Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 260-266

 บทที่ 260


การหวาดกลัวต่อชีวิตและความตาย


 


ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า อีกห้าคนที่เหลือก็ยังคงอยู่ในห้วงแห่งสายฟ้า


พวกเขาคือ จื่อหยูเย่ ชูมู่หยู เซี่ยฮีวชือ ฮันเฟิง และหลี่เซี่ยงหรู


 


คนที่เหลือล้วนล้มเหลว


 


หลังจากนั้นไม่นาน จื่อหยูเย่ ชูมู่หยู และเซี่ยฮัวชือต่างก็ผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่ห้า


 


ฮันเฟิงและหลี่เซียงหรูไม่สามารถสร้างทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นกลางได้ภายในเวลาที่กำหนดและหยุดอยู่ที่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สี่


 


“จื่อหยูเย่ ชูมู่หยู และเซี่ยฮัวชือผ่านไปหมดแล้ว นอกเหนือจากหลี่ฟู่เฉิน พวกเขาสี่คนก็ผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่ห้าได้ในครั้งนี้และสร้างสถิติใหม่”


 


“ก่อนหน้านี้ มีเพียงเซี่ยฮัวชวนเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้ เวลานี้อัตราการผ่านเท่ากับสี่เท่า นั้ดูเกินจริงมากไปนัก”


 


“นอกเหนือจากหลี่ฟู่เฉินแล้ว มันก็เป็นที่ยอมรับได้สำหรับการที่อีกสามคนจะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าด้วยศักยภาพโดยกำเนิดของพวกเขา แต่ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้หรือไม่”


 


“ข้าเกรงว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้! จนถึงตอนนี้ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก”


 


“ถูกแล้ว ท่ามกลางสามราชาดารา มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกไปได้”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกนั้นยากยิ่ง มารอดูกันเถอะ!”


 


ทุกคนสนทนากันอย่างดุเดือดอยู่ในโลกภายนอก


 


ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกเป็นพื้นที่คมวายุ


 


ใบมีดแห่งลมพัดเต็มพื้นที่ทั้งสวรรค์และโลก


 


ในบรรดาคมวายุเหล่านี้ มีบางส่วนที่มีความยาวมากกว่าหลายไมล์ ในขณะที่บางอันก็มีขนาดเล็กเท่าขนวัว


 


ปิสส!


 


หนึ่งในคมวายุเฉือนลงไปยังไหล่ของหลี่ฟู่เฉิน ซึ่งเลือดสดก็พุ่งออกมาทันที


 


“มันทำร้ายข้าได้จริงๆ ?” หลี่ฟู่เฉินตกใจ


 


พื้นที่ห้าพื้นที่ก่อนหน้านี้เป็นภาพลวงตาและไม่มีพลังทำลายใดๆ แต่คมวายุของพื้นที่ที่หกนี้สามารถสร้างความเสียหายให้แก่เขาได้ นอกจากนี้ ที่เขาโดนมันก็เป็นเพียงคมวายุที่เล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก หากเป็นคมวายุที่ใหญ่กว่านี้ มันคงจะผ่าเขาออกเป็นสองท่อนได้


 


หลี่ฟู่เฉินรู้สึกสับสนเล็กน้อย ว่าประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกกำลังทดสอบอะไร


 


หากมันเป็นการทดสอบการป้องกัน เช่นนั้นแล้วมันก็ดูเกินจริงเกินไป มีคมวายุมากเกินไป และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักสู้ขอบเขตสวรรค์ เขาก็ไม่สามารถต้านทานพวกมันได้อยู่ดี


 


ปิส ปิส ปิส…


 


หลังจากสายลมพัดผ่าน หลี่ฟู่เฉินมีแผลยาวตัดลึกหลายรอยอยู่บนร่างกาย บาดแผลบางส่วนทะลุร่างของหลี่ฟู่เฉิน ในขณะที่เลือดสดพ่นออกมาอย่างรุนแรง


 


หลี่ฟู่เฉินหยิบโล่ระดับลึกลับออกมาและวางไว้ตรงหน้าเขา


 


ฉึบ!


 


โล่ระดับลึกลับถูกผ่าออกทันทีและกลายเป็นฝุ่นผง


 


พลังของคมวายุนั้นดูน่าเหลือเชื่อและดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อได้สัมผัสกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์


 


“นี้ไม่เข้าท่าแล้ว”


 


หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว เขาต้องพึ่งพาตัวเองในประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกเท่านั้น และไม่สามารถใช้ของนอกกายได้


 


ปิสส!


 


แขนบินออก มันคือแขนซ้ายของหลี่ฟู่เฉิน ซึ่งถูกตัดขาดตั้งแต่หัวไหล่ลงไป ถูกตัดโดยคมวายุที่ยาวหลายสิบเมตร


 


สีหน้าของหลี่ฟู่เฉินดูซีดเซียว แต่เขาก็ยังคงพยายามหลบเลี่ยงต่อไป


 


ปิสส!


 


ฟ้าและดินเต็มไปด้วยลม และคมวายุก็มีอยู่ในทุกๆ ที่ ลมทั้งหมดอาจก่อตัวเป็นคมวายุได้ตลอดเวลา แม้ว่าการรับรู้ของหลี่ฟู่เฉินจะท้าทายสวรรค์ก็ตามที เขาก็ยังคงไม่สามารถหลบคมวายุได้ทั้งหมด ครั้งนี้ มันเป็นขาขวาของเขาที่ถูกตัดขาด


 


นี่ที่พำนักหลึงที่สอง ผู้อาวุโสผมขาวกล่าว “ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก ทดสอบจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ มันจะขึ้นอยู่กับการรู้แจ้งของเขาว่าเขาจะผ่านไปได้หรือไม่”


 


ในที่พำนักหลังที่สาม ชายผู้มีดวงตาอินทผลัมกล่าวว่า “วิญญาณของแต่ละคนจะมีความเข้มแข็งแตกต่างกันไป ประตูนี้จะทดสอบทั้งจิตวิญญาณและทดสอบวิญญาณดั่งเดิมคนๆ นึง ซึ่งมันจะระเบิดออกมาหลังจากที่เข้าเผชิญหน้ากับความตาย”


 


วิญญาณมีความผันผวนอย่างมาก และมันก็จะส่งผลมากในแง่ความสามารถของคนๆ นึง


 


อย่างเช่น บางคนอาจมีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ก็จะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่น่ากลัวอย่างแท้จริง


 


ในขณะที่ผู้ที่มีจิตวิญญาณที่อ่อนแออาจจะระเบิดจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย


 


ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกเป็นความลึกลับในลึกลับ มันทั้งยุติธรรมและไม่ยุติธรรมในเวลาเดียวกัน


 


โดยสรุปแล้วยิ่งจิตวิญญาณแข็งแกร่ง โอกาสที่จะผ่านก็ยิ่งสูงขึ้น แต่มันก็ไม่แน่นอน


 


“วิธีเต๋าแห่งการต่อสู้ธรรมดาแล้วย่อมเป็นการต่อต้านธรรมชาติ ซึ่งเกี่ยวกับการท้าทายสวรรค์ ผู้ที่มีใจไม่ยอมแพ้ต่อสวรรค์ ถึงจะสามารถผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่หกไปได้” ชายที่โดดเด่นซึ่งอยู่ในที่พำนักแรกกล่าวอย่างห้วนๆ

ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธืเร้นลับที่เหลือพยักหน้า


 


เมื่อแขนขาทั้งสี่ถูกตัดขาด จิตใจของหลี่ฟู่เฉินตื่นตัว เขาไม่มีแรงหลบคมวายุอีกต่อไป


 


คมวายุในพื้นที่นี้แต่เดิมแล้วมันย่อมเป็นภาพลวงตา แต่เขาแยกความแตกต่างไม่ได้ว่าอะไรจริงกับอะไรปลอม เพราะทุกอย่างนั้นเหนือจริงเกินไป


 


ตอนนี้จิตใจของเขาถูกครอบงำด้วยบางอย่าง นั่นก็คือการอดทน


 


เขาไม่รู้ว่าเขาจะอดทนไปเพื่ออะไร แต่เขาก็รู้อย่างเดียวว่าเขาต้องอดทน


 


เช่นเดียวกับวันที่เขาสูญเสียความสามารถ เขาไม่เคยไม่ยอมแพ้กับตัวเอง


 


หากเขายอมแพ้ในตอนนั้น เขาอาจจะไม่ได้พบกับเครื่องรางทองคำ


 


ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ จื่อหยูเย่ก็มาถึงพื้นที่ของคมวายุ


 


ปิส ปิส!


 


มีรอยแผลสดสองแห่งบนร่างกายของเขา จื่อหยูเย่ตกตะลึง


 


“การทดสอบของประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกนี้คืออะไร?” จื่อหยูเย่กำลังตื่นตระหนก


 


ปิส ปิส ปิส ปิส ปิส…


 


เมื่อลมแรงพัดผ่านไป ขาทั้งสองข้างของจื่อหยูเขาก็ถูกตัด รอยตัดนั้นมันเฉือนขึ้นไปยังเป้ากางเกงของเขา ในขณะที่เขาคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด


 


ทุกอย่างเหมือนจริงเกินไป ไม่มีจุดไหนที่บอกว่านี่เป็นเพียงแค่การหลอกลวง


 


“ข้าคือราชาแห่งดาบ ข้าจะยอมแพ้ไปได้อย่างไร!?”


 


คมวายุที่ยาวกว่าสิบเมตรเข้ามา ในขณะที่จื่อหยูเย่กำลังตะโกนออกมาด้วยความโกรธ


 


ฉึบ!


 


จื่อหยูเย่ถูกตัดเข้าที่เอว และเขาก็ดูน่าสังเวชมาก


 


ไม่นานหลังจากนั้น… ชูมู่หยูและเซี่ยฮัวชือก็มาถึงพื้นที่คมวายุเช่นกัน


 


พวกเขาสองคนประสบชะตากรรมคล้ายกัน


 


เมื่อเทียบกับเซี่ยฮัวชือแล้ว อาการที่ชูมู่หยูเป็นดีกว่ามาก


 


เซี่ยฮัวชือเป็นคนที่ต้องการลดความเสี่ยงและเขาก็ไม่เชี่ยวชาญในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจของเขาหวาดกลัวและหัวใจของเขากังวลเกี่ยวกับผลกำไรและการสูญเสีย


 


จิตใต้สำนึกของเขาบอกเขาว่านี่เป็นเพียงการทดสอบ แต่ร่างกายของเขาบอกเขาว่าทุกอย่างนี่เป็นเรื่องจริง


 


“เวรเอ้ย นี่เป็นการทดสอบแบบไหนกันแน่” ดวงตาของเซี่ยฮัวชือเป็นสีแดง


 


“หากคนอื่นทำได้ ข้าก็ทำได้!” ความคิดของชูมู่หยูนั้นเรียบง่ายกว่ามาก


 


หากไม่มีใครสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกไปได้ เธอก็คงจะไม่พยายาม แต่เนื่องจากมีคนผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกมาก่อน เธอจึงไม่เชื่อว่าตัวเองจะด้อยกว่าคนอื่น


 


ผู้อาวุโสผมขาวในที่พำนักหลังที่สองส่ายหัวและหัวเราะ “การทดสอบมันจะไปง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร? มันก็ไม่ได้ผลอยู่ดีถึงเจ้าจะอดทนแค่ไหน หากร่างกายของเจ้ากลายเป็นฝุ่นและความมุ่งมั่นของเจ้าเริ่มพร่ามัว ใครจะไปอดทนได้?”


 


“ก็อย่างที่พี่ใหญ่กล่าว เราต้องมีใจที่จะต่อต้านสวรรค์” ชายผู้มีดวงตาอินทผลัมพยักหน้า


 


ปิสส!


 


ร่างกายของหลี่ฟู่เฉินแตกสลายราวกับเป็นบุเยื่อกระดาษ และความมุ่งมั่นของเขาก็ยุ่งเหยิงไปหมด


 


ในขณะที่เขาเริ่มรู้สึกพร่าเรือน เขาก็เริ่มรู้สึกราวกับว่าเขากลายเป็นสายลมและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่คมวายุ เขาไม่มีความคิดที่เป็นของตัวเองอีกต่อไปและเขาก็เหมือนจะแค่ล่องลอยไปมา


 


ลอยไปลอยมา!


 


พัดและพัดไปมา!


 


เวลารู้สึกราวกับว่ามันผ่านไปในพริบตา ในขณะเดียวก็รู้สึกคงอยู่ตลอดไป จิตวิญญาณเองก็เริ่มเลือนลางมากขึ้น


 


“อ๊ากก!”


 


ช่วงเวลาที่ร่างกายของเขากลายเป็นฝุ่น เซี่ยฮัวชือรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง


 


แต่ในช่วงเวลาถัดไป ร่างกายของเขาก็ฟื้นคืนรูปลักษณ์และเขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกอย่างรวดเร็ว


 


“ความล้มเหลวครั้งแรก” ผู้เฒ่าผมขาวส่ายหัว


 


“คนผู้นี้ก็ไม่เลว ทำไมไม่ให้ข้าพาเขาไป!” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอันดับต่ำกว่ากล่าว


 


ตราบเท่าที่สามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าได้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็จะถูกยอมรับเป็นศิษย์ส่วนตัว หลังจากทั้งหมดแล้ว ศิษย์ส่วนตัวก็หายากและพวกเขาก็ไม่ได้มีให้เลือกได้อย่างฟุ่มเฟือย ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ส่วนตัวเหล่านั้นก็อาจจะไม่สามารถเป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการได้


 


มีเพียงพี่ใหญ่และพี่สองเท่านั้นที่จะปล่อยคนอื่นไปและไม่ยอมรับบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติ เพราะความคาดหวังของพวกเขาสูงเกินไป


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ ชูมู่หยูไม่ได้ตกอยู่ในความสิ้นหวัง แต่ความมุ่งมั่นของเธอกลับสลายไป หมายความว่าหัวใจของเธอที่จะต่อต้านสวรรค์ไม่แข็งแกร่งพอ


 


นอกจากนี้ เธอยังเด็กเกินไป เนื่องจากเธออายุใกล้เคียงกับหลี่ฟู่เฉิน เธอจึงไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากพอ


 


ถ้าเธอมีเวลาอีกสองสามปี เธออาจจะสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้


 


ชูมู่หยูล้มเหลว แต่เธอได้รับเลือกจากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์อันดับ 3


 


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอันดับ 3 ชายผู้มีดวงตาสีอินทผลัมนานๆ ครั้งถึงจะรับศิษย์ส่วนตัว มันค่อนข้างน่ายกย่องที่ได้รับเลือกจากเขา


 


ตอนนี้ มีเพียงจื่อหยูเย่ และหลี่ฟู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงดิ้นรน ขณะที่พวกเขาวนเวียนไปมา


บทที่ 261


จิตวิญญาณที่ท้าทายสวรรค์


 


“เด็กคนนี้ไม่เลว” ผู้อาวุโสผมขาวมีความสนใจต่อจื่อหยูเย่


“เขาค่อนข้างดี” ชายผู้โดดเด่นพยักหน้า


 


“ท่านจะไม่ฉกฉวยไปจากข้าอีกใช่หรือไม่!?” ผู้อาวุโสผมขาวถามด้วยน้ำเสียงที่กระวนกระวาย


 


ชายผู้โดดเด่นตอบว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ฉกฉวยเขาไปจากเจ้า เขายังคงห่างจากมาตรฐานของข้า”


 


“นั้นก็จริง” ผู้เฒ่าผมขาวพยักหน้า ในความเป็นจริง จื่อหยูเย่ยังคงห่างจากมาตรฐานของเขาเล็กน้อย และแทบจะไม่มีคุณสมบัติเป็นศิษย์ส่วนตัวของเขา แต่เงื่อนไขเบื้องต้นคือการที่เขาสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว การพูดคุยทั้งหมดนี่ก็จะเปล่าประโยชน์


 


สาวงามวัยกลางคนกล่าว “ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกต้องรักษาความมุ่งมั่นได้โดยไม่สลายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถทนได้ในช่วงเวลานี้ พวกเขาก็จะผ่านได้ ข้าสงสัยว่าสองคนนี้จะผ่านไปได้จริงๆ หรือ”


 


อาจมีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หลี่ฟู่เฉินจะมาเป็นศิษย์ส่วนตัวของเธอ แต่ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับต่างก็อัจฉริยะกันทุกคน


 


“หากอยู่ในอดีตพวกเขาอาจจะทำได้ แต่หลังจากผ่านมานานข้าก็เริ่มไม่แน่ใจ” ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอีกคนหนึ่งที่มีผมหงอกวิเคราะห์


 


เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เจตจำนงของพวกเขาทั้งสองได้รับการดูแลและยังคงไม่สลายไป


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของหลี่ฟู่เฉิน ซึ่งไม่กระจัดกระจายและในทางกลับกัน มันกลับเริ่มกลั่นตัวแทน


 


“จิตวิญญาณที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!” ผู้เฒ่าผมขาวเคลื่อนไหว


 


มันเป็นเรื่องยากมากแล้วสำหรับการรักษาความมุ่งมั่นของคนๆ หนึ่งไว้ในคมวายุ และมันก็ไม่ควรมีพลังงานเหลืออีกสำหรับการรวมพลังใจของคนผู้หนึ่ง อย่างน้อยที่สุดมันก็ต้องไม่ใช่การทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันเช่นนี้


 


แต่หลี่ฟู่เฉินกลับทำได้จริงๆ


 


นั่นหมายความว่าเขายังมี ‘พลังงานเหลืออยู่’


 


จิตวิญญาณที่มุ่งมั่นของเขามีพลังเพิ่มมากขึ้น และดูเหมือนว่าคมวายุจะเริ่มสงบลง


 


“เขาพยายามจะฟื้นพลังด้วยตัวเอง?”


 


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับตกใจ


 


ชายผู้โดดเด่นกำลังจ้องมองไปยังหลี่ฟู่เฉินที่อยู่ภายในพื้นที่คมวายุอย่างหวงแหน


 


การอดทนไปตามเวลาที่กำหนดและการฟื้นพลังด้วยตัวเองเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


มันเหมือนกับเวลาที่อยู่ในพื้นที่เปลวเพลิง ความสามารถในการสร้างพลังระเบิดระดับมังกรในตำนานและระดับมังกรธรรมดานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


ไม่ เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ความแตกต่างมากกว่าสิบเท่า


 


จิตวิญญาณมุ่งมั่นของคนๆ หนึ่งอาจถูกทำให้สงบอารมณ์ลงได้ แต่มันไม่มีวิธีใดที่จะทำให้วิญญาณดั่งเดิมของพวกเขาสงบลงได้อย่างสมบรูณ์ อย่างน้อยในผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเองก็ไม่มีใครทำได้


 


เราสามารถพึ่งพาได้แต่ตัวเองเท่านั้น


 


เราสามารถกำหนดมันได้จากโชคชะตาแต่เพียงเท่านั้น


 


“พี่ใหญ่ ท่านให้เขากับข้าได้” ผู้อาวุโสผมขาวถูกล่อลวงสุดๆ


 


การให้คำปรึกษาลูกศิษย์ส่วนตัวเช่นนี้เป็นสิ่งที่จะให้ความรู้สึกถึงความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมาย


 


“ในฝันเจ้าเถอะ” ชายผู้โดดเด่นตอบ


 


ยึดจากจุดเล็กๆ เป็นศูนย์กลาง ลมในระยะไกลนับจากจุดหยุดลง


 


ใช่แล้ว ลมหยุดลงแล้ว


 


มันไม่สามารถผลิตคมวายุได้อีกต่อไป


 


จุดแห่งความกระจ่างใสกำลังเบ่งบาน


 


“เด็กคนนี้กำลังเดินไปในเส้นทางที่ท้าทายสวรรค์หรือไม่?” สาวงามวัยกลางคนบ่นพึมพำ


 


“เขาไม่ใช่ว่ากำลังท้าทายสวรรค์อยู่แล้วหรอกหรือ?” ชายร่างสูงและแข็งแกร็งมีความเศร้าเกิดขึ้นในใจ


 


“เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ศิษย์ส่วนตัวที่ข้ายอมรับก่อนหน้านี้ช่างดูอ่อนแอมากเกินไปจริงๆ” ชายชราผมหงอกส่ายหัว


 


เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอันดับ 4 และดูมีอายุมาก เขาเป็นคนที่ยอมรับเซี่ยฮัวชือจากตระกูลต้วนหลินเป็นศิษย์ส่วนตัวของเขา


 


ในอีกด้านหนึ่ง วิญญาณดั่งเดิมของจื่อหยูเย่เข้มข้นมากและไม่มีทีท่าว่าจะสลายไป แต่ก็ไม่มีสัญญาณของการกลั่นตัวเช่นกัน


 


เขาช่างดูพากเพียร


 


ในฐานะที่เป็นยอดนักสู้ที่เป็นอัจฉริยะเต๋าแห่งดาบในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก เขาสาบานว่าจะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของเต๋าแห่งดาบ และกลายเป็นราชาแห่งดาบ


 


ฮอง ฮอง ฮอง!


 


ลมพุ่งวนไปมา ตัดความมุ่งมั่นของเขาอย่างรุนแรง


 


เขารู้สึกราวกับว่าเขาจะไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป แต่เขาไม่ต้องการที่จะยอมจำนน


 


เป้าหมายของเขาคือการเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอันดับ 1 หรือ 2 และบรรลุในสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำได้


 


นี่คือภารกิจของเขา


 


“อดทน”


 


วิญญาณดั่งเดิมที่สลายไปเล็กน้อยก็เหมือนกับเปลวเทียนที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืดหยัดให้ได้อย่างมั่นคง


 


***


 


“ข้าจะสู้กับชะตากรรมของฉันด้วยชีวิตของข้า! ควบแน่น!”


 


รัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศทาง ทันใดนั้นเสียงของหลี่ฟู่เฉินก็ดังขึ้น


 


ในช่วงเวลาถัดไป นับจากจุดที่กระจ่างใสเป็นแกนกลาง ร่างกายที่แตกสลายเริ่มฟื้นคืนกลับมา


 


หลังจากใช้ความพยายามเล็กน้อย ร่างกายที่สมบูรณ์ก็ถูกสร้างขึ้น


 


ลืมตาขึ้น หลี่ฟู่เฉินมองเห็นพื้นที่คมวายุอีกครั้ง


 


แต่คราวนี้ ไม่มีพื้นที่คมวายุอีกต่อไป คมวายุสลาย ดูเหมือนมันจะไม่สามารถทนต่อการจ้องมองของเขาได้


 


พื้นที่คมวายุเป็นพื้นที่แห่งความมุ่งมั่น


 


ตราบใดที่ความมุ่งมั่นของเจ้าแข็งแกร่งเพียงพอ คมวายุก็จะไม่กล้าเข้ามาปะทะเจ้า


 


“เขา ทำสำเร็จแล้ว?”


 


นอกเหนือจากผู้ชายที่โดดเด่น ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอีกเจ็ดคนต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึก


 


นี่เป็นคนประเภทใดกัน!?


 


เขาต้องอดทนได้ถึงช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก แต่เขาเอาชนะกฎและฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง ทำลายข้อจำกัดของพื้นที่คมวายุ


 


“การสร้างความแข็งแกร่งในการระเบิดพลังระดับมังกรเพลิงหลั่งไหล และอาศัยวิญญาณดั้งเดิมของตนเองเพื่อฟื้นฟูร่างกาย อัจฉริยะเช่นนี้เป็นอัจฉริยะที่ถือกำเนิดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกอยู่หรือไม่?” ผู้เฒ่าผมขาวรู้สึกงุนงงชายผู้โดดเด่นมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่เขากล่าว “เขาผิดปกติ แต่ข้าจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่เจ้ากล่าวอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกอาจมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างอัจฉริยะที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ออกมา มังกรที่แท้จริงก็อาจจะโผล่ออกมาจากแผ่นดินที่มีขนาดเท่าเม็ดยาได้”


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเหล่านี้ไม่ใช่นักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด แต่เป็นตัวตนที่อยู่ที่เหนือกว่าขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด พวกเขาถูกจำกัดโดยกฎของเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับและไม่สามารถออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ แม้ว่าพวกเขาจะจ่ายราคาเพื่อออกไป ความสามารถของพวกเขาก็จะถูกระงับและจะสามารถแสดงพลังได้แค่ในขอบเขตนักสู้หวนคืนต้นกำเนิดเท่านั้น ดังนั้นขอบเขตความรู้ของพวกเขาจึงกว้างกว่าใครๆ ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก แต่อัจฉริยะอย่างหลี่ฟู่เฉินก็ยังเป็นสิ่งที่เกินจินตนาการของพวกเขา


 


“ปรากฏ”


 


หลี่ฟู่เฉินชี้ไปข้างหน้า ทำให้สายลมมารวมตัวกัน กลายเป็นประตูแห่งลม


 


ก้าวไปข้างหน้า หลี่ฟู่เฉินเดินเข้าไปในประตูแห่งสายลม


 


โลกภายนอกทั้งหมดตกอยู่ในความบ้าคลั่ง


 


“ผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่หก? เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”


 


“ในรุ่นนี้ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก เขากลับทำได้จริงๆ!”


 


ทุกคนมีความรู้สึกที่หลากหลาย


 


การผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่หกเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หากเมื่อก่อนหลี่ฟู่เฉินเป็นคนที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน เช่นนั้นแล้วตอนนี้ ชื่อเสียงของเขาก็จะคงจะขึ้นอยู่กับเวลาและแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปยูนิคอร์นตะวันออก

การแข่งขันจัดอันดับดาราซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อไปนับจากนี้ จะต้องจองที่นั่งไว้ให้เขาแน่นอน


 


ความสำเร็จของหลี่ฟู่เฉินที่สามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกนั้นทำให้ผู้คนจากนิกายสวรรค์ปีศาจรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน


 


ประตูเทพยุทธ์เร้นลับที่หลี่ฟู่เฉินผ่านไป ยิ่งสูงเท่าไหร่นิกายสวรรค์ปีศาจก็ยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้น


 


หากก่อนหน้านี้พวกเขายังมีโอกาสเล็กน้อยที่หลี่ฟู่เฉินอาจจะไม่ได้เป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ เช่นนั้นแล้วโอกาสที่ว่านั้นตอนนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว


 


ใครก็ตามที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกจะกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ นี่คือกฎเหล็ก


 


***


 


บนเส้นทางหลัก ประตูหินบานที่เจ็ดปรากฏขึ้นต่อหน้าหลี่ฟู่เฉิน


 


ทันใดนั้นชายผู้โดดเด่นก็กล่าวเสียงดัง “เงาที่ว่างเปล่าจะช่วยผนึกประตูฉายภาพในประตูหินที่เจ็ดและแปดได้หรือไม่ ได้โปรด”


 


เขารู้สึกว่าหลี่ฟู่เฉินมีโอกาสที่จะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ดไปได้ แต่เมื่อข้อมูลนี้ถูกเผยแพร่ออกไป แน่นอนว่ามันจะทำให้หลี่ฟู่เฉินเป็นอันตรายมากกว่าจะมีผลลัพธ์ที่ดี เพื่อผลประโยชน์ของตน บางนิกายก็ยังคงยอมเสี่ยงทั้งๆ ที่สิ้นหวัง


 


นอกจากนี้ ก็มีนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดที่ทรงพลังหลายคนในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับไม่ต้องจ่ายราคาเพื่ออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับแล้ว โดยธรรมชาติ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่หลังจากจ่ายราคาแล้ว พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะชนะได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นหากต้องสู้กับคนเหล่านั้นจริงๆ


 


กล่าวโดยสรุปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะรักษาตัวตนไว้ต่ำเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะมีตัวตนที่สูงส่งเกินไปด้วยเช่นกัน


 


เขาไม่ปรารถนาให้หลี่ฟู่เฉินต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด


 


เงาที่ว่างเปล่าซึ่งกำลังปกป้องเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ดูเหมือนจะได้ยินเสียงของชายที่โดดเด่น มันโบกมือขวา ในขณะที่เงาว่างเปล่ากลับปรากฏขึ้นมา และยืนอยู่บนเสาหินด้านซ้ายของประตูหินที่เจ็ดและแปด จากนั้นภาพก็เริ่มหายไป


 


“เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนรู้สึกสับสน


 


“ให้มันหายไปนะดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีใครสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ดได้อยู่ดีนั้นแหละ” แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ทุกคนก็ไม่ได้กังวลอะไรเช่นกัน


บทที่ 262


ประตูแห่งโลก


 


โดยไม่ลังเลใดๆ ร่างของหลี่ฟู่เฉินก็กระพริบและพุ่งเข้าสู่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ด


ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ดถูกเรียกว่าประตูแห่งโลก


 


ประตูเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดมีชื่อ


 


ประตูแรกเรียกว่าประตูบึง ประตูที่สองเรียกว่าประตูแห่งขุนเขา จากนั้นก็เป็นประตูแห่งไฟ ประตูแห่งน้ำ ประตูสายฟ้า ประตูแห่งลม ประตูแห่งโลก และประตูสวรรค์


 


ประตูแห่งโลกและประตูสวรรค์เป็นที่รู้จักกันในนามสองประตูแห่งสวรรค์และโลก


 


พื้นที่ภายในประตูแห่งโลกเป็นดินแดนที่กว้างขวางขนาดใหญ่ของแผ่นดินแม่


 


เมื่อยืนอยู่บนผืนดินนี้ หลี่ฟู่เฉินรู้สึกได้ว่าพลังงานไร้ขอบเขตกำลังลอยอยู่เหนือเขา ส่งผลทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆ แข็งขึ้น ในขณะที่ความคิดของเขาไม่ชัดเจนอีกต่อไป


 


ในพริบตา หลี่ฟู่เฉินก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังงานหินและกลายเป็นโครงสร้างหินที่ดูเหมือนจะถูกลมและหิมะบดบังเป็นเวลานาน


 


ในแปดที่พำนัก ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดไม่สามารถมองเห็นภาพใดๆ ภายในประตูแห่งโลกได้


 


ประตูทั้งแปดอาจเรียกได้ว่าเป็นประตูเทพยุทธ์เร้นลับแปดประตู พวกเขาสามารถเห็นได้เพียงหกประตูเท่านั้น ประตูดินและสวรรค์เป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถก้าวเข้ามาได้ และไม่ได้เป็นสถานที่ที่เหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆ สามารถเข้าไปได้

สามอัจฉริยะที่ผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่หกก่อนหน้านี้ ทั้งหมดอาศัยความอดทนเป็นเวลาพอสมควรก่อนที่จะผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่หก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ด บางทีในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ คงมีเพียงหลี่ฟู่เฉินเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ประตูแห่งโลก


 


“ข้าสงสัยว่าเขาจะได้รับประสบการณ์อะไรในประตูแห่งโลก?” ผู้เฒ่าผมขาวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


ชายผู้โดดเด่นตอบว่า “ประตูเทพยุทธ์เร้นลับแปดประตูนั้นเลียนแบบมาจากเต๋าแห่งประตูทั้งแปด ซึ่งมีความลับของสวรรค์และโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองประตูแห่งสวรรค์และโลก ซึ่งมีขั้นเริ่มต้นของเต๋าแห่งสวรรค์และโลก ประตูเทพยุทธ์ทั้งแปดประตูอาจเป็นเพียงของเลียนแบบและอาจไม่มีสาระสำคัญถึงหนึ่งจากหมื่นเสียด้วยซ้ำ แต่ก็อย่าได้ประมาทมันไป จะต้องมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในประตูแห่งโลกและชะตากรรมนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถสอดแนมดูได้”

ประตูแห่งเต๋ามีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น


 


ตำนานกล่าวไว้ว่าหากใครได้เห็นประตูแห่งเต๋า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ห่างไกลจากการเป็นตำนานนัก


 


แน่นอน ตำนานเป็นเพียงตำนานและไม่มีใครรู้ว่าประตูแห่งเต๋ามีอยู่จริงหรือไม่


 


ช่วงเวลาที่หลี่ฟู่เฉินกลายเป็นรูปปั้นหิน เขารู้สึกว่าความคิดของเขาเริ่มแข็งและเขาก็สูญเสียความสามารถในการคิดและความสามารถในการรู้สึกไปในทันที ไม่สำคัญว่าเขาจะมีจิตใจที่เข้มแข็งหรือมีความมุ่งมั่นมากแค่ไหน เพราะประตูแห่งโลกมีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับของสวรรค์และโลก มันไม่เหมือนกับประตูหินหกบานแรก


 


สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ก็คือตอนที่เขากลายเป็นรูปปั้นหิน รูปแบบเต๋าก็ได้ขยายไปตามร่างของเขา


 


รูปแบบเต๋าเหล่านี้คล้ายกับรูปแบบของลวดลายและยังคล้ายกับเส้นทางการบ่มเพาะเทคนิค


 


การขยายรูปแบบนั้นช้ามากและใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่มันจะรามไปทั่วร่างกายของเขา


 


ในช่วงเวลานี้ สภาวะพลังฉีที่ลึกซึ้งและน่าเกรงขามถูกปล่อยออกมา ทำให้รู้สึกราวกับว่ารูปปั้นหินของหลี่ฟู่เฉินนั้นหนักกว่าภูเขาขนาดใหญ่ มันยิ่งใหญ่และทรงพลังยิ่งกว่าทะเลสาบ ดินแดนทั้งหมดนี้กำลังยึดเขาเป็นศูนย์กลางทั้งหมดของมัน


 


หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา แต่เครื่องรางทองคำรู้ได้อย่างชัดเจน มันค่อยๆ หมุนวน ปล่อยให้ลวดลายแกะสลักตัวเองภายในร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน


 


เมื่อร่องรอยของกาลเวลาไหลผ่านไป จุดสีฟ้าเริ่มก่อตัวขึ้นบนรูปปั้นหิน


 


***


 


ในพื้นที่คมวายุ


 


เมื่อหมดเวลา ร่างกายของจื่อหยูเย่เริ่มควบแน่น


 


เมื่อจื่อหยูเย่ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาก็เกิดสภาวะพลังฉีที่หยิ่งผยองและเย่อหยิ่งอย่างไม่อาจพรรณนาได้


 


เขาผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกแล้ว


 


นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าสาวราชาดารา และในแง่ของศักยภาพโดยกำเนิด เขาอยู่ในจุดสุดยอดของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก


 


“ข้าน่าจะเป็นคนที่สี่ที่ผ่านประเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ หลังจากออกไปผจญโลกภายนอกมาเป็นเวลาหนึ่งปี มันน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับข้าที่จะไปถึงจุดสูงสุด และขึ้นไปทัดเทียมกับสามราชาดาราได้” จื่อหยูเย่แสยะยิ้มและมองราวกับว่าตัวเองมีอำนาจสูงสุด


 


ประตูแห่งลมปรากฏขึ้นในขณะที่จื่อหยูเย่ก้าวเข้าไปในนั้น


 


เมื่อจื่อหยูเย่ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาถูกเคลื่อนย้ายออกไปยังเส้นทางหลัก และอยู่ในลาดขนาดมหึมา


 


ลานแห่งนี้เป็นพื้นที่สำหรับรอ ที่ซึ่งทุกคนที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานแรกก็อยู่ที่นี่


 


“จื่อหยูเย่ออกมาแล้ว”


 


“ไม่น่าแปลกใจ เขาคือนายน้อยดาบมังกร ดูจากลักษณะของเขาแล้ว เขาน่าจะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้แล้ว”


 


“น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เซี่ยฮัวชือผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าและก็ได้รับการยอมรับในฐานะศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอันดับที่สี่ จื่อหยูเย่อาจถูกเลือกตัวจากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธืเร้นลับคนที่สาม เขาอาจมีโอกาสที่จะถูกผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่สองเลือกด้วยซ้ำ”


 


“ครั้งนี้ ชูมู่หยูและเซี่ยฮัวชือได้ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า ข้าสงสัยว่าผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนไหนจะเลือกพวกเขาไป”


 


เมื่อมองไปที่จื่อหยูเย่ ทุกคนก็มองด้วยความชื่นชม


 


เมื่อเทียบกับจื่อหยูเย่ ชูมู่หยูและเซี่ยฮัวชือพวกเขาก็แค่พยายามเสี่ยงโชคแต่เพียงเท่านั้น


 


หากพวกเขาโชคดี พวกเขาอาจจะถูกนำตัวไปเป็นศิษย์ส่วนตัว ถ้าพวกเขามีโชคเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็อาจจะกลายเป็นศิษย์ในสายได้ แต่ถ้าพวกเขาโชคร้าย พวกเขาก็สามารถบอกลาการเป็นศิษย์ในสายไปได้เลย


 


เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้ สำหรับการให้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับยอมรับลูกศิษย์ที่ไม่ได้ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สี่ มีบางคนที่ถูกปฏิเสธ แม้ว่าพวกเขาจะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สาม แต่ก็มีบางคนที่ถูกเลือกไป แม้ว่าพวกเขาจะผ่านเพียงประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานแรก ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามสิ่งที่คนๆ นึงแสดงออกมาระหว่างที่อยู่ในประตูเทพยุทธ์เร้นลับ


 


“เขาผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก?”


 


ชูมู่หยูและเซี่ยฮัวชือมองไปที่จื่อหยูเย่


 


หลังจากได้พบกับพื้นที่คมวายุ พวกเขาทั้งสองก็ได้รู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความยากลำบากในประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก


 


มันอยู่ในความคาดหวังของทุกคนสำหรับการที่นายน้อยดาบมังกร จื่อหยูเย่ ผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่หก


 


มีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของจื่อหยูเย่ ในขณะที่เขายืดตัวตรง ในขณะที่ดวงตาของเขาระเบิดความแข็งแกร่งออกมา


 


“เขาอยู่ที่ไหน?”


 


จื่อหยูเย่มองไปรอบๆ และไม่เห็นหลี่ฟู่เฉิน


 


เมื่อเข้าไปในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ตราบเท่าที่สามารถผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานแรกไปได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับอนุญาตให้อยู่ชั่วคราว งั้นชัดเจนแล้วว่าหลี่ฟู่เฉินจะไม่มีวันถูกขับออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับแน่นอน


 


“เขายังไม่ออกมา?” จื่อหยูเย่ขมวดคิ้ว


 


เขารู้แล้วว่าเพื่อที่จะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกไปได้ เราจะต้องอดทนในช่วงเวลาหนึ่ง ตามเวลาที่ผ่านมานี้ หลี่ฟู่เฉินน่าจะยังคงต้องอยู่ในประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก พื้นที่คมวายุ


 


หลังจากนั้น หนึ่งชั่วโมงต่อมา การแสดงออกของจื่อหยูเย่ก็ดูไม่พอใจ


 


ยิ่งหลี่ฟู่เฉินใช้เวลานานขึ้นเท่าไหร นั่นก็หมายความว่าความน่าจะเป็นที่เขาจะผ่านประตูเทพยุทธืเร้นลับบานที่หกก็สูงขึ้น


 


มันเพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกไปคนเดียว และไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่สอง


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลี่ฟู่เฉินเองก็เป็นนักดาบ


 


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง การแสดงออกของจื่อหยูเย่ก็มืดมนยิ่งขึ้น


 


เขาเป็นคนที่หยิ่งผยอง และหลี่ฟู่เฉินเองก็ไม่ได้ติดอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับดารา ในสายตาของเขามีเพียงสามราชาดาราเท่านั้นที่สามารถปลุกระดมเจตจำนงต่อสู้ของเขาขึ้นมาได้


 


***


 


ในดินแดนอันกว้างขวางของประตูแห่งโลก…


 


แคร็ก!


 


รอยแตกปรากฏบนรูปปั้นหินของหลี่ฟู่เฉิน


 


ทันทีหลังจากนั้น ก็มีรอยแตกที่สองและที่สามตามมา…


 


ในช่วงเวลาหนึ่ง รูปปั้นหินก็เต็มไปด้วยรอยแตก เมื่อเศษหินหล่นลงมา มันก็จางหายไป


 


เมื่อเศษหินชิ้นสุดท้ายหลุดออกไป หลี่ฟู่เฉินก็ลืมตาขึ้น


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


หลี่ฟู่เฉินอยากรู้อยากเห็นยิ่ง


 


เขายังคงมีสติอยู่บ้างเมื่อเขาอยู่ในพื้นที่คมวายุในประตูบานที่หก แต่เขาไม่ได้มีสติใดๆ ในพื้นที่พื้นดินแม่แห่งนี้เลย ราวกับว่าทั้งร่างของเขาจมดิ่งสู่ห้วงนิทราที่ลึกที่สุด


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินก้มศีรษะลง เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามีลวดลายจางๆ บนผิวฝ่ามือของเขา


 


เขาเปิดเสื้อผ้าตรงหน้าอกและเห็นลวดลายบนหน้าอกด้วยเช่นกัน


 


“ลวดลาย?” หลี่ฟู่เฉินตกตะลึง


 


เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความคล้ายคลึงกันของระหว่างรูปแบบลวดลาย(ที่มีในอาวุธ)จากลวดลายเหล่านี้ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเส้นทางการไหลโคจรของเทคนิค


 


“นี่อาจเป็นเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีหรือไม่?”


 


เทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีนั้นลึกลับมากและจากบันทึกที่หลี่ฟู่เฉินอ่านในอดีต เทคนิคปรับแต่งร่างกายบางอย่างทำให้สามารถบังคับเนื้อได้ราวกับอาวุธ ซึ่งไม่สามารถทำลายได้ มันมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษและในเวลาเดียวกัน มันก็ก่อให้เกิดเจตจำนงเทคนิคปรับแต่งร่างกายของคนๆ หนึ่งได้


 


มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงซึ่งกลั่นเกลาเทคนิคการปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีได้จนถึงระดับสูงสุด เมื่อเขาต่อสู้กับนักสู้คนอื่นๆ ในขอบเขตเดียวกัน เขาเกือบจะอยู่ยงคงกระพันและไม่มีใครสามารถทำลายการป้องกันร่างกายของเขาได้


บทที่ 263


ศิษย์ส่วนตัว


 


“เทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกฝน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีนี้คืออะไร” หายใจเอาอากาศขุ่นๆ เข้าไป หลี่ฟู่เฉินไม่รู้เกี่ยวกับลวดลายบนร่างกายของเขาและสามารถทำได้เพียงแต่คาดเดาเท่านั้น


นอกจากนี้ ลวดลายดูเหมือนจะฝังอยู่ในเส้นเลือดของเขา แต่หลี่ฟู่เฉินเลือกที่จะไม่ไปศึกษษมัน


 


ประตูหินปรากฏขึ้นขณะที่หลี่ฟู่เฉินเดินเข้าไป


 


ไม่ถูกเคลื่อนย้ายไปยังลานกว้าง สถานที่ที่หลี่ฟู่เฉินปรากฏตัวยังคงเป็นเส้นทางหลักของประตูเทพยุทธ์เร้นลับ


 


เบื้องหน้าของเขาคือประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่แปด ประตูสวรรค์


 


“เขาผ่านแล้ว?” ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธืเร้นลับทั้งแปดคนต่างสูดอากาศเย็นๆ เข้าไป


 


แม้ว่าพวกเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลี่ฟู่เฉินมีโอกาสที่จะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ด ประตูแห่งโลก แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินผ่านมันไปได้จริงๆ พวกเขาก็ยังตกใจอยู่ดี


 


นับตั้งแต่วันที่พวกเขามาถึงเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับก็ยังไม่มีใครสามารถผ่านประตูแห่งโลกไปได้


 


ไม่ ไม่ถูกต้อง


 


ไม่มีใครเข้าไปในประตูแห่งโลกได้ด้วยซ้ำ


 


หลี่ฟู่เฉินเป็นคนแรกที่เข้าสู่ประตูแห่งโลกและเป็นคนแรกที่ผ่านประตูแห่งโลก


 


พวกเขาทั้งแปดคนไม่รู้ว่าเมื่อคนๆ หนึ่งสามารถเข้าสู่ประตูแห่งโลกได้ พวกเขาจะสามารถผ่านประตูแห่งโลกได้


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่แปด ประตูสวรรค์!”


 


ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินลุกโชนเป็นประกาย ขณะที่เขาจ้องมองไปยังประตูสวรรค์


 


เมื่อร่างกายของเขากระพริบหลี่ฟู่เฉินก็ก้าวเข้าสู่ประตูสวรรค์


 


บูม!


 


ในช่วงเวลาต่อมา หลี่ฟู่เฉินก็ถูกระเบิดกระดอนออกมา


 


มือซ้ายของเขาสั่น และตรงกลางฝ่ามือ มันมีรอยประทับลึก


 


รอยประทับนี้ไม่สามารถหยั่งรู้ได้เสียยิ่งกว่าเต๋าสวรรค์ เมื่อเทียบกับลวดลายที่ได้รับจากประตูแห่งโลก มันเป็นความแตกต่างของสวรรค์และโลก และไม่มีทางเปรียบเทียบได้


 


แต่รอยประทับนั้นหายไปอย่างรวดเร็วและเขาไม่สามารถรู้สึกได้อีกต่อไป ดูราวกับว่ามันไม่เคยมีมาก่อน


 


“ประทับแห่งสวรรค์ ลวดลวยแห่งโลก มันคืออะไรกันแน่?” หายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟู่เฉินพยายามอย่างหนักเพื่อให้สติกลับคืนมา


 


พื้นที่ภายในประตูสวรรค์ที่เขาเข้าไป มันเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่ แต่มันก็แตกต่างจากความเงียบสงบของเขตแดนเส้นทางดวงดาว ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวภายในประตูสวรรค์เต็มไปด้วยอันตราย ทันทีที่หลี่ฟู่เฉินเข้าไปยังภายใน แสงก็ถูกยิงมาที่เขา และเขาก็มีเวลาเพียงพอที่จะยกมือซ้ายขึ้นเท่านั้น ก่อนที่เขาจะถูกระเบิดและกระเด็นออกมาจากประตูสวรรค์


 


“เขาถูกระเบิดออกมา?” ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดคนมีข้อสงสัย


 


หลังจากเข้าสู่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับ คนหนึ่งจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปเนื่องจากความล้มเหลวหรือไม่ก็ผ่านมันไป แต่หลี่ฟู่เฉินถูกระเบิดกระเด็นออกมา?


 


“ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ผ่านประตูสวรรค์” ชายที่โดดเด่นพูด


 


บนลานกว้าง ร่างปรากฏขึ้น มันเป็นหลี่ฟู่เฉิน


 


“หลี่ฟู่เฉินออกมาแล้ว!”


 


“เวรจริง เขาอยู่ในเส้นทางหลักเทพยุทธ์เร้นลับเป็นเวลานาน ข้าสงสัยว่าเขาผ่านกี่ประตู?”


 


“อย่างน้อยก็เป็นประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า แต่ ข้าไม่แน่ใจว่าเขาผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกหรือไม่?”


 


ทุกคนสนทนากันอย่างดุเดือดและมองไปที่หลี่ฟู่เฉินอย่างอยากรู้อยากเห็น


 


“เจ้าผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับมากี่ประตู?” ชูมู่หยูถามโดยการส่งข้อความด้วยพลังฉีของเธอ


 


หลี่ฟู่เฉินจ้องมองอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่งและตอบว่า “ถึงประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก!”


 


เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับชูมู่หยู ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องบอกความจริงกับเธอ


 


ชูมู่หยู่ดูหลี่ฟู่เฉินอยู่ตลอดและรู้สึกว่าเขากำลังโกหก


 


‘ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกช้ากว่าข้า หมายความว่าผลลัพธ์ของเขานั้นด้อยกว่าของข้า’ จื่อหยูเย่กำลังคิดในลักษณะนี้


 


แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกไม่มีความสุข แต่สิ่งต่างๆ ได้มาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งที่เขานึกถึงอย่างแท้จริง มันก็คือการที่ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับยอมรับเขาเป็นศิษย์ส่วนตัว


 


เป้าหมายของเขาคือผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกหรือคนที่สอง ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่สามเป็นเป้าหมายต่ำสุดของเขา


 


“เขาคู่ควรกับการเป็นเหยื่อที่ข้าตั้งเป้าไว้ ข้าสงสัยว่าข้าจะโชคดีแค่กัน หลังจากที่ข้าสังหารเขาได้แล้ว” ท่ามกลางฝูงชน เซี่ยฮัวชือกำลังเลียริมฝีปากของตัวเอง ขณะที่ร่องรอยของเจตนาสังหารปรากฏขึ้น


 


ด้านหน้าของลานกว้างมีแท่นหินแปดแท่น


 


ฟึบ ฟึบ ฟึบ ฟึบ…


 


แปดร่างลงมาจากท้องฟ้าและร่อนลงไปบนแท่นหิน


 


ทั้งสองคนที่อยู่ตรงกลางเป็นผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกและคนที่สอง ชายที่โดดเด่นและผู้อาวุโสผมขาว


 


ประการแรก ถูกยอมรับให้เป็นศิษย์ในสาย


 


คนอื่นๆ ยังนับว่าง่าย ก็ในเมื่อศิษย์ในสายแค่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หนึ่งกับสองก็สามารถเป็นได้แล้ว แต่เมื่อกล่าวถึงผู้อาวุโสผมขาว เป้าหมายของเขาก็คือบุคคลที่สามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สามขึ้นไป


 


ระหว่างความพยายามในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับนี้ มีเก้าคนที่ผ่านประตูที่สาม หกคนที่ผ่านประตูที่สี่ สี่คนที่ผ่านประตูที่ห้า และอีกสองคนที่ผ่านประตูที่หก


 


ในบรรดาคนสามที่ถูกเลือก พวกเขาสองคนตกลงที่จะเป็นศิษย์ในสายของผู้อาวุโสผมขาว


 


เป็นเรื่องดีมากที่ได้เป็นศิษย์ในสายของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่สอง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง หากพวกเขาปฏิเสธผู้อาวุโสผมขาว มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ หากพวกเขาไม่สามารถเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนอื่นๆ ได้


 


แต่พวกเขาทั้งสามจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดคนได้พูดคุยกันล่วงหน้ามาแล้ว ตราบเท่าที่มีคนต้องการพวกเขาเป็นศิษย์ส่วนตัว มันก็ย่อมเป็นไปตามความต้องการนั้น บุคคลทั้งสามที่ผู้อาวุโสผมขาวเลือกมา จะไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ส่วนตัว


 


หลังจากผู้อาวุโสผมขาวเลือกเสร็จแล้ว ถึงคราวของชายที่โดดเด่น


 


ชายผู้โดดเด่นเลือกคนที่เหลือเป็นศิษย์ในสาย


 


บุคคลนี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจที่จะยอมรับมัน


 


ผลของเขาอยู่ที่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สาม เขาเชื่อว่าเขาทำได้ดี แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับได้


 


ดังนั้นจึงไม่มีใครเหลืออยู่อีก นอกจากหลี่ฟู่เฉิน และอีกห้าคน


 


บุคคลทั้งหกเหล่านี้ล้วนผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สี่ และหากไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายใดๆ พวกเขาทั้งหมดจะถูกรับเข้าเป็นศิษย์ส่วนตัว


 


ความแตกต่างก็คือ ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนไหนที่จะพาพวกเขาไป?


 


“เจ้าเต็มใจที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้าหรือไม่?” คนแรกที่พูดคือผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่แปด ซึ่งเป็นชายรูปร่างผอมและเขากำลังพูดกับฮันเฟิง


 


“ข้าเต็มใจ”


 


ฮันเฟิงไม่เต็มใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน


 


เขากล่าวกับตัวเองด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ‘เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับไม่ได้นับว่าเป็นอะไร มีบางสิ่งที่ไม่สามารถทดสอบได้ในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ข้าไม่เชื่อว่าความสำเร็จในอนาคตของข้าจะด้อยกว่าคนอื่นๆ’


 


“เจ้าเต็มใจที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้าหรือไม่?” ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่หกซึ่งเป็นชายร่างสูงและแข็งแกร่งได้พูดคุยกับเซี่ยฮัวชือ


 


เซี่ยฮัวชือสายตาดูว่างเปล่า เขาผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าและถูกเลือกเป็นคนที่สอง? หากมันเป็นหลี่ฟู่เฉินก็ว่าไปอย่าง จื่อหยูเย่และชูมู่หยูเองก็ดีกว่าเขา แต่นี้แม้กระทั่งหลี่เซียงหรูที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับได้ถึงแค่บานที่สี่ก็ยังตัดสินไว้ว่าดีกว่าเขา มันเป็นเพราะอะไรกันแน่?


 


เขาอาจจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับเช่นกัน


 


“ข้าเต็มใจ” เซี่ยฮัวชือตอบ


 


ชายร่างสูงและแข็งแกร่งพยักหน้า ความแรงในการระเบิดพลังของเซี่ยฮัวชือค่อนข้างโดดเด่นและเหมาะกับตัวเขา


 


“เจ้าเต็มใจที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้าหรือไม่?” ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่ห้า ซึ่งเป็นสาวงามวัยกลางคน กล่าวกับหลี่เซียงหรู


 


ผลลัพธ์ของหลี่เซียงหรูนั้นโดดเด่นมากและเธอก็สามารถเห็นได้ว่าหลี่เซียงหรูมีเพียงดาบอยู่ในใจของเขา บุคคลดังกล่าวจะสามารถบรรลุความสำเร็จที่สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน


 


“ข้าเต็มใจ” การแสดงออกของหลี่เซียงหรูยังคงเหมือนเดิมและไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์


 


“น่าสนใจ” สาวงามวัยกลางคนยิ้มออกมา


 


หลังจากนั้นก็คือชูมู่หยู คนที่ถามเธอคือผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่สาม ชายผู้มีดวงตาอินทผลัม


 


โดยธรรมชาติแล้วชูมู่หยูย่อมยอมรับมัน


 


‘จะเป็นคนแรกหรือคนที่สอง?’ ดวงตาของจื่อหยูเย่ฉายแววผิดปกติ


 


เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่สามไม่ได้เลือกเขา เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกหรือไม่ก็คนที่สองที่จะเลือกเขา


 


มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาการไม่ถูกเลือก


 


เขาผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกและถ้าเขายังไม่สามารถเป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับได้ เช่นนั้นแล้วเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับก็คงจะเป็นเพียงสถานที่ๆ ไม่ควรค่าแก่คำชมและไม่คุ้มที่จะให้เขาอยู่ต่อไป

“เจ้าแทบจะไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้าเลย” ตามที่คาดไว้ ผู้เฒ่าผมขาวยิ้มพร้อมกับดวงตาที่หรี่แคบขณะที่เขากล่าวกับจื่อหยูเย่


 


“จื่อหยูเย่จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”


 


จื่อหยูเย่กล่าวด้วยความเคารพและความมั่นใจ


 


ผู้เฒ่าผมขาวหัวเราะและไม่พูดอะไร ขณะที่เขามองไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสผมขาวเท่านั้น แต่สายตาของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับที่เหลือต่างก็ตกไปยังหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน


 


หลี่ฟู่เฉินเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่น่ากลัวและบ้าคลั่งมากที่สุด เขาผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ดและเข้าสู่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่แปด ประตูสวรรค์ ผลลัพธ์เพียงแค่อย่างเดียวนี้มันก็น่าตกใจมากพอแล้ว เมื่อเทียบกับเขา แม้แต่กระทั่งจื่อหยูเย่ก็จะถูกทับให้หายไป


 


“เจ้ามีความสามารถมากพอที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้า หากเจ้าเต็มใจ” ชายที่โดดเด่นกล่าว


 


เมื่อเขาพูด ทุกคนในปัจจุบันกลายเป็นตกตะลึงและตกลงไปสู่ความเงียบงัน


บทที่ 264


ภูเขาลูกแรก


 


มีความสามารถมากเกินพอที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรก?


ทุกคนรู้สึกไร้เรี่ยวแรง


 


มันเป็นความจริงที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจื่อหยูเย่ได้ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกเช่นกัน แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพยุทธ์เร้นลับคนที่สองได้


 


ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ในทำนองเดียวกัน แต่เขากลับมีสิทธิ์เกินพอที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรก


 


เกี่ยวกับการที่หลี่ฟู่เฉินผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ด ประตูโลก ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นไปได้


 


ในความคิดของพวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้


 


เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อน


 


“ข้าคิดว่าเขาจะต้องทำผลลัพธ์ที่ท้าทายสวรรค์ได้ในประตูซักบานหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับเลือกจากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรก” มีบางคนสันนิษฐาน


 


“บางทีความสามารถของเขาอาจจะเหมาะสมกับผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกมากก็เป็นไปได้”


 


“ข้าเกรงว่ามันจะไม่ได้มีแค่เหตุผลนี้เหตุผลเดียวนะสิ ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกกล่าวไว้ว่าความสามารถของเขามีมากเกินพอ ดังนั้นจึงไม่ง่ายนัก จากสิ่งที่ข้าเห็น เขาต้องมีผลงานที่โดดเด่นในประตูบานที่สองหรือประตูบานที่สามประตูจากหกประตู”


 


ทุกคนตั้งสมมติฐาน


 


กึ๋ด!


 


จื่อหยูเย่กำหมัดแน่น ความโกรธอัดแน่นอยู่ในดวงตาของเขา


 


เขาเป็นคนแรกที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขากลับถูกเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์คนที่สอง และเขาก็แทบจะไม่ผ่านเกณฑ์เสียด้วยซ้ำ


 


หลี่ฟู่เฉินออกมาทีหลัง แต่เขาก็ถูกเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรก และเขายังมีความสามารถมากเกินพอ


 


ผู้ที่เย่อหยิ่งประดุจราชาเช่นเขาจะสามารถยอมรับการปฏิบัติเช่นนั้นได้อย่างไร


 


“ข้าไม่เข้าใจ” จื่อหยูเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและดุดัน


 


ชายผู้โดดเด่นมองมา “ทำไมเจ้าไม่เข้าใจอะไร?”


 


“ข้าเชื่อว่าข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา นอกจากนี้ข้ายังเป็นคนแรกที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก” จื่อหยูเย่ชั่งใจ


 


“เขาเข้าประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ด ประตูแห่งโลก”


 


ชายผู้โดดเด่นไม่ได้กล่าวว่าหลี่ฟู่เฉินผ่านประตูแห่งโลกหรือไม่ เขากล่าวอย่างง่ายๆ ว่าหลี่ฟู่เฉินเข้าไป


 


หลี่ฟู่เฉินรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจของเขา ก็ในเมื่อเขาคิดว่าชายที่โดดเด่นจะกล่าวผลลัพธ์ของเขา เขาอาจจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ส่วนลึกในใจของเขาแท้จริงแล้วไม่ต้องการเปิดเผย


 


เขาไม่ได้คาดหวังว่าชายที่โดดเด่นจะช่วยเขาปกปิดผลลัพธ์ที่แท้จริง และเพียงแค่บอกว่าเขาเข้าสู่ประตูแห่งโลก


 


“เขาเข้าไปในประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ด ประตูแห่งโลก?” ดวงตาของจื่อหยูเย่หดตัวลง


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนกลายเป็นตื่นตะลึง


 


ปรากฎว่าผลของจื่อหยูเย่ไม่ได้เป็นที่ 1


 


หลี่ฟู่เฉินเป็นอันดับ 1


 


สาเหตุที่หลี่ฟู่เฉินออกมาช้ากว่าจื่อหยูเย่ เป็นเพราะเขาเข้าไปในประตูโลก ด้วยเหตุนี้เขาจึงล่าช้า


 


“คนแรกที่เข้าสู่ประตูโลก?” ทุกคนหายใจเข้าลึก


 


ผลลัพธ์นี้ไม่เพียง แต่เหนือกว่าจื่อหยูเย่ มันกระทั้งเหนือกว่าสามคนก่อนหน้านี้ที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก ในแง่ของศักยภาพโดยกำเนิด เขาอยู่เหนือสามราชาดาราและยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก ไม่มีใครเทียบเขาได้อย่างแท้จริง


 


“เขาเป็นศิษย์นิกายวารีครามเรา?”


 


เฉินหยวนหูและเซี่ยเฟิงจ้องมองอย่างว่างเปล่า


 


ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ พวกเขาสองคนรู้สึกว่าหลี่ฟู่เฉินมีความมั่นใจมากเกินไปทั้งยังโฉดเขลา


 


แต่ข้อเท็จจริงบอกพวกเขาแล้วว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นเพียงแค่คนที่รักษาตัวตนอันต่ำต้อยเอาไว้


 


การเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ และการเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอันดับหนึ่ง เป็นแนวคิดสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


สามคนก่อนหน้านี้ที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก ไม่มีใครสามารถเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกและคนที่สองได้


 


“นี่คือผู้ท้าทายสวรรค์ที่แท้จริง?”


 


เซี่ยเฟิงพูดไม่ออก


 


ในฐานะศิษย์ของนิกายสารีคราม เขารู้เกี่ยวกับรากฐานของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินเป็นเพียงโครงกระดูก 1 ดาว และเขาก็ได้ทำลายกฎแล้วเหตุผลไปนับไม่ถ้วน มันได้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนนับไม่ถ้วนตลอดเส้นทาง


 


เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลังจากที่มาถึงแคว้นร้อยเทพยุทธ์แล้ว มันก็ยังคงเหมือนเดิม


 


“น่าสนใจ ข้าคาดหวังการจัดอันดับดาราครั้งต่อไปมากกว่าเดิมอีก” ชูมู่หยูจ้องไปที่ร่างของหลี่ฟู่เฉิน ขณะที่รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าของเธอ


 


ในฐานะที่เป็นโครงกระดูก 6 ดาว การพึ่งพาที่ดีที่สุดก็คือการพึ่งพาตัวเธอเอง


 


เขตแดนเส้นทางดวงดาวและเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเป็นเพียงการพบกันตามโชคชะตาแต่เพียงเท่านั้น


 


แม้จะไม่มีการเผชิญหน้าในโชคชะตาเช่นนี้ เธอก็เชื่อว่าตัวเธอเองก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกได้ แต่ในตอนนี้ การพบกันด้วยโชคชะตาครั้งนี้งเธอด้อยกว่าเล็กน้อย และสำหรับเธอ มันก็ไม่ได้มีอิทธิพลต่อเธอมากนัก


 


“น่าสนใจ” เซี่ยฮัวชือยิ้มเย็นชา


 


มันเป็นคำอธิบายเดียวกัน แต่เมื่อกล่าวโดยบุคคลสองคนที่แตกต่างกัน มันมีความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


เมื่อชูมู่หยูกล่าว มันเป็นจิตวิญญาณสู้รบอย่างหนึ่งที่ถูกปลุกขึ้นมา


 


แต่เมื่อถูกกล่าวโดยเซี่ยฮัวชือ มันมีเจตนาสังหารที่น่าสยดสยองผุดขึ้นมา


 


“ถ้าชื่อเสียงของใครคนหนึ่งยิ่งใหญ่เกินไป มันก็จะเหมือนกับการขุดหลุมฝังศพตัวเอง” เซี่ยฮัวชือกระซิบ


 


หลังจากได้รับคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกแล้ว จื่อหยูเย่ก็ไม่ได้กล่าวอีกต่อไป


 


เขาจะกล่าวอะไรได้อีก? เขาเพียงแค่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก แต่หลี่ฟู่เฉินไม่เพียงสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้เท่านั้น แต่เขายังมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ดด้วยเช่นกัน เข้าสู้ประตูแห่งโลก


 


แต่ผู้ที่หยิ่งผยอง จะไม่ยอมรับความล้มเหลว


 


เขาแค่ยอมรับว่าเขาไม่ได้ไร้ที่ติ แต่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอน


 


อย่างน้อย หลี่ฟู่เฉินในปัจจุบันก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเขาแน่นอน


 


ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาจะรักษาความได้เปรียบนี้ต่อไป และเขาจะไม่ยอมให้หลี่ฟู่เฉินมีโอกาสแซงหน้า หรือแม้แต่กระทั้งไล่ตามเขาทัน


 


หลังจากหายใจออกช้าๆ จื่อหยูเย่หยุดกล่าว ในขณะที่สายตาของเขาดูดุดันยิ่งขึ้น จากนั้นก็ปลดปล่อยสภาวะพลังฉีที่โดดเด่นออกมา


 


ผู้อาวุโสผมขาวพยักหน้าด้วยความเห็นชอบ


 


ผู้ที่สามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้นั้นไม่ใช่คนที่บ้าบิ่น หากจื่อหยูเย่ยังคงยืนกรานต่อไป ผู้อาวุโสผมขาวก็จะดูถูกจื่อหยูเย่แทน แต่จื่อหยูเย่ไม่ได้ยืนกรานที่จะคัดค้านต่อ แต่เขาก็ไม่ท้อถอยเช่นกัน จิตวิญญาณของเขายังคงดูเผด็จการผิดธรรมดา


 


ดอกไม้สีแดงมีหลายชนิด มนุษย์เองก็มีหลายประเภทเช่นกัน


 


บางคนมีนิสัยเย็นชาและเฉยเมย


 


บางคนก็มีอารมณ์ร้อนแรง


 


บางคนก็เผด็จการ


 


บางคนก็โหดเหี้ยม


 


บางคนก็ซื่อสัตย์และใจกว้าง


 


ไม่มีความเหนือกว่าในด้านอารมณ์ ความเหนือกว่าที่แท้จริงอยู่ในความคิดของคนๆ หนึ่ง


 


เห็นได้ชัดว่านิสัยใจคอของจื่อหยูเย่เย่ออหยิ่งและเผด็จการ มองตัวเองว่ามีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่ดูถูกคนอื่นๆ รอบข้างไปด้วย แต่ความคิดของเขาค่อนข้างดีและเขาจะไม่ทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล


 


หลังจากที่ศิษย์ในสายและศิษย์ส่วนตัวทั้งหมดได้รับการคัดเลือกแล้ว ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ถูกเคลื่อนย้ายออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ


 


“ตามข้ามา!”


 


ชายที่โดดเด่นกล่าวกับหลี่ฟู่เฉินและชายหนุ่มอีกคน


 


ชายหนุ่มคนนี้เป็นศิษย์ในสายที่ชายที่โดดเด่นรับเข้ามา


 


“ขอรับ” พวกเขาสองคนพยักหน้าและเดินตามผู้ชายที่โดดเด่นไป


 


ด้วยเคลื่อนที่แผ่ออกมาจากมือ แสงก็เข้ามาปกคลุมหลี่ฟู่เฉินและชายหนุ่ม ขณะที่ทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นบนภูเขาทันที


 


ภูเขาแห่งนี้เป็นที่ที่ชายผู้ที่โดดเด่นไว้ใช่บ่มเพาะ… ภูเขาลูกแรก


 


***


 


ภายนอกเขตแดนเร้นลับ


 


“พวกเขาออกมาแล้ว! พวกเขาออกมาแล้ว!”


 


ทันทีที่ผู้ที่พลาดการคัดเลือกถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากเขตแดนเร้นลับ ก็เริ่มมีการสนทนากันอย่างดุเดือด


 


“สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร” มีคนถาม


 


หนึ่งในคนที่ล้มเหลวกล่าวด้วยความเจ็บปวด “จื่อหยูเย่ถูกเลือกเป็นศิษย์ส่วนตัวโดยผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนที่สอง หลี่ฟู่เฉินถูกผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกรับเข้าไปเป็นศิษย์ส่วนตัวของเขา ตามที่ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกกล่าวว่า หลี่ฟู่เฉินไม่เพียงแค่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกเท่านั้น เขาแม้แต่กระทั้งเข้าไปยังประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ด ประตูแห่งโลก…”


 


คนนี้อธิบายง่ายๆ นี้ทำให้ทุกคนตะลึง


 


เขาเข้าไปในประตูแห่งโลก?


 


เขากลายเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรก?


 


นี่มันเกินจริงไปแล้ว!


 


แม้แต่กระทั้งสามราชาดาราก็ไม่สามารถบรรลุได้!


 


ทำไมเขาถึงทำได้?


 


ผู้คนจากนิกายสวรรค์ปีศาจต่างก็ตกตะลึง


 


พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ฟู่เฉินจะได้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจเช่นนี้


 


นิกายสวรรค์ปีศาจจะไม่มีทางจัดการเขาได้จริงๆ หรือ?


 


เป็นความจริงที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกและคนที่สองเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดจะเทียบเคียงได้ นิกายสวรรค์ปีศาจสามารถทำให้หลี่ฟู่เฉินขุ่นเคืองได้จริงหรือ?


 


จะเป็นอย่างไรหากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับมุ่งมั่นที่จะกำจัดนิกายสวรรค์ปีศาจโดยการทุ่มหมดหน้าตัก? ใครจะช่วยพวกเขาได้?


 


“เรื่องนี้ต้องได้รับการพิจารณาใหม่ ให้พวกเรากลับไปรายงานยังท่านเจ้านิกายก่อน”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์ปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่นและรวดร้าว


 


ประตูของพระราชวังค่อยๆ ปิดลง และในครั้งต่อไปที่เปิด มันจะเป็นอีกสามเดือนนับจากตอนนี้


 


บนยอดเขา ทุกคนเริ่มจากไปและกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง


 


ปากต่อปาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหลี่ฟู่เฉิน ไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก ก่อนที่มันจะแพร่กระจายไปยังนิกายต่างๆ ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก


บทที่ 265


กระบวนดาบระดับปฐพี


 


ภูเขาลูกแรก


ห้องโถงของที่พำนักแรก


 


ชายผู้โดดเด่นในตอนนี้อาจมีเพียงหลีฟู่เฉินซึ่งเป็นศิษย์หลักเพียงคนเดียวของเขา แต่เขาก็มีลูกศิษย์ในสายมากมาย นอกเหนือจากผู้ที่อยู่อย่างสันโดษ ส่วนลูกศิษย์ที่เหลือรออยู่ในห้องโถงของที่พำนัก


 


“ในอนาคตเขาจะเป็นผู้อาวุโสชิเซียงของพวกเจ้า”


 


ชายผู้โดดเด่นเดินไปทางขวา ขณะที่เขาชี้ไปยังหลี่ฟู่เฉินและกล่าวกับคนอื่นๆ ที่เหลือ


 


“ทักทายผู้อาวุโสชิเซียง”


 


ภายใต้สายตาที่เอาใจใส่ของชายผู้โดดเด่นคนนั้น ไม่มีใครกล้าแสดงความไม่สุภาพ แม้ว่าในใจของพวกเขาจะไม่รู้สึกแบบนี้ก็ตาม


 


การแสดงออกของ หลี่ฟู่เฉิน เป็นไปตามปกติ แต่เขาก็สามารถมองเห็นความเป็นศัตรู และอาการเหยียดหยามในสายตาของพวกเขาได้


 


อันที่จริง ศักยภาพโดยกำเนิดเป็นอะไรที่ค่อนข้างคลุมเครือ ในขณะที่ความแข็งแกร่งเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง


 


ด้วยศักยภาพสูงที่มีมาตั้งแต่กำเนิด มันมีแต่จะทำให้เกิดความอิฉาริษยาและการไม่ยอมรับ


 


แต่ถ้าความสามารถของเจ้าน่ากลัว คนอื่นอาจอิจฉา แต่พวกเขาจะก็กลัวเจ้ามากยิ่งกว่า


 


สามราชาดาราได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในสามอันดับแรกในการจัดอันดับดารา แต่ทุกคนเชื่อหรือไม่?


 


มันไม่สมเหตุสมผลเลย


 


เป็นที่คาดกันว่ามีผู้คนมากมายที่ต้องการจะทำให้สามราชาดาราตกลงจากหลังม้า


 


ดังนั้นในหัวใจของหลี่ฟู่เฉินกระจ่างชัดและเปิดกว้างขึ้นมาก เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วว่าศักยภาพโดยธรรมชาติเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงอนาคต ในขณะที่ความสามารถเป็นอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงปัจจุบัน


 


อนาคตไม่อาจคาดเดาได้ แต่ปัจจุบันคือความจริง และไม่มีอะไรอื่นอีก


 


หากเจ้าต้องการให้คนอื่นเคารพเจ้า เป็นที่น่าเกรงกลัว เจ้าก็จำเป็นต้องมีความสามารถที่น่าเชื่อถือ


 


หากหลี่ฟู่เฉินคิดว่าเพราะเขาผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ดได้ และมีศักยภาพโดยกำเนิดเป็นอันดับ 1 ในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ทุกคนจะต้องให้ความเคารพเขา เช่นนั้นเขาก็คงคิดผิด มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


“ข้าคิดว่าหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง ผู้คนจะถือโอกาสท้าประลองกับข้า!” หลี่ฟู่เฉินคิดในใจ


 


“เจ้าทุกคนออกไป!” ชายที่โดดเด่นโบกมือของเขา


 


ต่อหน้าลูกศิษย์เหล่านี้ เขาจะให้คำแนะนำแก่พวกเขาเมื่อใดก็ตามที่เขามีอารมณ์เท่านั้น เมื่อถึงวันนึง พวกเขาทั้งหมดก็จะ “พัฒนาขึ้นและดับสูญไปด้วยตัวเอง”


(หมายเหตุ TL: หมายถึงการออกไปฝึกฝนด้วยตนเอง)


 


หลังจากได้ยินคำสั่ง นอกเหนือจาก หลี่ฟู่เฉินแล้ว คนอื่นๆ แม้แต่กระทั้งชายหนุ่มที่ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ในสายก็เดินออกไป


 


“เจ้าชื่ออะไร?” ชายที่โดดเด่นถาม


 


หลี่ฟู่เฉินตอบ “อาจารย์ ศิษย์ผู้นี้ชื่อหลี่ฟู่เฉิน!”


 


“หลี่ฟู่เฉินงั้นหรือ?” ชายผู้โดดเด่นยิ้ม “เป็นชื่อที่ดี”


 


ชื่อของบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาของคนๆ หนึ่ง ชื่อ หลี่ฟู่เฉิน เป็นชื่อที่ดี


(หมายเหตุ TL: ชื่อของหลี่ฟู่เฉินจริงๆ แล้วหมายความว่า ธุลีที่ร่องลอย)


 


ชายผู้โดดเด่นกล่าวต่อ “เจ้าโชคดีมากเต๋าแห่งดาบ เป็นเต๋าหลักของข้า และในพื้นที่นี้ ข้าสามารถให้คำแนะนำที่ดีที่สุดแก่เจ้าได้”


 


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดคนมีความเชี่ยวชาญในทักษะบางอย่าง ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกและคนที่สองที่เชี่ยวชาญในเต๋าแห่งดาบ


 


แน่นอนว่าทั้งสองคนที่เป็นเต๋าแห่งดาบ ก็ยังมีข้อแตกต่างกัน


 


เต๋าแห่งดาบบางอย่างก็อิสระมากและไม่ได้ถูกยับยั้งโดยสิ่งใด


 


เต๋าแห่งดาบบางอย่างก็ซื่อตรงและมีระบบ เป็นจิตวิญญาณซึ่งคงอยู่ได้นานนิจนิรันดร์


 


เต๋าแห่งดาบบางอย่างไร้อารมณ์ ไร้หัวใจ และไร้มนุษยธรรม


 


เต๋าแห่งดาบบางอย่างก็ยึดมั่นในมันเองว่ามีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นดาบของกษัตริย์


 


เต๋าแห่งดาบบางอย่างก็ไม่สามารถควบคุมได้ และไม่คำนึงถึงความดี และความชั่ว


 


……


 


มีดาบหลายชนิด และแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน


 


เต๋าแห่งดาบของบุรุษที่โดดเด่นเป็นขอเต๋าแห่งดาบประเภทแรก … เต๋าแห่งดาบที่เป็นอิสระ


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า เขารู้สึกได้ถึงเจตจำนงแห่งดาบที่ไม่ชัดเจน ซึ่งมาจากชายที่โดดเด่น


 


ชายที่โดดเด่นถาม “ข้าขอถามเจ้า เต๋าแห่งดาบคืออะไร?”


 


หลี่ฟู่เฉินครุ่นคิดสักครู่แล้วตอบกลับ “ดาบที่เอาไว้ใช้สังหาร นั่นคือเต๋าแห่งดาบ”


 


“มันไม่ง่ายเกินไปหรือ?” ชายที่โดดเด่นถาม


 


หลี่ฟู่เฉินตอบ “มันง่ายที่สุด และตรงกับความจริงที่สุด หากดาบไม่สามารถสังหารใครได้ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเต๋าแห่งดาบ หรืออย่างน้อยมันก็เป็นเต๋าแห่งดาบที่ไม่สมบูรณ์”


 


ชายผู้โดดเด่นหัวเราะ “ก็จริงที่ดาบมีไว้สำหรับการสังหาร แต่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าไม่มีดาบ?”


 


“สร้างดาบขึ้นมา!”


 


คำตอบของหลี่ฟู่เฉินไม่ได้เกิดจากการคิดอย่างรอบคอบ แต่เป็นความเข้าใจส่วนตัวของเขา


 


ตอนนี้เขาไม่ได้หาความรู้ และไม่จำเป็นต้องทำอะไรเป็นพิธีมากนัก เขาแค่ต้องทำตามความเข้าใจ


 


ชายที่โดดเด่นเข้ามาหาหลี่ฟู่เฉินในระยะประชิด “เจ้าเหมาะกับเต๋าแห่งดาบของข้ามากนัก ดาบมีไว้เพื่อสังหาร แต่ดาบก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดาบ มันคือทุกสิ่งที่อาจเป็นดาบได้ ความแตกต่างก็คือคนที่ใช้มัน ยกตัวอย่างเช่นกิ่งไม้ ถ้ามันอยู่ในมือของนักดาบเช่นนั้นแล้วมันก็คือดาบ ไม่เชื่อก็ตามมาดู”


 


ชายผู้โดดเด่นแกว่งมือ ในขณะที่มีพลังงานลึกลับโอบล้อมทั้งสองคนไว้ ขณะที่พวกเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ทั้งสองคนก็มาถึงยอดเขาที่ไม่มีใครอยู่


 


บนยอดเขา มีต้นไม้ไม่มากนัก และมีลมพัดรุนแรง


 


เมื่อทั้งสองคนลงไปยังพื้นดิน เสื้อผ้าของพวกเขาก็ปลิวไปตามสายลมทันที


 


ชายผู้โดดเด่นกล่าวว่า “ประตูเทพยุทธ์เร้นลับแปดประตูอาจดูเหมือนว่าพวกมันทดสอบคุณสมบัติมากมาย แต่คุณสมบัติทั้งหมดนั้นสามารถรวมอยู่ในกระบวนดาบได้”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หนึ่งเป็นการทดสอบความสามารถในการจัดการกับพลังฉี”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สองทดสอบความแข็งแกร่งของรากฐานและเจตจำนงจากจิตวิญญาณ”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สามทดสอบความแข็งแกร่งในการระเบิดพลัง และจิตวิญญาณ”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่สี่ทดสอบความเร็วในการตอบสนองและการรับรู้”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าทดสอบความคิดสร้างสรรค์ของคนๆ หนึ่ง”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ทดสอบความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของคนๆ หนึ่ง”


 


“ส่วนประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่เจ็ดมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้”


 


ชายผู้โดดเด่นหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “จงดูให้ดีๆ”


 


ขณะที่เขากล่าว พลังฉีที่เบาบางไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา จากสภาวะพลังฉีที่ปรากฏ มันเป็นเพียงแค่คนที่อยู่ในขอบเขตต้นกำเนิดแต่เพียงเท่านั้น


 


ปิสสส!


 


ชายที่โดดเด่นถือกิ่งไม้แห้งแล้วพุ่งไปข้างหน้า


 


หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถมองเห็นวิถีการเคลื่อนไหวของมือชายที่ผู้โดดเด่นผู้นั้นได้ เขามองเห็นแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่บนยอดเขาเท่านั้น มันมีรอยทะลุออกทันที และไม่ใช่แค่รอยเดียว แต่มันมีนับไม่ถ้วน


 


แคร็ก!


 


ต้นไม้ขนาดใหญ่ถล่ม และโค่นลงมา


 


“เป็นกระบวนท่าที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินหรี่ลง


 


จากกระบวนท่าเดียวนี้ หลี่ฟู่เฉินมองเห็นถึงอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง


 


ขอบเขตพลังอยู่ที่ขอบเขตต้นกำเนิดเท่านั้น แต่มันก็ถูกใช้ออกได้อย่างได้ไร้ที่ติ โดยไม่มีการใช้พลังไปอย่างสูญเปล่า


 


ความแข็งแรงของรากฐานไม่มีร่องรอยของการสะเทือนตั้งแต่ต้นจนจบ และมีความสม่ำเสมออย่างมาก


 


ความแรงในการระเบิดถูกซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ซึ่งนี้ทำให้มันน่ากลัวยิ่งขึ้น


 


ความเร็วในการตอบสนองและการรับรู้ ทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก


 


ในระยะสั้นๆ จากกระบวรดาบเพียงครั้งเดียว หลี่ฟู่เฉินพบเห็นอะไรมากมาย ในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน


 


เขากลัวว่าเขาอาจจะสัมผัสไม่ได้ทุกอย่าง


 


ชายที่โดดเด่นมองไปยังหลี่ฟู่เฉินและกล่าว “หากเจ้าสามารถควบคุมดาบนี้ได้ 10% เจ้าจะสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูง และหากเจ้าสามารถควบคุมได้ 20% มันก็เพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว ที่จะเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงสุด”


 


“นี่คือกระบวนดาบกระดับปฐพี?” หลี่ฟู่เฉินถาม


 


ยิ่งดาบเคลื่อนที่ได้แรงตามความต้องการเท่าไหร่ คุณสมบัติต่างๆ ก็จะสูงยิ่งขึ้นเท่านั้น


 


เนื่องจากข้อจำกัดระดับการฝึกฝนและเวลาในฝึกฝน เขาจึงยังไม่สามารถเข้าใจเจตจำนงระดับลึกลับขั้นสูงเจตจำนงดาบเพลิงปีศาจได้


 


แต่ถ้าเป็นไปตามที่ชายผู้โดดเด่นกล่าว เมื่อเขาควบคุม 10% ของกระบวนดาบนี้ได้ เขาก็จะสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงได้ล่วงหน้า


 


ชายที่โดดเด่นอธิบายว่า “นี่เป็นเพียงกระบวนดาบธรรมดาๆ แต่ข้าเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบระดับปฐพีแล้ว ด้วยเหตุนี้กระบวนดาบที่ใช้ออกง่ายๆ จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นกระบวนดาบระดับปฐพี”


 


“เจตจำนงแห่งดาบระดับปฐพี?”


 


ในตอนแรกหลี่ฟู่เฉินคิดว่าผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดคนนี้เป็นเพียงนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด แต่เขารู้แล้วว่าตอนนี้เขาคิดผิด


 


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดคนนี้น่าจะมีอายุมากกว่าการดำรงอยู่ของนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดเสียอีก


 


แต่เป็นเพราะข้อจำกัดจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแสดงความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาได้ หลังจากที่พวกเขาออกไป


 


นอกจากนี้ ทุกครั้งที่พวกเขาออกไปจากเขตแดนที่อาศัยอยู่ พวกเขาจะต้องจ่ายราคามหาศาล


 


ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เพียงแค่กระบวนดาบระดับปฐพีอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกได้ทันที


 


หาก เขตแดนเส้นทางดวงดาวเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนของคนผู้หนึ่ง เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับก็มีประโยชน์ต่อทักษะต่อสู้ของคนๆ หนึ่ง


 


สองปัจจัยที่แตกต่างกัน หนึ่งปัจจัยสำหรับภายใน และอีกหนึ่งปัจจัยสำหรับภายนอก ไม่มีอย่างไหนที่ไม่จำเป็น


 


“เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงได้ในระยะเวลาสั้นๆ เป้าหมายแรกที่ข้าคิดไว้ให้เจ้า คือการสร้างท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางที่แข็งแกร่งเพียงพอ” ชายผู้โดดเด่นรู้ดีว่ามันยากเกินไปสำหรับหลี่ฟู่เฉิน ในการเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงได้ในทันที


 


เจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงเป็นสิ่งที่มีเพียงนักสู้ขอบเขตสวรรค์เท่านั้นที่สามารถทำความเข้าใจมันได้อย่างไม่ต้องคิดใดๆ มากนัก เพราะมีหลายครั้งที่ระดับการฝึกฝนอาจไม่เพียงพอ พลังงานทั้งหมดที่ต้องใช้ไปจะเป็นสิบเท่าของความต้องการ


บทที่ 266


ท่าสังหารที่สอง


 


จากนี้ไป หลี่ฟู่เฉินต้องใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อสร้างท่าสังหาร


หากเขาถูกขอให้สร้างท่าสังหารก่อนหน้านี้ เขาก็คงทำได้เพียงแค่สร้างท่าสังหารใหม่ที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับท่าสังหารแรกที่เขาสร้างขึ้น แต่ในตอนนี้ ด้วยคำแนะนำจากชายที่โดดเด่น แนวทางในการสร้างท่าสังหารของเขาจึงกว้างขึ้นมาก เขาเองก็เริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านั้นได้แล้ว


 


เช่นเดียวกับการควบคุมพลังฉี การมีความแข็งแกร่งของฐานราก และความรุนแรงในการระเบิดพลัง นอกเหนือจากนั้น เขาก็เริ่มใส่เจตจำนงแห่งจิตวิญญาณลงไปด้วยเช่นกัน เพื่อให้ท่าสังหารเต็มไปด้วยพลังฉีสังหาร


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่าเจตจำนงแห่งงดาบระดับลึกลับขั้นกลางของเขากำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และกำลังเข้าใกล้เจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงอย่างช้าๆ


 


บนภูเขาลูกที่สอง…


 


ผู้อาวุโสผมขาวกำลังให้คำแนะนำบางอย่างแก่ จื่อหยูเย่ ในระหว่างสองสามวันนี้


 


การฝึกฝนของ จื่อหยูเย่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว แต่หลังจากได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสผมขาวแม้ว่าเขาจะไม่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังคงพัฒนาไปในทิศทางที่ต่างจากเดิม


 


“เต๋าแห่งดาบของข้าคือเต๋าแห่งดาบที่เผด็จการ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเต๋าแห่งดาบราชาของเจ้ามาก ข้าจะมอบคำกล่าวให้เจ้าซักประโยคสองสามประโยคเพื่อให้เจ้าสามารถนำมันไปพิจารณาได้ตลอดเวลา” ผู้เฒ่าผมขาวกล่าว “เต๋าแห่งดาบราชาเป็นเต๋าที่เกี่ยวกับการปกครอง ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุมของเจ้า แม้แต่กระทั่งดาบในมือของเจ้าเองก็ตาม ดังนั้นแล้ว เจ้าต้องมีหัวใจราชาแห่งดาบ การกระทำของเจ้าอาจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่ความคิดของเจ้าต้องเต็มไปด้วยคุณค่า เมื่อถึงวันที่เจ้าสามารถเชี่ยวชาญดาบในมือของเจ้าเช่นนั้นได้ ความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบรูณ์”


 


“หัวใจราชาแห่งดาบ?” จื่อหยูเย่กำลังไตร่ตรองคำพูดเหล่านี้อย่างรอบคอบ


 


ผู้เฒ่าผมขาวกล่าวต่อว่า “โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วน แต่บางคนก็ต้องดับสูญราวกับคนทั่วไป เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจเส้นทางที่ต้องเดินต่อไป ศักยภาพโดยกำเนิดของคนๆหนึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่จะประสบความสำเร็จ และเป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาไปได้ไกลโดยอาศัยศักยภาพที่มีมาแต่กำเนิด การมีจิตใจที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ที่แท้จริงได้”


 


ผู้อาวุโสผมขาวลอยออกไปหลังจากกล่าวจบ


 


ศักยภาพโดยกำเนิดของจื่อหยูเย่อาจไม่เพียงพอที่จะเป็นศิษย์หลักส่วนตัวของเขา แต่ตั้งแต่ที่เขาพาจื่อหยูเย่เข้ามาแล้ว เขาต้องให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่เขา นอกจากนี้ ภายในจิตใจของเขา เขาไม่คิดว่าศักยภาพโดยกำเนิดเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง


 


หากศักยภาพโดยธรรมชาติเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง เมื่อนั้นโลกนี้ก็คงจะน่าเบื่อยิ่ง


 


โชคชะตาจะเป็นแค่เรื่องตลก


 


“หัวใจราชาแห่งดาบ!”


 


ดวงตาของจื่อหยูเย่เต็มไปด้วยแสงแห่งราชา เขากำหมัดแน่นและคิด ‘ดาบของข้าต้องเหนือกว่าทุกสิ่งในโลกมนุษย์ ถึงจะคู่ควรกับหัวใจเต๋าแห่งดาบราชา’


 


บนภูเขาลูกที่สาม…


 


ชายผู้มีดวงตาอิทผลัมกำลังนำทางชูมู่หยู


 


ในความคิดของเขา ชูมู่หยูก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจื่อหยูเย่


 


สิ่งเดียวที่เธอขาดก็คืออายุและประสบการณ์


 


ถ้าชูมู่หยูมาพยายามที่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับช้าอีกซักสองสามปี มันก็คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอที่จะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก


 


เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับอาจเรียกได้ว่ายุติธรรม แต่ในความเป็นจริงสถานที่แห่งนี้มันไม่มีความยุติธรรมแต่อย่างใด


 


แต่ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมอย่างแท้จริง


 


เพราะบางครั้ง บางครั้งความยุติธรรมก็อาจจะแฝงความไม่ยุติธรรมเอาไว้


 


แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนหลี่ฟู่เฉิน ที่มีความสำเร็จเช่นนี้เมื่ออายุยี่สิบปี


 


“ชูมู่หยูข้าอาจจะเป็นเพียงอันดับที่ 3 ของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ แต่ตราบใดที่ศักยภาพโดยกำเนิดของเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า ข้าก็มั่นใจได้ว่าความเร็วในการก้าวหน้าของเจ้าจะไม่แพ้ใครเลย นอกเหนือเสียจากหลี่ฟู่เฉิน” ชายผู้มีดวงตาสีอิทผลัมกล่าวอย่างมั่นใจ


 


ความมั่นใจของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่เข้าใจในตัวชูมู่หยูแล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้มีความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะต่อสู้อย่างลึกซึ้ง และสามารถเข้าใจหลายสิ่งได้ด้วยการแนะนำเพียงครั้งเดียว


 


“ขอบคุณท่านมาก ท่านอาจารย์ มู่หยูจะตั้งใจฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง”


 


ชูมู่หยูมั่นใจมากเกี่ยวกับการรับรู้ของเธอเอง เจตจำนง และการฝึกฝนของเธอในตอนนี้อาจเทียบไม่ได้กับจื่อหยูเย่ แต่การรับรู้ในด้านการต่อสู้ของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย


 


***


 


สำหรับหลี่ฟู่เฉิน การสร้างกระบวนดาบถือว่าง่ายและยังดูท้าทายอีกด้วย


 


ขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการสร้างกระบวนดาบแบบไหน


 


เป็นท่าสังหารแบบธรรมดา หรือท่าสังหารที่น่ากลัว


 


เห็นได้ชัดว่าถ้าเขาสร้างท่าสังหารแบบปกติ มันจะเป็นการสร้างความน่าละอายใจให้กับอาจารย์ของเขา ดังนั้น ถ้าหลี่ฟู่เฉินต้องการสร้างท่าสังหาร มันก็ต้องเป็นการสังหารที่น่ากลัวอย่างแน่นอน


 


พลังของท่าสังหารจะต้องมากกว่าท่าสังหารแรกของหลี่ฟู่เฉิน ‘ดาบหลั่งไหล’


 


นอกจากนี้ สำหรับท่าสังหารใหม่นี้ หลี่ฟู่เฉินไม่ได้วางแผนหลอมรวมเจตจำนงแห่งดาบสองเจตจำนงที่แตกต่างกัน


 


เจตจำนงเดียวก็เพียงพอแล้ว


 


เขาเลือกเจตจำนงดาบดาวตก


 


เจตจำนงดาบดาวตกเป็นเจตจำนงแห่งดาบที่มีพลังโจมตีสูง ตราบใดที่ความสามารถในการสร้างสรรค์ของหลี่ฟู่เฉินมีความสามารถเพียงพอ เขาก็สามารถสร้างท่าสังหารที่เหลือเชื่อได้ สร้างท่าสังหารที่เหนือกว่า ‘ดาบหลั่งไหล’ ออกมาได้


 


“ทำลาย!”


 


หลี่ฟู่เฉินถือกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาและมันเหวี่ยงใส่ก้อนหินขนาดใหญ่


 


ปิสสส!


 


ก่อนที่กิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาจะกระทบกับเป้าหมาย มันก็แตกกระจายตัวออกกลางอากาศ และสลายตัวไป


 


“ไม่ได้ผล การใช้พลังฉีและการระเบิดพลังของข้ายังไม่ไร้ที่ติ” หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว


 


เขากำหนดพลังของเขาไปยังขอบเขตพลังฉี แต่ก็ยังไม่สามารถฟาดฟันด้วยกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาได้


 


พลังของท่าสังหารนั้นน่ากลัวมาก ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ จึงอยู่ในระดับสูง


 


ความต้องการของชายที่โดดเด่นคือการใช้พลังฉีขอบเขตต้นกำเนิด ใช้ท่าสังหารด้วยกิ่งไม้แห้ง


 


หากหลี่ฟู่เฉินสามารถใช้ท่าสังหารได้สำเร็จ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็เป็นแค่ท่าสังหารที่มีข้อบกพร่อง


 


หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถใช้ท่าสังหารโดยใช้พลังในขอบเขตพลังฉีได้ แล้วนับประสาอะไรกับขอบเขตต้นกำเนิด


 


สำหรับเหตุผลนั้นง่ายมาก


 


หากไม่ได้รับการปรับแต่งพลังฉีอย่างเพียงพอ มันก็จะรั่วได้ง่าย และเมื่อมันรั่วออกไป มันก็จะทำให้กิ่งไม้เหี่ยวเฉาอันนั้นแตกออก


 


ยิ่งไปกว่านั้น ความแรงในการระเบิดพลังของเขาก็ไม่เพียงพอเช่นกัน


 


เมื่อชายที่โดดเด่นใช้กิ่งไม้เพื่อใช้ออกกระบวนท่า ความแข็งแกร่งในการระเบิดพลังของเขามีการระเบิดเป็นชั้นๆ และไม่ใช่แค่การระเบิดพลังออกอย่างไม่มีแบบแผนใดๆ


 


กิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาอาจยังคงแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่มันก็เกิดขึ้นในภายหลัง


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


หนึ่งสัปดาห์ต่อมา…


 


“ทำลาย!”


 


ใช้พลังของขอบเขตพลังฉี หลี่ฟู่เฉินกวัดแกว่งกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉา และพุ่งไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วและรุนแรง


 


ปั๊ง!


 


ก้อนหินขนาดใหญ่แตกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่กิ่งไม้เหี่ยวเฉาเองก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในเวลาต่อมาด้วยเช่นกัน


 


“ในที่สุดก็ทำได้แล้ว”


 


หลี่ฟู่เฉินถอนหายใจออกมา


 


ในที่พำนักแรก ชายผู้โดดเด่นยิ้มออกมา เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงอากาศบริเวณนั้น


 


การรับรู้ของหลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งเกินไป เขาสามารถบรรลุขั้นตอนนี้ได้โดยใช้เจตจำนงแห่งดาบในการระเบิดพลังมหาศาล


 


มีเจตจำนงดาบหลายล้านชนิด และบางชนิดก็ยากที่จะจัดการได้เช่นเจตจำนงแห่งดาบดาวตกของหลี่ฟู่เฉิน


 


หากเป็นเจตจำนงดาบที่ยืดหยุ่นหรือเป็นเจตจำนงแห่งดาบประเภทพลังหยิน มันก็จะจัดการง่ายกว่ามาก


 


อีกสามวันผ่านไป


 


หลี่ฟู่เฉินสามารถทำลายก้อนหินขนาดใหญ่ได้โดยที่กิ่งไม้เหี่ยวเฉาไม่ถูกทำลาย


 


“ต่อไปข้าจะเริ่มใช้มันในขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว”


 


พลังฉีในขอบเขตต้นกำเนิดโดดเด่นเกินไป และเมื่อใช้กับท่าสังหาร กิ่งไม้เหี่ยวเฉาก็จะระเบิดทันทีเมื่อเขาเคลื่อนไหว


 


แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ขาดการรับรู้ สิ่งเดียวที่เขาขาดคือพื้นฐานเต๋าแห่งดาบและเวลาในการฝึกฝน


 


ด้วยคำแนะนำจากชายที่โดดเด่น พื้นฐานเต๋าแห่งดาบของหลี่ฟู่เฉินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อพื้นฐานเต๋าแห่งดาบของเขาเพิ่มขึ้น มันก็ง่ายขึ้นที่จะทำให้ท่าสังหารสมบูรณ์แบบ เพราะในทุกวันจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่อยู่เรื่อยๆ


 


ในวันนี้…


 


หลี่ฟู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ


 


กิ่งไม้เหี่ยวเฉาที่ดูธรรมดาในมือของหลี่ฟู่เฉิน มันไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพลังฉีรั่วไหลออกมาด้านนอกแต่อย่างใด


 


“ระเบิด!”


 


เมื่อกิ่งไม้เหี่ยวเฉาถูกตวัดออก ก็เกิดประกายเป็นภาพลวงตาในอากาศ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนมีพลังระเบิดที่น่าตกใจระเบิดออกมา


 


บูม!


 


ก้อนหินขนาดใหญ่แตกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่กระทั้งผืนดินเองก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่กิ่งไม้เหี่ยวเฉาในมือของหลี่ฟู่เฉินยังคงสภาพสมบูรณ์


 


“ในที่สุดท่าสังหารที่สองก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว”


 


ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินมีประกายความร่าเริง


 


หลังจากใช้เวลาไปกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็สร้างท่าสังหารอันที่สองได้สำเร็จ


 


ท่าสังหารนี้รวดเร็ว รุนแรง และบ้าคลั่ง มุ่งเน้นให้เห็นถึงเจตจำนงดาบดาวตกได้ถึงที่สุด


 


สิ่งที่สำคัญก็คือท่าสังหารนี้ไม่ได้โจมตีบ้าคลั่งอย่างไร้ทิศทาง แต่เป็นการบ้าคลั่งอย่างมีทิศทาง


 


พลังถูกเก็บง่ำมากขึ้น และก็หนาแน่นมากยิ่งขึ้น


 


‘ข้าจะตั้งชื่อท่าสังหารท่าที่สองว่าดาบระเบิด!’ หลี่ฟู่เฉินคิดในใจ


 


ท่าสังหารท่าแรกมีชื่อว่าดาบหลั่งไหล ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินตั้งชื่อท่าสังหารท่าที่สองว่าดาบระเบิด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม