Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 225-231

 บทที่ 225

การตอบโต้ของนิกายวารีคราม

เมื่อบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำเสร็จสิ้น ลักษณะเฉพาะของลวดลายดาบเหล็กดำก็ถูกเปิดใช้งาน

ในขณะนี้เอง ที่หลี่ฟู่เฉินสามารถรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเขารู้สึกเบาขึ้นกว่าเดิมมากและยังรู้สึกด้วยว่าร่างกายนี้จะไม่สามารถถูกทำลายลงไดั

แน่นอนว่า แก่นกระดูกของหลี่ฟู่เฉินหนักกว่าเดิมถึงห้าเท่า ร่างกายมนุษย์นั้นแตกต่างจากวัตถุที่ไม่มีชีวิต ซึ่งไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน

ด้วยการโคจรพลังฉี ดาบพลังฉีกว่าหนึ่งร้อยเล่มก็พุ่งขึ้นไปบนอากาศ และสภาวะพลังฉีที่มันแผ่ออกมานั้นก็น่าเกรงกลัวยิ่ง จากการประเมิณของหลี่ฟู่เฉิน แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะบรรลุขั้นย่อยของนิกายต้นกำเนิดดาบได้ มันก็คงจะคล้ายคลึงกัน แน่นอน นิยายต้นกำเนิดดาบย่อมมีปริมาณของดาบที่มากกว่าและมันก็ค่อนข้างไม่เหมาะสมที่จะเปรียบเทียบเทคนิคลับทั้งสองนี้ด้วย

‘บทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำเต็มไปด้วยความแหลมคม น้ำหนัก ความทนทาน และยังสามารถสับพลังฉีให้กลายเป็นวุ่นพร้อมทั้งปลดปล่อยพลังฉีได้ คุณสมบัติสามประการแรกนั้นมาจากพื้นฐานมาความสำคัญของกระดูก ในขณะที่คุณสมบัติหลังทั้งสองอย่างหลังนั้นขึ้นอยู่กับพลังฉี นี่ถือเป็นการแบ่งออกระหว่างทั้งกำลังภายในและกำลังภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่นิกายต้นกำเนิดดาบไม่สามารถเปรียบเทียบได้’

นิกายต้นกำเนิดดาบเป็นเทคนิคลับที่เน้นไปด้านพลังโจมตีล้วน โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อสังหารศัตรูอย่างเดียว

ในขณะที่บทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ นั้นไม่ได้มีไว้สำหรับฆ่าศัตรูแต่เพียงเท่านั้น

หลังจากที่ฝึกฝนบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำไปแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็ไม่กลัวทักษะต่อสู้ที่น่าเกรงขามใดๆ อีก

ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคลับมังกรเร้นลับ ฝ่ามือใสกระจ่าง หรือเทคนิคบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ ทั้งหมดล้วนถูกสร้างมาเพื่อเพิ่มระดับ

การเพิ่มระดับนี้อาจกลายมาเป็นส่วนนึงของความสามารถ แต่มันก็ไม่สามารถช่วยให้นักสู้คนใดเพิ่มพูนเต๋าทักษะต่อสู้ได้

โดยการเพิ่มระดับการบ่มเพาะและเพิ่มระดับทักษะต่อสู้ของใครคนหนึ่งเท่านั้นถึงจะได้รับพลังความสามารถที่แท้จริงและอนุญาตให้บุคคลหนึ่งประสบความสำเร็จเต๋าทักษะต่อสู้ได้

“มันถึงเวลาที่ต้องไปสัมผัสกับเขตแดนเส้นทางดวงดาวแล้ว” หลี่ฟู่เฉินดึงหินดวงดาวออกมาและบดขยี้มัน

แสงสีฟ้าใสเบ่งบานออกมาและก็ห่อหุ้มหลี่ฟุเฉินไว้ ทันใดนั้นเองแสงก็พุ่งกนะจายและหดตัวลง ก่อนที่มันจะเป็นจุดเล็กๆ และหายไป

สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยดวงดาวที่ลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า และดวงดาวนับไม่ถ้วนก็ลอยอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่าง ท้องฟ้าเหล่านี้ล้วนถูกเติมเต็มไปด้วยดวงดารา เส้นทางคริสตัลสีดำที่เปล่งประกายแวววาวนี่เองก็ขยายไปสู่ส่วนลึกของท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวแห่งนี้

จุดเริ่มต้นของเส้นทางคริสตัลสีดำนี้เป็นเกาะที่ลอยได้ แสงสีฟ้าใสปรากฏขึ้นและมีร่างตกลงมา

“นี่คือเขตแดนเส้นทางดวงดาว?”

เมื่อมองไกลออกไป หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวถึงเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก

แค่ทิวทัศน์ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนมึนงงได้แล้ว ซึ่งเพียงแค่นี้สิ่งเดียวก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเส้นทางคริสตัลสีดำที่ปรากฏบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวแห่งนี้แล้ว

“บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา!”

มองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนอยู่ตรงหน้า อย่างไรก็ตามหลี่ฟู่เฉินก็ยังไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มันอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

โดยไม่มีข้อกังขา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวนี้ก็ยังมีคุณค่าสมชื่อของมัน ก็ในเมื่อมันเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก

หลังจากทั้งหมดแล้ว ภาพลวงตานี้เหมือนจริงมากเกินไปและนำมาซึ่งผลกระทบที่สำคัญ

สูดหายใจลึกๆ หลี่ฟู่เฉินเดินไปบนเส้นทางคริสตัลสีดำ

ทันใดนั้นเองที่เขาก้าวเหยียบมัน เขาก็รู้สึกกดดันอย่างหนักที่สายเลือด

แรงกดดันนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อวิญญาณด้วย

‘นี่คือสนามพลังฉีของเส้นทางดวงดาวหรือไม่?’

สนามพลังฉีของเส้นทางดวงดาวคล้ายคลึงกับสภาวะพลังฉี มันมีแรงกดดันจากทั้งวิญญาณและสภาวะพลัง

เฉพาะผู้ที่มีศักยภาพเท่านั้นถึงจะสามารถเดินไปบนเส้นทางดวงดาวได้ไกล

นั้นเป็นเพราะ ยิ่งศักยภาพแข็งแกร่ง จิตวิญญาณและวิญญาณเองก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และมันก็ง่ายที่จะต่อต้านสนามพลังฉีบนเส้นทางดวงดาวแห่งนี้

ยกตัวอย่างเมื่อตอนที่หลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับที่ 7 ของขอบเขตต้นกำเนิด เขาสามารถต่อต้านนักสู้ของตระกลูเหลียวที่อยู่ในระดับที่ 2 ของขอบเขตสวรรค์ได้ และยังมีผู้อาวุโสชั้นในคนอื่นๆ และด้วยสภาวะพลังฉีของเหลียวเทียนหยุน หากเป็นนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 7 คนอื่น พวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัญจากการโดนสภาวะพลังฉีกดดันเข้าไปเพียงครั้งเดียว แน่นอน ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น เหลีวเทียนหยุนเองก็ไม่ได้คิดจะสังหารหลี่ฟู่เฉิน เขาเพียงแค่ต้องการทำให้หลี่ฟู่เฉินพิการก็แค่นั้น ถ้าเหลียวเทียนหยุนปลดปล่อยสภาวะพลังฉีที่แท้จริงของเขาออกมาใช้ มันก็ไม่แน่นอนว่า หลี่ฟู่เฉินจะสามารถต่อต้านมันได้หรือไม่

แต่นอกเหนือจากจิตวิญญาณ สภาวะพลังฉีเองก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน

สภาวะพลังฉีนั้นสัมพันธ์กับระดับการฝึกฝนของคนนั้นๆ

คนที่มีความสามารถโดยธรรมชาติอ่อนแอแต่ก็อาจจะมีระดับการฝึกฝนสูงกว่าคนอื่น เขาคนนั้นก็อาจจะสามารถเดินไปตามถนนสายนี้ได้

นอกจากนั้นแล้ว เทคนิคลับที่คล้ายกับเทคนิคลับมังกรเร้นลับที่สามารถเพิ่มพลังฉีได้ ก็ยังสามารถเพิ่มสภาวะพลังฉีของตนได้เช่นกัน ตอนนี้เอง หลี่ฟู่เฉินอยู่ระดับที่ 3 ของขอบเขตปฐพีแต่เพียงเท่านั้น แต่หลังจากที่เขาเปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับ เขาก็เหมือนกับนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่ 4 และระดับที่ 5

ด้วยจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างเหลือแสน สนามพลังฉีของเส้นทางดวงดาวแห่งนี้ก็กลายเป็นว่า คล้ายกับหลี่ฟู่เฉินนั้นกำลังเพลิดเพลินไปกับสายลมเย็นๆ ก็ไม่ปาน หลี่ฟู่เฉินเดินไปบนเส้นทางดวงดาวอย่างง่ายดาย

……

นิกายวารีคราม

นิกายวารีครามในห้องโถงใหญ่

“ท่านเจ้านิกาย นิกายสวรรค์ปีศาจกำลังออกใบประกาศจับจำนวนหลากหลายอย่างล้นอยู่ในภูมิภาคร้อยเทพยุทธ์ มันก็เพื่อหาตัวศิษย์หลักระดับทองของเรา หลี่ฟู่เฉิน พวกเขายังประกาศอีกว่าหากมีใครให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลี่ฟู่เฉิน มันจะมีรางวัลเป็นทองคำ 10 ล้านเหรียญ” ผู้อาวุโสชั้นใน ยือหัว กล่าวออกมาอย่างเป็นกังวล ณ ห้องโถงใหญ่แห่งนี้

บนที่นั่งของผู้นำนิกาย ชายวัยกลางคนที่มีเสื้อคลุมสีขาวนั่งอยู่ที่นั่น

เขาคือ โอหยางเหวินเทียน บุคคลสำคัญอันดับต้นของนิกายวารีคราม เขาเป็นผู้นำตระกลูโอหยาง และคล้ายๆ กัน เขาเองก็เป็นผู้นำนิกายของนิกายวารีครามด้วยเช่นกัน

เมื่อตอนที่เลือกผู้นำนิกายในนิกายวารีคราม ศักยภาพโดยกำเนิดของคนๆ นั้นคือเกณฑ์แรก เกณฑ์ที่สอง ผู้สมัครจะต้องมีทักษะและสติปัญญาที่ยอดเยี่ยม เกณฑ์ที่สาม ผู้อาวุโสสูงสุดจะต้องยอมรับมากกว่าครึ่งหนึ่ง

ในฐานะที่เป็นเจ้านิกาย ศักยภาพโดยกำเนิดที่โอหยางเหวินเทียนได้แสดงออกมาเมื่อตอนเขายังเด็กไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย เมื่อเทียบกับดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิง ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงจะไม่ได้มานั่งในตำแหน่งนี้

ยือหัวนั่งอยู่ข้างๆ ขณะที่จ้าวหวู่จินกล่าว “นิกายสวรรค์ปีศาจนั้นเย่อหยิ่งและไม่ได้เห็นนิกายวารีครามของเราอยู่ในสายตาเลย หากพวกเขาจับหลี่ฟูเฉินได้ ผลที่ตามมาก็ไม่อาจคาดเดาได้แล้ว ชื่อเสียงของนิกายวารีครามเองก็จะประสบกับความสูญเสัยเช่นกัน”

ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือเป็นการส่วนตัว เขาก็ไม่ต้องการให้หลี่ฟู่เฉินถูกนิกายสวรรค์ปีศาจจับตัวได้

“ท่านเจ้านิกาย จากสิ่งที่ข้ารู้ นายน้อยของนิกายสวรรค์ปีศาจ หลี่หวูเซี่ยได้ตายไปแล้ว เหตุการณ์นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับหลี่ฟู่เฉิน เราควรจะตรวจสอบอย่างชัดเจนก่อนที่จะจัดการกับนิกายสวรรค์ปีศาจดีหรือไม่? เราอาจจะไปทำให้นิกายสวรรค์ปีศาจเกิดบ้าขึเนมาได้” หนึ่งในผู้อาวุโสชั้นในยกมือคัดค้าน

บุคคลผู้นี้เป็นผู้ก่อตั้งตระกูลเหลียว เหลียวไห่หวาง

จ้าวหวู่จินเลิกคิ้วขึ้นเมื่อมองไปทางเขา “เหลียวไห่หวาง หากนิกายไม่สามารถคุ้มครองศิษย์หลักระดับทองได้ การดำรงอยู่อย่างพวกเราจะมีความหมายอะไรอยู่อีก?”

ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ตระกูลเหลียวส่งคนไปติดตามหลี่ฟู่เฉิน จ้าวหวู่จินขอให้ยือหัวออกไปช่วยเหลือ เขาเตือนตระกูลเหลียวว่าถ้ามีครั้งที่สองอีก เขาจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องกับตระกูลเหลียวอีก นั้นทำให้ตระกูลเหลียวตื่นตกใจ

เหลียวไห่หวางไม่มีการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกแต่อย่างใด “นิกายเป็นที่สำหรับองกรณ์ เราไม่สามารถยั่วยุศัตรูเพียงเพราะแค่คนๆ เดียวได้ หากนิกายเข้ารับแบกภาระของศิษย์หลักทุกคนที่ไปหาปัญหามา นิกายก็จะต้องล่มสลายลงไปในไม่ช้าก็เร็ว มีนิกายมากมายในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก เจ้าจะไปต่อสู้กับทุกนิกายเลยหรือไม่?”

จ้าวหวูจินหัวเราะเยาะ “เหลียวไห่หวาง อย่าลืมความจริงที่ว่าหลี่ฟูเฉินเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายวารีครามเรา เขาไม่ได้เป็นแค่ศิษย์หลักระดับเงินธรรมดาๆ ศิษย์หลักระดับทองทุกคนเป็นเสาหลักที่คอยสนับสนุนอนาคตของนิกายวารีครามเรา การสูญเสียพวกเขาไปแค่หนึ่งคนก็นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว”

เหลียวไห่หวางตอบกลับ “เขาเป็นศิษย์หลักระดับทองที่มีปัจจัยน่าสงสัยมากมาย เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์หลักระดับทองที่รับมาแบบชั่วคราว มันคงไม่สายเกินไปที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเขาหลังจากที่เขาไปถึงขอบเขตสวรรค์แล้ว”

สำหรับโครงกระดูก 1 ดาว ดินแดนบ่มเพาะทุกดินแดนสำหรับเขาล้วนเป็นอุปสรรค์ใหญ่ หากพวกเขาไม่สามารถผ่านพ้นอุปสรรคนั้นไปได้ มันก็จะไม่มีความหวังในชีวิตของพวกเขา​

สำหรับโครงกระดูกระดับ 5 ดาว ตราบใดที่ไม่มีอุบัติเหตุ การพัฒนาสู่ขอบเขตสวรรค์ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานอาหารง่ายๆ สบายๆ มันจะไม่มีสิ่งใดที่เข้ามารบกวนได้เลย

“ฮึ่ม ปัจจุบันเขาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่มีมา แต่กำเนิดของเขา ซึ่งได้ก้าวผ่านดาบคลั่งไปแล้ว หากเราไม่เสี่ยงเช่นนั้น เราจะไม่หัวโบราณเกินไปหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการพัฒนาของเขาในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้แน่นอนว่าเขาจะก้าวหน้าสู่ขอบเขตสวรรค์” จ้าวหวูจินแย้งสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมา

โอหยางเหวินเทียนทำท่าโบกมือให้ทุกคนนิ่งเงียบ เขาค่อยกล่าวออกมาอย่างช้าๆ “แจ้งไปยังนิกายสวรรค์ปีศาจให้นำใบประกาศจับศิษย์หลักระดับทองเรา หลี่ฟู่เฉิน เอาออกไปให้หมด ไม่เช่นนั้นแล้ว นิกายวารีครามของข้าจะใช้กำลังเต็มที่เพื่อตามล่าศิษย์หลักระดับทองของนิกายสวรรค์ปีศาจ”

“ลืมมันซะ ข้าจะทำสิ่งนี้เป็นการส่วนตัวเอง”

หลังจากคิดถึงมัน โอหยางเหวินเทียนตัดสินใจไปที่ภูมิภาคร้อยเทพยุทธ์เป็นการส่วนตัว มีเพียงขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดเท่านั้นที่จะสามารถเจรจากับนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดผู้อื่นได้ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตหวนคืนต้นไม่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวคำใดออกมา


บทที่ 226

ด่านแรกของเส้นทางแห่งดวงดาว

เส้นทางดวงดาวนั้นกว้างยาวและดูเปล่าเปลี่ยว

เมื่อเดินไปบนเส้นทางดวงดาว หลี่ฟู่เฉินรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเขานั้นช่างดูไร้สำคัญ

เมื่อเปรียบเทียบกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ดูเหมือนว่าทวีปยูนิคอร์นตะวันออกก็ตะเป็นเพียงแค่ฝุ่นละออง!

แสงระยิบระยับส่องประกาย

ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว กลุ่มอุกบาตกลุ่มใหญ่แห่งนึงก็เกิดระเบิดขึ้นและได้ร่วงตกลงมาที่เส้นทางดวงดาว เพียงชั่วครู่หนึ่ง​ หลี่ฟูเฉินก็รู้สึกได้ถึงความแสบร้อนของดาวตก​ ราวกับว่ามันเป็นลูกไฟที่เริ่มลุกไหม้

‘นี่เป็นของจริงหรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา?’ ขณะนี้เอง หลี่ฟู่เฉินก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

ขณะที่เขาเดินต่อไป​ ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็ได้เห็นคนบุคคลหนึ่ง

มันเป็นชายหนุ่มอายุ 27 ปี เขาอยู่ขอบเขตปฐพีระดับที่ 3 เชกเช่นเดียวกับหลี่ฟู่เฉิน

เขาดูพยายามกับทุกย่างก้าวและเสื้อผ้าของเขาก็เปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ

‘ดูเหมือนว่าเขาจะถึงขีดจำกัดแล้ว’

หลี่ฟู่เฉินไม่ได้มีความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่น เขาไม่ได้เปรียบเปรยใดๆ ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของสนามพลังฉีของเส้นทางดวงดาว

เมื่อพบเห็นคนผู้นี้ที่ดูเหนื่อยล้า เขาก็เริ่มการพักผ่อนสำหรับตัวเขาเอง หลี่ฟู่เฉินมั่นใจว่าเส้นทางดวงดาวเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็สามารถเดินไปได้ไกล หากพวกเขามีศักยภาพโดยธรรมชาติที่แข็งแกร่งเพียงพอ

บูม!

หลังจากเดินไปได้อีกไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว หัวของเขาทิ่มลงไปที่พื้น มีแสงสว่างวาบบนเส้นทางแห่งดวงดาวซึ่งแสงนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มได้หายตัวไปจากเขตแดนเร้นลับเส้นทางแห่งดวงดาวในทันที

หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ หลี่ฟู่เฉินก็เห็นคนอื่นอีก เขาไม่ได้คิดอะไรมากและรีบตามไปในทันที

ไม่ไกลจากเส้นทางดวงดาวที่เขาอยู่มันเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่กำลังเดินไปด้วยกัน

ผู้ที่เป็นผู้นำมีใบหน้าไร้ที่ติราวกับหยก​ ไหล่กว้าง และมีขาที่ยาว ทุกครั้งที่เขากระพิบตา มันมีประกายความโดดเด่นและความรู้สึกที่ดูเหนือกว่าแผ่ออกมา

“ฮั่นชิเซียง เจ้าช่างน่ากลัวจริงๆ หลังจากเดินเป็นระยะทางที่ไกลมากแล้ว เจ้าก็ยังดูเหมืิอนจะสบายดีอยู่” ชายหนุ่มคนข้างๆ กล่าวคำเยินยอ

“ฮั่นชิเซียงเป็นหนึ่งในเจ็ดนภาจากนิกายนภาดารา งั้นแล้วเขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร? ​ อย่ากล่าวถึงแค่ระยะสั้นๆ แค่นี้ ด่านแรกสำหรับเขาก็อาจจะผ่านได้สบายๆ”

“ถูกแล้ว ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของฮั่นชิเซียงคืออายุของเขา ถ้าเขาบ่มเพาะมาอีกซักหนึ่งหรือสองปี เขาจะเป็นผู้นำของเหล่าคนรุ่นใหม่”

พวกเขาทั้งหมดเข้าประจบประแจง

ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมดเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ตอนนี้พวกเขาอาจไม่ใช่คนสำคัญ แต่ในอนาคตข้างหน้า พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญเช่นกัน แต่สำหรับฮั่นชิเซียงที่พวกเขาพูดถึงจะต้องกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยอด​ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ หากในตอนนี้พวกเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ ในอนาคตพวกเขาก็ยังจะคงรักษาสัมพันธ์นี้ไว้ได้

ฮั่นชีเซียงที่พวกเขายกยอนั้นถูกเรียกว่า ฮั่นเฟิง เขาเป็นหนึ่งในนาภาทั้งเจ็ดของนิกายนภาดารา เขาอายุ 23 ปีในปีนี้และอยู่ในระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพี ผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของนภาทั้งเจ็ดนั้นล้วนเป็นที่รู้จักกันดีว่าพวกเขาเป็นพวกมีศักยภาพแต่โดยกำเนิด เขายิ้มบางๆ “เส้นทางดวงดาวแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ลึกลับ ข้าชอบอยู่อย่างสันโดษในนิกาย หากข้ารู้ว่ามันจะลึกลับถึงเพียงนี้ ข้าก็คงจะมาที่นี้ให้ช้ากว่านี้เป็นแน่”

ถ้าเขาเลือกที่จะมาทีหลัง เขาอาจเข้าสู่ระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพีไปแล้ว

“ไม่ได้แล้ว ข้าทนต่อไปไม่ได้แล้ว ฮั่นชิเซียง ข้าชื่อลานกวงหลง หากมีโอกาสในอนาคตเราคงได้พบกันอีกและเมื่อถึงตอนนั้นให้ข้าได้เป็นตัวแทนเลี้ยงอาหารฮั่นชิเซียงซักมื้อ” เด็กหนุ่มที่ชื่อลานกวงหลงล้มลงไปบนพื้นและก็กลายเป็นก้อนแสงก่อนที่จะหายไป

เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนรู้สึกได้ถึงความทุกข์ทราณ มันยังมีระยะทางค่อนข้างไกลก่อนจะถึงด่านแรกของเส้นทางดวงดาวและดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขา ในการที่จะไปถึงที่นั่น

“เอ๋? นั้นใครนะ? เขาเร็วมากและเหมือนกับว่าเขากำลังจะตามพวกเรามา”

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในนั้นก็ชี้ไปที่ด้านหลังและอุทาน

ได้ยินเสียงอุทาน ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น

ห่างออกไปสองสามพันเมตรเป็นเงาที่กำลังพุ่งผ่านมาด้วยความเร็วสูง ด้วยเสื้อคลุมที่โบกสบัดและออร่าที่ดูพิเศษ มันจะเป็นใครได้ถ้าไม่ใชาหลี่ฟู่เฉิน

ความเร็วของหลี่ฟู่เฉินนั้นรวดมาก หากทุกคนประดุจเหมือนกับวิ่งช้าๆ งั้นแล้วนี่ก็คงเป็นการวิ่งเร็ว

ถ้าเขาสามารถวิ่งได้เร็ว นั้นก็หมายความว่าสนามพลังฉีจากเส้นทางดวงดาวนั้นกดดันเขาไม่ได้มากนัก มันไม่ได้อยู่ในระดับที่เกินขีดจำกัดของเขา​

สนามพลังฉีเส้นทางแห่งดวงดาวไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน เมื่อระยะทางยืดออกไป สนามพลังฉีก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันอาจเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และอาจไม่สามารถรู้สึกได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ถ้าใครเริ่มออกวิ่งเร็วๆ การเพิ่มขึ้นของความกดดันจะค่อนข้างหนักหนาสำหรับคนส่วนใหญ่ มันยากที่จะกล่าวว่าใครคนหนึ่งจะล้มลงเมื่อไหร่

หลี่ฟู่เฉินกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับสนามพลังฉีเส้นทางดวงดาวแล้ว ถ้าเขารู้สึกว่ามันไม่ไหวจริงๆ เขาจะออกจากเส้นทางดวงดาวทันที

1,000 เมตร 800 เมตร 500 เมตร

หลี่ฟูเฉินเริ่มเข้าใกล้ฮั่นเฟิงและกลุ่มของเขามากขึ้น

ฮันเฟิงเลิกคิ้ว ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเจ็ดนภา เขาคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งไม่มีสอนในรุ่นของเยาวชนรุ่นใหม่ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก สำหรับบุคคลที่ไม่รู้จักผู้นี้ อาจจะมีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวหรือไม่ก็โครงกระดูกระดับ 6 ดาวที่ท้าทายสวรรค์

สำหรับคนแปลกหน้าเช่นนั้นมันก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ละมันจะมีนักสู้โครงกระดูกระดับ 6 ดาวผู้อื่นอยู่ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกได้อย่างไร?

สำหรับโครงกระดูกระดับ 6 ดาวที่ท้าทายสวรรค์เช่นนั้น พวกเขาย่อมมีปริมาณที่น้อยกว่าโครงกระดูกระดับ 5 ดาวแน่นอน

นักสู้ที่มีโครงกระดูกระดับ 6 ดาวย่อมเป็นผู้ที่มีการรับรู้น่ากลัว ในบางแง่มุม พวกเขาดูน่ากลัวกว่าเหล่าคนที่มีโครงกระดูก 6 ดาวเสียอีก

ฮั่นเฟิงมีข้อมูลผู้คนทั้งหมดที่มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวและโครงกระดูกระดับ 6 ดาวที่ท้าทายสวรรค์ แต่เขามั่นใจว่าหลี่ฟู่เฉินนั้นไม่ได้อยู่ในรายชื่อบุคคลเหล่านั้นอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ระดับบ่มเพาะของหลี่ฟู่เฉินนั้นต่ำเกินไป ซึ่งอยู่ในระดับที่ 3 ของขอบเขตปฐพี

ความเร็วที่ระดับ 3 ขอบเขตปฐพีผู้นี้ทำได้นั้นมันเร็วเกินไป

“ทุกคน เราเองก็คงต้องเร่งความเร็วของเราด้วยเช่นกัน” ขณะที่กล่าวเสร็จ ฮั่นเฟิงก็เพิ่มความเร็วของเขา​

“ตามฮั่นชิเซียงไป” ทุกคนยอมกัดฟันของตัวเองและเพิ่มความเร็วขึ้นตาม

เป็นเช่นนี้เอง ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงรักษาช่องว่างระหว่าง 500 เมตรและวิ่งไปด้วยความรวดเร็ว

หลี่ฟู่เฉินตระหนักได้ว่าอยู่ๆ กลุ่มที่อยู่ข้างหน้าก็เพิ่มความเร็ว แต่เขาไม่สนใจและยังคงรักษาความเร็วของตัวเองไว้

จุดประสงค์ของเขาสำหรับการมาในเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวไม่ใช่เพื่อมาแข่งขัน แต่มันเป็นการมาเพื่อทดสอบขีดจำกัดของเขาเอง​

เขาต้องการดูว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน

“ไม่ดีแล้ว ข้าไม่สามารถทนมันได้”

มีแสงสีเงินเปล่งประกายและอีกคนก็หายไปจากเส้นทางดวงดาว

หนึ่งชั่วโมงต่อมา อีกคนก็หายไป

หันไปทางขวา เกาะโดดเดี่ยวปรากฏขึ้น มันสมควรเป็นด่านแรกสำหรับเขตแดนเร้นลับนี้

ในท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่มาถึงด่านแรก พวกเขาคือฮั่นเฟิง ผู้ติดตามอีกสองคนของเขาและหลี่ฟูเฉิน

อีกสองคนข้างฮั่นเฟิงได้เดินทางมายังเส้นทางดวงดาวแห่งนี้มาก่อนแล้วและได้ผ่านด่านแรกไปแล้ว ระดับการฝึกฝนของพวกเขาไม่ต่ำ อย่างน้อยๆ ก็เป็นระดับ 7 ขอบเขตปฐพีไม่เช่นนั้นก็เป็น ระดับที่ 8 ขอฃขอบเขตปฐพี การผ่านด่านแรกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับพวกเขา

แน่นอน เนื่องจากความเร็วในการวิ่งของเขาที่ค่อนข้างเร็ว พวกเขาสองคนอ้าปากกว้างเพื่อหายใจและหน้าดูค่อนข้างซีด​

“ด่านแรกคือด่านอัสนีคำราม มันมีจุดมุ่งหมายที่จิตวิญญาณของใครคนนั้น ผู้ที่มีจิตวิญญาณอ่อนแอจะสลบไปในทันที ฮั่นชิเซียง แม้ว่าบุคคลผู้นี้อาจจะผ่านด่านแรกไปได้ แต่เขาก็จะผ่านไปได้อย่างเฉียดฉิว เมื่อเขาอยู่ในส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาว ความเร็วของเขาจะลดลงอย่างน้อยสิบเท่า” เมื่อชายหนุ่มที่มีรูปกำยำกล่าว

ฮั่นเฟิงไม่ได้พูดอะไรและเริ่มท่องไปทั่วเกาะที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวแห่งนี้

กรรช์!

ทั้งเกาะเป็นเหมือนสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ มันระเบิดเสียงคำรามออกมาอย่างน่ากลัว

ภายใต้คำรามที่โกรธเกรี้ยวนี้ คนสองคนที่อยู่ข้างฮั่นเฟิงต่างก็สั่นสะท้านและสีหน้าซีดจางอย่างมาก

อัศนีคำรามนี้มุ่งเป้าไปที่จิตวิญญาณของใครคนหนึ่ง เนื่องจากระดับบ่มเพาะที่มีสูง จิตวิญญาณของพวกเขาจะได้รับการยกระดับขึ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต้องเตรียมใจมาเจอสิ่งนี้เช่นกัน

แต่ ณ ตอนนี้เอง พวกเขาก็ยังรู้สึกราวกับว่าจะไม่สามารถทนต่อมันได้ เชกเช่นเดียวกับที่พวกเขามาครั้งแรก

ในทางตรงกันข้าม ฮั่นเฟิงกลับมีสีหน้าไม่แยแส มันเห็นได้ชัดว่าอัสนีคำรามไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้

ที่ด้านหลัง หลี่ฟูเฉินมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พยายามสังเกตว่าเสียงคำรามที่มาจากไหน

ท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะก้าวออกไป เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธดังมาจากความว่างเปล่าเหนือเกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้ ดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะเต็มไปอารมณ์โมโหโทสะ

“นี่ช่างลึกลับจริงๆ” หลี่ฟูเฉินเดินทางต่อและในไม่ช้าก็ข้ามเกาะ​ได้สำเร็จ

“เขาไม่เป็นอะไรเลย…” เยาวชนที่มีรูปร่างกำยำดูเหลือเชื่อ

“เขาต้องมีเคล็ดลับบางซ่อนเอาไว้อยู่แน่” ฮั่นเฟิงหัวเราะเบาๆ เขาต้องการดูว่าบุคคลนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน

ทันใดนั้นเขาก็ข้ามเกาะได้สำเร็จ คลื่นไร้รูปร่างก่อตัวขึ้น คลื่นนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน มันเข้าสู่ร่างกายของฮั่นเฟิงและหลี่ฟู่เฉินตามลำดับ​

เมื่อคลื่นเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา จิตใต้สำนึกของหลี่ฟู่เฉินก็แจ้งให้เขาทราบว่าทักษะการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มันให้ความรู้สึกเหมือนเวลาที่เขายกระดับโครงกระดูกของเขา


บทที่ 227 เหนือกว่าฮั่นเฟิง

‘ด้วยการปรับปรุงพลังจากเส้นทางดวงดาว ความสามารถในการฝึกฝนของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่มันดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่นี้ คลื่นพลังงานนั้นได้ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของข้าและลดคอขวดสำหรับการบ่มเพาะของข้าไป’

จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินนั้นน่าหวาดกลัวยิ่ง ขณะนี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคอขวดในการบ่มเพาะของช่วงขอบเขตปฐพีระดับที่ 4 5 และ 6 ได้ แต่ก่อนหน้านี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงแค่คอขวดของสองระดับถัดไป

ในบรรดาทั้งสี่คน มีเพียงแค่ฮั่นเฟิงและหลี่ฟู่เฉินเท่านั้นที่จะได้รับการปรับปรุงจากพลังงานของเส้นทางดวงดาว เพราะสองคนนี้ได้ผ่านด่านแรกไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจะไม่ได้รับการปรับปรุงจากพลังของเส้นทางดวงดาวอีกต่อไป นอกเสียจากว่าพวกเขาจะผ่านด่านที่สองไปได้

ในส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาว สนามพลังฉีเพิ่มแรงกดดันขึ้นเป็นสองเท่า

เมื่อฮั่นเฟิงก้าวเท้าเข้าไปบนมัน เขารู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย

สำหรับอีกสองคนข้างฮั่นเฟิง การแสดงออกของพวกเขาอึดอัด

“ยังคงได้อยู่” เมื่อเดินบนส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาว หลี่ฟู่เฉินไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง

หากส่วนแรกของเส้นทางดวงดาวเป็นสายลมอ่อนๆ ที่อ่อนโยน ส่วนที่สองก็คงเป็นสายลมธรรมดาที่อ่อนโยนเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นสายลมอ่อนโยนหรือสายลมปกติที่อ่อนโยน สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยความเร็วสูง มันย่อมมีความแตกต่างกันไม่มากนัก ลมที่ว่านั้นก็เหมือนมีไว้แค่เป่าผมของพวกเขาเท่านั้น

โดยไม่ลดความเร็วใดๆ หลี่ฟู่เฉินเริ่มที่จะวิ่งเร็วขึ้น

“เร็วจริงๆ”

เยาวชนที่มีร่างกายกำยำคนนั้นมีการแสดงออกที่ไม่อาจคาดเดาได้

ชายหนุ่มผู้ผอมเพรียวอีกคนหนึ่งเยาะเย้ย “อวดเก่ง เขาจะต้องเสียใจในภายหลัง”

ในเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาว ท่านจะต้องไม่ทำตัวอวดดี เช่นนั้นท่านจะสามารถเดินไปได้ไกลกว่าเดิม หากท่านรีบเร่งเพื่อลดเวลาที่ใช้ไป ไม่เพียงแต่ท่านจะไม่สามารถเดินไปได้ไกล​ แม้แต่ร่างกายและจิตใจของท่านก็จะรู้สึกเหนื่อยล้าไปด้วยเช่นกัน

เมื่อฮั่นเฟิงเห็นว่าหลี่ฟู่เฉินรวดเร็วแค่ไหน สีหน้าของเขาดูเย็นชาขึ้น

เขารู้สึกว่าหลี่ฟู่เฉินกำลังทำสิ่งนี้โดยเจตนา ทำให้เขาอับอาย

เขาจะไม่ยอมแพ้กับคนเช่นนี้ ฮั่นเฟิงจะใช้การกระทำของเขาเพื่อแสดงให้คู่ต่อสู้ของเขาเห็นเสมอ สิ่งนี้ก็เป็นแค่การนำความอับอายมาให้กับตัวเอง

“ตราบใดที่มันไม่ใช่คนที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อควรระวัง ข้า ฮั่นเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร”

ฮั่นเฟิงไม่ได้บอกกับสองคนที่ด้านข้างและก็ระเบิดความเร็วของเขาออกมา มันทำให้เขาตามหลี่ฟู่เฉินทันในทันที

ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ฮั่นเฟิงก็ทิ้งหลี่ฟูเฉินไว้ข้างหลัง

“ฮั่นชิเซียงน่ากลัวยิ่ง เขาสามารถรักษาความเร็วเช่นนั้นไว้ได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาว ไอเจ้านั้นต้องกำลังมึนงงอยู่แน่!”

“จากสิ่งที่ข้าเห็น เขาแค่อยากจะอวดตนและทำให้ฮั่นเฟิงขายหน้า แต่น่าเสียดายที่เขาเลือกคู่ต่อสู้ผิด”

“เรามาวิ่งให้ช้าลงกันเถอะ อย่างไรก็ตาม เส้นทางดวงดาวมีเส้นขอบฟ้ากว้างขวางและอากาศไม่มีสิ่งเจือปน ยังไงเราก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะห่างไปสองถึฝสามกิโลเมตรก็ตาม”

“ก็ดี วิ่งให้มันช้าลง ไม่งั้นเราอาจจะเป็นแบบเจ้านั้น”

พวกเขาสองคนคิดว่าหลี่ฟู่เฉินนั้นต่ำต้อยและคิดว่าเขาเพิ่งจะเลือกคู่ต่อสู่ผิด

แน่นอน ส่วนใหญ่เป็นเพราะความมั่นใจในตัวของฮั่นเฟิง พวกเขาไม่คิดว่าฮั่นเฟิงจะพ่ายแพ้หลี่ฟูเฉิน​

เมื่อหลี่ฟู่เฉินเห็นฮั่นเฟิงมาหาเขา ในใจของเขาไม่ได้มีสิ่งแม้แต่เล็กน้อย ความเร็วปัจจุบันเป็นความเร็วเขาทำได้ง่ายๆ ไม่ได้ลำบากอะไร และยังไม่มีแรงกดดันใดๆ แม้แต่น้อย มีเพียงความปิติสุขที่สนามพลังฉีของเส้นทางดวงดาวได้พัดผ่านจิตใจและร่างกายของเขาไปเท่านั้น

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ความเร็วของหลี่ฟู่เฉินก็ยังคงค้างอยู่ที่เดิม

“บุคคลนี้มีเคล็ดลับบางอย่างอยู่ใต้แขนเสื้อของเขา เขาสามารถรักษาความเร็วของเขาได้ตลอดเวลาจริงๆ ”

พวกเขาสองคนถูกทิ้งไว้ไกลกว่าสิบกิโลเมตรแล้ว ปัจจุบัน พวกเขากำลังเหงื่อออกทั่วทั้งร่างกาย​ เชกเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไปที่ได้ออกกำลังกายอย่างหนัก

“น่าเสียดาย ที่เขาจะไม่มีวันแซงฮั่นชิเซียงที่อยู่ห่างจากเขาไปสามสี่กิโลเมตรได้”

“เราควรชะลอความเร็วของเรา เราจะได้สามารถอยู่บนเส้นทางดวงดาวแห่งนี้ได้นานขึ้น เพื่อจะได้เห็นฮั่นชิเซียงจะทิ้งเขา และเหลือไว้แต่ฝุ่นผง​”

ในขณะนี้นั้น พวกเขาสองคนล้มเลิกความคิดที่จะแข่งขันไปแล้ว

ไม่ว่ากรณีใดๆ มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะผ่านด่านที่สองของเส้นทางดวงดาวไปได้ พวกเขาตระหนักได้ว่าศักยภาพของหลี่ฟู่เฉินนั้นเหนือกว่าพวกเขามาก

อย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป รูปร่างของหลี่ฟู่เฉิน และฮั่นเฟิงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจุดดำเล็กๆ สองจุดในสายตาของพวกเขา

“ช่องว่างแปดกิโลเมตร มาดูกันว่าเจ้าจะติดตามข้าได้อย่างไร”

ฮั่นเฟิงเป็นกังวลต่อสิ่งนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าก็ตาม

ลดการระวังตัวลง ความเร็วของฮั่นเฟิงก็ลดลงเล็กน้อยเช่นกัน

หลังจากระยะเวลาหนึ่ง มันก็ลดลงไปอีกครั้ง

โดยที่ไม่รู้ตัว ความเร็วของฮั่นเฟิงนั้นก็กลายมาเป็นช้ากว่าหลี่ฟู่เฉิน

แปดกิโลเมตร เจ็ดกิโลเมตร หกกิโลเมตร ห้ากิโลเมตร

เมื่อหลี่ฟู่เฉินอยู่ห่างจากฮั่นเฟิงเพียงห้ากิโลเมตร ฮั่นเฟิงดูไม่พอใจอย่างมาก

หายใจเข้าลึกๆ ฮั่นเฟิงระงับความปรารถนาที่จะเพิ่มความเร็ว

สี่กิโลเมตรครึ่ง สามกิโลเมตรครึ่ง สองกิโลเมตรครึ่ง

เมื่อฮั่นเฟิงเห็นว่าหลี่ฟูเฉินอยู่ห่างไปเพียงสองกิโลเมตรครึ่ง เขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป

“เวรเอ้ย”

ไม่มีทางเลือกอื่น ฮั่นเฟิงเพิ่มความเร็วของเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาเร็วกว่าเดิมมาก มันดูคลายกับร่างเงาที่กำลังวิ่งอยู่บนเส้นทางดวงดาว

เมื่อเขาเว้นช่องว่างไปประมาณห้ากิโลเมตร ฮั่นเฟิงค่อยๆ ลดความเร็วลง

แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ช่องว่างระหว่างพวกเขาก็สั้นลงเหลือเพียงสองกิโลเมตรครึ่งอีกครั้ง

“เขาไม่รู้รึไงว่าอะไรคือความเหนื่อยล้า?” ฮั่นเฟิงรู้สึกไม่เท่าเทียมในหัวใจของเขา

เขาเป็นเหมือนนักพนันบนโต๊ะเดิมพัน จากจุดเริ่มต้นของเขา เขาเริ่มด้วยความสงบ สิ่งนี้เองก็ได้สร้างสติให้กับเขา แต่ในปัจจุบันที่เป็นอยู่เขาไม่สามารถคุมความสงบและสติของเขาได้เลย

สองกิโลเมตร หนึ่งกิโลเมตรครึ่ง

ช่องว่างระหว่างทั้งสองคนลดตัวลงอย่างต่อเนื่อง

หอบอย่างหนัก ฮั่นเฟิงต้องการที่จะเพิ่มความเร็วของเขา แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถเพิ่มความเร็วได้มากไปกว่านี้แล้ว

การวิ่งแต่ก่อนของเขาใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย แต่สนามพลังฉีในเส้นดวงดาวปัจจุบันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันคล้ายกับลมแรงของพายุ

“ข้าทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ความเร็วในปัจจุบันของข้าอาจทำให้ข้าสามารถนำหน้าอยู่ต่อไปได้ แต่ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก เมื่อเขาตามข้าทัน ข้าจะวิ่งด้วยความเร็วที่เท่ากันกับเขา” ฮั่นเฟิงคิดกับตัวเอง

ในช่วงเวลาสั้นๆ หลี่ฟู่เฉินก็ไล่ตามทัน

ฮั่นเฟิงมองเขาอย่างรวดเร็วและดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไม่มีร่องรอยของเหงื่อในร่างกายของเขา เขาวิ่งราวกับกำลังลอยอยู่บนเมฆและกำลังลอยอยู่ในสายลม เขามีท่าทางที่สดชื่นและดูเหมือนจะไม่มีความเหนื่อยล้าอะไรเลย

รักษาความเร็วเท่าเดิม หลี่ฟูเฉินวิ่งเคียงข้างฮั่นเฟิงอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่

ประมาณ 50 กิโลเมตรด้านหลัง เยาวชนที่แข็งแกร่งและเยาวชนที่ดูผอมแห้งดูโง่งม

หลี่ฟู่เฉินตามฮั่นเฟิงมาและยังคงเดินหน้าต่อไปเหมือนเขา

นี่มันความเร็วอะไรกัน?

แฮ็ก! แฮ็ก! แฮ็ก!

การหายใจของฮั่นเฟิงดูผิดปกติ เหงื่อของเขาค่อยๆ ไหลออกมาอย่างชุ่มโชก

มองไปยังคนที่อยู่ข้างๆ เขา หลี่ฟู่เฉินยังคงดูสะอาดและเรียบร้อย

ครึ่งร่าง หนึ่งร่าง

หลี่ฟู่เฉินได้นำหน้าฮั่นเฟิงเป็นครั้งแรก

ฮั่นเฟิงกัดฟันของเขา เขาไล่ตามเพื่ออุดระยะห่างนี้

15 นาที 30 นาที

ฮั่นเฟิงใช้พลังงานทั้งหมดของตัวเองแล้ว แต่เขาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เพราะว่าเขาไม่สามารถไล่ตามความเร็วของหลี่ฟู่เฉินได้อีกต่อไป

“เป็นไปไม่ได้ ข้า ฮั่นเฟิงผู้นี้ จะแพ้? เขาจะต้องมีสิ่งประดิษฐ์ที่โกงได้แน่ๆ” ฮั่นเฟิงมีสีหน้าที่น่ากลัว

เมื่อหลี่ฟู่เฉินเว้นช่องว่างห่างจากเขาประมาณสิบเมตร ฮั่นเฟิงก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

“สารเลว ไปให้พ้นจากเส้นทางแห่งดวงดาวซะ”

ฮั่นเฟิงตวาดอย่างรุนแรง กระบวนท่าแรกที่เขาใช้ออกมานั้นเป็นกระบวนท่าสังหารที่ใช้ออกเพื่อโจมตีหลี่ฟู่เฉินด้วยความเร็วสูงสุด

หลี่ฟู่เฉินขมวดคิ้วและระเบิดความเร็วออกมาในทันที มันเร็วกว่าความเร็วสูงสุดของฮั่นเฟิงที่ระเบิดมาก่อนหน้านี้

บูมม!

มันเป็นระเบิดพลังฉี แต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลี่ฟู่เฉินแต่อย่างใด

“ข้าจะทิ้งเขาไปในทีเดียว”

หลี่ฟู่เฉินรักษาความเร็วสูงสุด เขาไม่ต้องการต่อสู้อย่างไร้ความหมายบนเส้นทางดวงดาว เว้นไว้แต่จะจำเป็น

ห้าร้อยเมตร

สามกิโลเมตร ห้ากิโลเมตร สิบกิโลเมตร

ในช่วงเวลาสั้นๆ หลี่ฟู่เฉินก็อยู่ห่างจากฮั่นเฟิงออกไปสิบกิโลเมตร

ฮั่นเฟิงแสดงความประหลาดใจและความไม่เชื่อออกมา เขารู้สึกราวกับว่าเขาถูกตบหน้าอย่างเหี้ยมโหด

เขารู้สึกราวกับว่าเขาถูกเยาะเย้ยโดยหลี่ฟู่เฉิน

“มันไม่จบ​ง่ายๆ แค่นี้แน่!” ฮั่นเฟิงแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน


บทที่ 228 อนุสาวรีย์แห่งชื่อ


 


“ฮั่นชิเซียงถูกเขาแซงหน้า?”


 


ห่างออกไป 50 กม. ทั้งสองคนที่สังเกตเห็นหลี่ฟูเฉินและฮั่นเฟิง ก็ได้สบตากัน


 


มุมมองในเส้นทางดวงดาวนั้นเห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกไป 50 กม. พวกเขาก็ยังสามารถแยกความแตกต่างของฮั่นเฟิงและหลี่ฟู่เฉิน


 


พวกเขาตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหลี่ฟูเฉินนำฮั่นเฟิงไปได้และยังบังคับให้ฮั่นเฟิงยอมเสียหน้าต้องลงไม้ลงมือ


 


ฮั่นเฟิงเป็นใคร? เขาเป็นหนึ่งในนภาทั้งเจ็ด ถ้าหากเป็นสถานที่อื่นในเวลาปกติ เขาจะเป็นการดำรงอยู่ที่เป็นหนึ่งไปมีสอง ผู้ที่สามารถเอาชนะเขาได้สมควรเป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวหรือไม้ก็โครงกระดูกระดับ 6 ดาวที่ท้าทายสวรรค์นั้น หรือว่าหลี่ฟู่เฉินจะเป็นผู้ท้าทายสรวงสวรรค์คนใหม่โครงกระดูกระดับ 6 ดาว?


 


สำหรับโครงกระดูกระดับ 5 ดาว มันย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ทันทีที่มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวโผล่ขึ้นมาในนิกาย ข้อมูลจะถูกกระจายไปทั่วและมันเป็นการยากที่จะปกปิดมัน


 


ส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาวนั้นยาวหาใดเปรียบ สนามพลังฉีจากที่เป็นเพียงแค่สายลมที่อ่อนโยนก็ค่อยๆ กลายเป็นลมแรงน้อยๆ


 


แม้แต่หลี่ฟู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างได้


 


แต่ร่องรอยของแรงกดดันเหล่านี้มีได้ไม่ถึงนาทีและก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลี่ฟู่เฉินอีก


 


15 กม. 25 กม.


 


ฮั่นเฟิงถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยหลี่ฟู่เฉินขณะที่ระยะห่างกันถึง 25 กม.


 


หลังของฮั่นเฟิงเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


 


ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเขายังคงควบคุมตัวเองไว้ เขาก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยเช่นนี้


 


แต่เป็นเพราะความคิดเรื่องการแข่งขันของเขาจึงทำเขาใช้ความเร็วมากเกินไป ทั้งยังถูกกระตุ้นโดยหลี่ฟู่เฉินในภายหลัง ซึ่งทำให้เกิดสภาพที่น่าสังเวชของเขาเข้ามา


 


หากเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในนภาทั้งเจ็ด เขาคงจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปตั้งนานแล้ว


 


ในที่สุด หลี่ฟู่เฉินก็มาถึงด่านที่สอง


 


ด่านที่สองก็ยังเป็นเกาะโดดเดี่ยวเช่นเดิม


 


บนเกาะนี้มีรูปปั้นหินสูงตระหง่าน ซึ่งกำลังปิดตาอยู่


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินก้าวขึ้นไปบนเกาะ คลื่นที่ไน้รูปร่างแผ่กระจายออกไป ขณะที่รูปปั้นหินเปล่งแสงประกายคล้ายหมอกออกมา ในขณะเดียวกัน รูปปั้นหินเปิดตาและมันก็เป็นดวงตาคู่หนึ่งที่มีหมอกอยู่ภายใน


 


ฉึบ!


 


วิญญาณของหลี่ฟู่เฉินถูกสั่นคลอน


 


“เทคนิคลวงตา?” หลี่ฟูเฉินกำลังคิดหนัก


 


ตามที่เขาคิด ด่านแรกคือการคำรามของสายฟ้าและด่านที่สองคือดวงตาแห่งหมอก


 


แต่มันกลับกลายเป็นว่าดวงตาแห่งหมอกกลับเป็นเทคนิคลวงตาจริงๆ


 


เทคนิคลวงตาเป็นสิ่งที่ยากที่จะป้องกัน


 


มันค่อนข้างเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะและไม่เกี่ยวข้องในเวลาเดียวกัน


 


เมื่อพูดถึงเรื่องที่ว่าเกี่ยวข้อง มันก็หมายถึงยิ่งระดับการฝึกฝนสูงมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณก็จะยิ่งแข็งแกร่ง​มากขึ้นเท่านั้น


 


และเมื่อกล่าวว่ามันไม่เกี่ยวข้อง นั้นหมายถึง แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของใครคนนั้นจะสูงซักเพียงใด แต่หากจิตวิญญาณของใครคนหนึ่งไม่แข็งแรงพอ​ นักสู้คนนั้นก็จะยังคงตกอยู่ในภาพลวงตาต่อไป


 


หากนักษะสู้คนใดมีทักษะลวงตาที่แข็งแกร่งยิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ขอบเขตปฐพี แต่พวกเขาก็อาจทำให้นักสู้ขอบเขตสวรรค์ตกอยู่ในวังวนของภาพลวงตาได้


 


หากนักสู้ที่มาท้าทายไม่มีทักษะภาพลวงตา มันจะก็ยากราวกับปีนป่ายสรวงสวรรค์ สำหรับนักสู้ขอบเขตปฐพีเพื่อที่จะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์แล้วนั้น หากพวกเขาไม่ใช่สวรรค์กำลังท้าทายการมีอยู่​ หากพวกเขาไม่ใช่เหล่าโครงกระดูก 6 ดาวที่ท้าทายสวรรค์พวกยั้น มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย


 


แต่เพื่อที่จะฝึกฝนเทคนิคภาพลวงตาสิ่งที่ต้องมีก่อนอย่างแรกก็คือ การมีเจตจำนงที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการฝึกฝนเทคนิคภาพลวงตานั้นๆ ด้วย


 


ความถนัดต่างๆ อาจขึ้นอยู่กับเทคนิคภาพลวงตาประเภทเดียวกับโครงกระดูกหรือความรู้สึกพิเศษที่เกิดในร่างกายของคนๆ นั้นนำไปสู่เทคนิคภาพลวงตา


 


เทคนิคภาพลวงตาที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวรูปปั้นหินนั้นน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง มันแข็งแกร่งกว่าอย่างน้อยสิบเท่าสำหรับคนในนิกายเร้นวิญญาณ ผีสาว เย่ฮั่ว เมื่อต้องที่เธอใช้มันในช่วงเขตแดนร้อยสมุนไพรเร้นลับ


 


น่าเสียดายที่จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก และจิตสำนึกของเขาเองก็เป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์


 


สำหรับหลี่ฟู่เฉิน เทคนิคภาพลวงตาของรูปปั้นหินเป็นเพียงแค่ระลอกคลื่นในทะเลสาบแต่เพียงเท่านั้น​


 


หากต้องการทำให้เขาตกอยู่ในภาพลวงตา มันก็จะเกิดขึ้นได้เพียงในความฝันของเขาเท่านั้น


 


หลังจากเดินผ่านรูปปั้นหินมา หลี่ฟู่เฉินเห็นอนุสาวรีย์หินสูงตระหง่าน


 


แปรงเขียนปรากฏออกมาจากที่ใดสักที่และก็ได้ลอยไปที่หน้าของหลี่ฟู่เฉิน


 


คิ้วของหลี่ฟู่เฉินเลิกขึ้นและคิดว่านี่คืออนุสาวรีย์สำหรับการสลักชื่อ


 


ผู้ที่สามารถผ่านด่านที่สองของเส้นทางแห่งดวงดาวหลังจากที่ใช้ความพยายามเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถึงจะสามารถทิ้งเครื่องหมายของตนเองไว้ได้


 


การสร้างเครื่องหมายจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีแปรง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครทิ้งชื่อไว้ได้ หลังจากที่ในรอบแรกไม่ผ่าน


 


นอกจากนี้ หากทุกคนที่มาได้ทิ้งเครื่องหมายของตนเองไว้ เครื่องหมายเหล่านั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ดูหยาบคายอย่างไม่ต้องสงสัย


 


บนอนุสาวรีย์หิน เครื่องหมายถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม :


 


กลุ่มแรกอยู่ในระดับสูงที่สุด ทั้งยังพวกเขาเองก็เป็นคนที่มีจิตวิญญาณของนักเขียน และคลื่นลึกลับบางอย่างเองก็ลอยแพร่ไปที่เส้นทางดวงดาวแห่งนี้


 


กลุ่มที่สองมีเครื่องหมายมากมายและอัดแน่นเบียดเสียดกัน มันราวกับลูกอ๊อดตัวเล็กๆ


 


กลุ่มที่สาม มีการเครื่องหมายมากกว่าเดิม และด้วยการมองเพียงครั้งเดียวย่อมไม่สามารถบอกได้ว่ามีเครื่องหมายจำนวนเท่าใด


 


“เครื่องหมายกลุ่มแรกจะต้องถูกทิ้งไว้โดยโครงกระดูก 6 ดาวซึ่งเป็นบุคคลที่ท้าทายสวรรค์เหล่านั้น”


 


“เครื่องหมายกลุ่มที่สองสมควรถูกเขียนไว้โดยโครงกระดูกระดับ 5 ดาว เหล่าหัวกะทิ”


 


“สำหรับเครื่องหมายกลุ่มที่สาม อาจถูกเขียนไว้โดยโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่เก่งกว่าค่าเฉลี่ย”


 


“เครื่องหมายเหล่านี้ดูจางๆ แล้ว อาจหมายถึงว่าผู้เขียนตายไปแล้ว”


 


ดูเหมือนว่าคนที่สามารถผ่านด่านเส้นทางแห่งดวงดาวได้ในครั้งแรก ย่อมเป็นคนที่ไม่ธรรมดา โครงกระดูกระดับ 5 ดาวปกติไม่มีโอกาสที่จะได้มาที่นี่ในครั้งแรก เฉพาะบุคคลที่มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวระดับหัวกะทิเท่านั้นที่จะมีความสามารถในการมาที่นี่ด้วยความพยายามครั้งแรกของพวกเขา


 


จากสิ่งที่หลี่ฟู่เฉินเห็น ดาบคลั่ง ดาบพยัคฆ์ และดาบไร้อารมณ์สมควรอยู่ในกลุ่มที่สอง


 


ดาบคลั่งจะต้องหมกมุ่นอยู่กับดาบและมีความเข้าใจที่ยอดเยี่ยม แต่มันช่างน่าเสียดายที่โครงกระดูกของเขามีระดับต่ำเกินไป เขามีโครงกระดูกระดับ 4 ดาวแต่เพียงเท่านั้น


 


ด้วยเหตุนี้เอง ดาบคลั่งก็จึงคล้ายกับเป็นผู้ที่ท้าทายสวรรค์ด้วยโครงกระดูกเพียง 4 ดาว


 


สำหรับตัวเขาเอง หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ


 


เขามีโครงกระดูกเพียงแต่ 1 ดาวเท่านั้น


 


หลี่ฟูเฉินยื่นมือข้างขวาของเขาออกไปจับแปรงเขียน


 


“ห้ะ!”


 


ทันทีที่เขาถือแปรง หลี่ฟู่เฉินรู้สึกได้ว่าแปรงนี้ไม่ธรรมดา


 


แปรงนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันลึกลับมากกว่าอาวุธระดับปฐพีถึงสิบเท่า เขาพยายามนำจิตสำนึกของเขาเข้าไป แต่คลื่นที่ไร้รูปร่างขัดขวางเขาเอาไว้


 


อย่างน้อยๆ ขั้นของแปรงต้องอยู่ในระดับปฐพีชั้นสูง หลี่ฟู่เฉินคิด


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินจับแปรงแล้วคลื่นลึกลับก็หลุดออกจากช่องว่างและถูกเทลงไปในแปรง หลี่ฟู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาไม่จำเป็นต้องถ่ายพลังฉีลงไปใดๆ เลยแม้แต่น้อย


 


เหมือนมันจะเป็นอย่างที่เขาคิด ดูแล้วแปรงนี้อย่างน้อยก็เป็นระดับปฐพีขั้นสูงแน่ๆ ทว่ามันไม่รับพลังฉีของเขาเลย ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทิ้งร่องรอยไว้ที่อนุสาวรีย์​


 


ดังนั้น มันถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเครื่องหมายบนอนุสาวรีย์เหล่านั้นถึงมีคลื่นลึกลับแฝงเอาไว้อยู่ มันอาจเป็นเพราะแปรงสลักนามอันนี้นี่เอง


 


หลังจากคิดถึงมันเสร็จ หลี่ฟู่เฉินก็เริ่มเขียนเครื่องหมายของเขาลงไป


 


เขียนกลางอากาศ


 


เครื่องหมายที่หลี่ฟู่เฉินเขียนนั้นคือคำว่า ‘ดาบ’​ คำว่า ‘ดาบ’ นี้บรรจุฐานดาบของหลี่ฟู่เฉินทั้งหมดไว้ และยังมีจิตวิญญาณที่น่าเกรงขามของเขาแฝงไว้อยู่ด้วย


 


ทันทีที่การทำเครื่องหมาย ‘ดาบ’ เสร็จสมบูรณ์ ในเวลาเดียว มันเริ่มเปล่งแสงและบินไปทางอนุสาวรีย์ชื่อทันที


 


กลุ่มสาม


 


กลุ่มสอฝ


 


กลุ่มหนึ่ง


 


เครื่องหมาย ‘ดาบ’ เปล่งแสงออกมาอย่างรวดเร็วและในที่สุดมันก็พบจุดที่ว่างเปล่าสำหรับสร้างเครื่องหมาย


 


ครืน!


 


อนุสาวรีย์แห่งชื่อเปล่งประกายเปล่งปลั่งสดใส ในขณะที่เส้นทางดวงดาวทั้งหมดก็สั่นเล็กน้อยในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมากมาย


 


“กลุ่มแรก!” หลี่ฟูเฉินยกคิ้วของเขาขึ้น


 


หลังจากเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ถูกทำเครื่องหมายแล้ว คลื่นลึกลับและเจตจำนงที่เป็นของหลี่ฟู่เฉินก็แพร่กระจายออกมา มันส่องแสงพร้อมกับเครื่องหมายอื่นๆ ในกลุ่มแรก มันดูสูงกว่าเครื่องหมายอื่นๆ และให้ออร่าที่บ่งบอกว่ามันกุมอำนาจสูงสุด


 


นอกจากนี้ หลี่ฟู่เฉินสังเกตเห็นว่าในทุกเครื่องหมายของกลุ่มแรก นอกเหนือจากที่จางไปแล้ว อันอื่นๆ ก็มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป บางอันก็ใหญ่กว่าบางอันก็เล็กกว่า


 


อันที่เล็กกว่ามีเยอะที่สุด ในขณะอันที่ดูใหญ่มีเพียง 10 % จากทั้งหมด


 


เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่หู่เฉิน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ดูอันใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้น มันใหญ่ที่สุดในหมู่พวกมันทั้งหมด


 


มีเครื่องหมาย ‘ดาบ’ อื่นๆ ที่ไม่ยอมแพ้และพยายามรีบไปยังเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉิน พวกมันพยายามเข้าไปหากดดัน


 


แต่เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินก็สั่นเล็กน้อยและกำจัดเครื่องหมาย ‘ดาบ’ อื่นๆ ไปได้ในทันทีทำให้พวกมันทั้งหมดถอยออกไป


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


ฮั่นเฟิงและอีกสองคนตื่นตระหนก พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


ฮั่นเฟิงมองไปยังด่านที่สองของเส้นทางดวงดาวและพบว่าความวุ่นวายมาจากที่นั่น


บทที่ 229


ศักยภาพระดับราชา


 


 


“ดูเหมือนว่าศักยภาพของฉันจะอยู่ในระดับเดียวกับโครงกระดูกระดับ 6 ดาว นอกจากนี้ มันอาจกระทั้งอยู่ในจุดสูงสุดของโครงกระดูก 6 ดาว”


 


หลังจากเห็นว่าเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของเขาน่ากลัวเพียงใด หลี่ฟูเฉินมีความรู้ใหม่เกี่ยวกับศักยภาพของเขาเองทันที


 


โครงกระดูกระดับ 6 ดาวถือเป็นโครงกระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปยูนิคอนตะวันออก


 


หากโครงกระดูกระดับ 5 ดาวมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเข้าสู่ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด เช่นนั้นแล้วโครงกระดูกระดับ 6 ดาวก็มีโอกาส 80% ที่จะตัดผ่านเข้าไปในขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดและขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณ


 


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์วิญญาณสามารถที่จะเอาชนะนิกายใดๆ ก็ได้ นั้นรวมทั้งนิกายนภาดารา ตระกลูต้วนหลิน และหุบเขานิรันดร์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่


 


ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์วิญญาณอาจเรียกได้ว่าเป็นราชาในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก ผู้ที่ติดตามพวกเขาจะรุ่งเรือง และจะไม่มีทางพบเจอกับเรื่องเลวร้ายใดๆ


 


หลี่ฟู่เฉินอาจมีโครงกระดูกแค่ระดับ 1 ดาวเท่านั้น แต่ศักยภาพของเขานั้นไม่ใช่เพียงแค่ 1 ดาวแน่นอน เขามั่นใจว่าตราบใดที่เขาไม่ได้ตายลงไป​ การตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นสำหรับเขา และมีโอกาสสูงที่เขาจะสามารถฝ่าฟันและตัดผ่านเข้าสู้ขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณได้


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว เขาก็มีศักยภาพในจุดสูงสุดของโครงกระดูกระดับ 6 ดาว


 


หลังจากผ่านด่านที่สองของเส้นทางดวงดาส หลี่ฟูเฉินก็มาถึงส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาวเป็นที่เรียบร้อย


 


เมื่อเทียบกับส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาว แรงกดดันของสนามพลังฉีของส่วนที่สามเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า


 


อีกนัยหนึ่งคือ สนามพลังฉีของส่วนที่สามคือสี่เท่าของส่วนแรกและสองเท่าของส่วนที่สอง


 


ยืนอยู่บนส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาว หลี่ฟูเฉินรู้สึกราวกับว่ามีลมพายุพัดเข้าใส่เขา ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายของเขาแล้ว


 


‘ดูเหมือนว่าข้าจะต้องชะลอความเร็วของข้าลง’ หลี่ฟูเฉินเริ่มวิ่ง ในขณะที่ปรับความเร็วของเขาอย่างต่อเนื่อง


 


เพียงไม่นาน หลี่ฟู่เฉินก็ปรับความเร็วของเขาให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมได้แล้ว ซึ่งใช้ความเร็วที่ 70% เมื่อเทียบกับส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาว


 


หลังจากหลี่ฟู่เฉินออกไป ฮั่นเฟิงก็มาถึงด่านที่สองของเส้นทางดวงดาว


 


บางทีอาจเป็นเพราะสภาพที่ไม่ดีของเขา​ ฮั่นเฟิงตกลงไปในเทคนิคภาพลวงตาที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากรูปปั้นหิน เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เขาจะดึงตัวเองออกจากภาพมายาได้


 


“นี่มันช่างเฉียดฉิวนัก” ฮันเฟิงยังคงมีความกลัวในจิตใจของเขา


 


หากเขาต่อสู้กับศัตรูตัวจริง หนึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้วที่เขาจะถูกฆ่าตายได้มากกว่า 1,000 ครั้ง


 


เมื่อเขามายังหน้าอนุสาวรีย์ ฮั่นเฟิงเริ่มสำรวจอนุสาวรีย์หิน


 


เขาต้องการที่จะรู้ว่าหลี่ฟู่เฉินทิ้งเครื่องหมายไว้ที่ไหน


 


มีการทำเครื่องหมายในกลุ่มที่สามมากเกินไปและฮันเฟิงเองก็ไม่ได้งี่เง่าขนาดที่จะคิดว่าเครื่องหมายของหลี่ฟู่เฉินจะอยู่ในกลุ่มนั้น


 


ฮั่นเฟิงเริ่มค้นหากลุ่มที่สองอย่างช้าๆ


 


มีความคล้ายคลึงกันบ้าง แต่สัญชาตญาณของฮั่นเฟิงบอกเขาว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลังจากผ่านไปนาน การแสดงออกของฮันเฟิงเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงและเริ่มครุ่นคิด “เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะอยู่ในกลุ่มแรก?”


 


กลุ่มแรกเป็นพื้นที่ที่มีความหมายสำหรับโครงกระดูก 6 ดาวและพวกโครงกระดูก 5 ดาวที่มีความสามารถระดับท้าทายสวรรค์ แม้แต่กระทั้งฮันเฟิงก็ยังรู้สึกด้อยกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้


(ความสามารถท้าทายสวรรค์ก็คือพวกระดับหัวกระทิอย่าง เช่นดาบไร้อารมณ์ ที่ฝีมือเกินขั้นตัวเองไปแล้วหรือตัวอย่างง่ายๆ ก็คือหลี่ฟู่เฉิน)​


 


ด้วยทัศนคติที่ไม่เชื่อในความคิดตัวเอง ฮั่นเฟิงเริ่มค้นหาในกลุ่มแรก


 


เมื่อดวงตาของเขาตกลงไปที่เครื่องหมาย ‘ดาบ’ อันยิ่งใหญ่ ฮันเฟิงกลายเป็นมึนงง


 


เครื่องหมาย ‘ดาบ’ นี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับหลี่ฟู่เฉิน


 


แต่เครื่องหมาย ‘ดาบ’ นี้ใหญ่มาก มันจะเป็นหลี่ฟู่เฉินไปได้อย่างไร? เขาเป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่อยู่ในระดับท้าทายสวรรค์หรือไม่?​


 


สิ่งนี้ไม่ถูกต้อง แม้แต่กระทั้งโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่มีความสามารถท้าทายสวรรค์ก็ไม่สามารถทำมันออกมาให้ใหญ่ได้เช่นนี้ใช่หรือไม่?


 


ความหมายของระดับท้าทายสวรรค์ไม่ใช่ว่าคือการได้ท้าทายสวรรค์จริงๆ มันหมายถึงการท้าทายความแตกต่างระหว่างโครงกระดูก ความหมายสำหรับระดับท้าทายสวรรค์ของโครงกระดูก 5 ดาวก็คือระดับฝีมือะวกเขาจะอยู่ในระดับโครงกระดูก 6 ดาว


 


ยกตัวอย่างเช่น โครงกระดูกระดับ 3 ดาวที่มีความสามารถท้ายทายสวรรค์จะสามารถต่อสู้กับพวกโครงกระดูกระดับ 4 ดาวได้ โครงกระดูกระดับ 4 ดาวที่มีความสามารถท้ายทายสวรรค์ก็จะสามารถต่อกรกับพวกโครงกระดูกระดับ 5 ดาว ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือฝีมือของพวกเขาจะเกินระดับตัวเองไป 1 ดาว


 


หากเครื่องหมาย ‘ดาบ’ นี้ถูกสร้างโดยหลี่ฟู่เฉินจริงๆ นั้นก็หมายความว่าศักยของเขาไม่เพียงแต่จะเป็นโครงกระดูกระดับ 6 ดาว แต่มันเป็นโครงกระดูกระดับ 6 ดาวที่เหนือกว่าทั้งหมด และอยู่ในจุดสูงสุดของระดับ 6 ดาวนี้


 


ฮั่นเฟิงกลายเป็นโง่งม


 


หากศักยภาพของหลี่ฟู่เฉินอยู่ที่จุดสูงสุดของโครงกระดูกระดับ 6 ดาว แม้แต่กระทั้งนายน้อยนิกายนภาดาราก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เพราะเขาได้พบเครื่องหมายที่ถูกทิ้งไว้โดยปรมาจารย์สมัยยังเยาว์อยู่ในกลุ่มแรก


 


เครื่องหมายของปรามาจารย์สมัยยังเยาว์เป็นเพียงเครื่องหมายดาวดาษๆ แต่มันก็ยังเล็กกว่าเครื่องหมาย ‘ดาบ’ อย่างไม่ต้องสงสัย


 


‘เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่เครื่องหมายของเขาแน่นอน ข้ายังไม่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเขาและยังไม่คุ้นเคยกับสภาวะพลังฉี ยิ่งไปกว่านั้น มีเครื่องหมาย ‘ดาบ’ มากมายในกลุ่มแรก และเมื่อมองไปในกลุ่มสองมันก็ยิ่งมากกว่าเดิม เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ทั้งหมดเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ซึ่งมีลักษณะที่ดูอันตรายและแหลมม บางทีเครื่องหมายของเขาอาจเป็นเครื่องหมาย ‘ดาบ’ อันอื่นๆ


 


จิตใต้สำนึกของฮันเฟิงปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ เพราะมันน่าตกใจเกินไปและเขาไม่สามารถยอมรับได้


 


“ฮึ่ม ข้า ฮั่นเฟิงเป็นหนึ่งในเจ็ดนภาและฉันยังไม่ได้ทดสอบศักยภาพของตัวเอง อาจมีโอกาสที่ศักยภาพของข้าจะเป็นของกลุ่มแรกเช่นกัน สำหรับเขา… แน่นอนว่าเขาต้องมีสิ่งประดิษฐ์เอาไว้โกงครอบครองของอยู่”


 


ฮั่นเฟิงเชื่อมั่นว่าหลี่ฟูเฉินต้องครอบครองสิ่งประดิษฐ์พิเศษบางอย่าง


 


โลกมีขนาดใหญ่และมีความลึกลับนับไม่ถ้วน เช่นนั้นแล้วมันน่าจะมีสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่สามารถช่วยผู้ถือครองแบบไม่เปิดเผยอยู่แน่นอน


 


หยิบแปรงขึ้นมา ฮั่นเฟิงเริ่มร่างและทำเครื่องหมายของเขา


 


เครื่องหมายของเขาเป็นสัญลักษณ์ของใบเมเปิ้ล


 


สัญลักษณ์ใบเมเปิ้ลส่องสว่างและบินไปยังอนุสาวรีย์แห่งชื่อ


 


กลุ่มที่สาม… กลุ่มที่สอง


 


สัญลักษณ์ใบเมเปิ้ลหยุดอยู่ที่กลุ่มที่สอง และมันก็พบจุดที่ว่างเปล่า จากนั้นมันก็สร้างสัญลักษณ์ให้ตัวเอง


 


มองเห็นผลลัพธ์ ฮันเฟิงไม่ได้รู้สึกประสบความสำเร็จใดๆ


 


ศักยภาพของเขาอยู่ที่กลุ่มที่สองเท่านั้น และมันก็ไม่ได้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มที่สอง มีเครื่องหมายอื่นๆ อีกมากมายที่ใหญ่กว่าเขา


 


“ข้าไม่ได้อยากให้มันเป็นเช่นนี้!”


 


ในความเป็นจริง ก่อนหน้าทั้งหมดนี้ เขารู้ตัวดีว่าเขาจะต้องอยู่ในกลุ่มที่สอง​


 


แต่ด้วยการปรากฏตัวของหลี่ฟูเฉิน มันทำให้เขามีความทะเยอทะยานมากกว่าเดิม


 


น่าเสียดายที่ความทะเยอทะยานนั้นถูกทำลายไปแล้วในขณะนี้


 


“ศักยภาพก็เป็นเพียงศักยภาพ มันไม่สามารถแสดงทุกอย่างออกมาได้ ข้า ฮันเฟิง จะทำลายตรรกะสามัญ และไปบนเส้นทางที่ท้าทายสวรรค์!”


 


ฮั่นเฟิงเป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งเต็มไปด้วยเจตจำนงที่แข็งแกร่ง ด้วยทั้งหมดเหล่านี้​ เรื่องเพียงเล็กน้อยจึงไม่อาจทำให้เขาหมดกำลังใจได้ ดังนั้นเขาจึงออกจากความหดหู่ได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน


 


ที่นิกายนภาดาราของเขามีคนที่โครงกระดูกระดับ 1 ดาวแต่ก็ยังสามารถตัดผ่านเข้าสู่ระดับปฐพีได้ ผู้ที่เป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวชั้นยอดเช่นเขา แน่นอนว่าหวังที่จะทำลายตรรกะทั่วไป


 


ฟื้นฟูความมั่นใจของเขา ดวงตาของฮันเฟิงมีความเปลี่ยนแปลง ในขณะที่เขาก้าวเข้าสู่ส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาว


 


“แรงกดดันมากมายอะไรเช่นนี้? แข็งแกร่งเป็นอย่างน้อยสองเท่าจากส่วนที่สองของเส้นทางดวงดาว”


 


ร่างกายของฮันเฟิงทรุดตัวลงและรู้สึกว่าวิญญาณของเขาเริ่มที่จะแปรปรวน


 


หลี่ฟูเฉินอยู่ไกลมากแล้วและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหลังเขา


 


แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการที่จะรู้เช่นกัน


 


เป้าหมายของเขาคือตรงไปข้างหน้า อะไรก็ตามที่อยู่ด้านหลังของเขา เป็นเพียงเส้นทางที่เขาผ่านไปแล้ว


 


เขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวอาจเป็นที่ๆ ลึกลับและเป็นแม้แต่กระทั่งสถานที่ๆ ลึกลับที่สุดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก แต่เครื่องทองคำของเขาเป็นสิ่งที่ลึกลับมากกว่านั้น ระดับการบ่มเพาะของเขายังคงต่ำมาก แต่เมื่อระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้น ความลับของเครื่องรางทองคำนี้จะต้องเผยออกมาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน


 


นอกเหนือจากเครื่องรางทองคำ ความมั่นใจในตัวเองของเขานั้นก็มั่นคงอย่างไร้ที่เปรียบเทียบ


 


ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พรสวรรค์ของเขาหายไป มันก็ไม่อาจทำให้เขายอมแพ้และหมดหวังได้ แต่กลับกัน มันทำให้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นเหมือนดั่งเช่นตอนนี้


 


การมีอยู่ของเครื่องรางทองคำเป็นเหมือนกับการที่จู่ๆ ก็ได้โครงกระดูกมา


 


โครงกระดูกโดยธรรมชาติของเขาอาจไม่ดีเท่ากับคนอื่น แต่เขาก็มีโครงกระดูก ‘ที่ได้มา’ ของเขาอยู่แล้ว


 


นอกจากนี้ โครงกระดูกที่ได้มาของเขายังสามารถยกระดับตัวเองได้มากขึ้นและยังคงมากขึ้นไปอีก


 


***


 


มีใครบางคนในส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาวอยู่ด้วย


 


 


หลายกิโลเมตรข้างหน้าหลี่ฟูเฉินเป็นร่างที่วิ่งด้วยความเร็วค่อนข้างมาก


 


หลี่ฟูเฉินมองข้ามและคิดว่า “ดูเหมือนว่าบุคคลนี้เป็นบุคคลที่น่าเหลือเชื่อ เขาต้องเป็นโครงกระดูก 6 ดาวหรือเป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่ท้าทายสวรรค์”


 


ความเร็วของบุคคลนั้นไม่ได้ช้าไปกว่าหลี่ฟู่เฉินมากนัก เมื่อเทียบกับผู้ชายคนก่อนที่ต้องการแข่งขันกับเขา บุคคลนี้ดีกว่ามาก


 


ในขณะเดียวกันที่หลี่ฟู่เฉินก็สังเกตเห็นเขา เขาก็สังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน​


 


“มีคนกำลังตามมา?”


 


บุคคลนี้มาอาการเหยียดหยามออกมาจากตาของเขา มีสภาวะพลังฉีที่ดูไม่เหมือนใครออกมาจากร่างกาย และดวงตาคู่นั้นมองราวกับว่ามันสามารถมองเห็นจิตวิญญาณของบุคคลนั้นๆ ได้


บทที่ 230


เซี่ยฮัวชี่


 


 


ไม่กังวลกับร่างที่อยู่ด้านหน้า หลี่ฟูเฉินรักษาจังหวะของตัวเองและวิ่งต่อไป


 


หลังจากผ่านด่านที่สองของเส้นทางดวงดาวได้แล้ว ร่างกายของหลี่ฟู่เฉินก็รับพลังงานจากเส้นทางดวงดาวมามากกว่าเดิม


 


หากด่านแรกให้พลังงานเส้นทางดวงดาวมาหนึ่งส่วนแล้วนั้น ด่านที่สองของเส้นทางดวงดาวก็เท่ากับสองส่วน ทำให้มันรวมเป็นสามส่วน


 


ด้วยพลังงานเส้นทางดวงดาวทั้งสามส่วนที่สนับสนุนร่างกายของหลี่ฟู่เฉินอยู่ เขาจึงสามารถรู้สึกถึงคอขวดระดับ 4 ขอบเขตปฐพีที่ลดน้อยลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากถ้าในตอนแรกมันดูคล้ายเหล็ก งั้นแล้วในตอนนี้มันก็ดูเหมือนอิฐ


 


หลี่ฟูเฉินรู้สึกว่าตราบใดที่เขาใช้เวลาไปกับมันเล็กน้อย เขาก็อาจจะเข้าสู่ระดับที่ 4 ของขอบเขตปฐพีได้ในช่วงเวลาสั้นๆ


 


อะไรคือการก้าวขึ้นไปยังขอบเขตปฐพีระดับที่ 4? ด้วยเทคนิคลับมังกรเร้นลับและบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ การเพิ่มระดับการฝึกฝนของเขาทุกครั้ง นั้นถือว่าเป็นการปรับปรุงความสามารถของหลี่ฟู่เฉินขึ้นไปอย่างมาก มันเป็นการปรับปรุงที่มีนัยยะสำคัญ เมื่อถึงเวลาที่เขาจะไปลองชั้นที่สามของหอคอยศิษย์หลัก มันจะง่ายเหมือนการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ


 


สองสามกิโลเมตรอาจไม่ไกล แต่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้เช่นกัน ความเร็วของหลี่ฟู่เฉินอาจเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะถึงในเวลาอันสั้น


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสนามพลังฉีของเส้นทางดวงดาวเริ่มแข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่หลี่ฟูเฉินวิ่งไปตามเส้นทาง


 


มันราวกับเป็นพายุ แต่มันก็ค่อยๆ กลายเป็นพายุที่รุนแรงแล้วในขณะนี้


 


สำหรับคนปกติ มันยากเกินไปที่จะเดินไปในพายุที่รุนแรง นับประสาอะไรกับการวิ่ง


 


หลี่ฟูเฉินไม่ได้อยู่ในสถานะที่คิดว่ามันยากที่จะเดิน แต่การวิ่งก็ยากลำบากสำหรับเขาเช่นกัน ส่งผลให้เขาลดความเร็วของเขาลงอีกครั้ง


 


แม้ว่าความเร็วของหลี่ฟู่เฉินจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ร่างที่ด้านหน้าก็เริ่มช้าลงอย่างรวดเร็วเชกเช่นเดียวกัน


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินทันเขา บุคคลนั้นก็กล่าวขึ้นมา “ข้าคือเซี่ยฮัวชี่ จากตระกลูเซี่ยฮัว ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าเจ้าผู้นี้มาจากนิกายใด?”


 


“ตระกูลเซี่ยฮัว? มันคือตระกูลต้วนหลิน?” หลี่ฟู่เฉินถาม


 


เซี่ยฮัวชี่พยักหน้า “ใช่เป็นมัน”


 


“คนจากตระกูลต้วนหลิน ข้าหลี่ฟู่เฉิน ศิษย์จากนิกายวารีคราม”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่จำเป็นต้องคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากบุคคลผู้นี้เป็นคนจากตระกูลต้วนหลิน งั้นแล้วเขาต้องเป็นหนึ่งในสิบผู้ยิ่งใหญ่จากตระกูลต้วนหลินแน่นอน


 


ถึงอย่างไรตระกูลต้วนหลินก็เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลในจุดสูงสุด มันไม่แปลกเลยหากคนในตระกูลนี้มาถึงส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาว


 


และสิบผู้ยิ่งใหญ่ต้วนหลินเท่านั้นถึงจะมีความสามารถระดับนี้ได้


 


ในบรรดาสิบผู้ยิ่งใหญ่ต้วนหลิน แม้คนนั้นอาจไม่มีโครงกระดูก 6 ดาว แต่เขาก็ต้องเป็นโครงกระดูก 5 ดาวระดับท้าทายสวรรค์


 


การฝึกฝนของเซี่ยฮัวชี่นั้นอยู่ที่ระดับ 6 ของขอบเขตปฐพี ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นระดับที่ต่ำต้อยเลย ดังนั้นแล้ว มันจึงทำให้ศักยภาพของเขาโดดเด่นยิ่งขึ้น


 


หลี่ฟูเฉินประเมินว่าเขาสมควรที่จะเป็นหนึ่งในสองโครงกระดูกระดับ 5 ดาวระดับท้าทายสวรรค์จากสิบผู้ยิ่งใหญ่ต้วนหลินสักคน


 


สำหรับผู้ที่มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวท้าทายสวรรค์เหมือนกัน เซี่ยฮัวชี่อาจยอดเยี่ยมกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียกับ ดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง มันอาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะสังหารเซี่ยเฟิงได้ในทันที


 


“นิกายวารีคราม? หือ” เซี่ยฮัวชี่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อค้นหาข้อมูลของนิกายวารีครามในใจของเขา


 


ในชั่วพริบตา เซี่ยฮัวชี่ก็นึกถึงบางอย่างเกี่ยวกับนิกายวารีครามได้


 


นิกายวารีครามเป็นเพียงนิกายธรรมดาสามัญ แต่ก็มีนิกายที่ดีกว่าเล็กน้อยข้างอยู่ใกล้พวกเขา มันเรียกว่านิกายสวรรค์ปีศาจ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลตวนหลิน พวกนั้นก็ยังด้อยกว่ามาก


 


“ศิษย์จากนิกายวารีคราม ท้ายที่สุด นี่ก็นับว่าเป็นเกียรติมากที่เราได้พบกัน!” เซี่ยฮัวชี่หัวเราะและแสดงออกอย่างหลงใหล


 


‘ทำไมบุคคลนี้ถึงแสดงออกเช่นนั้น?’ หลี่ฟู่เฉินขมวดคิ้วอยู่ในใจ


 


ท่าทางการพูดของเขาอาจดูเหมือนหลงใหล แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่แหลมคมของหลี่ฟู่เฉิน เขาจึงสามารถแยกแยะภาพรวมได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว แยกแยะระหว่างความหลงใหลอย่างแท้จริงหรือความหลงใหลจอมปลอม


 


สัมผัสได้ว่าเซี่ยฮัวชี่อาจมีแรงจูงใจซ่อนเร้น หลี่ฟู่เฉินจึงคุยกับเขาแค่สั้นๆ และไม่ได้พูดอะไรอีกเลย


 


แต่ทว่า เห็นได้ชัดว่าเซี่ยฮัวชี่ไม่ยอมที่จะปล่อยเขาไป “หลี่เซียง เนื่องจากเจ้าสามารถมาที่ส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาวได้ เจ้าต้องมีสิ่งประดิษฐ์อยู่บ้าง ทำไมไม่นำมันมาให้ข้าดู? ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด ข้า เซี่ยฮัวชี่รักษาสัญญาของตนเสมอ เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด”


 


หลี่ฟู่เฉินตอบอย่างเฉยชา “เขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวมีพลังเร้นลับบางอย่าง มีสิ่งประดิษฐ์ประเภทใดบ้างสามารถนำมาใช้โกงที่นี่ได้? เซี่ยฮัวชี่ล้อข้าเล่นแล้ว”


 


เซี่ยฮัวชี่ตอบกลับ “ดูเหมือนว่าหลี่เซียงคงยังไม่เชื่อใจข้า ไม่ดีเลย บนเส้นทางของเต๋าแห่งการต่อสู้ เพื่อนที่ดีก็เหมือนแขนเทียมที่มีไว้คอยช่วยเหลือ เราควรจะเปิดให้มีเพื่อนมากขึ้นและไม่หดหัวตัวเองอย่างเห็นแก่ตัวเพื่อสมบัติ ข้าเชื่อว่าหลี่เซียงคงเข้าใจในสิ่งที่ข้ากล่าว”


 


หลี่ฟู่เฉินเริกคิ้วของเขาขึ้น “ข้าไม่มีสิ่งประดิษฐ์ เซี่ยฮัวเซียงเลือกที่จะไม่เชื่อข้าก็ได้”


 


“คี่คี่ ดูเหมือนว่าหลี่เซียงจะไม่มีสิ่งประดิษฐ์จริงๆ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะเชื่อหลี่เซียงแล้วกัน” การแสดงออกของเซี่ยฮัวชี่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขากล่าวต่อ “หากหลี่เซียงสามารถก้าวไปยังส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาวได้โดยไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดๆ มันก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง หากมีโอกาส ไว้มาดื่มด้วยกันในภายหลัง ข้ายินดีที่จะเป็นเพื่อนกับหลี่เซียง”


 


หลี่ฟู่เฉินคล้ายสนใจและไม่สนใจ “เซี่ยฮัวเซียงสุภาพเกินไปแล้ว”


 


“เอ๊ะ? มีคนกำลังติดตามจากด้านหลัง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นวันที่มีชีวิตชีวาที่สุดของเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาว!” เซี่ยฮัวชี่หันกลับไปมอง


 


ได้ยินเช่นนั้น หลี่ฟู่เฉินก็หันกลับไปมองด้วยเช่นกัน


 


“ตาย”


 


ฉับพลัน เซี่ยฮัวชี่ส่งหมัดไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


กำปั้นนี้ห่อหุ้มด้วยพลังฉีสีเหลืองแวววาว ดูดุร้ายและโดดเด่นอย่างมาก มันให้ความรู้สึกราวกับว่าสามารถบดขยี้ภูเขาและแยกก้อนหินออกจากกัน


 


เซี่ยฮัวชี่ไม่มีความตั้งใจที่จะเป็นเพื่อนกับหลี่ฟู่เฉิน


 


เขาเริ่มต้นด้วยการถามนิกายของหลี่ฟู่เฉินก่อน​ เขากลัวว่าหลี่ฟู่เฉินจะได้รับการสนับสนุนจากเบื้องหลังที่แข็งแกร่งและถ้าเขาไม่สามารถฆ่าหลี่ฟู่เฉินได้ เขาอาจจะพบกับปัญหามากมาย


 


หลังจากนั้น เขาถามว่าหลี่ฟูเฉินมีสิ่งประดิษฐ์ใดๆ ที่จะช่วยเขาได้หรือไม่​


 


หากหลี่ฟู่เฉินมี งั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอีก แน่นอนว่าเขาจะเคลื่อนไหวเพื่อสังหารหลี่ฟู่เฉินและปล้นสิ่งประดิษฐ์นั้นไป


 


แต่ถ้าหลี่ฟู่เฉินไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดๆ เช่นนั้นแล้วมันก็มีหลายเหตุผลที่เขาจะฆ่าหลี่ฟู่เฉิน


 


หากเป็นแค่ขอบเขตปฐพีระดับที่ 3 แต่ก็มาถึงส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาวได้ เขาต้องมีศักยภาพในระดับราชาอย่างแน่นอน


 


มีบุคคลที่มีศักยภาพระดับราชามีอยู่จำนวนมากในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก แต่พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ และ… แทบจะไม่มีเยาวชนคนไหนที่จะศักยภาพในระดับราชานี้


 


สำหรับเขาแล้วมันคงจะดีกว่าถ้ามีพวกเขาน้อยลง


 


กำปั้นนี้บรรจุพละกำลังทั้งหมดของเขาไว้มันรวดเร็วเป็นอย่างมาก หนึ่งหมัดของเขานั้นเอาถึงตาย เจตจำนงกำปั้นอันเยือกเย็นเล็งไปที่ล็อคหลังของหลี่ฟู่เฉิน


 


กำปั้นนี้ถูกใช้ออกโดยระดับที่ 6 ขอบเขตปฐพีอย่างเขา มันเพียงพอที่จะสังหารใครก็ตามที่อ่อนแอกว่าเขา​ นับประสาอะไรกับการลอบโจมตี


 


เขาเชื่อว่าหลี่ฟูเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน


 


ยิ้มอย่างชั่วร้าย เซี่ยฮัวชี่เห็นภาพของหลี่หู่เฉินที่ถูกกำปั้นเจาะทะลุ


 


วิสสส!


 


กำปั้นนี้ไม่โดนอะไรนอกจากอากาศ รัศมีของหมัดสีเหลืองเป็นเหมือนมังกรที่โกรธจัด เจตจำนงแห่งหมัดถูกระเบิดออกมา ณ เวลานี้เอง


 


หลี่ฟู่เฉินเป็นเหมือนภูตผีที่ล่องลอย เขาโผล่ออกมาทางด้านหน้า


 


หันกลับมา หลี่ฟู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและรังเกียจ “ข้ารู้ว่าเจ้าแอบลอบโจมตีข้า มันเป็นไปตามที่คาดไว้”


 


เมื่อเซี่ยฮัวชี่รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลังแล้วกล่าวอะไรบางอย่างกับเขา แต่ความรู้สึกของเขาเองกลับบอกเขาว่ามันไม่มีใครอยู่ข้างหลัง เขาแสร้งทำเป็นหันไปตามแผนของเซี่ยฮัวชี่


 


ทำไมเขาต้องแสร้งทำ? มันเป็นการทดสอบคู่ต่อสู้


 


เขาต้องการเห็นการตัดสินใจของบุคคลนั้นๆ


 


ล้มเหลวในการสังหารหลี่ฟู่เฉินด้วนการชกเพียงครั้งเดียว เซี่ยฮัวชี่ปล่อยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หลี่เซียงเป็นคนที่ระมัดระวังอย่างแท้จริง เจ้าปกป้องตัวเองตั้งแต่เริ่ม นี่ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าที่ดี”


 


“หากข้าไม่ได้ป้องกันตัวเองจากคนแปลกหน้าเช่นเจ้า ข้าคงจะตายไปแล้วในตอนนี้”


 


“บางทีข้าอาจเพียงแค่ต้องการหยอกล้อหลี่เซียงเล่น เจ้ารู้ไหม ว่าข้าได้ทำนายไว้แล้ว ว่าเจ้าจะสามารถหลบมันพ้ร ข้าแค่ทดสอบศักยภาพของเจ้าเท่านั้น”


 


“ข้าไม่คู่ควรกับการทดสอบของเจ้า ลาก่อน”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการคุยกับเขาอีกต่อไป และมันก็ไม่จำเป็นต้องทำ


 


แน่นอน เขาไม่คิดว่าธรรมชาติของเซี่ยฮัวชี่จะยอมเป็นเงา ไม่งั้น เขาคงจะเป็นแค่ตัวละครรองไปนานแล้ว


 


ความสำเร็จในอนาคตไม่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของบุคคล


 


บางคนที่มีความเหี้ยมโหดก็ยังสามารถที่จะกลายเป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดได้


 


มีคนหน้าซื่อใจคดบางคนที่สามารถเป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดได้เช่นกัน


 


ความสำเร็จในอนาคตของผู้นึงเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นในการต่อสู้ ตราบใดที่ใครมีความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งในเต๋าแห่งการต่อสู้ แม้แต่กระทั้งปีศาจก็สามารถสำเร็จมหาเต๋าที่ผู้ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน


 


ซึ่งเป็นสาเหตุ ที่ในสายตาของหลี่ฟูเฉิน เซี่ยฮัวชี่เป็นบุคคลที่อันตราย


 


บุคคลประเภทนี้ชอบพูดคุยอย่างสนุกสนานและมีไหวพริบ พวกเขาสามารถฆ่าเหมือนมันไม่มีอะไรและสามารถหัวเราะออกมา แม้ว่าพวกเขาจะล้มเหลวในการโจมตี ท้ายที่สุดแล้วเขาเป็นคนที่ผิดปกติอย่างแน่นอน


 


แต่แม้ว่าศัตรูของเขาจะฉลาดแกมโกง ถึงอย่างงั้นหลี่ฟู่เฉินก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน


 


เขาต้องทำให้ตัวเองให้อยู่ได้นานขึ้น และบุคคลที่เป็นอันตรายเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นคนกัดเกลาสภาวะจิตใจให้เขา


บทที่ 231


ความผิดปกติของเส้นทางดวงดาว


 


เพิ่มความเร็วของเขาเล็กน้อย หลี่ฟู่เฉินจึงค่อยๆ ทิ้งห่างเซี่ยฮัวชี่


 


เซี่ยฮัวชี่ยิ้มเยาะและหัวเราะเบาๆ “หากข้าสามารถฆ่าเขาได้ ความเชื่อมั่นและชะตากรรมในเต๋าของข้าก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่?”


 


ตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อท่านสังหารอัจฉริยะท่านก็จะปล้นชะตากรรมของคู่ต่อสู้ไปได้ ไม่มีทางพิสูจน์คำพูดนี้ได้ แต่ผู้คนมากมายก็เชื่อวลีนี้อย่างแกร่งกล้า


 


เซี่ยฮัวชี่เป็นหนึ่งในนั้น


 


มีบุคคลจำนวนมากที่มีศักยภาพระดับราชาในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หากเขาต้องการขึ้นไปยังจุดสูงสุด เขาต้องสังหารอัจฉริยะที่มีศักยภาพสูงจำนวนมาก ด้วยเจตจำนงสังหารที่เกิดจากความคิดนี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะเหนือกว่าโครงกระดูกระดับ 6 ดาวเหล่านั้นและรวมถึงโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่ท้ายสวรรค์ เขาจะกลายเป็นราชาของเหล่าอัจฉริยะทั้งหมด


 


สนามพลังฉีที่น่าพรั่นพรึงทำให้ความเร็วของหลี่ฟู่เฉินช้าลงเรื่อย ๆ


 


หากมีขั้นแบ่งในระหว่างพายุที่รุนแรง สนามพลังฉีปัจจุบันก็เป็นเหมือนพายุรุนแรงที่คล้ายกับน้ำหลากที่โผ่ลออกมาโดยฉับพลัน มันแข็งแกร่งพอที่จะทำให้บุคคลต้องรู้สึกหวั่นไหวอย่างแน่นอน ถ้าหากมันเป็นบุคคลที่อ่อนแอ่ พวกเขาคงจะพยายามว่ายน้ำและหนีน้ำที่ไหลมานั้นไปแล้ว ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่สามารถวิ่งต่อไปได้


 


การยืนหยัดอยู่ใน ‘พายุรุนแรง’ มันทำให้หลี่ฟู่เฉินวิ่งได้ช้าลง ทุกๆ ก้าวมันเต็มจำเป็นต้องใส่ความสนใจและแรงลงไปยังมัน


 


เหงื่อไครเริ่มดูดเสื้อผ้าของหลี่ฟู่เฉินลงไป


 


โดยไม่รู้ตัว หลี่ฟู่เฉินก็เหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดหลังจากมาถึงด่่านที่สามของเส้นทางแห่งดวงดาว เกาะโดดเดี่ยวที่สามปรากกฐขึ้น


 


ด่านแรกของเส้นทางดวงดาวคือการคำรามจากสาบฟ้า ด่านที่สองของเส้นทางดวงดาวคือดวงตาแห่งหมอก ในขณะที่ด่านที่สามในตอนนี้คือกระบี่พิพาก


 


บุคคลที่มีจิตใจอ่อนแอจะกลายเป็นสายลมหลังจากที่โดนโจมตีจากกระบี่พิพากแน่นอน


 


มันทั้งตรงไปตรงมาและอาจจะไม่มีที่ว่างใดๆ สำหรับการพักจากการต่อสู้


 


เมื่อหลี่ฟูเฉินก้าวลงสู่เกาะที่โดดเดี่ยวนี้เป็นก้าวแรก แรงกดดันที่น่าเกรงขามก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


ด้วยการสั่นพรองของจิตวิญญาณในร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน ดาบปรากฏในความว่างเปล่า และเงากระบี่เองก็ปรากกฐขึ้นมาเช่นกัน


 


เคร้ง!


 


เมื่อกระบี่พุ่งเข้ามาประทะ หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่าวิญญาณของเขาถูกบิดเบือนอย่างรุนแรง


 


‘ดูเหมือนว่าระดับการบ่มเพาะจะสูงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ในสถานที่นี้ มันขึ้นอยู่กับความสามารถในการทนต่อเจตจำนงของจิตวิญญาณ’ หลี่ฟูเฉินคิดกับตัวเอง


 


กระบี่พิพากยังคงไม่สามารถจัดการกับเขาได้ และมันอาจเป็นไปได้หากแข็งแกร่งกว่านี้ซักสองเท่า


 


ต่อต้านกระบี่พิพาก หลี่ฟูเฉินเห็นอนุสาวรีย์อีกแห่ง


 


มันคล้ายๆ กับอนุสาวรีย์ในด่านที่สอง เฉพาะผู้ที่มาถึงที่นี่ด้วยความพยายามครั้งแรกของพวกเขาเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติในการเขียนชื่อของพวกเขาลงในอนุสาวรีย์แห่งชื่อด่านที่สามนี้ หากเป็นความพยายามครั้งที่สองของนักสู้ พวกเขาจะไม่สามารถเห็นอนุสาวรีย์แห่งชื่อนี้ได้


 


อนุสาวรีย์แห่งชื่อในด่านที่สามแห่งนี้ มีเครื่องหมายน้อยกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับด่านที่สอง มีเพียงไม่กี่คนจากกลุ่มที่สองที่สามารถพบได้ที่นี่


 


แม้ว่าเครื่องหมายจะมีน้อย แต่ตอนนี้มันกลับมีกลุ่มมากกว่า รวมทั้งหมดแล้วได้เป็นห้ากลุ่มด้วยกัน


 


สองกลุ่มแรกส่วนใหญ่มาจากกลุ่มแรกของอนุสาวรีย์ด่านที่สอง สามกลุ่มหลังส่วนใหญ่มาจากกลุ่มที่สองของอนุสาวรีย์ด่านที่สอง


 


ซึ่งหมายความว่าอนุสาวรีย์แห่งชื่อในด่านที่สามเรียงลำดับเครื่องหมายได้อย่างประณีตยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ช่องว่างระหว่างอัจฉริยะจะปรากฏขึ้น


 


แปรงปรากฏขึ้นและหลี่ฟู่เฉินก็วาดเค้าโครงของเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของเขาเอง


 


เมื่อเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ถูกสร้างขึ้น มันบินไปยังอนุสาวรีย์แห่งชื่อทันที


 


กลุ่มที่ห้า กลุ่มที่สี่ กลุ่มที่สาม…


 


กลุ่มที่หนึ่ง


 


อย่างที่คาดไว้ เครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินบินเข้าไปในกลุ่มแรก นอกจากเครื่องหมายจางๆ ในกลุ่มแรกแล้ว ยังมีเครื่องหมายเพียงไม่กี่โหลที่ยังคงสดใสอยู่ ในบรรดาเครื่องหมายที่สดใส มีน้อยกว่าสิบคนที่เป็นของคนรุ่นใหม่


 


บางทีเครื่องหมายเหล่านั้นอาจรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของหลี่ฟู่เฉิน ขณะนั้นเองเครื่องหมายของคนรุ่นใหม่ก็เริ่มโจมตีเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉิน


 


แต่เครื่องหมาย ‘ดาย’ ที่ถูกสร้างโดยหลี่ฟู่เฉินไม่ใช่เป้าหมายที่ง่ายต่อการจัดการ ปลดปล่อยความกล้าหาญออกมา มันดูน่ารังเกียจเล็กน้อยที่ทุกเครื่องหมายโจมตีพร้อมกัน


 


แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของหลี่หู่เฉินนั้นเกินกว่าเจ้าของเครื่องหมายทั้งหมด ก็ในเมื่อเขามีเพียงแค่เครื่องหมายเดียว


 


สาเหตุหลักคือเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินเป็นเพียงแค่ตราสัญลักษณ์ แต่ก็ยังมีแข็งแกร่งที่มากมายเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ฟูเฉินยังอยู่ที่นี่


 


การต่อสู้ดำเนินไปชั่วขณะหนึ่ง


 


หลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ของหลี่ฟู่เฉินเข้าไปแทนที่ได้แล้ว มันเปล่งประกายสดใสอยู่บนอนุสาวรีย์แห่งชื่อ ในขณะเดียวกัน มีสายฟ้าทองคำพุ่งขึ้นไปที่ท้องฟ้า มันเต็มไปด้วยดวงดาวที่ส่องประกายลงมายังเส้นทางแห่งดวงดาว


 


สายฟ้าทองคำนี้ไม่อาจคาดคิดได้ ในเส้นทางดวงดาวห่างออกไปหลายหมื่นกิโลเมตร สายฟ้าทองคำกวาดผ่าน ปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของทุกคน แรงกดดันนั้นทำให้ทุกอย่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


ฮั่นเฟิงที่ยังคงดิ้นรนอยู่ในส่วนที่สามของเส้นทางดวงดาวยกหัวของเขาขึ้น และรู้สึกงงงวยที่เห็นท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสายฟ้าทองคำ


 


“บางทีอาจเป็นเขาอีกครั้ง?”


 


“เป็นไปไม่ได้ เราไม่ได้เป็นคนเดียวที่กำลังทดสอบอยู่ในเส้นทางดวงดาว จะต้องมีคนอื่นอยู่อีก มันจะเป็นเขาไปไม่ได้” ฮั่นเฟิงส่ายหัวทันทีและปฏิเสธความคิดนี้


 


แตกต่างจากฮั่นเฟิง เซี่ยฮัวชี่มั่นใจว่ามันเป็นหลี่ฟูเฉิน


 


“ความผิดปกติของเส้นทางดวงดาว เขาสามารถกระตุ้นความผิดปกติของเส้นทางดวงดาวได้จริงๆ บุคคลผู้นี้จะต้องถูกสังหาร”


 


เซี่ยฮัวชี่เลียริมฝีปากของตนเอง ในขณะที่เจตนาสังหารอันน่าสะพรึงกลัวเริ่มปรากฏขึ้น


 


จากสิ่งที่เขารู้ เฉพาะผู้ที่สร้างเครื่องหมายของตนเองไว้ในกลุ่มแรกของด่านที่สามในอนุสาวรีย์แห่งชื่อได้แล้วเท่านั้นถึงจะกระตุ้นความผิดปกติของเส้นทางแห่งดวงดาว ซึ่งหมายความว่าเครื่องหมายของหลี่ฟู่เฉินอยู่ในกลุ่มแรกกลุ่มแรก เซี่ยฮัวชี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะใส่เครื่องหมายลงในกลุ่มแรกได้หรือไม่


 


แต่มันก็ไม่สำคัญ ศักยภาพในท้ายที่สุดก็เป็นเพียงแค่ศักยภาพ เขาจะเอาทุกอย่างกลับคืนมาเอง


 


อีกสี่ส่วนของพลังงานเส้นทางดวงดาวพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา หลี่ฟูเฉินมีพลังงานเส้นทางแห่งดวงดาวอยู่แล้วเจ็ดส่วน


 


พลังงานเส้นทางดวงดาวเจ็ดส่วนมีพลังงานเช่นนี้เอง หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่าแม้แต่คอขวดสำหรับขอบเขตปฐพีระดับ 5 ของก็เริ่มที่จะคลี่คลายลงได้ ตอนนี้มันเริ่มมีรอยร้าวอยู่ในคอขวดของขอบเขตปฐพีระดับที่ 4 แทนกัน


 


เมื่อรอยแตกปรากฏขึ้น นั่นหมายความว่าหลี่ฟูเฉินจะสามารถตัดผ่านขั้นได้ทุกเวลา


 


“ข้าจะสังเกตมันอีกครั้งเมื่อข้าออกจากที่นี่แล้ว”


 


เส้นทางดวงดาวนั้นอันตรายเกินไปและหลี่ฟูเฉินไม่ต้องการที่จะพัฒนาตนเองในสถานที่แห่งนี้ สำหรับเขา แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับในขอบเขตการฝึกตนของเขาเอง แต่มันก็คงจะไม่ได้รับผลที่ดีนักหากทำมันในเส้นทางแห่งดวงดาว


 


จิตวิญญาณและการฝึกฝน จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินมีความสำคัญมากกว่าสำหรับตอนนี้ ดังนั้นระดับการฝึกฝนของเขาไม่สำคัญจนกว่าเขาจะสามารถเลื่อนระดับได้สองระดับซึ่งนั้นอาจพอช่วยได้บ้าง


 


‘ส่วนที่สี่ของเส้นทางดวงดาว ข้าสงสัยว่าความรุนแรงมันจะไปได้ถึงไหน!’ หลี่ฟู่เฉินมองไปยังส่วนที่สี่ของเส้นทางดวงดาว


 


ส่วนของเส้นดวงดาวแห่งนี้ดูต่างไปเล็กน้อย


 


มันทั้งขมุกขมัวและมืดมิด แม้แต่กระทั้งอากาศก็ดูเหมือนจะถูกบิดเบือน ราวกับเป็นเส้นทางสู่นรกภูมิ


 


สำหรับคนทั่วไป คงจำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญที่มากยิ่งเพื่อก้าวเข้าไปสู่ส่วนที่สี่ของเส้นทางดวงดาว


 


ไม่นานหลังจากหลี่ฟ่เฉินผ่านด่านที่สามของเส้นทางดวงดาว เซี่ยฮัวชี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน


 


ผ่านกระบี่พิพากมา เซี่ยฮัวชี่เริ่มสร้างเครื่องหมายของเขาลงบนอนุสาวรีย์แห่งชื่อ


 


เมื่อเครื่องหมายถูกสร้างขึ้น มันบินไปยังอนุสาวรีย์แห่งชื่อ


 


เซี่ยฮัวชี่มีสีหน้ายิ้มแย้ม เครื่องหมายของเขาถูกประทับลงไปในกลุ่มที่สอง มันไม่ได้ไปที่กลุ่มแรก


 


“น่าสนใจ น่าสนใจยิ่ง!” เซี่ยฮัวชี่เงยหน้าขึ้นมองกลุ่มแรก


 


มีเครื่องหมายเพียงไม่กี่โหลที่ยังคงสดใสอยู่ ในหมู่ของพวกมันมีเครื่องหมาย ‘ดาบ’ ขนาดใหญ่ที่ดึงดูดสายตาของเซี่ยฮัวชี่


 


เมื่อมองที่เครื่องหมาย ‘ดาบ’ นี้เซี่ยฮัวชี่เอื้อมมือไปทางขวาแล้วก็ลูบมัน


 


***


 


“เป็นสนามพลังฉีที่รุนแรงอะไรเช่นนี้”


 


เดินอยู่ในส่วนที่สี่ของเส้นทางดวงดาว หลี่ฟูเฉินรู้สึกเหมือนกำลังเดินผ่านพายุเฮอริเคน


 


พายุที่รุนแรงอาจจะรุนแรงก็จริง แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้คนบินขึ้นไปได้ ในขณะที่พายุเฮอริเคนนี่สามารถทำได้


 


ถึงพายุเฮอริเคนที่น่ากลัวนี้จะไม่สามารถส่งคนไปได้จริง มันก็คงยังทำลายต้นไม้และทำลายบ้านเรือนได้แน่นอน


 


ความแข็งแกร่งสนามพลังฉีในเส้นทางดวงดาวนั้นแข็งแกร่งกว่าเป็นสองเท่าของส่วนที่สามในเส้นทางดวงดาว ซึ่งหมายความว่าแรงเป็นแปดเท่าเมื่อเทียบกับส่วนแรก ยิ่งไปกว่านั้น จุดเริ่มต้นส่วนแรกของเส้นทางแห่งดวงดาวมักจะอ่อนแอ่จะปลายทางถึงสองเท่า


 


หลี่ฟูเฉินไม่รู้ว่าเขาจะไปถึงจุดสิ้นสุดของส่วนที่สี่นี้ได้หรือไม่ แต่เขาจะให้ทุกสิ่งที่เขามี

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม