Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 218-224

 บทที่ 218

อาจารย์ในสุสาน?

หลังจากดูดซับสาระสำคัญของเลือดของซงฉิงเห่อเสร็จแล้ว ความสามารถของ ‘หลี่หวูเซี่ย’ ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถสร้างรอยร้าวบนประตูหินที่ทนทานมาได้หลายวันได้ในทีเดียว

บูม!

‘หลี่หวูเซี่ย’กระแทกประตูหินอีกครั้ง

รอยแยกที่ประตูหินได้แยกออกเป็นสามส่วน

“ไม่ดีแล้ว ประตูหินกำลังจะเปิดออก!” ฟานเฉียนหยูอุทาน

เมื่อประตูหินแตกออก พวกเขาจะไม่มีที่หนีอีก และต้องต่อสู้กับวิญญาณปีศาจ

แต่พวกเขาจะสามารถเอาชนะวิญญาณปีศาจได้หรือไม่?

ลุกขึ้น หลี่ฟู่เฉินมองไปที่ชูมู่หยูและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าว “ข้ามีวิธีกำจัดพวกวิญญาณปีศาจครึ่งตัวในทันที ถ้าเราโชคดี เราอาจจะสามารถกำจัดพวกมันทั้งหมดได้”

“ วิธีใด?”

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลี่ฟู่เฉิน ชูมู่หยูแสดงสีหน้าแปลกใจ

วิญญาณปีศาจมีความสามารถโดดเด่ดขนาดนั้น แม้แต่เธอเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย ตัวเธอเองสามารถฆ่าวิญญาณปีศาจได้ก็จริง แต่ทว่า หลี่ฟูเฉินมีวิธีการกำจัดพวกเขาจริงๆ หรือ?

หลี่ฟูเฉินยกศีรษะของเขาขึ้นและชี้ไปที่ตะเกียงน้ำมันขนาดใหญ่ “เปลวเพลิงด้านบนเป็นเปลวเพลิงจากเลือดสัตว์ปีศาจระดับที่ สัตว์ปีศาจโลหิตเพลิงน้ำเงินรกร้าง(ชื่ออาจจะไม่เหมือนกันนะแต่เป็นเพลิงที่หลี่ฟู่เฉินเจอตอนเข้า) มันไม่ควรมีปัญหาใดๆ ในการเผาวิญญาณปีศาจสองสามตัวให้ตาย”

เมื่อวิญญาณปีศาจเหล่านี้อยู่ในช่วงจุดสูงสุดของมัน พวกมันอาจจะไม่อ่อนแอกว่าสัตว์ปีศาจโลหิตเพลิงน้ำเงินรกร้างเลย แต่วิญญาณปีศาจในปัจจุบันไม่ได้แข็งแกร่ง 100%

“นี่คือเปลวเพลิงเลือดของสัตว์ปีศาจโลหิตเพลิงน้ำเงินรกร้าง?”

ชูมู่หยูถูกล่อลวง เธอใช้ฝ่ามือดึงเปลวไฟออกมา

เช่นเดียวกับหลี่ฟู่เฉิน ชูมู่หยูส่งพลังฉีไปรอบๆ เปลวเพลิงและมันก็ถูกเผาในทันทีอย่างไม่รีรอ

“เพลิงที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้”

ทุกคนอ้าปากค้าง

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงนักสู้ขอบเขตปฐพี เปลวเพลิงนี้อาจจะเผาได้แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตสวรรค์

เปลวเพลิงก็จะถูกนำกลับไปที่ตะเกียงน้ำมันโดยอัตโนมัติ

หลี่ฟู่เฉินกล่าว “ในทันทีที่พวกมันเข้ามา เราจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อดึงไฟทั้งหมดออกมา ส่วนผลลัพธ์ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับชะตากรรม”

“ข้าคิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล มันเป็นวิธีการเดียวเท่านั้น” ชูมู่หยูพยักหน้า

แคร๊ก! ครืน!

ในที่สุดประตูหินก็พัง ‘หลี่หวูเซี่ย’ และวิญญาณปีศาจสี่ตนปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน

“มาดูกันว่าพวกเจ้าจะหนีไปที่ไหนกันในเวลานี้”

‘ฟูจงชาน’ ยกกรงเล็บเสือของเขาขึ้นมาและปลดปล่อยรอยยิ้มที่น่ากลัว

ยืนอยู่ข้างหลังตะเกียงน้ำมัน หลี่ฟู่เฉินและคนอื่นๆ มองเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ก่อนจะพยักหน้า

“ไป!”

วิญญาณปีศาจห้าตนพุ่งเข้าหาหลี่ฟู่เฉิน และกลุ่มของเขา

“เอาเลย!”

เมื่อเห็นว่าวิญญาณปีศาจทั้งห้าผ่านใต้ตะเกียงน้ำมันมาแล้ว หลี่ฟู่เฉินตะโกนและยื่นมือของเขาเพื่อดึดเปลวเพลิงมา

ส่วนที่เหลือของพวกเขาก็ทำสิ่งเดียวกันและดึงเปลวไฟด้วยเช่นกัน

มีเปลวเพลิงบนเพดานจำนวนหลายสิบดวงและเปลวไฟเหล่านี้ไม่อนุญาตให้ใครควบคุม แต่ด้วยผลจากการดึงดูด เปลวเพลิงเหล่านั้นก็ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน

“ไม่ดีแล้ว”

‘ฟูจงชาน’ ดูประหลาดใจ เขาหยุดยั้งที่จะก้าวหน้าต่อและถอยกลับอย่างบ้าคลั่ง

“อ๊า! ไม่!”

วิญญาณปีศาจที่ครอบครองร่างของ “หลูชิตี๋” ถูกฟาดด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงิน ร่างของเขาถูกเผาไหม้เป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินขนาดใหญ่ทันทีและในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็กลายเป็นฝุ่น ไม่นานหลังจากนั้น ‘ซูเหยชาน’ ก็ถูกเปลวเพลิงสีน้ำเงินทำลายเช่นกัน ตามด้วย “เกาชีตี๋”

เพียงชั่วพริบตาเดียว วิญญาณปีศาจทั้งสามตนก็กลายเป็นฝุ่น

เป็นที่แน่นอนว่า มันเป็นร่างกายปัจจุบันของพวกเขาที่กลายเป็นฝุ่น ไม่ทราบว่าวิญญาณปีศาจเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บหรือตายไปแล้วหรือไม่

‘หลี่หวูเซี่ย’เคลื่อนไหวเร็วที่สุดและแยกตัวออกจากสายฝนนี้ทันที

‘ฟูจงชาน’ ช้ากว่าเล็กน้อยและแขนข้างหนึ่งของเขาก็โดนเปลวเพลิง เขาตัดแขนของเขาในช่วงเวลาสำคัญและรอดชีวิตมาได้

เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ชูมู่หยูและคนอื่นๆ ก็ปลดปล่อยความโล่งใจออกมา

หากมีวิญญาณปีศาจแค่สองตัว พวกเขาก็สามารถต่อสู้กับมันได้

“กล้าใช้เปลวเพลิงของสัตว์ปีศาจโลหิตน้ำเงินรกร้างกับเราจริงๆ !” การแสดงออกของ ‘ฟูจงชาน’ ดูไม่พอใจอย่างมาก หลังจากหลายปี พวกเขาก็ลืมไปนานแล้วว่าเปลวเพลิงในห้องโถงนั้นจริงๆ แล้วเป็นเปลวเพลิงน้ำเงินของสัตว์ปีศาจโลหิตน้ำเงินรกร้าง หากไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่ปล่อยให้หลี่ฟู่เฉินและกลุ่มของเขามีโอกาสทำสิ่งนั้น

“ข้าจะจัดการกับ ‘หลี่หวูเซี่ย’ ส่วนคนที่เหลือ พวกเจ้าเอาอีกคนหนึ่งไป” ชูมู่หยูใช้เคียวสีเขียวเข้มของเธอและเปิดใช้เทคนิคลับ ร่างกายของเธอกระพริบในขณะที่เธอพุ่งไปยัง ‘หลี่หวูเซี่ย’

ในกลุ่มทั้งหมดของพวกเขา เธอเป็นคนเดียวที่สามารถต่อสู้กับ ‘หลี่หวูเซี่ย’ ได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว ส่วนที่เหลือมันอาจจะเป็นภาระที่ยากลำบาก

“เจ้าจะจัดการข้าด้วยตัวเองจริงๆ?”

‘หลี่หวูเซี่ย’ ยื่นเขาที่เหมือนฝ่ามือออกมาและปิดกั้นการโจมตีของเคียวจากชูมู่หยู

“แข็งยิ่ง!” ดวงตาของชูมู่หยูเบิกกว้าง

การเฉือนเคียวของเธอเป็นสิ่งที่แม้แต่สัตว์ปีศาจระดับ 3 ขั้นสูงก็ไม่สามารถขวางกั้นได้ แต่ ‘หลี่หวูเซี่ย’ สามารถทนมันได้อย่างง่ายดาย

ชวู!

ใช้มือขวาของเขาเพื่อสกัดกั้นเคียวของชูมู่หยู มือซ้ายของ ‘หลี่หวูเซี่ย’ เปลี่ยนเป็นหอกดำยาวพุ่งแทงเข้าหาหน้าอกของชูมู่หยู

ชูมู่หยูมีโครงกระดูกระดับ 6 ดาวและเข้าใจถึงเจตจำนงเทคนิคตัวเบา

เธอกลายเป็นเงาและถอยหลังออกไป

เธอมองลงไปข้างล่างและเห็นว่ามีรูแยกออกบริเวณหน้าอกตรงเสื้อคลุมของเธอ หน้าอกของเธอเผยออกมาเล็กน้อยและมันก็มีเลือดสดไหลรินออกมา

“หลังจากดื่มเลือดของซงฉิงเห่อไปแล้ว ตอนนี้ความสามารถของมันแข็งแกร่งกว่าวิญญาณปีศาจตนอื่นๆ” ชูมู่หยูคิดกับตัวเอง

เมื่อเห็นชูมู่หยูเข้าไปจัดการกับ ‘หลี่หวูเซี่ย’หลี่ฟู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ค่อนข้างผ่อนคล้าย

ไม่ว่าความสามารถของ ‘ฟูจงชาน’ จะแข็งแกร่งเพียงใด อย่างดีที่สุดความสามารถของเขาก็ถึงระดับแค่ชูมู่หยู หลี่ฟู่เฉินในปัจจุบันไม่ได้ด้อยไปกว่าฟูจงชานคนเดิมแม้แต่น้อย ประกอบกับฟานเฉียนสงและเหว่ยชานเห่ออีก ทั้งคู่มีระดับความสามารถใกล้เคียงกับฟูจงชานเช่นกัน ด้วยการทำงานร่วมกันของทั้งสามคน พวกเขาจะสามารถรับมือกับ ‘ฟูจงชาน’ ได้ และสามารถสกดขมศัตรูได้เล็กน้อย

สำหรับฟานเฉียนหยู เธอให้การสนับสนุนทั้งสามด้วยร่มเหล็กของเธอ

ปิสส!

ในขณะนี้เอง สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ปลายของร่มเจาะเข้าไปในด้านหลังของฟานเฉียนสง และยื่นออกมาจากอกของเขา ส่งผลทำให้เลือดสดปะทุออกมาอย่างรุนแรง

เมื่อหันกลับไป ฟานเฉียนสงมองไปที่ฟานเฉียนหยูและถามในขณะที่มึนงงอยู่ “หยูเอ๋อ เจ้า…”

‘ฟานเฉียนหยู’ หัวเราะ “หยูเอ๋อ? หยูเอ๋อของเจ้าคือใคร?”

หลี่ฟูเฉินรู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจและอุทานออกมา “เธอถูกวิญญาณปีศาจครอบงำ”

สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินกังวลได้เกิดขึ้นแล้ว เปลวเพลิงโลหิตน้ำเงินรกร้างของสามารถเผาร่างของวิญญาณปีศาจได้ แต่มันไม่สามารถทำร้ายหรือกำจัดตัวของวิญญาณปีศาจเองได้

“ฮ่าฮ่า เจ้าเองก็ต้องตายด้วยเช่นกัน”

เหว่ยชานเห่อยอมแพ้ในการโจมตี ‘ฟูจงชาน’ แล้วเหวี่ยงมือขวา ส่งแส้เขียวชอุ่มไปที่หลี่ฟู่เฉิน

หลี่ฟู่เฉินถอยและหลบแส้

“เหว่ยชานเห่อก็ถูกครอบงำด้วยเช่นกัน” หัวใจของหลี่ฟู่เฉินจมลง

เขาไม่รู้เกี่ยวกับกระบวนการครอบครองร่างกาย แต่เขาคิดว่ามันควรเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของใครคนหนึ่ง หากจิตวิญญาณของผู้ใดอ่อนแอ พวกเขาจะถูกครอบงำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ฟานเฉียนหยูและเหว่ยชานเห่อถูกครอบงำ ในขณะที่เขาและฟานเฉียนสงไม่ได้ถูกครอบงำ

ตอนแรกมีวิญญาณปีศาจเหลืออยู่เพียงสองตัว แต่ตอนนี้มันกลับมาที่สี่ มีวิญญาณปีศาจอีกตัวที่รอโอกาสที่จะเข้าโจมตีอยู่ สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายที่สุด

“ตอนนี้เราควรทำอะไรดี!”

หลี่ฟูเฉินผลักดันการเคลื่อนไหวของเขาไปยังขีดสุด เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากวิญญาณปีศาจอีกครั้งและอีกครั้ง

ตอนนี้ระดับการฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับที่สามของขอบเขตปฐพี เทคนิคตัวเบาของเขาเองก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

“หาโอกาสหลบหนี”

ชั่วพริบตาเดียวหลี่ฟู่เฉินก็เข้ามาอยู่ในเส้นทางตรงกันข้ามกับชูมู่หยู เขาได้ยินเสียงของชูมู่หยูอยู่ในหูของเขา

เทคนิคตัวเบาทั้งสองนั้นน่ากลัวมาก และเขาก็ยังสามารถรับมือกับมันได้ในขณะนี้

ด้วยกำปั้นของเขาที่กำแน่น หลี่ฟูเฉินไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น

เขาไม่ต้องการละทิ้งฟานเฉียนสง และฟานเฉียนหยู แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถป้องกันตัวเองได้

“ไป!”

ชูมู่หยูไม่สนใจเรื่องที่เหลือและด้วยร่างกายของเธอ เธอแว่บไปมาตรงไปที่ห้องโถง

ฮูว!

แต่ในขณะนี้เอง ลมชั่วร้ายก็ได้พัดผ่านเข้ามาอย่างล้นหลาม พวกเขาสามารถเห็นเงาที่ไม่ชัดเจนของมนุษย์ที่ดูสูงและใหญ่ได้

สีหน้าของชูมู่หยูซีดเซียวขณะที่เธอบินกลับเข้าไปในห้องโถง

“ท่านอาจารย์!”

วิญญาณปีศาจคุกเข่าลงบนพื้นและกล่าวด้วยความเคารพ


บทที่ 219

การเลือกยึดร่าง

“อาจารย์?”

หลี่ฟู่เฉินและชูมู่หยูมองไปยังคนที่เหลือ

หากเหล่าวิญญาณปีศาจเรียกบุคคลนี้ว่า ‘อาจารย์’​ งั้นแล้วเจ้าสิ่งนี้น่าจะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีตัวตนอยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกมัน

วิญญาณปีศาจเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นปีศาจระดับ 6 แต่ก็ยังเรียกสิ่งนั้นว่าท่านอาจารย์ งั้นแล้วเจ้าสิ่งนี้ที่ถูกวิญญาณปีศาจเรียกว่าอาจารย์ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับ 7 หรือก็คือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณหรือไม่?

ก่อนที่พวกเขาจะมา พวกเขาไม่เคยสงสัยว่าจะยังมีผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้อยู่ และคิดว่านี่เป็นหลุมฝังศพของนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดแต่เพียงเท่านั้น

หากพวกเขารู้ว่าหลุมฝังศพนี้น่ากลัวเพียงใด พวกเขาคงจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะบุ่มบ่ามเข้ามาเช่นนี้

ลมหนาวเย็นพัดโชยมา ซึ่งลมนี้ก็แทบแช่แข็งหัวใจและวิญญาณของพวกเขา

และเป็นตอนนี้เอง ที่หลี่ฟู่เฉินและชูมู่หยูต่างก็ดิ้นรนเพื่อหลบหนี กล้ามเนื้อทุกส่วนของพวกเขาต่างแข็งตรึง

“สู้ไม่ได้แน่ เจ้าสิ่งนั้นเป็นวิญญาณปีศาจ ผู้เชี่ยวชาญวิญญาณที่แท้จริง?” หลี่ฟู่เฉินยังคงตั้งสติและคิดอย่างใจเย็น

จากสิ่งที่เขารู้ สัตว์ปีศาจระดับ 6 สามารถกำเนิดวิญญาณปีศาจขึ้นมาได้ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณก็สามารถสร้างวิญญาณแท้จริงได้

หากวิญญาณวิญญาณสูญเสียร่างกาย มันก็จะแตกกระจายหายไป แต่หากเป็นวิญญาณปีศาจหรือวิญญาณแท้จริง จิตในวิญญาณก็จะสามารถคงอยู่และเก็บรักษาได้ไว้เป็นเวลานาน และหากผ่านด้วยเงื่อนไขพิเศษบางอย่าง มันก็อาจจะถูกเก็บรักษาได้ไว้เป็นพันๆ ปี

บางทีอาจจะมีสิ่งของบางอย่างที่สามารถบำรุงส่งเสริมวิญญาณปีศาจและวิญญาณแท้จริงได้อยู่ ซึ่งก็จะสามารถอนุญาตให้เหล่าปีศาจหรือวิญญาณที่แท้จริงเหล่านี้อยู่รอดได้นานนับอนัยน์ปีได้

“ไม่รู้เลยว่าผ่านไปแล้วกี่ปี ข้าไม่อาจจดจำได้ ในที่สุดก็มีใครพบหลุมฝังศพนี้เสียที”

ท่ามกลางสายลมที่หนาวเย็น เงาของมนุษย์ถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก เสียงแหบห้าวที่ดูมืดหมนส่งผ่านเข้ามาและวิ่งไปทั่วร่างกายของพวกเขา

“ท่านอาจารย์ ด้วยร่างกายเหล่านี้ เราจะสามารถออกจากหลุมฝังศพนี้ได้ และจะใช้ชีวิตที่รุ่งโรจน์ของเราอีกครั้ง” ‘ฟูจงชาน’ คุกเข่าลงบนพื้นและกล่าวด้วยความเคารพ

‘หลี่หวูเซี่ย’ กล่าว “ ในวันนั้นผู้เชี่ยวเหล่านั้นทั้งหมดถูกสังหารไม่ก็ถูกขับไล่ไปหมดแล้ว หากเราจะออกจากหลุมฝังศพนี้ได้ เราคงใช้เวลาไม่มากในการปกครองโลก​ มันจะไม่มีใครและไม่มีคนที่จะมีกำลังพอที่จะขัดขวางเรา และด้วยการจัดหาทรัพยากรมากมายกลับมา พวกเราคงจะกลับไปยังจุดสูงสุดของตัวเองได้ในไม่ช้า”

เงาร่างมนุษย์กล่าวอย่างเยือกเย็น “หากข้าไม่ได้รับผู้ติดตามมา ข้าจะถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพวิญญาญแท้จริงเช่นนี้ได้อย่างไร? โชคดีที่ข้าได้เตรียมการและสร้างหลุมฝังศพที่นี่​เอาไว้้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ด้วยเวลาหลายปีที่ผ่านไปนานเช่นนี้ ข้าคงจะอันตธรานหายไปกับหมู่เมฆนานแล้ว”

“พวกเจ้าสองคน ออกจากร่างเหล่านั้นซะ” เงารูปร่างมนุษย์สั่ง

เห็นได้อย่่างชัดเจนว่าเขากำลังพูดคุยกับ ‘เหว่ยชานเหอ’ และ ‘ฟานเฉียนหยู’ สำหรับ ‘หลี่หวูเซี่ย’ และ ‘ฟูจงชาน’ ร่างกายของพวกเขากัดกินสึกโดยพลังฉีปีศาจและไม่สามารถกลับออกไปได้แล้ว

“ขอรับ!” วิญญาณปีศาจทั้งสองตนออกจากร่างของเหว่ยชานเหอ และฟานเฉียนหยูทันที

ปั๊ก! ปั๊ก!

เหว่ยชานเหอและฟานเฉียนหยูล้มลงกับพื้น พวกเขาทั้งคู่หมดสติลงไป

ลมหนาวยะเยือกไหลไหลมาบรรจบกันและเงาของมนุษย์กลายเป็นจุดเล็กๆ ยิงเข้าไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของฟานเฉียนหยู

“โครงกระดูก 4ดาว ด้อยเกินไป จิตในวิญญาณเองก็ไม่แข็งแกร่ง ไม่เหมาะแม้แต่จะเป็นอาหารทานเล่นได้ด้วยซ้ำไป” ‘ฟานเฉียนหยู’ เธออ้าปากและกล่าวเบาๆ​

“เขากำลังเลือกร่างกาย?” หลี่ฟู่เฉินและชูมู่หยูรู้สึกตกใจอย่างมาก

พวกเขาทั้งสองต้องการจะหลบหนี แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะขยับนิ้วได้ พลังงานความเย็นที่กลัวเข้ามาล้อมรอบร่างกายของพวกเขา

จุดแสงพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วและมุ่งไปยังหัวของเหว่ยชานเห่อ

“ร่างนี่แย่ที่สุด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุสถานะในจุดสูงสุดของข้าด้วยร่างกายนี้ ข้าไม่อาจบรรลุขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณได้” ‘เหว่ยชานเหอ’ ขมวดคิ้วและกล่าวว่า

‘เหว่ยชานเห่อ’ เบนสายตาไปที่ฟานเฉียนสงและจุดไฟก็ลอยออกไป

“ร่างนี้ไม่นับว่าเป็นอะไร โครงกระดูกระดับ 5 ดาวและจิตวิญญาณเองก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้มันอาจจะแตกต่างจากร่างเดิมของข้ามาก แต่ด้วยความทรงจำจากกาลก่อน มันคงจะไม่ยากที่จะกลับไปสู่สภาวะในจุดสูงสุดของข้าได้ แต่ร่างกายทั้งสองนั้นดูเหมือนจะดียิ่งกว่า สิ่งที่ดีที่สุดมักจะต้องเก็บไว้ทีหลังเสมอ” ‘ฟานเฉียนสง’ เหลือบมองอย่างแปลกๆ มาที่ชูมู่หยูและหลี่ฟู่เฉิน

วิญญาณปีศาจของสัตว์ปีศาจระดับ 6 โดยปกติแล้วจะพยายามยึดร่างของนักสู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่มีวิญญาณเข้มแข็งจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถยึดร่างได้ในทันที และกลับกันอาจได้รับความเสียหายในวิญญาณแทน จิตวิญญาณของบุคคลทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บุกรุกสุสาน แข็งแกร่งมากจนวิญญาณปีศาจเหล่านี้ไม่กล้าแม้แต่จะบุกรุกเข้าสิง

หน้าผากของหลี่ฟู่เฉินเริ่มหยดเหงื่ออันเย็นเฉียบไหลออกมา

ในจิตวิญญาณ เครื่องรางทองคำในจิตวิญญาณของเขาหมุนวนอย่างรวดเร็ว มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ราวกับว่ามันรู้สึกถึงอันตราย

“ข้าควรจะทำอะไร?” หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการให้ร่างกายของเขาถูกยึดครองโดยวิญญาณแท้จริงตนนั้น หากเขาถูกยึดครองล่าง มันคงเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย

มันเป็นสิ่งที่เขาไม่รู้ ว่าหลังจากที่ร่างกายของเขาถูกยึดโดยศัตรู สติของเขาจะยังคงอยู่อยู่ไหม?

หรือว่ามันจะคงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า

แต่ไม่ว่าจะในกรณีใด มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีทั้งนั้น

ฟานเฉียนสงล้มลงและชูมู่หยูก็กรีดร้องในทันที

ชูมู่หยูในปัจจุบันไม่ได้มีใบหน้าที่สงบและเฉยเมยดั้งเช่นนั้นกาลก่อน การแสดงออกของเธอเต็มไปด้วยความกลัวและความสิ้นหวังด้วยร่องรอยของการฝ่าฝืน

“เป็นโครงกระดูกและจิตวิญญาณที่น่ากลัวยิ่ง แต่ด้วยจิตวิญญาณแท้จริงของข้าในตอนนี้ ข้าคงไม่สามารถยึดครองร่างนี้ได้ในทันที​ ยอดเยี่ยม ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” ‘ชูมู่หยู’ ยิ้มและหัวเราะออกมาดังๆ

“อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถยึดร่างของข้าไปได้!” ดวงตาของชูมู่หยูเผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่ไม่ยอมแพ้และร่องรอยแห่งเจตจำนงที่สั่นคลอน ระงับความกลัวและความสิ้นหวังของเธอ​

“หากข้าเป็นเพียงวิญญาณแท้จริงในขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณ ข้าอาจถูกต่อต้านโดยเจ้าไปแล้วจริงๆ ช่างน่าเสียดาย ที่ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น” เมื่อเวลาผ่านไป การแสดงออกของชูมู่หยูเริ่มมืดมนและสภาพวะพลังฉีที่ระเบิดออกมาจากตัวของชูมู่หยูก็ลดน้องลงไปเรื่อยๆ กลับกันสภาวะพลังฉีอันเยือกเย็นค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นจากภายใน

“ชูมู่หยู รีบตื่นเร็วเข้า!” ในเวลานี้เอง ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็สามารถพูดออกมาได้และเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง

ชูมู่หยูไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หลังจากนั้นสักครู่ ชูมู่หยูก็หันกลับไปมองหลี่ฟู่เฉิน

“นี้มันแปลก ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าของนาง แต่สภาวะพลังฉีของเจ้าไม่บริสุทธิ์เท่ากับนาง ข้าไม่แน่ใจว่าควรยึดร่างกายของเจ้าหรือไม่” ‘ชูมู่หยู’ ดูเหมือนจะมีความลังเลอยู่บ้าง

การยึดร่างเป็นการกระทำที่ใช้พลังวิญญาณอย่างแท้จริง

การยึดวิญญาณที่อ่อนแอจะใช้ไม่มากนัก​ แต่การยึดวิญญาณที่แข็งแกร่งเหมือนกับของชูมู่หยู ทำให้จิตวิญญาณแท้จริงของเขาหมดไปเล็กน้อย เขาเป็นกังวลว่าถ้าเขาจะเข้ายึดร่างของหลี่ฟู่เฉิน เขาอาจจะไม่ได้รับอะไรเลยและต้องทนทุกข์ทรมาณแทน และอาจต้องเสียวิญญาณแท้จริงส่วนนึงของเขาแทน

หลังจากทั้งหมดแล้ว วิญญาณคือสิ่งที่ต้องได้รับการหล่อเลี้ยงและไม่ได้มาพร้อมกับศักยภาพโดยกำเนิด

“ดูเหมือนว่าหลังจากหลายปีที่ผ่านมา ความกล้าของข้าจะลดน้อยลง หากข้าไม่ได้ลอง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีความสามารถที่อ่อนแอ? บางทีความถนัดของเขาอาจเป็นสิ่งที่ข้าใฝ่ฝันมาตลอด” ‘ชูมู่หยู’ เลียริมฝีปากของเธอและเผยแววตาของความโลภออกมา

ชวู!

จุดไฟลอยออกมาและพุ่งเข้าไปยังหัวของหลี่ฟู่เฉิน

จากนั้นชูมู่หยูก็หลับตาลงและล้มลงกับพื้นอย่างไม่รู้สึกตัว

จุดไฟเข้าไปภายในจิตใจของหลี่ฟู่เฉินและเปลี่ยนกลับกลายเป็นเงาของมนุษย์

มองไปที่จิตวิญญาณสีฟ้าอ่อนของหลี่ฟู่เฉินเงาร่างมนุษย์กลายเป็นสั่นไหว “นี้มันเป็นวิญญาณประเภทใด? ทำไมถึงมีสี? สภาวะพลังที่แผ่ออกมาเองก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ามองข้าม จิตวิญญาณดวงนี้บริสุทธิ์เกินไป มันเป็นของมนุษย์หรือไม่?”

“ออกไปจากร่างกายของข้า”

ภายในจิตใจ เงาของหลี่ฟู่เฉินปรากฏตัวขึ้น นี่คือจิตใต้สำนึกของเขา

ร่างของเขาเข้าไปบดบังเงารูปร่างมนุษย์ จิตใต้สำนึกเผยตัวออกมา มันเป็นสิ่งที่แม้แต่นักสู้ขอบเขตปฐพีและสวรรค์ก็ไม่สามารถบรรลุถึงได้​

“เห การสร้างจิตสำนึก แน่นอนว่าเจ้าย่อมเป็นคนพิเศษ”

เงาร่างมนุษย์เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา เขายังไม่ได้สำรวจโครงกระดูกของหลี่ฟู่เฉิน แต่หากดูจากจิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินแล้ว เขาตัดสินใจที่จะละทิ้งร่างของชูมู่หยูแล้วเลือกร่างนี้แทน

ด้วยจิตวิญญาณวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวดวงนี้ เขามีความรู้สึกว่าเขาสามารถไปได้เกินตัวเขาในช่วงจุดสูงสุดแน่นอน

“ไปให้พ้น!”

มีดาบปรากฏอยู่ในมือของหลี่ฟู่เฉิน ในขณะที่เขาฟันลงไปใส่ร่างเงามนุษย์

“วิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่เจ้าก็ยังคงไม่สามารถจัดการกับข้าได้” เงาร่างมนุษย์ส่งหมัดออกไป และนั้นทำให้หลี่ฟู่เฉินบินออกไป

“ออกไป!”

จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งมาก วิญญาณที่แข็งแกร่งเองก็หมายถึงการมีสติสัมปชัญญะที่แข็งแกร่ง ถึงเขาจะถูกส่งบินกลับไป แต่รูปแบบที่เขาลอยออกไปก็สามารถหันไปทางเงามนุษย์ได้อีกครั้ง​ เวบานี่เอง ดาบยาวของเขาก็เปลี่ยนเป็นเงาดาบนับไม่ถ้วน ซึ่งมันก็ถูกส่งไปยังร่างเงามนุษย์


บทที่ 220

การก่อตัวของจิตสำนึก

“น่าสนใจ ข้าอาจจะเสียวิญญาณแท้จริงไปถึงครึ่งเพื่อยึดครองร่างของเจ้า แต่แล้วมันอย่างไร? ร่างกายของเจ้าถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่แท้จริง” เงาเริ่มหัวเราะและส่งกำปั่นขนาดใหญ่ออกไป

กำปั่นดูเหมือนมันจะครอบคลุมพื้นที่ในจิตใจทั้งหมด

บูม!

ดาบยาวแตกออกและหลี่ฟู่เฉินก็บินกลับออกไปด้านหลัง

“ทรงพลังยิ่ง” หลี่ฟู่เฉินหายใจหอบ

ดาบยาวถูกสร้างขึ้นด้วยจิตสำนึกของเขาและเมื่อมันแตกออก จิตสำนึกของเขาก็ได้รับความเสียหายไปด้วย

“ดับไปซะ!”

เงาร่างมนุษย์ขยายตัวและสูงขึ้นราวกับท้องฟ้า หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ส่งกำปั่นมาที่เขาซ้ำแล้วซ้ำอีก หลี่ฟู่เฉินถูกกระแทกด้วยแรงอันมหาศาล

หลี่ฟู่เฉินดูราวกับมด ถูกทุบตีทั่วทุกที่และไม่มีทางใดที่จะต่อต้านได้เลย

“ก่อนที่ข้าจะเสียจิตวิญญาณของข้าไป ข้าจะไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะต้องตาย​!”

หากเป็นคนอื่น พวกเขาอาจยอมแพ้ไปแล้วสำหรับการต่อต้านทุกรูปแบบ

และเมื่อความตั้งใจที่จะต่อต้านได้หายไป​ จิตวิญญาณก็จะอ่อนแอ​ลง

ตัวตนของหลี่ฟู่เฉินยังคงดำรงอยู่ การดำรงอยู่นี้ดูแล้วคล้ายกับดาบที่สง่างาม

ปิสสส!

หลี่ฟูเฉินฟันลงไปหนึ่งครั้งที่กำปั้นของเงารูปร่างมนุษย์

“เจ้าสามารถสร้างบาดแผลให้ข้าได้จริงๆ?!” เงาร่างมนุษย์คำราม

หากจิตวิญญาณแท้จริงของใครคนหนึ่งหมดลง มันก็จะค่อยๆ ฟื้นคืนมาอย่างช้าๆ แต่ถ้าวิญญาณแท้จริงของใครเสียหาย มันจะเป็นเรื่องยากมากที่จะกู้คืนมา และจะส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะในอนาคต

แม้มันอาจจะเป็นเพียงแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้เขาโกรธมาก​

“เจ้ามีดาบ งั้นแล้วข้าก็ทำได้เช่นกัน”

ดาบขนาดยักษ์สูงตระหง่านปรากฏอยู่ในมือของเงาร่างมนุษย์ จากนั้นดาบก็ผ่าลงมาที่หลี่ฟู่เฉิน

ซึบ!

หลี่ฟูเฉินรู้สึกราวกับว่าจิตใจของเขาถูกแยกออกจากกัน พลังงานดาบนี้ถูกควบแน่นจนถึงขีดสุด

ฉับ!

ดาบที่เกิดจากจิตสำนึกของเขาและร่างของหลี่ฟู่เฉินกลับกลายเป็นพร่ามัว และกระจายออกไปเหมือนหมอก​

นี่เป็นสัญญาณว่าจิตสำนึกกำลังจะแตกสลาย

“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ต้องการยอมแพ้!”

หลี่ฟู่เฉินคำรามเสียงต่ำ

“ความสามารถของข้าอาจไม่แข็งแรงพอ แต่ทำไมจิตวิญญาณของข้าถึงจะต้องอ่อนแอตาม…”

“งั้นแล้วต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถต่อกรผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์วิญญาณได้? ข้า หลี่ฟู่เฉินไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าข้าจะต้องเผชิญกับความตายก็ตามที”

จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้ง

แต่คราวนี้มันไม่ใช่แค่ร่างของหลี่ฟู่เฉิน มันยังมีดาบที่ทีพลังฉีหนาแน่นที่ก่อขึ้นมาด้วยอีกเล่ม

ภายในดาบนั้นบรรจุจิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินเอาไว้ จิตสำนึก รวมถึงความไม่ยอมแพ้

ดาบนี้เป็นทุกสิ่งที่หลี่ฟู่เฉินสามารถใส่ลงไปได้ เขาลืมตัวตนของตัวเองไปแล้วรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างด้วย ความคิดเดียวของเขาในตอนนี้ คือการต่อสู้จนจบและตายอย่างไม่เสียใจ

ฉับ!

ด้วยการรวมกันระหว่างมนุษย์และดาบ หลี่ฟู่เฉินพุ่งเข้าหาเงาร่างมนุษย์ตนนั้น

เงานั้นชักดาบกลับมาและป้องกันเอาไว้

ปิสส!

เมื่อมนุษย์กับดาบรวมเข้าด้วยกัน ทักษะต่อสู้ของหลี่ฟู่เฉินก็คล่องแคล่วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาสามารถหลบดาบฟันสวนกลับของเงานั้นได้อย่างง่ายดาย เพียงไม่นาน เข้าก็พุ่งเข้าไปและเจาะเงาร่างนั้นได้

เงามนุษย์ร่างนั้นคำรามขึ้นฟ้า หน้าอกของเขามีรูขนาดยักษ์ วิญญาณแท้จริงทั้งหมดที่อยู่ในหลุมนั้นได้หายไป

ความเสียหายครั้งนี้คือสิบเท่าหรือมากกว่าการโจมตีครั้งก่อน

สิ่งที่ทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าเดิมคือความจริงที่ว่าเขาเป็นวิญญาณแท้จริงที่เหนือกว่าการคงอยู่ของขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณ และเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากเด็กเหลือขอนี้จริงๆ มันเป็นความอัปยศที่ราวกับถูกมือมาตบหน้า

“เจ้าทำให้ข้าโกธร!”

ร่างเงามนุษย์หดตัวลงจากนั้นก็ปล่อยสภาวะพลังวิญญาณที่น่าหวาดกลัวออกมา ซึ่งมันได้ไปห่อหุ้มดาบที่หลี่ฟู่เฉินได้สร้างขึ้น

สภาวะพลังวิญญาณแท้จริงต้องการการเผาไหม้จากวิญญาณแท้จริงถึงจะปลดปล่อยออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันต้องเป็นเฉพาะผู้ที่มีจิตวิญญาณแท้จริงที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้

สภาวะพลังวิญญาณแท้จริงมีความสามารถในการตรึงความว่างเปล่าเอาไว้และมีกฎบางอย่างที่ขัดต่อสวรรค์และโลก

ภายใต้การสกดข่มของสภาวะพลังวิญญาณแท้จริง ดาบของหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว

ฉึบ!

ด้วยการกวัดแกว่งดาบเพียงครั้งเดียว ดาบของหลี่ฟู่เฉินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ นี่ก็หมายความว่าจิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินเองก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยเช่นกัน

“ฮึ่ม เป็นเพียงแค่เด็กเหลือขอแต่ก็ยังกล้าแสดงอาการท้าทายต่อหน้าข้า? อย่าโทษข้าที่ต้องทำให้การคงอยู่ของเจ้าหายไป” เงารูปร่างมนุษย์เยาะเย้ย สำหรับร่างแรกๆ เขาเพียงแค่ยับยั้งสติของพวกนั้น ก็ในเมื่อเขาต้องการสำรวจความทรงจำของพวกเขาอย่างช้าๆ แต่จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินนั้นถูกทำลายโดยเขาและแม้แต่เหล่าเทพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยหลี่ฟู่เฉินได้

มองไปยังจิตวิญญาณสีฟ้าอ่อน เงารูปร่างมนุษย์ไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่อ้าปากค้าง

หากเขาดูดซับจิตวิญญาณที่ดูน่าหวาดกลัวดวงนี้ได้ เขาคงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าระดับการรับรู้ของเขาจะประสบความสำเร็จในระดับใด เมื่อถึงตอนนั้น คงจะไม่มีใครสามารถกำจัดเขาได้​

เงาที่มีรูปร่างมนุษย์ส่องประกายและเงาตนนั้นก็ล่องลอยไปยังจิตวิญญาณสีฟ้าอ่อน

ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน เขาไม่สามารถเห็นการดำรงอยู่ของเครื่องรางทองคำได้

เครื่องรางทองคำเป็นสิ่งที่หลี่ฟู่เฉินมองเห็นได้คนเดียวเท่านั้ย

บูม!

เมื่อเขากำลังจะเข้าสู่จิตวิญญาณสีฟ้าอ่อน แสงสีทองก็ถูกปล่อยออกมาทันที มันเข้ามาต้านทานเงาร่างมนุษย์​ตนนั้น

จิตวิญญาณสีฟ้าอ่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโปร่งใส ในขณะที่เครื่องรางทองคำปลดปล่อยแสงสีทองไร้ขอบเขตออกมา ภายใต้แสงสีทองเหล่านี้ จิตสำนึกที่แตกสลายไปแล้วของหลี่ฟู่เฉินค่อยๆ เริ่มก่อตัว ในเวลาเดียวกัน เงาร่างมนุษย์ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

“เครื่องรางทองคำ? นี่มันอะไร?” เงาร่างนั้นกลายเป็นหวาดกลัว

เขาเป็นวิญญาณแท้จริงที่อยู่เหนือขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณ แต่เขาก็ถูกสกดข่มและไม่สามารถแม้แต่จะขยับนิ้วได้

“มดปลวกที่อ่อนแออย่างเจ้ากล้าที่จะแทรกซึมอยู่ในจิตวิญญาณของร่างที่ข้าเลือก? เจ้าถามหาความตายแล้ว” นี่เป็นครั้งแรกที่เครื่องรางทองคำกล่าว

“เจ้าเป็นใคร?” เงาร่างมนุษย์สั่นเทา

ความรู้สึกนี้เลวร้ายยิ่งกว่าความกลัวที่จะเผชิญกับมหาเต๋าแห่งสวรรค์และโลก

มหาเต๋าแห่งสวรรค์และโลกคือการดำรงอยู่ที่สูงที่สุดที่รู้สึกได้แต่ทว่ามองไม่เห็น

แต่เครื่องรางทองคำอันนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่กว่ามหาเต๋าผู้ยิ่งแห่งสวรรค์และโลก

“มดปลวกที่อ่อนแอเช่นเจ้า ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าข้าดำรงอยู่จริง ไปให้พ้น!”

แสงสีทองทวีความรุนแรงขึ้นและเริ่มกัดเซาะเงาร่างมนุษย์

“นี้มัน ไม่จริง!”

ชั่วพริบตาเดียว เงาของมนุษย์กลายเป็นของเหลวหยดหนึ่งซึ่งส่องประกายออกมาเล็กน้อย

ของเหลวหยดนี้บริสุทธิ์มากและถึงแม้มันจะถูกขยายโดยพันล้านเท่า ก็จะยังไม่มีร่องรอยของสิ่งปนเปื้อน

ทันทีที่เงาถูกกัดเซาะ จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินก็ได้นรับการก่อตัวใหม่

“ทำไมจิตสำนึกของข้าถึงยังไม่แตกสลายหายไป?”

เมื่อจิตสำนึกของเขาถูกทำลาย หลี่ฟู่เฉินรู้สึกเหมือนทุกสิ่งจมอยู่ในความมืดและในไม่ช้าเขาก็สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดไป

หลังจากปรับขนาดร่างกายที่เกิดขึ้นจากจิตสำนึกเสร็จสิ้น หลี่ฟู่เฉินพบว่ามันมีความข้นมากกว่าเดิมสิบเท่า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากเจตจำนง แต่รู้สึกเหมือนกับมันเป็นอะไรที่มีมาแต่เดิมอยู่แล้ว

เจตจำนงและจิตสำนึกไม่มีความสัมพันธ์ที่ตายตัว

เมืือวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น ก็ยิ่งมีสติมากขึ้น​ นี้ถึงจะถูกต้อง

แต่ยิ่งมีสติมากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณจะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่านักสู้ขอบเขตสวรรค์ แต่จิตวิญญาณของเขาอาจจะด้อยกว่านักสู้ขอบเขตสวรรค์

“หยดของเหลวนี้คือ?”

เบนความสนใจของเขาออกไปจากจิตสำนึกในร่างของตนเอง หลี่ฟู่เฉินมองดูของเหลวในใจของเขา

ของเหลวหยดนี้บริสุทธิ์มากและมีแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้ มันส่งผลทำให้หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถระงับการบริโภคมันเข้าไปได้จริงๆ

หลี่ฟูเฉินก้าวเข้าใกล้การหยดของของเหลว

ในขณะที่ร่างกายของหลี่ฟู่เฉินอยู่ห่างจากของเหลวเพียงก้าวเดียว มันก็วิ่งเข้าสู่ร่างกายเข้าไปจิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินโดยอัตโนมัติ

ในช่วงเวลาต่อไป จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินก็แตกออกและกลับมารวมตัวอีกครั้งจากนั้นก็แตกและก็กลับมารวมตัวอีกครั้งซ้ำไปซ้ำมา

เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะหลี่ฟูเฉินไม่รู้สึกถึงการไหลของเวลาอีกต่อไป

ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเท่าใด ในที่สุดร่างจิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินก็หยุดแตกออกและก่อตัว

ร่องรอยของสติที่ไม่ชัดเจนก็ส่องออกมาจากตัวของหลี่ฟู่เฉิน

“สติของข้าควบตัวเข้าหากันต่างจากเดิมอย่างน้อยร้อยเท่า” หลี่ฟู่เฉินกลายเป็นตกตะลึง

ร่างจิตวิญญาณของเขารู้สึกว่าได้รับการยกระดับโดยสมบูรณ์รวมถึงเทคนิคการปรับแต่งร่างกายระดับสูงเองก็เช่นกัน มันเข้มข้นยิ่ง และสัญชาตญาณของเขาก็บอกเขาว่าตอนนี้จิตสำนึกของเขาเหนือกว่านักสู้ขอบเขตสวรรค์หรือแม้แต่กระทั่งนักสู้ขอบเขตหวนคืนกำเนิดเสียอีก


บทที่ 221

จิตสำนึกที่น่าพรั่นพรึง

ประโยชน์ของการมีสติที่น่ากลัวคืออะไร?

นั้นก็คือการได้รับข้อมูลมากมาย

สติที่น่ากลัวหมายถึงการรับรู้ของหลี่ฟู่เฉินเองก็จะแข็งแกร่งขึ้น

สติที่น่ากลัวยังหมายถึงความสามารถในการคิดของหลี่ฟู่เฉินเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ความสามารถในการคิดของคนหนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการรับรู้ของคนๆ หนึ่ง

เปิดดวงตาออก หลี่ฟู่เฉินตื่นขึ้นมา

“ยินดีด้วยท่านอาจารย์!”

มองเห็นหลี่ฟู่เฉินตื่นขึ้นมา ‘หลี่หวูเซี่ย’ และวิญญาณปีศาจตนอื่นๆ กล่าวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

สภาวะพลังฉีที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของหลี่ฟู่เฉินอาจจะไม่เหมือนกับอาจารย์ของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะคิดว่าอาจารย์ของพวกเขาจะล้มเหลว

หลี่ฟู่เฉินตอบอย่างเฉยเมย “อาจารย์ของพวกเจ้าตายไปแล้ว”

“เจ้าไม่ใช่ท่านอาจารย์? นี่เป็นไปได้อย่างไร?”

‘หลี่หวูเซี่ย’ และวิญญาณปีศาจที่เหลือแสดงอาการเหลือเชื่อออกมา

ท่านอาจารย์ ตายแล้ว?

อาจารย์ของพวกเขาอาจจะจากไปและเหลือเพียงแต่วิญญาณแท้จริง และอาจจะด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับตอนจุดสูงสุดของท่านอาจารย์ แต่เพื่อยึดร่างของนักสู้ขอบเขตปฐพี มันไม่ควรมีอุบัติเหตุหรือการล้มเหลวใดๆ…​ แม้ว่ามันจะเป็นร่างของนักสู้ขอบเขตสวรรค์ ด้วยความสามารถของท่านอาจารย์ มันก็ไม่ควรมีปัญหาเช่นกัน​

“ตาย!”

‘หลี่หวูเซี่ย’ และ ‘ฟูจงชาน’ พุ่งเข้าหาหลี่ฟู่เฉินในเวลาเดียวกัน

เช้ง!

ด้วยดาบที่ชักออกมาจากฝัก แสงดาบก็ได้ตวัดผ่านออกไป ราวกับว่าการโจมตีจาก ‘หลี่หวูเซี่ย’ และ ‘ฟูจงชาน’ นั้นได้จมลงไปในบึง พวกเขาไม่สามารถใช้ความแข็งแกร่งแต่เดิมของเขาได้ประมาณ 30% และการโจมตีของพวกเขาก็ถูกป้องกันอย่างง่ายดายจากหลี่ฟูเฉิน

จิตสำนึกที่น่าหวาดหวั่นทำให้หลี่ฟูเฉินสามารถกำหนดวิถีการโจมตีจาก ‘หลี่หวูเซี่ย’ และ ‘ฟูจงชาน’ ได้ในทันที หลี่ฟู่เฉินก้าวล้ำอยู่หนึ่งก้าวเสมอสำหรับการโจมตีที่เข้ามา ส่งผลทำให้พวกนั้นไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของพวกเขาได้

“สามารถป้องกันการผสานการโจมตีจากพวกเราได้จริงๆ?”

‘ฟูจงชาน’ กลายเป็นตกตะลึง เขารู้ว่าความสามารถของหลี่ฟู่เฉินนั้นด้อยกว่าเขามากในอดีต เกิดอะไรขึ้นกับความสามารถของเขาทำไมมันถึงได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้?

ปิสส ปิสส!

วิชาดาบเก้าโคจรถูกใช้ออกเพื่อป้องกันและโจมตี เมื่อดาบหมุนครบเก้าครั้งมันก็เพียงพอที่จะต่อต้านการโจมตีใดๆที่เข้ามา แล้วใช้พลังของการโจมตีเหล่านั้นเพื่อกลับไปหาศัตรูด้วยพลังที่แข็งแกร่งกว่า ซึ่งหมายความว่าหากพลังของศัตรูแข็งแกร่งมาก พลังที่จะสะท้อนออกไปก็จะมากตามไปด้วย

แสงดาบสองแสงสะท้อนกลับมา มันเข้ามาเจาะ ‘หลี่หวูเซี่ย’ และ ‘ฟูจงชน’ ส่งผลทำให้ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด

“เขากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลี่หวูเซี่ย’ และ ‘ฟูจงชาน’ มึนงง

พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหลี่ฟู่เฉินมีสติเพิ่มขึ้นมาก ทักษะดาบของเขาอาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ทักษะการต่อสู้ของเขาไม่ใช่ มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยสองเท่า เขาสามารถแปลงความสามารถส่วนหนึ่งของเขาให้เป็นมากกว่าความสามารถตามปกติ ซึ่งแปลงให้แข็งแกร่งขึ้นสองเท่าได้อย่างง่ายดาย

หลังจากต้านทานวิญญาณปีศาจทั้งสอง หลี่ฟู่เฉินเปิดตัวด้วยการเข้าไปโจมตี ‘ฟูจงชาน’​ อย่างดุเดือด ใช้วิชาดาบเพลิงดาวตก เพลิงดาวตกทุกอันราวกับมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันดูทั้งสวยงามและดูไร้ความปราณีไปพร้อมๆ กัน เพียงไม่นานเลือดสดไหลก็ผ่านร่างของ ‘ฟูจงชาน’​

ไม่มีเสียงหรือการแสดงตนใดๆ เงาวิญญาณปีศาจที่โปร่งใส่ลอยออกมาจากร่างของ ‘ฟูจงชาน’

“ข้าสามารถเห็นมันได้?” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินสว่างขึ้น

ก่อนหน้านี้ เขาไม่สามารถเห็นวิญญาณปีศาจได้ แต่สามารถเห็นวิญญาณแท้จริงของเจ้าของสุสานนี้ อย่างไรก็ตามนี้มันเป็นเพราะเจ้าของสุสานตนนั้นตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น

เขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเห็นวิญญาณปีศาจโดยตรงหลังจากเพิ่มระดับสติของเขา

เนื่องจากเขาสามารถเห็นวิญญาณปีศาจได้ งั้นแล้วทุกอย่างก็ง่ายขึ้นมาก หลี่ฟู่เฉินเฉือนวิญญาณปีศาจด้วยวิชาดาบโคจรหลั่งไหล

วิญญาณปีศาจไม่กลัวการโจมตีปกติ แต่พวกมันกลัวเจตจำนงทักษะ

เมื่อดาบโคจรหลั่งไหลของหลี่ฟู่เฉินหมุนไปที่วิญญาณปีศาจ​ มันก็ทำให้วิญญาณปีศาจดูบิดเบี้ยวทันที

เห็นได้ชัดว่าเจตจำนงแห่งดาบของหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงต่อวิญญาณปีศาจได้

ซึ่งเป็นสาเหตุ ที่หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำลายวิญญาณปีศาจได้ภายในเวลาอันสั้น มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

“เนื่องจากเป็นเช่นนี้ ข้าจะลองมันด้วยจิตสำนึก”

จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินพุ่งออกมาและระเบิดออกใส้วิญญาณปีศาจ

“อ๊ากก!” วิญญาณปีศาจเปล่งแสงออกมาไม่นานก็กระจายหายไป

“สำเร็จ” หลี่ฟู่เฉินแสดงออกอย่างยินดี

เขาไม่คาดหวังว่าจิตสำนึกของเขาจะสามารถโจมตีวิญญาณปีศาจได้

เมื่อวิญญาณแท้จริงของเจ้าของสุสานเข้ามาในจิตใจของเขา เขาสามารถต่อสู้ในจิตสำนึกของเขาได้ แต่เขายังไม่ได้ลองใช้มันนอกความคิดของเขาเอง

แต่เขาก็ไม่ทราบว่าจิตสำนึกของคนปกติไม่แม้แต่จะสามารถทำร้ายวิญญาณปีศาจได้ มันเป็นเพราะความดื้อรั้นและความมุ่งมั่นของเขาที่สามารถทำลายวิญญาณปีศาจ

เมื่อวิญญาณปีศาจตนอื่นเห็นหลี่ฟู่เฉินเอาชนะวิญญาณปีศาจได้จริงๆ วิญญาณปีศาจทั้งสามที่ลอยอยู่นั้นตื่นตระหนกและต้องการที่จะเข้าสู่ร่างทั้งสามที่อยู่ใกล้เคียง แต่หลี่ฟู่เฉินจะยอมให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?

จิตสำนึกของเขาถูกกวาดออกไปและทำลายวิญญาณปีศาจทั้งสามในทันที

เหลือเพียงเฉพาะ ‘หลี่หวูเซี่ย’​ เท่านั้น

‘หลี่หวูเซี่ย’ มีความตั้งใจที่จะล่าถอย ก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งเข้าไปยังห้องโถงใหญ่

“นั้นกำลังจะไปไหน?” จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินถูกเร่งความเร็ว

ร่างของ ‘หลี่หวูเซี่ย’​ แกว่งไปแกว่งมาอย่างต่อเนื่อง

“ดูเหมือนว่าจิตสำนึกจะสามารถแทรกแซงได้เฉพาะวิญญาณปีศาจและวิญญาณแท้จริงได้แตาเพียงเท่านั้น มันไม่สามารถกำหนดเป้าหมายไปยังวิญญาณปีศาจที่ครอบครองร่างกายไว้ก่อนแล้ว” หลี่หวูเซี่ยทำความเข้าใจและเปิดใช้งานทักษะการเคลื่อนไหวของเขาเพื่อไล่ล่าตามหลัง ‘หลี่หวูเซี่ย’ ไป

หลังจากที่ ‘หลี่หวูเซี่ย’​ ออกไป ชูมู่หยู เหว่ยชานเหอ ฟานเฉียนสง และฟานเฉียนหยูก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้น?” ฟานเฉียนหยูสับสน

“หลี่ฟู่เฉินอยู่ที่ไหน?” ชูมู่หยูขมวดคิ้ว

เธอจำได้แค่ว่าวิญญาณแท้จริงของเจ้าของสุสานเข้ามาในร่างกายและเธอก็พยายามต่อต้าน แต่หลังจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้เลย

ด้านนอกของห้องโถง ‘หลี่หวูเซี่ย’ หนีออกไปด้วยความเร็วสูงสุดของเขา ซึ่งมันก็เร็วกว่าหลี่ฟู่เฉินมาก

“ใจเย็นเข้าไว้”

หลี่ฟู่เฉินใช้วิชาดาบ เพลิงดาวตก และราวกับว่าเหล่าเพลิงดาวตกมีเจตจำนงเป็นของตัวเอง มันติดตาม ‘หลี่หวูเซี่ย’ เพียงไม่นานก็มีกลิ่นเลือดที่ไหม้เกรียมโชยมา และมีแผลขนาดเท่ากับไข่ไก่อยู่บนร่างกายของเขา

“สารเลว!”

หลังจากระยะเวลาหนึ่ง ‘หลี่หวูเซี่ย’ ก็ยังไม่สามารถสลัดออกจากหลี่ฟู่เฉินได้ หากเขายังคงวิ่งต่อไป เขาจะตกเป็นเป้าหมายเอาได้

หันกลับมา ‘หลี่หวูเซี่ย’ พุ่งไปที่หลี่ฟู่เฉิน

เขาไม่กลัวที่จะได้รับความเสียหายใดๆ ไม่ว่าจะเสียเล็กเสียน้อยสำหรับร่างกายนี้ แต่ถ้าเขาสามารถทำร้ายหลี่ฟู่เฉินได้ เขาก็จะมีโอกาส

‘หลี่หวูเซี่ย’ โจมตีอย่างรุนแรงไปที่หลี่ฟู่เฉิน ใช้ชีวิตของเขาเพื่อแลกเปลี่ยนชีวิตกับหลี่ฟู่เฉิน

น่าเสียดายที่ทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกมองออกด้วยจิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉิน ทุกการเคลื่อนไหวที่ ‘หลี่หวูเซี่ย’ ทำ หลี่ฟู่เฉินสามารถกำหนดท่าทางสำหรับรับมือได้นับไม่ถ้วนทันที

ปิสส!

แสงดาบกระพริบออกมา หัวของ ‘หลี่หวูเซี่ย’ บินออก

เงาปีศาจโผล่ออกมาจากร่างกายในตอนนี้เอง

“ตาย!”

หลี่ฟู่เฉินรอให้วิญญาณปีศาจออกมาก่อนที่จิตสำนึกของเขาจะแผ่ขยายออกไป พร้อมๆ กับเสียง ‘ปิสส’ วิญญาณปีศาจแตกกระจายออกไป

หลังจากฆ่าวิญญาณปีศาจตัวสุดท้ายแล้ว ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็ปลดปล่อยความโล่งใจ

ก่อนที่จะสังหารศัตรูได้ เขาไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุข วิญญาณปีศาจเป็นสัตว์ปีศาจระดับ 6 และถ้าเขาปล่อยให้มันเติบโต จะเป็นเขาเองที่ต้องตาย

ผายมือของเขา เขาดูดถุงเก็บของออกจากศพของ ‘หลี่หวูเซี่ย’​ หลี่ฟู่เฉินหันกลับมาและรีบกลับไปที่ห้องโถง

ในห้องโถง ชูมู่หยูและคนอื่นๆ กำลังรออยู่ที่นั่น

“หลี่ฟู่เฉิน มันเป็นเจ้า?” ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูไม่แน่ใจ

“แน่นอนมันเป็นข้าเอง” หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ

“เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้?” เป็นชูมู่หยูที่เป็นคนถาม​

หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

โดยธรรมชาติแล้วเขาต้องเลือกที่จะไม่บอกความจริงแน่นอน

ชูมู่หยูขมวดคิ้วและไม่ถามต่อ สัญชาติญาณของเธอบอกเธอว่าหลี่ฟู่เฉินมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเขาจะซ่อนความลับมากมายไว้ในร่างกายของเขา

“ไม่เป็นไรทุกอย่างดีก็ดีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าแค่ตื่นตกใจไปเพียงแค่นั้น”

ฟานเฉียนสงรีบนั่งลงและกินยาฟื้นฟูและเริ่มไหลโคจรเทคนิคของเขาเพื่อพักฟื้น

หลี่ฟู่เฉินถอนหายใจและสำรวจจิตสำนึกของเขาอย่างต่อเนื่อง

ถ้ามันเป็นเขาก่อนหน้านี้ จิตสำนึกหรือสัมผัสของเขาจะสามารถปลดปล่อยออกมาผ่านการสนับสนุนจากพลังฉีแต่เพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังฉีใดๆ และสามารถปล่อยมันออกมาได้โดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีระยะค่อนข้างไกลและสามารถสำรวจพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรได้

หลังจากเวลาผ่านไป อาการบาดเจ็บของฟานเฉียนสงก็หายไป

ทั้งห้าออกจากห้องโถงและเตรียมพร้อมที่จะหาทางออก


บทที่ 222

ลวดลายดาบ

ติดตามไปยังทางเดิมที่พวกเขาเคยผ่านมา ในที่สุดพวกเขาทั้งห้าก็เดินออกจากหลุมฝังศพได้

เมื่อพวกเขาหันกลับไปมองประตูโลหะขนาดใหญ่หัวใจของพวกเขาก็ยังมีร่องรอยของความกลัวที่เผยออกมา

เส้นทางเต๋าแห่งการต่อสู้อันตรายเกินไป ใครจะไปคาดคิดว่าร่างกายของพวกเขาจะเกือบถูกยึดครอง

แม้ว่าพวกเขาจะออกจากหลุมฝังศพได้แล้ว พวกเขาทั้งห้าก็ได้รู้ว่าหลุมฝังศพเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของดินแดนแห่งหมอก พวกเขาจะปลอดภัยอย่างแท้จริงหลังจากที่พวกเขาเดินออกจากดินแดนแห่งหมอก

ระหว่างทางกลับ พวกเขาทั้งห้าได้พบกับสัตว์ปีศาจค้างคาวยักษ์อีกตัวหนึ่ง

สัตว์ปีศาจค้างคาวยักษ์เป็นสัตว์ปีศาจชั้นยอดในหมู่สัตว์ปีศาจระดับสูง 3 ก่อนหน้านี้ มันต้องเวลาคนถึงสิบเอ็ดคนเพื่อกำจัดหนึ่งในสัตว์ปีศาจค้างคาวยักษ์ และ พวกเขาส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาชูมู่หยู

แต่ตอนนี้ เพียงแค่หลี่ฟู่เฉินและชูมู่หยูก็เพียงพอที่จะจำกัดสัตว์ปีศาจค้างคาวยักษ์แล้ว

แต่นี้เป็นเพราะหลี่ฟูเฉินไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย

ในแง่ของพลังโจมตี หลี่ฟู่เฉินยังด้อยกว่าชูมู่หยูมาก แต่ในแง่ของความสามารถในการต่อสู้ เขาแซงหน้าชูมู่หยูอย่างไม่ต้องสงสัย

“ความสามารถของเขา?”

ชูมู่หยูไม่ได้เป็นคนโง่และสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในความสามารถของหลี่ฟู่เฉิน

ความเร็วและความแข็งแกร่งของหลี่ฟู่เฉินไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ทักษะการต่อสู้ของเขายอดเยี่ยมมาก ถือดาบยาวแต่ก็ยังดูคล่องแคล่ว และเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาลากลายเส้นบากร่างของค้างคาวยักษ์ มันราวกับว่าทุกแผลถูกวัดด้วยไม้บรรทัด พวกมันทั้งหมดมีความยาวเท่ากัน ไม่มีอันไหนที่ยาวหรือสั้นกว่ากันเลย

“หากข้าต่อสู้กับเขา ข้าอาจจะแพ้เขาได้”

เธอไม่ต้องการยอมรับมัน แต่ชูมู่หยูก็ไม่ต้องการที่จะโกหกตัวเอง ในแง่ของทักษะการต่อสู้ เธออยู่ต่ำกว่าหลี่ฟู่เฉินระดับหนึ่ง

การเคลื่อนไหวทุกการเคลื่อนไหวของหลี่ฟู่เฉินมีจุดประสงค์และมันไม่ใช่แค่การตอบสนองทางร่างกายแต่เพียงเท่านั้น ทุกอย่างมันราวกับถูกเตรียมล้วนหน้าเอาไว้

ตั้งแต่ต้นจนจบ มันเป็นเหมือนการแสดงและทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

“จิตสำนึกที่น่าหวาดกลัวอะไรเช่นนี้?” ชูมู่หยูนั้นไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวด

หลังจากกำจัดค้างคาวยักษ์ไปแล้ว พวกเขาทั้งห้าก็ยังมุ่งหน้าต่อไป

ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงชายขอบของหมอกอันหนาแน่น

ด้วยความลังเลเล็กน้อย ทั้งห้าคนเข้าไปในหมอกหนาที่ว่านั้น

ภายในหมอก พวกเขาไม่สามารถมองเห็นนิ้วมือและพึ่งพาความรู้สึกใดๆ ได้

นอกเหนือจากหลี่ฟู่เฉิน ที่เหลือของพวกเขามีระยะสัมผัสเพียงไม่กี่สิบเมตร

หลี่ฟู่เฉินนั้นต่างออกไป หลังจากปล่อยจิตสำนึกของเขา ระยะสัมผัสของเขาขยายไปกว่าหลายร้อยเมตร ตราบใดที่มนุษย์หรือสัตว์ปีศาจใดๆ เข้ามาในรัศมีนี้ พวกเขาจะถูกพบทันทีโดยหลี่ฟูเฉิน

การเดินทางนี้ใช้เวลากว่าสิบวัน มันเป็นตอนนี้เองที่หมอกเริ่มจางลง ตาเปล่าของพวกเขาเริ่มมองเห็นได้แล้วประมาณสองถึงสามเมตร ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับรัศมีประสาทสัมผัสของพวกเขา

“เราเกือบจะออกจากดินแดนแห่งหมอกได้แล้ว” เหว่ยชานเห่อรู้สึกยินดี

“โชคดีที่เราสามารถออกมาได้ ข้าจะจดจำการเดินทางไปหลุมฝังศพครั้งนี้ตลอดไป” ฟานเฉียนสงอาลัย

หลังจากครึ่งวัน สถานที่ที่ทุกคนอยู่ไม่มีหมอกอีกต่อไป

นี่เป็นเวลาที่พวกเขาจะแยกทางกัน

ก่อนจะแยกทางกัน ชูมู่หยูส่งข้อความลับมาถึงหลี่ฟู่เฉิน “ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังหลุมฝังศพ ข้าจะตอบแทนเจ้าในอนาคต”

เธอมั่นใจว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นคนที่ช่วยทุกคนเอาไว้

หลี่ฟู่เฉินยิ้มและไม่ได้กล่าวสิ่งใด

หลังจากที่เหว่ยชานเห่อและชูมู่หยูได้จากไปแล้ว ฟานเฉียนสงกล่าวขึ้นมาว่า “ไปหาเมืองที่จะพักกันเถอะ!”

“แน่นอน” หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า

เขาต้องการเวลาในการย่อยข้อมูลทุกอย่างที่เขาได้รับในหลุมฝังศพ

ไม่กี่วันต่อมา ทั้งสามคนก็มาถึงเมืองพิรุณใบไม้ร่วงในระแวกใกล้เคียง

นี่เป็นเมืองที่ไร้เจ้าเมืองและถูกกครองโดยสามตระกูลใหญ่

หลังจากลงหลักปักฐานในโรงแรมดีๆ แห่งหนึ่งในเมือพิรุณใบไม้ร่วง ทั้งสามก็เริ่มการปลีกวิเวกเข้าสู่การบ่มเพาะ

บทดาบไร้สมบรูณ์ยอดเยี่ยมในแง่ของพลัง แค่บทดาบเหล็กสีดำก็เพียงพอที่จะเพิ่มความสามารถของหลี่ฟู่เฉินได้อย่างมากแล้ว

การเดินทางไปที่หลุมฝังศพนี้ทำให้หลี่ฟู่เฉินรู้ว่าเขาอ่อนแอเกินไป หากเขาไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความสามารถของเขาให้เร็วขึ้น เขาอาจจะไม่โชคดีแบบนี้ในการผจญภัยครั้งต่อไป

เขารู้ดีว่าวิญญาณแท้จริงของ เจ้าของสุสานนั้นถูกทำลายโดยเครื่องรางทองคำ

และมีเพียงเครื่องรางทองคำเท่านั้นที่มีความสามารถนี้

โรงแรมขนาดใหญ่แห่งนี้มีลานนับร้อย หลี่ฟู่เฉินและกลุ่มของเขาต่างก็เลือกลานของตัวเอง

ในสนามหญ้าแห่งหนึ่ง หลี่ฟูเฉินนั่งในท่าไขว้ขา พยายามเข้าใจบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ

แก่นแท้ของดาบ ใช้ไขกระดูกเป็นดาบในการสร้างรูปแบบดาบ

รูปแบบดาบนี้เป็นรูปแบบของลวดลาย

เพื่อที่จะสร้างรูปแบบดาบ ก่อนอื่นต้องเข้าใจลวดลายในตัวดาบ

ในบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ มีความรู้เกี่ยวกับลวดลายดาบจำนวนมาก หลี่ฟูเฉินรู้สึกว่าถ้าเขาสามารถเข้าใจบทดาบเหล็กดำได้ เขาอาจจะสามารถฝังลวดลายดาบบนดาบประดิษฐ์และกลายเป็นปรมาจารย์ลวดลายดาบ

ปรมาจารย์ลวดลายดาบมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปรมาจารย์อาวุธ แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด

ปรมาจารย์ลวดลายดาบอาจจะสามารถฝังลวดลายลงดาบได้ แต่อาจไม่รู้วิธีตีดาบขึ้นมา

แต่ปรมาจารย์อาวุธสามารถสร้างดาบได้และสามารถฝังลวดลายลงดาบได้

แน่นอนว่า ปรมาจารย์ลวดลายดาบเป็นชนกลุ่มน้อย

เมื่อนักดาบบางคนที่ไม่สามารถพัฒนาด้วยเต๋าแห่งดาบได้ พวกเขาก็เลือกที่จะเรียนรู้ลวดลายาบและดูว่าพวกเขาสามารถพัฒนามันต่อไปได้อีกหรือไม่

“ซับซ้อนอะไรเช่นนี้”

ภายในบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ มีลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำมากกว่า 800 ลวดลาย

เพื่อที่จะเข้าใจบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ ก่อนอื่นเขาจะต้องเข้าใจลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำกว่า 800 ลวดลายให้ได้อย่างถ่องแท้เสียก่อน

หลังจากได้รับความรู้เกี่ยวกับลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำกว่า 800 ลวดลาย เขาก็ต้องรวมมันเข้ากับลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางกว่าอีก 200 ลวดลาย จากนั้นก็เป็นลวดลายดาบสีเหลืองขั้นสูงกว่า 48 ลวดลาย จากนั้นก็เป็นลวดลดาบสีเหลืองขั้นสูงสุดอีก 9 ลวดลาย และท้ายที่สุดก็เป็นลวดลายดาบระดับลึกลับขั้นต่ำอีก 1 ลวดลาย

ลวดลายดาบระดับลึกลับขั้นต่ำ 1 ลวดลายนี้เป็นลวดลายดาบเหล็กดำ

หลี่ฟูเฉินมีจิตสำนึกที่ทรงพลัง มีความสามารถในการลดช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้ลงเป็นพิเศษ และยังมีการรับรู้ที่น่าประหลาดใจ เขาใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกว่า 800 ลวดลาย

ถ้าเขาต้องการมัน เขาสามารถฝังลวดลายดาบบนดาบใดก็ได้ ณ ขณะนี้

“ให้ข้าลองกระบวนการสร้างลวดลายดาบ”

หลี่ฟูเฉินดึงกิ่งไม้จากต้นไม้ในภายในลาน เขาจับกิ่งไม้แล้วถ่ายพลังงฉีของเขาลงไป

บนกิ่งที่กว้างสองนิ้ว เส้นของลวดลายเริ่มขยายตัว มันเรืองแสงด้วยแสงที่ละเอียดอ่อนและทำให้กิ่งไม้นี้ดูโดดเด่นเมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือ มันราวกับว่ากิ่งไม้นี้กลายเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง

ในพริบตาเดียว ลวดลายก็ครอบคลุมไปทั่วกิ่งไม้

ตึก!

จับกิ่งไม้ไว้ในมือข้างหนึ่ง หลี่ฟู่เฉินตวัดไปที่ความว่างเปล่า

ในช่วงเวลาหนึ่ง หลี่ฟูเฉินรู้สึกว่ากิ่งไม้นี้มีความคมขึ้นมาซะเฉยๆ

ความคมนี้เป็นเพียงบางสิ่งที่ดาบประดิษฐ์สามารถมีได้

มีกลิ่นลึกลับแห่งความเสื่อมโทรมลอยออกมา

ปึก!

กิ่งไม้แตกออกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นกองฝุ่นไม้

หลี่ฟูเฉินไม่ได้สนใจเรื่องนี้และคิดกับตัวเอง “ลวดลายอุปกรณ์นี้มีความโดดเด่นอย่างมาก วัสดุต้องมีความแข็งแกร่งสำหรับการฝังลวดลายอุปกรณ์ ในทำนองเดียวกัน ดาบเองก็เหมือนกัน”

เขานำกิ่งไม้อันอื่นออกมา แต่หลี่ฟู่เฉินใลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำอีกประเภทหนึ่ง

การสร้างลวดลายดาบเสร็จสมบูรณ์

กิ่งไม้ในมือของเขามีความคมเหมือนอันก่อน แต่ความคมนั้นไม่สำคัญเท่ากับความยืดหยุ่นของกิ่งไม้ เห็นได้ชัดว่ากิ่งไม้นี้ดูน่ากลัวกว่ากิ่งไม้อันก่อนมาก มันทั้งหนาและแน่นเหมือนเหล็กเส้น

ปึก!

มันอาจจะแน่น แต่มันก็ไม่สามารถคงไว้ได้นาน กิ่งไม้ก็ยังแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ดี

“หากข้าต้องเลือกลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำทั้ง 800 ลวดลายนี้ พวกมันมีผลที่ดีๆ เพียงไม่กี่ลวดลายเท่านั้น ความแตกต่างจะอยู่ในสิ่งของที่ต่างกันเท่านั้น ข้าสงสัยว่าลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางนั้นจะเป็นอย่างไร?”

หลี่ฟูเฉินสนใจลวดลายดาบมากขึ้น ราวกับว่าเขาได้พบสวรรค์ใหม่

หลังจากอีกหนึ่งสัปดาห์ได้ผ่านไป หลี่ฟู่เฉินมีความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบเกี่ยวกับลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางกว่าอีก 200 ลวดลาย

ลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันกับลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำ

มันมีข้อบกพร่องน้อยกว่าลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำและแข็งแกร่งกว่ามาก

และมันก็ยังเอาแต่ใจเช่นกัน

กิ่งไม้ไม่มีทางที่จะฝังด้วยลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางได้ ก่อนที่การก่อตัวจะเสร็จสมบูรณ์ กิ่งไม้ก็จะแตกออก แถมบางครั้งยังระเบิดออกด้วยก็มี

คราวนี้ เขาต้องใช้ไม้ที่แข็งแรงกว่าหรือวัสดุโลหะเพื่อสร้างลวดลายดาบ

ทันใดนั้นเอง หลี่ฟู่เฉินก็คิดถึงปัญหา หากเขามีความรู้เกี่ยวกับลวดลายดาบระดับลึกลับขั้นต่ำที่สมบรูณ์แล้ว ไขกระดูกของเขาจะสามารถทนต่อมันได้หรือไม่ถ้ามันถูกฝังลงในไขกระดูก? มันจะไม่แตกออกใช่หรือไม่?


บทที่ 223

เจ้านิกายสวรรค์ปีศาจ

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า หลี่ฟู่เฉินเพิ่งเรียนรู้ลวดลายดาบและยังไม่เข้าใจพวกเขา

จากลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำทั้ง 800 ลวดลาย ทุกๆ ลวดลายมีทฤษฎีเป็นของตนเองที่เขายังไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ ภายใต้การผสมผสานหลายลวดลายมันก็เป็นไปได้ที่จะสร้างลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางได้นับไม่ถ้วน แต่หลี่ฟู่เฉินได้เรียนรู้เพียงแค่ลวดลายดาบสีเหลืองขั้น 200 ลวดลายเท่านั้น ที่ได้ระบุไว้ในบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเป็นปรมาจารย์ลวดลายดาบหรือสุดยอดปรามาจารย์ในระยะเวลาอันสั้น เขาเพียงต้องการให้ตนเองสามารถสร้างลวดลายดาบเหล็กดำได้

เพื่อที่จะให้เข้าใจโดยสมบูรณ์ มันต้องใช้เวลามากกว่าเวลาที่เขาใช้ไปตอนนี้ หลี่ฟู่เฉินไม่ได้มีเวลาเหลือเฟื้อพอที่จะไปใช้ในการเข้าใจลวดลายดาบให้สมบรูณ์ถึงเพียงนั้น

ในสนามหญ้ามีโลหะชั้นดีระดับสีเหลืองนับไม่ถ้วน ต่ำแต่ระดับต่ำไปจนถึงระดับสูงสุด

หลี่ฟู่เฉินซื้อโลหะเหล่านี้มาเมื่อตอนที่เขาเข้ามาในเมืองพิรุณใบไม้ร่วง เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้และสร้างลวดลายดาบ

ยืนอยู่หน้าโลหะระดับสีเหลืองขั้นต่ำ หลี่ฟูเฉินใช้ฝ่ามือดึงโลหะเข้ามาที่มือของเขา

เขาดำเนินการถลุงเหล็กด้วยมือvโลหะชั้นต่ำสีเหลืองขนาดเล็กชิ้นนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงและอ่อนลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสิบลมหายใจ มีดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ดีปรากฏอยู่ในมือของหลี่ฟู่เฉิน

ด้วยการยืดมันออก หลี่ฟู่เฉินใช้มือถลุงเหล็กเพื่อสร้างดาบมากกว่าหนึ่งโหล

เหตุผลที่ว่าทำไมมันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ นั้นเป็นเพราะลักษณะที่ดูหยาบกระด่างและขาดลวดลายดาบใดๆ ที่อยู่ภายในมันนั้นเอง

“เอาหล่ะ ทีนี่ข้าก็สามารถลองสร้างลวดลายดาบสีเหลทองขั้นกลางได้แล้ว”

แม้ว่าขะไม่จำเป็นต้องเข้าใจลวดลายดาบให้สมบูรณ์ก็ได้ แต่ผู้ฝึกฝนก็ต้องทราบลักษณะพิเศษของลวดลายดาบ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณได้รับวัตถุชิ้นใหม่มา ท่านก็ต้องรู้ก่อนว่ามันถูกใช้เพื่ออะไรและประโยชน์ของมันคืออะไร แต่ท่านไม่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับทฤษฎีโครงสร้างของมันเพื่อใช้งาน

ถือดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ดีไว้ หลี่ฟู่เฉินเริ่มสร้างลวดลายดาบ

มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ดีเริ่มส่องประกายละเอียดละออออกมาพร้อมๆ กับลายเส้นตรง เส้นรูปแบบเหล่านี้อาจเป็นแนวตั้งหรือแนวนอนและทุกอย่างล้วนมีความมั่นคงในตัวของมันเอง

ลวดลายจางลงและดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ดีในมือของหลี่ฟู่เฉินน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม ดาบที่ดูหยาบๆ ก่อนหน้านี้ก็คมกริบดุจใบมีดโกนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ลวดลายดาบทุกอันมีลักษณะพิเศษและนั่นคือขอบดาบที่คมกริบ

หากลวดลายดาบไม่มีลักษณะขอบดาบที่คมกริบนี้ นั้นก็หมายความว่ามันไม่ใช่ลวดลายดาบที่แท้จริง

หลี่ฟูเฉินมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ไม่จำเป็นต้องทดลองใช้ลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางทั้งหมด หลังจากลองมันไปซักเจ็ดหรือแปดเล่ม หลี่ฟู่เฉินริ่มเรียนรู้วิธีการสร้างลวดลายดาบสีเหลืองขั้นสูง

ลวดลายดาบสีเหลืองขั้นสูงประกอบไปด้วยหลายลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลางและลวดลายดาบสีเหลืองขั้นต่ำกว่าอีกหลายโหล เส้นลวดลายมีความซับซ้อนมากขึ้นและไม่เพียงแค่เส้นแนวตั้งหรือแนวนอน ตอนนี้มันมีกระทั้งเส้นเอียง

แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินพยายามสร้างลวดลายบดาบสีเหลืองขั้นสูงบนดาบสีเหลืองขั้นต่ำที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ดี พวกมันทั้งหมดแตกสลายออกไปทันที

‘ดูเหมือนว่าขีดจำกัดของโลหะสีเหลืองขั้นต่ำจะเป็นลวดลายดาบสีเหลืองขั้นกลาง สิ่งใดก็ตามที่มันอยู่นอกเหนือจากสีเหลืองขั้นกลางมันล้วนเป็นไปไม่ได้’ หลี่ฟูเฉินคิดกับตัวเอง

ใช้ดาบสีเหลืองขั้นกลางที่ยังเสร็จไม่สมบรูณ์ดี หลี่ฟู่เฉินเริ่มสร้างลวดลายดาบสี้เหลืองขั้นสูง

ชี่!

เมื่อลวดลายดาบเริ่มสร้างขึ้น แสงอันหนาวเหน็บส่องผ่านดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ดีเล่นนี้ทันที

ดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ดีเล่มนี้เริ่มส่องประกายรัศมีดาบและไม่ได้ก็เป็นเพียงแค่เศษโลหะอีกต่อไป

“หากลวดลายดาบสีเหลืองขั้นสูงยังดูวิเศษเช่นนี้ ข้าสงสัยว่าลวดลายดาบระดับสีเหลืองขั้นสูงสุดหรือระดับลึกลับขั้นต่ำจะเป็นอย่างไร?”

ความสนใจของหลี่ฟู่เฉินเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกวัน ทุกวันซึ่งทำให้เขาลืมเวลาไป

จิตวิญญาณสีฟ้าอ่อนทำให้การรับรู้ของหลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว ทำให้เขามีความสามารถในการรับรู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างรวดเร็ว

พร้อมด้วยจิตสำนึกที่พิเศษของเขา มันทำให้ความคิดของหลี่ฟู่เฉิน และความสามารถในการคาดการณ์มีความโดดเด่น เขาสามารถค้นหาความน่าจะเป็นนับไม่ถ้วนจากลวดลายดาบจำนวนนับไม่ถ้วนที่เขาเรียนรู้มาก่อนหน้านี้

ด้วยเวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือน หลี่ฟู่เฉินมีความเข้าใจที่สมบูรณ์เกี่ยวกับลวดลายดาบสีเหลืองขั้นสูงสุดที่แตกต่างกันทั้งเก้าอัน

ณ ตอนนี้เอง เขาเหลือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็เพียงแค่ลวดลายดาบระดับลึกลับขั้นต่ำเพียงอันเดียว ซึ่งเป็นรูปแบบดาบเหล็กดำ

เมื่อเขาเรียนรู้ลวดลายดาบเหล็กดำ เขาจะสามารถลองสร้างลวดลายดาบบนไขกระดูกของเขาได้ เพื่อสร้างบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำได้

เมื่อแก่นของดาบเหล็กดำถูกสร้างขึ้น เขาสามารถปลดปล่อยดาบพลังฉีเมื่อใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ

สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินไม่ทราบก็คือในขณะที่เขากำลังเข้าใจบทดาบไร้สมบูรณ์อยู่ในเมืองพิรุณใบไม้ร่วง เจ้าสำนักของนิกายสวรรค์ปีศาจแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

เจ้าสำนักของนิกายสวรรค์ปีศาจได้ฝังเทคนิคลับไว้ในร่างกายของหลี่หวูเซี่ย เทคนิคลับนี้เป็นประเภทของเทคนิคลับสัญญาโลหิต ซึ่งเชื่อมโยงกับเจ้าสำนัก

สองเดือนที่ผ่านมาเมื่อหลี่หวูเซี่ยได้ตกตายไป เจ้าสำนักของนิกายสวรรค์ปีศาจก็สัมผัสได้และได้เข้ามาในพื้นที่ร้อยเทพยุทธ์เป็นการส่วนตัว

ตอนนี้เขากำลังมองหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอยู่ในภูมิภาคร้อยเทพยุทธ์

น่าเสียดายที่ภูมิภาคร้อยเทพยุทธ์มีขนาดใหญ่เกินไป มันใหญ่กว่าภูมิภาคสวรรค์ปีศาจซะอีก

อย่างไม่มีทางเลือก เจ้าสำนักนิกายสวรรค์ปีศาจจึงต้องส่งผู้เชี่ยวชาญด้านขอบเขตปฐพีและขอบเขตสวรรค์ออกไปหาข้อมูล

เขาต้องรู้ให้ได้ว่าหลี่หวูเซี่ยเสียชีวิตได้อย่างไร มันไม่สำคัญว่าใครฆ่าหลี่หวูเซี่ย เขาต้องการให้ศัตรูจ่ายด้วยโลหิตเพื่อชำระหนี้แค้น

***

ในที่สุด อีกหลายวันก็ผ่านไป เขาพบว่าหลี่หวูเซี่ยได้ไปเยี่ยมเยื่อมเมืองสีโลหิต

เมืองสีโลหิต… ตระกูลหม่า…

ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลหม่า หมาเทียนบ๋าและหม่าเทียนหยางต่างก็ตกตะลึงด้วยความกลัว พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่เจ้าสำนักนิกายสวรรค์ปีศาจซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งของผู้อาวุโส

การดำรงอยู่ของผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิดคือการดำรงอยู่แบบใด? ไม่ต้องกล่าวถึงแค่กตระกูลหม่าเพียงตระกูลเดียว แม้แต่กระทั้งสิบตระกูลหม่าหรือร้อยตระกูลก็ไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเขา หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิด ทุกคนก็เป็นเพียงแค่มดที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้ำกำเนิด มดที่สามารถโดนเหยียบย้ำเมื่อใดก็ได้

“นายน้อยหลี่มาที่เมืองสีโลหิต แต่เขาก็จากไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น เราไม่รู้ว่าใครฆ่าเขา…” หม่าเทียนบ๋ากล่าวพร้อมลดหัวลง

เจ้าสำนำนิกายสวรรค์ปีศาจมีการแสดงออกที่ดูไม่แยแส “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครมีความบาดหมางกับเขา?”

หม่าเทียนบ๋าตอบกลับ “ครั้งหนึ่งเขาเคยขอให้ตระกูลของเราออกหมายจับบุคคลที่ชื่อว่าหลี่ฟู่เฉิน บุคคลนี้เป็นศิษย์หลักจากนิกายวารีคราม และเนื่องจากเหตุการณ์นี้ผู้อาวุโสชั้นในจากนิกายวารีครามจึงออกมาที่ตระกูลหม่า และให้คำเตือนแก่เรา”

“นิกายวารีคราม”

ดวงตาของเจ้าสำนักนิกายสวรรค์ปีศาจแสดงออกอย่างน่าหวาดกลัว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลี่ฟู่เฉินผู้ในไปที่ใด?” เขาไม่กังวลว่าหลี่ฟู่เฉินผู้นี้จะเป็นผู้สังหาร เขาเป็นจำพวกฆ่าคนนับพันทิ้งดีกว่าจะปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยหลบหนี

สำหรับเขาแล้ว ความต้องสงสัยนั้นมากเกินพอ

“ข้าไม่รู้ เขาควรจะออกไปก่อนที่นายน้อยหลี่จะออกจากเมืองสีโลหิต” หม่าเทียนบ๋ากล่าวอย่างซื่อตรง

เขาไม่กล้าปกปิดความจริงใดๆ

ไม่ว่าจะเป็นนิกายวารีครามหรือนิกายสวรรค์ปีศาจ หนึ่งในนั้นล้วนเป็นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์สำหรับตระกูลหม่า เขาไม่กล้าที่จะล่วงเกินนิกายสวรรค์ปีศาจได้ในทางกลับกันนิกายวารีครามเองก็เช่นกัน

เขาพูดได้แค่ความจริงและเขาเชื่อว่านิกายวารีครามจะไม่หาปัญหามาให้กับตระกูลหม่าของเขาเพราะเขาพูดเฉพาะความจริงเท่านั้น

“ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะกล่าวความจริง ไม่เช่นนั้นแล้ว อย่าหาว่าข้าเป็นคนไร้ความปราณี” โบกมือของเขา เจ้าสำนักนิกายสวรรค์ปีศาจกล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้าหลีกทางออกไป!”

“ได้ขอรับ!”

หม่าเทียนบ๋าและหม่าเทียนหยางถูกทิ้งไว้ด้วยการต้องทำตัวโค้งความเคารพ ตอนนี้เอง พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่านี่คือตระกูลของพวกเขา และเจ้านิกายสวรรค์ปีศาจก็ถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของเขาเอง

แน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน

ความคิดเดียวของพวกเขาคือการหวังว่าเจ้านิกายสวรรค์ปีศาจจะออกไปอย่างรวดเร็วและช่วยพวกเขาให้พ้นจากความรู้สึกวิตกจริต

เมื่อหม่าเทียนบ๋าและหม่าเทียนหยางจากไป ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์จากนิกายสวรรค์ปีศาจจำนวนมากก็เข้ามา

“ท่านเจ้าสำนัก ข้ามีข่าวล่าสุดมารายงาน ชูเหยชานผู้เป็นศิษย์หลักของนิกายสวรรค์ปีศาจเราเดินทางมาพร้อมกับนายน้อย เป็นเพราะชูเหยชานมา นายน้อยถึงได้ออกจากเมืองสีโลหิตแห่งนี้”

เจ้านิกายสวรรค์ปีศาจพยักหน้าและกล่าวด้วยการแสดงออกที่ดูโหดร้าย “ประกาศคำสั่งออกไป ให้ออกหมายจับศิษย์หลักจากนิกายวารีครามผู้นี้ หลี่ฟู่เฉิน ในภูมิภาคร้อยเทพยุทธ์แห่งนี้ ใครก็ตามที่ให้ข้อมูลถูกต้องจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญทองนับล้าน”

“เราจะไม่เกิดการบาดหมางกับนิกายวารีครามหรือ?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์กล่าวถาม

เจ้านิกายสวรรค์ปีศาจกล่าวออกมาด้วยความรังเกียจ “เราจะตัดสินใจหลังจากที่พวกเขามาหาเรา”


บทที่ 224


บทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ


 


 


 


หลี่ฟูเฉินไม่รู้เกี่ยวกับหมายจับที่ออกโดยนิกายสวรรค์ปีศาจ


 


ในความเป็นจริงแล้ว การตายของหลี่หวูเซี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขา เขาอาจจะต้องการสังหารหลี่หวูเซี่ยก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตายด้วยน้ำมือของวิญญาณปีศาจ


 


หลังจากใช้เวลาไปอีกสองสัปดาห์ ในที่สุดหลี่ฟู่เฉินก็ใช้ลวดลายดาบสีเหลืองขั้นสูงสุดที่แตกต่างกันทั้งเก้าลวดลาย เพื่อสร้างลวดลายดาบเหล็กสีดำได้แล้ว


 


ลวดลายดาบเหล็กสีดำนั้นซับซ้อนและมีร่องรอยความลึกลับจากสวรรค์และโลก


 


หยิบดาบชั้นสีเหลืองขั้นสูงสุดที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ขึ้นมา หลี่ฟู่เฉินเริ่มสร้างลวดลายดาบเหล็กดำ


 


มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลายเส้นสีดำสดใสเริ่มคลานอย่างช้าๆ ไปทั่วดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์นี้ มีลายเส้นตรงคล้ายดาบ เส้นเส้นโค้งประดุจกระบี่ และอีกหลายเส้นที่มีมากมายยัวเยี่ยราวกับฝูงลูกอ๊อด


 


ในเวลาเดียวกัน ก็มีคลื่นแปลกๆ คลายกับระลอกคลื่นออกมาเช่นกัน


 


ครั้งนี้ หลี่ฟูเฉินต้องใช้เวลาถึงสิบชั่วโมงเต็มในการสร้าง


 


ทันทีที่ลวดลายดาบเสร็จสมบูรณ์ ตัวดาบก็เต็มไปด้วยพลังฉีแห่งดาบ น้ำหนักของดาบที่ยังไม่ทันเสร็จดีหนักมันก็เพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าในทันที และมันก็ไม่ง่ายต่อการถือเอาไว้อีกต่อไป


 


“นี่คือลวดลายดาบเหล็กดำใช่มั้ย?”


 


ลวดลายดาบหายไป ดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์นี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ขอบที่แต่เดิมไม่คมนั้นตอนนี้คมขึ้นกว่าเดิมมาก มันมีประกายแสงเย็นยะเยือกแลบออกมาเป็นครั้งคราว มันไม่ได้ดูเหมือนดาบที่ยังไม่เสร็จสมบรูณ์อีกต่อไป กลับกันมันเปล่งประกายที่ดูเหมือนดาบประดิษฐ์ออกมาแทน


 


“มันอาจจะไม่ดีเท่ากับลวดลายดาบทองดำ แต่โดยรวมแล้วมันก็ถือว่าดูดีเมื่อเทียบกับดาบทองดำ”


 


ลวดลายดาบทองดำประกอบไปด้วย ความคม น้ำหนัก และคุณสมบัติของความยืดหยุ่น


 


แต่ลวดลายดาบเหล็กดำนี้ไม่เพียงแต่มีความคม น้ำหนัก และความทนทาน มันยังมีความสามารถในการทำให้แข็งขึ้น และสามารถปลดปล่อยพลังฉีออกมาได้


 


ด้วยการขยับข้อมือของเขา หลี่ฟู่เฉินแทงดาบขึ้นไปในอากาศ


 


ก่อนที่ดาบจะไปถึง พลังฉีแห่งดาบไปถึงก่อนเป็นอันดับแรก ดาบพลังฉีส่องประกายและหายไปในอากาศ


 


“ลวดลายดาบเหล็กดำ มันใช้พลังฉีแห่งดาบได้ง่ายกว่าและทำให้การปลดปล่อยดาบพลังราบรื่นขึ้นเช่นกัน คู่ควรกับชื่อของมันแล้ว” หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


เนื่องจากเขาได้เข้าใจลวดลายดาบเหล็กดำแล้ว ถัดไปก็คือการสร้างลวดลายดาบเหล็กดำบนแก่นกระดูกของเขา


 


หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ว่าแก่นกระดูกของเขาสามารถทนต่อลวดลายดาบเหล็กดำได้หรือไม่ แต่เขาต้องลองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง


 


นั่งไขว่ห้าง หลี่ฟู่เฉินหลับตา


 


พลังฉีไหลออกมาจากตันเทียนและเส้นชีพจรของหลี่ฟู่เฉิน พุ่งพล่านไปยังแก่นกระดูกของเขา


 


หลังจากนั้นสักครู่ หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ


 


การสร้างลวดลายดาบเหล็กดำบนแก่นกระดูกของเขานั้นแย่ยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก มันไม่ใช่แค่ความเจ็บปวด แต่มันทั้งชอกช้ำและคันเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามีมดกินคนนับไม่ถ้วนกำลังงานเลี้ยงอยู่บนแก่นกระดูกของเขามันให้หลี่ฟู่เฉินต้องคำรามอย่างสั่นไหวจากภายในสู่ภายนอกออกมาหนึ่งครา


 


ทนความเจ็บปวดและความคัน หลี่ฟู่เฉินยังคงสร้างลวดลายดาบต่อไป


 


ตอนนี้เอง หากใครสามารถมองผ่านผิวหนังและเนื้อหนังของเขาเข้ามาได้ พวกเขาจะสังเกตเห็นว่ากระดูกของหลี่ฟู่เฉินกำลังส่องสว่างเป็นสีดำเมื่อเส้นลวดลายขยายออกไป


 


“ข้าสมควรทนมันต่อไปได้!” เมื่อเห็นว่าแก่นกระดูกไม่มีปัญหาใดๆ หลี่ฟู่เฉินพ่นลมออกมาอย่างโล่งอก


 


เขากลัวจริงๆ ว่าก่อนที่ลวดลายดาบเหล็กดำจะเสร็จสมบูรณ์ กระดูกของเขาจะแตกออกและสลายไปเสียก่อน


 


หากกระดูกของเขามีปัญหาใดๆ มันนับเป็นเรื่องใหญ่แล้ว


 


สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินไม่ทราบก็คือแก่นกระดูกของนักสู้อาจไม่แข็งแกร่นเท่ากับโลหะชั้นสูงเหล่านั้น แต่เนื่องจากมันถูกบำรุงจากพลังฉีอย่างต่อเนื่อง มันเหมาะสมมากกว่าโลหะเสียอีกสำหรับการสร้างลวดลาย ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือ มันไม่ใช่ว่าทุกลวดลายอุปกรณ์จะเหมาะสำหรับการขึ้นรูปบนกระดูก


 


หากหลี่ฟู่เฉินสุ่มเลือกลวดลายดาบระดับลึกลับขั้นต่ำและฝังไว้ในกระดูกของเขา ลองสิบครั้งปัญหาใหญ่ก็จะเกิดขึ้นนับสิบครั้ง


 


แต่ลวดลายดาบเหล็กดำนั้นแตกต่างกัน มันถูกศึกษาโดยคนรุ่นก่อนเป็นเวลานานและทำให้เหมาะสำหรับแก่นกระดูกของมนุษย์ ตราบใดที่มันถูกใช้ตามคู่มือ มันก็จะไม่มีปัญหาใหญ่ใดๆ


 


การสร้างลวดลายดาบเหล็กดำบนกระดูกของคนไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ในชั่วข้ามคืน หลังจากใช้เวลาทั้งวัน แก่นกระดูกของหลี่ฟู่เฉินมีลวดลายดาบเหล็กดำสลักอยู่เพียง 10% จากทั้งหมดเท่านั้น


 


แก่นกระดูกที่ระบุไว้ในบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำนั้นก็กล่าวถึงกระดูกด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มักระดูกหรือไม่มีกระดูกอยู่ภายใน มันล้วนอยู่ภายใต้บทดาบเหล็กดำ เนื่องจากความซับซ้อนของแก่นกระดูก มันจึงต้องการรายละเอียดที่ละเอียดอ่อนกว่ามากเมื่อสร้างลวดลายดาบเหล็กดำ เพื่อที่จะได้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว นี่ไม่ใช่การสร้างลวดลายดาบบนวัตถุที่เป็นโลหะ โลหะมีโครงสร้างที่เรียบง่ายและจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจริงๆ จังๆ แต่แก่นกระดูกจะมีผลกระทบอย่างมากต่อร่างกายมนุษย์ และหากมีความผิดพลาดใดๆ มันจะทำให้แก่นกระดูกถูกทำลายและทำให้ผู้ฝึกฝนกลายเป็นคนพิการ


 


“10% จากลวดลายดาบเหล็กดำทั้งหมด ตอนนี้ข้ารู้สึกราวกับว่ากระดูกของข้าหนักกว่าเดิมมาก มันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอุปสรรค์ แถมยังรู้สึกว่าสามารถระเบิดความแข็งแกร่งออกมาได้มากกว่าเดิม”


 


เมื่อพลังฉีถูกถอนออกจากกระดูกของเขา หลี่ฟู่เฉินรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในนั้น


 


ชี่ ชี่…


 


ยกมือขึ้นและหักนิ้ว เมื่อกำมือแล้วยืดออก ดาบพลังฉีก็โผล่ออกมาจากปลายนิ้วของเขา มันดูแหลมคมอย่างเห็นได้ชัด


 


ด้วยการคิดในใจ ดาบพลังฉีก็ยิงออกไป


 


ปิสส!


 


บนพื้นผิวดินห่างออกไปประมาณสิบเมตร มีรอยคมคล้ายกับนิ้วถูกสร้างขึ้นอยู่ที่นั้น


 


“พลังนี่ดูเหมือนจะไม่อ่อนแอ่เลย”


 


หลี่ฟู่เฉินหายใจเข้าลึก ๆ และโครจเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง ดาบพลังฉีแทรกซึมออกมาจากภายในร่างกายของเขา และในพริบตา ควันขนาดเท่ากำปั้นสิบอันก็ลอยวนๆ อยู่รอบตัวเขา


 


“ไป!”


 


ใช้ความคิดของเขาในการควบคุม ดาบพลังฉีทั้งสิบถูกยิงออกไปและสับพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร เข้าต่อไปในรังต่อ


 


“คู่ควรแล้วกับชื่อบทดาบไร้สมบรูณ์ดาบเหล็กดำ มันสามารถให้ผลลัพเดียวกับนิกายต้นกำเนิดดาบได้”


 


มีประกายแสงที่น่ากลัวแวบผ่านออกมาจากดวงตาของหลี่ฟู่เฉิน


 


นิกายต้นกำเนิดดาบเป็นเทคนิคที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่อฝึกฝนถึงระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ จางหวูจิน ดาบพลังฉีหลายพันเล่มจะโบกสบัดพัดอยู่ทั่วท้องฟ้า ไม่อนุญาตให้ศัตรูมีที่ใดสำหรับหลบซ่อนหรือหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีบุคคลหรือการโจมตีในพื้นที่กว้างล้วนเป็นสิ่งที่น่าตกใจ


 


และดาบไร้สมบรูณ์ดาบเหล็กดำนี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีผลเช่นเดียวกัน


 


ตอนนี้เอง หลี่ฟู่เฉินสร้างลวดลายดาบเหล็กดำได้เพียง 10% เท่านั้น เมื่อเขาทำลวดลายดาบเหล็กดำเสร็จสิ้น หากเขาไม่สามารถผลิตดาบพลังฉีได้หลายเล่ม แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะสามารถปลดปล่อยดาบพลังฉีได้หลายร้อยเล่ม เพื่อโจมตีศัตรูของเขาได้โดยไม่มีปัญหา


 


ขณะที่อีกวันผ่านไป ลวดลายดาบเหล็กดำค่อยๆ เสร็จสมบูรณ์บนแก่นกระดูกของหลี่ฟู่เฉิน


 


สองสัปดาห์ต่อมา หลี่ฟู่เฉินสร้างลวดลายดาบเหล็กดำได้ประมาณ 90% แล้ว


 


“ออกไป!”


 


หลังจากโคจรพลังฉีเพลิงโลกันต์และส่งผ่านลงไปในแก่นของกระดูกของเขา ดาบพลังฉีหลายสิบเล่มลอยอยู่กลางอากาศโดยรอบหลี่ฟู่เฉิน


 


ดาบพลังฉีเหล่านี้มีสีเหล็กดำแบบครุมเคลือ ซึ่งสีที่ส่องออกมาทำให้พวกนี้เหมือนกับดาบเหล็กจริงๆ


 


เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง…


 


หันหน้าไปทางเศษโลหะสีเหลืองระดับสูงสุดซึ่งมีความสูงสองเมตร ประกายไฟพุ่งไปทุกทิศทุกทางหลังจากดาบพลังฉีหมดลง โลหะดูคล้ายกับรังต่อไปแล้ว มันเต็มไปด้วยหลุมและรอยจากดาบ


 


“น่าสนใจ!” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินสว่างขึ้น


 


ดาบเหล็กดำฉีนี้แข็งแกร่งยิ่ง แต่มันน่าเสียดายที่มันไม่ได้เจตจำนงแห่งดาบใดๆ หากมันมีเจตจำนงแห่งดาบ มันจะกลายเป็นที่น่ากลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม


 


แต่มันไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก ดูแล้วมันน่าจะใช้กับดาบทองดำและทักษะดาบได้


 


เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลี่ฟู่เฉินดึงดาบทองคำดำและถ่ายพลังฉีลงดาบทองดำของเขาลงไปข้างใน


 


ฮึ่ม!


 


ดาบทองคำดำสั่นสะเทือนและเปล่งเสียงสะเทือนออกมาจากปลายคม


 


“ไป!’


 


ใช้วิชาดาบโคจรหลั่งไหลเพื่อทำลายโลหะที่คล้ายกับรังต่ออันนั้น โลหะก่อนนั้นมันเปลี่ยนรูปร่างคล้ายของเหลว พลังนี้ มันเหมือนจะมากกว่าเดิมไม่ใช่แค่สองเท่า


 


“จากนี้ไป บทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำจะเป็นไพ่ตายของข้าอย่างแท้จริง มันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เปิดเผยจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด”


 


บทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำน่าหวาดกลัวเกินไป เนื่องจากมันไม่เหมือนเทคนิคลับมังกรเร้นลับที่ต้องเปิดใช้งาน มันจึงสามารถใช้ร่วมกับเทคนิคลับมังกรเร้นลับได้ เขาเพียงแค่ต้องหลั่งพลังฉีมังกรเร้นลับลงไปในบทดาบไร้สมบรูณ์บทดาบเหล็กดำ และนี่ก็จะทำให้เขาสามารถบังคับให้ดาบพลังฉีแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้


 


หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในที่สุดหลี่ฟู่เฉินก็สร้างลวดลายดาบเหล็กดำที่สมบูรณ์ในแก่นกระดูกเสร็จแล้ว ณ ตอนนี้เอง ร่างกายทั้งหมดของหลี่ฟู่เฉินเป็นเหมือนดาบ ดาบประดิษฐ์ที่สมบูรณ์แบบ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะกวัดแกว่งและฟาดฟันออกไปอย่างน่ากลัว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม