Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 204-210
บทที่ 204
การปะทะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สี่วันต่อมา โรงเตี้ยมนภาทิศใต้ของเมืองหมอกหนาก็ถูกจองเต็ม
บนชั้นสามของโรงเตี้ยม ฟานเฉียนสง ฟานเฉียนหยู และหลี่ฟู่เฉินนั่งอยู่ในมุม พวกหยิบชาบนโต๊ะขึ้นมบและดื่มมันอยู่อย่างเงียบๆ ในขณะที่รอศิษย์คนอื่นๆ มาถึง
ตึก ตึก…
เสียงฝีเท้าสามารถได้ยินได้ ขณะที่เยาวชนสามคนเดินขึ้นบันไดมา
เยาวชนทั้งสามสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มและเสื้อคลุมเป็นสัญลักษณเพลิงและปฐพี
พวกเขาเป็นศิษย์หลักจากนิกายเพลิงปฐพี
หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาเป็นผู้เยาวที่อายุประมาณเดียวกับฟานเฉียนสง ระดับพลังฝึกฝนของเขาอยู่ที่ระดับ 6 ของขอบเขตปฐพี สำหรับอีกสองคน พวกเขาอายุประมาณ 30 ซึ่งมีอายุประมาณเดียวกับหลี่ฟูเฉิน หนึ่งในนั้นเป็นระดับ 7 และอีกหนึ่งอยู่ในระดับที่ 8 ขอบเขตปฐพี
แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองเป็นผู้ติดตาม
“ฟานเฉียนสง” ผู้นำของเหล่าศิษย์หลักจากนิกายเพลิงปฐพีมองดูฟานเฉียนสงอย่างไร้อารมณ์
“สงฉิงเห่อ” ฟานเฉียนสงทักทายด้วยการเรียกขื่อเขาเช่นกัน
“เฉินชิเซียง นี่คือสงฉิงเห่อ ศิษย์หลักระดับทองจากนิกายเพลิงปฐพี เขามีความสามารถที่น่ากลัวและแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าพี่ชายของข้า” ฟานเฉียนหยูส่งข้อความถึงหลี่ฟู่เฉินอย่างลับๆ
หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า
ไม่มีศิษย์หลักระดับทองคนใดทำงานร่วมกันได้อย่างง่ายดาย มากไปกว่านั้นพลังฝึกฝนของพวกเขายังอยู่ในระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพีอีก
“ผู้นี้ก็เป็นศิษย์หลักจากนิกายไร้กังวลเหมือนกัน?” สงฉิงเห่อชี้ไปที่หลี่ฟู่เฉินและสอบถาม
ฟานฉิงส่งตอบกลับ “เขาคือเฉินฟู่หลี่ เฉินชิเซียงเขามาจากนิกายวารีคราม”
“นี่ดูเหมือนจะไม่ตรงกฎหรือไม่?!” สงฉิงเห่อเสียงดัง
ฟานเฉียนสงกล่าว “ทั้งสี่ฝ่ายในพวกเรามีเพียงข้อตกลงที่จะไม่เชิญนักต่อสู้ขอบเขตสวรรค์มา แต่เราไม่ได้กล่าวว่าเราไม่สามารถเชิญนักสู้ขอบเขตปฐพีได้นี่? หรือนิกายเพลิงปฐพีของเจ้าใช่หวาดกลัวหรือไม่?”
“กลัว? เหลวไหล! นักสู้ขอบเขตปฐพีระดับ 2 อาจตายได้เมื่อเขาเข้าไปในสุสาน” สงฉิงเห่อกล่าวด้วยความรังเกียจ
หลี่ฟู่เฉินผู้ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2 ของขอบเขตปฐพีแม้แต่ชายตามองก็นับว่าไม่สมควร แต่ถ้าหากเขาเป็นศิษย์หลักระดับทองเล่า? เขาก็จะเป็นเช่นเดียวกับเขา พลังฝึกฝนของตัวเขาเองจะต้องสูงกว่าจากเดิมสี่ระดับ
หลังจากหาโต๊ะอื่น ศิษย์หลักจากทั้งสองนิกายนั่งรออย่างเงียบๆ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงฝีเท้าก็ได้ยินอีกครั้ง
ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นบันได สภาวะพลังฉีอันแหลมคมและรุนแรงของพวกเขาก็มาถึงชั้นสามแล้ว
“นิกายโหมกระบี่” หลี่ฟูเฉินคิดในใจว่าเขาคุ้นเคยกับสภาวะพลังฉีนี้
หลังจากนั้นสักครู่ สมาชิกของนิกายโหมกระบี่ก็ขึ้นมาบนชั้นสามของโรงเตี้ยมนี้
ศิษย์หลักของนิกายโหมกระบี่ผู้นี้มีระดับการบ่มเพาะสูงจริงๆ มันอยู่ในระดับ 7 ของขอบเขตปฐพี สภาวะพลังฉีที่หนาแน่นของเขานั้นแหลมคมราวกับกระบี่ในฝักซึ่งเข้ามากัดกินผิวหนังของศัตรูและกดขี่วิญญาณของพวกเขา
‘ความชั่วร้ายที่น่าสะพรึง!’ คิ้วของหลี่ฟู่เฉินขมวดขึ้น
ศิษย์หลักของนิกายโหมกระบี่ผู้นี้อาจจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ไกลจากมันมากนัก
“ฟู่จงชาน เจ้ามาผู้เดียว?” สงฉิงเห่อจำได้ว่าฟู่จงชาน มีศิษย์ของนิกายโหมกระบี่อยู่ข้างเขาเทื่อก่อนหน้านี้
“แค่ข้าก็มากเกินพอ” ฟู่จงชานตอบกลับอย่างหยิ่งผยอง
“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจในภายหลัง” สงฉิงเห่อยอมรับความสามารถที่น่ากลัวของฟู่จงชาน แต่มันก็น่าเสียดายเพราะครั้งหนึ่งในหลุมฝังศพ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้ามีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน หากมันไม่ใช่เพราะว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสั้นกระชันชิด เขาจะพาศิษย์หลักอีกสองสามคนมาอย่างแน่นอน
ฟู่จงชานเพียงแค่ยิ้มด้วยความเย่อหยิ่งและไม่ได้กล่าวอะไรอีก
***
เมื่อเวลาผ่านไป…
อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“ศิษย์หุบเขาโจนนิรันดร์แน่แล้วว่ากล่าวคำกับอากาศ! เราตกลงที่จะพบกันในตอนเช้าและตอนนี้ก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว!” สงฉิงเห่อค่อนข้างไม่มีความสุข
“ศิษย์ของนิกายเพลิงปฐพีไร้ความอดทนเสียจริง ดูเหมือนว่าอนาคตของพวกมันจะเป็นที่น่าสงสัยแล้ว”
จากด้านล่าง ได้ยินคำกล่าวอันทรงพลัง
สงฉิงเห่อเดือดดาล ถ้าเป็นคนอื่น เขาจะสอนบทเรียนให้แก่พวกมัน แต่เป็นเพราะเขาพลังอำนาจของหุบเขาโจนนิรันดร์ เขาไม่กล้าทำให้เรื่องราวนี้ใหญ่โตขึ้นอีก หลังจากทั้งหมดแล้ว เขาก็เป็นคนแรกที่ไม่สุภาพก่อน เขาจึงสามารถกลืนความโกรธในตอนนี้ลงไปได้
การปรากฏตัวของสภาวะพลังฉีที่ไม่เหมือนใคร ให้ความรู้สึกราวกับทะเลพฤกษาได้ถูกปล่อยออกมา ขณะนั้นเองชายคนหนึ่งก็เดินขึ้นบันไดมา
ชายผู้นี้ดูอายุน้อย แต่ทว่าเขาก็ยังดูแก่กว่าหลี่ฟู่เฉินในปัจจุบัน อย่างน้อยเขาก็มีอายุ 35 ปี รอยยิ้มของเขามีร่องรอยของความเย่อหยิ่งที่แตกต่างจากความเย่อหยิ่งของฟู่จงชาน มันเต็มไปด้วยความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งนี้มาจากสถานะที่น่านับถือของเขา
มันไม่น่าแปลกใจเลยที่หุบเขาโจนนิรันดร์เป็นหนึ่งในนิกายชั้นสูงของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นหนึ่งในชนชั้นที่สูงที่สุดของศิษย์หลักหุบเขาโจนนิรันดร์ แต่เขาก็สมควรสำหรับการแสดงความเย่อหยิ่งของเขา
การฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพีและเพียงแค่ดูจากสภาวะพลีงฉีที่ปรากฏออกมาของเขา มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสภาวะพลังฉีของฟู่จงชาง
ฟานเฉียนหยูส่งข้อความลับอีกหนึ่ง “บุคคลผู้นี่คือเหว่ยชานเห่อ ศิษย์หลักระดับเงินของหุบเขาโจนนิรันดร์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นศิษย์หลักระดับทอง แต่เขาก็เก่งกว่าเนื่องจากระดับเวลาการฝึกฝนอันยาวนานของเขา มันไม่สมควรมองข้ามเขา”
หลี่ฟู่เฉินไม่ตอบสนอง กลับกันเขาทมองไปที่บันไดแทน
ฟู่จงชานมองไปที่บันไดด้วยเช่นกัน
ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ และว่องไว มันราวกับเสียงของเมล็ดที่งอกขึ้นมาจากพื้นแผ่นดินในฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่ร่องรอยของเสียงฝีเท้าสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นร่างหนึ่งปรากฏในสายตาของทุกคนก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว
แต่งกายด้วยชุดคลุมสีเขียว มันเป็นผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์อันสวยงามอย่างแท้จริง
ความงามของเธอไม่ได้ไปด้อยกว่าหยานชิงหวูและเธอก็ดูเหมือนนางฟ้าที่อยู่เหนือเมฆเหล่านั้น
ฟานเฉียนสง สงฉิงเห่อ และฟู่จงชานดวงตาแข็งค้าง เหลือเพียงหลี่ฟู่เฉินที่ยังคงเฉยเมยในขณะที่ตรวจสอบคนงามที่สมบูรณ์นางนี้
หญิงสาวเสื้อคลุมสีเขียวระดับพลังบ่มเพาะไม่สูงมากนักเพียงระดับที่ 4 ของขอบเขตปฐพี แต่หลี่ฟู่เฉินรู้สึกได้ว่าเธอดูแข็งแกร่งกว่าฟู่จงชานและมันก็เป็นช่องว่างที่ค่อนข้างใหญ่ เมื่อเธอเข้าสู่ชั้นสาม สภาวะพลังฉีของเธอทำให้บรรยากาศที่นี่กลายเป็นตึงเครียดขึ้นทันที ความเงียบปะทุขึ้นอย่างฉับพลันและดูเหมือนว่ามันจะเกิดละอองฝนขึ้น ในขณะที่หมอกลอยขึ้นมา ส่งผลทำให้ทุกอย่างดูขุ่นมัว
“โครงกระดูกระดับ 6 ดาว?”
ภายในไม่กี่นาที ความคิดเปล่งประกายอยู่ในใจของหลี่ฟู่เฉิน
เธอคนนี้เป็นโครงกระดูก 6 ดาวแน่นอน เนื่องจากมีเพียงโครงกระดูกระดับ 6 ดาวเท่านั้นที่ทำให้เขาตกใจได้
ฟานเฉียนหยูส่งข้อความเสียงที่ฟังดูค่อนข้างอิจฉามา “หากข้าเดาได้ถูกต้อง เธอสมควรเป็นหนึ่งในสองโครงกระดูกระดับ 6 ดาวของหุบเขาโจนนิรันดร์ ชูมู่หยู”
โครงกระดูกระดับ 6 ดาวหายากมากในโลกนี้ เมื่อหลี่ฟู่เฉินเห็นหยานชิงหวูเป็นครั้งแรก เธอยังเด็กและไม่สามารถดึงศักยภาพของโครงกระดูกระดับ 6 ดาวมาใช้ได้อย่างเต็มที่ หากพวกเขาได้พบกันอีก เขามั่นใจว่าพลังฉีของเธอจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อก่อน
“ทุกคน นี่คือชูมู่หยูจากหุบเขาโจนนิรันดร์ของข้า ชูชิเหม่ย การได้พบเจ้าพวกมันก็นับว่าได้รับพรมากแล้ว” เห็นได้ชัดว่าเหว่ยชานเห่อชื่นชมชูมู่หยูเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากโครงกระดูกโดยธรรมชาติของเขา มันจึงกำหนดไว้แล้วว่าเขาและเธอ สามารถทำได้เพียงรักษาความสัมพันธ์ของศิษย์รุ่นพี่และศิษย์รุ่นน้องไว้เท่านั้น
สงชิงเหอยืนขึ้นและยิ้มให้กับชูมู่หยู “ทักทายคุณหนูชูมู่หยู”
ชูมู่หยูเพิกเฉยเขาและหาที่นั่ง
เห็นสถานการณ์ ใบหน้าของสงฉิงเห่อเปลี่ยนเป็นสีแดง เขารู้สึกอึดอัดใจยิ่ง
ฟานเฉียนสงพบว่ามันตลกจึงกล่าว “เนื่องจากทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว อย่ารอช้าอยู่เลย ออกเดินทาง!”
“เดี๋ยวก่อน” ฟู่จงชานกล่าวออกมา
“อะไร?” บางคนมองไปที่ฟู่จงชาน
ฟู่งจงชานกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าเป็นศิษย์หลักนิกายโหมกระบี่และมาเพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตามข้าได้เชิญศิษย์หลักจากนิกายอื่นมา รอสักครู่”
เมื่อเสียงของฟู่จงชานเงียบลง เสียงฝีเท้าจึงได้ยินอีกครั้ง
อย่างแรก มันเป็นชายชุดคลุมดำอายุประมาณ 30 ปี ร่างกายของเขามีสัญลักษณ์ของสัตว์อสูร หลังจากดูใกล้ๆ หลี่ฟู่เฉินสังเกตว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของนิกายสวรรค์ปีศาจ
หลังจากนั้นไม่นาน เยาวชนชายชุดคลุมสีดำอีกคนก็เดินขึ้นมา
เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มคนนี้ หลี่ฟู่เฉินอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นการปะทะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เห็นได้ชัดว่าบุคคลผู้นี้คือหลี่หวูเซี่ย
บทที่ 205
หลี่ฟู่เฉิน?
เหตุผลที่ฟู่จงชานเชิญศิษย์หลักนิกายสวรรค์ปีศาจมาไม่ใช่เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับนิกายสวรรค์ปีศาจ
หากเขามีความคิดนี้อยู่ในใจ มันจะเป็นเรื่องตลกอย่างแน่นอน
ความสัมพันธ์ระหว่างนิกายนับเป็นหนึ่งในผลประโยชน์ แต่เมื่อไหร่กันมีช่องว่างสำหรับมิตรภาพของพวกเขา? แม้ว่าสถานการณ์ระหว่างนิกายโหมกระบี่และนิกายสวรรค์ปีศาจจะไม่ได้เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่มันก็เป็นเหมือนสถานการณ์ระหว่างนิกายวารีครามกับนิกายสวรรค์ปีศาจ
เหตุผลที่เขาเชิญศิษย์หลักจากนิกายสวรรค์ปีศาจมาก็เพราะพวกเขาเสนอที่จะจ่ายราคาเป็นศิลาดาราหนึ่งก้อน
ศิลาดาราเป็นกุญแจสำคัญในเขตแดนเร้นลับถนนดารา มันเป็นสถานที่ลึกลับและมีเอกลักษณ์ที่สุดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมด
เขตแดนเร้นลับนี้ไม่เหมือนกับเขตแดนเร้นลับอื่นๆ ซึ่งต้องใช้เวลาและสถานที่เฉพาะในเข้าไป เขตแดนเร้นลับถนนดาราต้องการศิลาดาราเพื่อเข้าไป ด้วยการบดศิลาดาราหนึ่งก้อน หนึ่งก็ก็สามารถเข้าสู่เขตแดน
เขตแดนเร้นลับถนนดารานั้นมีข้อจำกัดในเรื่องระดับการฝึกฝนและอายุ ผู้ที่ต้องการเข้าสู่เขตแดนถนนดาราอย่างน้อยต้องอยู่ในขอบเขตปฐพีและมีอายุไม่เกิน 35 ปี เฉพาะหลังจากทำตามเงื่อนไขทั้งสองนี้แล้วพวกเขาถึงจะสามารถเข้าไปได้
และสิ่งที่สามารถบรรลุเงื่อนไขสองข้อนี้ได้ก็คือศิษย์หลักจากนิกายต่างๆ
ซึ่งเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ชื่อของเขตแดนเร้นลับถนนดารามีชื่ออื่นอยู่อีก – เขตแดนอัจฉริยะ
ตามบันทึกจากผู้ที่เคยเข้าไปยังเขตแดนเร้นลับถนนดาราแล้ว มีถนนที่คล้ายกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ยิ่งความแข็งแกร่งของท่านมีมากเท่าไหร่ โอกาสในอนาคตที่ท่านจะได้รับก็มีมากเท่านั้น
เมื่อเวลาที่แน่นอนมาถึง สิ่งกีดขวางเกิดขึ้น เมื่อท่านผ่านสิ่งกีดขวาง ท่านก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ทุกครั้งที่ผ่านสิ่งกีดขวาง ร่างกายของผู้คนหนึ่งก็จะได้รับปรับแต่งจากพลังงานของเขตแดนเร้นลับถนนดาราและความเร็วในการฝึกฝนที่เร็วยิ่งขึ้น
แน่นอน หลังจากนั้นพลังงานของเขตแดนเร้นลับถนนดาราจะลดลง ความเร็วในการฝึกฝนของคนๆ หนึ่งจะกลับมาเป็นปกติ
ศิษย์หลักจานิกายต่างๆ ตรงมาที่แคว้นร้อยเทพยุทธ์ โดยปกติแล้วมักมาเพื่อเข้าสู่เขตแดนเร้นลับถนนดารา หลังจากออกจากเขตแดน ระดับการฝึกฝนของพวกเขามักก้าวหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน มันไม่ได้เกินความจริงเลยที่จะบอกว่าพวกเขาสามารถฝ่าเข้าสู่ขอบเขตเพื่อพัฒนาต่อไปได้ทันที
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งลึกลับเพียงอย่างเดียวในเขตแดนเร้นลับถนนดารา เฉพาะอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้นถึงสามารถเข้าไปยังส่วนลึกของเขตแดนเร้นลับถนนดาราได้ และหลังจากที่พวกเขาออกจากเขตแดน ปกติแล้วพวกเขาจะเก็บความลึกลับเหล่านั้นไว้กับตัวเองและจะไม่เปิดเผยต่อคนอื่น
ฟู่จงชานครั้งหนึ่งเคยเข้าไปในเขตแดนเร้นลับถนนดารา แต่แม้แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถไปลึกเข้าไปในเขตแดนเร้นลับถนนดาราได้ ดังนั้น เขาจึงเสนอศิลาดารานี้ให้กับหนึ่งในศิษย์น้องและเลือกที่จะเข้าสู่หลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดแทน
ชายเสื้อคลุมดำจากนิกายสวรรค์ปีศาจคือซูเห่ยชาน ศิษย์หลักระดับเงิน เขาเป็นผู้จ่ายศิลาดาราก้อนนี้เพื่อแลกกับโอกาสนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าคนผู้นี้จะมาคนเดียว แต่ไม่คาดคิด เขาได้พบกับนายหลี่หวูเซี่ยในเมืองสีโลหิตเสียก่อน
ระดับการฝึกฝนของหลี่หวูเซี่ยอยู่ที่ระดับ 3 ขอบเขตปฐพีและมีความสามารถโดยรวมที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ในฐานะที่เขาเป็นถึงนายน้อยของนิกาย หลี่หวูเซี่ยจึงครอบครองสิ่งของช่วยชีวิตไว้มากมาย หลังจากที่หลี่หวูเซี่ยเปิดเผยไพ่ตายของเขา ซูเห่ยชานก็ตัดสินใจนำหลี่หวูเซี่ยไปในการเดินทางครั้งนี้ด้วย
หลี่ฟู่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับหลี่หวูเซี่ยที่นี่ และในทางกลับกันเองก็เช่นกัน
“หลี่ฟู่เฉิน เป็นเจ้า!” หลี่หวู่เซี่ยกระชากเสียงก่อนที่จะปล่อยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
เขาเสียใจเมื่อครั้งที่เขาปล่อยให้หลี่ฟู่เฉินหลุดรอดออกจากมือไป ใครจะรู้ว่าสวรรค์ชื่นชอบเขาและนำศัตรูมายังประตูหน้าให้เขา
“หลี่หวูเซี่ย”
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หลี่ฟูเฉินไม่มีความตั้งใจที่จะปกปิดตัวตนของเขาอีกต่อไป ด้วยมือที่จับไปยังใบหน้า เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา
“เฉินชิเซียง?”
ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูตกตะลึง เฉินชิเซียงที่พวกเขากล่าวอยู่เสมอกลับเป็นชายอายุเยาวกว่าพวกเขา จากรูปลักษณ์ของเขา ดูแล้วอายุไม่น่าเกิน 20 ปี? เพื่อบรรลุถึงระดับที่ 2 ของขอบเขตปฐพีตั้งแต่ยังเยาววัย เขาเป็นหนึ่งในอัจฉริยะชั้นยอดอย่างแน่นอน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลี่ฟูเฉินได้สังหารหลิวกวงเฟิงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหลี่ฟู่เฉินใช้สิ่งประดิษฐ์บางอย่างในการทำเช่นนั้น แต่สิ่งประดิษฐ์จะต้องถูกควบคุมโดยผู้ใช้ และถ้าความสามารถของผู้ใช้อ่อนแอ พลังของสิ่งประดิษฐ์จะถูกจำกัดเอาไว้
เมื่อเห็นรูปร่างที่แท้จริงของหลี่ฟู่เฉิน สงฉิงเห่อและฟู่จงชานเองก็แปลกใจเช่นกัน
อยู่ในระดับที่ 2 ของขอบเขตปฐพีเมื่ออายุ 20 เขาย่อมได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอดสำหรับทุกนิกาย มีเพียงโครงกระดูกระดับ 5 ดาวที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นถึงสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเขาได้
โชคดีที่ฟู่ขงชานเดินทางออกจากนิกายของเขามาเกือบหนึ่งปีแล้วและไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ หากไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์ต่อหลี่ฟู่เฉิน ก็ในเมื่อหลี่ฟู่เฉินได้สังหารอัจฉริยะของนิกายโหมกระบี่ไปมากมาย
เหว่ยชานเห่อและชูมู่หยูมองไปในทางหลี่ฟู่เฉิน
เหว่ยชานเห่อแสดงความอิจฉา ขณะที่ชูมู่หยูแสดงความอยากรู้อยากเห็น
ในตอนแรกเธอไม่ได้สังเกตถึงการดำรงอยู่ของหลี่ฟู่เฉิน แต่ด้วยความสนใจของเธอที่มีต่อเขาในตอนนี้ เธอตระหนักได้ทันทีว่ามีอะไรแปลกประหลาดเกี่ยวกับหลี่ฟู่เฉิน
เขาให้ความรู้สึกลึกลับแก่เธอยิ่ง บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้า แต่บางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนดาบแห่งสมบัติที่ไม่มีใดเหมือน สภาวะพลังฉีอันสง่างาม
“บุคคลผู้นี้มีลักษณะพิเศษบางอย่าง”
สัมผัสของโครงกระดูก 6 หกดาวอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม
ในบางแง่ของสัมผัสของโครงกระดูกระดับ 6 ดาวอาจเกินเลยสัมผัสของนักสู้ขอบเขตสวรรค์ไปไกล
และเช่นเดียวกับแม่เหล็ก จะมีบางครั้งที่แม่เหล็กจะขับไล่หรือดึงดูดซึ่งกันและกัน
“เจ้าคือหลี่ฟู่เฉิน?”
สภาวะพลังฉีของซูเห่ยชานระเบิดออกและเข้าปกคลุมหลี่ฟู่เฉิน
หลี่ฟู่เฉินได้สังหารอสูรขาวของนิกายสวรรค์ปีศาจไป คู่อสูรขาวดำ อสูรขาวนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูกพี่ลูกน้องของเขา อสูรดำ
“ใช่เป็นข้าเอง”
ตั้งแต่ที่สถานการณ์ได้เป็นเช่นนี้แล้ว หลี่ฟูเฉินไม่ได้รั้งอะไรไว้อีก หากพวกเขาต้องการการต่อสู้ เช่นนั้นเขาก็จะต่อสู้ แม้ว่าจะเป็นซูเห่ยชานที่อยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพีก็ตาม
“เจ้าสมควรตายเพื่อศิษย์นิกายสวรรค์ปีศาจเรา! ข้าเป็นผู้ปลิดชีวิตเจ้าเอง”
อาวุธที่ดูแปลกๆ ปรากฏขึ้นในมือของซูเห่ยชาน
อาวุธนี้ถูกแยกออกเป็นสามส่วน แท่งโลหะ โซ่ และลูกบอลโลหะแหลมๆ
ค้อนอุกกาบาตเป็นอาวุธพิเศษที่มีพลังทำให้ถึงตาย
บูม!
จับแท่งโลหะไว้ ซูเห่ยชานเหวี่ยงแขนของเขาอย่างดุเดือด ค้อนอุกกาบาตซึ่งถูกเชื่อมโยงโดยโซ่พุ่งเข้าสู่หลี่ฟูเฉินคล้ายกับอุกกาบาตที่ถูกตอกหมุดมา
เปิดใช้งานฝ่ามือกระจ่าง มือของหลี่ฟู่เฉินรวบรวมพลังฉีบริสุทธิ์ของฝ่ามือกระจ่างไว้แน่น เขาดึงดาบทองดำของเขาออกมา เพื่อต้านรับค้อนอุกกาบาต
ครืน!
ชั้นที่สามของโรงแรมปลิวออกไป หลี่ฟู่เฉินกระเด็นออกมา เขาร่อนตัวลงบนถนน
ศิษย์หลักจากนิกายต่างๆ เองก็มีความแตกต่างอยู่เช่นกัน เหล่าศิษย์หลักที่มีระดับพลังฝึกฝนสูงจะสามารถสืบทอดงานทักษะแท้จริงได้อย่างแน่นอน
หลี่ฟู่เฉินฝึกฝนเทคนิคลับระดับ 3 ดาว
เห็นได้ชัดว่าซูเห่ยชานผู้นี้ก็ได้ฝึกฝนเทคนิคลับระดับ 3 ดาวเช่นกัน
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่สูงมากเท่าใดนัก แต่เมื่อเขาแสดงพลังฝึกฝนระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพีออกมา มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสกดข่มหลี่ฟู่เฉิน
ในความเป็นจริงแล้ว มันคงเป็นไปไม่ได้ที่หลี่ฟู่เฉินจะฆ่าหลิวกวงเฟิงจากนิกายพัตรเงินผู้นั้น หากเขาไม่ได้ใช้อาวุธระดับปฐพีเพื่อแอบลอบโจมตี
“หลี่ฟู่เฉิน ยอมรับชะตากรรมของเจ้า!” ซูเห่ยชานไล่ตามหลี่ฟูเฉินไป
“วิชาดาบโคจรหลั่งไหล่!”
สภาวะพลังฉีที่น่าประทับใจปรากฏต่อหน้าซูเห่ยชาน หลี่ฟู่เฉินเปิดเผยสภาวะพลังฉีของเขาและใช้ทักษะดาบระดับลึกลับขั้นกลางไปพร้อมๆ กัน วิชาดาบโคจรหลั่งไหล่
ทันใดนั้นเอง แสงดาบเพลิงหมุนวนราวกับน้ำที่ไหลเวียนและเปลี่ยนเป็นวังวน จากนั้นเขาก็ตอบโต้ซูเห่ยชานอีกครั้ง
ครืน!
มีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏบนถนน
คราวนี้หลี่ฟู่เฉินถอยออกไปเพียงสามก้าว
แม้ว่าซูเห่ยชานจะฝึกฝนเทคนิคลับระดับ 3 ดาว แต่ระดับเทคนิคของหลี่ฟู่เฉินนั้นสูงมากกว่า
แม้แต่กระทั้งเทคนิคลับระดับ 3 ดาวของหลี่ฟู่เฉินระดับก็สูงกว่าเช่นกัน
ควบคู่ไปกับเจตจำนงทักษะดาบลึกลับขั้นกลาง หลี่ฟูเฉินก็แทบจะก่ำกึงกับคู่ต่อสู้ของเขา
นี่คือความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะชั้นยอดกับอัจฉริยะปกติ คุณสมบัติที่เหนือกว่าต่างๆ ไม่เพียงพอที่จะแก้ได้จากปัจจัยเดียว
“เป็นไปไม่ได้ ความสามารถของเขา… มันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้เช่นไร?”
หลี่หวูเซี่ยตกตะลึง หลี่ฟูเฉินครั้งก่อนที่เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับก็น่าสะพรึงกลัวอยู่ก่อนแล้ว แต่ก่อนนี้ หลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่อย่างน้อยก็สองถึงสามเท่า
แต่ยิ่งหลี่ฟู่เฉินน่ากลัวมาเท่าใด เจตนาสังหารของเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากเขาไม่กำจัดหลี่ฟู่เฉิน เช่นนั้นแล้วหลี่ฟูเฉินจะกลายเป็นปีศาจในใจตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
“เจตจำนงดาบลึกลับขั้นกลาง อย่างที่คาดไว้”
บนชั้นสามของโรงเตี้ยม มันเหลือความสมบรูณ์อยู่ไม่กี่จุดเท่านั้น สถานที่ที่ชูมู่หยูยืนอยู่นั้นเป็นจุดนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เห็นทักษะดาบของหลี่ฟู่เฉิน ดวงตาของชูมู่หยูมีประกายแสงแปลก ๆ
เธอแม้เคารพศิษย์หลักระดับเงิน แต่เธอไม่ได้เห็นศิษย์ส่วนใหญ่อยู่สายตาของเธอ เธอจะให้ความสำคัญกับอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้น แม้ว่าระดับการฝึกฝนของหลี่ฟู่เฉินจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่คุณลักษณะอื่นๆ ของเขาได้มาถึงระดับที่น่ามหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย
บทที่ 206
ข้าจะสังหารใครก็ตามที่เคลื่อนไหวอีกครั้ง
“หลี่ฟู่เฉิน วันนี้เจ้าต้องตาย!”
การดำรงอยู่เชกเช่นปีศาจของหลี่ฟู่เฉินทำให้เจตนาสังหารของซูเห่นชานเพิ่มขึ้น
หลี่ฟูเฉินเป็นเพียงแค่ระดับที่ 2 ของขอบเขตปฐพีและแทบจะสามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ และจะเป็นเช่นไรหากหลี่ฟู่เฉินอยู่ระดับที่ 3 ของขอบเขตปฐพี หลี่ฟู่เฉินจะไม่ก้าวล้ำไม่ไปกว่าเขาหรือ? และหากเขาอยู่ในระดับที่ 4 ของขอบเขตปฐพี หลี่ฟู่เฉินไม่ใช่จะจัดการเขาทันที?
ซูเห่ยชานไม่ต้องการให้หลี่ฟู่เฉินเติบโตสืบต่อไป
ดึงความสามารถของเขามาสู่ขีดจำกัด ซูเห่ยชานใช้ค้อนทุบไปที่หลี่ฟู่เฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความแข็งแกร่งและความเร็วในการโจมตีของเขายิ่งมายิ่งดุร้ายกว่าเก่า
หลี่ฟู่เฉินยังคงก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
‘ในแง่ของความสามารถ เห็นได้ชัดว่าข้าอ่อนแอกว่า มันไม่จำเป็นต้องต่อสู้โดยตรง’
ทันใดนั้นเอง ร่างของหลี่ฟู่เฉินกลายเป็นพร่ามัว รอบๆ ทุกด้านของซูเห่ยชาน ร่างโปร่งใสของหลี่ฟู่เฉินปรากฏขึ้น
ก่อนหน้านี้หลี่ฟู่เฉินโคจรย่างก้าวเงาวายุ และหากหลี่ฟู่เฉินโคจรย่างก้าวเงาวายุอย่างจริงจัง ผลที่ตามมาร่างก็ไม่อาจปรากฏขึ้นอีกแล้ว
แต่ความสามารถของซูเห่ยชานนั้นแข็งแกร่งอยู่บ้าง หากหลี่ฟู่เฉินไม่ได้โคจรเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง และเลือกที่จะโคจรย่างก้าวเงาวายุแทน การโจมตีทีเดียวจากเขาก็อาจทำให้ศัตรูบาดเจ็บสาหัญแล้ว
หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการเสี่ยงทั้งๆ แบบนี้
ด้วยเจตจำนงลูกเตะไร้เงา ความเร็วของหลี่ฟู่เฉินจึงรวดเร็วขึ้นมาก ไร้เงาหรือร่องรอยใดๆ ซูเห่ยชานโจทตีด้วยค้อน 18 ครั้ง แต่ก็พลาดอย่างต่อเนื่อง
“อุบายของเจ้าอาจดีอยู่บ้าง แต่อย่าได้ประมาทข้า”
ความเร็วในการเคลื่อนไหวและความเร็วในการโจมตีของซูเห่ยชานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โจมตีด้วยค้อนสองถึงสามครั้ง ครั้งนี้มันกลับบีบบังคับให้หลี่ฟู่เฉินต้องเปลี่ยนท่าร่าง
ซูเห่ยชานสุดท้ายแล้วก็เป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่ 8 ความเร็วและความสามารถในการตอบสนองของเขานั้นโดดเด่นและสามารถตามจังหวะของหลี่ฟู่เฉินได้บางแล้ว หลังจากที่คุ้นเคยกับมัน
“เปิด!”
เมื่อเปิดใช้เทคนิคลับมังกรเร้นลับ ความเร็วของหลี่ฟู่เฉินก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ฝ่ามือกระจ่างสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของฝ่ามือได้ แต่ไม่สามารถเพิ่มพลังในเทคนิคตัวเบาและทักษะลูกเตะได้ ในขณะที่เทคนิคลับมังกรเร้นลับสามารถเพิ่มความแข็งแรงโดยรวมของพลัง
แน่นอน เทคนิคลับมังกรเร้นลับสามารถเพิ่มความสามารถโดยรวมของเขาได้สองเท่าแต่เพียงเท่านั้น ขณะที่ฝ่ามือกระจ่างสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของฝ่ามือได้มากกว่าสองเท่า
เมื่อความสามารถโดยรวมของคนๆ หนึ่งไม่ได้อ่อนแอกว่าคู่ต่อสู้ เช่นนั้นแล้วฝ่ามือกระจ่างยิ่งกลายเป็นมีประสิทธิภาพมาก แต่เมื่อความสามารถโดยรวมของคนนั้นอ่อนแอกว่าศัตรู เทคนิคลับของมังกรเร้นลับกลายเป็นมีประสิทธิภาพมากกว่า
มันจะถูกตัดสินตามสถานการณ์
สำหรับตอนนี้ ซูเห่ยชานไม่สามารถติดตามจังหวะของหลี่ฟู่เฉินได้อีกต่อไป
ลูกเตะไร้เงาไม่ได้มีแต่ความเร็วเท่านั้น แต่มันยังมีความสามารถในการหลอกล่อเช่นกัน หากมันเป็นความเร็วเพียงอย่างเดียว ซูเห่ยชานอาจไม่แพ้หลี่ฟู่เฉิน เขาอาจจะดีกว่าเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
แต่ช่างน่าเสียดายที่การต่อสู้ระหว่างนักสู้คนนึงนั้นไม่ง่ายดายนัก
แม้ว่าท่านจะมีความเร็วสูงส่ง แต่ถ้าหากถูกก่อกวนโดยศัตรู ความเร็วที่โดดเด่นนั้นก็จะลดลง
“บัดซบ 18 ค้อนทลายภูผา!”
ซูเห่ยชานไม่ชอบการต่อสู้ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ เขาชอบที่จะต่อสู้อย่างเที่ยงธรรมและซื่อตรง ท่าสังหารค้อนทลายภูผาปลดปล่อยเงาค้อน 18 เงาไปในทุกทิศทาง เนื่องจากพลังอันมหาศาล ความปั่นป่วนของอากาศจำนวนมากก่อเกิดขึ้น ปลดปล่อยสถานะที่น่าประทับใจ
ทักษะค้อนนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างใส่ใจเพื่อมุ่งเป้าไปยังนักสู้ที่มีความเร็วและความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม
“นิกายสวรรค์ปีศาจของเจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก หมอบลง!” ฟานเฉียนสงคำรามอย่างดุเดือด
ซูเห่ยชานเริ่มต่อสู้เพียงเพราะเขารู้สึกไม่ชอบ ฟานเฉียนสงจึงไม่มีเวลาโต้ตอบ เมื่อถึงเวลาที่เขาสามารถตอบสนอง พวกเขาทั้งสองคนก็อยู่บนถนนแล้ว
เขาเป็นพยานที่เห็นหลี่ฟูเฉินปิดกั้นการเคลื่อนไหวของซูเห่ยชาน ฟานเฉียนสงจึงไม่รีบร้อนที่จะให้ความช่วยเหลือ เขาต้องการใช้โอกาสนี้ในการสังเกตรูปแบบการโจมตีของซูเห่ยชาน
แต่ตอนนี้เขาเห็นหลี่ฟู่เฉินตกลงมากลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาทนยับยั้งตนเองอยู่ได้อย่างไร? เขามาถึงบนถนนในพริบตา เขายกพองเหล็กที่แขนของเขาขึ้นมาเพื่อหยุดพายุของกระโจมตี สกัดกั้นเงาค้อนทั้งหมดของซูเห่ยชาน
“เจ้ากำลังถามหาความตาย? นี่คือเรื่องระหว่างนิกายสวรรค์ปีศาจของข้ากับนิกายวารีคราม มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนิกายไร้กังวล” ซูเห่ยชานรู้สึกไม่พอใจ
ความสามารถของฟานเฉียนสงจัดอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ 18 ค้อนทลายภูผาของซูเห่ยชานมีความแข็งแกร่งถึงเช่นนี้ แต่กลับถูกทำให้สลายไปด้วยฟานเฉียนสงในระยะเวลาสั้นๆ
“หลี่ฟู่เฉินเป็นผู้มีพระคุณของข้า หากเจ้าสร้างปัญหากับหลี่ฟู่เฉิน มันก็ย่อมหมายความว่าเจ้าสร้างปัญหาให้กับข้าเช่นกัน” ฟานเฉียนสงประกาศออกมาอย่างเย็นชา
ฟานเฉียนสงเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายไร้กังวล ทำไมเขาถึงต้องกลัวนักสู้ที่อยู่ในระดับ 8 ของขอบเขตปฐพีด้วยเล่า? ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นเหนือกว่าซูเห่ยชานมาก หากหลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับ 5 ของขอบเขตปฐพี บางทีเขาอาจมอบความพ่ายแพ้ให้กับซูเห่ยชานได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“ฟู่จงชานทำไมเจ้าถึงไม่เคลื่อนไหว?” ซูเห่ยชานหันไปถามฟู่จงชานที่อยู่บนชั้นสามของโรงแรม
ฟูจงชานตอบ “ทำไมข้าต้องเคลื่อนไหว?”
เขาไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือนิกายสวรรค์ปีศาจใดๆ
หลี่หวูเซี่ยกล่าว “ฟู่จงชาน เจ้าคงไม่รู้ว่าศิษย์สิบคนของนิกายโหมกระบี่ของเจ้าที่เข้าไปยังเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับนั้นเป็นอย่างไรกระมัง? ครึ่งหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตภายใต้มือของหลี่ฟูเฉิน นั้นรวมถึงอัจฉริยะของนิกายโหมกระบี่เจ้า เฉินเฟ่ยเห่อ”
หลี่ฟู่เฉินเคยสังหารคนเหล่านั้นไปมากก็จริง แต่มันเป็นเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของสิ่งที่หลี่หวูเซี่ยกล่าว เขาพยายามกล่าวเกินจริง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟู่จงชานมองไปที่หลี่ฟู่เฉินเพื่อสอบถาม “เป็นเช่นนั้น?”
“เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร?”
หลี่ฟูเฉินไม่ได้พยายามที่จะปฏิเสธ ไม่ว่าเขาจะฆ่าไปกี่คน ฟูจงชานก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ดี เนื่องจากเป็นเช่นนั้นแล้ว มันจึงไม่จำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีของเขาลง
“เจ้า… สมควรตาย” ร่างกายของฟู่จงชานพุ่งเข้าหาหลี่ฟู่เฉิน
เคร้ง!
ขณะที่พองและดาบปะทะกัน ฟานเฉียนถูกบังคับให้ถอยห่างออกไปหลายสิบก้าว
ฟานเฉียนสงเป็นศิษย์หลักระดับทอง แต่อย่างไรนั้นก็คือฟู่จงชาน ยิ่งไปกว่านั้น ระดับการฝึกฝนของฟู่จงชานสูงกว่าระดับของเขาสองระดับ
“พี่ ให้ข้าช่วยท่าน”
ฟานเฉียนหยูร่อนลงมาและหยุดอยู่ข้างฟานเฉียนสงและหลี่ฟู่เฉิน
“ฟานเฉียนสง เจ้าควรถอยออกไป”
ฟู่จงชานจ้องไปที่ฟานเฉียนสงด้วยสายตาที่ตั้งใจจะฆ่า
ฟานเฉียนสงตอบ “ฟู่จงชาน อย่าลืมว่าข้ายังมีแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์อยู่ หากไม่มีข้า พวกเจ้าก็ลืมเกี่ยวกับการค้นหาหลุมฝังศพไปได้เลย”
“ข้ายังสามารถเอาแผนที่มาได้ หลังจากที่ข้าฆ่าเจ้า” เจตนาสังหารจากร่างของฟู่จงชานรุนแรงยิ่งขึ้น
“ก้าวมาและลองดู” ฟานเฉียนสงสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยปลดเจตนาสังหารอันรุนแรงออกมาเช่นเดียวกัน
“ฟานเฉียนสง ปล่อยเขาให้ข้าเอง” หลี่ฟู่เฉินหยิบเศษโลหะออกมาและถือมันไว้ในมือของเขา เขาตัดสินใจแล้ว ถ้าพวกเขาจะเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง เขาจะไม่สนใจอะไรและฆ่าสมาชิกทั้งสามจากนิกายสวรรค์ปีศาจและนิกายโหมกระบี่ เขาไม่ได้พิจารณาผลที่จะตามมาด้วยซ้ำ
ฟานเฉียนสงเห็นเศษโลหะในมือของหลี่ฟู่เฉินและตัดสินใจปล่อยหลี่ฟู่เฉินไป เขาลืมไปว่าหลี่ฟู่เฉินครอบครองสิ่งประดิษฐ์ที่น่าเกรงขามไว้อยู่เป็นเนือง
“ฟู่จงชาน รวมมือกันและกำจัดคนทั้งสามออกไป”
“ได้ มาจำกัดมันก่อนเถอะ”
มือของหลี่ฟู่เฉินมีธงสีแดงเลือดถือไว้อยู่ มันปลดปล่อยคลื่นพลังฉีโลหิตอันไร้ขอบเขตออกมา
“พอได้แล้ว ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะบาดหมางอะไรกัน แต่สิ่งที่ต้องมาก่อนคือการหาหลุมฝังศพ จะไม่มีใครกระทำการใดๆ ก่อนที่จะพบหลุมฝังศพนี้” ชูมู่หยูลุกขึ้นและปลดปล่อยพลังฉีอันนุ่มนวลและอ่อนโยนออกมา ซึ่งสิ่งเข้าไปสลายเจตจำนงต่อสู้และเจตนาสังหารออกไปจากทุกคน
เจตจงนำต่อสู้และเจตนาสังหารจะจางหายไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร? เจตนาสังหารเล็กน้อยหายไปจากซูเห่ยชานและอีกสามคน แต่มันก็ไม่ได้กระจายไปอย่างสมบูรณ์
“ลองดู” ซูเห่ยชานจงใจเคลื่อนไหวต่อ
“ป่าเถื่อน!”
ชูมู่หยูเปิดใช้งานเทคนิคลับบางอย่างที่ไม่รู้จักและร่างกายของเธอก็เปล่งประกายแสงออกมา สภาวะพลังฉีที่น่าประทับใจก็ระเบิดออกมา ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสั่นคลอน พลังฉีทุกคน เลือดและชีวิตรู้สึกเหมือนกำลังจะละลายหายไป
“ข้าจะสังหารใครก็ตามที่เคลื่อนไหวอีกครั้ง!”
มือของชูมู่หยูมีเคียวสีเขียวเข้มปรากฏซึ่งมันก็ไม่ได้ดูธรรมดาแต่อย่างใด มันมีสภวะพลังที่ดูเหมือนว่าจะสามารถตัดอะไรก็ได้
“ชูมู่หยู นี้หมายความว่าอย่างไร?”
การดำรงอยู่ของชูมู่หยูเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ฟู่จงชานรู้สึกกลัว
เขาอยู่ในระดับที่ 7 ของขอบเขตปฐพี ขณะที่ชูมู่หยูอยู่ในระดับที่ 4 ของขอบเขตปฐพี แต่ชูมู่หยูเป็นโครงกระดูก 6 ระดับดาว และในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก เธอได้รับการพิจารณาให้เป็นอัจฉริยะที่ไร้ผู้ใดเปรียบ ความสามารถในการต่อสู้ของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าความสามารถในการต่อสู้ของฟู่จงชาน
“ตั้งที่ชูชิเหม่ยกล่าวให้หยุด พวกเจ้าก็สมควรทำตามมัน!” เหว่ยชานเห่อที่ยืนอยู่ข้างชูมู่หยู ก็ปลดปล่อยสภาวะพลังฉีออกมาเช่นกัน
บทที่ 207
ดินแดนแห่งหมอก
“ฟู่จงชาน ไม่จำเป็นต้องจัดการกับความบาดหมางของเจ้าในทันที ตอนนี้ค้นหาหลุมฝังศพมีความสำคัญสูงสุด เมื่อเราพบหลุมฝังศพ เจ้าสามารถต่อสู้ได้ทั้งวันและเราจะไม่มีความคิดเห็นใดๆ อีก” การเห็นชูมู่หยูและเหว่ยชานเห่อเข้ามาแทรกแซง สงฉิงเห่อยืนขึ้นเพื่อเพิ่มความคิดเห็นของเขาด้วย
การแสดงออกของฟู่จงชานและซู่เห่ยชานทั้งมืดมนและเย็นชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หวูเซี่ย ทั้งสามคนกลายเป็นเกลียดชังชูมู่หยูโดยสิ้นเชิง
หลี่หวูเซี่ยมีลางสังหรณ์ว่าถ้าเขาไม่สามารถสังหารหลี่หวูเซี่ยในตอนนี้ มันจะยากยิ่งขั้นสำหรับการสังหารเขาในอนาคต
‘เวรเอ้ย หลี่ฟู่เฉิน รอจนกระทั่งข้าแข็งแกร่งกว่านี้เถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งหมดไปยังนรก’ หลี่หวูเซี่ยคิดด้วยความเกลียดชัง
เผยความผิวหวังออกมา ซู่เห่ยชานกล่าว “สารเลวน้อย ตอนนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน ไว้หาสุสานพบ ข้าจะไม่ให้เจ้าหาทางไปสู่สวรรค์และไม่ให้ประตูสู่ปฐพี”
มันคงเป็นเรื่องโง่หากจะเดินหน้าต่อ พลังของพวกเขาสามคนรวมกัน เขาก็ไม่อาจเอาชนะผู้คนทั้งหมดนี้ได้
กริ้ก!
เมื่อกระบี่ยาวกลับลงฝัก ฟู่จงชานก็แสดงความเห็นเช่นกัน “ข้าต้องยอมรับว่าเจ้านั้นโชคดี เมื่อใดก็ตามที่กระบี่ของข้าถูกดึงออกมาจากฝัก มันจะต้องลิ้มรสโลหิต แต่เนื่องจากตอนนี้มันไม่สามารถลิ้มรสโลหิตใดๆ ครั้งต่อไปข้าจะให้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนเป็นสองเท่า”
ในสายตาของเขาหลี่ฟู่เฉินเป็นคนที่ตายไปแล้ว
เนื่องจากเขาเป็นคนตาย มันจึงไม่สำคัญหากเขาจะถูกสังหารช้าหรือเร็ว
และหากหลี่ฟู่เฉินต้องถูกสังหารต่อจากนี้ มันอาจให้ความพึงพอใจแก่เขามากขึ้น
หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ตอบถ้อยคำที่ดุร้ายเหล่านี้ ก็ในเมื่อคำกล่าวไม่สังหารสังหารผู้คนได้ การเดินทางไปยังหลุมฝังศพเป็นโอกาสที่จะสังหารทั้งสามคน เขาไม่จำเป็นต้องพิจารณาด้วยซ้ำว่าจะเขาสามารถสังหารหรือไม่สามารถสังหารพวกเขาได้
เมื่อเขาหลับตา สภาวะพลังฉีก็ถอถอยกลับไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
สังเกตเห็นพฤติกรรมของหลี่ฟู่เฉิน ปากของชูมู่หยูยิ้มออกมา
เธอรู่ว่าซูเห่ยชาน ฟู่จงชาน และหลี่หวูเซี่ยเจอกับโชคร้ายเข้าแล้ว
มนุษย์ผู้เที่ยงแท้จะไม่สังหารอสูรโดยการเผยความสามารถทั้งหมดออก แต่เมื่อพวกเขาเปิดเผยคมเขี้ยวของพวกเขา มันจะเป็นเวลาที่พวกเขาพรากชีวิตขิงท่านไป
แน่นอน มันเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับการที่หลี่ฟู่เฉินจะสังหารทั้งสามคน เขาอาจถูกสังหารโดยพวกเขาแทน
ไม่มีใครมีความสามารถในการมองเห็นอนาคตอยู่ในโลกนี้
“พอก็ดีแล้ว เมื่อเราพบหลุมฝังศพ ข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของเจ้า เนื่องจากทุกคนอยู่ที่นี่ตอนนี้ มารวมแผนที่แล้วออกเดินทางเถอะ!” ชูมู่หยูทำท่าทางแก่เหว่ยชานเห่อ
ฟังคำกล่าวของชูมู่หยู เว่ยชานเหอหยิบแผนที่ชิ้นหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์ขึ้นมาและกล่าว “แผนที่ชิ้นนี้ซับซ้อนมากและเป็นไปไม่ได้ที่จะจดจำมัน มารวมแผนที่และหาทิศทางคร่าวๆ กัน”
ขณะเดียวกับที่ทุกคนรวมแผนที่ของพวกเขาเข้าด้วยกัน กลุ่มยามลาดตระเวนกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาในถนน ภายในกลุ่มมีนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดอยู่สี่คน
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะมีสถานะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เจ้าทำลายอาคารบ้านเมืองของเมืองหมอกหนา เจ้าจะต้องชดใช้มัน มิฉะนั้นนิกายอุปกรณ์ลึกลับของข้าคงต้องปฏิบัติตามกฎ” หนึ่งในนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดกล่าว
ภายในแคว้นร้อยเทพยุทธ์ บางเมืองมีนิกายประจำอยู่ ในขณะที่บางเมืองไม่มี
เนื่องจากลักษณะพิเศษของที่ตั้งในเมืองหมอกหนา มันจึงถูกครอบครองโดยนิกายอุปกรณ์ลึกลับไป
แน่นอนว่าไม่ผิดที่จะครอบครองเมือง แต่พวกเขาก็ต้องให้ความคุ้มครองเช่นกัน หากนิกายไม่สามารถปกป้องเมืองได้ มันก็จะไม่มีความหมายใดๆ ในการครอบครองมัน
เพื่อที่จะครอบครองเมือง นิกายต้องส่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญออกมา หากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ถูกกำจัดโดยกลุ่มคู่แข่ง มันจะส่งผลกับกลุ่มผู้ครอบครองอย่างรุนแรง
สรุปแล้ว มีเพียงเฉพาะนิกายโดดเด่นเท่านั้น ถึงจะกล้ายึดครองเมืองต่างๆ ในแคว้นร้อยเทพยุทธ์
เมืองส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยกองกำลังของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น แต่เมืองที่ปกครองตนเองเหล่านี้จะต้องจ่ายภาษีให้กับนิกายต่างๆ
นิกายวารีครามจะส่งสมาชิกของพวกเขามาที่แคว้นร้อยเทพยุทธ์ เพื่อรวบรวมภาษีจากเมืองที่ไร้ผู้ครอบครอง
“กี่เหรียญทอง?” ฟานเฉียนสงถาม
หนึ่งในนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดดูความเสียหายโดยรวมของโรงเตี้ยมและถนน “โรงเตี้ยม 50,000 เหรียญทอง ถนนอีก 50,000 เหรียญทอง”
“นี่ 50,000 เหรียญทอง” หลี่ฟู่เฉินนำบัตรทองที่มีมูลค่า 50,000 เหรียญทองออกมาจากถุงเก็บของเขาและโยนมันไปขณะที่กล่าว
“นี่อีก 50,000 เหรียญทอง” ซูเห่ยชานโยนบัตรทองคำอีกใบที่มีมูลค่า 50,000 เหรียญทองออกไปเช่นกัน
เมื่อพวกเขาได้รับบัตรทองคำมา สี่นักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดโบกมือ “ไปกันเถอะ”
ตราบใดที่ไม่มีการสังหาร ศิษย์หลักของนิกายต่างๆ ก็ยังคงมีสิทธิพิเศษในเมืองหมอกหนา พวกเขาสามารถส่งมอบบัตรทองและออกไปได้ หากเป็นนักสู้คนอื่นๆ ที่ไม่มีสถานะใดๆ พวกเขาอาจจะถูกขังไว้ในคุกก่อน
***
ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปทางตะวันตกจากเมืองหมอกหนา พวกเขาก็ข้ามภูเขาแคระลูกนึงไป มันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ ส่งผลทำให้ภูเขาดูเหมือนเป็นยักษ์ที่อยู่ห่างไกล
ยืนอยู่บนภูเขา เหว่ยชานเห่อขมวดคิ้ว “หมอกหนาเกินไป มันจะไม่ง่ายเลยที่จะค้นหาตำแหน่งที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่”
“เนื่องจากมีแผนที่นี้อยู่ เราจะพบหลุมฝังศพนี้แน่นอน” สงฉิงเห่อกล่าว
บนแผนที่ ภูเขาแคระเป็นเครื่องหมายแรก ตอนนี้พวกเขาหาเครื่องหมายที่สองบนแผนที่ให้พบ
เฉพาะหลังจากค้นหาเครื่องหมายทั้งห้าแล้วเส้นทางที่จะไปยังหลุมฝังศพจะปรากฏขึ้น
“เครื่องหมายที่สองคือทะเลสาบ หากเราตามลำธารไป เราอาจพบทะเลสาบที่ว่านั้น”
ชูมู่หยูมองไปที่ด้านล่างของภูเขาและพบน้ำตกขนาดเล็กรอบๆ ภูเขา น้ำจากน้ำตกก่อกำเนิดกระแสน้ำที่ไหลออกไปด้านนอก เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นผ่านหมอกหนาทึบ แต่มันเป็นไปได้ที่จะรู้สึกถึงโดยใช้ประสาทสัมผัสที่แข็งแกร่ง
กระแสธารนั้นยาวออกไปไกลมากและมีพลังลึกลับที่นำทางกระแสน้ำไปอยู่
ฟานเฉียนสง ฟานเฉียนหยู และหลี่ฟู่เฉินสื่อสารกันอย่างลับๆ
“หลี่ฟู่เฉิน เมื่อเราพบหลุมฝังศพนี้ เราสามคนจะรวมกำลังกัน เพื่อฆ่าหนึ่งในพวกเขา”
“พี่ของข้ากล่าวถูกแล้ว ความสามารถของพวกมันทั้งสามมากกว่าของพวกเราอย่างเห็นได้ชัด เฉพาะหลังจากสังหารไปแล้วหนึ่งเท่านั้นเราถึงจะมีเปรียบ”
“อันที่จริง พวกเจ้าทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เจ้าได้ตอบแทนคุณของข้าแล้ว ด้วยการที่เจ้าอนุญาตให้ข้าเดินทางหาหลุมฝังศพในครั้งนี้”
“เจ้ากำลังกล่าวอะไรอยู่? ข้า ฟานเฉียนสงไม่ใช่คนที่กลัวความตายประดุจดั่งเช่นคนขี้ขลาด ไม่สำคัญว่าเจ้าหรือข้าเป็นหนี้บุญคุณซึ่งกันและกันหรือไม่ ตั้งแต่ข้าได้ปฏิบัติกับเจ้าในฐานะสหายแล้ว ข้าจะเสียสละตัวเองกับเจ้าโดยไม่คำนึงใดๆ อีก”
“หือ สหาย? ขอบคุณเจ้ามากแล้ว”
หลี่ฟู่เฉินตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ทั้งสองคนต้องตกอยู่ในอันตราย
ในเวลาเดียวกัน ซูเห่ยชาน หลี่หวูเซี่ย และ ฟู่จงชานก็มีบทสนทนาลับเช่นกัน
“เมื่อเราพบหลุมฝังศพ เราจะกำจัดฟานเฉียนหยูที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกมันก่อน เช่นนั้นแล้วอีกสองคนจะไม่สามารถเอาชนะเรา ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม” ซูเห่ยชานเสนอ
ฟู่จงชานพยักหน้า “ดี นี่คือแผนการที่ดีที่สุด หลังจากทั้งหมดแล้ว ความสามารถโดยรวมของพวกเราก็ดีกว่าของพวกมัน”
พวกเขามั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถกำจัดฟานเฉียนสงหรือหลี่ฟู่เฉินได้ในทันที แต่พวกเขาไม่แน่ใจอย่างแน่นอน แต่อย่างไรพวกเขาก็ไม่เผลอลำพองใจ
ตามกระแสน้ำมา กลุ่มคนมาถึงทะเลสาบ
ขนาดของทะเลสาบไม่เป็นที่แน่ชัด ก็ในเมื่อพื้นผิวทั้งหมดของมันถูกปกคลุมไปด้วยผืนหมอก
“ตามแผนที่ เครื่องหมายที่สามคือน้ำตกขนาดใหญ่ เป็นไปได้ว่าจะเป็นอีกด้านหนึ่งของทะเลสาบหรือไม่?”
บนแผนที่เครื่องหมายทุกอันเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน ดั่งเช่นลำธารจากภูเขาที่เชื่อมเข้ากับทะเลสาบ จะต้องมีการเชื่อมต่อจากทะเลสาบไปยังน้ำตก
“มาสร้างเรือกันก่อนเถอะ”
กลุ่มนี้ไม่ได้เป็นกลุ่มบุคคลที่ไร้ความเด็ดขาดหรือเลลังใจ ทุกคนใช้สิ่งที่พวกเขาพบเพื่อสร้างเรือของพวกเขา
ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็สร้างเรือได้ทั้งสิ้นสี่ลำ
หลี่ฟู่เฉินโดยสารเรือไปพร้อมกับฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู
ใช้พลังฉีของพวกเขาเป็นตัวขับเคลื่อน เรือแล่นไปยังบริเวณที่ลึกที่สุดของทะเลสาบ
หลังจากนั้นสองสามชั่วโมง ทุกคนสามารถได้ยินเสียงน้ำตกที่ตกกระทบลงราวกับฟ้าร้องได้
ภายใต้ความรู้สึกของพวกเขา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งไหลลงไปหลังจากสิ้นสุดส่วนท้ายของทะเลสาบ แต่ใต้น้ำตกนั้นเป็นเหวลึกไร้สิ้นสุด
“ลงไปกันเถอะ”
ชูมู่หยูไม่ลดความเร็วเรือของเธอ
ครืด ครืด ครืด!
เรือทั้งสี่ลำแล่นออกจากทะเลสาบและร่อนลงมาจากท้องฟ้า
สัมผัสกับน้ำลึกใต้พวกเขา ทุกคนยืมพลังจากเรือด้วยการเหยียบมันและกระโดดขึ้น
เมื่อร่อนลงที่ปลายสุดของน้ำตก หุบเขาขนาดใหญ่ถูกนำเสนอแก่สายตาของทุกคน หุบเขานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องหมายที่สี่
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่านี่คือดินแดนแห่งหมอก ข้าสงสัยว่ามีความลับมากมายเท่าใดที่ซ่อนอยู่ภายใน” หลี่ฟู่เฉินคร่ำครวญ
ส่วนตะวันตกของเมืองหมอกหนานี้เป็นที่รู้จักกันในนามดินแดนแห่งหมอก ในส่วนนี้คือที่ๆ ทุกคนไม่สามารถสำรวจได้ ไม่แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด เป็นเวลาหลายร้อยปีที่มีความลับมากมายที่ซ่อนอยู่ภายในนี้ ซึ่งปลูกฝังความอยากรู้และความกลัวเข้าไปในหัวใจของผู้คน
บทที่ 208
การต่อสู้วุ่นวายที่ปากทางเข้าสุสาน
หมอกภายในหุบเขานั้นหนาแน่นกว่าที่อื่นมาก แม้แต่ห้านิ้วมือก็มองไม่เห็น
แม้ว่าพวกเขาจะมีสัมผัสพิเศษ แต่ทุกคนที่นี่ก็สามารถรับรู้วัตถุได้ไกลที่สุดก็ห่างออกไปภายในรัศมีไม่กี่สิบเมตร
ไม่สามารถสัมผัสอะไรได้นอกเหนือจากระยะสิบเมตรเป็นต้นไป
เดินไปตามหุบเขา และในขณะที่เดินไปนั้นท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดมิดลง
เมื่อหมอกและกลางคืนได้หลอมรวมซึ่งกันและกัน สัมผัสของทุกคนก็ลดลงอีกครั้ง
การเดินทางของพวกเขาผ่านไปหนึ่งคืน
***
ในตอนเช้าของวันถัดไป
รัศมีของดวงอาทิตย์ส่องแสง มันแม้ไม่สามารถตัดผ่านเข้ามาในหมอกได้
หลังจากระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดสิ้นสุดของหุบเขา
ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นจุดจบจริงหรือไม่
แต่สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือหมอกน้ำวนปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
กระแสหมอกวนเวียนขนาดใหญ่และมันก็ขวางกั้นทุกอย่างที่ขวางหน้า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง
“หมอกหนาทึบในดินแดนหมอก ที่แท้แล้วมีต้นกำเนิดมาจากที่นี่?” หลี่ฟู่เฉินคาดเดา
ฟานเฉียนสงส่ายหัว “ดินแดนหมอกมีความลึกลับมากกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ กระแสหมอกวนเวียนนี้สามารถพบได้ในพื้นที่อื่นของดินแดนหมอก อันที่ใหญ่ที่สุดนั้นใหญ่พอๆ กับที่ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า”
ไม่มีใครรู้ว่าหมอกปรากฏจากที่ใด เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา
ด้วยความลังเล ทุกคนเดินเข้าไปในกระแสหมอกวนเวียน
ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะหรือความผิดปกติใดๆ ทุกคนเดินผ่านกระแสหมอกวนเวียน จนกระทั้งมาถึงโลกที่ปราศจากหมอกใดๆ
เมื่อมองย้อนกลับไป มีหมอกหนาๆ แต่กระแสหมอกวนเวียนหายไปแล้ว
“สถานที่ลึกลับ” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินแสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นและความงุนงง
กี้ กี้!
เสียงที่เจาะทะลุทะลวงหูทำให้ดวงตาของพวกเขามีเลือดไหลออกมา ขณะที่พวกเขาตกอยู่ในความมึนงง
ทุกคนโคจรพลังอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องหูของพวกเขา
เมื่อพวกเขาเงยหัวขึ้น พวกเขาเห็นสัตว์ปีศาจค้างคาวขนาดมหึมากำลังบินมาหาพวกเขา
สัตว์ปีศาจระดับ 3 ชั้นสูง – ปีศาจค้างคาวยักษ์
ความสามารถในการต่อสู้ของสัตว์ปีศาจระดับ 3 ขั้นสูงนั้นแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับมนุษย์ที่มีความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะกับมนุษย์ทั่วไป
ปีศาจค้างคาวยักษ์นั้นอยู่ในจุดสูงสุดของสัตว์ปีศาจระดับ 3 ขั้นสูง เพื่อที่จะสังหารมันเป็นเรื่องยากราวกับการผ่านชั้นสามของหอคอยศิษย์สายตรง
ถ้าเป็นการต่อสู้เดี่ยวๆ จะไม่มีใครคนใดในพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ของมัน
เฉพาะบุคคลที่อยู่ในประเภทเดียวกันกับดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิงเท่านั้น ที่สามารถสังหารปีศาจค้างคาวยักษ์ได้ด้วยตนเอง
และต้องเป็นเซี่ยเฟิงที่ผ่านชั้นสามของหอคอยศิษย์สายตรงชั้นสามแล้วเท่านั้น
“มันเป็นปีศาจค้างคาวยักษ์ ฆ่ามันเร็ว”
เหว่ยชานเห่อรู้ดีว่าปีศาจค้างคาวยักษ์ตัวนี้น่ากลัวเพียงใด เขาถ่ายพลังฉีเพื่อโจมตีปีศาจค้างคาวยักษ์อย่างรวดเร็ว
ได้ยินดังกล่าว ทุกคนเริ่มปลดปล่อยพลังฉี
ปีศาจค้างคางยักษ์รวดเร็วมาก หากพวกเขาไม่ฆ่ามัน พวกเขาจะไม่สามารถมีสมาธิกับการค้นหาหลุมฝังศพ
พลังฉีสิบเอ็ดสายลองขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่ปีศาจค้างคาวยักษ์นั้นคล่องแคล่วว่องไวมาก ร่างกายมันโก้งโค้งกลางอากาศและหลบพลังฉีสิบเอ็ดได้อย่างง่ายดาย
กี้!
คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นถูกปล่อยออกมา ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนหัวของพวกเขากำลังแยกออกจากกัน
ความเร็วและรัศมีของคลื่นเสียงมีขนาดใหญ่เกินไป แม้แต่กระทั้งชูมู่หยูก็ไม่สามารถหลบได้ทันเวลา
“แยกกันโจมตี”
ชูมู่หยูวางแผนและเป็นคนแรกที่ลอยออกไปไกลหลายสิบเมตร เหว่ยชานเห่อติดตามเธอไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
ในพริบตา ทุกคนแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มและโจมตีปีศาจค้างคาวยักษ์จากสี่มุม
ปีศาจค้างคาวยักษ์ฉลาดแกมโกงและรู้ว่าควรเอาชนะไปทีละกลุ่ม มันริเริ่มความคิดและตรงไปยังกลุ่มของหลี่ฟู่เฉิน
เห็นได้ชัดว่ามันตั้งใจที่จะต่อสู้ระยะประชิด หลังจากทั้งหมดแล้ว สัตว์ปีศาจตนนี้ก็เป็นประเภทพิเศษ
“ไปให้พ้น!” ด้วยการแกว่งพลองของเขา ฟานเฉียนสงเข้าไปพัวพันปีศาจค้งคาวยักษ์พายุแห่งการโจมตี
ก๊อง ก๊อง!
ราวกับเสียงฝนและเสียงพิณ ปีศาจค้างคาวยักษ์ไม่ได้หลบหรือเคลื่อนย้ายไปไหน มันอดทนต่อการโจมตี บาดแผลปรากฏบนร่างกายของมัน แต่เป็นเพียงบาดแผลตื้นๆ กรงเล็บของมันโจมตีไปที่ฟานเฉียนสง
หากโดนโจมตีด้วยกรงเล็บนี้ ฟานเฉียนสงจะต้องตายอย่างแน่นอน
“พี่!”
อาวุธของฟานเฉียนหยูเป็นมีดคู่พระจันทร์เสี้ยว ขณะที่เธอกวัดแกว่งมัน แสงนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าไปยังปีศาจค้างคาวยักษ์
“ถอยไป!”
หลี่ฟู่เฉินได้เตรียมกระบวนท่าสังหารรไว้ขณะที่ปีศาจค้างคาวพุ่งมาที่พวกเขา ด้วยวิชาดาบโคจรหลั่งไหล วงแหวนไฟชนเข้ากับปีศาจค้างคาวยักษ์ มันทำให้ปีศาจค้างคาวยักษ์มึนงงไปชั่วครู่ ซึ่งฟานเฉียนสงก็ใช้จังหวะนี้ในการหลบหนี ในเวลาเดียวกัน การโจมตีของฟานเฉียนหยูก็ปะทะเข้ากับร่างของปีศาจค้างคาวยักษ์
“ตอนนี้แหละโจมตี!”
เหว่ยชานเห่อและกลุ่มสงฉิงเห่อทำการโจมตี
เฉพาะฟู่จงชาน ซู่เห่ยชาน และหลี่หวูเซี่ยเท่านั้นที่ไม่ได้ให้การสนับสนุนใดๆ พวกเขาไม่สามารถรอให้ปีศาจค้างคาวยักษ์ฆ่ากลุ่มของหลี่ฟู่เฉินเร็วๆ
แสงสีเขียวเข้มส่องประกาย… โดยไม่ทันรู้ตัวชูมู่หยูก็ไปปรากฏขึ้นที่ด้านขวาของปีศาจค้างคาวยักษ์เรียบร้อยแล้ว เลือดสดปะทุขึ้น เมื่อเคียวของเธอเหวี่ยงลงและเกือบจะตัดปีกของสัตว์ปีศาจค้างคาวยักษ์ได้
“แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เธอเกือบจะอยู่ในระดับเดียวกันกับดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิงแล้ว” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินเบิกกว้าง
ความสามารถของชูมู่หยูไม่เป็นที่สงสัยอีกต่อไป เธอเป็นนักสู้ที่น่าเกรงขามมากที่สุดเป็นอันดับสองที่เขาเคยเห็นมา อันดับหนึ่งเป็นดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิง
แน่นอน ว่าเป็นเพราะเขายังไม่ได้พบผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอะไรนัก
ยกตัวอย่างเช่นดาบคลั่งหรือดาบพยัคฆ์
ปีศาจค้างคาวยักษ์เดินโซเซและชนกับพื้นด้วยแรงกระแทก มันไม่สามารถบินได้อีกต่อไป เนื่องจากมันตกมาบนพื้นดินแล้ว
ด้วยสัตว์ปีศาจค้างคาวยักษ์ที่อยู่บนดิน มันจึงสามารถใช้ความสามารถโดยรวมได้ 30% หรือ 40% เท่านั้น ภายใต้การโจมตีจากทุกคน ปีศาจค้างคาวยักษ์ก็ถูกสังหารลงในไม่นาน พวกเขาเปิดท้องของมัน แต่ไม่สามารถหาแกนปีศาจได้พบ
หลังจากนั้น กลุ่มก็พบสัตว์ปีศาจระดับ 3 ชั้นสูงอีกสองสามตัว บางตัวแข็งแกร่งในขณะที่บางตัวอ่อนแอ่ ด้วยการร่วมมือกันของพวกเขา แม้แต่การเอาชนะการดำรงอยู่อย่างเช่นดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิงก็อาจเป็นไปได้จริงๆ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้พบอุปสรรค์ใดๆ มากมายนัก
ด้วยหมอกที่เป็นอยู่นี้ เส้นทางบนแผนที่นี้จึงมีประโยชน์มากกว่าที่ควร ครึ่งวันต่อมา ในที่สุดกลุ่มก็พบทางเข้าสู่หลุมฝังศพ
ทางเข้าเป็นเนินเขาเล็ก ๆ ซึ่งภายในว่างเปล่า ประตูโลหะขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นด้วยเสาสองเสาที่ด้านนอก
“ตาย!”
เพียงอึดใจเดียว กลุ่มของหลี่ฟู่เฉินและกลุ่มของหลี่หวูเซี่ยก็ได้เคลื่อนไหว
เป้าหมายของกลุ่มหลี่ฟู่เฉินคือซูเห่ยชาน ในขณะที่กลุ่มของหลี่หวูเซี่ยตั้งเป้าไปที่ฟานเฉียนหยู
สิ่งที่กลุ่มของหลี่หวูเซี่ยคาดไม่ถึงก็ก็คือกลุ่มของหลี่ฟู่เฉินดูเหมือนจะรู้แล้วว่าเป้าหมายของพวกเขาคือฟานเฉียนหยู พวกเขาตั้งขบวนเป็นรูปสามเหลี่ยมโดยที่หลี่ฟู่เฉินและฟานเฉียนสงอยู่ที่ด้านหน้า ในขณะที่ฟานเฉียนหยูอยู่ที่ด้านหลัง
คลื่นลูกแรกของการโจมตีนั้นช่างง่ายดาย ทั้งหกคนขว้างสิ่งของที่ช่างน่ารังเกียจออกมา
หลี่ฟู่เฉินขว้างระเบิดอัสนีคำรนออกมา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณร้อยคะแนนสะสมต่อลูก
ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูต่างก็ขว้างระเบิดโลหะออกมา ระเบิดแต่ละลูกจะระเบิดออกก็ต่อเมื่อสัมผัสกับกระแสพลังฉีที่ไม่เสถียร มันจะปลดปล่อยลูกปัดโลหะสีแดงออกมามากมาย เหมือนกับอุกกาบาตขนาดเล็กที่มีพลังทะลุทะลวงสูง
สำหรับกลุ่มของฟูจงชาน ทั้งสามขว้างระเบิดอัสนีคำรนออกมา
นิกายวารีคราม นิกายโหมกระบี่ และนิกายสวรรค์ปีศาจเป็นส่วนหนึ่งของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก พวกเขาค่อนข้างอยู่ใกล้กับนิกายที่เกรงขามซึ่งเรียกว่านิกายเกลียวอัสนี นิกายเกลียวอัสนีนี้เชี่ยวชาญในการผลิตอาวุธ ระเบิดเกลียวอัสนีและระเบิดอัสนีคำรนเป็นอาวุธที่ถูกสร้างโดยนิกายเกลียวอัสนี
ทั้งสามนิกายนี้จะไปเยี่ยมชมนิกายเกลียวอัสนีเพื่อนำเข้าอาวุธอยู่เป็นประจำ
แน่นอนว่าอาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่ของนิกายเกลียวอัสนีนั้นไม่ใช้ระเบิดอัสนีคำรนที่จำหน่ายขาย
ระเบิดอัสนีคำรนเพียงลูกเดียวอาจสามารถสังหารนักสู้ขอบเขตปฐพีธรรมดาระดับต่ำได้ด้วยแรงระเบิดเพียงอย่างเดียว
ครืน!
สามารถได้ยินเสียงระเบิดรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ประกายไฟและสายฟ้าลุกลามไปทั่วรัศมีหนึ่งร้อยเมตรทั้งหมด มีเม็ดโลหะสีแดงกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ สร้างรอยและหลุมหลายร้อยหลุมบนพื้นผิวดิน
ชูมู่หยูและคนอื่นๆ ได้ถอยจากพื้นที่นี้ไปแล้ว พวกเขาสังเกตุการต่อสู้อยู่สักครู่และก็หมดความสนใจไป พวกเขามุ่งหน้าไปยังประตูโลหะ
ควันค่อยๆ จางหายไป
บริเวณด้านหน้าประตูโลหะอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง
ห่างออกไปหลายเมตร หลี่ฟูเฉินและกลุ่มของเขาต่างก็ถือโล่ใบใหญ่ไว้อยู่ ก่อรูปร่างลักษณะเหมือนเกราะป้องกันกึ่งโดม ปกป้องร่างกายของพวกเขาไว้
ฝั่งตรงข้าม กลุ่มของฟูจงชานอยู่ในสถานะที่ดูน่าสมเพช
ทั้งสามคนก็ถือโล่เช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ร่วมมือกันและดูแลตัวของตัวเองแทน พลังทำลายจากระเบิดอัสนีคำรนและลูกปัดโลหะทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลี่หวูเซี่ยที่เต็มไปด้วยเลือดจำนวนมากซึ่งกำลังไหลซึมออกมา
บทที่ 209
เจตจำนงป้องกัน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตนตั้งไว้ได้
ระเบิดทำลายล้างของนิกายไร้กังวลเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน มันเชี่ยวชาญในการทำลายเกราะป้องกันพลังฉี แต่เนื่องจากลูกปัดโลหะมีขนาดเล็ก มันจึงเป็นการยากที่จะสังการศัตรูได้ เว้นแต่จะมีเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นเจาะทะลุศัตรูโดยตรง
ในแง่ของพลังทำลาย มันไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับระเบิดอัสนีคำรน
แน่นอนว่ามันย่อมมีข้อดีและข้อเสีย ระเบิดอัสนีคำรนอาจทรงพลัง แต่พวกมันก็ป้องกันได้ง่าย โล่ระดับลึกลับธรรมดาๆ ก็สามารถรับป้องกันได้และจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก
สำหรับการโจมตีครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงแค่หยั่งเชิง พวกเขายังไม่ได้เผยไพ่ลับที่มี
แต่ถึงแม้ว่านี่เป็นการหยั่งเชิง บุคคลทั่วไปย่อมไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ มูลค่ารวมของสิ่งของเหล่านั้นที่ถูกใช้ไปทั้งสิ้นหกอย่างมีมูลค่าหลายล้านเหรียญทอง หากมันถูกใช้กับนักสู้ขอบเขตปฐพีปกติ มันเพียงพอที่จะสังหารพวกเขานับร้อยคน
ขณะนั้นเองที่ทั้งหกคนเตรียมปะทะกันอีกครั้ง
แคร๊ก!
ไม่ทราบว่าชูมู่หยูและคนอื่นๆ ที่เหลือใช้วิธีการอย่างไรในการเปิดประตูโลหะ แต่แสงสีฟ้าไพศาลนั้นส่องแสงออกมาจากการเปิดประตูโลหะ มันฉายเข้าใส่ชูมู่หยูและคนอื่นๆ ขณะที่มันลามไปยังหลี่ฟู่เฉินและคนที่เหลือด้วยเช่นกัน
เมื่อแสงสีฟ้านั้นจางหายไป ประตูโลหะก็ปิดและทุกคนก็หายไป
“นี้ใช่ข้างในหลุมฝังศพหรือไม่?”
ในห้องโถงที่ทำด้วยหิน ร่างของหลี่ฟู่เฉินปรากฏขึ้น
เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ
ห้องโถงหินแห่งนี้มีความเก่าแก่ยิ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีประวัติศาสตร์อย่างนานหลายศตวรรษ มีตะเกียงน้ำมันขนาดใหญ่ประมาณแปดเมตรเหนือหัวเขา เปลวไฟเริ่มสว่างขึ้นซึ่งให้แสงที่เยือกเย็นและงดงาม
“หลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิด นี้ใช่อาคมของเขาหรือไม่?” หลี่ฟู่เฉินแสดงความสงสัย
มันเป็นความสำเร็จที่ดีสำหรับการสร้างหลุมฝังศพนี้ในดินแดนแห่งหมอก แต่แสงสีฟ้าก่อนหน้านี้เกิดกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิดจะทำได้แล้ว
หลี่ฟูเฉินใช้มือข้างนึงของเขาดึงเปลวไฟในตะเกียงน้ำมันด้านบนมา
ปิสส!
ชั้นของพลังฉีที่หลี่ฟู่เฉินก่อขึ้นถูกเผาไหม้ทันที เปลวไฟขนาดเท่าไข่ตกลงบนพื้นอย่างไร้ประกายไฟ
เปลวไฟสีฟ้านี้บริสุทธิ์ประดุจคริสตัล ในแกนกลางของเปลวไฟคือของเหลวสีน้ำเงินหยดหนึ่ง
“นี่อาจเป็นเลือดของสัตว์ปีศาจระดับ 6 – ปีศาจโลหิตเพลิงครามเวิ้งว้าง?” หลี่ฟู่เฉินตกใจกับความไม่แน่นอนนี้
ครั้งหนึ่งเขาเคยอ่านตำนานปรัมปราเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจ
ภายในนั้น มีบันทึกของสัตว์ปีศาจที่น่ากลัวอย่างมาก ซึ่งนั้นก็คือปีศาจโลหิตเพลิงครามเวิ้งว้าง
ร่างของสัตว์ปีศาจตนนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้า เปลวเพลิงเพียงจุดเดียวอาจทำให้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดถูกเผาไหม้เป็นจุล แม้แต่กระทั้งหลังจากที่ตายไปแล้ว ซากศพก็ยังคงไหม้ต่อไปจนกว่าโลหิตจะเหือดแห้ง
ปีศาจโลหิตเพลิงครามเวิ้งว้างระดับ 6 เป็นการดำรงอยู่ที่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดได้ด้วยลมหายใจ แต่แล้วหลุมฝังศพนี้กลับใช้เลือดของมันเป็นแหล่งกำเนิดไฟเพื่อให้แสงสว่างจริงๆ? แม้ว่าจะมีใครบางคนบอกหลี่ฟู่เฉินว่านี่เป็นหลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิด เขาก็จะไม่เชื่อมัน
หลี่ฟูเฉินต้องการเก็บเปลวเพลิงนี้ไว้ แต่มันน่าเสียดายที่เขาขยับเพลิงไฟนั้นเพียงเล็กน้อยและไม่สามารถควบคุมมันได้ เมื่อพลังฉีของเขาไปใกล้เปลวเพลิง มันจะถูกเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่าทันที
ในช่วงเวลาต่อไป ตะเกียงน้ำมันก็ดูเหมือนจะมีพลังดึงดูดแปลกๆ ที่นำเปลวเพลิงสีน้ำเงินกลับสู่ตำแหน่งเดิม
“ข้าสงสัยว่าเจ้าของหลุมฝังศพนี้อยู่ขอบเขตใด?” หลี่ฟู่เฉินรู้สึกเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ยุคสมัยของผู้เชี่ยวชาญที่หายตัวไปทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในบันทึกประวัติของพวกเขา บางทีผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิดอาจสามารถสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ แต่คนที่เหลือจะไม่รู้อะไรเลย
ห้องโถงของเขาไม่มีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย หลี่ฟู่เฉินจึงออกไปจากที่นี่
สุสานมีขนาดใหญ่และมีช่องทางมากมายดั่งเช่นเขาวงกต
หลี่ฟูเฉินไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
เมื่อเขาพร้อมที่จะเข้าห้อง เขาก็ถูกต่อต้านและถูกส่งตัวกลับออกมา
หลี่ฟูเฉินขมวดคิ้วและวางมือขวาของเขาไว้ที่ช่องว่างตรงประตูทางเข้า
ไม่มีสิ่งใดในสายตาและถึงสัมผัสก็ยังไม่มีสิ่งใด แต่ทว่ามันมีบางสิ่งมากีดขวางฝ่ามือของหลี่ฟู่เฉิน ดูเหมือนว่ามันจะดีดตัวขึ้นเมื่อใดก็ตามที่หลี่ฟู่เฉินใช้แรงกดมัน แรงสั่นสะเทือนทำให้ฝ่ามือของหลี่ฟู่เฉินรู้สึกชา
“บางทีนี่อาจเป็นเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้หรือไม่?” หลี่ฟู่เฉินตกตะลึง
เต๋าต่อสู้ระดับปฐพีสามารถแยกออกจากทักษะและคงอยู่ได้ด้วยตัวเอง ที่ทางเข้าห้องนี้มีจุดประสงค์ในการป้องกันการถูกทำลายก่อนที่ใครจะได้เข้าไปยังห้องด้านในได้
วาดดาบทองดำของเขาลง หลี่ฟู่เฉินฟันใส่ความว่างเปล่าไปทางประตูห้อง
พื้นที่ช่องว่างเกิดเสียงเสียดสีดังขึ้นมามันรุนแรงอย่างมากจนกระทั้งหลี่ฟู่เฉินเสียการทรงตัว
“ มีปฏิกิริยา!”
หลี่ฟู่เฉินพอใจ เนื่องจากมีปฏิกิริยาตอบสนองมันหมายความว่าเจตนาการป้องกันนี้จะถูกทำลาย
เจตจำนงดาบเพลิงดาวตก!
เจตจำนงดาบโคจรหลั่งไหล่!
หลี่ฟู่เฉินตระหนักว่าเพื่อทำลายเจตจำนงที่ทำหน้าที่ป้องกันอันนี้ เขาจำต้องใส่เจตจำนงที่เขามีลงไป ซึ่งหากไม่ใช่เจตจำนงหรือทักษะใดๆ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเขย่าเจตจำนงการป้องกันนี้ได้
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเจตจำนงที่ทำหน้าที่ป้องกันก็แตกออก
เดินเข้าไปในห้อง หลี่ฟู่เฉินเห็นโต๊ะยาว ตรงกลางโต๊ะเป็นม้วนกระดาษที่ทำจากหนังสัตว์
“นี้ควรเป็นทักษะการต่อสู้!” หลี่ฟู่เฉินเดินเข้าไปและหยิบม้วนหนังสัตว์ปีศาจขึ้นมาเพื่ออ่านเนื้อหา
“เทคนิคแก่นแท้แรกเริ่ม เทคนิคระดับลึกลับขั้นกลาง เมื่อฝึกเสร็จสมบรูณ์ ร่างกายของคนคนหนึ่งจะรวมเข้ากับแก่นแท้แรกเริ่มของพลังฉี มันสามารถยืดอายุขัยของคนผู้นั้นได้และอนุญาตให้ใครคนนั้นอยู่ได้ได้จนถึงอายุ 100 ปีหรือมากกว่านั้นอย่างง่ายดาย”
หลี่ฟูเฉินมองดูคำอธิบายบนม้วนหนังสัตว์ปีศาจ เขาเลิกคิ้วของเขาตนเอง
เทคนิคบ่มเพาะที่สามารถยืดอายุได้ค่อนข้างหายาก
เทคนิคส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปยังความแข็งแกร่งไม่ก็พละกำลัง พวกเขาส่วนใหญ่จะทำให้ร่างกายมนุษย์นี้แข็งแกร่งขึ้น และยกเว้นเพียงแต่นักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด ช่วงชีวิตปกติของพวกเขาเหล่านั้นก็จะถูกจำกัดอยู่ที่อายุประมาณ 100 ปี
ยกตัวอย่างเช่นเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง มันเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยร่างกายมนุษย์เป็นพื้นฐาน หากผู้ฝึกฝนไม่ได้ฝึกฝนเทคนิคปรับแต่งร่างกายใดๆ มันจะเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะฝึกฝนเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง ไม่เช่นนั้น ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงระดับสูงสุด พวกเขาก็อาจจะตายจากการถูกแผดเผาไปก่อนได้
“เทคนิคระดับสีเหลืองขั้นสูงสุดอาจยังไม่เพียงพอ เทคนิคแก่นแท้แรกเริ่มนี้สมควรที่จะเหมาะสมสำหรับพวกเขา”
พ่อแม่ของเขาอาจยังไม่ได้เป็นนักสู้ขอบเขตปฐพี แต่ในอนาคตพวกเขาจะได้เป็นแน่นอน
ในฐานะนักสู้ขอบเขตปฐพี หากพวกเขามีเพียงเทคนิคบ่มเพาะสีเหลืองขั้นสูงสุด มันจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าพวกเขาจะก้าวหน้าในระดับการบ่มเพาะ แต่มันจะแตกต่างกันเมื่อพวกเขามีเทคนิคระดับลึกลับขั้นกลาง ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
จัดเก็บม้วนหนังสัตว์ปีศาจ หลี่ฟู่เฉินก็ออกจากห้อง
ในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆ ที่อยู่ในส่วนอื่นๆ ของหลุมฝังศพ แต่ละคนก็พบห้องแรกของพวกเขา
ยกเว้นเพียงชูมู่หยูก็ไม่มีคนอื่นใดที่มีความสามารถในการใช้เจตจำนงระดับลึกลับขั้นกลาง ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ พวกเขาไม่สามารถทำลายเจตจำนงที่ป้องกันทางเข้าห้องลงไปได้
ขณะที่หลี่ฟูเฉินเดินไปรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหน้า
“เวรเอ้ย ทำไมเจตจำนงป้องกันนี้ถึงแข็งแกร่งนัก? ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงแล้ว และมันก็ยังไม่พังลง” ซูเหยชานเดือดดาล ค้อนในมือของเขาถูกเหวี่ยงกระแทกลงไปที่ช่องว่างกลางอากาศ มันก่อให้เกิดดังเคือนคราง
หูของซูเหยชานขยับเล็กน้อย เขาก็หันหัวไปอย่างรวดเร็ว
แสงสีดำทะลุผ่านอากาศและหายไปท่ามกลางวิถีของมัน
“อันตราย!”
หนังศีรษะของซูเหยชานชาด้าน เขาขยับไปด้านข้างหนึ่งนิ้ว
ปิสส!
เลือดสดไหลออกมาจากหลังของเขา ขณะที่แสงสีดำทะลุผ่านเข้ามา พริบตาแสงสีดำนั้นก็ถูกดึงกลับไป “ชิ้ง!”
“ตาย!”
จากเงามืด หลี่ฟู่เฉินเปิดการโจมตีอย่างฉับพลัน
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าถามหาความตาย!”
ซูเหยชานได้รับบาดเจ็บสาหัญ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงเป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่ 8 เขายกก้านค้อนโลหะขึ้นอย่างบ้าคลั่งเพื่อป้องกัน
ประกายไฟอันน่าตื่นตาบินไปทั่วทุกมุม ขณะที่ซูเหยชานถูกบังคับให้บินกลับ ตรงปากของเขา มันกระอักเลือดออกมาคำโต
หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ผิดหวัง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฆ่าชูเหยชานได้อย่างง่ายๆ แต่ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขาสามารถฆ่าหลิวกวงเฟย(ตอนที่ช่วยฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู)จากนิกายพัตร(ผ้า)เงินได้ ตอนนั่นเป็นเพราะศัตรูของเขาไม่สามารถตรวจจับการคงอยู่ของเขาได้แต่เพียงเท่านั้น แต่คราวนี้ ซูเหยชานสามารถสัมผัสถึงอันตราย และขยับร่างกายของเขาไปได้นิ้วนึง ไม่เช่นนั้นแล้ว อาวุธเล่มนี้ก็จะเจาะทะลุหัวใจของเขา
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากล้าสังหารข้า? นิกายสวรรค์ปีศาจจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!” ซูเหยชานแสดงออกถึงทั้งความประสงค์ร้ายและความว้าวุ่นใจ
บทที่ 210
หินดาราและเทคนิคน้ำพุชีวิต
“หากข้าไม่สังหารเจ้า นิกายสวรรค์ปีศาจจะปล่อยข้าไป?”หลี่ฟู่เฉินเยาะเย้ย เขาหัวเราะราวกับกำลังเห็นคนโง่
นิสัยที่แท้จริงของคนคนหนึ่งจะถูกเปิดเผยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในตอนก่อนที่พวกเขาจะตาย
นักรบที่แท้จริงไม่เพียงต้องการความสามารถที่น่าเกรงขาม แต่ยังต้องการหัวใจไร้ความหวั่งเกรงด้วย
เห็นได้ชัดว่าซูเหยชานไม่ใช่นักรบที่แท้จริง
เขาเป็นคนอ่อนแอที่ใช้สถานภาพของเขาในการเข้าสะกดข่มผู้อื่น
“หากเจ้าสังหารข้า นั่นก็เท่ากับเป็นการยั่วยุนิกายสวรรค์ปีศาจอย่างแท้จริง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำสิ่งผิดพลาดลงไป” ซูเหยชานบาดเจ็บสาหัญ อาวุธนั้นทรงพลังมากและหากเขาได้ถูกต้อง มันสมควรเป็นอาวุธระดับปฐพีและนั้นก็ไม่ธรรมดาแต่อย่างใด
ในชั่วพริบตาเดียวของหุบเหวความตาย ทางออกเดียวของซูเหยชานคือการข่มขู่หลี่ฟู่เฉิน
“แม้ว่าเจ้าจะสร้างอุบายอย่างไร เจ้าก็ไม่อาจหลีกพ้นความตายได้” หลี่ฟู่เฉินเดินไปหาซูเหยชานทีละก้าวๆ
“หลี่ฟู่เฉิน หากเจ้าฆ่าข้า จะสวรรค์หรือปฐพีก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้แล้ว นิกายสวรรค์ปีศาจจะสังหารคนในตระกูลเจ้าทุกคน!” ซูเหยชานกัดฟัน ขณะที่เดินถอยกลับทีละก้าว
“แม้อยู่ต่อหน้าความตาย เจ้าก็ยังกล้าข่มขู่ข้า”
หากซูเหยชานไม่ได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าหลี่ฟู่เฉินย่อมต้องเป็นรอง แต่อย่างไรก็ตามซูเหยชานได้รับบาดเจ็บสาหัญไปแล้ว หลี่ฟูเฉินก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ด้วยการใช้วิชาดาบเพลิงดาวตก เขาปลดปล่อยพวกมันทั้งหมดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ประทับ!”
ซูเหยชานปั่นแกนโลหะในมือของเขา และลูกที่ถูกแทงซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยโซ่เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูง คล้ายกังหันขนาดใหญ่ มันป้องกันการโจมตีของเพลิงดาวตกได้ทั้งหมด
ปิส! ปิส!
เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเขา การป้องกันของซูเหยชานจึงไม่รัดกุมอีกต่อไป เพลิงดาวตกสองเส้นสายพุ่งผ่านเข้ามาได้
พริบตาเดียว ท้องและไหล่ซ้ายของซูเหยชานได้รับบาดแผลไหม้เกรียมขนาดเท่ากำปั้น
“หลี่ฟู่เฉิน ได้โปรด อย่าสังหารข้า ข้ารู้ ข้ารู้ว่าข้าผิดไป ข้าสาบานว่าจะไม่สู้กับเจ้าอีกแล้ว”
ซูเหยชานตัวแข็งทื่อ เขาเพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน และเขายังมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รออยู่ แต่หากเขาตายไป เขาจะไม่มีอะไรเลย
ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินเย็นชา กระบวนดาบแต่ละครั้งนั้นโหดเหี้ยมกว่าเมื่อก่อนมาก
ปิส ปิส ปิส ปิส!
บาดแผลไหม้เกรียมขนาดกำปั้นเริ่มปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของซูเหยชาน
“หลี่ฟู่เฉิน ข้าขอสาปแช่งเจ้าให้พบจุดจบอย่างน่าสังเวช!”เมื่อแสงชีวิตสุดท้ายของเขาจางหายไป ซูเหยชานก็กลายเป็นหมดหวังและปลดปล่อยเสียงคำรามของความไม่พอใจ
เสียบดาบลงฝัก หลี่ฟู่เฉินค่อยๆ หายใจออก
ถนนที่มุ่งสู่เต๋าแห่งการต่อสู้เต็มไปด้วยความยากลำบากและการสังหาร
ไม่มีใครสามารถแล่นเรือไปสู่จุดสูงสุดของเต๋าแห่งการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
จะมีการสังหารมากมายดังเช่นครั้งนี้อยู่อีก
และมันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่หลี่ฟู่เฉินไม่หวาดกลัว
เอื้อมมือออกไป เขาดึงที่เก็บของซูเหยชานกลับเข้ามาในมือของเขา
ถ่ายพลังฉีลงไปภายใน เขาเปิดดูกระเป๋า มีบัตรทองสองสามใบ เม็ดยามากมาย และหินคริสตัลซึ่งเปล่งประกายแสง
“หินนี่คือ?”
หลี่ฟู่เฉินค้นความทรงจำของเขา
เพียงไม่นาน ชื่อนึงก็ปรากฏขึ้น
หินดารา กุญแจสำคัญในการเขตแดนถนนดารา
มีข่าวลือว่าหินดาราร่วงหล่นมาจากสวรรค์
ฝนดาวตกทุกดวงที่เกิดขึ้นในแคว้นร้อยเทพยุทธ์อาจมีหินดาราหนึ่งดวงหรือหลายดวงตกลงมาจากฝากฟ้า
นักสู้ของแคว้นร้อยเทพยุทธ์จะพบเห็นหินดาราบ้างเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกันหินดาราสามารถใช้งานได้โดยนักสู้ขอบเขตปฐพีที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีเท่านั้น คนที่ค้นพบหินดาราเหล่านี้จะนำพวกมันไปประมูล มันอาจขายได้มูลค่าหลายร้อย หลายพัน หรือหลายล้านเหรียญทอง สร้างทรัพสมบัติได้ในชั่วข้ามคืน
“ซูเหยชานผู้นี้โชดดีมากที่ได้รับหินดารามา น่าเสียดายที่เขามีโชค แต่ไม่มีโชคชะตา ทุกอย่างกลายเป็นไร้ประโยชน์”
หลี่ฟูเฉินไม่เคยเข้าสู่เขตแดนถนนดารามาก่อน เขาตั้งใจจะไปสำรวจมันเมื่อการสำรวจหลุมศพเสร็จสิ้น
เก็บถุงเก็บของลงไป หลี่ฟู่เฉินมุ่งไปที่ประตูทางเข้าห้อง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทางเข้านี้ถูกป้องกันด้วยเจตจำนงป้องกัน หากซูเหยชานไม่ได้รวมความสนใจทั้งหมดของเขาไปในการทำลายเจตจำนงป้องกัน การลอบโจมตีของหลี่ฟู่เฉินก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่ฟูเฉินทำลายเจตจำนงป้องกันและเข้าไปในห้อง
เช่นเดียวกับห้องก่อนหน้าที่หลี่ฟู่เฉินเข้าไป ห้องนี้มีโต๊ะยาวเหมือนกันและที่อยู่ตรงกลางก็เป็นม้วนหนังสัตว์
หลังจากเปิดมัน
“เทคนิคน้ำพุชีวิต เทคนิคลับระดับ 3 ดาว สามารถกระตุ้นศักยภาพแฝงเร้นและรักษาส่วนหนึ่งของการบาดเจ็บได้ทันที เทคนิคพลังมาก โปรดใช้ด้วยความระมัดระวัง”
“มันเป็นเทคนิคลับสำหรับรักษาจริงๆ?” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินดูยินดีอย่างยิ่ง
บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับบาดเจ็บ บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ อาจมองข้ามไปได้ แต่อาการบาดเจ็บสาหัสบางอย่างจะส่งผลต่อสภาพของนักสู้ หากใครที่ฝึกฝนเทคนิคน้ำพุชีวิต ผู้ใช้สามารถรักษาส่วนหนึ่งของการบาดเจ็บของเขาได้ทันที ในอีกแง่มุมนึง ประโยชน์ของมันไม่ด้อยไปกว่าเทคนิคลับระดับ 4 หรือ 5 ดาวเลย
แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีราคาของมันเสมอ
ทุกครั้งที่เทคนิคน้ำพุชีวิตถูกเปิดใช้งาน มันจะใช้พลังงานชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อพลังงานชีวิตของผู้ใช้หมดลง ช่วงชีวิตหนึ่งก็จะสิ้นสุดลงเช่นกัน
กล่าวโดยสรุปคือเทคนิคน้ำพุชีวิตสามารถใช้พลังงานชีวิตเพื่อกู้คืนการบาดเจ็บของตนเองได้
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เทคนิคลับระดับ 3 ดาวนี้ก็ยังมีค่ามาก
หากผู้ใดกำลังจะตาย ผู้นั้นย่อมต้องใส่ใจกับชีวิต ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มันย่อมมีความเป็นไปได้มากมาย
“เมื่อมีเทคนิคนี้ ก็เหมือนมีชีวิตพิเศษอีกครึ่งชีวิต”
หลี่ฟู่เฉินค่อยๆ ม้วนหนังสัตว์เทคนิคลับน้ำพุชีวิตอย่างระมัดระวัง
สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ก็คือหลังจากที่เขาจากไปแล้ว ซูเหยชานที่ตายแล้วกลับลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองของเขาไม่มีชีวิตชีวาและเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ในขณะที่รูม่านตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว ตรงกันข้ามกับดวงตามนุษย์อย่างสิ้นเชิง
เนื้อของซูเหยชานกระตุก บาดแผลที่ไหม้เกรียมทั้งหมดเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกันและหลังจากนั้นไม่นาน มันก็หายสนิท
“คี่คี่ มีร่างกายช่างยอมเยี่ยม แต่ร่างกายนี้ค่อนข้างอ่อนแอและต้องการการบำรุงรักษา”
ซูเหยชานเลียริมฝีปากของเขาด้วยลิ้นที่ยาวประมาณครึ่งฟุต
***
“หลี่ฟู่เฉิน”
เมื่อหลี่ฟู่เฉินมาถึงอีกทางหนึ่ง เขาเห็นฟานเฉียนหยู ในขณะที่เธอเองก็สังเกตเห็นเขาด้วยเช่นกัน
“ยังทำลายมันไม่ได้?” หลี่ฟู่เฉินถาม
ฟานเฉียนหยูพยักหน้า “เจตจำนงป้องกันจะถูกทำลายลงด้วยเจตจำนงเท่านั้น แต่เจตจำนงของข้าอ่อนแอ่เกินไป”
“ให้ข้าช่วยเจ้า” หลี่ฟู่เฉินดึงดาบทองดำของเขาออกไป และฟาดเจตจำนงเพลิงดาวตกใส่เจตจำนงป้องกัน
หลังจากเวลาผ่านไป เจตจำนงป้องกันก็ถูกทำลาย
“ขอบใจมาก” ดวงตาของฟานเฉียนหยูสดใสขึ้น เธอมีความรู้สึกบางอย่าง หลุมฝังศพนี้อาจไม่ได้เป็นของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด แต่สมควรเป็นหลุมฝังศพของนักสู้ขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณมากกว่า
ของที่เหลืออยู่ในหลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทพยุทธ์วิญญาณจะต้องเป็นของที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
“เข้าไปข้างใน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่” หลี่ฟู่เฉินกล่าว
“ได้” ฟานเฉียนหยูเดินเข้ามาในห้อง
หลังจากนั้นไม่นาน ฟานเฉียนหยูก็ออกจากห้องมาพร้อมกับม้วนหนังสัตว์ในมือ เธอกล่าว “มันเป็นเทคนิคลับระดับ 3 ดาวที่เรียกว่าเทคนิคบำรุงผิว มันสามารถทำให้ผู้ฝึกฝนรักษารูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์เอาไว้ได้”
“ ดูเหมือนว่าเจ้าของหลุมฝังศพนี้รู้เรื่องการบำรุงรักษาสุขภาพมาก” หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ
เทคนิคแก่นแท้แรกเริ่ม เทคนิคน้ำพุชีวิต และเทคนิคบำรุงผิว พวกมันทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสุขภาพและพลังงานชีวิต
“เทคนิคลับอะไรที่เจ้าได้มา?” ฟานเฉียนหยูกล่าวถาม
หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ข้าได้เทคนิคระดับลึกลับขั้นกลาง แก่นแท้แรกเริ่ม และเทคนิคลับระดับ 3 ดาว เทคนิคน้ำพุชีวิต อันหลังสามารถรักษาอาการบาดเจ็บส่วนหนึ่งได้ทันที แต่ก็ต้องแลกกับพลังชีวิตไปบ้างส่วนหนึ่ง เมื่อเราออกไป เราค่อยฝึกฝนมันด้วยกัน”
เทคนิคน้ำพุชีวิตอาจมีค่ามาก แต่ไม่จำเป็นต้องจะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้อย่างเห็นแก่ตัว
ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูมีข้อตกลงว่าจะไม่เปิดเผยเทคนิคลับแก่ผู้อื่นยกเว้นพวกเขาทั้งสามคน
“ไหนๆ ก็พูดแล้ว เจ้าคิดว่าที่หลุมศพแห่งนี้จะมีเทคนิคลับระดับ 4 ดาวหรือ 5 ดาวบ้างหรือไม่?” ฟานเฉียนหยูถาม
หลี่ฟู่เฉินตอบ “บางทีอาจจะมี! แต่หลุมฝังศพนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ที่ดีที่สุดคือการระมัดระวังเข้าไว้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น