Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 246-252

 บทที่ 246


เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ


 


 


ทุกคนมองไปที่หลี่ฟู่เฉิน ตอนเริ่มพวกเขามองไปที่เขาด้วยความรังเกียจ แต่ตอนนี้พวกเขามองเขาด้วยความเคารพ


 


หลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพี แต่ก็มีความสามารถในสะกดข่มหรันเฉียนฉิวและเสี่ยวไบ๋แล้ว เขาจะน่าหวาดกลัวมากแค่ไหนหากการฝึกฝนของเขาอยู่ที่ระดับ 7 หรือ 8 ของขอบเขตปฐพี? อย่างน้อยเขาก็สมควรเป็นบุคคลที่จะอยู่ใน 50 อันดับแรกของการจัดอันดับดารา


 


พวกเขาสามารถชื่นชมการมีอยู่เช่นนั้นและทำได้เพียงฝันถึงเขาเท่านั้น


 


แม้แต่กระทั้งในหมู่อัจฉริยะด้วยกันเองก็มีช่องว่าง


 


ในนิกายของตน พวกเขาอาจอยู่ในหมวดหมู่ของอัจฉริยะหรืออัจฉริยะชั้นยอด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมด พวกเขาไม่นับว่าเป็นอะไรและเป็นได้เพียงแค่อัจฉริยะธรรมดาเท่านั้น


 


สำหรับหลี่ฟู่เฉิน ไม่จำเป็นต้องสงสัยว่าเขาต้องเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในทวีปนี้


 


ความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะชั้นยอดและอัจฉริยะธรรมดานั้นรุนแรงเกินไป และมันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเริ่มเติบโตขึ้น


 


ในหมู่พวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์เมื่ออายุ 30 หรือ 40 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นขอบเขตที่พวกเขาจะอยู่ไปตลอดชีวิต


 


สำหรับอัจฉริยะระดับทวีป โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะบุกไปยังขอบเขตสวรรค์ก่อนที่พวกเขาจะอายุ 30 ปี และส่วนใหญ่ก็จะก้าวไปสู่ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดด้วยเช่นกัน มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่พวกเขาจะพัฒนาเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณ


 


แน่นอนว่ามันเป็นเพียงความเป็นไปได้และไม่ใช่ความแน่นอน


 


เพิกเฉยต่อการจ้องมองของทุกคนและความคาดหวังของฉินเคอชือ หลี่ฟู่เฉินส่ายหัวและปฏิเสธ “ข้าไม่สนใจที่จะจัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้”


 


เขาไม่สนใจเลย เพราะการเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้เป็นเพียงการเสียเวลาสำหรับเขา


 


ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาสองปีเป็นเวลาที่ยาวนานมาก บางทีสองปีต่อมา งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ก็เป็นเพียงแค่การเล่นของเด็กๆ สำหรับเขา


 


เนื่องจากเป็นการละเล่นของเด็ก อะไรคือจุดสำคัญในการเป็นเจ้าภาพต่อไป?


 


“เขาปฏิเสธ?” ทุกคนรู้สึกหมดแรง


 


เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ คนไหนบ้างที่เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้และไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียง?


 


ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ เจ้าภาพอาจจะสามารถทำการเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับเจ้าภาพก่อนหน้านี้ได้ ซึ่งจะดีมากสำหรับการพัฒนาในอนาคตของพวกเขา


 


“น่าสนใจ!” เซียงเล่ยเผยรอยยิ้ม


 


ฉินเคอชือเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ฟู่เฉินจะปฏิเสธโอกาสนี้ เธอกล่าว “เนื่องจากหลี่ชิตี๋ไม่สนใจ เช่นนั้นฉินเคอชือก็จะไม่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์นาอึดอัดใจ เติ้งชิตี๋ เจ้าสนใจที่จะจัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ครั้งต่อไปหรือไม่?”


 


ฉินเคอชือมองไปที่ชายหนุ่มอีกคน


 


ชายหนุ่มคนนี้คือเติ้งเฟิงและเขาเป็นศิษย์หลักระดับทองอันดับ 1 ของนิกายแยกไพศาล ความสามารถของเขาอยู่ในระดับเดียวกับลั่วชิงหยู ยิ่งไปกว่านั้น เขาอายุน้อยกว่าลั่วชิงหยู ในหนึ่งปีครึ่ง เขาจะบุกเข้าไปในการจัดอันดับดาราได้อย่างง่ายดาย


 


รับฟังข้อเสนอ เติ้งเฟิงกำหมัดและโค้งคำนับ “ขอบคุณมากสำหรับความเมตตาของฉินชิเจี๋ย เติ้งเฟิงจะยอมรับมัน”


 


ในใจของเขา เขากำลังเยาะเย้ยหลี่ฟู่เฉินว่าโง่มากจนไม่ยอมรับโอกาสดีๆ เช่นนี้


 


ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูเองก็รู้สึกเสียใจกับหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน งานเลี้ยงน้ำชาฝยใบไม้เป็นเหตุการณ์ที่มีประวัติยาวนาน ย้อนหลังไปกว่าศตวรรษที่แล้ว บุคคลทั้งหมดที่ยังไม่ล่วงลับนั้นอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตสวรรค์ และหลายคนก็เป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดเช่นกัน


 


มีข่าวลือว่างานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ได้รับการสนับสนุนจากศาลาฝนใบไม้ สมาชิกของศาลาฝนใบไม้ทั้งหมดไปประกอบด้วยเจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ทั้งหมดและเจ้าภาพบางส่วนก็เป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด


 


ถ้าหลี่ฟู่เฉินได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ เช่นนั้นเขาก็จะสามารถเข้าไปในศาลาฝนใบไม้ได้โดยธรรมชาติ ถ้าเกิดเหตุขึ้น ภูมิหลังของเขาก็จะไม่ได้มีเพียงแค่นิกายวารีครามอีกต่อไป แต่เขายังเป็นสมาชิกของศาลาฝนใบไม้ด้วยเช่นกัน


 


แต่ทุกคนรู้ดีว่าอัจฉริยะอย่างหลี่ฟู่เฉินล้วนคล้ายกับหมาป่าเดียวดาย พวกเขาอาจดูเหมือนเป็นมิตร แต่จริงๆ แล้วพวกเขามีความมุ่งมั่นแน่วแน่และเมื่อได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


 


นอกจากนี้มันก็สายเกินไปที่จะเสียใจแล้วเช่นกัน


 


เมื่องานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันออกไป


 


“หลี่ฟู่เฉิน ข้าและน้องสาววางแผนที่จะกลับไปยังนิกายไร้กังวล หากเรามีโอกาสในอนาคต เราจะได้บกันอีกครั้งแน่” ฟ่านเฉียนวงอำลาหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า “เราจะได้พบกันอีกแน่นอน ขอให้เจ้าทั้งสองคนเดินทางอย่างราบรื่น”


 


ในขณะนี้เอง หลี่ฟู่เฉินได้ปฏิบัติต่อฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูในฐานะเพื่อนแล้ว


 


เมื่อฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูจากไป หลี่ฟู่เฉินก็มีร่องรอยแห่งความเหงาเกิดขึ้นอยู่ในใจ


 


แต่พอไม่นานร่องรอยแห่งความเหงาก็จางหายไป


 


ถนนเต๋าแห่งการต่อสู้เป็นเส้นทางที่โดดเดี่ยวและเงียบเหงา


 


เป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่แท้จริง หากไม่แม้แต่จะอดทนต่อความโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้


 


ด้วยความระมัดระวัง หลี่ฟู่เฉินไม่ได้กลับไปที่เมืองฝนใบไม้หลังจากลงจากภูเขาฝนใบไม้ได้แล้ว


 


การตกตายของหลี่หวูเซี่ยจะไม่ถูกตัดสินโดยเขาไม่ต้องรับผลกระทบใดๆ แน่นอน หมายจับอาจถูกยกเลิกไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่คิดว่านิกายสวรรค์ปีศาจจะไว้ชีวิตเขา หากเขากลับไปที่เมืองฝนใบไม้ เขาอาจจะพบผู้เชี่ยวชาญของนิกายสวรรค์ปีศาจเอาได้ และนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่ปรารถนาถึงมัน


 


แคว้นร้อยเทพยุทธ์มีขนาดใหญ่มากและหลังจากหลีกเลี่ยงเมืองฝนใบไม้ไปแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็ผ่านเมืองไปเรื่อยๆ


 


คราวนี้ เขาปลอมตัวให้ดูเหมือนเด็กอายุ 25 หรือ 26 ปีพิเศษเป็นพิเศษ ใบหน้านี้ของเขาแม้จะดูมีความรู้และใสซื่อ แต่ก็ยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมายที่ดูแตกต่างจากใบหน้าดั้งเดิมของเขา


 


ตอนนี้ แม้แต่กระทั้งฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูก็ไม่สามารถจดจำหลี่ฟู่เฉินในรูปลักษณ์ของเขาเช่นนี้ได้


 


รูปร่างและสภาวะพลังฉีของเขาอาจเปิดเผยตัวตนเขาได้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักเขาเป็นอย่างดีและคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาจะได้พบหน้าคุ้นตาเร็วขนาดนั้น


 


สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ก็คือหลังจากที่เขาออกจากเมืองฝนใบไม้ไปได้ไม่นาน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากนิกายสวรรค์ปีศาจก็มาถึงเมือง


 


ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจากนิกายสวรรค์ปีศาจเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นขอบเขตสวรรค์


 


น่าเสียดายที่หลี่ฟู่เฉินได้ออกจากเมืองฝนใบไม้ไปเป็นเวลานานแล้ว ด้วยเหตุนี้คนเหล่านี้จึงไม่สามารถหาเขาเจอได้


 


***


 


เมืองเมฆเขียว


 


โรงแรมเมฆเขียว


 


โรงแรมแห่งนี้สูงถึงเก้าชั้นและเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเมฆเขียว


 


บรรดาอัจฉริยะจากนิกายต่างๆ มักชอบรับประทานอาหารที่โรงแรมเมฆเขียวทุกครั้งที่พวกเขาไปเยือนเมืองเมฆเขียว นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้พวกเขาโต้ตอบและสังเกตความมหัศจรรย์อื่นๆ จากนิกายต่างๆ


 


บนชั้นห้าของโรงแรมเมฆเขียว หลี่ฟู่เฉินพบที่นั่งริมหน้าต่างและปักหลักลง


 


เมื่ออาหารถูกเสิร์ฟ หลี่ฟู่เจินกินและดื่มอย่างมีอารยธรรม


 


“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ว่าเซียวโจวชวงจากตระกูลตวนหลินได้ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับแล้ว? เขาได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ”


 


“ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า? ให้ตายเถอะ เป็นเรื่องที่น่ายกย่องจริงๆ ที่สามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับได้ตั้งแต่ครั้งแรกและมีโอกาสได้เข้าไปเป็นศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ เขาต้องไม่ใช่มนุษยธรรมเป็นแน่ ถึงสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าไปได้”


 


“เซียวโจวชวงผู้นี้คู่ควรกับการเป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวระดับท้าทายสวรรค์ คุณภาพของเขาอาจด้อยกว่าโครงกระดูก 6 ดาวเล็กน้อย แต่การรับรู้ของเขานั้นเท่ากันหรือเหนือกว่าพวกเขา ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถบรรลุถึงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจเช่นการผ่านเข้าสู่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า”


 


“เซียหวงช่วงไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเรา เราควรพูดถึงคนอื่นดีกว่า!”


 


“ถูกต้องการพูดถึง เซียหัวช่วงเป็นการบั่นทอนกำลังใจเกินไป”


 


บนที่นั่งริมหน้าต่างอีกด้าน เด็กวัยรุ่นสองสามคนกำลังดื่มเหล้า


 


“เซียวโจวชวงจากตระกูลตวนหลิน?” หลี่ฟู่เฉินนึกถึงเกี่ยวกับเซียวโจวชวง


 


ถ้าเขาเดาไม่ผิด ไม่ว่าจะเซียวโจวชวงหรือเซียวโจวชือ พวกเขาทั้งสองเป็นโครงกระดูก 5 ดาวระดับท้าทายสวรรค์จากตระกูลตวนหลิน ซึ่งหมายความว่าแม้แต่กระทั้งเซียวโจวชือก็ด้อยกว่าเซียวโจวชวงเล็กน้อย ความแตกต่างของเขาเองก็จะไม่มากไปกว่านี้นัก หากหลี่ฟู่เฉินต้องพยายามในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ เขาควรจะสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่วี่ได้เป็นอย่างน้อย


 


สำหรับตัวเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเอง มันก็เป็นเหมือนกับเขตแดนเส้นทางดวงดาว


 


ภายในเขตแดนเร้นลับนี้ มีประตูเทพยุทธ์เร้นลับอยู่แปดบานและผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอยู่แปดคน


 


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดคนเป็นนักสู้ในขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดที่มีความสามารถอันน่าทึ่ง และแต่ละคนก็เชี่ยวชาญในทักษะบางแขนงต่างกันออกไป


บทที่ 247


ดาบพยัคฆ์


 


มีข่าวลือว่าความสามารถของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์แปดคนอย่างน้อยก็เป็นของระดับยี่สิบต้นๆ ของทวีปนี้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ก็อยู่ในแปดอันดับแรก หากพวกเขาไม่ได้แยกตัวเองไปยังเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ และเพิกเฉยต่อเรื่องทางโลก พวกเขาคงจะได้รับบทบาทที่โดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่งในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หากพวกเขาเข้าร่วมนิกายใดๆ พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนนิกายนั้นให้กลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจ


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับจึงกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าอัจฉริยะต่างๆ เข้ามาเพื่อต่อสู้ดิ้นรน


 


ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ในสายหรือศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์ มันก็นับเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง


 


เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเป็นอาจารย์ มันจะช่วยให้เจ้าเดินทางได้อย่างราบรื่นมากขึ้นใรเส้นทางของเต๋าแห่งการต่อสู้ ในเวลาเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญก็จะเป็นภูมิหลังของเจ้าด้วยเช่นกัน


 


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเหล่านี้ไม่อาจออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับได้ ตามที่มีข่าวลือว่าพวกเขาต้องจ่ายราคาจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับได้ออกมาจากเขตแดนเร้นลับ และกำจัดผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิด และนักสู้ขอบเขตสวรรค์มากกว่าหนึ่งโหลของนิกายแห่งนึง ทั้งหมดเป็นเพราะศิษย์ส่วนตัวคนโปรดของเขาถูกสังหาร


 


ในตอนนั้นทั้งทวีปยูนิคอร์นตะวันออกต่างตกตะลึงและค่อยๆ ตั้งกฏกันไว้ว่าศิษย์ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับกลายเป็นสิ่งต้องห้าม เว้นแต่จำเป็นจริงๆ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ

สำหรับการเป็นศิษย์ส่วนตัวนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าต้องผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า


 


แต่ทว่าที่สำคัญจริงๆ ก็คือ ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเหล่านั้นจะต้องให้ความชื่นชมแก่เจ้า และหากผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นยิ่งชื่นชมเจ้าสูงมากเพียงใด แม้ว่าเจ้าจะผ่านเพียงแค่ประตูเทพยุทธ์บานแรกเท่า พวกเขาก็ยังจะคงรับเจ้าในฐานะศิษย์ส่วนตัวอยู่ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้ชื่นชมเจ้าเลย แม้ว่าเจ้าจะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า พวกเขาก็อาจไม่แม้แต่จะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัว


 


แน่นอนว่าถ้าเจ้าสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ เจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ


 


ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีน้อยกว่าสิบคนที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าและมีเพียงสามคนเท่านั้นที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก


 


จากสิ่งที่หลี่ฟู่เฉินรู้ เพื่อที่จะเข้าไปทดลองในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ไม่เพียงแต่เจ้าต้องมีพรสวรรค์และศักยภาพที่มีมาแต่กำเนิด แต่เจ้าก็ต้องดูว่าเจ้ามีความถนัดด้านใดเป็นพิเศษหรือไม่ มีอัจฉริยะที่น่าอัศจรรย์บางคนที่ไม่เหมาะที่จะอยู่ในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญได้ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ผ่านการทดสอบเพื่อเป็นศิษย์ส่วนตัว


 


กล่าวโดยย่อก็คือเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเป็นที่สิ่งที่สำคัญของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก และยังเป็นที่ที่เหล่าอัจฉริยะรวมตัวกัน ไม่เพียงแต่กลายเป็นสถานที่ที่อัจฉริยะสามารถฝึกฝนควบคุมอารมณ์ตัวเอง แต่โอกาสส่วนใหญ่มากมายก็เกิดขึ้นที่นี่ หากใครสามารถคว้าโอกาสเหล่านั้นไว้ได้ พวกเขาอาจมีการเดินทางที่ราบรื่นและรวดเร็วขึ้ในเส้นทางของเต๋าแห่งการต่อสู้


 


‘เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ สถานที่แห่งนี้ควรค่าแก่การเยี่ยมชม’


 


ดังนั้นปลายทางของหลี่ฟู่เฉินหลังจากออกจากเมืองฝนใบไม้ก็คือเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ


 


เขาไม่ต้องการจัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ก็เพราะเนื่องจากความไม่สนใจของเขาเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น การเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขอันตรายนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


 


มันไม่เป็นที่พึงปรารถนาในการที่จะพึ่งพาผู้อื่นบนเส้นทางเต๋าแห่งการต่อสู้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ฉวยโอกาสเลย


 


ผู้ที่ไม่ได้ฉวยโอกาสใดๆ จะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เงียบสงบและรอจนกว่าพวกเขาจะอยู่ได้อย่างมั่นคงแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะตายในไม่ช้าก็เร็ว


 


แต่ถึงแม้ใครจะซ่อนตัวอยู่ในภูเขาอันเงียบสงบมาตลอดชีวิต พวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงได้หรือหลังจากที่อยู่ด้วยตัวคนเดียวมาเป็นเวลานาน?


 


ไม่มีทางอย่างแน่นอน


 


ผู้ที่ไม่ผ่านการปรับอารมณ์ใดๆ ก็จะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันใดๆ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเติบโตได้เร็วขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น


 


ยกเว้นแต่จะมีใครที่มีศักยภาพแต่กำเนิดดีเด่นจนระดับท้าทายสวรรค์ ต้องโดดเด่นจนแม้แต่กระทั่งสวรรค์ก็ยังเต็มไปด้วยความอิจฉา ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็คงไม่มีที่ใครสามารถอยู่ยงคงกระพันได้ในโลกนี้


 


ไม่ใช่แม้แต่หลี่ฟู่เฉินที่ในปัจจุบันเองก็เข้าเงื่อนไขนั้นเช่นกัน


 


บางทีเขาอาจทำได้ในอนาคต แต่อนาคตเต็มไปด้วยปัจจัยที่เขาไม่อาจรู้ และหลี่ฟู่เฉินก็ไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว


 


หลังจากจิบไวน์ หลี่ฟู่เฉินก็ยังคงฟังบทสนทนาต่อไป


 


“แคว้นร้อยเทพยุทธ์นั้นมีเขตแดนเร้นลับมากเกินไป แต่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย สำคัญมากซะยิ่งกว่าเขตแดนเส้นทางดวงดาว จะเป็นการดีที่สุดหากข้าสามารถเป็นศิษย์ในสายภายใต้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับได้”


 


“ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเจ้า ในแง่ของความสำคัญ ยังไงเขตแดนเส้นทางดวงดาวก็เป็นอันดับ 1 อยู่ดี แต่เขตแดนเทพยุทธ์ก็สามารถนับได้ว่าเป็นอันดับที่ 2”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปยังเขตแดนเส้นทางดวงดาว เจ้าจะได้พัฒนาได้จากพลังงานเส้นทางดวงดาว ช่วยทำให้เจ้าฝึกฝนได้เร็วขึ้นมาก แม้แต่ความสามารถในการโคจรพลังฉีของเจ้าก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับไม่สามารถทำได้”


 


“ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวมีอยู่กี่ส่วน ด่านที่เจ็ดเป็นผลลัพธ์ที่มากที่สุดแล้ว ในคัมภีร์โบราณ ผู้บุกเบิกคาดเดาว่าถ้าใครสามารถผ่านเส้นทางดวงดาวทั้งหมดได้ พวกเขาจะได้รับมรดกมหาศาล”

“นั่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น และจะนำมันมากล่าวเทียบทำไม? เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับยังดูจับต้องได้จริงเสียกว่า เจ้าสามารถได้รับทั้งเต๋าแห่งการต่อสู้จากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ และได้รับการสนับสนุนของพวกเขาในฐานะภูมิหลัง”


 


หลังจากการถกเถียงกันเล็กน้อย พวกเขาก็กลายมาเป็นถกเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ หากจะให้เขาคิดอย่างจริงจัง เขารู้สึกว่าเขตแดนเส้นทางดวงดาวเป็นเขตแดนที่สำคัญที่สุดอันดับ 1


 


ด่านของเขตแดนเส้นทางแห่งดวงดาวนั้นเป็นปริศนามาโดยตลอด และจากลักษณะที่งดงามของเส้นทางแห่งดวงดาว มันน่าจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก เมื่อคิดว่ามีใครคนนึงเป็นคนสร้างเขตแดนเส้นทางดวงดาวทั้งหมดนั้นขึ้นมา


 


บางทีอาจไม่จำเป็นต้องผ่านเขตแดนเส้นทางเร้นลับทั้งหมด ตราบใดที่สามารถผ่านด่านที่แปดหรือเก้าได้ มันก็คงน่าจะมีเรื่องประหลาดใจเป็นอย่างมากเกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถค้นพบความประหลาดใจนี้ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะไม่มีอยู่จริง


 


แน่นอนว่า เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเองใช่ว่าจะไม่สำคัญ


 


สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับมีความสำคัญมากกว่าเขตแดนเส้นทางดวงดาวและยังใช้งานได้จริงอีกด้วย


 


“เฉินหยวนหู ออกมาและสู้กับข้า!”


 


เสียงดังกึกก้องดังมาจากถนนสายหลัก


 


บนชั้นเจ็ดของโรมเตี้ยมเมฆเขียว มีร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองลงมาจากด้านบนและตอบกลับ “เหอเหลียนเป่า เจ้าแพ้ให้แก่ข้าเมื่อหนึ่งปีก่อน วันนี้เจ้าก็จะมาพ่านแพ้ให้กับข้าอีกครั้งหรือไร?”


 


“เฉินหยวนหู? เหอเหลียงเปา?” หลี่ฟู่เฉินประหลาดใจ


 


เฉินหยวนหูคือดาบพยัคฆ์ผู้มีกำลังไล่เลี่ยกับดาบคลั่งของนิกายวารีคราม


 


ดาบพยัคฆ์เฉินหยวนหูเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของหมู่ศิษย์หลักนิกายวารีคราม


 


สำหรับเหอเหลียนเปา เขาเป็นลูกของผู้อาวุโสใหญ่นิกายโหมกระบี่ ลูกชายของเหอเหลียนหู่ และยังเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในหมู่ศิษย์หลักของนิกายโหมกระบี่


 


หลี่ฟู่เฉินไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะได้พบกับบุคคลทั้งสองนี้ที่เมืองเมฆสีเขียว


 


“หยุดเรื่องไร้สาระทั้งหมดของเจ้าและยอมรับการท้าทายจากข้า หรือเจ้ากลัว?” บนถนนสายหลัก เหอเหลียนเป่าผู้สูงแปดฟุตยืนอยู่ที่นั่นและหัวเราะเยาะ


 


“กลัว!? ข้ากลัวใครก็ได้ แต่ไม่ใช่เจ้า!”


 


ดาบพยัคฆ์เฉินหยวนหูเป็นคนที่ชอบการต่อสู้มาโดยตลอด ทำไมเขาถึงต้องกลัวที่จะยอมรับความท้าทายของเหอเหลียนเปา? เขากระโดดออกจากโรงเตี้ยมเมฆเขียวทันทีและร่อนลงไปที่ถนนสายหลัก


 


“นี่คือเมืองเมฆเขียว เจ้าและข้าออกจากเมืองและต่อสู้กัน”


 


เหอเหลียนหูไม่กล้าต่อสู้ภายในเมืองเมฆเขียว เขาจึงวางแผนที่จะออกไปยังประตูตะวันออกของเมืองเมฆเขียว


 


เฉินหยวนหูตามด้านหลังไปอย่างใกล้ชิด


 


“เราไปดูกันดีกว่า คนสองคนนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างน่ากลัว”


 


“พวกเขาต้องน่ากลัวอยู่แล้วเนื่องจากระดับการบ่มเพาะของพวกเขาอยู่ที่ระดับ 9 ขอบเขตปฐพีทั้งสองคนเลย”


 


มีคนจำนวนมากเดินตามมาและหลี่ฟู่เฉินเองก็เช่นกัน


 


เขาอยากรู้ว่าความสามารถของเฉินหยวนหู ดาบพยัคฆ์ ว่าจะอยู่ในระดับใด


 


เมื่อเหอเหลียนเป่าและเฉินหยวนหู่ออกจากประตูตะวันออก พวกเขาก็เข้าพัวพันกับการต่อสู้ที่รุนแรงทันที


 


ทั้งคู่สูงแปดฟุตและมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หนึ่งในนั้นถือดาบ ในขณะที่อีกฝ่ายถือกระบี่ ทั้งดาบและกระบี่ของพวกเขาปะทะกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทั้งสองไม่ได้ใช้ทักษะระดับสูงใดๆ เข้าช่วย ส่งผลทำให้สันหลังกระดูกของทุกคนเกิดอาการหนาวสั่น


 


“แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้! ความสามารถระดับนี้ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าอันดับดาราล่างๆ ในการจัดอันดับดารา!”


 


“พวกเราเกือบพลาดการแสดงที่ยอดเยี่ยมนี่ไปแล้ว ด้วยความสามารถเช่นนั้น พวกเขาต้องได้รับตำแหน่งในการจัดอันดับดาราอย่างแน่นอน”


 


ผู้ชมสนทนากันอย่างดุเดือด


 


“แข็งแกร่งมากจริงๆ” หลี่ฟูเฉินเฝ้าสังเกตทักษะต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองและเขาก็ตกใจเมื่อรู้ว่าทั้งคู่มีความสามารถเหนือกว่าหรันเฉียนฉิวและเสี่ยวไบ๋


 


แต่หลี่ฟู่เฉินเข้าใจว่าการจัดอันดับดาราเป็นอันดับตั้งแต่หนึ่งปีก่อน และตั้งแต่นั้นมา หลายสิ่งก็เปลี่ยนไปแล้ว


 


แม้ว่าหรันเฉียนฉิวอยู่ในอันดับที่ 98 และเสี่ยวไบ๋อยู่ในอันดับที่ 101 แต่สองคนนี้อยู่ในระดับเดียวกับอัจฉริยะทั้งหมดในบรรดาขอบเขตปฐพีหรือไม่?


 


มันยากที่จะพูด


 


หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งปีก็มีดาวรุ่งมากมายที่ปรากฏตัวขึ้น


 


พวกเขาส่วนใหญ่มีความเร็วในการพัฒนาที่เร็วรวดกว่าในระยะหลังๆ และก็ค่อยๆ แซงหน้าเหล่ารุ่นพี่ไปหมดแล้ว


 


การจัดอันดับที่แท้จริงจะถูกเปิดเผยเมื่อมีการจัดอันดับการแข่งขันครั้งถัดไปเท่านั้น


บทที่ 248


สร้างท่าสังหาร


 


กระบี่ของเหอเหลียนเป่านั้นรวดเร็วมาก ส่งผลทำให้แสงกระบี่ดูรากับชิ้นกระจกที่แตกออกซึ่งกระจายไปทางเฉินหยวนหู


 


ดาบของเฉินหยวนหู่ก็มีแรงกดดันสะกดข่มเช่นกัน ในขณะที่สภาวะพลังฉีของเขานั้นดูดุร้ายมาก ราวกับเสือที่คำรามขึ้นฟ้า


 


หลังจากแลกเปลี่ยนกันไปกว่าร้อนกระวนท่า ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงก้ำกึ่งและสูสีกันอยู่


 


“ฮ่าฮ่า! เฉินหยวนหู ดูเหมือนว่าการพัฒนาของเจ้าจะไม่เท่าข้า ในกระบวนท่าต่อไปเจ้าต้องพ่ายแพ้ข้าแน่!” เหอเหลียนเป่าเข้าใจรูปแบบการโจมตีของเฉินหยวนหู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แสงกระบี่ของเขาเองก็เต็มไปด้วยสภาวะกระบี่ที่ทรงพลัง ดุจดั่งเช่นมังกรสายฟ้าที่ขาวราวกับหิมะ ซึ่งฉายไปที่เฉินหยวนหู


 


เฉินหยวนหูคำรามหลงและปล่อยดาบออกไป แสงดาบของเขาไขว้กันคล้ายกรงเล็บและคมเขี้ยว เข้าไปพัวพันกับแสงกระบี่ของเหอเหลียงหูอย่างรุนแรง


 


“เหอเหลียนเป่า หนึ่งปีที่แล้วเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้า หนึ่งปีต่อมาข้าก็จะทำแบบเดียวกัน”


 


ในขณะที่เขากล่าว เขาก้าวไปข้างหน้าเป็นตอนนี้เองที่ริ้วของแสงดาบดุร้ายดูแล้วมีลักษณะคล้ายกับเสือกำลังหิวโหยซึ่งเข้าไปตะครุบเหยื่อของมัน ได้พุ่งไปทางเหอเหลียนเป่า


 


“มังกรโหมตวัดผ่า!”


 


เหอเหลียนเปาปลดปล่อยท่าสังหารของเขาออกไป ซึ่งเป็นการผสมผสานของแสงกระบี่ที่น่าขนลุกสองแสง ซึ่งรอบๆ ของมันยื่นออกมาด้วยหนามแหลม ดูแล้วคล้ายกับมังกรยักษ์ที่โตตัววัยเข้าตวัดกรงเล็บและเขี้ยวของมัน


 


แคร็ก!


 


พื้นดินด้านล่างเป็นหลุมแนวยาว ขณะที่เศษหินบินไปทุกทิศทุกทาง


 


“พยัคฆ์ธาตุสังหาร!”


 


เฉินหยวนหูเองก็ปลดปล่อยท่าสังหารของเขาด้วยเช่นกัน


 


ท่าสังหารนี้ถูกตั้งตามชื่อของเขา


(หมายเหตุ TL: หยวนหูหมายถึงพยัคฆ์ธาตุ)


 


 


เมื่อทักษะดาบสังหารถูกใช้ออก สวรรค์และโลกเปลี่ยนสี ขณะที่เศษทรายและหินบินว่อน ทุกคนสามารถมองเห็นเงาเสือยักษ์ที่ปรากฏอยู่เหนือเฉินหยวนหูได้อย่างละเอียด


 


ครืน!


 


พื้นสั่นสะเทือนมากจนแม้แต่กระทั่งเหอเหลียนเป่าก็ถูกส่งตัวบินออกไป ขณะที่เขาออกมาอาเจียนเป็นเลือด


 


ในแง่ของความสามารถขั้นพื้นฐาน เหอเหลียนหูอยู่ในระดับเดียวกับเฉินหยวนหู แต่ในแง่ของท่าสังหาร เขาด้อยกว่ามาก


 


“เป็นท่าสังหารที่แข็งแกร่งยิ่ง”


 


ดวงตาหลายคู่สว่างขึ้น ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าอยู่อย่างเงียบๆ


 


ท่าสังหารของเหอเหลียนเปานั้นมีความแข็งแกร่งพอๆ กับหรันเฉียนฉิว แต่ท่าสังหารของเฉินหยวนหูนั้นเหนือกว่าหรันเฉียนฉิวอย่างเห็นได้ชัด


 


‘มีภูเขาย่อมมีภูเขาที่สูงกว่าเสมอ และบุคคลที่เก่งก็ย่อมมีคนที่เก่งกว่าเสมอ ข้าคิดว่านอกเหนือจากผู้จัดอันดับดารา 50 อันดับแรกแล้ว อันดับดาราคนอื่นๆ ที่ต้องการติดอันดับในการจัดอันดับดาราอีกครั้งอาจจะตกอยู่ในความเสี่ยง!’ หลี่ฟู่เฉินกำลังคิดอย่างลึกซึ้ง


 


เขตแดนเทพยุทธ์จะเปิดเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ สามเดือน และเพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ยังมีเวลาอีกสองเดือนก่อนการเปิดครั้งต่อไป


 


หลี่ฟู่เฉินอาศัยอยู่ในเมืองเมฆสีเขียวและรับประทานอาหารอยู่ที่โรงเตี้ยมเมฆเขียว ในขณะที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอัจฉริยะจากนิกายต่างๆ


 


หลังจากฟังเสียงซุบซิบมากมาย หลี่ฟู่เฉินก็รู้เกี่ยวกับระดับความสามารถที่แตกต่างกันของอัจฉริยะต่างๆ


 


ในความคิดเห็นของทุกคน อันดับดาราสามอันดับแรกเป็นระดับหนึ่ง


 


สิบอันดับแรกเป็นระดับสอง


 


ยี่สิบอันดับแรกเป็นระดับสาม


 


ห้าสิบอันดับแรกระดับสี่


 


ส่วนที่เหลือเป็นระดับห้า


 


ความแตกต่างระหว่างระดับนั้นรุนแรงมากและมันก็ง่ายดายมาก ในการที่ระดับแรกที่จะสังหารระดับที่สองได้ในทันที เช่นเดียวกันกับระดับสองสังหารระดับสามได้ในทันที


 


แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน ก็มีความแตกต่างเช่นกัน ขณะที่หลี่ฟู่เฉินเห็นว่าอันดับดาราอันดับที่ 52 เอาชนะอันดับที่ 91 ของอันดับดาราได้ในการโจมตีครั้งเดียว


 


คนส่วนใหญ่มีความสามารถพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน แต่เมื่อเผยท่าสังหารออกมาแล้ว ผู้ชนะจะได้รับการตัดสิน


 


‘ท่าสังหาร… บางทีข้าอาจต้องค้นคว้าข้อมูลพวกมันสักหน่อย’


 


ทักษะดาบเพลิงปีศาจอาจทรงพลัง แต่การเข้าใจเจตจำนงของดาบเพลิงปีศาจนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน


 


หากเขาสามารถพัฒนากระบวนท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางได้ก่อน มันอาจจะสามารถช่วยเขาในการเข้าใจเจตจำนงดาบเพลิงปีศาจได้


 


ลงมือทำทันทีที่เขามีความตั้งใจ หลี่ฟู่เฉินเริ่มพัฒนากระบวนท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางในทันที


 


ท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางต้องได้รับแรงบันดาลใจจากทักษะดาบระดับลึกลับ


 


หลี่ฟู่เฉินได้ฝึกฝนวิชาดาบระดับลึกลับขั้นกลางทั้งหมดสามทักษะ ซึ่งก็มีทักษะดาบดาวตก ทักษะดาบเก้าโคจร และทักษะดาบโจรหลั่งไหล


 


ทักษะดาบทั้งสามนี้มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่เกี่ยวข้องกัน


 


ไม่กี่วันต่อมา หลี่ฟู่เฉินค่อยๆ มีสัญญาณเริ่มต้น และเขารู้สึกว่าการพัฒนาท่าสังหารเป็นงานที่น่าสนใจ


 


มันเหมือนกับการผลิตงานศิลปะและงานนี้ก็เป็นไปตามความประสงค์ของเขา ซึ่งเป็นการหาสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรูปแบบการต่อสู้ของเขาเอง


 


หลี่ฟู่เฉินยังคงทานอาหารอยู่ที่ชั้น 5 ของโรงเตี้ยมเมฆเขียว


 


ตุบ ตุบ ตุบ…


 


เสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได


 


สองร่างเดินผ่านชั้นห้าและกำลังเตรียมมุ่งหน้าไปชั้นหก


 


“อ๊ะ!”


 


หนึ่งในบุคคลผู้นั้นที่สังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉินโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งเขากำลังที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง คนๆ นั้นรู้สึกประหลาดใจ


 


“ฮันชิตี๋ เป็นอะไรไป?” บุคคลอีกคนถาม


 


ฮังเฟิงกล่าวถาม “ซูชิเซียง สภาวะพลังฉีของคนผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย เหมือนกับว่าข้าเคยเห็นเขาจากที่ไหนสักแห่ง?”


 


ซูเซียงหัวเราะออกมาเบาๆ “มีคนจำนวนมากที่มีสภาวะพลังฉีดูคุ้นเคย ไม่มีความหมายใดๆ ที่จะต้องรบกวนคนที่ไม่สำคัญเช่นนี้ มา ขึ้นไปกันเถอะ!”


 


“เช่นนั้นก็เอาเถอะ”


 


ฮันเฟิงพยักหน้าและเดินตามซูเซียงไปที่ชั้นหก


 


ขณะที่เขากำลังปีนขึ้นบันได เขามองไปที่หลี่ฟู่เฉินอีกครั้งในขณะที่พยายามนึกในความทรงจำ


 


สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าหลี่ฟู่เฉินต้องเกี่ยวข้องกันไม่อย่างใดก็อย่างนึง แต่อาจจะไม่ได้เผชิญหน้ากันในเร็ววันก็เท่านั้น


 


“นั่นคือเขา!”


 


หลังจากที่ฮังเฟิงขึ้นไปที่ชั้นหก หลี่ฟู่เฉินก็ขมวดคิ้ว


 


คนผู้นี้คือฮันเฟิงที่หลี่ฟู่เฉินเคยพบในเขตแดนเส้นทางดวงดาว หนึ่งในเจ็ดนภาของนิกายนภาดารา


 


“ดูเหมือนว่าเมืองเมฆเขียวแห่งนี้เป็นที่รวบรวมบุคคลสำคัญทั้งหมด การปลอมตัวง่ายๆ คงไม่ได้ได้ช่วยอะไรมากนัก” หลี่ฟู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น


 


การอำพรางตัวตนด้วยพลังฉีไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ เขาสามารถปกปิดสภาวะพลังฉีของเขาได้ แต่เขาไม่สามารถทำได้ตลอดทั้งวัน หลังจากทั้งหมดแล้ว การปกปิดสภาวะพลังฉีก็เป็นความสามารถของจิตวิญญาณของเขา และมันก็ทำให้วิญญาณของเขาหมดไปมาก


 


“ลืมมันเถอะ ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของข้า ก็มีบางอย่างที่ข้าไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับมัน”


 


หลี่ฟู่เฉินมีความมั่นใจในตนเอง ในช่วงเวลานี้ เจตจำนงระดับลึกลับขั้นกลางของเขามีความก้าวหน้าอย่างมาก พลังของทักษะดาบระดับลึกลับขั้นกลางทั้งสามนั้น แทบจะใกล้เข้าขั้นประณีต ซึ่งมันก็ได้เข้าใกล้กับทักษะดาบเพลิงปีศาจขั้นดีเลิศแล้ว


 


หลี่ฟู่เฉินจะมาทานอาหารที่โรงเตี้ยมเมฆเขียวทุกๆ สองสามวันเท่านั้น


 


เขาจะใช้เวลาที่เหลือในการพัฒนาท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลาง


 


***


 


หนึ่งเดือนก่อนการเปิดเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ หลี่ฟู่เฉินได้พัฒนาจนวางเค้าโครงของท่าสังหารของเขาได้แล้ว


 


ท่าสังหารนี้เป็นการผสมผสานระหว่างลักษณะพิเศษของทักษะดาบดาวตกและทักษะดาบเก้าโคจร บรรจุเจตจำนแห่งดาบทั้งสองไว้ที่เดียววัน


 


ในลานบ้าน…


 


หลี่ฟู่เฉินยืนอยู่อย่างเงียบๆ ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังซึมซับเจตจำนงแห่งดาบดาวตกและดาบเก้าโคจร


 


หลังจากเวลานาน!


 


มีลมพัดอย่างรุนแรง


 


“ฆ่า!”


 


หลี่ฟู่เฉินลงมือ ด้วยแสงที่กระพริบ หลี่ฟู่เฉินเฉือนและแทงลงไปในกลางอากาศ


 


ฉึบ ฉึบ ฉึบ ฉึบ ฉึบ ฉึบ ฉึบ…


 


กลางอากาศแสงดาบเจ็ดดวงพุ่งออกมาจากจุดๆ เดียว แต่ละจุดโจมตีจากมุมที่แตกต่างกันและมีพลังมหาศาล มีเพียงแค่ผลสะท้อนกลับซึ่งได้สร้างริ้วรอยบนพื้นผิวดิน


 


“ผสานความแข็งแกร่งในการระเบิดพลังของทักษะดาบดาวตก และความยืดหยุ่นของทักษะเก้าโคจร มันแค่อยู่ในขั้นตอนเริ่มพัฒนาเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าทักษะดาบระดับลึกลับขั้นกลางแต่อย่างใด”

หลี่ฟู่เฉินพอใจกับท่าสังหารนี้


 


หลังจากนั้นอีกสัปดาห์หลี่ฟู่เฉินก็ผลักดันให้ท่าสังหารนี้ก้าวไปสู่ความสมบูรณ์แบบ


 


ด้วยดาบเล่มเดียวแสงดาบสิบแสงพุ่งออกมาจากจุดๆ เดียว แสงดาบแต่ละดวงมีพลังระเบิดมหาศาล พร้อมทั้งความยืดหยุ่น และยังมีพลังในการกระแทก


 


ในแง่ของความแข็งแกร่ง มันแข็งแกร่งกว่าทักษะดาบเพลิงปีศาจอยู่ราวๆ 30%


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว มันก็มีทั้งเจตจำนงแห่งดาบดาวตกและดาบเก้าโคจร


 


‘ด้วยท่าสังหารนี้ ฉันต้องการเพียงแค่กระบวนท่าเดียว เพื่อเอาชนะคนที่อยู่ในระดับเดียวกับหรันเฉียนฉิว’ หลี่ฟู่เฉินกำลังทำการวิเคราะห์อยู่อย่างเงียบ ๆ


 


เมื่อเวลาผ่านไป เวลาในการเปิดเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับก็ใกล้เข้ามามากขึ้น


 


ในวันนี้ หลี่ฟู่เฉินบังเอิญเห็นเซี่ยฮัวชือที่โรงเตี้ยมเมฆเขียว


 


เซียวโจวชืออาจไม่ได้รับการจัดอันดับในการจัดอันดับดารา แต่เป็นเพราะเขาอายุน้อยกว่า แต่เป็นเพราะเขาอายุน้อยกว่าเซี่ยฮัวช๋วนมาก กลับไปเมื่อตอนอยู่ในเส้นทางดวงดาวเซี่ยฮัวชืออยู่ในระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพีเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เขามาถึงระดับที่ 7 ของขอบเขตปฐพีแล้ว ความสามารถของเขาเหนือกว่าหรันเฉียนฉิวมาก หลักจากทั้งหมดแล้ว เขาก็เป็นโครงกระดูก 5 ดาวระดับท้าทายสวรรค์

หลังจากช่วงเวลาหนึ่ง หลี่ฟู่เฉินเห็นชูมู่หยู


 


เห็นได้ชัดว่าชูมู่หยูได้เข้าไปในเขตแดนเส้นทางดวงดาวและเพิ่มการฝึกฝนของเธอจากระดับที่ 4 มาเป็นระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพี


 


แต่บุคคลทั้งสองนี้ไม่ได้สังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉิน สาเหตุหลักมาจากการที่เขารักษาตัวตนให้ดูต่ำเข้าไว้ ส่วนฮันเฟิงที่มองเห็นหลี่ฟู่เฉินแล้วนั้น นั่นเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ


บทที่ 249

การต่อสู้ระหว่างสองนิกาย


 


 


เวลาของการเปิดเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับใกล้เข้ามาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าอัจฉริยะจากนิกายต่างๆ หลั่งไหลเข้าสู่เมืองเมฆเขียว


 


ในเส้นทางหลักมีแต่เหล่าเยาวชนที่มีความกระตือรือร้นสูง


 


หลี่ฟู่ฉินทำให้ตัวเขาดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีความสามารถอะไรมากนัก เพราะเขาต้องการปลอมตัวเข้าไป


 


ระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพีไม่ถือว่าเป็นระดับการฝึกฝนที่สูงหรือต่ำเกินไป หากเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้โด่งดังหรือมีชื่ออื้อฉาวมากนัก ก็จะไม่มีใครรู้จักเลย


 


แน่นอนว่า หลี่ฟู่เฉิน มีความสุขมากกับเรื่องนั้น


 


ด้วยการที่มีผู้แข็งแกร่งมากขึ้น มันก็ย่อมมาพร้อมกับความขัดแย้ง ที่เมืองเมฆเขียวมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในทุกวัน


 


บางคนมีความขัดแย้งเพราะนิกาย บางคนเกิดจากเหตุผลส่วนตัว บางคนก็เพราะผู้หญิง และบางคนก็เป็นเพราะพวกที่ไม่ชอบหน้ากัน


 


นอกเหนือจากทั้งหมดนี้แล้ว ยังมีความขัดแย้งบางอย่างเนื่องจากความคล้ายคลึงกันของนิกายของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่านิกายไหนดีกว่ากัน


 


“เฉินหยวนหู นิกายวารีครามของเจ้าเป็นนิกายเต๋าแห่งดาบและมันคล้ายคลึงกับนิกายดาบธานเมฆาของข้า เนื่องจากเราทั้งคู่มาจากนิกายนิกายเต๋าแห่งดาบ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะคิดเห็นอย่างไร” บนชั้นเจ็ดของโรงเตี้ยมเมฆเขียวมีนักสู้อยู่ประมาณห้าหรือหกโต๊ะ โต๊ะหนึ่งมีอยู่เจ็ดคน เด็กหนุ่มที่มีคิ้วราวกับดาบ และจ้องมองมายังเฉินหยวนหู


 


โต๊ะของเฉินหยวนหูมีอยู่หกคน ซึ่งเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายวารีครามทั้งหมด เขาตอบกลับ “หลินเถิง เจ้าอยู่ในอันดับที่สี่จากบรรดาศิษย์หลักนิกายดาบธารเมฆา เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”

มันต้องมีข้อจำกัดอยู่บ้าง หากจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แต่ทว่าหากเป็นลั่วชิงหยุนที่ท้าทายเขา เขาจะตอบรับคำท้าอย่างแน่นอน


 


เด็กหนุ่มชื่อหลินเถิงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้เป็นอันดับดารา ข้าเองก็เช่นกัน งั้นแล้วเจ้ากำลังกล่าวถึงคุณสมบัติอะไร? นอกจากนี้ นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้า แต่เป็นเรื่องระหว่างนิกายของเรา ทำไมล่ะ? หรือว่านิกายวารีครามของเจ้ากลัว?”


 


“กลัว? เรื่องตลกอะไรกัน เฉินชิเซียง ให้ข้าได้ตอบรับคำท้าทายจากเขา จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องกลัว” ศิษย์หลักระดับระดับทองข้างๆเ ฉินหยวนหู่หัวเราะเยาะ


 


นิกายดาบธานเมฆาอาจจะน่าเกรงขาม และความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่านิกายสวรรค์ปีศาจ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของลูกศิษย์หลัก ฉะนั้นนิกายวารีครามจึงไม่มีอะไรต้องกลัว มีเพียงศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายดาบธารเมฆาเท่านั้นที่มีความสามารถเพียงพอที่จะอยู่ในอันดับที่ 72 ในการจัดอันดับดวงดารา


 


“เราไปที่นอกประตูเมืองฝั่งตะวันออกกันเถอะ” หลินเถิงลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบและกล่าวขึ้น


 


ความชื่นชอบในการต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดาของเหล่าเยาวชน การต่อสู้แต่ละครั้งไม่ได้มีเพียงแค่ประสบการณ์ในการต่อสู้เท่านั้น มันยังเพิ่มศักยภาพธรรมดาของคนๆ หนึ่งได้โดยธรรมชาติ


 


นอกเหนือจากนั้น ทุกชัยชนะจะช่วยเพิ่มพลังให้กับจิตวิญาณต่อสู้ของตนผู้นั้นอีกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เวลาเข้าไปในเส้นทางแห่งดวงดาวก็จะทดสอบได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอยอมรับคำท้า”


 


เฉินหยวนหูไม่ได้ต้องการประลองกับหลินเถิง แต่ถ้าเขาไม่ตอบรับคำท้า มันจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจของคนจากนิกายวารีครามอย่างแน่นอน


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์หลักระดับทองอันดับที่สิบสามจากทั้งสองนิกายหลักก็ได้ออกจากโรงเตี้ยมเมฆเขียวและมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองตะวันออก


 


มีผู้คนมากมายที่ตามไปหลังจากได้ยินเรื่องนี้


 


แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงเฉยเมย


 


ไม่ว่าจะเป็นนิกายวารีครามหรือนิกายดาบธารเมฆา ทั้งคู่ล่วนเป็นแค่นิกายธรรมดาและการต่อสู้เช่นนั้นก็ไม่คุ้มค่าที่จะดู หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ที่ถูกจัดในอันดับดาราทั้งสองคน มันจะการคุ้มค่ากว่า


 


หลี่ฟู่เฉินกับเฉินหยวนหู และลูกศิษย์หลักระดับทองคนอื่นๆ จากนิกายวารีคราม ให้ความสนใจอย่างมากกับการประลองนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะอยู่ในวงล้อมของการต่อสู้ระหว่างนิกายแห่งดาบทั้งสอง


 


หลี่ฟู่เฉินมาถึงด้านนอกประตูเมืองด้านตะวันออกและแฝงตัวไปในกลุ่มคน


 


“หลินเถิง เราจะแข่งขันกันอย่างไร?” เฉินหยวนหูถามขึ้น


 


หลินเท่งตอบกลับ “นิกายดาบธารเมฆาของข้ามีเจ็ดคน ในขณะที่เจ้ามีหกคน ทำไมเราไม่ส่งออกไปสู้กันหกคนล่ะ ฝ่ายใดชนะมากกว่านิกายนั้นก็ชนะ เจ้าว่าอย่างไร?”


 


“ได้” เฉินหยวนหูพยักหน้า


 


“ช้าก่อน!” มีคนเดินมาหาอย่างใกล้ๆ


 


“เซี่ยเฟิง!” ดวงตาของเฉินหยวนหูเบิกโพลงขึ้น


 


ในนิกายวารีคราม มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้การยอมรับจากเขา หนึ่งในนั้นคือดาบคลั่งและอีกคนคือดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง


 


บางทีก่อนหน้านี้ ดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง อาจจะไม่ใช่ศิษย์หลักระดับทองอันดับ 3 ของนิกายวารีครามก็เป็นได้ หากไม่เป็นเพราะเขาอยู่ในนิกายมาโดยตลอดและไม่เคยออกมาฝึกควบคุมอารมณ์หรือออกมาฝึกประสบการณ์ ดังนั้นการบ่มเพาะของเขาจึงต่ำเช่นนี้


 


แต่ตอนนี้ การฝึกฝนของเซี่ยเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันไปถึงระดับที่ 7 ของ ขอบเขตปฐพีและต่ำกว่าเฉินหยวนหูเพียงหนึ่งระดับ


 


“ข้าก็เป็นศิษย์หลักของนิกายวารีครามเช่นกัน ตอนนี้ก็จะมีฝั่งละเจ็ดคนเท่ากันแล้ว”


 


เซี่ยเฟิงเพิ่งมาถึงเมืองเมฆเขียว แต่เมื่อเขาได้รู้ข่าวเขาก็รีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว


 


“ไม่มีปัญหา” หลินเถิงยิ้มที่มุมปากอย่างเย้ยหยัน


 


เขาอาจอยู่ในอันดับที่สี่ในบรรดาศิษย์หลักระดับทองของนิกายดาบธารเมฆา แต่ในแง่ของศักยภาพโดยกำเนิดมันก็พอๆ กับเขา หากไม่ได้เป็นลั่วชิงหยุน เขาก็อาจจะไม่แพ้ศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายดาบธารเมฆาเสียด้วยซ้ำ

เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี และความสามารถของเขาก็แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก


 


“เจ้าหลินเถิงนี่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย” หลี่ฟู่เฉินกำลังประเมิณ หลินเถิงจากในกลุ่มฝูงชน


 


สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าความสามารถของหลินเถิงนั้นสูงกว่า และไม่ต่ำไปกว่าลั่วชิงหยุน


 


หากพวกเขาประมาท เพราะว่าเขาเป็นศิษย์หลักอันดับสี่ในนิกายดาบธารเมฆา พวกเขาอาจจะต้องเจอกับความทุกข์ทรมาน


 


“หวังว่าเฉินหยวนหูจะระมัดระวังตัวมากขึ้นอีกหน่อย”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการเข้าไปยุ่ง เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นจริงๆ


 


“ข้าจะเริ่มก่อน คนจากนิกายวารีครามคนไหนที่จะมาประลองกับข้า?”


 


สำหรับนิกายนิกายดาบธารเมฆา เยาวชนที่อายุน้อยจะโดดเด่นด้านการใช้กระบี่สองเล่มราวกับดาบ


 


“ข้า หวังเสี่ยว ต้องการทดสอบความสามารถของเจ้า”


 


ฝั่งของนิกายวารีครามส่งศิษย์หลักระดับทอง หวังเสี่ยวออกไป


 


เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง…


 


ทั้งสองคนผลัดกันลงมืออย่างรวดเร็ว


 


เห็นได้ชัดว่าชายที่อายุน้อยกว่าผู้นั้นมีทักษะดาบที่ประณีตและลื่นไหลมากกว่า ด้วยกระบี่ทั้งสองที่เสริมซึ่งกันและกัน เขาบังคับให้หวังเสี่ยวถอยออกมาตั้งรับโดยไม่มีโอกาสตอบโต้ใดๆ


 


หลังจากโดนกระบวนท่าต่อเนื่องนับสิบกระบวนท่า หวังเสี่ยวก็ได้พ่ายแพ้ลง


 


ในรอบที่สองและสาม


 


หลังจากรอบที่สาม เฉินหยวนหูและ เซี่ยเฟิงไม่มีท่าทีที่สบายใจอีกต่อไป


 


นิกายวารีคราม แพ้การแข่งขันสามนัดติดต่อกัน และถ้าพวกเขาแพ้อีกหนึ่งนัด ก็ไม่มีเหตุผลใดจะสู้อีกต่อไป


 


“เฉินหยวนหู ข้าจะเข้าร่วมรอบนี้” เซี่ยเฟิงกล่าวอย่างกล้าหาญ


 


เฉินหยวนหูพยักหน้า เมื่อเซี่ยเฟิงก้าวขึ้นไป เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล


 


หากระดับการฝึกฝนของเขาเท่ากับเซี่ยเฟิง เขาไม่มีความมั่นใจใดๆ เลยว่าเขาจะสามารถเอาชนะเซี่ยเฟิงได้


 


“ฉีหลง เจ้าไปประลองกับมัน อย่าประมาทเชียวล่ะ” หลินเถิงกล่าวกับชายหนุ่มข้างๆ เขา


 


ฉีหลงยิ้มเล็กน้อย “หลินชิเซียง ไม่ต้องกังวลไป ข้าฉีหลงไม่ใช่หัวหลักหัวตอ เขาไม่สามารถเอาชนะข้าในการต่อสู้ครั้งนี้ได้แน่”


 


เขาอยู่ในอันดับที่เจ็ดในบรรดาศิษย์หลักนิกายดาบธารเมฆาและตั้งแต่มาถึงแคว้นร้อยเทพยุทธ์เขาก็ได้พบพาต่อสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย


 


ทันใดนั้น การต่อสู้ก็เริ่มต้นโดยทันที


 


ฉีหลงและเซี่ยเฟิงต่างก็ต้องการใช้การโจมตีในครั้งแรกเพื่อกำจัดอีกฝ่าย ดังนั้นทั้งสองจึงใช้ความสามารถที่แท้จริงของพวกเขา


 


ทันทีที่ทั้งสองเคลื่อนไหว หลี่ฟู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


 


ความเร็วของดาบเซี่ยเฟิง รวดเร็วกว่าฉีหลงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ผลลัพธ์จึงออกมาแล้ว


 


ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง…


 


ตามที่คาดไว้ ด้วยความเร็วในการบังคับดาบของเซี่ยเฟิง เขาสามารถจัดการฉีหลงได้แทบจะทันที


 


ฉีหลงตั้งรับอย่างอดทน จนกระทั้งใบหน้าของเขาแดงก่ำ และต้องการที่จะตอบโต้อย่างมาก


 


ใครจะรู้ว่าเซี่ยเฟิงจะไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้แม้แต่ครั้งเดียว ทันทีที่เขาพยายามระเบิดพลังออกมา เซี่ยเฟิงก็จะโจมตีมาจากอีกมุมหนึ่งทันที มันทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ ฉีหลงใช้ความสามารถที่แท้จริงของเขาได้เพียง 50% หรือ 60%


 


‘เซี่ยเฟิง เต๋าแห่งดาบของเขาคือไร้อารมณ์ เมื่อความคิดริเริ่มของเขาได้เกิดขึ้น แม้แต่กระทั้งข้าเองก็คงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับการแก้ไขสถานการณ์’ เฉินหยวนหูคิดในใจ


 


หลังจากการปล่อยกระบวนท่าหลายสิบครั้ง ฉีหลงก็พ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่เริ่มจนจบการประลอง เขาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้กระทั่งจะตอบโต้กลับไปก็ทำไม่ได้


 


การแสดงออกของหลินเถิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นิกายดาบธารเมฆาพึ่งจะแพ้เพียงรอบเดียวเท่านั้น และพวกเขาก็ยังแพ้ได้อีกรอบหรือสองรอบ แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายแพ้อีกครั้ง มันก็จะจบลงทันที


 


“เฉินหยวนหู มาเริ่มการประลองอีกรอบกันเถอะ!”


 


แต่หลินเถิงไม่ได้ตั้งใจที่จะยืดเยื้อสถานการณ์กับนิกายวารีคราม เขาตัดสินใจที่จะจบมันลงให้เร็วที่สุด


 


“ได้เลยข้าพร้อมเสมอ”


 


ร่างกายของ เฉินหยวนหูวาปไปร่อนลงต่อหน้าหลินเถิงและอยู่ห่างประมาณ 10 เมตร


บทที่ 250


ดาบคลั่ง


 


 


การต่อสู้ระหว่างทั้งสองนั้นรุนแรงมาก


 


ในขณะที่ทั้งสองคนเป็นนักดาบ กระบวนท่าเพลงดาบของหลินเถิงเจ้าเล่ห์และโหดร้าย ราวกับงูพิษที่พุ่งออกมาจากโพรง


 


กระบวนท่าเพลงดาบของเฉินหยวนหูมีความโดดเด่นและเกรี้ยวกราด ราวกับเสือดุร้ายที่ลงมาจากภูเขาเพื่อล่าอาหาร ในการออกดาบทุกดาบของเขามีความรุนแรงและโหดร้ายแฝงไว้ มันเป็นความแข็งแกร่งที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า


 


ตู้ม!


 


พื้นผิวของแผ่นดินถูกยกขึ้น และได้รับความเสียหายจากดาบพลังฉีของพวกเขา ขณะที่เฉินหยวนหูและหลินเถิงต่างถอยออกไปตั้งหลัก


 


“หลินเถิง ข้าประเมินเจ้าต่ำไป” เฉินหยวนหูในตอนนี้มีสีหน้าเคร่งเครียด


 


ความสามารถของ หลินเถิงนั้นเหนือกว่าความสามารถของเหอเหลียนเป่าแน่นอน แม้ว่าหลังจากที่เฉินหยวนหูลงมือใช้กระบวนท่าสังหารของเขาไปไปแล้ว มันก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆ ให้กับหลินเถิงได้แม้แต่น้อย


 


“ข้าเองก็ประเมินเจ้าต่ำไปเช่นกัน” การแสดงออกของ หลินเถิงคล้ายกับเฉินหยวนหู


 


มีเพียงสมาชิกในนิกายของเขาเท่านั้นที่รู้ ก่อนหน้านี้เขาเอาชนะผู้ที่อยู่ในอันดับดาราระหว่างอันดับที่ 90 ได้ แต่ทว่าความสามารถของเฉินหยวนหูนั้นเหนือกว่าพวกนั้นอย่างเห็นได้ชัด


 


“หากเฉินหยวนหูต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขา เขาจะต้องมีลงมือใช้กระบวนท่าอย่างน้อย 300 กระบวนท่า”


 


การรับรู้ของ หลี่ฟู่เฉินนั้นตื่นตัวอย่างมาก มากจนเสียเขาไม่ปล่อยให้รายละเอียดใดๆ หลุดรอดไปจากสายตาของเขานระหว่างการประลองของเฉินหยวนหูและหลินเถิง


 


“แต่… เฉินหยวนหูมีจุดอ่อนอยู่ กระบวนดาบของเขาโหดเหี้ยมเกินไป และเมื่อกระบวนดาบของเขาถูกเพิ่มพลังไปจนถึงขีดสุด ก็จะเกินช่วงความเสถียรของพลัง ช่วงเวลาดังกล่าวอาจเกิดเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่มันก็เป็นจุดอ่อนร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย”


 


“ในขณะที่ หลินเถิงเองก็มีจุดอ่อนของเขาเช่นกัน กระบวนดาบของเขามุ่งแสวงหาความปราดเปรียวและดุร้าย ซึ่งอาจพลาดโอกาสบางอย่างไป”


 


ในแง่ของความสามารถในการรับรู้ และทักษะการต่อสู้ หลี่ฟู่เฉินได้แซงหน้าผู้ที่อยู่ในการจัดอันดับดาราทั้งหมดไปแล้ว แม้เมื่อการแข่งขันจะถูกจับคู่อย่างเท่าเทียมกัน เขาก็ยังคงค้นหาจุดอ่อนจากทั้งสองผ่ายได้อยู่ดี


 


เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง…


 


ประกายไฟที่ลุกโชติช่วงโหมกระหน่ำไปทุกทิศทาง


 


100 กระบวนท่า 200 กระบวนท่า 300 กระบวนท่า…


 


หลังจาก 300 กระบวนท่า ทั้งสองฝ่ายก็คุ้นเคยกับรูปแบบการโจมตีของกันและกัน และสังเกตเห็นจุดอ่อนกันและกันด้วยเช่นกัน


 


“จงพ่ายแพ้ไปสะ!”


 


มันเป็นการใช้ท่าสังหารพร้อมกัน แต่การโจมตีของพวกเขา ทั้งมุม เวลา และท่าสังหารของพวกเขากลับแตกต่างกัน


 


ปิสส!


 


ไหล่ของหลินเถิงมีเลือดพุ่งออกมา และลู่ลง ขณะที่เฉินหยวนหูได้รับบาดแผลที่หน้าอกเนื่องจากดาบ


 


บาดแผลจากดาบนี้อาจจะตื้น แต่มันก็เป็นแผลที่ถูกเฉี่ยวใกล้จุดสำคัญที่สุด


 


หากบาดแผลลึกกว่านี้แม้แต่หนึ่งนิ้ว มันก็จะทำให้หลอดเลือดแดงในหัวใจของเฉินหยวนหูขาดออก


 


ในช่วงเวลาสำคัญ ทั้งสองฝ่ายโจมตีไปที่จุดอ่อนซึ่งกันและกัน


 


จุดอ่อนของเฉินหยวนหูคือความเสถียรของเขา เมื่อกระบวนดาบของเขาถูกเพิ่มพลังไปถึงขีดจำกัด หลินเถิงคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ และต้องการที่จะทะลวงการป้องกันของดาบด้วยการตวัดฟังลงมา แต่กระบวนท่าของเขายังไม่สมบูรณ์แบบและทำได้เพียงแค่สร้างบาดแผลตื้นๆ ไว้ที่หน้าอกของเฉินหยวนหูเท่านั้น


 


“เจ้าแพ้แล้ว!”


 


เมื่อมองลงไปที่หน้าอกของเขา เฉินหยวนหู่ประกาศอย่างไม่แยแส


 


การแสดงออกที่มืดหม่นของหลินเถิงนั้นเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและไม่ยอมรับ เขาเพิ่งแพ้เพราะพลาดไปหนึ่งนิ้ว และถ้าเขาได้รับโอกาสอีกครั้ง เขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างแน่นอน


 


คะแนนของการต่อสู้ในตอนนี้คือ 2 ต่อ 3 ต่อไปจะเป็นรอบที่หก


 


บางทีสวรรค์อาจเข้าข้างนิกายวารีคราม ก็ใยเมื่อศิษย์หลักระดับทองจากนิกายวารีครามที่เสียเปรียบก็กลับมาชนะอีกครั้ง


 


หากนับคะแนนก็เป็น 3 ต่อ 3


 


เหลือการแข่งขันอีกแค่เพียงนัดเดียว


 


“การต่อสู้นี้ดูสูสีมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่นิกายธารเมฆาจะกดขี่นิกายวารีคราม อย่างดีที่สุด พวกเขาก็แค่เหนือกว่าเล็กน้อย”


 


“ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายธารเมฆาลู่หยุนไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาก็จะสามารถเอาชนะเฉินหยวนหูได้อย่างง่ายดาย”


 


“ดาบคลั่งของนิกายวารีครามก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกัน”


 


“อันดับดาราของดาบคลั่งต่ำกว่าลู่หยุนมาก”


 


“การจัดอันดับนั้นผ่านมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว ในช่วงเวลานี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก ยกเว้นพวกอันดับต้นๆ คนอื่นๆ จะไม่สามารถรักษาอันดับของตนไว้ได้ ข้าคิดว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว”


 


ผู้ชมกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด


 


ในรอบที่เจ็ด ศิษย์หลักระดับทองของนิกายวารีครามถือไพ่เหนือกว่า และมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน


 


ในที่สุดหลี่ฟู่เฉินก็สามารถหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้


 


ในฐานะศิษย์หลักจากนิกายวารีคราม เขาจึงสงวนความภาคภูมิใจให้กับนิกายของเขาอย่างมากที่สุด และไม่ต้องการให้นิกายวารีครามต้องพ่ายแพ้โดยนิกายดาบธารเมฆา


 


“เจ้าจะต้องพ่ายแพ้!”


 


หลังจากที่ใช้กระบวนท่ามากกว่าหนึ่งร้อยครั้ง ศิษย์หลักของนิกายวารีครามก็ร่อนขึ้นสู่ท้องฟ้าและตวัดดาบของเขาลง


 


ราวกับกับดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แสงดาบทะลุทะลวงเข้าไป ส่งผลทำให้ลบล้างกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม และทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง


 


“พวกเราชนะแล้ว!” ศิษย์ของนิกายวารีครามกล่าวออกมาอย่างมีความสุข


 


ในตอนแรกพวกเขาหมดความหวัง และไม่คาดคิดว่าจะมีการเกมกลับมาได้


 


แต่ก็ยังโชคดีที่เซี่ยเฟิงรีบเข้ามา หากไม่มีเขานิกายวารีครามก็จะไม่มีวันได้รับชัยชนะ


 


ในขณะเดียวกัน โชคดีที่เฉินหยวนหูเอาชนะหลินเถิงได้ และทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียขวัญ


 


“ไปให้พ้น!”


 


ปิสส!


 


เลือดสดๆ พุ่งออกมาจากปาก ขณะที่ศิษย์หลักของนิกายวารีครามกำลังหันหลังกลับ


 


“ช่างเป็นสภาวะพลังฉีแห่งดาบที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้!”


 


ผู้ชมมองไปอีกด้านหนึ่ง และเห็นร่างวิ่งเข้ามา


 


“นั่นมันศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายดาบธารเมฆา ลู่หยุน”


 


“นิกายวารีครามจบสิ้นแล้ว ด้วยลู่หยุนที่อยู่ที่นี่ เฉินหยวนหู่จะไม่สามารถต้านทานเขาได้แน่นอน”


 


การแสดงออกของ เฉินหยวนหูและเซี่ยเฟิงดูสิ้นหวัง


 


ตามกฎที่พวกเขาตั้งไว้ นิกายวารีครามนับว่าชนะแล้ว และฝ่ายตรงข้ามก็ทำผิดกฎ


 


ความเร็วของลู่หยุนเร็วมาก และใช้เวลาเพียงพริบตาเขาก็มาถึงสถานที่ประลอง เขามีคิ้วที่สั้นและมีดวงตาที่แหลมคม ไม่มีใครกล้ามองเขาโดยตรง


 


ลู่หยุนติดอันดับ 72 ในการจัดอันดับดารา ศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายดาบธารเมฆา


 


“ลู่หยุน นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” เฉินหยวนหูพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะระงับความโกรธ


 


ลู่หยุนกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่มีอะไรมาก ข้าก็แค่ไม่ชอบนิกายวารีครามของเจ้า”


 


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยู่ในอันดับที่ 72 ของการจัดอันดับดารา ให้ข้าได้ประลองกับเจ้า!” เซี่ยเฟิงคำราม


 


ลู่หยุนกล่าว “เจ้าไม่มีคุณสมบัติ เข้ามาพร้อมกันทั้งสองคนเลยจะดีกว่า”


 


“มันจะโอหังมากเกินไปแล้ว เซี่ยเฟิงเจ้าอยู่ที่นี่แหละ”


 


เฉินหยวนหูจะอดทนต่อการดูถูกเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยโทสะ และความโหดเหี้ยม


 


เช้ง!


 


ลู่หยุนไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว และป้องกันกระบวนดาบของเฉินหยวนหูได้อย่างง่ายดาย


 


“ทักษะต่อสู้ทรงพลังอย่างแท้จริง” หลี่ฟู่เฉินหรี่ตา


 


เขาไม่เห็นว่าดาบของลู่หยุนเป็นอย่างไร แต่มันก็โจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ โจมตีไปยังบริเวณที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของดาบของเฉินหยวนหู มันให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความสามารถพื้นฐานของลู่หยุนจะเหนือกว่าของเฉินหยวนหู


 


พื้นฐานของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างระหว่างความสามารถในการรับรู้ ทักษะ และท่าสังหาร


 


“ไปให้พ้น!”


 


ด้วยการสั่นแขนของลู่หยุน เฉินหยวนหูถูกบังคับให้ลอยกลับไปตั้งหลักใหม่


 


ในช่วงเวลาต่อมาร่างของลู่หยุนก็หายไป และเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็อยู่ตรงหน้าเฉินหยวนหูแล้ว เขาใช้ดาบในมือขวา เพื่อปลดอาวุธ ขณะที่ใช้ดาบมือในซ้ายชี้ไปยังหน้าอกของเฉินหยวนหู่


 


ปิส!


 


เฉินหยวนหู่หน้าซีด และสำลักออกมาเป็นเลือดสดๆ


 


เขาพ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่ไม่มีการตุกติกหรือลูกเล่นใดๆ


 


ไม่ใช่เพราะเขาขาดเพียงความสามารถพื้นฐาน แต่ทักษะการต่อสู้ของเขาด้อยกว่าก็เท่านั้น


 


เมื่อมีความแตกต่างระหว่างทักษะพื้นฐาน ทักษะต่อสู้ที่ท่วมท้นก็เพียงพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยไม่ต้องใช้ท่าไม้ตายใดๆ


 


ย้อนกลับไปที่งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ หลี่ฟู่เฉินขาดความสามารถพื้นฐาน เขาก็ใช้ได้เพียงแค่ทักษะที่เหนือกว่า เพื่อเอาชนะหรันเฉียนชิวและเสี่ยวไบ๋


 


สำหรับความสามารถพื้นฐาน จริงๆ แล้วมันหมายถึงระดับการฝึกฝน ระดับเจตจำนงของดาบ และระดับท่าสังหาร


 


เมื่อเซี่ยเฟิงเห็นว่าเฉินหยวนหูพ่ายแพ้ เขาก็รีบขึ้นไปขัดขวางลู่หยุนทันที


 


ปิส!


 


น่าเสียดายที่ระดับการฝึกฝนของเซี่ยเฟิงนั้นอ่อนแอกว่ามาก เขาจึงพ่ายแพ้ไปในทันที เนื่องจากลู่หยุนนั้นอยู่ในระดับที่ 9 ของขอบเขตปฐพี ซึ่งเขาไม่มีทางเข้าใกล้ลู่หยุนได้เลย


 


“ข้าต้องแสดงตัวออกไปจริงๆ?” ขณะที่หลี่ฟู่เฉินกำลังยิ้มอย่างขมขื่น ก็มีรัศมีส่องสว่างไปทั่วดวงตาของเขา


 


“ไปให้พ้น!”


 


ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินกำลังจะเปิดเผยตัวเอง พายุที่คล้าบกับดาบก็พุ่งเข้ามา สภาวะพลังฉีแห่งดาบนี้มีความรู้สึกคล้ายกับพลังฉีแห่งดาบของนิกายต้นกำเนิดดาบ ซึ่งเต็มไปด้วยพลังสวรรค์และโลก


 


“มันคือดาบคลั่ง!”


 


มีคนจำเขาได้


บทที่ 251


ดาบหมาป่าสังหาร


 


ชื่อของดาบคลั่งค่อนข้างโด่งดังในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก


 


โครงกระดูก 4 ดาวที่สามารถมาถึงระดับนี้ได้เช่นดาบคลั่งนั้นต้องเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย


 


การกล่าวว่าเขาเป็นโครงกระดูก 4 ดาวระดับท้าทายสวรรค์ก็ไม่เกินเลยไปนัก


 


เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโครงกระดูกดาว 4 ดวงไม่ได้ถือว่าเป็นโครงกระดูกระดับสูงในนิกายเสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับทวีปยูนิคอร์นตะวันออก จากศิษย์ระดับทอง 31 คนในนิกายวารีคราม 90% เป็นโครงกระดูกโครงระดับ 5 ดาวส่วนที่เหลือเป็นโครงกระดูก 4 ดาว ซึ่งถือเป็นพวกระดับล่างๆ


 


แต่ทว่าดาบคลั่งยึดตำแหน่งศิษย์หลักระดับทองอันดับ 1 ในนิกายวารีครามได้อย่างมั่นคง ระดับการรับรู้ของเขาเหนือกว่าเฉินหยวนหูและเซี่ยเฟิง


 


หากเป็นเพียงความสำเร็จแค่นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร ในการแข่งขันจัดอันดับดาวก่อนหน้านี้ ดาบคลั่งนักดาบมือใหม่ผู้นี้อาศัยความตระหนักรู้และทักษะในการต่อสู้ที่น่าประหลาดใจของเขาเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งกว่าเขาและในที่สุดก็ได้อันดับที่ 105


 


แน่นอนว่านี่ไม่นับรวมหลี่ฟู่เฉิน


 


หากโครงกระดูก 4 ดาวของดาบคลั่งถือว่าต่ำ เช่นนั้นแล้วโครงกระดูก 1 ดาวของหลี่ฟู่เฉินก็คงจะถูกมองว่าเป็นขยะ


 


ด้วยระดับโครงกระดูกเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วจะพบว่ายากที่จะก้าวไปสู่ขอบเขตปฐพีและจะติดอยู่ในฐานะนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดไปตลอดชีวิต


 


หลี่ฟู่เฉินเป็นเพียงแค่คนไร้ตัวตน แต่เมื่อการแข่งขันการจัดอันดับดดาราเริ่มขึ้น และหากเขาต้องการคว้าอันดับหนึ่ง โครงกระดูกของเขาก็จะถูกเปิดเผย และแน่นอนว่ามันจะทำให้ทั้งทวีปตกใจ


 


เพราะถ้าโครงกระดูก 1 ดาวสามารถต่อสู้โครงกระดูก 5 ดาวได้ ไม่ใช่สิ่งที่จะนิยามได้ง่ายๆ อย่างคำว่าเป็นโครงกระดูก 1 ดาวระดับท้าทายสวรรค์


 


บางทีการท้าทายสวรรค์แบบนี้อาจเป็นการท้าทายสวรรค์ที่แท้จริง ซึ่งเกินความหมายของโครงกระดูก


 


“ดาบคลั่ง หลี่เซียงหรู”


 


ลู่หยุนมีความประทับใจอย่างมากต่อดาบคลั่ง


 


ในระหว่างการแข่งขันการจัดอันดับดาราก่อนหน้านี้ เขาได้ต่อสู้กับดาบคลั่งและได้รับชัยชนะอย่างหมดจด เพราะปัจจัยพื้นฐานที่เหนือกว่าของเขา แต่จริงๆ แล้วเขากลับด้อยกว่าในแง่ของการรับรู้และทักษะการต่อสู้


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง การฝึกฝนของดาบคลั่งจะต้องได้รับการปรับปรุงอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นความสามารถของเขาสมควรจะดีขึ้นกว่าเดิม


 


“หลี่เซียงหรู” สายตาของหลี่ฟู่เฉินจับจ้องไปที่ดาบคลั่ง


 


ดาบคลั่ง หลี่เซี่ยงหรู มีนามสกุลเดียวกับเขา


 


เมื่อตอนที่หลี่ฟู่เฉินเข้าสู่นิกายวารีคราม เขาเคยได้ยินชื่อของหลี่เซียงหรูอยู่บ่อยๆ


 


มีคนคาดเดากันไว้ว่าถ้าดาบคลั่ง หลี่เซียงหรูมีโครงกระดูกระดับ 5 ดาว ศักยภาพโดยกำเนิดของเขาจะอยู่ที่จุดสุดยอดของทวีปยูนิคอร์นตะวันออกอย่างแน่นอน คงจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับเขาได้


 


น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่โครงกระดูก 4 ดาว


 


แต่แน่นอนว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นอันดับดาราแล้ว


 


‘ในอดีตที่ผ่านมา มีการกล่าวกันไว้ว่า ดาบคลั่ง ดาบพยัคฆ์ และดาบไร้อารมณ์ทั้งสามคนมีศักยภาพโดยกำเนิดที่คล้ายคลึงกัน แต่เมื่อพลังบ่มเพาะของพวกเขาก้าวหน้าและก้าวหน้าขึ้น พร้อมกับประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น แม้แต่กระทั้งอัจฉริยะที่มีศักยภาพใกล้เคียงกันก็ค่อยๆ ถูกเว้นระยะห่างออกไป ในสามคนนั้น ดาบคลั่ง ความสามารถและศักยภาพของหลี่เซียงหรูนั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน’ หลี่ฟู่เฉินคิดในใจ


 


ดูจากสภาวะพลังฉีที่ปรากฏขึ้นมาเป็นหลัก หลี่ฟู่เฉินสามารถตัดสินได้ว่าความสามารถของหลี่เซียงหรูนั้นเหนือกว่าเฉินหยวนหูมากนัก


 


หากศักยภาพโดยกำเนิดเป็นปัจจัยพื้นฐาน ก็คงจะมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ตัดสินความเร็วของการพัฒนา


 


บางคนมีการรับรู้ที่ยอดเยี่ยม


 


บางคนมีบุคลิกแข็งกร้าว


 


บางคนมีอารมณ์ที่ยืดหยุ่นอ่อนโยน


 


บางคนก็ดูหนักแน่น


 


จากความเห็นของหลี่ฟู่เฉิน หลี่เซียงหรูไม่ได้มีเพียงแค่การรับรู้ที่โดดเด่น แต่เขาก็เป็นคนที่หนักแน่และมุ่งมั่นมากๆ ด้วยเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่เขาได้รับฉายาว่าดาบคลั่ง


 


“มันคือหลี่เซียงหรูชิเซียง”


 


“หลี่ชิเซียงอยู่ที่นี่ หากมีเขาอยู่ ลู่หยุนก็ไม่เหนือกว่าอีกต่อไป”


 


การมาถึงของดาบคลั่ง ฟื้นฟูกำลังใจผู้คนจากนิกายวารีคราม


 


หลี่เซียงหรูเป็นตำนานในหมู่ศิษย์นิกายวารีคราม และเขาก็ไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวังตลอดทศวรรษที่ผ่านมา


 


พวกเขาเชื่อว่าครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน


 


“มันคือดาบคลั่ง หลี่เซียงหรู นี่จะเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยม”


 


“หนึ่งในนั้นคืออันดับที่ 72 ของอันดับดารา อีกคนอยู่ในอันดับที่ 105 ของอันดับดารา ผลลัพธ์น่าจะชัดเจนใช่หรือไม่?”


“นั่นอาจไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งปี ย่อมมีอะไรเกิดขึ้นมากมายกับหลี่เซียงหรู หลินเถิง และเฉินหยวนหูที่มีความสามารถในการเป็นอันดับดาราอยู่แล้ว เป็นไปได้ว่าคนอื่นๆ ก็จะยังคงอยู่ในสภาพเดิม”


 


ผู้ชมทุกคนมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น


 


ลู่หยุนและหลี่เซียงหรูอาจไม่ได้รับการจัดอันดับสูงนัก แต่ทั้งคู่ก็มีชื่อเสียง การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนสมควรเป็นการเปิดหูเปิดตาให้เขา


 


“เจ้าอยู่ที่นี่”


 


เช็ดเลือดที่มุมปาก เฉินหยวนหูกล่าวกับหลี่เซียงหรู


 


แม้ว่าเฉินหยวนหู่จะไม่เต็มใจนัก เขาก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้เขาเทียบไม่ได้กับลู่หยุน และทักษะการต่อสู้ของเขาก็ด้อยเกินไป


 


หลี่เซียงหรูเหลือบมองไปที่เฉินหยวนหูและเซี่ยเฟิง “พวกเจ้าสองคนช่างน่าขายหน้า!”


 


เซี่ยเฟิงกำหมัดแน่น ท่าทางการพูดของหลี่เซียงหรูดูเอาแต่ใจ แต่เขาไม่สามารถหาคำมาหักล้างได้


 


เขาอยากเป็นเหมือนดาบคลั่ง ที่หมกหมุ่นอยู่กับเต๋าแห่งดาบ และจดจ่ออยู่กับเต๋าแห่งดาบ นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมออกมาฝึกสภาวะจิตตัวเอง เพราะเขากลัวว่าเขาจะถูกรบกวนจากเรื่องทางโลก


 


แต่เมื่อเขามาถึงแคว้นร้อยเทพยุทธ์ เขารู้ตัวว่าตนนั้นคิดผิด


 


 


เขาไม่ใช่ดาบคลั่ง หลี่เซียงหรู และเขาก็ไม่สามารถเป็นเหมือนเขาได้ ที่บรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวเองและฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง


 


หลี่เซียงหรูเหมือนจะเกิดมาเพื่อเต๋าแห่งดาบ แม้ว่าเขาจะไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก ความตระหนักรู้ และทักษะในการต่อสู้ของเขาก็ยังคงน่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบมิได้


 


เขาต้องเดินไปตามทางของเขาเอง


 


ถ้าเขาสามารถเดินบนเส้นทางของตัวเองได้ก่อนหน้านี้ เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าตัวเองในปัจจุบันอย่างแน่นอน อย่างน้อยเขาก็จะไม่อ่อนแอไปกว่าเฉินหยวนหู


 


ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวทำให้เสียเวลาไปอย่างน้อยหนึ่งปี


 


ส่ายหัว เซี่ยเฟิงยังคงนิ่งเงียบ


 


“หลี่เซียงหรูผู้นี้แน่นอนว่าดูไม่เป็นมิตรมากนัก” หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ


 


เขารู้สึกได้ว่าหลี่เซียงหรูไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูกทั้งสองคน เขาระบุข้อเท็จจริงได้อย่างหมดจด


 


“บางทีอาจมีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้น ที่สามารถละทิ้งอารมณ์และมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ของพวกเขาเองได้”


 


มีอยู่หลายหมื่นเส้นทาง การทำให้ตัวเองสงบเองก็เป็นเส้นทางนึง และการฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งเองก็เป็นอีกเส้นทางเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตัวเอง


 


ตึก กึก!


 


สภาวะพลังฉีของหลี่เซียงหรูดูคล้ายกับกายุแห่งดาบ ซึ่งใกล้เคียงกับสภาวะพลังฉีของลู่หยุน


 


เมื่อพลังฉีของพวกเขาทั้งสองปะทะกัน มันมีเสียงระเบิดในอากาศเกิดขึ้น


 


“หลี่เซียงหรู เมื่อครั้งก่อนเจ้าไม่สามารถรับกระบวนท่าของข้าได้สามเสียด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้หลังจากผ่านไปแค่ปีกว่าๆ เช่นนั้นหรือ?” ลู่หยุนพยายามที่จะให้ตัวเองได้เปรียบโดยการข่มขู่เขา เขาได้ใช้ข้อเท็จจริงเพื่อจัดการกับขวัญกำลังใจของหลี่เซียงหรู


 


หลี่เซียงหรูตอบ “มาสู้กันเถอะ!”


 


เขาไม่ได้เป็นคนที่ชอบถกเถียง จากมุมมองของเขา มันไร้ประโยชน์สำหรับเรื่องไร้สาระทั้งหมดนั้น


 


ลู่หยุนหยุดไปชั่วขณะนึง ก็ในเมื่อเขาไม่รู้จักนิสัยใจคอของหลี่เซียงหรูมากนัก ซึ่งเขาเองก็เงียบไปในทันที


 


“หากเจ้าต้องการจะสู้ เช่นนั้นก็ช่างมัน!”


 


ท่าทางที่ดูสง่างามของลู่หยุนหาย ในขณะที่ดาบของเขาถูกดึงออกมาทีละนิ้วๆ อย่างช้าๆ


 


“ร้อยดาบสังหาร!”


 


โดยไม่คาดคิด หลี่เซียงหรูไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสร้างเจตจำนงสู้รบของเขา และตวัดดาบของเขาออกไปทันที


 


อากาศอัดแน่นไปด้วยพลังฉีแห่งดาบเช่นเดียวกับที่หลี่เซียงหรูตวัดดาบจำนวนนับไม้ถ้วนออกไป ดาบทุกดาบมีความแม่นยำเป็นพิเศษ ในขณะที่พวกมันพุ่งโค้งไปมาอย่างน่าทึ่งกลางอากาศ


 


“ทักษะต่อสู้ที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินสว่างขึ้น


 


ในแง่ของความตระหนักรู้ด้านการต่อสู้ ไม่มีใครเทียบได้กับเขา แต่มันก็ไม่ใช่กรณีเดียวกันกับทักษะต่อสู้


 


สองเดือนที่แล้ว หลี่ฟู่เฉินอายุ 20 ปี ในขณะที่หลี่เซียงหรูได้เข้านิกายวารีครามเมื่อตอนที่เขาอายุ 13 และตอนนี้ก็อายุ 26 ในปีนี้


 


หลังจากการฝึกฝนอย่างพากเพียรมาหลายปี มันก็พิสูจน์แล้วว่าการพัฒนาทักษะต่อสู้ของเขาย่อมไปสู่ระดับที่น่าตกใจ


 


ขณะที่เขาขมวดคิ้ว ลู่หยุนสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยท่าสังหารของเขาออกไปในเวลาเดียวกัน


 


ในอากาศ เงาดาบทอดยาวไร้ขีดจำกัด กวาดไปมาในอากาศ


 


ปิส ปิส ปิส ปิส!


 


ดาบของหลี่เซียงหรูถูกทำให้เป็นกลางทั้งหมด


 


“ดาบหมาป่าสังหาร!”


 


หลังจากที่ทำให้ท่าสังหารของหลี่เซียงหรูเป็นกลางแล้ว ลู่หยุนระเบิดท่สังหารแบบที่สองออกมา


 


ด้วยการใช้ท่าสังหารครั้งนี้ เงาดาบอีกอันก็พุ่งออกมาซึ่งเป็นรูปร่างของหมาป่า


 


‘ท่าสังหารสองประเภท?’


 


หลี่ฟู่เฉินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าอันดับดาราจำนวนมากได้พัฒนาท่าสังหารอย่างน้อยสองหรือสามประเภท


บทที่ 252


นายน้อยมังกร จื่อหยูเย่


 


ยิ่งการท่าสังหารนั้นทำให้ความสามารถในการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนผู้นั้น


 


พลังของท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางที่ด้อยกว่านั้น ก็จะใกล้เคียงกับทักษะดาบระดับลึกลับขั้นกลาง แต่มันยากที่จะป้องกันและรุนแรงกว่า


 


ท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางที่เหนือกว่า ไม่เพียงแต่ยากที่จะป้องกันเท่านั้น มันยังมีอำนาจพลังการทำลายล้างที่สูงมากอีกด้วย ในบางครั้ง มันแทบจะใกล้เคียงกับทักษะดาบลึกลับขั้นสูง


 


แน่นอนว่า ยิ่งท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางแข็งแกร่งเท่าไหร่ การพัฒนาของมันก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น


 


มันขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครเข้าใจเจตจำนงดาบระดับลึกลับขั้นกลางได้ในระดับใด


 


หากมีใครเข้าใจเจตจำนงดาบระดับลึกลับขั้นกลางธรรมดาๆ ก็จะสามารถสร้างท่าสังหารในระดับพลังที่ไม่สูงมากนักได้


 


หากมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเจตนจำแห่งดาบระดับลึกลับขั้นกลาง เขาก็จะสร้างท่าสังหารที่มีพลังที่มากกว่าได้


 


และหากเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นกลางขึ้นไปถึงขีดจำกัดสูงสุด ซึ่งใกล้เคียงกับเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงได้ ท่าสังหารที่สร้างขึ้นได้ก็จะคล้ายกับทักษะดาบระดับลึกลับขั้นสูงได้


 


แต่มีสถานการณ์อื่นอยู่อีก


 


ท่าสังหารอาจไม่ได้เพียงมีเจตจำนงแห่งดาบอันเดียว แต่อาจมีดาบเจตจำนงถึงสองหรือสาม


 


ยกตัวอย่างเช่นดาบของหลี่ฟู่เฉิน ซึ่งบรรจุเจตจำนงแห่งดาบดาวตกและเจตจำนงแห่งดาบเก้าโคจรเอาไว้


 


ท่าสังหารที่ใช้เจตจำนงแห่งดาบสองรูปแบบจะมีความสามารถหลากหลายขึ้นมาก และยากที่จะป้องกัน ในอีกแง่นึง พลังโจมตีของมันอาจแข็งแกร่งมากขึ้น


 


ตามทฤษฎีแล้ว หากมีเจตจำนงแห่งดาบมากๆ เข้า และมาสร้างท่าสังหารโดยเฉพาะ มันจะส่งผลให้ท่าสังหารขึ้นไปสู่ทักษะดาบระดับลึกลับขั้นสูง หรือทำให้มีพลังมากขึ้น


 


แต่มันเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น และยังไม่มีใครที่ยังบรรลุเป้าหมายนี้


 


เนื่องจากการผสมผสานของเจตจำนงแห่งดาบนั้นยากเกินกว่าจะควบคุมได้


 


ในขั้นตอนก่อนหน้านี้ มันอาจจะราบรื่นเหมือนกรณีของหลี่ฟู่เฉิน แต่เมื่อท่าสังหารค่อยๆเคลื่อนไปสู่ความสมบูรณ์แบบและมีพลังมากขึ้น สิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างเจตจำนงแห่งดาบแต่ละอันจะมีความโดดเด่นแบบแย่งชิงกัน จนไม่มีทางที่จะผสานเข้ากันได้


 


ถ้าเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นกลางของหลี่ฟู่เฉินอยู่ในช่วงเริ่มต้นเมื่อตอนที่เขาเพิ่งจะบรรลุมันมา งั้นแล้วตอนนี้ เจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นกลางของเขาก็คงอยู่ในช่วงที่ประเมินไม่ได้ หากมันไม่ได้เกิดจากการรับรู้ที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาก็คงไม่สามารถใส่เจตจำนงทั้งสองลงไปในท่าสังหารได้


 


เมื่อตอนที่วันนั้นมาถึง เมื่อเจตจำนงระดับลึกลับขั้นกลางถึงขีดจำกัด มันอาจจะลำบากสำหรับอยู่บ้าง


 


แต่สวรรค์ไม่เคยกีดขวางเส้นทางของใคร ด้วยเจตจำนงแห่งดาบที่แตกต่างผสมผสานกัน และด้วยการรับรู้ที่เหนือกว่า จริงๆ แล้วเจตจำนงแห่งดาบทั้งสองสามารถมีทางที่ผสานเข้ากันได้อย่างสมบรูณ์


 


แค่เราต้องละทิ้งส่วนของเจตจำนงแห่งดาบที่ไม่สามารถประสานกันและกันได้ กลับกันแค่ผสมผสานสิ่งที่เป็นไปได้ลงไปแทน มันก็จะบรรลุการผสานได้อย่างสมบูรณ์


 


แน่นอนว่าตอนพูดง่ายกว่าทำ


 


เมื่อเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นกลางทั้งสองถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบรูณ์ แน่นอนว่ามันจะเป็นเจตจำนงแห่งดาบระดับลึกลับขั้นสูงที่ทรงพลังอย่างมาก มันอาจจะแม้แต่กระทั้งเป็นระดับลึกลับขั้นสูงสุด ดังนั้นความยากลำบากจึงค่อนข้างมาก


 


หลี่ฟู่เฉิน ไม่ได้นึกถึงเรื่องดังกล่าวในเวลานี้ ในมุมมองของเขา ตราบใดที่เขาสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเพลิงปีศาจได้ มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเข้าใจถึงความสามารถของมัน สำหรับการผสานนเจตจำนงแห่งดาบ นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเพลิงปีศาจได้แล้ว


 


***


 


เมื่อดาบหมาป่าสังหารถูกใช้ออก พื้นที่ที่หลี่เซียงหรูยืนอยู่นั้นก็เต็มไปด้วยกระแสพลังฉีที่รุนแรง นี่เป็นท่าสังหารที่ทำความเสียหายเป็นวงกว้างและยากที่จะหลบเลี่ยง


 


“สิบดาบสังหาร!”


 


ดวงตาของหลี่เซียงหรูหรี่ลงในขณะที่เขาใช้ท่าสังหารครั้งที่สองออกไป


 


บูม!


 


คลื่นพลังฉีไหลกลับด้าน ขณะเจตจำนงแห่งดาบและพลังฉีไหลอยู่รอบตัวหลี่เซียงหรู ซึ่งมันทั้งดูกว้างใหญ่และโอ่อ่า ได้เริ่มโจมตีลู่หยุนราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว


 


หากท่าสังหารร้อยดาบสังหารมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยรูปแบบต่างๆ เช่นนั้นแล้วสิบดาบสังหารก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถผ่านไปได้ ในขณะที่จำนวนมันลดลง แต่สภาวะพลังฉีแห่งดาบกลับไม่ได้ลดลง กลับกันมันเพิ่มขึ้นในระดับที่น่ากลัว


 


ครืน!


 


มีเสียงสะท้อนดังลั่น ราวกับสวรรค์และโลกเกิดระเบิดออก ส่งผลทำให้ลู่หยุนและหลี่เซียงหรูต่างต้องกระเด็นถอยกลับไป


 


ระหว่างนั้น ที่พื้นมีรอยแตกและรอบแยกนับพันรอย ราวกับนักสู้ขอบเขตปฐพีจำนวนนับไม่ถ้วนเคยต่อสู้ที่นี่ และได้ทิ้งร่องรอยหลงเหลือเอาไว้


 


“พลังน่ากลัวอะไรเช่นนี้ นี่คงเกิดจากการสร้างท่าสังหารได้สองท่า”


 


“ลู่หยุนคู่ควรกับการเป็นอันดับดารา อันดับที่ 72 ของเขา มันไม่ได้เป็นสิ่งที่อันดับดารา อันดับล่างสุดจะมาเปรียบเทียบได้”


 


“ดาบคลั่ง หลี่เซียงหรูทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของลู่หยุนได้อย่างแท้จริง”


 


เหล่าผู้ชมต่างพากันตกใจ


 


การสร้างท่ากระบวนท่าสังหารไม่ใช่เรื่องง่าย การสร้างกระบวนท่าสังหารเพียงครั้งแรกนั้นก็ยากอยู่แล้ว และต้องใช้เวลานานมากสำหรับการทำให้มันสมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องบอกว่าต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการสร้างท่าสังหารครั้งที่สอง ซึ่งมันต้องน่ากลัวยิ่งกว่าการสร้างท่าสังหารครั้งแรกเป็นแน่


 


สรุปแล้ว การสร้างกระบวนท่าสังหารต้องสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ไม่ใช่แค่สร้างกระบวนท่าสังหารแบบมั่วๆ ที่ใครก็สามารถสร้างได้ออกมา


 


เนื่องจากท่าสังหารของพวกเขายังคงอยู่ ทั้งสองคนจึงเริ่มต่อสู้ในการระยะประชิด


 


ในฐานะผู้ที่มีชื่อถูกจัดอันดับดาราที่รู้จักกันดี ดาบของลู่หยุนเปรียบเสมือนเมฆที่เคลื่อนไหวอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ


 


ในขณะที่ดาบคลั่ง หลี่เซียงหรูนั้นเน้นไปที่ความแม่นยำ แม่นยำมากจนทำให้รู้สึกเย็นวาบไปทั่วบริเวณหนังศรีษะ


 


เช้ง เช้ง เช้ง…


 


เมื่อคมดาบของพวกเขาเสียดสีกัน ก็เกิดประกายไฟกระจายออกไปในทุกพื้นที่ ในขณะที่ร่างกายของทั้งสองและดาบของพวกเขาตัดกันไปทางซ้ายและขวาจากนั้นขึ้นและลง ที่เวทีนี้ มันยากที่จะสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยของการต่อสู้ แต่ทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่อยู่เหนือกว่ากัน


 


“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถดูถูกใครได้เลย”


 


ด้วยความตระหนักในการต่อสู้ที่น่าตกตะลึงของหลี่ฟู่เฉิน เขาจึงสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยในการต่อสู้ของพวกเขาได้ แม้แต่กระทั้งรายละเอียดบางอย่างที่นักสู้ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ ก็ยังอยู่ในสายตาของหลี่ฟู่เฉิน


 


ในสายตาของเขา ดาบของลู่หยุนดูเหมือนจะมีวิญญาณสถิตอยู่ มันอาจดูเบาบาง และล่องลอย ไม่มีอำนาจพลังใดๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับมีพลังกำลังแข็งแกร่งที่ประหลาดใจไหลออกมา


 


ในขณะที่ดาบของหลี่เซียงหรูนั้นมีความแม่นยำอย่างเหนือจินตนาการ และสามารถโจมตีเข้าไปได้แม้แต่กระทั่งจุดอ่อนที่เล็กที่สุด


 


ทักษะการต่อสู้ของบุคคลทั้งสองนี้ยอดเยี่ยมมาก และเมื่อดูที่ปัจจัยนี้เพียงอย่างเดียว มันก็น่าตกใจมากพอแล้ว


 


100 กระบวนท่า 200 กระบวนท่า…


 


การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนเป็นเหมือนไฟป่า ไม่มีสัญญาณของความเหนื่อยล้าใดๆ ออกมาจากพวกเขา


 


‘โอกาสที่จะชนะของหลี่เซียงหรูนั้นสูงกว่าเล็กน้อย เขาเหนือกว่าในแง่ของการสังเกตรายละเอียด’ หลี่ฟู่เฉินกล่าวกับตัวเอง


 


“น่าสนใจ ดูเหมือนว่าจะมีบุคคลที่มีความสามารถบางคนจากนิกายดาบธารเมฆาและนิกายวารีครามต่อสู้กัน”


 


โดยที่ไม่รู้ตัวว่า มีเยาวชนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในดินแดนที่ว่างเปล่าอันห่างไกล


 


เยาวชนกลุ่มนี้สวมเสื้อคลุมยาวสีทองซีดซึ่งมีลายมังกรปักอยู่


 


หัวหน้าของกลุ่มนี้มีมงกุฎสีทองอยู่บนศีรษะซึ่งส่งเสริมให้ใบหน้าของเขาให้มีชีวิตชีวา ที่ด้านซ้ายเอวของเขามีดาบ ในขณะที่มีขลุ่ยอยู่ทางขวา เมื่อเขายิ้ม มีสภาวะพลังฉีที่ชัดเจนเกิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ดังเช่นว่าเขาเป็นราชาแห่งดาบ


 


“มันเป็นคนจากนิกายดาบมังกรฟ้า”


 


“นิกายดาบมังกรฟ้าเป็นหนึ่งในสองนิกายที่เน้นดาบเป็นหลักในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หัวหน้าของกลุ่มนั้นสมควรเป็นนายน้อยมังกร จื่อหยูเย่”


 


มีคนสังเกตเห็นพวก และขณะที่พวกเขามองข้ามไป พวกเขาอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง


 


นิกายดายมังกรฟ้าเป็นหนึ่งในกองกำลังชั้นยอดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก และยังเป็นหนึ่งในสองนิกายดาบหลัก


 


เมื่อเปรียบเทียบกับนิกายดาบธารเมฆาและนิกายวารีคราม พวกเขาเหนือกว่ามาก


 


นายน้อยมังกร จื่อหยูเย่ โครงกระดูกระดับ 6 ดาวและ เป็นนักดาบอัจฉริยะที่ปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวในรอบศตวรรษของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก เขาอยู่ในอันดับที่ 28 ของการจัดอันดับดารา และถ้าไม่ใช่เพราะอายุยังน้อย เขาจะสามารถก้าวขึ้นสู่สิบอันดับแรกได้อย่างแน่นอน


 


สำหรับการจัดอันดับดาราครั้งถัดไป เขาเป็นผู้สมัครที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงว่าเป็นสิบอันดับแรกถึงสามอันดับแรกแน่นอน


 


“จื่อหยูเย่มาทำอะไรที่นี่?”


 


“จะอะไรอีกหล่ะ? เขาคงอยู่ที่นี่ก็เพื่อเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ”


 


“ก็จริง ในการทดสอบในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ไม่เพียงแต่ต้องมีศักยภาพโดยกำเนิดที่ดี เขาก็ต้องมีประสบการณ์ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าจื่อหยูเย่คงจะไม่พอใจมราผ่านได้แค่ประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า เขาต้องอยากผ่านประตูบานที่หกอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมาช้าเช่นนี้”


 


“นั้นก็ถูก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศิษย์ส่วนตัวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีลำดับชั้น จากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งแปดคน พวกเขาแต่ละคนเองก็มีคนลำดับที่เหนือกว่า มีข่าวลือว่าสุดยอดผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับสองคนยังไม่ได้รับศิษย์ส่วนตัว ในช่วงเวลาล่าสุด มีเพียงเซี่ยฮูชวนเท่านั้นที่ถูกรับเป็นศิษย์โดบผู้เชี่ยวชาฐเทพยุทธ์ลำดับที่ 4 ถ้าจื่อหยูเยสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ เขาอาจจะได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้สุดยอดผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับสองคนนั้น”


 


“เมฆพายุเข้าเข้ามาใกล้และปัญหาก็อยู่ข้างหน้า แคว้นร้อยเทพยุทธ์เป็นสถานที่ที่ไม่มีสันติภาพ ข้าสงสัยว่าการแข่งขันจัดอันดับดดาราครั้งต่อไปจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน”


 


“เนื่องจากปรมาจารย์ที่แท้จริงทั้งหมดหายได้ไปจากทวีปยูนิคอร์นตะวันออกแล้ว ยุคนี้ความแข็งแกร่งจึงต้องเป็นที่สุด จากสิ่งนี้ มันจะก่อให้เกิดพายุเป็นแน่”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม