวตัวโลกใบนี้ก็จะเกิดบาดแผลมากยิ่งขึ้น พร้อมๆกันนี้พลังเวทย์ของยูอิลฮานได้ถูกสูบออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ยูอิลฮานก็มั่นใจว่าเขาจะต้องฆ่ามิคาเอลได้ก่อนที่พลังเวทย์จะถูกดูดออกไปจนหมดแน่นอน
[นี่มัน… เทพองค์ใหม่]
[ดวงดาวที่เปล่งประกายส่องสว่างที่สุด…]
[พระเจ้า ท่านเทพ!]
[ท่านมิคาเอลได้ประกาศตนว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้าไม่อยู่แล้ว… ถ้างั้นเราก็ต้องรับใช้รับใช้ท่านมิคาเอลในฐานะเทพองค์ใหม่งั้นหรอ?]
[มีแค่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่เรารับใช้ ยังไงก็ตามท่านหญิงยูเรียล…]
ต่อให้มิคาเอลจะเอาชนะยูอิลฮานได้ก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจที่มากพออยู่ดี แต่นี่เขากระทั่งถูกกดดันให้ต้องถอยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เพราะแบบนี้ทำให้ความลังเลและความไม่วางวางใจได้เริ่มแพร่กระจายสู่หัวใจของทูตสวรรค์แต่ล่ะคน
สิ่งที่เกิดขึ้นมาก็คือแบ่งกันออกมาเป็นสามกลุ่ม มีพวกที่ปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่มีทางทิ้งพวกเขา พวกที่เลือกติดตามมิคาเอล และท้ายที่สุดพวกที่ถูกความจริงใจของยูเรียลและความทรงพลังของยูอิลฮานชักจูง
[แล้วนี่การโฆษณาครั้งสุดท้าย]
ยูอิลฮานไม่ได้ตามมิคาเอลไป แต่เขากลับหันมาหาเหล่าทูตสวรรค์รอบๆตัวแทน
[อย่าได้พลาดโอกาสสุดท้ายนี้! อย่าพลาดโอกาสที่จะได้เข้าดราก้อนเนสอย่างราบรื่นโดยไร้ปัญหา! หินพลังเวทย์สิ่งมีชีวิตชั้นสูง? โลหะระดับสูง? ไม่ต้องตกใจหรอกนะ ในตอนนี้ต่อให้มามือเปล่าพวกนายก็จะมาเข้าร่วมกับเราได้!]
“ทำไมนายถึงชอบพูดเหมือนพวกโฆษณาชวนเชื่อล่ะนั่น!”
[ฉัน]
ในเวลานี้เองได้มีน้ำเสียงทุ่มๆดังขึ้น
[ถ้าฉันยอมจำนนต่อนาย… นายจะยอมรับฉันไหม?]
น้ำเสียงนี้เป็นเสียงที่เขารู้จัก ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมา
“รับสิราซิเอล นายเป็นคนที่เคยได้อาร์ติแฟคที่ยอดเยี่ยมแก่เราเชียวนะ ในตอนนี้นายถึงขนาดจะได้รับโบนัสด้วยซ้ำไป!”
เขาคนนี้ก็คือเทวทูตราซิเอลผู้ที่ดูแลคลังสมบัติกองทัพสวรรค์
แม้ว่านั่นจะเป็นแค่การทำสัญญา แต่ว่าเขากได้มอบอาร์ติแฟคที่พวกยูอิลฮานต้องการมาให้ ถึงแม้ว่าหัวใจแห่งเพลิงจะถูกมิคาเอลกับราฟาเอลดัดแปลงมา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนั้น
เพราะแบบนั้นมันก็ยังเป็นส่วนช่วยทำให้ยูอิลฮานยกระดับตัวเองกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ด้วย เพราะงั้นก็นับได้ว่าราซิเอลได้มีส่วนช่วยในการเสริมพลังให้กับยูอิลฮาน มันไม่มีทางที่ยูอิลฮานจะปฏิเสธออยู่แล้ว
[นาย… จะยอมรับฉันจริงๆ? ไม่สิ นายจะช่วยยอมรับฉันได้ไหม?]
[กล้ามากเลยนะราซิเอล!]
“ด้วยความยินดีเลย! และนี่คือลูกค้ารายแรกของเรา!”
หอกยูอิลฮานได้ขวางการโจมตีมิคาเอลเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง และอ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ปรากฏขึ้นมาเมื่อราซิเอลได้เข้าร่วมกลุ่มสำเร็จ
เมื่อเห็นมานาที่เต็มไปทั้งอาณาเขตทุกๆคนได้ถอยไปด้วยความกลัวทันที และอ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็ได้เปิดปากกว้งกลืนกินราซิเอลไปทั้งตัว
[ขะ เขาตายแล้ว]
[เทวทูตตายง่ายๆแบบนี้เลย…?]
[ไม่ เขาไม่ได้ตาย ตอนนี้ท่านราซิเอลยังอยู่]
[‘ท่าน’ ราซิเอลงั้นหรอ? ไม่ เขามันคนทรยศ! ผู้ที่ละทิ้งสวรรค์ไปอยู่กับสัตว์เลื้อยคลาน!]
การเปลื่ยนแปลงของราซิเอลไม่ได้มีนานนัก ยูอิลฮานได้เชี่ยวชาญในการคงพลังและบันทึกของกองกำลังอื่นๆจากตอนที่เขาได้ชุบชีวิตเฮเรียน่านานแล้ว เพราะงั้นในตอนนี้ที่เขากลายมาเป็นจ้าวแห่งมังกรทำให้ความสามารถนั่นของเขายกระดับขึ้นไปอีก
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้แตกออกมาและราซิเอลที่โผล่ออกมาจากด้านในก็ได้กลายมาเป็นมังกรหกปีกอย่างสมบูรณ์ ตัวตนของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อก่อนซะอีก
“ตอนนี้ฉันได้เป็นอิสระจากพันธนาการของสวรรค์แล้ว ฉันบอกความจริงได้แล้ว”
ราซิเอลได้จ้องไปที่มิคาเอลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและตะโกนออกมา
“มิคาเอลน่ะมันตัวปลอม! เขาเป็นพระเจ้าตัวปลอมที่ขับไล่พระเจ้าตัวจริงที่เดินไปในทางที่ผิดและเขามาแทนที่พระเจ้าคนนั้น มิคาเอลเป็นแค่คนที่ขี้ขลาดเต็มไปด้วยความโลภในพลังและหลงผิดคิดว่านี่มันดีต่อสวรรค์! ตอนนี้ฉันได้เผยความจริงออกมาและได้รับอิสระที่แท้จริงมาแล้ว! ทูตสวรรค์เปิดตาขึ้นมาเถอะ! ลองมองไปที่คนที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าสิ มองไปที่คนที่ซ่อนปีกที่เน่าเฟะเอาไว้ภายใต้แสงสว่างสิ!”
ทั้งโลกได้นิ่งงันไป รอยยิ้มของยูอิลฮานได้ปรากฏมายิ่งขึ้นกว่าเดิมบนใบหน้า
[วันนี้เรามีสินค้ายอดฮิตอยู่นะ มีการติดต่อสามถามทางโทรศัพท์มาอย่างท่วมท้นแล้ว! หากคุณต้องการที่จะสั่งซื้อโปรดเร่งมือได้แล้ว!]
บทที่ 324 – ฉันจะเป็นคนปิดม่านครั้งนี้เอง (8)
ทูตสวรรค์ต่างก็เริ่มพูดคุยกันวุ่นวาย หลังจากได้เห็นเทวทูตคลาส 7 กลายไปเป็นมังกรคลาส 7 จะยังมีใครทำตัวปกติได้อีกล่ะ
พวกทูตสวรรค์ต่างก็รู้ตัวแล้วว่ายูอิลฮานอยู่ในระดับที่ต่างไปจากพวกเขา ยูอิลฮานคือตัวตนที่ปฏิวัติสิ่งมีชีวิต
“มิคาเอล ตอนนี้นายยังรู้สึกว่าโลกใบนี้เป็นของนายอีกหรอ?”
ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมา ในระหว่างการกลายเป็นหัวหน้าดราก้อนเนสยูอิลฮานมีภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ แต่ว่าภาพที่เขามีรอยยิ้มขี้เล่นแบบนี้มันเต็มไปด้วยเสน่ห์แปลกๆ แต่แน่นอนว่าสำหรับมิคาเอลแล้วเขากลับรู้สึกหดหู่แทน
[นายกำลังทำให้ทุกคนสั่นไหว นายมันไม่สนต่อข้อตกลงหรือกฏใดๆและเมินแม้กระทั่งบันทึกที่ไม่อาจจะเมินเฉยได้]
“แล้วใครมันเป็นคนตั้งกฏหรือข้อตกลงพวกนั้นล่ะ? บันทึกนั่นมันอะไรล่ะ? … ไม่ใช่ว่าเป็นนายที่ตั้งมันเอาเองหรอกหรอ?”
[นาย ยูอิลฮาน…]
ยูอิลฮานได้ยิ้มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แม้กระทั่งอ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็ดูเหมือนจะกำลังกดดันมิคาเอลด้วย
มิคาเอลรู้สึกหดหู่ใจหลังจากที่รู้สึกได้ถึงความด้อยกว่าของเขาที่ด้อยกว่าทั้งทางร่างกาย จิตใจหรือแม้แต่คำพูด ทั้งๆที่มีเลเวลสูงกว่าและโลกใบนี้คืออาณาเขตของเขาก็ตาม! ทูตสวรรค์ที่แปรพักตร์ได้มีมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆตลอดเวลา
“หนีไปจากสวรรค์ พวกนายจะแกร่งยิ่งขึ้น! รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงแกร่ง? นั่นก็เพราะฉันหนีมาจากองกรณ์ไงล่ะ!”
“นั่นมันนายถูกทิ้งเอง นายไม่ได้เป็นคนเลือกซะหน่อย”
เขาไม่ได้สนใจเสียงจากเลียร่าเหมือนอย่างเคย ตอนนี้ข้อได้เปรียบของเขาคือเขาได้เป็นที่ชื่นชอบแล้ว นอกไปจากนี้ราซิเอลที่เป็นคนสร้างแรงกระเพื่อมได้มีผลอย่างมากทำให้มันทูตสวรรค์ระดับสูงและทูตสวรรค์ย้ายมาฝั่งเขาเรื่อยๆ
“อะไรนะ? ตกเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำหรอ? เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเลย มันไม่มีปัญหาเลย ไม่ว่าจะเสียระดับไปมากแค่ไหนพวกนายก็จะได้คืนกลับมาเท่านั้นแหละ!”
“หยุดพูดเหมือนกำลังหลอกเด็กแบบพวกค้ายาหรือพวกบ่อนการพนันได้แล้ว!”
[ยะ หยุด… หยุดนะ! มองดูฉันสิ ฉันคือพระเจ้าของพวกนายไง! พวกนายจะไปตามพวกสัตว์เลื้อยคลานงั้นหรอ!?… ไม่นะ เดี๋ยวก่อนสิ?]
ในตอนนี้ได้มีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาเตะมิคาเอลจนร่วงลงไปอีก กำแพงแห่งความโกลาหลที่แบ่งแยกสวรรค์กับเอลคาทร่าได้เริ่มสั่นคลอนขึ้นมา
[บ้าเอ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีก!?]
[กำแพงแห่งความโกลาหลกำลัง…]
[ทำไมถึงได้มีแรงสั่นสะเทือนในกำแพงแห่งความโกลาหลมากขนาดนี้ล่ะ! นี่มันเพราะพระเจ้าทิ้งสวรรค์ไปงั้นหรอ?]
[ฉะ ฉันได้กลายเป็นพระเจ้าคนใหม่แล้วไง แต่ทำไมกำแพงถึงยังไม่เสถียรล่ะ]
ในตอนนี้กำลังของสวรรค์กำลังลดลงจนถึงต่ำสุด นี่คือโอกาสดีที่สุดสำหรับกองทัพปีศาจวิบัติแล้ว การทำพลาดของพวกเขาคือสิ่งที่ทำให้สวรรค์ที่มิคาเอลรักกำลังพังทลายลง! และนี่ก็เป็นเหมือนสวิตที่ทำให้ทั้งมิคาเอลและทูตสวรรค์คนอื่นๆได้เริ่มเปลื่ยนความคิด
[ถึงแบบนั้น… เราก็ต้องปกป้องสวรรค์ของเรา]
[ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะตามมิคาเอลนะ แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จำเป็นที่จะต้องปกป้องสวรรค์ เราจำเป็นต้องสู้กับพวกมอนสเตอร์นั่น]
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะเอาสวรรค์กลับมาให้พวกนายเอง”
ในตอนนี้เองยูอิลฮานได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่มั่นใจ เขาได้ประกาศบอกกับทูตสวรรค์ทุกๆคน
“ฉันกลายเป็นพระเจ้าไม่ได้ ฉันกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดเพียงลำพังไม่ได้ ฉันไม่ได้มีทั้งความเมตตาหรือความยินดีที่จะเสียสละตัวเองเพื่อทุกคน ยังไงก็ตามฉันขอสาบานเอาไว้ตรงนี้เลยว่าฉันจำเป็นต้องได้รับสวรรค์มาเพื่อเอาตัวรอด เพราะงั้นฉันจะเอาสวรรค์มาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นมิคาเอล หัวหน้ากองทัพปีศาจวิบัติ พระเจ้าสวรรค์หรือซาตาน ฉันจะเอาสวรรค์มาจากคนพวกนี้ให้ได้”
ยูอิลฮานได้โยนกับดักแห่งการฟื้นคืนหลากชนิดที่เขาได้ทำไว้ในเวลาสั้นๆก่อนจะมาที่นี่ออกมา ในท้ายที่สุดแล้วกับดักแห่งการฟื้นคืนก็ได้หายไปภายในหมู่เมฆที่ประกอบเป็นสวรรค์ ศักยภาพของมันได้เริ่มเบ่งบานออกมา นี่คือต้นกล้าแห่งความหวังที่ยูอิลฮานค้นพบเพียงคนเดียวและเป็นคนเดียวที่จะเก็บเกี่ยวมันได้
[หยุดเอาไว้!]
[หยุดยังไงล่ะ?]
[ท่านมิคาเอล เราจำเป็นต้องไปขวางพวกกองทัพปีศาจวิบัติแล้วนะ ยูอิลฮานอาจจะเป็นศัตรู แต่คนที่เราต้องเอาชนะในตอนนี้ก็คือพวกนักล่าที่กำลังคืบคลานมาตามกำแพงแห่งความโกลาหล!]
ทูตสวรรค์ที่อยู่ในฝั่งมิคาเอลหรือทูตสวรรค์ที่เลือกไม่อยู่ฝั่งไหนเลยไม่อาจจะหยุดการกระทำของยูอิลฮานหรือหยุดการติดตั้งกับดักแห่งการฟื้นคืนได้เลย แม้กระทั่งมาเสียเวลากับยูอิลฮานพวกเขายังไม่มีด้วยซ้ำ
“ฟู่”
“อิลฮานไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไรอยู่แล้วสิ”
แน่นอนว่าเขาโกหก เขารู้สึกเหมือนกับหัวจะระเบิดอยู่คลอดเวลา
หากว่ามิสทิคอยู่ที่นี่ด้วยเธอจะกระจายกับดักแห่งการฟื้นคืนแทนเขาได้ แต่ว่าในตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ด้วย เพราะงั้นยูอิลฮานจะต้องควบคุมกับดักแห่งการฟื้นคืนด้วยมานาของเขาเอง และหลังจากใช้ประจักษ์แจ้งและประกาศิตมาหลายต่อหลายรอบ รวมถึงวิถีไร้ขอบเขตและสกิลอื่นๆอีกทำให้มานาจำนวนมหาศาลของเขาลดลงไปแทบจะหมดอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้พลังในฐานะตัวตนสูงสุดอยู่ในตอนนี้ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่มานาเขาหมดไป เขาจะต่อสู้แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ยังไงก็ตามยูอิลฮานไม่มีทางแสดงออกมาให้เห็นจากภายนอก กลับกันเขาเลือกที่จะใช้มานาอีกครั้งเพื่อใช้สกิลประกาศิต
[เหล่าลูกแกะหลงทาง]
นี่คือครั้งสุดท้ายแล้วที่ยูอิลฮานจะประกาศกับทูตสวรรค์ที่จิตใจกำลังปั่นป่วนเพราะมิคาเอล พระเจ้าสวรรค์และกองทัพปีศาจวิบัติ
[ตามฉันมา ฉันจะทำให้พวกนายได้เห็นเส้นทาน เส้นทางที่พวกนายจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับฉันในฐานะศัตรูอีก]
“…คราวนี้ค่อยฟังดูเท่ขึ้นหน่อย”
เอิลต้าที่กำลังหน้าแดงได้พึมพัมขึ้นมา หลังจากได้ยินคำนี้ของเธอเขาได้ยิ้มออกมาและชูมือขึ้น ป้อมปราการผู้พิทักษ์ได้เปิดประตูออกมาและปล่อยให้ทูตสวรรค์ที่แปรพักตร์เข้ามาภายใน ในเวลาเดียวกันก็ผลักเหล่าคนที่พยายามจะใช้โอกาสนี้โจมตีออกไปก่อนที่จะได้เข้ามา
แม้ว่ายูอิลฮานจะใช้การชักจูงมากมายแล้ว แต่เขาก็ได้ทูตสวรรค์ที่อยู่ในสังกัดกองทัพสวรรค์มาแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น แต่หนึ่งในสิบนี่ก็มีราซิเอลและทาชิเอล เทวทูตสองคนเพราะงั้นนี่ก็นับได้ว่าเขาได้กองกำลังหลักของสวรรค์มาหนึ่งในสามแล้ว มีคนที่เข้ามาทำให้เลียร่ายินดีอีกด้วย
“เลียร่า ตอนนี้ฉันจะมาอยู่กับเธอ ฉันเข้าใจแล้วว่าเธอเลือกถูก”
“ทิเทร่ายินดีต้อนรับ! เรายินดีต้อนรับมังกรตนใหม่เสมอ!”
“ตะ แต่ว่านะ… ท่านยูอิลฮานชอบผู้หญิงแบบไหนหรอ? ฉันก็แค่สงสัย….”
“ตอนนี้เราไม่ต้องการเธอแล้ว กลับไปเดี๋ยวนี้เลย”
ยูอิลฮานที่รับคนมาใกล้จะจบแล้วได้มองกลับไป มีคนๆหนึ่งที่เข้ามาในสวรรค์ที่เขาสัมผัสได้
“เรียบร้อยแล้วหรอมิล?”
“ครับพ่อ”
มังกรคลาส 6 ที่แยกไปเพียงลำพัง แต่ว่าเป็นภารกิจที่สำคัญมากๆ หลังจากกลับมาแล้วมิลได้พูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“ผมได้ปล้นมาจนเรียบเลยครั้ง ทั้งฮาคาเนี่ยม เฟซิเนี่ยม เอลฮาซารวมไปถึงโลหะระดับสูงอื่นๆแล้วก็ทั้งคลังสมบัติด้วย ต้องขอบคุณราซิเอลถึงทำให้ผมจัดการทุกอย่างได้เร็วยิ่งขึ้น!”
“เยี่ยมมากลูกพ่อ สมแล้วที่พ่อไว้วางใจ”
“ก็เพราะผมเรียนรู้มาจากพ่อนั่นแหละครับ”
“ดีๆ ลูกพ่อยอดเยี่ยมที่สุด”
“เป็นความสัมพันธ์พ่อลูกที่น่าพึงพอใจดีนะ…”
เลียร่าที่หมดกระจิตกระใจจะโต้ตอบอะไรได้แต่พึมพัมอย่างหมดแรง แต่ในขณะเดียวกันทั้งสวรรค์ได้เต็มวุ่นวาย
ทูตสวรรคืได้ตกตะลึงหลังจากที่รู้ว่าพระเจ้าทอดทิ้งไปแล้ว ตอนนี้มีทั้งทูตสวรรค์ที่คิดจะติดตามมิคาเอลไปหลังจากได้เห็นเขาขึ้นเป็นระดับพลังเทพ คนที่เป็นกังวลคิดจะไปสู้กองทัพปีศาจวิบัติเพื่อปกป้องสวรรค์และคนที่ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว! แน่นอนว่าคนที่ตื่นตระหนกที่สุดเลยก็คือตัวมิคาเอลเอง
“เฮ้ มิคาเอล”
[ยูอิลฮาน ทั้งหมดนี่มันก็เพราะนาย…!]
“จนกว่าจะได้เจอกันอีกก็อย่าตายไปก่อนนะ ค่าประสบการณ์ของนายคือของฉันเพราะงั้นถ้านายเอาไปให้คนอื่นฉันได้โกรธจริงๆแน่”
[นาย… กล้าที่จะพูดแบบนี้ในสถานการณ์นี้อีกงั้นหรอ!?]
ทั้งๆที่ยูอิลฮานไม่ได้ตั้งใจจะยั่วมิคาเอลเลยซักนิด เขาแค่พูดด้วยความหวังดีเท่านั้นเอง แต่มิคาเอลกลับโกรธขึ้นมา ชู่ววว เรานี่เข้ากันไม่ได้จริงๆนั่นแหละ
ยูอิลฮานได้หยักไหล่ขึ้นมาและสบัดหอกออกไป เพราะกลัวว่ายูอิลฮานจะใช้วิถีไร้ขอบเขตทำให้มิคาเอลได้ถอยไปทันที แต่มันชัดเจนว่ายูอิลฮานก็แค่แกล้งทำ
เมื่อมิคาเอลรู้ตัวว่าถูกหลอกเขาก็ได้ขว้างหอกแสงออกมา แต่ในเวลาเดียวกันยูอิลฮานก็ได้เปิดใช้งานสกิลข้ามมิติห่อหุ้มทุกๆคนในป้อมปราการผู้พิทักษ์ หอกแสงได้ถูกยูเรียลปัดออกไปแทน ยูอิลฮานได้หันไปสบตาขอบคุณเธอและโบกมือให้กับมิคาเอลกับทูตสวรรค์คนอื่นๆ
“เอาล่ะทุกๆคน โชคดีแล้วกันนะ”
น้ำเสียงโบกมือลาอย่างสบายใจของยูอิลฮานได้ส่งเข้าถึงหูของมิคาเอล และในท้ายที่สุดแล้วพวกยูอิลฮานก็หายไปในอากาศราวกับไม่เคยมาที่นี่แต่แรกแล้ว ทูตสวรรค์รวมไปถึงมิคาเอลต่างก็รู้สึกเหมือนกับพวกเขาทุกคนถูกทำเป็นเหมือนไอ้โง่
[นี่มันบ้าอะไรกัน…]
[ทะ ท่านมิคาเอล! เราต้องป้องกันแล้ว กำแพงแห่งความโกลาหลไม่เคยสั่นแบบนี้มาก่อนเลย!]
[ระ รวมทูตสวรรค์ทั้งหมดที่ถูกส่งออกไปด้านนอก! นี่คือเหตุฉุกเฉินที่สุดแล้ว! บะ… บางทีกองทัพปีศาจวิบัติอาจจะบุกเข้ามาในสวรรค์ได้จริงๆ]
เหล่าทูตสวรรค์ต่างก็เริ่มขยับตัวกันอย่างยุ่งวุ่นวาย ยูอิลฮานคือหายนะเดินได้และเป็นวายร้ายที่เอากองกำลังไปจากพวกเขา แต่ยังไงก็ตามนี่มันไม่ใช่เวลามาพูดถึงเรื่องนี้! มิคาเอลก็ยังได้แต่กัดฟันเริ่มเคลื่อนไหว
[กองทัพปีศาจวิติงั้นสินะ จริงๆแล้วนี่มันก็เป็นโอกาสดี มาเลย ฉันจะแสดงพลังของเทพองค์ใหมให้นายได้ดูเอง]
มิคาเอลคือเทพที่มีเลเวลสูงถึง 700 ถึงแม้ว่าเขาจะถูกยูอิลฮานกดดันเพราะความด้อยกว่าในด้านธาตุ แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่จะถูกคนอื่นมาหยามได้ง่ายๆเหมือนกัน ในตอนนี้เทพของเหล่าทูตสวรรค์แล้ว เขามั่นใจว่าเขาจะไม่แพ้ใครหน้าไหนนอกจากยูอิลฮานอีก ต่อให้ศัตรูจะเป็นความโลภ ซาตาน หรือเป็นพระเจ้าสวรรค์เองเขาก็จะไม่แพ้!
[ฉันจะแสดงให้ดูเอง ฉันจะทำให้ทุกๆโลกได้จำขึ้นใจว่าฉันคือพระเจ้า!]
[ท่านมิคาเอล…!]
[ติดตามท่านมิคาเอล พวกเราคือความหวังที่เหลืออยู่ ท่านพระเจ้าองค์ใหม่…!]
เพราะแบบนี้สวรรค์จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ หลังจากได้เจอกับหลายๆอย่างทั้งการกำจัดคนทรยศ และการดูหมิ่นจากดราก้อนเนส ในที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้มารวมตัวกันรอบๆมิคาเอลที่เป็นศูนย์กลางของพวกเขา
มิคาเอลได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเขาเหนือกว่านักล่าทั้งหมดที่ตรงมาจากกำแพงแห่งความโกลาหล และเพราะแบบนี้ทำให้ทุกๆคนได้รู้ถึงการกำเนิดของเทพคนใหม่ ในเวลาเดียวกันเรื่องที่พระเจ้าได้ทอดทิ้งสวรรค์ไปก็ได้แพร่กระจายไปในหมู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันหลังจากเสร็จภารกิจแล้วยูอิลฮานก็ได้กลับมาที่ดาเรย์ชั่วคราว เขาได้เติมเต็มมาจากโลกใบนี้และเปิดใช้งานอ่างแห่งปาฏิหาริย์อย่างต่อเนื่อง
ยังไงก็ตามไม่นานนักเขาก็ไดพบเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งจากอ่างแห่งปาฏิหาริย์ มันจะไม่เป็นปัญหามากนักหากวามีสิ่งมีชีวิตไม่กี่คนเกิดใหม่มาเป็นมังกร แต่ว่าหากมีเป็นจำนวนมากจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญอย่างมาก
“อ๊าาาา น่ารำคาญสุดๆ พวกนายทุกคนเข้าไปพร้อมๆกันเลย”
[แต่ว่า…]
[รอเดี๋ยวสิท่านยูอิลฮาน…]
“เข้าไปกันได้แล้ว!”
ยูอิลฮานและอ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้เปลื่ยนไปเป็นเพลิงหลังจากได้รับมานาจำนวนมหาศาลจากธรรมชาติและพุ่งเข้าไปโจมตีทูตสวรรค์พร้อมๆกัน ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าพวกเขาจะต้องถูกเผาทั้งเป็นแน่!
ยังไงก็ตามในท้ายที่สุดเพลิงก็กลายมาเป็นผ้าคลุมสีแดงและฉีกขาดออกจากกันทำให้มีคนกลายเป็นมังกรที่แท้จริงโผล่ออกมา
“ท่านราซิเอลได้กลายเป็นมังกรด้วยกระบวนการที่น่าทึ่ง แต่ทำไมเราถึงได้กลายเป็นมังกรด้วยกระบวนการที่เหมือนการต้อนแกะไปซะได้ล่ะ!”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นั่นมันก็เพราะพวกนายมันพิเศษไงล่ะ”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานอ่างแห่งปาฏิหาริย์ต่ออีกครั้งโดยไม่สนใจเหล่าเสียงบ่นใดๆเลย ต่อให้ยูอิลฮานจะจัดการทีเดียวหลายๆคนได้ แต่ว่าก็ยังมีคนอีกมาที่ต้องเปลื่ยนจากทูตสวรรค์มาเป็นมังกร
กองทัพมังกรก็ยังได้พัฒนาขึ้นอย่างมากจากการได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงและอีกไม่นานก็จะกลายมาเป็นมังกรที่แท้จริงแน่นอน และในเวลาต่อมายูอิลฮานก็คิดว่านี่มันจะง่ายยิ่งขึ้นในการกวาดล้างกองกำลังอื่นๆด้วยกองกำลังที่ติดตั้งอาร์ติแฟคระดับเทพพวกนี้
และจากนั้นเองพ่อเขาก็ติดต่อเข้ามา
“ว่าไงพ่อ? ผมกำลังทำงานโรงงาน… เอ่อ วิวัฒนาการคนอื่นๆอยู่น่ะ ผมยุ่งอยู่”
[พ่อติดต่อมาหาลูกเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ]
พ่อของเขากาเบรียลได้พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
[ดูเหมือนวาการเคลื่อนไหวของพ่อจะถูกอ่านออกน่ะ ตอนนี้มีเร็กน่าที่รวมทีมกับเทวดาตกสวรรค์กำลังบุกรุกพวกเราอยู่ โอ้ พ่อเห็นซาตานอยู่ที่นี่ด้วยแหละ]
“หาาา! ผมไม่เคยรู้เลยนะว่าทั้งสองฝั่งนั่นจะร่วมมือกัน!”
เดี๋ยวสิ เกิดบ้าอะไรขึ้นถึงทำให้ซาตานไปรวมทีมกับพระเจ้าในเมื่อซาตานเคยปกป้องยูอิลฮานมาก่อนกันล่ะ! ชีวิตช่างเต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับจริงๆเลย!
บทที่ 325 – วันสิ้นโลก (1)
แม้ว่าจะมีคำพูดที่ว่าชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเสมอ แต่ว่าทำไมเขาถึงมารู้เรื่องเอาในตอนที่เกิดอะไรขึ้นกันนะ? ทุกๆครั้งเลยด้วย
และในคราวนี้เขาก็เจอกับเรื่องนี้อย่างหนักอีกแล้ว เขากำลังผ่อนคลายกับความคิดที่ว่าในที่สุดเขาก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยกองกำลังตัวเองแล้ว แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น
ทำไมซาตานกับพระเจ้าถึงได้ร่วมมือกันล่ะ? ทำไมซาตานถึงได้ไปช่วยพระเจ้าทั้งๆที่ตัวซาตานเองก็เป็นคนที่ร่วมมือกับเทวทูตคนอื่นๆขับไล่พระเจ้าออกไปจากสวรรค์ ทำไมเจ้าหมอนี่มันถึงได้เปลื่ยนข้างกระทันหันแบบนี้ แถมตอนนี้พ่อกับแม่เขาก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาจะต้องทำยังไงดีล่ะ
“ไม่สิ นี่ไม่ดีแล้ว ฉันจะต้องใจเย็นกว่านี้”
“ยูอิลฮานแผ่นดินไหวที่ดาเรย์ในตอนนี้มันเพราะนายงั้นหรอ? ฉันเข้าใจนะว่านายกังวลแต่ช่วยหยุดสั่นได้แล้ว”
“กะ กาเบรีบล… ทำยังไงดี? มันไม่มีทางที่กาเบรียลจะเผชิญหน้าทั้งกับพระเจ้าและซาตานพร้อมๆกันได้แน่… กาเบรียล…”
“เฮ้ ตรงนั้นก็มีอีกคนที่ขากำลังสั่นอยู่”
ยูอิลฮานได้ตกสู่ห้วงความคิดโดยไม่สนใจเสียงรอบข้างเลย กองทัพสวรรค์ กองทัพปีศาจวิบัติ กองทัพจรัสแสงแล้วก็สวนอาทิตย์อัสดง ในตอนนี้เขารู้ถึงสภาพของทั้งสี่กองกำลังนี้แล้ว เขาจะต้องทำยังไงถึงจะอยู่ในจุดที่ได้เปรียบที่สุดกัน่ะ? เขาจะต้องทำให้พ่อกับแม่ปลอดภัยงั้นหรอ?
ในตอนนี้เองได้มีคความคิดที่น่าทึ่งเข้ามาในหัวของเขา
ไม่ใช่แค่เขาจะช่วยพ่อกับแม่ได้เท่านั้น แต่เขาก็น่าจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในสงครามนี้อีกด้วย นี่เป็นความคิดที่น่าเหลือเชื่อและบ้ามากๆ
“พ่อ พ่อจะทนได้นานแค่ไหน?”
[น่าจะประมาณสองวันล่ะมั้ง]
“อืมม… นั่นก็เกือบจะไม่ทัน”
[นี่คือขีดจำกัดที่จะสู้กับเจ้าพวกนี้ได้แล้ว! ลูกก็รู้นี่ว่าสิ่งที่พ่อเชี่ยวชาญก็คือการชะลอเวลานะ อิลฮานรู้น่าอาจจะไม่รู้ตัวนะ แต่รู้ก็มีพรสวรรค์นั่นเหมือนกัน]
แน่นอนว่าเขารู้ดีเลย เพราะพลังในการชะลอเวลาของพ่อนั่นมันทำให้เขาต้องใช้เวลาบนโลกถึงพันปี! จริงๆแล้วเขาก็ยังสามารถจะใช้วงเวทย์ที่เขาทำขึ้นบนโลกจากการช่วยของแม่เขาได้อีกด้วย แล้วก็ความจริงที่ว่าเขาสามารถจะกลายมาเป็นเจ้าของนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาได้ทำให้มันชัดเจนว่าเขามีพรสวรรค์ในด้านนี้
[มันก็แค่เป็นเรื่องยากมากๆที่พอจะใช้การชะลอเวลาออกมาเพราะงั้นพ่อต้องการเวลาก่อนที่จะใช้งานมันได้ โลกก้ยังต้องปิดตัวลงอีกด้วยแล้วยังมีเงื่อนไขบ้าๆอีกอย่าง..]
“พ่อ ปิดโลกของพ่อไว้ก่อนเลยแล้วก็ยื้อเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ โอ้ แล้วก็บอกที่อยู่ของโลกพ่อมาด้วย”
[แล้วนี่ลูกมีแผนอะไรแล้วงั้นหรอ?]
“ตอบผมมาเร็วๆสิ”
[เฮ้อ พ่อเลี้ยงลูกมาผิดจริงๆ]
หลังจากถอนหายใจออกมา กาเบรียลได้บอกถึงที่อยู่ของฐานทัพหลักของสวนอาทิตย์อัสดงในทันที ที่ไหนงั้นหรอ? ที่นั่นก็คือโลกที่มิติเวลาได้ถูกหยุดลง โลกใบเดียวกันกับที่แม่ของเขาถูกส่งไป!
“ที่นั่นเองหรอ?”
[ตอนที่ลูกยังไม่กลายเป็นเทพลูกอายจะยังไม่รู้ตัวสินะ]
“แต่ผมมั่นใจว่าที่นั่นเป็นโลกระดับต่ำนะ!? ผมได้ใช้สกิลบันทึกอ่านมันดูแล้ว…”
[หัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงคืออัจฉริยะที่เชี่ยวชาญในการซ่อนตัวตนเชียวนะ โลกนี้ก็ไม่ยกเว้นเช่นกันแล้วก็…]
“อ่า ครับ ครับ ผมเข้าใจแล้ว นั่นมันก็แค่เพราะยังขาดความสามารถเท่านั้น ผมเข้าใจแล้ว”
นิสัยขี้โม้ของยูอิลฮานที่ชอบพูดตอนได้เปรียบจะต้องสืบทอดมาจากพ่อของเขาแน่นอน! ยูอิลฮานได้รีบตัดการติดต่อไปในทันทีและหันมามองคนอื่นๆ
“ทุกๆคนตอนนี้มีปัญหาเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น เราจะต้องเร่งกันหน่อยแล้ว”
“นั่นมันไม่น่าใช้ ‘เล็กๆน้อยๆ’ แล้วก็ไม่ใช่ เร่งกัน ‘หน่อย’ แล้วนะที่รัก”
ยูอิลฮานได้ส่งเสียงหึกับข้อสังเกตของเฮเรียน่าและหยักหน้าออกมา
“การปะทะของแต่ล่ะกองกำลังได้มาเร็วมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ทุกๆคนฟังให้ดีนะ ตอนนี้กองทัพสวรรค์กำลังปะทะกับกองทัพปีศาจวิบัตอยู่ ส่วนกองทัพจรัสแสงกำลังปะทะอยู่กับสวนอาทิตย์อัสดง แล้วก็นะกองกำลังพระเจ้าก็ยังเป็นพันธมิตรอยู่กับส่วนอาทิตย์อัสดงด้วย”
“ถ้างั้นทุกๆคนที่แยกกันอยู่ก็ต้องกลับมารวมทีมกันแล้วก็แยกกันอีกครั้งงั้นหรอ?”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะถามเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้นั่นมันยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเราจะต้องไปช่วยสวนอาทิตย์อัสดงแน่ๆ แล้วก็อย่างที่สองคือ…”
คำพูดที่ไม่มีใครคาดคิดได้ออกมาจากปากของยูอิลฮาน
“กองกำลังที่ฉันเพิ่งพูดถึงเมื่อกี้นี้ได้ทิ้งบ้านที่ว่างเปล่าเอาไว้”
“หา…”
“โอ้….”
กองทัพสวรรค์ได้เรียกกองกำลังที่ส่งออกมากลับไปเพื่อสู้กับกองทัพปีศาจวิบัติ แล้วก็เป็นธรรมดาที่กองทัพปีศาจวิบัติจะทุ่มกองกำลังโดยที่ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่ ในเวลาเดียวกันพระเจ้าสวรรค์ก็จะส่งกองกำลังของเขาไปกำจัดกาเบรียลที่เป็นต้นตอการเกิดของยูอิลฮานและซุ่มโจมตีสวนอาทิตย์อัสดง
แล้วก็คนที่อยู่กับพระเจ้านั่นก็คือกองทัพจรัสแสง ในเมื่อจากสิ่งที่ฉันได้ยินมาคือซาตานได้อยู่ที่นั่นด้วย นั่นมันก็หมายความว่ากองกำลังทั้งหมดของกองทัพจรัสแสงก็จะต้องอยู่ที่นี่ด้วย
เพราะงั้นพอมาสรุปแล้วนั่นคือไม่มีกองกำลังไหนเลยที่อยู่ในโลกระดับสูงของตัวเองแบบสมบูรณ์พร้อม
“นายพูดถูก…”
“นั่นก็จริง!?”
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจในสิ่งต่อไปที่เขาจะทำในหัวได้แล้ว เขาได้หันกลับไปมองพรรคพวกที่กำลังตกตะลึงและพูดขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะแล้วที่นี้สิ่งที่เราจะทำคืออะไรกันล่ะ?”
“ผมรู้ครับพ่อ!”
สายลับพิเศษยูมิลที่เพิ่งไปทำภารกิจที่คล้ายๆกันมาก่อนได้ตะโกนคำตอบที่ถูกต้องออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่!”
“ถูกแล้ว!”
“เป็นคู่หูพ่อลูกแห่งหายนะจริงๆ”
เลียร่าได้แต่ส่ายหัวออกมา ยูอิลฮานได้เปิดใช้เครื่องสื่อสารเพื่อติดต่อไปหาคนต่างๆที่กระจายตัวกันอยู่ให้กับมาโดยไม่สนใจเลียร่าเลย และเขาได้จัดเตรียมป้อมปราการผู้พิทักษ์และป้อมปราการลอยฟ้าเตรียมการเอาไว้
เครื่องยนต์ของทั้งสองป้อมปราการได้เริ่มทำงานส่งเสียงไปทั่วทั้งดาเรย์ และฟักก์ชั่นต่างๆก็ได้ถูกดึงออกมาจากถึงขีดสุด จากนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มแผ่พลังชีวิตออกมาปกคลุมทั่วทั้งเมือง แผนที่มีอยู่ในหัวยูอิลฮานนับตั้งแต่เขาได้สร้างเมืองได้เริ่มเปล่งประกายออกมาแล้ว
“ยูนา ถึงเวลาสำหรับเธอแล้ว”
“ฉันต้องเสริมพลังให้นายไหมอิลฮาน?”
“ไม่ เธอก็แค่ต้องเสริมพลังให้มิเรย์ก็พอ”
“ฉะ ฉันหรอ?”
คังมิเรย์ที่จู่ๆได้กลายมาเป็นแกนกลางของแผนนี้ได้ตกใจถอยไปทันที แต่ว่าสายตาของยูอิลฮานดูจริงจังมากๆ
“จากการที่ได้สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมาเป็นจำนวนมากตลอดมาทำให้ฉันรู้ถึงโลกระดับสูงที่พวกนั้นเดินทางมา หากไม่นับสวนอาทิตย์อัสดงแล้วจะมีโลกระดับสูงอยู่ประมาณสองหมื่นสามพันดวง”
“โลกระดับสูงสองหมื่นสามพันดวง!?”
หน้าของคังมิเรย์ได้ย่นในทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เธอพอจะเดาได้แล้วว่าต่อไปจะเป็นยังไง และสายตาที่ยูอิลฮานมองมาที่เธอได้ยืนยันว่าเธอคิดถูก
“มิเรย์นับจากนี้เธอจะต้องสร้างประตูมิติไปที่โลกพวกนั้นทั้งหมด น่าจะประมาณ 50 ประตูต่อห้านาทีล่ะมั้ง ถ้าทำแบบนี้เราจะทำทุกๆอย่างสำเร็จในเวลาไม่ถึง 40 ชั่วโมง พ่อบอกฉันว่าพ่อจะยื้อเอาไว้ได้สองวัน เพราะงั้นเราก็น่าจะมีเวลาเหลืออยู่อีกมาก”
“ถ้าทำแบบนั้นมันมีโอกาสมากเลยนะที่ฉันจะตาย! นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ถึงฉันจะเป็นจ้าวแห่งมานาไปแล้วแต่มันก็มีขีดจำกัดอยู่นะ!”
คังมิเรย์ได้ตอบกลับมาอย่างตกใจ แต่ยูอิลฮานก็ไม่ได้ยอมถอยให้เลย ไม่ใช่แค่คังมิเรย์เท่านั้น แต่ยูอิลฮานยังเข้าไปจับมือนายูนาด้วยเช่นกัน เขาได้จ้องพวกเธอด้วยดวงตาที่แดงก่ำ!
“ถ้าเป็นพวกเธอในตอนนี้ทำได้แน่ ยูนา มิเรย์ คนอื่นๆก็จะช่วยด้วย แน่นอนว่ารวมถึงตัวฉันด้วยเช่นกัน”
“…อะ โอเค”
“ถ้าเป็นคำขอของนายแบบนี้คงช่วยไม่ได้ล่ะน้า~…”
เดิมทีแล้วยูอิลฮานไม่มีทำอะไรที่สะเพร่าแบบนี้แน่ จริงๆแล้วนี่มันไม่ใช่แผนของเขาเลย เดิมทีเขาจะสร้างกับดักแห่งการฟื้นคืนไปกลืนกินโลกอื่นทีล่ะโลก เขาจะลบแรงกดดันที่หนักหนาที่สุดด้วยตัวเองและล่อยให้คนอื่นอยู่อย่างปลอดภัยที่สุดเท่าที่ทำได้
ยังไงก็ตามดูเหมือนสถานการณ์จะทำให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว จู่ๆสถานการณ์ในตอนนี้ก็เลวร้ายลงเพราะงั้นเขาไม่มีตัวเลือกแล้ว ทุกๆคนต่างก็ต้องรับแรงกดดันแล้ว
“มิสทิค เธอจะคิดว่าเธอตายไปเลยก็ได้นะ เธอคือระบบที่จัดการดูแลดาเรย์รองลงมาจากฉัน เพราะงั้นเธอจะเป็นคนที่รับภาระหนักที่สุดรองลงมาจากมิเรย์”
“ฉันกำลังจะเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้…”
มิสทิคได้เข้าใจถึงสิ่งที่ยูอิลฮานพอจะบอกแล้ว เธอได้ไปยืนอยู่ที่ขอบของป้อมปราการลอยฟ้าด้วยสีหน้าหดหู่ใจ โอโรจิก็ไปยืนอยู่ข้างๆเธอและนี่ยิ่งทำให้เธอหงุหงิดมากที่โอโรจิมายืนตรงนี้แล้วสามารถปลอบเธอได้เล็กๆ
“นายรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง?”
“ใช่สิ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันรู้ทุกๆอย่างแล้ว”
“จริงหรอ… โอโรจิ”
“หลังจากวันสิ้นโลกจบลง ฉันจะไม่แตะหัวเธออีกแล้ว เพราะงั้นทนไปก่อนนะ ฉันก็ไม่ได้ทำเพราะชอบทำหรอกนะ”
“…นายท่าน เริ่มเลยเถอะ ฉันรู้สึกอยากจะให้ศพที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วสิ”
จิตวิญญาณนักสู้ของมิสทิคได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นโอโรจิหัวเราะออกมามันชัดเจนว่าเขาตั้งใจจะยุเธอทั้งๆที่เขารู้อยู่แล้ว หลังจากได้เห็นแบบนี้ยูอิลฮานก็หัวเราะออกมาและเปิดใช้งานประจักษ์แจ้ง
ทั่วทั้งอาณาเขตได้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่ครอบคลุมทั้งป้อมปราการลอยฟ้า ป้อมปราการผู้พิทักษ เมืองและท้ายที่สุดก็คือทั้งโลก นี่คือฉากที่น่าพิศวงและยิ่งใหญ่มาก มันคือข้อพิสูจน์ถึงการพัฒนาของยูอิลฮานในเวลาสั้นๆ
[ขอโทษด้วยนะที่ต้องทำให้ทุกคนต้องกดดัน พวกเรากำลังจะไปสู้การต่อสู้ที่รุนแรงกันแล้ว บางทีอาจจะมีคนตายเพราะว่าศัตรูของเราก็คือสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมด]
เสียงของยูอิลฮานได้ส่งไปถึงทุกๆคน เลียร่า เอิลต้า คังมิเรย์ นายูนา เฮเรียน่า ยูเรียล ราซิเอล ทาชิเอล เอริเซีย เฟมิล โอโรจิ มิสทิค พีท จิล มิไร มิลฟาร์ ยูมิล คังฮาจิน มิเชล สมิธสัน คาริน่า มาลาเทสต้า ทาคากากิ อสึฮะ รวมไปถึงมนุษย์ มังกร และสายพันธ์มังกรจำนวนนับไม่ถ้วนที่เลือกติดตามยูอิลฮาน
[สิ่งที่ฉันเสียใจยิ่งกว่านั้นเลยก็คือนี่มันก็เป็นแค่การเตรียมต่อก่อนศึกสุดท้ายเพียงเท่านั้น เมื่อเราได้สู้กับบอสสุดท้ายเราก็จะได้รู้ว่าใครคือบอสที่ซ่อนอยู่ มาดูกันว่าใครคือบอสลับกัน]
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เต็มไปด้วยพลังชีวิต ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับผลจากยูอิลฮานได้กระจายอาณาเขตออกไปตามสกิลประจักษ์แจ้งของยูอิลฮานและตรงกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มีนายูนากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวดอยู่ คังมิเรย์ได้ลืมตาขึ้นมาและยกมือขึ้น
ระลอกคลื่นมานาได้กระจายออกมาโดยมีเธอเป็นศูนย์กลาง ยูอิลฮานได้ส่งบันทึกเกี่ยวกับโลกต่างๆให้เธอไปแล้ว สิ่งที่เธอต้องทำมีแค่เปิดประตูมิติไปสู่โลกเหล่านี้เท่านั้น
[ฉันสัญญา หากว่าพวกนายรอดมา พวกนายทุกคนก็จะได้รับประสบการณ์ที่จะพัฒนาขึ้นอย่างมหาศาล บางทีทุกๆคนที่นี่อาจจะกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจำนวนมากก็ได้ ในตอนนั้น… พวกเราก็จะชนะแน่นอน]
เมื่อยูอิลฮานยกมือขึ้นมา หอกเพลิงยักษ์ได้ปรากฏขึนบนมือของเขา พลังต่อสู้ที่สูงที่สุดในที่แห่งนี้คือยูอิลฮาน แต่ว่ายูอิลฮานเน้นไปที่การ ‘หลอมรวม’ มากกว่าการต่อสู้ นั่นมันหมายความว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าไปในสนามรบด้วยตัวเอง
มันไม่มีทางที่พวกเขาจะเลี่ยงการต่อสู้นี้และเลี่ยงไม่ให้มีใครบาดเจ็บได้
แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็จะต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อที่จะโต้กลับศัตรูคือไป เพื่อที่จะทวงคืนความได้เปรียบกลับมา เพื่อที่จะทำให้ทุกๆคนรอด เพื่อที่จะได้หัวเราะ เพื่อที่จะฉีกกระชากพวกตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้
[ถ้างั้น…]
ยูอิลฮานได้หลับตาลง คังมิเรย์ได้กำมือทั้งสองข้างของเธอ
ในตอนที่เธอยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเวทย์มิติก็ทรงพลังยิ่งอยู่แล้ว และนี่เมื่อเธอได้วิวัฒนาการกลายมาเป็นมังกรคลาส 6 ทำให้เธอสามารถจะฉีกกระชากมิติจำนวนมากพร้อมๆกันเพื่อให้เกิดประตูมิตินับร้อยขึ้นบนท้องฟ้าได้ ประตูมิติทั้งหมดนี้ต่างก็เชื่อมต่อไปสู่โลกระดับสูงที่แตกต่างกันไป
ยูอิลฮานได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เขาได้มองผ่านประตูมิติไปทางสิ่งมีชีวิตชั้นสูงและพูดขึ้นมา
[เริ่มสงคราม]
บทที่ 326 – วันสิ้นโลก (2)
ถึงแม้ว่าแต่ล่ะกองกำลังจะมีการปะทะกันครั้งใหญ่อยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่ากองกำลังเหล่านั้นจะปล่อยให้โลกต่างๆว่างเปล่าไปซะหมด ยังไงก็ตามมิเรย์ไม่ได้สร้างประตูมิติแค่แห่งเดียว แต่เธอได้ได้สร้างประตูมิติหนึ่งร้อยบานที่เชื่อมต่อไปในโลกที่ต่างกันหนึ่งร้อยโลก
[นะ นี่มันอะไรกัน!?]
[ท่านซาตานเพิ่งจะ… บ้าเอ้ย นี่มันคนที่ฉันรู้จักนี่!]
[ยูอิลฮาน เป็นยูอิลฮาน! เวรเอ้ย พวกเขารู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว!]
หากมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงสิบคนในแต่ล่ะโลกก็รวมเป็นพันคน และหากมีร้อยคนต่อหนึ่งโลกก็จะรวมเป็นหนึ่งหมื่นคน นี่มันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่กองกำลังในปัจจุบันของดาเรย์จะเผชิญหน้าได้ แต่โชคดีที่ว่าที่ดาเรย์มียูเรียลที่อยู่ในคลาส 8 รวมไปถึงคนอื่นๆที่มีพลังเทียบเท่าคลาส 7 อยู่เป็นจำนวนมาก
[นับจากนี้ต่อไปมานาของพวกนายจะไม่มีวันหมดลง]
ยูอิลฮานได้พูดต่อไปทั้งๆที่มองดูสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ยังอ้าปากค้างอยู่
[เพราะงั้นโจมตีไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องสนใจผลข้างเคียง ฉีกกระชากทุกๆอย่างที่เข้ามา ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการให้เอง]
เมื่อยูอิลฮานพูดจบเขาก็ได้ขว้างหอกเพลิงในมือออกไป เมื่อมาถึงหน้าประตูมิติหนึ่งร้อยบานหอกก็ได้แยกออกเป็นเจ็ดอันและเข้าไปฆ่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงภายในประตูมิติแต่ล่ะบาน ผลจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ก็คือ
[ได้รับอำนาจเหนือโลกระดับสูงฟอลเลนอีดิทที่ถูกปกครองโดยกองทัพจรัสแสง กำลังดำเนินการหลอมรวม]
[ได้รับอำนาจเหนือโลกระดับสูงดีเชสที่ถูกปกครองโดยกองทัพสวรรค์…]
[ได้รับอำนาจเหนือโลกระดับสูง….]
เขาสามารถจะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกดาเรยืได้เลย ประตูมิติที่เชื่อมไปสู่เจ็ดโลกไดด้ปิดลงจากการเสียเจ้าของไปในทันที และโลกระดับสูงเหล่านี้ก็ได้มีเจ้าของคนใหม่พร้อมปรากฏขึ้นมาข้างๆดาเรย์และเริ่มการหลอมรวมเข้ากับดินแดนนี้
นี่คือการหลอมรวมมิติขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีหัวหน้ากองกำลังคนไหนเคยคิดเคยฝันมาก่อน! นี่แหละคือสิ่งที่ยูอิลฮานกำลังทำ
“อ๊ากกกกก ปวดหัวววว”
“ทนไว้มิสทิค ยังมีโลกเหลืออยู่อีก 22,993 โลก”
“โอโรจิ เจ้าบ้าาาา!”
มีโลกระดับสูงเจ็ดโลกกำลังหลอมรวมเข้ากับดาเรย์ มันไม่มีทางที่เธอจะไม่ได้รับภาระทางจิตใจแน่อยู่แล้ว! ยูอิลฮานได้รับเอาภาระส่วนใหญ่มาไว้กับตัวเขาเองมากเท่าที่สกิลปกครองของเขาสามารถจะจัดการได้ มีแค่บางส่วนที่เขาไม่อาจจะจัดการได้เท่านั้น เขาถึงจะส่งไปให้มิสทิค
ยังดีที่เขาได้อัพเกรดตัวเธอขึ้นมาก่อน แล้วก็ยังดีที่เขาได้ทำอาร์ติแฟคระดับเทพให้กับเธอ!
“โลกได้กว้างใหญ่ขึ้นแล้ว”
“ในที่สุดแล้วฉันก็ได้เข้าใจสิ่งที่หัวหน้ากำลังทำอยู่ นี่มัน…!”
พรมได้ขยายออกไปดูดซับผืนดินใหม่ที่หลอมรวมเข้ากับโลกด้วยความเร็วที่สูงมาก และมานาที่ถูกพรมดูดมาก็ถูกส่งมาให้ยูอิลฮาน มิสทิคแล้วก็คนอื่นๆ
พรมได้เปิดใช้งานเวทย์ๆหนึ่ง นี่คือเวทย์การดูด เป็นการฝืนดูดเอาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกทั้ง 93 โลกที่ถูกประตูมิติเชื่อมต่อเพื่อดึงคนพวกนี้กลับมาที่ดาเรย์!
“จะไม่มีใครรอดไปได้!”
ฉากที่ไม่น่าเชื่อได้เกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูมิติได้ถูกพลังแห่งการดูดดูดเข้ามาที่ดาเรย์โดยไม่อาจจะต่อต้านได้เลย
พวกเขาต่างก็ตื่นตระหนกและตกใจ ยิ่งหลังจากได้เห็นสมาชิกดราก้อนเนสมองมาที่พวกเขาด้วยจิตสังหารก็ได้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายแล้ว แต่ว่านี่ก็สายเกินไปแล้วด้วย
“ทุกคนบุกกกกกกกกกก!”
“โอ้วววววววววว!”
[กรรรรรรรรรรรรรร!]
เสียงตะโกนจากเลียร่าเป็นการให้สัญญาณทำให้ทุกๆคนพุ่งออกไปข้างหน้า ภาพที่เหล่าคนนับพันได้พุ่งเข้าไปปะทะกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงโดยไร้ซึ่งความกลัวแม้แต่นิดเดียวได้เกิดขึ้นมาตรงหน้านี้
[ต้นกล้าพวกนี้บ้าไปแล้ว…!]
[นี่นายตั้งใจจะทำให้ทุกๆกองกำลังเป็นศัตรูนะ! ที่นี่พวกเราอาจจะแพ้ แต่ว่ากองทัพที่ท่านซาตานนำจะมาที่นี่ในอีกไม่นาน…]
“ไว้ติดต่อหัวหน้าพวกนายได้ค่อยมาพูดนะ!”
[มะ ไม่นะ! ตอนนี้ท่านซาตาน….]
“ย๊ากกกกกกกกกกก!”
หอกคลื่นกระแทก เวทย์น้ำแข็ง เพลิงจากมังกร รวมไปถึงกงจักรน้ำที่ตัดส่วนต่างๆ ทั้งทูตรสวรรค์และเทวดาตกสวรรค์ก็ยังต่อสู้กลับมาเพราะไม่อยากจะตายที่นี่ แต่ว่าปัญหาของพวกเขาก็คือสนามที่ต่อสู้กันก็คือที่ดาเรย์
“อึก… พวกนายแกร่งขึ้นแล้ว บุกไป!”
“พวกเราแกร่งขึ้น!?”
“นี่มันพลังของพรม!”
ด้วยสกิลจ้าวมิติทำให้ยูอิลฮานสามารถจะลดพลังของผู้บุกรุกทั้งหมดที่เขามาได้ และเขายังสามารถจะเพิ่มพลังให้กับทุกๆคนที่ปกป้องดาเรย์ได้ด้วย
นอกไปจากนี้ยังมีการสนับสนุนจากสกิลประจักษ์แจ้งและพรมทำให้มังกรที่มีเลเวลเกือบจะถึง 250 อยู่แล้วได้ถูกเสริมพลังขึ้นไปจนสามารถจะกัดฉีกกระชากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจนตายได้เลย!
“พวกเราทำได้! พวกเราเอาชนะได้!”
“ขับไล่พวกมันไป! ฆ่าพวกมัน! ดาเรย์กำลังขยายตัว!”
ทุกๆครั้งที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงในโลกใบหนึ่งได้ถูกกำจัดออกไปจนหมด อำนาจในการควบคุมโลกใบนั้นจะถูกส่งต่อมาให้ยูอิลฮานและโลกใบนั้นก็จะหลอมรวมเข้ากับดาเรย์ในทันที พรมก็ยังเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในทุกๆครั้งที่มันขยายขนาดออกไป และเพราะมีมานามากขึ้นจากการหลอมรวมทำให้มันคนอื่นๆทรงพลังขึ้นอีก
“หัวฉันรู้สึกเหมือนจะระเบิดแล้ว! อ๊ากกกก! โอโรจิ โอโรจิ!!!”
“ชิ นายท่าน! ฉันคิดว่าเธอคนนี้ใกล้จะตายแล้ว”
“ฉันก็คิดว่าฉันก็ใกล้จะตายแล้วเหมือนกัน ให้ตายสิ! อ๊ากกก! เละเทะไปหมดแล้ว! มันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำนะ!”
เมื่อประตูมิติได้หายไปประมาณสามสิบบาน นั่นก็หมายความว่ามีโลกระดับสูงประมาณสามสิบโลกได้หลอมรวมเข้ากับดาเรย์ เพราะแบบนี้ทำให้ในที่สุดก็เกิดมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 ขึ้นจากการที่มีมานาถูกสร้างขึ้นมาจากการหลอมรวมจำนวนมากและการพัฒนาขึ้นของดาเรย์!
ยูอิลฮานได้มองลงไปที่เปลือกโลกที่กำลังสั่นไหวและรู้ได้ว่านี่มันถึงเวลาที่เขาจะต้องเปิดใช้ไพ่ใบแรกที่เก็บไว้แล้ว เขาได้ตะโกนออกมาโดยไม่ลังเลใดๆ
[คงสภาพป้อมปราการเอาไว้! โลกใบนี้จะวิวัฒนาการขึ้นเป็นป้อมปราการรบ! ฉันได้ตัดสินใจทิศทางการเติบโตของโลกแล้ว เพราะงั้นต้องคงสภาพปัจจุบันของโลกใบนี้เอาไว้!]
ประกาศิตของยูอิลฮานดูจะไม่มีผลอะไรกับภายนอกเลย แต่ยังไงก็ตามนี่มันจะทำให้สิ่งต่างๆน่ากลัวยิ่งขึ้น โลกใบนี้กำลังอยู่ภายใต้มหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 และแทบไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น!
โลกใบนี้ก็แค่ขยายขนาดขึ้นตามที่ยูอิลฮานต้องการเท่านั้น ความหนาแน่นของมานาในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นและสร้างเป็นมานาส่งไปให้ยูอิลฮานผ่านประกาศิตมากขึ้น
เมืองได้ขยายขนาดขึ้นมา และป้อมปราการผู้พิทักษ์และป้อมปราการลอยฟ้าที่เชื่อมต่อกับเมืองก็ได้วิวัฒนาการเพิ่มพลังขึ้นเช่นกัน มิสทิคที่เป็นศูนย์ของระบบทั้งหมดนี้ได้แต่ต้องกัดฟันเอาไว้ ยูอิลฮานก็ได้ปลอบเธอออกมา
“หลังจากเธอทนผ่านเรื่องนี้ไปได้มันจะดีขึ้นเอง!”
“โกหก นายท่านโกหก!”
โลกที่กว้างใหญ่อยู่แล้วได้ขยายขนาดขึ้นตลอดเวลาและความหนาแน่นของมานาก็กำลังเพิ่มขึ้น ฝั่งผู้คนของดาเรย์ที่กำลังสู้อยู่ได้ถูกเสริมพลังมากขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่ฝั่งที่ถูกบังคับดูดเข้ามาในดาเรย์ได้อ่อนแอลงตลอดเวลา
ในเวลาเดียวกันคังมิเรย์ก็ตะโกนเร่งออกมาจนเหมือนเสียงกรีดร้อง
“ห้านาทีแล้วนะ! อิลฮาน พวกเรายังจัดการประตูมิติไปได้ไม่ถึงครึ่งเลย… เราจะไปกันต่อเลยไหม”
“ฝากด้วยนะมิเรย์”
ยูอิลฮานได้จับหัวเอาไว้และตะโกนออกมา
“เปิดอีก! มาอีกหนึ่งร้อยบาน”
“อ๊าาา โอเค!”
“ท่านหญิงเรย์น่าาาาา! ทำอะไรซักอย่างที! นี่มันบ้ากันไปหมดแล้ววววว!”
คังมิเรย์ได้เปิดใช้งานมหาเวทย์ของเธอในขณะที่นายูนาได้ร้องเรียกเทพธิดาของเธอ ในเวลาต่อมาก็ได้มีประตูมิติถูกเปิดขึ้นพร้อมๆกันอีก 100 บาน
[จู่ๆเกิดอะไรขึ้นกัน… อย่าบอกนะว่ามีศัตรูบุกมาโลกนี้ด้วย…?]
[นั่นมันอะไรน่ะ? ไม่นะ ฉันเหมือนเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน… ยู ยูอิลฮาน!? อย่าบอกนะว่าที่นี่คือ!?]
ดาเรย์ได้สร้างแรงดึงดูดที่มหาศาลขึ้นอีกครั้งต่อให้จะเผชิญกับมหาภัยพิบัติขั้นที่7 อยู่ก็ตาม เหล่าศัตรูของโลกที่เปิดขึ้นมาใหม่ต่างก็ถูกดูดเข้ามาโดยไร้ข้อยกเว้นเช่นเดียวกัน พวกเขาได้ถูกดึงเข้ามาในดาเรย์ทั้งๆที่ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลยด้วยซ้ำ เลียร่าได้ตะโกนขึ้นมา
“สู้! สู้แล้วก็อย่าตาย! พวกเราต้องทำแบบนี้อีกสองร้อยกว่าครั้ง!”
“พวกเราจะตาย… ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราจะตายจริงๆแน่”
ท่ามกลางมหาภัยพิบัติขึ้นที่ 7 ทั้งหุบเขาและเมืองที่ยูอิลฮานสร้างขึ้นได้มีความหนาแน่นของมานาสูงยิ่งขึ้นไปอีกและเริ่มได้โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางสิ่งรอบๆ
มานาจากเมืองไม่เพียงแค่ฟื้นฟูให้กับยูอิลฮานเท่านั้น แต่ยังฟื้นฟูคนอื่นๆรวมถึงให้การสนับสนุนด้วย เพลิงที่ร้อนแรงได้ลุกไหม้บนร่างของศัตรูทุกๆคนที่บุกรุกเข้ามา
[นี่มันอะไรกัน! บ้าเอ้ยย! บ้าสุดๆ!]
“ฆ่าพวกมัน!”
ยูอิลฮานรู้ดีว่าอะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เรื่องแบบป้อมปราการลอยฟ้ากับป้อมปราการลอยฟ้าที่ตั้งอยู่ในโลกใบนี้ได้เกิดขึ้น เมืองทั้งหมดได้กลายเป็นอิสระแยกตัวมาจากโลกทั้งใบในฐานะอาร์ติแฟคที่มีออฟชั่นพิเศษ! เมืองนี้ได้กลายมาเป็นป้อมปราการบนท้องฟ้าอย่างแท้จริงแล้ว
แต่แน่นอนว่ามันไม่มีเวลาให้ยูอิลฮานมาตรวจดูแต่ล่ะออฟชั่นที่มันดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาก็แค่ต้องหลอมรวมมันกลับเข้าไปในโลก!
“สิ่งสำคัญเลยก็คือตอนนี้พวกนายแกร่งขึ้นแล้ว! บุก!”
“เขาบ้าไปแล้วววว!”
[สารเลว… กล้ามาทำแบบนี้กับเรา! ฉันไม่ให้อภัยแกแน่ ฉันจะลงทัณฑ์แกแทนซาตานเอง!]
โอ้ดูเหมือนว่าจากร้อยประตูมิติที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่จะมีสมาชิกของกองทัพจรัสแสงคลาส 7 มาด้วยสินะ! นอกไปจากนี้เขาคนนี้ยังเข้าใจถึงสถานการณ์ได้ในทันทีแล้วก็ยังร่ายมหาเวทย์ออกมาอีกด้วย
[เพลิงแห่งนรกจงลุกไหม้ เพลิงหายนะ]
“มันไม่ได้ผลหรอก!”
[หา… ฮ่าห์!]
แน่นอนว่ายูเรียลสามารถจะป้องกันการโจมตีนี้ได้ง่ายๆ แต่ว่าเทวดาตกสวรรค์คนนี้ได้เล็งจังหวะที่ยูเรียลร่ายเวทย์อยู่ เขาได้พุ่งตัวผ่านยูเรียลเพราะรู้ดีว่าสู้ไม่ได้และเข้าไปโจมตีมิสทิค เขารู้ว่ามิสทิคคือศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดนี้
“กรี๊ดดดด!”
“ชิ การมารับการโจมตีแทนคนอื่นนี่ฉันไม่ชอบเลยแหะ”
[ฮ่าห์!]
ยังไงก็ตามโอโรจิได้รับการโจมตีเอาไว้ก่อน เพลิงสีม่วงที่ลุกไหม้ขึ้นบนร่างของโอโรจิได้ผลักดันพลังเวทย์ของเทวดาตกสวรรค์กลับไปและยังผลักดันให้ตัวเทวดาตกสวรรค์ถอยกลับไปด้วย ในตอนนี้โอโรจิยังคงอยู่คลาส 6 แต่ว่าเขาได้ถูกยูอิลฮานเสริมพลังในหลายๆด้านทำให้เขาสามารถจะเผชิญหน้ากับหัวหน้ากองพันตรงๆได้แล้ว!
[มานาแปลกๆนี่… มังกรงั้นหรอ? นายมันไม่ใช่พวกเลือดบริสุทธิ์แต่เป็นเลือดผสม!]
“ใช่แล้ว ฉันเป็นพวกเลือดผสมนั่นแหละ… แต่นายรู้อะไรไหม ตามหนังน่ะพวกที่ชอบเอาแต่พูดเรื่องเลือดแท้เลือดผสมน่ะมักจะตายก่อนเป็นคนแรกนะ!”
หมัดของโอโรจิได้แยกออกมาเป็นเจ็ดส่วนเหมือนกับหางของเขาเข้าโจมตีศัตรูพร้อมกันในทีเดียว
ในทันทีที่ปะทะกันได้มีเขี้ยวพิษจำนวนมากโผล่ขึ้นมาจากหมัดของโอโรจิและทำให้ร่างของศัตรูเต็มไปด้วยทั้งคำสาปและพิษ! ปีกที่สิบแห่งกองทัพจรัสแสงริเมอเร่ที่โดนโจมตีได้เบิกตาออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อและเซถอยไป
[คำสาปนี้เจาะผ่านการป้องกันเวทย์ของฉันมาได้? ไม่มีทางน่า ฉันไม่ยอมรับ!]
“ไม่ต้องยอมรับหรอก ก็แค่ตายๆไปซะก็พอ!”
หัวใจมิสทิคได้เต้นแรงเมื่อเธอได้เห็นโอโรจิกำลังสู้กับศัตรูเพื่อปกป้องเธอที่กำลังควบคุมทั้งดาเรย์อยู่ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้พูดออกมา มันชัดเจนว่าหากเธอเสียสมาธิไปยูอิลฮานได้บ่นเธอแน่
ยังไงก็ตามสถานการณ์ได้เปลื่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วถึงแม้ว่าอารมณ์ของหญิงสาวกำลังเบ่งบานก็ตาม
[ฉะ ฉันไม่ยอม… ฉันปีกที่สิบแห่งกองทัพจรัสแสงจะมาแพ้ง่ายๆ…]
“ก็นายปักธงตายตั้งแต่เริ่มเองนี้”
[ไม่ ไม่….]
โอโรจิไม่โง่พอที่จะปล่อยให้ริเมอเร่ได้ฟื้นตัวหลังจากติดพิษอัมพาตจากเขี้ยวพิษของเขาอยู่แล้ว
เขาได้บุกเข้าไปอย่างสุดกำลังเป็นครั้งแรกหลังจากได้รับร่างอิชจาร์มา คมมีดเพลิงสีม่วงบนเท้าของเขาได้ตัดริเมอเร่ขาดตั้งแต่หัวจรดเท้า
[ติดคริติคอล!]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
ความเงียบได้กระจายไปทั่วสนามรบชั่วคราม ถึงแม้ว่าจนถีงตอนนี้จะมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงตายมาเป็นจำนวนมาก แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการตายของคลาส 7 เกิดขึ้นมา!
“กรรรรรรรรรรรรรรรร!”
ท่ามกลางความสนใจนี้โอโรจิได้คำรามออกมา ในเวลาเดียวกันนี้แสงสว่างสีม่วงได้ปกคลุมทั้งร่างของโอโรจิและลุกโหมรุนแรงยิ่งขึ้น
บันทึกทั้งหมดที่เขาได้รับมาทำให้โอโรจิก้าวหน้าขึ้นและได้มีออร่าแรงกดดันเพิ่มขึ้นมาจากความเข้มข้นของมานา
“โอ้ว อย่าบอกนะว่า…”
“ไม่มีทางน่า”
ยูอิลฮานรู้ดีว่านี่หมายถึงอะไร ในที่สุดโอโรจิก็ได้มาถึงคลาส 7 แล้วหลังจากเอาชนะคลาส 7 เพื่อพิสูจน์ตัวเองได้ เขากระทั่งกลายมาเป็นคลาส 7 ก่อนเลียร่าซะอีก!
[จงสู้มากกว่านี้อีก!]
ในตอนนี้ยูอิลฮานได้เปิดไพ่ใบที่สองขึ้นมา นี่คือโอกาสดีที่จะปลุกความกระตือรือร้นของทุกๆคนหลังจากได้เห็นความก้าวหน้าของโอโรจิ
[ไม่ว่าใครก็ตามที่มี ‘คุณสมบัติ’ ในการต่อสู้ ฉันก็จะวิวัฒนาการคนๆนั้นไปเป็นมังกรที่แท้จริง!]
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ลอยขึ้นมาบนท้องฟ้าก่อนที่จะถูกกระจายออกไปโดยไร้เสียง แน่นอนว่านี่มันไม่ใช่การทำลาย มันก็เป็นการขยายอาณาเขตออกไปโดยซ่อนรูปร่างที่แท้จริงเอาไว้ มันได้ละลายเข้าไปในชั้นบรรยากาศของดาเรย์ที่ซึ่งมีความหนาแน่นของมานาที่สูงมากๆจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 และทำให้อ่างแห่งปาฏิหาริย์สามารถใช้งานความสามารถของมันได้ทุกที่
[ท่านผู้ปกครองได้พูดมาแล้ว]
[มังกรที่แท้จริงคลาส 5…]
[ฉันจะสู้! ฉันจะต้องมีคุณสมบัติให้ได้!]
และการทำแบบนี้ก็ได้ผลเป็นอย่างมาก
บทที่ 327 – วันสิ้นโลก (3)
การต่อสู้ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อเวลาได้ผ่านไปอีกห้านาทีคังมิเรย์ก็ได้เปิดประตูเพิ่มอีกร้อยบาน ยูอิลฮานได้ใช้หอกเพลิงที่สร้างจากมานาทำการกวาดล้างโลกผู้อาศัยในโลกไปมากกว่าสิบโลกเพื่อที่จะลดมานาส่วนเกินในโลกของเขา แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าทุกๆอย่างจะเป็นไปตามที่เขาต้องกร ในตอนที่พลังเวทย์ได้หลุดไปจากการควบคุม มานาทุกๆส่วนในดาเรย์ก็ได้ปะทุและปั่นป่วนขึ้นมา!
[ดาเรย์กำลังลงอยู่ภายใต้มหาภัยพิบัติขั้นที่ 7]
[ดาเรย์กำลังลงอยู่ภายใต้มหาภัยพิบัติขั้นที่ 7]
“ชิ… รู้แล้วน่า ฉันรู้แล้ว!”
ยูอิลฮานได้เปลื่ยนกลับมาควบคุมดาเรย์อีกครั้งหนึ่ง เขาได้ใช้ประกาศิตหลายต่อหลายรอบทำให้โลกสงบลงและโยนภาระส่วนหนึ่งไปให้มิสทิค
ในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะปล่อยพลังงานไปภายนอกหรือขยายขนาดโลกให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น เพราะแบบนี้โลกก็ได้เริ่มนำพลังมานาส่วนเกินไปเพื่อความทนทานให้กับสิ่งที่มีอยู่แล้วแทนการจะเพิ่มขนาดของมัน และนี่คือสิ่งที่ยูอิลฮานก็เล็งเอาไว้
“ความหนาแน่นมานา… นี่มันกำลังเพิ่มสูงยิ่งขึ้น!”
“พรก็กำลังทรงพลังขึ้นเหมือนกัน! ไม่ต้องยั้งมือไว้แล้ว ปล่อยพลังทั้งหมดออกไปใส่ศัตรูตรงหน้าเลย”
[กรรรรรรรรรรรรร!]
เพราะการที่โอโรจิได้กลายมาเป็นคลาส 7 ได้ทำให้พลังของกองกำลังเขาแกร่งยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงการตายของมังกรและสายพันธ์มังกรที่อ่อนแอไม่ได้ แต่ว่าคนที่เหลือรอดก็จะกินเลือดเนื้อของคนที่ตายไปเพื่อที่จะแกร่งขึ้นจนมากพอที่จะสู้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงกลับคืนไป
เหล่ามังกรได้กัดศัตรูกันจนตายตามคำสั่งของยูอิลฮาน! เพื่อที่จะแกร่งยิ่งขึ้น! เพราะแบบนี้พวกมังกรทุกๆตนต่างก็เอาชีวิตไปเสี่ยง ไพ่ใบที่สองของยูอิลฮานได้ทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ
“เด็กๆมองมาที่ฉันสิ! ฉันมีสิ่งที่พวกเธอต้องการอยู่ การพักผ่อนสุดหอมหวาน!”
เฮเรียน่าที่ได้รับการเสริมพลังขึ้นมาอย่างมากหลังจากได้กลายเป็นมังกรคลาส 7 กำลังเปิดศึกอยู่ในแนวหน้า มานาแห่งเสน่ห์ของเธอได้ถูกกระจายออกไปรอบตัวและทำให้การเคลื่อนไหวของศัตรูหยุดลงจนโดนสมาชิกดราก้อนเนสคนอื่นเข้าโจมตีอย่างรุนแรง
ไม่มีใครที่หลีกหนีไปจากเสน่ห์ของเฮเรียน่าได้ สมาธิของศัตรูจะถูกดึงดูดให้ล่องลอยออกไปและในตอนที่เกิดเรื่องแบบนี้เขาคนนั้นก็จะต้องตายไปในทันที ผู้บุกรุกที่เจอเข้ากับเสน่ห์ของเฮเรียน่าต่างก็เป็นเหมือนกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
“นี่แหละ ที่นี่ ฉันจะไม่หนี ฉันจะยืนนิ่งๆอยู่ตรงนี้”
[อ๊าาา….!]
[บ้าเอ้ย มานากำลังต่อต้านฉัน ฉันต้องทนไว้…!]
เฮเรียน่าเธองดงาม และสง่างามมาก พลังนี้ของเธอส่งผลดีให้กับพรรคพวกและเป็นพิษร้ายกับศัตรู เธอตั้งใจที่จะเป็นคนลดความทุกข์ใจจากตัวยูอิลฮาน
เฮเรียน่าเธอรู้ดีว่ายูอิลฮานค่อนข้างอ่อนไหวกับการบาดเจ็บล้มตายของพรรคพวก เพราะงั้นตัวยูอิลฮานจึงไม่ได้พักเลยแม้แต่นิดเดียว ที่เธอล่อลวงคนอื่นมันไม่ใช่เพื่อสนองความชอบของตัวเองแต่เป็นเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นต้องตายต่างหาก
มันนานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้ทำเพื่อคนอื่น? เธอยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่ว่าในที่สุดแล้วความรู้สึกของเธอก็ได้กลับมาถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีนับตั้งแต่เข้าสู่พลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
[พ่อครับ! อ๊าา พ่อ!]
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ หมายเลขหนึ่งได้โดดเด่นขึ้นมาในหมู่มังกร ส่วนรูบี้ได้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ!
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมมาตลอดก็ได้ครอบคลุมตัวเธอ และไม่นานหลังจากนั้นก็ก็ได้มีหญิงสาวผมแดงนัยน์ตาสีชาดเดินออกมา หญิงสาวคนนี้ดูน่ารักเหมือนกับออกมาจากการ์ตูน แต่ว่าพลังที่เธอมีอยู่ไม่ใช่เล่นๆเลย
“อ๊าาา! ขอบคุณค่ะพ่อ! พ่อสุดที่รักของหนู!”
[ฉันรู้สึกได้! เธอได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงแล้ว!]
[มังกรที่แท้จริง… โอ้ววว พวกเราก็จะกลายเป็นมังกรที่แท้จริงเหมือนกัน! หากว่าไปถึงระดับนั้นได้ต่อให้ต้องขายวิญญาณก็ยอม!]
สถานการณ์อาจจะไม่ได้สดใสนัก แต่ว่าขวัญกำลังใจทางฝั่งยูอิลฮานได้พุ่งถึงขีดสุดไปแล้ว มังกรทั้งหมด สายพันธ์มังกรทั้งหมดต่างก็อยากที่จะเป็นเหมือนกับรูบี้ เหล่ามังกรคือสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาชื่นชมในพลังมานานแล้ว!
รูบี้ได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จและในตอนนี้ก็ถึงเวลาของพวกเขาแล้ว คลาส 5 คลาส 6 คลาส 7 – เจ้าพวกนี้มันมีอะไรให้ต้องกลัวกัน มังกรทั้งหมดต่างก็บุกตรงเข้าใส่โดยไม่ลังเล เสียงคำรามของดราก้อนเนสได้ดังสนั่นไปทั้งโลก
เลียร่าที่เห็นแบบนี้ได้แต่บ่นออกมา
“การเกิดแล้วก็พัฒนาของเหล่ามังกรนี่มัน… ดูง่ายจังเลยนะ ใครกันนะที่บอกว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงคือเหล่าผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก!?”
“ก็เธอนั่นแหละที่บอก”
แน่นอนว่าในด้านประสบการณ์และการฝึกฝนมันเป็นไปไม่ได้เลยที่รูบี้จะไปเทียบกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงตนอื่นๆ แต่ยังไงก็ตามเนื่องจากว่าตัวเธอได้พลังจากโลกช่วยสนับสนุนทำให้เธอมีพลังที่เหนือไปกว่าสิ่งมีชีวิตคลาส 5 ส่วนใหญ่! การขาดประสบการณ์และการฝึกฝนมันสามารถจะทดแทนกันได้ ในตอนนี้มันคือเวลาที่จะอารวาดโดยไม่ต้องคิดอะไร
[มหาภัยพิบัติขึ้นที่ 7 ในดาเรย์กำลังจบลง]
“ทุกคนเตรียมตัวนะ….!”
ยูอิลฮานได้กัดริมฝีปากตะโกนออกมา ในเวลาเดียวกันนี้คังมิเรย์ก็ได้เปิดประตูมิติเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อยบานและมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนับพันถูกดูดเข้ามาในดาเรย์ ในเวลาเดียวกันนายูนาก็ได้กัดฟันฝืนทนคงสภาพแดนศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ และในตอนที่เลียร่ากำลังแทงหัวใจเทวดาตกสวรรค์คลาส 6 นี่เอง
“จงรวมเป็นหนึ่ง! [หลอมรวม! ห้ามแยกออก รวมเป็นหนึ่ง!]”
[มหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 ได้จบลงแล้ว]
โลกทั้งใบได้สั่นสะเทือน มีโลกจำนวนมากได้ถูกหลอมรวมเข้ามาและยังมีอีกหลายโลกที่กำลังอยู่ระหว่างลอมรวม ในที่สุดแล้วมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 ของดาเรย์ที่ทำให้มีความหนาแน่นและขนาดที่เพื่มขึ้นก็ได้จบลงและดาเรย์ได้เรืองแสงสว่างออกมา! มานาได้มารวมกันอยู่ตรงศูนย์กลางของโลกที่มีป้อมปราการลอยฟ้า ป้อมปราการผู้พิทักษ์แล้วก็เมืองอยู่ มิสทิคได้บ่นออกมาทันที
“ให้ตายสินายท่าน ไม่ว่าาท่านจะทำเรื่องบ้าอะไรก็ง่ายไปหมดเลย!”
[จงเปลื่ยนการสร้างให้กลายไปเป็นการทำลายแทนซะ!]
ยูอิลฮานได้ตะโกนออกมา ในตอนนี้เองเพลิงโปร่งแสงได้ลุกขึ้นต่อหน้าพรรคพวกของเขาและเผาไหม้ศัตรูทุกๆคนที่มองเห็น!
ไม่ว่าจะเป็นคลาส 5 หรือคลาส 6 ก็ไม่อาจจะหลีกหนีเพลิงที่เผาไหม้วิญญาณที่ได้ สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีก็แค่เพียงก้อนขี้เถ้ากับหินพลังเวทย์เท่านั้น
[ติดคริติคอล!]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์]
[คุณได้รับบันทึก]
[ทำการเก็บวิญญาณ]
“นะ นี่มันบ้าอะไรกัน?”
“นายท่าน…”
ทั่วทั้งพื้นที่ได้เงียบลงไป การที่โอโรจิฆ่าริเมอเร่ไปเทียบไม่ได้กับเรื่องที่เพิ่งเกิดตะกี้เลย การที่พูดเพียงประโยชน์เดียวก็ทำให้ทุกสิ่งต้องการนี้ได้ทำให้เหล่าคนที่ได้เผชิญหน้ากับมันได้แต่หยุดอยู่เงียบๆ
ประตูมิติของโลกที่ได้กลายมาอยู่ใต้อำนาจของยูอิลฮานได้ปิดลง และสุดท้ายก็ไม่มีประตูมิติใดที่เปิดอยู่อีก พรรคพวกของยูอิลฮานที่เห็นแบบนี้ได้เริ่มโกรธกันขึ้นมา
“ฉันไม่สนหรอกนะว่านายทำมันได้ยังไง แต่ว่านะนายก็จบมันได้ตั้งแต่แรกแล้วนี่หากว่านายใช้เวทย์ที่ทรงพลังแบบนี้!”
“นายจัดการมันเองหมดเลยก็ได้นี่!? เมื่อกี้นายคนเดียวเพิ่งจะกวาดล้างไปเกือบๆจะสองร้อยโลกเลยนะ!”
ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้แต่หัวเราะออกมาแห้งๆ
“พวกเธอรู้กันใช่ไหมว่าเมื่อไหร่ที่เกิดมหาภัยพิบัติขึ้นจะมีมอนสเตอร์เกิดขึ้นมาจำนวนมาก ฉันได้ใช้ประกาศิตเมื่อตะกี้เพื่อเปลื่ยนมานาที่ใช้สร้างมอนสเตอร์ให้กลายมาเป็นเพลิงจนหมดนะ นี่คือการโจมตีที่ฉันจะได้แค่ในตอนที่เกิดมหาภัยพิบัติได้เท่านั้น”
“…มันใช้ได้ง่ายๆงั้นหรอ?”
“อ่า บางทีในหมู่หัวหน้ากองกำลังอาจจะมีแค่ฉันคนเดียวที่ใช้ได้ก็ได้ โอ้ ที่สำคัญกว่านั้นนะ…”
[โลก…]
[โลก…]
[โลก…]
[โลก…]
[โลก…]
[โลก…]
[โลก…]
[โลก…]
ยูอิลฮานได้จับหัวตะโกนออกมาในขณะที่มองดูโลกกว่าสองร้อยใบปรากฏขึ้นรอบๆดาเรย์และหลอมรวมเข้ามา
“…เราจะต้องหลอมรวมโลกทั้งหมดนี่เข้ามาในดาเรย์!”
“เจ้านายบ้าที่สุดดดดดดด!”
“ชะ ช่วยด้วย! ช่วยฉันหน่อย!”
นี่มันยิ่งกว่ามหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 ซะอีก การหลอมรวมครั้งนี้ไม่ใช่แค่สิบ หรือร้อย แต่เป็นโลกระดับสูงสองร้อยแห่ง มาคิดๆดูแล้วเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
[บีบอัด อย่าขยาย! ฉันบอกให้บีบอัด! ขอล่ะนะ อย่าได้แพ้ winrar ล่ะ!]
“บ้าอะไรของนายท่านเนี้ย! อ๊ากกกกกกกก!”
หมวกฟางของมิสทิคได้เรืองแสงออกมา หมวกฟางนี้ได้เสริมพลังของมิสทิคให้เกินขีดจำกัดไปและควบคุมการหลอมรวม
ท้องฟ้า ผืนดิน ทะเล ทุกๆอย่างเหล่านี้ได้หลอมรวมบีบอัดเข้าด้วยกันจนหนาแน่น
“กะ การสร้างโลก…”
“บิ๊กแบง…?”
ทุกๆคนต่างก็ช่วยส่งพลังมานาไปช่วยยูอิลฮานกับมิสทิคปรับแต่งโลกใบนี้ สิ่งที่ทำงานหนักที่สุดเลยแน่นอนว่าคือพรม!
พรมได้ดูดซับมานาจากโลกต่างๆมาโดยไม่ล่ะเว้น มันได้นำมานาที่เก็บไว้ภายในกลายมาเป็นเชื้อเพลิงขยายอาณาเขตออกไป ในจุดๆนี้ในด้านขยายเพียงอย่างเดียวดาเรย์ก็ใหญ่กว่าสวรรค์ไปแลว
“คำทำนายถูกต้องจริงๆน่ะหรอที่ล่ะ!? ไม่ใช่ว่าเอิร์ธจะยิ่งใหญ่กว่าดาเรย์หรอกหรอ!?”
“อ่า เดี๋ยวฉันก็จะหลอมรวมโลกของฉันด้วยเหมือนกัน”
“เยี่ยมไปเลย!”
ละลอกคลื่นมานาได้กระจายออกไปจนทั่ว ทุกๆห้าหรือหกวินาทีจะมีการระเบิดทำลายพื้นผิวที่มีขนาดใหญ่พอๆกับดาวดวงหนึ่งขึ้นมา แน่นอนว่าหลังจากนั้นมานาที่ทำให้เกิดการระเบิดก็จะถูกพรมดูดเข้าไปและส่งต่อมาที่สมาชิกดราก้อนเนส
“ก้อนมานาที่ส่งออกมาพวกนี้จะไม่ฆ่าเราแน่นะ?”
“พระเจ้า นี่มันบ้ายิ่งกว่าในตอนมิคาเอลสู้กับซาตานซะอีก หัวหน้ากำลังคิดอะไรอยู่กันนะ? นี่เขากำลังจะจัดการทุกๆอย่างเองหมดเลย”
[โลกที่คุณปกครองได้มีการเชื่อมต่อกับคุณทำให้ระดับพลังของคุณเพิ่มขึ้น คุณเพิ่มเลเวลขึ้นเป็น 600]
“โอ้….”
ยูอิลฮานได้อุทานออกมา ตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการปรับปรุงโลก แต่ว่ามานาและบันทึกของเขาได้ผสานกับวิญญาณและร่างกายทำให้เกิดการเปลื่ยนแปลงขึ้นจากภายใน
ยังไงก็ตามนี่มันคือเรื่องธรรมดา การวิวัฒนาการของโลกมันหมายถึงการเพิ่มขึ้นของมันบึก เพราะงั้นคนที่เป็นเจ้าของโลกใบนี้ก็จะถูกเพิ่มพลังขึ้นไปเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ยูอิลฮานคิดแค่ว่าการฆ่ามอนสเตอร์จะทำให้เขาเลเวลเพิ่มขึ้น แต่ว่าเขาคิดผิด!
[ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น พลังเวทย์เพิ่มขึ้นอีก 500]
ตอนยูอิลฮานได้กำลังหลอมรวมโลกไม่ได้มีการเปลื่ยนแปลงอะไรมากนักกับบันทึกของยูอิลฮาน แต่ว่าเมื่อเกิดมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 กับการหลอมรวมโลกทั้งสองร้อยใบในคราวเดียวทำให้บันทึกของยูอิลฮานผสานเข้ากับดาเรย์และนำเขาไปสู่ดำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น!
[นำบันทึกทั้งหมดมาคำนวนเพื่อนำไปสู่การวิวัฒนาการ คุณจะต้องทนผ่านความเจ็บปวดจากการเปลื่ยนแปลง เริ่มทำการวิวัฒนาการร่างกาย]
“อ๊ากกกก ไม่ไหว! ฉันทนไม่ไหว!”
“อย่ามาทำเป็นอ่อนแอ!”
พร้อมๆกันกับความเจ็บปวดเหมือนฉีกกระชากวิญญาณ ร่างของยูอิลฮานก็ได้บิดเบี้ยวและเปลื่ยนแปลงยิ่งกว่าที่โอโรจิกับรูบี้ได้เจอซะอีก
มันคงจะดีหากเขายอมปลดปล่อยสติไปกับความเจ็บปวดได้ แต่ว่าน่าเสียดายที่ยูอิลฮานกำลังทำการปรับแต่งการหลอมรวมของโลกจำนวนมากเข้ากับดาเรย์อยู่ ทั้งการขยายของพรม จำนวนมานาที่หลั่งไหลอยู่ในเมือง เพราะแบบนี้เขาไม่อาจจะหมดสติไปได้ เพราะงั้นเขาได้เลือกหลับตาลงไปแทน
“อิลฮาน…”
“ที่รักสู้ๆนะ!”
“ให้ฉันทำยังไงต่อ? ผ่านไปห้านาทีแล้วนะ…”
“มิเรย์ รออีกสักนิดนะ!”
กระดูกทั้งหมดได้หายไปและมีกระดูกชิ้นใหม่เกิดขึ้นมาแทน กล้ามเนื้อหัวใจได้ถูกกฉีกขาดและมีหัวใจใหม่เกิดขึ้นมากำลังกินหัวใจดวงเก่าอยู่
เลือดทั้งหมดได้ระเหยไปและถูกรวมอยู่ที่หัวใจ พร้อมทั้งมีเลือดใหม่ถูกปล่อยออกมา ผิวหนังใหม่ กล้ามเนื้อใหม่ กระดูกใหม่ และมานาถูกปล่อยออกมา มันทั้งยอดเยี่ยมแต่น่าหดหู่ ลึกลับแต่น่าสะพรึง
แต่ยูอิลฮานก็ไม่ได้หยุดใช้งานมานาเลยถึงแม้ว่าเขาจะไปอยู่ในสภาพที่ไม่ใกล้เคียงกับมนุษย์แล้ว มันถึงขนาดที่ทำให้ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าเขาเป็นคนๆเดียวกับที่ทำเป็นอ่อนแอเมื่อตะกี้นี้ ตอนนี้เขากำลังแสดงความอดทนอย่างมหาศาลและสมาธิของเขา
เมื่อเวลาได้ผ่านไปอีกซักพัก หลังจากนั้นก็ผ่านไปอีกห้านาที คังมิเรย์ก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว
“ฟู่ ฮ่าาาาาห์….”
ในที่สุดยูอิลฮานก็ลืมตาขึ้นมาและเริ่มสูดลมหายใจ หลังจากผ่านการเจ็บปวดอย่างมหาศาลมา ร่างของเขาก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่สมบูรณ์แล้ว
ในเวลาเดียวกันดาเรย์ก็ได้หลอมละลาย ดูดซับและบีบอัดโลกอื่นๆมาได้อย่างสมบูรณ์แล้วด้วย
โลกใบนี้กำลังสอดผสานเข้ากับยูอิลฮาน
เพราะแบบนี้ทำให้ทุกๆเรื่องได้ง่ายขึ้นมา เขารู้สึกว่าเขาสามารถจะทำให้ทุกๆอย่างในดาเรย์เคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นแขนขาตัวเองโดยไม่ต้องใช้พรมหรือสกิลประกาศิตช่วยเลย เขารู้แล้วว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง
[นายท่าน นายท่าน!]
[ท่านผู้ปกครอง]
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว”
ระหว่างเขากำลังตอบเพลิงนิรันดร์กับอิชจาร์กับไปก็ได้มีปีกคู่ใหม่โผล่ขึ้นมาจากหลังของเขา
ปีกนี้เหมือนกันกับปีกเสียงเพรียกแห่งการล่มสลาย แต่ว่าหากปีคู่แรกถูกเผาไปด้วยเพลิงที่ลุกไหม้ ปีกคู่ที่สองก็เป็นด้านตรงข้ามที่เป็นโลหะโดยสมบูรณ์! ปีกทั้งสองคู่นีได้แสดงถึงเอกลักษณ์ของยูอิลฮานมาอย่างชัดเจน
หากว่าดาเรย์ได้ยอมรับแหล่งมานากับบันทึกจากภายนอก และบีบทั้งหมดเข้ามาภายใน ยูอิลฮานก็ได้พัฒนาการขึ้นมาจากการบีบอัดบันทึกจากภายนอกแทน ทั้งยูอิลฮานกับโลกต่างก็แข็งแกร่งขึ้น แต่ว่าการวิวัฒนาการนั้นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ปัญหายังไม่ได้หมดแค่นี้ ตามใดที่ดาเรย์วิวัฒนาการต่อไป ยูอิลฮานก็จะวิวัฒนาการต่อไปด้วย และในตอนที่เอิร์ธที่เป็นจุดกำเนิดของตัวเขาได้หลอมรวมเข้ามา…
“หืม สวรรค์…”
“อิลฮานไม่เป็นไรจริงๆนะ…?”
“มิเรย์”
ยูอิลฮานได้ยิ้มให้กับมิเรย์ที่กำลังมองมาที่เขาอย่างเป็นกังวล
“ช่วยโปรดประตูมิติทีนะ”
“…เข้าใจแล้ว”
ยูอิลฮานได้หยุดคิดทุกอย่างและเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเขาได้ยกมือขึ้นมาโลกก็ได้เริ่มมีแรงดึงดูดอีกครั้งหนึ่ง
ประตูมิติได้ถูกเปิดขึ้นแล้วและสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งหมดก็ได้เจอกับหายนะที่มีชื่อว่ายูอิลฮาน
เขายังมีโลกอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องหลอมรวม
บทที่ 328 – วันสิ้นโลก (4)
ภารในโลกที่ไร้ซึ่งทิศทางใดๆ ไม่มีหน้าหรือหลัง บนหรือล่าง ซ้ายหรือขวา ก่อนหรือหลัง ไม่ว่าจะลมหรือน้ำก็ไม่อาจจะระบุได้
นี่คือการตกผลึกของขั้นสูงสุดในการซ่อนตัวของกาเบรีบลที่เป็นสมาชิกของสี่ยอดเทวทูตแห่งกองทัพสวรรค์ และในตอนนี้คือหัวหน้าสวนอาทิตยอัสดง เขาได้ทำมันอย่างสุดกำลังและในพื้นที่เดียวกันนี้เขาก็ได้ใช้เป็นที่ซ่อนภรรยาของเขาและทำให้เธอพัฒนายิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันที่แห่งนี้ก็คือโลกหลักของสวนอาทิตย์อัสดง
ในตอนที่โลกใบนี้เป็นแบบนี้ไม่เคยมีใครรู้เลย ไม่มีใครรู้ว่ามีโลกใบนี้มานานแค่ไหน ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มต้นหรือจบสิ้นยังไง ในที่แห่งนี้ทุกๆอย่างคือภาพลวงตา ตอนนี้ในที่แห่งนี้หัวหน้ากองกำลังกำลังเผชิญหน้ากับอยู่
[ฉันไม่คิดเลยว่าฉันจะจัดการได้ยากขนาดนี้กาเบรียล]
ชายหนุ่มรูปหล่อที่มีผมสีทองกับปีที่เหมือนค้างคาวบนหลังเขา ซาตาน เขาได้ยิ้มออกมา พลังเวทย์ที่ทรงพลังได้แผ่กระจายออกมาจากทุกๆส่วนในร่างของเขาตามลมหายใจ
แข็งแกร่ง นี่มันดูไม่เหมือนกับคนที่มาบุกในฐานทัพหลักของกองกำลังศัตรูเลย นี่มันเป็นพลังที่เหนือเกินกว่าจินตนาการ จริงๆแล้วพลังแรงกดดันที่ออกมานี้ไม่ใช่พลังทางร่างกายหรือพลังทางเวทมนต์ แต่ว่าเป็นความสามารถพิเศษที่ทำให้กาเบรีบลต้องตะลึงยิ่งกว่า
[หากนายยังจัดการฉันลำบากแบบนี้ นายก็คงไม่คณามือลูกชายฉันหรอกนะ]
ชายหนุ่มรูปหล่ออีกคนที่ยืนฝั่งตรงข้ามกับกาเบรียลแน่นอนว่าคือกาเบรียล เขามีผมสีเขียวแกมน้ำเงิน และไร้ซึ่งปีกใดๆ เขาได้เปลื่ยนพลังของพระเจ้าไปเป็นของตัวเอง หลีหนีไปจากการเป็นทูตสวรรค์อย่างสมบูรณ์ด้วยการบุกเบิกขั้นพลังด้วยตนเองแล้ว
[นายดูจะภูมิใจกับลูกนายมากเลยนะ แต่ว่าฉันก็รู้อยู่ พวกนายสองคนค่อนข้างจะเหมือนกันในหลายๆด้านเลย โอ้จริงด้วย นายรู้อะไรไหมว่าฉันเป็นคนที่ช่วยให้เขาได้มองโลกกว้างเชียวนะ? มาขอบคุณฉันซะสิ]
[ลูกฉันไม่ได้ต้องการให้นายช่วยเลย พูดกันตรงๆแล้วนายไม่ได้ช่วยด้วยซ้ำ นายมันก็แค่เฝ้าดูสนุกๆเองไม่ใช่หรอ? นายเอาแต่เล่นเสมอไม่ว่าจะเจอกับอะไร มันเป็นแบบนี้มานานแล้วนี่]
[โอ้ นายนี่รู้จักฉันดีจริงๆ]
ชายทั้งสองดูเหมือนเพื่อนสนิทกำลังคุยกันอยู่ แต่ว่าจริงๆแล้วประมาณมานาที่กำลังปะทะกันอยู่ของทั้งสองคนมหาศาลมากๆ ฝ่ายหนึ่งต้องการจะทำร้ายและอีกฝ่ายต้องการจะป้องกัน เมื่อดูจากพลังที่ทัดเทียมกันแล้วและคำนึงถึงว่าที่นี่คือฐานทัพหลักของสวนอาทิตย์อัสงทำให้เห็นได้ชัดเจนถึงพลังของซาตาน
แน่นอนว่ามันยังมีเรื่องอื่นมาเกี่ยวด้วยเช่นกัน กาเบรียลมีพลังในการซ่อนตัวและควบคุมเวลา ในขณะที่ซาตานครอบครองในพลังที่จะทำลายโครงสร้างเวทย์ด้วยพลังเวทย์ที่รุนแรง
[น่าสนใจจริงๆ ฉันแข็งแกร่งกว่านาย แต่ว่าก็อ่อนแอกว่ามิคาเอล แต่จากที่ได้ยินมามิคาเอลก็อ่อนแอกว่าลูกชายนาย จริงด้วยสิถ้างั้นลูกชายนายก็อ่อนแอกว่านายงั้นหรอ?]
[มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกนะ แต่ว่าลูกของฉันแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ นอกไปจากนี้เขายังซ่อนตัวได้เก่งด้วย]
[โอ้ ก็สมกับเป็นลูกนายแหละนะ]
ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง ซาตานได้นำกองทัพเร็กน่ากับกองทัพเทวดาตกสวรรค์บุกข้ามา ‘สวนเคเวส’ โลกหลักของสวนอาทิตย์อัสดง และกาเบรียลก็ได้เรียกผู้เฝ้าประตูทั้งหมดมาที่โลกใบนี้
โลกใบนี้ถูกปิดลงและไม่มีใครเข้ามาได้อีก แต่ถึงแบบนั้นก็มีการต่อสู้ที่ไม่มีใครร่วงรู้เกิดขึ้น ท่ามกลางกลุ่มศัตรูยังมีเร็กน่าระดับสูงที่กาเบรียลยังเป็นกังวล และยังมีตัวตนที่สูงส่งกว่าเร็กน่าระดับสูงอีกด้วย
พวกทูตสวรรค์กลายพันธ์เร็กน่าที่เดิมทีมาจากวิญญาณไม่ได้มีอยู่แค่ตัวเดียวแล้ว พลังในการยับยั้งมานาของพวกมันอันตรายมากๆ แล้วหากว่าที่นี่ไม่ใช่โลกหลักของสวนอาทิตย์อัสดง พวกเขาก็คงถูกกดดันจนต้องถอยไปนานแล้ว
ที่พวกเขายังคงได้เปรียบอยู่เล็กๆนั่นมันก็เพราะกาเบรีบลได้ใช้พลังหยุดการเคลื่อนไหวและทำให้เวลาของพวกมันช้าลงทำให้พวกเร็กน่าสู้ได้อย่างยากลำบาก
[ทำไมนายถึงไปร่วมมือกับพระเจ้าอีกแล้วล่ะ? ในตอนขับไล่เขาออกไปนายคือคนที่ช่วยเรานะ นี่นายจะทำอะไรตามใจเกินไปหน่อยแล้วนะ?]
[อะไรกัน? นายก็รู้อยู่แล้วนี่ ฉันมักที่จะชอบสู้ในด้านที่เสียเปรียบไง เมื่อก่อนตอนที่ฉันช่วยนายก็เพราะว่าฉันรู้สึกว่าการสู้กับพระเจ้ามันเป็นเรื่องอันตราย แล้วในตอนนี้ที่ฉันเลือกช่วยพระเจ้าก็เพราะว่ามันดูเหมือนเขากำลังเสียเปรียบไง อ่อ จริงด้วยนายรู้อะไรไหม เขาคนนั้นนะมุดซ่อนตัวอยู่ในโลกของเขาโดยไม่ขยับเลยนะ เขากลัวนายแน่ะ! นายก็น่าจะรู้เหมือนกันนี่ นี่มันตลกมากเลยนะ!]
กาเบรียลคิดเอาไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ในตอนนั้นที่สี่ยอดเทวทูตกับซาตานได้ช่วยกันขับไล่พระเจ้าและริบพลังไป พระเจ้าก็ถูกทำลายไปจนถึงจุดที่น่าจะตายได้แล้ว
แต่ยังไงก็ตามในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้ฆ่าพระเจ้า มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ทำ แต่ว่าพวกเขาทำไม่ได้ อิทธิพลที่พระเจ้ามีต่อพวกเขามากกว่าที่พวกเขาคิดทำให้พระเจ้าหลบหนีและป้องกันการโจมตีสุดท้ายได้
พระเจ้าได้ฝืนเอาตัวรอดมาได้และไปแอบซ่อนตัวอยู่ แม้แต่กาเบรียลก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ยังไงก็ตามคนที่กำลังหัวเราะอยู่ข้างหน้าเขาอย่างซาตานจะต้องรู้แน่นอน
ในเวลานี้พระเจ้าน่าจะฟื้นฟูพลังส่วนใหญ่กับมาได้แล้ว ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางที่เขาจะใช้เร็กน่าจำนวนมากเหมือนอย่างตอนนี้ได้แน่
[ตอนนี้มันก็เหมือนๆกันกับที่ฉันเลือกต่อต้านสวรรค์นั่นแหละ ต้องขอบคุณลูกชายนายเลยนะที่ทำให้มันน่าสนใจยิ่งขึ้น วิวัฒนาการแห่งโลกที่นายพยากรณ์เอาไว้ใกล้จะมาถึงแล้วเหมือนกันนี่ ทุกๆอย่างคือสิ่งที่นายทำเอาไว้นี่ ในเมื่อฉันเล่นเกมของนาย นายก็ไม่ควรจะบ่นนะ]
[เกมของฉัน แต่นาย…]
นี่มันไร้สาระ ยังไงก็ตามกาเบรีบลได้ปิดปากลงเมื่อเขากำลังจะพูดอะไรกลับไป นี่เขาถูกศัตรูยั่วยุงั้นหรอ? ถ้าลูกเขารู้เขาคงจะหัวเราะเขาแย่แน่เลย
[คุยกันพอแล้วล่ะ มาสู้กันเถอะซาตาน ไม่สิ ฉันควรจะเรียกนายว่าลูซิเฟอร์สินะ]
[เป็นชื่อที่น่าคิดถึงมากเลยนะ แต่ว่าฉันก็ได้ทิ้งชื่อนั้นไปแล้ว ฉันไม่ชอบชื่อนั้นเลย มันฟังดูเหมือนกับพวกขี้แพ้]
กาเบรียลได้ยกมือขึ้นสร้างดาบน้ำขึ้นมาเผชิญหน้้ากับซาตาน ซาตานก็ยังสร้างดาบขึ้นมาจากพลังเวทย์และยิ้มขึ้นมา
[เมื่อก่อน นายไม่ได้ชอบเคลื่อนไหวเลยนี่]
[เมื่อก่อนเป็นยังไงฉันไม่รู้ แต่ว่าหากจะเอาชนะฉันในตอนนี้ นายก็คงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสัก 20 ปี]
[20 ปีงั้นหรอ… ฉันคิดว่าแค่ 20 นาทีก็พอแล้ว!]
ทั้งสองหัวหน้ากองกำลังได้ปะทะกันแล้ว กาเบรีบลได้ใช้พลังเวทย์ที่เขาดึงมาจากสวนอาทิตย์อัสงดงหยุดร่างกายซาตานเอาไว้ และซาตานได้ใช้พลังเวทย์ที่มหาศาลของเขาตัดทุกๆอย่างที่พุ่งเข้ามาและโจมตีเข้าใสกาเบรียล
โจมตีและตั้งรับ ทั้งสองคนต่างก็เป็นขั้วตรงข้ามของกันและกันที่ไม่อาจจะตัดสินผลลัพธ์ได้ในเร็วๆนี้
[กี้ ก๊าา ควมคุมการเคลื่อนไหวเป็นไปไม่ได้….]
[ท่านซาตานช่วยด้วย… อ๊ากก!]
ท้องฟ้าของโลกใบนี้ไม่มีทั้งกลางวันหรือกลางคืน ไม่มีทั้งพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกขึ้น ด้านบนท้องฟ้าในตอนนี้มีก็แต่พวกเร็กน่าและกลุ่มเทวดาตกสวรรค์อยู่ จากมหาเวทย์ของกาเบรียลทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งหมดถูกจำกัดเอาไว้ แต่ว่าจำนวนและพลังเวทย์ของพวกเขาก็ยังเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงอยู่ดี
[กำจัดพวกมันทั้งหมด! เมื่อโลกล่มสลายลง พวกเราทุกคนก็จะได้เจอกับหายนะ]
[มันไม่ใช่ปัญหาของเขา โครงสร้างของทั้งโลกใบนี้ หากโลกใบนี้พังลง เราก็จะพังทลายเช่นกัน! นายท่านได้บอกแบบนี้และคำพูดของเขาคือที่สุด เราจะแพ้ที่นี่ไม่ได้!]
สวนอาทิตย์อัสดงได้มารวมตัวกันในวันนี้เป็นครั้งแรก ผู้เฝ้าประตูแห่งสวนอาทิตย์อัสดงที่ได้อดทนเก็บข้อมูลและปรับแต่งโลกมาเป็นเวลานานส่วนใหญ่ต่างก็ติดตามหัวหน้าอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าจะมีบางคนที่อารวาดขัดคำสั่งก็ตาม
จริงๆแล้วหัวหน้าผู้เฝ้าประตูส่วนใหญ่ที่ทำอะไรไม่ประมาทและระมัดระวังมาตลอดก็ยังยอมรับในคำสั่งของหัวหน้ากองกำลังเมื่อหัวหน้าต้องการ! และในเวลานี้ผู้เฝ้าประตูทั้งหมดก็มาที่นี่ตามคำสั่งของหัวหน้าเพื่อต่อต้านเร็กน่ากับเทวดาตกสวรรค์โดยไม่ยอมถอยเลย
“ที่รัก… อย่าเป็นอะไรไปนะ ถ้าคุณเป็นอะไรไปฉันไม่ยอมแน่”
ภรรยากาเบรียลหรือคิมเยซอลแม่ของยูอิลฮานก็ยังต่อสู้กับศัตรูท่ามกลางผู้เฝ้าประตู จิตวิญญาณที่ได้สื่อสารกับเธอเมื่อก่อนจริงๆแล้วคือสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่สังกัดสวนอาทิตย์อัสดงเพื่อป้องกันโลกหลักใบนี้ด้วย เพราะงั้นการร่วมมือกับเธอและจิตวิญญาณพวกนี้จึงรื่นไหลไร้ที่ติ
ยังไงก็ตามถึงแม้ว่าเธอจะสร้างความเสียหายให้กับเร็กน่าหรือเทวดาตกสวรรค์อย่างรุนแรงด้วยเวทย์มิติเวลาของเธอ แต่สายตาของคิมเยซอลก็จ้องอยู่ที่กาเบรียลแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะโกรธเขายังไง เธอก็ยังอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาอยู่ดี
ทุกๆอย่างได้เปลื่ยนแปลงไปอย่างมากในวันที่โลกได้เจอเข้ากับมหาภัยพิบัติ แต่ว่ามีอยู่สองสิ่งสำคัญที่เธอไม่เคยลืมหรือสูญเสียไปจากใจ นั่นก็คือสามีกับลูกของเธอ
ในวันที่มีช่วงเวลายาวนานไร้จุดหมายทุกๆอย่างได้หายไป แต่ว่าอารมณ์ของเธอที่มีต่อครอบครัวและความสัมพันธ์ที่มีร่วมกันต่างก็เปล่งประกายไม่เคยหดหายไปเลย
‘ไม่ ตอนนี้ก็มีพวกสาวๆด้วย’
ลูกชายของเธอที่ได้กลับมาเจอกันกับเธอหลังจากผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาได้กลายเป็นคนที่เก่งมากๆไปแล้ว เธอยังได้รู้ว่าสามีเธอก็เป็นคนเก่งๆมากเหมือนกัน แต่ว่านี่มันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือมีสาวๆมากมายที่ชอบในตัวลูกของเธอ
เธอไม่ยอมรับให้สามีนอกใจเธอ แต่ว่าเธอรู้สึกพอใจมากๆที่ได้เห็นสาวๆมากมายอยู่กับลูกของเธอ พอมาที่นี่เธอได้รู้ตัวเองเลยว่าเธอมันพวกปากว่าตาขยิบ แต่เธอก็มีความสุขกับมัน
จนกว่าเธอจะได้เห็นเด็กๆเหล่านั้น ไม่สิ จนกว่าที่เธอจะได้เติมเต็มความฝันกลายมาเป็นคุณย่าที่ทำทีมเบสบอลขึ้นมา เธอก็จะไม่มีวันยอมตายเด็ดขาด
“เพราะงั้นฉันต้องมีชีวิตรอดต่อไป”
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นที่จะต้องมีชีวิตต่อไป แต่ยังมีทั้งสามีของเธอ ลูกของเธอ วาวๆ และหลานๆของเธอด้วย ทุกๆคนจะต้องรอดไปด้วยกัน
คิมเยซอลได้เปิดใช้งานอาร์ติแฟคที่ลูกชายของเธอมอบมันให้กับเธอและมองไปด้านหน้า เธอสัมผัสได้ถึงเร็กน่าระดับสูงที่เคลื่อนไหวไม่ได้เพราะเวทย์จากสามีเธอ
พวกมันแต่ล่ะตัวต่างก็มีพลังถึงระดับคลาส 7 และมีพลังในการยับยั้งมานาด้วย สามีของเธอทำให้พวกมันนิ่งอย่างนี้ได้ยังไงเธอไม่รู้เลย
“แต่ว่าอย่างน้อยฉันก็ช่วยสามีของฉันได้”
เธอได้ยกคทาขึ้นมาและใช้มานาทั้งหมดที่เธอมี เวทย์ที่เธอได้ตระหนักรู้จากโลกใบนี้และเวทย์ที่เธอได้พัฒนาไปในทิศทางใหม่เพราะลูกชายของเธอได้ถูกปล่อยออกมาจากอาร์ติแฟคและเข้าโจมตีศัตรู
[ติดคริติคอล!]
เพราะเธอได้ฝึกเวทย์ของเธอมาในมิติที่เวลาหยุดนิ่งจากสามีของเธอ เธอได้ปลุกความสามารถที่คล้ายกันกับของสามีขึ้นมา จากคำพูดของสามีเธอเขาไม่ได้หวังไว้ขนาดนี้แสดงว่าบางทีอาจจะเพราะพรสวรรค์ของเธอเอง
สามีเธอเขาได้ทำนายว่าศักยภาพของลูกชายเขาจะยิ่งกว่าเขา เพราะงั้นคนเป็นแม่อย่างเธอก็ไม่น่าจะด้อยไปกว่ากันด้วย
กาเบรียลได้มองเห็นในการเกิดของลูกชายเขา แต่ว่าเขาไม่ได้เห็นในการพัฒนาของคิมเยซอลที่เป็นภรรยา พูดๆกันแล้วเธอคือตัวแปรและเธอก็มีความสุขกับมัน ด้วยอาร์ติแฟคที่ยูอิลฮานสร้างให้กับเธอโดยเฉพาะบวกกับส่วนต่างๆทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงงออกมา
[คุณได้ปลุกพลังเวทย์ชนิดใหม่]
[คุณอาจจะไม่ใช่คนแรกที่สร้างได้ พลังในการบิดเบี้ยวเวลามีอยู่แล้ว แต่คุณสามารถที่จะทำลาย จัดการควบคุม และแทกแซงเวลาที่บิดเบี้ยวอยู่แล้วได้ คุณได้เรียนรู้เวทมนต์มิติเวลา ‘ทลาย’]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
เร็กน่าระดับสูงได้บิดเบี้ยวและหายไป เมื่อเห็นแบบนี้คิมเยซอลได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ค่าประสบการณ์จำนวนมากได้หลั่งไหลเข้ามาในตัวเธอและฟื้นฟูมานาเธอขึ้นมาจากการเพิ่มเลเวลขึ้นทำให้เธอได้เตรียมที่จะใช้เวทย์อีกรอบหนึ่ง
สวนอาทิตย์อัสดงและกองทัพจรัสแสงกำลังอยู่ในการต่อสู้ที่จะทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ได้
บทที่ 329 – วันสิ้นโลก (5)
ขณะที่กองทัพจรัสแสงกับสวนอาทิตย์อัสดงกำลังทำสงครามในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน กองทัพสวรรค์กับกองทัพปีศาจวิบัติก็กำลังมีการต่อสู้ที่รุนแรงกันอยู่
น่าแปลกที่สถานการณ์นี้มันดีกับมิคาเอลที่เพิ่งจะกลายมาเป็นระดับเทพคนใหม่อย่างมาก
[มองนายที่ไรฉันรู้สึกอึดอัดเสมอเลย]
ทุกๆครั้งที่หอกแสงมิคาเอลเปล่งประกายออกมา นักล่านับร้อยนับพันก็จะสูญเสียพลังไป นี่มันมากยิ่งกว่าแค่การป้องกันสวรรค์แล้ว ทูตสวรรค์กระทั่งบุกรุกข้ามไปอีกฝั่งของกำแพงแห่งความโกลาหล เข้าสู่เอลโลคาทร่าแล้ว
[พวกหนอนแมลงน่าเศร้า ที่แมลงที่ตอมสวรรค์จนถูกแสงหลอมละลายและหายไปซะ!]
[ท่านมิคาเอล ท่านต้องใจเย็น…]
[ไม่ การกำจัดผู้ล่า ท่านทำถูกแล้ว ตลอดมาพวกเราทำได้แต่ป้องกันเท่านั้น! แต่ในตอนนี้ท่านมิคาเอลกำลังทำในสิ่งที่ถูก!]
เหล่าคนที่ยอมรับในตัวมิคาเอลในฐานะพระเจ้าได้มีมากขึ้น ในขณะเดียวกันเหล่าคนที่ไม่ยอมรับในตัวมิคาเอลก็ยังมีอยู่แต่ว่าคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เลือกติดตามยูอิลฮาน พวกเขาเลือกที่จะอยู่ปกป้องสวรรค์ พวกเขาไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขเฝ้าบ้านที่เฝ้าหลุมศพเจ้านายเลย
ยังไงก็ตามมิคาเอลก็คิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้วเหมือนกัน ตราบใดที่คนเหล่านั้นยังเลือกอยู่่สวรรค์และตราบใดที่มิคาเอลกลายเป็นผู้ปกครองสวรรค์ ในท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็ทำได้แต่ยอมรับในตัวเขาเท่านั้น!
มิคาเอลได้สวรรค์มาแล้ว เขาจะยืนหยัดเหนือยิ่งกว่าใครๆ กลายไปเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบและทำให้ทุกๆคนต้องคุกเข่าต่อหน้าเขา เป้าหมายแรกที่จะทำเพื่อทำตามแผนนี้ให้สำเร็จก็คือการกำจัดกองทัพปีศาจวิบัติให้หมดก่อนเป็นอย่างแรก
[เหล่าผู้ล่าที่น่าสงสาร พวกนายมันก็มีแต่ทำลายและกลืนกินกันเอง ไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น พวกหนอนแมลงไร้ค่า]
[ก๊าซซซซซซซ]
[ในที่สุดพวกหน้าไหว้หลังหลอกก็ได้โยนหน้ากากทิ้งไปแล้ว… อ๊ากกก!]
แสงสว่างได้กระจายออกไปในทุกๆครั้งที่มิคาเอลพูดออกมาและในทุกๆครั้งที่แสงกระจายออกไปก็จะมีเสียงร้องของนักล่าดังออกมา
ยังไงก็ตามสำหรับมิคาเอลแล้วเสียงร้องเหล่านี้ก็เหมือนกับเสียงของมดเท่านั้น คงไม่มีใครที่จะเดินพยายามหลบมดทุกตัวหรอกจริงไหมล่ะ? จะมีซักกี่คนกันที่ไปสนใจเสียงหมดและปกป้องมดพวกนี้? สำหรับมิคาเอลแล้วพวกนักล่าพวกนี้ก็เป็นแค่อุปสวรรค์ที่น่ารำคาญและเขาก็แค่ลบพวกมันออกทั้งหมดก็แค่นั้น
[อย่ามาขวางทางฉัน หากมีตาก็ควักมันออกมา หากมีหัวใจก็ระเบิดตัวตายไปซะ หากมีเหตผลก็หยุดใช้งานมันไปซะ หากรู้สึกถึงฉันหรือหากมองเห็นฉันก็อย่าได้สะเออะมาอยู่ต่อหน้าฉัน]
มิคาเอลในปัจจุบันได้เป็นแบบนี้ไปแล้ว แม้ว่าเขาจะเพิ่งพ่ายแพ้ยูอิลฮานอย่างอัปยศ แต่ว่าเขาก็ได้ระบายความแค้นออกมาใส่กองทัพปีศาจวิบัติที่อ่อนแอกว่าแทน!
[ท่านมิคาเอลมีพลังมากมาย เราไม่ได้เลือดผิด ท่านมิคาเอลได้กลายเป็นพระเจ้าองค์ใหม่แล้วจริงๆ]
[ยังไงก็ตามนั่นมันก็แค่ทางด้านกายภาพเท่านั้นแหละ เขาจะไปสู่การเป็นผู้สร้างที่แท้จริงได้งั้นหรอ? ในภายภาคหน้าเราจะต้องสร้างและปกป้องโลกนับไม่ถ้วนนะ ท่านมิคาเอลจะนำเราไปในทางที่ถูกได้จริงๆน่ะหรอ?]
[ยังไงก็ตาม… มันเป็นเพราะท่านมิคาเอลเราถึงได้ทำให้เรามีพลังอยู่ถึงแม้ว่าเราจะเข้ามาในฐานทัพหลักของกองทัพปีศาจวิบัติก็ตาม]
ทูตสวรรค์ที่ยังกังขาในตัวมิคาเอลก็ไม่มีทางอื่นให้เลือกนอกจากยอมรับในพลังของมิคาเอล ในตอนที่มิคาเอลได้เสียเปรียบยูอิลฮานในครั้งนั้น พวกเขาก็คิดว่าพวกเราเจอกับหายนะแล้ว แต่แล้วมิคาเอลก็ได้แสดงพลังของตัวตนสูงสุดออกมาในเอลโลคาทร่า
[พาหัวหน้าความโลภของพวกแกมา ลากเจ้าสัตว์น้ายที่กล้ากินสวรรค์ออกมาซะ ลากมันออกมาที่นี่!]
[นายกล้าพูดถึงชื่อของท่านเทพได้ยังไงกัน! หลังจากหลบซ่อนอยู่หลังเมฆมาตลอดเวลา พอได้พลังเล็กๆน้อยก็มาทำอวดดีงั้นหรอ!?]
กองทัพปีศาจวิบัติไม่อาจจะทนต่อการยั่วยุของมิคาเอลเงียบๆได้เลย คนแรกที่เข้ามาเผชิญหน้ากับมิคาเอลตรงๆคือผู้บัญชาการกองพันที่ 10 เมโลฮิเน่! หากเป็นคนที่มีระดับต่ำกว่าผู้บัญชาการกองพันจะไม่อาจหยุดมิคาเอลได้แต่วินาทีเดียวเลย มิคาเอลได้ล้อเลียนเธอโดยไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว
[‘ท่านเทพ’ นี่เธอจะบอกว่าสัตว์ป่านั่นเป็น ‘ท่านเทพ’ เธอนี่มันช่างเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจริงๆเลย จริงสิ คงมีแต่ร่างกายใหญ่ยักษ์ของเธอสินะถึงพอจะทำให้ความโลภนั่นพึงพอใจได้?]
[นี่แกกล้าพูดคำๆนี้ออกมาทั้งๆที่เรียกตัวเองว่าเป็นทูตสวรรค์เนี้ยนะ….!]
[ฉันไม่ใช่ทูตสวรรค์อีกต่อไปแล้ว ฉันคือพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องลังเล และไม่ต้องมีความปราณีใดๆในการกระทำของฉัน]
แสงจากตัวมิคาเอลได้ขยายออกมาปกคลุมเมโลฮิเน่เอาไว้แล้ว เธอได้พยายามจะปล่อยพลังงานไอเย็นทั้งหมดออกมาป้องกันแสงสว่างเอาไว้ แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์น้ำแข็งจากตัวเธอมีแต่ละเหยกลายไปเป็นไอน้ำเพียงเท่านั้น
[อ๊าา แก… อึก…!]
[ฮึ่ม เธอมันไร้ค่าจริงๆ!]
[แก… โอ้…!]
ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่อาจจะทนจนพูดคำสุดท้ายจบ เธอได้ถูกทำลายกลายเป็นไอหายไปเหมือนกับหมอก นี่คือราคาของผู้ที่มาสู้กับมิคาเอลอย่างไร้ความกลัวทั้งๆที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบในด้านธาตุ มิคาเอลได้มั่นใจในพลังของเขาที่สามารถจะเอาชนะคนอื่นได้และกลายเป็นหยิ่งยโสมากยิ่งขึ้น
[ต่อไปใครกันล่ะ? ใครกันที่จะมาเห่าใส่ฉันเป็นคนต่อไป? หรือจะเป็นความโลภล่ะ? นายได้ยินทุกๆคำที่ฉันพูดนี่จริงไหมล่ะ?]
ยังไงก็ตามมีบอสที่ไหนกันจะปรากฏตัวหากยังมีลูกน้องอยู่? ถึงแม้ว่าจะมีการตายของเมโลฮิเน่ที่ตายไปต่อหน้า แต่กองทัพปีศาจวิบัติก็ยังยึดมั่นในเส้นทางของตัวเอง พวกมันยังคงต้องการแต่การทำลายทั้งนั้นทำให้พวกมันยังคงโจมตีต่อไป
[นายมันโอหังเกินไปทูตสวรรค์!]
[อึก!?]
น้ำเสียงน่าขนลุกได้ดังขึ้นมาทำให้ซากศพทหารกองทัพปีศาจวิบัติที่ตายไปแล้วได้ระเบิดออกมาโจมตีทูตสวรรค์
มิคาเอลได้ป้องกันการโจมตีนี้ได้ง่ายๆ แต่ว่าทูตสวรรค์คนอื่นๆที่ตามมิคาเอลมาไม่ได้เป็นเหมือนเขา การโจมตีนี้ได้ถูกวางแผนเวลามาอย่างพอดีทำให้มีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นก่อนที่มิคาเอลจะได้สร้างบาเรียกระจายไปทั่วถึงทูตสวรรค์ทั้งหมด ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าบูเมอร์รอลได้เล็งไปที่ทูตสวรรค์คนอื่นๆแต่แรกแล้ว
[คิก คิกคิกคิก! ไร้ปราณีจริงๆเลย ไม่สนใจแม้กระทั่งพวกเดียวกัน นายมันทั้งโง่เขลา ป่าเถื่อน หยาบคาย จริงสิ นายกำลังผลักดันตัวเองให้หลุดจากตัวตนเก่าอยู่สินะ คุณทูตสวรรค์มิคาเอล!]
มิคาเอลได้กัดฟันแน่นเมื่อได้เห็นผู้บัญชาการกองพันที่ 5 บูเมอร์รอลได้ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางฝนโลหิต
[ฉันบอกว่าฉันไม่ใช่ทูตสวรรค์!]
[ใช่แล้ว ตัวนายในตอนนี้มันไม่ใช่ทูตสวรรค์ นายมันก็แค่คนทรยศที่มาอารวาดโดยไม่รู้จุดยืนของตัวเองก็แค่นั้น ซาตานในอดีตดูคล้ายกับนายในตอนนี้มากๆเลยนะ ข่าวลือที่ว่าพวกนายสองคนเป็นพี่น้องกันนี่เป็นเรื่องสินะ?]
[หา!]
ไม่ใช่แค่บูเมอร์รอลเท่านั้นที่มา แต่ยังมีผู้บัญชาการกองพันที่ 4 เทลไซเดอร์ ผู้บัญญาการกองพันที่ 6 เบลคาทู ผู้บัญชาการกองพันที่ 8 เซนูว่า และผู้บัญชาการกองพันทั้งหมดที่เหลือรอดอยู่ได้มารวมตัวกันขวางทางมิคาเอลเอาไว้ ทูตสวรรค์จำนวนน้อยที่ยังเหลือรอดอยู่กับมิคาเอลก็ยังก้าวหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการกองพันเหล่านี้
เทวทูตต่างก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นจากการที่ได้เห็นเมโลฮิเน่ถูกจัดการอย่างง่ายดาย แต่ว่ามันดูจะมีเรื่องน่าแปลกใจอยู่เพราะว่าเหล่าผู้บัญชาการกองพันทั้งหมดที่มาเผชิญหน้ากับกองทัพสวรรค์ต่างก็เต็มไปด้วยความยินดีจนน่าประหลาดใจ
[ยังจะสนุกกันได้อยู่อีกงั้นหรอ?]
แม้ว่ามิคาเอลจะมาถึงระดับพลังของเทพแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคงมีความสับสนอยู่ทำให้เขาได้ถามออกไป
[แล้วอะไรที่ทำให้นายหัวเราะกันล่ะ? การขวางทางนายนั่นมันหมายความว่าจะถูกทำลายยังไงล่ะ หากว่าจะพวกเราสนุกงั้นพวกเราก็ควรจะทำสีหน้ายังไงกันล่ะ?]
[นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะ]
ผู้บัญชาการกองพันที่ 9 ซิเฟอร์ไรท์ได้ตอบกลับมา เขาคือยักษ์ที่มีขนาดร่างกายใหญ่กว่าเมโลฮิเน่ที่เพิ่งจะตายไปซะอีก บนร่างกายของเขาก็ยังมีเขาโผล่ออกมาจากร่างเหมือนกับเป็นเกราะอีกด้วย หากนับแค่พละกำลังเพียงอย่างเดียวเขาก็คืออันดับที่สองรองลงมาจากความโลภเพียงเท่านั้น และเขาก็น่าจะเป็นคนที่น่าจะยืนหยัดต่อสู้กับมิคาเอลได้นานที่สุด
[พวกเรารักในการทำลาย เหตุผลที่เรามาอยู่ใต้กองทัพนี้นั่นก็เพราะว่าเรารู้สึกเป้าหมายการทำลายที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต และความโลภก็พูดถูก ในตอนนี้เราได้เผชิญหน้ากับนายแล้ว พวกเราจะไม่เพลิดเพลินไปกับมันได้ยังไงกัน? มิคาเอล นายมันก็เป็นหนอนแมลงเหมือนกัน แต่นายก็ครอบครองในพลังที่ฉันไม่เคยมีมาก่อนอยู่ นี่จะไม่ให้ฉันคาดหวังได้ยังไงกัน?]
[ฮึ่ม ฉันโง่เองนั่นแหละที่คาดหวังเหตุผลอะไรจากพวกนาย พวกนายทุกคนมันก็แค่พวกบ้าเท่านั้นเอง]
มิคาเอลได้ขว้างหอกแสงของเขาออกไป แสงได้เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วปักเข้าที่ยักษ์ภายในพริบตาเดียว แต่ว่ายักษ์ก็ฟื้นฟูร่างส่วนที่โดนแทงกลับมาโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่นิด
มิคาเอลคิดว่าซิเฟอร์ไรท์แกร่งยิ่งกว่าเมโลฮิเน่มาก และในตอนนี้เองมิคาเอลก็รู้สึกได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือกหมอกที่เมโลฮิเน่ได้สร้างขึ้นในตอนเธอตายมันยังไม่หายไปจนหมด หมอกมันยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวมิคาเอลกับทูตสวรรค์ ซิเฟอร์ไรท์ได้ขยับยิ้มออกมา
[เมโลฮิเน่เธอคือผู้หญิงที่รักในการทำลาย เธอมีความสุขไปกับการทำลายตัวเองเท่าๆกันกับที่เธอมีความสุขไปกับการทำลายคนอื่น การทำลายตัวเองเพื่อที่จะทำลายคนอื่นๆไปด้วยคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอแล้ว เธอได้บอกฉันที่เป็นพี่ชายของเธอแบบนี้นั่นแหละ]
หากแสงอยู่ในน้ำความเร็วมันจะช้าลงและเกิดการหักเหขึ้น ถึงแม้ว่าไอน้ำพวกนี้จะไม่ใช่น้ำก็ตาม แต่ด้วยคำสาปของเมโลฮิเน่ที่ได้ทำงานขึ้นด้วยพลังชีวิตทั้งหมดของเธอจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือกับไอน้ำพวกนี้ นี่คือคำสาปทรงพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าแสงสว่างที่มิคาเอลใช้เลย แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของเทวทูตคนอื่นๆก็ได้รับผลกระทบจากคำสาปนี้เช่นกัน
ในอดีตยูอิลฮานก็ยังเคยต้องลำบากกับคำสาปของหัวหน้ากองพันที่ 13 อิชจาร์มาแล้วเหมือนกัน และคำสาปของเมโลฮิเน่ก็ยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าคำสาปของอิชจาร์มาก
[อึก นี่นายคิดว่าด้วยแค่คำสาปของคลาส 7 ก็เอาชนะฉันได้…!]
[ในตอนยูอิลฮานยังเป็นแค่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนายก็ยังเคยถูกเขาต้อนจนจนมุมเลยนี่แถมนายก็ยังโดนจำกัดพลังอยู่ด้วยเหมือนกัน ฉันสงสัยจริงๆเลยว่านายกลายมาเป็นเทพได้ยังไง!]
แม้ว่ามิคาเอลจะปล่อยแสงสว่างจ้าออกมาในทุกๆส่วนของร่างกาย แต่หมอกไอน้ำจากเมโลฮิเน่ก็ยังคงอยู่ แสงทั้งหมดที่มิคาเอลปล่อยออกมาได้อ่อนพลังลงและพลังเวทย์ทั้งหมดของมิคาเอลก็ลดลงไปด้วย ในระหว่างที่มิคาเอลกำลังพยายามลบไอน้ำออกไป ผู้บัญชาการกองพันก็ได้เข้าโจมตีเทวทูตที่ถูกหยุดการเคลื่อนไหวทำให้ค่อยๆมีเทวทูตตายไปแล้วคนหนึ่ง
[ทะ ท่านมิคาเอล…!]
[ย๊ากกกกกก!]
[ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เทพที่พาพวกลูกกน้องมาแล้วเสียพวกลูกน้องไปต่อหน้า! นี่มันน่าขำจริงๆเลย น่าขำสุดๆไปเลยล่ะ! มิคาเอล นายนี่มันน่าขำมากเลยจริงๆ!]
[พวกแกทุกคนจะต้องตาย! ฉันจะเอาเลือดพวกแกมาย้อมพื้นให้กลายมาเป็นยุคสมัยใหม่ของสวรรค์! จะไม่มีใครรอดไปได้! ฉันจะทำลายทั้งความโลภแล้วก็ซาตานทิ้งไป!]
ระหว่างที่มิคาเอลยังคงลบล้างคำสาปไอน้ำอยู่ก็ได้มีเทวทูตตายลงไปอีกคนหนึ่ง ผู้บัญชาการกองพันที่ 9 ซิเฟอร์ไรท์ได้พุ่งตัวตรงเข้าใส่มิคาเอลและยื่นเขาที่มีอยู่ทั่วร่างออกมา ในสายตาของซิเฟอร์ไรท์ในตอนนี้มีแต่ความบ้าคลั่งอยู่ภายใน
[วันสิ้นโลก นี่มันคือวันสิ้นโลก! ทุกๆอย่างจะถูกทำลาย และสิ่งที่เรียกว่าโลกจะหายไปจนหมดสิ้น!]
แสงจากร่างของมิคาเอลที่สัมผัสตัวซิเฟอร์ไรท์ได้ละลายเขาซิเฟอร์ไรท์จนหายไปพร้อมๆกับทำให้เลือดเขาสาดกระจายออกมาย้อมทั้งร่างจนกลายไปเป็นสีแดงชาน แต่ถึงแบบนั้นซิเฟอร์ไรท์ก็ยังคงไม่หยุดลง
ตอนนี้พอมามองดูแล้วในเลือดที่ไหลออกมานั้นเต็มไปด้วยพิษที่ร้ายแรง และเลือดพวกนี้ได้พุ่งผ่านแสงมาอาบไปทั้งร่างของมิคาเอล ด้วยระดับที่มิคาเอลอยู่ทำให้เขาไม่ตายจากแค่พิษแน่นอน แต่ว่าหากมิคาเอลยังไม่ได้มีมีระดับการต้านทานพิษสูงสุด เขาก็ไม่อาจจะหยุดพิษที่ทำให้เขาอ่อนแอลงได้
[เหล่าคนที่ไร้ซึ่งความฝันไม่มีสิทธิมาพูดถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ต่อหน้าฉัน เหล่าคนโง่เขลาจงตายไปเสียเถิด!]
ในที่สุดมิคาเอลก็รู้ตัวว่าซิเฟอร์ไรท์คิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อหยุดเขาเอาไว้ นี่มันเป็นเรื่องที่สิ้นคิดมากๆ แต่ยังไงก็ตามซิเฟอร์ไรท์ได้ล้อเลียนออกมาแทน
[นายนี่โง่จริงๆเลยนะทูตสวรรค์! นั่นก็เพราะว่าฉันไม่เชื่อในชีวิตนิรันดร์อยู่แล้ว เพราะฉันยอมรับในความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ฉันถึงได้มีความสุขกับปัจจุบันไงล่ะ!]
[นั่นมันก็แค่ข้ออ้างของพวกไร้พลังที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับในความตายเท่านั้นแหละ! หากว่านายเชื่อว่าคุณค่าจะเปลื่ยนไปตามพลังที่นายมี ถ้างั้นนายก็รู้เอง!]
พลังเวทย์มิคาเอลได้ปะทุบ้าคลั่งออกมา ในที่สุดคำสาปเมโลฮิเน่ก็ถูกจัดการทิ้งไปอย่างสมบูรณ์ แสงสว่างได้ปกคลุมไปทั่วทั้งโลก! ซิเฟอร์ไรท์ได้หัวเราะออกมาอย่างยินดีที่ได้เผชิญหน้ากับพลังเวทย์ที่ลุกไหม้ของมิคาเอลและตายลงไป
[ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ใช่แล้ว นี่แหละคือสิ่งที่น่ายินดีที่สุดสำหรับฉันและยังเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าที่สุด! ฉันมีความสขุจริงๆ! ขอบใจนายมากนะมิคาเอล! ขอบคุณนายท่านและพระเจ้าเพียงหนึ่งสำหรับฉัน! อ๊ากกกกกก!]
ซิเฟอร์ไรท์ได้ระเบิดร่างตายไปพร้อมๆกับคำพูดสุดท้ายที่ทำให้คนฟังต้องขนลุก พิษได้กระจายออกมาเข้าใส่ทูตสวรรค์ทุกๆคนรวมไปถึงมิคาเอล
ฉากนี้ดูน่ากลัวและวังเวงจนทุกๆคนเงียบกันอยู่พักหนึ่ง
[ให้ตายสิ…]
ในที่สุดมิคาเอลถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยพิษออกมาและเงยหน้าขึ้นมา ภายในนัยน์ตาสีทองของเขามีแต่ความโกรธแค้น
[ฉันจะลบทุกๆอย่าง! วันสิ้นโลกที่พวกนายกำลังต่างต้องการ วันๆนั้นแหละคือวันที่จะทำให้ฉันยิ่งใหญ่!]
บทที่ 330 – วันสิ้นโลก (6)
ในตอนนี้ทุกๆโลกต่างก็กำลังเจอกับวันสิ้นโลกและสูญเสียความสงบสุขไป และโลกที่กำลังเจอกับการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดไม่ใช่ที่ไหนไกลนอกไปเสียจากดาเรย์
โลกนี้คือโลกของกองกำลังดราก้อนเนส โลกของยูอิลฮานและเป็นโลกที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกใบอื่นๆจนน่ากลัว ในตอนนี้ก็กำลังทำการหลอมรวมโลกระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาอีกด้วย
[ฆ่ามัน!]
[ถึงฉันจะต้องตายที่นี่ แต่ท่านพระเจ้าของเราจะลงทัณฑ์นาย!]
[ท่านซาตาน ทำไมท่าน…!]
ตอนนี้มีประตูมิตินับร้อยถูกเปิดขึ้นมาในโลกใบนี้และมีทั้งทูตสวรรค์ เทวดาตกสวรรค์และนักล่าที่ถูกดึงเข้ามา เหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำๆมาแล้วหลายสิบครั้ง มังกรที่แท้จริงจากดราก้อนเนสต่างก็ชินกับภาพที่น่ากลัวนี้ไปแล้ว พวกเขาได้รวมตัวกันอยู่ในจุดที่ประตูมิติเปิดขึ้นมาและจัดการต่อสู้กับพวกศัตรูที่ถูกดาเรย์ดึงดูดเข้ามา
“มิเรย์ ผ่านไปอีก 5 นาทีแล้วนะ”
“โอเค ฉันจะเปิดประตูมิติเดี่๋ยวนี้แหละ ยูนา ปาฏิหาริย์กำลังจะหมดแล้วนะ ร่ายให้ฉันอีกทีสิ”
“มิเรย์ ตอนนี้ฉันอยากจะพักแล้วน้า~”
“ห้ามพัก”
“ห้ามพัก”
“ตอนนี้จะปลอบใจกันก็ไม่มีแล้วหรอ!?”
หลังจากที่จำนวนของโลกที่หลอมรวมเข้ามาในดาเรย์เกินสองพันไปทำให้ยูอิลฮานกับคนอื่นๆเลิกใช้ความคิดไปแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ได้เข้าใจว่าการทรมานแบบไหนที่จะทำให้คนๆหนึ่งหยุดคิดไป!
[พวกนายจะไม่มีวันทำสำเร็จ!]
[นายท่านของเราจะจบทุกๆอย่างที่เป็นของนาย]
“อ่อ เข้าใจแล้ว”
สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ตายไปภายใต้เงื้อมมือของยูอิลฮานกับพรรคพวกของเขาได้มีเกินแสนคนไปแล้ว
คำพวกของคนที่กำลังจะถูกกำจัดลงก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะงั้นสมาชิกของดราก้อนเนสแต่ล่ะคนก็จะคิดกับตัวเองทำนองว่า ‘โอ้ นี่ฉันเพิ่งได้ยินมาเป็นครั้งที่สามเอง’ หรือ ‘นี่ฉันได้ยินมาเป็นร้อยๆครั้งแล้ว’ และความคิดอะไรที่ทำนองนี้
[พ่อครับ ผมคิดว่าตอนนี้ผมวิวัฒนาการได้แล้ว!]
“ได้เลย พวกนายวิวัฒนาการได้เลย ไม่ต้องมารายงานฉันหรอกนะ”
จากการที่พวกเขาได้สู้กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจำนวนมากทำให้มังกร สายพันธ์มังกร หรือกองทัพมังกรที่อยู่ใต้การนำของยูมิลได้ก้าวขึ้นมาเป็นมังกรที่แท้จริงคลาส 5 และสุดท้ายเรื่องการก้าวมาเป็นคลาส 5 ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจไปซะแล้ว
คนที่ดึงความสนใจจากยูอิลฮานไปได้มีแค่หมายเลขหนึ่งและรูบี้เท่านั้น หลังจากนั้นไปยูอิลฮานก็ไม่ได้สนใจแล้ว อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ดูดซับเอาบันทึกมาเป็นจำนวนมากและได้ทำพิธีกรรมการวิวัฒนาการมาหลายต่อหลายครั้งจนทำให้การวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำมาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ใช่เรื่องยากไปแล้ว!
[พ่อครับผมด้วย!]
[อ่า พ่อครับ!]
[ท่านผู้ปกครอง! ภายใต้พรจากท่านผู้ปกครองฉันได้เกิดใหม่ขึ้นมาแล้ว!]
“กัปตันผมก็ด้วย! ผมได้กลายเป็นมังกรเหมือนฮีโร่ด้วยแหละ!”
“ฉันบอกว่าไม่ต้องบอกฉันแล้วไง!”
อ่างแห่งปาฏิหาริย์ได้ส่งพลังงานไปให้กับคนที่มีคุณสมบัติและมีความตั้งใจจะติดตามยูอิลฮาน พลังงานที่ถูกส่งไปจะทำให้คนๆนั้นได้กลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
เพราะแบบนี้ยูอิลฮานยังไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่แล้วด้วย บางทีตอนนี้ดราก้อนเนสอาจจะกลายมาเป็นกองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้โดยไม่ต้องมียูอิลฮานแล้วก็ได้
[มหาภัยพิบัติชั้นที่ 8 ของโลกระดับสูงดาเรย์กำลังเริ่มต้นขึ้น]
“อ่า มาแล้ว ทุกๆคนระวังการเคลื่อนไหวพื้นทวีปด้วนะ”
[กรรรรรรรรรรรรรรร!]
ช่วงเวลาที่ทุกคนเตรียมตัวได้มาถึงแล้ว มหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 บนดาเรย์
แต่เดิมหลังจากผ่านมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 มาจะมีระยะเวลาเว้นว่างจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 อยู่ในช่วงใหญ่ๆ แต่ว่าด้วยการที่โลกใบนี้ได้ดูดกลืนและบีบอัดโลกอื่นๆเข้ามาในตัวเองตอด ทำให้เกิดสถิติใหม่ที่เกิดมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 ขึ้นหลังจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 ภายในเวลาแค่ 10 ชั่วโมงเท่านั้น
นี่คือสถิติที่จะไม่มีวันถูกทำลายได้ต่อให้เป็นในอนาคตข้างหน้าก็ตาม
[อ่า มีมังกรเกิดขึ้นมาอีกแล้ว! พ่อครับตอนนี้เรามีมังกรมากขึ้นอีกแล้ว!]
“ถูกแล้วล่ะ ให้ตายสิ!”
แม้ว่าในตอนเกิดมหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 ยูอิลฮานได้เอามานาทั้งหมดมาใช้ได้ แต่ว่าในมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 ปริมาณมานามันมีมากเกินกว่าที่จ้าวโลกอย่างยูอิลฮานจะควบคุมมันได้ทั้งหมด
การเปลื่ยนแปลงทั้งหมดได้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน เพราะงั้นการที่เขาฝืนควบคุมสิ่งต่างๆได้มันก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว! ในสุดท้ายยูอิลฮานก็ได้สรุปว่าหากมันเป็นแบบนี้เขาจะต้องหมดแรงก่อนที่จะทำการหลอมรวมเสร็จแน่นอน ยูอิลฮานได้กัดฟันแน่นหันไปอีกด้านหนึ่ง
ทิศทางที่เขามองไปก็คือจอมเวทย์มิติอัจฉริยะ คังมิเรย์
“มิเรย์ เธอเปิดประตูมิติพร้อมๆกันในครั้งเดียวได้กี่บาน?”
“อ่า นั่น… ฉันคิดว่าประมาณ 570 บาน!”
ในตอนนี้คังมิเรย์ก็ยังมาถึงคลาส 7 จากการต่อสู้นี้ด้วย ไม่ว่ายังไงการที่ทุกคนสู้ได้แบบนี้มันก็เพราะเธอทั้งนั้น!
ในตอนนี้เธอคือคนที่ได้รับค่าประสบการณ์และบันทึกมากที่สุดรองลงมาจากยูอิลฮาน เพราะงั้นประตูมิติที่เธอเปิดขึ้นได้จึงมากขึ้นไปตามระดับพลังที่เพิ่มขึ้นของเธอ
“เปิดประตูมิติให้มากที่สุดที่ทำได้เลย! [เธอจะทำได้มากยิ่งกว่าที่เธอคิดอีก!] [เธอจะเอาพลังของฉันไปใช้แทน!]”
ความหนาแน่นของมานาในพื้นที่นี้ได้มากจนสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำหายใจได้ยากแล้ว เพราะงั้นยูอิลฮานจะต้องทำอะไรซักอย่างกับมานานี้ พื้นที่ในตอนนี้มีแต่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ ยูอิลฮานได้หลับตาลงเปิดใช้งานประกาศิต
[มานาได้ถูกเสริมพลังขึ้น]
[ระดับพลังของพวกนายเพิ่มขึ้นสูงชั่วคราว]
[หัวหน้าของพวกนายกำลังควบคุมพลังของเขาผ่านตัวพวกนาย ยิ่งพวกนายเข้ากันกับหัวหน้ามากเท่าไหร่ พลังเวทย์ที่พวกนายใช้ได้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น!]
ในสถานการณ์ที่พลังปาฏิหาริย์ของนายูนาได้ทุ่มพลังทั้งหมดไปที่คังมิเรย์อยู่ ยูอิลฮานก็ได้เปิดใช้งานประกาศิตเพื่อเพิ่มพลังบัฟขึ้นไปอีก เพาะงั้นในตอนนี้คังมิเรย์รู้สึกเหมือนกับเธอเป็นพระเจ้าอยู่ชั่วคราว
เธอไม่ยอมพลาดความรู้สึกในช่วงเวลานี้ไป ความรู้สึกที่เหมือนกับโอบกอดผสานเข้ากับยูอิลฮานนี้ เธอได้ปล่อยพลังทั้งหมดของเธอออกมา
“จงเปิด! เปิดขึ้นมาอีก! ไม่ว่าจะเป็นโลกที่ปฏิเสธในหัวหน้าของเราหรือซ่อนตัวอยู่ทั้งหมดจะต้องถูกนำมาที่แห่งนี้”
[พลังจากหัวหน้าแห่งดราก้อนเนสได้เสริมพลังให้กับเวทย์มิติของคุณ คุณกำลังสร้างประตูมิติที่นำไปสู่ ‘โลกที่ซ่อนอยู่ทั้งหมด กำลังดูดซับมานาที่ขาดอยู่จากโลกใบนี้ มหาเวทย์เสร็จสมบูรณ์’ ]
ในตอนนี้มานาจำนวนที่มากกว่าในตอนยูอิลฮานใช้ประกาศิตกำลังหลั่งไหลเข้าไปหาคังมิเรย์และได้เปิดประตูมิติ 6,891 บานที่นำไปสู่โลกที่แตกต่างกัน
คังมิเรย์แค่คิดว่า ‘เธอทำได้’ แต่แล้วเธอก็รู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ
อะไรกันนะ? หกพันแปดร้อยเก้าสิบเอ็ดบาน?
ในเวลาต่อมาได้มีข้อความที่เธอไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมา นี่คือสิ่งที่ยูอิลฮานเคยได้เจอมาก่อน
[คุณได้รับรู้ถึงสุดยอดเวทย์มิติ คุณได้รับเวทย์ที่บันทึกนภาไม่ได้บันทึกเอาไว้ ‘วิถีแห่งจักรวาล’ เวทย์นี้ไม่อาจจะใช้งานได้ด้วยพลังของคุณเพียงลำพัง คุณจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้และคุณจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากเขาตลอดเวลา]
“หาา….”
คังมิเรย์เธอพูดไม่ออกแล้ว เวทย์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้? ตัวตนไม่ได้ถูกบันทึก? เมื่อเขาเห็นเธอหันไปรอบๆ ยูอิลฮานก็รับรู้ได้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นและหันไปหน้าหนี
“อิลฮาน เพราะนายใช้ประกาศิตกับฉันนั่นแหละ…?”
“ผิดกันคนล่ะครึ่ง… คนล่ะครึ่งเท่านั้น”
“อิลฮานนนนนนนนนน!”
จิตของยูอิลฮานกับคังมิเรย์ได้เชื่อมต่อกันและมานาจำนวนมหาศาลที่ปรากฏจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 ได้ลดลงไปราวกับปาฏิหาริย์
นอกไปจากนี้วิถีแห่งจักรวาลไม่ใช่เวทย์ธรรมดาๆที่จะเปิดประตูมิติไปโลกอื่นเท่านั้น แต่ประตูมิติที่ถูกสร้างยังเป็นรูปแบบแบบกึ่งถาวรที่จะไม่มีวันหายไปจนกว่าจะมีโลกใดโลกหนึ่งถุกกำจัด
[นี่มัน…!?]
[โลกได้ถูกเปิด บ้าน่า ที่นี่ถูกขโมยไม่ได้นี่… ไม่สิ เดี๋ยวนะยูอิลฮาน!?]
[เกิดอะไรขึ้น!?]
เมื่อได้เห็นประตูมิติขนาดใหญ่นับพันถูกเปิดขึ้นมาและมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่าแสนคนอยู่ภายในนั้นทำให้ทุกๆคนหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
นี่เป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับศัตรู แต่สำหรับพวกตัวเองยิ่งน่าตกใจยิ่งกว่า คังฮาจินได้ไปถึงคลาส 5 แล้วแต่ว่าเขาไม่มีความมั่นใจที่จะไปเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่าแสนคนเลย เขาได้เริ่มร้องโวยวายออกมา
“ฉันคิดว่าฉันได้ยินเธอบอกว่าทำได้แค่ 570 บาน แต่นี่มันไม่ใช่แล้วนะ!”
“พี่ได้ยินถูกแล้ว แต่ว่านั่นมันเพราะว่ายูอิลฮานเข้ามาร่วมด้วยไงล่ะ!”
“ก็ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่… แต่ว่ามันก็ดีแล้ว!”
สถานการณ์ที่พวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับโลกนับพันพร้อมๆกันมันเหมือนกับหายนะมากกว่าปาฏิหาริย์ซะอีก แต่ในตอนนี้ยูอิลฮานชอบมากๆ ในที่สุดเขาก็มีที่ปลดปล่อยมานาที่กำลังปั่นป่วนที่ไม่มีที่ไปแล้ว
“ทุกๆคนซื้อเวลาให้ฉันหน่อยนะ! ย๊ากกกก [ทุกๆคนส่งพลังมาให้ฉัน]”
นี่คือคำพูดที่ปกติมาก! เทคนิคที่มีแต่เหล่าคนดีเท่านั้นที่จะใช้ได้แต่แล้วตอนนี้กำลังถูกคนที่เลวร้ายที่สุดใช้อยู่
[ยูอิลฮาน เจ้านี่กำลังสั่นคลอนโลก!]
[เราต้องหยุดเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเราก็ต้องหยุดเขา…]
[เราขวางเขาไม่ได้]
ไม่ว่าจะกองกำลังใดต่างก็มีกลุ่มกำลังลับอยู่ หัวหน้ากองกำลังระดับสูงได้เตรียมทัพเสริมเอาไว้เผื่อที่ว่าโลกหลักจะล่มสลายและส่งกำลังหลักไปรวมที่โลกของทัพเสริมแทน แล้วก็มีบางคนที่เก็บความลับที่ไม่อาจจะไปในทัพหลักได้เช่นกัน
โลกทั้งหมดเหล่านั้นจะไม่ถูกเปิดเผยออกไปให้คนภายนอกรู้เว้นแต่ว่าคนที่ถูกส่งไปที่นั่น มีถึงเก้าโลกที่อยู่ภายใต้มหาภัยพิบัติขั้นที่ 7 แล้ว!
ยังไงก็ตามจากพลังของยูอิลฮานและพลังของคังมิเรย์ที่ร่วมกันทำให้โลกที่ปิดตัวและไม่ถูกเปิดเผยมาตลอดได้ถูกนำมาผูกติดกับดาเรย์อย่างไร้ปราณี ความพยายามที่พวกเขาพยายามจะปิดประตูมิติลงต่างก็ไร้ค่า
[ทำลายประตูมิติ! หาาา? มันไม่ได้ผล?]
[ฉันหยุดมันไม่ได้ ไม่นะ!]
[ถ้างั้นเราก็แค่ต้องทำลายคนที่สร้างัน…!]
[นี่มันบ้าไปแล้ว! ฉันจะออกไปจากที่นี่!]
ยังไงก็ตามนี่มันสายไปแล้ว ไม่ใช่แค่พวกเขาไม่อาจจะหยุดแรงดึงดูดที่มาจากดาเรย์ได้เท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังขาดพลังในการทะลวงแนวป้องกันของมังกรที่แท้จริงอีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้น
“ทุกๆคนขอโทษที่ให้รอนะ สวัสดีพวก”
[ไม่ โอ้ ไม่….!]
ยูอิลฮานที่รวมมานาทั้งหมดในดาเรย์ได้สำเร็จแล้วได้เปลื่ยนมานาทั้งหมดให้กลายมาเป็นเพลิงโยนเข้าใส่ประตูมิติ!
“สุดยอดไม้ตาย…. เพลิงพิฆาต!”
“เป็นชื่อที่น่าขนลุกดีนะ!”
[ติดคริติคอล!]
โลกได้ถูกย้อมไปด้วยสีขาวและทุกๆคนได้หลับตาลง มานาจำนวนมหาศาลได้สั่นไหลและสร้างกลายเป็นแรงลมมหาศาล
บันทึกได้ยุ่งเหยิ่ง โลกได้สั่นคลอน และมานาได้หมดไป สิ่งมีชีวิตได้ตายและไม่ได้มีชีวิตเกิดขึ้นมาใหม่ บันทึกเก่าที่มีอยู่ได้ถูกลบไปในขณะที่บันทึกใหม่ได้ถูกสร้างขึ้น
[อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!]
เสียงร้องที่น่าสะพรึงได้ดังกังวาลไปทั่วทั้งโลก เสียงร้องนี้เป็นเหมือนกับเสียงสาปแช่งทุกๆชีวิตที่มีอยู่ ยูอิลฮานคิดว่านี่มันคือเสียงที่เขาเคยได้ยินมาก่อน
ในตอนนี้เองยูอิลฮานก็ได้ยินเสียงหนึ่งท่ามกลางเสียงร้อง
[อิสรภาพ ขอบคุณนะ]
[ในที่สุดเราก็ได้เจอกับจุดจบ ขอบคุณที่ทำให้ในที่สุดเส้นทางแห่งความตายได้ถูกเปิดขึ้น]
[พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อถูกบันทึกและในที่สุดเขาก็ได้หลีกหนีจากบันทึกด้วยการตาย]
[ฉันขอให้โลกที่นายสร้างเป็นไปด้วยดีนะ ฉันยกย่องในตัวนายที่มาได้ถึงระดับนี้ ฉันจะขอสาปแช่งคนที่นายอยากจะเอาชนะ]
[ผู้กอบกู้และผู้ลงทัณฑ์ ผู้ทำลายและผู้สร้าง]
[เรากล้าที่จะเรียกท่านเลยว่า]
[[ท่านจะต้องเป็นพระเจ้าองค์ใหม่]]
“…อะไรนะ?”
ยูอิลฮานได้เงยหน้าขึ้นมาทันที แต่ยังไงก็ตามประตูมิติที่อยู่บนท้องฟ้าได้หายไปหมดแล้ว เขาได้ทำให้ความโกลาหลจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 สงบลงและทำลายโลกเกือบๆเจ็ดพันแห่งไปได้สำเร็จในเวลาเดียวกัน
ไม่นานนักทุกๆโลกเหล่านั้นก็ได้เริ่มหลอมรวมเข้ากับดาเรย์และสร้างความเสียหายให้กับจิตใจของยูอิลฮานกับมิสทิค ยังไงก็ตามนี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือเสียงที่ยูอิลฮานเพิ่งจะได้ยิน
“ในตอนนี้ มันแน่นอนแล้ว…”
“อิลฮาน? นายไม่เป็นไรนะอิลฮาน?”
แม้ว่าคังมิเรย์จะอยู่ข้างๆยูอิลฮาน แต่เธอก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เธอได้เรียกเขาด้วยควมกังวล
เธอกำลังคิดว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับจิตใจของยูอิลฮานจากการที่เขาได้ปลดปล่อยมานาทำลายโลกหลายพันใบไป เพราะแบบนี้เธอจึงได้เรียกยูอิลฮาน แต่ว่าจิตใจของเขาแจ่มชัดมากๆ
“ตอนนี้มันแน่นอนแล้ว…”
“อิลฮาน?”
“ว้าว น่าทึ่ง! พวกนั้นหายไปจริงๆด้วย!”
“แล้วอาการปวดหัวของฉันก็จะเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน! นายท่านฉันเกลียดท่าน! ฉันเกลียดท่านนนนน!”
คนอื่นๆต่างก็ยินดีกับการที่มหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 สงบลงและประตูมิติเกือบๆเจ็ดพันบานได้หายไปแล้ว ไม่มีใครเลยที่ได้ยินเสียงเมื่อตะกี้นี้
ยูอิลฮานมั่นใจมากว่ามีแค่เขาได้ยินเสียงนั้นและพึมพัมออกมา
“เมื่อตะกี้นี้มันคือพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้ใช่ไหม…?”
บทที่ 331 – วันสิ้นโลก (7)
ทำไมถึงได้มีร่องรอยบันทึกพระเจ้าไว้ในโลกที่กองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงปกครองอยู่กันล่ะ? ยูอิลฮานรู้ได้ว่าพวกสิ่งที่เรียกว่า ‘บันทึกพระเจ้า’ กลุ่มก้อนบันทึกนภาที่มีสติปัญญาแน่ แต่ว่าเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าบันทึกพระเจ้าพวกนี้จะอยู่ในโลกที่ถูกซ่อน
ไม่สิ บันทึกพระเจ้าอยู่ในโลกที่ถูกซ่อนจริงๆงั้นหรอ? บันทึกพวกนี้บอกว่ายูอิลฮานคือ ‘ผู้มอบอิสรภาพ’ และ ‘ผู้กอบกู้’ ถ้าอย่างงั้นล่ะก็…!
ยังไงก็ตามมันไม่มีเวลามาให้ยูอิลฮานได้คิดแล้ว ตอนนี้โลกเกือบๆเจ็ดพันแห่งกำลังหลอมรวมเข้ามาในดาเรย์พร้อมๆกันแล้ว มิสทิคเธอจะได้เจอกับความรู้สึกที่เหมือนตายทั้งเป็น
“นายท่าน ท่านทำบ้าอะไรอยู่กันนนนนนนน!”
“อ๊า ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง! [มีฉันอยู่มีเธออยู่ แค่เข้าไปในกับดักแห่งการฟื้นคืนที่อยู่ใต้ดินเท่านั้น ฉันบอกว่าไม่เพิ่มขนาดแล้ว บีบอัดให้เท่ากับความหนาแน่นกับความหนาแน่นมานาในโลก เว้นไว้แค่เมืองของเราเท่านั้น]
ยูอิลฮานได้หยุดคิดในเรื่องอื่นๆทั้งหมดและหลอมรวมโลกอย่างหมดท่า การหลอมรวมโลกหลายพันแห่งพร้อมๆกันกับปรับแต่งมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 ไปพร้อมๆกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเพราะจำนวนของโลกที่เขาได้จัดการลดลงไปอย่างมากเพราะวิถีแห่งจักรวาลทำให้เขาสามารถจะทำค่อนข้างสบายขึ้น มันค่อนข้างจะเป็นไปได้ทีเดียว
“ค่อนข้างจะเป็นไปได้!?”
“โอโรจิ”
“ได้ ได้ เข้าใจแล้ว”
โอโรจิได้ลูบด้านบนหมวกฟางของมิสทิค ตัวมิสทิคดูเหมือนกับจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ตอนนี้เธออย่างจะเข้าไปอัดทั้งยูอิลฮานกับโอโรจิพร้อมๆกันให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ว่ามันน่าหงุดหงิดที่เธอทำแบบนั้นไม่ได้เนื่องจากว่าในระหว่างการหลอมรวมโลกเธอจะไม่อาจขยับตัวได้เลย!
“อิลฮาน ตอนนี้เมืองกลายไปเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำลองไปแล้ววว~”
“จริงๆอาณาเขตก็กำลังขยายเพิ่มขึ้นเหมือนกัน”
สถานที่หลักในการต่อสู้มาตลอดนั่นคือใจกลางของป้อมปราการผู้พิทักษ์ ป้อมปราการลอยฟ้าและเมือง
สถานที่แห่งนี้เป็ฯที่ที่ได้รับอิทธิพลจากบันทึกของยูอิลฮานมากที่สุด เพราะงั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่เมืองจะวิวัฒนาการไปเพราะได้รับมานาและบันทึกใหม่ๆ ยิ่งกว่านั้นอิทธิพลของยูอิลฮานมาจากการสร้างอีกด้วย
ปัญหาเล็กๆก็คืออาณาเขตของมันกำลังขยายออกไปอย่างต่อเนื่องและแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ขยายออกไปจนแทบจะกลายเป็นอาณาจักรมากยิ่งกว่าเมืองแล้ว แต่ว่ายูอิลฮานก็ตัดสินใจที่จะไม่คิดอะไรมากกับเรื่องนี้…
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆเลยนะ…”
“พวกเราได้เพื่อนมังกรเพิ่มขึ้น เพราะงั้นมันดีแล้ว”
“โอ้วว พวกเราแค่ต่อสู้เองนะ แต่แลวโลกกลับกำลังเปลื่ยนแปลงไปอย่างมากพร้อมๆกัน”
เลียร่าได้ตกตะลึงที่ได้เห็นการวิวัฒนาการภายในดาเรย์ มีโลกหลายพันกำลังถูกดูดเข้ามาและมีมหาภัยพิบัติเกิดขึ้นถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน… หากว่ามันไม่เกิดการเปลื่ยนแปลงขึ้นมันก็คงจะแปลกจริงๆนั่นแหละ!
“ชั้นบรรยากาศเปลื่ยนแปลงไปอีกแล้ว ฉันคิดว่าฉันเห็นสายรุ้งบนท้องฟ้าด้วยล่ะ”
“นั่นมันเพราะมานาหนาแน่นมากจนแทบจะกลายมาเป็นรูปธรรมไงล่ะ”
“ความรู้สึกจากผืนดินก็ต่างไปจากเดิม มันเหมือนกับว่า…”
“ก็เพราะอิทธิพลจากบันทึกของฉันทำให้มันเกิดวิวัฒนาการขึ้น ออร่าแห่งโลหะกับมังกรได้ถูกผสานเข้าไปในผืนดิน”
“…แค่หักกิ่งไม้มาก็ทำให้ฉันได้รับอาร์ติแฟคระดับหายากด้วยงั้นหรอ?”
“นั่น….”
ยูอิลฮานได้หันมองไปรอบๆตัวอย่างตั้งใจและตอบคำถามของทุกๆคนที่กำลังตกตะลึงอยู่กลับไป
“…ทุกๆโลกที่ผ่านมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 เป็นแบบนี้กันหมดเลยใชป่ะ?”
“นายน่าจะรู้ดีนะว่าคนอื่นไม่ได้เหมือนนายน่ะ?”
“โอเค ฉันผิดเอง”
ในความรู้ของเลียร่า โลกที่เธอรู้จักว่าได้ผ่านมหาภัยพิบัติมามากที่สุดก็คือสวรรค์ เธอได้ยินว่ามันได้กลายเป็นโลกที่เหมาะให้ทูตสวรรค์และพระเจ้าอาศัยอยู่หลังจากผ่านมหาภัยพิบัติไปถึงเก้าหลัง… แต่ว่าหากนำมาเทียบกับดาเรย์ในตอนนี้แล้ว สวรรค์ก็เป็นแค่โลกที่มีขนาดใหญ่นิดๆเท่านั้นเอง
“นี่มันยังใช้คำแทนว่า ‘โลก’ ได้อีกงั้นหรอ? ด้วยมานามากขนาดนี้หากมันเปลื่ยนไปเป็นอะไรอย่างหลุมดำฉันก็จะไม่แปลกใจเลย”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกับนายท่านกำลังพยายามหยุดมันอยู่! ฉัน!กับ!นายท่าน! ทำงานอยู่!”
“ขอโทษนะ ฉันก็แค่จะบอกว่ามันน่าทึ่งมากเท่านั้นเอง!”
“ฮึ่ม!”
เลียร่าได้ขอโทษมิสทิคออกมาทันทีได้เห็นความฉุนเฉียวจากมิสทิค เลียร่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์หรือสกิลในการจัดการดูแลและควบคุมโลก แต่ว่าเธอก็ได้เห็นถึงความพยายามของยูอิลฮานกับมิสทิคที่กำลังจัดการทำให้ดาเรย์เสถียรอยู่แบบนี้ว่ามันมีมากแค่ไหน
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปเธอก็จะได้เห็นหมู่เมฆที่สร้างขึ้นจากมานากำลังลอยตัวอยู่ กลุ่มเมฆพวกนี้ดูเหมือนกับเมฆธรรมดาๆ แต่ว่าริงๆแล้วนี่คือกับดักเวทมนต์ที่ได้เปลื่ยนรูปร่างไปเพื่อใช้หยุดและโจมตีศัตรูที่เข้ามาใกล้ด้วยพลังมานาภายในที่มี ทุกๆคนที่บุกรุกเข้ามาในดราก้อนเนสจะกลายมาเป็นเป้าหมายของกับดักเหล่านี้
สายรุ้งที่พาดยาวอยู่ก็เป็นเหมือนกับกระจกแห่งการทำลายในรูปแบบธรรมชาติ เมื่อไหร่ที่ยูอิลฮานต้องการ สายรุ้งพวกนีก็จะดูดพลังงานรอบๆเข้ามาเป็นแหล่งพลังยิงเข้าใส่ศัตรู!
ไม่ใช่แค่นี้แต่ยังมีจุดแสงน้ำไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นมาเหมือนดาวบนท้องฟ้าที่ล้วนคือระเบิดมานา และพายุเฮอริเคนฝั่นโลหะที่พัดอยู่ตามส่วนต่างๆของดาเรย์เป็นกับดักธรรมชาติที่จะจัดการกำจัดสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่คิดร้ายกับมังกรอีกด้วย!
นอกไปจากนี้กับดักที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติมีอยู่ทั่วทั้งส่วนต่างๆมากมายในดาเรย์ ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็ไม่อาจจะหลีกหนีไปโดยไร้แผลได้
นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ยูอิลฮานตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นเลย มันก็แค่เป็นผลจากการวิวัฒนาการหลังจากที่ได้หลอมรวมโลกจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาและมหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจนสะท้อนบันทึกของเขาออกมากลายเป็นแบบนี้
เพราะกับดักพวกนี้ต่างก็รุนแรงถึงชีวิต และมีรูปร่างภายนอกที่ดูงดงามทำให้สมาชิกดราก้อนเนสได้มีเวลาพักหลังจากผ่านการต่อสู้รุนแรงมาอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาได้อุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อได้มองไปรอบๆโลก
“งดงาม…”
“มีเธออยู่ที่นี่ทำให้มันงดงามยิ่งกว่าเดิมอีก คาริน่า”
“ไมเคิล…”
“พวกบ้านี่…”
คาริน่า มาเลเทสต้า ไมเคิล สมิธสัน และทาคากากิ อสึฮะทุกๆคนที่รอดปลอดภัยได้กลายมาเป็นมังกรที่แท้จริงท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงแล้ว
ตามปกติแล้วการสะสมค่าประสบการณ์จนกลายมาเป็นคลาส 5 มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้เจอมามันยังใช่ ‘ปกติ’ อีกงั้นหรอ?
พวกเขาได้เอาชีวิตรอดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนับไม่ถ้วน เวทย์ชั้นสูง และเทคนิคระดับสูง เพราะงั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่หากพวกเขารอดก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตคลาส 5!
“ไมเคิล”
“คาริน่า… การต่อสู้ยังไม่จบ พวกเรามาพยายามด้วยกันอีกนะ ทั้งหมดนี่เพื่อลูกๆของเราที่จะเกิดขึ้นมา”
“ได้เลยไมเคิล…”
“อ๊า ฉันอยากจะให้เจ้าพวกนี้ระเบิดตายไปจริงๆ… ท่านซูซาโนะ”
ทาคากากิ ฮสึหะได้เบื่อหน่ายกับการมองดูคู่รักที่สวีตหวานกันตลอดเวลาแม้แต่ในสนามรบแล้ว เธอได้หันหน้าไปหายูอิลฮานที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความอยู่รอดของเธอ
“ท่านซูซาโนะ ฉัน… ท่านซูซาโนะ?”
เธอได้พยายามจะเข้าไปหายูอิลฮานแต่แล้วก็หยุดอยู่กลางทาง ยูอิลฮานได้อยู่จุดสูงสุดในป้อมปราการลอยฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างของเขาปิดอยู่และมีชั้นเปลวเพลิงโปร่งแสงป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเขาอยู่
เธอได้ยอมแพ้ที่จะเข้าไปหาเขาและถอยออกมา เธอคิดว่าแค่ได้มองดูอยู่ห่างๆก็พอแล้ว
‘ฟู่…’
คนที่กำลังถูกพูดถึงในตอนนี้กำลังสูดหายใจช้าๆและเฝ้าดูทั้งโลกจากภายในตัวเขาอยู่
แรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่มาจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 และการหลอมรวมโลกจำนวนมากมายที่ได้เริ่มสงบลง ผลที่ตามมาก็คือการที่ยูอิลฮานได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลอีกครั้งหนึ่ง เลเวลของเขาได้เพิ่มขึ้นมาอีกครั้งจนไปถึง 650 แล้ว
โชคดีที่ว่ามันไม่ได้มีอะไรอย่างการสร้างร่างกายใหม่แบบครั้งที่แล้วอีกแล้ว เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ได้มีพลังเวทย์จำนวนมหาศาลได้เริ่มไหลออกมาจากร่างของเขา มันทำให้เขาไม่มั่นคงในตัวเองมากๆ เขารู้สึกเหมือนกับเขากลายเป็นมัวเมาในอำนาจและบ้าคลั่งไปกับพลังของเขา
เพราะเลเวลที่เพิ่มขึ้น 50 เลเวลในครั้งเดียว ทำให้เขากระทั่งสงสัยว่าการเพิ่มเลเวลเร็วๆแบบนี้จะเกิดปัญหาหรือไม่ แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาเลยแม้แต่นิด ความแข็งแรงกระดูกของเขาได้เพิ่มขึ้น เลือดของเขาได้หนาแน่นมากยิ่งขึ้น มวลกล้ามเนื้อของเขาได้มีมากขึ้นและผิวหนังของเขาได้หนาแข็งด้วย ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นได้และมันชัดเจนจนทำให้เขาต้องตัวสั่น
เลเวลของเขาที่สูงขึ้นมาทำให้เขารู้สึกได้ว่าในแต่ล่ะเลเวลจะมีพลังจำนวนเพิ่มขึ้นตามมาด้วย เขากระทั่งรู้สึกชื่นชมตัวเองในอดีตที่ฆ่าสิ่งมีชีวิตที่มีเลเวลมากกว่าตัวเขาเองหลายเท่าได้
เลเวลคือตัวแบ่งแยกระดับพลังโดยพื้นฐานที่สุด เมื่อตอนที่่เขายังมีระดับพลังจำกัดอยู่ทำให้เขาถูกกำแพงที่รู้จักกันว่า ‘คลาส’ ขวางเอาไว้อยู่ แต่ว่าในท้ายที่สุดเลเวลก็คือรากฐานพลังเช่นกัน หลักฐานเลยก็คือหากยังไม่ได้ข้ามผ่านขอบเขตพลังไปก็ไม่อาจจะเพิ่มเลเวลขึ้นมาได้
การเพิ่มเลเวลขึ้นมันไม่ใช่ความหมายง่ายๆอย่างการเพิ่มขึ้นของความสามารถร่างกายและมานา แต่มันคือการที่เขาสามารถใช้พลังในโลกมากขึ้น เข้าใจพลังของโลกมากขึ้น และเปลื่ยนมุมมองพื้นฐานต่อโลกไป
มันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในทันที แต่ว่ามันคือความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งที่ยูอิลฮานได้รับและได้เรียนรู้มาก่อนอยู่แล้ว
เขาเข้าใจว่าจะเหวี่ยงหอกยังไง เข้าใจว่าจะต้องปรับแต่งโลหะยังไงถึงจะดีขึ้น และเข้าใจถึงความหมายของข้อความที่เขาเคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้หมด เพราะงั้นเลเวลจึงเป็นบันทึกของตัวเอง และเลเวลจะเพิ่มขึ้นไปตามการสะสมของบันทึก
‘เพราะงั้นมันเลยไม่ใช่การที่ฝึกในความคิดแล้วมีระดับสูงขึ้นหรือเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง การเพิ่มเลเวลขึ้นมันไม่ใช่การที่เราได้รับในสิ่งที่เราไม่มี แต่มันคือการเสริมสร้างในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ความโอหังจะนำไปสู่ความโอหังที่มากยิ่งขึ้น และตัวตนที่เผด็จการก็จะเผด็จการมากยิ่งขึ้น ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมความโลภถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้’
ตอนนี้เขาได้ทำการจัดระเบียบความคิดเรื่องการเพิ่มเลเวลได้ชัดเจนแล้ว ยูอิลฮานได้สั่งการมานาภายในตัวเขาและผสานไปกับโลกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ในตอนนี้เขาก็ได้คิดไปถึงคำถามที่เขาเก็บเอาไว้
‘ใช่แล้ว บันทึกพระเจ้า’
เขาได้เก็บมันเอาไว้เพราะการหลอมรวมของโลกและมหาภัยพิบัติ แต่แล้วเขาได้จัดการลบล้างทุกๆโลกที่ปรากฏขึ้นมาจากวิถีแห่งจักรวาลไปทำให้เขาได้ยินเสียงจากบันทึกพระเจ้าอย่างชัดเจน
เพลิงพิฆาตของยูอิลฮานได้ลบโลกเจ็ดพันโลกหายไป หากว่าบันทึกพระเจ้ามีชีวิตอยู่ ถ้างั้นบันทึกพวกนี้ก็น่าจะตายไปในที่แห่งนั้นแล้ว
และบันทึกพระเจ้านี้ก็ได้เรียกยูอิลฮานว่า ‘ผู้ปลดปล่อย’
‘นั่นมันหมายความว่าพวกเขาถูกกักขัง’
แต่ถ้างั้นใครเป็นคนกักขังไว้ล่ะ? ความโลภจากกองทัพปีศาจวิบัติที่รู้จักแต่การกินไม่มีทางที่จะปล่อบของน่าอร่อยอย่างบันทึกพระเจ้าให้มีชีวิตอยู่แน่นอน และสวรรค์ในปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีความสามารถกักขังบันทึกพระเจ้าเอาไว้ได้ ถ้างั้นก็…
“กองทัพจรัสแสง”
ยูอิลฮานรู้สึกเหมือนกับถูกน้ำเย็นราดหน้าและเงยหน้าขึ้นมาทันที
พ่อของเขากำลังอยู่ในอันตราย พ่อบอกว่าพ่อไม่เป็นไร แต่หากว่าซาตานมีพลังในการกักขังบันทึกพระเจ้าจริงๆ ถ้างั้นเขาในตอนนี้คือคนที่อันตรายที่สุดและเป็นคนที่มีเป้าหมายลึกลับที่สุดในตอนนี้ด้วย!
พอมาคิดดูแล้วมันชัดเจนมาก เขาได้เจอกับกองทัพหลักของกองกำลังอื่นๆมาแล้ว แต่ว่าไม่เคยเจอกับปีกที่ 1 แห่งกองทัพจรัสแสง ราซิเออร์ เลย!
ทำไมเขาถึงเพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้กันนะ? อันตรายแล้ว พ่อกับแม่เขากำลังตกอยู่ในอันตราย! บางทีซาตานอาจจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด ยิ่งกว่ามิคาเอล หรือความโลภซะอีก อาจจะมากยิ่งกว่าพระเจ้าสวรรค์ที่ส่งเร็กน่ามาด้วยซ้ำไป!
“ข้ามมิติ”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานข้ามมิติทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่
ไม่ใช่ว่ายูอิลฮานจะไปที่นั่น แต่ว่าเขากำลังจะเรียกพ่อแม่เขามาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนต่อให้เป็นโลกที่ปิดตัว แต่หากว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคยติดต่อกันผ่านบันทึกของเขา เขาก็จะสามารถพาคนๆนั้นมาในที่แห่งนี้ได้
หากว่ายูอิลฮานอัญเชิญพ่อกับแม่มาได้สำเร็จ ถ้างั้นการเผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพจรัสแสงกับสวนอาทิตย์อัสดงก็จะจบลง และเป้าหมายก็จะถูกเปลื่ยนมาที่ยูอิลฮานแทน แต่นี่มันก็ดีกว่าการปล่อยให้พ่อกับแม่ของเขาตกอยู่ในอันตรายนั่นแหละ
นอกจากนี้ยูอิลฮานก็ยังมั่นใจว่าเขาสามารถจะสู้ได้กับทุกๆคนเพราะเขาได้แกร่งขึ้นมากแล้ว
ยังไงก็ตามในระหว่างที่เขากำลังจะปล่อยการหลอมรวมโลกหรืออะไรซักอย่างไปเรียกพ่อกับแม่เขาก็ได้มีข้อความที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในตอนใช้สกิลข้ามมิติโผล่ขึ้นมา
[เป้าหมายได้ปฏิเสธการเรียกของคุณ]
[กำลังเรียกหนึ่งในเป้าหมายของสกิลข้ามมิติ]
[โลกที่ถูกตัดขาดได้ถูกเปิดขึ้นและคุณได้รับบันทึกและมานา สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้นและพลังเวทย์เพิ่มขึ้นอีก 700]
“…อะไรกัน?”
“…แม่”
ยูอิลฮานมั่นใจว่าเขาได้เรียกทั้งพ่อกับแม่เขามาทีนี่ แต่คนที่มามีแค่คิมเยซอลเท่านั้น เธอไม่ได้เผชิญกับการต่อสู้นับพันโลกเหมือนยูอิลฮานกับคนอื่นๆ แต่ว่าในเวลาสั้นๆเธอก็ได้ไปถึงคลาส 6 แล้วเช่นกัน
นี่มันคือเรื่องที่น่าตกตะลึงมาก แต่ว่ามันยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นอยู่
“แม่แล้วพ่อล่ะ? ผมเรียกทั้งพ่อกับแม่มาพร้อมกันนะ!”
มันไม่น่าแปลกใจหรอกที่คนอย่างกาเบรียลจะสามารถปฏิเสธเวทย์ข้ามมิติของเขาได้ แต่เขาทำไปทำไมล่ะ
คิมเยซอลได้ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“พ่อของลูก… บอกว่าเขาจะยื้อศัตรูเอาไว้”
“ทำไมละ! ทำไมพ่อถึงทำแบบนั้น! นี่มันชัดเจนว่ามีภัยร้ายแฝงอยู่นะ!”
ที่น่าหงุดหงิดไปกว่านี้อีกก็คือมันไม่ใช่มีแค่ปัญหาเดียวที่เขาเจอในตอนนี้
“อิลฮาน ที่มุมหนึ่งของโลกดูแปลกๆนะ!”
“พ่อนี่มันเหมือนกับ… พ่อกำลังอยากไปนรกเลยนะ!”
อ๊าาาาาาาาาาาาา! ทำไมพวกเรื่องแย่ๆถึงได้มาเกิดขึ้นพร้อมๆกันด้วย! ผู้เชี่ยวชาญในด้านลางสังหรณ์ร้ายอย่างยูอิลฮานได้ร้องออกมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น