Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 239-245

 บทที่ 239


ตบหน้า


 


ซินหวูหยวนอยู่ระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพี เขาอาจจะไม่อยู่ในอันดับดารา แต่ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของเขานั้นสูงกว่าหูหมิ๋งมาก และหลังจากได้เห็นการต่อสู้ของหลี่ฟู่เฉินและหูหมิ๋งแล้ว ซินหวูหยวนคิดว่าเขาเข้าใจความสามารถของหลี่ฟู่เฉินได้อย่างลึกซึ้งแล้ว


 


จากสิ่งที่เขาเห็น หลี่ฟู่เฉินมีความตระหนักในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเล็กน้อย


 


ซินหวูหยวนค่อนข้างมั่นใจในการรับรู้การต่อสู้ของเขาเอง มันอาจไม่สามารถเทียบเคียงกับหลี่ฟู่เฉินได้ แต่ในก็ดีกว่าหูหมิ๋งอย่างแน่นอน


 


หากหลี่ฟู่เฉินต้องการพึ่งพาการรับรู้ในด้านการต่อสู้เพื่อเอาชนะเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นความเพ้อฝันของคนบ้า


 


เมื่อกระบี่ถูกตวัดออกไป ร่างของซินหวูหยวนถูกผสมเข้ากับแสงกระบี่ ซึ่งเร็วเหมือนประกายฟ้าแลบ


 


แคร็ก!


 


สายฟ้ากระพริบครั้งนึง กระบี่ของซินหวูยวนก็มาถึงหน้าของหลี่ฟู่เฉิน


 


“พลังฉีสายฟ้า?” หลี่ฟูเฉินค่อนข้างประหลาดใจ


 


การระเบิดสภาวะพลังฉีสายฟ้าเป็นประเภทที่เร็วที่สุดและรุนแรงที่สุดของพลังฉี กระบี่ประเภทเดียวกันนี้จะเร็วกว่าอย่างน้อยห้าเท่า หากมันถูกเคลือบด้วยพลังฉีสายฟ้าเมื่อเทียบกับพลังฉีชนิดอื่น ไม่แปลกใจเลยที่คู่ต่อสู้ของเขามีความมั่นใจค่อนข้างมาก ดูเหมือนว่าซินหวูหยวนคิดว่าความเร็วกระบี่ของเขารวดเร็วเกินพอ และสันนิษฐานว่าหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถหาข้อบกพร่องใดๆ ในกระบวนดาบของเขาได้


 


แต่น่าเสียดายที่ซินหวู่หยวนคิดผิด


 


จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินนั้นเกินกว่าขีดความสามารถของมนุษย์ นับประสาอะไรกับแค่การต่อสู้กับนักสู้ขอบเขตปฐพีเพียงลำพัง แม้ว่านักสู้ขอบเขตสวรรค์เป็นคนลงมือ หลี่ฟูเฉินก็ยังคงสามารถหาข้อบกพร่องในกระบวนท่าของทักษะต่อสู้ได้ในทันที


 


แน่นอน ความเร็วในการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์นั้นเร็วเกินไป และแม้ว่าจิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินจะเห็นข้อบกพร่อง ร่างกายของเขาก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา


 


เมื่อร่างกายของเขาถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว หลี่ฟู่เฉินชี้ดาบออกไป


 


จุดปลายดาบนี้เป็นเหมือนระเบิดจากเหล่าทวยเทพ


 


ปิส!


 


กระบี่สายฟ้าพลังฉีของซินหวูหยวนตอบสนองต่อเสียงดัง ซึ่งส่งผลให้ความเร็วของกระบี่ลดลงและความเร็วในการเคลื่อนของเขาลดลงอย่างมาก


 


“เก้าประกายฟ้าโจมตี!”


 


ใบหน้าของซินหวูหยวนมีอาการเหลือเชื่อ ก่อนที่เขาจะหายใจลึกๆ และใช้ท่ากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุด


 


ราวกับว่าฟ้าร้องและฟ้าผ่าเกิดขึ้น สายฟ้าเก้าลูกพุ่งลงมาจากเก้าทิศทางเข้าไปหาหลี่ฟู่เฉิน สายฟ้าทุกเส้นเป็นกระบี่แท้จริง รวมแล้วเป็นเก้ากระบี่


 


แสงดาบบิดเบี้ยวและไขว้เข้าหากัน มันเข้ามาทลายพลังฉีแห่งดาบหลี่ฟู่เฉินออกเป็นชั้นๆ เมื่อดาบสายฟ้าของซินหวูหยวนตวัดขึ้นลงบนตาข่ายดาบไปซักพัก พลังกระบี่สายฟ้าทั้งเก้าก็ถูกทำให้เป็นกลาง แต่ทว่าในช่วงเวลาเดียวกัน มันกลับถูกเปลี่ยนทิศทาง สำหรับที่เส้นทางที่มันถูกเปลี่ยนทางไป ซินหวูหยวนก็จะได้รู้ในไม่ช้า


 


ตาข่ายดาบนั้นระเบิด ซินหวูหยวนถูกส่งไปบินออกไป ในขณะที่แขนทั้งสองของเขานั้นด้านชา


 


ทักษะดาบเก้าโคจรของหลี่ฟู่เฉินมีวิธีโต้กลับการโจมตีที่โจมตีเข้ามา ยิ่งโจมตีเข้ามาด้วยความแข็งแกร่งเท่าใด การโจมตีที่สะท้อนกลับไปก็แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าซินหวูเซียงจะต้องต้องรับการโจมตีของตัวเองและบวกกับการถูกเสริมพลังเข้าไปของทักษะดาบหลี่ฟู่เฉิน ดังนั้นนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขาถูกส่งไปบิน


 


ปิส ปิส ปิส ปิส…


 


เลือดสดพุ่งออกมาจากรอยปริแตกของร่างกายซินหวูหยวน


 


การโจมตีสวนกลับของทักษะดาบเก้าโคจรไม่เพียงแต่ส่งซินหวูหยวนบินออกไปเพียงเท่านั้น มันยังสร้างบาดแผลในส่วนลึกถึงกระดูกตามร่างกายซินหวูหยวนได้โดยที่ไม่รู้ตัวอีกด้วย


 


“อ๊ากก!” ซินหวูหยวนส่งเสียงคำราม


 


นี่เป็นสิ่งที่น่าอับอายและน่าขายหน้า


 


ในขณะนี้เอง ความเจ็บปวดในร่างกายนั้นไม่สามารถเทียบเคียงได้กับความอัปยศในวิญญาณของเขา


 


ซิยหวุหยวนรู้สึกราวกับว่าการดำรงอยู่ทั้งหมดของเขากำลังจะพังทลาย บวกกับร่างกายที่อาบเลือด ภาพของเขาช่างน่าสมเพชยิ่ง


 


ผู้ชมทุกคนงุนงง


 


เกิดอะไรขึ้น? แม้แต่ซินหวูหยวนก็พ่ายแพ้? ไม่ใช่ว่าเขามั่นใจหรอกหรือ? เขาไม่อดทนและพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?


 


ท่ากระบี่ที่สองของเขารุนแรงอย่างผิดปกติ แต่มันเป็นเขาที่ได้รับบาดเจ็บเหรอ?


 


ครู่หนึ่ง ยอดเขาฝนใบไม้ทั้งหมดกลายเป็นเงียบงัน


 


ฮวงหยูเซียงไม่สามารถกล่าวอะไรได้แม้แต่คำเดียว ราวกับมีบางอย่างติดอยู่ในลำคอของเขา


 


“ฮวงชิเซียง ข้าบอกเจ้าแล้วใช่มั้ย? ซินหวูหยวนไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของหลี่ฟูเฉิน” ฟานเฉียนหยูกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยินดี


 


การแสดงออกของฮวงหยูเซียงนั้นไม่พอใจและดูบูดบึ้งในเวลาเดียวกัน


 


เขาไม่มีความคับข้องใจใดๆ กับหลี่ฟู่เฉิน ในทางตรงกันข้าม เขามีความผูกพันกับหลี่ฟูเฉิน


 


เขาไม่ชอบความเย่อหยิ่งและอวดดีของหลี่ฟู่เฉินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันไม่ดีสำหรับฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูที่จะเที่ยวไปกับหลี่ฟู่เฉิน เขาแค่ต้องการแสดงความคิดเห็นว่าอาจมีปัญหาเกิดขึ้นกับพวกเขา หากพวกเขายังคงทำเช่นนั้น


 


แต่เนื่องจากฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูปกป้องหลี่ฟู่เฉินมากเกินไป เขาจึงไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อหลี่ฟู่เฉินที่ก้นบึ้งของหัวใจอีกแล้ว


 


แต่เดิมเขาต้องการใช้ซินหวูยวนเป็นตัวอย่างเพื่อปลุกฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู แต่ใครจะรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้


 


นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาคาดหวัง


 


อ้าปาก แต่ท้ายที่สุดแล้วฮวงหยูเซียงก็ไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว หลังจากทั้งหมดแล้ว ความจริงย่อมสำคัญกว่าคำพูด บางทีอาจมีเพียงเสี่ยวไบ๋ก้าวเข้ามาเท่านั้น เขาถึงจะสามารถระงับความเย่อหยิ่งของหลี่ฟู่เฉินได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว อะไรก็ตามที่เขาพูดตอนนี้มันก็จะเป็นการตบหน้าตัวเอง


 


ในอีกด้านหนึ่ง การแสดงออกของเสี่ยวไบ๋แย่ยิ่งกว่าฮวงหยูเซียง


 


หลี่ฟู่เฉินผู้นี้น่าโมโหเกินไป เขามีความสามารถ แต่ไม่สามารถทำอะไรกับหลี่ฟู่เฉินได้ ในทางกลับกัน เขากลับต้องอนุญาตให้หลี่ฟู่เฉินแสดงความเย่อหยิ่งเช่นนี้ออกมา


 


“ขยะ ไร้ประโยชน์”


 


ในหัวใจของเสี่ยวไบ๋ เขากำลังโกรธแค้นซินหวูหยวน กำลังคิดว่าซินหวูหยวนนั้นไร้ประโยชน์หรือเป็นเพราะเขาไม่ใช่ศัตรูของหลี่ฟู่เฉิน ทำไมเขาถึงได้แพ้เร็วไปนัก? ไม่ใช่ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณซินหวูหยวนโดยไร้ความหมายหรือไม่?


 


ศาลาของเจ้าภาพ…


 


หรันเฉียนฉิวและฉินเคอชือกำลังมองหน้ากัน


 


ตอนนี้มันไม่ใช่แค่หรันเฉียนฉิวเท่านั้นที่ดูมืดมนและบูดบึ้ง แม้แต่กระทั้งฉินเคอชือก็รู้สึกอึดอัดใจ


 


“เกิดอะไรขึ้นกับงานเลี้ยงน้ำชาใบไม้ปีนี้? ข้าตัดสินว่าเขาผิดได้หรือไม่?” ฉินเคอชือถามคำถามเชิงโวหารออกมา


 


หายใจเข้าลึกๆ ฉินเคอชือตัดสินใจว่าเธอจะไม่ออกความเห็นใดๆ ต่อจากนี้แล้ว เธอต้องการดูว่าหลี่ฟู่เฉินจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหนและตัดสินใจว่าผิดจริงหรือไม่


 


“นี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจจริงๆ เขาอาจมีความสามารถบางอย่าง แต่ข้าก็ไม่ชินกับการแสดงออกที่ดูหยิ่งผยองของเขาอยู่ดี มีใครบ้างที่สามารถไปสู้กับเขาได้มั้ง? และบังคับให้เขาออกจากเวทีนี้ไป”


 


“แม้แต่กระทั้งซินหวูหยวนก็พ่ายแพ้ นอกเหนือจากอันดับดารา ก็คงไม่มีใครที่สามารถหยุดเขาได้แล้ว”


 


ทุกคนค่อนข้างไม่มีความสุข ใครจะมีความสุขที่ตนรู้สึกเหมือนตนตบหน้าตัวเอง


 


บนเวทีศิลปะการต่อสู้ ซินหวูหยวนดูน่าสังเวชและน่าเวทนาอย่างยิ่ง เขายืนอยู่ที่นั่นและไม่รู้ว่าเขาจะออกจากเวทีหรือดำเนินการต่อสู้ต่อไป


 


เขาจะต่อสู้ต่อไปได้อย่างไรเมื่อเขาไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของหลี่ฟูเฉินซะด้วยซ้ำ ตอนนี้เขามีเพียง 20% หรือ 30% ของความสามารถทั้งหมดของเขา เขาจะไม่ส่งให้ตัวเองไปตายหรอกหรือ?


 


“เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้ากำลังจะทำให้ข้าคุกเข่าและขอความเมตตา? เจ้าไม่ตีปากข้าแล้วหรือ? ข้ากำลังยืนอยู่ที่นี่ และรอให้เจ้ามาทำให้ข้าคุกเข่าให้ได้” หลี่ฟูเฉินมีดวงตาที่ดูไม่แยแส ในขณะที่เขากล่าวด้วยคำพูดทิ่มแทงหัวใจ


 


ตอนนี้ซินหวู่หยวนมีสีหน้าละอายใจ “หลี่ฟู่เฉิน เจ้าไม่ควรทำตัวเหมือนคนพาลที่ทนการยั่วยุไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าหุนหันเกินไป”


 


“หุนหัน? เจ้ากล้าที่จะแก้ตัว? หากข้าไม่ควบคุมตัวเอง การโจมตีก่อนหน้านั้นสามารถสังหารเจ้าไปได้แล้วสามครั้ง” หลี่ฟูเฉินหัวเราะเยาะ


 


ซินหวูหยวนกระอักเลือดออกมาแล้วชี้ไปที่หลี่ฟู่เฉิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าไม่มากเกินไปหรือ? เมื่อเจ้าชนะซินหวูหยวนแล้ว ทำไมเจ้าถึงจะโจมตีเขาต่อในเมื่อเขาล้มไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงจะทำ พูดถึงประเด็นนี้ เจ้าจะต้องถูกลิขิตให้เป็นคนที่ไม่มีตัวตนเส้นทางเต๋าแห่งการต่อสู้”


 


“แล้วเจ้าเป็นใคร?” หลี่ฟูเฉินเงยหน้าขึ้นมอง


 


ชายหนุ่มยิ้ม “ลั่วชิงหยุน”


 


“มันคือลั่วชิงหยุน ในที่สุดผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงก็จะก้าวเข้าสู่เวที”


 


“ลั่วชิงหยุนผู้นี้เป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมจากนิกายดาบธารเมฆา การฝึกฝนของเขาอยู่ที่ระดับ 8 ของขอบเขตปฐพี การชนะหลี่ฟู่เฉินก็คงจะง่ายเหมือนการปัดฝุ่นสำหรับเขา”


 


ทุกคนร่าเริง ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกอาจมีนิกายมากมาย แต่ทุกคนมีข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับอัจฉริยะยอดนิยมของนิกายต่างๆ อยู่กับมือ อย่างเช่นของนิกายวารีครามก็เป็นดาบคลั่งและดาบพยัคฆ์ ที่ทุกคนรู้ก็เพราะพวกเขาเป็นอัจฉริยะยอดของนิกายวารีคราม


 


“ลั่วชิงหยุน มาสู้เถอะ!”


 


หลี่ฟู่เฉินเองก็มีข้อมูลของลั่วชิงหยุน และรู้ว่าเขาเป็นหมายเลข 2 ในบรรดาศิษย์หลักระดับทองของนิกายดาบธารเมฆา


 


ในความเป็นจริง ไม่ใช่เพราะดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิงนั้นไร้ความสามารถ เขาเป็นคนประเภทเดียวกันกับดาบคลั่งและดาบพยัคฆ์ ศักยภาพและพรสวรรค์ที่มีมา แต่กำเนิดของเขาไม่ด้อยไปกว่าใคร เมื่อเทียบด้วยสองอย่างนี้


 


เหตุผลหลักก็คือเซี่ยเฟิงยังไม่ได้เข้าสู่เขตแดนเส้นทางดวงดาว ในขณะที่ดาบคลั่งและดาบพยัคฆ์ได้เข้ามาแล้ว


 


หากดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิงเข้าสู่เขตแดนเส้นทางแห่งดวงดาว ก้าวหน้าไปจากระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพีไปถึงระดับ 8 ของขอบเขตปฐพี มันก็คงจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา


บทที่ 240


เจ้ามีอะไรจะกล่าวหรือไม่?


 


 


“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้าก็แค่ไม่ชอบท่าทีที่ดูอวดดีและหยิ่งยโสของเจ้าก็เท่านั้น” ลั่วชิงหยุนส่ายหัวและเขาไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นไป


 


นิกายดาบธารเมฆาของเขานั้นคล้ายกับนิกายสารีคราม ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็นนิกายที่มุ่งสู่เต๋าแห่งดาบ


 


นักดาบย่อมเข้าใจนักดาบด้วยกันเองดีที่สุด


 


การรับรู้ด้านการต่อสู้ของหลี่ฟู่เฉินนั้นสูงมาก แต่ตราบใดที่มันไม่สูงมากไปกว่านั้น ลั่วชิงหยุนก็มีความมั่นใจอย่างยิ่งที่เข้าจะจัดการหลี่ฟู่เฉินได้อย่างง่ายดาย


 


“ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวหรือ?” หลี่ฟู่เฉินถาม


 


ลั่วชิงหยุนยังคงส่ายหัวอย่างต่อเนื่อง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่กล้า แต่ข้ากำลังดูถูกเจ้าอยู่”


 


“ตั่งแต่ที่เจ้าไม่เต็มใจที่จะลงสนามประลอง งั้นแล้วเจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่มาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวข้า? เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นนักดาบ เจ้าก็เป็นเพียงนักดาบจอมปลอมที่แกล้งทำตัวเป็นคนมีความชอบธรรม” หลี่ฟู่เฉินโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


ประกายอันเย็นชาวาบผ่านในสายตาของลั่วชิงหยุน “เจ้ากำลังทำให้ข้าโกรธ”


 


“เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นคนโกรธข้า เพราะว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเสียด้วยซ้ำ”


 


“ดี ดีมาก ตั้งแต่ที่เจ้าต้องการลิ้มรสความพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง” ลั่วชิงหยุนกระโดดลงมาจากชั้นบนของศาลา สภาวะพลังฉีบนร่างของเขากลายเป็นเหมือนคมดาบ ราวกับคมดาบที่เย็นยะเยือก ราวกับว่าแค่มุมของเสื้อผ้าในตัวเขาก็สามารถฆ่าคนได้ ความแหลมคมของเขาแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ


 


“คราวนี้ข้าจะดูว่าหลี่ฟู่เฉินจะชนะได้อย่างไร ลั่วชิงหยุนเป็นที่รู้จักกันในนามนักดาบฟ้ากระจ่าง และเขาก็ด้อยกว่าอันดับดาราเพียงเล็กน้อย ซินหวูหยวนและหูหมิ๋งไม่แม้แต่จะอยู่ในระดับเดียวกับเขา”


 


“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ลั่วชิงหยุนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับซินหวูหยวนและหูหมิ๋ง ซินหวูหยวนเป็นเพียงห้าอันดับแรกในนิกายของเขาเอง แต่ลั่วชิงหยุนเป็นศิษย์หลักลำดับที่ 2 ของนิกายดาบธารเมฆาและมีความสามารถที่น่ากลัว”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองคนก็เป็นนักดาบและควรรู้เกี่ยวกับจุดอ่อนและจุดแข็งของกันและกัน ด้วยเหตุนี้ สำหรับลั่วชิงหยุนที่ต้องมากำจัดหลี่ฟู่เฉิน มันก็ไม่ต่างจากเดินเล่นในหญ้าหลังบ้าน”


 


“มารอดูกันเถอะ! ข้าหวังว่าลั่วชิงหยุนจะสามารถจัดการหลี่ฟู่เฉินได้ในเวลาไม่กี่วิ ข้าไม่ต้องการเห็นใบหน้าที่หยิ่งยะโสของเขาอีกต่อไป”


 


ทุกคนต่างก็คาดหวังกับลั่วชิงหยุนมาก


 


ในที่สุดการแสดงออกของเสี่ยวไบ๋ก็ดูผ่อนคลาย เมื่อลั่วชิงหยุนลงมือแล้ว ผลลัพธ์ก็เกือบจะเป็นเรื่องที่แน่นอน


 


หากลั่วชิงหยุนมาอยู่ในนิกายสวรรค์ปีศาจเขาก็จะได้ตำแหน่งศิษย์อันดับที่ 2 ไป และบุคคลเดียวที่สามารถปราบปรามลั่วชิงหยุนได้ก็คือเสี่ยวไบ๋


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าต้องทำได้!”


 


ตอนนี้ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูค่อนข้างวิตกกังวล ลั่วชิงหยุนไม่เหมือนกับซินหวูหยวนและหูหมิ๋ง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง และหากไม่มีผู้จัดอันดับดาราเข้าร่วม ความสามารถของลั่วชิงหยุนก็ย่อมเหนือกว่าแน่นอน


 


“ฮึ่ม!”


 


ฮวงหยูเซียงปล่อยเสียงฮึมฮัมเบาๆ ในขณะที่เขากำลังรอลั่วชิงหยุนเอาชนะหลี่ฟูเฉินอยู่ เขาต้องการดูว่าพวกเขามีอะไรที่จะพูดอีกหรือไม่


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว หากหลี่ฟู่เฉินไม่แม้แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของลั่วชิงหยุน เช่นนั้นแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถเอาชัยเสี่ยวไบ๋ได้


 


“ฉินเคอชือ เจ้านั่งลงเถอะ! การแข่งขันนี้จะจบลงโดยที่ไม่มีเรื่องน่าประหลาดใจใดๆ” หรันเฉียนฉิวนั่งจิบชาขณะที่หัวเราะเบาๆ


 


ฉินเคอชือไม่ได้ตอบกลับและแค่จ้องมองหลี่ฟู่เฉินอยู่อย่างเงียบๆ


 


“หลี่ฟู่เฉิน หลี่ฟู่เฉิน หลังจากการแข่งขันครั้งนี้ เราจะได้รู้กันว่าเจ้าแค่คุยโวโออวดหรือไม่ ข้าหวังว่าข้าจะคิดไม่ผิด”


 


ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกมีขนาดใหญ่เกินไป และมีนิกายเกือบร้อยแห่งที่กำลังมีความมหัศจรรย์มากมาย ดวงตาของทุกคนไม่ได้มองได้ออกทุกอย่าง แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการที่ตัวเราจะต้องมีทั้งตาแล้วแวว แต่ตอนนี้เธอตื่นตัวมากขึ้น


 


บนเวทีศิลปะการต่อสู้ สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน


 


สภาวะพลังฉีของลั่วชิงหยุนเป็นเหมือนคมดาบและใบดาบที่เย็นยะเยือก


 


ส่วนสภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินก็เหมือนคมดาบที่มีแต่ความร้อนแรงราวกับมันจะเผาไหม้สวรรค์ได้


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้สบประมาทลั่วชิงหยุน ความสามารถที่แท้จริงของเขาเหนือกว่าลั่วชิงหยุนอย่างแน่นอน แต่มันเป็นนิสัยของเขาที่ชอบซ่อนไพ่ตาย


 


“บุคคลผู้นี้ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอด” หลี่ฟูเฉินคิดกับตัวเอง


 


ในนิกาย โครงกระดูกระดับ 4 ดาวถือว่าเป็นอัจฉริยะ และโครงกระดูกระดับ 5 ดาวถือว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอด แต่เมื่อเทียบกับทั่วทั้งทวีป โครงกระดูกระดับ 4 ดาวนั้นถือว่าเป็นแค่อัจฉริยะธรรมดา ในขณะที่โครงกระดูกระดับ 5 ดาวเป็นอัจฉริยะที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย และมีเพียงโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะถือว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอด ซึ่งหมายความว่า ภายในนิกายวารีคราม มีเพียงเฉพาะดาบคลั่ง ดาบพยัคฆ์ และดาบไร้อารมณ์ที่อาจพิจารณาได้ว่าเป็นชนชั้นเดียวกันกับอัจฉริยะชั้นยอด สำหรับคนอื่นๆ นั้นก็จะขึ้นอยู่กับการพิจารณา


 


“สิบกระบวนท่า!” ลั่วชิงหยุนกวาดดวงตาที่แหลมคมมองมา


 


“เจ้าควรต้านทานสามกระบวนท่าของข้าให้ได้ก่อน!” ดาบทองคำดำของหลี่ฟู่เฉินชี้ไปที่พื้น


 


“เจ้าช่างน่าเกลียดชัง ตอนนี้เจ้าทำได้ดีกว่าเดิมจริงๆ … หุบปากไปเสียเถอะ!” ลั่วชิงหยุนเริ่มลงมือ


 


อากาศหนาวยะเยือกที่สามารถทิ่มแทงกระดูกได้เริ่มก่อตัวขึ้น ดาบของลั่วชิงหยุนมีอยู่ทุกที่ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่เวทีที่ถูกฝังค่ายกลก็มีดาบแฝงตัวอยู่ มีชั้นน้ำค้างแข็งบางๆ อยู่บนพื้นผิว


 


เจตจำนงแช่แข็งกระดูก แม้แต่กระทั่งพลังฉีเองก็เป็นแช่แข็งกระดูกเช่นกัน


 


เทคนิคการฝึกฝนที่ลั่วชิงหยุนฝึกฝนนั้นเป็นประเภทน้ำแข็ง พลังฉีประเภทนี้สามารถตรึงเลือดและพลังฉีของศัตรูไว้ได้ ส่งผลทำให้ความเร็วช้าลง และการตอบสนองก็ช้าลง


 


“ละลาย!”


 


เผชิญหน้ากับดาบแช่กระดูกที่น่ากลัวของลั่วชิงหยุนซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง หลี่ฟู่เฉินโต้กลับโดยใช้ทักษะดาบโคจรหลั่งไหลเพื่อระเบิดทุกอย่าง


 


เมื่อน้ำแข็งละลาย แสงดาบก็เริ่มหมุนก่อให้เกิดวังวนไฟซึ่งดูดพลังฉีแช่แข็งกระดูกเข้ามา พลังฉีแห่งดาบเพิ่มอุณหภูมิโดยรอบทันที ทำให้อากาศรอบๆ กลายเป็นร้อนยิ่ง


 


“ไป!”


 


ด้วยการแกว่งของดาบทองดำ แสงดาบหมุนวนสร้างความเสียหายให้กับลั่วชิงหยุน


 


เมื่อคลื่นความร้อนหยุดชะงัก การแสดงออกของลั่วชิงหยุนเปลี่ยนไป เมื่อเขาเห็นว่าทักษะดาบแช่แข็งกระดูกของเขาถูกสลายไปอย่างได้ง่ายเพียงใด


 


ระดับทักษะดาบของคู่ต่อสู้เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับเขา และดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อย แต่เวลาและมุมในการโต้กลับของหลี่ฟู่เฉินนั้นไร้ที่ติ ซึ่งเวลาที่มันถูกใช้ออกเป็นเวลาเดียวกันกับที่ทักษะดาบแช่แข็งกระดูกเผยจุดอ่อนออกมา


 


“ข้าต้องการจะเห็นว่าการรับรู้ด้านการต่อสู้ของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด”


 


ลั่วชิงหยุนไม่เหมือนกับซินหวูหยวน เท้าของเขาเปลี่ยนไป ขณะที่เขาสร้างภาพลวงตาขึ้นบนเวที


 


ถ้าหลี่ฟู่เฉินสามารถฝึกฝนทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นต่ำอื่นๆ ที่ทักษะดาบไปจนถึงขั้นภวังค์ได้ ลั่วชิงหยุนก็สามารถทำได้เช่นกัน


 


ลั่วชิงหยุนใช้ท่าร่าง ทำให้ร่างกายของเขาลอยไปในลักษณะที่คาดเดาไม่ได้ และเมื่อเติมเต็มด้วยทักษะดาบแช่แข็งกระดูกสร้างดาบน้ำแข็งในทุกที่ มันก็ราวกับว่ายมทูตได้มาถึงแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา นักสู้ขอบเขตปฐพีที่อ่อนแอ่เหล่านั้นไม่สามารถต้านทานดาบของเขาได้แม้แต่ดาบเดียว


 


น่าแปลกที่ หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ใช้ทั้งทักษะตัวเบาหรือแม้แต่ทักษะเท้า ในทางกลับกัน เขากับใช้ความสงบเพื่อจัดการกับความไม่แน่นอน เขายกดาบทองคำดำในมือของเขาขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง


 


“หลี่ฟู่เฉินถูกกดดันแล้ว”


 


“ฮ่าฮ่า! เขาจะต้องรู้สึกโกรธและอับอายเป็นแน่!”


 


ทุกคนพึงพอใจที่ได้เห็นฉากนี้ และราวกับว่าพวกเขากำลังเพลิดเพลินไปกับการแสดงที่ยอดเยี่ยม


 


“ข้าเข้าเจ้าการเคลื่อนไหวของเจ้าอย่างสมบรูณ์แบบแล้ว”


 


ในด้านที่ห้าของเส้นทางแห่งดวงดาว มันได้ทดสอบทักษะเต๋าด้านการสังเกต ซึ่งเป็นการทดสอบการรับรู้ด้านการต่อสู้และทักษะการต่อสู้ หลี่ฟูเฉินใช้การเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้งเพื่อผ่านด่าน ซึ่งง่ายกว่ามากเมื่อกับตอนที่เขาไปยังด่านที่สี่


 


และทักษะต่อสู้ของลั่วชิงหยุนเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับด่านที่ห้า เขาก็แค่มีระดับการฝึกฝนที่แข็งแกร่งก็เท่านั้น


 


ด้วยการใช้ทักษะดาบดาวตก ประกายไฟปะทุออกมา


 


ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เท้าและทักษะดาบของลั่วชิงหยุนไม่สัมพันธ์กันมากที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่พลังฉีก่อนหน้านี้ถูกใช้จนเริ่มจางหายไป และพลังฉีที่กำลังถูกเติมเข้ามาก็ยังไม่ทันได้เสร็จพร้อมดี เมื่อทักษะดาบดาวตกถูกใช้ มันก็บังคับให้ลั่วชิงหยุนเข้าสู่ภาวะสิ้นหวังทันที


 


“อ๊าก!”


 


ลั่วชิงหยุนตะโกน ในขณะที่เขาใช้กระบวนท่าดาบ คำรามแช่กระดูก


 


ปิส ปิส ปิส ปิส…


 


ทักษะดาบดาวตกของหลี่ฟู่เฉินมาจากสามทิศทาง ในขณะที่ลั่วชิงหยุนสามารถปกป้องได้แค่สองทิศเท่านั้น และละเลยอีกด้านหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง ดาวตกทะลุเกราะพลังฉี สร้างเลือดและบาดแผลไหม้เกรียมให้กับร่างกายลั่วชิงหยุน

เปรียบเทียบกับหูหมิ๋ง เทคนิคบ่มเพาะของลั่วชิงหยุนนั้นสูงกว่าหนึ่งขั้นหรือสองขั้น และระดับการฝึกฝนของเขาก็สูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลทำให้เขามีความต้านทานดาบดาวตกที่ดีกว่าคนอื่นๆ ที่โดนมัน เขาได้รับบาดเจ็บเพียงบางส่วน ซึ่งทำให้เขาดูน่าเกลียดเล็กน้อย


 


“เจ้าแพ้แล้ว เจ้ามีอะไรจะกล่าวหรือไม่? หากมีอะไรจะกล่าว ตอนนี้ก็พูดออกมาให้หมดเถอะ!” หลี่ฟู่เฉินจ้องมองหน้าที่ขาวซีดของลั่วชิงหยุน และสายตาของเขาดูเรียบเฉย


 


“ข้า… ปิส!” ลั่วชิงหยุนโกรธมากจนหัวใจของเขาเป็นไปด้วยไฟแห่งโทสะ ส่งผลทำให้เขากระอักเลือดสดออกมาหนึ่งคำ


บทที่ 241


สตรีศักดิ์สิทธิ์แส้ปีศาจ


 


 


ในบางมุม ลั่วชิงหยุนย่อมต้องรู้สึกอับอายมากกว่าหูหมิ๋ง และซินหวูหยวน


 


หูหมิ๋งเป็นคนแรกที่ท้าทายหลีฟู่เฉิน ดังนั้นแล้วเขาสามารถพูดได้ว่าเขาไม่รู้ถึงความเก่งกาจของ หลี่ฟู่เฉิน และเขามีความมั่นใจและประมาทมากเกินไป


 


ซินหวูหยวนเป็นตัวอย่างที่น่าอับอายเป็นอย่างมาก


 


แต่ลั่วชิงหยุนก็ต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม แม้แต่กระทั้งยายของเขาก็ยังละอายใจแทนเขาเป็นแน่


 


ตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อน


 


อ็อก!


 


เลือดสดถูกพ่นออกมาเต็มปาก ขณะที่ลั่วชิงหยุนตัวซีดและดวงตาของเขาก็ดูไร้ซึ่งชีวิตชีวา


 


ทุกคนบนยอดเขาฝนใบไม้กลายเป็นโง่งม


 


แม้แต่นักดาบฟ้ากระจ่างลั่วชิงหยุนก็พ่ายแพ้ และมันก็ชัดเจนมาก พวกเขาชื่นชอบลั่วชิงหยุน และคิดว่าเขาคงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการเอาชนะหลี่ฟู่เฉิน


 


แต่เขากลับพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย


 


“ข้าฝันไปงั้นหรือ? มาตบหน้าข้าสักทีนึงสิ”


 


“ข้าไม่เข้าใจ หลี่ฟูเฉินผู้นี้เป็นใคร? เขาอยู่ที่ระดับ 5 ของขอบเขตปฐพีแน่ใช่มั้ย? เขาเอาชนะคนที่มีระดับมากกว่าตัวเองสามระดับ และเอาชนะนักดาบฟ้ากระจ่างลั่วชิงหยุนได้อย่างไร?”


 


“นิกายวารีครามมีเพียง ดาบคลั่งและดาบพยัคฆ์ที่โด่งดังนี่ หลี่ฟู่เฉินผู้นี้เป็นใครมาจากไหน?”


 


“บ้าเอ้ย ไม่มีใครหยุดยั้งความเย่อหยิ่งของเขาได้เลยรึไง?”


 


ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้าของตนเอง ก็ในเมื่อที่หลี่ฟู่เฉินได้ใช้ข้อเท็จจริงเพื่อบอกพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า มันเหมือนเป็นการตบหน้าพวกเขาถึงสามครั้งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหูหมิ๋ง ซินหวูหยวน หรือแม้แต่กระทั่งลั่วชิงหยุน พวกเขาทั้งหมดมีความมั่นใจในตอนเริ่ม แต่ก็ประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชในท้ายที่สุด


 


“จบการประลองแล้ว?” ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู อุทานแบบตกตะลึงออกมา


 


ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ประหลาดใจ ก็ในเมื่อพวกเขารู้ว่าหลี่ฟู่เฉินสามารถเอาชนะหูหมิ๋งและซินหวูหยวนได้อย่างแน่นอน


 


แต่ตอนนี้หลี่ฟู่เฉินเอาชนะลั่วชิงหยุนได้ เรื่องนี้สำหรับพวกเขาก็นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ


 


แต่ทว่าที่ด้านข้าง ฮวงหยูเซียงมีอาการสับสนแสดงออกมา


 


“หลี่ฟู่เฉินผู้นี้มาจากโลกไหนกัน” ฮวงหยูเซียงพึมพำกับตัวเอง


 


เขายอมรับว่าเขาตัดสินผิดมาสามครั้งแล้ว


 


หลี่ฟู่เฉินนี้ต้องไม่ดูด้วยเหตุผลแบบปกติ ความสามารถในการรับรู้การต่อสู้ของเขาเหนือกว่าของลั่วชิงหยุน และแม้แต่กระทั้งผู้ที่ติดอันดับดารา


 


การจัดอันดับอาจไม่ทำให้เขาดูเหนือกว่าในแง่ของความสามารถในการรับรู้การต่อสู้ บางทีอาจมีเพียงผู้ที่มีชื่อเสียงในอันดับดาราเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้


 


แน่นอน แม้ว่าเขาจะเห็นกุญแจในการไขปัญหา แต่ความประทับใจของฮวงหยูดเซียงที่มีต่อหลี่ฟู่เฉินได้รับการแก้แล้ว หลี่ฟู่เฉินทำให้เขาละอายใจครั้งแล้วครั้งเล่า และเขาก็ไม่สามารถทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกต่อไป เขาฝังความเกลียดชังไว้ส่วนลึกของหัวใจ


 


แคร็ก!


 


เสียงถ้วยชาถูกบีบแตกพร้อมๆ กันดังออกมาจากสองศาลา


 


คนบีบถ้วยชาก็คือหรันเฉียนฉิว และเสี่ยวไบ๋


 


หรันเฉียนฉิวรู้สึกว่าเขาได้รับความอับอายอย่างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าฉินเคอชือ


 


เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น และรู้สึกไปเองว่าฉินเคอชือกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ในใจ


 


แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่า แม้แต่ฉินเคอชือก็รู้สึกละอายใจ


 


เมื่อลั่วชิงหยุนเข้าสู่เวที ฉินเคอชือก็คิดอย่างเดียวกัน เธอคิดว่าหลี่ฟู่เฉินจะพ่ายแพ้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่กล่าวถึงมันก็ตาม


 


“เฮ้อ!”


 


ฉินเคอชือส่ายหัว แล้วกลับไปนั่งจิบชา พยายามสงบอารมณ์ของเธอ


 


หรันเฉียนฉิวยิ้ม และกล่าวอย่างงุ่มง่าม “หลี่ฟู่เฉินผู้นี้รู้วิธีป้องกันตัวเองจากการเสียหน้าโดยปกปิดความสามารถของเขา แต่เขายังไม่ได้เจอผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง หากเขาได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง เขาคงจะตายเร็วขึ้นเป็นแน่ ถ้าเขายังคงปกปิดความสามารถของเขาไว้เช่นนี้”


 


ฉินเคอชื่อปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะในใจเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น


 


‘การรับรู้มันไม่ได้มีไว้ใช่แค่ในด้านการต่อสู้เท่านั้น มันมีประโยชน์มากสำหรับการวิเคราะห์ความสามารถของคู่ต่อสู้ บางทีการรับรู้ด้านการต่อสู้ของเขารู้สึกว่าเขาเก่งพอที่จะปะทะกับเสี่ยวไบ๋!’ ฉินเคอชือคิดกับตัวเอง


 


ขณะที่ชาไหลลงจากนิ้วมือของเขา เสี่ยวไบ๋ปราศจากความรู้สึก ซึ่งเป็นตอนนี้เองที่เขาจ้องมองไปยังฉินเคอชือที่อยู่ในศาลา


 


ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดเสี่ยวไบ๋ก็ไม่ได้ก้าวออกมา


 


ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขาก้าวเข้าไปและสังหารหลี่ฟู่เฉิน เขาอาจจะไม่ได้รับความขุ่นเคืองจากฝูงชน แต่ฉินเคอชือจะต้องขัดขวางเขา เขาจะต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ทุกคนคงจะสงสัยในจิตวิญญาณความดีชั่วของเขา และคงจะคิดว่าเขามีแผนการที่ลึกซึ้งมาก แผนการที่ดูเหมือนเขาหาวิธีที่ตัวเองจะได้รับประโยชน์เข้าตัว หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ก็คงจะไม่มีใครกล้าที่จะมีส่วนร่วมกับเขา ก็ในเมื่อพวกเขาอาจจะคิดตัวเขาพลิกลิ้น และไม่สนใจเขาเมื่อใด


 


‘ผู้ชนะจะเป็นผู้เขียนเรื่องราว ในขณะที่ผู้พ่ายแพ้จะต้องฟังผู้ชนะ’ คำพูดนี้ใช้ได้ตลอดเวลา


 


มันเป็นการกระทำแบบเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกัน ทำให้ผู้คนมีความคิดที่แตกต่าง


 


หากเสี่ยวไบ๋ต้องการลงมือ เขาต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะสังหารหลี่ฟู่เฉินได้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่ควรเคลื่อนไหว จะต้องเหตุการณ์เหนือความคาดหมายใดๆ


 


“ข้าจะให้เจ้าอยู่ต่อไปอีกซักพัก” เสี่ยวไป๋พยายามเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่


 


“ใครอยากท้าทายข้าอีกหรือไม่!”


 


หลังจากเอาชนะลั่วชิงหยุนได้แล้ว หลี่ฟู่เฉินก็ตัดสินใจไปให้ตลอดทาง เขาต้องการดูว่าจะมีใครที่ไม่รู้ประเมินตัวเองตัวเองอีกหรือไม่


 


“หยิ่งเกินไปแล้ว เขาไม่ได้ใช้ประโยชน์งานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้ที่เสี่ยวไบ๋ไม่สามารถเข้ามาได้ใช่หรือไม่?”


 


“เจ้ามีผู้อื่นอีกไหม? นอกเหนือจากผู้ถูกจัดอันดับดารา ก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาแล้ว”


 


“เฮ้อ มันก็คงเป็นเช่นนั้น”


 


ในขณะที่ทุกคนวิพากษ์วิจารกันอย่างร้อนแรง พวกเขาทั้งเจ็บปวดและหมดหนทางในเวลาเดียวกัน


 


“ข้าว่าจะดีกว่า หากเจ้าหยุดเท่านี้” ฟานเฉียนสงใช้พลังฉีของเขาเพื่อส่งข้อความไปถึงหลี่ฟู่เฉิน ขอให้เขาไม่รุกรานผู้คนจำนวนมากเกินไป


 


“ฉินเคอฉี เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลายและเพลิดเพลิน? หึ เจ้าเป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้จริง แต่ช่างน่าเสียดายที่ข้า ถังชือฉี อยู่ที่นี่ ในตอนนี้เจ้าควรหยุดจัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้นี่”


 


ภาพลักษณ์ที่สวยงามและน่าดึงดูดของสุภาพสตรีปรากฏขึ้นบนยอดเขา


 


ราวกับรอยเปื้อนของเงาดำ บางคนร่อนลงมาจากบนหลังคาศาลา


 


ผู้หญิงคนนี้มีอายุใกล้เคียงกับฉินเคอชือ ซึ่งมีอายุประมาณ 20 ปี รูปลักษณ์ของเธอด้อยกว่าฉินเคอชือเล็กน้อย แต่รูปร่างของเธอน่าดึงดูดและยั่วยวนเช่นกัน


 


สวมชุดหนังสีดำ หน้าอกของเธอตั้งตระหง่าน ในขณะที่ต้นขาสีขาวของเธอถูกเผยออกมา


 


“เธอคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แส้ปีศาจ ถังชือฉี อยู่ในอันดับที่ 89 ในการจัดอันดับดารา”


 


“เธอเป็นศัตรูตัวฉกาจของฉินเคอชือ ทุกครั้งที่พบกัน พวกเขาจะแลกเปลี่ยนกระบวนท่าสองถึงสามร้อยครั้งถึงจะหยุด”


 


“ข้าได้ยินมาว่าถังชือฉีได้รับบาดเจ็บจากฉินเคอชือเมื่อก่อนหน้านี้ เธอต้องมาที่นี่เพื่อแก้แค้นแน่นอน”


 


“การแสดงที่ดีจะเริ่มขึ้นแล้ว” เมื่อทุกคนได้ยินถังชือฉีประกาศตัวตนของเธอ พวกเขาจำผู้หญิงคนนี้ได้ทันที


 


ฉินเคอชือยืนขึ้นและกล่าวอย่างเฉยเมย “ถังชือฉี หากเจ้ามีปัญหาใดๆ พวกเราค่อยมาชำระหลังจากงานเลี้ยงน้ำชา ไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาขึ้นที่นี่”


 


“ฮึ่ม หากข้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา เจ้าจะทำอะไรได้?”


 


แส้กระดูกสีขาวปรากฏขึ้นในมือของถังชือฉี ขณะที่แส้กระดูกขาวถูกตวัด เงาแส้อันทรงพลังพุ่งพล่านไปทางศาลาเจ้าภาพ กลางอากาศ มันเกิดเสียงระเบิดพร้อมกับเสียงสายฟ้า มันมีเสียงดังเพราะการกระเพื่อมในอากาศ


 


“ตราประทับร้อยดอกไม้!”


 


ดอกไม้ขนาดยักษ์เบ่งบานกลางอากาศและบดบังเงาแส้


 


“ถังชือฉีอย่าให้เกินไปนัก” ฉินเคอชือกล่าวอย่างเย็นชา


 


“ชุมนุมไร้พรมแดน!”


 


ถังชือฉีไม่ต้องการแม้แต่จะสนทนากับฉินเคอชือ แส้กระดูกสีขาวของเธอตวัดไปกลางอากาศ มีแส้เงาหลายเส้นเกิดขึ้น ขณะที่มันก่อตัวเป็นตาข่ายเพื่อกักขังฉินเคอชือ


 


ในทันที ทุกคนเริ่มแตกหือ และแยกตัวออกจากเวทีศิลปะการต่อสู้


 


ขณะที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แส้ปีศาจ ถังชือฉีปรากฏตัว เสี่ยวไบ๋รู้สึกตื่นเต้น เขาลุกขึ้นจากที่นั่งและวิ่งตรงไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


“หลี่ฟู่เฉิน ตอนนี้มาดูกันว่าใครจะช่วยเจ้าได้ ตาย!”


 


เขารอช่วงเวลานี้มานานและในที่สุดโอกาสก็มาถึง


 


ตราบใดที่ถังชือฉีสามารถสกัดกั้นฉินเคอชือเอาไว้ได้ เขาก็จะมีโอกาสสังหารหลี่ฟู่เฉิน


 


เขาไม่กังวลเลยหากฉินเคอชือจะตำหนิเขาในภายหลัง ฉินเคอชือจะสังหารเขาเพราะหลี่ฟู่เฉินหรือไม่? หลี่ฟู่เฉินได้รับการชื่นชมหรือเปล่า?


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ไม่กลัวฉินเคอชือเช่นกัน


 


“ครั้งนี้หลี่ฟู่เฉินโชคไม่ดี ตอนนี้เสี่ยวไบ๋กำลังจะสังหารเขาแล้ว”


 


“ก่อนหน้านี้ใครขอให้เขามีความจองหองเช่นนั้นละ เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าสตรีศักดิ์แส้ปีศาจ ถังชือฉีจะปรากฏตัว!”


 


“เสี่ยวไบ๋ สังหารเขา!” ทุกคนต่างร้องอุทาน


 


เพิกเฉยต่อผู้คนเหล่านั้นที่ดีใจในความโชคร้ายของเขา หลี่ฟู่เฉินเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “เสี่ยวไบ๋ ข้าเองก็รอโอกาสนี้มานานแล้วเช่นกัน”


บทที่ 242


ทักษะดาบเพลิงปีศาจ


 


 


ความสามารถของเสี่ยวไบ๋ค่อนข้างน่ากลัว หลี่ฟู่เฉินได้เห็นมันเมื่อตอนที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเมื่อก่อนหน้านี้


 


แน่นอนว่าหลี่ฟู่เฉินเองก็ไม่ได้เอาจริง


 


เขายังคงมีความตระหนักความสามารถในการต่อสู้ของตนเองอยู่ก่อนแล้ว


 


เขายังไม่ได้เปิดใช้งานบทดาบเหล็กดำ


 


ฝ่ามือที่เหมือนเมฆดำปกคลุมหลี่ฟู่เฉิน พลังฉีไหลเวียนอยู่บนเวทีศิลปะการต่อสู้อย่างหนาแน่ เนื่องจากเจตจำนงฝ่ามือสร้างแรงกดดันในพื้นที่


 


เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวไบ๋เปิดใช้งานเทคนิคลับบางส่วนสำหรับการโจมตีฝ่ามือนี้ ทำให้พลังฝ่ามือของเขาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าสองเท่า หากนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับ 5 ตามค่าเฉลี่ยรับฝ่ามือนี้ พวกเขาจะถูกเปลี่ยนเป็นกองเลือดทันทีโดยที่ไม่เหลือแม้แต่กระดูก


 


ฉินเคอชือกำลังยุ่งง่วนต่อสู้อยู่กับถังชือฉี และไม่มีเวลากังวลกับหลี่ฟู่เฉิน


 


“ทำลาย!”


 


แสงดาบเพลิงหมุนวนก้อนหนึ่งเกิดขึ้นตรงหน้าหลี่ฟู่เฉินก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหาฝ่ามือพลังฉี


 


แคร็ก!


 


แสงดาบนี้ดูเหมือนจะมีพลังมหาศาล แต่มันมีสัมผัสที่นุ่มนวลแต่การเคลื่อนไหวช่างหยาบกร้าน เขากะมุมและเวลาได้อย่างแม่นยำมาก แสงดาบเพลิงหมุนวนสร้างรูขนาดใหญ่ที่ฝ่ามือพลังฉี


 


แต่ฝ่ามือพลังฉียืดหยุ่นเกินไปและแม้แต่กระทั่งหลังจากที่มีรูปรากฏขึ้นมา ความแข็งแกร่งของมันก็ยังคงไม่หายไปอย่างสมบูรณ์ และยังคงเดินหน้าต่อไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินถอยกลับไปขณะที่ฝ่ามือพลังฉีกระแทกกับเวทีศิลปะการต่อสู้


 


เวทีสั่นสะเทือนและดูเหมือนจะมีรอยแตกเล็กน้อย


 


“เขาหลบฝ่ามือนี้ได้จริงๆ”


 


“เขาจะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้เป็นเวลานานแน่ นี่เป็นเพียงฝ่ามือแรก”


 


ทุกคนประหลาดใจ แต่ก็ยังยอมรับผลลัพธ์นี้ได้ ความสามารถของหลี่ฟู่เฉินนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถูกสังหารในทันที


 


“คู่ควรกับการเป็นอันดับดารา!” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินหรี่แคบลง


 


เสี่ยวไบ๋อาจเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายสวรรค์ปีศาจซึ่งมีขัดแย้งกับนิกายวารีคราม แต่ความสามารถของเขาไม่ได้มีไว้โชว์ และก็เป็นความสามารถที่น่ายำเกรงอย่างแท้จริง หากดาบคลั่งเป็นคนก้าวขึ้นมา เขาอาจไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของเสี่ยวไบ๋


 


“เนื่องจากเป็นเช่นนี้”


 


หลี่ฟู่เฉินหายใจเข้าลึก ขณะที่รูปแบบดาบเหล็กดำบนกระดูกของเขาเริ่มเรืองแสง พลังฉีมังกรเร้นลับจำนวนมหาศาลถูกหลั่งไหลเข้าไป เปลี่ยนเป็นพลังฉีดาบเหล็กดำ


 


พลังฉีดาบเหล็กดำเป็นประเภทของพลังฉีที่สามารถนำมาใช้ได้โดยตรงทั้งการโจมตีหรือถ่ายลงในดาบประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขั้นสองขั้น


 


เช้ง!


 


แสงดาบเพลิงหมุนวนปรากฏขึ้นจากรอยแตกของลาวากลางอากาศ หมุนไปทางเสี่ยวไบ๋


 


เสี่ยวไบ๋ขมวดคิ้วและส่งฝ่ามือโจมตีแสงดาบเพลิงนี้


 


ครืน!


มีระเบิดพลังฉีที่น่ากลัวเกิดขึ้นบนเวที ซึ่งทำให้เกิดคลื่นพลังฉีกระแทกออก และทำให้ศาลาโดยรอบสั่นสะเทือน


 


“ความสามารถน่ากลัวอะไรเช่นนี้ มันสูสีกับเสี่ยวไบ๋!”


 


“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดความสามารถของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากอย่างมาก?”


 


“เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ได้ใช้ความสามารถทั้งหมดของเขาก่อนหน้านี้?”


 


ทุกคนตกตะลึงและพูดไม่ออก


 


การต่อสู้ของถังชือฉี และฉินเคอชือนั้นรุนแรงยิ่งขึ้น แต่คนส่วนใหญ่กลับจับจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉินและเสี่ยวไบ๋


 


“แข็งแกร่งมาก!” ฮวงหยูเซียงสูดลมหายใจเข้าลึก


 


ความสามารถของเขาอยู่ในระดับเดียวกับลั่วชิงหยุนและอาจด้อยกว่าเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงรู้จักคนระดับเดียวกันดี มันยากมากที่จะเพิ่มความสามารถของพวกเขา


 


หลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับ 5 ของขอบเขตปฐพีเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหลี่ฟู่เฉินซักเท่าใด แต่ตอนนี้ สมมติฐานทั้งหมดของเขาถูกทำลาย


 


สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินทำให้วิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่อโลกนี้แตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง


 


มันเริ่มต้นจากซินหวูหยวนและถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงตอนนี้


 


บูม บูม บูม…


 


ทั้งสองยังคงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง


 


เสี่ยวไป๋เหนือกว่าในด้านระดับการบ่มเพาะ และมีเจตจำนงเทคนิคลึกลับขั้นกลาง ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินเหนือกว่าด้านเทคนิคลับและการรับรู้การต่อสู้อันทรงพลัง


 


“กรงเล็บคร่าวิญญาณ!”


 


ถอนท่าทางของเขา เสี่ยวไบ๋ละทิ้งทักษะฝ่ามือและเปลี่ยนเป็นทักษะกรงเล็บ


 


กรงเล็บนี้มีชื่อว่กรงเล็บวิญญาณนรก


 


นิกายสวรรค์ปีศาจมีทักษะกรงเล็บอีกอันที่ชื่อว่ากรงเล็บผีนรก ในบรรดานิกายสวรรค์ปีศาจ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถบรรลุขั้นภวังค์ และสามารถควบคุมเจตจำนงกรงเล็บผีนรก นอกเหนือจากกรงเล็บผี เจิ้งซวน เสี่ยวไบ๋เองก็เป็นหนึ่งในอีกสองคน


 


แต่กรงเล็บผีนรกเป็นเพียงทักษะกรงเล็บระดับลึกลับขั้นต่ำ และไม่เหมาะสมกับสถานะของเสี่ยวไบ๋ ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนทักษะกรงเล็บระดับลึกลับขั้นกลาง กรงเล็บวิญญาณนรก


 


กรงเก็บวิญญาณนรกนี้ได้รับการพัฒนาโดยผู้อาวุโสในนิกายสวรรค์ปีศาจโดยใช้กรงเล็บผีนรกเป็นข้อมูลอ้างอิง


 


มันโดดเด่นกว่าและแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกรงเล็บผีนรก


 


ศัตรูจะมองเห็นเพียงเงาของกรงเล็บอันไร้สิ้นสุดที่โจมตีอยู่ในอากาศได้เท่านั้น ราวกับเป็นการโจมตีจากวิญญาณชั่วร้ายที่นับไม่ถ้วน


 


“ระเบิดดาวตก”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ถอยไปแม้แต่ก้าวเดียวและดำเนินการใช้ทักษะดาบดาบดาวตก ระเบิดท้องฟ้าด้วยดาวตกจำนวนนับไม่ถ้วน


 


ตูม ตูม!


 


เมื่อเงากรงเล็บและไฟดาวตกชนกันและกัน พลังฉีก็ระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


“ป้องกันกระบวนท่าของข้าได้จริงๆ?”


 


เสี่ยวไบ๋ไม่พอใจมาก เขาเปิดใช้งานเทคนิคลับระดับ 3 ดาวแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการหลี่ฟู่เฉินได้


 


“มาดูกันว่าเจ้าจะป้องกันสิ่งนี้ได้อย่างไร ฝ่ามือผีอาชูร่า กรงเล็บวิญญาณนรก!”


 


เสี่ยวไบ๋ลงมือโดยการที่นำฝ่ามือผีอาชูร่าไว้ที่มือซ้ายของเขา ในขณะที่มือขวาของเขาใช้กรงเล็บวิญญาณนรกไว้ที่มือขวา นำเข้าโจมตีหลี่ฟูเฉินจากทางซ้ายและขวา


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ก้าวถอยหลังหรือไปข้างหน้า ขณะที่เขาดำเนินการใช้ทักษะดาบเก้าโคจร กระบวนท่าของเสี่ยวไบ๋นั้นยากที่จะทำให้เป็นกลาง แต่ก็ยังไม่เกินขีดจำกัดของหลี่ฟู่เฉิน


 


แสงดาบบิดเบี้ยวและปูดนู้น แผ่ขยายออกไปเป็นชั้นๆ และชั้น กลายเป็นตาข่ายดาบ


 


ทักษะฝ่ามือและทักษะกรงเล็บของเสี่ยวไป๋เปรียบเสมือนแมลงเม่าบินเข้าเปลวไฟ มันถูกกลืนกินและหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


“กลับไป!”


 


เมื่อตาข่ายดาบแตกออก หลี่ฟู่เฉินกวัดแกว่งดาบของเขา


 


ปิส ปิส ปิส ปิส…


 


มีการระเบิดของกระแสพลังฉีอย่างรุนแรง ทำให้เสี่ยวไบ๋ต้องล่าถอยออกไป


 


ทักษะดาบของหลี่ฟู่เฉินนั้นเกินความเข้าใจของเขามากเกินไป


 


ทักษะดาบดาวตกนั้นเป็นหัวหอกหลักในการรุกของเขา ทักษะดาบเก้าโคจรมีไว้ป้องกันและสวนกลับ และทักษะดาบโคจรหลั่งไหลมีไว้โจมตีซึ่งๆ หน้า ไร้ข้อบกพร่องใดๆ


 


หากหลี่ฟู่เฉินเชี่ยวชาญเจตจำนงแห่งดาบหรือทักษะดาบระดับลึกลับขั้นกลางเพียงแค่อย่างเดียว เขาจะไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าของเสี่ยวไบ๋ได้


 


อีกด้านหนึ่งของยอดเขาฝนใบไม้ ฉินเคอชือและถังชือฉีมีการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าทั้งสองคน แต่ฉินเคอชือเองก็ให้ความสนใจกับหลี่ฟู่เฉินอยู่บ้าง


 


เมื่อเธอเห็นว่าหลี่ฟู่เฉินมีฝีมือใกล้เคียงกับเสี่ยวไบ๋ และไม่เสียเปรียบใดๆ เธอมีความตกตะลึงที่ไม่อาจพรรณนาได้อยู่ในใจ


 


ไม่ว่าอะไรก็ตาม เสี่ยวไบ๋เองก็เป็นคนที่อยู่ในอันดับ 101 ในการจัดอันดับดารา แม้ว่าเธอจะต้องการเอาชนะเสี่ยวไบ๋ เธอก็จะต้องพยายามอย่างมากในการทำเช่นนั้น แต่หลี่ฟู่เฉินที่อยู่ในระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพียังคงสามารถต่อสู้ ทั้งยังทำให้มันเป็นการต่อสู้ที่เท่าเทียมกันได้


 


งั้นแล้วทำไมเธอถึงจะไม่ตกหล่ะ?


 


“ฉินเคอชือ หากเจ้ามีสิ่งรบกวนใจ เช่นนั้นก็เตรียมพร้อมพ่ายแพ้ได้เลย!”


 


ทักษะแส้ของถังชือฉีนั้นทั้งแข็งและอ่อนในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ด้านพลังโจมตีเองมันก็มีรูปแบบต่างๆ มากมาย แส้ยาวที่ถูกคลี่ออกเป็นเกลียว ถักเป็นตาข่ายยักษ์ กักขังฉินเคอชือ


 


“ถังชือฉี ตั้งแต่ที่มันเป็นเช่นนี้แล้ว ก็อย่าได้มากล่าวโทษข้าก็แล้วกัน” สร้างตราประทับด้วยมือทั้งสองของเธอ ฉินเคอชือเริ่มลงมือในทันที


 


ในชั่วพริบตานั้น มีเงาของดอกไม้สดเบ่งบานบนท้องฟ้า แยกแส้ออกจากกัน


 


ยิ่งเซียวไบ๋ต่อสู้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกกลัว


 


เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ปีศาจเช่นนี้ปรากฏขึ้นในนิกายวารีคราม


 


ดาบคลั่งอาจแข็งแกร่ง แต่เขาก็อยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพีแล้ว ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพีเท่านั้น


 


ดวงตาลุกโชนด้วยเจตนาสังหารเสี่ยวไป๋ยกเลิกเทคนิคลับของเขาและเปิดใช้งานเทคนิคลับระดับ 3 ดาวแทน พลังฉีเทพยุทธ์อาชูร่า สภาวะพลังฉีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เริ่มมีพลังฉีสีดำลอยวนอยู่รอบตัวของเขา


 


“ตาย!”


 


ทำลายดาบพลังฉีที่สกัดกั้นเขาไว้ เสี่ยวไบ๋โจมตีหลี่ฟู่เฉินอย่างดุดันด้วยฝ่ามือและกรงเล็บพร้อมกัน


 


เมื่อเห็นว่าเขามีเกราะพลังฉีที่แข็งแกร่งและพลังฉีเทพยุทธ์อาชูร่า เสี่ยวไป๋ตั้งใจจะสู้รบในระยะประชิดกับหลี่ฟู่เฉิน


 


วิธีการต่อสู้นี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อหลี่ฟู่เฉินเริ่มถอยกลับ


 


“ป้องกัน! ทำไมเจ้าไม่ป้องกันละ!” ดูเหมือนว่าเซี่ยวไบ๋จะบ้าไปแล้ว


 


“ทักษะดาบเพลิงปีศาจ ถอยไป!”


 


หลี่ฟู่เฉินส่งเสียงร้อง ในขณะที่มีสภาวะดาบพลังฉีที่ร้อนแรงพุ่งพวยออกมาอย่างหนาแน่ การปรากฏตัวของสภาวะดาบพลังฉีกวาดไปทั่วบริเวณ กวาดต้อนเสี่ยวไบ๋ออกไปหลายเมตร บังคับให้เขาต้องอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช


 


ทักษะดาบเพลิงปีศาจเป็นทักษะระดับลึกลับขั้นสูง หลี่ฟู่เฉินอาจจะไม่สามารถฝึกฝนมันให้ถึงขั้นภวังค์ได้ และอาจจะยังไม่เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเพลิงปีศาจ แต่มันก็อยู่ในขั้นสมบูรณ์แล้วและอย่างน้อยก็มีพลังมากกว่าทักษะดาบดาวตกมากกว่า 30%


 


“เสี่ยวไบ๋ถูกผลักออก?”


 


เกิดความโกลาหลที่ยอดเขาฝนใบไม้


บทที่ 243


ความเที่ยงธรรมและเกียรติยศ


 


 


ที่หลี่ฟู่เฉินอยู่ในสภาพที่เท่าเทียมกับเสี่ยวไบ๋ก็เป็นเรื่องที่ตกตะลึงอยู่แล้ว แต่การที่ทำให้เสี่ยวไบ๋ ต้องถอยไปตั้งหลักนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าคิด


 


อันดับดาราไม่ได้เป็นเพียงแค่การประลองเพื่อจัดอันดับเท่านั้น แต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถด้านการต่อสู้ของตัวเองด้วยเช่นกัน การแข่งขันจัดอันดับดาราจัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ สามปี ผู้เข้าร่วมทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะทั้งนั้น มีเพียง 108 คนเท่านั้นที่จะถูกจัดอันดับดารา


 


อันดับดารา 101 อาจจะต่ำไปสักหน่อย แต่นั่นเป็นเรื่องก็เป็นคนที่ถูกจัดอยู่ในอันดับดารา สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในอันดับดารา มันนับเป็นเกียรติสำหรับพวกเขาแล้วหากเขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับดารา เพราะไม่ใช่ว่าทุกนิกายจะมีศิษย์ที่มีความสามารถมากพอที่จะมีชื่ออยู่ในการจัดอันดับดารา


 


ดังนั้น มันจึงไม่สำคัญว่าผลลัพธ์สุดท้ายของการต่อสู้จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าหลี่ฟู่เฉินสามารถบังคับให้เสี่ยวไบ๋ถอยไปได้ด้วยดาบเดียว นั้นหมายความว่าเขาก็มีความสามารถที่จะมีชื่ออยู่ในการจัดอันดับดาราด้วยเช่นกัน


 


‘ทักษะดาบระดับลึกลับขั้นสูงย่อมคู่ควรกับระดับของมัน มันมีพลังถึงขนาดนี้แม้จะยังไม่เข้าใจเจตจำนงดาบ’


 


หลังจากทำให้เสี่ยวไบ๋ถอยกลับไปได้ด้วยดาบเดียว หลี่ฟู่เฉินเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน


 


ในความคิดของเขาทักษะดาบเพลิงปีศาจนั้นแข็งแกร่งกว่าทักษะดาบดาวตกเพียงแค่ 30% เท่านั้น แต่ความสามารถในการโจมตีซึ่งๆ หน้าของมันก็ยังแข็งแกร่งกว่าทักษะดาบโคจรหลังไหลถึง 30% ทักษะดาบเพียงเล่มเดียวนี้มีการผสมผสานระหว่าทักษะดาบถึงสองแบบ


 


“ทักษะดาบลึกลับขั้นสูง?” เสี่ยวไบ๋สถบออกด้วยความโกรธ ในขณะที่เขากัดฟัน


 


เขาสามารถบรรุทักษะลึกลับขั้นสูงได้เพียงแค่ขั้นกึ่งสมบรูณ์แต่เพียงเท่านั้น และมันก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับเจตจำนงทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นกลาง สู้ไม่ได้ทั้งในแง่ด้านพลังหรือด้านความคล่องแคล่ว การใช้มันต่อหน้าทุกคนที่นี่ก็จะเป็นแค่เรื่องที่น่าอับอายแต่เพียงเท่านั้นเท่านั้น


 


แต่ทว่าหลี่ฟู่เฉินต่างออกไป ทักษะดาบลึกลับขั้นสูของเขาอยู่ในขั้นสมบูรณ์ และเหนือกว่าเจตจำนงระดับลึกลับขั้นกลางโดยสิ้นเชิง


 


“ทักษะลึกลับขั้นสูงนั้นต้องใช้พลังฉีมากกว่าปกติ มาดูเถอะว่าใครจะอยู่ได้นานกว่ากัน”


 


ด้วยพลังฉีเทพยุทธ์อาชูร่าที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเสี่ยวไบ๋ เขาพุ่งไปที่หลีฟู่เฉินอีกครั้ง


 


“เป็นเช่นนั้น?”


 


หลี่ฟู่เฉินรู้ดีว่าทักษะระดับลึกลับขั้นสูงนั้นใช้พลังฉีค่อนข้างมาก และเนื่องจากระดับการฝึกฝนของเขายังอยู่ในระดับต่ำ ความเร็วของการเผาผลาญพลังฉีก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ทว่า… สำหรับการสู้กับเสี่ยวไบ๋แล้ว ทำไมเขาจึงต้องการยืดเวลาการต่อสู้ให้นานออกไป?


 


ความตระหนักในการต่อสู้ของเขาควบคู่ไปกับทักษะดาบเพลิงปีศาจสามารถกดดันคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย


 


หลี่ฟู่เฉินกวัดแกว่งดาบทองคำดำด้วยสองมือก่อนที่จะยกดาบขึ้นสูงและปักลง


 


ฉึบ!


 


เปลวเพลิงลุกโชนออกมาในขณะที่มีลาวาไหลทะลักออก เพลิงลุกไหม้ขณะที่ดาบพลังฉีถูกตวัดฟันออกไปอย่างรุนแรง


 


จังหวะและมุมของดาบนี้เป็นจุดสุดยอดของการโจมตีที่ดีที่สุด ซึ่งเสี่ยวไบ๋ไม่สามารถแม้แต่จะหลบได้ทัน และเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขัดขวางมัน


 


“อีกครั้งนึง!”


 


หลี่ฟู่เฉินโจมตีเสียวไบ๋อีกครั้ง ในขณะที่ดาบเพลิงพลังฉีก็ถูกตวัดฟันออกไปอีกครั้ง


 


ปิส!


 


เสี่ยวไบ๋ไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ ขณะที่เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีแดงสด


 


“เป็นไปไม่ได้! นี่ข้าไม่ใช่คู่ต่อเขาจริงๆ งั้นหรือ?” ดวงตาของเสี่ยวไบ๋แดงก่ำ และไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า


 


เขาเป็นคนในอันดับดารา หากมีดาบคลั่งอยู่ที่นี่ล่ะก็ เขาก็ยังคงมีความมั่นใจที่จะกำราบเขาอยู่ย้าง แต่เขาจะยอมรับมันได้อย่างไร ความสามารถของเขาถูกทำให้ต้องงัดออกมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่าว แต่เขาก็กำลังถูกกำราบลงไปอยู่ดี


 


“ตาย!”


 


ทันใดนั้นเองก็มีลูกดอกปรากฏขึ้นในมือของเสี่ยวไบ๋ ขณะที่เขาซัดมันไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


ความเร็วสูงสุดของลูกดอกนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจช่องว่างระหว่างทั้งสอง


 


หลี่ฟู่เฉินเหลือบมองมัน และเห็นว่าลูกดอกนั้นเจือปนไปด้วยยาพิษ


 


นอกจากนี้ กลางลูกดอกที่กำลังบินอยู่ เป็นคริสตัลที่ฝังอยู่


 


คริสตัลนี้เปล่งแสงสลัวๆ ซึ่งเพิ่มพลังให้กับการบินของมัน หลี่ฟูเฉินรู้สึกว่าถ้าเขายังคงอยู่ ลูกดอกที่กำลังบินมานี้จะเจาะทะลุเกราะพลังฉีของเขา มันอาจทำให้เขาบาดเจ็บสาหัญหรือแม้แต่กระทั้งสังหารเขาได้


 


“ลูกบินนี้ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น” หลี่ฟูเฉินคิดกับตัวเอง


 


ฟึบ ฟึบ!


 


ลูกดอกบินโดยธรรมชาติแล้วมันจะไม่สามารถโจมตีหลี่ฟู่เฉินได้


 


ด้วยความตระหนักในการต่อสู้ที่น่ากลัวของเขา หลี่ฟู่เฉินจึงสามารถรักษาความระมัดระวังได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อลูกดอกบินปรากฏขึ้น ร่างกายที่แท้จริงของหลี่ฟู่เฉินก็ได้หายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงภาพติดตา


 


ลูกดอกทะลุภาพติดตาม และไปปักอยู่ที่ศาลาด้านหลัง ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วพวกมันบินไปที่ใด


 


“เจ้าจะต้องแพ้!”


 


หลี่ฟู่เฉินยกดาบขึ้นในมุมเฉียง บังคับให้เสี่ยวไบ๋ต้องบินขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


แต่เสี่ยวไบ๋เองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน ดาบที่สองของหลี่ฟู่เฉินไม่ได้โจมตีไปยังเสี่ยวไบ๋โดยตรง แต่ทว่าโจมตีเพียงโล่ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเสี่ยวไป๋แทน


 


เช้ง!


 


ประกายไฟพุ่งออกมาเหมือนสายฝนที่โหมกระหน่ำ ส่งผลทำให้เสี่ยวไบ๋บินไปพร้อมกับโล่ของเขา ในขณะที่เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง


 


ในศาลาทุกคนต่างกลายเป็นมึนงงไปหมด


 


ความแข็งแกร่งของหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด


 


ไม่ว่าจะเป็นซินหวูหยวน ลั่วชิงหยุน หรือแม้แต่กระทั่งเสี่ยวไบ๋ พวกเขาทั้งหมดล้วนขึ้นไปบนเวทีเพื่อถูกหลี่ฟู่เฉินจัดการโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ


 


พวกเขาสงสัยว่าปัจจุบันหลี่ฟู่เฉินใช้ความสามารถทั้งหมดแล้วรึหรือยัง? เขายังคงมีความแข็งแกร่งอื่นที่ยังไม่ได้ใช้อยู่อีกหรือไม่?


 


“หลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”


 


ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูคิดว่าพวกเขากำลังอยู่ในความฝัน และเกิดความรู้สึกเหนือจริงขึ้น


 


พวกเขาตระหนักว่าตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาได้พบกับหลี่ฟู่เฉิน พวกเขาไม่สามารถก้าวตามเขาทันได้อย่างสมบูรณ์


 


“เราทุกคนประเมินเขาต่ำไป เขาอาจไม่อยู่ในอันดับดารา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นก็บอกได้เลยว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่สุดในรุ่น หากเขาได้รับเวลาในการพัฒนา ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเขาได้” ฉินเคอชือคิดกับตัวเองในขณะที่เธอถูกขัดขวางอยู่ในการต่อสู้ที่รุนแรงกับถังชือฉี


 


ไล่ตามเสี่ยวไบ๋ไปในทันที หลี่ฟู่เฉินกวัดแกว่งดาบอีกครั้ง


 


เช้ง!


 


โล่บินออกมาจากมือของเสี่ยวไบ๋ แขนทั้งสองข้างของเขายกขึ้นไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะมันทั้งเจ็บและชา


 


โล่อาจทำลายไม่ได้ แต่พลังจากทักษะดาบเพลิงปีศาจก็ยังคงส่งผ่านมา


 


เสี่ยวไบ๋รู้สึกประหลาดใจ ในขณะที่เขารีบวิ่งไปยังศาลาของเจ้าภาพ ซึ่งหาคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้


 


“เจ้าจะวิ่งหนีไปไหน!”


 


หลี่ฟู่เฉินใช้ทักษะสังหารของดาบเพลิงปีศาจ เมื่อดาบของเขาถูกทำลาย เงาสีแดงเข้มก็เข้าไปห่อหุ้มเสี่ยวไบ๋


 


ปิส ปิส ปิส ปิส!


 


มีรอยแผลเป็นลึกตื้นมากมายปรากฏขึ้นบนร่างกายของเสี่ยวไบ๋


 


“หรันเซียง เจ้าจะไม่ช่วยข้าเลยหรือ?”


 


เสี่ยวไบ๋คำรามใส่หรันเฉียนฉิว


 


ในขณะนี้หรันเฉียนฉิวที่มีสีหน้าดูมืดมน เริ่มเจตนสสังหารขึ้น


 


หัวใจของหลี่ฟู่เฉินเกิดเสียงดังขึ้นในฉับพลัน ในขณะที่เขาเรียกคือพลังงานหนึ่งในสามของกระบวนท่าเขากลับมา


 


ครืน!


 


ศาลาเจ้าภาพสั่นสะเทือนขณะที่ร่างของหรันเฉียนฉิวกระโจนสูงขึ้นราวกับนกยัษ์ในตำนานที่กางปีกออก มีไม้อาญาสิทธิ์สีทองซีดถูกเหวี่ยงลงมาอย่างโหดเหี้ยม


 


กระบวนท่าดาบของเขาถูกทำให้เป็นกลาง หลี่ฟู่เฉินถอยห่างออกไปสามก้าว


 


หรันเฉียนฉิวปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเสี่ยวไป๋และกล่าวอย่างเฉยชา “เจ้ากล้าอาละวาดในงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ เจ้าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาของเจ้าจริงๆ? เนื่องจากเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้กล่าวโทษข้า หรันเฉียนฉิว ได้ทำผิดกฎ”


 


เจตนาสังหารได้ปะทุออกมาจากร่างของหรันเฉียนฉิว ส่งผลทำให้สภาวะพลังฉีของเขานั้นเหนือกว่ามากเมื่อเทียบกับเสี่ยวไบ๋


 


อาการบาดเจ็บของเสี่ยวไบ๋ไม่ถือว่ารุนแรง แต่ทว่าถึงเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการโจมตีของหลี่ฟู่เฉิน แต่ถ้าหรันเฉียนฉิวไม่ก้าวเข้ามา เขาก็จะเป็นคนที่ตายอย่างแน่นอน


 


เมื่อเห็นหรันเฉียนฉิวลงมือ เสี่ยวไบ๋รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ขณะที่เขามองไปยังหลี่ฟู่เฉินและกล่าวด้วยความแค้น “หลี่ฟู่เฉิน วันนี้เจ้าจะต้องตาย”


 


หากหลี่ฟู่เฉินไม่ตาย เขาก็จะไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบ ก็ในเมื่อปีศาจตนนี้จะต้องทรมานเขาอยู่ตลอดเวลา


 


“ไปช่วยหลี่ฟู่เฉินกันเถอะ!” เมื่อเห็นหรันเฉียนฉิวลงมือ ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูตอบสนองอย่างรวดเร็ว


 


“เจ้าทั้งสองคนอนู่ดูการแสดงนี้ดีกว่า”


 


ซินหวูหยวนและศิษย์หลักระดับทองคนอื่นๆ จากนิกายกระบี่ยาวเข้าขัดขวางฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู ในขณะที่นิกายดาบธารเมฆาเองก็จ้องมองพวกเขาจากางด้านข้างด้วยความละโมบ


 


“เจ้าสองคนไม่ต้องลงมือ” หลี่ฟู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนที่อยู่ข้างๆ


 


“เจ้าสนุขน้ำท่อ เจ้าควรดูแลตนเองก่อนเสียจะดีกว่า ข้าอนุญาตให้เจ้าอาละวาดมานานมากแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าต้องจ่ายราคา” หรันเฉียนฉิวไม่พอใจหลี่ฟู่เฉินอยู่นานแล้ว เขาจะขึ้นไปบนเวทีเพื่อสอนหลี่ฟู่เฉิน ถ้าหากเขาไม่ได้กลัวว่าจะถูกตำหนิโดยฉินเคอชือ


 


มันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบพอดีที่ตอนนี้เสี่ยวไบ๋ได้ขอร้องให้เขาช่วย ถ้าฉินเคอชือเกิดอการคุ่นเคืองเขา เขาสามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายว่ามันเป็นการช่วยเสี่ยวไบ๋ ฉินเคอชือจะไม่ทำให้มันเรื่องยากสำหรับเขาเพราะคนที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำใช่ไหม?


 


“ฮี่ฮี่ หลังจากนี้ ข้าจะทำให้เจ้าต้องร้องขอความตายและเจ้าก็จะไม่ได้รับอนุญาต หลี่ฟู่เฉิน อนาคตของเจ้าจะต้องเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเท่านั้น” เสี่ยวไบ๋คลี่รอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา ตอนนี้ เขาไม่ได้ทำตัวสูงส่งและดูมากอำนาจเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาทำตัวเหมือนปีศาจเสียมากกว่า


 


เขาละทิ้งความเที่ยงธรรมและเกียรติยศทั้งหมดไปแล้ว


 


สิ่งที่เขาต้องการก็คือการทรมานหลี่ฟู่เฉิน เพราะมันจะง่ายเกินไปสำหรับหลี่ฟู่เฉินหากเขาได้รับความตาย เสี่ยวไบ๋ต้องการทรมานหลี่ฟู่เฉินเป็นเวลาสามถึงห้าวันก่อนที่จะสังหารเขา


บทที่ 244


หนึ่งกับสอง


 


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ใช่หรือไม่?”


 


จนถึงตอนนี้ ความตระหนักในการต่อสู้ของหลี่ฟู่เฉินที่แสดงออกมานั้นไม่ได้เกินจริงเกินไปและอยู่ในระดับล่างสุดของการจัดอันดับดาราเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความตระหนักในการต่อสู้ของเขาได้เหนือกว่าอันดับดารา


 


ทั้งหมดแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ได้หมายความว่าความสามารถของเขาจะสูงกว่าอันดับดาราทั้งหมด อย่างน้อยก็หมายความว่าเขายังไม่ถึงขีดจำกัดสูงสุด


 


“เจ้าชอบเป็นคนที่คุยโม้โอ้อวดเสียจริง เจ้าเชื่อจริงๆ ว่าจะไม่มีใครสามารถหยุดเจ้าได้? เจ้าไม่รู้ถึงความใหญ่โตที่แท้จริงของสวรรค์และโลก ไปให้พ้น!” ไม้อาญาสิทธิ์(ไม้นั้นกระบองตำรวจนั้นแหละ 555) ทองคำของหรันเฉียนฉิวถูกควงวน มันหมุนเร็วจนกระทั้งคล้ายกับดาวสีทอง มันถูกส่งไประเบิดตรงที่ๆ หลี่ฟู่เฉินยืนอยู่


 


การรับรู้ของหลี่ฟู่เฉินตรวจสอบมันในทันที และพบข้อบกพร่องในการโจมตีของคู่ต่อสู้ ด้วยการแทงเพียงครั้งเดียว พลังฉีดาบเพลิงปีศาจก็ถูกระเบิดออกมา


 


บูม!


 


ร่างกายของหลี่ฟู่เฉินสั่นเล็กน้อย ขณะที่หรันเฉียนฉิวถอยกลับไปสามก้าว


 


‘พลาด?’


 


หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่การรับรู้ของเขาเหนือกว่าขีดจำกัดทางร่างกายของเขามาก เมื่อการรับรู้ของเขาพบข้อบกพร่องในการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ ปฏิกิริยาทางร่างกายกลับตอบสนองช้าไปสักหน่อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้โจมตีไปที่ข้อบกพร่องอย่างแม่นยำนัก มันห่างออกไปเล็กน้อยในระยะห่างกันแค่เส้นผม


 


อย่าประมาทช่องว่างเล็กๆ เพียงแค่นี้ สาเหตุที่ข้อบกพร่องถูกเรียกว่าข้อบกพร่องนั้นก็เป็นเพราะความแตกต่างเล็กน้อยในการดำเนินการ ยิ่งทักษะต่อสู้แข็งแกร่งเท่าใด ข้อบกพร่องก็ยิ่งเล็กลงเท่านั้น และเพื่อที่จะตีที่ข้อบกพร่องได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เราต้องควบคุมขอบของข้อผิดพลาดภายในเส้นผมเส้นเดียวหรือแม้กระทั่งต้องพิถีพิถันมากกว่านี้


 


หากระดับการบ่มเพาะของหลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับที่ 7 หรือ 8 ของขอบเขตปฐพี เขาจะสามารถสังหารคนอย่างหรันเฉียนฉิวและเสี่ยวไบ๋ได้ในทันที แม้ว่าคุณลักษณะอื่นๆ ของเขาจะไม่ดีขึ้นก็ตาม


 


เพราะเหตุนี้ ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงขึ้น ปฏิกิริยาของร่างกายก็เร็วยิ่งขึ้น เมื่อควบคู่ไปกับพลังรับรู้ความเป็นตายของคนๆ หนึ่ง มันก็เทียบเท่ากับความสามารถที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า


 


“เขาเห็นข้อบกพร่องในกระบวนท่าของข้า?” หรันเฉียนฉิวมีสีหน้าประหลาดใจในเวลานี้เอง


 


ระดับการบ่มเพราะของเขาต่ำกว่าระดับการบ่มเพาะของเสี่ยวไบ๋ไประดับนึง เขาอยู่ในระดับที่ 7 ของขอบเขตปฐพี แต่ความสามารถของเขานั้นเหนือกว่าเสี่ยวไบ๋


 


ส่วนใหญ่เป็นเพราะการรับรู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวไบ๋ และความตระหนักรู้ในด้านการต่อสู้ของเขาเองก็เช่นกัน


 


บุคคลสองคนอาจเข้าใจถึงเจตจำนงทักษะต่อสู้ลึกลับขั้นกลางได้เหมือนกัน แต่เมื่อดำเนินการใช้โดยนักสู้ที่แตกต่างกัน มันก็จะมีความแตกต่างกัน ยิ่งเจตจำนงและการรับรู้แข็งแกร่งเท่าใด รูปแบบทักษะต่อสู้ก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หากฝ่ายตรงข้ามต้องการหาข้อบกพร่อง พวกเขาจะต้องมีความตระหนักรู้ที่แข็งแกร่งมากกว่า หากการรับรู้ของคนๆ นึงแข็งแกร่งขึ้นเพียงหนึ่งเส้นผม ฝ่ายตรงข้ามก็จะไม่สามารถต่อต้านการโจมตีได้แล้ว


 


‘การรับรู้ของเขาเหนือกว่าของเขาเหนือกว่าของข้ามาก มันมากกว่าหลายเส้นผม’ หรันเฉียนฉิวสรุปออกมาพด้วยข้อสรุปที่ดูไร้สาระ


 


“เสี่ยวไบ๋ เจ้าจะไม่ลงมือเลยหรือไร? เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ตรงนั้น?” หรันเฉียนฉิวกล่าวกับเสี่ยวไบ๋


 


นิกายพัตรเงินและนิกายสวรรค์ปีศาจเคยร่วมมือกันหลายครั้งต่อหลายครั้ง เมื่อเหล่าศิษย์หลักจากทั้งสองนิกายออกเดินทางเพื่อควบคุมอารมณ์และจิตใจตัวเอง พวกเขาก็มีความร่วมมือมากมายเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีการตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าจะเอาชนะศัตรูคนเดียวกัน


 


ก่อนมาถึงวันนี้ เสี่ยวไบ๋เคยร่วมมือกับหรันเฉียนฉิวหลายครั้งและประสบความสำเร็จอยู่เสมอ พวกเขาได้รับประโยชน์จากความร่วมมือเหล่านั้นมากมาย


 


“กรงเล็บวิญญาณนรก!”


 


มือขวาของเสี่ยวไบ๋ยื่นออกมา ในขณะที่ชั้นของเงากรงเล็บกลายเป็นพายุหมุนวน เจาะไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


“วายุศักดิ์สิทธิ์ ทำลาย!”


 


หรันเฉียนฉิวจับไม้อาญาสิทธอ์สีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศ มันกลายเป็นงูสีทองเหมือนคล้ายลม มันพุ่งเข้าใส่หลี่ฟู่เฉิน


 


พลังฉีก่อตัว เฉพาะคนที่มีความมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียรต่อทักษะต่อของตนงระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ได้


 


เมื่อพลังฉีก่อตัวขึ้น ข้อบกพร่องก็เล็กลงทนแทบจะหายไป


 


แน่นอนว่าสิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของทักษะต่อสู้ด้วยเช่นกัน


 


มีทักาะต่อสู้บางอย่างที่ไม่ต้องการพลังฉีเพื่อแสดงรูปร่าง ในขณะที่บางทักษะต้องใช้มันเพื่อก่อร่างและคงรูปร่างอยู่


 


ทักษธสังหารทั้งสองถูกใช้ออก ซึ่งที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวไบ๋กลับใช้ทักษะต่อสู้สองแบบออกมาในเวลาเดียวกัน ภายใต้แรงกดดันของกองสภาวะพลังฉีเหล่านี้ อากาศที่หลี่ฟู่เฉินยืนอยู่การไหลเวียนของพลังฉีก็ดูเหมือนจะกลายเป็นยุ่งเหยิงยิ่ง ซึ่งมันจำกัดพลังฉีไว้ได้อย่างน่าขนพองสยองก้าว หากเป็นนักสู้ทั่วๆ ไป พวกเขาอาจจะถูกตรึง และทำได้แต่มองดูอย่างหมดหนทางในขณะที่พวกเขากำลังถูกสังหาร


 


แต่หลี่ฟู่เฉินไม่ใช่นักสู้ธรรมดาทั่วไป


 


เมื่อตรวจสอบดูด้วยความตระหนักรู้ของเขา หลี่ฟู่เฉินสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงข้อบกพร่องภายในกระบวนท่าสังหารของทั้งสอง


 


พลังฉีดาบเพลิงปีศาจกวาดไปทั่วบริเวณและทำลายวายุที่มีรูปร่างเหมือนงูทองคำ และพายุหมุนวน


 


ครั้งนี้ หลี่ฟู่เฉินถอยกลับไปสองก้าว ขณะที่เสี่ยวไบ๋และหรันเฉียนฉิวถอยหลังกลับไปสามก้าว


 


“หนึ่งต่อสองก็ยังคงได้เปรียบอยู่เล็กน้อย?”


 


ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกใจ ตามความคิดเห็นของพวกเขา แม้แต่กระทั้งฉินเคอชือเองก็ไม่สามารถทำได้


 


“ใช้ท่าไม้ตายของเจ้า!” หรันเฉียนฉิวคำรามออกมา


 


ความสามารถของหลี่ฟู่เฉินนั้นเกินจินตนาการของเขาไปมากและเขาก็ยอมรับว่าเขาประเมินหลี่ฟู่เฉินต่ำเกินไปเช่นกัน แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความสามารถของหลี่ฟู่เฉิน


 


อะไรที่หมายถึง ‘ท่าไม้ตาย’? มันเป็นกระบวนท่าพวกเขาพัฒนาขึ้นมาด้วยตัวของพวกเขาเอง


 


พวกเขาสองคนไม่สามารถเข้าใจทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นสูงได้ในเวลานี้ แต่พวกเขาสามารถใช้ทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นกลางเพื่อพัฒนากระบวนท่าสังหารเป็นของตนเองได้ กระบวนท่าสังหารนี้อาจไม่มีพลังที่เกินจริงและยังคงอยู่ในระดับลึกลับขั้นกลาง แต่มันมีพลังรุนแรงและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะป้องกัน


 


“กรงเล็บเดี่ยวนรก!”


 


เสี่ยวไป๋คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและยื่นมือขวาออกไปเหมือนกรงเล็บของสัตว์ร้าย เขายกมือขึ้นสูงก่อนที่จะแกว่งลงมาอย่างแรง


 


ในช่วงเวลาถัดไป รอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกลางอากาศ เช่นเดียวกับริ้วกรงเล็บที่ไม่เป็นระเบียบนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปโจมตีหลี่ฟู่เฉิน


 


“วายุสว่านศักดิ์สิทธิ์!”


 


หรันเฉียนฉิวถือไม้อาญาศักดิ์สอทธิ์สีทอง ซึ่งมันก็ได้สร้างวงกลมสีทองไว้ในอากาศตลอดเวลา ในพริบตาเดียว วงกลมหลายสิบวงก็ปรากฏขึ้นซึ่งมันมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และเมื่องกลมสุดท้ายปรากฏขึ้นแล้ว มันก็เล็กพอๆ กับถั่วเหลืองและเจาะเข้าไปที่หลี่ฟู่เฉินอย่างรวดเร็ว


 


หืม…


 


ดอกสว่านรูปกรวยแหลมมีความเร็วสูงมากซึ่งดูเหมือนว่าจะแยกอากาศออกจากกัน ส่งเสียงที่น่าหวาดกลัวออกมา


 


‘ท่าไม้ตาย? เหอะ’ สายตาของหลี่ฟู่เฉินหรี่แคบลง


 


เมื่อใช้ท่าสังหารออกมา โดยพื้นฐานแล้วมันไม่สามารถป้องกันได้


 


หากมันเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว หลี่ฟู่เฉินมีความมั่นใจที่จะป้องกันมัน แต่ตอนนี้มันเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง เขาไม่มีความมั่นใจมากนัก


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ปฏิกิริยาทางร่างกายและความเร็วของเขายังค่อนข้างอ่อนกว่าการรับรู้ของเขาเอง


 


“เงาสังหารเพลิงปีศาจ!”


 


เนื่องจากหลี่ฟู่เฉินไม่มีความมั่นใจใดๆ เขาจึงไม่ได้มีเจตนาที่จะป้องกันพวกมัน


 


ฝ่ายตรงข้ามใช้ท่าสังหารได้ เขาเองก็ใช้ได้เช่นกัน


 


ท่าสังหารเป็นการโจมตีขั้นสูงสุดในทักษะดาบเพลิงปีศาจ แต่ด้วยระดับความสามารถในปัจจุบันของเขา มันก็ถือเป็นท่าสังหารระดับต้นๆ


 


แสงสีแดงเข้มระเบิดห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองเอาไว้ ทั่วทั่งพื้นที่นี้เต็มไปด้วยสีแดงสดในทันที


 


ชี่ ชี่ ชี่ ชี่ ชี่…


 


กึก กึก…


 


ปิส ปิส ปิส…


 


มีรอยกรงเล็บที่ดูน่ากลัวและรอยแตกบนร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน มันรอยเหล่านั้นมีเลือดสดพุ่งและไหลออกมาอย่างน่ากลัว


 


ปฏิกิริยาทางร่างกายของหลี่ฟู่เฉินยังคงช้ากว่าการเคลื่อนไหวของท่าสังหารทั้งสอง และเขาก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากหนึ่งในนั้นได้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อีกฝ่ายจะฝ่าการป้องกันของเขาได้ด้วยเหตุนี้


 


เกราะพลังฉีของเขาอ่อนแอราวกับเต้าหู้ และทั้งสองคนนั้นก็ฉีกมันออกได้อย่างง่ายดาย


 


แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเช่นกัน เงาสังหารเพลิงปีศาจของหลี่ฟู่เฉินเป็นท่าสังหารของทักษะระดับลึกลับขั้นสูง มีพลังที่เหนือกว่าการท่าสังหารของทั้งสองคน ซึ่งมันได้ทิ้งรอยแผลจากดาบนับไม่ถ้วนไว้บนร่างกายของพวกเขาในทันที มันราวกับพวกเขาถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช


 


การแลกเปลี่ยนท่าสังหารนี้ทำให้เกิดความสูญเสียต่อทั้งสองฝ่ายและแต่ละคนก็รอดไปได้อย่างหวุดหวิด


 


“นี่มันโหดเกินไปแล้ว!” มีคนร้องอุทานออกมา


 


“หลี่ฟู่เฉินผู้นี้เป็นปีศาจเป็นแน่ แม้แต่การร่วมมือกันของเสี่ยวไบ๋และหรันเฉียนฉิวก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งแบบไหนในการจัดอันดับดาราครั้งต่อไป”


 


“หากเขายังพัฒนาต่อไปด้วยสามารถในระดับนี้ เขามีโอกาสที่จะติด 50 อันดับแรกในการจัดอันดับดารา”


 


“ข้าคิดว่าเขาจะสามารถเป็น 30 อันดับแรกได้ ยังมีเวลามากกว่าหนึ่งปีก่อนการแข่งขันการจัดอันดับดารา และเขาก็อยู่ในระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพีแต่เพียงเท่านั้น ด้วยระดับการบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นในแต่ละครั้ง ความสามารถของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”


 


“30 อันดับแรกนั้นเกินจริงเกินไป การจัดอันดับดารานั้นมีเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นและทุกคนทั้งหมดที่นั้นก็มีความสามารถราวกับสัตว์ประหลาด พวกเขาไม่สามารถตัดสินได้ด้วยสามัญสำนึกธรรมดาๆ”


บทที่ 245


เซียงเล่ย


 


 


หลี่ฟู่เฉินค่อนข้างพอใจที่เขาสามารถพึ่งพาความสามารถของตัวเองและมาถึงจุดนี้ได้


 


ความตระหนักรู้ของบุคคลทั้งสองนี้อาจเทียบกับเขาไม่ได้ แต่ความตระหนักรู้ของพวกเขาก็อยู่ในขอบเขตสวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหรันเฉียนฉิว การรับรู้ของเขาสมควรจะอยู่ในอันดับต้นๆ แม้แต่กระทั้งในหมู่นักสู้ขอบเขตสวรรค์เองก็ตาม


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว โครงกระดูกระดับ 3 ดาวมีความเป็นไปได้ที่จะบุกเข้าไปในขอบเขตสวรรค์ นักสู้ขอบเขตสวรรค์ส่วนใหญ่จะเป็นโครงกระดูก 3 หรือ 4 ดาว สำหรับโครงกระดูกระดับ 5 ดาว โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะก้าวไปสู่ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด


 


ดังนั้นการรับรู้ของโครงกระดูกระดับ 5 ดาวจึงยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งมากในสถานการณ์ปกติ มันก็ไม่ได้เกินจริงที่จะบอกว่าแค่เป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีความตระหนักรู้ของพวกเขาไปถึงขอบเขตสวรรค์ได้แล้ว


 


“เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะสังหารเขาด้วยความสามารถของตัวเอง ข้าต้องใช้สิ่งของภายนอก”


 


ทันใดนั้นเองหลี่ฟู่เฉินก็กระโดดถอยหลัง เศษชิ้นส่วนอาวุธระดับปฐพีปรากฏอยู่ในมือของหลี่ฟู่เฉิน


 


ถ่ายพลังฉีลงไปยังมันและสบัดออกไป


 


ฮูม!


 


กลางอากาศ แสงสีดำสว่างวาบไปทั่ว


 


ในช่วงเวลาต่อมา เสี่ยวไบ๋กระเด็นกลับพร้อมกับเลือดสดๆ ที่ทะลักออกมา


 


ชิ้นส่วนอาวุธระดับปฐพีเจาะร่างของเขาโดยตรงและพุ่งออกไปทางด้านหลังของเขา


 


นี่เป็นบาดแผลที่ร้ายแรงมากและเป็นบาดแผลที่รุนแรงที่สุดแห่งหนึ่ง


 


“เวรเอ้ย”


 


เมื่อมองไปที่เสี่ยวไบ๋ที่ทรุดตัวลงบนพื้นโดยที่ไร้สภาวะพลังที่ดูแข็งแกร่งอีกต่อไป การแสดงออกของหรันเฉียนฉิวเปลี่ยนไป


 


เขาค่อนข้างเสียใจที่มาให้ตัวเองมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะลงมือ เขาสันนิษฐานว่าความสามารถของหลี่ฟู่เฉินจะอยู่แค่ในระดับเท่าที่เห็นเท่านั้น แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าการรับรู้ของหลี่ฟู่เฉินจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาจิตนการไว้


 


“เงาสังหารเพลิงปีศาจ!”


 


หลังจากจัดการเสี่ยวไบ๋ได้แล้ว หลี่ฟู่เฉินพุ่งไปที่หรันเฉียนฉิวu และระเบิดพลังฉีออกมาพร้อมกับใช้ท่าสังหารของทักษะเพลิงปีศาจ


 


หรันเฉียนฉิวพยายามที่จะต่อต้าน แต่มีบาดแผลจากดาบบนร่างกายของเขามากเกินไป ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าปัจจุบันเขาไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหลี่ฟู่เฉิน เขาได้แต่เยาะเย้ยตัวเอง


 


แต่ทุกอย่างก็เป็นความจริงดูแล้วหนาวเหน็บ


 


ตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยงน้ำชา ทุกคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับหลี่ฟู่เฉิน วิจารณ์ หมิ่นประมาท และเยาะเย้ยเขา


 


แต่ตอนนี้ มีใครบ้างที่กล้าใส่ร้ายและเยาะเย้ยเขา?


 


ทุกคนมีเพียงสองอารมณ์ที่แตกต่างกันเมื่อเผชิญหน้ากับอัจฉริยะที่แท้จริง ความอิจฉาหรือไม่ก็ชื่นชม


 


“พอได้แล้ว!”


 


ในขณะนี้เอง เสียงดังกึกก้องดังมาจากยอดเขาฝนใบไม้


 


ร่างปรากฏขึ้น


 


ทุกคนตกใจเมื่อเห็นร่างนี้


 


เพราะเขาลงมาจากท้องฟ้า


 


แม้แต่อันดับดาราก็ไม่มีความสามารถในการบินบนท้องฟ้า การร่อนอยู่บนฟ้าได้ในช่วงเวลาสั้นก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดแล้ว การที่สามารถลงมาจากท้องฟ้าได้หมายความว่าบุคคลนี้เป็นนักสู้ขอบเขตสวรรค์


 


มันเป็นร่างที่ดูอ่อนเยาว์ซึ่งดูเหมือนจะอายุประมาณ 30


(หมายเหตุ TL: ผู้เขียนชอบพูดอายุ 30 ปีว่าคือผู้เยาว์ ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่มันอาจเกี่ยวข้องกับผู้คนในแคว้นซึ่งอายุมากกว่า 100 หรือ 200 ปี)


 


ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับสายฟ้าและด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ฉินเคอชือและถังชือฉีก็แยกออกจากกันอย่างไม่ได้ตั้งใจเช่นเดียวกับหลี่ฟู่เฉินและหรันเฉียนฉิว ไม่มีที่ให้กับการต่อต้านใดๆ


 


“ข้าขอทราบนามเฉพาะของท่านได้หรือไหม” ถังชือฉีถามด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ


 


ชายหนุ่มตอบกลับ “เซียงเล่ย”


 


“ดังนั้นมันก็คือเซียงเล่ย ชิเซียง!” ดวงตาของถังชือฉีสว่างขึ้น ขณะที่เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


เซียงเล่ยเป็นหนึ่งในเจ้าภาพก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้และก่อนที่เขาจะขึ้นสู่ขอบเขตสวรรค์ เขาอยู่ในอันดับที่ 68 ในการจัดอันดับดารา และมีชื่อเสียงในเรื่องความกล้าหาญที่น่าประทับใจของเขา


 


เซียงเล่ยพยักหน้าและมองไปที่ทุกคนในขณะที่กล่าว “งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้จะไม่มีการสังหารใดๆ และนั่นก็คือกฎเหล็ก ข้าไม่ต้องการให้งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ต้องตกกลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ งั้นนับจากนี้ไป ข้าหวังว่า


 


เจ้าทุกคนจะปฏิบัติตามกฎนี้”


 


นี่เป็นกฎที่กำหนดโดยเจ้าภาพคนแรกของงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ เมื่อมีการสังหารเกิดขึ้นในงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ ก็จะไม่มีการจัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้อีกต่อไป


 


นี่เป็นสาเหตุที่ฉินเคอชือจึงทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อหยุดการสังหารทั้งหมด เนื่องจากเธอไม่ต้องการเป็นคนจบงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้นี่


 


“เซียงเล่ยชิเซียง ไม่ต้องกังวล เราทุกคนจะปฏิบัติตามกฎนี้”


 


ตอนนี้ ในขณะนี้ ไม่มีใครกล้าสร้างปัญหา


 


ก่อนที่เซียงเล่ยจะก้าวไปสู่ขอบเขตสวรรค์ เขาอยู่ในอันดับที่ 68 ในการจัดอันดับดารา ตอนนี้เขาได้ก้าวไปสู่ขอบเขตสวรรค์แล้ว เพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอที่จะกำจัดพวกเขาทั้งหมด มันจะมีใครถามหาความตายเช่นนั้นหรือไม่?


 


“ดีมาก” เซียงเล่ยพยักหน้าและมองไปที่ถังชือฉี “เจ้าไม่ได้รับการต้อนรับจากที่นี่ ลงจากภูเขาไปเถอะ!”


 


ขณะที่เซียงเล่ยกล่าว เขาโบกมือ จากนั้นถังชือฉีก็ถูกจับด้วยมือที่มองไม่เห็นและนำนางออกไปจากภูเขาฝนใบไม้


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ ถังชือฉีไม่กล้าแม้แต่จะต่อต้าน


 


มองไปทางด้านของหลี่ฟู่เฉิน เซียงเล่ยขมวดคิ้วและก็กล่าวในที่สุด “หรันเฉียนฉิว นำเสี่ยวไบ๋และออกไปพร้อมกันเถอะ!”


 


เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ความผิดของหลี่ฟู่เฉิน เนื่องจากเขาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนจากด้านบน


 


หรันเฉียนฉิวไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ในขณะนั้นเองเขาช่วยเสี่ยวไบ๋ยืนขึ้นและออกจาภูเขาฝนใบไม้ เขาจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉินราวกับดาบที่เต็มไปด้วยเจตจำนงสังหาร


 


“เซียงเล่ยชิเซียง เรายังมีบางสิ่งที่ต้องทำ พวกเราขอลา”


 


ซินหวูหยวนและคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะอยู่จ่อ และรีบออกไปเนื่องจากพวกเขาได้ตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาทำลงไป


 


เซียงเล่ยไม่ได้สนใจพวกเขาและยิ้มให้กับคนอื่นๆ “หนึ่งปีครึ่งต่อจากนี้ การแข่งขันการจัดอันดับดาราครั้งใหม่จะจัดขึ้นตามกำหนด ตั่งแต่ที่ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะมอบประสบการณ์เต๋าแห่งการต่อสู้ให้กับพวกเจ้าทุกคน! ข้าหวังว่าพวกเจาทุกคนจะสามารถก้าวไปเต๋าแห่งการต่อสู้ได้มากขึ้น”


 


งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้นั้นจัดแค่วันเดียว ปัจจุบันเป็นเวลาเที่ยงวันเท่านั้นและเห็นได้ชัดว่ายังไม่ถึงเวลาจบงาน


 


“ขอบคุณเซียงเหล่ยชิเซียงมาก”


 


ทุกคนมีความยินดีที่มีอดีตอันดับดารามามอบเต๋าแห่งการต่อสู้ให้กับพวกเขา พวกเขาจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย


 


บินเข้าไปในศาลาเจ้าภาพ เขารินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วยและตะโกน “ในขอบเขตปฐพี การที่จะสามารถเข้าใจเจตจำนงระดับลึกลับขั้นกลางได้นั้นนับว่าเป็นขีดจำกัด จากสิ่งนี้ วิธีที่เร็วที่สุดในการเพิ่มความสามารถของเจ้าก็คือการพัฒนาท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางเป็นของพวกเจ้าเอง จากสิ่งที่ข้ารู้ โดยทั่วไปแล้วอันดับดาราจะมีท่าสังหารเป็นของตัวเอง และกระบวนท่าสังหารเหล่านี้จะทรงพลังอย่างมากหรือแม้กระทั้งไม่สามารถป้องกันมันได้ ในระยะสั้น สร้างมันให้สุดขั้วขอบเขตไปเลยและไม่จำเป็นต้องแสวงหาความสมดุล เพราะเมื่อเจ้าเลือกที่จะปล่อยท่าสังหาร มันก็เป็นเวลาที่จะตัดสินผลของการต่อสู้ ว่าเจ้าจะชนะหรือพ่ายแพ้”


 


ทุกคนพยักหน้ารับฟัง


 


เมื่อตอนที่หลี่ฟู่เฉินกำลังต่อสู้กับเสี่ยวไบ๋และหรันเฉียนฉิว พวกเขาเองก็ปล่อยท่าสังหารและกระบวนท่านั้นก็น่ากลัวและรุนแรงมาก


 


“เซียงเล่นชิเซียง จะคุ้มค่าหรือไหมที่จะใช้เวลาทั้งหมดในการพัฒนาท่าสังหาร? จะไม่ดีกว่าหรือหากใช้เวลาทั้งหมดนั้นไปกับการเรียนรู้ทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นสูง?” มีคนสอบถาม


 


มีเซียงเล่ยอยู่ด้านข้าง ฉินเคอชืออธิบาย “เป็นเรื่องดีที่จะใช้เวลาทำความเข้าใจกับทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นสูง แต่มันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อบรรลุขั้นดีเลิศเท่านั้น ซึ่งยากยิ่งกว่าการพัฒนาการท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลางของเจ้าเอง เพื่อพัฒนาท่าสังหาร เจ้าก็สามารถใช้ตัวอย่างจากทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นกลางเจ้าเรียนรู้มาได้ ตราบเท่าที่แรงบันดาลใจเกิดขึ้นแล้ว ก็มีความหวังที่จะพัฒนาท่าสังหารได้ แต่เพื่อทำความเข้าทักษะระดับลึกลับขั้นสูง คุณต้องเริ่มจากพื้นฐานของพื้นฐาน และพื้นฐานนั้นก็ต้องเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งและแน่นอน ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น”


 


เซียงเล่นพยักหน้า “สิ่งที่ฉินเกอชือกล่าวนั้นถูกต้อง หากเปรียบเทียบความเข้าใจของทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นสูงกับการพัฒนาท่าสังหารระดับลึกลับขั้นกลาง อย่างหลังนั้นง่ายกว่าเล็กน้อย แน่นอน ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของแต่ละคน หากเจ้าคิดว่าการรับรู้ของเจ้าอยู่ในระดับท้าทายสวรรค์และการบ่มเพาะของเจ้าก็สามารถตามได้ทัน เมื่อนั้นแล้วก็เป็นเรื่องปกติที่จะเข้าใจทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นสูง” ขณะที่เซียงเล่นกล่าว เขามองไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


โดยธรรมชาติแล้วเขาสามารถเห็นได้ว่าหลี่ฟู่เฉินนั้นได้บรรลุขั้นดีเลิศของทักษะระดับลึกลับขั้นสูงแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับทักษะสังหารที่ถูกสร้างมาอย่างสุดขั้นกับทักษะดาบระดัยลึกลับขั้นสูง อย่างหลังสมบูรณ์แบบกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งมันก็สามารถปราบปรามได้ทั้งเสี่ยวไบ๋และหรันเฉียนฉิวได้


 


ดังนั้น ทุกสิ่งที่เขาจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ กับหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินสามารถคงอยู่และเข้าใจทักษะดาบระดับลึกลับขั้นสูงไปจนถึงขั้นที่สูงกว่าได้ ถ้าเขาสามารถบรรลุขั้นภวังค์ได้ เช่นนั้นมันก็จะเหนือกว่าท่าสังหารใดๆ และก็สามารถมั่นใจได้ว่าเขาจะสามารถเป็น 50 อันดับแรกในการจัดอันดับดาราได้อย่างแน่นอน


 


สำหรับที่ว่าเขาสามารถไปถึงอันดับ 30 หรือเหนือกว่าได้หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของหลี่ฟู่เฉินในช่วงเวลา 1 ปีครึ่งนี้


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว เมื่อเจ้าก้าวหน้า คนอื่นๆ ก็ก้าหน้าเช่นกัน


 


หากคนใดคนนึงต้องการตามอีกคนให้ทันหรือทำให้เหนือกว่าคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็ต้องก้าวหน้าให้เร็วกว่าคนอื่นๆ


 


เมื่อเวลาผ่านไป เซียงเล่ยเริ่มอธิบายเรื่องสำคัญอื่นๆ หลังจากการจบการอธิบายความสำคัญของม่าสังหาร


 


โดยที่ไม่รู้ตัว ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดมิดเสียแล้ว


 


เซียงเล่ยส่งสัญญาณให้ฉินเคอชือทางสายตา ในขณะที่เธอตอบสนองด้วยการยืนขึ้น “เอาหล่ะเช่นนั้นแล้ว งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ในปีนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ขอบคุณมากสำหรับการมีส่วนร่วมของทุกคนและงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกสองปีถัดจากนี้ ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าเจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้คนต่อไปก็คือหลี่ฟู่เฉิน ข้าสงสัยว่าเจ้าหลี่ฟู่เฉินมีความคิดเห็นเช่นไร?”


 


ฉินเคอชือกล่าวคำที่ดูน่าอัศจรรย์ออกมาและมองไปที่หลี่ฟู่เฉิน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม