Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 197-203

 บทที่ 197


เศษซากอาวุธ



(น้องสาวของเด็กชายอาจเป็นได้ทั้งพี่สาวหรือน้องสาวนะในส่วนนี้แอดยังไม่แน่ใจ)


 


 


 


ถนนโบราณที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบ 丰 มันมีถนนสายหลักและหกตรอกซอกซอย


(หมายเหตุ TL: 丰 = มันเป็นลักษณะของถนน)


 


เดินไปตามถนนสายหลัก หลี่ฟูเฉินเดินเข้าไปร้านขายของโบราณเพื่อดูเป็นบางครั้ง


 


ทุกอย่างถูกขายในร้านขายของเก่า รายการส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่แปลก


 


เช่นแร่ที่ดูพิเศษ เศษชิ้นส่วนของอาวุธ หรือแม้แต่กระทั่งพืชที่เหี่ยวเฉา ยังมีร้านขายของโบราณที่จัดวางกระดูกสัตว์ปีศาจระดับ 5 ไว้ด้วยเช่นกัน หากมันหล่อเลี้ยงได้อย่างถูกวิธี มันอาจกลายเป็นระดับ 6 ได้


 


หลี่ฟู่เฉินใช้สัมผัสธ์ของเขาในการตรวจสอบและตระหนักว่ากระดูกปีศาจชิ้นนี้ปรากฏขึ้นเป็นพิเศษเนื่องจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ


 


“เดินเล่นและดูก่อน ร้านค้านี้ขายเศษซากอาวุธและพวกมันทั้งหมดก็น่าจะมาจากอนุสาวรีย์อันตรายนั้น บางทีอาจมีอาวุธระดับสูงอยู่ในมัน!” ร้านขายของเก่าที่ชื่อว่า ‘ศาลาชั้นเครื่องมือ’ มีพนักงานหลายคนกำลังเร่ขาย


 


“ท่านนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ โปรดอย่าเพิ่งเข้าไป ร้านนี้มีชื่อเสียงในเรื่องการหลอกลวงผู้คน” เด็กชายเตือนหลี่ฟูเฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินลดหัวลงและถาม “ใช่แล้ว ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย เจ้าชื่ออะไร?”


 


“ข้าเซียวกง” เด็กชายตอบอย่างกระดากอาย


 


“เซียวกง… นั่นเป็นชื่อที่ดี ครอบครัวของเจ้า มีเฉพาะแค่ตัวเจ้า?”


 


“ข้ามีน้องสาวอีกหนึ่งคน”


 


“และพ่อแม่ของเจ้า?”


 


“พ่อแม่ของข้าเป็นนักสู้ที่น่าเกรงขามเหมือนกับท่าน แต่พวกเขาตายแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่ข้าและน้องสาวของข้า” ดวงตาของเซียวกงดูสงบ แต่หลี่ฟู่เฉินมองเห็นร่องรอยแห่งความโศกเศร้า


 


หลี่ฟู่เฉินถอนหายใจ สถานการณ์อย่างเซียวกงไม่ได้เกิดขึ้นแค่เขาคนเดียว ในโลกนี้ ทุกคนมีโอกาสฝึกฝนตนเอง ในครัวเรือนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยแล้ว พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเป็นนักสู้ขอบเขตพลังฉี เมื่อเด็กๆ โตขึ้น พวกเขาก็จะกลายเป็นนักสู้ขอบเขตพลังฉีเช่นกัน และในฐานะที่เป็นนักสู้ พวกเขาย่อมต้องออกไปแสวงหาวิธีชีวิตที่เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นที่ที่คนส่วนใหญ่จะพบจุดจบ


 


“น้องสาวของเจ้าอยู่บ้านคนเดียว? มันปลอดภัยหรือไม่? ทำไมเจ้าไม่กลับไปก่อน” หลี่ฟู่เฉินถาม


 


เซียวกงส่ายหัว “ท่านโปรดอย่าได้เป็นห่วง ข้าล็อคประตูไว้แล้วและข้าต้องรักษาสัญญา ข้ารับเหรียญทองของท่านมา ดังนั้นข้าต้องทำงานให้เสร็จลุล่วงก่อน” เขาเป็นกังวลเพราะเขาไม่เคยให้คำแนะนำใดๆ เลย ยกเว้นแต่เพียงการนำหลี่ฟู่เฉินมาที่นี่


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ “เจ้าควรกลับไป พาน้องสาวของเจ้ามาที่นี่ก็ไม่เป็นไร ให้ข้าพาพวกเจ้าทั้งสองทานอาหาร”


 


เซียวกงกล่าว “น้องสาวข้าป่วย ปกติเธอเป็นคนที่ออกมาที่นี่” จบคำพูดของเขา เซียวกงลดหัวของเขาและรู้สึกละอายใจ


 


“หากเจ้ารักน้องสาวของเจ้า เจ้าก็กลับไปซะตอนนี้ น้องสาวของเจ้าต้องได้รับการดูแล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะอยู่ที่เมืองคมดาบเหินเป็นเวลาสามวัน ให้ที่อยู่ของเจ้ากับข้า ข้าจะไปหาเจ้าและขอให้เจ้าพาข้าไป” หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ


 


“บ้านของข้าอยู่ทางเหนือของเมืองคมดาบเหิน เลข 952 ที่เป็นมีบานประตูเป็นโพรง ท่าน ท่านช่างเป็นคนดียิ่งนัก ข้าจะพาท่านไปทั่วเมืองคมดาบเหินในอีกสองวันข้างหน้า”


 


เซียวกงรู้สึกไม่ดีที่ออกมาจากบ้านที่มีน้องสาวของเขาป่วยอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเงินซื้อยาให้น้องสาวของเขา เขาจะคงอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลเธอ


 


‘หือ เป็นคนดี?’ หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่หัวเราะออกมา


 


“แน่นอน ทางเหนือของเมืองคมดาบเหิน เลข 952 ประตูเป็นโพรง ข้าจำได้ และข้าจะไปหาเจ้าในคืนนี้”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้มีความสามารถในการช่วยเหลือทุกคน แต่เท่าที่เขาทำได้ เขาก็อยากจะช่วยเหลือทุกคนอย่างแท้จริง


 


การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่ควรมีแต่แค่การฝึกฝน


 


“ท่าน ข้าขอตัวก่อน” เซียวกงกำลังคิดถึงสิ่งที่เขาสามารถซื้อได้ด้วยเหรียญทองเหรียญนี้ เขาคิดเกี่ยวกับการซื้อยา ซื้อขนมปังนุ่ม และขนมปังกรอบ


 


“ไปได้เลย!” หลี่ฟู่เฉินโบกมือของเขา


 


หลังจากที่เซียวกงจากไป หลี่ฟู่เฉินเดินเข้าไปในศาลาชั้นเครื่องมือ แน่แท้ว่าเขาต้องการดูร้านขายของเก่านี้ ว่ามันจะหลอกลวงผู้คนอย่างไร


 


“เรียนท่านที่น่าเคารพ โปรดเชิญทางนี้” เมื่อเห็นว่าลูกค้าเข้ามา พนักงานร้านร่าเริง


 


“ของเหล่านี้เป็นเศษซากอาวุธที่ถูกทิ้งจากอนุสาวรีย์อันตรายหรือไม่?” หลี่ฟู่เฉินชี้ไปที่ตะกร้าอาวุธและถาม


 


พนักงานร้านตอบ “ใช่ขอรับ พวกมันมาจากที่นั้น เศษซากอาวุธแต่ละชิ้นจะขายที่ 100 เหรียญทองต่อชิ้น ซื้อเมื่อสิบและจะรับฟรีได้อีกหนึ่ง ยิ่งเท่าซื้อมากเท่าไหร่ เราก็ให้มากเท่านั้น”


 


“เอาหล่ะ ให้ข้าดู”


 


หลี่ฟู่เฉินหยิบเศษซากอาวุธขึ้นมาแล้ววิเคราะห์


 


สาเหตุที่มันถูกเรียกว่าเศษซากอาวุธ เป็นเพราะลวดลายที่อยู่บนมัน


 


ยิ่งระดับอาวุธสูงมากเท่าไหร่ ลวดลายรูปแบบก็ยิ่งมีความลึกลับซับซ้อนมากเท่านั้น


 


ยกตัวอย่างเช่นดาบทองดำของหลี่ฟู่เฉิน มันมีลวดลายระดับลึกลับขั้นกลาง


 


ลวดลายรูปแบบสามารถสร้างความแตกต่างให้กับน้ำหนักและความคมของอาวุธได้


 


วัสดุที่ใช้ในการตีดาบทองดำเป็นโลหะสีดำอย่างเห็นได้ชัด ตามขนาดของดาบทองดำ และตามขนาดของก้อนโลหะทองดำ ดาบของหลี่ฟู่เฉินควรมีน้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม


 


เมื่อจับคู่กับมูลค่าของก้อนโลหะทองดำ แต่ละกิโลกรัมมีค่าไม่กี่พันเหรียญทองเท่านั้น หนึ่งกิโลกรัมกิโลกรัมหมายความว่าดาบนี้มีมูลค่าอย่างน้อยแค่ 50,000 เหรียญทอง


 


แต่หลังจากประทับลวดลายรูปแบบระดับลึกลับขั้นกลางลงไป ตอนนี้ดาบทองดำกลายเป็นดาบที่หนักกว่า 50 กิโลกรัมและสามารถปลดปล่อยดาบพลังฉีได้ มูลค่าของมันตอนนี้สูงขึ้นสองเท่าและจะมีมูลค่า 200,000 เหรียญทองในโลกภายนอก


 


ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก ช่างทำอาวุธที่สามารถดาบระดับลึกลับขั้นสูงขึ้นมาได้จะได้รับการพิจารณาให้เป็นปรามาจารย์ช่างทำอาวุธ ผู้ที่สามารถประทับลวดลายรูปแบบระดับลึกลับขั้นสูงสุดได้จะเป็นปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิ พวกเขาเป็นสินทรัพย์ประเภทที่นิกายต้องการ


 


สำหรับผู้ที่ประทับระดับปฐพีได้ พวกเขาจะไม่ได้เป็นปรามาจารย์หัวกะทิ แต่เค้าจะเป็นสุดยอดปรามาจารย์แทน


 


น่าเสียดายที่มีสุดยอดปรามาจารย์เพียงหนึ่งหรือสองคนในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกเท่านั้น


 


และบางทีทันอาจไม่มีแม้แต่คนเดียว


 


อย่างน้อยที่สุด นิกายวารีครามก็มีปรามาจารย์ช่างทำอาวุธคนหนึ่งอยู่ในนิกาย


 


เศษซากอาวุธระดับปฐพีไม่ได้มีคุณค่าอะไรมากสำหรับนักสู้ แต่มันเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับช่างทำอาวุธอย่างไม่ต้องสงสัย


 


ช่างทำอาวุธที่สามารถถอดรูปแบบลวดลายทั้งหมดขอเศษซากอาวุธระดับปฐพีได้ เช่นนั้นคนผู้นั้นก็สามารถยกระดับการประทับลวดลายของตนเองไปอีกขั้นได้


 


ถืออาวุธชิ้นนี้ หลี่ฟูเฉินใช้สัมผัสธ์ในการตรวจสอบ


 


เขาไม่สามารทำอย่างไรได้ ได้แต่หัวเราะ


 


นี้คือเศษซากอาวุธสีเหลืองขั้นสูงสุด แกนหลักของลวดลายรูปแบบเป็นการออกแบบที่เรียบง่าย แต่ร้านนี้ได้ทำการดัดแปลงและเพิ่มลวดลายรูปแบบที่สลับซับซ้อนลงไป เมื่อรวมสองลวดลายรูปแบบเข้าด้วยกัน มันทำให้เกิดมุมมองที่ซับซ้อน


 


สำหรับนักสู้ที่อ่อนประสบการณ์หน่อย ซับซ้อนหมายถึงลึกลับ หลังจากทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถถอดรหัสได้ใช่หรือไม่?


 


แต่จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินถอดมันได้ หลังจากเข้ามายังขอบเขตปฐพี จิตสำนึกของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่านักสู้ขอบเขตสวรรค์ หลี่ฟูเฉินไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความสามารถของมัน ก็ในเมื่อเขาไม่มีข้อมูลอ้างอิงเพื่อตรวจสอบมัน


 


ใช้จิตสำนึกของเขาตรวจสอบ เขาเห็นความแตกต่างระหว่างลวดลายรูปแบบทั้งสองทันทีและเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ


 


วางอาวุธชิ้นนี้ลง หลี่ฟู่เฉินหยิบขึ้นมาอีกชิ้น


 


ครั้งนี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม มันเป็นแค่อาวุธระดับสีเหลืองขั้นสูงเท่านั้น แต่ลวดลายรูปแบบที่ประทับอยู่ก็มีมากกว่าก่อนเช่นกัน


 


โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก หลี่ฟู่เฉินมองผ่านเศษซากอาวุธหลายสิบอันและไม่พบเศษซากอาวุธลึกลับระดับแต่อย่างใด


 


“ควรดูอีกหน่อย”


 


หลี่ฟู่เฉินสุ่มหยิบเศษซากอาวุธที่เคลือบด้วยฝุ่นและตรวจสอบด้วยจิตสำนึกของเขา


 


“หืม? ดูเหมือนว่านี้จะเป็นอาวุธระดับลึกลับ”


 


ลวดลายรูปแบบไม่ได้ประทับอยู่บนตัวอาวุธ กลับกันมาอยู่ภายในอาวุธ โดยปกติแล้วนักสู้มักจะใช้พลังฉีเพื่อรับรู้ถึงลวดลายรูปแบบ แต่หลี่ฟู่เฉินใช้พลังฉีของเขาควบคู่ไปกับจิตสำนึก เขาสามารถสัมผัสลวดลายรูปแบบลึกลับภายในเศษซากอาวุธชิ้นนี้ได้ มันไม่ได้รู้สึกดูแปลกปลอมดังเช่นอาวุธก่อนหน้า


 


ลึกเข้าไปในจิตสำนึกของเขา หลี่ฟู่เฉินรื้อฟื้นประสบการณ์ในอดีตทั้งหมดของเขา นี่ไม่ใช่อาวุธลึกลับระดับลึกลับสามัญธรรมดา  แม้แต่ลวดลายรูปแบบของดาบทองดำก็ไม่ได้ซับซ้อนและลึกลับเช่นนี้


 


“นี้อาจเป็นเศษซากอาวุธระดับลึกลับขั้นสูง หรือแม้แต่กระทั่งสูงสุด?” หลี่ฟูเฉินก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


บทที่ 198


เศษซากอาวุธระดับปฐพี


 


 


‘ข้าต้องซื้อเศษซากอาวุธเหล่านี้’ หลี่ฟู่เฉินตัดสินใจแล้ว


 


เนื่องจากเพราะเขาค้นพบเศษซากอาวุธนี้ หลี่ฟู่เฉินจึงไม่รีบจากไป เขายังคงมองไปรอบๆ ด้วยความหวังว่าจะได้พบกับสมบัติล้ำค่าอื่นๆ อีก


 


สองชั่วโมงต่อมา หลี่ฟู่เฉินครอบครองเศษซากอาวุธกว่าสิบชิ้น


 


ในบรรดาเศษซากอาวุธเหล่านี้ เฉพาะอาวุธระดับลึกลับเท่านั้นที่มีค่า ที่เหลือเป็นเศษซากอาวุธระดับสีเหลืองทั้งหมด


 


ทั้งๆ แบบนี้ หลี่ฟูเฉินเตรียมซื้อเศษซากอาวุธทั้งสิบ


 


“ข้าจะเอาเศษศากอาวุธทั้งสิบชิ้นนี้” หลี่ฟู่เฉินกล่าวกับพนังงาน


 


“ขอรับ ให้ข้าไปเรียกผู้จัดการร้าน” พนักงานจากไปและรีบแจ้งให้ผู้จัดการร้านทราบ


 


ศาลาชั้นเครื่องมือมีขนาดใหญ่มากและผู้จัดการร้านก็อยู่ระหว่างการให้บริการลูกค้ารายอื่นอยู่ หลังจากได้รับแจ้งจากพนังงาน เขาเดินออกมาและกล่าว “หากท่านซื้อเศษซากอาวุธสิบชิ้น ท่าจะได้ฟรีหนึ่งอัน รวมทั้งหมด 1,000 เหรียญทอง”


 


ผู้จัดการร้านยิ้มพร้อมกับดวงตาที่ปิดมิดชิด


 


1000 เหรียญทองไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย โดยเฉลี่ยต่อวันแล้ว ศาลาชั้นเครื่องมือของพวกเขามีรายได้เพียงหนึ่งหรือสองร้อยเหรียญทอง ดูเหมือนว่าเศษซากอาวุธชุดนี้น่าสนใจยิ่ง และตราบใดที่มีคนมาซื้อ พวกเขาก็จะมีกำไรมาก


 


***


 


จ่ายเหรียญทอง หลี่ฟู่เฉินออกจากศาลาชั้นเครื่องมือ


 


‘ข้ายังไม่แน่ใจเกี่ยวกับระดับของเศษซากอาวุธ ข้าควรไปประเมิณมันที่ร้านขายอาวุธ’ เมื่อความคิดเกิด หลี่ฟู่เฉินจึงเริ่มถามที่อยู่ของร้านอาวุธ


 


ร้านขายอาวุธไม่ได้ตั้งอยู่บนถนนโบราณ เมืองคมดาบเหินมีร้านอาวุธอยู่มากมายและที่ใกล้ที่สุดสำหรับเขาคือตรงถนนม้าเหล็กที่อยู่ถัดจากถนนโบราณ


 


บนถนนม้าเหล็ก มีม้าเหล็กที่ทำมาจากเหล็กกล้ายืนอยู่ตรงกลางถนน


 


ทางด้านขวาของม้าเหล็กมีร้านขายอาวุธชื่อศาลาทหารหัวทะกิ


 


“ท่าน ข้าสงสัยว่าท่านต้องการอาวุธประเภทใด?” เห็นคนเข้ามา ผู้จัดการร้านถามอย่างสุภาพ


 


หลี่ฟู่เฉินตอบ “เจ้ามีอาวุธระดับสูงที่สุดของเจ้ามาเสนอข้าไหม?”


 


สายตาของผู้จัดการร้านสว่างขึ้น “ศาลาทหารหัวกะทิเราจำหน่ายแต่สินค้าระดับสูง อาวุธระดับสูงที่สุดของเราคือระดับลึกลับขั้นกลาง และหนึ่งในนั้นถูกขายไปในราคา 180,000 เหรียญทอง”


 


ผู้ที่สามารถสร้างอาวุธระดับลึกลับขั้นกลางได้ย่อมเป็นปรมาจารย์ช่างทำอาวุธ ศาลาทหารหัวกะทิไม่ได้มีบุคคลดังกล่าว ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แม้ว่าเมืองคมดาบเหินจะเป็นเมืองที่มีประชากร 4 ล้านคน แต่อาวุธระดับลึกลับขั้นกลางก็ไม่ได้มีการซื้อขายมากนัก ซึ่งเป็นเหตุผลที่อาวุธระดับลึกลับขั้นสูงมีความต้องการที่น้อย นักสู้ขอบเขตปฐพีธรรมดาสามัญไม่มีความมั่งคั่งที่จะซื้อมันมาได้  เฉพาะนักสู้ขอบเขตสวรรค์เท่านั้นที่จะมีความมั่งคั่งดังกล่าว


 


“โอ้ ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านขายอาวุธใดที่ขายอาวุธระดับลึกลับขั้นสูง?” หลี่ฟูเฉินไม่สนใจในอาวุธระดับลึกลับขั้นกลาง


 


ผู้จัดการร้านค่อนข้างผิดหวัง แต่เขาก็ยังตอบ “ภายในเมืองคมดาบเหิน มีเพียงศาลาอุปกรณ์ลึกลับเท่านั้นที่ขายอาวุธระดับลึกลับขั้นสูง แต่ท่าน ท่านเป็นแค่นักสู้ขอบเขตปฐพีเท่านั้น และมันคงจะไม่คุ้มต่าหากจะซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงมา ท่านจะตกเป็นเป้าหมายได้อย่างง่ายดาบ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนักสู้ขอบเขตปฐพีใช้อาวุธขั้นสูงจะเป็นการยากที่จะดึงศักยภาพที่แท้จริงของอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงออกมา”


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ แต่ไม่ได้อธิบายใดๆ


 


ผู้จัดการร้านกล่าวถูกต้อง นักสู้ขอบเขตปฐพีส่วนใหญ่ใช้อาวุธระดับลึกลับขั้นต่ำ คนกลุ่มน้อยเท่านั้นถึงจะใช้อาวุธระดับลึกลับขั้นกลาง มันไม่มีใครในพวกเขากล้าที่จะดูหรือเหลือบไปมองอาวุธระดับลึกลับขั้นสูง ในสถานที่ที่วุ่นวายเช่นนี้ ใครก็ตามที่มีอาวุธที่เป็นสมบัติอาจเป็นเป้าหมายได้


 


แต่หลี่ฟู่เฉินไม่ได้วางแผนที่จะซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูง เขาแค่อยากจะสังเกตลวดลายรูปแบบของอาวุธระดับลึกลับขั้นสูง


 


หลังจากถามทิศทางแล้ว หลี่ฟู่เฉินมาถึงถนนที่คนพลุกพล่านที่สุดในเมืองคมดาบเหิน – ถนนคมดาบเหิน ร้านค้าที่หรูหราที่สุดบนถนนคมดาบเหินไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือศาลาอุปกรณ์ลึกลับ


 


ศาลาอุปกรณ์ลึกลับอธิบายได้เหมือนชื่อมัน มีเพียงอาวุธระดับลึกลับที่ขายอยู่ภายในและไม่มีอาวุธระดับสีเหลืองเลย


 


มีลูกค้ามากมายและส่วนใหญ่เป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูง มันมีแม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตสวรรค์อยู่หนึ่งคน


 


“ขอตอนรับท่าน ท่านกำลังมองหาอาวุธประเภทใดอยู่?”


 


ทันทีที่หลี่ฟู่เฉินเข้าประตู พนักงานมาต้อนรับเขา ผู้จัดการร้านกำลังให้บริการนักสู้ขอบเขตสวรรค์อยู่


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “อาวุธระดับลึกลับขั้นสูง”


 


พนักงานตกใจและคิดว่า ‘ผู้ชายคนนี้เป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่?’


 


อาวุธระดับลึกลับขั้นสูงมีค่าใช้จ่ายหลายแสนเหรียญทอง ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพงสำหรับเหล่านายน้อยหนุ่มสาวจากตระกูลหลักที่มีนักสู้ขอบเขตสวรรค์สนับสนุนอยู่


 


“ท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้”


 


อาวุธระดับลึกลับขั้นสูงไม่ได้อยู่ที่ชั้นหนึ่ง กลับกันมันอยู่ชั้นสอง


 


เมื่อมาถึงชั้นสอง พนักงานอธิบาย “ท่าน นี่เป็นอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงทั้งหมด กระบี่ หอก ดาบ ง้าว เรามีทุกอย่าง”


 


“งั้นแล้วพวกนี้ก็คืออาวุธระดับลึกลับขั้นสูง? พวกมันพิเศษจริงๆ”


 


หลี่ฟู่เฉินหยิบดาบขึ้นมา ดาบนี้ดูเหมือนจะเป็นสีเงินเข้มและในมือเขาก็รู้สึกหนัก ประมาณ 250 กิโลกรัม ดึงดาบออกจากฝัก มันเกิดแสงสีเงินเข้ม แม้แต่กระทั้งเส้นผมของหลี่ฟู่เฉินก็อาจถูกตัดออกจากกันได้


 


“พลังฉีในดาบเข้มข้นอย่างแท้จริง” หลี่ฟู่เฉินตกตะลึง


 


ดาบทองดำมีเพียงร่องรอยพลังฉีอยู่เบาบาง ในแง่ความหนาแน่นของพลังฉี มันไม่แม้แต่จะถึง 30% ของดาบนี้


 


ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีเพียงแต่ช่างทำอาวุธที่เป็นปรามาจารย์ช่างทำอาวุธเท่านั้นถึงจะสามารถหล่อหลอมอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงขึ้นมาได้ ความต้องการในความรู้เรื่องลวดลายรูปแบบในอุปกรณ์สูงเกินไป


 


ถ่ายพลังฉีและจิตสำนึกลงไปในดาบ หลี่ฟู่เฉินสังเกตลวดลายรูปแบบภายในดาบ


 


เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าดาบนี้จะเป็นอาวุธระดับลึกลับขั้นสูง แต่ระดับลวดลายรูปแบบในอุปกรณ์ก็ด้อยกว่าลวดลายรูปแบบในเศษซากอาวุธชิ้นนั้นมาก


 


‘ดูเหมือนว่าเศษซากอาวุธชิ้นนี้อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเศษซากอาวุธระดับลึกลับขั้นสูง’


 


หลังจากที่เขาหมดความสนใจ หลี่ฟู่เฉินกล่าวกับพนักงาน “พาข้าไปดูอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุด”


 


พนักงานกล่าวอย่างอึดอัด “อาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดเป็นอาวุธที่ถูกกำหนดให้เป็นสมบัติของศาลาอุปกรณ์ลึกลับเรา หากท่านจริงจังต่อการซื้อครั้งนี้ ข้าสามารถแจ้งผู้จัดการร้านได้ แต่หากท่านได้ไม่จริงจังในการซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุด เขาก็อาจไม่สามารถแสดงให้ใครเห็นได้ง่ายๆ”


 


“ทำไม? ข้าแค่ดูก็ไม่ได้? หากข้าไม่เห็น ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการซื้อมันหรือไม่?” หลี่ฟู่เฉินตอบกลับอย่างเฉยเมย


 


สงสัยว่าหลี่ฟูเฉินจะเป็นนายน้อยจากตระกูลใหญ่ พนักงานไม่กล้าละเลยเขา “ข้าจะไปแจ้งผู้จัดการร้าน”


 


เพียงไม่นาน ผู้จัดการร้านก็มาถึง


 


“ท่านผู้นี้ ท่านจะซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุด? ข้าสงสัยว่าตระกูลของท่านคืออะไร?”


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ชื่อตระกูลของข้าคือเฉิน”


 


ได้ยินชื่อ ผู้จัดการร้านพยายามค้นหาชื่อนี้ผ่านความทรงจำของเขา


 


บางทีอาจเป็นตระกูลเฉินในเมืองพล่าพายุ?


 


เมืองพล่าพายุเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในแคว้นร้อยเทพยุทธ์ มันมีประชากรอย่างน้อยสิบล้านคนและสถานะของตระกูลเฉินนั้นเป็นที่เคารพสูงสุด พวกเขามีนักสู้ขอบเขตสวรรค์อย่างน้อย 20 คน


 


หากเขาเป็นนายน้อยเฉิน เขาจะเป็นแขกคนสำคัญ ผู้จัดการร้านถามรายละเอียด “ท่านผู้นี้ใช่มาจากตระกูลเฉินที่อยู่ในเมืองพล่านพายุหรือไม่?”


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับแต่ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง “ทำไม? หากข้าไม่ได้มาจากตระกูลเฉิน ข้าก็ไม่สามารถซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดได้หรือไร?”


 


“แน่นอนว่าไม่ ท่านผู้นี้ โปรดติดตามข้ามา”


 


ได้ยินสิ่งที่หลี่ฟู่เฉินกล่าว ผู้จัดการร้านสันนิษฐานว่าหลี่ฟูเฉินอาจเป็นคนสำคัญของตระกูลเฉิน


 


อาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดอยู่ในชั้นที่สามของศาลาอุปกรณ์ลึกลับ


 


บนชั้นสาม มีอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดซึ่งแสดงอยู่บนผนังบน อาวุธแต่ละชิ้นปรากฏสภาวะพลังฉีสังหารที่รุนแรง ราวกับว่ามันจะไปฆ่าคนด้วยตัวเอง


 


แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มีดาบอยู่ในบรรดาอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดในชั้นสามนี้


 


เลือกหนึ่งในอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดมา หลี่ฟูเฉินส่งพลังฉีและจิตสำนึกเข้าไป


 


‘ลวดลายรูปแบบลึกลับอย่างแท้จริง’


 


สังเกตด้วยจิตสำนึกของเขา หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่อ้าปากค้าง


 


อาวุธระดับลึกลับสูงสุดนี้เป็นง้าว ลวดลายรูปแบบภายในง้าวมีความซับซ้อน แต่ก็ไร้เสริมเติมแต่งใดๆ


 


แต่เมื่อเทียบกับเศษซากอาวุธของเขา มันดูเหมือนยังไม่เพียงพอ


 


ยิ่งไปกว่านั้น ลวดลายรูปแบบภายในเศษซากอาวุธเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของลวดลายรูปแบบดั้งเดิม แต่ใครจะนึกได้ว่ามันเป็นลวดลายรูปแบบที่สมบูรณ์แบบ


 


ตอนนี้หลี่ฟูเฉินสามารถระบุได้ว่าเศษซากอาวุธชิ้นนี้เป็นอาวุธระดับปฐพี


บทที่ 199


โพรงใบไม้


 


 


“นิกายอุปกรณ์ลึกลับควรค่าแก่ชื่อของมันอย่างแท้จริง ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมด มีเพียงนิกายอุปกรณ์ลึกลับเท่านั้นที่ขายอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุด”


 


ศาลาอุปกรณ์ลึกลับมีผู้สนับสนุนที่ดีและพวกเขาก็ไม่ได้เป็นกลุ่มธรรมดาๆ แต่เป็นนิกายอุปกรณ์ลึกลับชื่อดังของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก


 


นิกายอุปกรณ์ลึกลับมีชื่อเสียงด้านการสร้างอาวุธ


 


ในนิกายอื่นๆ หากมีปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิซักคนก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่นิกายอุปกรณ์ลึกลับมีปรามาจารย์หัวกะทิหลายร้อยคน ตราบใดที่มีวัสดุเพียงพอ พวกเขาก็สามารถผลิตอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง


 


ในเกือบทุกเมืองของแคว้นร้อยเทพยุทธ์ มีศาลาอุปกรณ์ลึกลับอยู่ แต่ละร้านจะขายอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุด ทุกร้านจะมีอย่างน้อยหนึ่งชิ้น หรือบางร้านอาจมีถึงห้าชิ้น


 


แน่นอน อาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดแต่ละชิ้นนั้นมีราคาสูงมาก ในบรรดาชนอาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดที่จัดแสดงอยู่ในศาลาอุปกรณ์ลึกลับแห่งนี้ ราคาถูกที่สุดของพวกมันคือประมาณหกล้านเหรียญทอง ในขณะอันที่มีค่าที่สุดคือแปดล้านเหรียญทอง มันไม่ได้เกินความจริงที่จะกล่าวว่าพวกมันเป็นการปล้นทรัพย์กลางวันแสกๆ ดีๆ นี่เอง


 


หากแปดล้านเหรียญทองถูกนำมากองรวมกัน มันก็เป็นกองทองคำดีๆ นี้เอง


 


ได้ยินคำยกย่องนิกายอุปกรณ์ลึกลับจากหลี่ฟู่เฉิน ผู้จัดการร้านศาลาอุปกรณ์ลึกลับตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจ “นิกายอุปกรณ์ลึกลับของเราไม่เคยขาดปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิ มันอาจจะมีแม้แต่กระทั้งสุดยอดปรามาจารย์ในอนาคต”


 


สุดยอดปรามาจารย์ช่างทำอาวุธมีสถานะหาที่เปรียบไม่ได้ ในบางแง่ อำนาจของพวกเขาอาจเหนือกว่ากระทั้งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด หากสุดยอดปรมาจารย์ช่างทำอาวุธไม่ชอบนิกายบางนิกาย และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม คำสั่งเดียวจากพวกเขาก็จะมีนิกายนับไม่ถ้วนโจมตีนิกายนั้นโดยเฉพาะเจาะจง


 


หลี่ฟู่เฉินถาม “ผู้จัดการร้าน ข้าต้องการดาบสมบัติระดับลึกลับขั้นสูงสุด ข้าสงสัยว่าศาลาอุปกรณ์ลึกลับมีพวกมันอยู่บ้างหรือไม่?” หลี่ฟูเฉินไม่สามารถกล่าวว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดอย่างจริงจังได้ หากเขาอธิบายเหตุผลของเขาไป มันจะทำให้เกิดข้อขัดแย้งอย่างไม่ต้องสงสัย


 


ผู้จัดการร้านขมวดคิ้ว โดยไม่ต้องคิด เขารู้ว่าข้อตกลงนี้เป็นการปั้นน้ำเป็นตัว


 


เขาตอบ “นายน้อยเฉิน มีผู้ใช้กระบี่และดาบมากมายในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หากท่านต้องการดาบสมบัติระดับลึกลับขั้นสูงสุด ท่านจะต้องสั่งซื้อล่วงหน้าจากนิกายอุปกรณ์ลึกลับของเรา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านจะได้รับมันช้าเร็วแค่ไหน”


 


ตระกูลเฉินอาจเป็นตระกูลใหญ่ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับทวีปยูนิคอนน์ตะวันออกทั้งหมด การรอคอยแปดหรือสิบปีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ปกติเมื่อสั่งซื้ออาวุธระดับลึกลับขั้นสูงสุดล่วงหน้า การรอทั้งชีวิตและยังไม่ได้รับอาวุธก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน หลังจากทั้งหมดแล้ว ผู้ที่มีอิทธิพลก็สามารถลัดคิวได้อย่างง่ายดาย


 


“เป็นเช่นนั้น? ถ้าอย่างนั้นข้าควรไปลองเสี่ยงโชคในเมืองอื่น!” หลี่ฟูเฉินทำราวกับว่าเขาผิดหวัง


 


“โปรดดูแลตัวเองนายน้อยเฉิน” ผู้จัดการร้านเห็นหลี่ฟูเฉินออกไปจากประตู


 


เดินอยู่บนถนน หลี่ฟู่เฉินรู้สึกพอใจเป็นพิเศษ


 


อาวุธระดับปฐพีชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดแน่นอนหากนำไปยังนิกายอุปกรณ์ลึกลับ การขายเป็นเหรียญทองหลายล้านเหรียญมันก็จะไม่เป็นปัญหา


 


แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น


 


‘ชาวนาไม่ใช่ผู้ผิด แต่เมื่อเขามีหยกอยู่กับตัวเมื่อนั้นจึงเป็นความผิดของเขา’ เศษซากอาวุธระดับปฐพีนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ใหญ่กว่ามาก มันเป็นการดีที่สุดที่จะนำมันกลับไปยังนิกายวารีครามและเสนอให้ปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิเพื่อศึกษา หากปรามาจารย์ช่างทำอาวุธหัวกะทิผู้นั้นสามารถเข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้ และก้าวเข้าสู่การเป็นสุดยอดปรามาจารย์ช่างทำอาวุธ มันจะช่วยรักษาตำแหน่งของนิกายวารีครามในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกได้ดียิ่งขึ้น


(หมายเหตุ : ชาวนาไม่ใช่ผู้ผิด แต่เมื่อเขามีหยกอยู่กับตัวเมื่อนั้นจึงเป็นความผิดของเขา ความหมายคล้ายๆ ว่าตอนแรกไม่ผิดแต่เมื่อมีของมีค่าอยู่กับตัวก็อาจโดนโยความผิดใส่ได้)


 


“เรื่องต่างๆ คงต้องทิ้งให้อนาคตเป็นตัวจัดการ อาวุธระดับปฐพีนี้สามารถใช้มันชั่วครั้งคราวได้และอาจเป็นไพ่ลับใหม่ของข้า”


 


พลังโจมตีของเศษซากอาวุธระดับปฐพีนั้นไม่มากนัก แต่มันก็คมมากเช่นกัน หลี่ฟู่เฉินทดสอบด้วยการถ่ายพลังฉีของเขาลงไปในเศษซากอาวุธ มันกักเก็บพลังฉีของเขาได้อย่างง่ายดายและมีความสามารถในต้านทานพลังฉี มันไม่ได้ด้อยไปกว่าศรทลายอสูร


 


***


 


เมื่อท้องฟ้ามืดลง พระอาทิตย์ก็เป็นสีแดงและปล่อยแสงสว่างสุดท้ายออกมา


 


หายใจออกยาวๆ หลี่ฟู่เฉินเดินไปตามทาง


 


เมืองคมดาบเหินมีขนาดใหญ่และมีถนนและตรอกซอกซอยกว้างขวาง หลังจากเดินมาเกือบสองชั่วโมง หลี่ฟู่เฉินมาถึงพื้นที่ทางเหนือ


 


เดินไปที่ตรอกโพรงใบไม้ เซียวกงกลับมาเช่นกัน


 


ด้วยเหรียญทองหนึ่งเหรียญ เขาซื้อเงินเพื่อยาด้วยเหรียญเงินสี่เหรียญและเหรียญทองแดงอีกไม่กี่เหรียญซึ่งเป็นราคาสำหรับขนมปังนุ่มและขนมปังกรอบ จากนั้นเขาก็ซื้อผลไม้หวานที่น้องสาวของเขาชื่นชอบด้วยเช่นกัน เขาเก็บเหรียญเงินห้าเหรียญที่เหลือไว้ และวางแผนที่จะส่งมันให้กับน้องสาวของเขาเพื่อจัดการพวกมัน


 


เนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอและร่างที่บอบบางของเขา เขาจึงใช้เวลากว่าหกชั่วโมงในการเดินทางไปยังพื้นที่ตอนเหนือของเมือง


 


ผิวของเขาเป็นสีเหลืองและร่างกายของเขาก็ผอมซูบ เขามีริมฝีปากที่แห้งผากและแตกร้าว แต่มันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและไม่สามารถที่จะกลับไปยังบ้านได้


 


“โอ้? ไม่ใช่ว่านั้นเซียวกงหรือไร? เจ้าซื้อขนมปังมาจริงๆ ดูเหมือนว่าวันนี้เจ้าจะทำเงินได้ดี!” นักเลงสองสามคนที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบปี เข้ามาขวางทางเดินของเซียวกง


 


ดวงตาของเซียวกงเบิกกว้างขึ้น ในทันทีเขาเปลี่ยนเป็นซอยและวิ่ง


 


“เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย หลังจากเห็นลั่วเก่อแล้วเจ้ากล้าวิ่งหนีไปได้ยังไง?”


 


พวกอันธพาลโกรธแค้น พวกเขาไล่ตามเซียวกงไปและโยนเขาลงไปที่พื้น หนึ่งในนั้นค้นร่างกายของเซียวกงและหยิบเหรียญเงินห้าเหรียญออกมา


 


“ลั่วเก่อดูสิ มันมีเหรียญเงินอยู่ห้าเหรียญ”


 


กำเหรียญเงินห้าเหรียญไว้ นักเลงที่เรียกลั่วเก่อเยาะเย้ย “ลั่วเก่อยินดีที่จะรับเหรียญเงินทั้งห้านี้ไว้เอง แต่เจ้าก็ยังกล้าวิ่งหนีเมื่อเห็นลั่วเก่อ หากไม่ได้สอนบทเรียนแก่เจ้า มันจะไม่เป็นการดูหมิ่นลั่วเก่อหรอกหรือ?”


 


ลั่วเก่อหยิบขนมปังขึ้นมาก่อนที่จะกัดมัน เวลาเดียวกันเขาก็กระทืบเซียวกงไปด้วย


 


เซียวกงเกือบจะหมดสติ แต่คนที่ชอบเก็บตัวอย่างเขาก็มีความดื้อรั้นอยู่เช่นกัน เขาอดทนเท้าที่เหยียบย่ำลงมาด้วยการกัดริมฝีปากของเขา


 


“หือ? เจ้ามันดันทุรัง นี่เป็นยาสำหรับน้องสาวของเจ้าใช่ไหม?!”


 


ลั่วเก่อมองไปที่ยาที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นและเหยียบมัน


 


“เจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ แต่ไม่ควรมายุ่งกับยาของข้า” ดวงตาของเซียวกงแดงฉาน


 


“ข้าเหยียบพวกมันแล้วเจ้าจะทำไม?” ลั่วเก่อเย้ยหยันและเหยียบไปที่ยาของเขาต่อ


 


ท้ายที่สุดแล้วเซียวกงก็ไม่สามารถทำอย่างไรได้ มันมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา


 


“ฮ่าฮ่า! พี่น้องไปกันเถอะ!”


 


ลั่วเก่อรู้สึกยินดี เหรียญเงินห้าเหรียญเพียงพอที่เขาจะได้ทานอาหารอร่อยๆ มากมาย มันไม่สำคัญว่าเซียวกงและน้องสาวของเขาจะอยู่หรือตาย


 


“นี่แน่นอนว่าดูน่าสมเพช ทำไมจึงมีคนโลภมากเช่นเจ้าอยู่ในหมู่คนจน?” เสียงสะท้อนออกมา


 


“ใครกัน?!” ลั่วเก่อขนลุกชัน ขณะที่เขามองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง


 


หลี่ฟูเฉินเดินมาอย่างช้าๆ


 


เมื่อเซียวกงเห็นหลี่ฟู่เฉิน เขากล่าวอย่างร้อนรน “ท่านนักสู้ พวกเขานำยาของข้าไป”


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าและจ้องไปที่ลั่วเก่อ


 


ขาของลั่วเก่อสั่น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นนักสู้


 


พวกเขาเป็นแค่คนทั่วไปที่ไม่มีโอกาสฝึกฝน ไม่ว่านักสู้ขอบเขตพลังฉีคนใดก็สามารถเอาชนะเขาได้


 


“ท่านนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ เราแค่ล้อเขาเล่น เซียวกง เจ้าเอาเหรียญเงินกลับไปได้ เหรียญเงินพวกนี้มีไว้สำหรับให้เจ้าซื้อยาอีกครั้ง นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ เราจะออกไปแล้ว” ลั่วเก่อและกลุ่มของเขาหยิบเหรียญเงินทั้งหมดที่พวกเขามีออกมาและวางมันไว้ในมือของเซียวกง


 


ลั่วเก่อคิดกับตัวเองว่านักสู้ผู้นี้ไม่สามารถปกป้องเซียวกงไปได้ตลอดชีวิต เขาจะมีโอกาสแก้แค้นในอนาคต


 


“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าออกไป?”


 


ด้วยคลื่นมือของเขา หลี่ฟู่เฉินระเบิดพลังฉีอันเบาบางออกไป


 


บูม บูม บูม…


 


ลั่วเก่อและกลุ่มของเขาชนเข้ากับผนังบ้านโดยรอบและพ่นเลือดสดๆ ออกมา อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพวกเขากระดูกหัก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรักษาได้ในอนาคต พวกเขาก็ยังคงพิการ หากไม่มีการปฐมพยาบาลให้พวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่อาจจะตายในวันนี้


 


“เซียวกง ไปกันเถอะ”


 


หลี่ฟูเฉินใช้มือขวาดึงเซียวกงมาและนำเขาไปทางด้านข้างของเขา


 


“ท่านนักสู้ ยาของใช้ไม่ได้แล้ว”


 


“ไม่มีปัญหา ข้ามีมันอยู่”


 


ตรอกโพรงใบไม้เป็นหนึ่งในสลัมที่สำคัญในเมืองคมดาบเหิน ที่นี่ บ้านเรือนที่อยู่รอบๆ นั้นแน่นและอยู่ติดกัน บ้านหลังเล็กๆ ส่วนใหญ่มีคนทั้งสามชั่วอายุอาศัยอยู่เดียวกันในบ้านหลังเดียว มันทำให้เป็นเรื่องยากที่จะขยับร่างกาย


 


บ้านของเซียวกงเป็นบ้านเล็กๆ ความยาวของบ้านเพียงประมาณสองเมตร มันไม่ได้แตกต่างจากบ้านของสุนัขมากเสียเท่าไหร


 


ปลดล็อคประตู เซียวกงผลักประตูเปิดและเดินเข้าไป


 


แสงสว่างในบ้านมีจำกัด นอกเหนือจากเตียงที่ทำจากไม้กระดาน มีแค่โต๊ะนี้ที่มีรูขนาดใหญ่อยู่เท่านั้น ที่ส่วนล่างของเตียงมีของเบ็ดเตล็ดอยู่มากมาย มันต้องเป็นสิ่งของบางสิ่งที่พี่น้องคู่นี้เก็บไว้ คิดว่าพวกมันอาจจะมีประโยชน์


บทที่ 200


หลี่หวูเซี่ย


 


 


บนเตียงสกปรกมีร่างเล็กๆ นอนอยู่ที่นั่น มันเป็นเด็กหญิงตัวเล็กอายุประมาณหกถึงเจ็ดขวบ ด้วยลมหายใจที่อ่อนแอนั้น เธอดูเหมือนลูกแมวตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารมาก


 


“พี่ ท่านกลับมาแล้ว”


 


หญิงสาวเปิดตาที่ดูไร้วิญญาณของเธอขึ้น แต่มันก็ยังมีร่องรอยแห่งความสุข


 


“พี่ เขาคือใครหรอ?” มองไปที่หลี่ฟู่เฉิน เด็กหญิงตัวเล็กถาม


 


เมื่อเซียวกงกำลังแนะนำเขา หลี่ฟูเฉินเอื้อมมือขวาออกมา ทำท่าให้เขาไม่พูด


 


เขาช่วยหญิงสาวโดยการจับชีพจรของเธอ จากนั้นเขาก็กล่าว “ขาดสารอาหารเป็นเวลานานคู่กับโรคไข้หวัด       หากสิ่งนี้ดำเนินต่อไปอีกสองหรือสามวัน น้อยสาวของเจ้าอาจจะตายไปแล้ว”


 


ร่างกายของเด็กคนนี้อ่อนแอ่อย่างแท้จริง หากเด็กที่ขาดสารอาหารในระยะยาวต้องเจ็บป่วย มันอาจพรากชีวิตของพวกเขาไปได้


 


“ท่านนักสู้ โปรดช่วยน้องสาวข้าด้วย ข้ามีน้องสาวเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น” เซียวกงขอร้อง


 


หลี่ฟู่เฉินยิ้ม “อย่าเป็นกังวลไป การช่วยน้องสาวของเจ้าเป็นเพียงงานง่ายๆ”


 


ในขณะที่เขาพูด หลี่ฟู่เฉินนำเม็ดยาสีเหลืองขั้นสูงซึ่งเป็นยาฟื้นฟูออกมาจากถุงเก็บของเขา ใช้แรงกดด้วยนิ้วของเขา เขาบี้เม็ดยาออกเป็นชิ้นเล็กๆ มากมาย จากนั้นเขาก็เปิดปากของเด็กสาวเบาๆ แล้ววางยาเม็ดเล็กๆ ชิ้นหนึ่งเข้าไปในปากของเธอ หลี่ฟู่เฉินช่วยเด็กสาวลุกขึ้นนั่ง กดมือขวาของเขาไปที่หลังของเธอและเริ่มใช้พลังฉีของเขาเพื่อช่วยเด็กสาวในการปรับแต่งเม็ดยา


 


สำหรับเด็กแล้ว เม็ดยาฟื้นฟูสีเหลืองขั้นต่ำแบบธรรมดาๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่หลี่ฟู่เฉินไม่ชอบความเร็วการฟื้นตัวที่ชักช้าของมัน เขาต้องการเห็นผลทันที


 


แต่ผลของเม็ดยาสีเหลืองขั้นสูงก็มากเกินไป เด็กสาวคงไม่สามารถทนต่อมันได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาต้องแยกมันออกเป็นชิ้น ๆ


 


มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวของเด็กสาวสดใสขึ้น ความเย็นได้ถูกไล่ออกไปโดยพลังฉีของหลี่ฟู่เฉิน และไม่นานก็หายไป ในเวลาเดียวกัน ผลของยาฟื้นฟูก็ช่วยบำรุงร่างกายของเด็กสาวได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ผอมแห้งของเธอดูเหมือนจะมีน้ำมีนวลขึ้นและผิวของเธอก็ไม่แห้งอีกต่อไป


 


15 นาทีต่อมา เด็กสาวก็ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่กระทั้งอาการขาดสารอาหารของเธอก็หายไป


 


นอกจากที่เธอยังผอมอยู่ วิญญาณของเธอมีชีวิตชีวาขึ้นและไม่ได้ดูไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน


 


สังเกตฉากทั้งหมด เซียวกงรู้สึกงุนงง เขาไม่คิดว่าอาการของน้องสาวจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าของร้านขายยากล่าวว่าเต็มที่แล้วเธอจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการฟื้นฟู


 


เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่เขาได้มาจากร้านขายยาเป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาที่ด้อยกว่าสมุนไพรสีเหลืองขั้นต่ำปกติ


 


แต่เม็ดยาสีเหลืองขั้นสูงเม็ดนี้ก็มีค่าหลายพันเหรียญทอง และที่ความเย็นของเด็กสาวถูกไล่ออกไปก็เป็นเพราะหลี่ฟูเฉินเป็นคนขับมันออกไปเองส่วนตัว เขาก็ฟื้นฟูสุขภาพของเธอ


 


“ข้าดีขึ้นแล้วเหรอ?” เด็กหญิงตัวเล็กร่าเริง เธอรู้สึกสิ้นหวังและไม่มั่นคงเมื่อต้องนอนบนเตียง


 


ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว


 


“ท่านนักสู้ ขอบคุณท่านมาก” เซียวกงรู้สึกดีใจมากกว่าน้องสาวของเขาเสียอีก


 


“อาการของเจ้าไม่ดีไปกว่าน้องสาวของเจ้า หากเจ้าป่วย เจ้าอาจเสียชีวิตจากความเจ็บป่วยได้ มานั่งเถอะ”


 


หลี่ฟู่เฉินให้เซียวกงไปนั่งบนเตียงและให้เขากินยาเม็ดเล็กๆ จากนั้นเขาก็โคจรพลังฉีของเขาเพื่อช่วยปรับแต่งเม็ดยาและฟื้นฟูสุขภาพของเซียวกง


 


ในเวลาน้อยกว่า 15 นาที ผิวของเซียวกงดูสดใสขึ้น อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับก่อนหน้านี้ดีขึ้นและสุขภาพโดยรวมของเขาก็กลายเป็นแข็งแรง มันไม่มีร่องรอยของการขาดสารอาหารเลย


 


“สบายจริงๆ…” เซียวกงรู้สึกอบอุ่นในร่างกายของเขา ราวกับว่าพ่อแม่เข้ามากอดเขาในความฝัน


 


โครก! โครก!


 


กระเพาะอาหารของสองพี่น้องดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งทำให้พวกเขาหน้าแดง


 


“มา ให้ข้าพาพวกเจ้าสองคนไปทานอาหาร”


 


เขาไม่ได้พาทั้งสองไปทานเนื้อสัตว์หรือปลา แต่กลับกันเขาพาไปที่แผงลอยขายโจ๊ก


 


“พวกเจ้าทั้งสองคนมีญาติคนอื่นๆ อีกไหม?” ขณะที่พวกเขากินกันหลี่ฟู่เฉินกล่าวขึ้นมา


 


น้องสาว – เซียวเฉากล่าว “ข้าได้ยินมาจากแม่ว่าแม่มีพี่ชายอยู่ในเมืองสีโลหิต ชื่อของเขาคือจ่างอาฟ่า และเป็นผู้ดูแลโรงแรม”


 


“หืม เมืองสีโลหิต?”


 


หลี่ฟู่เฉินสามารถปล่อยพวกเขาโดยไม่ช่วยเหลือใดๆ ได้ แต่ถ้าหากไม่มีใครดูแลเด็กสองคนนี้ พวกเขาอาจตายจากความหิวโหยหรือความเจ็บป่วยได้โดยที่ไม่มีใครรู้


 


“พวกเจ้ายินดีที่จะให้ข้าพาไปยังเมืองสีโลหิตหรือไม่?” หลี่ฟู่เฉินเสนอ


 


“ข้ายินดี” เซียวเฉาพยักหน้า


 


“ข้าด้วย” เซียวกงพยักหน้าเช่นกัน


 


พวกเขารู้ว่าหลี่ฟูเฉินไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจึงหวังให้ลุงจ่างอาฟ่ามานำพวกเขาไป


 


จบมื้อเย็น หลี่ฟูเฉินพาทั้งสองไปพักที่โรงเตี้ยม


 


***


 


ในวันที่สาม…


 


โรงเตี้ยมปลาเหิน


 


“เฉินเซียงตี๋ ทำไมเจ้าถึงพาเด็กสองคนไปด้วย?” หวงเปี่ยวถามด้วยความอยากรู้


 


หลี่ฟูเฉินหัวเราะ “ข้าแค่ช่วยให้พวกเขาพบญาติในเมืองสีโลหิต”


 


“เฉินเซียวตี๋เป็นคนจิตใจดีจริงๆ ให้พวกเขามากับพวกเราไปที่เมืองสีโลหิตเถอะ”


 


ในหัวใจของเขา หวงเปี่ยวเห็นพ้องว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นนักสู้ที่ชอบธรรม และนี่เป็นนักสู้ประเภทที่น่าเชื่อถือที่สุด


 


ในขณะที่คาราวานออกเดินทาง กลุ่มของพวกเขาก็ออกจากเมืองคมดาบเหินและมุ่งหน้าไปที่เมืองสีโลหิต


 


นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง เซียวกงและเซียวเฉามองออกไปข้างนอก


 


สำหรับพวกเขา โลกภายนอกเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยและลึกลับ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาออกนอกเมือง


 


กรรช์!


 


สัตว์ร้ายขนาดมหึมาโจมตีและสร้างความตกใจให้แก่เซียวกงและเซียวเฉา เพียงไม่นาน พวกเขาเห็นหนึ่งในนักสู้ของกองคาราวานฆ่าสัตว์ปีศาจด้วยการโจมตีอย่างง่ายๆ


 


“ท่านนักสู้ ในอนาคตข้าอยากเป็นนักสู้ด้วยบ้าง” เซียวกงกล่าวกับหลี่ฟู่เฉิน


 


“หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นนักสู้เจ้าก็ต้องศึกษาร่ำเรียนให้หนัก เฉพาะผู้ที่รอบรู้และมีความสามัญเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นนักสู้ได้” หลี่ฟู่เฉินลูบหัวเซียวกง


 


“อืม ข้าจะร่ำเรียนให้หนัก”


 


“ข้าจะศึกษาอย่างหนักและเป็นนักสู้ด้วยเช่นกัน” เซียวเฉาไม่น้อยหน้าและยกมือเล็กๆ ของเธอขึ้นมา


 


***


 


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปยังเมืองสีโลหิต คาราวานของพวกเขามาถึงเมืองสีโลหิตในตอนบ่ายของวันที่หก


 


ด้วยความช่วยเหลือของสมาคมกุหลาบพาณิช หลี่ฟู่เฉินจึงพบลุงของเซียวเฉาและเซียวกง จางอาฟ่าในสามวันต่อมา จางอาฟ่าแสดงความเต็มใจที่จะยอมรับเซียวกงและเซียวเฉา


 


หลังจากปลดภาระที่มีอยู่ออกไป หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยความโล่งใจ


 


“เฉินเซียงตี๋ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้เข้าร่วมสมาคมกุหลาบพาณิชโดยตรง สำหรับแขกทางการระดับสาม มันมีประโยชน์ไม่มากนัก” หวงเปี่ยวรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง


 


แขกระดับสามไม่มีเงินเดือนหรือส่วนลด ข้อได้เปรียบอย่างเดียวคือการเข้าถึงสินค้าของสมาคม


 


“สิ่งที่ข้าต้องการคืออิสระ การเป็นแขกรับเชิญระดับสามนั้นไม่ใช่ข้อตกลงที่เลวร้าย” หลี่ฟู่เฉินยิ้ม


 


สมาคมกุหลายพาณิชมีแขกอยู่สามระดับ แขกระดับหนึ่งสงวนไว้ให้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ แขกระดับสองคือนักสู้ขอบเขตปฐพีชั้นหัวกะทิ ในขณะที่แขกระดับสามีสำหรับสำหรับนักสู้ขอบเขตปฐพีที่มาความสามารถอยู่บ้าง


 


หวงเปี่ยวส่ายหัวและไม่กล่าวสิ่งใด


 


ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองสีโลหิตแล้ว หลี่ฟู่เฉินต้องการซื้อของตามถนนโบราณของเมืองสีโลหิต


 


เขาเชื่อว่าถนนโบราณมีของดีมากมาย แต่มันขึ้นอยู่กับว่าท่านมีดวงตาที่จะมองเห็นพวกมันหรือไม่ก็เท่านั้น


 


“หลี่เซียง นี่คือถนนโบราณของเมืองสีโลหิต หากเจ้าดูให้ละเอียด บางทีเจ้าอาจจะพบสิ่งของบางอย่างที่ยอดเยี่ยมได้”


 


บนถนนโบราณ กลุ่มเยาวชนเดินมาเป็นกลุ่ม หนึ่งในนั้นคือหลี่หวูเซี่ยจากนิกายสวรรค์ปีศาจ อีกคนที่เดินข้างเขาคือนายน้อยจากตระกูลหม่า – หม่าเทียนหยาง


 


แม้ว่าตระกูลหม่าจะเป็นกลุ่มอำนาจที่มีอิทธิพลมากที่สุดของเมืองสีโลหิต แต่พวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นไรเมื่อเทียบกับนิกายสวรรค์ปีศาจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงพยายามประจบประแจงหลี่หวูเซี่ย ด้วยความหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้


 


หลี่หวูเซี่ยมีหน้าตาที่ดูเย่อหยิ่งและดูแบบสุ่มๆ โดยไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปในร้านขายของโบราณแต่อย่างใด


 


มีบางคนผ่านหน้าหลี่หวูเซี่ยไป ทันใดนั้นแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “จับเขาไว้!”


บทที่ 201


ใบประกาศจับ


 


 


หลี่ฟู่เฉินที่เดินออกมาจากร้านขายของเก่า เห็นหลี่หวูเซี่ยได้ทันที


 


ถึงแม้เขาจะสันนิษฐานว่าหลี่หวูเซี่ยจะไม่สามารถมองการปลอมตัวของเขาออก แต่เขาก็อยากปลอดภัยไว้ก่อน ดังนั้นเขาจึงหันกลับมาและโชวแผ่นหลังของเขาให้หลี่หวูเซี่ยเห็นแทน


 


“จับเขาไว้!” เสียงตะโกนของหลี่หวูเซี่ยดังออกมา


 


เยาวชนสองสามคนเข้าหาพร้อมที่จะจับตัวหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินถามอย่างไม่ตั้งใจ “มีอะไรข้าช่วยหรือไม่?”


 


เป็นการดีที่สุดที่จะไม่เปิดเผยตัวตนของเขาภายในเมือง เยาวชนที่อยู่กับหลี่หวูเซี่ยล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลในระดับหนึ่ง


 


หลี่หวูเซี่ยขมวดคิ้ว มองที่หลังของเขา เขาคิดว่ามันเป็นหลี่ฟู่เฉิน แต่เมื่อเขามองเขาจากด้านหน้า เขาแตกต่างจากหลี่ฟู่เฉินอย่างสิ้นเชิง แม้แต่กระทั่งอายุก็ไม่ตรงกัน


 


หม่าเทียนหยางกล่าวกับหลี่หวูเซี่ย “หลี่เซียง บุคคลผู้นี้ทำให้เจ้าขุ่นเคือง? ทำไมไม่จับเขากลับไปละ โยนเขาเข้าคุกและทรมานเขาทุกวันดีหรือไม่?”


 


“มาให้เขาได้ลิ้มรสกับลาเสปนเถอะ” หนึ่งในเยาวชนที่มีผิวขาวเสนอออกมาอย่างชั่วร้าย


(หมายเหตุ TL: ลาสเปนเป็นอุปกรณ์ทรมานชนิดหนึ่ง)


 


หลี่หวูเซี่ยโบกมือ “ไปให้พ้น!”


 


เนื่องจากไม่ใช่หลี่ฟู่เฉิน เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก


 


เมื่อได้ยินคำสั่ง หลี่ฟูเฉินรีบไปอย่างรวดเร็ว


 


ไม่ถูกต้อง


 


บางสิ่งไม่ถูกต้อง


 


หลังจากที่หลี่ฟูเฉินจากไปแล้ว หลี่หวูเซี่ยจึงพบว่ามันแปลก


 


“มุมมองด้านหลังจะคล้ายกันได้ยังไง? แต่ด้านหน้ากลับดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? เขาจะต้องปลอมตัว”


 


หลี่หวูเซี่ยค้นพบจุดสำคัญได้อย่างรวดเร็ว


 


“เร็ว! หาคนเมื่อกี้เร็ว! ใครก็ตามที่หาเขาเจอข้าหลี่หวูเซี่ยจะถือเป็นหนี้บุญคุณ” หลี่หวูเซี่ยคำราม


 


หม่าเทียนหยางและกลุ่มตกตะลึง พวกเขาคิดอยู่ในใจ ‘ข้าคิดว่าพวกเราแปลกแล้ว แต่หลี่หวูเซี่ยผู้นี้กลับแปลกยิ่งกว่า ตอนนึงก็บอกให้คนผู้นั้นไปให้พ้น ในอีกตอนนึงก็บอกให้ข้าเขาอีกครั้ง เขาใช่ต้องการล้อเล่นกับเราหรือไม่?’


 


ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหงุดหงิด แต่หม่าเทียนหยางก็ยังส่งคนไปไล่ล่าหลี่หวูเซี่ย


 


หลังจากหลุดพ้นจากสายตาหลี่หวูเซี่ยไป หลี่ฟู่เฉินเดินวนรอบๆ เลี้ยวสองสามครั้ง ก่อนออกจากถนนโบราณ


 


“หลี่หวูเซี่ยรู้ว่าหลังของข้าดูคุ้นเคยสำหรับเขา เมื่อเขาตระหนักถึงมันได้ เขาจะส่งคนมาตามล่าข้าทีหลัง” ความคิดของหลี่ฟู่เฉินละเอียดรอบคอบและเต็มไปด้วยแผนการ


 


“สิ่งนี้ไม่ดีนัก สิ่งสำคัญสำหรับข้าตอนนี้คือการออกจากเมืองสีโลหิตโดยเร็วที่สุด”


 


ความคิดของหลี่ฟู่เฉินหมุนวนอย่างรวดเร็ว เขาดึงตัวเองเข้ามาอยู่ในที่ของหลี่หวูเซี่ย เขาคิดต่อไปว่าหากหลี่หวูเซี่ยไม่พบตัวเขา ขั้นตอนต่อไปของหลี่หวูเซี่ยคงจะเป็นการออกใบประกาศจับ เมื่อใบประกาศเหล่านั้นออกมา เขาจะถูกจับตัวได้อย่างแน่นอนเมื่อเดินบนถนน ถ้าเขาพยายามออกจากเมือง เขาก็จะพบกับยามเฝ้าประตูเมือง บางทีพวกเขาอาจจะปิดประตูเมือง


 


สิ่งเดียวที่หลี่ฟู่เฉินทำได้ในตอนนี้ก็คือการปลอมตัวหรือออกจากเมืองสีโลหิตตอนนี้


 


แผนแรกมีความเสี่ยง ซึ่งเป็นสาเหตุที่แผนหลังเป็นแผนที่ดีกว่า


 


หัวเราะด้วยหน้าบูดเบี้ยว หลี่ฟูเฉินมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง


 


15 นาทีต่อมา ผู้ใต้บังคับบัญชาของหม่าเทียนหยางก็กลับมาและรายงานว่าพวกเขาหาหลี่ฟู่เฉินไม่พบ


 


ไม่เต็มใจที่จะยอมรับผลลัพธ์ หลี่หวูเซี่ยกล่าวกับหม่าเทียนหยาง “ปิดประตูเมืองและออกใบประกาศจับ เขาจะไม่มีวันหนีไปจากข้าได้”


 


หลี่หวูเซี่ยรู้สึกเสียใจมากในตอนนี้ เขารู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจอย่างรีบร้อน ทำไมเขาถึงไม่จับคนที่มีด้านหลังเหมือนกับหลี่ฟู่เฉิน… ทำไมเขาถึงปล่อยเขาไป?


 


“หลี่เซียง? ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถออกคำสั่งปิดประตูเมืองให้ได้”


 


หม่าเทียนหยางรู้สึกกระอักกระอวน มีเพียงเฉพาะผู้นำตระกูลหม่าเท่านั้นที่สามารถขอปิดประตูเมืองได้ เขาเป็นเพียงผู้เยาว์ของตระกูลหม่าละไม่มีอำนาจเช่นนั้น แต่การออกใบประกาศจับเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้


 


หลี่หวูเซี่ยกล่าว “งั้นก็บอกกับคนที่สามารถออกคำสั่งได้! แค่กล่าวว่า ข้า หลี่หวูเซี่ย นายน้อยนิกายสวรรค์ปีศาจต้องการปิดประตูเมืองเพื่อค้นหาศัตรูของนิกายสวรรค์ปีศาจ”


 


ถึงนิกายสวรรค์ปีศาจของเขาจะไม่ได้เป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก แต่เมืองสีโลหิตก็ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงในนิกายสวรรค์ปีศาจเขา หากใครกล้าท้าทานเขา เขาจะให้พวกมันรู้ซึ่งถึงผลที่ตามมา


 


เมื่อสัญญาณไฟลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้า ประตูเมืองสีโลหิตก็ปิดลง


 


“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมประตูเมืองถึงถูกปิด?”


 


“ข้าจะรีบกลับ!”


 


“บ้าเอ้ย เมืองสีโลหิตใช่มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”


 


ผู้ที่ติดอยู่ในเมืองโลหิตต่างก็ตะโกนด้วยความอึดอัดขัดข้อง


 


ในเวลาเดียวกัน ทีมยามลาดตระเวนติดใบประกาศจับหลี่ฟูเฉิน มันมีสองใบประกาศจับ หนึ่งในนั้นคือใบหน้าเดิมของหลี่ฟูเฉิน อีกหนึ่งเป็นใบหน้าที่เขาปลอมตัว


 


“หืมม? ทำไมคนผู้นี้ถึงดูเหมือนเฉินเซียงตี๋?”


 


ด้านนอกประตูสมาคมกุหลาบพาณิช หวงเปี่ยวดูใบประกาศและขมวดคิ้ว


 


“เป็นเฉินเซียงตี๋จริงๆ หรือไม่?!” เจียงต้าเฉียนถามด้วยความสงสัย


 


พวกเขาสองคนมองหน้ากัน


 


จนถึงตอนนี้ หลี่ฟูเฉินได้ออกจากเมืองสีโลหิตไปแล้ว


 


“หลี่หวูเซี่ยผู้นี้เหมือนวิญญาณฟ้าสางที่ดูขัดหูขัดตา หากมีโอกาส ข้าจะต้องจัดการเขาอย่างแน่นอน”


 


หลี่ฟู่เฉินเกลียดความรู้สึกที่ต้องโดนไล่ล่า หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้หลบหนีออกมา เขาอาจจะถูกจับกุมไปแล้ว หลังจากทั้งหมดแล้ว เมืองสีโลหิตก็มีนักสู้ขอบเขตสวรรค์อยู่มากมาย นอกจากนี้ เขาแทบจะแน่ใจได้ว่าหลี่หวูเซี่ยต้องมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ติดตามเขามา


 


***


 


ไม่กี่วันต่อมา…


 


เลื่อนมือไปมา หลี่หวูเซี่ยทุบเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่อยู่ในห้อง


 


“ตัวบัดซบหลี่ฟู่เฉิน มันจะต้องยังอยู่ในเมือง ข้าจะจับมันให้ได้”


 


สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าหลี่ฟู่เฉินออกจากเมืองสีโลหิตไปแล้ว


 


แต่ความฉลาดของศัตรูทำให้หลี่หวูเซี่ยยิ่งโมโหมากขึ้น


 


บูม!


 


ประตูตระกูลหม่าถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ พร้อมกับรูปปั้นสิงโตทั้งสอง ดาบพลังฉีที่ดุเดือดขยายตัวราวกับพายุที่น่าหวาดกลัวที่สุด


 


“ใครกล้าทำบ้าอะไรในตระกูลหม่าเรา?”


 


ทันใดนั้นร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้น พวกเขาเป็นนักสู้ขอบเขตสวรรค์


 


“ข้าเป็นผู้อาวุชั้นในของนิกายวารีคราม มันเกินขอบเขตเกินไป ตระกูลหม่าของเจ้าใช่บ้าไปแล้วหรือไม่?”


 


ศิษย์หลักต้องเสี่ยงฝึกสภาวะจิตจากอันตรายด้วยตัวของพวกเขาเอง ผู้อาวุโสชั้นในบางครั้งก็จะทำสิ่งเดียวกันและค้นหาโอกาส


 


“นิกายวารีคราม?”


 


ผู้ก่อตั้งตระกูลหม่าทั้งสามการแสดงออกเปลี่ยน


 


“เราทำเกินขอบเขตตั้งแต่เมื่อใด?” หนึ่งในผู้ก่อตั้งระงับความโกรธของเขาและสอบถาม


 


เยี่ยหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็การที่เจ้าติดใบประกาศจับเป็นศิษย์หลักนิกายวารีคราม หากตระกูลหม่าของเจ้าไม่ต้องการถูกทำลาย เจ้าเอาใบประกาศจับทั้งหมดออกและยกเลิกหมายจับนั้นไปซะ ทั้งเมืองต้องจะเต็มไปใบประกาศที่มีคำขอโทษเป็นลายลักษณ์อักษรถึงนิกายวารีครามภายในสามวัน หรือหากไม่ทำเช่นนั้นก็คงต้องให้ตระกูลหม่าพินาศสิ้นไป”


 


เสียงของเยี่ยหัวดูสงบ แต่ผู้ก่อตั้งทั้งสามของตระกูลหม่ารู้สึกกลัวอย่างแท้จริงเพราะเขาสงบเกินไป


 


ตระกูลหม่าไม่สามารถที่จะยั่วยุกลุ่มใดๆ ในทวีปตะวันออกยูนิคอร์นได้ หากนิกายวารีครามต้องการกำจัดตระกูลหม่า เช่นนั้นพวกเขาก็จะกำจัดตระกูลหม่าอย่างแน่แล้ว แม้แต่นักสู้ขอบเขตสวรรค์ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ นอกเสียจากว่ามันจะผู้ทรงอำนาจจากนิกานนภาดาราหรือคนจากตระกูลตวนหลิน


 


เยี่ยหัวจากไป…


 


ไม่นานหลังจากที่เขาจากไป ทุกๆ ใบประกาศที่ถนนและตรอกซอกซอยถูกฉีกออกและแทนที่ด้วยคำบรรยายขอโทษ เนื้อหาของคำบรรยายฉบับนี้คือตระกูลหม่ายอมรับความผิดของตัวเองที่เขาทำให้คนดีต้องการเป็นคนผิด


 


ตระกูลหม่า…


 


เพี๊ยะ!


 


ผู้นำตระกูลหม่า – หม่าเทียนบ๋าตบหน้าของหม่าเทียนหยาง “ใครขอให้เจ้าประจบกับนายน้อยนิกายสวรรค์ปีศาจ?!”


 


“พ่อ ท่านไม่ได้พูดเรื่องสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าศิษย์จากนิกายหรอกหรือ? หลี่หวูเซี่ยเป็นนายน้อยของนิกายสวรรค์ปีศาจ มันจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตระกูลหม่าเรา” หม่าเทียนหยางตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ


 


หม่าเทียนบ๋ากล่าว “ข้าจำไม่ได้ว่าให้เจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับศิษย์นิกายและทำให้พวกเขาคุ้นเคือง เพียงแค่รักษาความนอบน้อมขั้นพื้นฐานและความสุภาพเท่านั้นก็พอ” ตระกูลหม่าไม่สามารถที่จะรุกรานนิกายสวรรค์ปีศาจหรือนิกายวารีครามได้


 


“ขอรับท่านพ่อ” หม่าเทียนหยางกล่าวพร้อมกับพยักหน้า


 


ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในเมืองสีโลหิตทำให้หลี่หวูเซี่ยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เขานำกองกำลังมาลงโทษตระกูลหม่า


 


หม่าเทียนบ๋ากล่าวด้วยร้อยยิ้มแบบคนเป็นรอง “นายน้อยหลี่ โปรดอย่าได้นำตระกูลหม่าเราไปถึงจุดที่ยากลำบากเลย ผู้อาวุโสนิกายชั้นในของนิกายวารีครามเพิ่งมาเตือนเราตระกูลหม่า พวกเขาจะกำจัดตระกูลหม่าของเรา หากเราไม่ยกเลิกหมายจับภายในสามวัน”


 


“มันกล้าดียังไง…”


 


หลี่หวูเซี่ยโกรธเกรี้ยว เขาออกไปพร้อมกับกล่าวว่า ‘ไร้ประโยชน์’ ทิ้งท้าย


บทที่ 202


นิกายพัตรเงินและนิกายไร้กังวล


 


 


 


การสังหารกันสามารถพบเห็นได้ทั่วทุกหนแห่งในแคว้นร้อยเทพยุทธ์


 


การต่อสู้ครั้งใหญ่ การต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญและการต่อสู้ระหว่างนักสู้และสัตว์ปีศาจ


 


เลือดย้อมทุกนิ้วของแผ่นดินในแคว้นร้อยเทพยุทธ์


 


สิบวันผ่านไป หลี่ฟู่เฉินอยู่ห่างไกลจากเมืองสีโลหิตมากแล้ว


 


นี่คือหุบเขาที่มีลำธารไหลผ่านตรงกลาง ด้านข้างของหุบเขาเต็มไปด้วยต้นไม้มากมายหลายสาบพันธุ์


 


นั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ข้างลำธาร หลี่ฟู่เฉินนำบางอย่างออกมาเพื่อกิน


 


เมื่ออาหารที่แสนเลิศรส นั่นคือไวน์ เนื้อสัตว์ และแม้กระทั่งของหวาน


 


ด้วยถุงเก็บของเขา หลี่ฟู่เฉินจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพื้นที่ว่างสำหรับสิ่งอื่นๆ เหล่านี้


 


ทานอาหารส่วนนี้เสร็จ หลี่ฟูเฉินยืนขึ้นขณะที่เสียงดังเกิดขึ้นกลางอากาศ มีสามร่างปรากฏขึ้น สองคนแรกที่ร่อนลงมาได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด เลือดสดถูกพ่นลงไปในลำธาร ทิ้งสายสีแดงไว้ตามทาง หลังจากนั้นไม่นานนักอีกร่างหนึ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมสีเงินร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว บริเวณหน้าอกตรงเสื้อคลุมมีกรงเล็บสีดำสามนิ้ว


 


“นิกายพัตรเงิน?” (พัตร = เสื้อ เสื้อคลุม)


 


สองคนแรกแต่งตัวไม่เป็นทางการ หลี่ฟูเฉินจึงไม่สามารถบอกได้ว่านิกายไหนที่พวกเขาเข้าร่วม แต่คนที่เข้ามาภายหลังเป็นศิษย์ของนิกายพัตรเงินแน่นอน


 


สมาชิกทั้งหมดของนิกายพัตรเงิน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำนิกายหรือศิษย์ชั้นนอก พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่สวมเสื้อคลุมสีเงิน ระดับของพวกเขาสามารถแยกความแตกต่างได้ด้วยเครื่องหมายกรงเล็บบนหน้าอกของพวกเขา


 


กรงเล็บสีดำหนึ่งนิ้วหมายถึงศิษย์ชั้นนอก สองนิ้วหมายถึงศิษย์ชั้นใน สามนิ้วหมายถึงศิษย์หลัก และกรงเล็บทองคำสามนิ้วหมายความว่าบุคคลนั้นเป็นศิษย์หลักระดับทอง


 


เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้เป็นศิษย์หลักของนิกายพัตรเงิน


 


“ฟานเฉียนสง ฟานเฉียนหยู เจ้าสองคนจะไม่มีสิทธิ์ไปไหนทั้งนั้น เมื่อข้า หลิวกวงเฟิงเป็นผู้รับงานนี้ ข้าจะไม่กลับไปหากไม่ได้เห็นเลือด” เยาวชนเสื้อคลุมสีเงินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง


 


ชายหนุ่มที่ชื่อฟานเฉียนสงกัดฟันและตอบกลับ “หลิวกวงฟิง หากไม่ใช่เพราะพิษที่น่ารังเกียจของเจ้า เจ้าคิดว่าข้า ฟานเฉียนสงจะหวาดกลัวเจ้า?”


 


ในแง่ของความสามารถ ฟานเฉียนสงนั้นฝีมือเทียบจะทัดเทียมกับหลิวกวงเฟิง แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าศัตรูของเขาจะมีระเบิดพิษ และเมื่อระเบิดพิษระเบิด มันจึงแพร่พิษทั้งเขาและน้องสาวของเขา – ฟานเฉียนหยู


 


“ฮ่าฮ่า! ผู้ชนะคือราชาและผู้แพ้จะต้องเป็นคนบาป มีความหมายอะไรไหมในการกล่าวทั้งหมดนี้หรือไม่?” หลิวกวงเฟิงเยาะเย้ย


 


‘ข้าควรแทรกแซงหรือไม่?’ บนต้นไม้ใหญ่ หลี่ฟู่เฉินมองด้วยความลังเล


 


เขาเห็นการฝึกฝนของหลิวกวงเฟิงได้อย่างชัดเจน มันอยู่ระดับ 8 ของขอบเขตปฐพีและมีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง


 


มีข่าวลือว่านิกายพัตรเงินมีความสัมพันธ์อันดีกับนิกายสวรรค์ปีศาจ ภรรยาของผู้นำนิกายสวรรค์ปีศาจดูเหมือนว่าเธอจะมาจากนิกายพัตรเงิน มีการกล่าวกันว่าหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายพัตรเงินเองก็เกี่ยวข้องกับนิกายสวรรค์ปีศาจเช่นกัน


 


“มิตรของศัตรูแน่แท้ว่าย่อมเป็นศัตรู และศัตรูของศัตรูย่อมเป็นมิตรโดยธรรมชาติ”


 


“งั้นเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มันนับว่าเป็นโอกาสที่ดีในการทดสอบพลังของเศษซากอาวุธระดับปฐพี” หลังจากการพิจารณาบางอย่าง หลี่ฟูเฉินตัดสินใจเข้ามาแทรกแซง


 


หลิวกวงเฟิงมีอายุประมาณ 30 ปี และฟานเฉียนสงอายุเพียง 25 ปี เมื่อฟานเฉียนสงกล่าวว่าด้วยความสามารถของเขาจะไม่พ่ายแพ้ต่อหลิวกวงเฟิงหากไม่ถูกยาพิษ หลี่ฟูเฉินจึงสันนิษฐานว่าฟานเฉียนสงน่าจะเป็นศิษย์หลักระดับทองของเครือนิกายเดียวกัน


 


ไม่ควรมีข้อเสียใดๆ ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับศิษย์หลักระดับทอง


 


หลิวกวงเฟิงขยับตัว มันเริ่มต้นด้วยท่าสังหาร ลายเส้นสีเงินหลายเส้นพัวพันอยู่กับฟานเฉียนสง


 


อาวุธที่ฟานเฉียนสงเลือกใช้คือเสาเหล็กสองเมตร ฟาดลงด้วยเสาเหล็กและริ้วสีเงินกระจายออกมา พลังริ้วนี้ทำให้เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดขณะที่มันผลักเขากลับ


 


ครืด!


 


กลางอากาศ สามารถได้ยินเสียงฉีกกระชาก ทันใดนั้นแสงสีดำก็ปรากฏขึ้นและหายไป


 


“ดีไม่แล้ว!”


 


หลิวกวงเฟิงตกใจกับการคุกคามของความตายซึ่งเข้ามาด้ปกคลุมวิญญาณของเขา มันทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะเทือน


 


กระบี่ยาวสีเงินกำลังถูกกวัดแกว่ง


 


ปิส!


 


กระบี่สับลงและถูกเป้า แสงสีดำพุ่งเข้าหาหน้าอกของหลิวกวงเฟิงและทะลุออกมาจากหลังของเขา แสงสีดำเองก็หลังจากนั้นไม่นาน – เลือด อวัยวะภายใน และเศษกระดูกบินวอน


 


“ผลลัพล์นี้แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก!”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่เคยดูแคลนพลังของอาวุธระดับปฐพี แต่มันเขาใช้ออกอาวุธ มันกลับหายไปกลางอากาศจริงๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาประหลาดใจ ถ้าเขาเดาถูก มันจะต้องเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของเศษซากอาวุธระดับปฐพีอันนี้


 


หากว่ามันไม่ได้เป็นคุณสมบัติพิเศษนี้ ศัตรูอาจจะสามารถกันการโจมตีครั้งนี้ได้


 


ขณะที่เขาตกลงมาจากท้องฟ้า หลิวกวงเฟิงแสดงสีหน้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับชะตากรรมของเขา


 


ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูทั้งคู่ต่างเตรียมพร้อมยอบรับความตาย แต่ไม่มีใครที่ต้องการความตาย พวกเขาเองก็ไม่ใช้เช่นกัน


 


“ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือ เราฟานเฉียนสงและฟานชเฉียนหยูต้องการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ” เมื่อนั้นเองที่ทั้งสองโค้งคำนับด้วยหมัด


 


ร่างของหลี่ฟู่เฉินปรากฏตัวขึ้น หลี่ฟู่เฉินถาม “เจ้ามาจากนิกายใด?”


 


ฟานเฉียนสงกล่าว “เรามาจากนิกายไร้กังวล”


 


“นิกายไร้กังวล?”


 


หลี่ฟู่เฉินเข้าใจได้อย่างชัดเจน


 


จุดเด่นโดยรวมของนิกายไร้กังวลนั้นใกล้เคียงกับนิกายวารีคราม บางทีอาจด้อยกว่าเล็กน้อย แต่นิกายนี้มีชื่อเสียงมาก


 


ไร้กังวลและอิสระ จากชื่อของนิกาย ใครก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาเป็นนิกายที่อยู่ห่างจากเรื่องทางโลก


 


แน่นอน เหตุผลสำหรับชื่อของพวกเขาไม่ได้เพราะพวกเขาไม่สนใจเรื่องทางโลก


 


นิกายไร้กังวลมีชื่อเสียงมาจากสมบัติไร้กังวล สมบัติไร้กังวลนี้ถูกส่งผ่านมาจากผู้ก่อตั้งนิกายไร้กังวล – ปรมาจารย์ไร้กังวล มันเป็นเสตุที่ทำให้นิกายไร้กังวลมีชื่อเสียง


 


“พวกเจ้าถูกวางยาพิษ ควรชำระพิษให้ดีขึ้นเสียก่อน!” หลี่ฟู่เฉินแนะนำ


 


“ท่านกล่าวถูกแล้ว”


 


พวกเขาสองคนไม่กลัวว่าหลี่ฟูเฉินจะทำร้ายพวกเขา หากหลี่ฟู่เฉินต้องการ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ไม่ว่าจะทางใด


 


พวกเขาทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันและใช้ยาแก้พิษเพื่อเริ่มชำระล้างพิษ


 


สำหรับหลี่ฟู่เฉิน เขาให้ความสนใจกับหลิวกวงเฟิง


 


การใช้มือของเขาดึงดาบสีเงินของหลิวกวงเฟิงมาในมือ


 


นี่คือดาบระดับลึกลับขั้นกลางที่มีมูลค่ากว่า 200,000 เหรียญทอง แต่ในนั้นมันมีสัญลักษณ์ของนิกายพัตรเงิน จึงมันไม่สามารถขายออกได้ทั้งๆ แบบนั้น


 


เพียงไม่นาน หลี่ฟู่เฉินก็พบถุงเก็บบนร่างของหลิวกวงเฟิง


 


ถุงเก็บมีสิ่งของเหลือเฟือ – บัตรทองสามใบ เหรียญทองสองสามพันเหรียญ ยาจำนวนมาก และรายการอื่นๆ


 


บัตรทองสามใบสามารถนำมาแลกได้ประมาณ 550,000 เหรียญทอง


 


ยาเม็ดทั้งหมดมาจากนิกายพัตรเงิน ยาเม็ดเหล่านี้มีองค์ประกอบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากยาเม็ดของนิกายวารีคราม


 


นอกเหนือจากรายการเหล่านี้ ยังมีเครื่องมือช่วยชีวิตมากมาย – เกราะ ระเบิดพิษ อาวุธลับ ฯลฯ


 


“คุ้มค่า!”


 


หลี่ฟู่เฉินประมาณการมูลค่าสุทธิทั้งหมดของหลิวกวงเฟิง มันมีมากกว่าสองล้านเหรียญทอง แม้ว่ามันจะไม่เท่ากับความมั่งคั่งของเขา แต่มันก็ยังค่อนข้างมากมายนัก


 


เก็บถุงเก็บ หลี่ฟู่เฉินมองไปยังฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยู


 


พวกเขาสองคนดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ดูเหมือนว่าพิษจะแพร่กระจายลึกเข้าไปในร่างกายของพวกเขาและยาแก้พิษก็ไม่ได้มีผลในทันที


 


“ให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่?”


 


เทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงของเขามีคุณสมบัติในการล้างพิษบางอย่าง


 


ฟานเฉียนสงพยายามที่จะลืมตา “ข้ายังต้านทานมันได้อีกชั่วขณะนึง ผู้มีพระคุณท่านสามารถช่วยน้องสาวของข้าขับพิษของนางออกไปก่อนได้หรือไม่?”


 


“แน่นอน”


 


หลี่ฟู่เฉินไปที่ด้านหลังของหญิงสาวและกดมือขวาลงไปที่หลังของเธอ เขาฉีดพลังฉีเพลิงโ,กันต์เข้าสู่ร่างกายของเธอ


 


ด้วยความช่วยเหลือจากพลังฉีเพลิงโลกันต์ ผลของยาแก้พิษนั้นได้รับการปรับปรุงและแทรกซึมเข้าไปในแขนขาและกระดูกของฟานเฉียนหยู มันแม้แต่กระทั้งเจาะลึกลงไปในไขกระดูกของเธอ


 


ในช่วงเวลาสั้นๆ ฟานเฉียนหยูก็ลืมตาขึ้นมา


 


เธอเขินอาย “ผู้มีพระคุณ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”


 


เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอถูกเปิดเผยต่อหลี่ฟูเฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินยิ้มและถอนฝ่ามืออกมา จากนั้นเขาก็เดินไปที่ด้านหลังของฟางเฉียนหยูและช่วยเขาไล่พิษของเขา


 


หลังจากนั้นสักครู่ ฟานเฉียนสงก็ตื่นขึ้นมาและคิดว่ามันใกล้เคียงกับการโกนหนวดมากนัก


 


เนื่องจากพวกเขาถูกวางยาพิษมาเป็นเวลานาน สารพิษจึงเจาะลึกเข้าไปในไขกระดูก คงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะขับไล่พิษด้วยตัวเอง ที่สำคัญที่สุดคือ เนื่องจากพวกเขาโดนพิษร้ายแรงเกินไป ขาและแขนของพวกเขาจึงรู้สึกอ่อนแอและพลังฉีของพวกเขาก็หยุดชะงักและไม่ตอบสนอง


บทที่ 203


แผนที่ไม่สมบูรณ์


 


 


 


“ข้อขอทราบชื่อของผู้มีพระคุณได้หรือไม่?” ฟางเฉียนสงกล่าวถาม


 


หลี่ฟู่เฉินตอบ “เฉินฟู่หลี่ศิษย์หลักของนิกายวารีคราม”


 


หลังจากทำการปลอมตัว อายุของเขาดูเหมือนจะอยู่ที่ประมาณ 30 และจัดอยู่ในกลุ่มอายุของศิษย์หลักทั่วไปส่วนใหญ่


 


“งั้นแล้วชิเซียงก็มาจากนิกายวารีคราม ฟางเฉียนสงขอเคารพ” เมื่อได้ยินว่าหลี่ฟูเฉินมาจากนิกายวารีคราม ฟานเฉียนสงและฟานเฉียนหยูรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น


 


นิกายวารีครามเป็นนิกายที่รู้จักกันดีในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก พวกเขาเป็นนิกายที่ชอบธรรม


 


ไม่เหมือนนิกายบางกลุ่มที่อาจชอบธรรม แต่เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาจึงกดขี่ข่มเหงผู้คนและเชื่อว่าพวกตนปกครองทุกๆ สิ่ง ดั่งเช่นนิกายพัตรเงิน


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ นิกายพัตรเงินนี้เป็นพวกเดียวกันกับนิกายสวรรค์ปีศาจ การกำจัดศิษย์หลักนิกายพัตรเงินเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนิกายวารีครามของข้า” หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ


 


ฟานเฉียนสงถาม “ข้าสงสัยว่าเฉินชิเซียงจะไปที่ใดต่อจากนี้?”


 


หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว “ข้าไม่มีจุดหมายใดๆ ข้ามาที่แคว้นร้อยเทพยุทธ์เพื่อสภาวะแห่งจิตของตัวเอง”


 


ฟานเฉียนสงดูเหมือนจะลังเล แต่ชั่วครู่ต่อมา ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “เฉินชิเซียง ข้ามีแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์ของหลุมฝังศพผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด ข้าสงสัยว่าเฉินชิเซียงสนใจจะไปค้นหาสุสานนี้กับพวกเราหรือไม่?”


 


ตอนแรกเขาไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลนี้ แต่หลี่ฟู่เฉินช่วยชีวิตเขาและน้องสาวของเขาไว้ หากเขาไม่สามารถตอบแทนพระคุณนี้ เขาคงจะรู้สึกไม่มั่นคง


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลุมฝังศพเป็นสถานที่อันตราย เพิ่มชายหนึ่งคนก็เพิ่มอีกหนึ่งความแข็งแกร่ง


 


“หลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนกำเนิด?” หลี่ฟู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ


 


แน่นอนว่ายุคสมัยก็ผู้เชี่ยวชาญดำรงอยู่ได้หายไปแล้ว ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกเป็นที่ที่นักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดสูงสุดปกครอง ไม่ต้องสงสัยว่าความแข็งแกร่งของนิกายเองก็มาจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด


 


หลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดแท้แน่แล้วว่าย่อมต้องมีทักษะสมบรูณ์อยู่จำนวนมาก ทักษะสมบรูณ์เหล่านี้แม้แต่กระทั้งนิกายวารีครามเองก็ไม่มากนัก


 


ยกตัวอย่างเช่นเทคนิคขัดเกลาร่างกายของนิกายวารีคราม สิ่งที่สูงที่สุดที่พวกเขามีก็คือระดับลึกลับขั้นสูง


 


ด้วยการรับรู้ที่ผิดปกติของหลี่ฟู่เฉิน แน่นอนว่าเขาจะได้รับระดับที่สูงกว่าของเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง เมื่อเขาไปถึงระดับสูงเหล่านั้นแล้ว ความต้องการสำหรับร่างกายร่างกายของเขาก็จะต้องสูงขึ้นเช่นกัน


 


นอกเหนือจากนี้ ภายในหลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด อาจจะมีเทคนิคลับเช่นกัน


 


ในนิกายวารีคราม เราสามารถใช้เทคนิคลับระดับ 4 ดาวได้หลังจากผ่านชั้นสี่ของหอคอยศิษย์สายตรงเท่านั้น และสำหรับหลี่ฟู่เฉินตอนนี้ มันอยู่ไกลเกินไป


 


“แผนที่ไม่สมบูรณ์ มีแผนที่อื่นอีกไหม?” หลี่ฟูเฉินสอบถาม


 


หากต้องพึ่งพาแผนที่ไม่สมบูรณ์นี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพบหลุมฝังศพ


 


ฟานเฉียนสงพยักหน้า “มีทั้งหมดสี่ส่วนและพวกมันปรากฏขึ้นในการประมูล ระหว่างการประมูล มีศิษย์หลักจาสี่นิกายประมูลไป – นิกายไร้กังวลของข้า นิกายเพลิงปฐพี นิกายโหมกระบี่ และหุบเขาโจมนิรันดร์ ศิษย์ของนิกายพัตรเงิน หลิวกวงเฟิงค้นพบว่าข้ามีส่วนหนึ่งของแผนที่และพยายามที่จะสังหารข้า”


 


เมื่อเขาได้ยินชื่อนิกายโหมกระบี่คิ้วของหลี่ฟู่เฉินถูกยกขึ้นเล็กน้อย


 


แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินได้ยินชื่อหุบเขาโจนนิรันดร์ เขากลับขมวดคิ้ว


 


นิกายโหมกระบี่อยู่ใกล้กับนิกายวารีครามและเขาก็คุ้นเคยกับพวกนั้น


 


แต่หุบเขาโจนนิรันดร์เป็นหนึ่งในมหาอำนาจ


 


ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก นิกายต่างๆ ให้คะแนนโดยความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขา


 


นิกายไร้กังวล นิกายเพลิงปฐพี นิกายโหมกระบี่ นิกายเร้นวิญญาณ นิกายวารีคราม นิกายสวรรค์ปีศาจ และนิกายพัตรเงิน ทั้งหมดอยู่ในระดับเดียวกัน


 


แม้ว่านิกายสวรรค์ปีศาจจะแข็งแกร่งกว่านิกายวารีครามเล็กน้อย แต่ความไม่เสมอภาคนั้นไม่กว้างใหญ่เกินไป


 


ในขณะที่นิกายนภาดารา ตระกูลตวนหลิน และหุบโจนนิรันดร์เป็นบางอย่างที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปอีก


 


แน่นอนว่าหลี่ฟู่เฉินไม่ได้กลัวหุบเขาโจนนิรันดร์ ไม่ว่าหุบเขาโจนนิรันดร์จะน่าเกรงขามเพียงใด พวกมันก็อยู่หางออกจากนิกายวารีครามไปหลายแคว้นนัก


 


แม้ว่าเขาจะทำให้หุบเขาโจนนิรันดร์ขุ่นเคืองอย่างแท้จริง พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรกับนิกายวารีครามได้


 


นอกเหนือจากช่วงเวลาสงครามระหว่างนิกาย ก็ไม่มีข้อมูลอื่นๆ ใดที่ระบุว่านิกายใดนิกายหนึ่งกำจัดนิกาย แต่การกระทำเล็กน้อยอาจทำให้ทั้งทวีปตอบสนองและทุกนิกายมีศัตรูเป็นของตัวเอง ศัตรูที่ไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามที่เจ้าต้องการ


 


หลี่ฟู่เฉินกังวลเกี่ยวกับความสามารถของเหล่าศิษย์หลักจากหุบเขาโจนนิรันดร์


 


ฟานเฉียนสงกล่าวสืบต่อ “ตามแผนที่แล้ว หลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิดอยู่ในเมืองหมอกหนา หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ศิษย์หลักจากทั้งสี่นิกายจะมารวมกันที่เมืองหมอกหนา เมื่อทุกคนมาถึง เราจะออกเดินทางพร้อมกันเพื่อตามหาสุสาน”


 


“เยี่ยม รวมข้าไปด้วย ตอนนี้ไปที่เมืองหมอกหนากัน!”


 


เมืองหมอกหนาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินทางเพียงสามวันเท่านั้น


 


เนื่องจากโอกาสนี้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา หลี่ฟู่เฉินก็ไม่ต้องการพลาดมัน


 


ระหว่างทาง ทั้งสามคนรู้จักกัน จากการสนทนาของพวกเขา หลี่ฟู่เฉินเกี่ยวกับแคว้นร้อยเทพยุทธ์เพิ่มเติมซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเขา


 


***


 


สามวันต่อมา ทั้งสามคนมาถึงเมืองหมอกหนา


 


ภายในหนึ่งพันไมล์ของเมืองหมอกหนา สภาพแวดล้อมของเมืองส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยหมอก


 


เมืองหมอกหนาดูแล้วไม่ได้ระรับผลกระทบจากมัน เนื่องจากบางพื้นที่มีหมอกบางๆ


 


ขณะที่พวกเขาเข้าไปทางด้านตะวันตกของเมื่อหมอกหนา หมอกหนาก็ปรากฏขึ้น ขณะที่พวกเขามองไปข้างหน้า ท้องฟ้าทั้งหมดปกคลุมด้วยสีขาวและมองไม่เห็นอะไรเลย


 


หลังจากหาโรงแรมแล้วทั้งสามคนก็พักอยู่ในนั้น


 


เมื่อถึงกลางคืน หลี่ฟู่เฉินเริ่มทำการศึกษาฝ่ามือกระจ่าง


 


ฝ่ามือสีเหลืองอ่อนก่อนหน้านี้กลับคืนสู่สีเดิมของมันแล้ว ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติและไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ


 


มีเพียงลี่ฟู่เฉินเท่านั้นที่ทราบว่ามือนี้มีความแข็งแกร่งแบบใดและขีดจำกัดของมือนี้คืออะไร


 


การเดินทางไปยังหลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดครั้งนี้เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ซึ่งอาจพัฒนาความสามารถของเขาขึ้นได้


 


ในหมู่พวกเขา ฟานเฉียนสงมีระดับพลังบ่มเพาะสูงสุด อยู่ในระดับ 5 ของขอบเขตปฐพี ฟานเฉียนหยูอยู่ในระดับที่ 4 ของขอบเขตปฐพี และท้ายสุดหลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับที่ 2 ของขอบเขตปฐพี


 


ระดับการฝึกฝนเฉลี่ยของพวกเขาต่ำเกินไป


 


โชคดีที่ฟานเฉียนสงและหลี่ฟู่เฉินเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายและความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริงของพวกเขาไม่ควรตัดสินจากระดับการฝึกฝนของพวกเขา


 


ถ้ามันไม่ได้เป็นกรณี หลี่ฟูเฉินคงไม่อยากเข้าร่วม มันจะไม่เป็นโอกาส แต่เป็นการไปเยือนนรก


 


แม้ว่าจะวางหุบเขาโจนนิรันดร์ไว้ด้านข้างไปแล้ว แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะร่วมมือกับนิกายเพลิงปฐพีหรือนิกายโหมกระบี่แต่อย่างใด


 


ทุกคนเป็นศิษย์หลัก ต้องการที่ยกระดับและเอาชนะตัวเอง พยายามขึ้นสู่ขอบเขตสวรรค์


 


หากนิกายเพลิงปฐพีหรือนิกายโหมกระบี่ได้นำศิษย์หลักที่อยู่ในระดับที่ 9 ของขอบเขตปฐพีมา แม้ว่าจะเป็นศิษย์หลักระดับเงิน พวกเขาสามก็จะไม่สามารถหนีรอดไปได้


 


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีศิษย์หลักจากหุบเขาโจนนิรันดร์ซึ่งเป็นที่ๆ นิกายส่วนใหญ่ประเมินไว้สูง


 


“ระดับการบ่มเพาะของเรายังต่ำเกินไป”


 


หลี่ฟูเฉินส่ายหัว เขาค่อนข้างจริงจังต่อการเดินทางไปที่หลุมฝังศพนี้ เขาไม่พึงพอใจแม้ว่าเขาจะมีศรทลายปีศาจและเศษซากอาวุธระดับปฐพีอยู่แล้วก็ตาม หากเขาสามารถได้ของช่วยชีวิตบางอย่างมา สิ่งของของคนอื่นเองอาจจะดีกว่าเขาได้


 


เมื่อเวลาผ่านไป รุ่งเช้าก็มาถึง


 


หลี่ฟู่เฉินตื่นเช้าและเขามุ่งหน้าไปยังถนนโบราณของเมืองหมอกหนา


 


ของที่ขายอยู่บนถนนโบราณของเมืองหมอกหนาดูเหมือนจะอุดมสมบูรณ์มากขึ้น


 


ตามข่าวลือ หมอกของเมืองหมอกหนานี้ไม่ได้มีอยู่เมื่อสองสามร้อยปีก่อน เหตุผลที่หมอกนี้ปรากฏขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เชี่ยวชาญระดับสูง


 


ท่ามกลางสายหมอกอันยิ่งใหญ่นี้ มันค่อนข้างยากที่จะแยกแยะของต่างๆ มีของแปลกๆ และสิ่งแปลกประหลาดมากมายและพวกมันก็เป็นเอกลักษณ์ของถนนโบราณในเมืองหมอกหนานี้


 


ยกตัวอย่างเช่นกิ่งหมอกกระจ่างที่หลี่ฟู่เฉินซื้อมา ทำให้เขาต้องเสียเงินไป 10,000 เหรียญทอง


 


แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร แต่มันก็มีค่าเพราะมันหายากและหลี่ฟู่เฉินก็ไม่ได้ขาดเหรียญทองแต่อย่างใด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม