Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 190-196

 บทที่ 190


แขวนอยู่บนเส้นด้าย โต้กลับ


 


 


เช่นเดียวกับที่หลี่ฟู่เฉินคาดไว้ นักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตสวรรค์อีกคนตั้งเป้ามาที่หลี่ฟู่เฉิน


 


สำหรับนักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตสวรรค์ส่วนที่เหลือ เขาเพียงแค่ส่งการโจมตีออกไปและไม่ตรวจสอบว่ามันโดนหรือพลาด


 


นักสู้ขอบเขตสวรรค์สามารถบินด้วยความเร็วสูงที่เท่ากับสัตว์อสูรประเภทอากาศระดับ 3


 


โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เขาก็ตามหลี่ฟูเฉินทัน


 


“เด็กผู้นั้น เร็วอะไรเช่นนี้… เจ้าจะต้องเป็นศิษย์หลักระดับทอง! ข้าสงสัยว่ามันจะรู้สึกอย่างไรหากฆ่าศิษย์หลักระดับทอง?” เร้นภูผาหัวเราะเสียงดัง เขาสะบัดนิ้วของตนและพลังดัชนีไปยังหลี่ฟู่เฉิน


(หมายเหตุ TL: ดูเหมือนว่านักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตสวรรค์ได้รับชื่อแทน เช่น อาวุโสแม่งป่อง นกฮูกโลหิต เร้นภูผา)


 


ปิสส!


 


พลังฉีคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ถูกยิงลงมาบนพื้นผิวดิน ขณะนั้นเองที่หลี่ฟู่เฉินเริ่มหลบหลีก


 


“ความรู้สึกอันเฉียบแหลม คู่ควรกับสมยานามศิษย์หลักระดับทอง”


 


เร้นภูผายิงดัชนีออกไปอย่างต่อเนื่องโดยการตวัดนิ้วอย่างง่ายๆ


 


ปิสส ปิสส ปิสส ปิสส…


 


หลุมลึกจำนวนมากเกิดบนผืนผิวดิน ด้วยการใช้ออกย่างก้าวเงาวายุและลูกเตะไร้เงาสู่จุดสูงสุด ร่างของหลี่ฟู่เฉินปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง ซ้าย ขวา หน้าและหลัง มันรู้สึกราวกับร่างกายของเขาสูญเสียจุดศูนย์ถ่วงและเขาสามารถเปลี่ยนความเร็วและทิศทางเมื่อใดก็ตามที่เขาพอใจ


 


นอกเหนือจากนั้น จิตใจของหลี่ฟูเฉินอยู่ในระดับที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน มีหลายครั้งก่อนที่เร้นภูผาเขาจะสะบัดนิ้วของตัวเอง หลี่ฟู่เฉินก็สามารถคำนวนเส้นทางการโจมตีได้แล้ว


 


“หือ?!”


 


เร้นภูผารู้สึกประหลาดใจ หากแค่เพียงหลบการโจมตีหนึ่งหรือสองครั้ง มันยังคงสามารถยอมรับได้ แต่มันจะไร้หตุผลหากสามารถหลบการโจมตีของเขาทั้งหมดได้


 


“มาดูกันว่าครั้งนี้เจ้าจะหลบได้อย่างไร”


 


เร้นภูผาดึงอาวุธจากถุงเก็บของเขา อาวุธนี้คือค้อนทลายภูผา หัวค้อนของค้อนทลายภูผามีขนาดครึ่งหนึ่งของหินโม่(จานหินขนาดใหญ่) มันถูกหล่อหลอมมาจากแร่ระดับลึกลับขั้นต่ำ แร่ภูผาทมิฬ มันมีน้ำหนักกว่า 2,400 กิโลกรัม อย่าได้กล่าวถึงการถ่ายพลังฉีเข้าไปในอาวุธ แม้ว่าพลังฉีจะไม่ถูกถ่ายเข้ามา การทุบเพียงหนึ่งครั้งจากค้อนก็พอที่จะบดขยี้พื้นดินและระเบิดอะไรก็ได้ที่อยู่ในโรงตีเหล็ก


 


“เจ้าจะต้องตาย!”


 


เมื่อค้อนถูกหยิบออกมา พลังงานสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน เงาอันมหึมาของค้อนปกคลุมหลี่ฟู่เฉิน ราวกับว่ามีภูเขาลูกเล็กๆ กระแทกลงมาบนตัวเขา


 


“อันตราย”


 


ขนบนร่างของหลี่ฟู่เฉินล้วนแล้วแต่ตั้งตรง ทุกๆ ส่วนบนร่างของเขาล้วนแล้วแต่กรีดร้อง มันเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกาย


 


เปิดใช้งานท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ หลี่ฟูเฉินกลายเป็นความว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาใด และก็พุ่งตัวออกไป ความเร็วของเขาสามารถอธิบายได้โดยจากคำว่า แปลกประหลาด


 


ครืน!


 


ค้อนกระแทกกับพื้นประมาณสิบเมตรตากด้านหลังของหลี่ฟู่เฉิน พื้นแข็งๆ ของพื้นดินกลายเป็นของเหลว ขณะที่คลื่นดินปรากฏออกมา


 


ชั่วขณะนึง หลี่ฟูเฉินรู้สึกเหมือนสวรรค์และโลกกำลังจะล่มสลาย เขาสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองและดูคล้ายกับมัดฟาง ถูกโจมตีโดยคลื่นกระแทก


 


ปิสส!


 


ไถลลงไปกับพื้น หลี่ฟู่เฉินหน้าดูซีดลง ขณะที่กระอักเลือดออกมาเต็มปาก


 


การปะทะกับแรงค้อนนั้นน่าหวาดกลัวเกินไป เพียงคลื่นกระแทกเพียงอย่างเดียวทำให้หลี่ฟู่เฉินบาดเจ็บสาหัสได้ทันที หากว่ามันไม่ใช่เพราะคุณสมบัติทางกายภาพของเขา คลื่นกระแทกนี้จะทำให้เขากลายเป็นเหล็กที่โดนถลุง


 


“ไปต่อสิ และหลบ! ทำไมเจ้าไม่หลบแล้วล่ะ?”


 


เร้นภูผายกค้อนขึ้นสูงและตั้งใจที่จะทุบหลี่ฟู่เฉินให้เป็นกองเลือด


 


“อรูสเต๋าปีศาจอวดดีนัก! พวกมันทุกตนสมควรได้รับความตาย! ฆ่าพวกมันทั้งหมด!ไ


 


บนท้องฟ้า มีเงาสามร่างบินเข้ามา


 


มันเป็นนักสู้ขอบเขตสวรรค์สามคน กำลังเสริมที่มาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นนักสู้ขอบเขตสวรรค์ นั้นย่อมหมายความว่าพวกเขาเป็นผู้บัญชาการจากสาขาที่หกทั้งสามคน


 


ผู้บัญชาการคนหนึ่งดึงดาบที่เป็นสมบัติของเขาออกมา พลังฉีดั่งเช่นน้ำตกพุ่งไปยังเร้นภูผา


 


แคร๊ก!


 


ประกายไฟพุ่งออกมาขณะที่เร้นภูผาโต้กลับ


 


ผู้บัญชาการสาขาอีกสองคนติดตามอย่างใกล้ชิดและแต่ละคนก็เฉือนไปยังเร้นภูผา


 


เร้นภูผาส่งเสียงฮึดฮัด ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงถอยกลับอย่างรวดเร็ว


 


“สมาชิกจากสาขาที่หกกำลังมา เจ้าสามารถใช้เวลานี้เพื่อพักฟื้น” ผู้บัญชาการสาขาหนึ่งจำหลี่ฟู่เฉินได้และส่งข้อความไปถึงเขา


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า เขาได้รับบาดเจ็บสาหัญจึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ทันที


 


หยิบยาฟื้นพลังออกมาจากถุงเก็บ หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่าบาดแผลร้าวลั่น เขากินยาอย่างรวดเร็ว


 


นี่เป็นเม็ดฟื้นฟู่ระดับลึกลับขั้นต่ำ มีค่าใช้จ่าย 100,000 คะแนนสะสม หลี่ฟู่เฉินไม่ได้คาดหวังว่ามันจะถูกใช้อย่างรวดเร็วเช่นนี้


 


เม็ดยาฟื้นฟู่ระดับสีเหลืองหรือยารักษาระดับลึกลับครึ่งก้าวมีผลที่น่าทึ่งอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพดั่งเช่นเม็ดยาฟื้นฟู่ระดับลึกลับขั้นต่ำอันนี้


 


เม็ดยาระดับลึกลับขั้นต่ำนั้นควรค่าแก่ความล้ำค่าของมัน ในเวลาเพียงแค่ 15 นาที อาการบาดเจ็บของหลี่ฟู่เฉินหายไปประมาณ 30% ถึง 40% อวัยวะที่ฉีกขาด เนื้อ และกระดูกก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อสภาพร่างกายของเขากลับมาอยู่ที่ประมาณ 50% จากสภาพเดิม หลี่ฟู่เฉินยืนขึ้น


 


เขาไม่จำเป็นต้องโคจรพลังฉีเพื่อฟื้นฟู่อีกต่อไป ผลที่เหลือของยาจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาโดยอัตโนมัติ


 


“นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องได้รับคะแนนสะสมมากขึ้น 100,000 คะแนนถูกใช้ออกไปทั้งๆ แบบนี้”


 


จำนวนคะแนนสะสมที่หลี่ฟู่เฉินมีอยู่นั้นอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านคะแนน เขาใช้ส่วนหนึ่งของคะแนนสะสมเพื่อแลกรายการต่างๆ เช่น ระเบิดอัคนีคำรน ยาเม็ดระดับลึกลับ และแม้แต่กระทั้งชุดเกราะสัตว์ปีศาจระดับสูงรุ่นก่อนหน้าของเขาก็ได้รับการยกระดับเป็นเกราะป้องกันสัตว์ปีศาจระดับ 4 ขั้นกลาง


 


ขณะที่ระดับเกราะสัตว์ปีศาจเพิ่มขึ้น ราคาของมันก็จะเพิ่มขึ้นตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกราะระดับ 1 ใช้เหรียญทองสองสามเหรียญ เกราะระดับ 2 มีราคาหลายร้อยเหรียญทอง เกราะระดับ 3 มีตั้งแต่หนึ่งพันเหรียญทองขึ้นไป แต่เกราะระดับ 4 จะเริ่มจาก 100,000 เหรียญทอง ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 500,000 คะแนนสะสม


 


หลี่ฟู่เฉินส่วมใส่เกราะสัตว์ปีศาจระดับ 4 ขั้นกลางซึ่งทำให้เขาเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 150,000 คะแนนสะสม


 


นอกเหนือจากการซื้อครั้งนี้ หลี่ฟู่เฉินก็ซื้อไปอีกหลายครั้ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาต้องใช้คะแนนสะสมไปเป็นจำนวนมาก


 


แน่นอน คะแนนส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อแลกเม็ดยา เช่น ยาแก้พิษ ยาฟื้นฟู่ และยาช่วยในการบ่มเพาะ การแลกเม็ดยาออกมาเพียงอย่างเดียวก็ใช้คะแนนสะสมไปแล้วกว่า 2 ล้านคะแนน


 


แต่หลี่ฟู่เฉินไม่รู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่ใช้มันไปมากเช่นนั้น


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญกว่าชีวิตของตัวเอง


 


หากไร้ชีวิต มันก็ไร้ประโยชน์หากได้รับคะแนนสะสมมามากมาย


 


สาขาที่ห้าและหกอยู่ใกล้กับสาขาที่เจ็ดมากที่สุด


 


ขณะนั้นที่หลี่ฟู่เฉินลังเลว่าเขาควรจะกลับไปต่อสู้ดีหรือไม่ นักสู้ขอบเขตสวรรค์อีกสามคนเข้าร่วมการต่อสู้บนท้องฟ้า


 


“กลับไป”


 


หายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟู่เฉินหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังสนามรบ


 


ด้วยการโจมตีจากศูนย์บัญชาการใหญ่ของสมาคมมือปีศาจ มันจึงไม่ได้มีแค่นักสู้ขอบเขตสวรรค์ แน่นอนว่าจะต้องมีนักสู้ขอบเขตปฐพีและขอบเขตต้นกำเนิดเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินกลับไปที่สนามรบ มันมีเสียงอึกทึกวุ่นวายวุ่นวายมาก


 


ในท้องฟ้าด้านบน ผู้บัญชาการสาขาที่เจ็ดเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว โชคดีที่ผู้บัญชาการสาขาที่หกและห้ารีบมา สำหรับด้านสมาคมมือปีศาจ เหล่านักสู้ขอบเขตสวรรค์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นจากห้าคนเป็นแปด


 


สถานการณ์ยังคงไม่เอื้ออำนวยสำหรับฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์


 


บนพื้นดิน สมาชิกสมาคมมือปีศาจกำลังโลดแล่นไปทั่วและสังหารพวกที่เหลือของสาขาที่เจ็ด


 


หลี่ฟู่เฉินเห็นหลังของดาบไร้อารมณ์


 


เซี่ยเฟิงต่อสู้อย่างกล้าหาญและดุดัน เขาได้รับบาดเจ็บ เขาต่อสู้กับนักสู้ขอบเขตปฐพีสูงสุดทั้งสามเพียงลำพัง แม้ว่าเขาจะเสียเปรียบ แต่มันก็แค่ชั่วคราวและไม่ได้อยู่ในสภาพที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต


 


“ฆ่า!”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ลังเลและเข้าร่วมการต่อสู้


 


บุคคลที่น่าเกรงขามทุกคนเติบโตขึ้นจากผลของการต่อสู้และจำเป็นต้องต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักสู้ขอบเขตสวรรค์ไม่ได้กำหนดเป้าหมายมาที่เขา เหตุใดเขาจึงต้องกลัวนักสู้ขอบเขจปฐพีเหล่านี้?


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินเข้าร่วมการต่อสู้ มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้โดยรวมแต่อย่างใด


 


โชคดีที่สนามรบมีขนาดใหญ่มากพอ ทอดตัวกว้างประมาณ 8 ไมล์ หากไม่เช่นนั้น เมื่อหลี่ฟู่เฉินเข้าสู่การต่อสู้ มันจะดึงดูดความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจากสมาคมมือปีศาจ


 


หลังจากหนึ่งชั่วโมง สมาชิกสาขาที่เจ็ดก็เกือบจะถูกขจัดจนหมดสิ้น เซี่ยเฟิง หลี่ฟู่เฉิน และที่เหลือถอยห่างออกไปขณะที่พวกเขายืดเยื้อการต่อสู้ ขยายสนามรบทั้งหมดและทำให้กว้างขวางยิ่งขึ้น


 


“เต๋าปีศาจอวดดี! คุณกล้าโจมตีอย่าโจ้งแจ้งในที่แคว้นวารีครามของเราได้อย่างไร? ช่างไร้ความเมตตา!”


 


ในที่สุด สมาชิกสาขาที่หกก็มาถึงการต่อสู้


 


เมื่อหน่วยลาดตระเวนสาขาที่เจ็ดรู้ว่าสมาคมมือปีศาจกำลังบุกรุกเข้ามา พวกเขาส่งสัญญาณเปลวไฟและส่งข้อมูลไปยังหน่วยลาดตระเวนอื่น ซึ่งเป็นวิธีถ่ายทอดข้อมูลอย่างรวดเร็ว


 


ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง สาขาที่หกทั้งหมดอยู่ที่นี่เพื่อให้การสนับสนุน


 


โชคดีที่ระยะห่างระหว่างฝ่ายต่างๆ ไม่ไกลกันเกินไปนัก ซึ่งเป็นวิธีที่พวกเขาสามารถจัดหากำลังเสริมได้อย่างรวดเร็ว หากไม่เช่นนั้นแล้ว สาขาที่เจ็ดทั้งหมดจะถูกกำจัด


บทที่ 191


อาวุโสลาดตระเวน


 


 


2 ชั่วโมงต่อมา สมาชิกจากสาขาที่ห้าก็มาถึงเช่นกัน


 


ด้วยรวมมือกันจากทั้งสองฝ่าย พวกเขาจึงหยุดยั้งการโจมตีของสมาคมมือปีศาจได้ชั่วคราว


 


สำหรับเซี่ยเฟิงและหลี่ฟู่เฉิน นี่เป็นสถานการณ์ในอุดมคติสำหรับพวกเขา พวกเขาสองคนเป็นชนชั้นสูงในหมู่อัจฉริยะและยอดเยี่ยมในการจับจังหวะเวลาของตัวเอง ทุกครั้งที่พวกเขาเคลื่อนไหว มันจะนำมาซึ่งอย่างน้อยหนึ่งชีวิต


 


นี่คือสิ่งที่แม้แต่คนที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีกว่าพวกเขาก็ไม่อาจบรรลุได้


 


น่าเสียดายที่สมาคมมือปีศาจมีข้อได้เปรียบอย่างล้นหลาม พวกเขามีกำลังคนเกือบสองเท่าขอหากรวมกำลังของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน สาขาที่หกและห้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องถอยกลับอย่างต่อเนื่อง


 


“ฆ่าไปอีกหนึ่งก็ยังดีกว่าการไม่ทำสิ่งใดเลย”


 


อาการบาดเจ็บของหลี่ฟู่เฉินหายไปกว่า 80% แล้ว เม็ดยาฟื้นฟู่ระดับลึกลับขั้นต่ำมีศักยภาพสูงส่งอย่างแท้จริง มันยังคงบำรุงร่างกายของเขาในขณะที่เขาต่อสู้


 


ปิส!


 


ดาบทองดำของเขาร่ายรำ ขณะที่มันเจาะหัวใจของนักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตปฐพีได้ครั้งเดียว


 


จนถึงตอนนี้ ศัตรูประมาณหนึ่งโหลเสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของเขา


 


ในอีกด้านหนึ่ง เซี่ยเฟิงได้ฆ่าศัตรูไปแล้วอย่างน้อยสองโหล


 


ยกเว้นศัตรูที่อยู่ในระดับ 9 หรือระดับสูงสุดของขอบเขตปฐพี ไม่มีศัตรูคนใดทนเขาได้แม้แต่ดาบเดียว


 


ดาบของเซี่ยเฟิงนั้นรวดเร็วและเหี้ยมโหด


 


ชื่อดาบไร้อารมณไม่ได้มีไว้แสดงโชว์แต่เพียงเท่านั้น


 


ด้วยพวกเขาสองคนที่อยู่รอบๆ สถานการณ์ของสนามรบจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป


 


แต่ มันก็ดึงดูดความสนใจต่อพวกเขาทั้งสองในเวลาเดียวกัน


 


ในด้านของหลี่ฟู่เฉิน หนึ่งในนักสู้เต๋าปีศาจระดับ 8 และ 9 เข้ามาโจมตีเขา เขาเชื่อว่าถ้าเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว เขาจะยังคงสามารถต้านทานมันได้ แต่ถ้าเขาต้องต่อสู้กับพวกเขาสองคน มันจะค่อนข้างกดดัน


 


ตอนนี้เขาอยู่ระดับที่ 2 ของขอบเขตปฐพี ประกอบด้วยเทคนิคเพลิงโลกันต์ระดับที่ 15 และยังมีเทคนิคลับมังกรเร้นลับ กำลังรบของเขาน่าจะอยู่ในระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพี ช่องว่างระหว่างเขากับนักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตปฐพีระดับ 8 นั้นไม่รุนแรงมากนัก


 


“ตาย!”


 


การลงมือครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นโดยนักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตปฐพีระดับที่ 9 ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่มีเครา


 


อาวุธที่เขาเลือกคือดาบ งูที่คล้ายดาบอันแหลมคม


 


ด้วยเจตจำนงแห่งดาบที่หลั่งไหลออกมา เขาแทงไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินสามารถมองเห็นงูพิษที่จ้องมองเขาอย่างชาญฉลาดได้


 


ดูเหมือนว่าจะเป็นทักษะดาบที่เกี่ยวข้องกับงู หลังจากเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบแล้ว เขาจึงสามารถแสดงลักษณะของงูได้บ้าง


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ปะทะกับศัตรูของเขา แต่กลับทำใช้ออกวิชาดาบเก้าโคจรแทน


 


แคร๊ก!


 


พลังดาบของศัตรูลดลงเหลือ 30% จากความแข็งแกร่งเดิม เนื่องจากวิชาดาบเก้าโคจร ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับหลี่ฟูเฉิน


 


“ทักษะดาบประเภทป้องกันหรือไม่?” ชายวัยกลางคนมีเคราไม่พอใจ เขาเกลียดทักษะต่อสู้ประเภทป้องกันเป็นที่สุด


 


“ระบำอสรพิษคลั่ง!”


 


เจตจำนงแห่งดาบของชายวัยกลางคนที่มีเคราทะลักออกมา เงาดาบหลายอันพุ่งเข้าหาหลี่ฟู่เฉิน


 


“ร้อยโคจรพันวนเวียน”


 


ทุกครั้งที่วิชาดาบเก้าโคจรถูกใช้ออก มันจะมีทั้งรุนแรงและอ่อนโยน บังคับพลังของคู่ต่อสู้ให้เป็นกลาง


 


“ฝ่ามือโลหิตสังหาร!”


 


นักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตปฐพีระดับที่ 8 อีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นจากดาบอยู่บนใบหน้าของเขา ทันใดนั้นเองเขาก็ส่งฝ่ามือไปที่หลี่ฟู่เฉิน มันมาพร้อมกับกลิ่นอายเลือดที่ทำให้ศัตรูกลายเป็นคลื่นไส้


 


หลี่ฟูเฉินไม่กล้าทำผิดพลาด นักสู้เต๋าปีศาจส่วนใหญ่นั้นชั่วร้ายและเหี้ยมโหด ฝ่ามือโลหิตสังหารนี้น่าจะเป็นฝ่ามือพิษชนิดหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง ใช้ท่าร่างที่ดีที่สุดของเขา ร่างของหลี่ฟู่เฉินหายไป


 


ล้อมรอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสองคน หลี่ฟู่เฉินพบว่ามันไม่มีโอกาสโจมตีเพื่อโต้กลับ เขาทำให้เพียงแต่พึ่งพาวิชาดาบเก้าโคจรและลูกเตะไร้เงาเพื่อหลบการโจมตีของพวกเขา


 


สถานการณ์ของเซี่ยเฟิงนั้นไม่ได้ดีไปกว่าหลี่ฟู่เฉิน บางทีมันอาจจะแย่กว่าเสียอีก ก่อนที่การเสริมกำลังของสาขาที่ห้าและหกจะมาถึง เขาถูกล้อมรอบด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของขอบเขตปฐพีสามคน แต่ตอนนี้ เขากำลังถูกโจมตีโดยสองขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดและสามขอบเขตปฐพีระดับ 9


 


เขายังคงหลบหนีต่อไป และค่อยๆ ตกลงไปในสภาพที่ดูน่าขมขื่น การเสริมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขามาถึงแล้ว


 


“ใครกล้าทำตัวอวดดีในพื้นที่ลาดตระเวนของข้า”


 


เสียงอันทรงพลังดังกึกก้องขึ้นประดุจฟ้าร้อง มันส่งความกลัวเข้าไปในหัวใจของทุกคน


 


จากฟากฟ้า สามารถเห็นร่างห้าร่างปรากฏขึ้นจากที่ไกลออกไปในก้อนเมฆ


 


ผู้นำของทั้งห้าคนนั้นมีพลังฉีที่คล้ายกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เป็นพลังฉีที่ปกคลุมท้องฟ้า โดยปกติแล้วมันย่อมเป็นยักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับสูง


 


“อาวุโสตรวจตราอยู่ที่นี่! ฮ่าฮ่า! ฆ่ามันให้หมดแล้วพี่ชาย”


 


บนพื้นดิน สมาชิกของนิกายวารีครามต่างส่งเสียงเชียร์!


 


แคว้นวารีครามนั้นค่อนข้างกว้างใหญ่ เห็นได้ชัดว่าการมีแค่ฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์และฝ่ายโลหิตเหล็กนั้นไม่เพียงพอที่จะรักษาความสงบและความเรียบร้อย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตำแหน่งระดับสูงของนิกายจึงกำหนดพื้นที่ลาดตระเวนทั้งแปดขึ้นมา พวกมันคือทางทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้ ทางทิศใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตก ตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ลาดตระเวนทุกแห่งได้รับการปกป้องโดยนักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับสูงและนักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับกลางสี่คน ผู้อาวุโสลาดตระเวนเหล่านี้จะดำเนินการลาดตระเวนเป็นระยะในเขตของตนและให้ความช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่จำเป็น


 


“ไม่ดีแล้ว มันเป็นผู้อาวุโสลาดตระเวน ได้พบพวกเขานับว่าโชคร้ายจริงๆ” หัวหน้าสมาคมมือปีศาจดูตกตะลึง


 


หากฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบฝ่ายนับว่าเป็นหมาล่าเนื้อ เช่นนี้แล้วผู้อาวุโสลาดตระเวนนับว่าเป็นเหยี่ยวที่รอการล่า พวกเขาน่ากลัวกว่าหมาล่าเนื้อและเป็นฝันร้ายขององค์กรเหล่านี้


 


“รีบถอยเร็ว!”


 


ผู้นำสมาคมมือปีศาจไม่สามารถยื้อไว้ได้อีกและถอยกลับอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วสูงสุดหลังจากออกคำสั่ง


 


เลือดอาบตัวหวังกานขณะที่เขาหนีพ้นความตายไปได้อย่างหวุดหวิด รู้สึกมีความสุข ดูเหมือนว่าสวรรค์ยังคงยอมให้เขารอดชีวิตมาได้จนถึงขณะนี้ น่าเสียดายที่ผู้บัญชาการทหารของเขาทั้งคู่ตายไปแล้ว


 


“จะออกไป? เจ้าขออนุญาตจากข้าแล้วหรือไม่?”


 


ผู้นำของผู้อาวุโสลาดตระเวนชักดาบสมบัติและเหวี่ยงไปมา ท้องฟ้าทั้งหมดฟ้าแลบที่คล้ายกับรูปดาบ


 


ปั้ง บูม!


 


ผู้นำสมาคมปีศาจผู้หยิ่งผยองจมลงในฝนดาบทันทีและได้รับความตายอย่างรวดเร็ว


 


ส่วนที่เหลือของนักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตสวรรค์พยายามหลบหนี แต่พวกเขาจะทำได้อย่างไร? ทุกคนถูกหั่นออกราวกับผัก ถูกสังหารอย่างเงียบเชียบ


 


ด้วยการสนับสนุนของนักสู้ขอบเขตสวรรค์ สถานการณ์ของสนามรบจึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทันที สมาชิกของสมาคมมือปีศาจที่ได้รับการเสริมสร้างขวัญกำลังใจเริ่มเหมือนเด็กทารก คิดว่าทำไมพ่อแม่ของพวกเขาถึงไม่คลอดพวกมันด้วยขาที่มากกว่านี้ เพื่อที่สามารถจะวิ่งได้เร็วขึ้น


 


“ผู้ปกครองแคว้นวารีครามท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นนิกายวารีคราม องค์กรปีศาจเหล่านี้สามารถประสบความสำเร็จได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ”


 


เมื่อเห็นว่าสมาชิกของสมาคมมือปีศาจต่างก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยความโล่งใจ


 


ความสามารถของนิกายวารีครามนั้นไม่สามารถคาดเดาได้และไม่แน่นอน ฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่ลาดตระเวนเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำที่นิกายวารีครามมี หากนิกายวารีครามแสดงความสามารถที่แท้จริงของพวกเขา แม้แต่กระทั่ง 1,000 สมาคมมือปีศาจก็จะถูกกำจัดออกไป


 


ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง สมาคมมือปีศาจก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น คนที่หนีไปนั้นเป็นสมุนที่ไร้ประโยชน์ซึ่งไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง


 


“ทักทายผู้อาวุโสหลิน” ผู้บัญชาการสาขาที่เจ็ดและรองผู้บังคับการแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสลาดตระเวน


 


อาวุโสหลินเหลือบไปที่สนามรบแล้วกล่าวถาม “การบาดเจ็บล้มตายเป็นอย่างไร?”


 


หวังกานกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “สาขาที่เจ็ดของข้าเกือบถูกกวาดล้าง รองผู้บังคับการสาขาสองคนของข้าตกตายและศิษย์หลักก็ประสบกับความสูญเสียที่ร้ายแรงเช่นกัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”


 


เมื่อเขาได้ยินว่ารองผู้บัญชาการสองคนเสียชีวิตในการต่อสู้ อาวุโสหลินไม่ได้ตอบสนองมากนัก แต่เมื่อเขาได้ยินว่าศิษย์หลักหลายคนตายไปแล้ว เขากลายเป็นโกรธแค้น “เวรเอ้ย พวกหนูเหล่านี้! เราต้องทำการถอนรากถอนโคนพวกมันในแคว้นวารีครามนี้ให้หมด องค์กรปีศาจเหล่านี้ทุกคนสมควรตาย!”


 


ทุกๆ สิบปีหรือหลายปี แคว้นวารีครามจะมีการถอนรากถอนโคนครั้งใหญ่ต่อองค์กรเต๋าปีศาจ


 


แต่องค์กรเต๋าปีศาจเหล่านี้เชี่ยวชาญในการซ่อนตัว ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าพวกมันได้รับการสนับสนุน นอกเหนือจากนี้ ทุกครั้งที่มีการถอนรากถอนโคน จะมีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วน ขณะที่องค์กรปีศาจที่ถูกบังคับให้ตายจะไปยังเมืองใกล้เคียงเพื่อแพร่พิษ ปล้น และบางครั้งก็ฆ่าทั้งเมือง


 


แต่ด้วยความตายของเหล่าศิษย์หลักจำนวนมาก พวกมันจะต้อถูกถอนออกแม้ว่ามันจะลำบากยากเย็นเพียงใดก็ตาม


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ศิษย์หลักก็เป็นเสาหลักในอนาคตของนิกายวารีคราม หากพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้ องค์กรเต๋าปีศาจจะดำเนินการโจมตีอย่างผิดกฎและไร้ความปราณีต่อไป


บทที่ 192


ความแข็งแกร่งของขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด


 


 


หลังจากเรียงลำดับออกมา มีเพียงศิษย์หลักสามคนเท่านั้นที่รอดชีวิตจากสาขาที่เจ็ด


 


พวกเขาคือดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิง หลี่ฟู่เฉิน และเซียงเทียนเชียง


 


โชคของเซียงเทียนเชียงนั้นค่อนข้างดี


 


นักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตสวรรค์คนแรกผู้นั้นพุ่งเป้าไปที่ดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิง


 


ขณะที่นักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตสวรรค์คนที่สองพุ่งเป้าไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


เซียงเทียนเชียงหนีไปเรื่อยๆ และทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขากับสนามรบ แม้แต่ในระหว่างนั้นเขาก็ไม่พบอันตรายใดๆ


 


“ข้าสงสัยว่านิกายจะตอบสนองอย่างไร?”


 


แม้แต่กระทั่งหลี่ฟู่เฉินก็ยังรู้สึกว่าศิษย์หลัก 11 คนที่ตายไปยังเป็นปัญหาร้ายแรง สมาคมมือปีศาจเพียงองค์กรเดียวก็พรากศิษย์หลักไปได้ถึง 11 คน หากเป็นองค์กรเต๋าปีศาจสิบอันดับแรกโจมตีพร้อมเพรียงกันนั้นจะเป็นอย่างไร? ผลลัพธ์จะเป็นความหายนะ


 


แม้ว่าความเป็นไปได้จะเล็กน้อย แต่ขั้นชื่อว่าเป็นไปได้ มันจึงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ


 


ด้วยสาขาเจ็ดที่ถูกทำลาย หลี่ฟูเฉินและส่วนที่เหลือของสาขาที่เจ็ดจึงอาศัยอยู่ที่สาขาที่หกชั่วคราว


 


ไม่กี่วันต่อมา ข่าวก็เดินทางไปยังนิกายวารีครามสำนักน้ำสีฟ้า


 


ระดับบนของนิกายวารีครามโกรธเกรี้ยว


 


ในห้องโถงนิกายวารีคราม ผู้นำนิกาย ผู้พิทักษ์นิกาย และผู้อาวุโสชั้นในระดับสูงก็ถูกเรียกรวมตัว


 


“องค์กรปีศาจที่น่าชังเหล่านั้น เราต้องกำจัดมันไปพร้อมๆ กันในครั้งนี้”


 


“แน่นอนว่าเราต้องถอนรากถอนโคน เป็นเวลากว่า 12 ปีแล้วตั้งแต่การกำจัดครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายใช่ไหม? ข้าสงสัยว่าข้อมูลที่รวบรวมมาของฝ่ายลับจะมากเพียงใด”


 


“ข้าไม่คิดว่าข้อมูลทั้งหมดจะเชื่อถือได้ องค์กรเต๋าปีศาจเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ฉลาดแกมโกง พวกมันจะเปลี่ยนที่ตั้งศูนย์ใหญ่ของพวกมันทุกสองสามปี องค์กรเต๋าปีศาจบางแห่งมีที่ซ่อนหลายที่เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ศัตรูว่าเป็นของจริงหรือของปลอม”


 


“ไม่ว่าพวกเราจะมีข้อมูลเท่าใด แต่ครั้งนี้ พวกเราก็ต้องถอนรากถอกโคนนักสู้เต๋าปีศาจทุกคนให้ได้  ข้าคิดว่ากลยุทธ์ของเราในการรวบรวมข้อมูลดูไม่น่าเชื่อถือนัก จะเป็นไปได้หรือไร หากจะค้นหาข้อมูลทั้งหมดขององค์กรเต๋าปีศาจและกำจัดพวกมันทั้งหมดในคราเดียว? เราควรทำการเก็บกวาดทุกสองสามปี เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้สพวกมันจะไม่กล้าเปิดเผยตน และจะถูกบังคับตัวเองให้ออกจากแคว้นวารีคราม!”


 


“เหอะ! บังคับให้พวกมันออกจากแคว้นวารีคราม? คิดว่าเป็นไปได้? นักสู้เต๋าปีศาจต้องพึ่งพาอะไรในการฝึกฝน? หากพวกเขาย้ายไปยังแคว้นอื่น พวกเขาอาจจะต้องเข้าร่วมกับองค์กรเต๋าปีศาจอื่นๆ หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตที่ยากลำบากของพวกมันเอง แม้ว่านิกายวารีครามของเราจะเป็นใหญ่ในแคว้นวารีคราม แต่ทรัพยากรเองก็ค่อนข้างหาง่าย พวกเขายังสามารถหามนุษย์ธรรมดาหรือนักสู้ที่อ่อนแอเพื่อฝึกฝนทักษะต่อสู้ของพวกมันได้อยู่ดี”


 


“ด้วยความเร็วในการฝึกฝนของพวกมัน นักสู้ขอบเขตพลังฉีที่ฝึกฝนทักษะเต๋าปีศาจสามารถพัฒนาไปสู่ขอบเขตต้นกำเนิดได้อย่างง่ายดายภายในเวลาไม่กี่ปี ในอีกสิบปีหรือราวๆ นั้น พวกมันจะสามารถก้าวไปสู่ขอบเขตปฐพีได้ หากพวกมันมีพรสวรรค์ พวกมันจะสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ได้ในเวลาเพียง 30 ถึง 40 ปี แต่เพื่อที่จะรักษาพลังบ่มเพาะระดับสูงนี้ไว้ พวกมันต้องมีอาณาเขตของตนเอง”


 


ผู้อาวุโสชั้นในกล่าวอย่างชาญฉลาดในขณะที่เขาวิเคราะห์องค์กรเต๋าปีศาจด้วยรายละเอียดที่แม่นยำ


 


“อาวุโสกู่กล่าวถูกแล้ว นักสู้เต๋าปีศาจสามารถฝึกฝนได้ด้วยความเร็วที่น่าตกใจ แต่ในระหว่างการฝึกฝน พวกเขามีโอกาสที่จะกลายเป็นปีศาจร้าย ขณะที่พวกเขาก้าวหน้าต่อไป ความน่าจะเป็นก็ยิ่งสูงขึ้น เพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน หากพวกเขาอยู่ในอณาเขตที่ไม่คุ้นเคย พวกเขาจะไม่มีเครื่องสังเวยที่เพียงพอต่อการบริโภค เว้นแต่จำเป็นจริงๆ ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะออกจากแคว้นวารีคราม” หนึ่งในผู้อาวุโสชั้นในสนับสนุนการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสกู่


 


รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้อาวุโสชั้นในคนอื่นๆ ชายเสื้อคลุมสีขาววัยกลางคนโบกมือของเขา “ตอนนี้ยังไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้ มารอผู้บัญชาการฝ่ายลับที่แอบแฝงตัวไปและถามความเห็นของนางกันเถอะ”


 


“ท่านผู้นำนิกาย ผู้บัญชาการลับมาถึงแล้ว”


 


เสียงของผู้พิทักษ์สะท้อนออกมาจากด้านนอกประตู


 


“เชิญนางเข้ามา” ชายเสื้อคลุมสีขาวพูด


 


ผู้บัญชาการลับที่ไปแอบแฝงตัวเป็นผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งมีดวงตาอันเฉียบแหลมรวมถึงการแสดงออกทางอารมณ์ของเธอก็ดูแหลมคม ระดับการฝึกฝนของเธอสูงมาก เธออยู่ในระดับที่ 9 ของขอบเขตสวรรค์


 


“ชีหม่าหลิวแสดงความเคารพต่อผู้นำนิกาย” หญิงวัยกลางคนโค้งคำนับด้วยการป้องกำปั้น


 


“ผู้บัญชาการฝ่ายชีหม่า บอกข้า ฝ่ายลับมีสถานที่ซ่อนขององค์กรเต๋าปีศาจกี่แห่ง?” ชายเสื้อคลุมขาวถามโดยไม่อ้อมค้อม


 


ชีหม่าหลิวตอบกลับ “หลังจากทำงานหนักมา 12 ปี ตอนนี้ฝ่ายลับมีที่ซ่อนขององค์กรเต๋าปีศาจ 15 แห่ง ในบรรดาพวกมันทั้ง 6 เป็นองค์กรเต๋าปีศาจที่ติดอันดับ พวกมันคือสมาคมแมลงวันพิษ หุบเขาคนตาย… และห้าพิษสามคณะ”


 


“โห้? แม้แต่กระทั้งที่ตั้งของห้าพิษสามคณะก็อยู่ในมือของเจ้า?” ดวงตาของชายเสื้อคลุมสีขาวสว่างขึ้น


 


ห้าพิษสามคณะเป็นหนึ่งในสามองค์กรอันดับต้นๆ ในแคว้นวารีคราม ภายในกลุ่มนี้มีนักสู้ขอบเขตสวรรค์หลายสิบคน ทั้งหมดนี้อยู่ในระดับที่ 9 ของขอบเขตสวรรค์ พวกเขามีบรรดาศักดิ์เป็นผู้อาวุโสห้าพิษแรกเริ่ม อาวุโสแมงป่องฟ้าแรกเริ่ม อาวุโสคางคงทองแรกเริ่ม อาวุโสโซ่แดงแรกเริ่ม อาวุโสพันฟุตแรกเริ่ม และผู้อาวุโสตุ๊กแกแรกเริ่ม


 


“กลุ่มของเจ้ามีข้อมูลมากมายจริงๆ ดูเหมือนว่าแผนก่อนหน้านี้ใช้งานได้จริง” ได้ยินชีหม่าหลิวอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรเต๋าปีศาจทั้ง 15 แห่ง ทุกคนแปลกใจ


 


หายใจเข้าลึกๆ ชายเสื้อคลุมสีขาวกล่าวโดยไม่ลังเล “มันดีมากแล้วที่มีที่ตั้งขององค์กรเต๋าปีศาจทั้ง 15 แห่ง สำหรับการกำจัดขนาดครั้งใหญ่นี้ แม้ว่าเราจะไม่สามารถลบล้างองค์กรเต๋าปีศาจทั้งหมดได้ อย่างน้อยเราก็จะสามารถกำจัดได้ 80% ของพวกมัน”


 


“เราจะลงมือทันที เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล การกำจัดจะเริ่มขึ้นในตอนนี้เลย ไปเชิญผู้อาวุโสสูงสุดมาที่นี่”


(หมายเหตุ TL: หัวหน้าผู้อาวุโสเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสสูงสุด)


 


“ไม่จำเป็นต้องเชิญข้า ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”


 


ชายชราที่มีผมหงอกปรากฏตัวขึ้นในห้องโถง พลังฉีที่ปรากฏตัวออกมาจากตัวเขานั้นทรงอำนาจก่อนที่มันจะกลายเป็นความโกรธแค้น มีเพียงชายเสื้อคลุมสีขาวเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่มือเขาได้


 


“อาวุโสสูงสุดเซี่ย ท่านมาถูกเวลาแล้ว การกำจัดห้าพิษสามคณะครั้งนี้อาจต้องการความช่วยเหลือจากท่าน” เขาไม่ได้ตั้งใจให้ผู้อาวุโสสูงสุดทุกคนมีส่วนร่วมในการกำจัดขนาดใหญ่ เขาแค่อยากถามดูว่าผู้อาวุโสสูงสุดคนใดจะเต็มใจเข้าร่วม และตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยมาที่นี่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแจ้งผู้อาวุโสคนอื่นๆ


 


“ข้าเป็นเพียงถุงกระดูกเก่า  มันคงเป็นการดีสำหรับข้าที่จะได้ออกกำลังกายบ้าง” ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยพยักหน้า


 


ชั่วครู่ต่อมา มีผู้อาวุโสนิกายชั้นในมากกว่า 200 คนเข้ามา ในท้องฟ้าของนิกายวารีครามนั้นมีร่างมนุษย์จำนวนมากปกคลุมอยู่ทั่วนิกาย แม้จะไม่มีการแสดงตนของสภาวะพลังฉีใดๆ แต่ก็มีรัศมีอันตรายควบแน่นอยู่บนท้องฟ้าแล้ว


 


วืด วืด วืด…


 


ผู้อาวุโสชั้นในแบ่งออกเป็น 15 กลุ่มและบินออกไปทันที ในหมู่พวกเขา เงาของผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยไม่สามารถมองเห็นได้ มันเป็นราวกับว่ามองไม่เห็นเขา


 


ในวันแรก สี่องค์กรเต๋าปีศาจถูกกำจัดทั้งหมด


 


วันที่สอง แปด


 


ในวันที่สาม …


 


“ผู้อาวุโสสูงสุด ห้าพิษสามคณะอยู่ใต้เนินเขานั้น” คนที่บอกเขาว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของฝ่ายลับ


 


ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยพยักหน้าและแจ้งแก่ผู้อาวุโสใหญ่จ้าวหวูจิน “ปิดกั้นพื้นที่ทั้งหมดภายในรัศมีสิบไมล์ แมลงวันซักตัวก็ห้ามปล่อยออกไป”


 


“ได้” จ้าวหวูจินและผู้อาวุโสชั้นในที่เหลือกระจายตัวออกไป


 


“เนินเขาลูกนี้เป็นปัญหา ดูเหมือนว่าข้าจะต้องใช้เทคนิคลับ”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเขาหายใจออก ระเบิดพลังฉีก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน การปรากฏตัวของสภาวะพลังฉีนี้ให้ความรู้สึกเราวกับเวลาหยุดเดินและพร้อมที่จะทำลายสวรรค์ทั้งปวง มันครอบคลุมรัศมีสองสามไมล์ทั้งหมด


 


ในเวลาเดียวกัน เมฆเหนือท้องฟ้าเริ่มหมุนวน


 


“นิกายต้นกำเนิดดาบ แข็งตัว!”


 


ดาบพลังฉีนับหมื่นเล่มปรากฏขึ้นมาในอากาศ จากนั้นมันก็รวมกันอย่างรวดเร็วและกลายเป็นดาบขนาดยักษ์ที่คล้ายกับจะสามารถทลายสวรรค์ได้


 


“ไป!” ยกมือขวาของเขาขึ้นสูง ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยเหวี่ยงมือลงอย่างโหดเหี้ยม


 


ตึ้ม!


 


เขาสูง 100 เมตรแบ่งออกเป็นสองท่อน


 


“ไป!”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยแกว่งมือขวาของเขาอย่างต่อเนื่อง ดาบยักษ์ลงสู่พื้นในที่อื่นๆ เป็นช่องๆ ทุกช่องมีความกว้างประมาณสิบเมตรและลึกมากจนไม่สามารถวัดมัน


 


ด้านในของห้าพิษสามคณะนั้นได้กลายเป็นโจ๊กหม้อใหญ่ไปแล้ว พลังของนิกายต้นกำเนิดดาบนั้นโดดเด่นเกินไป ทุกครั้งที่ดาบฟาดฟันเข้ามา สมาชิกห้าพิษสามคณะจำนวนมากจะถูกฝังทั้งเป็นหรือถูกสังหารโดยคลื่นกระแทกที่เกิดจากดาบยักษ์


 


“มันเป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด!” หนึ่งในห้าหัวหน้าห้าพิษสามคณะตกใจ


บทที่ 193


ชั้นที่สองของหอคอยศิษย์สายตรง


 


 


ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก ผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิดถือเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูง


 


พวกเขาควบคุมนิกาย ในขณะที่นิกายปกครองดินแดน


 


หากนิกายไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญหวนคืนกำเนิด นิกายนั้นน่าจะถูกกำจัดในพริบตา


 


เพียงมีนักสู้ขอบเขตหวนคืนกำเนิเท่านั้น ที่สามารถสืบทอดนิกายได้


 


ผู้นำห้าพิษสามคณะไม่คาดหวังว่านิกายวารีครามจะหาที่ซ่อนของพวกเขาพบ สำหรับปีที่ผ่านมา พวกเขามักใช้เส้นทางใต้ดินเพื่อกลับไปที่ถ้ำของพวกเขา พวกเขาไม่เคยเปิดเผยตัวเองระหว่างเส้นทางกลับของพวกเขา


 


ด้วยการหันส่วนหัวออก ที่ซ่อนของห้าพิษสามคณะส่วนใหญ่ทรุดตัวลง ส่วนที่เหลือยังคงพังทลายลงเนื่องจากหินและโคลนจำนวนนับไม่ถ้วน อย่าได้กล่าวถึงนักสู้ขอบเขตสวรรค์ ถึงแม้จะเป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดก็อาจไม่สามารถต้านทานสถานการณ์ในปัจจุบันได้


 


วืด สึบ วูด…


 


เงาหนีออกมาจากรอยแยกและหนีไปทุกทิศทุกทาง จากสภาวะพลังฉีของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นนักสู้ขอบเขตสวรรค์ทั้งหมด


 


“กระจายตัวและกำจัดให้สิ้น” ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขากำหมัดขวาแน่นและชูขึ้นอีกครั้ง


 


ชูว ชูว ชูว ชูว……


 


เช่นเดียวกับกลีบดอกไม้ที่กระจัดกระจาย เช่นเดียวกับขนของนกยูง ดาบขนาดยักษ์บนท้องฟ้ากระจัดกระจายไปเป็นดาบพลังฉีหมื่นเล่ม ดาบพลังฉีแต่ละเล่นเพียงพอที่จะสังหารนักสู้ขอบเขตสวรรค์


 


“ร่างกายคางคกทอง!”


 


ชายชราสวมเสื้อคลุมสีทองเข้มออกมาพร้อมกับสภาวะพลังฉีของเขา เงาคางคกสีทองห่อหุ้มเขาไว้และปิดกั้นดาบพลังฉีจำนวนมาก


 


“ตุ๊กแกสำรองหาง”


 


ชายชราชุดคลุมน้ำตาลอีกคนหนึ่งเริ่มที่จะหักนิ้วของเขา นิ้วที่แตกสลายกลายเป็นละอองเลือดและก่อตัวเป็นโคลนเลือด โคลนเลือดปิดกั้นการโจมตีและอนุญาตให้ชายชรารักษาชีวิตของเขาไว้


 


“เทคนิคลับระดับ 4 ดาว? น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่อย่างไรเจ้าก็ต้องตาย”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยควบคุมดาบพลังฉีเพื่อโจมตีสองคนนี้


 


บูม! ปั้ง!


 


คนแรกที่ร่วงหล่นคือชายชราเสื้อคลุมทอง คางคกทองที่หุ้มเขาไว้ถูกดาบพลังฉีประมาณหนึ่งโหลเจาะเข้าไปท้ายที่สุดเขาก็ทรุดตัวลง


 


ถัดไปเป็นชายชราเสื้อคลุมน้ำตาล เทคนิคลับระดับ 4 ดาวของเขาค่อนข้างยากที่จะจัดการ เขาสามารถทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายพิการได้ตลอดเวลาเพื่อสร้างโคลนเลือดและป้องกันตัวเขา แต่การก่อตัวของโคลนเลือดช้ากว่าความเร็วในการทำลายของดาบพลังฉี หลังจากการโจมตีดาบพลังฉีสิบเอ็ดเล่ม โคลนเลือดที่อัดแน่นเต็มร่างกายของเขากลายเป็นละอองเลือด


 


“มีแค่สอง?”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยขมวดคิ้ว หลังจากสังหารนักสู้เต๋าปีศาจขอบเขตสวรรค์ไปกว่า 40 คน พลังฉีที่เขาใช้ไปกับดาบพลังฉีมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่เขาเป็นกังวล คือหัวหน้าผู้อาวุโสอีกสามคนของพิษห้าสามคณะ พวกเขาอาจตายใต้พื้นดินหรือไม่?


 


***


 


ห่างออกไป 8 ไมล์


 


“นิกายต้นกำเนิดดาบ!” จ้าวหวูจินคำราม ขณะที่ดาบพลังฉีนับพันถูกยิงไปยังผู้อาวุโสแมงป่องฟ้า


 


ผู้อาวุโสแมงป่องฟ้านั้นค่อนข้างน่ากลัว แม้แต่ในหมู่ผู้อาวุโสนิกายวารีครามด้วยกันเอง เขาก็ได้รับการพิจารณาให้ติดอันดับ 20 อันดับแรก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีทางจัดการกับนิกายต้นกำเนิดดาบของจ้าวหวูจินได้ เขาถูกเชือดตายทันทีด้วยดาบพลังฉีนับไม่ถ้วน


 


ในอีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสชั้นในสี่คนจับมือกันเพื่อจัดการกับอาวุโสโซ่แดง หลังจากแลกเปลี่ยนไปหลายสิบกระบวนท่า อาวุโสแดงก็ถูกสังหาร


 


ผู้อาวุโสพันไมล์อีกคนจะยังไม่เห็นตัว


 


หลังจากนั้นหลายชั่วโมง ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยและคนอื่นๆ ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมแพ้ จากข้อมูลของพวกเขา พวกเขาเข้าใจว่าผู้อาวุโสพันไมล์เชี่ยวชาญในการขุดอุโมงค์ ข้อสันนิษฐานของพวกเขาคือเขาขุดอุโมงค์หนีไปแล้ว


 


ด้วยสิ่งนี้ ทุกคนจึงรู้สึกหมดหนทาง แต่พวกเขาก็ไม่ผิดหวังเช่นกัน


 


ผู้อาวุโสพันไมล์ไม่สามารถสร้างความสับสนวุ่นวายได้ด้วยตัวเขาเอง


 


ยิ่งไปกว่านั้น หากเขากล้าที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อสร้างความสับสนวุ่นวายอีกครั้ง นิกายวารีครามสามารถใช้ทรัพยากรบางอย่างเพื่อค้นหาเขาได้


 


โลกนี้กว้างใหญ่ มีทักษะต่อสู้และเทคนิคลับทุกประเภทที่ท่านสามารถจินตนาการได้


 


ในนิกาย มีเทคนิคลับที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการติดตาม ตราบใดที่พวกเขาพบร่องรอยสภาวะพลังฉีของท่าน ท่านก็จะถูกติดตามไปยังสุดขอบโลก


 


ข่าวการทำลายล้างองค์กรเต๋าปีศาจ 15 แห่งที่ถูกปกปิดเอาไว้ คนที่รู้ข้อมูลมีเพียงตำแหน่งระดับสูงของนิกายวารีครามและส่วนที่เหลือขององค์กรเต๋าปีศาจที่รอดตาย


 


เมื่อเห็นว่านิกายวารีครามแสดงความกล้าหาญของพวกเขาออกมาอย่างไร องค์กรเต๋าปีศาจที่รอดตายไม่กล้าที่จะแข็งขืนอีก พวกเขารู้ว่าได้ตามธรรมชาติว่านิกายวารีครามจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่จำเป็น แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว พวกเขาจะบังคับให้เจ้าสูญสิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไม ภายในไม่กี่ปีนี้ มันจะดีกว่าหากทำตัวต้อยต่ำเข้าไว้


 


***


 


หลังจากอยู่ที่สาขาที่หกเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ หลี่ฟูเฉินกลับไปที่นิกายวารีคราม


 


เขาสามารถรู้สึกได้ว่าแคว้นนิกายวารีครามจะมีสันติภาพเป็นเวลานาน ในช่วงเวลาแห่งความสงบสุข ฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์และฝ่ายโลหิตเหล็กก็จะเพลิดเพลินไปกับความเงียบสงบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย การพักที่นี่จะเป็นการเสียเวลาเปล่า


 


เขาจำเป็นต้องไปท้าทายหอคอยศิษย์สายตรงอีกครั้งจากนั้นก็ไปยังโลกภายนอกเพื่อฝึกฝนตัวเอง


 


ถูกแล้ว เขากำลังเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังโลกของนักสู้เพื่อฝึกฝน


 


มันไม่ใช่วิถีชีวิตของเขาที่จะฝึกฝนตามปกติ


 


เขาจะไม่รอจนไปถึงขอบเขตสวรรค์ในนิกายวารีครามก่อนและค่อยออกไปสู่โลกภายนอก ชีวิตแบบนี้น่าเบื่อและจืดชืดเกินไป


 


แต่ละระดับของหอคอยศิษย์สายตรงนั้นยากกว่าระดับก่อนหน้ามาก


 


ณ ตอนนี้ ศิษย์หลักเกือบทั้งหมด มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถผ่านชั้นสามของหอคอยศิษย์สายตรงได้ และพวกเขาทั้งสามไม่รวมดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิง


 


แน่นอนว่าหลี่ฟูเฉินยังไม่มีความสามารถที่จะท้าทายชั้นสามได้ วัตถุประสงค์ของเขาคือการผ่านชั้นสอง


 


มาถึงที่หอคอยศิษย์สายตรง หลี่ฟู่เฉินเห็นดาบไร้อารมณ์


 


ด้วยเวลาไม่กี่วัน การฝึกฝนของเซี่ยเฟิงนั้นมาถึงระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพีแล้ว


 


‘เขาควรมาที่นี่เพื่อท้าทายชั้นสาม!’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเอง


 


เซี่ยเฟิงเองก็สังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน เขาประทับใจหลี่ฟู่เฉินค่อนข้างมาก ในหัวใจของเขา เขาปฏิบัติต่อหลี่ฟูเฉินเหมือนกับมนุษย์ประเภทเดียวกันกับพวกเขาแล้ว (หมายเหตุ : หมายถึงผู้ที่มีความสามารถของโครงกระดูกระดับเดียวกัน)


 


หันกลับมา เซี่ยเฟิงเข้าสู้หอคอยศิษย์สายตรง


 


สักครู่ต่อมา ตะเกียงของชั้นสามสว่างขึ้น


 


“เขาผ่านแล้ว?” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินสว่างขึ้น


 


บนชั้นแรกของหอคอยศิษย์สายตรง รูปแบบการสร้างสัตว์ปีศาจคือระดับ 3 ขั้นกลาง รูปแบบการก่อตัวบนชั้นสองและชั้นสามถูกตั้งค่าให้ผลิตสัตว์ปีศาจชั้นสูง 3


 


แต่ชั้นสองสร้างสัตว์ปีศาจระดับ 3 ขั้นสูงที่อ่อนแอ ในขณะที่ชั้นสามเป็นสัตว์ปีศาจระดับ 3 ขั้นสูงที่น่าเกรงขาม


 


เดินออกจากหอคอยศิษย์สายตรง สีหน้าของเซี่ยเฟิงกลายเป็นอ่อนโยนมากขึ้น


 


ดาบคลั่งหลงใหลในทักษะดาบ นอกเหนือจากการศึกษาอย่างสันโดษ ก็เป็นการบ่มเพาะ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะออกไปข้างนอกและฝึกฝนสภาวะจิตของตัวเองเลย


 


นอกจากดาบคลั่งและบุคคลที่หายากไม่กี่คน ศิษย์หลักคนอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดก็ออกไปฝึกฝนด้วยตนเอง


 


และเขาเองก็ตั้งใจที่จะออกไปฝึกฝนด้วยตนเอง


 


เขาวางแผนที่จะเสี่ยงดูหากเขาผ่านชั้นสามของหอคอยศิษย์สายตรง


 


“หากเจ้าต้องการที่จะเสี่ยง มันจะเป็นการดีที่สุดหากไปยังแคว้นร้อยเทพยุทธ์ เป็นภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่กว่าแคว้นวารีครามเป็นสิบเท่า จะมีโอกาสนับไม่ถ้วนในการเผชิญหน้ากับโชคแลพอันตรายเพื่อฝึกฝนอารมณ์ของตนเอง”


 


เมื่อเซี่ยเฟิงเดินผ่านไหลของหลี่ฟู่เฉิน เขาส่งข้อความไปที่หูของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเบาๆ ตำแหน่งในใจของเขาเองก็เป็นแคว้นร้อยเทพยุทธ์


 


มันเป็นดินแดนที่ไม่มีผู้ปกครองเด็ดขาด มีพลังอิทธิพลมากมายที่อยู่ภายในและนักสู้เองก็มากมายเช่นกัน มีข่าวลือว่ามีหลุมฝังศพของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงซ่อนอยู่ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงดึงดูดนักเดินทางมากมาย


 


เมื่อปริมาณคนเพิ่มขึ้น ก็มีความขัดแย้งมากขึ้นเช่นกัน ไม่ทราบว่ามีนักสู้กี่คนที่เสียชีวิตในแคว้นร้อยเทพยุทธ์ ดังนั้นมันจึงทิ้งทักษะต่อสู้ที่ไม่ซ้ำกันไว้ แคว้นร้อยเทพยุทธ์ถือเป็นสถานที่หนึ่งที่สามารถขอรับทักษะต่อสู้มาได้อย่างง่ายดาย


 


นอกจากนี้ แคว้นร้อยเทพยุทธ์เป็นสถานที่ที่มีอนุสาวรีย์อันตรายมากมาย ว่ากันว่า แคว้นนั้นเป็นที่ที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ในการทำสงคราม ดังนั้นตั้งแต่ที่ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงหายไป พวกเขาจึงทิ้งรอยจากการต่อสู้ไว้ซึ่งมันก็กลายเป็นอนุสรณ์สถานที่อันตรายยิ่ง


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับว่าทำไมเซี่ยเฟิงถึงรู้ว่าเขากำลังออกไปหาประสบการณ์


 


อัจฉริยะทุกคนมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ มันจะมีเพียงอัจฉริยะอีกคนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจวิธีคิดของพวกเขาได้


 


ในฐานะที่ผู้ท้าชิงก่อนหน้าออกจากหอคอยศิษย์สายตรงแล้ว หลี่ฟู่เฉินจึงเดินไปข้างหน้าหลายก้าวและเข้าไปในหอคอย


บทที่ 194


ศรทลายปีศาจ


 


 


ด้วยระดับการฝึกฝนระดับที่ 2 ขอบขอบปฐพีของเขาและเจตจำนงลึกลับขั้นกลางสามเจตจำนง หลี่ฟูเฉินพบว่าไม่มีปัญหาในการผ่านชั้นสองของหอคอยศิษย์สายตรง


 


ตอนนี้เขาผ่านชั้นสองของหอคอยศิษย์สายตรงแล้ว เขาสามารถแลกทักษะแท้จริงได้


 


คราวนี้ หลี่ฟู่เฉินแลกเทคนิคลับระดับ 3 ดาว


 


เทคนิคลับระดับ 4 ดาวสามารถแลกได้หลังจากผ่านชั้นสี่ของหอคอยศิษย์สายตรงเท่านั้น


 


สำหรับเทคนิคลับระดับ 5 ดาว หนึ่งจะต้องผ่านชั้นเจ็ดของหอคอย และสำหรับหลี่ฟู่เฉิน นั่นเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินไป


 


เทคนิคการลับระดับ 3 ดาวนี้เรียกว่าฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่ม มันอนุญาตให้พลังฉีที่ไหลเวียนอยู่ใรฝ่ามือแปรสภาพเป็นพลังฉีกระจ่างแรกเริ่ม ความแรงในการระเบิดพลังฉีกระจ่างแรกเริ่มนั้นเหนือกว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับ เทคนิคลับมังกรเร้นลับสามารถเพิ่มการระเบิดสภาวะพลังฉีได้หนึ่งหรือสองเท่า แต่ฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่มสามารถเพิ่มแรงระเบิดหนึ่งได้มากกว่าสองเท่า


 


แต่เทคนิคลับมังกรเร้นลับนั้นเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวม ในขณะที่ฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่มเพิ่มพลังฉีที่มือข้างหนึ่งเท่านั้น


 


ในแง่ของความหายาก เทคนิคลับมังกรเร้นลับยังคงเหนือกว่า


 


นอกเหนือจากเทคนิคลับระดับ 3 ดาว หลี่ฟู่เฉินแลกทักษะดาบลึกลับขั้นสูงมาด้วยเช่นกัน


 


ในนิกายวารีคราม ทักษะดาบลึกลับขั้นสูงไม่ถือเป็นทักษะแท้จริง เฉพาะทักษะดาบขั้นสูงสุดเท่านั้นที่ถูกจัดหมวดอยู่ในหมวดทักษะแท้จริง


 


แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถแลกทักษะดาบลึกลับขั้นสูงได้ นอกเหนือจากศิษย์หลักและผู้อาวุโสชั้นใน หรือใครก็ตามที่มีสถานะสูงกว่าหรือเทียบเท่า หากใครต้องการแลกทักษะดาบลึกลับขั้นสูง พวกเขาจะต้องมีส่วนร่วมสำคัญในนิกายก่อน


 


หลี่ฟู่เฉินไถ่ถอนทักษะดาบลึกลับขั้นสูงซึ่งมีชื่อว่า วิชาดาบเพลิงปีศาจ


 


นี่เป็นทักษะดาบที่น่ากลัว ในขั้นสูงสุด มันมีพลังที่จะขับไล่ปีศาจและวิญญาณออกไปได้อย่างง่ายดาย


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเพลิงปีศาจได้ในระยะเวลาอันสั้น มันจะไม่มีวันเป็นจริง แม้ว่าจะมีจิตวิญญาณสีฟ้าอ่อนของเขา แม้ว่าเขาอาจมีการรับรู้ที่เพียงพอ ระดับการฝึกฝนของเขาก็ยังห่างไกลมันเกินไป


 


ถึงอย่างนั้น หลี่ฟู่เฉินก็จบด้วยการไถ่ถอนมันออกมา เขาไม่รู้ว่าจะกลับมาจากการฝึกซ้อมครั้งนี้เมื่อใด บางทีในช่วงระยะเวลาการฝึกตนนี้ ท้ายที่สุดเขาอาจจะเข้าใจเจตจำนงดาบเพลิงปีศาจ?


 


ไม่รีบออกไปฝึกซ้อม หลี่ฟูเฉินจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่ม


 


ในขณะที่เขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่มแล้ว หลี่ฟูเฉินก็เข้าใจว่าฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่มไม่ได้ด้อยไปกว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับ


 


แม้ว่ามันจะไม่ได้สนับสนุนความสามารถโดยรวมเหมือนกับที่เทคนิคลับมังกรเร้นลับทำได้ แต่มันจะเพิ่มความแข็งแรงในการระเบิดพลังฝ่ามือข้างหนึ่งมากกว่าสองเท่า นอกเหนือจากนี้ มันยังเพิ่มชั้นพลังของฝ่ามือ เมื่อฝึกฝนมันเสร็จสิ้น มือของเขาจะไม่ด้อยไปกว่าอาวุธระดับสีเหลืองขั้นสูงสุด


 


ฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่มมีทั้งหมดขั้น ขั้นแรก หนึ่งฝ่ามือของคนๆ นึงจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน


 


ขั้นที่สอง มันจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน


 


เฉพาะเมื่อเสร็จสิ้นขั้นสองแล้วเท่านั้น มือจะคืนกลับเป็นสีเดิม


 


มองไปที่มือซึ่งค่อนข้างแดงของเขา หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ร้องไห้ไปพร้อมๆ กับหัวเราะ


 


มือของเขาเรียบรื่นและอ่อนโยนเกินไป หากไม่ได้ดูอย่างตั้งใจ พวกมันจะไม่สามารถหารูขุมขนใดๆ ได้


 


แต่พวกมันไม่เหมือนกับมือของผู้หญิง มือเหล่านี้อ่อนนุ่มและอ่อนโยนจริงๆ แต่พวกนางไม่ได้อ่อนแอ มือเหล่านั้นดูเหมือนมือที่คล้ายกับถูกแกะสลักมาจากหยก แต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งมากมาย


 


ปิส!


 


โดยไม่ใช้พลังฉีใดๆ หลี่ฟู่เฉินแทงมือขวาของเขาไปยังแร่สีเหลืองขั้นกลาง


 


ปิส ปิส ปิส…


 


ใช้มือทั้งสองแทงอย่างต่อเนื่อง แร่สีเหลืองขั้นกลางก็ถูกแทงเป็นรังผึ้ง


 


‘นี้ไม่ใช่ว่าเท่ากับเทคนิคการปรับแต่งร่างกายของมือ?’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเอง


 


หลังจากนั้นไม่กี่วัน มือของหลี่ฟู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองอ่อน


 


มือสีเหลืองอ่อนของเขาให้ออร่าเย็นยะเยือกและดุร้าย


 


ดูเหมือนว่ามือเหล่านี้มีสติเป็นของตัวเองและสามารถเรียกร้องชีวิตได้ตลอดเวลาที่ต้องการ


 


หลี่ฟูเฉินวิเคราะห์มือที่คุ้นเคยและแปลกประหลาดของเขา


 


เขาตระหนักได้ว่าเมื่อฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่มถึงขั้นที่สอง ลวดลายที่ละเอียดอ่อนมากมายปรากฏขึ้นบนผิวของเขา เมื่อมองใกล้ๆ เห็นได้ชัดว่ารูปแบบเหล่านี้มีสาระสำคัญของฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่ม


 


“เทคนิคลับนี้แน่นอนว่ามีแต่เรื่องลึกลับ!” หลี่ฟู่เฉินเต็มไปด้วยความรู้สึก


 


เทคนิคลับยังคงเป็นทักษะต่อสู้ แต่จริงๆ แล้วมันมีความแตกต่างกันมากแม้ว่าจะเปรียบเทียบกับทักษะต่อสู้


 


เป้าหมายสุดท้ายของทักษะต่อสู้คือการเข้าใจเจตจำนงของมัน


 


แต่เป้าหมายสูงสุดของเทคนิคลับคือการเปิดเผยความลับแห่งสวรรค์และโลก


 


เส้นทางของทักษะทั้งสองนั้นแตกต่างกัน


 


หนึ่งคือการสร้าง อีกหนึ่งคือการเปิดเผย


 


“ถึงเวลาที่ข้าต้องเสี่ยงแล้ว”


 


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสำเร็จฝ่ามือกระจ่างแรกเริ่ม นอกจาการสร้างเส้นชีพจรส่วนใหญ่ในมือข้างหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกฝนจะต้องกำหนดโครงสร้างในเนื้อที่มือของเขา เพื่อให้มันแข็งแกร่งขึ้นและเพิ่มความสามารถในการทนต่อพลังจำนวนมาก


 


ตอนนี้ การรับรู้ไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป กระบวนการพื้นฐานไม่สามารถเสร็จสิ้นด้วยทางลัด


 


***


 


“เจ้าต้องการออกไปฝึกฝน?”


 


ในห้องโถงศิษย์หลัก จ้าวหวูจินรู้สึกประหลาดใจ


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า “ใช่”


 


“ไม่ใช่ว่าเร็วเกินไป? ตอนนี้เจ้าเพิ่งอยู่ระดับที่ 2 ของขอบเขตปฐพี มันจะไม่สายเกินไปหากเจ้าออกไปฝึกฝนหลังจากที่เจ้าตัดผ่านไปสู่ระดับที่ 6 ของขอบเขตปฐพีได้แล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะใช้เวลาแค่สองสามปีเท่านั้น” จ้าวหวูจินแนะนำ


 


การให้ตัวเองอยู่ในโลกภายนอกนั้นเสี่ยงเกินไป จากศิษย์สิบคนที่ออกไปข้างนอก หนึ่งหรือสองคนจะพินาศสิ้น


 


หากต้องการออกไปข้างนอก ไม่เพียงแต่ความสามารถที่จำเป็นเท่านั้น โชคเองก็จำเป็นเช่นกัน หากโชคไม่ดีพอ เจ้าจะได้พบกับนักสู้ขอบเขตสวรรค์


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ข้าต้องการเติบโตให้เร็วขึ้น แคว้นวารีครามไม่สามารถทำให้ข้าพอใจได้อีกต่อไปแล้ว”


 


“เติบโตเร็วขึ้น?” จ้าวหวูจินส่ายหัว หากไม่มีชีวิตคนเราจะเติบโตต่อไปได้อย่างไร?


 


ความหมายที่แท้จริงของการเติบโตคือการเติบโตอย่างมั่นคงด้วยรากฐานของใครคนหนึ่ง


 


แต่หลังจากมองทุกๆ สิ่งแล้ว เขาก็ไม่สามารถเข้าใจความคิดของศิษย์หลักระดับทองได้


 


ศิษย์หลักระดับทองเหล่านี้ทั้งหมดอาศัยอยู่อย่างสันโดษและดื้อรั้น เมื่อพวกเขามีเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้แต่ม้าสิบตัวก็ไม่สามารถลากกลับคืนมาได้


 


เฉพาะดาบคลั่งเท่านั้นที่ดีกว่าเล็กน้อย


 


แต่จ้าวหวูจินรู้ว่าดาบคลั่งนั้นค่อนข้างพิเศษ เขาหมกมุ่นอยู่กับทักษะดาบเท่านั้นและไม่มีอะไรอื่น


 


จ้าวหวูจินเกือบจะลืมไปว่าเขาก็เคยเป็นศิษย์หลักระดับทอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นหนึ่งหัวกะทิก็ตาม


 


ถอนหายใจ จ้าวหวูจินกล่าว “ข้ารู้ว่าหัวใจของเจ้ากำหนดเป้าหมายไว้แล้ว ข้าจะไม่พยายามเกลี้ยกล่อมเจ้าอีก นี่คือศรทลายปีศาจสามอันและหน้าไม้ที่สร้างขึ้นโดยข้า มันมีไว้สำหรับปกป้องตัวเจ้าเอง หากเจ้าพบศัตรูใดๆ ที่เจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ ลูกศรทลายปีศาจเพียงนัดเดียวอาจช่วยให้เจ้าเปลี่ยนโอกาสชิงความได้เปรียบกลับคืนมา”


 


“ศรทลายปีศาจ?”


 


หลี่ฟู่เฉินได้รับลูกธนู 3 ลูกที่มีความยาวหนึ่งเมตรและมีความกว้างเท่าตะเกียบมา


 


ลูกศรนี้ทำมาจากแร่ทองดำระดับลึกลับขั้นกลาง ที่ตำแหน่งหัวลูกศรเป็นแร่ผลึกสีดำที่ดูเหมือนจะเป็นอันตรายถึงชีวิต


 


จ้าวหวูจินอธิบาย “ก้านลูกศรไม่ได้มีอะไรพิเศษ มันเป็นเพียงแร่ทองดำธรรมดา แต่ผลึกตรงหัวลูกศรเป็นผลึกทลายปีศาจที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเหรียญทอง มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายพลังฉีเป็นพิเศษ เจ้าสามารถลองพลังของมัน”


 


ได้ยินคำอธิบายของจ้าวหวูจิน หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยพลังฉีเพลิงโลกันต์แท้จริงออกจากร่างกายของเขาและสร้างเกราะพลังฉี มือขวาของเขาส่งพลังฉีไปที่ศรทลายปีศาจ ขณะที่ยื่นมันเข้าไปในร่างกายของตนเอง


 


ปิสส!


 


อย่างง่ายดาย ลูกศรเจาะผ่านเกราะป้องกันของหลี่ฟู่เฉินไป


 


“อาจถึงตายได้” หลี่ฟู่เฉินอ้าปากค้าง


 


หากใครก็ตามใช้ศรทลายปีศาจนี้เพื่อจัดการเขา มันจะฆ่าเขาด้วยลูกศรเดียว


 


แน่นอนว่มันจะต้องโจมตีให้โดนก่อน


 


“ขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่” หลี่ฟู่เฉินกล่าวขอบคุณอย่างรู้คุณ


 


จ้าวหวูจินตอบ “ยังไม่สายเกินไปหากจะขอบคุณข้าหลังจากที่เจ้ากลับมา”


 


ศรทลายปีศาจทั้งสามนี้เป็นของใช้พลิกสถานการณ์ ไม่รู้ว่าพวกมันจะมีประโยชน์กับศัตรูเก่งกว่ามากหรือเก่งกว่าเกินไปหรือไม่


 


หลังจากออกจากห้องโถงศิษย์หลัก หลี่ฟูเฉินมุ่งหน้าไปยังห้องโถงทรัพยากร เขาแลกคะแนนสะสมไป 2 ล้านคะแนนไปกับเม็ดยาและรายการอื่น ๆ


 


วันถัดไป หลี่ฟู่เฉินขี่ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 และควบม้าออกจากนิกายวารีคราม


 


จากฟากฟ้า จ้าวหวูจินติดตามไปอย่างลับๆ 2 สัปดาห์ต่อมา ขณะที่หลี่ฟูเฉินออกจากแคว้นวารีคราม เมื่อนั้นจ้าวหวูจินถึงจะเต็มใจกลับมายังนิกายวารีคราม


บทที่ 195


อัจฉริยะราวกับเม็ดฝน


 


 


แคว้นเร้นวิญญาณ แคว้นที่ถูกปกครองโดยนิกายเร้นวิญญาณ


 


หากหลี่ฟู่เฉินต้องการไปยังแค้วนร้อยเทพยุทธ์ เขาจะต้องผ่านแคว้นเร้นวิญญาณก่อนเป็นอันดับแรก


 


เพื่อป้องกันเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม หลี่ฟูเฉินสวมหน้ากากปลอมตัวเพื่อเร้นสภาวะพลังของเขา เขาดูราวกับชายอายุ 30 ปี แต่ก็ยังดูหล่ออยู่


 


เมืองจันทร์ทมิฬ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองหลักของแคว้นเร้นวิญญาณ


 


เมืองนี้มีประชากรหลายล้านคน ขนาดที่แท้จริงของมันมากกว่าเมืองหมอกเมฆาสิบเท่า ถนนของเมืองอนุญาตให้ม้าสิบหกตัวเดินเคียงกันได้อย่างง่ายดาย


 


หลังจากพักที่เมืองจันทราทมิฬหนึ่งวัน หลี่ฟู่เฉินออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไป


 


***


 


น้ำขึ้นยามดึก พระจันทร์เสี้ยวถูกแขวนไว้เหนือเมฆเพียงลำพัง ขณะแสงจันทร์ที่อ้าวว้าวส่องแสงลงมายังดินแดน


 


ในที่ราบว่างเปล่าเปลวเพลิงจากกองไฟโบกสบัดอย่างนุ่มนวล


 


ด้านข้างของกองไฟเป็นร่างบุคคลที่กำลังฝึกซ้อมเพลงดาบของเขา


 


ดาบจะมีเปลวเพลิงลุกออกมาทุกๆ ครั้งที่เคลื่อนไหว


 


การเดินทางในการฝึกฝนตัวเองเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง


 


มันเป็นเช่นเดียวกับชีวิตของอัจฉริยะส่วนใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่อย่างสันโดษและโดดเดี่ยว


 


เดิมที หลี่ฟู่เฉินไม่อาจถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่กลับกันเขาถือว่าเป็นผู้ที่มีการรับรู้ที่ดี


 


แต่วันที่เครื่องรางทองคำเข้ามาในร่างกายของเขา มันก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าชีวิตของเขาจะไม่สามารถดำเนินไปตามเส้นทางเดิมของเขาได้ มันจึงเป็นต้องเดินบนเส้นทางใหม่


 


และเส้นทางนี้ยาวกว่าและน่าเบื่อกว่ามาก เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้


 


เขาไม่รู้ว่าเครื่องรางทองคำของเขาจะพาเขาไปสิ้นสุดที่ใด


 


แต่มันจะสำคัญอะไร?


 


ตราบใดที่ยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันก็เพียงพอแล้ว


 


ในคืนนี้ ฝนดาวตกเกิดขึ้น อุกกาบาตก้าวผ่านข้ามท้องฟ้า แสงส่องสว่างอย่างสุกใส


 


***


 


ออกจากแคว้นเร้นวิญญาณ หลี่ฟู่เฉินมาถึงแคว้นนภาดารา


 


นิกายนภาดาราเป็นนิกายที่ทรงพลังยิ่ง เมื่อหลายปีก่อน นิกายเร้นวิญญาณและนิกายสวรรค์ปีศาจได้ผนึกกำลังกันเพื่อประกาศสงครามกับนิกายนภาดารา ต่อสู้เพื่อสมบัติ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือความพ่ายแพ้ของนิกายเร้นวิญญาณและนิกายสวรรค์ปีศาจทั้งสอง


 


หากไม่ใช่เพราะนิกายนภาดารามีศัตรูอื่นอยู่ นิกายเร้นวิญญาณและนิกายสวรรค์ปีศาจจะได้รับการสูญเสียมากกว่าเดิมแน่นอน


 


ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก มีหลายนิกาย ความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละนิกายนั้นไม่ได้สิ่งง่ายๆ อย่างใครแข็งแกร่งกว่าและอ่อนแอกว่า


 


ภายใต้สายตาของนิกายอื่น แม้แต่นิกายที่น่าเกรงขามก็ต้องคิดให้รอบคอบก่อนประกาศสงคราม พวกเขาจะยิ่งระมัดระวังมากขึ้นเมื่อต้องออกไปต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง


 


ทุกนิกายที่มีรากฐานลึกอยู่ในระดับนึง หากพวกเขาออกไปทำสงครามทั้งหมดและได้รับความสูญเสียอย่างมากจากทั้งสองฝ่าย มันจะส่งผลประโยชน์ต่อนิกายอื่นเสียเปล่าๆ


 


แน่นอน หลังจากการต่อสู้ นิกายนภาดาราสร้างชื่อให้ตัวเอง ในโอกาสปกติ ไม่มีนิกายอื่นกล้าที่จะยั่วยุพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาจะไม่เข้าไปใกล้นิกายนภาดาราเลยหากเป็นไปได้


 


ระหว่างที่เดินทางอยู่ในแคว้นนภาดารา หลี่ฟู่เฉินได้ยินข้อมูลเเกี่ยวกับยอดอัจฉริยะศิษย์หลักของนิกายนภาดารามามากมาย


 


นิกายนภาดารานั้นมีอยู่เจ็ดนภา(ท้องฟ้า) ทั้งเจ็ดคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับดาบคลั่งและดาบพยัคฆ์ เบื้องบนเจ็ดนภาคือนายน้อยนภา นายน้อยนภาผู้นี้มีโครงกระดูกระดับ 6 ดาวเช่นเดียวกับหยานชิงหวู


 


ศักยภาพที่น่ากลัวของโครงกระดูก 6 ดาวไม่สามารถแสดงออกได้อย่างสมบูรณ์เนื่องจากอายุที่ยังน้อยของหยานชิงหวู


 


แต่นายน้อยนภาผู้นี้มีอายุ 21 ในปีนี้ ฉะนั้นเขาจึงแก่กว่าหยานชิงหวู 5 ปี การฝึกฝนของเขาอยู่ที่ระดับ 8 ของขอบเขตปฐพีแล้ว


 


มีข่าวลือกันว่าเขามีความสามารถที่อาจฆ่าได้แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตสวรรค์ แต่มันก็ยากที่จะแยกแยะว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่ข่าวลือ


 


“นายน้อยนภา? เจ๊กนภา?” หลี่ฟู่เฉินยิ้มกว้าง


 


โลกนี้มีอัจฉริยะมากมายราวกับเม็ดฝน และหากสามารถกลัดเกลาฝึกฝนตันเองในเส้นทางที่ตัวเองก้าวเดินได้ มันย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้คนตื่นเต้น หากไม่เช่นนั้นแล้ว มันจะน่าเบื่อเกินไป


 


***


 


ออกจากแคว้นนภาดารา หลี่ฟูเฉินยังแคว้นวิญญาณเทพยุทธ์


 


ผู้ปกครองแคว้นวิญญาณเทพยุทธ์ไม่ได้เป็นนิกาย แต่เป็นตระกูล ตระกูลนี้เรียกว่าตระกูลตวนหลิน


(หมายเหตุ : ตวนหลินความหมายคือวิญญาณเทพยุทธ์)


 


มันเป็นตระกูลที่มีอำนาจมาก มากเสียจนแม้แต่กระทั้งนิกายนภาดารายังรู้สึกกดดัน เหตุผลที่ว่าทำไมนิกายนภาดาราถึงไม่ได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดนิกายเร้นวิญญาณและนิกายสวรรค์ปีศาจก็เนื่องจากตระกูลตวนหลิน


 


ตระกูบตวนหลินมีโครงกระดูกที่สามารถสืบทอดต่อกันได้


 


ได้มีการกล่าวกันว่าบรรพบุรุษของตระกูลตวนหลินเป็นผู้เชี่ยวชาญแท้จริงที่ครอบครองโครงกระดูกวิญญาณเทพยุทธ์ ไม่ทราบว่าทำไมโครงกระดูกวิญญาณเทพยุทธ์นี้ถึงสามารถส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปได้ ลูกหลานบางคนจะมีโครงกระดูกวิญญาณเทพยุทธ์ที่อ่อนแอ ในขณะที่บางคนมีโครงกระดูกที่แข็งแกร่ง มันแต่ยังโชคดีที่ไม่มีใครมีโครงกระดูกวิญญาณเทพยุทธ์ในระดับเดียวกับบรรพบุรุษของพวกเขา หากไม่เช่นนั้นแล้ว ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมดจะถูกปกครองโดยตระกูลตวนหลิน


 


เมื่อเทียบกับนิกายนภาดารา ตระกูลตวนหลินมีอัจฉริยะยอดเยี่ยมอยู่มากมาย


 


นิกายนภาดารามีนายน้อยนภาและเจ็ดนภา


 


ในขณะที่ตระกูลตวนหลินมีวิญญาณเทพยุทธ์อยู่สิบคน


 


ทุกคนที่มีวิญญาณเทพยุทธ์ทั้งสิบ อยู่ในระดับเดียวกันกับดาบคลั่งและดาบพยัคฆ์ แม้แต่กระทั้งดาบไร้อารมณ์เซี่ยเฟิงก็ด้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อย


 


เหตุผลที่ตัดสินเช่นนี้ เป็นเพราะหลี่ฟู่เฉินได้เห็นความสามารถของเซี่ยเฟิงเป็นการส่วนตัว


 


คนที่อ่อนที่สุดของวิญญาณเทพยุทธ์ทั้งสิบสามารถฆ่านักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดได้อย่างง่ายดาย


 


แน่นอนว่าตอนนี้เซี่ยเฟิงได้ผ่านชั้นที่สามของหอคอยศิษย์สายตรงเรียบร้อยแล้ว ความสามารถโดยรวมตอนนี้ของเขาเพิ่มขึ้น มันไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นใครที่เหนือกว่ากัน ก็ในเมื่อการต่อสู่เท่านั้นที่จะตัดสินว่าใครเก่งกว่ากัน


 


“แน่นอนแล้วว่าโลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่ ทุกนิกายมีอัจฉริยะที่เป็นหัวกะทิเช่นนี้ ข้าสงสัยว่ามีศิษย์ชั้นยอดทั้งหมดกี่คนที่อยู่ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก”


 


หลังจากข้ามแคว้นตวนหลินแล้ว ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็มาถึงแคว้นร้อยเทพยุทธ์


 


พื้นที่ราบร้อยเทพยุทธ์นั้นตั้งอยู่ที่ชายขอบแคว้นร้อยนเทพยุทธ์


 


ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสนามรบของผู้เชี่ยวชาญแท้จริง


 


ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญแท้จริงเหล่านี้แข็งแกร่งเพียงใด และระดับการฝึกฝนของพวกเขาอยู่ไกลแค่ไหน แต่พื้นที่ราบร้อยเทพยุทธ์นั้นมีรอยจะสงครามที่เหลืออยู่และตอนนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง มีบางพื้นที่พยศมาก แม้แต่กระทั้งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดก็ตกอยู่ในอันตราย


 


โชคดีที่พื้นที่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ราบร้อยเทพยุทธ์ยังถือว่าปลอดภัย


 


ขี่ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 หลี่ฟู่เฉินควบไปทั่วที่ราบ


 


เมื่อได้ยินเสียงม้าเลือดปีศาจร้องอย่างแปลกประหลาด หลี่ฟู่เฉินตกใจและกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


ปิส!


 


ฝนเลือดเกิดขึ้น


 


ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 ถูกแทงทะลุผ่านด้วยฝ่ามือสีขาวยักษ์จากด้านหลัง


 


“ฝ่ามือโครงกระดูกขาว! เป็นวิญญาณโครงกระดูกขาว?”


 


วิญญาณโครงกระดูกขาวไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ที่จริงแล้วสิ่งมีชีวิตแบบนี้นั้นเกิดมาจากพลังแห่งความขุ่นข้องของผู้เชี่ยวชาญแท้จริง พลังฉีของผู้เชี่ยวชาญแท้จริงที่หลงเหลืออยู่ดูดซับความขึ่นข้องใจมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมวิญญาณโครงกระดูกถึงเป็นสิ่งที่น่าเกรงขาม


 


ตลอดพื้นที่ราบร้อยเทพยุทธ์เป็นที่ๆ พลังฉีขุ่นข้องอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่มีวิญญาณโครงกระดูกขาวจำนวนมาก ตัวที่อ่อนแอ่ไม่นับว่าเป็นไร แต่บางครั้งก็มีวิญญาณกระดูกขาวที่น่าเกรงขามซึ่งอาจต่อต้านผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดได้ หรือแม้แต่กระทั่งเหนือไปกว่านั้น


 


เมื่อม้าเลือดปีศาจระดับ 2 ถูกฉีกกระชากออกจากกัน วิญญาณโครงขาวที่มีขนาดเหมือนมนุษย์ก็ออกมาจากพื้นดินและคำรามใส่หลี่ฟู่เฉิน


 


“ไม่จำเป็นต้องสู้กับมัน”


 


หลี่ฟูเฉินยอมแพ้ในการต่อสู้กับมันด้วยชีวิตของเขา เขาเปิดใช้งานย่างก้าวเงาวายุ ขณะที่เขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับนกที่บินเร็วที่สุด


 


เบ้าตาที่ว่างเปล่าของวิญญาณโครงกระดูกขาวมีเปลวเพลิงสีเขียวสว่างขึ้นและจับเป้าหมายไปที่หลี่ฟู่เฉิน และเป็นเวลาเดียวกันที่มันเริ่มไล่ล่า


 


“เร็วมาก” หลี่ฟูเฉินรู้สึกว่าความเร็วของเขาถือได้ว่ารวดเร็วยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับวิญญาณโครงกระดูกขาว มันยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย


 


จากระยะไกล หลี่ฟู่เฉินเห็นกองคาราวานพ่อค้า บนธงของกองคาราวานเป็นสัญลักษณ์รูปดอกกุหลาบ


 


พร้อมกับการขมวดคิ้ว หลี่ฟู่เฉินไม่ได้มุ่งหน้าไปในทิศทางของพวกเขา เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ผู้อื่น


 


“มันเป็นวิญญาณโครงกระดูกขาว ทุกคนโจมตี!”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้คาดหวังว่ากองคาราวานพ่อค้าจะกำหนดเป้าหมายไปที่วิญญาณโครงกระดูกขาว นักสู้ขอบเขตปฐพีจำนวนมากร่วมมือกันเพื่อฆ่าวิญญาณโครงกระดูกขาว


บทที่ 196


สมาคมกุหลาบพาณิช


 


 


คาราวานการค้านี้มีนักสู้ขอบเขตปฐพีอยู่หลายสิบคนและสี่คนอยู่ในขอบเขตปฐพีระดับสูงสุด


 


ความได้เปรียบของจำนวนเป็นสิ่งที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้


 


ความสามารถของวิญญาณกระดูกขาวนั้นน่ากลัวอย่างแท้จริง น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์ปีศาจระดับ 3 ที่ถูกสร้างมาจากหอคอยศิษย์สายตรง นอกจากนี้ มันยังมีความสามารถในการป้องกันที่ดีเช่นกัน หลังจากถูกนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดทั้งสี่โจมตี มันจึงเหลือไว้แค่กระดูกแต่เพียงเท่านั้น กระดูกที่เหลือไม่มีแม้แต่กระดูกเดียวที่หัก


 


แต่ภายใต้การโจมตีของนักสู้ขอบเขตปฐพีหลายสิบคน วิญญาณโครงกระดูกจึงติดอยู่ในสถานะชงักงัน มันต้องการรุดหน้าต่อ แต่ด้วยพลังฉีที่โจมตีมาหลายสิบครั้ง มันคงโชคดีหากมันสามารถล่าถอยได้ แต่ด้วยสติปัญญาของวิญญาณโครงกระดูกขาว มันจึงไม่มีคำที่เรียกว่า ‘ถอย’


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง วิญญาณโครงกระดูกขาวก็กระจัดกระจายกลายไปเป็นกองฝุ่นกระดูก


 


หนึ่งในนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุด เขาค้นหาบางสิ่งอย่างรวดเร็วและพบชิ้นส่วนผลึกสีเขียว


 


‘นี่สมควรเป็นผลึกวิญญาณโครงกระดูกขาว!’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเอง


 


ผลึกวิญญาณโครงกระดูกขาวเป็นอัญมณีที่เกิดขึ้นในร่างของวิญญาณโครงกระดูกขาวหลังจากผ่านไปหลายปี มันมีประโยชน์มากมาย และผลึกวิญญาณโครงกระดูกขาวปกติมีค่าอย่างน้อย 100,000 เหรียญทอง


 


แน่นอนว่าเพื่อเอาชนะวิญญาณโครงกระดูกขาวตนนึงต้องใช้นักสู้ขอบเขตปฐพีอย่างน้อยหลายสิบคน


 


“นี่พี่ชาย นายหญิงของเราต้องการเชิญเจ้ามาชั่วครู่” หนึ่งในนักสู้ขอบเขตปฐพีเดินเข้ามากล่าวกับหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าและติดตามเขาไปยังรถม้าที่หรูหราที่สุดของกองคาราวานพ่อค้า


 


“ข้าเฉินฟู่ลี่ ทักทายนายหญิง” หลี่ฟู่เฉินโค้งคำนับพร้อมกับป้องหมัด


 


จากรถม้า สามารถได้ยินเสียงกระจ่างใสของหญิงสาวได้ “เรามาจากสมาคมกุหลาบพาณิช ข้าเห็นเจ้ามีเทคนิคตัวเบาที่มีความสามารถพอสมควร งั้นแล้วเจ้าสนใจที่จะเข้าร่วมสมาคมกับกุหลาบพาณิชของเราหรือไม่? เจ้าจะได้รับการปฏิบัติอย่างดี”


 


‘สมาคมกุหลาบพาณิช?’


 


หลี่ฟู่เฉินพยายามอย่างหนักที่จะรื้อฟื้อข้อมูลเกี่ยวกับแคว้นร้อยเทพยุทธ์ และก็ตระหนักได้ว่าชื่อสมาคมกุหลาบพานิชไม่ได้มีชื่อเสียงใดๆ


 


หนึ่งในนักสู้ขอบเขตปฐพีกล่าว “เฉินเซียงตี๋ สมาคมกุหลาบพาณิชเราเป็นหนึ่งในสองสมาคมการค้าที่สำคัญในเมืองสีโลหิต สมาคมได้รับการสนับสนุนจากเหล่านักสู้ขอบเขตสวรรค์และนักสู้ขอบเขตปฐพีกว่าร้อยคน มันจะไม่ผิดหวังแน่นอนหากเจ้าเข้าร่วม เจ้าจะได้รับส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าในสมาคม”


(หมายเหตุ TL: เซียงตี๋เป็นคำเรียกไม่เป็นทางการสำหรับผู้ชายกับผู้ชายอีกคนเช่น พี่เฉิน)


 


ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นสมาคมพ่อค้าจากเมืองสีโลหิต


 


แคว้นร้อยเทพยุทธ์มีหลายเมืองและบางเมืองก็มีขนาดใหญ่มาก เมืองสีโลหิตเป็นเมืองที่มีประชากร 5 ล้านคน


 


ท่ามกลางแคว้นที่ปกครองโดยนิกายหรือแม้แต่กระทั้งนิกายวารีครามเอง เมืองที่มีประชากรเพียงหลายล้านคนก็ถือว่าเป็นเมืองหลวงได้แล้ว แต่ในแคว้นร้อยเทพยุทธ์ พวกเขาจะถือว่าเป็นเมืองขนาดกลางถึงใหญ่เท่านั้น


 


สมาคมพ่อค้าที่ตั้งอยู่ในเมืองที่มีประชากรหลายล้านคนไม่ได้อยู่ในข้อมูลที่หลี่ฟู่เฉินอ่าน หลังจากทั้งหมดแล้ว มันก็เป็นเพียงสมาคมพ่อค้าเล็กๆ


 


“เจ้าอนุญาตให้ข้าเลือก?” หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอ


 


“แน่นอน ทำไมเจ้าไม่มากับพวกเราที่เมืองสีโลหิตล่ะ? บางทีเมื่อเจ้าอยู่ที่นั่นเจ้าอาจจะเลือกเข้าร่วมกับเรา” ผู้หญิงในรถม้ากล่าว


 


แคว้นร้อยเทพยุทธ์เป็นแคว้นที่มีการต่อสู้อันไร้สิ้นสุด และการสรรหาทหารรับจ้างมามากมายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วไป แม้ว่าการบ่มเพาะปลูกของหลี่ฟู่เฉินจะไม่สูงมากนัก แต่เขาก็ยังคงมีประโยชน์เนื่องจากเทคนิคตัวเบาของเขา


 


“ข้าคงไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอที่ดีของท่าน” หลี่ฟู่เฉินคำนับอีกครั้ง


 


ทั้งๆ แบบนั้น หลี่ฟู่เฉินก็เดินทางไปกับคาราวานพ่อค้านี้และมุ่งหน้าไปยังเมืองสีโลหิต


 


รับฟังข้อมูลจากคนเหล่านี้ หลี่ฟู่เฉินพบว่าเมืองสีโลหิตมีสมาคมพ่อค้าขนาดใหญ่สองแห่งและสามตระกูลใหญ่ กองกำลังที่มีอิทธิพลทุกกองกำลังมีนักสู้ขอบเขตสวรรค์ป้องกันพวกเขาอยู่ ในหมู่พวกเขา ตระกูลหม่ามีอิทธิพลมากที่สุดและเป็นตระกูลโบราณของเมืองสีโลหิต มันมีประวัติความเป็นมากว่าร้อยปี สมาคมและตระกูลอีกสองตระกูลก็มีพลังอิทธิพลแบบเดียวกัน


 


สำหรับผู้หญิงในรถม้า เธอเป็นลูกสาวบุญธรรมของหัวหน้าสมาคมกุหลาบพาณิช เธอมีนามว่าลู่เหยา


 


“เฉินเซียงตี๋ เจ้ามาจากที่ไหน?” หวงเปี่ยวผู้ที่อยู่ระดับ 5 ของขอบเขตปฐพีกล่าวถามหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินตอบ “ข้ามาจากแคว้นวิญญาณเทพยุทธิ์ และต้องการรู้เห็นเหตุการณ์ในแคว้นร้อยเทพยุทธ์”


 


“เจ้ามาเสี่ยงในแคว้นร้อยเทพยุทธ์นี่เอง” หวงเปี่ยวยกนิ้วของเขา “แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในแคว้นร้อยเทพยุทธ์จะถือว่าปลอดภัย แต่นั่นเป็นเพียงแค่คำกล่าว มันยังถือว่าเป็นอันตรายสำหรับนักสู้ขอบเขตปฐพี”


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ “ข้าคิดเสมอว่ามันจะเป็นเรื่องราวที่อยู่ในตำนาน ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง”


 


เจียงต้าเฉียนผู้ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของหวงเปี่ยวกล่าว “วันนี้เป็นเพียงประสบการณ์ที่หาได้ปกติเท่านั้น หากว่ามันเป็นวิญญาณโครงกระดูกขาวระดับกลางๆ เราจะต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด”


 


วิญญาณโครงกระดูกขาแบ่งออกเป็น ขั้นต่ำ กลาง และสูง


 


วิญญาณโครงกระดูกขาวขั้นต่ำอยู่ในระดับของนักสู้ขอบเขตปฐพี ขั้นกลางอยู่ในขอบเขตสวรรค์และขั้นสูงอยู่ในขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด


 


“มีระดับที่สูงกว่าวิญญาณโครงกระดูกขาวขั้นสูงอยู่หรือไม่?” หลี่ฟุเฉินสอบถาม


 


หวงเปี่ยวพยักหน้า “ใช่ มันมีอยู่จริง ในส่วนลึกของแคว้นร้อยเทพยุทธ์ มันเป็นที่ที่พลังฉีขุ่นข้องรวมตัวกันอยู่มากที่สุด มีข่าวลือว่ามีคนเห็นวิญญาณโครงกระดูกขาวสีแดง”


 


“วิญญาณโครงกระดูกขาวสีแดง?”


 


 


เพียงแค่ฟังชื่อของมัน หลี่ฟู่เฉินก็รู้ถึงความดุร้ายของมันได้แล้ว


 


***


 


หลายวันต่อมา กองคาราวานพบวิญญาณโครงกระดูกขาวระดับต่ำอีกกลุ่มหนึ่ง ครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามันอ่อนแอกว่าที่พวกเขาพบครั้งก่อน มันกลายเป็นฝุ่นในเวลาเพียง 15 นาที


 


ห้าวันต่อมา กองคาราวานออกจากพื้นที่ราบร้อยเทพยุทธ์


 


“ข้างหน้านี้คือเมืองคมดาบเหิน เรามาขายสินค้าของเราที่นี่” หวงเปี่ยวอธิบายกับหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า มันไม่สำคัญว่าเขาจะไปที่ไหน แม้ว่าจะรอบแคว้นก็ตามที


 


มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับเมืองคมดาบเหิน สำหรับผู้เยี่ยมชมทั่วไป มันเป็นเหรียญเงินหนึ่งเหรียญเดียว สำหรับพ่อค้าธรรมดา มันเป็นเหรียญทองหนึ่งเหรีญ แต่สำหรับคาราวานพ่อค้า มันจะเป็นสิบเหรียญทองต่อคน หลังจากจ่ายเหรียญทองหลายร้อยเหรียญ คาราวานทั้งหมดได้รับอนุญาตให้เข้าไป


 


“เฉินเซียงตี๋ เราจะออกจากเมืองใน 3 วันต่อจากนี้ เรามาพบกันที่โรงเตี้ยมปลาเหินในอีก 3 วันต่อไป”


 


“ไม่มีปัญหา ข้าจะมาพบเจ้าในอีกสามวัน” ตั้งแต่ต้นจนจบหลี่ฟูเฉินไม่ได้เห็นลู่เหยาแม้แต่ครั้งเดียว


 


เมืองคมดาบเหินมีประชากรน้อยกว่าเมืองสีโลหิต มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 4 ล้านคน


 


ในเมือง มันมีนักสู้อยู่นับไม่ถ้วน แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตปฐพีที่หายากในโลกภายนอกก็สามารถเห็นได้ทั่วทุกที่ แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตสวรรค์เองก็ให้เห็นได้บ้างตามโรงเตี้ยมและภัตตาคาร


 


“ท่านนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”


 


ในขณะที่หลี่ฟู่เฉินกำลังเดินอยู่บนเส้นทาง เด็กชายตัวน้อยรวบรวมความกล้าหาญเข้ามาหาเขา


 


หลี่ฟู่เฉินสำรวจเด็กผู้นี้ทันที มองไปยังเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและร่างกายที่ขาดสารอาหาร เขาสมควรเป็นเด็กชาวนาที่ยากจน


 


ไม่ว่าเมืองใดก็ตาม มันมักจะดีด้านดีและสิ่งที่บิดบังอยู่เสมอ


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่เด็กชายทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ขอให้ช่วยเลย “พาข้าไปทุกที่ที่น่าสนใจและเหรียญทองนี้จะเป็นของเจ้า” หยิบเหรียญทองขึ้นมา หลี่ฟู่เฉินโยนมันไว้ในมือของเด็กน้อย


 


“เหรียญทอง!”


 


ดวงตาของเด็กชายเบิดกว้าวขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาขอร้อง เขาเป็นเด็กที่ชอบเก็บตัวและกลัวที่จะเห็นคนแปลกหน้า ในอดีตที่ผ่านมา มันเป็นน้องสาวที่มาขอร้องอยู่เสมอ ตอนนี้น้องสาวของเขาป่วย เขาต้องเอาชนะความกลัวของเขาและทำมัน


 


“ให้ข้าพาท่านไปที่ถนนโบราณ ข้าได้ยินมาว่านักสู้ส่วนใหญ่ในเมืองคมดาบเหินชอบไปที่นั่นเพื่อลองเสี่ยงโชคของพวกเขา” เด็กชายหยุดยั้งความตื่นเต้นของตัวเอง


 


“เยี่ยม เช่นนั้นแล้วก็ไปที่ถนนโบราณ”


 


หลี่ฟูเฉินรู้เกี่ยวกับแคว้นร้อยเทพยุทธ์น้อยนิด ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม


 


ถนนโบราณเป็นถนนที่ทอดยาวออกไป ทุกอย่างถูกขายบนถนนสายนี้ มันเป็นเหมือนถนนที่มีสิ่งต่างๆ นาๆ หลายอย่าง เช่นเดียวกับที่เด็กชายกล่าว มีนักสู้อยู่มากมายบนถนนโบราณ คนธรรมดาทั่วไปจะไม่มาที่นี่

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม