Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 232-238

 บทที่ 232


สงครามหวนคืนต้นกำเนิด


 


 


ขณะเดียวกันกับที่หลี่ฟูเฉินเริ่มต้นในส่วนที่สี่ของเส้นทางดวงดาว ผู้นำนิกายวารีคราม โอหยางเว่ยเทียนก็ได้มาถึงแคว้นร้อยเทพยุทธ์


 


เขาได้ไปหาเจ้านิกายสวรรค์ปีศาจ หลี่เซี่ยเทียนเป็นคนแรก


 


“หลี่เซี่ยเทียน ถอนหมายจับศิษย์หลักระดับทองของข้า หลี่ฟู่เฉิน ออกไปซะเถอะ และข้าจะทำเป็นว่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” โอหยางเหว่ยเทียนเรียกร้อง


 


หลี่เซี่ยเทียนหัวเราะเยาะ “เขาสังหารลูกชายของข้าหลี่หวูเซี่ยเลือดต้องล้างด้วยเลือด โอหยางเหว่ยเทียน เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเจ้าคงจะไม่สามารถรับผิดชอบได้”


 


“เจ้าเป็นพยานด้วยตนเองหรือไม่ว่า หลี่ฟู่เฉินเป็นผู้สังหารหลี่หวูเซี่ย?” โอหยางเว่ยเทียนถาม


 


หลี่เซี่ยเทียนแสดงออกอย่างช้าๆ ก่อนจะหัวเราะอย่างน่ากลัวออกมา “แล้วถ้าข้าไม่ได้เป็นพยานล่ะ? ตราบใดที่ยังมีข้อสงสัย ข้าก็คงจะปล่อยมันไปไม่ได้ ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะไม่สังหารเขาในทันที ข้าจะนำเขากลับไปที่นิกายสวรรค์ปีศาจ และสอบปากคำเขาเป็นการส่วนตัว ถ้าเขาไม่ได้ทำจริงๆ ข้าจะไม่แตะต้องเขาแม้แต่ผมเส้นเดียว”


 


โอหยางเว่ยเทียนตอบกลับ “ถ้าเขาเข้าไปในนิกายสวรรค์ปีศาจ หากไม่ตายจริงๆ หนังของเขาก็คงจะถูกแล่ออกมาเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือสิ่งใด หลี่เซี่ยเทียน ข้าไม่ต้องการดำเนินเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี่อีกต่อไป หากเจ้าไม่ได้เป็นพยานตอนที่หลี่ฟู่เฉินเป็นคนสังหารหลี่หวูเซี่ย ก็ถอนใบประกาศจับออกไปซะ ส่วนนิกายวารีครามของข้าจะทำการสู้ด้วยไฟดับไฟ เจ้าออกหมายจับศิษย์หลักระดับทองของเรา พวกเราก็จะออกหมายจับศิษย์หลักระดับทองของนิกายสวรรค์ปีศาจเช่นกัน เว้นเสียแต่ว่าศิษย์หลักระดับทองของนิกายสวรรค์ปีศาจจะไม่ได้ไปทำอะไรที่มันเสี่ยงภัย ไม่งั้นก็เตรียมตัวไว้เสียเถะ”


 


หลี่เซี่ยเทียนหรี่ตาลง “โอหยางเหว่ยเทียน เจ้าทำให้ข้าลำบากใจยิ่ง ตอนนี้เจ้าเข้าใจความรู้สึกที่ต้องสูญเสียลูกชายไป หรือไร?”


 


“หากเจ้ารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้ลูกชายของเจ้าออกมา? คงเป็นการดีกว่าถ้าหากให้เขาอยู่ในนิกายสวรรค์ปีศาจตลอดกาล ดีหรือไม่?”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น หลี่เซี่ยเทียนก็เกิดความขุ่นเคือง และก็เกิดเจตจำนงสังหารขึ้นในใจของเขา


 


ก็จริง เขาไม่ควรปล่อยให้หลี่หวูเซี่ยจัดการตนด้วยตนเอง ถ้าเขาขาดประสบการณ์การต่อสู้ หรือขาดทักษะในการต่อสู้ไปแม้แต่เพียงนิดละ? ด้วยความสามารถของหลี่หวูเซี่ย ถ้าเขาถูกฝึกฝนไปตามปกติ เขาก็ยังจะคงพัฒนาไปสู่ขอบเขตสวรรค์


 


แต่สำนึกผิดตอนนี้ก็สายไปแล้ว หลี่หวูเซี่ยตายไปแล้ว และการสำนึกผิดจะไม่ทำให้เขาฟื้นขึ้นมา


 


ความคิดเดียวของเขาในตอนนี้คือการตามหาฆาตกร โอหยางเหว่ยเทียนก็กำลังขอให้เขาไม่ออกหมายจับหลี่ฟู่เฉิน มันหมายถึงการขัดขวางการแก้แค้นของเขา และผู้ที่ขัดขวางการแก้แค้นของเขาก็ต้องตาย


 


“โอหยางเหว่ยเทียน พวกเราไม่ได้ประลองกันมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว ข้าสงสัยเหลือเกินว่าตอนนี้เจ้าคู่ควรที่จะประลองกับข้าอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เจ้าควรลืมเรื่องการออกจากที่นี่ในวันนี้ไปเสีย เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีความสามารถ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราอาจจะมีเวลาได้พูดคุยกันบ้าง” หลี่เซี่ยเทียนไม่พยายามปกปิดเจตนาสังหารของเขา


 


โอหยางเหว่ยเทียนตอบกลับ “ได้ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าข้ามีความสามารถหรือไม่”


 


เมื่อมันเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง นิกายวารีครามนั้นกลัวนิกายสวรรค์ปีศาจ


 


“ฮึ่ม อาชูร่าสวรรค์ปีศาจ!” หลี่เซี่ยเทียนตะโกนออกมาและใช้เทคนิคลับระดับ 5 ดาวของนิกายสวรรค์ปีศาจทันที


 


เขาผู้ซึ่งเป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด เมื่อใช้เทคนิคลับพลานุภาพที่ออกมาก็ดูน่าทึ่งมากกว่าเดิม พื้นดินในบริเวณใกล้เคียงเริ่มแยกออกจากกัน และครู่หนึ่ง แม้แต่อากาศก็บิดเบี้ยว ลมแรงไม่มีที่สิ้นสุดพัดพาทุกอย่างออกไป ทราย และก้อนกรวดบนพื้นผิว เช่นเดียวกับก้อนหินขนาดหินเท่ากำปั้นก็ยังถูกพัดขึ้นไปในอากาศ


 


ในช่วงเวลาเดียวกัน เงาขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นเหนือหัวของหลี่เซี่ยเทียน


 


เงานั่นเป็นสิ่งที่แสดงถึงนิกายสวรรค์ปีศาจ


 


“นิกายต้นกำเนิดดาบ”


 


โอหยางเหว่ยเทียนตะโกน ส่งผลทำให้อากาศโดยรอบมีดาบพลังฉีปรากฏขึ้นในอากาศนับหมื่นเล่ม ก่อตัวเป็นป่าแห่งดาบขึ้นมา


 


“กำจัด!”


 


หลี่เซี่ยเทียนกระแทกฝ่ามือเข้าหาโอหยางเว่ยเทียน เงาของอาชูร่าสวรรค์ปีศาจก็ถูกส่งเข้าหาโอหยางเหว่ยเทียนพร้อมกันกับฝ่ามือ


 


ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ดำเนินไปพร้อนกับกับฝ่ามือขนาดเล็ก ทำให้รู้สึกว่ามันจะทำให้ช่องว่างในการโจมตีนั้นๆ ดูเล็กสั้นลง


 


“ทำลาย!”


 


ด้วยปลายนิ้วชี้ของเขา พลังฉีแห่งดาบทั้งหมดจึงถูกยิงไปที่เงาอชูร่าสวรรค์ปีศาจที่อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า


 


บูม บูม บูม บูม,…


 


การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างคนสองคนนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแทรกแซงด้วยทักษะการต่อสู้ใดๆ มันเป็นการดวลกันของเทคนิคลับกับเทคนิคลับ ใครที่สามารถหยุดใครได้ก่อนก็จะมีชีวิตรอดไป และอีกคนก็จะตายลงไป ไม่มีการเว้นระยะห่างใดๆ ไม่มีกลอุบายใดๆ หรือแผนการใดๆ


 


หนึ่งชั่วโมงถัดมา โอหยางเว่ยเทียนก็เริ่มเหนือกว่า


 


ไม่ว่า อชูร่าสวรรค์ปีศาจจะทรงพลังเพียงใด มันก็ไม่สามารถต้านทานดาบของ นิกายต้นกำเนิดดาบได้ ดาบกว่าหมื่นดาบได้เข้าห่ำหั่นและฟ่าฟันอย่างรุนแรง


 


ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมด นิกายต้นกำเนิดดาบ เป็นหนึ่งในสิบอันดับเทคนิคลับ 5 ดาวในขณะที่อสูรอชูร่าสวรรค์ปีศาจ ไม่ได้อยู่ในสิบอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ


 


พวกเขาสองคนต่อสู้กันมาตั้งแต่สมัยเด็ก และในช่วงเวลานั้น ทั้งคู่ก็มีความสามารถระดับเดียวกัน


 


แต่ตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งสองได้ฝึกฝนเทคนิคลับระดับ 5 ดาว ตั้งแต่นั้นโอหยางเหว่ยเทียนก็มักจะจะอยู่เหนือกว่าเสมอ ซึ่งในเวลานี้ก็ไม่ได้ต่างกัน


 


หากไม่ใช่เป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของของนิกายสวรรค์ปีศาจเหล่านั้น นิกายสวรรค์ปีศาจก็อาจจะด้อยกว่านิกายวารีครามในแง่ของการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง


 


“นิกายต้นกำเนิดดาบช่างน่าเกรงขามเสียจริง” หลี่เซี่ยเทียนพยายามดิ้นรนและไม่ยอมที่จะตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้


 


นิกายต้นกำเนิดดาบของนิกายวารีครามเป็นที่รู้จักกันดีว่าไม่สามารถแก้ทางได้ นอกเสียจากว่าศัตรูจะมีการป้องกันจากสวรรค์ ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็คงจะไม่มีวิธีในการต่อต้านมัน


 


“หลี่เซี่ยเทียน ขอโทษด้วย มันคือชัยชนะของข้าอีกครั้ง” โอหยางเหว่ยเทียนกล่าวอย่างเฉยเมย


 


หลี่เซี่ยเทียนกล่าวอย่างไม่แยแส “โอหยางเหว่ยเทียน เจ้าไม่กลัวว่านิกายสวรรค์ปีศาจของเราจะประกาศสงครามกับนิกายวารีครามของเจ้า? สิ่งที่ข้าเสียไปคือลูกชาย นิกายวารีครามของเจ้าตั้งใจจะปกปิดเรื่องนี้ไว้หรือไร?”


 


“ข้าจะทบทวนมันด้วยตนเอง เจ้าไม่ได้เห็นหลี่ฟู่เฉินสังหารลูกชายของเจ้าเป็นการส่วนตัว หากนิกายสวรรค์ปีศาจของเจ้าต้องการสงคราม เช่นนั้นก็แค่เริ่มมันขึ้น! แม้ว่านิกายวารีครามของข้าจะถูกจำกัดออกไปทั้งหมด นิกายสวรรค์ปีศาจของเจ้าก็จะสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปประมาณ 70% เมื่อนิกายสวรรค์ปีศาจของเจ้าเหลือความสามารถในการต่อสู้เพียง 30% ข้าก็เชื่อว่าเจ้าก็คงจะดูเหมือนชิ้นเนื้อตัวอ้วนสำหรับนิกายเร้นวิญญาณ”


 


ถ้าหากมีเพียงแค่นิกายสวรรค์ปีศาจนิกายเดียว นิกายวารีครามก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ แต่สิ่งที่นิกายวารีครามต้องกลัวก็คือ นิกายสวรรค์ปีศาจร่วมมือกับนิกายเร้นวิญญาณและนิกายโหมกระบี่ โชคดีที่ ไม่มีใครโง่เขลาพอที่จะเป็นพันธมิตรที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย


 


มีการกล่าวไว้ว่า ‘เมื่อกระต่ายตาย สุนัขจิ้งจอกเสียใจ’ คำกล่าวนี้มีเหตุผล


(หมายเหตุ TL: คำพูดหมายความว่าเมื่อมีคนคล้ายกับคุณตายคุณจะรู้สึกถึงความสูญเสียในกรณีนี้ก็หมายความว่าหากนิกายสวรรค์ปีศาจกำลังจะเป็นพันธมิตรกับนิกายอื่นๆ แม้กระทั่ง หนึ่งนิกายล่มสลายมันจะยังคงเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับพวกเขา)


 


“ฮี่ฮี่ โอหยางเหว่ยเทียน จะมีวันหนึ่งที่ข้าจะได้กำจัดนิกายวารีครามของเจ้า” หลี่เซี่ยเทียนหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวอย่างสงบ “ข้าจะถอนใบประกาศจับ แต่ข้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของหลี่ฟู่เฉินได้ หลังจากทั้งหมดแล้ว นี่คือแคว้นร้อยเทพยุทธ์มีสัตว์ประหลาดชั่วร้ายและผู้คนทุกชนิด อาจมีความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกคนอื่นสังหารหรือตายจากอุบัติเหตุ”


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าปล่อยให้ข้ารู้ว่ามันคือนิกายสวรรค์ปีศาจที่เจ้าเป็นผู้บงการ ไม่เช่นนั้นแล้ว ศิษย์หลักระดับทองของเจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากๆ แม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนย้ายไปไหนก็ตาม”


 


โอหยางเหว่ยเทียนเพิกเฉยต่อคำขู่จากอีกฝ่าย


 


หลังจากแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหมายจับของหลี่ฟู่เฉิน โอหยางเหว่นเทียนก็ออกจากแคว้นร้อยเทพยุทธ์ แต่เขาก็แอบส่งข้อความไปยังกลุ่มลับที่แฝงตัวอยู่กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นร้อยเทพยุทธ์แห่งนี้ ขอให้พวกเขาระวังข้อมูลที่เกี่ยวกับหลี่ฟู่เฉิน


 


***


 


เส้นทางดวงดาว ส่วนที่สี่ของเส้นทางดวงดาว


 


หลี่ฟู่เฉินเหงื่ชุ่มอและผิวดูซีดกว่าปกติ


 


‘ไม่ควรมีปัญหาใดๆ หากเร่งขึ้นอีกนิด’


 


หากหลี่ฟู่เฉินไม่ได้ทดสอบขีดจำกัดของศักยภาพของเขา เขาก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าขีดจำกัดของเขาอยู่ที่ไหน ซึ่งเขาประเมินมันต่ำไปมากแล้ว


 


เขาอาจจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แต่เขาก็ยังไม่ถึงขีดจำกัด มันเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่ออกกำลังกายอย่างหนัก และยังมีวิธีอีกค่อนข้างมากก่อนที่จะถึงขีดจำกัดที่แท้จริงของเขา

ท้ายที่สุดแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็สามารถมองเห็นว่าส่วนที่สี่ของเส้นทางดวงดาวนั้นเป็นอย่างไร


 


ปรับสภาวะพลังฉีของตัวเองเล็กน้อย หลี่ฟู่เฉินก็ก้าวเข้าสู่เกาะโดดเดี่ยวซึ่งเป็นด่านที่สี่


 


ก่อนที่หลี่ฟู่เฉินจะเข้าสู่ขั้นส่วนที่สี่ ฮั่นเฟิงก็หายตัวออกจากเส้นทางดวงดาวไปแล้ว


 


เขาไม่สามารถต้านกระบี่พิพากในด่านที่สามได้ สาเหตุหลักก็คือเนื่องจากข้อบกพร่องในหัวใจของเขา หากไม่มีข้อบกพร่องในใจ เขาก็คงมีโอกาส 70% ที่จะต่อต้านกระบี่พิพากได้

หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ฮันเฟิงหายตัวไป เซี่ยฮัวชี่ก็หายตัวไปจากเส้นทางดวงดาวด้วยเช่นกัน


 


เขาผ่านไปได้ประมาณครึ่งทางของส่วนที่สี่ในเส้นทางดวงดาว


 


จากประวัติของเส้นทางดวงดาว ผู้ที่สามารถเข้าสู่ส่วนที่สี่ด้วยความพยายามในครั้งแรกของพวกเขา เป็นปกติที่จะสามารถทิ้งชื่อไว้ในกลุ่มแรกที่อนุสาวรีย์แห่งชื่อในด่านที่สามได้ แต่เซี่ยฮัวชี่อยู่แค่ในกลุ่มที่สองเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงยังรู้สึกไม่เพียงพออยู่เล็กน้อย


บทที่ 233


อันดับที่ 1


 


นี่ด่านที่สี่คือเต๋าแห่งการรับรู้


 


ด่านแรกคือสายฟ้าคำราม ด่านที่สองคือดวงตาแห่งหมอก และด่านที่สามคือดาบพิพาก ซึ่งนี่เป็นการทดสอบเจตจำนงของทุกคน ตราบใดที่มีจิตใจที่แข็งแกร่ง พวกเขาก็สามารถต้านทานมันได้


 


แต่ด่านที่สี่นั้นแตกต่างกัน มันทดสอบการรับรู้ของใครคนหนึ่ง


 


หากการรับรู้ของคนหนึ่งไม่ตรงตามเป้าหมาย จิตวิญญาณแข็งแกร่งอย่างไรก็ไม่สำคัญ


 


แน่นอน ผู้ที่มีวิญญาณอันแข็งแกร่งจะโดยทั่วไปจะมีการรับรู้ที่ดีเช่นกัน


 


ทันใดนั้น หลี่ฟู่เฉินก็ก้าวเข้าสู่เกาะโดดเดี่ยว เส้นสายปรากฏขึ้นในอากาศ บางเส้นตรงในขณะที่บางเส้นโค้งงอ บ้างเส้นก็คมในขณะที่บางเส้นก็ทื่อ บางเส้นก็ดูเผด็จการในขณะที่บางเส้นก็ดูดอ่อนโยน บางเส้นก็ร้อนสุดในขณะที่บางเส้นก็เย็นเยียบ ทุกเส้นรู้สึกราวกับว่าพวกมันมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเองและไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นบางอย่างที่ดูง่ายๆ


 


ในด่านนี้ ผู้ทดสอบจะต้องรวมเส้นเหล่านี้บางส่วนและสร้างเทคนิคการต่อสู้ขึ้น เทคนิคต่อสู้นี้จะต้องเทียบเท่ากับเทคนิคการต่อสู้ระดับลึกลับขั้นต่ำ


 


ซึ่งหมายความว่า หลี่ฟูเฉินต้องสร้างเทคนิคต่อสู้ระดับลึกลับขั้นต่ำของเขาเอง ถึงจะผ่านด่านนี้ไปได้


 


ในโลกภายนอก ผู้ที่สามารถพัฒนาทักษะต่อสู้ระดับลึกลับได้ เรียกอีกอย่างว่าปรมาจารย์เต๋าต่อสู้


 


แน่นอน ด้วยความช่วยเหลือจากเส้นเหล่านี้ ความยากก็จะลดลงสองถึงสามเท่า มิฉะนั้นแล้ว ด้วยการรับรู้ของหลี่ฟู่เฉิน เขาก็คงไม่กล้าพูดว่าเขาสามารถสร้างทักษะดาบระดับลึกลับขั้นต่ำขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะสามารถสร้างได้ มันก็คงจะใช้เวลาเป็นจำนวนมาก


 


“น่าสนใจ ให้ข้าลองดู!”


 


หลี่ฟูเฉินยื่นมือออกมาและเริ่มโบกไปหาเส้นในอากาศ พยายามรวมมันเข้าด้วยกัน


 


15 นาทีผ่านไปและมีเส้นที่กำลังผสานกันอยู่จำนวนมากอยู่ด้านหน้าของหลี่ฟู่เฉิน เมื่อเส้นสายรวมกัน มันก่อตัวเป็นรูปดาบ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นทักษะดาบ


 


“ไม่ดี ระดับต่ำเกินไป” หลี่ฟู่เฉินสลายเส้นนั้นทิ้ง


 


 


ทักษะดาบนี้ก็แค่อยู่ในระดับสีเหลืองขั้นสูงสุดเท่านั้นและยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด


 


อีก 15 นาทีผ่านไปและหลี่ฟู่เฉินก็แยกมันอีกครั้ง


 


มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคิดค้นทักษะดาบระดับลึกลับขั้นต่ำด้วยตนเองโดยใช้เส้นเหล่านี้เป็นพื้นฐาน


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ทักษะต่อสู้ระดับลึกลับก็มีเจตจำนงทักษะเต๋า เจตจำนงทักษะเต๋าดำรงอยู่ภายใต้สวรรค์และเป็นสิ่งที่ลึกลับอย่างยิ่ง


 


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป


 


สองชั่วโมง…


 


ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อหลี่ฟู่เฉินเริ่มรวมเส้นเข้าหากัน มันก็เริ่มที่จะปลดปล่อยเจตจำนงที่รุนแรงออกมา


 


เจตจำนงที่รุนแรงไหลไปตามความประสงค์ของสวรรค์และได้รับการสนับสนุนโดยพลังงานที่ไร้รูปแบบ


 


ตึงl! ตึง! ตึง!


 


มีลมรุนแรงพัดผ่านออกมาเหลือขณานับ ดาบประดิษฐ์ก่อตัวขึ้นเมื่อรวมเส้นสายแต่ละอย่างเข้ากันอาย่างสมบูรณ์แบบและดาบนี้ก็หมุนวนอยู่ในสายลมที่รุนแรง เจตจำนงแห่งดาบที่รุนแรงได้เผยให้เห็นถึงความสามารถที่ยอดเยี่ยมออกมา


“ทักษะดาบระดับลึกลับขั้นต่ำ ก่อตัวขึ้น?” มีแสงส่องประกายเข้าตาของหลี่ฟู่เฉิน


 


การคิดค้นทักษะดาบระดับลึกลับขึ้นต่ำด้วยตนเองนั้นยากกว่าที่เขาคิดไว้มาก โชคดีที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากเส้นเหล่านี้และใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงในการทำให้มันเสร็จสมบูรณ์


 


“ข้าจะตั้งชื่อมันว่าทักษะดาบวายุโหมกระหน่ำ!”


(หมายเหตุ TL: ฉันจะใช้ Sword Art(ทักษะดาบ) แทน Sword Style(วิชาดาบ) ตั้งแต่ตอนนี้มันจะได้คล้ายกับทักษะต่อสู้อื่นๆ ฉันรู้สึกว่ามันจะได้แปลลื่นไหลมากกว่านี้)


 


ทักษะดาบวายุโหมกระหน่ำมีเจตจำนงวายุโหมกระหน่ำ ทักษดาบนี้จะใช้ความเร็วและความรุนแรงเป็นหลัก ซึ่งทำให้มันเชี่ยวชาญในการโจมตีต้องใช้ความรวดเร็ว


 


ครืน!


 


ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินสร้างทักษะดาบระดับลึกลับขั้นต่ำเป็นของตัวเองได้ ทักษะดาบวายุโหมกระหน่ำ เส้นในอากาศได้หายไปและอนุสาวรีย์แห่งชื่อก็ปรากฏขึ้นบนเกาะที่โดดเดี่ยว


 


“อนุสาวรีย์แห่งชื่อปรากฏขึ้น?”


 


กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว หลี่ฟู่เฉินเพียงเหลือบแวบเดียวก็สังเกตเห็นได้ว่าอนุสาวรีย์แห่งชื่อนี้ไม่เครื่องหมายแยกเป็นกลุ่มอีกต่อไป มันถูกระบุเป็นตารางจัดอันดับแทน


 


หากไม่รวมเครื่องหมายที่สีจางไปแล้ว มันก็มีเครื่องหมายไม่กี่สิบเครื่องหมายเท่านั้นที่ยังคงสว่างอยู่


 


ซึ่งหมายความว่าในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก มีคนเพียงไม่กี่โหลที่รอดจากการสร้างทักษะต่อสู้ในด่านที่สี่นี้ไปได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งแรกของพวกเขาสำหรับเส้นทางดวงดาวที่นี้


 


“เครื่องหมายที่อยู่ที่นี่เหล่านี้แต่ละอันจะต้องเป็นของเหล่าปรมาจารย์เก่าแก่หรือไม่ก็เป็นของเหล่ายออดอัจฉริยะ น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน ข้าจึงไม่คุ้นเคยกับสภาวะพลังฉีของพวกเขาแต่อย่างใด ดังนั้นข้าเลยไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ว่าเครื่องหมายใดเป็นของใคร”


 


ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกเต็มไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์


 


ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดนั้นเป็นอัจฉริยะในช่วงวัยหนุ่มสาวของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตามผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สามารถทิ้งร่องรอยไว้ในอนุสาวรีย์แห่งชื่อในด่านที่สี่แห่งนี้ได้ ยอมเป็นยอดอัจฉริยะในสมัยตอนที่พวกเขายังเด็ก

หากพวกมันไม่ได้มีโครงกระดูกระดับ 6 ดาว พวกเขาก็คงจะเป็นกระดูก 5 ดาวระดับท้าทายสวรรค์


 


เช่นเดียวกับเจ้านิกายวารีคราม โอหยางเหว่ยเทียน เขาเป็นอัจฉริยะที่อยู่ในประเภทเดียวกันกับดาบคลั่งและดาบพยัคฆ์ แต่มันก็น่าเสียดายที่เขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทิ้งเครื่องหมายไว้ที่อนุสาวรีย์แห่งชื่อในด่านที่สี่ได้


 


หลี่ฟู่เฉินนับถือเจ้านิกายนภาดารา ผู้นำตระกูลต้วนหลินในปัจจุบัน และปรมจารย์หุบเขานิรันดร์ ผู้คนเหล่านี้อยู่ในจุดสุดยอดของกองกำลังที่มีอิทธิพล พวกเขาสมควรทิ้งเครื่องหมายไว้บนอนุสาวรีย์แห่งนี้ได้


 


จากข้อมูลของหลี่ฟู่เฉิน คนเหล่านี้เป็นโครงกระดูก 6 ดาวหรือไม่ก็เป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวระดับท้าทายสวรรค์


 


“เครื่องหมายที่อ่อนจางเหล่านั้นไม่มีการจัดอันดับ เฉพาะอันที่ยังคงสดใสอยู่เท่านั้นถึงมีการจัดอันดับ ข้าสงสัยว่าอันดับของข้าจะอยู่ในอันดับใด”


 


ถือแปรงไว้ในมือ หลี่ฟู่เฉินเริ่มเขียนเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของเขาลงไปในอากาศ


 


เมื่อทำเครื่องหมาย ‘ดาบ’ แล้ว มันก็บินไปยังอนุสาวรีย์แห่งชื่อ


 


อันดับที่สาม อันดับที่สอง…


 


เมื่อเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินถูกสร้างขึ้นแล้ว มันก็บินตรงไปยังอันดับสามและเริ่มปีนไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ


 


 


อันดับหนึ่ง… เหนือกว่าอันดับหนึ่ง


 


เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินนั้นเผด็จการเป็นอย่างมาก มันผลักเครื่องหมายอันดับแรกออกไปและทับลงตำแหน่งอันดับแรกด้วยตัวมันเอง


 


เครื่องหมายอันดับแรกแรกไม่ต้องการให้ผลเป็นไปตามนี้มันรีบไปที่เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ในขณะที่เต็มไปด้วยเจตจำนงและคลื่นอันลึกลับ ทำตัวเหมือนมีวิญญาณ มันไปห่อหุ้มที่เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉิน


 


เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินไม่รออยู่เฉยๆ ในขณะที่มันเริ่มถูกโจมตี มันระเบิดออกเจตจำนงอละคลื่นลึกลับออกมา ในขณะที่โจมตีกลับไป


 


หลี่ฟูเฉินยืนอยู่เคียงข้างและสังเกตในขณะที่เขาพบว่ามันน่าสนใจ


 


หลังจากการโจมตีหลายครั้ง อันดับแรกก็ไม่สามารถรักษาความกล้าหาญต่อไปได้ เช่นนั้นแล้วเครื่องหมายอันดับแรกก็ถอนตัวออกไปที่อันดับสองอย่างเชื่อฟัง มันไม่ต้องการท้าทายเครื่องหมาย ‘ดาบ’ อีกต่อไป


 


ด้วยเหตุนี้เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินจึงสร้างเครื่องหมายที่อนุสาวรีย์แห่งชื่อได้สำเร็จ


 


อนุสาวรีย์แห่งชื่อเรืองแสงออกมา เสาแสงไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและทะลุท้องฟ้าสว่างจ้าแจ่มจรัส


 


ไม่มีใครรู้ว่าเสาแสงนี้สูงแค่ไหน


 


ความสูงเกินตรรกะและดูเหมือนจะสามารถจับคู่ขนาดกับเส้นทางดวงดาวทั้งหมดได้


 


ครื้น!!!!!!


 


ในท้องฟ้าที่เจิดจ้า ฟ้าผ่าสีทองจำนวนนับกระจายตัวออกไป


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินทิ้งเครื่องหมายไว้ที่อนุสาวรีย์แห่งชื่อในด่านที่สาม ฟ้าผ่าสีทองถึงกระจายกว้างไปไกลกว่าถึงหลายร้อยถึงหลายพันกิโลเมตร แต่ตอนนี้ ฟ้าผ่าสีทองเหล่านี้มีระยะทางนับพันถึงหลายหมื่นกิโลเมตร มีบางอันที่ไปถึงแสนกิโลเมตร


 


เมื่อสายฟ้าสีทองกวาดผ่านเส้นทางดวงดาว แม้แต่กระทั้งหลี่ฟู่เฉินก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย


 


‘ฟ้าผ่าเหล่านี้ขยายไปได้ไกลถึงเช่นนั้น หากมันเป็นเรื่องจริง สายฟ้าเพียงลูกเดียวก็สามารถทำลายทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมดได้แล้วใช่หรือไม่?’


 


ฟ้าผ่าสีทองที่มีความยาวสูงสุดหมื่นกิโลเมตรนั้นก็เพียงพอที่จะทำลายทวีปได้แล้ว หากแสงสว่างที่ไปถึงหลายร้อยหลายพันกิโลเมตรเป็นเรื่องจริง ใครเล่าจะหยุดพวกมันได้บ้าง? ฟ้าผ่าสีทองเหล่านี้อยู่ได้ไม่นานนัก พวกมันมีรัศมีกว้างขวางและพลังที่บรรจุอยู่นั้นก็ไม่อาจหยั่งถึงได้


 


บูม!


 


มีระลอกคลื่นอันเงียบสงบแผ่ออกมา เนื่องจากครึ่งหนึ่งของดาวฤกษ์ในระยะไกลถูกทำลายโดยสายฟ้าผ่า หลี่ฟูเฉินพูดไม่ออกเป็นเวลานานเมื่อเขาเห็นภาพนี้


 


หลังจากผ่านด่านที่สี่ไปแล้ว มีพลังงานแปดส่วนที่มาจากเส้นทางดวงดาวพุ่งเข้าสู่ร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน


 


ตอนนี้ หลี่ฟู่เฉินมีพลังงานของเส้นทางดวงดาวอยู่ทั้งหมดสิบห้าส่วน


 


ด้วยพลังงานเส้นทางดวงดาวที่ไร้ขอบเขตเหล่านี้ มันทำให้หลี่ฟู่เฉินรู้สึกไม่สบายใจหากเขาไม่รีบตัดผ่านมัน


 


“ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าต้องเริ่มที่จะพัฒนาระดับพลังของข้าได้แล้ว”


 


หลี่ฟูเฉินนั่งไขว่ห้างและเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปสู่ระดับที่ 4 ของขอบเขตปฐพี


 


โคจรเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง สภาวะพลังฉีที่โดดเด่นก็ปะทุออกมาจากร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน


 


บูม!


 


ก่อนจะถึง 15 นาที หลี่ฟู่เฉินก็ตัดผ่านผ่านจากระดับ 3 ไปยังระดับที่ 4 ของขอบเขตปฐพีได้สำเร็จ


 


นอกจากนี้ มันไม่มีทั้งอาการขาดพลังฉีหรือความรู้สึกไม่มั่นคง มันรู้สึกดียิ่งกว่าเมื่อเขาตอนนี้เขาตัดผ่านสู่ขอบเขตปฐพีด้วยผลตัดปฐพีเสียอีก มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาได้ตัดผ่านเข้ามายังระดับ 4 ของขอบเขตปฐพีมาเป็นเวลานานมากแล้ว


 


ในขณะเดียวกัน พลังงานเส้นทางดวงดางสามส่วนก็ไหลออกไปจากร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน


 


“ข้าควรจะก้าวไปสู่ระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพี”


 


หลี่ฟูเฉินยังคงทำการตัดผ่านอย่างต่อเนื่อง เขาหยิบยาปริมาณมากเข้าไปในปากของเขา


บทที่ 234


ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์


 


หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่ฟู่เฉินประสบความสำเร็จในการตัดผ่านไปสู่ระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพี


 


ในเวลาเดียวกัน พลังงานเส้นทางดวงดาวกว่าเก้าส่วนก็ถูกใช้หมดแล้ว เหลือเพียงแค่สามส่วน


 


‘การตัดผ่านขึ้นหนึ่งระดับต้องใช้พลังงานถึงสามส่วน และการตัดผ่านสองระดับนั้นรวมทั้งหมดใช้ไปสิบสองส่วน หากข้าจะฝ่าด่านขึ้นไปสามระดับ ข้าเดาว่ามันคงต้องใช้ทั้งหมดสามสิบหกส่วน’


 


จากสถานการณ์ที่เขาบุกทะลวงขึ้ไปสู่ระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพี หลี่ฟู่เฉินคำนวณว่าการเพิ่มระดับทุกครั้งจะต้องเพิ่มปริมาณพลังงานเส้นทางดวงดาวสามเท่า ซึ่งหมายความว่าปริมาณพลังงานเส้นทางดวงดาวที่ต้องการก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่เกินจริงอย่างมาก ดูเหมือนว่าพลังงานเส้นทางดวงดาวนี้จะค่อยๆ ถูกร่างกายมนุษย์พัฒนาความต้านทานได้


 


‘หากข้าผ่านด่านที่ห้าได้ ข้าจะได้รับพลังงานเส้นทางดวงดาวอีก 16 ส่วน แม้มันอาจไม่สามารถช่วยข้าในการตัดผ่านระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพีไปได้ แต่ความต้องการมันก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าข้าจะต้องการทำเช่นนั้น’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเองขณะที่ยืนขึ้น


 


‘แต่ ข้าเกรงว่าตัวเองคงจะไปถึงด่านที่ห้าได้ยาก หากไปตามลำพังอย่างที่ผ่านๆ มา’


 


ดูส่วนที่ห้าของเส้นทางดวงดาว หลี่ฟู่เฉินมีความไม่แน่นอนอยู่ในใจของเขา


 


ในส่วนหลังของส่วนที่สี่ หลี่ฟูเฉินก็รู้สึกถึงความตึงเครียดแล้ว ส่วนหน้าของส่วนที่ห้านี้จะต้องมีแรงกดดันจากสนามพลังฉีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับส่วนหลังของส่วนที่สี่


 


“ไม่ว่าอะไรก็ตาม ข้าก็ต้องลองดู หากข้าไม่ลอง ข้าก็จะไม่มีวันรู้ว่าขีดจำกัดของข้าเป็นอย่างไรและเกินขีดจำกัดจะทำได้อย่างไร”


 


สูดหายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟูเฉินก้าวเท้าข้างแรกด้วยเท้าขวาของเขา และก้าวเข้าสู่ส่วนที่ห้าของเส้นทางดวงดาวอย่างเด็ดขาด


 


แคร็ก!


 


แรงกดดันที่น่าหวาดกลัวโถมทับลงมา ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่าวิญญาณของเขากำลังถูกบิดเบือน


 


หากส่วนหลังของส่วนที่สี่เป็นพายุ เช่นนั้นส่วนแรกของส่วนที่ห้าก็คือพายุเฮอริเคน พายุเฮอริเคนระดับภัยพิบัติ


 


ยืนอยู่ในพายุเฮอริเคนนี้ หลี่ฟู่เฉินก้าวเท้าหนักๆ เดินตรงต่อไป


 


ในขณะนี้ เขาไม่สามารถวิ่งได้อีกแล้ว


 


***


 


เมืองฝนใบไม้… ลานบ้านของหลี่ฟู่เฉิน


 


“แปลก หลี่ฟู่เฉินอยู่ที่ไหน?”


 


ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูมองไปรอบๆ และพยายามหาร่างของหลี่ฟู่เฉิน แต่ก็จบลงด้วยการเสียเวลาเปล่า


 


ฟานเฉียนหยูกล่าว “พี่ ต้องมีบางสิ่งต้องเกิดขึ้นกับหลี่ฟู่เฉินเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่จากไปโดยที่ที่ไม่บอกเรา”


 


ฟานเฉียนสงพยักหน้า “น่าเสียดาย งานเลี้ยงน้ำชาที่จัดขึ้นในเมืองฝนใบไม้ทุกๆ 2 ปีกำลังถูกจัดขึ้น ปีนี้เจ้าภาพที่จัดงานน้ำชาในเมืองฝนใบไม้เป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายเฟื่องฟู ฉินเค่อชือ เมื่อมีเธอศิษย์หลักระดับเธอจากนิกายต่างๆ ก็คงจะมาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้อย่างแน่นอน”


 


ในบริเวณใกล้เคียงของเมืองฝนใบไม้ ก็เป็นภูเขาฝนใบไม้


 


ภูเขาฝนใบไม้ ฝนใบไม้เกิดได้เนื่องจากใบไม้มันร่วงหลนลงมาตลอดปี เป็นมาตั้งแต่เวลาไหนก็ไม่อาจทราบ ศิษย์หลักระดับทองจากนิกายต่างๆ จึงมาจัดงานเลี้ยงน้ำชาที่เมืองฝนใบไม้แห่งนี้ ซึ่งมันก็ถูกนำมาจัดเพื่องานนี้ตั้งแต่นั้นมา งานเลี้ยงน้ำชาทุกงานมีเจ้าภาพเป็นผู้คนต่างๆ และเจ้าภาพของปีนี้ก็คือศิษย์หลักระดับทองของนิกายเฟื้องฟู ฉินเค่อชือ


 


นิกายเฟื้องฟูเป็นที่รู้จักกันในการผลิตสาวงามคนแล้วคนเล่า และฉินเค่อชือถือเป็นสาวงามที่หาได้ยาก แม้แต่กระทั้งในนิกายเฟื้องฟูเองก็ตาม


 


หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายใดๆ งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ในครั้งนี้ก็คงเป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่มีชีวิตชีวาที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ผ่านมา ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูต้องการที่จะเข้าร่วมในความตื่นเต้นที่ดูคึกคักเช่นนี้เหมือนกัน

ฟานเฉียนหยูเสนอ “พี่ พวกเราสามารถทิ้งจดหมายไว้ได้ หากหลี่ฟู่เฉินกลับมาอ่านข้อความในภายหลัง เขาก็คงจะมาพบเราที่ เขาฝนใบไม้”


 


ดวงตาของฟานเฉียนสงสว่างขึ้น “ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ? เจ้าแท้จริงแล้วช่างฉลาดจริงๆ”


 


ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ฟานเฉียนสงทิ้งจดหมายไว้ในห้องนอนของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งสองคนก็ออกจากเมืองฝนใบไม้ไปยังที่เขาฝนใบไม้


 


ระหว่างทาง พวกเขาทั้งสองคนเห็นร่างมากมายพุ่งไปทางภูเขา ทิศทางของเขาฝนใบไม้


 


“นั้นดูเหมือน หรันเฉียนฉิว จากนิกายพัตรเงินเลย”ดวงตาของเขาร่อนลงบนร่างหนึ่ง นันย์ตาของฟานเฉียนสงหรี่แคบลง


 


หรันเฉียนฉิวเป็นศิษย์หลักระดับทองที่มีชื่อเสียงของนิกายพัตรเงิน การฝึกฝนของเขาอยู่ที่ระดับ 7 ของขอบเขตปฐพีและมีความสามารถพิเศษ ที่ยอดเยี่ยมกว่าฟูจงชานหลายเท่า


 


ที่สำคัญที่สุดคือ หรันเฉียนฉิวเป็นดารารุนเยาว์ที่ติดอันดับ 98 ในการจัดอันดับดารา


 


การจัดอันดับดาราเป็นรายการการจัดอันดับอัจฉริยะที่ครอบคลุมทั่วทั้งทวีปยูนิคอร์นตะวันออก


 


การจัดอันดับดาราจะถูกจัดขึ้นทุกๆ สามปี ซึ่งชนชั้นอัจฉริยะทั้งหมดของนิกายทั้งหมดจะต้องเข้าร่วม


 


มีการจัดอันดับดาราทั้งหมด 108 คน ผู้ที่สามารถถูกจัดอันดับในการจัดอันดับดาราทั้งหมด ถือเป็นดารารุ่นเยาว์


 


ตำแหน่งสุดท้ายของการจัดอันดับดาราถูกจัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหมายความว่าปีหน้าจะเป็นตำแหน่งการจัดอันดับดาราครั้งต่อไป


 


“การจัดอันดับดาราไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจากทุกนิกายสามารถรับได้ นิกายไรกังวลของเราไม่มีดารารุ่นเยาว์แม้แต่คนเดียวในการจัดอันดับดารา” ฟานเฉียนหยูขมวดคิ้ว


 


มีเกือบ 100 นิกายในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก ซึ่งหมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ทุกนิกายควรมีลูกศิษย์คนนึงที่ถูกจัดอันดับดารา


 


แต่โดยทั่วไปแล้วกองกำลังที่มีอิทธิพลอันดับหนึ่งจะมีศิษย์หลายคนในการจัดอันดับดารา และเพราะเช่นนี้เอง อัจฉริยะชั้นยอดจากนิกายปกติจึงแทบจะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในอันดับได้เลย


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพราะอายุของพวกเขา


 


อัจฉริยะที่น่าทึ่งของนิกายบางคนยังเด็กมากและไม่สามารถเข้าอันดับได้ชั่วคราว แต่สิ่งต่างๆ จะแตกต่างกันหลังจากนี้สามปี


 


***


 


งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้กำลังจะเริ่มขึ้น แต่หลี่ฟู่เฉินยังคงดื้นรนอยู่ในเขตแดนเส้นทางดวงดาว


 


สนามพลังฉีของส่วนที่ห้ามีความรุนแรงและน่าสะอิดสะเอียนเกินไป หลี่ฟูเฉินอยู่ครึ่งทางและรู้สึกว่าร่างกายของเขาอ่อนแอลงไปมาก ก่อนที่วิญญาณของเขาจะเริ่มอ่อนแอลงเช่นกัน


 


“ถึงแม้จะมีเครื่องรางทองคำ ข้าก็ไม่สามารถไปถึงด่านที่ห้าได้ นี่มันน่าอัปยศเกินไปแล้ว” หลี่ฟูเฉินไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้


 


เขาไม่อยากให้เครื่องรางทองคำผิดหวัง


 


ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เครื่องรางทองคำก็เลือกเขา


 


สำหรับหลี่ฟู่เฉินมันเป็นการพบเจอที่เปลี่ยนชะตากรรมของเขาได้


 


เขาต้องแสดงคุณค่าของตัวเองเพื่อแสดงให้เครื่องรางทองคำเห็นว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง สำหรับการเลือกเขา


 


กัดฟัน หลี่ฟู่เฉินยังคงเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่น


 


60% ของเส้นทาง 70% …


 


หลี่ฟู่เฉินรู้สึกได้ถึงการต่อสู้ดื้นรนของเนื้อทุกกระเบียดนิ้วและกระดูกซี่ท่อน


 


80% 90%…


 


หลี่ฟูเฉินรู้สึกเหนื่อยมากและเขาอยากจะล้มตัวลง แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้


 


โดยที่หลี่ฟู่เฉินไม่ทันรู้ตัว ขณะที่เขากำลังเดินไปตามเส้นทางสายนี้ วิญญาณของเขาก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


 


ไม่งั้นแล้วเขาก็คงไม่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้


 


วิญญาณจะแตกต่างจากจิตสำนึก มันเป็นแหล่งที่มาของความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะอยู่รอดของบุคคลนั้นๆ


 


สติสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งโดยใช้วิธีการอื่น แต่วิญญาณจะต้องพึ่งตนเองเท่านั้น


 


ยกตัวอย่างเช่นคนปกติที่ใช้วิธีการต่างๆ ในการควบคุมอารมณ์และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตนเอง แต่ความแข็งแกร่งของวิญญาณของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการฝึกฝน พวกเขาต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่นเป็นพิเศษ


 


จิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งจะประกอบด้วยการได้รับมาและการเกิดจากธรรมชาติ


 


ผู้ที่มีโครงกระดูกระดับสูงกว่าโดยทั่วไปจะมีเจตจำนงที่แข็งแกร่งกว่า และจะไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอกอย่างโดยง่าย


 


จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินเป็นจิตวิญญาณที่ได้รับมา ปีที่เขาสูญเสียความสามารถของเขา ทำให้จิตวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งเสริมด้วยจิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้นซึ่งมาจากเครื่องรางทองคำ เช่นนั้นแล้วมันจึงค่อยๆ เปลี่ยนจิตวิญญาณโดยธรรมชาติของเขา


 


เนื่องจากการสูญเสียความสามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อเขา มันจึงทำให้เขามีความมุ่งมั่นเช่นนี้


 


ความมุ่งมั่นที่หมกมุ่นอยู่กับการเติบโตพร้อมกับความแข็งแกร่ง ความมุ่งมั่นที่ไม่ต้องการเสียเครื่องรางทองคำไป


 


ด้วยความมุ่งมั่นที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินจึงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาสามารถฝืนทนผ่านส่วนที่ห้าของเส้นทางดวงดาวได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินมาถึงด่านที่ห้าของเส้นทางดวงดาว มันเหมือนกับว่า เขาเพิ่งถูกดึงออกจากน้ำและก็เปียกแฉะ ร่างกายทั้งหมดของเขาดูราวกับว่ามันถูกลอกออกไป แต่สภาวะพลังฉีที่แหลมราวกับกระบี่และดาบเนิ่มวนอยู่รอบตัวของเขา


 


‘ข้าสงสัยว่ามีกี่คนที่สามารถทิ้งเครื่องหมายไว้ที่อนุสาวรีย์แห่งชื่อในด่านที่ห้าได้’ เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่สะอาดและแห้ง หลี่ฟูเฉินคิดกับตัวเอง


 


แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และเขาเป็นคนแรกที่มาถึงด่านที่ห้าของเส้นทางดวงดาวได้ในครั้งแรก


 


เขาเป็นคนเดียวเท่านั้น


 


ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่าไม่มีบรรพบุรุษหรือผู้สืบทอด


บทที่ 235


ความผิดปกติของเส้นทางดวงดาว


 


ด่านที่ห้าของเส้นทางดวงดาวเป็นทักษะเต๋าแห่งการแก้ปัญหา


 


ทักษะเต๋าแห่งการรับรู้คือการทดสอบการรับรู้ของใครคนนึง ในขณะที่ทักษะเต๋าแห่งการแก้ปัญหาทดสอบเทคนิคการต่อสู้ของใคคนนั้น


 


ฟึบ!


 


ร่างปรากกฏขึ้นจากความว่าเปล่า


 


เห็นได้ชัดว่าร่างนี้เป็นหลี่ฟูเฉินอีกคนนึงที่ถือดาบยาวใบในแบบเดียวกัน


 


ด้วยการขยับดาบยาว “หลี่ฟู่เฉิน” ก็เริ่มพุ่งเข้ามาโจมตีหลี่ฟู่เฉิน


 


เช้ง!


 


หลี่ฟูเฉินใช้ใบดาบเพื่อป้องกันการโจมตีนั้น


 


ขณะนี้เอง หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถโคจรพลังฉีได้ ซึ่งหมายความว่าเขาใช้ได้แค่กระบวนดาบเพื่อต่อต้านกระบวนดาบ การทดสอบเป็นการทดสอบเทคนิคต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบ


 


ชิ้ง ชิ้ง เช้ง เช้ง…


 


เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดซึ่งทั้งสองฝ่ายใช้เทคนิคการต่อสู้ทั้งหมด


 


พวกเขาอาจไม่สามารถใช้พลังฉีได้ แต่ในทางกลับกันการต่อสู้กลับดุเดือดรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากคิดกล่าวคำระหว่างนี้ ก็อาจจะถูกปิดฉากได้ทุกเมื่อ


 


“ตาย!”


 


ด้วยแสงดาบที่วาดผ่าน หลี่ฟู่เฉินเจาะลำคอของ ‘หลี่ฟู่เฉิน’ ที่อยู่ตรงข้าม


 


ด้วยจิตสำนึกที่พิเศษของเขา หลี่ฟู่เฉินใช้การเคลื่อนไหวสองถึงสามครั้งเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างกระจ่างชัด สำหรับเขาแล้วการทดสอบนี้ง่ายกว่าด่านที่สี่มาก


 


อนุสาวรีย์แห่งชื่อสำหรับด่านที่ห้าปรากฏขึ้น


 


“ไม่มีเครื่องหมายใดๆ เลยหรือ?” หลี่ฟู่เฉินแสดงออกอย่างประหลาดใจ


 


เขาคิดว่าจะมีซักสองคนหรือสามคนที่ผ่านด่านที่ห้าได้ไม่ใช่หรอ? เขาไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะเป็นเพียงคนเดียวจนถึงตอนนี้


 


หลี่ฟู่เฉินจะรู้ได้อย่างไรว่านักสู้ส่วนใหญ่ แค่มีความสามารถในการเดินมาได้ประมาณ 10% ถึง 20% ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว นับประสาอะไรกับด่านที่ห้า


 


หายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟู่เฉินเริ่มเขียนเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ขึ้นกลางอากาศ


 


เมื่อเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ถูกประทับลงบนอนุสาวรีย์แห่งชื่อ อนุสาวรีย์ก็สั่นสะเทือนรในทันทีลำแสงที่เปล่งประกายระยิบระยับพุ่งแทงทะลุขึ้นสู่สวรรค์ พุ่งทะลุท้องฟ้าอันแจ่มจรัส


 


บนท้องฟ้าเหนือเส้นทางดวงดาว ไฟฟ้าสีทองทรงกลมจำนวนมากปรากฏขึ้นจากที่ไหนก็ไม่อาจทราบ


 


ไฟฟ้าสีทองทรงกลมเหล่านี้เป็นเหมือนดวงดาวที่กำลังจะระเบิด และเริ่มปลดปล่อยหมอกสีทองจำนวนมากมายมาปกคลุมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หลี่ฟู่เฉินมองเห็นรูปร่างเรือนรางสีทอง


 


“เขตแดนเส้นทางดวงดาว ข้าค่อนข้างแน่ใจว่านี่ไม่ใช่แค่เขตแดนระดับสวรรค์ปกติ มันมีความลับบางอย่างแน่นอน” หลี่ฟูเฉินคิดอยู่ในใจ


 


ความหมายของเขตแดนเร้นลับย่อมหมายความว่ามันเป็นเขตแดนที่แปลกประหลาด แต่เขตแดนเส้นทางดวงดาว ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ว่าสำหรับหลี่ฟู่เฉิน บางทีมันอาจเป็นการดีกว่าที่จะอธิบายว่าสถานที่แห่งนี้ได้ก้าวผ่านคำว่าเขตแดนแปลกประหลาดไปแล้ว


 


รูปไฟฟ้าสีทองทรงกลมนั้นน่าทึ่งมาก ทุกคนบนเส้นทางดวงดาวเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว


 


ส่วนที่หกของเส้นทางดวงดาว… บุคคลผู้นี้ก็มองอยู่เช่นกัน บุคคลนี้เปล่งเสียงดังกังวานที่ดูน่าเกรงขามและน่าเกรงกลัวมากว่าเซี่ยฮัวชี่ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมาก


 


“มีความผิดปกติของเส้นทางดวงดาวทั้งสี่ ด่านแรกเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ด่านที่สองสามารถเห็นความผิดปกติได้ชัดเจน สำหรับความผิดปกติอีกสามครั้งที่เหลือ มันมาจากด่านที่สาม ด่านที่สี่และด่านที่ห้า มีใครซักคนผ่านด่านแรกได้จนถึงด่านที่ห้าด้วยความพยายามครั้งแรก?”


 


บุคคลกลายเป็นตกตะลึง


 


ในประวัติศาสตร์ของเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาว ไม่มีใครสามารถไปถึงด่านที่ห้าได้ด้วยความพยายามครั้งแรกของพวกเขา นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


 


แม้ว่าเขาจะสามารถไปถึงด่านที่สี่ได้ด้วยความพยายามครั้งแรกของเขา เขาสามารถเดินผ่านไปได้มากกว่าครึ่งของส่วนที่ห้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นับประสาอะไรกับการผ่านด่านที่ห้า


 


หลังจากพักสักครู่ หลี่ฟู่เฉินเดินไปยังส่วนที่หกของเส้นทางดวงดาว


 


สนามพลังฉีเส้นทางดวงดาวนี้มีความดันวิญญาณและแรงกดดันจากสภาวะพลังฉี


 


สภาวะพลังฉีเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะ


 


แต่นอกเหนือจากการเพิ่มระดับการฝึกฝน การคงอยู่ของสภาวะพลังฉีก็สามารถเพิ่มได้โดยการใช้เทคนิคลับ


 


ยกตัวอย่างเช่นเทคนิคลับมังกรเร้นลับของหลี่ฟู่เฉิน ซึ่งสามารถยกระดับสภาวะพลังฉีได้หนึ่งหรือสองระดับ


 


ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของส่วนที่สี่ในเส้นทางดวงดาว หลี่ฟู่เฉินได้เปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับแล้ว


 


เทคนิคลับมังกรเร้นลับอาจไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้หลี่ฟู่เฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย


 


เดินไปบนส่วนที่หกของเส้นทางดวงดาว กระดูกสันหลังของหลี่ฟู่เฉินโค้งงอจากแรงกดดัน


 


สนามพลังฉีที่นี่น่ากลัวเกินไป สภาวะพลังฉีที่เขามีช่างดูเล็กจ้อย เขาสามารถต้านทานได้ด้วยการใช้เจตจำนงของเขาได้มากที่สุด


 


“พวกเขาบอกว่าสนามพลังฉีทั้งหมดของเส้นทางดวงดาวจะเบาบางลงในการพยายามครั้งที่สอง ข้าสงสัยว่ามันจะจริงหรือไม่?”


 


ทุกๆ ก้าวเป็นการท้าทายสำหรับหลี่ฟู่เฉิน


 


หลังจากเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หลี่ฟู่เฉินก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว เขาล้มลงไปกับพื้น


 


เปี๊ย!


 


มีแสงสีน้ำเงินหลั่งไหลมาที่หลี่ฟู่เฉินและเคลื่อนย้ายเขาออกจากเขตแดนเส้นทางดวงดาว


 


***


 


เมืองฝนใบไม้… ลานบ้านของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินโผล่ออกมาจากแสงสีฟ้าที่กำลังเปล่งประกาย


 


ฮูว!


 


หลังจากถอนหายใจหลายครั้ง หลี่ฟู่เฉินเงยหน้าขึ้น เห็นท้องฟ้าและเมฆสีขาว นั้นจึ้งค่อยทำให้เขารู้สึกสบายใจ


 


“เขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวนั้นลำบากเกินไป โลกแห่งความเป็นจริงยังไงก๋สะดวกสบายที่สุด”


 


หลังจากปรับร่างกายของเขาชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลี่ฟู่เฉินก็ค่อยๆ ฟื้นตัว


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินกลับไปที่ห้องนอนของเขา เขาสังเกตเห็นจดหมาย


 


หลังจากเปิดและอ่านจดหมาย หลี่ฟู่เฉินพึมพำ “งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้?”


 


ตามสิ่งที่ฟานเฉียนสงเขียน งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้จะจัดขึ้นที่ภูเขาฝนใบไม้และวันที่จัดก็เป็นวันนี้ หากใครต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชา พวกเขาจะต้องเป็นศิษย์หลักระดับทองจากนิกายของตน ศิษย์หลักระดับเงินปกติไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วม แม้ว่าพวกเขาจะมาได้ แต่พวกเขาก็ยังคงจะต้องอับอายด้วยตนเอง


 


งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้จัดขึ้นก่อนการแข่งขันจัดอันดับดารา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพื่อขยายขอบเขตและเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดอันดับดารา


 


ปีนี้เจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้คือ ฉินเค่อชือ ศิษย์หลักระดับทองของนิกายเฟื้องฟู


 


‘ข้าควรไปหรือไม่?’ หลี่ฟู่เฉินเลิกคิ้วของเขาขึ้น


 


งานเลี้ยงน้ำชาใบไม้ร่วงนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงน้ำชาขนาดเล็ก มันเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์หลักระดับทองจากนิกายทั้งหมดจะมา มันค่อนข้างผิดปกติแล้ว หากพวกเขามากับถึงครึ่งหนึ่งจากที่ว่าไว้


 


“ลืมมันไปเถอะ ข้าจะเข้าร่วมมัน มันเป็นโอกาสอันดีที่ได้เป็นพยานเห็รศิษย์หลักระดับทองจากนิกายสำคัญต่างๆ”


 


หลังจากลังเลเล็กน้อย หลี่ฟูเฉินตัดสินใจเดินทาง


 


เนื่องจากเขาเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายวารีคราม มันจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องติดต่อกับอัจฉริยะในระดับเดียวกันกับเขา มันคงจะไม่ดีสำหรับเขาที่จะแยกตัวเองและไม่สนใจโลกภายนอก


 


หลังจากออกจากเมืองฝนใบไม้ไปแล้ว หลี่ฟู่เฉินรีบไปที่ภูเขาฝนใบไม้


 


***


 


ภูเขาฝนใบไม้เป็นสถานที่ที่มีฝนตกตลอดทั้งปี


 


ก่อนที่หลี่ฟู่เฉินจะเข้าใกล้ภูเขาฝนใบไม้ ละอองฝนก็ได้ร่วงลงมาก่อนแล้ว


 


เมื่อมาถึงที่เชิงเขา หลี่ฟูเฉินปีนขึ้นไปบนยอดเขาโดยเดินขึ้นบันไดสีขาว


 


ที่จุดสูงสุดของภูเขามันเต็มไปด้วยความคึกคัก


 


งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ครั้งนี้เป็นหนึ่งในงานเลี้ยงที่มีชีวิตชีวาที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 200 คน ในอดีตที่ผ่านมา จะมีผู้เข้าร่วมได้สูงสุด 100 คน มีหลายปีที่มีคนเข้าร่วมเพียงสิบคน


 


เปรียบเทียบกับจำนวนศิษย์หลักระดับทองในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก 200 ไม่ใช่จำนวนมาก แต่มันก็ไม่ได้เป็นจำนวนน้อยเช่นกัน โดยพื้นฐานแล้วตัวเลขที่โดดเด่นทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากเลขคนรวม แต่มาจากคนที่อยู่ที่นี่ยอดเขา ฝนใบไม้นั้นแบนมากและมีศาลาหลายหลังถูกสร้างขึ้น


ศาลาเหล่านี้กระจายออกไปในทุกทิศทาง ใณะที่ศูนย์กลางของยอดเขาคือเวทีศิลปะการต่อสู้ขนาดยักษ์แห่งนึง


 


เวทีศิลปะการต่อสู้ได้รับการเสริมให้แข็งแกร่งโดยค่ายกล มันดูเหมือนทองและหยก ในขณะที่มีร่องรอยของสวรรค์และพลังงานของโลก


 


“หลี่ฟู่เฉิน!”


 


ในศาลาแห่งหนึ่ง ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูเห็นหลี่ฟู่เฉิน และตะโกนอย่างรวดเร็ว


 


ข้างฟานเฉียนสงเป็นชายหนุ่มที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของฟานเฉียนสง และการแสดงออกของฟานเฉียนหยู นั้นจึงไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่มองตามกลับมา


 


ได้ยินเสียงของฟานเฉียนสง ร่างของหลี่ฟู่เฉินส่องประกายและแล่นเข้าไปในศาลา


 


“หลี่ฟู่เฉิน โชคดีที่เจ้ามาตรงเวลา มันคงน่าเสียดาย หากเจ้าพลาดงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้” ฟานเฉียนสงหัวเราะในขณะที่กล่าว


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ข้าออกไปทำธุระและเห็นจดหมายของเจ้า เมื่อตอนที่ข้ากลับมา”


 


ฟานเฉียนสงพยักหน้าและแนะนำ “หลี่ฟู่เฉิน นี่คือคนจากนิกายไร้กังวลของข้า หวงชิเซียง หวงหยูเซียง”


 


“หวงชิเซียง นี่ศิษย์หลักระดับทองจากนิกายวารีคราม หลี่ฟู่เฉิน”


บทที่ 236


งานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้


 


 


“เจ้าคือ หลี่ฟู่เฉิน?” ฮวงหยูเซียงแสดงออกอย่างประหลาดใจ


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “มีอะไรหรือ?”


 


ฮวงหยูเซียงอธิบาย “มีอยู่ช่วงนึงที่ข้าเห็นประกาศจับของเจ้าในเมืองที่ข้าเคยอยู่ ในช่วงนึงคนจากนิกายสวรรค์ปีศาจเดินพลานไปทั่ว”


 


“เป็นเรื่องจริง?”


 


เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูถึงกับตกใจ


 


การเป็นที่ต้องการของนิกายนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี


 


หลี่ฟู่เฉินขมวดคิ้วของเขา ถ้าหากเขาไม่ได้เข้าใจผิด ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะหลี่หวูเซี่ย


 


บางที่ผู้นำของนิกายสวรรค์ปีศาจอาจจะทำอะไรบางอย่างที่เป็นความลับกับหลี่หวูเซี่ย และเมื่อเขาตายลงไป เจ้านิกายก็รู้เรื่องนี้ นอกจากนี้แล้ว เขายังมีความขัดแย้งกับหลี่หวูเซี่ย ดังนั้นเขาจึงถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยโดยเจ้านิกาย


 


ไม่ว่าจะมีหลักฐานใดๆ หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญสำหรับเจ้านิกายสวรรค์ปีศาจอยู่ดี


 


ตราบใดที่หลี่ฟู่เฉินกระตุ้นความสงสัยใดๆ เขาก็สมควรถูกนำตัวกลับไปสอบปากคำ


 


ฮวงหยู่เซียงหัวเราและกล่าวต่อ “แต่นิกายสวรรค์ปีศาจก็ถอนหมายจับไปในท้ายที่สุด จากสิ่งที่ข้าเห็น มันมีข้อจำกัดในการออกใบประกาศจับ แต่เจ้าต้องระวัง ในศาลาตรงกันข้ามนี้เป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายสวรรค์ปีศาจทั้งสองคน หนึ่งในนั้นคือเสี่ยวไบ๋ ผู้ที่ได้รับการจัดอันดับ 101 ในการจัดอันดับดารา” ฮวงหยู่เซียงได้ชำเลืองมองไปยังศาลาตรงข้าม


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ฟู่เฉินก็มองไปด้วยเช่นกัน


 


แต่ทว่าในทันทีที่หลี่ฟู่เฉินมองไป ดวงตาคู่หนึ่งบังเอิญมองมาที่ฝั่งของเขาเช่นกัน


 


ในอากาศ ราวกับมีสายฟ้าที่เย็นชาปรากฏขึ้น


 


“บุคคลผู้นี่คือเสี่ยวไบ๋?”


 


ในวิสัยทัศน์ของหลี่ฟู่เฉิน ชายหนุ่มผู้ที่ยืนอยู่บนราวบันไดชั้นสองของศาลาตรงข้ามกับเขา จากรูปลักษณ์ของเขา เขาไม่ควรอายุเกิน 30 ปี บางทีอาจจะอายุประมาณ 25 ปี ซึ่งดูแล้วคล้ายคลึงกับดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง


 


ชายหนุ่มคนนั้นมีผมยาวพาดผ่านไหล่ ดวงตาแหลมคมราวกับใบมีด และการฝึกฝนของเขาก็ได้มาถึงระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพีแล้ว เขามีสภาวะพลังฉีที่น่ากลัวผิดปกติและหนาแน่นกว่าหลายเท่าเมื่อเทียบกับ ฟูจงชาน


 


เห็นได้ชัดว่าเขาจำหลี่ฟูเฉินได้


 


สายลับของนิกายสวรรค์ปีศาจได้ส่งข่าวลับมาให้เขาว่า เมื่อพบเจอหลี่ฟู่เฉิน ให้กำจัดหลี่ฟู่เฉินในทันที


 


“ระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพี ดูเหมือนว่ามีข้อผิดพลาดบางอย่างในรายงาน!” เสี่ยวไบ๋คิดอยู่ในใจของเขา


 


ข้อมูลของฝ่ายสายลับระบุไว้ว่าหลี่ฟู่เฉินอยู่ที่ระดับที่ 2 ของขอบเขตปฐพีเท่านั้น แต่ตอนนี้มันแตกต่างไปถึงสามระดับ


 


“เขาต้องไปที่เขตแดนของเส้นทางดวงดาวและต้องกินยาบางประเภทเข้าไปแน่นอน” ความคิดของเสี่ยวไบ๋แวบผ่านเข้ามาในใจ


 


ขอบปากของเขามีรอยยอ้มที่ดูเป็นอันตราย จากนั้นเสี่ยวไบ๋ก็ถอนสายตาของเขาออกมา


 


ตั้งแต่ที่เขาพบกับหลี่ฟูเฉินแล้ว เขาจะไม่อนุญาตให้เป้าหมายออกจากที่นี่ไปเป็นแน่ และตั้งแต่ที่โชว์กำลังจะเริ่มขึ้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน


 


“เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ” หลี่ฟู่เฉินขมวดคิ้ว


 


ถ้าเสี่ยวไบ๋อยู่อันดับ 101 การจัดอันดับดารา นั่นย่อมหมายความว่าความสามารถของเขานั้นเหนือกว่า ดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง และเหนือกว่าแม้แต่กระทั่งศิษย์อันดับ 1 ของนิกายวารีคราม ดาบคลั่ง ซึ่งเป็นอันดับที่ 105 ในการจัดอันดับดารา


 


แน่นอนว่า การจัดอันดับนี้ได้รับการตัดสินจากเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้ มันอาจไม่แม่นยำอีกต่อไป เจ้าอาจได้รับการจัดอันดับ 101 ในการแข่งขันจัดอันดับดาราล่าสุด แต่มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะได้อันดับ 101 ในการแข่งขันถัดไป มีโอกาสที่เจ้าจะเลื่อนอันดับขึ้น หรืออาจจะเลื่อนอันดับลง


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว จากการแข่งขันจัดอันดับดาราทุกครั้ง อัจฉริยะจำนวนมากจะก็เกิดขึ้นมา


 


งานเลี้ยงน้ำชาได้เริ่มขึ้นแล้วและเมื่อละอองฝนโปรยปราย ทุกคนก็เริ่มสนุกกับการดื่มน้ำชา


 


 


สำหรับระยะห่างของแต่ละศาลา ไม่อาจถือได้ว่าเป็นระยะห่างสำหรับทุกคนที่นี่


 


พวกเขาต้องปลดปล่อยพลังฉีเพื่อฟังการสนทนาของทุกคน


 


หากพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขาสามารถใช้พลังฉีเพื่อส่งเสียงของพวกเขาได้


 


“หยางเทียนหยู หนึ่งเดือนที่แล้ว เจ้าได้ทำให้ชิตี๋จากนิกายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะไม่ถูกเอาเรื่อง? ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


มีร่างที่เดินออกมาจากศาลา และร่อนลงไปบนเวทีศิลปะการต่อสู้ ในขณะที่เขากำลังชี้อย่างโกรธเคืองไปที่ศาลาอีกฝั่ง


 


“เจิ้งยี่ เจ้าคงกินดีเสือเข้าไป ถึงได้กล้ามาท้าทายข้าเช่นนี้”


 


ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อหยางเทียนหยูไม่ได้ดูมีความสุข ในขณะที่เขากระโดดเข้าสู่เวทีศิลปะการต่อสู้


 


“เจ้าพูดเก่งเสียจริง รับหมัดวายุศักดิ์ของข้า!”


 


“ใครกลัวเจ้ากัน!”


 


มีร่างสองร่างที่อยู่ตรงกันข้ามบนเวทีศิลปะการต่อสู้ ขณะที่ทั้งคู่นั้นระเบิดะพลังฉีของตนเองออกมา


 


จะมีความขุ่นเคืองระหว่างนิกายและอาจมีความเศร้าโศกเสียใจด้วยเช่นกัน เมื่อศิษย์ของนิกายทั้งสองเผชิญหน้ากัน พวกเขาสองคนก็จะต่อสู่ตัดสินเป็นตาย และมันก็ชัดเจนแล้ว บุคคลทั้งสองคนนี้ที่ยืนอยู่บนเวทีศิลปะการต่อสู้มีความขุ่นเคืองต่อกัน


 


หลังจากการแลกเปลี่ยนกันไปหลายสิบกระบวนท่า ชายหนุ่มที่ชื่อหยางเทียนหยูนั้นยอดเยี่ยมกว่าเล็กน้อย เขาใช้การเคลื่อนไหว เพื่อทำลายการป้องกันของคู่ต่อสู้และกำลังจะลงมือสังหาร


 


“จะไม่มีการสังหารกันในงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ โปรดไว้หน้าข้าและหยุดกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้หรือไม่?”


 


ในขณะนี้เอง ร่างที่สง่างามและเปล่งประกายขึ้นไปบนเวทีแล้วกล่าว


 


“ตาย!” หยางเทียนหยูแสดงออกอย่างไร้ความปราณีและไม่มีความตั้งใจที่จะหยุด


 


คนที่มีรูปร่างที่สง่างามนางนั้นเป็นหญิงสาวงดงามราวกับภาพวาด เธอขมวดคิ้วและแกว่งมือของเธอ ดอกไม้สดเบ่งบานในอากาศ ขัดขวางหยานเทียนหยู


 


“ฮึ่ม เจิ้งยี่ ข้าจะปล่อยเจ้าไปเพราะฉินเคอชือ หากในอนาคตข้ายังเจอเจ้าอีก ข้าจะสังหารเจ้าทิ้งเสีย” หยางเทียนหยูส่งเสียงอึกอักและมุ่งหน้ากลับไปยังศาลา


 


ฉินเคอชือเป็นบุคคลสำคัญในการจัดอันดับดาราและหากเธอต้องการลงมือ เขาก็คงจะไม่มีโอกาส


 


“เวรเอ้ย”


 


สีหน้าของเจิ้งยี่กลายเป็นซีดเผือก เขาเป็นคนที่ริเริ่มการต่อสู้กับหยางเทียนหยู แต่เขาก็เป็นคนที่พ่ายแพ้ ซึ่งทำให้เขาขายหน้า


 


“ฉินเค่อชือ ทักษะของเจิ้งเหมานั้นช่างไร้ความสามารถ ข้าต้องขอลาแล้ว”


(หมายเหตุ TL: ‘เหมา’ ที่นี่เป็นวิธีที่ผู้คนใช้เพื่อพูดกับตัวเองอย่างถ่อมตนราวกับว่าพวกเขาเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกัน)


 


เจิ้งยี่ป้องมือของเขาและออกจากยอดเขาฝนใบไม้


 


หยางเทียนหยู่ต้องการไล่ตาม แต่หลังจากคิดแล้ว เขาก็ยอมแพ้


 


ฉินเค่อชือถอนหายใจและไม่กล่าวอะไรอีกเลย เธอก้มมองพื้นผิวดินและกลับไปที่ศาลาของเธอ


 


“ฉินเค่อชือใช้ชีวิตตามชื่อเสียงของเธอ”


 


หลี่ฟู่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ขณะที่ฮวงหยูเซียงชมเชย


 


ฟานเฉียนหยูกล่าวด้วยอาการชื่นชม “ฉินเค่อชืออยู่ในอันดับที่ 88 ในการจัดอันดับดารา และน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ในงานเลี้ยงน้ำชาใบไม้ร่วง เมื่ออยู่ใกล้ๆ เธอ มันก็ไม่ควรมีผู้เสียชีวิตใดๆ เกิดขึ้น”


 


“นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ หากไม่เช่นนั้นแล้ว งานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้ก็คงจะไม่มีเธอเป็นเจ้าภาพ”ฟานเฉียนสงพยักหน้า


 


“อันดับที่ 88 จากการจัดอันดับดารา หือ?” หลี่ฟูเฉินเป็นพยานให้กับฉินเค่อชือได้เพราะเนื่องจากการเคลื่อนไหวของเธอเมื่อครู่นี้


 


แม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพีแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าฉินเคอชือยังคงดูน่าเกรงขามเกินจริง


 


ความสามารถของหยางเทียนหยูนั้นไม่ด้อยไปกว่าฟูจงชานเลย และด้วยการโจมตีสุดกำลังของเขา ฉินเค่อชือกลับหยุดได้อย่างไม่ต้องตั้งใจใดๆ แล้วไม่ต้องใช้เทคนิคลับใดๆ


 


‘เจตจำนงของเธอเป็นระดับลึกลับขั้นกลางและยังเป็นปริศนา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการต่อต้านการโจมตี เจตจำนงด้านเทคนิคของเธอนั้นสูงมาก และไม่ควรต่ำกว่าขั้นที่ 15’


 


หลี่ฟู่เฉินไม่คิดว่าเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าถึงเทคนิคระดับลึกลับขั้นที่ 15 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด เทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง การรับรู้ของเขาอาจจะสูง แต่เขายังต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและฝึกฝน ฉินเคอชือคนนี้มีอายุมากกว่า 20 ปีและฝึกฝนมากกว่าเขาหลายปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะสามารถฝึกฝนเทคนิคระดับลึกลับจนถึงขั้นสูงสุดที่อยู่ในขั้น 15 หรือมากกว่านั้น หลังจากการแข่งขันนัดแรก ศิษย์หลักระดับทองอีกหลายคนขึ้นไปบนเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนกระบวนท่า และแลกกันชี้นิ้วหากัน


 


พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกาย และพวกเขาก็เป็นอัจฉริยะ เมื่อพวกเขาเริ่มแลกเปลี่ยนกระบวนท่า สภาวะพลังฉี ทักษะการต่อสู้ และเทคนิคลับทั้งหมดล้วนอยู่ในระดับสูงซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้หลี่ฟู่เฉินได้เปิดหูเปิดตานัก


 


“หูหมิ๋ง ขึ้นไปบนเวทีและท้าทายหลี่ฟูเฉิน ข้าต้องการรู้ความสามารถของเขา” เสี่ยวไบ๋กล่าวเสียงเบากับชายหนุ่มข้างๆ เขา


 


หูหมิ๋งเลียริมฝีปากของเขา “เสี่ยวไบ๋ชิเซียงโปรดวางใจ ภายในสิบกระบวนท่า ข้าจะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัญ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถสังหารเขาในงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ได้”


 


“อย่าประมาท แน่นอน หากมีโอกาสที่จะฆ่า เช่นนั้นก็จงทำมัน ข้าไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในแผนของข้า”


 


เสี่ยวไป๋ไม่ได้เห็นหลี่ฟู่เฉินอยู่ในสายตา และถ้ามันไม่ได้เป็นเพราะฉินเค่อชือ เขาคงจะลงมือเพื่อกำจัดเป้าหมายของเขาไปแล้ว


 


เมื่อพิจารณาถึงตัวเขาที่กำลังต้องไปท้าทายหลี่ฟู่เฉิน เขากลัวว่าหลี่ฟู่เฉินอาจจะปฏิเสธเขา


 


หลังจากทั้งหมดแล้วเขาก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ได้รับการจัดอันดับดารา ไม่มีใครโง่พอที่จะยอมรับการท้าทายของเขา


 


“เสี่ยวชิเซียง นี่ไม่จะไม่แย่เอาหรือ?” หูหมิ๋งลังเล


 


เสี่ยวไบ๋กล่าวอย่างเฉยเมย “หากเจ้าสังหารเขา ฉินเค่อชือก็จะสังหารเจ้าหรืออย่างไร?”


บทที่ 237


เสี่ยวไบ๋ลงมือ


 


 


“หลี่ฟู่เฉิน ข้าหูหมิ๋งต้องการประลองกับเจ้า รีบมาเถอะ” หูหมิงกวัดแกว่งดาบใหญ่ ในขณะที่เขาทำเสียงขึ้นจมูก


 


“หลี่ฟูเฉินเจ้าต้องระวังตัว” ฟานเฉียนสงเตือนหลี่ฟู่เฉิน


 


หูหมิ๋งคนนี้อาจไม่ได้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญในการจัดอันดับดารา แต่เขาก็อยู่ในระดับที่ 7 ของขอบเขตปฐพี


ศิษย์หลักระดับทองขอบเขตปฐพีระดับที่ 7 นั้นน่าหวาดกลัวอย่างไม่มีใครเทียบ พวกเขามีระดับการฝึกฝนและประสบการณ์ด้วยเช่นกัน และยังแตกต่างจากหลี่ฟู่เฉิน และก็ฟานเฉียนสงที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลักระดับทองเพียงไม่กี่ปี จึงไม่มีเวลามากพอที่จะสะสมประสบการณ์ใดๆ ได้


 


ในสายตาของฟานเฉียนสง หูหมิ๋งผู้นี้อย่างน้อยก็อยู่ในระดับเดียวกับฟูจงชาน


 


ย้อนกลับไปที่สุสาน เขาและหลี่ฟู่เฉินต้องใช้วิธีการและสิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดเพื่อสังหารฟูจงชาน


 


ความสามารถของหลี่ฟู่เฉินอาจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยทันที และตอนนี้ระดับการฝึกฝนของเขาอยู่ที่ระดับ 5 ของขอบเขตปฐพี แต่เขาก็ยังไม่ควรประมาทคู่ต่อสู้ของเขา ใครจะรู้ว่าหูหมิ๋งผู้นี้มีความสามารถเหนือกว่าฟูจงชานหรือไม่


 


“อย่าได้กังวล” หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า


 


ก่อนที่ระดับการฝึกฝนของเขาอยู่ที่ระดับ 5 ของขอบเขตปฐพี เขาสามารถเอาชนะศัตรูอย่างฟูจงชานได้อย่างง่ายดาย ขณะที่เขาอยู่ในระดับที่ 3 ของขอบเขตปฐพีเท่านั้น


 


“นี่เจ้าโง่จริงๆ? หากเจ้ากลัวที่จะพ่ายแพ้ ก็แค่คลานไปรอบๆ สักสองสามครั้งให้ข้าดู และบางทีข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป”


 


“ระวังลมอาจจะทำให้ลิ้นเจ้าขาดได้” หลี่ฟูเฉินเอ่ยขึ้นมาเบาๆ และขึ้นเวทีศิลปะการต่อสู้


 


“เหอะ งั้นลมก็อาจจะทำให้เอวของเจ้าขาดได้เช่นกัน และมันก็คงไม่สามารถตัดลิ้นข้าให้ขาดได้ หลี่ฟู่เฉิน เจ้าจะอวดดีเกินไปแล้ว ราคาที่เจ้าต้องจ่ายนั้นดูแล้วมีมากมาย ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะสังหารนายน้อยของนิกายหรือไม่ แต่ในสายตาของข้า เจ้าเป็นคนที่ตายไปแล้ว”


 


หูหมิ๋งใช้ถือดาบด้วยมือเดียว และส่งสายตาที่ดูเป็นอันตรายออกมา


 


“หลี่ฟู่เฉินผู้นี้มีปัญหาแล้ว”


 


ที่ชั้นบนของศาลาหลัก นอกเหนือจากฉินเค่อชือ ซึ่งเป็นเจ้าภาพและศิษย์หลักระดับทองของนิกายเฟื่องฟู ก็มีผู้เยาว์สวมเสื้อคลุมสีเงินและเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับดารา อันดับ 98 หรันเฉียนฉิว


 


ฉินเค่อชือกล่าวออกมา “ข้าก็คิดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหูหมิ๋ง แต่เขาคงไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับเรื่องการรับมือ”


 


หนึ่งในนั้นอยู่ที่ระดับ 5 ในขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ในระดับที่ 7 ของขอบเขตปฐพี มันมีช่องว่างอยู่สองระดับ และหากไม่มีเงื่อนไขพิเศษใดๆ หลี่ฟู่เฉินย่อมต้องด้อยกว่าหูหมิ๋ง และนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติแล้ว


 


แต่จากการแสดงออกอย่างสงบของหลี่ฟู่เฉิน มันทำให้ฉินเค่อชือลังเลเล็กน้อย


 


“ข้ารู้เรื่องของหูหมิ๋งผู้นี้ แน่นอนว่าเขาเป็นหนึ่งในสิบอันดับอัจฉริยะในหมู่ศิษย์หลักระดับทองของนิกายสวรรค์ปีศาจ ความสามารถของเขาควรจะอยู่ในอันดับที่เจ็ด และพลังต่อสู้ของหูหมิ๋งย่อมต้องอยู่เหนือกว่าคนระดับเดียวกัน หากจะสู้กับเขา ก็ย่อมเปรียบเหมือนเดินอยู่ในความฝัน”


 


หลันเฉียนฉิวและเสี่ยวไบ๋มีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน ดังนั้นเขาจึงรู้สถานการณ์บางอย่างในนิกายสวรรค์ปีศาจ “เราจะรู้เมื่อเราเห็นมัน” ฉินเค่อชือปาดหน้าผากของเธอ ในขณะที่จ้องมองไปยังเวทีด้วยดวงตาที่งดงาม


 


บนเวทีศิลปะการต่อสู้…


 


ฟึบ!


 


หูหมิ๋งเริ่มขยับร่างกาย


 


ในเวลาไม่นาน หูหมิ๋งสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน กวัดแกว่งกระบี่ขนาดใหญ่ที่มีวงแหวนเก้าวง และปิดพื้นที่หลบหลีกทั้งหมดของหลี่ฟู่เฉิน แสงกระบี่พุ่งขึ้นอย่างเจิดจรัส มันเป็นแสงที่ดูแล้วยะเยือกเย็นมันเปล่งประกายออกมาจากกระบี่


“นี่คือวิชากระบี่ของเจ้ารึ? ยังอ่อนหัดนัก”


 


สีหน้าของหลี่ฟู่เฉินสงบนิ่ง ขณะที่เขาเอี้ยวตัวหลบราวกับต้นหญ้าที่พริ้วไหวท่ามกลางสายลม หลบแสงกระบี่ของหูหมิ๋งทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ชั่วครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าจะมี ลี่ฟู่เฉินสี่คนออกมายืนทับซ้อนกัน


 


“อ๊ะ?!” แววตาของ ฉินเค่อชือแสดงออกถึงความประหลาดใจ


 


“ไม่ได้มีแค่เจ้าที่สามารถในการหลบเลี่ยงแสงดาบได้” หูหมิ๋งเองก็มีเซ้นด้านการต่อสู้ที่น่าประหลาดใจนี่ด้วยเช่นกัน “ตะวันตกตัดสายธาร!” หูหมิ๋งตะโกนด้วยความโกรธ และสะบัดกระบี่ของเขาออกไป กระบี่นี้มีพลังที่มากเหลือล้น


 


กระบี่พลังฉีสร้างคลื่นสายน้ำขนาดยาว และมันก็พุ่งเข้าไปหาหลี่ฟู่เฉิน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบไปได้ด้วยการหันข้างออก เพราะมันต้องใช้ความเร็วสูงมากๆ ในการหนีออกไปเท่านั้น


 


หลี่ฟูเฉินไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบเลี่ยง เขาดึงดาบทองคำดำออกมา และแทงไปที่กระบี่ยาวพลังฉี


 


ฉับ!


 


ราวกับว่ามีแรงผลักดันกลับ มันทำให้กระบี่ยาวพลังฉีถูกตัดออก และเหือดหายไปในทันที


 


“การรับรู้ด้านการต่อสู้น่ากลัวอะไรเช่นนี้ เขาพบจุดอ่อนของ ตะวันตกตัดสายธารได้ในเสี้ยววินาที”


 


การรับรู้ความสามารถในการต่อสู้แบบนี้ไม่น่าแปลกใจ หากมันมาจากบุคคลสำคัญในการจัดอันดับดารา แต่มันก็น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมันปรากฏขึ้นในบุคคลนิรนาม


 


กระบวนท่าของทักษะต่อสู้ทั้งหมดมีข้อบกพร่อง แม้ว่าท่านจะเข้าใจเจตจำนงทักษะต่อสู้แล้วก็ตาม


 


นอกจากนั้น ทุกอย่างในสวรรค์และโลกก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน และการเคลื่อนไหวในทักษะต่อสู้ก็ย่อมไม่มีข้อยกเว้น


 


เมื่อมีการเปิดเผยข้อบกพร่อง แม้แต่กระทั้งการกระบวนท่าของทักษะต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่สุดก็จะสูญเสียการข่มขวัญศัตรู เฉกเช่นเดียวกับงูพิษที่ถูกจับคอได้


 


“เป็นไปไม่ได้ ความเร็วกระบี่ของข้ารวดเร็ว แล้วเขาจะใช้อะไรในการค้นหาจุดอ่อนของกระบวนท่ากระบี่ข้าา?” หูหมิ๋งรู้สึกชาไปทั้งตัว


 


“หูหมิ๋ง จงแสดงพลังออกมาให้หมด” เสี่ยวไบ๋ส่งข้อความถึงหูของหูหมิ๋ง


 


เมื่อได้ยินคำสั่งของเสี่ยวไบ๋ ดวงตาของหูหมิ๋งก็เปล่งประกายออกมา


 


“พลังฉีเทพยุทธ์อาชูร่า เปิดใช้งาน!” สภาวะพลังฉีของหูหมิ๋งถูกระเบิดออกมาอย่างรุนแรง


 


เทคนิคลับระดับ 3 ดาวพลังฉีเทพยุทธ์อาชูร่า ส่งผลให้เขาระเบิดพลังฉีของเขาออกมาได้สองเท่า


 


“ตายให้ข้า!”


 


กระบี่ใหญ่เก้าดวงกลายเป็นกระบี่รุ้งยาว ซึ่งถูกตวัดผ่าลงมาอย่างรุนแรง ตวัดไปยังที่ๆ หลี่ฟู่เฉินยืนอยู่ ตอนนี้เอง ความเร็วกระบี่ของเขาไม่ได้เพิ่มเร็วขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่มันเร็วขึ้นถึงสองเท่า


 


“ข้าต้องรักษาตัวตนให้ดูต่ำเข้าไว้”


 


โดยไม่ต้องเปิดใช้งานเทคนิคมังกรลับ หลี่ฟูเฉินก็ยังคงสามารถทำลายกระบวนท่ากระบี่ของหูหมิ๋งได้อย่างง่ายดาย ความสามารถในการรับรู้การต่อสู้ของเขา ส่งผลให้เขาพบจุดอ่อนเจ็ดหรือแปดจุดได้ในทันทีที่กระบวนท่ากระบี่ถูกใช้ มันไม่สำคัญว่าความเร็วของกระบี่หูหมิ๋งจะเร็วแค่ไหน


 


แต่ทว่าหากเขาสัมผัสมันโดยตรง มันก็จะอันตรายยิ่งกว่าเดิม และจะไม่สามารถหยั่งรู้ถึงทักษะต่อสู้ของเขาได้


 


เขาตัดสินใจ เมื่อเปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับแล้วสภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน


 


ดาบทองคำทมิฬพุ่งออกมา


 


บูม!


 


หูหมิ๋งถอยกรู และกระบี่พลังฉีของเขาก็หายไปในไม่ช้า


 


“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!” หูหมิ๋งกำลังจะบ้าไปแล้ว


 


หากเขาถูกต่อสู้ได้อย่างสูสีหูหมิ๋งอาจจะยอมรับได้ แต่ดาบของหลี่ฟูเฉินรู้ทุกจุดอ่อนของกระบวนท่ากระบี่ของเขา ซึ่งมันทำให้เขายอมรับมันไม่ได้


 


“หูหมิ๋งแพ้แล้ว” ฉินเคอชือกล่าวออกมาเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้


 


“น่าสนใจ…ความสามารถในการรับรู้การต่อสู้ของเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง” หรันเฉียนฉิว มีอาการแสดงออกอย่างที่อึ้มครึม ผู้ที่ถูกจัดอันดับในการจัดอันดับดาราอย่างเขากลับคาดการณ์ออกมามั่วๆ มันช่างดูน่าขายหน้าเสียจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกิดขึ้นต่อหน้าฉินเคอชือ


 


“รับดาบของข้า” หลี่ฟู่เฉินลอยขึ้นเหนือหูหมิ๋ง และฟันดาบลงไป


 


กระบวนท่าครั้งนี้คือ ทักษะดาบดาวตก ระเบิดดาวตก


 


ถ้ามันเป็นคนอื่นเป็นคนใช้กระบวนท่านี้ มันจะยังคงมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเข้าใจเจตจำนงของดาบดาวตกได้ก็ตาม แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินเป็นคนใช้กระบวนท่านี้ การระเบิดพลังของดาวตกจะถูกระเบิดออกโดยตั้งใจให้มันแตกกระจายออกมา ราวกับว่าดาวตกทุกดวงมีวิญญาณเป็นของตนเอง


 


ปิส ปิส…


 


กระบี่ของหูหมิ๋งนั้นสามารถสกัดกั้นดาวตกบางส่วนได้ แต่พลังฉีป้องกันของเขาก็ถูกแผดเผาในทันที เวลาต่อมา ดาวตกก็พุ่งกระจายเข้าใส่ร่างกายของเขา แผดเผาผ่านเกราะหนังของเขาและเปิดแผลเลือดที่ไหม้เกรียม


 


“ป่าเถื่อน!”


 


เสี่ยวไบ๋ที่กำลังโกรธต้องการใช้ฝ่ามือสังหารหลี่ฟู่เฉิน


 


“เสี่ยวเซียง เจ้ากับข้าได้รับการจัดอันดับในการจัดอันดับดารา เจ้าจะเข้าร่วมประลองได้อย่างไร!”


 


ฉินเคอฉือไม่ได้คาดหวังว่าดาบของหลี่ฟู่เฉินจะไร้ความปรานี เมื่อเห็นความน่าสมเพชของหูหมิ๋งแล้ว เขาอาจจะต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือนในการฟื้นฟูร่างกายอย่างสมบูรณ์ หากเขาไม่ใช้สมุนไพรหรือน้ำอมฤต เขาจะไม่สามารถพักฟื้นได้อย่างเต็มที่แน่นอน


 


แต่เธอไม่สามารถมองเสี่ยวไบ๋สังหารหลี่ฟู่เฉินอย่างเลือดเย็นได้ เสี่ยวไบ๋อยู่ในอันดับที่ 101 ในการจัดอันดับดาราและถ้าเขาต้องการสังหารหลี่ฟู่เฉิน เขาต้องใช้เพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่า เมื่อเสี่ยวไบ๋เคลื่อนไหวเธอก็ติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด


 


แต่ความเร็วในการประมวลผลของเสี่ยวไบ๋ก็รวดเร็วเกินไปและเขาก็เข้าใกล้หลี่ฟู่เฉินมากแล้ว0เช่นกัน


 


ฝ่ามือขนาดใหญ่ประดุจเมฆครึ้มห่อหุ้มหลี่ฟู่เฉิน


 


“หลี่ฟู่เฉินระวัง!” ฟานเฉียงสงและฟานเฉียนหยูตะโกนออกมา


 


ฮวงหยูเซียงส่ายหัว ในมุมมองของเขา เว้นแต่หลี่ฟู่เฉินจะสามารถต้านทานการกระบวนท่าจากเสี่ยวไบ๋ได้ เขาถึงจะรอด ไม่งั้นแล้วแม้แต่ฉินเคอฉือก็คงไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันเวลา


บทที่ 238


โม้ไร้ยางอาย?


 


‘คู่ควรกับการถูกจัดอันดับในการจัดอันดับดารา!’ ตาของหลี่ฟู่เฉินหรี่แคบลง


เห็นได้ชัดจากความสามารถที่น่าเกรงขามของเสี่ยวไบ๋นี้ เทคนิคบ่มเพาะของเขาอยู่ในขั้นที่ 15 แน่นอน เจตจำนงฝ่ามือลึกลับระดับกลางนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก


 


การรับรู้และเซ้นในด้านการต่อสู้ของเสี่ยวไบ๋ไม่ได้เป็นสิ่งที่หูหมิ๋งสามารถเปรียบเทียบได้ มุมและจังหวะการโจมตีของฝ่ามือนี้เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ ขณะเป็นหลี่ฟู่เฉินเองก็มองเห็นข้อบกพร่องเพียงสามข้อเท่านั้น


 


“ช่างน่าเสียดาย เขาคิดว่าจะไล่ต้อนข้าได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคลับ เขามีความมั่นใจมากเกินไป”


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเยาะ ในขณะที่เขาใช้ทักษะดาบดาวตกเป็นครั้งแรก เร็วดุจดาวตก แสงดาบจุดหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ขึ้นไปต่อต้ามฝ่ามือพลังฉีของเสี่ยวไบ๋


 


“ฝ่ามือปีศาจอาชูร่า!”


 


เสี่ยวไบ๋เลิกคิ้วขึ้น ในขณะที่เจตจำนงสังหารในสายตาของเขานั้นเพิ่มพูนขึ้น ขณะที่ปล่อมฝ่ามือที่สองตามไปอย่างใกล้ชิด


 


เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือนี้ได้รับการสนับสนุนด้วยการเปิดใช้งานเทคนิคลับ ซึ่งเพิ่มพลังได้มากกว่าเดิมสองเท่า ฝ่ามือพลังฉีสีดำขนาดใหญ่ขยายใหญ่ขึ้นราวกับเป็นเปลวเพลิงสีดำที่พร้อมจะทำให้ทุกอย่างระเหย


 


“เสี่ยวเซียง อย่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องยากสำหรับข้า”


 


ภาพของหญิงสาวที่งดงามปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง และทันใดนั้นเองฉินเคอชือก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของหลี่ฟู่เฉิน เธอใช้ร้อยประทับดอกไม้ร้อยของเธอ เพื่อสลายฝ่ามือปีศาจอาชูร่าของเสี่ยวไบ๋


 


เสี่ยวไป๋ดูเบาเกินไปและเริ่มเสียใจอยู่ในใจของเขา


 


เขาไม่ได้คาดไว้เลยว่าหลี่ฟูเฉินจะสามารถรับฝ่ามือแรกของเขาได้ หากเขารู้มันก่อน เขาจะเปิดใช้งานเทคนิคลับตั้งแต่เริ่มต้น


 


“เจ้าโชคดีไป แต่เจ้าสมควรจำไว้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ทุกครั้ง ครั้งต่อไปที่ข้าลงมือ นั้นก็จะเป็นเวลาที่เจ้าต้องตาย หวนช่วงเวลาชีวิตสั้นๆ นี้ของเจ้าไว้เสียเถอะ!” เสี่ยวไป๋หัวเราะด้วยอาการดูถูกและเหยียดหยาม ขณะที่เขาช่วยหูหมิ๋งขึ้นมา และกลับไปที่ศาลา


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “กฎมีไว้แหก บางทีเจ้าสมควรชื่นชมยินดี ที่เจ้าสามารถรักษาสถานะอันดับดาราเอาไว้อยู่ได้”


 


ที่ชั้นบนของศาลา การแสดงออกของเสี่ยวไบ๋เปลี่ยนไปและดวงตาของเขาก็ระเบิดเจตนาสังหารที่น่าตกใจออกมา “หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากำลังถามหาความตาย”


 


ไม่เพียงแต่เสี่ยวไบ๋ คนที่เหลือก็โกรธแค้นเช่นกัน


 


“หลี่ฟู่เฉินผู้นี้ไม่ใช่ว่าอวดดีเกินไปหรือ! หากไม่ใช่เพราะว่าฉินเค่อชือเข้ามาขัดขวางการโจมตีของเสี่ยวไบ๋เอาไว้ ตอนนี้เขาอาจจะตายไปแล้ว ตอนนี้เขากลับกล้าโอ้อวดอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ได้จริงๆ?”


 


“ฉินเค่อชือไม่ควรขัดขวางเสี่ยวไบ๋เลย น่าจะปล่อยให้เขาตาย”


 


“บุคคลผู้นี้น่ารังเกียจเกินไป เขารู้ดีว่าเสี่ยวไบ๋ไม่สามารถลงมือได้ ดังนั้นเขาจึงพูดเรื่องไร้สาระทั้งหมดเหล่านี้ หากข้าเป็นเสี่ยวไบ๋ ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปแบบนี้”


 


“ข้าอยู่ที่แคว้นร้อยเทพยุทธ์มาแล้วก็ตั้งหลายปี แต่ข้ายังไม่เห็นคนไร้ยางอายเท่าคนผู้นี้มาก่อน ในที่สุดข้าก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”


 


เกือบทุกคนเยาะเย้ยและเย้ยหยันความไร้ยางอายและความมั่นใจของหลี่ฟู่เฉิน


 


ในความเห็นของพวกเขา หลี่ฟู่เฉินใช้ประโยชน์จากการปกป้องของฉินเคอชืออย่างโจงแจ้ง


 


ดังนั้น ในขณะที่พวกเขากำลังเยาะเย้ยกัน พวกเขาก็กลายเป็นรู้สึกโกรธอยู่ในใจ


 


ในแง่ของการพิจารณาความสามารถ พวกเขาไม่คิดว่าหลี่ฟู่เฉินจะมีความสามารถเกินกว่าเสี่ยวไบ๋


 


เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง


 


“หลี่ฟู่เฉินผู้นี้หุนหันพลันแล่นเกินไป ฟานชิตี๋และฟานชิเหม่ย มันจะดีกว่าหากไม่ต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลผู้นี้มากเกินไป เขาจะนำปัญหามาให้เจ้าไม่ช้าก็เร็ว” ฮวงหยูเซียงขมวดคิ้วและกล่าวกับฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู


 


ฟานเฉียนสงลังเลและตอบกลับ “ฮวงชิเซียง บางทีหลี่ฟู่เฉินก็อาจไม่ได้กล่าวไร้สาระก็เป็นได้ ความสามารถของเขาแข็งแกร่งอย่างแท้จริง”


 


ฮวงหยูเซียงหัวเราะเยาะ “ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะแข่งขันกับเสี่ยวไป๋ที่อยู่ในอันดับ 101 ถ้าเขาอยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพี ข้าอาจจะเต็มใจที่จะเชื่อ แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้”


 


ฟานเฉียนสงขมวดคิ้วและกล่าว “ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ ข้าเชื่อในตัวหลี่ฟู่เฉิน”


 


มันไม่สำคัญว่าหลี่ฟู่เฉินจะเพิ่งคุยโม้หรือไม่ หลี่ฟู่เฉินช่วยชีวิตน้องสาวและชีวิตของเขาไว้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฟานเฉียนสงจะฟังคำพูดของฮวงหยูเซียงและออกห่างจากหลี่ฟู่เฉิน มันไม่ใช่วิธีการดำเนินชีวิตในแบบของเขา


 


“เฮ้อ พวกเจ้าสองคนจะต้องเสียใจในไม่ช้าก็เร็ว” ฮวงหยูเซียงส่ายหัวและไม่ชักชวนอีกต่อไป


 


บนศาลาของเจ้าภาพ หรันเฉียนฉิวไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่หัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนว่าข้าประเมินเขาสูงเกินไป บุคคลเช่นนั้นจะบรรลุความสำเร็จได้อย่างไร? เขาเป็นแค่ตัวตลกที่คอยสร้างปัญหา ฉินเคอชือ เจ้าไม่ควรขัดขวางเสี่ยวไบ๋”


 


บนเวทีศิลปะการต่อสู้ ฉินเคอชือรู้สึกเสียใจจริงๆ


 


เธอต้องยอมรับว่าหลี่ฟู่เฉินมีศักยภาพสูง แต่ศักยภาพก็เป็นเพียงแค่ศักยภาพ ก่อนที่จะมีโอกาสจะกลายเป็นความสามารถที่แท้จริง มันเป็นการดีที่สุดที่จะไม่แสดงออกมากเกินไป หากเขาประพฤติตัวราวกับอันธพาลตัวน้อย เขาจะนำ


 


มาได้แค่ความเกลียดชังเท่านั้น และจะไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ


 


เธอมั่นใจว่าเมื่อเธอจากไป เซียวไป่ยจะลงมืออีกครั้งเพื่อสังหารหลี่ฟูเฉิน


 


เธออาจจะรังเกียจหลี่ฟู่เฉินนิดหน่อย แต่เธอไม่สามารถตบหน้าตัวเองได้ งานเลี้ยงน้ำชานี้มีกฎเหล็กที่ห้ามการสังหารใดๆ เนื่องจากเธอได้เป็นเจ้าภาพงานนี้เป็นครั้งแรก มันเป็นกฎที่จะต้องไม่ถูกทำลาย แม้ว่าฉินเคอชือจะต้องฝืนตัวเอง เธอก็จะไม่อนุญาตให้เสี่ยวไป๋เข้ามาสังหารหลี่ฟุเฉิน


 


“ข้าหวังว่าจะไม่มีหลี่ฟู่เฉินอีกในงานเลี้ยงน้ำชานี่” ฉินเคอชืออธิษฐานอยู่ในใจของเธอ


 


“เจ้าสามารถกลับไปก่อนได้ จากนั้นก็ไปกับข้า ข้าจะรับรองความปลอดภัยของเจ้า” ฉินเคอชือทำท่าให้หลี่ฟู่เฉินกลับไป


 


หลี่ฟู่เฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง


 


“ฉินเคอชือ เสี่ยวไป๋ได้รับการจัดอันดับในการจัดอันดับดารา แต่ข้าไม่ ข้าคงไม่มีปัญหาอะไรที่จะท้าทายหลี่ฟู่เฉินใช่มั้ย?” ร่างหนึ่งบินขึ้นไปบนเวทีแล้วชี้ไปที่ หลี่ฟู่เฉินขณะที่กล่าวกับฉินเคอชือ


 


ฉินเคอชือพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”


 


“เช่นนั้นก็ดี หลี่ฟู่เฉิน เจ้าควรคุกเข่าและขอความเมตตา เมื่อตอนที่เจ้ายังทำได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้า ซินหวูหยวนจะตบปากของเจ้า และดูว่าเจ้าจะโอ้อวดตนต่อไปได้อย่างไร”


 


ซินหวูหยวนไม่อนุญาตให้หลี่ฟู่เฉินจากไป และเนื่องจากเสี่ยวไบ๋ไม่สามารถลงมือได้ เขาจำมันแทนในนามของเสี่ยวไบ๋ เขาต้องการที่จะดูหลังจากที่เขาตีปากของหลี่ฟู่เฉินแล้ว เขาจะสามารถกล่าวคำอวดดีออกมาได้อีกหรือไม่


 


“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้าต้องการออกมาแทยเสี่ยวไบ๋?” หลี่ฟู่เฉินหรี่ตา ขณะที่แสงอันเย็นชาเริ่มวาดผ่าน


 


ไม่ว่าอารมณ์ของเขาจะสงบแค่ไหนก็ตาม หลังจากถูกเยาะเย้ยจากคนอื่น ภายในก็ย่อมมีประกายไฟแห่งโทสะครุกครุ่นอยู่ภายใน


 


“เสี่ยวไป๋เป็นบุคคลที่อยู่ในอันดับดารา ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวแทนในนามของเขา แต่เจ้า… ข้าต้องสอนบมเรียนให้กับเจ้า” ซินหวู่หยวนดึงกระบี่ยาวสีดำเงินออกมา ชี้ปลายดาบไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


บนศาลา เสี่ยวไป๋กล่าวออกมา “ซินหวู่หยวน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าเสี่ยวไบ๋เป็นหนี้บุญคุณเจ้า”


 


“เสี่ยวเซียงสุภาพเกินไปแล้ว” ซินหวูหยวนยิ้มออกมาเล็กน้อย การได้รับความโปรดปรานจากบุคคลสำคัญที่ถูกจัดอยู่ในอันดับดาราเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เขาสามารถคาดหวังได้


 


เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งที่เสี่ยวไบ๋กล่าว พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างเงียบๆ ซินหวู่หยวนผู้นี้ตอบสนองเร็วเกินไปและหากพวกเขารู้ว่าพวกเขาจะได้รับความโปรดปรานของเสี่ยวไบ๋ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ พวกเขาจะคว้าโอกาสในการขึ้นไปบนเวทีแทน


 


“ซินหวูหยวนเป็นหนึ่งในห้าศิษย์หลักระดับทองจากนิกายกระบี่ยาว ความสามารถของเขาเหนือกว่าหูหมิ๋งเป็นอย่างยิ่ง หากความสามารถของหลี่ฟู่เฉินมีแค่นี้ เขาจะต้องพ่ายแพ้โดยซินหวูหยวนแน่นอน” ฮวงหยูเซียงบอกฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู


 


ฟานเฉียนสงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ซินหวูหยวนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ฟู่เฉิน”


 


ถ้ามันเป็นเสี่ยวไป๋ ฟานเฉียนสงอาจจะลังเล แต่ถ้ามันเป็นเพียงแค่ซินหวูเซียง เขาเชื่อมั่นว่าหลี่ฟู่เฉินจะได้รับชัยชนะ


 


“ข้ามีความเห็นเช่นเดียวกันกับพี่ชายของข้า ข้าเชื่อว่าหลี่ฟู่เฉินจะเป็นผู้ชนะ” ฟานเฉียนหยูเองก็กล่าวความคิดเห็นของเธออกมาเช่นกัน


 


“ดูเหมือนพวกเจ้าสองคนจะอยู่ภายใต้มนตร์สะกดของหลี่ฟู่เฉิน” ฮวงหยูเซียงรู้สึกปั่นป่วน เขาไม่รู้ว่ายาที่หลี่ฟู่เฉินใช้รักษาทั้งสองเป็นแบบใด ถึงได้ทำให้พวกเขาอยู่ข้างเขาได้ทุกครั้งไป


 


ฟานเฉียนสงกล่าวอย่างจริงจัง “ฮวงชิเซียง เจ้าไม่เคยไปไหนมาไหนกับเขามาก่อน ดังนั้นเจ้าจึงไม่ทราบศักยภาพที่น่าประหลาดใจของเขา ฉันเข้าใจในสิ่งที่เจ้ากล่าว แต่เจ้าก็ไม่ควรพูดเช่นนั้นออกมา”


 


“เอาล่ะ ข้าอยากเห็นความประหลาดใจที่เขาจะนำมาให้เรา”


 


ฮวงหยูเซียงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อระงับความรำคาญและความโกรธของเขาเอาไว้ เขาจับจ้องไปที่เวทีศิลปะการต่อสู้


 


ยืนห่างจากซินหวูหยวนสิบเมตร หลี่ฟู่เฉินกล่าว “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจ!”


 


ริมฝีปากของหลี่ฟู่เฉินขมุบขมิบ ระเบิดพลังของเทคนิคลับมังกรเร้นลับออกมา และเปิดใช้งานฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่ม


 


“เสียใจ? ไม่มีคำเสียใจอยู่ในพจนานุกรมของข้า” ซินหวูหยวนหัวเราะออกมา ขณะเขาตวัดกระบี่ไปที่หลี่ฟู่เฉินด้วยความเร็วสูง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม